The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ฎีกา-ค่าจ้าง

ฎีกา-ค่าจ้าง

นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๗ - ผู้บริหารและค่าเช่าบ้านเป็นสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้าง จึงเป็นข้อที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๔๑๖/๒๕๕๗ เรื่อง สัญญาระบุว่าลาออกหรือเลิกจ้างต้องบอกกล่าวหน้าไม่น้อยกว่า ๖ เดือน เมื่อนายจ้าง เลิกจ้างไม่บอกล่วงหน้าตามสัญญาจึงต้องจ่าย , ค่ารถยนต์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการสาขา ค่าจ้างเดือนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ค่าพาหนะเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างทันทีโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๖ เดือน ตามที่ระบุในสัญญา จ้าง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ๑,๘๐๐๐,๐๐๐ บาท (๖ เดือน) ค่าชดเชย ๙๐๐,๐๐๐ บาท และเงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ค่ารถยนต์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ได้กำหนดว่าเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับค่ารถยนต์และคนขับรถ โดยแยกไว้ต่างหากและให้รวมทั้ง ภาษีจากการใช้รถยนต์บนท้องถนน ค่าน้ำมัน ค่าประกันภัย ค่าซ่อมแซมและค่าบำรุงรักษากับค่าใช้จ่าย เกี่ยวเนื่องอย่างอื่นอีกด้วย การตกลงในลักษณะเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการจัดสวัสดิการให้โจทก์เพื่อ ความสะดวกเกี่ยวกับพาหนะที่จะต้องใช้ในการเดินทางไปทำงาน ค่ารถยนต์เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท จึงไม่ใช่ ค่าตอบแทนในการทำงานที่จะถือเป็นค่าจ้างตามความหมายในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๘ - ๒๗. เงินความสามารถพนักงานแคชเชียร์ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๒๕๕/๒๕๖๑ (ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์) เรื่อง “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” นายจ้างจะจ่ายให้พนักงานแคชเชียร์ที่ผ่าน การทดสอบเกี่ยวกับการให้บริการ และใช้เครื่องคิดเงินในลักษณะต่าง ๆ และจะต้องปฏิบัติงานตั้งแต่ ๒ ชั่วโมงขึ้นไปในแต่ละวัน หากถูกพักงานหรือไม่มาทำงานหรือไม่มีการทำงานหรือโจทก์หยุดกิจการ ชั่วคราว จะไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” จึงมิใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ประกอบกิจการห้างสรรพสินค้า ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานประกันสังคม และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ จำเลย กรณีที่มีหนังสือให้โจทก์ชำระเงินสมทบเพิ่มเข้ากองทุน ประกันสังคม ในส่วนของ “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” เป็นเงิน ๗๕๔,๔๗๖ บาท พร้อมเงินเพิ่ม ตามกฎหมาย โดยอ้างว่าเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โจทก์ ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเงินดังกล่าวเป็นสวัสดิการ และมีเงื่อนไขในการจ่ายและลักษณะเป็นเงินจูงใจให้พนักงาน มาทำงานครบตามจำนวนที่กำหนด จึงไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยให้การว่า ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์ที่โจทก์ จ่ายให้เป็นประจำในอัตราที่แน่นอน โดยคำนวณให้เฉพาะเงินที่พนักงานได้ปฏิบัติงานนั้น ถือได้ว่าจ่ายเพื่อ ตอบแทนการทำงานจึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” เป็นเงินที่โจทก์ จ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อจูงใจให้ทำงานอันเป็นประโยชน์แก่นายจ้าง จึงถือเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน ในวันและเวลาทำงานปกติของลูกจ้าง เป็นค่าจ้าง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” โจทก์จะจ่ายให้ พนักงานแคชเชียร์ที่ผ่านการทดสอบเกี่ยวกับการให้บริการ และใช้เครื่องคิดเงินในลักษณะต่าง ๆ และจะต้อง ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๒ ชั่วโมงขึ้นไปในแต่ละวัน หากถูกพักงานหรือไม่มาทำงานหรือไม่มีการทำงานหรือโจทก์ หยุดกิจการชั่วคราว จะไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลา ทำงานปกติ แต่เป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานขยันมาทำงานทุกวัน “ค่าความสามารถพนักงานแคชเชียร์” จึงมิใช่ค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พิพากษากลับเป็น ให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานประกันสังคมและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ อุทธรณ์ เฉพาะส่วนเงินประกันสังคม


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๙ - ๒๘. ค่ารักษาสินค้า ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๒๕/๒๕๖๑ (ค่ารักษาสินค้า) เรื่อง “ค่าคอมมิสชัน” จ่ายให้เพื่อจูงใจให้ขายสินค้าได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า” จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” กำหนดขึ้นเพื่อสร้าง แรงจูงใจแก่ลูกจ้างให้พัฒนาการบริการแก่ลูกค้าให้ดีและน่าประทับใจมากยิ่งขึ้นไป เงินทั้งสามประเภทนี้ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้างทั้งสาม โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ ประกอบกิจการขายเครื่องสำอาง นางสาว ส. กับพวก จำเลยร่วม เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขาย ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า บ. ระหว่างการทำงานลูกจ้างทั้งสามนำข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติ มาสมัครบัตรสมาชิกของโจทก์และเก็บค่าสมาชิกไว้เองว่า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจำเลยร่วมไม่ชักชวนให้สมัครบัตร สมาชิกแต่กลับใช้บัตรสมาชิกดังกล่าวแอบอ้างเป็นรายการซื้อสินค้าของบิดา มารดา หรือญาติของตนเพื่อทำ รายการสะสมคะแนนและนำไปใช้แลกสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องชำระราคา เป็นความผิดร้ายแรง และจำเลย นำค่าคอมมิสชันค่ารักษาสินค้า ค่าตำแหน่ง ค่าพาหนะ มารวมคำนวณค่าชดเชยฯ จึงไม่ถูกต้อง ศาลแรงงาน ภาค ๖ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๑ ทั้งหมด และในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๓ เฉพาะบางส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นพิจารณาตามอุทธรณ์ว่า ค่าคอมมิสชัน ค่ารักษาสินค้า และค่าตำแหน่ง เป็นค่าจ้าง หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า “ค่าคอมมิสชัน” เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยร่วมทั้งสาม คำนวณจ่ายเป็นร้อยละของ ยอดขายสินค้าในแต่ละเดือนที่พนักงานขายในร้านของโจทก์ทุกคนรวมกัน โดยต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๕ ของเป้าหมายที่โจทก์กำหนดไว้ ซึ่งพนักงานขายในร้านจะได้รับเท่ากันทุกคน หากขายสินค้าไม่ได้ตามกำหนด โจทก์ก็ไม่จ่าย แสดงว่าเงินดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่จำเลยร่วมที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ให้ขายสินค้า ให้ได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า”เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้โดยคำนวณจ่ายเป็นร้อยละของยอดขายสินค้า ในแต่ละเดือนที่พนักงานในร้านทุกคนขายได้รวมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าในเดือนนั้นต้องไม่มีสินค้าในร้านสูญหาย หากมีสินค้าสูญหายจะต้องนำราคาสินค้าที่สูญหายมาหักออกก่อนที่จะนำมาเฉลี่ยให้พนักงานขายในร้าน เท่ากันทุกคน กรณีสินค้าสูญหายไปมากกว่าจำนวนเงินค่ารักษาสินค้า จำเลยร่วมที่ ๒ และที่ ๓ ก็จะไม่ได้รับ เงินนี้อันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” โจทก์จ่ายให้ จำเลยร่วมทั้งสามเป็นพิเศษ คำนวณจากการขายสินค้าบางรายการที่กำหนดไว้ หากขายได้ตามจำนวนที่ กำหนด และยังรวมถึงเงินที่จากคะแนนประเมินการบริการจากลูกค้าที่โจทก์ส่งมาทดสอบพนักงานขาย ประกอบเพื่อจ่ายเงินด้วย หากขายสินค้าไม่ได้หรือไม่ได้คะแนนจากการประเมินของลูกค้า จำเลยร่วมก็จะไม่ได้ เงินส่วนนี้เช่นกัน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๐ - เงินทั้งสามประเภทนี้ จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเฉพาะส่วนจำนวนเงินค่าชดเชย และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าของจำเลยร่วมที่ ๒ และ ที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลแรงงานภาค ๖


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๑ - ๒๙. โบนัส ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๔๑ – ๓๐๔๕/๒๕๖๑ (โบนัส) เรื่อง การจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ตามระเบียบนายจ้างกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมี สถานภาพเป็นพนักงาน ณ วันที่จ่ายโบนัส เมื่อลูกจ้างพ้นสภาพเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ แต่กำหนดการจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) คือสิ้นเดือนกุมภาพันธ์และสิ้นเดือนมิถุนายน นายจ้างจึง ไม่ต้องการจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ให้กับลูกจ้าง , เงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า โจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างจำเลย ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๔๓,๔๓๐ บาท – ๘๓,๗๒๐ บาท จำเลยตกลงจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) โดยวิธีการคำนวณจากรอบปีทำงาน คือตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม – ๓๑ ธันวาคม โดยจะประเมินผลการทำงานแล้วจะจ่ายเงินโบนัสในวันสิ้นเดือนมิถุนายน และกุมภาพันธ์ของปีถัดไป ต่อมาจำเลยมีโครงการให้สิทธิพนักงานออกจากงานก่อนอายุ ๖๐ ปี โดยได้รับ ผลประโยชน์ตามโครงการ โจทก์ยื่นเรื่องออกจากงานต่อจำเลยตามโครงการ จำเลยอนุมัติให้โจทก์ที่ ๑ – ๔ ออกจากงานวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และให้โจทก์ที่ ๕ ออกจากงานวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ต่อมา เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จำเลยกลับไม่จ่ายเงินโบนัสแก่โจทก์กับพวก ขอบังคับให้จำเลย จ่ายเงินโบนัสแต่โจทก์ทั้งห้าและให้จำเลยออกใบสำคัญการผ่านงาน จำเลยให้การว่าโจทก์ทั้งห้ายื่นหนังสือขอ เกษียณอายุการทำงานตนเองก่อนครบเกษียณปกติคือ ๖๐ ปี เมื่อจำเลยพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว จึงไม่ใช่ กรณีฐานะนายจ้างฝ่ายเดียวเลิกจ้าง แต่เป็นกรณีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายสมัครใจเลิกสัญญากัน โจทก์ทั้งห้าพ้นสภาพ จากการเป็นพนักงานแล้ว ณ วันที่มีการจ่ายเงินดังกล่าว โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ศาล แรงงานภาค ๓ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า เงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) มิใช่ค่าจ้าง แต่เป็นเงินตอบแทนประสิทธิผลในการทำงาน ของลูกจ้าง นายจ้างย่อมมีดุลพินิจที่จะกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ได้ เมื่อพิจารณาระเบียบ ทรัพยากรบุคคลของธนาคารจำเลย ข้อ ๑๕ ระบุว่า พนักงานได้รับการพิจารณาปรับค่าจ้างประจำปี เงินรางวัล พิเศษ (โบนัส)...ข้อ ๔.๔ ระบุว่า คุณสมบัติของพนักงานที่จะได้รับเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ต้องมีสถานภาพเป็น พนักงาน ณ วันที่จ่ายโบนัส ยกเว้นพนักงานที่เกษียณอายุ ๖๐ ปี...คุ๕สมบัติของพนักงานที่จะได้รับเงิน....ต้องมี สถานภาพเป็นพนักงาน ณ วันที่จ่ายโบนัส เห็นได้ว่า ไม่มีข้อความว่าจะจ่ายให้แก่พนักงานที่พ้นสภาพการเป็น พนักงานก่อนวันดังกล่าว จึงมีความหมายว่า พนักงานที่จะมีสิทธิได้รับเงินในปี เงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ต้องมี สถานภาพเป็นพนักงานของจำเลยอยู่ในวันครบกำหนดจ่ายเงินโบนัสด้วย เมื่อจำเลยอนุมัติให้โจทก์ที่ ๕ เกษียณอายุ การทำงานก่อนอายุครบ ๖๐ ปี โดยให้มีผลวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗ และอนุมัติให้โจทก์ที่ ๑ – ๔ เกษียณอายุการ ทำงานก่อนอายุครบ ๖๐ ปี โดยให้มีผลวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ก่อนถึงกำหนดจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส)ใน เดือนกุมภาพันธ์ของปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ โจทก์ทั้งห้าจึงสิ้นสภาพการเป็นพนักงานนับแต่วันที่การลาออกมีผล เป็นต้นไป โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ดังกล่าว พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๒ - ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๙๕๔/๒๕๕๖ (เงินโบนัส) เรื่อง เงินโบนัสมิใช่ค่าจ้าง ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับต้องมีสภาพการเป็นพนักงานอยู่ในวันครบ กำหนดจ่าย เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเป็นรางวัลในการปฏิบัติงาน มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่าย เป็นการตอบแทนการทำงานของลูกจ้างตามสัญญาจ้าง เงินโบนัสจึงมิใช่ค่าจ้างตามความหมายในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุว่าพนักงานจะต้องมีสภาพ เป็นพนักงานรายเดือนอยู่จนถึงวันจ่ายเงินโบนัสนั้น เว้นแต่กรณีการเกษียณอายุ แสดงว่าพนักงานที่จะมีสิทธิ ได้รับโบนัสจะต้องมีตัวตนอยู่ในวันที่ครบกำหนดจ่ายเงินโบนัส การจำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ทำให้โจทก์สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างตั้งแต่วันดังกล่าว ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาที่จำเลยจะ จ่ายโบนัสให้แก่พนักงาน โจทก์สิ้นสภาพการเป็นพนักงานไปก่อนวันครบกำหนดการจ่ายเงินโบนัส โจทก์จึงไม่มี สิทธิได้รับเงินโบนัสจากจำเลย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๓ - ๓๐. ค่าเช่ารถยนต์ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๐๘๓/๒๕๖๑ เรื่อง การที่นายจ้างเลิกจ้างเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่เป็นการละเมิดต่อ ลูกจ้าง เมื่อศาลกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แล้ว การที่ศาลแรงงานกำหนด ค่าเสียหายจากการละเมิดจึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการ ไม่ชอบ , ค่าเช่ารถยนต์จ่ายให้พนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์ จ่ายตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ จึงเป็น สวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งผู้จัดการ เครื่องดื่มฝ่ายการตลาด ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าเช่ารถยนต์เดือนละ ๓๗,๕๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และค่าน้ำมันรถยนต์ ๒๔๐ ลิตรต่อเดือน รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๒๒,๙๒๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ขอบังัคบให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๓,๒๒๙,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๒๒,๙๒๔ บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายจำเลย ๒,๕๐๔,๗๑๒ บาท เงินโบนัส เป็นเงิน ๖๙๓,๑๐๐ บาท เงินรางวัลจากการแข่งขันพิเศษปี ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการละเมิด ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๗,๗๕๒,๗๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงหลายกรณี ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท ค่าชดเชย ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท เงินโบนัส ๕๒๘,๗๙๕ บาท เงินรางวัลการแข่งขันฯ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท และค่าเสียหายจากการละเมิด ๕๕๔,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ นั้น ต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามที่ตกลงกัน ส่วนสิทธิประโยชน์ ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อความสะดวกในการทำงานหรือเป็นสวัสดิการ แม้นายจ้างจะจ่ายเงิน ดังกล่าวจำนวนแน่นอนเท่า ๆ กันทุกเดือน ก็ไม่เป็นค่าจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจะจ่ายค่าเช่ารถยนต์ รายเดือนให้แก่พนักงานเมื่อพนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์จำเลย จะจ่ายให้แก่พนักงานตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ที่ จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานในตำแหน่งดังกล่าว มิใช่เงินที่ นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เป็นรายเดือนแก่โจทก์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๔ - ประเด็นละเมิด ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการใช้สิทธิตาม สัญญาจ้างแรงงานจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ แม้จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์โดยผิดสัญญาจ้างแรงงาน แต่เมื่อ ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่มเป็นธรรม เนื่องจากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอัน สมควร ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกันกับการเลิกจ้างโดยผิดสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามที่โจทก์ อ้างว่าเป็นการละเมิดก็ตามให้แก่โจทก์แล้ว จึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจาการละเมิดให้แก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญ พิเศษไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็น ยกฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายจาการละเมิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๕ - ๓๑. เงินตอบแทนพิเศษ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๘๘๐ - ๔๙๑๓/๒๕๖๑ (รัฐวิสาหกิจ) เรื่อง เงินตอบแทนพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นายจ้างมีเจตนาจ่ายเงินตอบแทนให้เฉพาะ ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารที่ระบุไว้ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเท่านั้น ซึ่งสามารถยกเลิกหรือ เปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจ่ายได้ตามความเหมาะสม เงินตอบแทนพิเศษ จึงไม่ใช่ “ค่าจ้าง” ตามประกาศ คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรี่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ ที่จะต้อง นำมารวมคำนวณจ่ายเงินชดเชย คดีนี้โจทก์ทั้ง ๓๔ สำนวน ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๓๔ คน เป็นพนักงานของจำเลยและเข้าสมัคร เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดระหว่างปี ๒๕๕๐ - ๒๕๕๙ จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจไม่ได้ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖ และประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ เรี่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ กล่าวคือ จำเลยกำหนดให้ใช้เงินเดือน เดือนกันยายนในปีที่โจทก์แต่ละคนสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นฐานในการคำนวณเพื่อจ่ายเงินตอบแทน และเงิน ชดเชย โดยละเว้นไม่นำเอาเงินประจำตำแหน่งหรือเรียกว่าเงินตอบแทนพิเศษที่มีการประจำเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างมารวมคำนวณเงินชดเชย เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์กับพวก ขอให้บังคับ จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เงินตอบแทนแก่ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเป็นการจ่าย เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงาน ไม่ใช่ตอบแทนการทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้ง ๓๔ คน อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การพิจารณาว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้าง ตามประกาศ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีเจตนาจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานหรือไม่ ซึ่งคำสั่งของเลยที่.../๒๕๔๙ ที่มใช้บังคับเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษกำหนดว่า ข้อ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการสำนัก ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษ เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ข้อ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย สำนักสำนักงานศูนย์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย...ให้ได้รับ เงินตอบแทนพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ข้อ ๗ เงินตอบแทนพิเศษ เป็นเงินนอกเหนือจากเงินเดือนไม่ใช้เป็น ฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเงินเดือนและสวัสดิการ และเป็นอำนาจของจำเลยที่จะ ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาจ่ายเงินตอบแทนให้เฉพาะผู้ดำรง ตำแหน่งบริหารที่ระบุไว้ในข้อ ๑ และข้อ ๒ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเท่านั้น ซึ่งจำเลย สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจ่ายได้ตามความเหมาะสม เงินตอบแทนพิเศษ จึงไม่ใช่ค่าจ้างที่ จะต้องนำมารวมคำนวณจ่ายเงินชดเชย พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๖ - ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๙๓๘ - ๕๐๓๖/๒๕๖๑ (รัฐวิสาหกิจ) เรื่อง เงินตอบแทนพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ , ๑๐,๐๐๐ บาท นายจ้างมีเจตนาจ่ายเงิน ตอบแทนให้เฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งบริหารที่ระบุไว้ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเท่านั้น ซึ่งสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจ่ายได้ตามความเหมาะสม เงินตอบแทนพิเศษ จึงไม่ใช่ “ค่าจ้าง” ตามประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรี่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง ในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ ที่จะต้องนำมารวมคำนวณจ่ายเงินชดเชย คดีนี้โจทก์ทั้ง ๓๔ สำนวน ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๓๔ คน เป็นพนักงานของจำเลยและเข้าสมัคร เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดระหว่างปี ๒๕๕๐ - ๒๕๕๙ จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจไม่ได้ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖ และประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ สัมพันธ์ เรี่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ กล่าวคือ จำเลยกำหนดให้ใช้เงินเดือน เดือนกันยายนในปีที่โจทก์แต่ละคนสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นฐานในการคำนวณเพื่อจ่ายเงินตอบแทน และเงิน ชดเชย โดยละเว้นไม่นำเอาเงินประจำตำแหน่งหรือเรียกว่าเงินตอบแทนพิเศษที่มีการประจำเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างมารวมคำนวณเงินชดเชย เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์กับพวก ขอให้บังคับ จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เงินตอบแทนแก่ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเป็นการจ่าย เพื่อเป็นแรงจูงใจในการทำงาน ไม่ใช่ตอบแทนการทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้ง ๓๔ คน อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การพิจารณาว่าเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้าง ตามประกาศ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ หรือไม่ ต้องพิจารณาว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีเจตนาจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานหรือไม่ ซึ่งคำสั่งของเลยที่.../๒๕๔๙ ที่มใช้บังคับเกี่ยวกับการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษกำหนดว่า ข้อ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการสำนัก ให้ได้รับเงินตอบแทนพิเศษ เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ข้อ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย สำนักสำนักงานศูนย์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย...ให้ได้รับ เงินตอบแทนพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ข้อ ๗ เงินตอบแทนพิเศษ เป็นเงินนอกเหนือจากเงินเดือนไม่ใช้เป็น ฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเงินเดือนและสวัสดิการ และเป็นอำนาจของจำเลยที่จะ ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาจ่ายเงินตอบแทนให้เฉพาะผู้ดำรง ตำแหน่งบริหารที่ระบุไว้ในข้อ ๑ และข้อ ๒ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ดำรงตำแหน่งบริหารเท่านั้น ซึ่งจำเลย สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การจ่ายได้ตามความเหมาะสม เงินตอบแทนพิเศษ จึงไม่ใช่ค่าจ้างที่ จะต้องนำมารวมคำนวณจ่ายเงินชดเชย พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๗ - ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๓/๒๕๖๐ เรื่อง เงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ไม่เป็นค่าจ้าง นายจ้างจึงเสียดอกเบี้ยเพียง ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี , นายจ้างเลิกจ้างก่อนครบกำหนดในสัญญาจ้าง สัญญาจ้างย่อมสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างย่อมไม่มี เมื่อลูกจ้างมิได้ทำงานให้นายจ้างอีก นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้าง การที่ศาลพิพากษาให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างไปจนครบระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง จึงไม่ถูกต้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการนวดแผนโบราณและสปา จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการทำหน้าที่บริหารจัดการมีระยะเวลาการจ้าง ๒ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๕ – ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ ต่อมาวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโดยที่โจทก์มิได้กระทำ ความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ค่าผลการทำงาน ค่าจ้างที่จำเลยต้องจ่าย หากโจทก์ปฏิบัติงานครบตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และ เงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย เงินค่าตอบแทนพิเศษ ทางการตลาด ๑,๒๓๙,๔๑๕.๔๐ บาท ค่าจ้างส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลยเลิกจ้างก่อนครบกำหนด ๒๐๔,๐๑๒.๖๔ บาท เงินอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่าจำเลยต้องชำระค่าจ้างในส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากเลิกจ้างก่อนครบกำหนด หรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงเพราะจำเลยเลิกจ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยผู้เป็น นายจ้างกับโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างย่อมไม่มี เมื่อโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลยอีก จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์จะได้รับเมื่อทำงานให้แก่จำเลย ที่ศาลแรงงานภาค ๕ พิพากษาให้จำเลยมีหน้าที่ต้องจ่าย ค่าจ้างให้แก่โจทก์ไปจนครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ประเด็นเงินค่าตอบแทนพิเศษทางการตลาด ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อได้ความว่าเงินค่าตอบแทน พิเศษทางการตลาดและค่าน้ำมันรถเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเป็นสวัสดิการแก่โจทก์ มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทน การทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ เงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ และมิใช่เงินตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่ศาลแรงงานภาค ๕ กำหนด ดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงไม่ถูกต้อง แต่เงินทั้งสองประเภทเป็นหนี้เงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับ ดอกเบี้ยระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) และ มาตรา ๒๔๖ ประกองพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าจ้างส่วนที่โจทก์ไม่ได้ทำงานเนื่องจากจำเลย เลิกจ้างก่อนครบกำหนด ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินค่าตอบแทนพิเศษ ทางการตลาดและค่าน้ำมันรถ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๕


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๘ - ๓๒. ค่าผ่านทาง ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๕๐/๒๕๖๐ (ค่าผ่านทาง) เรื่อง นายจ้างจ่าย “ค่าน้ำมันรถยนต์” กับ “ค่าผ่านทาง” ให้แก่ลูกจ้างตามใบเสร็จ นำไปแสดงและเบิกตามที่จ่ายไปจริง หากไม่มีใบเสร็จรับเงินไม่สามารถเบิกเงินได้ และให้สิทธิลูกจ้างใช้ รถยนต์ประจำตำแหน่งเท่านั้น ไม่ให้เลือกรับเงินแทนสิทธิการใช้รถยนต์ ดังนั้น “ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่านทาง และค่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง” จึงไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เริ่มทำงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ตำแหน่ง สุดท้ายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด ค่าจ้างเดือนละ ๖๑,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันและค่าผ่านทาง เฉลี่ยเดือนละ ๑๘,๐๐๐ บาท ค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท รวม ๙๔,๐๐๐ บาท ต่อมา วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ จำเลยเลิกจ้างโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์มีพฤติกรรมการทุจริต ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับกรณีร้ายแรง ทำให้จำเลย ได้รับความเสียหาย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจ่ายค่าน้ำมันรถยนต์กับค่าผ่านทาง ให้แก่โจทก์ตามใบเสร็จนำไปแสดงต่อจำเลยและเบิกตามที่โจทก์จ่ายไปจริง หากไม่มีใบเสร็จรับเงินไม่สามารถ เบิกเงินได้ และให้สิทธิโจทก์ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งเท่านั้น ไม่ให้เลือกรับเงินแทนสิทธิการใช้รถยนต์ประจำ ตำแหน่ง ค่าน้ำมันรถ ค่าผ่านทาง และค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งจึงไม่ใช่ค่าจ้าง เมื่อศาลแรงงานกลางฟัง ข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิได้ทุจริตเบิกค่าอาหารและค่าน้ำมัน มิได้เข้าแทรกแซงการจัดซื้อวัตถุดิบของจำเลย หรือ กระทำผิดโดยขายสินค้าให้แก่บริษัทต่าง ๆ โดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ จำเลยจึงไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้าง ไม่ไว้วางใจโจทก์ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปและเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยเลิกจ้างจึงต้อง จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจาการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐๙ - ๓๓. ค่ากะดึก ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๙๗/๒๕๖๐ (เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน) เรื่อง ค่ากะดึก ๔๐ บาท จ่ายให้เฉพาะพนักงานกะกลางคืนเท่านั้นเพื่อเป็นการสงเคราะห์ ค่าอาหารและค่าเดินทาง เดือนละ ๕๐๐ บาท จ่ายเพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ค่าเที่ยว จ่ายให้ พนักงานขับรถที่ออกนอกพื้นที่จังหวัดชลบุรีและปราจีนเท่านั้น ดังนั้น ค่ากะดึก ค่าอาหารและค่าเดินทาง ค่าเที่ยว จึงไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน กรณีที่ คณะกรรมการได้มีมติยกอุทธรณ์โจทก์ โดยวินิจฉัยว่า ค่ากะ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าเที่ยว เป็นค่าจ้าง โจทก์ไม่เห็นด้วย ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยส่วนที่ วินิจฉัยว่า ค่ากะกลางคืน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าเที่ยว ถือเป็นค่าจ้างที่ต้องชำระเงินสมทบจากการตรวจ บัญชีค่าจ้างประจำปี ๒๕๕๓ และเงินเพิ่มตามกฎหมาย ให้จำเลยชำระเงิน ๔,๓๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้อง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ค่ากะกลางคืน ๔๐ บาท โจทก์ประกาศให้เป็นการช่วยเหลือพนักงานที่เข้ากะ กลางคืน เนื่องจากพนักงานที่ทำงานกะกลางคืนโจทก์ไม่ได้จัดให้มีร้านขายอาหารเวลากลางคืน และเงินค่ากะ กลางคืนจะจ่ายตามเงื่อนไขให้พนักงานที่มาทำงานวันต่อวัน และจ่ายให้เฉพาะพนักงานที่มาทำงานกะกลางคืน เท่านั้น ค่ากะ ๔๐ บาท ต่อวันดังกล่าวจึงมิใช่ค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ แต่เป็น สวัสดิการที่โจทก์ให้แก่ลูกจ้าง ไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าอาหารและค่าเดินทาง โจทก์ได้ประกาศเพิ่มสวัสดิการ ค่าอาหารเดือนละ ๔๒๕ บาท และค่าเดินทางเดินทางเดือนละ ๔๒๕ บาท เป็นเดือนละ ๕๐๐ บาท เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของพนักงานเท่านั้น มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลา ทำงานปกติ โจทก์มีวัตถุประสงค์โดยชัดแจ้งว่าต้องการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพนักงาน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับเพิ่มค่าอาหารและค่าเดินทาง จากเดิมที่เคยประกาศให้เป็นสวัสดิการอยู่แล้ว แม้เงินดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นการจ่ายประจำทุกเดือนมี จำนวนแน่นอนและไม่มีเงื่อนไขแต่ก็เป็นเพียงเงินช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของพนักงานเท่านั้นมิใช่จ่าย เพื่อตอบแทนการทำงานในวันเวลาทำงานปกติ ดังนั้น ค่าอาหารและค่าเดินทางจึงเป็นเพียงสวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง สำหรับค่าเที่ยว ๔๐ บาท ต่อเที่ยว โจทก์ประกาศให้เป็นสวัสดิการช่วยเหลือพนักงานขับรถที่ต้อง เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่โจทก์ได้จัดสวัสดิการรถรับส่งผู้บริหารชาวต่างชาติ โดยมีเงื่อนไขการจ่าย ว่าพนักงานขับรถจะได้ค่าเที่ยวเพิ่มเมื่อออกไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดชลบุรีเท่านั้น โจทก์มิได้มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการด้านขนส่ง การทำงานของพนักงานขับรถจึงเป็นการปฏิบัติงานอยู่ใน พื้นที่ ส่วนการปฏิบัติงานนอกเหนือหน้าที่ปกตินอกพื้นที่จึงมิใช่การปฏิบัติหน้าที่แน่นอนเป็นประจำและไม่มี พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์จ่ายค่าเที่ยวให้แก่พนักงานขับรถเพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานในวันและเวลา


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๐ - ทำงานปกติ ดังนั้น ค่าเที่ยวดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นครั้งคราวเมื่อไปทำงานนอกพื้นที่ ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๑ - ๓๔. ค่าอาหาร ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๑/๒๕๕๙ (ค่าอาหาร) เรื่อง นายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ ๑๐ บาทต่อเดือน โดยมีเจตนาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงาน ทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครอง แรงงานจังหวัด... ที่ ../๒๕๕๓ ลงวันที่ .. มกราคม ๒๕๕๓ และให้ถือว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็น ค่าจ้าง และเมื่อนำมารวมกับค่าจ้างปกติที่ลูกจ้างได้รับรวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และดอกเบี้ยตามคำร้องแล้ว โจทก์จะได้รับค่าล่วงเวลา ๑.๕ เท่า หรือ ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๘๕๗.๐๔ บาท ค่าทำงานในวันหยุด ๑ เท่า หรือ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๓๙.๐๖ บาท และค่าล่วงเวลา ในวันหยุด ๓ เท่า หรือ ๓๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๔๑.๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด นายจ้างได้รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๓๑ เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองเป็นค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และปี ๒๕๓๕ มอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ปัจจุบันนายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ ๑๐ บาทต่อเดือน โจทก์เคยนำค่าอาหารรวมกับค่าจ้างเป็นฐานคำนวณเงิน ประกันสังคมที่นายจ้างเก็บจากลูกจ้างนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคม จังหวัด...มีหนังสือแนะนำนายจ้างไม่ต้องนำเงินค่าอาหารมาคำนวณเป็นค่าจ้างเพื่อส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม บริษัทนายจ้างมีระเบียบข้อบังคับการทำงานใช้บังคับมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน โดย กำหนดให้เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็นสวัสดิการไว้ในหมวด ๑๒ สวัสดิการ ข้อ ๑๒.๑ ถึง ๑๒.๑๐ แล้ววินิจฉัยว่าเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูไม่เป็นค่าจ้าง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูที่บริษัท นายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเป็นค่าจ้างหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าสวัสดิการหมายถึงสิ่งของไม่ใช่ ตัวเงินซึ่งสอดคล้องกับกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ล้วนแต่ เป็นสิ่งของไม่ใช่ตัวเงิน ทั้งเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูบริษัทนายจ้างให้โจทก์เป็นจำนวนที่แน่นอน ขาดลามาสายไม่หักเงินดังกล่าว ค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูจึงเป็นค่าจ้าง เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับ การทำงานของบริษัทนายจ้างกำหนดเรื่องการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างไว้ในหมวดที่ ๑๒ ประกอบด้วยการตรวจ สุขภาพประจำปี การบริการข้าวสวย การบริการรับ - ส่งพนักงาน เงินค่าอาหาร การเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลของบริษัทนายจ้าง การประกันภัยหมู่ เงินช่วยเหลือค่าทำศพ เครื่องแบบพนักงานและ อุปกรณ์ในการทำงาน การเบิกค่ารักษาพยาบาลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับเงินค่าอาหารกำหนดไว้ว่า


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๒ - บริษัทนายจ้างจะให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารแก่พนักงานทุกคนที่เป็นพนักงานประจำของบริษัทตามสภาพ การจ้าง ยกเว้นพนักงานทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอาหาร ประกอบกับข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และ ต่อมาปี ๒๕๓๕ บริษัทนายจ้างมอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ย่อมแสดงให้เห็นว่า บริษัท นายจ้างมีเจตนาแต่แรกที่จะให้ค่าอาหารเป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงานทดลอง งานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงกำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานในหมวดสวัสดิการ และเห็นเจตนาชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อระยะแรกบริษัทนายจ้างจ่ายค่าอาหารเป็นคูปองและจ่ายกระดาษทิชชูให้ ลูกจ้าง แม้ต่อมาบริษัทนายจ้างจะเปลี่ยนการจ่ายค่าอาหารเป็นคูปองและการจ่ายกระดาษทิชชูมาเป็นตัวเงิน โดยจ่ายให้พนักงานที่มีสิทธิได้รับทุกคนเป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าพนักงานจะขาดลามาสายหรือไม่ ก็เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติของบริษัทนายจ้างเท่านั้น มิได้แสดงว่าเมื่อบริษัทนายจ้างเปลี่ยนการให้ สวัสดิการจากรูปแบบอื่นมาเป็นตัวเงินจะทำให้สวัสดิการดังกล่าวกลายเป็นค่าจ้าง สวัสดิการจึงเป็นตัวเงินได้ ไม่จำต้องเป็นแต่สิ่งของหรือบริการที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้าง ดังนั้นเงินค่าอาหารเดือนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชูเดือนละ ๑๐ บาท ที่บริษัทนายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนจึงเป็นสวัสดิการ ไม่ใช่ ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานกลาง พิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๓ - ๓๕. ค่าชิ้นงาน ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๗๕๖ – ๙๗๖๕/๒๕๕๙ เรื่อง “ค่าชิ้นงาน” นายจ้างจ่ายให้พนักงานโดยกำหนดค่าชิ้นงานเป็นอัตราร้อยละของ ค่าจ้างของกลุ่ม กำหนดขั้นสูงสุดต่ำสุดจะได้รับค่าชิ้นงานลดหลั่นลงตามลำดับ อีกทั้งค่าชิ้นงานคิดจาก ร้อยละของค่าจ้างรวมของกลุ่ม ดังนั้น พนักงานแต่ละกลุ่มจะได้รับเงินจริงจากค่าชิ้นนานจึงขึ้นอยู่กับอัตรา ค่าจ้างที่พนักงานแต่ละคนได้รับ มิใช่ได้รับในอัตราชิ้นงานตายตัวทุกชิ้นงาน ค่าชิ้นงานจึงเป็นการจ่ายเพื่อ ตอบแทนความขยันของพนักงานและจูงใจให้พนักงานแผนกบรรจุสินค้าจำนวนชิ้นงานเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็น การจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงไม่ใช่ค่าจ้าง คดีโจทก์กับพวกรวม ๑๑ คน ฟ้องว่า โจทก์กับพวกทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยในแผนกบรรจุสินค้า (PACKINGX) จำเลยมีวัตถุประสงค์จำหน่ายเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ทางการแพทย์ โจทก์กับพวก ได้รับค่าจ้าง ค่าตำแหน่ง เบี้ยขยัน ค่าครองชีพ ค่าชิ้นงาน (INCENTIVE) วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำเลยเรียก โจทก์กับพวกทั้งสิบเอ็ดคนประชุมแจ้งยกเลิกเงินสวัสดิการเงินเปอร์เซ็นต์ชิ้นงานและค่าตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้า แผนก โจทก์กับพวกไม่ยินยอม วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์กับพวกไม่ให้ทำงานล่วงเวลา วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ จำเลยสั่งด้วยวาจาให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดย้ายไปทำงานประจำแผนกคลังสินค้า ทำงาน เกี่ยวกับการเขียนกำกับกล่องบรรจุสินค้า ลากและยกสินค้า อันเป็นการเปลี่ยนแปลงงานด้วยความไม่เป็นธรรม ที่ยกเลิกค่าชิ้นงาน ค่าตำแหน่ง และค่าล่วงเวลา ทำให้โจทก์กับพวกขาดรายได้ เป็นการขัดหรือแย้งกับข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างและไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง จำเลยให้การว่าตามสัญญาจ้างและข้อบังคับฯ จำเลยมีสิทธิ แต่งตั้งโยกย้ายไปทำงานตำแหน่งอื่นได้ จำเลยย้ายโจทก์หน้าที่การงานไม่ต่ำกว่าเดิม สวัสดิการ ค่าจ้าง ไม่ได้ ลดลง ค่าชิ้นงานไม่ใช่ค่าจ้างแต่เป็นเงินจูงใจ จำเลยไม่ได้สั่งให้โจทก์ทำงานล่วงเวลา โจทก์กับพวกจึงไม่มีสิทธิ ได้รับค่าล่วงเวลา เมื่อโจทก์ที่ ๑ ย้ายไปตำแหน่งประจำแผนกคลังสินค้าจะไม่มีสิทธิได้รับค่าตำแหน่ง ขอให้ ยกฟ้อง ศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่า เมื่อโจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้บรรจุสินค้าและทำงานล่วงเวลา จำเลยจึงไม่ มีหน้าที่จ่ายค่าชิ้นงาน ค่าล่วงเวลา ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และค่าตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าแผนก ตามสัญญาจ้าง โจทก์กับพวกตกลงให้จำเลยมีสิทธิมอบหมายหน้าที่การงานที่จำเลยเห็นว่าสมควรให้โจทก์ปฏิบัติได้ตามความ เหมาะสมกับการดำเนินการของจำเลย ให้ถือว่าข้อบังคับการทำงานของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้าง และตามข้อบังคับฯ จำเลยมีสิทธิพิจารณาโยกย้ายพนักงานไปทำงานในหน่วยงานอื่นภายในบริษัทของจำเลย ได้ตามความเหมาะสม ลักษณะที่จำเลยโยกย้ายโจทก์กับพวกเป็นการบริหารงานตามความจำเป็นเห็นสมควร เมื่อพนักงานร้อยละ ๙๗ เห็นชอบด้วยกับการจ่ายเงินจูงใจระบบใหม่ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ได้ทำงานในแผนก บรรจุสินค้าทำให้ไม่มีส่วนได้เสียกับเงินจูงใจระบบใหม่ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสิบเด็ดอุทธรณ์ ประเด็นค่าชิ้นงานเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจ่ายค่าชิ้นงานให้พนักงานเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มประกอบด้วยพนักงาน ๔ คน โดยกำหนดค่าชิ้นงานเป็นอัตราร้อยละของค่าจ้างของกลุ่ม จำเลย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๔ - กำหนดค่าชิ้นงานเป็นขั้นบันได ขั้นสูงสุดอยู่ที่ทำงานได้ ๑,๓๒๐ ชั้นต่อชั่วโมง ได้รับค่าชิ้นงานร้อยละ ๑๕๐ ของค่าจ้างของกลุ่ม หากทำได้น้อยลงกว่านี้ก็จะได้รับค่าชิ้นงานลดหลั่นลงตามลำดับ ขั้นต่ำสุดอยู่ที่ทำงานได้ ๒๐๐ หรือ ๓๐๐ ชั้นต่อชั่วโมง จะได้รับค่าชิ้นงานอัตราร้อยละ ๗๕ ของค่าจ้างของกลุ่ม ถือเป็นการตกลงจ่าย ค่าชิ้นงานให้พนักงานแผนกบรรจุสินค้าที่ทำปริมาณงานได้เพิ่มขึ้นมากกว่าระดับการทำงานปกติโดยให้ ค่าชิ้นงานมีอัตราเพิ่มตามช่วงของจำนวนชิ้นงานที่ทำได้ใน ๑ ชั่วโมง อีกทั้งค่าชิ้นงานคิดจากร้อยละของค่าจ้าง รวมของกลุ่ม ดังนั้น พนักงานแต่ละกลุ่มจะได้รับเงินจริงจากค่าชิ้นงานจึงขึ้นอยู่กับอัตราค่าจ้างที่พนักงาน แต่ละคนได้รับ มิใช่ได้รับในอัตราชิ้นงานละ ๐.๐๑๕ สตางค์ตายตัวทุกชิ้นงานตามคำฟ้อง และมีกำหนดอัตรา สูงสุดและต่ำสุดของค่าชิ้นงานไว้ จำเลยจะจ่ายค่าชิ้นงานให้ต่อเมื่อพนักงานทำชิ้นงานได้ตามเป้าหมายที่ กำหนดไว้ในแต่ละช่วงของจำนวนชิ้นงานเท่านั้น ค่าชิ้นงานจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนความขยันของ พนักงานและจูงใจให้พนักงานแผนกบรรจุสินค้าจำนวนชิ้นงานเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการ ทำงานโดยตรง อันไม่ใช่การจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติหรือจ่ายให้ โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ค่าชิ้นงานเป็นเงินจูงใจจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๕ - ๓๖. ค่าโน็ตบุ๊ก ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๔๓๓ – ๑๑๔๓๔/๒๕๕๗ เรื่อง ค่าโน้ตบุ๊กเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นายจ้างจ่ายให้เพื่อทดแทนการที่ลูกจ้างนำโน้ตบุ๊ก ส่วนตัวมาใช้ ไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยประกอบกิจการธุรกิจสายการบิน โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการสถานี และตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายคอมพิวเตอร์ โจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้างเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท และ ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมค่าโน้ตบุ๊กอีกคนละ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยจ่ายค่าโน้ตบุ๊กให้โจทก์ทั้งสองเพื่อทดแทนการที่โจทก์ทั้งสองนำ โน้ตบุ๊กส่วนตัวมาใช้ มิใช่เป็นเงินที่จำเลยตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่โจทก์ทั้งสองตาม สัญญาจ้าง ย่อมไม่เป็นค่าจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๖ - ๓๗. เงินปรับค่าจ้างย้อนหลัง ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๐๗/๒๕๕๗ เรื่อง เงินส่วนที่ยังขาดอยู่เพราะเหตุยังมิได้ปรับขึ้นค่าจ้าง มิใช่ค่าจ้างค้างจ่าย สิทธิเรียกร้อง ไม่ใช่อายุความ ๒ ปี แต่เป็นอายุความ ๑๐ ปี โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจ ประกอบธุรกิจ รับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเงินปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีย้อนหลัง และ เงินอื่น ๆ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างในอัตราร้อยละ ๓ เท่ากันทุกอัตรานั้นผูกพันจำเลยที่จะต้องปฏิบัติตาม ที่จำเลยอ้างขาดทุนไม่มีเงินปรับแก่ลูกจ้างนั้น มิใช่เหตุ พ้นวิสัยที่จะอ้างได้เพื่อให้จำเลยไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี จำเลยจึงต้องปรับค่าจ้างของโจทก์ตามมติ คณะรัฐมนตรีวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ แต่เงินส่วนที่โจทก์เรียกร้องนี้ถือเป็นค่าจ้างค้างจ่ายทั้งสิ้น จึงมี อายุความ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔(๘)(๙) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องในส่วน ที่อยู่ในอายุความ ๒ ปี ส่วนช่วงก่อนวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๗ ถือว่าคดีขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลย จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ๑๓,๑๗๑.๕๐ บาท เงินส่วนที่ปรับตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ๔๕,๓๓๗ บาท และ เงินส่วนที่ปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี ๕๐,๓๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี และเงินส่วนที่ ปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรี ๕๐,๓๔๐ บาท โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า เงินส่วนที่ยังขาดอยู่เพราะเหตุยังมิได้ปรับขึ้นค่าจ้างให้จึงมิใช่ค่าจ้างค้างจ่ายซึ่ง จะมีอายุความ ๒ ปี โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินส่วนที่ยังมิได้ปรับเลื่อนเงินเดือนให้ทั้งหมด ๒๑๗,๖๑๐ บาท พร้อม ดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ส่วนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ ที่เห็นชอบให้ปรับอัตราค่าจ้าง ของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจในอัตราร้อยละ ๓ และให้ได้รับค่าจ้างสูงกว่าอัตราที่ปรับเพิ่มร้อยละ ๓ ตามอัตราค่าจ้าง ใหม่อีก ๒ ขั้นนั้น เป็นเพียงการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงสภาพการจ้างเกี่ยวกับ การเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ วรรคสาม ไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ส่วนการที่จำเลยจะพิจารณาปรับค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างหรือไม่เพียงใดย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่จะ พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เมื่อจำเลยมิได้ปรับค่าจ้างตามมติ คณะรัฐมนตรีที่ให้ความเห็นชอบไว้ล่วงหน้าโดยเห็นว่าจำเลยขาดทุน ไม่มีเงิน จึงไม่มีเงินส่วนที่ยังไม่ได้ปรับ ค่าจ้างที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยจ่ายเงินที่ยัง มิได้ปรับเลื่อนเงินเดือนจำนวน ๒๑๗,๖๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง สำหรับ คำขอที่ให้จำเลยจ่ายเงินส่วนที่ยังมิได้ปรับเงินเดือนตามมติคณะรัฐมนตรีให้ยกเสีย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๗ - ๓๘. เบี้ยกันดาร ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๖๗-๒๐๖๘/๒๕๕๗ (เบี้ยกันดาร) เรื่อง เบี้ยกันดารเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท จ่ายเพื่อตอบแทนพนักงานที่ต้องปฏิบัติงาน ในสถานที่ห่างไกล จึงเป็นเงินตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง เป็นค่าจ้าง ส่วนค่าเช่ารถและค่าเช่า บ้านจ่ายเพื่อทดแทนสวัสดิการบ้านพักและชดเชยการใช้พาหนะส่วนตัว จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ระเบียบข้อบังคับในการทำงานของจำเลยซึ่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงการเกษียณอายุจาก ๖๐ ปี บริบูรณ์ เป็น ๕๕ ปีบริบูรณ์ มิได้เกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงระเบียบข้อบังคับฯ จึงต้องเป็นคุณแก่ลูกจ้างหรือได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างรวมทั้งโจทก์ทั้ง ๒ มิได้ให้ความยินยอม การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับในการทำงานในส่วนอายุ จาก ๖๐ ปีบริบูรณ์ เป็น ๕๕ ปีบริบูรณ์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินเบี้ยกันดารเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการที่พนักงานต้องปฏิบัติงานใน สถานที่ห่างไกล จึงเป็นเงินที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง ถือเป็น ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ส่วนค่าเช่าบ้านและค่าเช่ารถ เมื่อพิจารณา วัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินแล้ว เห็นว่า ค่าเช่าบ้านจำเลยจะจ่ายแก่พนักงานซึ่งต้องโยกย้ายไปประจำโรงงาน สาขาในต่างจังหวัดและบริษัทไม่จัดบ้านพักให้ ค่าเช่าบ้านจึงเป็นการจ่ายเงินเพื่อทดแทนสวัสดิการบ้านพักของ พนักงาน ส่วนค่าเช่ารถ หรือค่าชดเชยการใช้พาหนะส่วนตัวนั้น จำเลยจ่ายแก่พนักงานที่ต้องใช้รถส่วนตัว เพื่ออำนวยความสะดวกและความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานของพนักงาน ค่าเช่ารถจึงเป็นการจ่ายเพื่อ ทดแทนสวัสดิการรถที่จำเลยต้องจัดให้แก่พนักงานในการเดินทางเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติงาน ดังนั้น เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าเช่ารถจึงไม่เป็นค่าจ้าง ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๖๐/๒๕๕๖ (เบี้ยกันดาร) เรื่อง ค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้าน ไม่ใช่ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงไม่นำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้านนั้น จำเลยมีระเบียบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับธุรกิจ หมวดการโยกย้ายที่ อยู่อาศัยข้อ ๖ กำหนดว่า เงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัดอัตราร้อยละ ๑๕ ของเงินเดือนมูลฐาน และข้อ ๗ กำหนดว่าเงินช่วยเหลือค่าชดเชยที่พักอัตราร้อยละ ๑๕ ของเงินเดือนมูลฐาน จำเลยจะจ่ายเงินทั้งสองประเภท นี้ให้แก่โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเมื่อโจทก์ไปทำงานในต่างจังหวัดเพื่อเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ส่วนตัวและค่าเช่าที่พัก เงินค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้าน จำเลยที่ ๑ มีระเบียบการจ่ายชัดเจนว่าประสงค์ จะช่วยเหลือโจทก์ในด้านเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับส่วนตัวและค่าเช่าที่พักเมื่อโจทก์ต้องไปทำงานในต่างจังหวัด หากโจทก์กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพแล้วจำเลยจะไม่จ่ายเงินทั้งสองประเภทนี้แก่โจทก์ แสดงให้เห็นว่าจำเลย จ่ายเงินทั้งสองประเภทแก่โจทก์เพื่อเป็นสวัสดิการเท่านั้น ไม่ได้จ่ายด้วยวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนในการ


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๘ - ทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เงินเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้านจึงไม่เป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงไม่นำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑๙ - ๓๙. สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๖๑/๒๕๕๗ เรื่อง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า มิใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ และมาตรา ๙ จึงต้อง เสียดอกเบี้ยเพียงร้อยละ ๗.๕ ต่อปี มิใช่ร้อยละ ๑๕ ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างในการเลิกสัญญาจ้าง เพื่อปล่อยให้ลูกจ้างออกจากงานเสียทันที มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นการตอบแทนการทำงานตามสัญญา จ้าง จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ และมิใช่ค่าจ้าง ตามมาตรามาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราบัญญัติดังกล่าวที่นายจ้างจะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒๐ - ๔๐. ค่าประกันอุบัติเหตุ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๗๓/๒๕๕๗ (ค่าประกันอุบัติเหตุ) เรื่อง ค่าโทรศัพท์เป็นค่าจ้าง ส่วนค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงาน ค่าประกัน อุบัติเหตุ เงินโบนัส เป็นเงินจูงใจให้ทำงานให้มีประสิทธิภาพ จึงมิใช่ค่าจ้าง ค่าโทรศัพท์อัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ในลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเท่ากันทุกเดือน โดยไม่ คำนึงว่าโจทก์จะใช้จ่ายเป็นค่าโทรศัพท์หรือไม่ หรือได้ใช้เป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือได้ว่า เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงานเดือนละ ๖,๙๐๐ บาท จำเลยมีวัตถุประสงค์จ่ายเพื่อเป็น สวัสดิการในการปฏิบัติงาน เป็นการช่วยเหลือโจทก์ไม่ให้ต้องเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ได้รับ ไม่แน่นอน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง สำหรับค่าประกันอุบัติเหตุเดือนละ ๕๐๐ บาท เงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้ ตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๑๕๘ บาท และเงินโบนัสเฉลี่ยเดือนละ ๖,๘๔๐ บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่าย เพื่อจูงใจโจทก์ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ขยันตั้งใจทำงาน และเป็นสวัสดิการ มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน โดยตรง ได้รับไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒๑ - ๔๑. ค่ากระดาษทิชชู่ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๙๑/๒๕๕๙ (ค่ากระดาษทิชชู) เรื่อง นายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ ๑๐ บาทต่อเดือน โดยมีเจตนาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงาน ทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครอง แรงงานจังหวัด...ที่ ../๒๕๕๓ ลงวันที่ ... มกราคม ๒๕๕๓ และให้ถือว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็น ค่าจ้าง และเมื่อนำมารวมกับค่าจ้างปกติที่ลูกจ้างได้รับรวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด และดอกเบี้ยตามคำร้องแล้ว โจทก์จะได้รับค่าล่วงเวลา ๑.๕ เท่า หรือ ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๘๕๗.๐๔ บาท ค่าทำงานในวันหยุด ๑ เท่า หรือ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๓๙.๐๖ บาท และค่าล่วงเวลา ในวันหยุด ๓ เท่า หรือ ๓๐๐ เปอร์เซ็นต์ ของงวดวันที่ ๒๑/๐๒/๒๐๐๘ ถึง ๒๐/๐๙/๒๐๐๙ เป็นเงิน ๔๔๑.๑๓ บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท (ประเทศไทย) จำกัด นายจ้างได้รับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๓๑ เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองเป็นค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และปี ๒๕๓๕ มอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ปัจจุบันนายจ้างจ่ายค่าอาหารให้ลูกจ้างคนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู อีกคนละ ๑๐ บาทต่อเดือน โจทก์เคยนำค่าอาหารรวมกับค่าจ้างเป็นฐานคำนวณเงิน ประกันสังคมที่นายจ้างเก็บจากลูกจ้างนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคม จังหวัด...มีหนังสือแนะนำนายจ้างไม่ต้องนำเงินค่าอาหารมาคำนวณเป็นค่าจ้างเพื่อส่งเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม บริษัทนายจ้างมีระเบียบข้อบังคับการทำงานใช้บังคับมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน โดยกำหนดให้เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูเป็นสวัสดิการไว้ในหมวด ๑๒ สวัสดิการ ข้อ ๑๒.๑ ถึง ๑๒.๑๐ แล้ววินิจฉัยว่าเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูไม่เป็นค่าจ้าง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า เงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูที่บริษัท นายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเป็นค่าจ้างหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่าสวัสดิการหมายถึงสิ่งของไม่ใช่ ตัวเงินซึ่งสอดคล้องกับกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ พ.ศ.๒๕๔๘ ที่ล้วนแต่เป็น สิ่งของไม่ใช่ตัวเงิน ทั้งเงินค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูบริษัทนายจ้างให้โจทก์เป็นจำนวนที่แน่นอน ขาดลามา สายไม่หักเงินดังกล่าว ค่าอาหารและค่ากระดาษทิชชูจึงเป็นค่าจ้าง เห็นว่า ตามระเบียบข้อบังคับการทำงาน ของบริษัทนายจ้างกำหนดเรื่องการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างไว้ในหมวดที่ ๑๒ ประกอบด้วยการตรวจสุขภาพ ประจำปี การบริการข้าวสวย การบริการรับ - ส่งพนักงาน เงินค่าอาหาร การเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลของบริษัทนายจ้าง การประกันภัยหมู่ เงินช่วยเหลือค่าทำศพ เครื่องแบบพนักงานและอุปกรณ์ ในการทำงาน การเบิกค่ารักษาพยาบาลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำหรับเงินค่าอาหารกำหนดไว้ว่า บริษัท


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒๒ - นายจ้างจะให้เงินช่วยเหลือเป็นค่าอาหารแก่พนักงานทุกคนที่เป็นพนักงานประจำของบริษัทตามสภาพการจ้าง ยกเว้นพนักงานทดลองงานและพนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าอาหาร ประกอบ กับข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมบริษัทนายจ้างมอบคูปองค่าอาหารให้ลูกจ้างวันละใบมูลค่า ๕ บาท และต่อมาปี ๒๕๓๕ บริษัทนายจ้างมอบกระดาษทิชชูให้ลูกจ้างคนละ ๒ ม้วนต่อเดือน ย่อมแสดงให้เห็นว่า บริษัทนายจ้างมี เจตนาแต่แรกที่จะให้ค่าอาหารเป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือพนักงานประจำยกเว้นพนักงานทดลองงานและ พนักงานระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไป จึงกำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับการทำงานในหมวดสวัสดิการ และเห็น เจตนาชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อระยะแรกบริษัทนายจ้างจ่ายค่าอาหารเป็นคูปองและจ่ายกระดาษทิชชูให้ลูกจ้าง แม้ ต่อมาบริษัทนายจ้างจะเปลี่ยนการจ่ายค่าอาหารเป็นคูปองและการจ่ายกระดาษทิชชูมาเป็นตัวเงินโดยจ่ายให้ พนักงานที่มีสิทธิได้รับทุกคนเป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าพนักงานจะขาดลามาสายหรือไม่ ก็เพื่อ ความสะดวกในการปฏิบัติของบริษัทนายจ้างเท่านั้น มิได้แสดงว่าเมื่อบริษัทนายจ้างเปลี่ยนการให้สวัสดิการ จากรูปแบบอื่นมาเป็นตัวเงินจะทำให้สวัสดิการดังกล่าวกลายเป็นค่าจ้าง สวัสดิการจึงเป็นตัวเงินได้ ไม่จำต้อง เป็นแต่สิ่งของหรือบริการที่นายจ้างจัดให้ลูกจ้าง ดังนั้นเงินค่าอาหารเดือนละ ๗๐๐ บาท และค่ากระดาษทิชชู เดือนละ ๑๐ บาท ที่บริษัทนายจ้างจ่ายให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือนจึงเป็นสวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้างตาม ความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒๓ - ๔๒. เงินรางวัลการขายรถยนต์ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๒๖๐ – ๘๒๖๒/๒๕๕๙ เรื่อง เงินรางวัลการขายรถยนต์ ไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าคอมมิสชันจำนวน ๗๕,๕๐๙ บาท และ ๑๑๒,๘๖๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม ศาล แรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสามจำนวน ๑๒๔,๑๐๔ บาท ๙๒,๒๙๙ บาท และ ๙๗,๙๔๒ บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามเป็นลูกจ้าง ของจำเลย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดเช่าซื้อรถใหม่ กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน โจทก์ที่ ๑ ลาออกเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ลาออกเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ จำเลย ตกลงจ่ายเงินรางวัลการขายรถยนต์คันละ ๖๐๐ บาท เมื่อลูกค้าผ่อนค่างวดครบ ๔ งวดแรก ตรงตามกำหนด แต่หากชำระไม่ตรงตามกำหนด โจทก์ทั้งสามจะต้องติดตามให้ลูกค้าชำระให้ครบภายในงวดที่ ๕ ถ้าไม่ครบ จำเลยจะหักเงินรางวัลจากเงินรางวัลรวมที่ทำได้ในงวดที่ ๔ เป็นเงิน ๑,๘๐๐ บาท หากติดตามให้ลูกค้าชำระ ครบในงวดที่ ๕ จำเลยจะคืนเงิน ๑,๘๐๐ บาท พร้อมจ่ายเงินรางวัล ๖๐๐ บาท รวม ๒,๔๐๐ บาท ให้โจทก์ ทั้งสาม ส่วนเงินรางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้มีเงื่อนไขว่าจะจ่ายเมื่อลูกค้าชำระตรงกำหนด สี่งวดแรกเป็นเงิน ๕๐๐ บาท ต่อการขายแต่ละครั้ง และโจทก์ทั้งสามยังได้รับเงินรางวัลจากบริษัทประกันเพิ่ม อีกร้อยละ ๕ ของค่าเบี้ยประกันเมื่อลูกค้าชำระค่างวดในงวดแรกแล้ว และวินิจฉัยว่าเงินตามฟ้องถือว่าเป็นเงิน ส่วนหนึ่งที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานโดยคิดตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้สำหรับระยะเวลา ทำงานปกติของการทำงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ประการแรกของจำเลยว่า เงินรางวัลตามฟ้องเป็นค่าจ้างตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าเงินรางวัล จากการขายรถยนต์จำเลยตกลงจ่ายให้โจทก์ทั้งสามต่อเมื่อลูกค้าผ่อนค่างวดครบสี่งวดแรกตรงตามกำหนด หากชำระไม่ตรงตามกำหนด โจทก์ทั้งสามก็จะต้องติดตามให้ลูกค้าชำระให้ครบภายในงวดที่ ๕ มิฉะนั้นจำเลย จะหักเงินรางวัลจากเงินรางวัลรวมที่ทำได้ในงวดที่ ๔ แต่หากโจทก์ทั้งสามติดตามให้ลูกค้าชำระครบในงวดที่ ๕ แล้ว จำเลยจะคืนให้พร้อมเงินรางวัลที่หักไว้ ส่วนเงินรางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้จะจ่ายให้ เมื่อลูกค้าชำระตรงตามกำหนดสี่งวดแรกต่อการขายแต่ละครั้ง และเงินรางวัลจากบริษัทประกันเพิ่มอีกร้อยละ ๕ ของค่าเบี้ยประกันจะได้รับต่อเมื่อลูกค้าชำระค่างวดในงวดแรกแล้วเช่นนี้เห็นได้ว่าการจ่ายเงินรางวัลจากการ ขายรถยนต์และเงินรางวัลสำหรับการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้นั้น มุ่งหมายเพื่อเป็นการจูงใจให้พนักงาน ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการหาลูกค้าและตรวจสอบความสามารถในการผ่อนชำระเงินค่างวดของลูกค้า เพื่อป้องกันความเสียหายในด้านสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจของจำเลยอีกทั้งเป็นการกระตุ้นให้


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒๔ - พนักงานกระตือรือร้นหาลูกค้าและติดตามเร่งรัดการจ่ายเงินค่าเช่าซื้อให้ตรงตามกำหนด ดังนั้น พนักงานจะมี โอกาสได้รับเงินดังกล่าวมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับความขยันและประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคน ส่วนเงินรางวัลเพิ่มอีกร้อยละ ๕ ของค่าเบี้ยประกันก็เป็นเงินรางวัลที่โจทก์ทั้งสามได้รับจากบริษัทประกัน มิใช่ ได้รับจากจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง ดังนั้น เงินรางวัลตามฟ้องดังกล่าวจึงไม่ใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเพื่อเป็น ค่าตอบแทนในการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติหรือจ่ายให้โดยคำนวณตาม ผลงานที่ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานอันจะถือเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๕ อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการต่อมาว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับเงินตาม ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การจ่ายเงินตามฟ้องทั้งสามกรณีนั้น จำเลยกำหนดเงื่อนไขไว้โดยการขายรถยนต์จะจ่ายให้ ต่อเมื่อลูกค้าผ่อนค่างวดครบสี่งวดแรกตรงตามกำหนด มิฉะนั้นโจทก์ทั้งสามจะต้องติดตามให้ลูกค้าชำระให้ ครบภายในงวดที่ ๕ แต่ถ้าไม่ครบก็จะไม่ได้รับเงินรางวัล ส่วนการขายประกันคุ้มครองภาระหนี้จะจ่ายให้ ต่อเมื่อลูกค้าชำระตรงกำหนดสี่งวดแรก และเงินรางวัลจากบริษัทประกันจำเลยจะจ่ายให้ต่อเมื่อลูกค้าชำระค่า งวดในงวดแรกแล้ว การที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขเช่นนี้ได้โจทก์ทั้งสามจะต้องมีสภาพเป็นพนักงานจนกว่าจะได้ ปฏิบัติงานครบกำหนดงวดตามเงื่อนไขดังกล่าวเสียก่อนจึงจะมีสิทธิได้รับเงินรางวัล ทั้งจำเลยจะจ่ายเงินรางวัล ให้กับพนักงานที่ยังคงมีสถานภาพเป็นพนักงานในวันที่จ่ายเท่านั้น เมื่อโจทก์ทั้งสามลาออกจากการเป็นลูกจ้าง เป็นการพ้นสถานภาพการเป็นพนักงานไปก่อนในวันที่จ่าย โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลตามฟ้อง ที่ ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินรางวัลและคืนเงินที่มีการหักไว้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดี เปลี่ยนแปลง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม


นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒๕ - ๔๓. เงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัด และค่าที่พัก ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๗๕๘/๒๕๕๘ เรื่อง เงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัดและค่าที่พัก ไม่เป็นค่าจ้าง จึงไม่นำมาเป็นฐาน คำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การจ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัดและการจ่ายเงินค่าที่พักของจำเลย ตามข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงานของจำเลย กำหนดวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่พนักงานที่จำเป็นต้องย้ายที่อยู่ อาศัยอันเนื่องมาจากการย้ายพนักงานจากสถานที่ทำงานหนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งเป็นการประจำโดยมี เจตนารมณ์ที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการถูกโยกย้ายจากภูมิลำเนาเดิม การชดเชยการจ่ายเงิน ช่วยเหลือหรือค่าใช้จ่ายในการหาที่อยู่อาศัยภายใต้นโยบายนี้ปกติแล้วจะลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานที่ พนักงานถูกโอนไป สำหรับค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ กลุ่มแรกเป็นเงินประเภทที่ให้คราวเดียวเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการเดินทางโยกย้าย ได้แก่ ค่าพาหนะ ค่าขนย้าย เงินช่วยเหลือในการโยกย้าย ค่าบรรจุต่างจังหวัด ค่าทำงานต่างจังหวัด เงินช่วยเหลือค่าที่พัก เงินช่วยเหลือในการโยกย้ายกลับภูมิลำเนาจากการทำงาน ต่างประเทศ จึงเห็นว่า ลักษณะและวิธีการจ่ายเงินดังกล่าวกับวัตถุประสงค์มีความชัดเจนว่ามิได้จ่ายเพื่อตอบ แทนการทำงานตามปกติอันอยู่ในความหมายของค่าจ้าง แต่เป็นการช่วยเหลือเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเนื่องจาก ภาระโยกย้ายสถานที่ทำงานอันจัดเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง ส่วนเงินช่วยเหลืออีกกลุ่มหนึ่งที่จ่ายเป็นประจำทุก เดือนตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่างจังหวัด คือ ค่าที่พักและค่าทำงานต่างจังหวัด เห็นว่า แม้เงิน ดังกล่าวจะจ่ายเป็นจำนวนแน่นอนเป็นประจำทุกเดือนและโดยไม่มีเงื่อนไข แต่จะเป็นค่าจ้างหรือไม่นั้นต้องดู วัตถุประสงค์ในการจ่ายเป็นสำคัญ ซึ่งเห็นว่าเงินดังกล่าวจ่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ พนักงานที่จำเป็นต้องย้ายอยู่อาศัยอันเนื่องมาจากการย้ายพนักงานจากสถานที่ทำงานหนึ่งไปยังสถานที่หนึ่ง เป็นประจำ เป็นเรื่องการจัดสวัสดิการโดยแท้เพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายสำหรับลูกจ้างที่ต้องไป ทำงานที่อื่นอันมิใช่ภูมิลำเนาหรือที่ลูกจ้างมีที่พักอาศัยตามปกติ มิใช่เป็นเงินค่าจ้างที่จ่ายตอบแทนการทำงาน ในเวลาปกติ ไม่อาจนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า


CHERDSAK KAMPANTHONG เชิดศักดิ ก าปั์ ่นทอง ผู้อ านวยการกลุ่มงานทีปรึกษากฎหมาย่ นิติกรรมและสัญญา A B O U T Contact Information กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 (096) 865 6547 [email protected] “ความรู้” ท าให้ชีวิตเปลี่ยน P U B L I C A T I O N / ผลงานวิชาการ สรุปค าพิพากษาศาลฎีกาคดีแรงงาน รายปี รวมค าพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้าง รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับพนักงานตรวจแรงงาน ปี 2560 – 2564 รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับพนักงานตรวจแรงงาน ปี 2555 - 2559 รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับความเป็นนายจ้างลูกจ้าง ปี 2555 - 2564 รวมเล่มค าพิพากษาเกี่ยวกับเลิกจ้าง ลาออก ปี 2555 - 2564 รวมเล่มค าพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับกฎหมายประกันสังคมและ กฎหมายเงินทดแทน W O R K E X P E R I E N C E / ประสบการณ์การท างาน วิทยากรบรรยาย ความรู้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน วินัยในการท างาน ข้อบังคับการท างาน สัญญาจ้าง ค่าจ้าง ค่าตอบแทน วันหยุด/วันลา E D U C A T I O N / การศึกษา นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามค าแหง


กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดย เชิดศักดิ กําปั นทอง นิติกรชํานาญการพิเศษ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 096 865 6547 [email protected] เชิดศักดิ กําปั นทอง นิติกรชํานาญการพิเศษ กองนิติการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ถนนมิตรไมตรี แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 096 865 6547 [email protected]


Click to View FlipBook Version