1
ปริวรรตเอกสารโบราณ
วรรณกรรมจากสมุดขอ่ ย เรอ่ื ง นางกาพร้า หรอื ปลาบู่ทอง
ฉบบั สาขาวิชาภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบรุ ี
นางสาวเสาวภา ภูมภิ าค ๕๖๔๑๐๑๖๓๘
นางสาวอนุทัย คงจลุ ๕๖๔๑๐๑๖๓๙
นายวัทนพร บญุ เดช ๕๖๔๑๐๑๖๔๗
นายสทุ ธิพงษ์ มลู อาษา ๕๖๔๑๐๑๕๔๘
นางสาวอสั มาอ์ คงจุน ๕๖๔๑๐๑๖๕๘
นักศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย รหัสชั้นเรยี น ๕๖๔๑-๐๑/๖
เสนอ
อาจารยแ์ สนประเสริฐ ปานเนยี ม
เอกสารฉบับนเ้ี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของวชิ าวรรณกรรมท้องถ่นิ เพชรบุรี (๑๕๔๔๓๐๖)
สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั เพชรบุรี
ก
คานา
สมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทองท่ีท่านกาลังอ่านอยู่นี้เป็นวรรณกรรมไทยท่ีแต่งข้ึนในสมัยโบราณ
แต่ไมส่ ามารถระบุได้ว่าเกิดขนึ้ ในสมัยใด จัดเป็นวรรณกรรมทลี่ า้ คา่ ทม่ี เี นอ้ื หาในเชงิ ให้ความสนุกสนาน
ความเพลิดเพลนิ กบั ผู้อา่ น รวมทง้ั แฝงไปด้วยแง่คดิ ทใี่ หผ้ ้อู ่านสามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ ปลา
บู่ทองเป็นวรรณกรรมอีกเรื่องหนึ่งท่ีมีอนุภาคคล้ายกับวรรณคดีเรื่องอื่นๆ เช่น รามเกียรต์ิ สังข์ทอง
เช่น การชุบบุตร การสร้างสรรค์งานฝีมือเพื่อเล่าเรื่องในอดีต ผสมผสานกับคติชาวบ้านท่ีเกิดขึ้นใน
สมัยน้ันจนทาให้วรรณกรรมเรื่องปลาบู่ทองได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย ในจังหวัดเพชรบุรีก็
เหมือนกัน วรรณกรรมเร่ืองปลาบู่ทองยังคงแพร่หลายต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สังเกตได้จากพบ
วรรณกรรมเรอื่ งปลาบูท่ องตามสมดุ ขอ่ ย ใบลาน ตามสถานท่ีตา่ งๆ หรือผู้คนแกๆ่ ท่ีอาศัยอยู่ในจังหวัด
เพชรบุรี ก็ยังรู้จักวรรณกรรมเรื่องปลาบู่ทองอยู่เหมือนกัน ปัจจุบันปลาบู่ทองได้รับความนิยมเป็น
อยา่ งมาก ได้นามาสร้างเปน็ ภาพยนตร์ การต์ นู หนงั สือ และอนื่ ๆ อกี มากมาย
คณะผู้จัดทาได้เข้ามาเรียนในสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ ในระหว่างศึกษาอยู่ช้ันปีท่ี ๔ ซ่ึงเป็นช้ันปี
สุดท้ายกอ่ นทจ่ี ะออกฝกึ ประสบการณ์สอน ซึ่งทางหลักสูตรของสาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราช
ภฏั เพชรบุรี ได้จัดให้ผู้เรียนเรียนในรายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่นเพชรบุรี ซึ่งนักศึกษาต้องปริวรรตสมุด
ข่อย หรือใบลานที่เกิดข้ึนในสมัยต่างๆ ซึ่งเป็นส่ิงที่หาได้ยาก ผู้จัดทาจึงได้ปริวรรตวรรณกรรมเร่ือง
ปลาบู่ทองเพื่อศึกษาเนื้อหาในใบลาน อักขระที่ผู้แต่งใช้เขียน คาโบราณ และคุณค่าด้านต่างๆ ที่
ปรากฏในเรื่อง ทาให้ผ้จู ดั ทาได้รบั ความรูเ้ ปน็ อยา่ งมาก
ผู้จัดทาได้แต่ขอออกตัวว่าการปริวรรตวรรณกรรมเรื่องปลาบู่ทองน้ีอาจยังไม่สมบูรณ์นัก
ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดยกโทษแม้นมีข้อผิดพลาดให้ได้ขุ่นข้องใจ หากท่านพอใจกับเน้ือหาที่ปริวรรต
วรรณกรรมเรอ่ื งปลาบูท่ อง ก็ขอได้ยกความดีให้กับผู้สร้างสรรค์วรรณกรรมซึ่งท่านมิได้ออกนามเอาไว้
ในต้นฉบับ คณะผู้จัดทาขอขอบพระคุณอาจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม ที่ให้คาปรึกษาในการลง
พื้นที่สารวจข้อมูล ตลอดจนให้คาปรึกษาในการปริวรรตวรรณกรรมจนทาให้การปริวรรตสาเร็จลุล่วง
ไปดว้ ยดี
คณะผู้จดั ทา
สารบัญ ข
เร่อื ง หน้า
คานา. .ก
สารบัญ. .ข
บทนา. .๑
ลักษณะคาประพนั ธ์. .๑
เนือ้ เรอ่ื งยอ่ . .๔
.๕
คุณค่าของวรรณกรรม. .๕
คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์. .๕
การสรรคา. .๕
การใชค้ าซ้อน. .๘
การใชค้ าซ้า. .๙
การใช้คาหลาก . .๑๐
การใชค้ าไวพจน์. .๑๔
การใช้คาแผลง . .๑๖
การใชค้ าศพั ทภ์ าษาต่างประเทศ. .๑๙
โบราณิกศัพท.์ .๒๓
การเล่นเสยี งและคา. ๒๓
การเลน่ เสยี ง. .๓๑
การเลน่ คา. .๓๓
การใช้ภาพพจน์. .๓๓
อุปมา. .๓๔
อุปลักษณ.์ .๓๖
ปรพากย์. .๓๖
อติพจน์. .๓๘
สัญลกั ษณ์. .๓๙
บุคลาธษิ ฐาน . .๔๐
สัทพจน์. .๔๑
การใช้โวหาร. .๔๑
การใชบ้ รรยายโวหาร. .๔๒
การใชพ้ รรณนาโวหาร. .๔๔
การใชเ้ ทศนาโวหาร. .๔๔
การใชส้ าธกโวหาร.
สารบัญ (ตอ่ ) ค
เรื่อง หน้า
คุณค่าดา้ นสงั คม. .๔๖
สะทอ้ นความเชอื่ ในสงั คม. .๔๖
สะทอ้ นความเช่ือเร่ืองกรรม. .๔๖
สะทอ้ นความเชอื่ เร่ืองบาปบุญ. .๔๗
สะท้อนความเช่อื เรื่องไสยศาสตร์. .๔๘
สะทอ้ นความเชื่อเร่ืองชาตภิ พ. .๔๙
สะทอ้ นความเชื่อเร่ืองการระลกึ ชาตไิ ด้. .๕๐
สะท้อนความเชื่อเรื่องการอธิษฐาน. .๕๑
สะทอ้ นความเชอ่ื เรื่องการเคารพสงิ่ ศักดิ์สิทธ์ิ. .๕๒
สะท้อนวิถชี วี ิตความเป็นอย่ใู นสังคม. .๕๒
สะทอ้ นวิถีชวี ิตความเปน็ อยู่ของสามัญชน. .๕๓
สะท้อนวถิ ชี ีวติ ความเปน็ อยู่ของชนช้นั สงู . .๕๖
เครื่องบนั ทกึ ชื่อสัตว์และพรรณไม้. .๖๐
ชื่อสัตว์. .๖๐
ชอ่ื พรรณไม้. .๖๒
.๖๘
ปลาบูท่ อง.
.๑๔๓
บรรณานกุ รม. .๑๔๔
ภาคผนวก.
๑
บทนำ
สมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทองเป็นวรรณกรรมไทยที่แต่งข้ึนในสมัยโบราณ ไม่สามารถระบุได้ว่า
เกดิ ขน้ึ ในสมยั ใด แต่สันนิษฐานได้วา่ นา่ จะเกิดข้ึนในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เน่ืองจากคาศัพท์บางคา
เปน็ คาสมยั เก่าท่ีเกิดขน้ึ ในสมยั นนั้ มีเนอ้ื หามุง่ เนน้ ให้ความสนุกสนานในเน้ือเรื่อง แต่แฝงไปด้วยแง่คิด
ต่างๆ ท่ีผู้เขียนแอบแฝงอยู่ ทั้งในด้านการส่ังสอน การดาเนินชีวิต คติธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม
และอนื่ ๆ อกี มากมาย ทผ่ี ้อู ่านสามารถนาไปปรับใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้ และนอกจากนี้ผู้อ่านยังได้เห็น
สภาพสังคมท่ีเกิดขึ้นในสมัยน้ัน นับเป็นวรรณกรรมท่ีมีคุณค่าอย่างย่ิง สมุดข่อย เรื่องปลาบู่ทองแต่ง
ดว้ ยคาประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ แสดงถึงปฏิภาณ
ไหวพริบของผู้แต่งเป็นอย่างมาก ใช้ภาษาเรียบง่ายในการแต่ง แต่ในบางช่วงมีการใช้ถ้อยคาไพเราะ
สละสลวย แต่ยงั มบี างคาท่ีเป็นศัพท์โบราณิกศัพท์ท่ีผู้อ่านยังไม่เข้าใจ จึงจาเป็นต้องอาศัยพจนานุกรม
ในการให้ความหมาย
ต้นฉบับของวรรณกรรมเล่มน้ีเป็นสมุดข่อย เขียนด้วยตัวอักษรหมึกสีดาเป็นคาประพันธ์
ประเภทต่างๆ ที่ระบุไว้ข้างต้น การเร่ิมต้นบทใหม่จะมีเคร่ืองหมายฟองมันเป็นตัวกาหนด ในหนึ่ง
หน้ากระดาษจะเขียนท้ังหมด ๗ บรรทัด รูปแบบการเขียนมีลักษณะเขียนจากด้านซ้ายไปด้านขวาทุก
หน้า มีจานวนหน้าทั้งสิ้น ๙๘ หน้า สมุดข่อยเล่มน้ีเดิมเป็นสมบัติของเจ้าของบ้าน บ้านเลขที่ ๑๓๐/
๒๐ ต.บ้านหม้อ อ.เมือง จ.เพชรบุรี (ไม่ทราบชื่อเจ้าของบ้าน) ต่อมาเจ้าของบ้านคนดังกล่าวได้ย้าย
ออกไปจึงนาสมุดข่อยเล่มน้ีท้ิงไว้ท่ีหน้าบ้าน นายประยูร ศรีพุ่ม ซึ่งเป็นเพ่ือนบ้านบ้านข้างๆ ได้เก็บไว้
ได้และนามามอบให้กับอาจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม ในเวลาต่อมา ซ่ึงปัจจุบันสมุดข่อยเล่มน้ีเป็น
สมบัติส่วนตัวของอาจารย์แสนประเสริฐ ปานเนียม ผู้อานวยการสถาบันวิจัยและส่งเสริม
ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี เม่ือพิจารณาจากลักษณะของตัวอักษร ลักษณะการ
เขียน และการสะกดคาแล้ว สันนิษฐานว่าวรรณกรรมฉบับน้ีเป็นฉบับคัดลอกมาอีกทีหน่ึง โดยสังเกต
จากถ้อยคา การเว้นวรรคตอน การจดั บทท่เี ปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย แต่ยงั มคี าประพันธ์บางบทที่มีสัมผัส
ไมต่ รงกับฉันทลักษณ์ แต่ก็ยงั คงมคี วามไพเราะในดา้ นสมั ผัสในบทนน้ั ๆ
เนื้อหาที่ปรากฏนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้แต่งวรรณกรรม เรื่อง ปลาบู่ทองต้องการสั่งสอน
ประชาชนให้รู้จักตัวเอง ไม่โลภมาก ไม่ให้มีความอิจฉาริษยากับผู้ท่ีได้ดีกว่าตน และทากรรมอะไรไว้
ตอ้ งได้รบั ผลกรรมนัน้ ตามสนอง โดยนาเสนอเน้ือเรื่องผ่านบทร้อยกรองที่เรียงร้อยกันผูกเป็นเรื่องราว
ที่ใหค้ วามสนกุ สนาน ใหผ้ ู้อา่ นได้เห็นจินตภาพเปรยี บเสมือนไดเ้ ปน็ ตัวละครในเรอื่ งนนั้ จรงิ ๆ
ลกั ษณะคำประพนั ธ์
ปลาบู่ทองเป็นวรรณกรรมประเภทกลอนสวน ซ่ึงประกอบด้วยกาพย์ ๓ ประเภท คือ กาพย์
ยานี ๑๑ กาพยฉ์ บงั ๑๖ และกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ มรี ายละเอียดดงั น้ี
๑. กำพยย์ ำนี ๑๑
กาหนดฉันทลักษณ์ ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคหน้า ๕ พยางค์ วรรคหลัง ๖ พยางค์ มีสัมผัส
บงั คบั คาสดุ ท้ายของวรรคท่ี ๑ สัมผัสกับคาที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ คาสุดท้ายของวรรคท่ี ๒ สัมผัสกับคา
๒
สุดท้ายของวรรคท่ี ๓ และคาสดุ ทา้ ยของวรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสระหว่างบทไปยังคาสุดท้ายของวรรคที่ ๒
ของบทถัดไป กาพย์ยานี ได้ช่ือว่ายานี ๑๑ เพราะ จานวนพยางค์ใน ๒ วรรค หรือ ๑ บรรทัดรวมได้
๑๑ พยางค์ บาทแรกเรียกว่าบาทเอก บาทหลังเรียกว่าบาทโท มะเนาะ ยูเด็น และวันเนาว์ ยูเด็น
(๒๕๔๘: ๖๖) สงั เกตจากแผนผงั และตัวอย่าง
๏ ครน้ั เช้าเจา้ ปล่อยววั ทองท้ังตัวคลา่ วน้าตา
โอ้โอพ๋ ระมารดา อดเหยอื่ ท่าลูกกลอยใจ
นางกาพร้าตอ้ นววั ไป
๏ นางปล่อยววั ออกมา คดิ ถงึ ไทใจรอนรอน
เดนิ พลางนางรอ้ งไห้
(ปลาบ่ทู อง)
๒. กำพยฉ์ บงั ๑๖
กาหนดฉันทลักษณ์ ๑ บท มี ๓ วรรค วรรคที่ ๑ มี ๖ พยางค์ วรรคที่ ๒ มี ๔ พยางค์ และ
วรรคท่ี ๓ มี ๖ พยางค์ รวม ๑ บท มี ๑๖ พยางค์ มีสมั ผัสบังคับ คาสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคา
สดุ ทา้ ยของวรรคท่ี ๒ และคาสุดท้ายของวรรคที่ ๓ ส่งสัมผัสระหว่างบทไปยังคาสุดท้ายของวรรคที่ ๑
ของบทถัดไป กาพย์ฉบัง ได้ช่ือว่าฉบัง ๑๖ เพราะ จานวนพยางค์ใน ๑ บทรวมได้ ๑๖ พยางค์
มะเนาะ ยูเด็น และวนั เนาว์ ยูเด็น (๒๕๔๘: ๗๒) สังเกตจากแผนผังและตัวอยา่ ง
๏ ข้าตั้งสัจจาธษิ ฐาน บดั ใจไมน่ าน
บนั ดาลเป็นมะเขอื ทันใจ
๓
๏ ข้าชมเชา้ คา่ ราไร เหมือนหน่ึงข้าได้
เหน็ ไทผู้เป็นชลนี
(ปลาบู่ทอง)
๓. กำพยส์ รุ ำงคนำงค์ ๒๘
กาหนดฉนั ทลักษณ์ ๑ บท มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ พยางค์ รวม ๑ บท มี ๒๘ พยางค์ มีสัมผัส
บงั คับ คาสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคาสุดท้ายของวรรคที่ ๒ คาสุดท้ายของวรรคท่ี ๓ สัมผัสกับ
คาสุดท้ายของวรรคที่ ๕ คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๔ สัมผสั กับคาที่ ๒ ของวรรคท่ี ๕ คาสุดท้ายของวรรค
ท่ี ๕ สัมผัสกับคาสุดท้ายของวรรคท่ี ๖ และคาสุดท้ายของวรรคที่ ๗ ส่งสัมผัสระหว่างบทไปยังคา
สุดท้ายของวรรคที่ ๓ หรือ ๕ ของบทถัดไป กาพย์สุรางคนางค์ ได้ช่ือว่าสุรางคนางค์ ๒๘ เพราะ
จานวนพยางค์ใน ๑ บท มี ๒๘ พยางค์ มะเนาะ ยูเด็น และวันเนาว์ ยูเด็น (๒๕๔๘: ๗๖) สังเกตจาก
แผนผังและตัวอยา่ ง
บัดใจไม่ช้า ๏ คิดแล้วเดินมา
ส่วนยายกาลิสาด ถึงเคหาใน
ร้องทกั แตไ่ กล ผาดเห็นนางไท
เจ้าไปไหนมา
ตัวข้านีไ่ ซร้ ๏ นางจงึ บอกไป
ข้ามคี วามทกุ ข์ ตง้ั ใจมาหา
ยายเจา้ หลานอา จงึ บกุ ซกุ มา
ด้วยข้าขัดใจ
(ปลาบทู่ อง)
๔
เน้ือเร่ืองยอ่
เนื้อเร่ืองส่วนต้นของวรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง ฉบับท่ีได้ศึกษานี้ได้ขาด
หายไป ผู้ศึกษาจึงไมส่ ามารถทราบเนื้อหาดังกลา่ วได้ แต่เนื่องจากเน้ือหาส่วนที่ปรากฏได้เล่าย้อนกลับ
ไปถงึ เรอ่ื งในอดีตบางสว่ น ผูศ้ ึกษาจึงสามารถสันนิฐานได้ ดงั จะอธิบายตอ่ ไปน้ี
เศรษฐีช่ือทารกมีภรรยาสองคน คือ นางกนิษฐาและนางกนิษฐี นางกนิษฐามีลูกสาวหนึ่งคน
ชื่อนางเอ้ือย นางกนิษฐีมีลูกสาวสองคนช่ือนางอ้ายและนางอี่ วันหน่ึงนางกนิษฐาแม่ของนางเอ้ือยถูก
ทารกเศรษฐีทาร้ายตกน้าตายไปเกิดเป็นปลาบู่ทอง ซ่ึงตามขนบนิทานท่ัวไปที่สรรพสัตว์ส่ือสารพูดจา
กันได้ นางเอ้ือยกบั ปลาบทู่ องกร็ ู้ว่าเป็นแม่ลูกกนั จนเร่อื งนีล้ ว่ งรไู้ ปถึงแม่เลี้ยงกับน้องสาวต่างมารดาใจ
ร้ายจับปลาบทู่ องมาฆา่ แกง
นางเอ้อื ยไดร้ ู้ความจากเป็ดจึงเอาเกล็ดปลาไปอธิษฐานปลูกกลายเป็นมะเขือเปราะ ต่อมาแม่
เล้ียงใจรา้ ยกก็ ลั่นแกล้งไปโค่นต้นนามะเขือมาแกงกินอีก เป็ดใจดีอมเม็ดมะเขือให้นางเอ้ือยนาไปปลูก
คราวนกี้ ลายเป็นต้นโพธเิ์ งนิ โพธ์ทิ อง
พระเจ้าพรหมทัต (ช่ือท่ัวไปของกษัตริย์โบราณในนิทานไทย ซ่ึงครองเมืองพาราณสี) มาพบ
โพธิ์เงินโพธิ์ทองก็ทรงโปรด พร้อมพานางเอื้อยไปเป็นพระมเหสี นางกนิษฐีแม่เล้ียงใจมารก็ยังไม่หยุด
ความคิดอนั ช่ัวรา้ ย ทากลอุบายหลอกนางเอ้ือยไปฆ่า นางเอื้อยไปเกิดเป็นนกแขกเต้า เข้ามาอยู่กับต้น
โพธิ์ นางอา้ ยปลอมเปน็ เอ้ือย เข้ามาเปน็ มเหสีแทน รู้เข้ากจ็ ับนกแขกเตา้ จะเอามาฆ่าแกงอีก
นกแขกเต้าไม่ถึงคราวเคราะห์ด้ินหนีตกไปอยู่ในรูหนูจนรอดชีวิตบินมาพบฤๅษีชุบตัวคืนเป็น
นางเอ้ือยคนเดิม แล้วชุบเด็กชายข้ึนมาเป็นลูกช่ือพระลบกุมาร เมื่อเด็กน้อยนาพ่อแม่ คือ พระเจ้า
พรหมทัตกับนางเอื้อยมาพบกันได้ พระฤๅษีก็ลบเด็กชายออกจากกระดาน เหลือเพียงภาพไว้ และใน
ท่ีสดุ นางเอ้อื ยกไ็ ดก้ ลับไปมีความสุขกับพระเจ้าพรหมทัตในพระราชวัง ส่วนนางอ้ายก็สิ้นชีวิตด้วยการ
กนิ ยาตาย นางกนิษฐีต้องชดใช้กรรมดว้ ยการกินเนื้อลูกตนเองโดยทไ่ี มร่ ูต้ วั
เรื่องราวในส่วนปลายท่ีเหลือขาดหายไป แต่ทั้งน้ีก็สามารถสันนิฐานได้ว่าในท้ายท่ีสุดคนดีก็
พบกับความสขุ ทีถ่ าวร ส่วนคนชว่ั กไ็ ดร้ บั กรรมทต่ี นก่อไว้อยา่ งแสนสาหสั
๕
คุณค่าของวรรณกรรม
วรรณกรรมจากสมุดขอ่ ย เร่ือง ปลาบทู่ อง เพียบพร้อมด้วยคุณค่าของวรรณคดีที่มีวรรณศิลป์
แสดงให้เหน็ ถึงความสามารถในด้านกวีนพิ นธข์ องผู้แต่ง โดยผา่ นรูปแบบของการใช้ภาษา และสะท้อน
คติ ความเชื่อ สังคม ท่ีเกดิ ขนึ้ ยุคสมัยนน้ั นับเป็นมรดกอันทรงคุณคา่ ทค่ี วรค่าแก่การศึกษา
คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์
วรรณกรรมจากสมดุ ขอ่ ย เรือ่ ง ปลาบู่ทอง เพียบพร้อมด้วยคุณค่าของวรรณคดีที่มีวรรณศิลป์
โดยผ่านรูปแบบของการใช้ภาษา คือการสรรคา การเล่นเสียงและคา การใช้ภาพพจน์ และการใช้
โวหาร ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี
๑. การสรรคา
การสรรคา คือ กลุ่มคาที่กวีได้เลือกสรรไว้เป็นพิเศษหรือดัดแปลงเพ่ือใช้ในคาประพันธ์
โดยเฉพาะ จึงเป็นคาท่ีมีความหมายลึกซึ้งสะเทือนอารมณ์ สง่าด้วยรูปและเสียงเป็นพิเศษ กวีจึงต้อง
เลือกนาคาที่มีความหมายเหมือนๆ กันมาใช้ให้เหมาะกับฉันทลักษณ์และเนื้อความท่ีปรากฏในเรื่อง
(วราภรณ์ บารุงกลุ , ๒๕๔๒: ๓๔๔) ดงั นี้
๑.๑ การใช้คาซอ้ น
ผู้แต่งใช้คาซ้อนในการแต่งคาประพันธ์ โดยนาความหมายใกล้เคียงกันมาซ้อนกัน เพื่อให้บท
ประพันธ์มคี วามไพเราะงดงาม เพราะคาทีน่ ามาซ้อนกันน้ันจะช่วยให้มีความหมายชัดเจนมากขึ้น เม่ือ
ผู้อา่ นไดอ้ ่านบทประพนั ธแ์ ลว้ ย่อมทาใหเ้ กิดอารมณ์ความรสู้ ึกได้ดีกว่าการใช้คาโดดๆ เพียงคาเดียว
๑.๑.๑ ซ้อนเพื่อความหมาย คือ การนาคาท่ีมีความหมายเหมือนกันหรือมี
ความหมายไปในทางเดียวกันมาซ้อนกัน เพ่ือเน้นย้าความหมายให้หนักแน่นและชัดเจนย่ิงขึ้น (วัลยา
ชา้ งขวัญยนื และคณะ, ๒๕๕๕: ๓๒) ดงั ตัวอย่าง
๏ ข้าไหวโ้ คถ้วนหน้า อย่าเข้าป่าพงดงดอน
เย็นลงพีจ่ งจร มาหาน้องด้วยเถิดรา
(ปลาบู่ทอง)
คาวา่ “ป่า” หมายความว่า ที่ท่ีมีต้นไม้ต่างๆ ข้ึนมา คาว่า “พง” หมายความว่า ดงหญ้าหรือ
ดงไม้ท่ีเป็นหมู่ๆ หรือที่รกๆ คาว่า “ดง” หมายความว่า ป่าลึกที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น คาว่า “ป่า
พงดง” หมายความวา่ ทีท่ ่มี ตี ้นไมข้ ึ้นหนาแนน่
๖
๏ อีมารมนั โกรธกริว้ หกั คอพลวิ้ หว้ิ ขึน้ ไป
ถงึ เรอื นมนั ทนั ใจ แม่มันไซร้เร่งยนิ ดี
(ปลาบู่ทอง)
คาว่า “โกรธ” หมายความว่า ขุ่นเคืองใจอย่างแรง ไม่พอใจอย่างรุนแรง คาว่า “กร้ิว”
หมายความว่า โกรธ เคือง คาวา่ “โกรธกริ้ว” หมายความวา่ ขนุ่ เคอื ง ไมพ่ อใจ
กราบไหว้วันทา ๏ นางเหน็ แกต่ า
ชนื่ ชมหรรษา มารดานางไท
ทนี ีล้ ูกได้ กาพรา้ คลายใจ
เหน็ พระมารดา
(ปลาบู่ทอง)
คาวา่ “กราบ” หมายความว่า แสดงความเคารพด้วยวิธีนั่งประนมมือขึ้นเสมอหน้าผาก แล้ว
น้อมศรี ษะลงจดพื้น คาว่า “ไหว้” หมายความว่า ทาความเคารพโดยยกมือขึ้นประนม คาว่า “วันทา”
หมายความว่า ไหว้ แสดงอาการเคารพ คาว่า “กราบไหว้วันทา” หมายความว่า แสดงความเคารพ
อยา่ งสูง
๏ นางเอาเม็ดมะเขอื ทนู ไว้เหนือเกล้าเกศี
ถา้ วา่ พระชลนี ของขา้ นี้แม้นแทใ้ จ
(ปลาบูท่ อง)
คาว่า “เกล้า” หมายความว่า หัว คาว่า “เกศี” หมายความว่า หัว คาว่า เกล้าเกศี
หมายความว่า หัว
๏ เขาจักฆา่ ฟันบนั่ รอน ตวั กเู ปน็ ทอ่ น
ม้วยมรณ์ไมร่ อดชีวี
(ปลาบู่ทอง)
คาว่า “ม้วย” หมายความว่า ตาย, ส้ินสุด, วอดวาย คาว่า “มรณ์” หมายความว่า ความตาย
การตาย คาวา่ “มว้ ยมรณ์” หมายความว่า ความตาย
๑.๑.๒ ซ้อนเพื่อเสียง คือ การนาคาที่มีเสียงใกล้เคียงกัน และมีความหมายสัมพันธ์
กันมาซ้อนกนั เพอื่ ใหจ้ ังหวะลลี าการเคลื่อนไหวทเ่ี กิดจากการซ้ากันอย่างเป็นระเบียบของคา ทาให้เกิด
ความไพเราะ (วัลยา ช้างขวญั ยนื และคณะ, ๒๕๕๕: ๓๕) ดงั ตัวอย่าง
๗
อกรอ้ นผะผา่ ว ๏ แตแ่ มร่ ขู้ า่ ว
เจา้ เรง่ ออกไป ยิ่งกวา่ ไฟรม
ทาใหช้ ดิ ชม ทรามวยั เอวกลม
อยา่ ใหม้ ันเหน็
(ปลาบู่ทอง)
คาว่า “ผะ” หมายความว่า เป็นคาท่ีใช้นาหน้าคาที่ตั้งต้นด้วยตัว ผ มีความหมายแปลอย่าง
เดียวกับคาเดิมน้ัน คาว่า “ผ่าว” หมายความว่า อาการรู้สึกร้อนแรง คาว่า “ผะผ่าว” หมายความว่า
อาการทร่ี ู้สึกร้อนแรง
โผผาผวารอ่ น ๏ บา้ งอยูค่ นู่ อน
จกิ ไซไ้ ล่กนั วา้ วอ่ นเฉีย่ วฉวิ
ทาบท่าหากนิ พลั วนั หันบิน
บนิ เข้าโพธิ์รงรัง
(ปลาบทู่ อง)
คาว่า “โผ” หมายความว่า อ้าแขนโถมตัวเข้าหา คาว่า “ผา” เม่ืออยู่เพียงคาเดียวมี
ความหมายไม่เก่ยี วข้องกบั คาวา่ โผ คาวา่ “โผผา” หมายความว่า อาการทีโ่ ถมตัวเขา้ หา
โฉมตรูคูเ่ คล้า ๏ เชิญแมเ่ ชิญเจ้า
เจา้ อย่าเงอะงก เชญิ เจา้ คลาไคล
จักไดล้ าภใหญ่ กระหนกตกใจ
ถงึ ใจฉายา
(ปลาบูท่ อง)
คาว่า “เงอะ” หมายความว่า แสดงกิริยาอาการเคอะเขินไม่แนบเนียนเพราะหย่อนความ
ชานาญ คาว่า “งก” เม่ืออยู่เพียงคาเดียวมีความหมายไม่เก่ียวข้องกับคาว่าเงอะ คาว่า “เงอะงก”
หมายความวา่ อาการที่เคอะเขนิ
๏ มิไดห้ วาดไหวโดยจง ท้าวคิดพศิ วง
งวยงงในพระหฤทัย
(ปลาบู่ทอง)
คาว่า “งวย” เม่ืออยู่คาเดียวไม่ปรากฏความหมาย คาว่า “งง” หมายความว่า ฉงน คาว่า
“งวยงง” หมายความวา่ ฉงน สงสัย
๘
แสนสาวชาวแม่ ๏ ค้อมเค้าเฒา่ แก่
ค้นควา้ หาดู เซง็ แซว่ ุ่นวาย
วา่ เหน็ เป็นตาย ไมร่ ูแ้ ยบคาย
สญู หายเปน็ ไฉน
(ปลาบทู่ อง)
คาว่า “เซ็ง” เม่ืออยู่เพียงคาเดียวมีความหมายไม่เกี่ยวข้องกับคาว่าแซ่ คาว่า “แซ่”
หมายความว่า มเี สียงออ้ื อึงจนฟังไมไ่ ดศ้ ัพท์ คาวา่ “เซง็ แซ”่ หมายความวา่ ดงั อือ้ อึงแซไ่ ปหมด
๑.๒ การใช้คาซ้า
การใช้คาซ้า คือ การซ้าคาท่ีมีตัวสะกดและความหมายเหมือนกันทุกประการ การซ้าคาคา
เดยี วกันเป็นการยา้ ความเพอื่ ใหเ้ ห็นภาพตอ่ เนอ่ื งหรือทาให้ความหมายมีน้าหนัก (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์,
๒๕๓๖: ๑๒๐) ดังตวั อย่าง
๏ สว่ นวา่ นางกาพรา้ ฟงั มันดา่ ก้มหน้าอยู่
หายใจอยู่ฟฟู่ ู่ เงยข้นึ ดูรบั วาจา
(ปลาบู่ทอง)
๏ นางปลอ่ ยววั ออกมา นางกาพรา้ ต้อนววั ไป
เดนิ พลางนางร้องไห้ คิดถงึ ไทใจรอนรอน
(ปลาบทู่ อง)
๏ โคกนิ แต่ใกลใ้ กล้ ไม่ไปไกลนางโฉมตรู
นางว่าโคเอ็นดู พ่กี นิ อยู่อยา่ ไปไกล
(ปลาบูท่ อง)
กล้ิงกลดั สลอน ๏ พัดโบกจามร
แตรสังขฆ์ ้องกลอง เลื่อมเล่ือมพรายพราย
สมเสร็จฤๅสาย กกึ ก้องวุน่ วาย
ออกจากพารา
(ปลาบู่ทอง)
๙
สรุ ิยาตกตา่ ๏ ยามเย็นยา่ ย่า
ตรัสสัง่ ขา้ หลวง ใกลค้ ่าไรไร
เร่งระวงั ไว ทั้งปวงนอกใน
ล้อมรอบขอบคัน
(ปลาบ่ทู อง)
๑.๓ การใชค้ าหลาก
การใชค้ าหลาก คือ การใช้คาที่มีความหมายเหมือนกันในท่ีใกล้เคียงกัน หรือใช้ในกลอนสวด
บทเดียวกนั (วิเชยี ร เกษประทุม, ๒๕๔๖: ๑๕) ดังตวั อย่าง
๏ โคน้ันคดิ ปรานี กนิ แต่ที่กลางท่งุ นา (ปลาบู่ทอง)
กนิ นา้ แล้วกนิ หญา้ ไมเ่ ขา้ ป่าลาพงพี (ปลาบทู่ อง)
(ปลาบู่ทอง)
๏ ราออ่ นลูกรอ่ นมา พระมารดาช้าอย่ใู ย (ปลาบทู่ อง)
ลกู นอ้ ยผ้กู ลอยใจ บรรจงให้แม่มากนิ (ปลาบทู่ อง)
มว้ ยมอดวอดวาย ๏ วันน้ีแม่หาย
ตายเสียทีไ่ หน สญู หายไปพลนั
ฤๅใครตรี ัน มไิ ดส้ าคัญ
แมส่ ิ้นชวี า
สอดลอดถามไถ่
กลบั คนื มาถาม ๏ อย่าเลยจักไป
สุนขั กูลี แยบคายร้ายดี
สนุ ัขอนั มี
กราบไหว้วนั ทา มันโกรธโกรธา
ช่นื ชมหรรษา
ทนี ้ีลูกได้ ๏ นางเหน็ แก่ตา
มารดานางไท
กาพร้าคลายใจ
เห็นพระมารดา
๑๐
๑.๔ การใช้คาไวพจน์
การใชค้ าไวพจน์ คอื การใชค้ าทีเ่ ขียนตา่ งกัน แต่มีความหมายท่ีตรงกันหรือใกล้เคียงกันในคา
ประพันธ์ตลอดทัง้ เรือ่ ง (มะเนาะ ยูเดน็ และวันเนาว์ ยูเดน็ , ๒๕๔๘: ๗) ดงั ตวั อยา่ ง
เทียบไวส้ ะพรัง่ ๏ ผูกช้างพระทนี่ ั่ง (ปลาบ่ทู อง)
แลว้ เขา้ กราบทลู แทบเกยชาลา (ปลาบู่ทอง)
รีพ้ ลโยธา นเรนทรสูรราชา (ปลาบ่ทู อง)
เสร็จแล้วทกุ ประการ (ปลาบทู่ อง)
พรหมทัตธีรราช
ประดับพระองค์ ๏ เมอ่ื นนั้ พระบาท
อนั งามกระการ เสร็จสรงชลธาร
ทัง้ สร้อยสงั วาล
เสภาดนตรี กุณฑลสกุ ใส
จับปสี่ ีซอ
ขบั กลอ่ มจอมไตร ๏ ท้าวไทให้มี
มโหรีเพลงใน
ดูรานอ้ งท้าว ขับทอ่ กันไป
จะบอกให้รู้ ท้าวไทบรรทม
ตรสั ใชใ้ ห้มา
๏ เสนาจงึ กลา่ ว
ผโู้ ฉมโสภา
พระผผู้ า่ นฟ้า
หาเจา้ เข้าไป
ฟังนกแขกเตา้ ๏ สมเดจ็ ผา่ นเกล้า
ในพระหฤทัย เลา่ เรือ่ งอนุสนธิ
น้าเนตรจุมพล คือไฟลามลน
ไหลคือธารา
(ปลาบู่ทอง)
๑๑
ผู้แต่งใช้คาว่า นเรนทรสูร, ราชา, ธีรราช, จอมไตร, ท้าวไท, ผ่านฟ้า, ผ่านเกล้า, ซ่ึงมี
ความหมายว่า พระมหากษัตรยิ ์ เหมอื นกนั
๏ ขอทูลผา่ นเกล้า
ข้าพระพุทธเจา้ เท่ยี วดงพงพี
พบช้างเผอื กผู้ กนิ อยู่ไพรสี
ขอเชญิ พันปี จรลีอยา่ นาน
(ปลาบู่ทอง)
๏ พรานป่านาหน้าภูบาล ไปถงึ ไมน่ าน
ถิน่ ฐานเผือกผูอ้ ย่แู ล
(ปลาบูท่ อง)
๏ ช้างต้นพาท้าวแล่นหนี ชา้ งเผอื กจรลี
ว่งิ หนเี ขา้ ดงหายไป
(ปลาบทู่ อง)
แรดชา้ งกวางทราย ๏ เสอื หมผี ีพราย
เกลือกพบยักษ์มาร มากมายดงดอน
ไมถ่ งึ นคร ผลาญใหม้ ้วยมรณ์
เลยหนาท่านอาจารย์
(ปลาบ่ทู อง)
พระดาวบสเจา้ ๏ ครนั้ รุง่ ขน้ึ เชา้
เก็บผลผลา เสดจ็ เข้าพงพี
รอ้ ยลิ้นลิ้นจี่ ในป่าพนาลี
มากมีในไพร
(ปลาบ่ทู อง)
ผู้แต่งใช้คาว่า พงพี, ไพรสี, ป่า, ไพรสัณฑ์, ดง, ดงดอน, พนาลี, ซึ่งมีความหมายว่า ป่า
เหมอื นกัน
๏ นวลน้องทองกาพรา้ เห็นแกต่ านางทรามวัย
เทวีเรง่ ดใี จ แลว้ กราบไหวพ้ ระมารดา
(ปลาบู่ทอง)
๑๒
กลับมาละลงั ๏ เสนาได้ฟัง (ปลาบทู่ อง)
จึงพบบังอร เที่ยวหานางไท (ปลาบู่ทอง)
เสนาเขา้ ไป ตอ้ นววั รมิ ไพร
ถามนางฉายา
ขอถามเทวี
โพธิเ์ งนิ โพธทิ์ อง ๏ ดรู าเจา้ พี่
ของนางฉายา ตามความสัจจา
ทั้งสองน้ันหนา
ปลูกไวฤ้ ๅไฉน
๏ เมอ่ื นน้ั พรหมทตั ราชา ทอดพระเนตรแลมา
เหน็ หน้ากาพรา้ นารี
(ปลาบู่ทอง)
๏ ดรู ากลั ยานารี แรกเร่มิ เดิมที
เทวเี ปน็ ลกู ของใคร
(ปลาบทู่ อง)
ผแู้ ตง่ ใชค้ าว่า นวลน้อง, บังอร, เทวี, นารี, กัลยา ซ่ึงมีความหมายว่า ผู้หญิง นางอันเป็นที่รัก
เหมอื นกัน
รับโองการเจา้ ๏ อามาตย์กม้ เกล้า
ตรวจตราม้ารถ ใสเ่ กล้าคลาไคล
รี้พลไสว ผูกคชนอกใน
เสนีเสนา
(ปลาบู่ทอง)
พังพลายรา้ ยกาจ ๏ ช้างเถอ่ื นเกลอ่ื นกลาด
รองรับซบั มนั ยรุ ยาตรคลาดที่
พรัง่ พรูสสู ี พากนั ด้ันหนี
หนแี ลน่ แปร้นไป
(ปลาบู่ทอง)
๑๓
อ้มุ พระลกู แก้ว ๏ แตง่ องค์ทรงแล้ว
แตรสังข์ฆ้องกลอง เสดจ็ ทรงคชสาร
โยธาทหาร กกึ กอ้ งโอฬาร
ห้อมลอ้ มซา้ ยขวา
(ปลาบ่ทู อง)
ผ้แู ต่งใช้คาวา่ ชา้ ง, พงั , พลาย, คช, คชสาร ซง่ึ มีความหมายวา่ ชา้ ง เหมอื นกัน
สตั วาโนรี ๏ ชมฝงู ปักษี (ปลาบทู่ อง)
จบิ จาบคาบแค อินทรีบนิ ไป (ปลาบทู่ อง)
กาเหว่าเขาไฟ ไซแ้ หนกนิ ไคล
ไก่เถอื่ นเยือนขนั
พรหมทตั ธิราช
เผยหนา้ บญั ชร ๏ บัดนั้นพระบาท
เห็นนางปกั ษา จากอาสนค์ ลาดคลา
ภธู รแลมา
จับรอ้ งเสยี งใส
เมื่อกรรมมาทัน ๏ อยไู่ ดห้ า้ วัน
ยงั มนี ายพราน แหง่ นางสกุณา
กราบทูลราชา นาสารเขา้ มา
พรหมทัตภูมี
(ปลาบู่ทอง)
๏ เขยี นเป็นนกหคทั้งหลาย ยื่นใหโ้ ดยหมาย
โฉมฉายจะรักรปู ใด
(ปลาบู่ทอง)
นางนกแขกเต้า ๏ เหน็ พวงหนึ่งเล่า
พวงหน่ึงกรงหก บินเข้ามาใน
พวงหนึ่งทา้ วไท ใส่นกสดใส
คลอ้ งชา้ งกลางป่า
(ปลาบู่ทอง)
ผ้แู ต่งใช้คาว่า ปักษ,ี ปักษี, สกุณา, หค, นก ซ่งึ มีความหมายวา่ นก เหมอื นกัน
๑๔
พรหมทัตธิราช ๏ สมเดจ็ พระบาท
พระองคท์ รงธรรม์ ประพาสพงไพร
พบต้นพระไทร พากันหลงไป
อยู่ใกลท้ งุ่ นา
(ปลาบู่ทอง)
๏ มองพลางยา่ งฟุบหมอบ หหู างตอบลอบตัวเขา
นิง่ นึกตรกึ ไปเล่า อันใดเยา้ มาหลอกกู
(ปลาบูท่ อง)
แขกเตา้ ลอดลดั ๏ เที่ยงคนื สงัด
น้าตาผับผอย เร่งรดั ไคลคลา
นวลนางปกั ษา หยดยอ้ ยพกั ตรา
เรง่ มาจรลี
(ปลาบทู่ อง)
เกลือกคนทงั้ หลาย ๏ อย่าให้วุ่นวาย
เชิญเสด็จลนิ ลา จักรคู้ ดี
ไปในพงพี กบั ข้านะภมู ี
ถงึ ทีม่ ารดา
(ปลาบทู่ อง)
กับโอรสราช ๏ แต่องค์พระบาท
ไปถึงกฎุ ี เยียรยาตรดว้ ยกัน
กม้ เกลา้ อภิวัน ฤๅษีทรงธรรม์
ดาวบสด้วยดี
(ปลาบทู่ อง)
ผูแ้ ต่งใชค้ าวา่ ประพาส, ยา่ ง, ไคลคลา, จรลี, ลินลา, เยียรยาตร ซ่ึงมีความหมายว่า คากริยา
แสดงความเคลือ่ นไหว เหมอื นกัน
๑.๕ การใช้คาแผลง
การใช้คาแผลง คือ วิธีการแปลงรูปคาเพ่ือให้มีเสียงไพเราะย่ิงข้ึน โดยการแปลงอักษรท่ี
ประสมอยู่ในคาไทย หรือคาท่ีมาจากภาษาอ่ืนๆ ด้วยวิธี ตัด เติม หรือเปลี่ยนรูป (ประยูร ทรงศิลป์,
๒๕๕๑: ๗๙) ดงั ตวั อย่าง
๑๕
จบั อยู่งว่ งเหงา ๏ นางนกแขกเต้า
จักบินไปดู สรอ้ ยเศร้าโศกา
โพธ์ิธท์ิ องมารดา ให้ร้กู อ่ นรา
ยงั เปน็ ฤๅตาย
(ปลาบทู่ อง)
“โศกา” อ่านวา่ โส - กา แผลงมาจากคาว่า “โศก” ซง่ึ แปลวา่ เศร้า, เสียใจ
แขกเตา้ ลอดลัด ๏ เท่ยี งคืนสงัด
นา้ ตาผบั ผอย เร่งรัดไคลคลา
นวลนางปกั ษา หยดยอ้ ยพกั ตรา
เรง่ มาจรลี
(ปลาบทู่ อง)
“พักตรา” อ่านว่า พกั - ตรา แผลงมาจากคาว่า “พกั ตร”์ ซ่ึงแปลวา่ หนา้
เห็นดาวบสเจา้ ๏ นางนกแขกเต้า
คอ่ ยคลายความทุกข์ มาคิดสงสาร
อย่ดู ว้ ยอาจารย์ เป็นสขุ สาราญ
ดาวบสฤๅสาย
(ปลาบู่ทอง)
“สาราญ” อา่ นวา่ สา – ราน แผลงมาจากคาว่า “สราญ” ซึง่ แปลวา่ สขุ สบาย
เหมอื นองค์พระเจา้ ๏ เห็นพวงหนึ่งเลา่
พวงหนึง่ น้ันเล่า เสดจ็ ออกชมไพร
บรรทมร่มไทร เหมือนทา้ วเขา้ ไป
ใกล้ต้นโพธ์ทิ อง
(ปลาบทู่ อง)
“บรรทม” อ่านว่า บัน – ทม แผลงมาจากคาวา่ “ประทม” ซึง่ แปลวา่ นอน
๏ พระตาจงจาเริญ เปน็ สขุ เพลนิ เดนิ จงกรม
พระองค์จงเสวยรมย์ ตง้ั ใจชมพรตจรรยา
(ปลาบู่ทอง)
๑๖
“จาเริญ” อ่านว่า จา – เริน แผลงมาจากคาว่า “เจรญิ ” ซ่งึ แปลวา่ งอกงาม, เติบโต
๑.๖ การใชค้ าศพั ท์ภาษาต่างประเทศ
การใช้คาศพั ท์ภาษาตา่ งประเทศในวรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง เป็นการแสดง
ภมู ริ ขู้ องกวี และมีประโยชน์ในเร่อื งการหลากคา ภาษาต่างประเทศที่พบในสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง
มีทั้งหมด ๓ ภาษา ได้แก่ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซ่ึงแต่ละภาษาก็มีลักษณะ
แตกต่างกันออกไปข้นึ อยู่กับรากศัพท์ของคาทไ่ี ทยนามาใช้ (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์, ๒๕๓๖: ๗๗) ดังน้ี
๑.๖.๑ คาท่มี าจากภาษาบาลี
๏ นางจึงต้งั สัจจา เน้อื แม่ข้าอนั ตายไป
ขอใหป้ รากฏใน เหมอื นหนง่ึ ใจลูกนึกปอง
(ปลาบู่ทอง)
“สจั จา” หมายความวา่ ความจริง
๏ โพธ์ิเงินโพธ์ทิ องนน้ั หนา เราใคร่ปรารถนา
ปลูกไว้ทีห่ นา้ บญั ชร
(ปลาบ่ทู อง)
“บัญชร” หมายความวา่ หน้าต่างพระที่นง่ั
ความทุกขข์ องเจ้า ๏ ยายจงึ ถามเลา่
เจา้ อย่าอาพราง หนกั เบาเปน็ ไฉน
พอจกั ชว่ ยได้ นวลนางบอกไป
แต่ตามปัญญา
(ปลาบู่ทอง)
“ปญั ญา” หมายความว่า ความรอบรู้
ตวั เดยี วดอกหนอ ๏ ไร้แมไ่ รพ้ ่อ
จึงซังเซมา งอนหงอยากใจ
คดิ วา่ จักใคร่ หาพระจอมไตร
พงึ่ บุญราชา
(ปลาบทู่ อง)
๑๗
“บุญ” หมายความว่า ความสุข
เหมอื นหน่งึ ตัวกู ๏ เหน็ นกพลัดคู่
มาอยผู่ เู้ ดียว มาอยู่ศาลา
เหมือนนกเหมอื นกา เปลา่ เปลี่ยววญิ ญา
ร่อนมาเสยี งหวาน
(ปลาบทู่ อง)
“วิญญา” หมายความว่า สิ่งที่เช่ือกันว่ามีอยู่ในกายเม่ือมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกาย
ลอ่ งลอยไปหาทีเ่ กดิ ใหม่
๑.๖.๒ คาทม่ี าจากภาษาสันสกฤต
๏ นางทรงภษู าตน้ งามเลิศลน้ คา่ ควรเมือง
สิบนวิ้ ของบญุ เรอื ง ประดับเครอ่ื งพระธามรงค์
(ปลาบทู่ อง)
“ภษู า” หมายความวา่ เครื่องนงุ่ หม่
พรหมทัตธริ าช ๏ บัดนนั้ พระบาท
เผยหน้าบญั ชร จากอาสน์คลาดคลา
เหน็ นางปักษา ภูธรแลมา
จับร้องเสยี งใส
(ปลาบู่ทอง)
“ปกั ษา” หมายความว่า นก
๏ เผอื กผ้ยู นื อยู่หฤหรรษ์ คดิ ในใจพลัน
กระชน้ั แลว้ รุกเข้ามา
(ปลาบู่ทอง)
“หฤหรรษ”์ หมายความวา่ ยนิ ดี, ช่นื ชม, รา่ เริง
๑๘
โกรธเกร้ียวเหลยี วมา ๏ ทรงพระโกรธา
กระทบื พระบาท ควา้ พระขรรค์ชัย
เรว็ ราคาไคล ผาดเสียงเปรยี้ งไป
หานกกมู า
“ขรรค”์ หมายความว่า ศตั ราวธุ ชนิดหนึ่งมคี มสองข้าง (ปลาบู่ทอง)
“โกรธ” หมายความว่า ขุน่ เคืองใจอย่างแรง (ปลาบทู่ อง)
(ปลาบทู่ อง)
โดยธรรมชานาญ ๏ สรา้ งพรตจรรยญ์ าณ
เหาะเหินเดินฟา้ เชีย่ วชาญขยนั
ความสจั เธอนัน้ ฤทธากวดขนั
เทย่ี งธรรมเหลอื ใจ
“ธรรม” หมายความว่า คุณความดี ๏ แลว้ ทา้ วตรสั มา
“จรรย”์ หมายความวา่ ความประพฤติ อยา่ ช้าเร่งไป
“ฤทธา” หมายความว่า อานาจศกั ดส์ิ ิทธ์ิ ใหร้ แู้ จ้งใจ
ปลูกไวใ้ นสถาน
๑.๖.๓ คาที่มาจากภาษาเขมร
แกห่ มูเ่ สนา
เสาะสางถามดู
โพธ์ิทองของใคร
“ตรสั ” หมายความว่า พดู
๏ สว่ นว่านางกนษิ ฐี แยบคลายดีจึงภิปราย
เชญิ เจ้าชาระกาย ให้สบายกอ่ นเถิดรา
(ปลาบู่ทอง)
“สบาย” หมายความวา่ อย่ดู กี ินดี
“เชิญ” หมายความว่า แสดงความปรารถนาเพ่ือขอให้ทาอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ
๑๙
“ชาระ” หมายความว่า ชะล้างใหส้ ะอาด
๏ ทรงภูษาต้นลนลาน เสดจ็ ขนึ้ คชสาร
มินานออกจากกรงุ ไกร
(ปลาบู่ทอง)
“เสดจ็ ” หมายความว่า ไป
ได้ฟงั เสนา ๏ เมือ่ นน้ั ราชา
ทราบพระหฤทัย บงั คมทลู ฉลอง
ออกช่อื โพธท์ิ อง นกึ ในใจปอง
ท้าวมาคดิ ฉงน
(ปลาบ่ทู อง)
“บงั คม” หมายความวา่ แสดงความเคารพพระมหากษตั ริย์
“ทลู ” หมายความว่า บอก, กลา่ ว
“ฉลอง” หมายความว่า ทาบญุ หรือบูชาสิง่ ใดสิ่งหนง่ึ เปน็ งานเอิกเกริก
“ฉงน” หมายความว่า สงสัย, แคลงใจ, ไมแ่ นใ่ จ
๏ พระตาจงจาเรญิ เปน็ สุขเพลินเดนิ จงกรม
พระองคจ์ งเสวยรมย์ ต้งั ใจชมพรตจรรยา
(ปลาบู่ทอง)
“จาเริญ” หมายความวา่ งอกงาม, รุง่ เรอื ง
“เสวย” หมายความว่า กิน
๑.๗ โบราณิกศัพท์
โบราณิกศัพท์ คือ คายากที่ต้องแปล เป็นคาที่เคยใช้แต่โบราณแล้วเลิกหายไป ปัจจุบันยังมี
พบอยู่บ้างในโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย ในภาษาพูดและภาษาเขียนท่ัวไปไม่นิยมใช้โบราณิกศัพท์
แลว้ (นิยะดา เหล่าสุนทร, ๒๕๕๓: ๓) สาหรับโบราณิกศัพท์ท่พี บในสมดุ ขอ่ ยเรอื่ งปลาบ่ทู อง มีดังน้ี
เผ่นโผนโจนไป ๏ ลงิ ค่างบา่ งไล่
ชะนมี ่ีกอ้ ง ปลายไม้ระเสดิ ระสัง
ท้าวไทได้ฟงั รา่ ร้องเสียงดัง
ไพเราะแกห่ ู
(ปลาบู่ทอง)
๒๐
“ระเสิดระสงั ” คือ ซดั เซไป โซเซไป หนีซกุ ซอ่ นไป
ฟงั คามารดา ๏ นางอา้ ยฉายา
ส่งกระบายมา หวั เราะรา่ ชมเชย
มใิ หเ้ หลอื เลย เถดิ หนาแมเ่ อย
คร้ังนแี้ ลหนา
(ปลาบู่ทอง)
“กระบาย” คือ ภาชนะสานรูปคล้ายกระบุงมขี นาดเลก็ กว่า ปากกลม กน้ สี่เหลย่ี ม
๏ เอาช้างพระท่นี ่งั นนั้ มา ผกู พันกณั ฐัศว์
ให้ครา่ ด้วยแรงกาลงั
(ปลาบทู่ อง)
“กณั ฐัศว์” คือ มา้
“คร่า” คือ ฉุดลากไปอยา่ งไม่ปรานี
๏ นางทรงเครอ่ื งรจนา สร้อยพมิ พารงุ่ เรืองศรี
รัดเกลา้ เกศเมาลี แซมเกศงี ามรุ่งเรอื ง
“เมาลี” คอื ผมจกุ (ปลาบทู่ อง)
๏ สชู วนกนั นั่งอยู่ อย่าจูล่ ู่ตามกมู า
ส่งั พลางนางไคลคลา เจา้ เข้ามาคนเดียวดาย
(ปลาบู่ทอง)
“จู่ลู่” คอื รีเ่ ข้าไปตามทาง ถลันเข้าไป
๏ เสด็จเขา้ บรรทมไป ในพระทยั ให้เศร้าหมอง
เผยแกลเยี่ยมแลมอง เห็นโพธ์ทิ องเห่ียวแหง้ ไป
(ปลาบู่ทอง)
“แกล” คือ หน้าตา่ ง
๒๑
จิ้มล้ิมย้ิมแยม้ ๏ ดวงพกั ตรจ์ ักแจ่ม
เอวบางรา่ งรดั แก้มคือปรางทอง
วรนุชผุดผ่อง กาดัดสมสอง
เรอื งรองมศี รี
“กาดดั ” คือ ร่นุ หรอื รนุ่ สาว (ปลาบู่ทอง)
(ปลาบทู่ อง)
๏ เธอเขียนเป็นรปู กุมาร โฉมลาเพาพาน (ปลาบู่ทอง)
ประมาณสบิ หา้ ขวบปี (ปลาบูท่ อง)
(ปลาบู่ทอง)
“ลาเพา” คือ โฉมงาม ดอกกระทงิ คสิงคลี
ป่าปาฏลีอินทนิล
๏ ลาดวนยวนใจจริง
นางแยม้ จะแจม่ ศรี
“สงิ คลี” คือ ว่นุ วาย แทรกแซงพัลวนั เดนิ ด้นไพรไปเอกา
“ปาฏลี” คือ ดอกแคป่า เจา้ ลนิ ลาเดินเขา้ ไป
๏ นอนทางค้างแรมไป
ลุถงึ ซง่ึ พารา
“ลนิ ลา” คอื ไปอย่างนวยนาด (เพีย้ นมาจากลลี ามักพูดลิ้นลา)
๏ ชาวเมอื งเลอ่ื งฦๅชา แตกตื่นมาทกุ สถาน
ชายหญงิ ว่ิงลนลาน ดกู ุมารงามพิศวง
“ฦๅชา” คอื มีชอ่ื เสยี งโด่งดงั เปน็ ท่ีรูก้ นั ทัว่ ไป
๒๒
รบั พระโองการ ๏ อามาตย์ชิดชาน
ไปถึงกมุ าร ถวายบังคมลา
พาเจ้าเขา้ มา นงคราญพงั งา
ถวายแกภ่ ูบาล
“พังงา” คอื รูปงาม ๏ พศิ ดูท่ัวองค์ (ปลาบ่ทู อง)
เหน็ พวงมาลา (ปลาบทู่ อง)
พินิจพศิ วง ชา่ งใดให้มา (ปลาบทู่ อง)
ใครกรองใหใ้ ส่ หลากในพระทัย (ปลาบู่ทอง)
พิศวงสงกา (ปลาบู่ทอง)
“สงกา” คอื ความแคลงใจ ความสงสยั ๏ เสด็จเขา้ ดงชฏั
ชมสตั ว์มฤคี
วเิ วกสงดั ววั ควายเสอื หมี
แรดช้างกวางทราย หลบลซี้ ่อนไป
ผันผายหนา่ ยหนี
“ชฏั ” คอื ป่าทึบ ปา่ รก จะดรธานเปน็ ธุลี
ใช่เธอนจ้ี ะอยนู่ าน
๏ ครนั้ ถึงกาหนดการ
จะเล้ยี งพระโฉมศรี
“ดรธาน” คือ หายไป ลบั ไป ๏ เมอ่ื นน้ั พระบาท
ตรัสพาดชงคา
ฟงั คานางนาฏ เห็นดีหนกั หนา
เจ้าวา่ ดังน้ี ไวเ้ ลา่ กลใด
ขออีรามา
๒๓
“ชงคา” คือ พระราชโองการ
๏ กนิษฐมี ใี จสมพอง ผัวเมียทงั้ สอง
ย้ิมยอ่ งชนื่ ชมหนักหนา
(ปลาบทู่ อง)
“สมพอง” คอื มุ่งปรารถนา
ควกั เนอ้ื ในไห ๏ นางอีเ่ ข้าไป
เอามาอักขู ด้วยใจถวิล
ชวนกนั กนิ สิน้ หลนสู่กันกนิ
แมล่ กู ผัวเมยี
(ปลาบทู่ อง)
“อักขู” คอื มาก หลาย (มาจากอกั โข)
๒. เลน่ เสียงและคา
การเล่นเสียงและเล่นคาเป็นการจัดวางคาให้ต่อเนื่องเป็นลาดับ ร้อยเรียงกันได้อย่างไพเราะ
เหมาะสมตามกฎเกณฑข์ องฉนั ทลักษณ์ นอกจากเล่นเสียงวรรณยกุ ตแ์ ละคาสัมผัสแล้ว ยังมีการเล่นคา
เป็นกระสวนเพื่อให้เกิดเสียงหนักเบา และเกิดจังหวะลีลา ทาให้เกิดเสียงไพเราะน่าฟัง (วิเชียร เกษ
ประทุม, ๒๕๕๗: ๓๐๖) การเลน่ เสียงและเล่นคาในวรรณกรรมจากสมุดข่อย เรอ่ื ง ปลาบทู่ อง มีดังน้ี
๒.๑ การเลน่ เสียง
ในวรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทองมีการเล่นเสียงสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ และ
การเลน่ เสยี งวรรณยุกตท์ าให้เกดิ ความไพเราะ
๒.๑.๑ สัมผัสสระ ท่ีปรากฏในวรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง มีหลายอย่าง
ด้วยกัน เมื่อจาแนกออกเป็นลักษณะต่างๆ ได้แก่ เคียง เทียบเทียง และแทรกเคียง (กรมศิลปากร,
๒๕๔๘: ๒๖) ดังน้ี
ก. เคยี ง หมายถงึ สัมผสั สระเรยี งชดิ กัน ๒ คา
๏ ขา้ ไหวโ้ คถว้ นหนา้ อย่าเข้าปา่ พงดงดอน
เยน็ ลงพีจ่ งจร มาหาน้องด้วยเถิดรา
(ปลาบู่ทอง)
๒๔
แมค่ ุณทนู เกลา้ ๏ เรียกแล้วเรยี กเลา่
ราออ่ นร่อนไว้ เจา้ ไปไหนหนา
เชิญมาแมม่ า จกั ให้มารดา
นางปลาบทู่ อง
มว้ ยมอดวอดวาย
ตายเสียท่ไี หน (ปลาบู่ทอง)
ฤๅใครตีรัน
๏ วนั นี้แม่หาย
๏ ลกู รกั จกั ปลกู ไว้ สญู หายไปพลนั
โพธเ์ิ งินงามเรืองรอง มไิ ด้สาคัญ
แมส่ ิ้นชีวา
(ปลาบทู่ อง)
ขอจงใหเ้ ปน็ โพธท์ิ อง
เป็นทงั้ สองงามเหมือนกัน
(ปลาบู่ทอง)
๏ เหลืองหอมงอมสุกทุกพรรณ ฤๅษเี ลือกสรร
แบง่ ปนั ให้นางทรามวัย
ข. เทยี บเคียง หมายถึง สมั ผสั สระเรียงชิดกัน ๓ คา (ปลาบู่ทอง)
(ปลาบทู่ อง)
๏ ครน้ั ฟื้นตนื่ ขึ้นได้ ตอ้ นวัวไปถงึ บา้ นพลัน (ปลาบทู่ อง)
สว่ นเป็ดเห็นนางน้นั ออกมาพลนั รับเทวี
จม้ิ ลิ้มยิม้ แย้ม ๏ ดวงพกั ตร์จกั แจม่
เอวบางรา่ งรัด แก้มคือปรางทอง
วรนชุ ผุดผอ่ ง กาดดั สมสอง
เรืองรองมศี รี
๒๕
สมุ ทุมพมุ่ ป่า ๏ เท่ียวด้นค้นหา
ท่องแถวแนวคลอง เทวาดงดอน
เทย่ี ววิ่งวิงวอน ห้วยหนองขจร
วานเพ่อื นฝูงกัน
๏ พระองคจ์ งโปรดเกศา ให้นางกาพรา้ (ปลาบทู่ อง)
ฉายามายกลองดู (ปลาบู่ทอง)
(ปลาบทู่ อง)
อยา่ ใหใ้ ครใคร ๏ แลว้ สั่งสอนไป (ปลาบู่ทอง)
เม่อื ถึงปรางค์มาศ สงสยั อย่างนี้ (ปลาบู่ทอง)
ให้ทาท่วงที ปราสาทเทวี (ปลาบทู่ อง)
เหมอื นนางกลั ยา
ค. แทรกเคียง หมายถงึ มีสระอื่นคั่น ๑ สระอยตู่ ้นวรรค
๏ ดูรากัลยามีศรี ขอเชิญเทวี
บดั นม้ี ายกโพธิพ์ ลัน
นางคนนี้หนา ๏ หลากนกั ประจกั ตา
ควรค่กู ูแลว้ บญุ ญาแสนทวี
ควรเป็นมเหสี นางแกว้ คนน้ี
ครอบครองพารา
ซบุ ซิบกะหยบิ ตา ๏ ห้ามแล้วจึงวา่
กลบิ กลบั หับประตู พยกั หนา้ งันงัน
นั่งชิดสะกดิ กนั ทะเงอื้ แปรผัน
จะแตง่ กระดานยนต์
๒๖
๏ เจรจาปราศรยั ไปมา เพชฌฆาตซา้ ยขวา
มิชา้ ก็ลามาพลัน
(ปลาบทู่ อง)
๏ มไิ ด้ขน้ึ ไปเฝ้า พระผา่ นเกลา้ ผูร้ าชา
เจ็บเม่อื ยเลื่อยกายา สะท้านมาทวั่ ทง้ั ตัว
(ปลาบ่ทู อง)
๒.๑.๒ สัมผัสพยัญชนะ ท่ีปรากฏในวรรณกรรมสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง มีหลาย
อย่างด้วยกัน เมื่อจาแนกออกเป็นลักษณะต่างๆ ได้แก่ คู่ เทียบคู่ เทียมรถ ทบคู่ แทรกคู่ นิสสัย
(กรมศิลปากร, ๒๕๔๘: ๓๑) ดังน้ี
ก. คู่ หมายถงึ สัมผสั อักษรชิดกัน ๒ คา
๏ นอนทางคา้ งแรมไป เดินด้นไพรไปเอกา
ลุถงึ ซ่ึงพารา เจา้ ลนิ ลาเดินเข้าไป
(ปลาบู่ทอง)
บม่ หี ญิงชาย ๏ มาคนเดยี วดาย
จะขอเขา้ มา ติดหน้าตามหลงั
ใจจิตคดิ หวงั ในพระราชวงั
จะชมโพธิ์ทอง
(ปลาบทู่ อง)
ตายแลว้ เกดิ มา ๏ ฤๅวา่ ปักษา
รู้จักขา้ วของ ชาตินเ้ี ปน็ คน
ท้าวเรง่ คิดฉงน โพธท์ิ องของตน
รอ้ นรนราคาญ
(ปลาบทู่ อง)
วา่ พระองคเ์ จ้า ๏ มารดาขา้ เลา่
พ่งึ บุญราชา ปกเกลา้ สมสอง
เมอ่ื กรรมตามสนอง ผา่ นฟา้ ปกครอง
เขาฆ่าใหต้ าย
(ปลาบทู่ อง)
๒๗
แตเ่ ราเสด็จมา ๏ ถามโอรสา
หนทางขา้ งหนา้ หลายวันคลาไคล
เจ้าลบทรามวัย ไปมาใกลไ้ กล
ทูลไทธ้ ิบดี
ข. เทยี บคู่ หมายถงึ สัมผสั อกั ษรชิดกนั ๓ คา (ปลาบูท่ อง)
(ปลาบทู่ อง)
๏ พระเอ๋ยพระแม่เจ้า ลกู หายเศร้าโศกโศกา (ปลาบทู่ อง)
ลกู รักสาคัญว่า โพธ์นิ ้หี นาคือชลนี (ปลาบทู่ อง)
(ปลาบู่ทอง)
เจา้ จงละลงั ๏ หนมู องรอ้ งสง่ั (ปลาบู่ทอง)
เขม้นขะมัก ระวังระไว
แคลว้ คลาดโพยภัย เร่งรัดเร็วไป
เจา้ ไปจงดี
เจบ็ ปวดยวดนกั ๏ งเู หา่ หลงั หัก
นกคาบงูพา เพยี งจักม้วยมรณ์
ไปฝากลกู อ่อน โผผาผวาร่อน
ป้อนลูกในรัง
เหน็ ดาวบสเจ้า ๏ นางนกแขกเต้า
คอ่ ยคลายความทุกข์ มาคดิ สงสาร
อยดู่ ว้ ยอาจารย์ เปน็ สุขสาราญ
ดาวบสฤๅสาย
ตายแล้วเกิดมา ๏ ฤๅวา่ ปกั ษา
รจู้ กั ข้าวของ ชาตินีเ้ ป็นคน
ท้าวเรง่ คิดฉงน โพธ์ิทองของตน
รอ้ นรนราคาญ
๒๘
ค. เทยี มรถ หมายถงึ สมั ผัสอักษรชิดกนั ๔ คา
สรุ ิยาตกตา่ ๏ ยามเยน็ ย่าย่า
ตรสั ส่งั ขา้ หลวง ใกลค้ า่ ไรไร
เรง่ ระวังระไว ทง้ั ปวงนอกใน
ลอ้ มรอบขอบคัน
ถามพระจอมไตร ๏ ตรัสพลางปราศรยั (ปลาบู่ทอง)
ถ้อยทีถอ้ ยถาม พรหมทตั ฤๅสาย (ปลาบู่ทอง)
พรหมทตั ฤๅสาย เน้ือความภิปราย
ถามโอรสา (ปลาบู่ทอง)
(ปลาบ่ทู อง)
ง. ทบคู่ หมายถงึ สัมผัสอกั ษร ๒ อกั ษรเรียงกนั ๒ คา (ปลาบทู่ อง)
โกรธเกรี้ยวเหลยี วมา ๏ ทรงพระโกรธา
กระทืบพระบาท คว้าพระขรรคช์ ยั
เร็วราคลาไคล ผาดเสียงเปร้ยี งไป
หานกกมู า
ทนี่ ้ตี ดิ ตาย ๏ แขกเต้าใจหาย
จักออกกลใด แลหนาพอ่ี า
หนนู นั้ จงึ วา่ จนใจหนักหนา
เจา้ อย่ารอ้ นใจ
แขกเต้าลอดลดั ๏ เท่ยี งคนื สงดั
นา้ ตาผับผอย เร่งรดั ไคลคลา
นวลนางปักษา หยดยอ้ ยพักตรา
เรง่ มาจรลี
๒๙
ซุ่มซ่อนนอนใน ๏ ลาบากยากใจ
เห็นสงัดเหยี่ยวกา ปา่ ไม้ไพรสี
กลัวสัตวจ์ ะราวี อตสา่ ห์ซอนหนี
ทีใ่ นกลางป่า
แต่ก่อนยอ่ มเคย ๏ โอต้ ัวกเู อ๋ย (ปลาบู่ทอง)
ทาสีมลี่ ้อม ชมเชยท้าวไท (ปลาบู่ทอง)
เคยนอนเตยี งใหญ่ พรั่งพร้อมไสว (ปลาบทู่ อง)
เคยใช้ทาสา (ปลาบูท่ อง)
(ปลาบู่ทอง)
จ. แทรกคู่ หมายถึง สัมผัสอกั ษรท่มี อี กั ษรอนื่ คัน่ ๑ คา (ปลาบูท่ อง)
๏ โคนั้นคดิ ปรานี กนิ แตท่ กี่ ลางท่งุ นา
กนิ นา้ แลว้ กินหญ้า ไม่เข้าป่าลาพงพี
๏ เกล็ดนี้กูไซ้ได้ จะเอาไว้ใหเ้ ถิดรา
คิดแล้วคาบเอามา อมไวท้ ่านางทรามวัย
เร่งรบี ถบี ไป ๏ ได้แล้วคลาไคล
ท้ังสองโฉมงาม เข้าในพฤกษา
ครนั้ ถงึ เคหา เดนิ ตามกนั มา
มารดาดใี จ
พรหมทัตธริ าช ๏ สมเดจ็ พระบาท
พระองคท์ รงธรรม์ ประพาสพงไพร
พบตน้ พระไทร พากันหลงไป
อยู่ใกล้ทงุ่ นา
๓๐
๏ เปน็ สาวระบอบชอบกล ไดย้ ากทกุ ขท์ น
รอ้ นรนจึงเศร้าหมองศรี
(ปลาบู่ทอง)
ฉ. นิสสัย หมายถึง สมั ผสั อักษรระหวา่ งปลายวรรคหน้ากับต้นวรรคหลัง
หอ่ ชายภูษา ๏ เอาเกล็ดแม่ปลา
ร้อนรนพ้นตวั น้าตาหล่งั ไหล
เดนิ พลางนางไห้ ต้อนวัวออกไป
คดิ ถึงมารดา
(ปลาบูท่ อง)
แลว้ มันชวนกนั ๏ หุงขา้ วขึ้นพลนั
ลกู หกั ก้านกิ่ง กนิ พลันทนั ใด
ใหส้ าแก่ใจ ทิ้งลงน้าไหล
อีกาพร้านารี
(ปลาบทู่ อง)
๏ เป็ดนน้ั จึงแจ้งไข เขาออกไปเกบ็ เอามา
กินเลน่ เปน็ ภักษา จงึ พย่ี าไดเ้ มด็ ใน
(ปลาบทู่ อง)
นกพรกิ จกิ จอก ๏ นกลางยางกรอก
อีลุ้มคมุ่ เค้า เอีย้ งออกหยอกกนั
กระทากลา้ ขัน คล้ิงเคล้าอัญชนั
ชนกนั หันบนิ
(ปลาบู่ทอง)
เผ่นโผนโจนไป ๏ ลงิ คา่ งบ่างไล่
ชะนีมกี่ ้อง ปลายไม้เสดิ รสงั
ท้าวไทได้ฟัง ร่าร้องเสยี งดัง
ไพเราะแกห่ ู
(ปลาบู่ทอง)
๓๑
๒.๒ การเลน่ คา
การเล่นคาเป็นกระสวน เป็นการเล่นคาท่ีอยู่ในวรรคเดียวกัน และต่างวรรคกัน การเล่นคา
กระสวนดงั กล่าวเป็นการแสดงความสามารถของกวีอีกอยา่ งหน่งึ และทาให้คาประพันธ์มีความไพเราะ
ในดา้ นของเสียงสลับกันไปมามากข้ึน ดงั ตัวอย่าง
๒.๒.๑ การใช้กระสวนอักษรเดียวกันตาแหน่งเดียวกัน คือ คาประพันธ์หนึ่งวรรคจะมีการ
สลับอักษรกัน ๔ คา หรือ ๒ คู่ ที่อยู่ติดกันจะทาให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกกับผู้อ่าน (กรมศิลปากร,
๒๕๔๘: ๔๐) ดังนี้
แมค่ ณุ ทนู เกลา้ ๏ เรียกแล้วเรียกเลา่
ราออ่ นร่อนไว้ เจ้าไปไหนหนา
เชญิ มาแมม่ า จักใหม้ ารดา
นางปลาบูท่ อง
(ปลาบทู่ อง)
กวใี ช้กระสวนอกั ษร /ร ล/ ติดกับกระสวนอักษร /ร ล/ ในวรรคเดียวกนั
มาเรว็ มารา ๏ อย่าเคียดลูกยา
เฝ้าเรียกริมฝ่ัง อยา่ ช้าโดยปอง
นางปลาบทู่ อง ร้อยช่งั นั่งมอง
ไปไหนไมม่ า
(ปลาบู่ทอง)
กวใี ช้กระสวนอักษร /ม ร/ ติดกับกระสวนอักษร /ม ร/ ในวรรคเดยี วกนั
เจา้ จงละลัง ๏ หนมู องร้องสงั่
เขม้นขะมัก ระวังระไว
แคลว้ คลาดโพยภัย เรง่ รัดเร็วไป
เจ้าไปจงดี
(ปลาบู่ทอง)
กวีใช้กระสวนอักษร /ร ว/ ติดกับกระสวนอักษร /ร ว/ ในวรรคเดียวกัน และ กวีใช้กระสวน
อกั ษร /ข ม/ ตดิ กบั กระสวนอักษร /ข ม/ ในวรรคเดยี วกนั
๓๒
๏ หวานฉ่าในนา้ พระทยั ระรืน่ ชน่ื ใจ
มะไฟมะเฟืองเนืองนอง
(ปลาบู่ทอง)
กวใี ชก้ ระสวนอักษร /ม ฟ/ ติดกบั กระสวนอกั ษร /ม ฟ/ ในวรรคเดยี วกัน
กระทิงวง่ิ โผน ๏ ฟานมองจ้องโจน
กระต่ายกระแต โดดโดนชนกัน
มหิงสว์ ่งิ พลัน เหลยี วแลแปรผัน
ฉมนั ดัน้ หนี
(ปลาบู่ทอง)
กวใี ช้กระสวนอักษร /ก ต/ ติดกับกระสวนอักษร /ก ต/ ในวรรคเดยี วกนั
๒.๒.๒ การใช้กระสวนอักษรเดียวกัน สลับตาแหน่งเดียวกัน คือ คาประพันธ์หนึ่งวรรคจะมี
การสลับอกั ษรกัน ๔ คา หรือ ๒ คู่ ท่ีอยตู่ ดิ กนั แตส่ ลับเสยี งกัน จะทาใหเ้ กิดอารมณค์ วามรู้สึกกับผู้อ่าน
(กรมศิลปากร, ๒๕๔๘: ๔๒) ดงั น้ี
มาเรว็ มารา ๏ อย่าเคยี ดลูกยา
เฝา้ เรียกริมฝง่ั อย่าช้าโดยปอง
นางปลาบทู่ อง ร้อยชั่งนั่งมอง
ไปไหนไมม่ า
(ปลาบู่ทอง)
กวีใชก้ ระสวนอักษร /ฝ ร/ สลับกบั กระสวนอักษร /ร ฝ/ ในวรรคเดยี วกนั
เจ้าไปไมเ่ หน็ ๏ ครัน้ เวลาเย็น
นางคิดคานึง นางคราญมารดา
อมี ารรษิ ยา ราพึงไปมา
น้ันมาพบพาน
(ปลาบู่ทอง)
กวีใช้กระสวนอักษร /น ค/ สลบั กับกระสวนอกั ษร /ค น/ ในวรรคเดียวกัน
๓๓
๓. การใช้ภาพพจน์
การใช้ภาพพจน์ จะทาให้ผู้อ่านรู้สึกประทับใจ ใครจะอ่านหรือจดจาไปใช้ในโอกาสต่อไป
เพราะผอู้ า่ นสามารถร่วมไดก้ บั การจินตนาการ และภาพท่ีบทร้อยกรองนั้นสื่อออกมา การใช้ภาพพจน์
มกั เกดิ จากการใชค้ ามาเปรียบเทียบหรอื อธบิ ายให้เห็นภาพ เห็นกิริยาอาการท่ีเคล่ือนไหวอย่างชัดเจน
(มะเนาะ ยเู ด็น และวันเนาว์ ยเู ดน็ , ๒๕๔๘: ๑๐)
๓.๑ อปุ มา
อุปมา คือ การเปรียบเทียบจากสิ่งหนึ่งให้เหมือนอีกส่ิงหน่ึง โดยมีคาว่า ดุจ ดัง ดูราว กล
เหมอื น ปาน ประหน่ึง ราวกบั เฉก เปรยี บ (วราภรณ์ บารุงกลุ , ๒๕๔๒: ๓๕๒) ดงั ตวั อย่าง
ลูกอยู่เปล่ยี วตวั ๏ ยกขนึ้ ทูนหัว
เหน็ จรงิ เทย่ี งแท้ คนเดียวเอกา
ลกู รอ้ งไหห้ า พระแมม่ รณา
ดังจะขาดใจตาย
(ปลาบทู่ อง)
ผู้แต่งเปรยี บเทียบอาการความทกุ ข์โศกของนางเอื้อยทีร่ าพึงราพันถงึ แม่ โดยการร้องไห้หาแม่
จนแทบขาดใจตาย
บอกเลา่ คดี ๏ จงึ นางกนิษฐี
ความแคน้ ของลูก แกย่ ายบค่ ลา
ด้วยอกี าพรา้ ดงั ถกู ปนื ยา
มันไปได้ดี
(ปลาบู่ทอง)
ผู้แต่งเปรียบเทียบอารมณ์โมโห ความอิจฉาริษยาของนางกนิษฐีท่ีมีต่อนางเอ้ือย คือ มี
ความแคน้ ใจเหมือนกับถกู ปืนยายิงใส่
โผผาผวาบิน ๏ คดิ แลว้ เฉีย่ วฉิน
ถึงต้นโพธ์ิทอง รอ่ นขึ้นโดยหมาย
นางนกเพยี งจะวาย มองดูเหน็ ตาย
ชีพตายสญู ปราณ
(ปลาบทู่ อง)
๓๔
ผู้แต่งเปรียบเทียบอารมณ์ความสูญเสียของนางนกแขกเต้าที่กลับมาเห็นต้นโพธิ์ทองท่ีตาย
แลว้ วา่ นางนกแขกเตา้ แทบสน้ิ ชีวิตตายตามแม่ไป
๏ ใบก้านนน้ั หลน่ ลง เป็นผยุ ผงดังตอ้ งไฟ
ผิดเพ้ยี นเปลี่ยนพระทัย เหน็ แปลกใจเปน็ หนักหนา
(ปลาบทู่ อง)
ผู้แตง่ เปรยี บเทยี บใบของต้นโพธท์ิ องทหี่ ลน่ ลงดนิ วา่ เป็นผงละเอียดเหมือนกับถูกไฟเผา
เจ็บปวดยวดนัก ๏ งเู หา่ หลงั หกั
นกคาบงูพา เพียงจักมว้ ยมรณ์
ไปฝากลกู อ่อน โผผาผวารอ่ น
ป้อนลกู ในรัง
(ปลาบทู่ อง)
ผแู้ ตง่ เปรียบเทยี บอาการของงเู หา่ ท่ถี กู นกกดทาร้ายจนหลังหัก จนมีอาการเจ็บปวดเหมือนว่า
จะสน้ิ ใจตายในขณะน้นั
๓.๒ อปุ ลักษณ์
อปุ ลักษณ์ คอื เป็นการเปรียบเทียบที่ลึกซ้ึงกว่าอุปมา เพาะเป็นการนาลักษณะอาการของส่ิง
หนึ่งโอนไปใช้กับอีกส่ิงหน่ึงท่ีไม่เหมือนกันเลยโดยมีคาว่า เป็น เท่า คือ (วราภรณ์ บารุงกุล, ๒๕๔๒:
๓๕๔) ดังตัวอย่าง
ฟงั นกแขกเตา้ ๏ สมเด็จผ่านเกล้า
ในพระหฤทัย เลา่ เร่อื งอนุสนธิ
นา้ เนตรจมุ พล คือไฟลามลน
ไหลคอื ธารา
(ปลาบู่ทอง)
ผแู้ ตง่ กล่าวถงึ พระเจา้ พรหมทัตทฟี่ งั นกแขกเต้าเล่าความจริงให้ฟัง แล้วมีอารมณ์โกรธเหมือน
ถูกไฟเผาหัวใจ จากน้ันกม็ คี วามเสยี ใจจนนา้ ตาไหลเปน็ น้าออกมา
๓๕
ในทรวงดวงทา้ ว ๏ ทา้ วฟังนกกลา่ ว
ท้าวกอดนางนก รอ้ นผ่าวคอื ไฟ
สลบซบไป แนบอกภวู นยั
ให้รกั ปกั ษา
(ปลาบ่ทู อง)
ผู้แต่งกล่าวถึงพระเจ้าพรหมทัตท่ีฟังนกแขกเต้าเล่าความจริงให้ฟัง แล้วมีอารมณ์โกรธแค้น
อารมณร์ ้อนเป็นดวงไฟ
อยู่ในป่ากว้าง ๏ พรหมทตั จอมปรางค์
คับแคน้ แน่นทรวง คลอ้ งช้างมไิ ด้
คอื หน่ึงดงั่ ไฟ ในดวงพระทัย
มาไหมเ้ ผาผลาญ
(ปลาบูท่ อง)
ผู้แตง่ กล่าวถึงพระเจ้าพรหมทัตท่ีออกไปคลอ้ งช้าง แล้วคลอ้ งชา้ งไม่ไดต้ ามความประสงค์ จึงมี
อารมณโ์ กรธ เช่น ในดวงพระทยั โกรธเปน็ ไฟ
จ้ิมล้ิมยิ้มแยม้ ๏ ดวงพักตร์จักแจม่
เอวบางรา่ งรัด แกม้ คอื ปรางทอง
วรนชุ ผดุ ผ่อง กาดัดสมสอง
เรืองรองมศี รี
(ปลาบทู่ อง)
ผู้แต่งกล่าวถึงพระเจ้าพรหมทัตที่ชมความงามของนางเอ้ือยว่ามีความน่ารัก เป็นคนย้ิมแย้ม
แจ่มใส และชมความงามของแก้มนางเปน็ สีทอง
หวนหนุ ฉนุ โกรธ ๏ พระบาทคาดโทษ
คว้าพระขรรคช์ ัย กราดเกรยี้ วเหลียวหา
ตารัสตรสั ด่า แกว่งไกวไปมา
โกรธาคอื ไฟ
(ปลาบทู่ อง)
ผ้แู ต่งกล่าวถงึ พระเจ้าพรหมทตั ที่โมโหเหล่าเสนาบดี นางสนมในวัง ท่ีมารักษากรงนกแขกเต้า
ขณะทีพ่ ระองคเ์ สด็จคล้องช้าง วา่ มอี ารมณโ์ กรธเป็นฟืนเปน็ ไฟ
๓๖
๓.๓ ปรพากย์
ปรพากย์ คือ เปน็ การเปรียบเทียบโดยอาศัยความขัดแย้ง คือการนาส่ิงที่ตรงข้ามกันมากล่าว
เปรียบกันภายในวรรค ในบาท หรือในบท เพ่ือทาให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น (วราภรณ์ บารุงกุล, ๒๕๔๒:
๓๕๖) ดังตัวอย่าง
๏ จักกินมเิ ป็นสขุ ตั้งแตท่ ุกขถ์ ึงพระพ่ี
มารดามาหมองศรี ทกุ ข์ถึงพ่ีเปน็ นิรนั ดร์
(ปลาบทู่ อง)
จากบทประพนั ธข์ ้างตน้ มคี าปรพากย์ คอื สุข และ ทกุ ข์
ลูกตนทุกเม่ือ ๏ ชวนกนั กินเน้ือ
วนั หนึ่งนางอี่ คา่ เชา้ เพรางาย
เหมือนมอื พ่อี า้ ย เหน็ มือผตี าย
ทัง้ ซ้ายทัง้ ขวา
(ปลาบทู่ อง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นมีคาปรพากย์ คือ ซา้ ย และ ขวา
แตเ่ ช้าเท่าคา่ ๏ หนทางจะล้า
มานก่ี ึงกัน ถงึ พระกุฎี
หยุดใหม้ นตรี ทรงธรรมพ์ ันปี
ต้งั อย่แู ต่ไกล
(ปลาบูท่ อง)
จากบทประพนั ธ์ขา้ งต้นมีคาปรพากย์ เช้า ซ้าย และ ค่า
๓.๔ อตพิ จน์
อตพิ จน์ คอื เปน็ การบรรยายหรอื พรรณนาท่ีเกินจริง จึงไม่อาจนาข้อเท็จจริงไปจับ เพราะกวี
มุ่งกล่าวเพื่อแสดงอารมณ์ที่ลึกซ้ึงกว่าปกติ เพ่ือสร้างอารมณ์สะเทือนใจให้แก่ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง เป็น
สาคัญ (วราภรณ์ บารุงกุล, ๒๕๔๒: ๓๕๗) ดังตัวอยา่ ง
๓๗
ลกู อยเู่ ปลี่ยวตัว ๏ ยกขึ้นทูนหัว
เห็นจริงเท่ียงแท้ คนเดียวเอกา
ลกู รอ้ งไห้หา พระแม่มรณา
ดงั จะขาดใจตาย
(ปลาบู่ทอง)
กวีกล่าวถึงความโศกเศร้าเสียใจร้องไห้แทบจะขาดใจตายเม่ือนางเอ้ือยทราบว่ามารดาที่เป็น
ปลาบ่ไู ด้ตายไปแล้ว
๏ ท้าวฟงั นกกล่าว
ในทรวงดวงท้าว รอ้ นผ่าวคือไฟ
ทา้ วกอดนางนก แนบอกภวู นยั
สลบซบไป ให้รกั ปกั ษา
(ปลาบทู่ อง)
กวกี ลา่ วถึงความโกรธแค้นเมือ่ ไดท้ ราบเร่ืองราวทีเ่ กิดข้นึ ของนางนกดังความร้อนของไฟมาสุม
อยใู่ นทรวง
๏ สะอ้นื ไม่ฟืน้ ตวั กอดบาทผัวเรง่ โศกา
ชลเนตรคือธารา ดัง่ ชีวาจะม้วยมรณ์
(ปลาบ่ทู อง)
กวีกล่าวถึงความโศกเศร้าเสียใจร้องไห้ฟูมฟายน้าตาไหลรินด่ังสายน้าราวกับชีวิตกาลังจะถึง
แก่ความตาย
๏ พี่คดิ ถึงทรามวยั ในพระทัยคืออัคคี
เปลย่ี วเปลา่ เศรา้ หมองศรี เพียงอกพ่ีชา้ เป็นหนอง
(ปลาบู่ทอง)
กวีกล่าวถึงความคิดถึงของท้าวพรหมทัตที่มีต่อนางเอื้อยอันเป็นท่ีรักว่ามีความคิดถึงมากจน
อกกลดั หนอง
๓๘
เลือดหลังนางพงุ่ ๏ เฆ่ียนลงผลุงผลุง
เฆ่ียนลงทีไร ออกทุกสี่หวาย
เจ็บปวดปางตาย เลอื ดไหลกระจาย
นางร้องทลู ไป
(ปลาบูท่ อง)
กวีกลา่ วถงึ อาการเลอื ดซิบของนางอ้ายท่ีถกู เฆย่ี นหลงั จนเลอื ดออกว่าถึงกับพุ่งออกมา
๓.๕ สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ คือ เป็นการนาส่ิงที่เป็นรูปธรรมมาแทนสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือ เป็นการอธิบาย
ความหมายของ “ส่ิงหน่งึ ” โดยต้องตีความ หรือต้องนาส่งิ อน่ื ทม่ี ีคณุ สมบตั คิ ลา้ ยคลงึ หรือเหมือนกันมา
เปรยี บ เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจคณุ สมบัตขิ องสงิ่ นน้ั อย่างถกู ต้อง (วราภรณ์ บารงุ กุล, ๒๕๔๒: ๓๕๘) ดังตวั อย่าง
พระองคท์ รงศักด์ิ ๏ ถงึ พระมริ กั
หลงรกั คนอ่นื ไมเ่ อ็นดูเมีย
ไม่คิดถึงเมีย ลมื เมยี ตนเสีย
กาพรา้ นารี
(ปลาบทู่ อง)
กวีมีการใชส้ ัญลักษณ์คอื คาวา่ กาพร้านารี แทนนางอนั เปน็ ที่รกั
เป็นเดยี รฉานแล้ว ๏ ครงั้ น้เี มยี แก้ว
เมยี นม้ี อดมว้ ย คลาดแคล้วราชา
รุมรนั กนั ฆา่ ตายดว้ ยบรจิ า
เมียน้ีใหต้ าย
(ปลาบทู่ อง)
กวีมีการใช้สัญลักษณ์คือคาวา่ แก้ว แทนนางอันเปน็ ทรี่ ัก
รอ้ ยชง่ั พังงา ๏ เจา้ รบั เกล็ดปลา
นา้ ตาไหลหลง่ั สลบกลางดนิ
ฟายน้าตากิน ท่งั ลงรินริน
คดิ ถึงมารดา
(ปลาบูท่ อง)
กวมี ีการใช้สญั ลกั ษณ์คือคาว่า รอ้ ยช่งั แทนนางอันเป็นทีร่ กั
๓๙
๏ ด่ังนา้ พระทยั ยินดี เชญิ พระพนั ปี
ขา้ นไ้ี มข่ ดั ทา้ วไท
(ปลาบู่ทอง)
กวมี ีการใช้สญั ลักษณค์ อื คาวา่ พระพนั ปี แทนพระมหากษตั รยิ ์
กราบทูลพระเจา้ ๏ ครั้นถงึ ก้มเกล้า
พระผผู้ า่ นเผา้ ป่ินเกล้ากษัตรา
ข้าบาทกาพร้า โปรดเกลา้ เกศา
ไมม่ ีพงศพ์ ันธุ์
(ปลาบู่ทอง)
กวีมกี ารใชส้ ัญลักษณค์ อื คาว่า ผ่านเผ้า แทนพระมหากษัตริย์
๓.๖ บุคลาธิษฐาน
บุคลาธิษฐาน คือ เป็นการสมมติสิ่งท่ีไม่ใช่มนุษย์ ซ่ึงอาจเป็นสิ่งท่ีไม่มีชีวิต สัตว์ พืช
ปรากฏการณ์ให้มีความรูสึกและกระทากิริยาอาการได้เหมือนกับคน อาจพูดจาปราศรัย เจ็บปวด ร่า
ร้อง โกรธแคน้ เหมือนที่มนษุ ย์ควรร้สู ึก (วราภรณ์ บารุงกุล, ๒๕๔๒: ๓๕๙) ดงั ตวั อยา่ ง
๏ ส่วนเปด็ คดิ เอ็นดู นางปลาบู่ผ้ตู ายไป
กาพร้ากลับมาได้ จักรอ้ งไหห้ ามารดา
(ปลาบู่ทอง)
กวีกลา่ วถงึ เป็ดคดิ เอ็นดู ซึ่งแสดงกิรยิ าอาการของเปด็ เหมือนกบั กริ ยิ าอาการของมนษุ ย์
๏ ส่วนหนูมริ เู้ ล่า เห็นแขกเตา้ ก็ตกใจ
แมวหมาฤๅอันใด คดิ สงสัยตกใจเหงา
(ปลาบู่ทอง)
กวกี ลา่ วถงึ หนมู ริ ้เู ล่าเห็นแขกเตา้ กต็ กใจ ซง่ึ แสดงกริ ิยาอาการของเป็ดเหมือนกับกิริยาอาการ
ของมนุษย์
๔๐
ยอกรคอ่ นอก ๏ หนูฟงั คานก
เคยกนิ เคยอยู่ เปล้ยี ปลกตกใจ
จะจากพไี่ ป เคล้าคู่อาศยั
ยงั กะไรนะปักษี
(ปลาบทู่ อง)
กวกี ลา่ วถงึ หนฟู ังคานก ซึ่งแสดงกิริยาอาการของหนเู หมือนกับกริ ยิ าอาการของมนษุ ย์
พี่จกั บอกเจ้า ๏ หนจู ึงว่าเลา่
บา้ นนี้มีรว้ั ขวญั เขา้ ปกั ษา
พจี่ กั ชักพา ล้อมทวั่ ตรงึ ตรา
ปักษาข้ึนไป
(ปลาบทู่ อง)
กวีกล่าวถึง หนูจึงว่าเล่า พ่ีจักบอกเจ้า ซ่ึงแสดงกิริยาอาการของหนูเหมือนกับกิริยาอาการ
ของมนษุ ย์
เจา้ จงละลงั ๏ หนูมองรอ้ งสง่ั
เขมน้ ขะมกั ระวงั ระไว
แคลว้ คลาดโพยภัย เร่งรัดเร็วไป
เจ้าไปจงดี
(ปลาบู่ทอง)
กวีกล่าวถงึ หนูมองรอ้ งสง่ั ซงึ่ แสดงกริ ิยาอาการของหนูเหมือนกบั กริ ิยาอาการของมนุษย์
๓.๗ สัทพจน์
สัทพจน์ คือ การใช้คาท่ีเลียนเสียงธรรมชาติ หรือเลียนเสียงกิริยาอาการต่างๆ (วราภรณ์
บารงุ กลุ , ๒๕๔๒: ๓๖๑) ดงั ตวั อยา่ ง
๏ ส่วนว่านางกาพร้า ฟังมันด่าก้มหน้าอยู่
หายใจอยู่ฟฟู่ ู่ เงยข้ึนดรู ับวาจา
(ปลาบทู่ อง)
กวกี ลา่ วถงึ ฟฟู่ ู่ ซงึ่ เป็นการเลยี นเสยี งหายใจของมนุษย์
๔๑
๏ คดิ แลว้ ช้างแก้วหรรษา ร้องแปรน้ แล่นมา
งวงงาย่ิงกวา่ ชกั ยนต์
(ปลาบูท่ อง)
กวกี ลา่ วถึง แปรน้ ซง่ึ เปน็ การเลยี นเสียงร้องของชา้ ง
๏ สว่ นว่านกแขกเต้า ดิ้นเรา่ เรา่ ร้องรา่ ร่า
คั้นคอห่อเพลาผ้า สาวตีนมาพาลงไป
(ปลาบ่ทู อง)
กวกี ล่าวถงึ ร่าร่า ซึง่ เปน็ การเลียนเสียงรอ้ งของนก
หนเู ขา้ เฝ้ากัด ๏ เทย่ี งคนื สงัด
กรดี กรีดกรอดกรอด เพลียดพลดั กดั ไม้
ซิบซาบบอกให้ ตวั ลอดออกไป
ไดแ้ ล้วนะปกั ษา
(ปลาบู่ทอง)
กวกี ลา่ วถึง กรดี กรดี กรอดกรอด ซ่งึ เปน็ การเลยี นเสียงหนูกัดไม้
๏ พระพายเจ้าพัด
โพธ์ิทองสะบดั ใบปัดฟัดกัน
เสยี งดงั กรง๊ิ กรา๊ ง ดจุ อยา่ งในสวรรค์
พระองค์ทรงธรรม์ ฟังสรรพสาเนยี ง
(ปลาบู่ทอง)
กวีกล่าวถึง กรง๊ิ กร๊าง ซ่งึ เปน็ การเลยี นเสยี งของใบโพธ์ิ
๔. การใช้โวหาร
โวหาร คอื ถ้อยคาทกี่ วใี ช้ในการส่ือสารท่ีมีการเรียบเรยี งเปน็ อย่างดี มวี ธิ ีการ มชี ั้นเชิงและมี
ศิลปะในการแต่งคาประพันธ์ เพื่อถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน และลึกซ้ึง ได้ตาม
วตั ถปุ ระสงค์ของกวี (มะเนาะ ยูเดน็ และวันเนาว์ ยูเดน็ , ๒๔๔๘: ๑๕)
๔.๑ บรรยายโวหาร
บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้ในการเล่าเรื่องราว หรืออธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ตามลาดับ
เหตุการณ์ เพ่ือให้ผู้อ่านได้รับความเข้าใจในเรื่องน้ันๆ อย่างละเอียด แจ่มแจ้ง การใช้ถ้อยคาจึงมัก
เลือกใชถ้ อ้ ยคาท่ีส่อื ความหมายตรงไปตรงมา (มะเนาะ ยเู ด็น และวันเนาว์ ยเู ดน็ , ๒๔๔๘: ๑๗)
๔๒
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง ปรากฏโวหารประเภทบรรยายโวหารไว้ในเน้ือ
เร่อื ง ดังตัวอยา่ งคาประพนั ธ์ต่อไปนี้
๏ เราถามโฉมงามตามจรงิ โพธ์ิทองงามย่ิง
จรงิ จรงิ เจ้าปลูกหรือไฉน
๏ สว่ นนางกาพร้าทรามวัย จึงแจ้งแถลงไข
ทูลไปแตแ่ รกเดมิ มา
๏ พระองคจ์ งทราบบาทา บิดาแห่งขา้
ชอื่ วา่ ทารกเศรษฐี
๏ มารดาแห่งข้าเจา้ นี้ นามกรอนั มี
ชอ่ื ว่านางแกว้ กนษิ ฐา
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้น เป็นการบรรยายเหตุการณ์ตอนท่ีท้าวพรหมทัตพบต้นโพธิ์เงินโพธ์ิ
ทองท่ีปลูกอยู่ในป่าแล้วเกิดความพอใจ จึงส่ังให้เสนาตามหาเจ้าของต้นไม้ทั้งสองต้นน้ี จนได้ทราบว่า
คนเล้ียงววั ช่ือวา่ นางเอือ้ ยเปน็ ผู้ปลูก จากนนั้ นางเอือ้ ยกไ็ ด้เล่าถึงประวัตติ นเองใหแ้ ก่ทา้ วพรหมทตั ฟงั
๔.๒ การใช้พรรณนาโวหาร
การใช้พรรณนาโวหาร คือ การใช้ถ้อยคาสานวนอย่างประณีตบรรจงในการเขียนเร่ืองราว
อย่างละเอียดบรรยายให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังนึกเห็นภาพ และเกิดความรู้สึกนึกคิดจินตนาการกับความ
ไพเราะของถ้อยคาน้ัน โดยใช้ภาษาที่ให้พลังด้านการส่ืออารมณ์ ทาให้ได้กลิ่น ได้ล้ิมรส ได้สัมผัส ได้
รสู้ กึ โดยอาศัยการสรา้ งกลวธิ ที างภาษาให้ผิดแปลกไปจากเดมิ เพื่อสื่อภาพที่ชัดเจน เพื่อส่ือสารสาคัญ
และเพอ่ื สรา้ งความหมายท่ลี กึ ซ้ึง (มะเนาะ ยูเดน็ และวันเนาว์ ยเู ด็น, ๒๔๔๘: ๑๗)
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง ปรากฏโวหารประเภทพรรณนาโวหารไว้ในเน้ือ
เร่อื งดังน้ี
การพรรณนาถงึ ความงดงามของหญงิ ดังตวั อยา่ งตอนหนง่ึ วา่
โดยดงั ประมาณ ๏ รูปรา่ งนางคราญ
งามยิ่งกวา่ เก่า สักสิบห้าปี
สาวพรมจารีย์ รอ้ ยเทา่ พันทวี
มีศรเี รืองรอง
จม้ิ ลิ้มย้มิ แย้ม ๏ ดวงพักตรจ์ กั แจ่ม
เอวบางรา่ งรัด แก้มคอื ปรางทอง
วรนุชผุดผอ่ ง กาดดั สมสอง
เรืองรองมีศรี
(ปลาบูท่ อง)
๔๓
จากคาประพันธ์ข้างต้น พรรณนาถึงความงดงามของนางเอ้ือยหลังจากพระฤๅษีชุบจากนก
แขกเต้าให้กลับมาเป็นสาวบริสุทธ์ิอายุ ๑๕ ปี อีกคร้ัง มีใบหน้าดูสดใส แก้มนวลผุดผ่องเหมือนปราง
ทอง
การพรรณนาถึงการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง คือ การสรา้ งภาพเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งต่างๆ
เช่น กริ ิยาอาการของมนษุ ย์ กิรยิ าอาการของสัตว์ รวมทง้ั กิริยาอาการของสรรพสงิ่ ตา่ งๆ ดังตัวอยา่ ง
ตอนหน่ึงวา่
๏ ทรงพระขนั แก้ว
ยุรยาตรคลาดแคลว้ ขึ้นบนเกยชัย
เสด็จเหนอื คอชา้ ง เยอ้ื งยา่ งออกไป
โยธาไสว ล้อมไปซ้ายขวา
๏ นักเทศขันที
แสนสาวชาวท่ี มากมีตามมา
เตี้ยค่อมล้อมแห่ เซ็งแซแ่ หห่ น้า
ธงเทียวซา้ ยขวา ระยา้ ชุมสาย
๏ พดั โบกจามร
กล้งิ กลดสลอน เลอื่ มเลอื่ มพรายพราย
แตรสังขฆ์ ้องกลอง กกึ กอ้ งวนุ่ วาย
สมเสร็จฤๅสาย ออกจากพารา
(ปลาบ่ทู อง)
จากคาประพันธ์ข้างต้น พรรณนาถึงการเคลื่อนไหวของขบวนการเดินทางโดยมีท้ังข้าทาส
บริวารตามเสรจ็ คอยดแู ลปรนนบิ ัติ และมีดนตรีมโหรีตลอดการเดินทาง และอีกตอนหน่ึงว่า
รบั พระโองการ ๏ อามาตยช์ ิดชาน
ตรวจตราม้ารถ ถวายบงั คมลา
เกณฑพ์ ลโยธา ผูกคชซ้ายขวา
หกหม่นื หา้ พัน
เรียงเรยี บเทียบไว้ ๏ ทัง้ พระยาคชไกร
อามาตย์เขา้ เฝา้ เกยชัยพร้อมกัน
พวกพลพรอ้ มกัน ทลู เทา้ ทรงธรรม์
เชิญเสดจ็ ลินลา
(ปลาบู่ทอง)
๔๔
จากคาประพันธ์ข้างต้น พรรณนาถึงการจัดเตรียมขบวนในการออกเดินทางของ
พระมหากษตั รยิ เ์ ตรียมรถม้า เตรียมผูกช้าง และผู้คนที่ตามเสด็จท้ัง ๖,๕๐๐ ต้ังขบวนโดยพร้อมเพียง
กนั
๔.๓ เทศนาโวหาร
เทศนาโวหาร เป็นโวหารทแี่ สดงการสั่งสอน หรือชักจูงให้ผู้อ่านเห็นคล้อยตาม ชี้แนะคุณและ
โทษสิ่งที่ควรปฏิบัติ หรือแสดงทัศนะในข้อสังเกต ในการเขียนผู้เขียนต้องใช้เหตุผลมาประกอบให้
ผอู้ า่ นเกิดความเชอ่ื มั่น เกดิ ความรสู้ กึ ด้วยตนเอง (มะเนาะ ยูเดน็ และวันเนาว์ ยเู ดน็ , ๒๔๔๘: ๒๒)
วรรณกรรมจากสมดุ ขอ่ ย เรื่อง ปลาบู่ทอง ปรากฏโวหารประเภทเทศนาโวหารไว้ในเนื้อเรื่อง
ในขณะที่นางเอื้อยกราบทูลแก่ท้าวพรหมทัตให้ไว้ชีวิตนางอ้าย ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ให้เป็น
เวรกรรมตดิ ตามตนไม่จบไมส่ ิ้น ดังปรากฏในบทประพันธด์ งั น้ี
อย่าให้มว้ ยจิต ๏ ขอแต่ชีวิต
จะเปน็ พยาบาท ขา้ คิดอนิจจา
แหง่ ข้าบริจา ฆาตเวรเวรา
เมอื่ หน้าจะมี
เหล่าทา่ นเกิดมา ๏ พระเจา้ เทศนา
ชาติกอ่ นเคยผลาญ ในโลกโลกีย์
เกดิ มาชาตินี้ ใหท้ ่านเป็นผี
ท่านจงึ เบียนตน
จะเป็นโทษใหญ่
ใหท้ ุกขแ์ ก่ทา่ น ๏ จะทาสบื ไป
บ่ได้เปน็ ผล ตามไปเวียนวน
ทุกนน้ั ถงึ ตน
ประโยชนเ์ ลยหนา
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นเป็นการเทศนา โดยที่นางเอ้ือยกราบทูลแก่ท้าวพรหมทัตไม่ให้คิด
อาฆาตพยาบาทต่อนางอ้าย จากนั้นได้กล่าวถึงว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงเทศนาเหล่ามนุษย์ท่ีเกิดมาบน
โลกว่าหากชาติกอ่ นเคยผลาญชีวติ ผ้อู นื่ เกดิ มาชาติน้ผี นู้ น้ั จะตามมาเบียดเบียน ถ้ากระทาการล้างแค้น
จองเวรจองกรรมต่อกัน ทุกข์เหล่านั้นจะคงวนเวียนให้ประสบแต่ความทุกข์ไม่จบไม่ส้ิน ซึ่งเป็นการ
กระทาที่ไม่ส่งผลให้เกิดประโยชนต์ อ่ กนั
๔.๔ สาธกโวหาร
สาธกโวหาร คือ โวหารท่ีมุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพ่ืออธิบายให้แจ่มแจ้งหรือ
สนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเช่ือถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริมบรรยายโวหาร
พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เช่น การเลือกยกตัวอย่างมีหลักที่ควรเลือกให้เข้ากับเนื้อความ
๔๕
อาจยกตวั อย่างสั้นๆ ในบรรยายโวหารหรืออาจยกตัวอย่างท่ีมีรายละเอียดประกอบในพรรณนาโวหาร
และเทศนาโวหาร (มะเนาะ ยูเด็น และวันเนาว์ ยูเดน็ , ๒๔๔๘: ๒๕)
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง ปรากฏโวหารประเภทสาธกโวหารไว้ในเน้ือเรื่อง
ในตอนท่ีเวรกรรมจะตามติดตัวผู้ให้โทษแก่คนอื่น โดยการยกตัวอย่างมารที่มาผจญพระพุทธเจ้า ดัง
ปรากฏในบทประพนั ธด์ ังนี้
ตรสั ดังน้ชี อบ ๏ นางจึงทลู ตอบ
ท้าวทรงพระโกรธ ใส่ไว้เกศี
เวราจะมี โปรดใหฆ้ า่ ตี
แก่ขา้ สืบไป
ผจญศาสดา ๏ ดุจดัง่ มารา
ทาผิดมดิ อยู่ แพอ้ ัปราชัย
ทากรรมกรรมให้ ไม่ร้วู า่ ภยั
ย่อมไม่พ้นตัว
(ปลาบทู่ อง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นนางเอ้ือยกล่าวถึงเวรกรรมท่ีจะตามติดตัวพระเจ้าพรหมทัตและนาง
เออ้ื ยเอง ทีส่ ง่ั ใหน้ างโขลนลงหวายนางอ้ายจนกว่าจะเสียชีวิต แต่นางเอ้ือยไม่เห็นด้วยจึงกราบทูลพระ
เจ้าพรหมทัตว่าให้ลงโทษแต่พอสมควร ไม่เช่นนั้นเวรกรรมจะตามติดตัวไปในภพหน้า เพราะการให้
ทุกข์แก่คนอื่นทุกข์นั้นย่อมกลับมาหาตัวเอง เหมือนกับที่มารมาผจญพระพุทธเจ้าจนมีกรรมติดตัวไป
ถือว่าเปน็ การยกตัวอยา่ งใหพ้ ระเจ้าพรหมทัตเขา้ ใจไดง้ า่ ยขึ้น