๔๖
คณุ คา่ ด้านสังคม
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง เป็นวรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความ
เป็นอยู่ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยท่ีเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวันของคนในอดีต
สามารถพิจารณาคุณคา่ ดา้ นสงั คม ได้ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. สะทอ้ นความเช่ือในสงั คม
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง นับเป็นวรรณกรรมท่ีสะท้อนความเชื่อในสังคมไว้
อยา่ งมากมาย ซ่งึ ผู้ศึกษาได้นามาอธบิ ายไว้ท้งั หมด ๗ เรอื่ ง ดงั น้ี
๑.๑ สะท้อนความเชือ่ เรอ่ื งกรรม
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนความเชื่อเรื่องบาปบุญไว้ในตอนท่ีนาง
เออ้ื ยทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นางอ้าย โดยนางอ้างเหตุผลเร่ืองกรรม ว่าเป็นผลมาจากชาติท่ี
แล้วที่ได้เคยกระทากรรมไว้ ชาติน้ีนางจึงต้องรับผลแห่งกรรม เช่นน้ีแล้วนางจึงไม่ต้องการสร้างเวร
สรา้ งกรรมต่อไป เพ่อื ให้กรรมน้ันจบลงแต่ชาตนิ ี้ ดงั คาประพนั ธต์ ่อไปน้ี
เราท่านเกิดมา ๏ พระเจา้ เทศนา
ชาตกิ ่อนเคยผลาญ ในโลกโลกยี ์
เกดิ มาชาตนิ ้ี ให้ท่านเป็นผี
ท่านจงึ เบยี นตน
จะเปน็ โทษใหญ่ ๏ จะทาสืบไป
ให้ทกุ ข์แก่ทา่ น ตามไปเวียนวน
บ่ได้เปน็ ผล ทุกนน้ั ถึงตน
ประโยชนเ์ ลยหนา
(ปลาบ่ทู อง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความเช่ือของสังคมในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีว่าการ
กระทาสิ่งใดลงไป ย่อมได้รับผลสะท้อนกลับมา แต่แม้ว่านางเอ้ือยจะขอพระราชทานอภัยโทษได้
สาเร็จแต่กรรมน้ันก็หาได้ละเว้นผู้ใดไม่ นางอ้ายยังคงต้องชดใช้กรรมท่ีตนก่อ ตามหลักความเช่ือแห่ง
พระพุทธศาสนาทว่ี า่ ทาดีได้ดี ทาชว่ั ได้ชว่ั หรอื ให้ทุกขแ์ ก่ทา่ นทุกขน์ ั้นถงึ ตน ดังคาประพันธต์ อ่ ไปน้ี
๏ มากูจะกนิ ยาตาย อยลู่ าบากกาย
จะตายใหพ้ ้นราคาญ ขอโทษโปรดปราณ
เอายามาพลัน
๏ ไมร่ ้วู ่านางนงคราญ
ประทานมใิ ห้อาสัญ
๏ เพราะกรรมตนทามาทนั
คนื นัน้ นางกนิ ยาตาย
๔๗
๏ นางดนิ้ ระส่าระสาย งอนงบั ดับกาย
ก็ตายอยูใ่ นจาจอง
(ปลาบทู่ อง)
กรรมที่นางอ้ายได้ฆ่านางเอื้อย และฆ่านกแขกเต้า ส่งผลให้นางต้องตายอย่างทรมานน่า
เวทนา ส่วนนางกนิษฐีท่ีทากรรมไว้กับนางกนิษฐาที่ไม่ว่านางจะเกิดเป็นอะไร นางกนิษฐีก็ตามไปล้าง
ผลาญนามาฆ่ากนิ ทง้ั ส้ิน อกี ทั้งยังสัง่ สอนให้ลูกของตนช่ัวช้าไปด้วย กรรมนี้ส่งผลให้นางต้องกินเนื้อลูก
ของตนเอง ดงั บทประพันธ์ต่อไปนี้
๏ ท้าวส่ังเพชฌฆาตท้ังสี่ ให้เถือ (ขาดหาย)
นน้ั ทาเนอ้ื สม้ จงไว้ บ่นั คอมือใส่
เนอื้ นั้นห่นั รอน
๏ ตรัสหวั ยัดลงกน้ ไห ผนึกปิดไว้
แขนขานัน้ ให้บน่ั รอน ใหก้ นิ เนือ้ กัน
๏ ให้ทาเหมือนเนื้อสุกร
พงุ ออ่ นตับปอดหวั ใจ
๏ ยดั ลงใหส้ ้ินในไห
อยา่ ให้ใครรสู้ าคญั
๏ เอาไปให้พ่อแม่มนั
เหมือนมนั มาลา้ งผลาญเขา
(ปลาบู่ทอง)
จากบทประพนั ธข์ ้างต้นนางกนิษฐีต้องกินเน้ือลูกของตน แม้ตนไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น ที่
ตอ้ งกนิ เน้อื ลูกในไส้ของตนเอง
๑.๒ สะทอ้ นความเช่อื เรือ่ งบาปบญุ
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนความเชื่อเรื่องบาปบุญไว้ในตอนท่ีท้าว
พรหมทัตพบกับนางเอ้ือยพบกันเป็นครั้งแรก ได้สนทนากันเร่ืองโพธิ์เงินโพธ์ิทอง ท้าวพรหมทัตเกิด
สงสารนางจึงรบั เลี้ยงนางไว้ พลางคานงึ วา่ คงจะเคยทาบุญร่วมกนั มา ดงั คาประพันธ์ต่อไปน้ี
๏ ชาตกิ อ่ นนวลนางทรามวยั เคยเกบ็ ดอกไม้
ร่วมใจดว้ ยกนั โดยดี
๏ ได้ถวายแก่พระชินสี จึงนางเทวี
ชาตนิ ้เี รามาพบกัน
(ปลาบู่ทอง)
๔๘
จากบทประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นความเชื่อท่ีว่า แม้นหญิงชายใดได้เก็บดอกไม้ร่วมต้น
ได้ทาบุญร่วมกัน อานิสงส์นี้จะส่งผลให้ได้เกิดมาครองรักกันในชาติต่อไป ดังสานวนที่ว่า ทาบุญร่วม
ชาติ ตักบาตรร่วมขัน นอกจากน้ีความเชื่อดังกล่าวยังปรากฏในบทเพลง ตามเนื้อหาท่ีว่า “ชาติก่อน
เราเคยค่เู คยี งเด็ดดอกไมร้ ่วมตน้ แต่ว่าเราสองคนไม่สนใจใส่บาตรรว่ มขัน ชาติน้เี ราสอง เราสองจึงต้อง
โศกศัลย์ รกั กันชอบกันไม่ได้กันบญุ เรานั้นไม่มี” ซ่ึงเน้ือเพลงดังกล่าวน้ีก็สะท้อนความเช่ือเช่นเดียวกับ
เรื่อง ปลาบู่ทอง จึงเป็นเคร่ืองช่วยยืนยันว่า ความเช่ือนี้มีมาแต่ครั้งโบราณกาลสืบมาจนบัดน้ีก็มิได้
เสือ่ มคลาย
๑.๓ สะทอ้ นความเช่ือเร่ืองไสยศาสตร์
วรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนความเช่ือเรื่องการทาเสน่ห์ไว้ในตอนท่ีนาง
เอ้ือยถูกนางกนิษฐีและนางอ้ายลวงไปฆ่าแล้วให้นางอ้ายสวมรอยเป็นนางเอ้ือย โดยมียายเฒ่า
กาลศิ าจซึ่งเป็นแมม่ ดหมอผชี ่วยทาเสน่หใ์ ห้แก่นางอา้ ย ดังคาประพนั ธต์ อ่ ไปน้ี
๏ ยายเฒ่ากาลศิ าจ แต่งนางนาฏด้วยคณุ ยา
เสกแป้งแตง่ ให้ทา ข้ีผ้งึ มาเสกให้ศรี
ใหท้ ้าวไทรกั เทวี
๏ น้ามนั เสกให้ใส่ ให้ยินดใี นพระทยั
ให้หลงดว้ ยมนตร์น้ี
(ปลาบทู่ อง)
จากบทประพนั ธข์ า้ งต้นเป็นการทาให้บังเกดิ ความรักและลุ่มหลงในตัวนางอ้าย ซึ่งเป็นการทา
เสน่ห์คุณไสยใส่แป้ง ข้ีผ้ึง และน้ามัน ให้แก่นางอ้ายเพื่อให้ท้าวพรหมทัตนั้นลุ่มหลงในตัวของนางอ้าย
นอกจากนีย้ งั มีบทประพันธ์ท่ีแสดงใหเ้ หน็ อาการของผถู้ ูกเสน่ห์คณุ ไสยดงั คาประพันธต์ ่อไปน้ี
๏ เม่อื น้ันจอมกษตั รยิ ์ พรหมทตั พระภูบาล
คร้นั คา่ ราตรกี าล ให้ราคานกล้มุ พระทัย
ใช้มาเล่าให้หลงใหล
๏ เพราะคุณของยายเฒ่า ห้องนางไทมเหสี
เสดจ็ มาสปู่ รางค์ใน
(ปลาบ่ทู อง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นเป็นอาการของท้าวพรหมทัต เม่ือถูกเสน่ห์คุณไสยแล้วจะมีอาการ
กระวนกระวายอย่ไู ม่สุขทนไม่ไหวจนตอ้ งเสด็จเขา้ ไปหานางอา้ ยถงึ ตาหนัก นอกจากความเชื่อเรื่องไสย
ศาสตร์เก่ียวกับการทาเสน่ห์แล้ว ยังมีความเชื่อที่เกี่ยวกับการดูฤกษ์ยามในตอนที่ท้าวพรหมทัตจะ
เสด็จไปในท่ตี า่ งๆ ดังปรากฏในบทประพันธ์ ดังนี้
๔๙
ชมพฤกษาใน ๏ เราเสดจ็ จักไป
แล้วสัง่ โหรา พพิ าดพงพี
เราจักจรลี ให้หาฤกษ์ดี
พรงุ่ น้นี ะเสนา
(ปลาบู่ทอง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นเป็นการเดินทางของพระมหากษัตริย์ ซึ่งก่อนที่จะเดินทางจะให้โหร
หาฤกษย์ ามอนั เป็นมงคลก่อนทีจ่ ะมีการเคลอ่ื นขบวน
๑.๔ สะทอ้ นความเชอื่ เร่อื งชาตภิ พ
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นความเชื่อเร่ืองชาติภพไว้ในตอนที่
นางกนษิ ฐาส้ินบุญจากคน แลว้ เกิดใหมเ่ ป็นปลาบทู่ อง ดงั ปรากฏในบทประพนั ธ์ดงั น้ี
ฉบิ หายวายชนม์ ๏ ส้ินบญุ จากคน
คิดถงึ ลกู นอ้ ย ไปเกิดเป็นปลา
ลกู ไดเ้ ห็นหน้า คอยซงั เซมา
มารดาทกุ วนั
(ปลาบทู่ อง)
จากคาประพันธข์ ้างตน้ สะท้อนให้เหน็ ถึงเรอ่ื งชาตภิ พ ในศาสนาพุทธเช่ือว่าคนเราเกิดมาไม่ได้
เกิดเพยี งชาตเิ ดียว ต้องมกี ารเวียนวา่ ยตายเกิด เม่ือสิ้นบุญไปแล้ว ก็ยังสามารถไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆ
ได้อีกเร่ือยไป ในวรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง เม่ือนางกนิษฐาตายไป ได้เกิดใหม่ในร่าง
ต่างๆ นอกเหนือจากเกิดเป็นปลาบู่ทองแล้ว ได้เกิดใหม่เป็นมะเขือเปราะ ดังปรากฏในบทประพันธ์
ดงั นี้
สองตน้ จาเพาะ ๏ มนั เปน็ มะเขอื เปราะ
มะเขือนัน้ แล อยู่ท่ีริมป่า
ตวั อกี าพรา้ แม่มันเกิดมา
มนั ไปเชยชม
(ปลาบ่ทู อง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึง นางกนิษฐาเม่ือตายไปแล้วได้เกิดใหม่เป็นมะเขือเปราะ และ
เมอื่ สิ้นบญุ จากการเป็นปลาบูท่ องและตน้ มะเขือเปราะ ก็ได้เกิดใหม่อีกครั้งเป็นต้นโพธิ์เงินโพธ์ิทอง ดัง
ปรากฏในบทประพันธด์ ังน้ี
๕๐
๏ พระเอ๋ยพระแม่เจา้ ลกู หายเศร้าโศกโศกา
ลูกรักสาคัญวา่ โพธิ์นีห้ นาคือชลนี
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึง นางกนิษฐาว่าได้เกิดใหม่อีกคร้ังเป็นต้นโพธิ์เงินโพธ์ิทอง ซึ่ง
ในวรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง นอกจากจะมีนางกนิษฐาที่เกิดใหม่ถึง ๓ คร้ังแล้ว ยังมี
นางเออ้ื ยทีต่ ายจากคนแลว้ เกิดใหมเ่ ปน็ นกแขกเตา้ ดังปรากฏในบทประพันธ์ดังน้ี
ครน้ั เจา้ ตายแลว้ ๏ กาพรา้ นางแก้ว
นางเอากาเนิด สิ้นชีพเป็นผี
เพราะกรรมยังมี เกดิ เปน็ ปักษี
นางไดส้ รา้ งมา
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึง นางเอ้ือยเม่ือสิ้นบุญจากคนได้เกิดข้ึนใหม่ในร่างของ
นกแขกเต้า จะเห็นได้ว่าความเช่ือเร่ืองชาติภพหรือการเวียนว่ายตายเกิด คือการการเปล่ียนร่างกาย
เมอื่ ยังคงมีกรรมกจ็ ะตอ้ งเกิดใหม่ไปเร่ือยๆ จนกวา่ จะนิพพาน
๑.๕ สะท้อนความเชือ่ เร่อื งการระลึกชาตไิ ด้
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นความเชื่อเร่ืองการระลึกชาติได้ ไว้
ในตอนที่นกแขกเต้านึกถึงว่าทาไมตนเองถึงเกิดเป็นเดียรฉาน จากนั้นด้วยบุญกุศลของนางเอื้อยจึง
ส่งผลใหน้ างราลกึ ชาติ กอ่ นเกิดเป็นนกแขกเต้าได้ ดงั ปรากฏในบทประพนั ธ์ดงั นี้
เปน็ นกแขกเต้า ๏ กาพรา้ หนุม่ เหนา้
นางนึกตรกึ ดู โฉมเจ้าโสภา
แต่หนใดหนา ตัวกูเกิดมา
มาเป็นเดยี รฉาน
มาเขา้ ใจดล ๏ เดชะกศุ ล
ราลกึ ชาตไิ ด้ แห่งนางนงคราญ
ตายเพราะคนพาล เห็นไปทุกประการ
มาเปน็ ปักษี
(ปลาบูท่ อง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงการระลึกชาติของนกแขกเต้า โดยปกติแล้วเมื่อเกิด
ใหมใ่ นร่างใหม่ จะไมส่ ามารถจดจาเร่อื งราวในชาตกิ ่อนได้ ซึง่ การระลึกชาติของนกแขกเต้าน้ัน ถือเป็น
๕๑
ลักษณะพิเศษ และเป็นความเช่ือหน่ึงในสังคมไทย เป็นส่ิงท่ีไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่คนในสังคมต่าง
เช่ือว่ามีจรงิ
๑.๖ สะทอ้ นความเชือ่ เร่อื งการอธิษฐาน
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นความเชื่อเร่ืองการอธิษฐาน ไว้ใน
ตอนทน่ี างเออื้ ยนาเกล็ดปลาฝงั ไว้ในดินแล้วอธิษฐานให้แม่จงงอกขึ้นเป็นมะเขือเปราะ จากน้ันเทวาคิด
สงสารนางเอ้ือย จงึ บันดาลใหต้ ้นมะเขอื เปราะงอกขน้ึ ดงั ปรากฏในบทประพนั ธด์ ังนี้
ใจจติ คิดปลง ๏ จึงขดุ ดินลง
เนื้อแทแ้ ม่ข้า ถงึ แม่อนั ตาย
เขาฆ่าให้ตาย นางปลาโฉมฉาย
จงงอกข้ึนมา
งอกพลันทนั เนื้อ ๏ จงเป็นมะเขือ
ให้เปน็ มะเขอื เปราะ ดังใจลกู รา
นางตัง้ สัจจา จาเพาะข้ึนมา
ธษิ ฐานด้วยพลัน
บนั ดาลธรณี ๏ เทวาอนั มี
ลูกดกใบเขียว งอกขึ้นค่กู นั
เตย้ี สงู ค้ากนั ก่ิงเลีย้ วเกีย่ วพัน
ดงู ามไสว
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้น สะท้อนให้เห็นความเช่ือเร่ืองการอธิษฐานต่อสิ่งศักด์ิสิทธิ์ การต้ัง
ความปรารถนา โดยท่ัวไปคอื การต้ังใจมุ่งผลอยา่ งใดอย่าง เมือ่ กระทากรรมดี เทวาย่อมให้ความเมตตา
และดลบนั ดาลใหเ้ กิดผลอย่างท่ีใจปอง นอกจากน้ีนางเอ้อื ยยังไดอ้ ธษิ ฐานให้แม่เกิดใหม่เป็นต้นโพธิ์เงิน
โพธทิ์ อง ดงั ปรากฏในบทประพันธด์ งั นี้
๏ ลูกรักจกั ปลูกไว้ ขอจงใหเ้ ปน็ โพธ์ิทอง
โพธ์เิ งนิ งามเรืองรอง เป็นทง้ั สองงามเหมือนกนั
นางน้องแก้วผ้เู อววนั
๏ คร้ันนางธษิ ฐานแล้ว วางลงพลนั เหนือธรณี
เอาเมด็ มะเขอื นั้น คดิ เอน็ ดูนางเทวี
เป็นโพธิ์เงนิ แลโพธิท์ อง
๏ เทวาอันสิงสู่ งามเป็นพมุ่ อยู่ทัง้ สอง
บนั ดาลให้เกิดมี โพธิท์ ้ังสองงามสดใส
๏ งอกขึ้นเขียวชอุ่ม
กงิ่ กา้ นงามเรืองรอง
(ปลาบทู่ อง)
๕๒
จากคาประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึง การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเม่ือได้ประกอบคุณงามความดี
และการตั้งจิตอธิษฐานในส่ิงท่ีต้ังความปรารถนานั้น หากมีบุญมาก การอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผล
สัมฤทธ์ติ ามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ ซ่ึงนางเอื้อยเป็นบุตรที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา และกระทา
แต่กรรมดี ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ดังเช่นเทวาจึงให้ความเมตตาเอ็นดู ส่งผลให้การอธิษฐานท้ังสองครั้ง ของนาง
เอ้อื ยประสบความสาเร็จดัง่ ตัง้ ใจ
๑.๗ สะท้อนความเชอื่ เรือ่ งการเคารพสิ่งศกั ดิ์สทิ ธ์ิ
วรรณกรรมสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนความเช่ือเร่ืองการเคารพส่ิงศักดิ์สิทธิ์ในตอนท่ี
ท้าวพรหมทัตหลงป่าแล้วได้เข้าพักค้างคืนที่ใต้ร่มต้นไทรขนาดใหญ่ ซึ่งมนุษย์มีความเช่ือส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ
เทวดาอารักษ์ท่ีอาศัยอยู่ในป่า เมื่อต้องไปนอนค้างในป่าก็ต้องบูชากราบไว้เพื่อเป็นการเคารพและ
ขอให้เทวดาอารกั ษค์ ุม้ ครอง ดังคาประพนั ธต์ ่อไปน้ี
พระทัยไหวหว่ัน ๏ ยามเยน็ วันนัน้
บรรทมม่อยม่อย สน่ันเพราะเพียง
เทพาบ่ายเบยี่ ง ละห้อยด้วยเสยี ง
เล้าโลมราชา
บันดาลการแถลง ๏ ท้าวตรสั ให้แตง่
ขนมนมเนย แตง่ เครือ่ งโอชา
ถวายแกเ่ ทวา ของเสวยยกมา
อารักษพ์ ระไทร
(ปลาบทู่ อง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าในคืนนั้นท้าวพรหมทัตนั้นนอนไม่หลับจึงได้สั่งให้คน
จัดหาอาหารมาถวายเทวดาอารักษ์ที่อาศัยอยู่ท่ีต้นไทร เพ่ือเป็นการเคารพบูชาเมื่อต้องมาพักอาศัยที่
เขาอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงความเช่ือท่ีว่าทุกสถานท่ีจะมีส่ิงศักด์ิสิทธิ์คุ้มครองดูแลอยู่ แม้กระทั่งต้นไม้ก็
จะมีเทพดูแลท่ีเรียกว่า เทพารักษ์ ซึ่งตามธรรมดาแล้วหากกระทาส่ิงใดกับต้นไม้น้ันก็จะต้องทาความ
เคารพเพื่อขออนุญาตเสียก่อนดังท่ีพระเจ้าพรหมทัตบวงสรวงเทพารักษ์เม่ือจะบรรทมได้ร่มไม้นั้น ซ่ึง
นบั วา่ สะท้อนความเชื่อเรื่องการเคารพต่อส่ิงศักด์สิ ทิ ธิ์ไดอ้ ย่างชดั เจน
๒. สะทอ้ นวถิ ชี วี ิตความเป็นอยู่ในสังคม
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในสังคม ทั้งความ
เปน็ อยูข่ องสามญั ชน และความเป็นอย่ขู อชนชัน้ สงู วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง นับเป็น
นิทานพืน้ บา้ นของไทยท่สี ะทอ้ นวัฒนธรรมความเป็นอยขู่ องผู้คนในสมัยก่อนอย่างชัดเจน ดังน้ี
๕๓
๒.๑ สะท้อนวถิ ีชีวติ ความเป็นอยขู่ องสามญั ชน
วรรณกรรมจากสมดุ ขอ่ ย เรอ่ื ง ปลาบู่ทอง สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนไว้หลาย
อยา่ ง คอื การเลี้ยงสตั ว์ การทาหกู การทาอาหาร ความกตัญญตู ่อบพุ การี มีรายละเอียดดังน้ี
๒.๑.๑ การเลี้ยงสัตว์
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นถึงการเล้ียงสัตว์ เช่น วัว
ควาย หมา แมว เป็ด ซ่ึงทาให้เหน็ ถึงวิถีชีวิตชนบทของคนสมัยก่อน ในตอนท่ีท้าวพรหมทัตได้สนทนา
กบั นางเออ่ื ย วา่ เป็นลูกของใคร แลว้ ใครใหม้ าเล้ยี งวัว ควาย ดงั ปรากฏในบทประพนั ธ์ ดังนี้
๏ บดิ ามารดาอย่ไู หน นามกรชื่อใด
จึงใช้มาเลี้ยงววั ควาย ยอ่ มทาหกู ฝ้าย
๏ ธรรมเนยี มเป็นหญงิ ท้งั หลาย
ววั ควายมใิ ช่การหญงิ
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการเล้ียงวัวเป็นหน้าที่ของผู้ชายไม่ใช่หน้าที่ของผู้หญิง
ซ่ึงคนสมัยก่อนเช่ือว่าผู้ชายเป็นเพศที่มีความแข็งและอดทนสูง จึงให้ผู้ชายไปทางานนอกบ้านเพ่ือหา
เล้ียงครอบครัว นอกจากเลี้ยงวัว ควายแล้วยังมีหมา แมว และเป็ดที่บ้านของเศรษฐีทารกเล้ียงไว้ ดัง
ปรากฏในบทประพันธ์ ดังนี้
มนั บอกยอกย้า ๏ แมวหมาเจา้ กรรม
ว่าไม่เหน็ เนตร รว่ มคารว่ มใจ
กาพรา้ ร้องไห้ ปฏเิ สธเร้นไป
ถึงไทมารดา
เปด็ เห็นทรามวยั ๏ นางนัง่ ร้องไห้
ร้องเรียกเทวี มใี จกรุณา
มาใหใ้ กล้ขา้ มานก่ี ่อนรา
จะบอกเอาบุญ
(ปลาบ่ทู อง)
จากคาประพนั ธข์ า้ งต้นแสดงใหเ้ หน็ วา่ จะมีสตั วห์ ลายชนิดทีบ่ ้านของเศรษฐีทารกเลี้ยงไว้ มีท้ัง
หมา แมว จะเห็นได้ว่าเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของคนในชนบทที่มีหมาแมวเลี้ยงไว้เป็น
เพื่อน สว่ นเป็ดเล้ยี งไว้เพ่อื การเกษตร
๕๔
๒.๑.๒ การทาหกู
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรอ่ื ง ปลาบู่ทอง สะทอ้ นให้เหน็ ถึงการทาหูก การทอผ้านั้น
ต้องอาศัยฝีมือและความรู้ความชานาญของผู้ทอเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นงานบ้านงานฝีมือเฉพาะ
ผู้หญงิ ในสมัยนัน้ ในตอนทท่ี า้ วพรหมทัตได้สนทนากับนางเอื่อย ว่าเป็นลูกของใคร แล้วใครให้มาเลี้ยง
วัว ควาย ท้ังที่การเลี้ยงสัตว์เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ส่วนหน้าที่ของผู้หญิงจะเป็นการทอหูกทอฝ้าย ดัง
ปรากฏในบทประพนั ธ์ ดงั นี้
๏ บิดามารดาอยไู่ หน นามกรช่อื ใด
จงึ ใชม้ าเลยี้ งวัวควาย ยอ่ มทาหกู ฝ้าย
๏ ธรรมเนยี มเป็นหญงิ ท้งั หลาย
ววั ควายมใิ ชก่ ารหญงิ
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการทอหูกฝ้ายเป็นหน้าท่ีของผู้หญิงในสมัยน้ัน เพราะ
ถอื ว่าเป็นงานทตี่ ้องอาศยั ความประณีตบรรจง ซ่งึ แสดงให้เหน็ วา่ ในสมัยน้ันประชาชนยังคงนิยมทอหูก
ฝ้ายอยู่ เม่ือเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้วการทอหูกฝ้ายยังคงเป็นหน้าที่ของผู้หญิง แสดงว่าสังคมใน
สมัยก่อนและสมัยปัจจบุ นั ก็ยงั มธี รรมเนยี มในการปฏิบตั ิเชน่ เดียวกัน
๒.๑.๓ การทาอาหาร
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตในเรื่องการ
ทาอาหารในตอนที่นางกนิษฐีและนางอี่ได้นาเน้ือส้มมาหลนกินเป็นอาหาร การทาอาหารที่ปรากฏให้
เหน็ ในเร่อื ง ปลาบทู่ อง ดงั คาประพันธต์ อ่ ไปน้ี
ควกั เนอ้ื ในไห ๏ นางอเ่ี ขา้ ไป
เอามาอักขู ดว้ ยใจถวิล
ชวนกันกินส้ิน หลนสูก่ นั กนิ
แมล่ กู ผัวเมยี
(ปลาบทู่ อง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นการทาอาหารประเภทหลน ซ่ึงทาจากเนื้อส้ม โดยมี
กรรมวิธีเป็นการถนอมอาหาร โดยนาเนื้อมาหมักไว้ในไหเพื่อจะได้เก็บไว้รับประทานได้ยาวนาน
นอกจากการทาหลนแลว้ ยังมีการทาอาหารประเภทอืน่ อีก ดงั คาประพนั ธ์ตอ่ ไปนี้
๏ ต้มแกงแต่งควั่ เจยี ว แล้วบดั เดยี๋ วทันเวลา
ยายครวั ยกเขา้ มา ให้ฉายานางทรามวยั
(ปลาบทู่ อง)
๕๕
จากคาประพันธ์ข้างต้นเป็นการทาอาหารประเภทต้ม แกง คั่ว เจียว ซ่ึงกรรมวิธีใน
การทาอาหารของคนในสมยั กอ่ นยงั คงปรากฏให้เหน็ มาจนถึงปจั จบุ ัน
๒.๑.๔ ความกตัญญตู ่อบพุ การี
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นถึงการมีความกตัญญูต่อ
บุพการใี นสมยั นั้น ในตอนท่ีนางเอื้อยเสร็จภารกิจจากการเล้ียงวัวแล้วรีบนาราข้าวมาให้แม่ปลาบู่ทอง
ทีร่ ิมฝงั่ นา้ ดงั คาประพนั ธต์ อ่ ไปน้ี
กาพร้าบงั อร ๏ เย็นลงรอนรอน
ถงึ บา้ นมิช้า ต้อนววั เขา้ ไป
เอาราลงไป เจ้ามาคลาไคล
จกั ให้มารดา
แมค่ ุณทนู เกลา้ ๏ เรยี กแลว้ เรยี กเล่า
ราออ่ นรอ่ นไว้ เจ้าไปไหนหนา
เชิญมาแม่มา จกั ใหม้ ารดา
นางปลาบ่ทู อง
มาเรว็ มารา ๏ อย่าเคยี ดลูกยา
เฝ้าเรียกรมิ ฝั่ง อย่าช้าโดยปอง
นางปลาบ่ทู อง ร้อยช่งั น่งั มอง
ไปไหนไมม่ า
(ปลาบู่ทอง)
จากคาประพนั ธข์ า้ งต้นแสดงให้เห็นวา่ นางเอ้ือยมีความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาเป็นอย่างมาก
เพราะหลังจากทน่ี างเอื้อยต้อนวัวเข้าคอกเสร็จแล้ว นางเอ้ือยจะรีบนาราข้าวมาให้แม่ท่ีเกิดเป็นปลาบู่
ทองกินทันที เป็นการตอบแทนพระคุณที่แม่เล้ียงมาต้ังแต่เด็ก นอกจากน้ีวรรณกรรมจากสมุดข่อย
เร่ือง ปลาบู่ทอง ยังสะท้อนให้เห็นว่านางเอื้อยมีความกตัญญูบิดาเป็นอย่างมาก ในตอนที่นางกนิษฐี
บอกให้นางอ้ายมาโกหกนางเอื้อยที่อยู่ในวังว่าบิดาของของนางเอ้ือยจะเสียชีวิต และอยากจะเห็นนาง
เอ้ือยเป็นคร้ังสุดท้าย หลังจากฟังนางอ้ายเล่าเรื่องแล้วนางเอื้อยก็รีบกลับบ้านไปหาพ่อทันที ดังคา
ประพนั ธ์ดงั ตอ่ ไปนี้
๏ บดั นี้พระบดิ า ปว่ ยหนักหนาแทบอาสัญ
ปว่ ยไขไ้ ดห้ ลายวัน ใชม้ าพลนั ทูลพย่ี า
๏ ให้เชิญพี่ออกไป พอเห็นใจพระบดิ า
จะใกลส้ ้นิ วิญญาณ์ ถ้าอยชู่ ้าไมเ่ ห็นใจ
๏ สว่ นวา่ นางพญา ฟังนอ้ งวา่ พาซื่อไป
ไมร่ ูว้ ่าโพยภยั มันมาใกล้ถึงเทวี
(ปลาบู่ทอง)
๕๖
จากคาประพันธ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่านางเอื้อยมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดาเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเมื่อตอนนางเอื้อยเป็นเด็กจะไม่ได้รับการดูแลจากบิดาเป็นอย่างดีก็ตาม แต่เม่ือน้องสาวของ
ตนเองมากราบทูลก็รีบรุดไปหาพ่อทันที แสดงให้เห็นว่านางเอื้อยมีความรักและความกตัญญูต่อบิดา
ผู้ให้กาเนิด เพราะสังคมไทยมีค่านิยมความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ซ่ึงความเช่ือเหล่านี้ยังเป็นการ
ปลกู ฝงั ใหบ้ ุตรหลานรู้จักสานึกและตอบแทนบญุ คุณมาทุกยคุ ทุกสมัย
๒.๒ สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนช้นั สงู
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนช้ันสูงไว้หลาย
อย่าง คือ การแต่งกาย การประพาสป่า การประโคมดนตรี การคล้องช้าง การมีข้าราชบริพารเฝ้ารับ
ใช้ การทาขวญั มีรายละเอยี ดดังน้ี
๒.๒.๑ การแตง่ กายของกษตั ริย์
วรรณกรรมจากสมุดขอ่ ย เรอื่ ง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นถึงการแต่งกายของกษัตริย์
ในสมัยน้ัน ในตอนที่ท้าวพรหมทัตได้สนทนากับพระลบทกุมารเรื่องนางเอื้อย เมื่อทราบความจริงท้ัง
สองจึงพากันไปรบั นางเอ้ือย แต่กอ่ นเดินทางนน้ั ไดม้ กี ารกลา่ วถึงการแต่งกายไว้ ดงั คาประพันธ์ตอ่ ไปนี้
อมุ้ พระลูกแก้ว ๏ สรงคงคาแล้ว
ใหท้ รงภษู า สู่แท่นบรรจง
เครื่องทองฉลององค์ หตั ถาธามรงค์
ทรงพระกาไล
สารับประดบั องค์ ๏ แล้วท้าวเธอทรง
สิบนว้ิ พระหัตถ์ ทรงเครอื่ งเรืองใส
แสงแก้วแววไว เนาวรตั น์ประไพ
ทรงสรอ้ ยสงั วาล
(ปลาบ่ทู อง)
จากคาประพันธ์ข้างต้นทาให้ทราบได้ว่ากษัตริย์ในยุคน้ันมีการทรงเครื่องหรือแต่งกายอย่าง
สวยงาม คือ มีสร้อยสงั วาลคาดองค์ สวมแหวนท้ังสิบนิ้ว ซึ่งแหวนน้ัน ประดับประดาไปด้วยเนาวรัตน์
คือ แก้วเก้าประการ ได้แก่ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทายและไพทูรย์
สะทอ้ นให้เห็นภาพท่สี งา่ งามของกษตั ริย์ทหี่ าผใู้ ดเปรียบมิได้
๒.๒.๒ การประพาสปา่
วรรณกรรมจากสมดุ ขอ่ ย เร่อื ง ปลาบทู่ อง สะท้อนให้เห็นถึงธรรมเนียมการประพาส
ปา่ ของกษัตรยิ ท์ ่มี ีมาแต่โบราณ ไวใ้ นตอนทีท่ า้ วพรหมทตั เสด็จประพาสป่า ดงั บทประพันธ์ต่อไปนี้
๕๗
พรหมทตั ธริ าช ๏ เม่อื นนั้ พระบาท
จกั ใครป่ ระพาส พระทัยราคาญ
มพี ระโองการ ปา่ ดงพงสาร
ตรสั สั่งเสนา
ผูกคชกณั ฐัศว์ ๏ ให้เตรยี มเกณฑ์หัด
เสนีรี้พล เร่งรดั ตรวจตรา
เราจักลินลา พหลซ้ายขวา
พพิ าสพงไพร
(ปลาบู่ทอง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นทาให้ทราบว่าในยุคน้ันกษัตริย์จะนิยมประพาสป่า คือ เท่ียวป่า ซ่ึง
ธรรมเนียมการประพาสป่านี้ปรากฏในวรรณกรรมหรือนิทานพ้ืนบ้านอีกหลายเร่ือง สะท้อนให้เห็น
ความเป็นอยู่ของกษัตริย์ว่าเมื่อเบ่ือที่จะอยู่ในพระราชวังก็จะเสด็จประพาสป่าเพื่ อชมธรรมชาติท่ี
งดงาม
๒.๒.๓ การประโคมดนตรี
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นธรรมเนียมการประโคม
ดนตรีในเวลาที่กษัตริย์บรรทม ในตอนที่ท้าวพรหมทัตเสด็จประพาสป่าและได้บรรทมในพลับพลาใต้
ร่มโพธ์ิ ดังคาประพันธ์ต่อไปน้ี
เสภาดนตรี ๏ ทา้ วไทใหม้ ี
จบั ปสี่ ซี อ มโหรเี พลงใน
ขับกล่อมจอมไตร ขบั ทอกนั ไป
ทา้ วไทบรรทม
(ปลาบทู่ อง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นธรรมเนียมการประโคมดนตรี เพ่ือขับกล่อม
พระมหากษตั รยิ ์ในเวลาบรรทมที่มีมาแตโ่ บราณ
๒.๒.๔ การคลอ้ งชา้ ง
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นธรรมเนียมการคล้องช้าง
ไว้ในตอนท่ีพรานป่ามากราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทราบว่ามีช้างเผือกในป่า ทันใดน้ันพระเจ้า
พรหมทัตตรสั สัง่ ใหเ้ สนาเตรียมไพร่พลออกไปคลอ้ งชา้ งทันที ดังบทประพันธ์ต่อไปน้ี
๏ เมอ่ื น้นั พรหมทัตภูบาล ท้าวได้ฟงั สาร
นายพรานมาทลู แถลงไข
๕๘
๏ ตรัสสง่ั เสนานอกใน เรง่ เรว็ ฉับไว
คชไกรพระทนี่ ั่งผกู มา หมอควาญหาญกล้า
๏ ชา้ งต่อชา้ งไล่ให้หา
ตรวจตราจงเร็วอย่านาน
(ปลาบทู่ อง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความสาคัญของช้างในยุคนั้นที่มีต่อราชสานัก
เนื่องจากกษัตริย์จะต้องใช้ช้างไว้สาหรับเสด็จไปท่ีต่างๆ เพื่อแสดงถึงพระเกียรติยศ เช่น เสด็จ
ประพาสป่า หรือเมื่อเกิดศึกสงคราม ช้างยังทาหน้าที่เป็นพาหนะของกษัตริย์ในยามออกรบอีกด้วย
ช้างจึงเปน็ สัตวท์ ่ีสาคญั ตอ่ พระมหากษัตริย์ ราชสานักจึงต้องจับช้างมาขึ้นระวางเป็นช้างหลวง ซึ่งการ
จับช้างน้ีมี ๒ วิธี คือ โพนช้าง เป็นวิธีคล้องช้างโดยเอาช้างต่อไปเท่ียวต้อนคล้องเอา และวังช้าง เป็น
วิธจี ับชา้ งโดยต้อนเข้ามาอยใู่ นวงลอ้ มทง้ั โขลง ซงึ่ ในเนื้อเรือ่ งปลาบู่ทองนใ้ี ชว้ ิธีโพนช้าง เนอ่ื งจากใช้ช้าง
ต่อในการคล้องช้าง
นอกจากน้ียังสะท้อนให้เป็นถึงความเช่ือเร่ืองช้างคู่บารมี คือ ช้างเผือก ตามความเชื่อที่ว่า
ช้างเผือกคือช้างทห่ี าไดย้ ากนัก และต้องมีลักษณะพิเศษที่เรียกว่าคชลักษณ์ที่ต้องตามธรรมเนียม ช้าง
นั้นหากกษัตริย์พระองค์ใดได้ครอบครองก็จักช่วยส่งเสริมให้พระเกียรติยศเกรียงไกรไปทั่วทุกแห่งหน
พระเจ้าพรหมทัตจึงดีพระทัยที่มีช้างเผือกเกิดขึ้น และเร่งเสด็จพระราชดาเนินไปคล้องช้างด้วย
พระองคเ์ อง จึงนับไดว้ ่าวรรณกรรมเรื่องปลาบูท่ องนบ้ี นั ทึกความเชื่อน้ไี ว้ได้อย่างชัดเจน
๒.๒.๕ การมขี ้าราชบรพิ ารเฝ้ารับใช้
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นถึงพระมหากษัตริย์ที่มีข้า
ราชบรพิ ารเฝ้ารับใช้ใกล้ชิด ไว้ในทุกตอนท่ีปรากฏถึงท้าวพรหมทัตซึ่งจะต้องมีข้าราชบริพารเฝ้ารับใช้
อยเู่ สมอ ดงั คาประพนั ธ์ต่อไปนี้
ธงชยั สล้าง ๏ ท้าวบ่ายหน้าช้าง
แสนสาวชาวท่ี สองข้างราชา
รถรตั นห์ ัตถา มะม่ตี ามมา
บา่ ยหน้าผนั ผาย
(ปลาบูท่ อง)
จากคาประพนั ธข์ า้ งตน้ สะท้อนให้เห็นภาพขา้ ราชบริพารจานวนมากที่ตามเสด็จรับใช้พระเจ้า
พรหมทัต ซ่ึงปรากฏเป็นชื่อตาแหน่งข้าราชบริพารในสมัยน้ันไว้ดังน้ี ชาวท่ี ค่อมเค่า อามาตย์ เกณฑ์
หดั และชดิ ชาญ ซ่งึ ชดิ ชาญนเี้ ปน็ ตาแหน่งมหาดเล็ก ๒ คน คือ ชิดภบู าล และชาญภูเบศร์
นอกจากพระเจ้าพรหมทัตแล้วนางเอ้ือยเม่ือเข้ามาเป็นมเหสีแล้ว ก็มีข้าราชบริพารเฝ้ารับใช้
เช่นกัน ปรากฏในตอนท่ีนางเอ้ือยจะเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมบิดาตามกลลวงของนางกนิษฐี ดัง
คาประพนั ธต์ อ่ ไปน้ี
๕๙
๏ เรยี กหาพระวอทอง งามเรอื งรองอนั เคยทรง
ขา้ สาวงามบรรจง ห้อมล้อมองคอ์ ยูเ่ รยี งรัน
พัดโบกปองบังสุริฉัน
๏ เสดจ็ ขึน้ พระวอทอง ออกมาพลนั จากเรือนทอง
นางนาฏจงึ ผาดผนั ลอ้ มนางไทอยเู่ นืองนอง
ม่ีกกึ ก้องหอ้ มลอ้ มไป
๏ เฒา่ แก่ชาวแม่ใน
แตรสังข์ทัง้ พาทยฆ์ อ้ ง
(ปลาบู่ทอง)
จากบทประพันธ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาพนางเอ้ือยที่มีข้าราชบริพารเฝ้ารับใช้มากมาย ซึ่ง
ต่างจากตอนท่ีเป็นสามัญชนอย่างส้ินเชิง กล่าวคือ นางข้ึนวอทองมีพลแบกหามนางไป มีพัดโบกบัง
แสงอาทิตย์ไม่ให้ต้องกายนาง ในขบวนเสด็จมีข้าทาสบริวารติดตามจานวนมาก อีกท้ังยังมีดนตรีและ
แตรสงั ข์ประโคมในขณะเคล่ือนขบวนด้วย
๒.๒.๖ การทาขวญั
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง สะท้อนให้เห็นถึงธรรมเนียมการทาขวัญ
ในราชสานัก ในตอนที่ทาพิธีบายศรีสู่ขวัญต้อนรับนางเอ้ือยกลับมายังวัง หลังจากท่ีนางเอ้ือยได้ไปตก
ระกาลาบากอยู่ในป่าเป็นเว ลานาน โ ดยที่ท้าว พรหมทัตส่ังให้นางในเตรียมบายศรี
เจ็ดช้ัน ประดับด้วยทอง จากน้ันได้ให้โหรพราหมณ์ทาพิธีเรียกขวัญ และจัดงานสมโภชกันอย่าง
ยงิ่ ใหญ่ ดังคาประพันธต์ ่อไปนี้
๏ ครั้นถึงซ่งึ วงั ราชา ตรสั สง่ั ใหห้ า
บรรดาช่างแตง่ บายศรี
๏ เจด็ ชน้ั ทาขวญั เทวี เคร่ืองทองรองที่
บายศรีอนั งามเรืองรอง
๏ แต่งองค์นางทรงเครอ่ื งทอง เสดจ็ แลว้ โดยปอง
เคร่ืองทองอันงามซา้ ยขวา
๏ ใหย้ กบายศรเี ข้ามา โหรพราหมณพ์ ฤฒา
โหราเข้ามาอวยพร
๏ ชาวแม่เฒ่าแกส่ ลอน ต่างตา่ งอวยพร
ยอกรเวยี นเทียนซา้ ยขวา
๏ แตรสังขว์ งั เวงไปมา พาทย์ฆ้องสามลา
เสภาดนตรมี นี น้ั
๏ แต่งการสมโภชครบครนั ทา้ วไททาขวัญ
เจ็ดวนั สนัน่ ครื้นไป
(ปลาบทู่ อง)
๖๐
จากบทประพันธ์ขา้ งต้นเป็นการทาพิธีบายศรีสู่ขวัญซ่ึงเป็นพิธีที่สาคัญท่ีใช้แทบทุกโอกาส ถือ
เปน็ พิธีเรยี กขวัญใหม้ าอยู่กับตวั พิธีสู่ขวญั น้เี ปน็ ไดท้ ้งั การแสดงความช่ืนชมยินดี และเป็นการปลอบใจ
ให้เจ้าของขวัญ ซ่ึงเปน็ ธรรมเนยี มที่ปฏิบัตมิ าแต่โบราณ
๓. เครอ่ื งบนั ทกึ ชอื่ สรรพสัตว์และพรรณไม้นานาชนิด
วรรณกรรมจากสมุดข่อย เร่ือง ปลาบู่ทอง นับเป็นนิทานพ้ืนบ้านของไทยท่ีเป็นเครื่องบันทึก
ชือ่ พรรณไมแ้ ละสตั วน์ านาชนดิ ซง่ึ บางชนดิ ไม่สามารถพบได้ในปัจจุบันถือว่าเป็นเครื่องบันทึกสังคมได้
อย่างชัดเจน ดงั นี้
๓.๒ ชื่อสตั ว์
ชือ่ สตั ว์ทีป่ รากฏในวรรณกรรมจากสมดุ ขอ่ ย เรอื่ ง ปลาบทู่ อง ไมน่ บั คาไวพจน์ มดี ังตอ่ ไปนี้
ลาดบั ชอ่ื สตั ว์ ความหมาย
๑. กรอก น. ชื่อนกยางขนาดเลก็ ตัวสีนา้ ตาลแดง หลงั สเี ทาดา อกสแี ดง
๒. กระต่าย น. ช่ือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ขนปุย หูยาว ท่ีพบอาศัยตามป่า
ทั่วไป
๓. กระแต น. ชอ่ื สัตว์เล้ียงลูกด้วยนม รูปร่างคล้ายกระรอก แต่อยู่ต่างวงศ์กันและมี
ขนาดเลก็ กวา่ ปากแหลม ไมม่ ฟี ันแทะกินท้งั สัตว์และผลไม้
๔. กระทา น. ช่ือนกขนาดเล็กชนิดหนึง่ ลาตวั กลม ขนลายเป็นกระ ปกี และหางสั้น
๕. กระทิง น. ช่อื ววั ปา่ ทใี่ หญท่ ่สี ดุ ชนิด
๖. กวาง น. ช่ือสัตว์เค้ียวเอ้ือง เป็นสัตว์กีบคู่ ลาตัวเพรียว คอและขายาว หางสั้น
ตวั เมยี เล็กกวา่ ตัวผู้
๗. กาเหวา่ น. ชื่อนกขนาดกลางชนดิ หนึง่ ตาแดงหางยาว ตวั ผู้สีดา ตัวเมียสีน้าตาล
๘. ไก่เถื่อน น. ไก่ป่า
๙. เขาไฟ น. นกเขาชนดิ หนึง่ มชี อื่ เรยี กวา่ นกเขาไฟ
๑๐. คลง้ิ น. นกก้งิ โครง
๑๑. ควาย น. ชื่อสัตวเ์ ค้ยี วเอ้ืองชนดิ
๑๒. คา่ ง น. ช่ือสตั ว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนม ลักษณะคล้ายลงิ ขนสเี ทาหรือดา ลาตัว แขน
ขา และหางยาวกว่าลงิ ทั่ว ๆ ไป กนิ ใบไมแ้ ละผลไม้
๑๓. ค่มุ น. ชอื่ นกขนาดเล็กชนดิ หนึ่ง ลาตวั อว้ นป้อม ปีกเลก็ ส้ันแขง็ แรง
๑๔. เคา้ น. ช่ือนกขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ชนิดหน่ึง หัวโต ตาโตอยู่ทางด้านหน้า
ของหัว
๑๕. จอก น. ชอ่ื ไมน้ า้ ชนิดหนึ่ง ลอยอย่บู นผิวนา้
๑๖. จาบ น. นกกระจาบ
๑๗. จบิ น. นกกระจิบ
๖๑
ลาดับ ชือ่ สตั ว์ ความหมาย
๑๘. ฉะมัน มากจากสมนั น. ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกดว้ ยนมชนิดหนึง่
น. ชอ่ื สัตวเ์ ลีย้ งลูกด้วยนม แขนยาวมาก ไม่มหี าง ขนยาวนุ่มเดินตัวตงั้
๑๙. ชะนี ตรงได้ ห้อยโหนอยู่ตามตน้ ไม้ สงู ๆ รอ้ งเสียงดัง เสยี งรอ้ งแสดงถงึ อาณา
เขตของแตล่ ะคู่
๒๐. ช้าง น. สัตว์สี่เทา้ ตวั โตกว่าสตั ว์สเ่ี ทา้ ท้งั ปวง มีงวงและงา เปน็ สัตว์กินพืช
น. ช้างในตระกูลชาติพรหมพงศ์ อิศวรพงศ์ พิษณุพงศ์หรืออัคนิพงศ์ ที่มี
๒๑. ชา้ งเผือก ลักษณะ ๗ สี คือ ขาว เหลือง เขียว แดง ดา ม่วง เมฆและมีตา เล็บ ขน
เป็นต้น
๒๒. ทราย น. ชอื่ กวางชนิดหน่ึง
๒๓. นกกด น. ชื่อนกชนดิ หน่งึ
๒๔. นกแขกเตา้ น. นกแก้วชนดิ หนึ่ง ถือว่าเป็นนกประจาถน่ิ
๒๕. นกพรกิ น. ชื่อนกขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ปากสีเหลืองหางตาสีขาว ตัวสีน้าตาลเป็น
มันวาว
๒๖. นกลาง น. นกกะลาง
๒๗. โนรี น. ชอ่ื นกปากขอขนาดเล็กหลายชนดิ ตวั มีสีสนั สวยงาม
๒๘. บ่าง น. สัตวส์ ี่เท้าชนิดหน่งึ ตวั คลา้ ยกระรอก โต เกือบเทา่ คา่ ง อยู่ตามโพรง
ไม้ สขี า้ งทงั้ ๒ มหี นงั เป็นพืดคลา้ ยปีก โผไปมาได้ไกลๆ
๒๙. ปลาบู่ น. ปลานา้ จืดชนดิ หนงึ่
๓๐. ปกั ษี น. สตั วม์ ีปีก คือ นก
๓๑. เป็ด น. ชือ่ สัตว์ปีก ปากแบน ตนี แบน ระหวา่ งนว้ิ มพี งั ผดื ยดึ ติดกนั เพ่ือสะดวก
ในการวา่ ยน้า ตวั มีหลายสี เชน่ นา้ ตาล ขาว เขยี ว ขนาดเล็กกวา่ หา่ น
๓๒. ฟาน น. เก้ง
น. ชอ่ื สัตว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนม มฟี ันแทะขนาดใหญ่ ลาตัวมีขนแหลมแข็ง ขน
๓๓. เมน่ คร่งึ ท้ายลาตวั ยาวกว่าด้านหน้า ขาสน้ั ขาหน้ามีเล็บแข็งแรงใช้ขุดดิน กิน
พืช
๓๔. แมว น. ชอ่ื สัตว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนมชนดิ
๓๕. ยาง น. ชอ่ื นกขนาดกลางชนิดหนงึ่ ปากยาวแหลมตรง สว่ นใหญต่ ัวสขี าว
น. ช่ือสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เป็นสัตว์กีบค่ี มี ๓ นิ้ว ขาสั้น ตา
๓๖. แรด เล็ก หูต้ัง ประสาทรับฟังเสียงและดมกล่ินดีมากหนังหนา มีทั้งชนิดนอ
เดียวและ ๒ นอ กนิ พชื นอนปลกั
๓๗. ละมัง่ น. สตั วป์ ่าชนิดหนึง่ อยใู่ นจาพวกกวาง แต่ปลายเขาแบน
๓๘. ลงิ น. ชือ่ สัตว์เล้ยี งลกู ด้วยนม ลกั ษณะคลา้ ยคน แขนขายาว ตีนหน้าและตีน
หลงั ใชจ้ บั เกาะได้ มที ้ังชนดิ ท่ีมีหาง
๓๙. ววั น. สตั วส์ ี่เทา้ เคยี้ วเอือ้ ง ตัวเหมอื นควาย เปน็ สตั วพ์ าหนะอยา่ งเดยี วกับ
๖๒
ลาดบั ชอื่ สัตว์ ความหมาย
ควาย
๔๐. สัตวา น. ชอ่ื นกชนดิ หนงึ่ ในจาพวกนกแกว้ ตวั โต สีเขียวเกอื บเป็นสีคราม
๔๑. เสอื น. สตั ว์สีเ่ ท้า ดรุ ้าย รูปคลา้ ยแมว แตต่ วั ใหญก่ วา่ มาก กินสัตวอ์ ืน่ เปน็
อาหาร
๔๒. หนู น. ช่อื สตั ว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีฟันแทะ มีอยู่ท่ัวไปตามบ้านเรือนและในถิ่น
ธรรมชาติ
๔๓. หมา น. ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกดว้ ยนม ลาตัวมีขนปกคลุม มีเขี้ยว ๒ คู่ ตนี หน้ามี ๕
นว้ิ ตนี หลงั มี ๔ นิ้ว ซอ่ นเล็บไมไ่ ด้
น. ชื่อสตั ว์เลี้ยงลูกดว้ ยนม ตาและใบหูกลมเลก็ ริมฝปี ากย่ืนแยกห่างออก
๔๔. หมี จากเหงอื ก สามารถยืนและเดินด้วยขาหลงั ได้ ประสาทการดมกลิน่ ดีกวา่
ประสาทตาและหู กนิ พชื และสัตว์
๔๕. หมู น. ชื่อสตั วเ์ ล้ียงลูกด้วยนม เป็นสัตว์กีบคู่ ตัวอ้วน จมูกและปากย่ืนยาว มี
ทั้งทเ่ี ปน็ สัตว์เลี้ยงและท่ีเป็นสัตว์ป่า
๔๖. เหน็ น. ชอ่ื สตั ว์เล้ียงลูกด้วยนมชนิดหน่ึง
๔๗. เหย้ี น. ชื่อสัตวเ์ ลี้อยคลานขนาดใหญช่ นิดหนงึ่ ตัวเงนิ ตัวทอง หรอื แลน
๔๘. ออก น. ชอ่ื เหย่ยี วขนาดใหญ่ชนิดหน่งึ
๔๙. อัญชัน น. ชื่อนกชนิดหนึง่
๕๐. อินทรี น. ช่ือนกขนาดใหญ่ ขามขี นปกคลมุ เล็บละกรงเลบ็ แข็งแรงใช้ในการจบั
เหยอื่
๕๑. อีลมุ้ น. ชอ่ื นกขนาดกลางชนิดหน่งึ ค่อนข้างหางยาว นว้ิ ยาว
๕๒. เอ้ยี ง น. ชอ่ื นกขนาดกลางหลายชนิด รปู ร่างอว้ นป้อม หางสัน้
จากตารางข้างต้นเป็นการรวบรวมชื่อสัตว์ที่มาจากวรรณกรรมสมุดข่อย เรื่อง ปลาบู่ทอง ซ่ึง
พบทั้งหมด ๕๑ ชนิด ไม่นับคาไวพจน์ท่ีกวีใช้แต่ง ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าท้ังสัตว์ปีก
สัตว์เล้ือยคลาน สัตว์บก สัตว์น้า สัตว์บางชนิดสามารถพบได้ในปัจจุบัน แต่บางชนิดก็ได้สูญพันธุ์ไป
แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการปรากฏช่ือสัตว์ในวรรณกรรม เรื่อง ปลาบู่ทอง แสดงถึงภูมิรู้ของกวีที่
สามารถกลา่ วถึงช่ือสัตวต์ ่างๆ ในวรรณกรรมได้อย่างชัดเจน
๓.๒ ช่อื พรรณไม้
ช่อื พรรณไม้ทั้งหมดทป่ี รากฏในวรรณกรรมจากสมุดขอ่ ย เร่ือง ปลาบทู่ อง มดี งั ต่อไปน้ี
ลาดับ ชอ่ื พรรณไม้ ความหมาย
๑. มะเขือ น. ช่อื ไมพ้ ุม่ หลายชนดิ ท่ีผลกินได้ ผลกลมๆ มหี ลายพันธุ์ เช่น มะเขอื ขื่น
มะเขือไข่เตา่ มะเขือเจ้าพระยา มะเขือละโว้ มะเขือยาว ผลยาว มหี ลายสี
๖๓
ลาดบั ชื่อพรรณไม้ ความหมาย
๒. โพธ์ิ ชนิดทผี่ ลกนิ ไม่ได้ คือ มะเขอื ขืน่ รากใช้ทายาได้
๓. รกั
๔. อโศก น. ช่อื ต้นไมเ้ ป็นท่ตี รัสรูข้ องพระพุทธเจา้ ปจั จุบนั หมายถึงต้นโพ
๕. สรอ้ ย
๖. ชุมแสง น. ช่อื ไม้พมุ่ ชนิด ดอกใช้รอ้ ยกรอง มี ๒ พันธุ์ คือ พนั ธดุ์ อกลา และ พนั ธุ์
๗. แจง ดอกซ้อน ยางเป็นพษิ
๘. หว้า
๙. พลอง น. ชอ่ื ไมต้ ้นหลายชนิด เชน่ อโศกนา้ ดอกสีสม้ หรือแสด โสก ก็เรยี ก อโศก
๑๐. ขวิด เหลอื ง ดอกสีเหลือง, โศก หรือ ศรยี ะลา ก็เรยี ก
๑๑. ประดู่ น. ดอกไม้
๑๒. ปรู น. ชื่อไมต้ ้นชนิด ใช้ทายาได้
๑๓. ปรง น. ชอ่ื ไม้ตน้ ขนาดเล็กชนิด ลาต้นเกลี้ยง เปลือกสเี ทาดา เรือนยอดเป็นพุ่ม
ทึบ ผลกลมรี สุกสีเหลือง
๑๔. มะมว่ ง
น. ช่ือไมต้ น้ ขนาดใหญ่ชนิด ผลสกุ สีมว่ งดา กินได้
๑๕. มะปราง
น. ชื่อไมต้ ้นขนาดเล็กหลายชนดิ เนอ้ื ละเอยี ดและแข็ง เช่น พลอง พลอง
๑๖. กร่าง ข้ีนก พลองเหมือด
๑๗. ไกร น. มะขวดิ
น. ชือ่ ไม้ต้นขนาดใหญ่ ๒ ชนิด ดอกสีเหลอื ง กลิน่ หอม ก่ิงมักทอดย้อย
เปลอื กสเี ทา มนี ้ายางน้อย ปลกู เปน็ ไม้ใหร้ ่มตามถนน ประดู่บ้าน ก็เรยี ก
กง่ิ ชขู น้ึ เล็กน้อย เปลอื กสนี า้ ตาลเขม้ มีนา้ ยางมาก ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ
ทว่ั ไป เนือ้ ไมส้ ีแดงนยิ มใชท้ าดุมเกวียน
น. ชื่อไม้ตน้ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ชนิด ดอกสีขาว ออกเป็นกระจกุ ตาม
ง่ามใบ กล่นิ หอม เน้ือไมส้ ีนา้ ตาลคลา้ ใช้ทาด้ามปืน พานท้ายปนื เปลอื ก
รากใชท้ ายาได้
น. ชื่อพรรณไม้ในกลุ่มพืชเมล็ดเปลอื ยหลายชนิด เปน็ ไม้ตน้ ลาตน้ รปู
ทรงกระบอก สีดาขรขุ ระ ใบเล็กยาวเรยี งถๆ่ี บนแกนกลาง เชน่ ปรงญป่ี นุ่
ใบใช้ทาพวงหรดี ปรงเขา
น. ชื่อไมต้ ้น มหี ลายชนดิ และหลายพนั ธุ์ เชน่ อกร่อง พิมเสน กะล่อน ขี้ไต้
หรือมะม่วงปา่ ใบอ่อนและผลใชเ้ ปน็ อาหาร
น. ช่ือไม้ต้นชนิด ใบคล้ายใบมะมว่ งแต่เล็กกว่า ปลายใบแหลม ผลสกุ สี
เหลอื งอมแดง พนั ธรุ์ สเปรี้ยวจัดเรียก กาวาง พนั ธ์รุ สเปรี้ยวๆ หวานๆ เรียก
มะยง พันธ์ุรสหวานแหลมเรียก มะยงชดิ
น. ชอ่ื ไมต้ ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ชนดิ เปลอื กเรยี บสีเทา ใบกวา้ งหนา
รูปไข่ ปลายมน ไมม่ ีขน ผลกลม เมื่อสกุ สีสม้ ออกแดง ลุง ฮ่างหลวง หรอื
ไทรทอง ก็เรยี ก
น. ช่ือไมต้ น้ ขนาดใหญ่ ลักษณะคลา้ ยตน้ ไทร มี ๒ ชนิด เปลอื กสีเทา
ค่อนข้างเรยี บ ใบเล็ก ช่อดอกรปู คลา้ ยผล ออกเป็นค่ตู ามงา่ มใบ ผลสีชมพู
๖๔
ลาดบั ชื่อพรรณไม้ ความหมาย
๑๘. ตะเคยี น มีกระสีจางๆ ไฮฮี ก็เรียก และเปลอื กสีเทาเรยี บ ใบใหญ่ ชอ่ ดอกคล้ายชนดิ
๑๙. ทุเรียน แรก ผลสีชมพู ไทรเลยี บ กเ็ รียก
๒๐. ตะไล
๒๑. ไทร น. ชื่อไมต้ ้นขนาดใหญช่ นดิ เน้อื ไม้แขง็ ใชใ้ นการก่อสร้าง และขุดทาเรือ
๒๒. คว่าว น. ชอื่ ไมต้ น้ ชนิด ผลเปน็ พๆู มหี นามแข็งเต็มทวั่ ลูก เนอ้ื มรี สหวานมัน มี
หลายพันธุ์ เชน่ กบ ก้านยาว กาปั่น ทองย้อย หมอนทอง
๒๓. ง้าว
๒๔. ง้ิว น. ดอกไม้ไฟชนดิ หนง่ึ ทาด้วยกระบอกไม้อ้อหรือไม้ซาง บรรจดุ ินดาทที่ า
๒๕. ตะแบก ด้วยดนิ ประสวิ กามะถัน กบั ถ่านไม้ และตอกให้แนน่ มรี ชู นวนสาหรับจดุ
๒๖. กระบาก แลว้ ประกอบเข้ากับกง
๒๗. ซกึ น. ช่ือไมต้ น้ มีหลายชนิด เชน่ ไทรย้อยหรือไทรยอ้ ยใบแหลม ไทรย้อยใบ
ทหู่ รอื ไฮฮี
๒๘. ซาก
๒๙. มะไฟ น. ชอ่ื ไมต้ น้ ชนิด ขนึ้ ในปา่ เบญจพรรณทัว่ ไป ลาต้นสูงใหญ่ ใบมนรปู หวั ใจ
๓๐. มะค่า ปลายแหลม ดอกสเี หลือง คล้ายดอกกระทมุ่ แตเ่ ล็กกวา่ เน้ือไม้สเี หลือง
๓๑. ขานาง ละเอยี ด ใชท้ าฝาบ้าน เครอื่ งเรอื น เคร่อื งกลึง และเครื่องแกะสลัก กว้าว
ขวาว หรือ ควา่ ว ก็เรยี ก
น. ชอ่ื ไม้ต้นขนาดใหญ่ชนดิ ต้นคลา้ ยต้นงิว้ แต่เปลือกสีเทาดา ดอกสี
แดงคลา้ ในผลมปี ุยขาวใชย้ ดั หมอนและทน่ี อนเป็นตน้
น. ชือ่ ไม้ตน้ ขนาดใหญ่ชนดิ ก่ิงกา้ นและลาตน้ มีหนามแหลมคม เปลอื กสี
เทา ขรขุ ระ ดอกสีแดงสด ใช้ปุยในผลอยา่ งเดียวกับงา้ ว
น. ชอื่ ไมต้ ้นหลายชนดิ ผวิ เปลือกเรียบล่อนเป็นสะเก็ด ดอกสมี ว่ ง เชน่
ตะแบกนา
น. ชื่อไม้ต้นขนาดใหญห่ ลายชนิด ข้นึ ในปา่ ดบิ ทว่ั ไป ลาต้นตรง สงู ๓๐-๔๐
เมตร เนื้อไม้ใช้ในการก่อสรา้ งที่ไมต่ ้องรบั น้าหนัก โดยมากใช้เป็นไม้แบบ
หลอ่ คอนกรีต
น. ชอ่ื ไม้ตน้ ชนดิ ดอก (เกสร) ออ่ นมีสีเขียวและขาว เมอ่ื ดอก (เกสร) แก่
เปล่ียนเป็นสีเหลือง ใกล้โรยเปลีย่ นเป็นสีเหลืองอมแสด ฝักแบนยาวกว้าง
ฝกั อ่อนสเี ขยี ว เมือ่ แก่สีนา้ ตาลอ่อน ไม่มีรส พฤกษ์ ซึก หรือ ซิก กเ็ รียก มกั
เรียกตน้ กา้ มปูหรือต้นจามจุรีแดง ซง่ึ เปน็ ไม้ตา่ งชนดิ กนั ว่า ตน้ จามจรุ ี
น. ชอื่ ไมต้ น้ ขนาดใหญช่ นดิ ข้ึนในป่าเบญจพรรณ เนื้อแขง็ และหนกั ใชเ้ ผา
ถา่ นไดด้ ี ทุกส่วนมพี ิษ กินตาย ชนดิ แรกใบเกล้ยี ง ชนิดหลังใบมีขน อสี าน
เรยี ก ซาด หรือ พนั ซาด
น. ชื่อไม้ต้นชนดิ ผลกลมออกเป็นพวง รสเปร้ยี วๆ หวานๆ
น. ช่ือไม้ต้นขนาดใหญช่ นดิ ใบคลา้ ยใบประดู่ ฝักแบน หนา แขง็ เน้อื ไม้
สีนา้ ตาลอมแดง ใชใ้ นการกอ่ สร้าง มะคา่ โมง หรือ มะค่าใหญ่ ก็เรียก
น. ชอ่ื ไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิด ดอกเล็ก สีเหลอื งอ่อน กล่นิ เหม็น
๖๕
ลาดับ ชอื่ พรรณไม้ ความหมาย
๓๒. ยาง น. ช่ือไมต้ น้ ขนาดใหญ่หลายชนดิ ในสกุล เช่น ยางนา ยางแดง ยางทเ่ี จาะ
๓๓. ยูง เผาจากลาตน้ ใชป้ ระสมชนั ยาเรือ เรียกว่า นา้ มนั ยาง
๓๔. สัก
น. ชื่อไม้ต้นขนาดใหญช่ นิด เน้อื ไม้ใช้ในการกอ่ สร้าง ยางยูง กเ็ รียก
๓๕. สน
น. ชอ่ื ไมต้ น้ ชนดิ เนอ้ื ไมแ้ ข็งและคงทน เหมาะแก่การสร้างบ้านและทา
๓๖. คนทา เครือ่ งเรือน ใบและเน้อื ไมใ้ ช้ทายาได้
๓๗. แค น. ชอื่ พชื เมล็ดเปลอื ยหลายชนิดหลายสกลุ ในหลายวงศ์ เชน่ สนสองใบ
๓๘. แหน หรือเก๊ยี ะเปลือกหนา สนสามใบหรอื เกีย๊ ะเปลอื กบาง ท้ัง ๒ ชนิดน้ี สนเขา
๓๙. จอก ก็เรียก พายพั เรยี ก จ๋วง
๔๐. กล้วย น. ช่ือไม้พุ่มชนิด มักข้ึนเป็นหมใู่ นป่าโปรง่ สูงได้ถงึ ๘ เมตร มีหนามทว่ั ต้น
ใบคล้ายมะขวิดแตเ่ ขอื่ งกว่า ดอกสีขาว ผลกลมแปน้ ขนาดราวหัวแมม่ อื ทุก
๔๑. รอ้ ยล้ิน ส่วนมีรสขม ใช้ทายาได้ กิ่งใช้ทาไมส้ ีฟัน สฟี ันคนทา หรือ กะลันทา ก็เรียก
๔๒. อิน พายพั เรียก จ้ี หรอื หนามจ้ี
๔๓. พลบั
๔๔. พลอง น. ชอ่ื ไมต้ น้ ชนดิ ดอกมีท้งั สีขาวและสีแดง ยอดอ่อน ดอก และฝักกินได้
๔๕. มะเฟอื ง เปลอื กใชท้ ายา แคบ้าน ก็เรยี ก พันธท์ุ ี่ดอกสแี ดงเรยี ก แคแดง
๔๖. มะยม
๔๗. ชมพู่ น. ชื่อไมน้ ้าหลายชนิด ใบกลมเล็กๆ ลอยอยูต่ ามน้าน่ิง เช่น แหนเลก็ แหน
๔๘. ระกา ใหญ่ แหนแดง กเ็ รียก
น. ชอื่ ไม้นา้ ชนิด ลอยอยบู่ นผิวนา้ ลาตน้ ส้ัน มรี ากเป็นกลมุ่ ใหญ่ ใบเป็น
แผ่นสีเขยี วสดซ้อนๆ กันเปน็ กลมุ่ ยาว ๕-๑๐ เซนตเิ มตร
น. ชื่อไมล้ ม้ ลุก จดั แยกออกได้เป็น ๒ จาพวก จาพวกที่แตกหน่อเปน็ กอ
ผลสกุ เนือ้ นุม่ กินได้ มหี ลายชนิดและหลายพันธุ์ เชน่ กล้วยน้าว้า กลว้ ยไข่
กล้วยหอม บางชนิดผลสุกเนื้อแข็ง มกั เผา ตม้ หรือเชื่อมกิน เชน่ กลว้ ย
กล้าย กลว้ ยหกั มกุ , จาพวกที่ไมแ่ ตกหน่อเป็นกอ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ใบ
ประดบั ไม่ร่วง เชน่ กล้วยนวล กลว้ ยผา
น. ชอ่ื ต้นไม้ชนิดหนงึ่
น. ช่ือลกู จันชนดิ หนง่ึ ลกู กลมแปน้ กลางบุ๋ม ไมม่ ีเมลด็ เรียกว่า ลกู จนั อนิ
น. ช่ือไม้ต้นชนิด คล้ายตะโก ผลกนิ ได้, มะพลบั กเ็ รียก
น. ชอ่ื ไมต้ น้ ขนาดเล็กหลายชนดิ เนอ้ื ละเอียดและแข็ง เชน่ พลอง พลอง
ขี้นก พลองเหมือด
น. ชือ่ ไมต้ น้ ชนดิ ผลเปน็ เฟืองๆ รสเปรี้ยวบ้างหวานบา้ ง
น. ช่อื ไมต้ ้นชนิด ผลกลมเปน็ เฟืองๆ รสเปรย้ี ว
น. ชื่อไมต้ ้นขนาดกลางหลายชนิด ผลกินได้ เช่น ชมพ่แู กม้ แหมม่ ชมพูน่ ้า
ดอกไม้ ชมพสู่ าแหรก
น. ชือ่ ไม้ตน้ ขนาดเล็กชนดิ ดอกสขี าว ฝักแบนบิดเปน็ วง, มะขามแขก
ระกานา หรือ ระกาป่า กเ็ รยี ก
๖๖
ลาดับ ชือ่ พรรณไม้ ความหมาย
๔๙. ลาไย น. ชือ่ ไมต้ น้ ชนดิ ผลกลม รสหวาน พันธ์ทุ เี่ ป็นไมเ้ ถาเรียก ลาไยเครือ
๕๐. จาปา น. ชื่อไม้ต้นขนาดใหญช่ นดิ ดอกสเี หลืองอมส้ม กลีบดอกใหญย่ าว มหี ลาย
กลีบ กลิ่นหอม
๕๑. ชงโค น. ชอ่ื ไมต้ ้นขนาดกลางชนดิ ดอกสชี มพอู มแดงหรือม่วงแดง
น. ชื่อพรรณไม้ ๒ ชนดิ ปลายใบเวา้ ลกึ เปน็ ๒ แฉก คือ ชนิด เปน็ ไม้ตน้
๕๒. โยทะกา ดอกสขี าวนวล มลี ายสีชมพู ออกเปน็ ชอ่ ส้ันๆ และชนดิ เปน็ ไมพ้ ุ่ม ดอกสี
เหลือง หอ้ ยลง ชงโคดอกเหลือง กเ็ รยี ก
๕๓. กระดงั งา น. ชอื่ ไม้ตน้ ชนดิ ดอกหอม กลบี บาง มี ๖ กลีบ ดอกใช้กล่ันนา้ มันหอมได้
กระดงั งาใหญ่ สะบนั งา หรือ สะบันงาต้น ก็เรยี ก
น. ชือ่ ไม้ลม้ ลกุ ชนิด ดอกใหญ่ สีขาวลว้ นหรอื มสี ีเหลืองตอนกลาง กลน่ิ
๕๔. มหาหงส์ หอม ชอบขึ้นในทล่ี มุ่ นา้ ขงั มักปลกู ตามบ้าน กระทายเหิน ก็เรียก จนั ทบุรี
และระยองเรยี ก เลเป หรือ ลันเต
๕๕. มันตรา น. ตน้ ไม้ชนิดหน่ึง
๕๖. จาปี น. ชื่อไม้ตน้ ขนาดใหญช่ นดิ ดอกสีขาว คลา้ ยดอกจาปาแต่กลีบเลก็ และ
หนากว่า บางพนั ธุส์ นี วลหรือสีเหลอื งอ่อน กลิน่ หอมเย็น
๕๗. สารภี น. ชอ่ื ไม้ตน้ ๒ ชนดิ ในสกุล ดอกสีขาว กลนิ่ หอม ใช้ทายาได้ คอื ชนดิ ดอก
ใหญ่ และชนิดดอกเล็ก
๕๘. ชบา น. ชือ่ ไม้พมุ่ ชนดิ ดอกมีสตี า่ ง ๆ พันธุท์ ่ีสีแดงดอกและยอดใชท้ ายาได้
๕๙. กาหลง น. ช่ือไม้พมุ่ ชนิด ปลายใบหยักเว้าลึก ดอกใหญ่ สีขาว ออกเปน็ ชอ่ ส้นั ตาม
งา่ มใบ
๖๐. มะลลิ า น. ดอกไม้ชนดิ หนึ่ง
๖๑. พะยอม น. ชอ่ื ไม้ต้นขนาดใหญช่ นดิ ดอกสขี าว กลิ่นหอม เน้ือไม้ใชใ้ นการก่อสรา้ ง
๖๒. อญั ชนั น. ช่อื ไมเ้ ถาชนดิ ดอกสคี รามแก่ ขาว และมว่ งอ่อน
๖๓. กรรณกิ าร์ น. ชอ่ื ไมต้ ้นขนาดเล็กชนิด ใบคาย ดอกหอม กลบี ดอกสีขาว หลอดดอกสี
แสด ใช้ยอ้ มผ้า เขยี นเปน็ กณิการ์ หรอื กรณิการ์ ก็มี
๖๔. ปีบ น. ชื่อไม้ต้นชนดิ ใบเป็นใบประกอบ ดอกยาว สขี าว กลน่ิ หอม ดอกแหง้ ใช้
ประสมยาสบู พายพั เรยี ก กาซะลอง อีสานเรียก กางของ
๖๕. สมุ าลี น. ดอกไม้ พวงดอกไม้
๖๖. ลาดวน น. ชอื่ ไมต้ ้นชนิด ดอกคลา้ ยดอกนมแมวแต่มีขนาดใหญ่กวา่ และกลบี วง
นอกกางออก กล่ินหอม
๖๗. ดอกกระทิง น. ดอกไม้ชนดิ หนึ่ง
น. ชอื่ ไมพ้ มุ่ ชนิด ใบออกตรงขา้ มกัน โคนใบเวา้ แบบหวั ใจ ขอบใบหยัก มี
๖๘. นางแย้ม ขนเลก็ นอ้ ย ดอกเปน็ ช่อสน้ั ๆ เบยี ดกันแนน่ กลบี ดอกมักซ้อน สขี าวหรือ
แดงเรื่อๆ กล่ินหอม ปง้ิ หอม กเ็ รียก
๖๗
ลาดบั ช่อื พรรณไม้ ความหมาย
๖๙. อนิ ทนลิ น. ชอ่ื ไม้ตน้ ชนิด ดอกสมี ่วงแดงหรือชมพู ออกเปน็ ชอ่ ตั้งตรง เมลด็ และใบ
๗๐. ปาฏลิ ใชท้ ายาได้
๗๑. พุดไทย
น. ไมแ้ คฝอย
๗๒. ไผ่
๗๓. การะเกด น. ชือ่ ไมพ้ ุ่มหรือไมต้ น้ หลายชนิดหลายสกุล เช่น พดุ หรือข่อยด่าน ดอกสี
๗๔. แกว้ ขาว กลิน่ หอม เนื้อไมล้ ะเอียด สนี วล ใช้แกะสลัก พุดจนี หรือพุดซ้อน ดอก
สขี าว กลน่ิ หอม พันธุ์กลบี ดอกซอ้ น ไมต่ ดิ ผล พนั ธุ์กลบี ดอกไม่ซอ้ น ผลใช้
๗๕. กระถิน แตง่ สีใหส้ เี หลอื ง
น. ชอ่ื ไมพ้ มุ่ หลายชนดิ และหลายสกลุ ขึน้ เป็นกอ ลาต้นเปน็ ปล้องๆ เช่น
ไผ่จนี ไผป่ า่ ไผ่สีสุก ไผ่ไร่ ไผ่ดา
น. ช่ือไมพ้ ่มุ เพศผู้ชนิด มกั ข้ึนในที่ชื้นแฉะและรมิ น้า ใบแคบและยาว ขอบ
ใบมีหนามห่างๆ ดอกสเี หลอื ง กลิน่ หอม ลาเจียกหนู ก็เรยี ก
น. ช่ือไมพ้ ุม่ หรือไมต้ ้นขนาดกลางชนดิ ขึน้ ตามปา่ ดิบ กิ่งก้านสขี าว ใบสี
เขียวสดเปน็ มัน ดอกสขี าว กลนิ่ หอม เน้ือไมแ้ ขง็ ใส เหนียว มีลาย ใชท้ า
ดา้ มมดี และไมถ้ ือ
น. ชือ่ ไม้พุ่มหรือไม้ต้นไม่มีหนามชนดิ ชอ่ ดอกกลม สีนวล ฝักแบน ใบอ่อน
และฝักอ่อนใช้เป็นอาหาร กระถินไทย กระถินบา้ น กระถนิ ยกั ษ์ หรอื
สะตอเบา กเ็ รยี ก ปักษใ์ ตเ้ รยี ก ตอเบา
จากตารางข้างต้นเป็นการรวบรวมช่ือพรรณไม้ ดอกไม้ และชื่อพืชท่ีมาจากวรรณกรรมสมุด
ข่อย เรื่อง ปลาบ่ทู อง ซ่ึงพบท้ังหมด ๗๕ ชนิด ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นช่ือที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แต่ยังมี
บางชื่อท่ีเป็นโบราณิกศัพท์ซ่ึงต้องอาศัยพจนานุกรมในการให้ความหมาย แสดงให้เห็นภูมิรู้ของกวีท่ี
สามารถกลา่ วถึงชื่อพรรณไม้ในวรรณกรรมได้อย่างชัดเจน
๖๘
ปลาบทู่ อง
๖๙
หนา้ ตน้
กาพยย์ านี ๑๑
(ตน้ ฉบบั ส่วนตน้ ขาดหาย)
๏ ............................ ...................................
....................................... ...................................
๏ ............................ ...................................
....................................... ...................................
๏ ............................ ...................................
มันกระชน้ั ๑เรียกนางมา
เหน็ หน้ากาพร้านั้น
๏ พรุง่ นี้มงึ ไปดู ววั ..................นา
ต้อนไปที่น้าทา่ ๒
เย็นจงึ มาจงทกุ วัน
๏ อยา่ เทย่ี วเตรก่ รยุ กราย ววั กหู ายไม่ละกนั
.............................ทกุ วนั ใหย้ ับพลนั ดว้ ยมือกู
๏ ส่วนว่านางกาพรา้ ๓
ฟงั มนั ดา่ กม้ หนา้ อยู่
หายใจอยฟู่ ฟู่ ู่ เงยขนึ้ ดูรับวาจา
๏ ครัน้ เช้าเจ้าปลอ่ ยววั ทองท้ังตวั ๔คล่าว๕น้าตา
อดเหย่อื ทา่ ๖ลูกกลอยใจ
โอ้โอ๋พระมารดา
๏ นางปลอ่ ยวัวออกมา นางกาพรา้ ตอ้ นววั ไป
คดิ ถงึ ไท๗ใจรอนรอน
เดินพลางนางร้องไห้
๏ ขา้ ไหว้โคถว้ นหนา้ อยา่ เขา้ ป่าพงดงดอน
เย็นลงพี่จงจร มาหาน้องด้วยเถิดรา
๏ โคนนั้ คดิ ปรานี กินแตท่ ก่ี ลางทงุ่ นา
กนิ น้าแล้วกนิ หญ้า ไมเ่ ขา้ ป่าลาพงพี
เมีย..............แสนกลู ี๘
๏ สว่ น.................
ทาเลห่ ์๙เหมอื นเทวี๑๐ นางมารศร๑ี ๑ไดเ้ คยมา
๑ กระชน้ั ว. เรง่ เข้า
๒ ท่า น. ฝัง่ นา้ สาหรบั ขน้ึ ลงหรือจอดเรือ
๓ นางกาพรา้ ในเนอื้ เรอื่ งหมายถึงนางเออื้ ยซง่ึ แมเ่ สียชวี ิตตนจึงกาพรา้
๔ ทองทั้งตัว น. คาเรยี กสตรี เช่นเดียวกบั คาวา่ แมเ่ นื้อทอง
๕ คลา่ ว ก. ไหล หล่งั ไหล
๖ ท่า ก. รอคอย
๗ ไท น. ผูเ้ ปน็ ใหญ่
๘ กลู ี มาจาก กลุ ี ว. ชั่วร้าย เวลาร้าย
๙ เล่ห์ น. กลอุบายหรอื เงอื่ นงาอนั อาจทาใหค้ นอืน่ หลงผิดเข้าใจผิด
๑๐ เทวี คาเรียกสตรี ในบรบิ ทนี้หมายถึง นางเอ้อื ย
๑๑ มารศรี คาเรียกสตรี ในบริบทนหี้ มายถงึ นางเอือ้ ย
๗๐
๏ เอารากาเข้าไว้ จึง........................
...................มนั เรียกหา วา่ แม่ขา้ ไปอยู่ไหน
พระมารดาชา้ อย่ใู ย
๏ ราอ่อนลกู รอ่ นมา บรรจงให้แม่มากนิ
ลูกน้อยผ้กู ลอยใจ ฟังถ้อยคาเรยี กไดย้ ิน
ว่าโฉมฉินลกู สงสาร
๏ ปลาบู่อยใู่ นนา้ มิทันรู้ว่าอีมาร
วา่ ยมาจักเข้ากิน อจี งผลาญคนั้ ๑๒เอาตวั
รวั ตวั สัน่ ตกใจกลวั
๏ วา่ ยเคล้าเฝ้ามนั อยู่ ลกู ทนู หวั จะคอยหา
บัดใจไม่ทันนาน ไปอยไู่ หนไม่เหน็ มา
แกว้ กาพร้าเมือ่ แม่ตาย
๏ ปลาบู่ไม่มขี วญั รอ้ งเรียกหาแมเ่ ปลา่ ดาย
ความตายมาถึงตวั ทอดตัวตายถงึ มารดา
มไิ ด้แล้วแกว้ แม่อา
๏ เพื่อนยากเพอื่ นเข็ญใจ แม่ขอลาทรามบงั อร
แมน่ ีข้ อเห็นหนา้ .............ความม้วยมรณ์
จักทุกข์รอ้ นถงึ มารดา
๏ ทรามรัก๑๓แมจ่ กั มา แมป่ รารมภ์๑๔เป็นหนกั หนา
ลูกรักจกั วอดวาย แกว้ กาพรา้ จะเปลา่ ใจ
หักคอพล้ิวหิ้วข้นึ ไป
๏ จกั อยู่เปน็ เพอ่ื นแก้ว แม่มนั ไซร้เรง่ ยนิ ดี
มีกรรมเราสองรา เอาไมร้ ันชวนกนั ตี
อบี ดั สีมันดีใจ
๏ ลกู รกั ผ้รู ว่ ม.............. ตม้ แกงพลนั ข้ึนทนั ใด
แมค่ ดิ ถงึ บงั อร ผวั เมียไซร้กินสาราญ
มันชวนกนั กินลนลาน
๏ ทรามรักเจา้ ทรามชม อีเออื้ ยมารมันจกั มา
ไมเ่ หน็ พระมารดา มันจักเหน็ เหน็ เกล็ดปลา
เหลือเน้อื ปลาให้แมวกนิ
๏ อมี ารมันโกรธกรวิ้ เราจะกวาดลงกลางดนิ
ถงึ เรือนมนั ทนั ใจ กวาดให้ส้ินนะลูกอา
๏ เอาข้นึ บนเรือนพลนั
ปลาบสู่ ้นิ ชีวี
๏ มันเอามีดสับฟนั
ซื้อเหลา้ มาทนั ใจ
๏ ขา้ วแกงแตง่ ครบครัน
เร่งกินอย่าไว้นาน
๏ แตเ่ กล็ดหนง่ึ อย่าเวน้
กระดูกเอาขุนหมา
๏ เกลด็ มันอนั ตกกลาด
ใหแ้ มวหมามันกิน
๑๒ คน้ั ก. บีบ ขยาโดยแรง
๑๓ ทรามรัก คาเรียกสตรี ในบรบิ ทน้หี มายถึง นางเอื้อย
๑๔ ปรารมภ์ ก. วิตก ราพงึ
๗๑
๏ แม่ลูก.............ใจกัน กวาดผาดผนั หนั ไปมา
ส้ินเสรจ็ เกลด็ นางปลา หัวรอ่ รา่ เล่นสบาย
เทย่ี วซอนไซ๑้ ๕กลางดินทราย
๏ ส่วนเป็ดอนั เลีย้ งไว้ ปลาบู่ตายรู้เต็มใจ
ได้เกลด็ อันพรดั พราย นางปลาบู่ผตู้ ายไป
จักรอ้ งไหห้ ามารดา
๏ สว่ นเป็ดคิดเอน็ ดู จะเอาไวใ้ ห้เถดิ รา
กาพรา้ กลับมาได้ อมไว้ทา่ นางทรามวัย
๏ เกลด็ น้กี ไู ซไ้ ด้ ๏ เย็นลงรอนรอน
คดิ แล้วคาบเอามา ตอ้ นววั เข้าไป
เจา้ มาคลาไคล
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ จักให้มารดา
๏ เรียกแลว้ เรียกเลา่
กาพร้าบังอร เจา้ ไปไหนหนา
ถงึ บ้านมชิ ้า จกั ใหม้ ารดา
เอาราลงไป นางปลาบู่ทอง
๏ อยา่ เคียด๑๖ลกู ยา
แมค่ ณุ ทนู เกล้า อยา่ ช้าโดยปอง
ราออ่ นรอ่ นไว้ รอ้ ยช่ัง๑๗นัง่ มอง
เชญิ มาแมม่ า ไปไหนไม่มา
๏ หลากจติ ผดิ ใจ
มาเร็วมารา เท่ียวกนิ ภักษา๑๘
เฝา้ เรยี กรมิ ฝง่ั ต้องแม่แล้วหนา
นางปลาบู่ทอง หาลูกทรามวยั
๏ เรียกพลางแลหา
ฤๅหน่งึ แม่ไป น้าตาหลง่ั ไหล
ฤๅเขาทอดแห จากอกลูกไป
จงึ ไมเ่ ห็นมา ดงั นี้นะมารดา
รมิ ฝ่งั คงคา
นางปลาเพ่อื นยาก
กรรมเราชือ่ ใด๑๙
๑๕ ไซ้ ก. กริ ยิ าท่ีเปด็ เอาปากยา้ ๆ ขนหรอื หาอาหาร
๑๖ เคียด ก. เคือง โกรธ
๑๗ รอ้ ยชงั่ คาเรยี กสตรี ในบรบิ ทนีห้ มายถงึ นางเอ้อื ย
๑๘ ภักษา น. เหย่ือ อาหาร
๑๙ กรรมเราชือ่ ใด ในบริบทนห้ี มายถงึ กรรมเราฉนั ใด, ทากรมใดมาจึงเปน็ เช่นนี้
๗๒
ฉบิ หายวายชนม์ ๏ สิน้ บุญจากคน
คิดถึงลกู น้อย ไปเกดิ เป็นปลา
ลูกได้เหน็ หนา้ คอยซังเซมา
มารดาทกุ วนั
มว้ ยมอดวอดวาย ๏ วนั นแี้ มห่ าย
ตายเสียทไี่ หน สูญหายไปพลนั
ฤๅใครตรี ัน มไิ ด้สาคญั
แม่สิ้นชีวา
ทา่ นใชล้ กู ไป ๏ ลูกมาหลากใจ
กลับมาแมห่ าย เล้ียงโคกลางนา
ฤๅท่านแกล้งฆา่ ตายจากลูกยา
มารดาเป็นผี
สอดลอดถามไถ่ ๏ อยา่ เลยจกั ไป
กลับคืนมาถาม แยบคายร้ายดี
สนุ ขั กลู ี สุนัขอันมี
มนั โกรธโกรธา
แมวไม่ใยดี ๏ ถามแมวอันมี
กไู มร่ ้เู ห็น ค่อนควักชกั หน้า
ท่านไม่ไดฆ้ ่า แมเ่ องเปน็ ปลา
เอง็ อยา่ ว่าไป
มันบอกยอกย้า ๏ แมวหมาเจ้ากรรม
วา่ ไม่เหน็ เนตร รว่ มคาร่วมใจ
กาพร้ารอ้ งไห้ ปฏเิ สธเรน้ ๒๐ไป
ถงึ ไทมารดา
เป็ดเหน็ ทรามวยั ๏ นางน่งั รอ้ งไห้
รอ้ งเรียกเทวี มใี จกรุณา
มาใหใ้ กล้ขา้ มานก่ี ่อนรา
จะบอกเอาบญุ
พย่ี ังได้ไว้ ๏ นางจึงเข้าใกล้
ถ้าพ่เี จ้าได้ ฤๅเจา้ ประคณุ
น้องจะแทนคุณ ให้น้องเอาบุญ
พ่เี จา้ จนตาย
๒๐ เรน้ ก. หลบให้ลับตาคน
๗๓
น่แี น่ะ๒๑มารดา ๏ เป็ดคายเกล็ดปลา
เจา้ ออกไปนา กาพร้าโฉมฉาย
กนิ อยู่สบาย มารฆา่ แม่ตาย
แมวหมาได้กิน
รอ้ ยช่ังพงั งา ๏ เจ้ารบั เกลด็ ปลา
นา้ ตาไหลหล่งั สลบกลางดิน
ฟายนา้ ตากิน ทั่งลงรินรนิ
คดิ ถึงมารดา
ลกู อยูเ่ ปล่ียวตัว ๏ ยกขึน้ ทูนหัว
เห็นจริงเที่ยงแท้ คนเดียวเอกา
ลกู ร้องไห้หา พระแมม่ รณา
ดังจะขาดใจตาย
จากลูกกาพรา้ ๏ โอ้พระมารดา
กรรมเวรชื่อใด แลว้ หนาโฉมฉาย
ลกู คิดมงุ่ หมาย อย่ใู ยไม่ตาย
แทนคุณมารดา
แล้วนางลุกไป ๏ นางกราบนางไหว้
จนสุริโยทยั ร้องไหค้ รวญหา
นางแกว้ กาพรา้ สว่างใสขน้ึ มา
ตอ้ นววั ออกไป
หอ่ ชายภษู า๒๒ ๏ เอาเกลด็ แมป่ ลา
รอ้ นรนพ้นตวั น้าตาหลัง่ ไหล
เดินพลางนางไห้ ตอ้ นวัวออกไป
คิดถงึ มารดา
ตีอกฟกชา้ ๏ เดินพลางครวญครา่
ทกุ ข์ผอมตรอมใจ เปน็ กรรมเวรา๒๓
นางเขา้ รมิ ปา่ ไปถึงกลางนา
นา้ ตาบว่ าย
ใจจิตคดิ ปลง ๏ จึงขุดดินลง
เน้ือแทแ้ มข่ ้า ถึงแม่อนั ตาย
เขาฆา่ ให้ตาย นางปลาโฉมฉาย
จงงอกข้นึ มา
๒๑ นี่แนะ่ ว. คาบอกใหด้ หู รือเตือนใหร้ ู้
๒๒ ภูษา น. เครอ่ื งน่งุ หม่
๒๓ เวรา แผลงมาจาก เวร น. ความพยาบาท ความปองรา้ ย
๗๔
งอกพลนั ทันเนื้อ ๏ จงเป็นมะเขือ
ใหเ้ ปน็ มะเขอื เปราะ ดังใจลกู รา
นางต้ังสัจจา จาเพาะข้ึนมา
ธษิ ฐาน๒๔ดว้ ยพลนั
บันดาลธรณี ๏ เทวาอนั มี
ลกู ดกใบเขียว งอกข้นึ คกู่ ัน
เตีย้ สูงคา้ กนั ก่งิ เล้ยี วเก่ียวพนั
ดงู ามไสว
กราบไหวว้ ันทา ๏ นางเห็นแกต่ า
ชื่นชมหรรษา มารดานางไท
ทนี ี้ลกู ได้ กาพร้าคลายใจ
เหน็ พระมารดา
กาพรา้ ทรามวยั ๏ ต้ังแต่น้นั ไซร้
เชยชมมะเขอื ไปทุกเวลา
อยจู่ าเนียรมา นาเนอ้ื มารดา
แม่เล้ียงรูไ้ ป
เรยี กลกู มนั มา ๏ บดั ใจไม่ช้า
ลูกรักแม่อา ทงั้ สองสายใจ
แมอ่ ีจงั ไร อยา่ ชา้ เร่งไป
มนั เปน็ คืนมา
สองตน้ จาเพาะ ๏ มนั เปน็ มะเขือเปราะ
มะเขอื นัน้ แล อย่ทู รี่ ิมป่า
ตวั อกี าพรา้ แมม่ นั เกิดมา
มนั ไปเชยชม
อกรอ้ นผะผ่าว ๏ แตแ่ ม่รู้ข่าว
เจ้าเรง่ ออกไป ยง่ิ กวา่ ไฟรม
ทาใหช้ ิดชม ทรามวัยเอวกลม
อยา่ ให้มันเหน็
ถอนชักหกั ง้าง ๏ คอยดูท่าทาง
ท้งั ตน้ ทงั้ ใบ อย่าไว้ใหเ้ ปน็
เอามากินเล่น อย่าได้ไวเ้ วน้
อยา่ ใหเ้ หลือเลย
๒๔ ธษิ ฐาน มาจากอธษิ ฐาน ตั้งใจมงุ่ ผลอยา่ งใดอย่างหน่ึง
๗๕
ฟังคามารดา ๏ นางอา้ ยฉายา
ส่งกระบาย๒๕มา หวั เราะรา่ ชมเชย
มิให้เหลอื เลย เถดิ หนาแม่เอย
คร้งั นี้แลหนา
ตามแถวแนวไพร ๏ ว่าแล้วออกไป
ตามนั แลลอด เขา้ ในพฤกษา
แลซา้ ยแลขวา สอดดกู าพร้า
แลว้ มาลัดไป
เชยชมมารดา ๏ สว่ นนางกาพรา้
กาพร้าคนยาก แลว้ ลาคลาไคล
ระวังระไว๒๖ ออกจากรมิ ไพร
ดูโคจกั หาย
นั้นตามลา้ งผลาญ ๏ สว่ นว่าอมี าร
มนั เขา้ ถอนชัก มันเหน็ เปลา่ ดาย
มะเขอื นนั้ ตาย หกั ใส่กระบาย
ทงั้ สองแลนา
เรง่ รีบถบี ไป ๏ ได้แล้วคลาไคล
ท้งั สองโฉมงาม เขา้ ในพฤกษา
ครั้นถึงเคหา เดนิ ตามกันมา
มารดาดีใจ
แล้วมนั ชวนกนั ๏ หงุ ขา้ วขน้ึ พลัน
ลกู หกั กา้ นกิ่ง กนิ พลนั ทนั ใด
ใหส้ าแก่ใจ ทิง้ ลงนา้ ไหล
อกี าพร้านารี
ไดเ้ ม็ดลกู ใน ๏ สว่ นเป็ดซอนไซ้
อมเอาไว้ทา่ ๒๗ มะเขืออนั มี
เนอ้ื แทช้ ลนี๒๘ กาพรา้ เทวี
ของนางฉายา
เจ้าไปไมเ่ หน็ ๏ ครั้นเวลาเย็น
นางคดิ คานงึ นางคราญมารดา
อีมารรษิ ยา ราพึงไปมา
นัน้ มาพบพาน
๒๕ กระบาย น. ภาชนะสานรูปคลา้ ยกระบุงมีขนาดเล็กกว่า ปากกลม ก้นสเ่ี หล่ยี ม
๒๖ ระไว ก. คอยระวงั
๒๗ ท่า ก. รอคอย
๒๘ ชลนี มาจาก ชนนี น. แม่ ในบรบิ ทน้ีหมายถึงนางกนษิ ฐา ผูเ้ ปน็ แมข่ องนางเออื้ ย
๗๖
อีมารมันรู้ ๏ ครั้งเปน็ ปลาบู่
คร้งั นเี้ ป็นมะเขอื มนั ตามลา้ งผลาญ
ถอนชกั หักราน ไม่เหลอื สงั หาร
ไปจากลกู ยา
ศัตรจู ังไร ๏ คดิ น่านอ้ ยใจ
มาตามล้างผลาญ มนั แกลง้ รษิ ยา
มือฟายนา้ ตา นางคราญมารดา
กาพรา้ สลบไป
เห็นนางกาพร้า ๏ ฝงู โคถว้ นหน้า
เขา้ ไปพรง่ั พรู ไม่มาหวาดไหว้
ชว่ ยนางบไ่ ด้ ยืนดูทรามวยั
มีใจโศกศลั ย์
กาพยย์ านี ๑๑
๏ ครัน้ ฟ้ืนตน่ื ข้นึ ได้ ตอ้ นววั ไปถงึ บา้ นพลนั
ออกมาพลนั รบั เทวี
ส่วนเป็ดเหน็ นางนั้น พ่ขี า้ ไหว้ไดป้ รานี
๏ กาพรา้ ถามเปด็ ไป เชิญเจา้ พบ่ี อกนอ้ งรา
เขาออกไปเก็บเอามา
แมน้ พรี่ เู้ หตุน้ี จึงพี่ยาไดเ้ ม็ดใน
๏ เป็ดนั้นจงึ แจ้งไข นางรับเอาแล้วดีใจ
น้าตาไหลคอื ธารา๒๙
กนิ เลน่ เปน็ ภักษา เจ้าเชยชมทุกเวลา
๏ เป็ดจงึ คายให้เจ้า ด่ังเปน็ ข้าคอกของมัน
แก้วกาพรา้ มาโศกศลั ย์
คดิ ถงึ มารดาไท ฝงู โคน้ันมาเอน็ ดู
๏ หอ่ ไวช้ ายผ้าหม่ ไม่ไปไกลนางโฉมตรู
พีก่ นิ อยู่อย่าไปไกล
เช้าเชา้ ปล่อยโคมา จงึ คลาดแคล้วเขา้ ริมไพร
๏ ไปถึงกลางทุ่งนา ราพงึ ในใจเทวี
ทูนไวเ้ หนือเกล้าเกศี
ต้อนโคไปตามกนั ของขา้ นแ้ี มน้ แท้ใจ
๏ โคกนิ แตใ่ กลใ้ กล้ เนื้อแม่ข้าอันตายไป
เหมอื นหนง่ึ ใจลูกนึกปอง
นางวา่ โคเอน็ ดู
๏ ครัน้ นางสง่ั โคแลว้
หยดุ ยั้งนง่ั ร่มไทร
๏ นางเอาเม็ดมะเขอื
ถ้าว่าพระชลนี
๏ นางจึงตงั้ สจั จา
ขอใหป้ รากฏใน
๒๙ ธารา มาจาก ธาร น. นา้
๗๗
๏ ลูกรกั จกั ปลูกไว้ ขอจงใหเ้ ปน็ โพธิ์ทอง
โพธิ์เงนิ งามเรืองรอง เป็นทง้ั สองงามเหมือนกัน
นางนอ้ งแก้วผูเ้ อววัน๓๐
๏ ครน้ั นางธิษฐานแลว้ วางลงพลันเหนือธรณี
เอาเม็ดมะเขอื นั้น คิดเอ็นดนู างเทวี
เป็นโพธิ์เงินแลโพธิ์ทอง
๏ เทวาอันสิงสู่ งามเป็นพุ่มอยทู่ ้งั สอง
บันดาลใหเ้ กดิ มี โพธ์ิทั้งสองงามสดใส
เหน็ แก่ตานางทรามวยั
๏ งอกขึน้ เขียวชอมุ่ แล้วกราบไหวพ้ ระมารดา
กิง่ ก้านงามเรืองรอง ลูกหายเศรา้ โศกโศกา
โพธิ์นห้ี นาคอื ชลนี
๏ นวลนอ้ งทองกาพร้า อันมรณาไปเป็นผี
เทวเี รง่ ดีใจ ตน้ โพธ์ิศรีของฉายา
บอกทรามวัยผูล้ ูกยา
๏ พระเอย๋ พระแม่เจ้า คอื มารดาของจอมขวญั
ลูกรักสาคญั ว่า ฟงั มารดาบอกออกพลนั
กราบลงพลันแล้วชมเชย
๏ บัดนั้นพระมารดา ลกู สร้อยเศร้าบ่เสบย๓๑
สงิ ส่เู ขา้ อย่ทู ่ี ลกู มเิ คยตกยากมา
ลูกทนู หัวของแม่อา
๏ ชลนีท่ีอาศยั แกว้ กาพร้าอยา่ อาลัย
โพธิ์ทองน้ีแลหนา ฟังชลนีแล้วดีใจ
หฤทัยคลายปรารมภ์
๏ นางเอือ้ ยผ้กู าพร้า เทพกรอัสดง๓๒
โฉมตรูร้สู าคญั ตง้ั บังคมลามารดา
พระแมเ่ จ้าลูกขอลา
๏ พระเอ๋ยพระแม่เจา้ ชมโพธ์ิขา้ ทกุ วนั วาร
เจ้าคุณของลูกเอย
๏ แตน่ เี้ จ้าอยา่ กลัว
แม่น้จี กั รักษา
๏ กาพร้านางนารี
ชื่นชมภริ มยใ์ น
๏ ยามเยน็ ลงรอนรอน
นางยกมือประนม
๏ สัง่ แลว้ นางสั่งเลา่
เชา้ เชา้ ลกู จงึ มา
๓๐ เอววัน
๓๑ เสบย ก. สบาย
๓๒ คาสดุ ท้ายของวรรครบั (อัสดง) ไมส่ ัมผัสกบั คาสุดทา้ ยของวรรครอง (ประนม)
๗๘
กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ ๏ เมื่อน้ันพระบาท
พระทยั ราคาญ
พรหมทัตธริ าช ป่าดงพงสาร
จักใครป่ ระพาส ตรสั สั่งเสนา
มีพระโองการ ๏ ใหเ้ ตรียมเกณฑ์หัด
เรง่ รัดตรวจตรา
ผกู คชกัณฐศั ว์๓๓ พหลซา้ ยขวา
เสนรี ้ีพล พพิ าส๓๕พงไพร
เราจกั ลนิ ลา๓๔ ๏ อามาตย์กม้ เกล้า
ใส่เกลา้ คลาไคล
รับโองการเจา้ ผูกคชนอกใน
ตรวจตราม้ารถ เสนเี สนา
รีพ้ ลไสว ๏ ผูกชา้ งพระทน่ี งั่
แทบเกยชาลา
เทียบไว้สะพรง่ั นเรนทรสูร๓๖ราชา
แลว้ เขา้ กราบทลู เสรจ็ แลว้ ทุกประการ
รีพ้ ลโยธา ๏ เม่อื นั้นพระบาท
เสร็จสรงชลธาร
พรหมทัตธิราช ท้งั สร้อยสงั วาล
ประดบั พระองค์ กุณฑล๓๗สกุ ใส
อันงามตระการ ๏ ทรงพระขรรคแ์ ก้ว
ขน้ึ บนเกยชัย
ยรุ ยาตรคลาดแคลว้ เยอ้ื งย่างออกไป
เสด็จเหนอื คอช้าง ลอ้ มไปซ้ายขวา
โยธาไสว ๏ นกั เทศขันท๓ี ๘
มากมตี ามมา
แสนสาวชาวที่ เซ็งแซ่แห่หน้า
เต้ยี คอ่ ม๓๙ลอ้ มแห่ ระย้าชุมสาย๔๑
ธงเทยี ว๔๐ซา้ ยขวา
๓๓ กัณฐวั ศ์ น. มา้ ชนิดหน่งึ
๓๔ ลินลา ก. ไปอยา่ งนวยนาด เพีย้ นมาจาก ลลี า
๓๕ พิพาส มาจาก ประพาส ก. ไปต่างถ่ินหรอื ตา่ งแดน
๓๖ นเรนทรสรู น. พระราชาหรอื พระมหากษตั ริย์
๓๗ กุณฑล น. ตุ้มหู
๓๘ ขันที น. ชายทถ่ี ูกตอน บางประเทศทางเอเชียสมยั โบราณใชส้ าหรบั ควบคุมฝ่ายใน
๓๙ เตยี้ ค่อม น. นางค่อมท่เี ป็นสาวใช้
๔๐ ธงเทียว น. ธงทม่ี ีรูปลักษณะคลา้ ยกระบอก
๔๑ ชุมสาย น. เครอ่ื งสูงชนดิ หนง่ึ เป็นรปู ฉตั รสามชน้ั พ้ืนปักไหมหกั ทองขวาง คลุมดว้ ยตาขา่ ยไหม มีพหู่ อ้ ยทรี่ ะบายช้ันล่าง
๗๙
กล้งิ กลดสลอน ๏ พัดโบก๔๒จามร๔๓
แตรสังขฆ์ อ้ งกลอง เลื่อมเลอื่ มพรายพราย
สมเสร็จฤๅสาย กึกกอ้ งว่นุ วาย
ออกจากพารา
เขา้ ในป่ากว้าง ๏ ท้าวบ่ายหน้าชา้ ง
รัก๔๔โรกโศก๔๕สรอ้ ย๔๖ ชมไพรพฤกษา
ชุมแสง๔๗แจง๔๘ป่า หอ้ ยย้อยลงมา
.................หวา้ ๔๙พลอง๕๐
ประด๕ู่ ๓ปรู๕๔ปรง๕๕ ๏ ขวิด๕๑ขวาดดาษ๕๒ดง
มว่ ง๕๖ปราง๕๗ลาไย หลน่ ลงเนืองนอง
เรียงรายก่ายกอง กรา่ ง๕๘ไกร๕๙ไทรทอง
ท่องแถวแนวไพร
๔๒ พัดโบก น. ชื่อเครอ่ื งสงู ชนดิ หนึ่งสาหรบั โบกลมถวายพระมหากษัตรยิ ซ์ ่ึงประทับ ณ ทสี่ งู
๔๓ จามร น. แส้ด้ามยาวทาด้วยขนจามรี มีฝักแบนรปู คลา้ ยน้าเต้า สาหรับสอดเก็บแส้ เป็นเครื่องสูงชนดิ หนึ่ง
๔๔ รกั น. ช่อื ไมต้ น้ ชนิดหน่ึง ยางเป็นพิษ ใชล้ งพ้ืนหรือทาสิ่งตา่ งๆ เรยี กว่าน้ารัก รกั ใหญ่
๔๕ โศก มาจาก อโศก น. ชอื่ ไม้ต้นชนดิ หน่งึ เช่น อโศกน้า ดอกสสี ้มหรือแสด
๔๖ สรอ้ ย น. ดอกไม้
๔๗ ชุมแสง น. ช่อื ไม้ตน้ ชนิดหนง่ึ ใช้ทายาได้
๔๘ แจง น. ชือ่ ไม้ต้นขนาดเลก็ ชนิดหนึง่ ลาต้นเกล้ยี ง เปลอื กสเี ทาดา เรอื นยอดเป็นพุ่มทึบ ผลกลมรี สกุ สเี หลอื ง
๔๙ หว้า น. ชอื่ ไม้ตน้ ขนาดใหญ่ชนิดหน่งึ ผลสุกมีสีมว่ งดากนิ ได้
๕๐ พลอง น. ชอื่ ต้นไม้ขนาดเล็กชนดิ หน่งึ เน้ือละเอียดและแขง็
๕๑ ขวดิ น. มะขวิด
๕๒ ดาษ ว. มากมาย เกลื่อนกลาด
๕๓ ประดู่ น. ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ ดอกสีเหลือง กลน่ิ หอม
๕๔ ปรู น. ชอ่ื ไม้ตน้ ขนาดกลางถงึ ขนาดใหญช่ นดิ หน่งึ ดอกสีขาว ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ กลน่ิ หอม
๕๕ ปรง น. ชื่อพรรณไม้ในกล่มุ พืชเมล็ดเปลอื ยชนดิ หนึ่ง ลาตน้ รูปทรงกระบอกสดี าขรขุ ระ
๕๖ มว่ ง น. มะมว่ ง
๕๗ ปราง น. มะปราง
๕๘ กรา่ ง น. ชอื่ ไมต้ น้ ขนาดกลางถึงขนาดใหญช่ นดิ หนงึ่ เปลือกเรยี บสเี ทา ใบกวา้ งหนารูปไข่
๕๙ ไกร น. ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง เปลอื กสีเทาค่อนข้างเรยี บ ใบเล็ก
๘๐
ตะไล๖๑ไม้ควาว๖๒ ๏ ตะเคียนเรียน๖๐สาว
กระแบก๖๔กระบาก๖๕ ง้วิ ง้าว๖๓ต้นใหญ่
พะยอมหอมไป ซกึ ๖๖ซาก๖๗หมากไฟ๖๘
ในไพรพฤกษา
ยาง๗๑ยูง๗๒สูงสลา้ ง ๏ มะคา่ ๖๙ขานาง๗๐
รม่ รนื่ พน้ื ต้น ริมทางกลางปา่
ทา้ วชมพฤกษา สัก๗๓สน๗๔คนทา๗๕
สาราญพระทยั
สัตวา๗๗โนรี๗๘ ๏ ชมฝูงปักษี๗๖
จบิ ๘๐จาบ๘๑คาบแค๘๒ อินทรี๗๙บนิ ไป
กาเหวา่ ๘๕เขาไฟ๘๖ ไซแ้ หน๘๓กนิ ไคล๘๔
ไกเ่ ถอ่ื นเยอื นขนั
๖๐ เรียน มาจาก ทเุ รียน
๖๑ ตะไล น. ตน้ คงคาเดอื ด
๖๒ ควาว มาจาก กวาวเครือ น. ชอ่ื ไมพ้ ุ่มรอเลอื้ ยชนดิ หนง่ึ ดอกเลก็ สมี ่วงอ่อน มีหวั กลมๆ ออกทีโ่ คนตน้
๖๓ งา้ ว น. ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ชนดิ หน่งึ ตน้ คลา้ ยต้นงว้ิ แตเ่ ปลือกสเี ทาดา ดอกสีแดงคล้า
๖๔ กระแบก น. ตน้ ตะแบก
๖๕ กระบาก น. ช่ือต้นไม้ขนาดใหญ่ชนดิ หน่งึ ข้ึนในปา่ ดิบทว่ั ไปลาต้นตรง
๖๖ ซึก น. ตน้ จามจรุ ี
๖๗ ซาก น. ชอ่ื ไมต้ ้นขนาดใหญ่ ข้นึ ในปา่ เบญจพรรณ เนอื้ แขง็ และหนัก ทกุ ส่วนมีพษิ กนิ ตาย อีสานเรยี ก ซาด หรอื พันซาด
๖๘ หมากไฟ น. มะไฟ
๖๙ มะคา่ น. ชอื่ ต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิดหนึง่ ใบคล้ายประดู่ ฝักแบน หนา แขง็
๗๐ ขานาง น. ชื่อตน้ ไม้ขนาดใหญ่ชนิดหนง่ึ ดอกเลก็ สเี หลอื งออ่ น กลน่ิ เหมน็
๗๑ ยาง น. ชื่อตน้ ไมข้ นาดใหญช่ นดิ หน่งึ
๗๒ ยูง น. ชอื่ ต้นไม้ขนาดใหญช่ นิดหน่ึง
๗๓ สัก น. ชอื่ ตน้ ไม้ชนิดหน่งึ เน้ือไม้แขง็ และทนทาน
๗๔ สน น. ชอ่ื พชื เมล็ดเปลอื ยหลายชนดิ หลายสกุล ในหลายวงศ์ เช่น สนสองใบหรือเกี๊ยะเปลือกหนา สนสามใบหรือเกี๊ยะ
เปลือกบาง
๗๕ คนทา น. ชื่อไมพ้ ่มุ ชนดิ หน่ึง มกั ข้นึ เปน็ หมู่ในป่าโปร่ง
๗๖ ปักษี น. สัตวม์ ปี กี คือ นก
๗๗ สัตวา น. ชื่อนกชนดิ หนง่ึ ในจาพวกนกแก้ว ตัวโต สีเขยี วเกือบเปน็ สคี ราม
๗๘ โนรี น. ชอ่ื นกปากขอขนาดเลก็ หลายชนิด ตัวมสี สี นั สวยงาม
๗๙ อนิ ทรี น. ช่อื นกขนาดใหญ่ ขามีขนปกคลุม เลบ็ ละกรงเลบ็ แข็งแรงใชใ้ นการจบั เหย่อื
๘๐ จิบ น. นกกระจบิ
๘๑ จาบ น. นกกระจาบ
๘๒ แค น. ชอื่ ตน้ ไมช้ นดิ หนึ่ง ยอดออ่ น ฝัก และดอก กินได้
๘๓ แหน น. ชอ่ื ไม้น้าหลายชนดิ ใบกลมเล็กๆ ลอยอยตู่ ามน้านงิ่
๘๔ ไคล น. ตะไครน่ ้า
๘๕ กาเหวา่ น. ช่ือนกขนาดกลางชนิดหน่งึ ตาแดงหางยาว ตัวผสู้ ดี า ตวั เมยี สีนา้ ตาล
๘๖ เขาไฟ น. นกเขาชนดิ หน่ึง มชี อื่ เรยี กว่านกเขาไฟ
๘๑
นกพริก๙๐จกิ จอก๙๑ ๏ นกลาง๘๗ยาง๘๘กรอก๘๙
อลี มุ้ ๙๔คมุ่ ๙๕เคา้ ๙๖ เอย้ี ง๙๒ออก๙๓หยอกกนั
กระทา๙๙กล้าขัน คล้งิ ๙๗เคล้าอัญชัน๙๘
ชนกันหันบนิ
โผผาผวาร่อน ๏ บ้างอยูค่ ่นู อน
จกิ ไซ้ไลก่ นั ว้าว่อนเฉี่ยวฉิว
ทาบท่าหากนิ พลั วนั หนั บนิ
บนิ เขา้ โพธ์ิรงรัง
เผน่ โผนโจนไป ๏ ลิงค่างบา่ งไล่
ชะนีมก่ี ้อง ปลายไม้ระเสดิ ระสงั ๑๐๐
ท้าวไทได้ฟัง ร่าร้องเสยี งดงั
ไพเราะแกห่ ู
ววั ควายทราย๑๐๒มี ๏ ชมฝงู มฤค๑ี ๐๑
เหย้ี ๑๐๓เห็น๑๐๔เมน่ กวาง เสือสีหมีหมู
ละมั่งทั้งคู่ แรดช้างวางวู้
เหลยี วดูผายผัน
กระทิงวิ่งโผน ๏ ฟาน๑๐๕มองจอ้ งโจน
กระตา่ ยกระแต โดดโดนชนกัน
มหิงส์๑๐๖วิ่งพลนั เหลยี วแลแปรผัน
ฉมัน๑๐๗ด้ันหนี
๘๗ นกลาง น.นกกะลาง
๘๘ ยาง น. ช่ือนกขนาดกลางชนดิ หนง่ึ ปากยาวแหลมตรง ส่วนใหญ่ตวั สีขาว
๘๙ กรอก น. ชื่อนกยางขนาดเลก็ ตัวสนี า้ ตาลแดง หลังสเี ทาดา อกสแี ดง
๙๐ นกพรกิ น. ชื่อนกขนาดเลก็ ชนดิ หนงึ่ ปากสเี หลืองหางตาสขี าว ตัวสีน้าตาลเปน็ มนั วาว
๙๑ จอก น. ชือ่ ไม้น้าชนดิ หนง่ึ ลอยอยบู่ นผิวน้า
๙๒ เอ้ียง น. ชอ่ื นกขนาดกลางหลายชนดิ รปู ร่างอว้ นปอ้ ม หางสน้ั
๙๓ ออก น. ชอื่ เหยยี่ วขนาดใหญ่ชนิดหนง่ึ
๙๔ อลี มุ้ น. ชอ่ื นกขนาดกลางชนิดหนงึ่ ค่อนข้างหางยาว น้วิ ยาว
๙๕ คมุ่ น. ช่ือนกขนาดเลก็ ชนิดหนง่ึ ลาตวั อ้วนปอ้ ม ปกี เลก็ สั้นแขง็ แรง
๙๖ เค้า น. ชือ่ นกขนาดเล็กถึงขนาดใหญช่ นดิ หนึง่ หัวโต ตาโตอยทู่ างดา้ นหนา้ ของหวั
๙๗ คลิ้ง มาจาก คล้งิ โครง น. นกก้งิ โครง
๙๘ อัญชนั น. ช่อื นกชนิดหน่ึง
๙๙ กระทา น. ช่ือนกขนาดเล็กชนิดหนึง่ ลาตวั กลม ขนลายเปน็ กระ ปีกและหางสนั้
๑๐๐ ระเสดิ ระสงั ว. เซไป ซัดเซไป
๑๐๑ มฤคี มาจาก มฤค น. สัตว์ป่ามกี วาง อีเก้ง เป็นตน้ ถ้าเป็นตวั เมียจะใช้วา่ มฤคี
๑๐๒ ทราย มาจาก เนือ้ ทราย น. ชื่อกวางชนิดหน่ึง
๑๐๓ เหย้ี น. ชอื่ สัตว์เลอ้ี ยคลานขนาดใหญช่ นดิ หนงึ่ ตวั เงินตวั ทอง หรอื แลน ก็เรยี ก
๑๐๔ เห็น น. ช่ือสัตว์เลีย้ งลกู ด้วยนมชนิดหนง่ึ
๑๐๕ ฟาน น. เกง้
๑๐๖ มหงิ ส์ น. ควาย
๑๐๗ ฉะมัน มากจากสมนั น. ช่ือสตั วเ์ ลย้ี งลกู ด้วยนมชนิดหน่ึง
๘๒
พงั พลายร้ายกาจ ๏ ช้างเถ่อื นเกลื่อนกลาด
รองรบั ซบั มัน ยรุ ยาตร๑๐๘คลาดท่ี
พร่ังพรสู สู ี พากันดัน้ หนี
หนแี ล่นแปลนไป
พรหมทตั ธิราช ๏ สมเด็จพระบาท
พระองค์ทรงธรรม์ ประพาสพงไพร
พบต้นพระไทร พากนั หลงไป
อยใู่ กล้ทุ่งนา
ทร่ี ่มโพธิ์ไทร ๏ เสดจ็ เข้าอาศัย
ร่มรน่ื ชืน่ ใจ ตน้ ใหญส่ าขา
ใหต้ ง้ั พลับพลา พระทัยราชา
ทรี่ ่มพระไทร
สรุ ยิ าตกตา่ ๏ ยามเย็นยา่ ยา่
ตรสั ส่ังขา้ หลวง ใกล้คา่ ไรไร
เรง่ ระวังระไว ท้ังปวงนอกใน
ลอ้ มรอบขอบคัน๑๐๙
โพธิ์ทองสะบัด ๏ พระพายเจ้าพัด
เสยี งดังกรง๊ิ กร๊าง ใบปดั ฟัดกนั
พระองคท์ รงธรรม์ ดจุ อย่างในสวรรค์
ฟังสรรพสาเนียง
พระทยั ไหวหว่นั ๏ ยามเย็นวนั นั้น
บรรทมมอ่ ยมอ่ ย สน่ันเพราะเพยี ง
เทพาบ่ายเบ่ยี ง ละห้อยดว้ ยเสยี ง
เลา้ โลมราชา
บนั ดาลการแถลง ๏ ทา้ วตรสั ให้แตง่
ขนมนมเนย แต่งเคร่อื งโอชา
ถวายแกเ่ ทวา ของเสวยยกมา
อารกั ษพ์ ระไทร
เสภาดนตรี ๏ ท้าวไทใหม้ ี
จบั ปี่สีซอ มโหรเี พลงใน
ขับกลอ่ มจอมไตร ขับทอ๑๑๐กนั ไป
ทา้ วไทบรรทม
๑๐๘ ยุรยาตร ก. เดนิ
๑๐๙ คนั น. แนวดินที่พนู ข้นึ มาสาหรับก้ันน้า
๑๑๐ ทอ ก. พูด
๘๓
ลมื แก้วกลอยสวาท ๏ ลมื ทัง้ ปรางคม์ าศ๑๑๑
คล้อยคลบั หลบั สนทิ นางนาฏเอวกลม
ทา้ วเสดจ็ บรรทม บ่คิดปรารมภ์
ใตร้ ม่ พระไทร
สรุ ิยาพวยพ่งุ ๏ เวลาจะใกลร้ ุ่ง
สมเด็จบรม ร่งุ ข้นึ แสงใส
ครั้นตืน่ ขึน้ ได้ บรรทมหลบั ใหล
แลไปแลมา
โพธิ์เงนิ เรอื งรอง ๏ ท้าวเห็นโพธิ์ทอง
ใครปลูกไว้นอก ท้งั สองรจนา
ทา้ วเร่งสงกา๑๑๒ หรอื งอกข้นึ มา
ในพระหฤทัย
แกห่ มู่เสนา ๏ แลว้ ทา้ วตรสั มา
เสาะสางถามดู อย่าช้าเร่งไป
โพธ์ิทองของใคร ให้รแู้ จง้ ใจ
ปลูกไว้ในสถาน
รับโองการเจา้ ๏ เสนากม้ เกลา้
แลน่ ไปวางวู้ ใส่เกลา้ กราบกราน
แก่นายโคบาล ถามดูอาการ
เล้ียงวัวกลางนา
จงึ บอกออกพลัน ๏ นายโคบาลนน้ั
โพธิ์เงินโพธิ์ทอง แกเ่ จ้าอนั มา
ของนางกาพร้า ทงั้ สองน้ันหนา
ปลูกไวท้ งั้ สอง
เล้ียงโคริมไพร ๏ ตัวนางนน้ั ไซร้
ครั้นถงึ เวลา ต้ังใจสมพอง๑๑๓
ทรี่ ม่ โพธ์ิทอง กลบั มาโดยปอง
นางเคยอาศยั
กลับมาละลัง๑๑๔ ๏ เสนาไดฟ้ งั
จงึ พบบังอร เท่ียวหานางไท
เสนาเขา้ ไป ต้อนวัวริมไพร
ถามนางฉายา
๑๑๑ มาศ น. ทอง
๑๑๒ สงกา น. ความสงสยั
๑๑๓ สมพอง ก. มงุ่ ปรารถนา ตอ้ งการ
๑๑๔ ละลัง ก. รบี เรง่
๘๔
ขอถามเทวี ๏ ดูราเจ้าพี่
โพธ์ิเงินโพธิ์ทอง ตามความสัจจา
ของนางฉายา ทั้งสองน้นั หนา
ปลูกไว้ฤๅไฉน
ไดฟ้ งั เสนา ๏ นางแกว้ กาพรา้
โพธ์ิเงินโพธิ์ทอง บอกมาทนั ใจ
ของข้าปลูกไว้ ทั้งสองนน้ั ไซร้
ต่างพระมารดา
ดูรานอ้ งทา้ ว ๏ เสนาจงึ กล่าว
จักบอกใหร้ ู้ ผโู้ ฉมโสภา
ตรัสใชใ้ ห้มา พระผผู้ ่านฟา้
หาเจา้ เข้าไป
โฉมตรูคูเ่ คล้า ๏ เชญิ แมเ่ ชญิ เจ้า
เจา้ อย่าเงอะงก๑๑๕ เชิญเจา้ คลาไคล
จักไดล้ าภใหญ่ กระหนก๑๑๖ตกใจ
ถึงใจฉายา
จงึ พานางนาฏ ๏ วา่ แลว้ แคลว้ คลาด
คร้ังถึงกราบทูล มายังพลับพลา
นางคนนี้หนา นเรนทรสูรราชา
ซึง่ ปลกู โพธ์ิทอง
กาพย์ฉบงั ๑๖ ทอดพระเนตรแลมา
๏ เม่อื น้นั พรหมทัตราชา ยง่ิ พศิ ย่งิ ดี
ถามนางทรามวัย
เหน็ หนา้ กาพรา้ นารี แรกเรมิ่ เดิมที
๏ เอวบางร่างน้อยมีศรี นามกรชือ่ ใด
ภูมมี าชอบพระทยั
๏ ท้าวเออ้ื นโองการตรสั ไป
ปราศรยั เป็นทางไมตรี
๏ ดรู ากัลยานารี
เทวเี ปน็ ลกู ของใคร
๏ บิดามารดาอยู่ไหน
จงึ ใชม้ าเลย้ี งวัวควาย
๑๑๕ เงอะงก มาจาก เงอะงะ ว. แสดงกิรยิ าเคาะเขนิ
๑๑๖ กระหนก ก. ตระหนก หวาด ผวา สะดงุ้ ตกใจ
๘๕
๏ ธรรมเนยี มเป็นหญงิ ทง้ั หลาย ย่อมทาหกู ๑๑๗ฝ้าย
ววั ควายมใิ ช่การหญิง
๏ เราถามโฉมงามตามจรงิ โพธ์ิทองงามยิง่
จริงจรงิ เจ้าปลูกหรอื ไฉน
๏ สว่ นนางกาพร้าทรามวัย จึงแจง้ แถลงไข
ทูลไปแตแ่ รกเดมิ มา
๏ พระองคจ์ งทราบบาทา บิดาแห่งขา้
ชื่อวา่ ทารกเศรษฐี
๏ มารดาแหง่ ข้าเจ้านี้ นามกรอันมี
ชือ่ ว่านางแก้วกนิษฐา
๏ แกว้ แหวนแสนทรัพย์นานา วัวควายชา้ งม้า
เสื้อผา้ ย่อมมคี รบครัน
๏ เวรา๑๑๘เม่ือมาตามทนั บดิ ากระสัน
ที่น้ันมเี มียสองศรี
๏ เมียน้อยช่ือนางกนษิ ฐี เล่หก์ ลมนั ดี
มันน้ที าให้พ่อหลงใหล
๏ วันหนึง่ มารดาตายไป ด้วยพ่อคลาไคล
ทอดแหท่ใี นคงคา โบยตีมารดา
๏ บดิ าพาโล๑๑๙โกรธา
แล้วฆา่ ใหม้ ว้ ยอาสัญ
๏ มารดาของข้าเจ้าน้ัน ครนั้ ส้ินชวี นั
เกดิ พลันเป็นปลาบทู่ อง
๏ ข้ามาอตส่าห์๑๒๐ปกครอง มิใหเ้ ศรา้ หมอง
ร่อนกรองราออ่ นให้กนิ
๏ ปรนนบิ ตั ิรักษาอาจณิ ๑๒๑ เรียกหาให้กนิ
มูสิน๑๒๒ไปทุกเวลา
๏ แม่เลยี้ งเขาคดิ รษิ ยา ใช้ใหล้ กู ยา
ไปฆ่าปลาบู่บรรลัย
๏ ขา้ บาทเพยี งจักขาดดวงใจ ขา้ ร่ารอ้ งไห้
ถึงไทผู้เปน็ ชลนี
๑๑๗ หูก น. เครือ่ งทอผา้
๑๑๘ เวรา มาจาก เวร น. คาแสดงความรสู้ กึ เดือนร้อนเพราะกรรมหรือชะตากรรมในอดีต
๑๑๙ พาโล มาจาก พาล ชวั่ รา้ ย เกเร เกะกะ
๑๒๐ อตสา่ ห์ มาจาก อตุ สา่ ห์ น. ความบากบั่น ความพยายาม ความขยนั ความอดทน
๑๒๑ อาจณิ ว. เป็นปกติ ตดิ เป็นนิสยั เสมอๆ เนอื งๆ
๑๒๒ มสู ิน ไมพ่ บความหมาย
๘๖
๏ ผัวเมียโกรธแคน้ แสนทวี ชวนกันโบยตี
ขา้ นีแ้ ทบม้วยมรณา
๏ ฝงู เปด็ ได้เกล็ดนางปลา จงึ คายออกมา
ให้ข้ารับเอาบน่ าน
๏ ข้าตงั้ สจั จาธิษฐาน บัดใจไม่นาน
บันดาลเป็นมะเขอื ทนั ใจ
๏ ข้าชมเช้าค่าราไร เหมอื นหนง่ึ ขา้ ได้
เห็นไทผู้เป็นชลนี
๏ แลว้ รถู้ งึ นางกนิษฐี ใช้ให้นางอ่ี
สองศรีน้นั มาหักราน
๏ ข้าน้อยเพียงจักสิน้ กาล ท้ังส่ปี องผลาญ
ใหม้ ารดาขา้ วอดวาย
๏ ฝูงเปด็ ไดเ้ ม็ดพลดั พลาย ให้ข้าโดยหมาย
หอ่ ไวก้ บั ชายภษู า
๏ ทา่ นใชใ้ หข้ า้ น้อยมา เล้ยี งโคกลางนา
อตั รา๑๒๓เป็นนจิ กาล
๏ ข้าน้อยจงึ ต้ังธษิ ฐาน ปลูกลงไม่นาน
บนั ดาลเป็นโพธิ์ทง้ั สอง
๏ ข้าน้อยค่อยคลายเศร้าหมองชมแม่โพธิ์ทอง
ทัง้ สองเป็นนจิ อัตรา
๏ ขา้ ชมต่างพระมารดา เชา้ คา่ ขา้ มา
รักษาวา่ พระชลนี
๏ พระองคจ์ งโปรดเกศี ข้าทลู คดี
ท้งั นีจ้ งทราบบาทา
๏ ท่านทา้ วฟงั กลา่ ววาจา หฤทัยราชา
ก็มาละหอ้ ยด้วยเทวี
๏ ท้าวนึกในใจภูมี เอ็นดเู ทวี
นางนีก้ าพรา้ เข็ญใจ
๏ มพี อ่ พอ่ น้ันหลงใหล ดว้ ยเมียนอ้ ยไป
จงึ ใหช้ งิ ชงั ลูกตน
๏ เปน็ สาวระบอบชอบกล ไดย้ ากทกุ ขท์ น
รอ้ นรนจงึ เศรา้ หมองศรี
๏ มาเถดิ พ่ีจะเลย้ี งเทวี ไวเ้ ป็นมเหสี
ควรที่ครอบครองกรุงไกร
๑๒๓ อัตรา ว. เปน็ ประจาตามกาหนด สม่าเสมอ
๘๗
๏ ชาติก่อนนวลนางทรามวัย เคยเก็บดอกไม้
ร่วมใจดว้ ยกันโดยดี
๏ ไดถ้ วายแก่พระชินสี จึงนางเทวี
ชาตนิ ีเ้ รามาพบกัน
๏ คิดพลางโองการตรสั พลัน วา่ แก่จอมขวญั
โพธ์ินน้ั เราขอเถดิ รา
๏ โพธ์ิเงินโพธิ์ทองน้ันหนา เราใครป่ รารถนา
ปลกู ไว้ที่หน้าบัญชร๑๒๔
๏ นางแก้วกาพร้าสายสมร ฟงั พระภูธร
บงั อรจึงทลู ราชา
๏ พระองคจ์ งโปรดเกศา แมน้ พระปรารถนา
ตวั ข้าขอถวายภูมี เชิญพระพนั ปี๑๒๕
๏ ด่ังนา้ พระทัยยินดี
ขา้ นี้ไม่ขัดท้าวไท
๏ ทา้ วฟงั คานางทรามวัย ท้าวจงึ ลุกไป
เขา้ ใกล้ให้ขดุ โดยปอง
๏ สองกรชกั ถอนโพธิ์ทอง โพธ์ิเงนิ เรอื งรอง
ท้ังสองมิไดห้ วน่ั ไหว
๏ ทา้ วเรยี กโยธานอกใน ข้าหลวงชว่ งใช้
ผใู้ หญอ่ ามาตย์ทง้ั ส่ี
๏ รีพ้ ลเกลือ่ นกลน่ มากมี เข้าพร้อมลอ้ มท่ี
มะมี่๑๒๖รุมถอนบน่ าน โพธ์ิทองกระการ๑๒๗
เอาพวน๑๒๙ที่มน่ั
๏ เทวานั้นมาบนั ดาล
แน่นดาน๑๒๘มิไดไ้ หวหวั่น
๏ ท้าวตรัสสัง่ เสนาพลนั
ผกู พันใหแ้ นน่ ตรงึ ตรา ผูกพันกัณฐา๑๓๐
๏ เอาช้างพระที่นงั่ นัน้ มา
ให้คร่า๑๓๑ด้วยแรงกาลงั
๑๒๔ บัญชร น. หน้าตา่ งพระทีน่ ง่ั พระมหาปราสาท ในพระราชวัง
๑๒๕ พระพนั ปี ชื่อเรียกพระราชา ในบริบทน้หี มายถึงพระเจ้าพรหมทัต
๑๒๖ มะมี่ ก. มี่ องึ ม่ี เอกิ เกรกิ แซ่ อกึ ทึก
๑๒๗ กระการ มาจาก ตระการ ว. งาม ประหลาด แปลก
๑๒๘ ดาน ว. แข็ง แน่น
๑๒๙ พวน น. เชือกเกลียวขนาดใหญ่
๑๓๐ กัณฐา น. ม้าชนิดหนึง่
๑๓๑ ครา่ ก. ฉุดลากไปอยา่ งไม่ปรานี
๘๘
๏ คชสารห้าวหาญ............. คร่าดว้ ยกาลงั
พวนรง้ั ขาดยุย่ ผยุ ผง ทา้ วคิดพิศวง
พน้ กาลังไป
๏ มิได้หวาดไหวโดยจง ให้นางกาพรา้
งวยงงในพระหฤทยั ตรสั เรยี กโฉมตรู
ขอเชญิ เทวี
๏ เสนีมนตรที ูลไข ลุกไปดว้ ยพลนั
มิได้หว่ันไหวเลยหนา ต้ังความสัจจา
๏ พระองคจ์ งโปรดเกศา
ฉายามายกลองดู
๏ ท้าวไทไดฟ้ งั แก่หู
เอ็นดเู ถิดรานารี
๏ ดรู ากัลยามีศรี
บดั น้ีมายกโพธ์ิพลนั
๏ ฉายากาพร้าแจม่ จันทร์
เอววันบังคมเทวา
๏ กราบลงสามทีมิชา้
แล้วมาธิษฐานโดยปอง
กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ ๏ ข้าไหว้เทวา
โพธิ์เงนิ โพธิ์ทอง
อนั อยู่รกั ษา เจา้ ช่วยปกครอง
พระคุณอยเู่ กล้า ช่วยลูกด้วยรา
นางปลาบทู่ อง ๏ นางผู้ชลนี
โพธิ์ทองนนั้ หนา
สงิ สู่อยทู่ ่ี ลกู พร่าเรียกหา
ไดฟ้ ังถ้อยคา จะยกโพธิ์ทอง
เอน็ ดลู ูกยา ๏ จงึ ไปไหว้วาน
วมิ านช้นั ช่อง
เทวาทุกสถาน เกล่อื นกลาดทกุ หอ้ ง
เทวดาอากาศ ปา่ วร้องทุกคน
นางปลาบ่ทู อง ๏ บอกเลา่ คดี
เจา้ มีทงั วล๑๓๒
วา่ ลกู ข้านี้ ขา้ ด้วยทุกคน
วานท่านไปชว่ ย โพธิ์เงนิ โพธิ์ทอง
วานช่วยยกต้น
๑๓๒ ทังวล ก. กงั วล หว่ งใย
๘๙
สิงสอู่ ย่ปู ่า ๏ ไหวว้ านเทวา
โตรก๑๓๓เตรินเนนิ ถา้ ภูผาช้ันชอ่ ง
หว้ ยเหวเปลวป่อง แม่น้าทง้ั ผอง
ทว่ั ท้องสงิ ขร
สมุ ทุมพ่มุ ปา่ ๏ เที่ยวดน้ คน้ หา
ทอ่ งแถวแนวคลอง เทวาดงดอน
เที่ยววิง่ วงิ วอน หว้ ยหนองขจร
วานเพอ่ื นฝูงกัน
ชวนกันผันผาย ๏ เทวาทงั้ หลาย
เขา้ ลอ้ มโพธ์ิทอง ลงมาด้วยพลัน
ช่วยนางจอมขวัญ กึกกอ้ งแจจัน
ยกโพธิ์ด้วยดี
กาพร้านางแก้ว ๏ นางธษิ ฐานแล้ว
นางยกประคอง กราบลงสามที
เบาวอ่ งผอ่ งศรี โพธิ์ทองดว้ ยดี
ชขู ึ้นบค่ ลา
ชตู น้ โพธ์ิทอง ๏ มือขวานางน้อง
มือซ้ายนางชู เรอื งรองรจนา
นางยกเขา้ มา โพธ์ิเงินโสภา
ถวายแก่ภูมี
ท้าวทอดพระเนตร ๏ สมเด็จภเู บศ
นางยกโพธ์ิเงนิ เห็นเหตุเทวี
เหน็ อยา่ งสาลี โพธ์ิทองดว้ ยดี
หลากแหลกแปลกใจ
รพ้ี ลเปน็ พนั ๏ เหน็ เปน็ อัศจรรย์
นวลนางคนน้ี ยกโพธ์ิมไิ หว
ยกโพธ์ิข้นึ ได้ มีบุญเหลอื ใจ
เบาวอ่ งผอ่ งศรี
นางคนน้หี นา ๏ หลากนักประจกั ตา
ควรคกู่ แู ล้ว บญุ ญาแสนทวี
ควรเปน็ มเหสี นางแก้วคนนี้
ครอบครองพารา
๑๓๓ โตรก น. ชอ่ งลกึ ของเขา
๙๐
เสด็จจากแทน่ แกว้ ๏ คร้นั ท้าวคิดแลว้
เสด็จข้นึ ชา้ งต้น รับนางฉายา
พานางกาพร้า มงคลมหึมา
มาสบู่ รุ ี
จูงมือนางแกว้ ๏ ครงั้ ถงึ วังแลว้
ราชาภเิ ษก ขึน้ ปราสาทศรี
ทรงธรรมพ์ นั ปี เปน็ เอกนารี
ร่วมรักเสน่หา
มีพระโองการ ๏ แล้วพระภบู าล
เรง่ ปลกู โพธิ์ทอง สั่งแก่เสนา
ปลกู ลงตรงหน้า ทง้ั สองโสภา
พระบัญชรศรี
ช่วยกันขุดหลมุ ๏ เสนามากลุม้ ๑๓๔
โพธิ์เงนิ โพธ์ิทอง ปลกู โพธ์ิทันที
มอบใหท้ าสี๑๓๕ ท้ังสองอันมี
รดนา้ อัตรา
รู้ว่าเทวี ๏ สว่ นนางกนิษฐี
ไดเ้ ป็นมเหสี นางแก้วกาพร้า
ใจจิตรษิ ยา ผ้มู ีศักดา
แกลง้ จะฆ่านางไท
ในทรวงดวงแนน่ ๏ กลุม้ กลัดขดั แคน้
มนั เปน็ มเหสี คับแคน้ หวั ใจ
ตวั กนู ี้ไซร้ ไดด้ นี านไป
ไมพ่ น้ ความตาย
ใหม้ ันส้นิ กาล ๏ มากูจักผลาญ
กูจกั ไปเล่า ด่งั ใจกูหมาย
ให้ช่วยแกค้ ลาย ยายเฒา่ ใจร้าย
ซง่ึ ความขัดใจ
บัดใจไมช่ ้า ๏ คดิ แลว้ เดนิ มา
สว่ นยายกาลศิ าจ ถึงเคหาใน
รอ้ งทกั แต่ไกล ผาดเห็นนางไท
เจา้ ไปไหนมา
๑๓๔ กลมุ้ ก. รวมประดัง คับค่ัง
๑๓๕ ทาสี น. ทาส ขา้ รับใช้
๙๑
ตวั ข้านี่ไซร้ ๏ นางจงึ บอกไป
ขา้ มคี วามทุกข์ ตง้ั ใจมาหา
ยายเจ้าหลานอา จึงบกุ ซุกมา
ด้วยขา้ ขัดใจ
ความทุกขข์ องเจา้ ๏ ยายจึงถามเลา่
เจ้าอย่าอาพราง หนกั เบาเป็นไฉน
พอจกั ช่วยได้ นวลนางบอกไป
แตต่ ามปญั ญา
บอกเลา่ คดี ๏ จงึ นางกนิษฐี
ความแค้นของลูก แก่ยายบ่คลา
ดว้ ยอีกาพร้า ดงั ถกู ปืนยา๑๓๖
มันไปไดด้ ี
ผ้ผู ่านภพไตร ๏ มนั ไปเปน็ ใหญ่
ข้าจึงแคน้ ใจ ต้งั เปน็ มเหสี
จกั ผลาญชวี ี มันไปไดด้ ี
ให้มันบรรลยั
มว้ ยมอดวอดวาย ๏ ถ้าผลาญมนั ตาย
จักใหเ้ งนิ ทอง ยายชว่ ยขา้ ได้
คา่ จา้ งจกั ให้ สิ่งของใดใด
ถงึ ใจหม่อมยาย
แหวกลอ่ งช่องฝ้า ๏ ยายฟังนางวา่
แลว้ หันผนั กลบั แลขวาแลซา้ ย
อยา่ ใหว้ นุ่ วาย กาชบั กบั หมาย
ความรา้ ยกวดขัน
ซุบซบิ กะหยบิ ๑๓๗ตา ๏ ห้ามแลว้ จึงวา่
กลบิ กลบั หบั ประตู พยกั หน้างนั งัน
น่ังชดิ สะกิดกนั ทะเงอ้ ๑๓๘ดูแปรผัน
จะแตง่ กระดานยนต์
ใสฟ่ ืนเร่งไฟ ๏ ตม้ นา้ ร้อนไว้
ล่อลวงเทวี ทาให้ชอบกล
ใหเ้ ดนิ ไปบน ว่ามีทงั วล
กระดานยนต์น้นั หนา
๑๓๖ ปืนยา หมายถึง ธนูท่ีอาบยาพษิ
๑๓๗ กะหยบิ มาจากขยบิ ก. ทาหลบั ตาแล้วลืมโดยเร็วครัง้ หนง่ึ โดยเป็นอาณัตสิ ัญญาณให้ผอู้ ่ืนกระทาหรอื เว้นกระทาอย่างใด
อย่างหนงึ่
๑๓๘ ทะเง้อ มาจากชะเง้อ ก. ชคู อขน้ึ ดู
๙๒
ลงในน้ารอ้ น ๏ จึงผลกั บงั อร
แล้วให้นางอ้าย มว้ ยมรณช์ วี า
ประดับประดา โฉมฉายลกู ยา
ไปแทนเทวี
อยา่ ให้ใครใคร ๏ แล้วส่งั สอนไป
เมอ่ื ถึงปรางคม์ าศ สงสยั อยา่ งนี้
ใหท้ าทว่ งที ปราสาทเทวี
เหมอื นนางกัลยา
ยายเฒา่ ใจแคลว้ ๏ คร้ันคิดกันแลว้
แต่งเป็นกระดานยนต์ คลาดแคลว้ ออกมา
เอากระทะเหลก็ มา ไว้บนเคหา
ตม้ น้าโดยหมาย
กาพยย์ านี ๑๑
๏ เมื่อนน้ั นางกนษิ ฐี เรยี กนางอี่แลนางอา้ ย
เจ้าผนั ผายเร่งเข้าไป
พน่ี อ้ งสองโฉมฉาย นายประตจู กั ถามไถ่
๏ สวู่ งั พระโฉมตรู หานางไทพระเทวี
พระบดิ าแทบเปน็ ผี
บอกว่าจักเขา้ ไป ใช้ข้าน้ีให้มาหา
๏ ครั้งถงึ จงึ บอกวา่ ฟังชลนีสงั่ สอนมา
กราบมารดาแลว้ คลาไคล
ปว่ ยไข้ได้แสนทวี ค่อยยา่ งเย้อื งชาเลืองไป
๏ นางอา้ ยแลนางอี่ จงึ ถามไถน่ ายประตู
ชว่ ยบอกพ่ีขา้ ใหร้ ู้
พีน่ อ้ งรับวาจา ให้นางร้ซู ่ึงคดี
๏ ครน้ั ถึงประตูเมือง นอ้ งโฉมฉายชือ่ นางอ่ี
ทังวลมีจึงมาหา
ถึงวงั พระจอมไตร ถึงชั้นในให้ทาสา๑๓๙
๏ ดรู าท่านท้งั นี้ แก้วกาพรา้ ทราบพระทยั
วา่ เปน็ น้องของทรามวยั
กาพรา้ เจา้ โฉมตรู ช่อื นางอา้ ยแลนางอี่
๏ ตัวข้าช่อื นางอ้าย เขาทูลมากย็ นิ ดี
ท้งั สองศรีนนั้ เข้ามา
ทั้งสองนอ้ งเทวี
๏ นายประตใู ห้เข้าไป
กราบทูลนางพญา
๏ ยงั มีนางทงั้ สอง
สองรามากราบไหว้
๏ ส่วนว่านางพญา
ส่งั ใหร้ ับเทวี
๑๓๙ ทาสา น. ทาส ขา้ รับใช้
๙๓
๏ ทาสากราบลาไป รบั นางไทท้ังสองรา
พานางยา่ ง๑๔๐เขา้ มา ถงึ ฉายาพระเทวี
เหน็ น้องมากย็ ินดี
๏ ฝ่ายว่านางพญา นั่งด้วยพ่ีท้ังสองรา
เชื้อเชญิ ดาเนนิ ศรี กล่าวคดีทูลพ่ยี า
คร่าครวญหาทุกราตรี
๏ นางอา้ ยแลนางอ่ี ต้งั แตท่ กุ ข์ถึงพระพี่
แต่พ่จี ากน้องมา ทกุ ขถ์ ึงพเ่ี ปน็ นิรันดร์
ป่วยหนักหนาแทบอาสัญ
๏ จกั กนิ มิเป็นสุข ใช้มาพลันทูลพ่ียา
มารดามาหมองศรี พอเหน็ ใจพระบดิ า
ถา้ อย่ชู ้าไมเ่ หน็ ใจ
๏ บัดนพ้ี ระบดิ า ฟังน้องว่าพาซื่อไป
ปว่ ยไข้ได้หลายวนั มนั มาใกล้ถึงเทวี
สร้อยพิมพาร่งุ เรืองศรี
๏ ให้เชญิ พ่ีออกไป แซมเกศงี ามรงุ่ เรือง
จะใกล้สนิ้ วิญญาณ์ งามเลศิ ล้นคา่ ควรเมือง
ประดบั เครื่องพระธามรงค๑์ ๔๒
๏ ส่วนวา่ นางพญา งามเรอื งรองอันเคยทรง
ไม่รวู้ ่าโพยภัย หอ้ มลอ้ มองค์อยเู่ รียงรนั
พดั โบกปองบังสุรฉิ ัน๑๔๔
๏ นางทรงเคร่อื งรจนา ออกมาพลนั จากเรือนทอง
รดั เกลา้ เกศเมาลี๑๔๑ ล้อมนางไทอย่เู นอื งนอง
ม๑ี่ ๔๕กกึ ก้องหอ้ มลอ้ มไป
๏ นางทรงภษู าตน้ จึงนางอี่นางอา้ ยไซร้
สบิ นวิ้ ของบญุ เรือง มาแล้วไซร้นะแม่อา
แยบคายดีร่ี๑๔๖ออกมา
๏ เรยี กหาพระวอ๑๔๓ทอง แก้วกาพร้าพาซ่อื ไป
ขา้ สาวงามบรรจง เข้าชมชดิ พสิ มัย
เข้าลบู ไล้ท่วั สารพางค๑์ ๔๗
๏ เสด็จขน้ึ พระวอทอง
นางนาฏจึงผาดผนั
๏ เฒ่าแก่ชาวแม่ใน
แตรสงั ขท์ ั้งพาทย์ฆอ้ ง
๏ ถงึ บา้ นทา่ นเศรษฐี
ไปบอกแมท่ ันใจ
๏ ฝา่ ยวา่ นางกนิษฐี
รับเชิญนางพญา
๏ มันทาเปน็ รักสนิท
จูบพลางทางปราศรยั
๑๔๐ ย่าง ก. เดนิ
๑๔๑ เมาลี น. ผมจุก
๑๔๒ ธามรงค์ น. แหวน
๑๔๓ วอ น. ยานทีม่ ีลกั ษณะเป็นรูปเรอื นหลงั คาทรงจว่ั สาหรับเจา้ นายหรอื ข้าราชการฝ่ายในนั่ง
๑๔๔ สุริฉนั ว. มีแสงกลา้ มีแสงพุ่งออกไป
๑๔๕ ม่ี ว. กกึ ก้อง
๑๔๖ ร่ี ก. เดินหรอื วิ่งตรงเข้ามาโดยไมร่ ีรอ
๙๔
๏ แมค่ ดิ ถึงนวลเจา้ แม่สร้อยเศร้าบว่ ายวาง
ทกุ ข์ตรอมผอมเป็นก้าง ทกุ ขถ์ งึ นางเป็นหนกั หนา
เชิญลูกรกั ผฉู้ ายา
๏ บิดาเจ้าป่วยหนกั เพราะวา่ มาแตท่ างไกล
อยู่น่กี ่อนเถิดรา เคราะห์บดิ ารา้ ยเหลอื ใจ
ใหเ้ ข้าไปนน้ั ไม่ดี
๏ มด๑๔๘หมอเขาทายวา่ มาด้วยเจา้ เปน็ มากมี
คนมาแตท่ างไกล อยา่ ใหม้ ไี ปวนุ่ วาย
เชิญแตต่ วั นางโฉมฉาย
๏ ทาสาแลค่อมเค่า พ่อจะตายได้เหน็ ใจ
ใหอ้ ยแู่ ต่ทน่ี ี่ จักมรณาพาซ่ือไป
แลว้ นางไทสง่ั ทาสา
๏ ใหอ้ ยู่แต่นอกรว้ั อย่าจูล่ ู่๑๔๙ตามกูมา
ไปแตค่ นเดยี วดาย เจา้ เข้ามาคนเดียวดาย
แยบคลายดีจงึ ภิปราย๑๕๐
๏ ฝ่ายว่านางพญา ใหส้ บายก่อนเถดิ รา
โฉมยงมิสงสัย เปลื้องเครือ่ งทรงจากกายา
สรงคงคาเหยียบสายยนต์
๏ สชู วนกันนงั่ อยู่ ดน้ิ อยู่ในน้ารอ้ นรน
สั่งพลางนางไคลคลา ม้วยวายชนมส์ ้ินชวี า
กบั นางนาฏอนั ริษยา
๏ สว่ นว่านางกนิษฐี สิ้นชีวามนั ดใี จ
เชญิ เจา้ ชาระกาย อคี นผดิ มันบรรลยั
พน้ ทกุ ไปแลว้ แลหนา
๏ นางพญาพาซ่ือตรง ให้เป็นเมียพระราชา
โฉมยงมสิ งกา สรงคงคาชาระองค์
อนั เลิศแล้วงามบรรจง
๏ กระดานหกตกลงไป ประดับองคแ์ หง่ ลูกตน
พองปอก๑๕๑ลอกทั้งตน สง่ั วา่ แกว้ นริ มล๑๕๒
เราสามคนจักมว้ ยมรณ์
๏ ยายเฒา่ กาลิศาจ
เหน็ นางแกว้ กาพรา้
๏ ที่น้ีสมความคดิ
แตน่ มี้ กิ ลวั ใคร
๏ จักแต่งลูกกูเสยี
จงึ เรยี กนางอา้ ยมา
๏ เคร่ืองตน้ ของนางแกว้
เอามาใหล้ กู ทรง
๏ คร้ันแตง่ ลูกตนแล้ว
อย่าใหใ้ ครรกู้ ล
๑๔๗ สารพางค์ น. ทง้ั ตวั ทว่ั ตวั
๑๔๘ มด น. หมอเวทมนตร์ หมอผี
๑๔๙ จลู่ ู่ ก. รเ่ี ข้าไปตามทาง ถลันเข้าไป
๑๕๐ ภปิ ราย มาจาก อภปิ ราย ก. พูดชแี้ จงแสดงความคิดเห็น
๑๕๑ ปอก ก. เอาเปลือกหรือสงิ่ ทีห่ อ่ หุ้มออก
๑๕๒ นิรมล ว. ไม่มีมลทิน
๙๕
๏ เมื่อไปถงึ วังใน แสร้งทาไขเ้ จ็บเสียก่อน
อยา่ ไปเฝ้าภูธร คลุมหัวนอนซ่อนกายา
ทาใหเ้ หมือนนางกาพรา้
๏ แม้นท้าวเธอมาเยอื น ตรสั ถามมาสิง่ ใดใด
อยา่ ให้ทา้ วสงกา อยา่ ขัดขวางนา้ พระทยั
อยา่ นอนใจนะลกู อา
๏ ทลู ตอบใหช้ อบทาง แตง่ นางนาฏด้วยคุณยา
เจา้ จาคาแมไ่ ป ขี้ผง้ึ มาเสกใหศ้ รี
ใหท้ า้ วไทรกั เทวี
๏ ยายเฒ่ากาลิศาจ ให้ยนิ ดีในพระทยั
เสกแป้งแต่งใหท้ า เดนิ ออกมาเรียกสาวใช้
วิง่ เขา้ ไปท้งั ซา้ ยขวา
๏ นา้ มนั เสกให้ใส่ มารบั รองถึงเคหา
ให้หลงดว้ ยมนตร์น้ี สาคญั วา่ เจ้าของตน
จากเคหาบัดเดยี๋ วดล
๏ ครน้ั แตง่ แล้วมชิ ้า มาบดั ดลเขา้ วังใน
เฒ่าแก่ชาวแม่ใน จงึ นางนาฏลงบดั ใจ
ทีห่ ้องในของนางคราญ
๏ จงึ เอาพระวอทอง พรหมทัตพระภูบาล
ขา้ ไทไม่สงกา ให้ราคานกลุ้มพระทยั
ใช้มาเล่าใหห้ ลงใหล
๏ แห่ห้อมลอ้ มเจา้ มา ห้องนางไทมเหสี
ชาวแมแ่ ห่เสอื กสน ท้าว๑๕๓สาคญั ว่าเทวี
ในวันนี้เจ้าไปไหน
๏ ครงั้ ถึงปรางค์ปราสาท ในวันน้ขี ้าเจ้าไป
นางอา้ ยจึงเข้าไป ท่านป่วยไข้ได้แสนทวี
ขอพระเจา้ ทราบคดี
๏ เมือ่ นัน้ จอมกษตั ริย์ บงั เกิดมปี ่วยเกศา
ครั้นค่าราตรีกาล พระผา่ นเกล้าผรู้ าชา
สะท้านมาท่ัวทัง้ ตวั
๏ เพราะคุณของยายเฒ่า คุณเขาทาให้มดื มัว
เสดจ็ มาสปู่ รางคใ์ น เสยี วทั้งตัวถกู คณุ มนั
ในพระทยั ใหป้ ว่ นปั่น
๏ พระทัยให้ปว่ นปน่ั ส่ปู รางค์มาศปราสาททอง
ตรสั ถามซง่ึ คดี
๏ นางอา้ ยทลู สามี
เยือนพระบิดาไท
๏ พระองคจ์ งโปรดเกลา้
ตัวขา้ มเหสี
๏ มไิ ดข้ ้ึนไปเฝ้า
เจบ็ เมอื่ ยเล่อื ย๑๕๔กายา
๏ ท้าวไทไดฟ้ ังคา
องคส์ ัน้ อยรู่ ัวรวั
๏ น่งั อย่มู ใิ คร่ได้
ท้าวกลับคืนมาพลัน
๑๕๓ ท้าว น. ผูเ้ ป็นใหญ่ พระเจ้าแผน่ ดนิ ในบริบทน้ีหมายถงึ พระเจ้าพรหมทตั
๑๕๔ เล่ือย ก. เม่อื ย