รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา The Development of learning achievement in Thai language subjects reading and spelling consonants by using MLH Model instructional media for Prathom 3 students at the Banlaae School Raman Distric Yala Province โดย นางสาวอานิตา มะเด็ง รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรีสาขาวิชาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดย ใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ผู้วิจัย นางสาวอานิตา มะเด็ง สาขาวิชา การประถมศึกษา คณะกรรมการที่ปรึกษา …………………………………………………………ประธานกรรมการ (อาจารย์วราห์ เทพณรงค์) ประธานหลักสูตรสาขาวิชาการประถมศึกษา …………………………………………………………กรรมการ (ผศ.พุมพนิต คงแสง) อาจารย์นิเทศก์ประจำหลักสูตรสาขาวิชาการประถมศึกษา …………………………………………………………กรรมการ (……………………………………..) อาจารย์ประจำฝ่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู …………………………………………………………กรรมการ (นางฮามีด๊ะ ยามามะลี) ครูพี่เลี้ยง โรงเรียนบ้านละแอ รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 4 ระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2566
ก ชื่อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ผู้วิจัย นางสาวอานิตา มะเด็ง สาขาวิชา การประถมศึกษา ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละ แอ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อสื่อ การสอน MLH Model กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลัง ศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5คน โดยมีวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ชุดกิจกรรมการอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model จำนวน 4 แผน แผนละ 3 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถ ด้านการอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 2 ชุด 3) ชุด กิจกรรมการอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อสื่อการสอน MLH Model สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดทักษะด้านการอ่านสะกดคำ เปรียบเทียบทักษะด้านการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการใช้สื่อการสอน โดยใช้ ค่าพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยคะแนนทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 1.20 คะแนน คะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 คะแนน 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอน MLH Model โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด (x̅= 4.92, S.D. = 10.10) คำสำคัญ : การพัฒนา, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, การอ่านสะกดคำ
ข Research title The Development of learning achievement in Thai language subjects reading and spelling consonants by using MLH Model instructional media for Prathom 3 students at the Banlaae School Raman Distric Yala Province Researcher Miss Aneeta Madeng Major Elementary Education Academic year 2023 Abstract This research aims to 1) develop learning achievement in the Thai language subjects reading and spelling consonants by using MLH Model instructional media of primary 3 at Banlaae School 2) to study satisfaction toward development of learning achievement in the Thai language subjects reading and spelling consonants by using MLH Model instructional media of primary 3 at Banlaae School. Sample group of the research with consisted of 5 primary 3 students who studying at Banlaae School in the first semester of an academic year 2023 achieved by using purposive sampling method. Tools that used in the research are 1) 4 learning management plants with 12 teaching hours that implemented MLH Model instructional media 2) Before and after tests of measurement of reading and spelling ability consonants by using MLH Model instructional media with 2 sets 3) Spelling activity consonants by using MLH Model instructional media 4) Questionnaire form to evaluate student satisfaction toward for MLH Model instructional media of primary 3 at Banlaae School. Statistics used for analyzing data are percentage, mean, and standard deviation. Finding of the research found that 1) A development of learning achievement in Thai language subjects reading and spelling consonants by using MLH Model instructional media allowed students to have an after test score higher than before test score. An average score before learning was 1.20 points while average score after learning was 4.60 points
ค 2) Student satisfied with a MLH Model instructional media in the over all in highest level (x̅= 4.92, S.D. = 10.10) Keywords : Development, Learning achievement, Reading and spelling consonants
ง กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยความอนุเคราะห์ช่วยเหลืออย่างดีจากอาจารย์ ผศ.พุมพนิต คงแสง ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา คอยให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ และให้แนวทางในการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ต่าง ๆ ในการทำงานวิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่งมาโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนสำเร็จ ทำให้งานวิจัยมี คุณค่า ผู้วิจัยขอขอบคุณด้วยความเคารพอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ให้ความ อนุเคราะห์ตรวจแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ขอบคุณผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนบ้านละ แอทุกท่าน ที่อนุญาตให้ผู้วิจัยดำเนินการวิจัย ทำให้วิจัยเสร็จสิ้นในเวลาที่กำหนด ขอขอบคุณ พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง รวมทั้งเพื่อน ๆ ที่เป็นกำลังใจมาโดยตลอดการทำวิจัยในครั้งนี้จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอบคุณ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการ ดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยฉบับนี้ ขอมอบให้แก่บิดา มารดา ครูอาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่านที่กรุณาวางรากฐานการศึกษาให้แก่ผู้วิจัยเสมอมา และทำให้วิจัยฉบับนี้สำเร็จ ลุล่วงไปได้ด้วยดี อานิตา มะเด็ง สิงหาคม 2566
จ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………………………..…… บทคัดย่อภาษาอังกฤษ………………………………………………………………………………………………… กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………..….… สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………………… สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………………….…… สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………………….…… บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………………….…… ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………………………….. วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………………………………….…………… ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………….…………………. นิยามศัพท์เฉพาะ…………………………………………………………………………………….. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………….………………… กรอบแนวคิดในการวิจัย…………………………………………………………….…………….. บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………….………… ตัวชี้วัดสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551………………………………………….. แนวคิดและหลักการสอนภาษาไทย………………………………………………………….. แนวคิดเกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้………………………………………………………. แนวคิดเกี่ยวกับการสะกดคำ…………………………………………………………….……… แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน……………………………………………………. แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ………………………………………………………………..… งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………….…………………… บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย…………………………………………………………….………………………..…… ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………….……….. ก ข ง จ ช ซ 1 1 3 3 4 5 5 6 8 10 16 21 25 28 32 37 37
ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………….……………. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………… แบบแผนการวิจัย…………………………………………………………….…………………….. การรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………….……………………. การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………….…………………… สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………….…… บทที่ 4 ผลการวิจัย…………………………………………………………….………………………………………. บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………………………………….……. สรุปผล…………………………………………………………….……………………………………. อภิปรายผล…………………………………………………………….……………………………… ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………….……………………………. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้………………………………………………….. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป……………………………………………………… บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………….……………… ภาคผนวก…………………….………………………………………………………………………………………….…… ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ…………….……………………………………………….. ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………….……………………………………………….. ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………….………………….…………… ภาคผนวก ง รายชื่อนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง…………….……………………………………………….. ภาคผนวก จ ประมวลภาพในการจัดกิจกรรม…………….…………………………………………… ประวัติผู้วิจัย………………………………………………………………………………………….……………………. 37 38 41 42 42 43 46 50 50 51 53 53 53 54 58 59 61 126 138 140 145
ช สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1. ตารางแสดงการเปรียบเทียบผลต่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model…………………………………… 2. ตารางแสดงการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย ก่อนและหลังได้รับการสอนโดยใช้สื่อการสอน MLH Model เรื่อง การอ่านสะ กดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model………………………………………………………… 3. ตารางแสดงจำนวนและร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง โดยจำแนกตามเพศ……………. 4. ตารางแสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานความพึงพอใจ ที่มีต่อการ พัฒนาการอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model………………………………………… 46 47 48 48
ซ สารบัญรูปภาพ ภาพที่ หน้า 1. กรอบแนวคิดการวิจัย…………………………………………………………………………….. 5
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้ กำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้จัดเป็น 5 สาระ ได้แก่ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดูและการพูด สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย และสาระที่ 5 วรรณคดีและ วรรณกรรม ซึ่งสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลัก ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้ เป็นสมบัติของชาติโดยกำหนดคุณภาพของผู้เรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปที่ 3 จะต้องอ่านสะกดคำและ เข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์ หน้าที่ของคำในประโยค มีทักษะการใช้ พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคง่าย ๆ แต่งคำคล้องจอง แต่งคำขวัญ และ เลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นได้เหมาะสมกับกาลเทศะ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 3) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง พัฒนาทักษะสื่อสารอย่างสมวัย เรียนรู้วัฒนธรรมการใช้ภาษาไทยที่ดีงาม สร้างเจตคติที่ดีในการเรียนวิชา ภาษาไทย ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของภาษาไทยและการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา เพื่อ อนุรักษ์ภาษาไทยอันเป็นสมบัติของชาติ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2563, น. 28-29) ซึ่งสอดคล้อง กับ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 37-39) กล่าวว่า ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทาง วัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็น เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจ ธุระการงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหา ความรู้ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณีและสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้อนุรักษ์และ สืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (สำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2560, ออนไลน์) ได้ กล่าวว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคน สร้างสังคม และสร้างชาติ เป็นกลไกหลักในการ พัฒนาคนให้มีคุณภาพ สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 ให้ความสำคัญต่อการศึกษาในหมวด 1 ความมุ่งหมายและ หลักการโดยในมาตราที่ 23 (4)
2 กล่าวถึงการจัดการศึกษาเน้นความสำคัญในเรื่องของความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้าน ภาษาไทยอย่างถูกต้อง และกล่าวถึงการให้สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและ แก้ไขปัญหา และในมาตราที่ 24 (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2563, น. 9) จากการสำรวจนักเรียนที่มีปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่ามีนักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2558, น. 144-145) และจากการวิจัยของ (สร้อยสน สกลรักษ์, 2558, น. 3) ที่ ศึกษารูปแบบ วิธีสอน และวิเคราะห์เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ของการสอนอ่าน-เขียนภาษาไทย ระดับ ประถมศึกษาในระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2551-2559 พบว่า ปัญหาการอ่านของนักเรียนประถมศึกษาที่พบ มากที่สุด คือ การอ่านไม่คล่อง เช่น การประสมคำ การผันวรรณยุกต์ เป็นต้น และมีข้อเสนอแนะด้าน วิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ คือ การอ่านสะกดคำตามโครงสร้างภาษาโดยเริ่มสอนจากการสะกดคำจน นักเรียนอ่านได้แล้วจึงใช้การแจกลูกสะกดคำ รวมถึงการใช้ภาพและสีในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน เพิ่มเติม ในการพัฒนานักเรียนทุกคนให้อ่านออกเขียนได้ มีงานวิจัยที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการอ่านและ เขียนภาษาไทย เป็นการสร้าง พัฒนาสื่อการเรียนการสอนและรูปแบบวิธีสอน ซึ่งพบว่า สื่อ นวัตกรรม รูปแบบ วิธีสอนที่ครูพัฒนาส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของผู้เรียน กระตุ้นความสนใจให้นักเรียนอยากเรียนรู้ สนุกสนาน เพลิดเพลิน ทั้งการจัดเนื้อหามีความยากง่ายเหมาะ กับวัย จึงจดจำได้ง่ายและแม่นยำ ในการจัดการเรียนการสอนเรื่องการอ่านนั้น ควรจัดให้นักเรียนได้ฝึก การอ่านอย่างถูกต้อง รวมทั้งสร้างสื่อการสอนให้นักเรียนได้เข้าถึงการฝึกได้ง่ายเพื่อให้นักเรียนฝึกฝนได้ ตลอดเวลา ซึ่งอาจใช้สื่อการสอนในรูปแบบต่าง ๆ จัดทำขึ้นให้สอดคล้องกับปัญหาของนักเรียน (ปรีชา น้อยอำคา, 2561, น. 145) จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยเห็นว่าวิธีการแก้ไขผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อ การสอน MLH Model มีความสำคัญควรได้รับการแก้ไขที่ครูผู้สอนภาษาไทย จำเป็นจะต้องหาแนวทาง พัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียน จากการศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสะกดคำ พบว่า การสอนโดยใช้สื่อการสอน สามารถฝึกทักษะการอ่าน เป็นวิธีที่ครูสามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เนื่องจากสื่อการสอนที่ผู้วิจัย ได้สร้างขึ้น ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อย โดยการเรียงลำดับจากเนื้อหาง่ายไปสู่เนื้อหาที่ยาก ตามลำดับของการสอนภาษาและมีความเหมาะสมกับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นตัวช่วยหรือ สื่อกลางในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้นักเรียนได้เกิดการเรียนรู้ ได้ด้วยตนเองและทบทวนความรู้และเนื้อหาที่เรียน ซึ่งเป็นผลให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องที่เรียนได้ดี ยิ่งขึ้น
3 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ 1.2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อ การสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ 1.2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อสื่อการสอน MLH Model 1.3 ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1.3.1 ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.3.1.1 ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัด ยะลา ที่กำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 10 คน หญิง 6 ชาย 4 1.3.1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ที่กำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5 คน โดยมีวิธีการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง จากการทดสอบก่อนเรียน 1.3.2 ขอบเขตตัวแปรที่ศึกษา 1.3.2.1 ตัวแปรต้น - สื่อการสอน MLH Model เรื่อง การอ่านสะกดคำ 1.3.2.2 ตัวแปรตาม - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model - ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ โดยใช้สื่อการ สอน MLH Model 1.3.3 ขอบเขตเนื้อหา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ในการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ 1) อักษรสามหมู่ 2) สระ 1.3.4 ขอบเขตสถานที่/พื้นที่ โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา 1.3.5 ขอบเขตระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
4 1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.4.1 การพัฒนา หมายถึง การปรับเปลี่ยนผลการเรียนหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้เป็นไป ในทางที่ดีขึ้น มีคะแนนมากขึ้นหลังจากที่ผู้วิจัยได้ทำการจัดการเรียนการสอน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดย ใช้สื่อการสอน MLH Model ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.4.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่นักเรียนได้จากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการอ่าน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบความสามารถในการอ่านที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.4.3 การอ่านสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมา ประสมเป็นคำอ่าน 1.4.4 สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางหรือสิ่งต่าง ๆ เช่น วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคนิค วิธีการ รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยในการถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ ข้อเท็จจริง แนวคิด ตลอดจน เจต คติ จากแหล่งความรู้ หรือผู้สอนไปสู่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.4.5 MLH Model หมายถึง สื่อที่จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เนื้อหา เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับให้นักเรียนใช้ฝึกปฏิบัติระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนที่เรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ใช้ ประกอบเป็นสื่อการเรียนการสอน โดยมี 4 กิจกรรมเป็นฐาน ประกอบด้วย - กิจกรรมที่ 1 อักษร คู่เสียง - กิจกรรมที่ 2 สระหรรษา - กิจกรรมที่ 3 สะกดคำ พาสนุก - กิจกรรมที่ 4 วงล้อหรรษา 1.4.6 ความพึงพอใจ หมายถึง ความคิดเห็นหรือความรู้สึกของนักเรียนในด้านที่ดีที่มีต่อ สื่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model โดยวัดความพึงพอใจได้ จากแบบสอบถามความพึงพอใจ แบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ 1.4.7 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละ แอ จำนวน 5 คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 1/2566 1.4.8 โรงเรียนบ้านละแอ หมายถึง โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เป็น สถานศึกษาขนาดเล็ก เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งอยู่ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต 1
5 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ อ่านสะกดคำ ที่ดีขึ้น 1.5.2 เพื่อเป็นแนวทางให้สถานศึกษาสามารถนำสื่อการสอน MLH Model ไปปรับใช้ในการ จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นอื่น ๆ ที่มีปัญหาในเรื่องเดียวกัน 1.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย ภาพที่ 1 : กรอบแนวคิดในการวิจัย สื่อการสอน MLH Model - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่าน สะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 - ความพึงพอใจต่อสื่อการสอน MLH Model
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยจำแนกเป็นประเด็นหัวข้อหลักและหัวข้อย่อย ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.1 ความสำคัญของภาษาไทย 2.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 2.1.3 คุณภาพผู้เรียน (จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3) 2.2 แนวคิดและหลักการสอนภาษาไทย 2.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับการสอนภาษาไทย 2.2.2 หลักการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษา 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3.3 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี 2.3.4 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3.5 องค์ประกอบสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.4 แนวคิดเกี่ยวกับการสะกดคำ 2.4.1 ความสำคัญของการอ่านสะกดคำ 2.4.2 หลักการอ่านสะกดคำ 2.5 แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.5.3 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
7 2.6 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 2.6.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.6.2 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.7.1 งานวิจัยในประเทศ 2.8 กรอบแนวคิดในการวิจัย
8 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความ เข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนา อาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 37) ซึ่งสอดคล้องกับสถาบันวิจัยพัฒนาและสาธิตการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้กล่าวไว้ว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะ การอ่านและการเขียนภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง พัฒนาทักษะสื่อสารอย่างสมวัย เรียนรู้วัฒนธรรมการใช้ ภาษาไทยที่ดีงาม สร้างเจตคติที่ดีในการเรียนวิชาภาษาไทย ชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของภาษาไทยและการใช้ ภาษาไทยให้ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา เพื่ออนุรักษ์ภาษาไทยอันเป็นสมบัติของชาติ (มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ, 2563, น. 28-29) 2.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้กำหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 2) สาระที่ 1 การอ่าน เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำ ประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่ อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่าน สร้างความรู้ และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน เรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ การเขียนเรียงความ ย่อความ เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า เขียนตามจินตนาการ เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์
9 มาตรฐาน ท 2.1 ใช้ กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด เรียนรู้เกี่ยวกับการฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูด แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาส ต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย เรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพล ของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม เรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อ ศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และเพื่อความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความ เข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้ เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.1.3 คุณภาพผู้เรียน (จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3) เมื่อนักเรียนเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แล้ว นักเรียนต้องมี คุณภาพ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 3) 2.1.3.1 อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง ข้อความ เรื่องสั้น ๆ และบทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ถูกต้อง คล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความที่อ่าน ตั้งคำถามเชิงเหตุผล ลำดับเหตุการณ์ คาดคะเน เหตุการณ์ สรุปความรู้ข้อคิดจากเรื่องที่อ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเรื่องที่อ่านได้เข้าใจ ความหมายของข้อมูลจากแผนภาพ แผนที่ และแผนภูมิ อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และมีมารยาทในการ อ่าน 2.1.3.2 มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนบรรยาย บันทึกประจำวัน เขียน จดหมายลาครู เขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ เขียนเรื่องตามจินตนาการและมีมารยาทในการเขียน
10 2.1.3.3 เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคัญ ตั้งคำถาม ตอบคำถาม รวมทั้งพูดแสดงความคิด ความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู พูดสื่อสารเล่าประสบการณ์และพูดแนะนำ หรือพูดเชิญชวนให้ผู้อื่น ปฏิบัติตาม และมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด 2.1.3.4 สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำและพยางค์ หน้าที่ของคำ ในประโยค มีทักษะการใช้พจนานุกรมในการค้นหาความหมายของคำ แต่งประโยคง่าย ๆ แต่งคำคล้อง จอง แต่งคำขวัญ และเลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่นได้เหมาะสมกับกาลเทศะ 2.1.3.5 เข้าใจและสามารถสรุปข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเห็นจากวรรณคดีที่อ่าน รู้จักเพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็กซึ่งเป็นวัฒนธรรม ของท้องถิ่น ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็กในท้องถิ่น ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตาม ความสนใจได้ 2.2 แนวคิดและหลักการสอนภาษาไทย 2.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับการสอนภาษาไทย กุลวัฒน์ วิโรจนะ (2564, น. 15-17) ได้เสนอวิธีการสอนภาษาไทย ไว้ดังนี้ 1) รูปแบบการสอนตรง (direct instruction model) เป็นรูปแบบที่อยู่บน พื้นฐานความเชื่อว่าก่อนที่ผู้เรียนจะสามารถสร้างความคิดรวบยอด พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และ แก้ปัญหาได้นั้น ผู้เรียนต้องมีทักษะพื้นฐาน และสารสนเทศ ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาความคิดในระดับที่ สูงขึ้น รูปแบบการเรียนการสอนตรงมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามผู้ที่พัฒนารูปแบบ แต่มีลักษณะสำคัญหรือ พื้นฐานเหมือนกัน เช่น รูปแบบการฝึกอบรม (a training model) รูปแบบการสอนเพื่อความรอบรู้ (the mastering teaching model) และรูปแบบการสอนอย่างแจ้งชัด (explicit instruction) โดยมีลักษณะ ดังนี้ 1.1) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านความรู้และด้าน ทักษะ รวมถึงการพัฒนาวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน 2) ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานของรูปแบบการสอนตรง คือทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม นิยม (behaviorism) และทฤษฎีการเรียนรู้สังคม (social learning) 2.1) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม ทฤษฎีนี้กล่าวว่าถ้าผลที่เกิดขึ้นจากการแสดง พฤติกรรมทำให้เกิดความพึงพอใจจะส่งเสริมให้มีการแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก และทำให้พฤติกรรม มี ความคงทน ดังนั้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนตอบสนองการเรียนรู้หรือแสดงพฤติกรรมจึงให้แรงเสริมทางบวก หมายถึงการให้สิ่งที่นักเรียนพอใจเมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ เช่น การให้คะแนนเพิ่มขึ้นเมื่อ นักเรียนทำแบบฝึกได้ถูกต้อง และการใช้แรงเสริมทางลบ หมายถึงการถอนหรือหยุดให้สิ่งที่ผู้เรียนไม่พึง
11 พอใจเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ เช่น การให้ผู้เรียนที่ทำแบบฝึกหัดครบทุกข้อได้หยุดพักเพื่อไป รับประทานอาหาร ได้ก่อน ทำให้นักเรียนรีบทำงานให้เสร็จ 2.2) ทฤษฎีการเรียนรู้สังคม (social learning theory) อธิบายว่าพฤติกรรมของมนุษย์ ส่วนใหญ่มาจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่น ทฤษฎีนี้แยกการเรียนรู้ออกจากการแสดงพฤติกรรมการ เรียนรู้และการแสดงพฤติกรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเรียนรู้ หมายถึง วิธีที่บุคคลรับความรู้เข้ามา ส่วนการ ปฏิบัติเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการเลือกสังเกตพฤติกรรมของ ผู้อื่นและรับพฤติกรรมนั้นเข้ามาเก็บไว้ในความทรงจำ การเรียนรู้เป็นกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ - การให้ความสนใจสิ่งที่เรียนรู้ - การจดจำพฤติกรรม - การผลิตซ้ำของพฤติกรรม ดังนั้นการฝึกปฏิบัติและการทบทวนการปฏิบัติของพฤติกรรมที่สังเกตจึงเป็นการส่งเสริม ให้ผู้เรียนจดจำพฤติกรรมที่สังเกตได้และสามารถผลิตซ้ำพฤติกรรมที่สังเกตนั้น พื้นฐานของทฤษฎีการ เรียนรู้ทั้งสองได้นำมากำหนดเป็นหลักการเรียนรู้ของรูปแบบการเรียนการสอนตรง ดังนี้ 2.2.1) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม โดยบรรยายพฤติกรรมที่ต้องการให้ นักเรียนบรรลุอย่างชัดเจนและเกณฑ์ความสำเร็จที่ต้องการ 2.2.2) ทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้ทราบพฤติกรรมที่นักเรียนรู้แล้วและนามาเป็นข้อมูลพื้นฐานใน การประเมินผลนักเรียน 2.2.3) แตกเนื้อหาและทักษะออกเป็นส่วนย่อย ๆ ตามลำดับขั้นการเรียนรู้ ให้แต่ละส่วน สัมพันธ์กันเพื่อนำไปใช้สอนนักเรียนตามลาดับขั้นจนกว่าจะบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการ 2.2.4) ใช้รางวัลหรือแรงเสริมทางบวกเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยให้แรงเสริมกำลังใจทันที ที่นักเรียนทำได้ในช่วงแรก ๆ และค่อย ๆ ปรับระยะการให้แรงเสริมกำลังใจเป็นช่วงเวลา 2.2.5) การสอนความรู้และทักษะใหม่ ทำโดยให้ผู้เรียนสังเกตและเลียนแบบ โดยเรียนรู้ไปทีละ ส่วน ทีละขั้น ในขั้นนี้หากนักเรียนทำไม่ถูกต้อง ครูต้องปรับแก้พฤติกรรมให้ถูกต้องโดยใช้หลักการ เสริมแรงจนกระทั่ง นักเรียนสามารถทำได้ถูกต้อง 85-90% จึงให้นักเรียนฝึกอย่างอิสระจนกว่านักเรียน จะทำได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ครูสามารถสอนความรู้และทักษะใหม่ได้ในระหว่างที่นักเรียนฝึกทักษะการ เรียนรู้เก่าให้มีความชำนาญ 2.2.6) ครูต้องให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนเพื่อให้นักเรียนมีข้อมูลสำหรับนำไปใช้ในการ ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้มีทักษะและความรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนด 3) ขั้นตอนการเรียนการสอนของรูปแบบการเรียนการสอนตรงมี 6 ขั้นตอน ได้แก่ 3.1) ขั้นที่ 1 ทบทวนสิ่งที่เรียนมาก่อน 3.2) ขั้นที่ 2 นำเสนอความรู้ใหม่ทีละขั้นโดยใช้ตัวอย่าง
12 3.3) ขั้นที่ 3 ให้แนวทางในการฝึกปฏิบัติ 3.4) ขั้นที่ 4 ฝึกตามแบบและให้ข้อมูลย้อนกลับในการปรับปรุงแก้ไข 3.5) ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนฝึกโดยอิสระและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ 3.6) ขั้นที่ 6 ทบทวนเป็นระยะ ๆ พร้อมกับให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อปรับปรุง แก้ไขตามความจำเป็น ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในวิชาภาษาไทย ครูควรจะมีการนำหลักจิตวิทยาสำหรับครู ภาษาไทย ได้แก่ จิตวิทยาความแตกต่างระหว่างบุคคล จิตวิทยาในการเรียนรู้ จิตวิทยาในการฝึกการ เรียนรู้โดยการกระทำ การคำนึงถึงความพร้อม แรงจูงใจ การเสริมกำลังใจ และหลักการสอนภาษาไทย สำหรับครูภาษาไทย ซึ่งได้แก่ การสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ การสอนเพื่อให้เกิดการดูดซึมและคงอยู่ของ เนื้อหาและการสอนเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดมาประยุกต์ใช้ร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุดกับนักเรียน ทิศนา แขมมณี(2560, น. 13-15) ได้ให้ความหมายของรูปแบบการสอน หรือ รูปแบบการเรียน การสอนว่า หมายถึง สภาพลักษณะของการเรียนการสอนที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญซึ่งได้รับการจัด ไว้อย่างเป็นระเบียบ ตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่าง ๆ โดยประกอบด้วย กระบวนการหรือขั้นตอนสำคัญในการเรียนการสอน รวมทั้งวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ ที่สามารถ ช่วยให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดที่ยึดถือ ซึ่งได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ หรือยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์ เฉพาะของรูปแบบนั้น ๆ จึงสรุปได้ว่า รูปแบบการสอนภาษาไทย หมายถึง สภาพขององค์ประกอบการ เรียนการสอนภาษาไทยที่ได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระบบ ตามแนวคิด หลักการเรียนรู้ หรือทฤษฎีการ เรียนรู้ที่ยึดถือ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผลการเรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ทิศนา แขมมณี(2560, น. 13-14) กล่าวว่า รูปแบบการการสอนจำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ ๆ 4 ประการ ดังนี้ 1) มีปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่เป็นพื้นฐานหรือเป็นหลักของ รูปแบบการสอนนั้น ๆ 2) มีการบรรยายและอธิบายสภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนที่ สอดคล้องกับหลักการที่ยึดถือ 3) มีการจัดระบบ คือ มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพันธ์ขององค์ประกอบ ของระบบให้สามารถนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมายของระบบหรือกระบวนการนั้น ๆ 4) มีการอธิบายหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ อันจะช่วย ให้กระบวนการเรียนการสอนนั้น ๆ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รูปแบบการสอนจึงต้องสามารถทำนายผลที่ จะเกิดตามมาได้ และมีศักยภาพในการสร้างความคิดรวบยอดและสร้างความสัมพันธ์ ใหม่ ๆ ได้
13 จากแนวคิดและหลักการสอนข้างต้น สรุปได้ว่า แนวคิดและหลักการสอนภาษาไทยนั้น จะต้อง คำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียน ความรู้พื้นฐาน รวมถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยรูปแบบต่าง ๆ ที่มี ความเหมาะสมกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนรู้และเกิดทักษะ จนทำให้เกิดความ เข้าใจและเกิดการรับรู้ได้ด้วยตนเอง ตลอดจนสามารถนำความรู้และทักษะไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2.2.2 หลักการสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 หมวดที่ 4 กำหนดแนวทางการศึกษาใน มาตรา 22 ว่าการจัดการศึกษายึดหลักว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และ ถือว่านักเรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ดังนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูต้องหาวิธีการและรูปแบบ การเรียนรู้ที่เหมาะสม และกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นต้องมุ่งสนองต่อความต้องการ ความสามารถและความ สนใจของนักเรียนแต่ละคน สุชาดา ตั้งศิรินทร์(2563, น. 25 – 29) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการสอนภาษาไทยสำหรับ ประถมศึกษาไว้ ดังนี้ 1) สอนโดยคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมความพร้อมเป็นสำคัญ ในระยะเริ่ม เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กำหนดให้เตรียมความพร้อมในด้านการฟัง การพูดให้ชัดเจน การใช้สายตา การฝึกกล้ามเนื้อมือก่อนจะเข้าสู่บทเรียน 2) จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการสอนตามหลักสูตรหรือบท เรียนนั้น ๆ 3) ควรจัดกิจกรรมในรูปของทักษะสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกฝน ทักษะของภาษา ทั้งในด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ได้อย่างสอดคล้องต่อเนื่องกัน เพราะ ในชีวิตประจำวันจะต้องมีการรับสารส่งสารอยู่ตลอดเวลา กิจกรรมทักษะสัมพันธ์จะช่วยให้ผู้ เรียนมี โอกาสฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ให้มากและมีความหมายยิ่งขึ้น 4) จัดกิจกรรมอย่างมีลำดับขั้นตอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาไทยเป็นวิชาที่ต้องมีการฝึกทักษะให้เกิดความชำนาญ สามารถใช้ได้อย่าง คล่องแคล่ว จึงควรมีลำดับขั้นตอนของการจัดกิจกรรมที่เหมาะสม และควรให้ผู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ ง่าย ไปสู่สิ่งที่ยาก และซับซ้อนขึ้น สิ่งที่อยู่ไกลตัวไปยังใกล้ตัว หรือจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหาสิ่งที่เป็น นามธรรม 5) ปลูกฝังให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนในระดับนี้จะมีความอยาก รู้อยากเห็นในการทำและเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ และมีความต้องการความสำเร็จเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ดังนั้น ครูผู้สอนจึงควรปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ให้ผู้เรียนได้เห็นคุณค่าของการหาความรู้รอบตัว พยายาม
14 นำความรู้ทั่วไปมาเชื่อมโยงกับบทเรียนทางภาษาเพื่อทำให้การเรียนการสอนสนุกสนาน น่าสนใจ ผู้เรียน ได้รับความรู้ในวงกว้างขวางขึ้น ส่งเสริมให้ค้นคว้าสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนรักและสนใจการเรียนภาษาไทย เช่น การค้นคว้าทำรายงาน การแข่งขัน การจัดแสดงนิทรรศการผลงานของ ผู้เรียน เมื่อผู้เรียนมีโอกาส ค้นคว้าบ่อย ๆ และประสบความสำเร็จในผลงานของตนก็จะช่วยให้ผู้เรียน เห็นประโยชน์ของการอ่าน และรักการศึกษาค้นคว้าจนเป็นนิสัย 6) จัดกิจกรรมให้สอดคล้องแลเหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความต้องการ และความสนใจของผู้เรียน พยายามจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดย อาจ ให้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เพื่อให้เด็กที่เรียนเก่งได้ทำงานร่วมกับเด็กอ่อน และได้ช่วยเหลือเด็กอ่อนให้ ประสบความสำเร็จด้วย จึงจะช่วยให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน 7) ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงอย่างสม่ำเสมอ ผู้สอนควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้มี ส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง เพื่อจะได้เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ไม่ต้องท่องจำ เช่น ฝึกพูดในหัวข้อต่าง ๆ ฝึก การฟังหลาย ๆ แบบ แล้วนำมาเล่าให้เพื่อนฟัง หรือเขียนบันทึกมาให้เพื่อนอ่าน และในการปฏิบัตินั้น ควนปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ และในทางปฏิบัติกิจกรรมนั้น ควรมีกิจกรรมหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อผู้เรียนจะได้เรียนอย่างสนุกสนาน ไม่เบื่อหน่าย และควรเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างทั่วถึงไม่ว่าจะเป็นเด็กเก่งหรือเด็กอ่อน 8) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นการช่วยส่งเสริมทักษะให้ ผู้เรียนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เป็นการวางพื้นฐานของการพัฒนาคนให้เป็นพลเมืองดี ของชาติในภายหน้า การให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นจะได้รู้จักคิดร่วมกัน วางแผนร่วมกัน ฝึกการยอมรับ ความคิดเห็นของผู้อื่น ฝึกการเป็นผู้นำ และผู้ตาม แลกเปลี่ยนความคิด เคารพในสิทธิของผู้อื่น กล้า แสดงออกในทางที่ถูกต้อง รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยในตนเอง และ สามารถ อยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ดี 9) จัดกิจกรรมเน้นให้ผู้เรียนรู้จักใช้ความคิด คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดหาเหตุผล รู้จักสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด คิดให้รอบคอบก่อนพูดหรือเขียน รู้จักวิเคราะห์วิพากษ์ วิจารณ์ และ สังเคราะห์สิ่ง ที่ได้ฟังและอ่านเพื่อฝึกความคิดการแก้ปัญหาและให้มีวิจารณญาณในการใช้ภาษา 10) จัดกิจกรรมโดยใช้วิธีการสอนหลายหลายรูปแบบและพยายามดัดแปลงหรือ เปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้น่าสนใจ ไม่ควรใช้กิจกรรมแบบเดียวกันที่ซ้ำซาก จะทำให้ผู้เรียนเกิดความ เบื่อ หน่าย ไม่สนใจบทเรียนเท่าที่ควร 11) ควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกตในการเรียนภาษาไทยต้องเป็นคน ช่าง สังเกต เพราะจะช่วยให้เป็นคนรอบรู้และมีแนวทางในการทำกิจกรรมดีขึ้น 12) สอนให้ถูกต้องตามหลักการสอนภาษา การเรียนภาษาไทยเป็นการเลียนแบบ อย่างหนึ่ง ผู้เรียนจะต้องเรียนภาษาที่เป็นต้นแบบจากครูผู้สอน ต่อจากนั้นผู้เรียนจะรู้จักการปรับปรุง
15 หรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นภาษาของตนเองจากการฝึกทักษะทางภาษาบ่อย ๆ และท้ายสุดผู้เรียนจะ พัฒนาการใช้ภาษาจากความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ได้รูปแบบการใช้ภาษาใหม่ ๆ 13) การจัดกิจกรรมควรคำนึงถึงสื่อการเรียนการสอนที่จะนำมาใช้ซึ่งควรเป็นวัสดุ อุปกรณ์ที่จัดหาได้ง่ายในท้องถิ่นแต่ละแห่ง มีราคาถูก ใช้ได้คุ้มค่า และในการสอนแต่ละครั้งไม่ควรใช้สื่อ มากขึ้นจนเกินไป และนอกจากนี้ควรนำภาษาที่ใช้ในสังคมที่แวดล้อมเด็กมาเป็นสื่อประกอบการเรียนการ สอน เพื่อให้สัมพันธ์กับการเรียนและสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน 14) การจัดกิจกรรมไม่ควรใช้เวลายาวนานเกินไป เพราะผู้เรียนในวัยนี้มีช่วงความ สนใจค่อนข้างสั้น ถ้าให้กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งยาวนานเกินไปผู้เรียนอาจเบื่อหน่ายทำให้การเรียนรู้ไม่ ดีเท่าที่ควร 15) ควรสอนสอดแทรกคุณธรรมต่าง ๆ ให้ผู้เรียนได้ซึมทราบโดยไม่รู้ตัว เช่น ความมี ระเบียบวินัย ความอดทน ความขยัน ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา ฯลฯ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มี ความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งจะสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข 16) ควรปลูกฝังเจตคติที่ดีในการเรียนภาษาไทย การเรียนภาษาไทยจะประสบ ความสำเร็จด้วยดีนั้น ผู้เรียนจะต้องมีเจตคติที่ดี และมองเห็นความสำคัญของภาษาไทย ครูผู้สอนจะต้อง จัดกิจกรรมที่จูงใจและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการหาความรู้และเต็มใจที่จะรับ การฝึกฝนให้มีความสามารถในการใช้ภาษาดีและคล่องแคล่ว ให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดความซาบซึ้งในการเรียนวรรณคดีไทยา แต่ผู้เรียนจะเกิดความซาบซึ้งและสนุกได้นั้นอยู่ที่ครูผู้สอนจะ เป็นผู้วางแผนจัดกิจกรรมให้ ซึ่งครูผู้สอนเองควรตระหนักในเรื่องนี้เสมอ 17) ให้ผู้เรียนประเมินผลความก้าวหน้าของตนเอง เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้ไปแล้วควร ประเมินผลรวมหรือแยกแต่ละครั้งก็ได้ อาจเป็นการสังเกต ตรวจสอบ หรือทำแบบทดสอบ เพื่อให้ผู้เรียน ทราบผลการเรียนรู้ของเขา โดยการประเมินผลนี้ควรให้ผู้เรียนแต่ละคนประเมินตัวเขาเองบ้าง เช่น ลอง ให้เขียนคำศัพท์จากบทเรียน แล้วตรวจสอบว่าเขียนได้ถูกต้องหมดหรือไม่ หรืออ่านข้อความแล้วลอง บันทึกใจความสำคัญแล้วตรวจสอบว่าใจความสำคัญถูกต้องหรือไม่ 18) ให้ผู้เรียนได้รู้จักแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง เมื่อผู้เรียนมีข้อบกพร่อง เช่น พูดตัว "ร","ล" ไม่ชัด ควรให้ผู้เรียนฝึกพูดให้ถูกต้อง หรือให้หาข้อบกพร่องของตนเองว่าได้เขียนผิดอย่างไร แล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง แต่ครูผู้สอนต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการใช้ภาษา เมื่อผู้เรียนเห็นแบบอย่างที่ดีอยู่ เสมอจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อถือครูและพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง และครูผู้สอนควรติดตาม และแก้ไขข้อบกพร่องทางภาษาของผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ 19) ดำเนินการสอนซ่อมเสริมให้เมื่อพบว่า ผู้เรียนขาดทักษะด้านใดด้านหนึ่งหรือ หลาย ๆ ด้าน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุผลสำเร็จในการเรียนภาษาไทยมากขึ้น
16 20) จัดหาหนังสือที่เหมาะสมมาให้ผู้เรียนอ่านเสริมหรืออ่านประกอบบทเรียนใน ห้องเรียนหรือส่งเสริมการอ่านหนังสือในห้องสมุด เพื่อให้ผู้เรียนอ่านได้คล่องมากขึ้นและมีความรู้ กว้างขวาง จากหลักการสอนข้างต้น สรุปได้ว่า การสอนภาษาไทยที่ดีนั้น ครูจะต้องคำนึงถึงความพร้อม ของนักเรียน ความรู้พื้นฐาน และความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่าง หลากหลายวิธีฝึกการปฏิบัติซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง และควรเริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปสู่สิ่งที่ยาก 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้ 2.3.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย ดังนี้ วัชรพล วิบูลยศริน (2561, น. 243) ได้สรุปความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่าเป็นแนว ทางการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน เพื่อดำเนินการส่งผ่านเนื้อหาไปยังผู้เรียนผ่านกิจกรรมและ สื่อการ เรียนการสอน ประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ สิ่งที่ผู้เรียนได้รับ วิธีการ บรรลุหรือ ไปยังเป้าหมาย ขั้นตอน กระบวนการ และวิธีการวัดคุณภาพของการบรรลุเป้าหมาย แบบทดสอบ ใบงาน การบ้าน และอื่น ๆ จรัสศรี พัวจินดาเนตร (2560, น. 156) ได้สรุปความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่าเป็น เอกสารประกอบหลักสูตรชนิดหนึ่งที่ครูใช้เป็นคู่มือสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่ออุปกรณ์ การเรียนรู้และการวัดจุดประสงค์การเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละบท เพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร สำลี รักสุทรี(2559, น. 16) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า คือ การนำวิชาหรือ กลุ่มประสบการณ์ที่จะต้องทำการสอนตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็นแผนการจัดการเรียนการสอนการใช้ สื่อ อุปกรณ์การสอนและวัดผลประเมินผลสำหรับเนื้อสาระและจุดประสงค์การเรียนย่อย ๆ ให้สอดคล้อง กับจุดประสงค์หรือจุดเน้นของหลักสูตร สภาพผู้เรียนความพร้อมของโรงเรียนในด้านวัสดุ อุปกรณ์ และ ตรงกับชีวิตจริงในท้องถิ่น จากความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ข้างต้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ กำหนดการหรือแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูสร้างขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ใช้ในการวางแผนการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่ง เพื่อช่วยให้ครูใช้เป็นเครื่องมือสำหรับจัดกิจกรรม การเรียนรู้ และนำผู้เรียนไปสู่จุดหมายของหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ 2.3.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้ สำลี รักสุทธิ(2559, น. 78) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้
17 1) ช่วยให้ครู ได้มีโอกาสศึกษาหลักสูตร แนวการสอน วิธีวัดผล ประเมินผล ศึกษา เอกสารที่เกี่ยวข้องและการบูรณาการกับวิชาอื่น 2) ช่วยให้ครูผู้สอน สามารถจัดเตรียมกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ ความเป็นจริง ทั้งในเรื่องทรัพยากรของโรงเรียน ทรัพยากรท้องถิ่น ค่านิยม ความเชื่อ และสภาพที่เป็น จริงของท้องถิ่น ตลอดจนการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับวิชาอื่น ๆ 3) เป็นเครื่องมือครูในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพมีความมั่นใจในการ สอนมากขึ้น 4) ผู้สอนสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง เสนอแนะแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อนครูที่สอนวิชาอื่น 5) ใช้เป็นคู่มือสำหรับครูที่สอนแทนได้ 6) เป็นการพัฒนาวิชาชีพและมาตรฐานวิชาชีพครูที่แสดงว่างานสอนต้องได้รับการฝึก โดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสาร ที่จำเป็นสำหรับการประกอบวิชาชีพด้วย วัฒนาพร ระงับทุกข์(2558, น. 2) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการเรียนการสอน การเลือกใช้สื่อ การวัดผลและประเมินผลตลอดจนประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็น 2) เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูสอนและครูที่สอนแทน นำไปใช้ปฏิบัติการสอน อย่างมั่นใจ 3) เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอนและการวัดผล และประเมินผลที่ จะใช้เป็นประ โยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนต่อไป 4) เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ซึ่งสามารถนำไปเสนอเป็นผลงาน วิชาการ เกียรติสุดา ตันศิริ(2558, น. 30) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า แผนการ จัดการเรียนรู้ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอน วิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเป็นการผสมผสานเนื้อหา สาระและจุดประสงค์การเรียนรู้จากหลักสูตรผสมจิตวิทยาทางการศึกษา นวัตกรรม การวัดและ ประเมินผล จากแนวคิดข้างต้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียน การสอน เป็นคู่มือสำหรับครูผู้สอนและครูที่สอนแทนเป็นหลักฐานการแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ช่วยในการจัดการเรียนรู้ ช่วยให้ครูสอนได้อย่างมีคุณภาพ มีความมั่นใจในการ สอนมากขึ้น และเป็นการพัฒนาวิชาชีพและมาตรฐานวิชาชีพครู 2.3.3 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้
18 ยุวดี ศรีสังข์(2563, น. 52) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีความสอดคล้องกับหลักสูตร นำไปสอนได้จริงเหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด มีรายละเอียดมากพอที่จะนำไปใช้ในการสอน มี ความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกัน เน้นทักษะกระบวนการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่น ทุกหัวข้อในแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติมากที่สุด โดยครูเป็นผู้คอยชี้แนะ ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้กิจกรรมดำเนินไปตาม ความมุ่งหมาย กุลิสรา จิตรชญาวณิช (2562, น. 187) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องสามารถใช้เป็น แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ พึงประสงค์บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) เป็นแนวทางที่ดีและชัดเจนให้ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้บรรลุจุดประสงค์ 2) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนรู้มากที่สุด ในลักษณะเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้สอนทำ หน้าที่เป็นผู้คอยให้คำแนะนำ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ 3) เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการต้านต่าง ๆ ของผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา 4) เป็นกิจกรรมที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ มีจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดผลและประเมินผล ความเหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน 5) เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการ เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2558, น. 218-219) ได้กล่าวว่า แผนการสอนที่ดีมีลักษณะ ดังนี้ 1) สอดคล้องกับหลักสูตรและแนวทางการสอนของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2) นำไปใช้สอนได้จริงและมีประสิทธิภาพ 3) เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับวัยผู้เรียนและเวลาที่กำหนด 4) มีความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจได้ตรงกัน 5) มีรายละเอียดมากพอที่ทำให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้สอนได้ 6) ทุกหัวข้อในแผนการสอนมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน นิคม ชมกูหลง (2558, น. 181) ได้กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่เข้าลักษณะ 4 ประการ คือ
19 1) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด โดยครูเป็นเพียงผู้คอยชี้นำ ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้กิจกรรมดำเนินไปตามความมุ่งหมาย 2) เป็นแผนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบหรือทำสำเร็จด้วย ตนเอง โดยครูพยายามลดบทบาทจากการบอกคำตอบ มาเป็นผู้คอยกระตุ้นด้วยคำถามหรือปัญหาให้ นักเรียนคิดหรือหาแนวทางไปสู่ความสำเร็จในการทำกิจกรรมเอง 3) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการ มุ่งให้นักเรียนรับรู้และนำ กระบวนการไปใช้จริง 4) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่สามารถจัดหาสื่อการเรียนการสอนได้ในท้องถิ่นหลีก เลี่ยงการใช้อุปกรณ์สำเร็จรูปราคาสูง จากแนวคิดข้างต้น สรุปได้ว่า ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี เป็นแผนการสอนที่ให้แนว ทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่ผู้สอนอย่างชัดเจน ทั้งด้านจุดประสงค์การสอน เนื้อหาการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และการวัดผลประเมินผล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรจัด กิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงและสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน 2.3.4 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้ สำลี รักสุทรี(2559, น. 70) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีประโยชน์ต่อครูผู้สอนและ ผู้เรียนหลายประการ ดังนี้ 1) เป็นการเตรียมความพร้อมของการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้มีทอศทาง การเรียนที่ชัดเจนและส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของการเรียนรู้ได้อย่างดียิ่ง 2) ช่วยให้ผู้สอนเลือกเทคนิควิธีการสอนที่ดี สื่อ การวัดผลประเมินผลตรงจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่ได้กำหนดไว้และสอดคล้องกับจุดหมายของหลักสูตร 3) ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความสะดวกสบาย และดำเนินการไปได้อย่างมี คุณภาพและมีประสิทธิภาพสะดวกต่อผู้มาสอนแทน กรณีที่ครูผู้สอนประจำวิชาไม่สามารถทำการสอนได้ ใช้เป็นหลักฐานแสดงการเรียนรู้เชิงประจักษ์ หากมีข้อบกพร่องสามารถแก้ไขปรับปรุงได้ง่าย 4) เป็นเอกสารหลักฐานสำคัญในการแสดงความชำนาญการหรือความเชี่ยวชาญของ ครูผู้สอน หรือหลักฐานอ้างอิง เพื่อขอปรับปรุงวิทยาฐานะหรือส่งผลงานเข้าประกวดเป็นครูดีเด่น ครูแกน นำ ครูแห่งชาติ หรือใช้เป็นหลักฐานแสดงเป็นผลงานเพื่อการประเมินพิจารณาความดีความชอบ สุคนธ์ ภูริเวทย์(2559, น. 253) ได้กล่าวว่า แผนการสอนที่ผู้สอนหรือผู้เกี่ยวข้องในการสอนได้ เขียนขึ้นมา เมื่อเขียนแผนการสอนเสร็จแล้ว จะก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้ 1) ผู้สอนมีเวลาเตรียมการสอนมากขึ้น และลดเวลาการสอนให้น้อยลงได้
20 2) ผู้สอนเกิดความมั่นใจไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือกำลังสอน 3) ผู้สอนแทนสามารถดำเนินการสอนแทนและสามารถบรรลุจุดประสงค์ตามแผน การสอนได้ 4) ทำให้ผู้สอนทราบว่าในแต่ละคาบที่จะสอนนั้น จะสอนเนื้อหาอะไร จะใช้วิธีสอน แบบใด ใช้เทคนิคกระบวนการอย่างไร จะใช้สื่ออะไร และจะมีการวัดผลประเมินผลโดยวิธีใด 5) ทำให้ผู้สอนสามารถประสบผลสำเร็จในการสอน สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะได้กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไว้ล่วงหน้าแล้ว 6) ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์เร็วขึ้นและมากขึ้นสามารถ บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ 7) ทำให้ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพราะได้มีการกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้าแล้ว ผู้สอนสามารถเเยกกิจกรรมของตนเอง และกิจกรรมของผู้เรียนได้อย่างชัดเจน จากแนวคิดข้างต้น สรุปได้ว่า ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ มีประโยชน์สำหรับครูผู้สอน ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพิ่มความมั่นใจให้กับครูผู้สอน ช่วยให้ครูสามารถดำเนินการสอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้เรียน สามารถดำเนินงานในการเรียนการสอน ได้ตรงตามหลักสูตร 2.3.5 องค์ประกอบสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ยุวดี ศรีสังข์(2563, น. 48-49) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ คือ - มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัดหรือผลการเรียนรู้ - สาระสำคัญ - จุดประสงค์การเรียนรู้ - สาระการเรียนรู้ - กิจกรรมการเรียนรู้ - การวัดและประเมินผล - สื่อการเรียนรู้ - บันทึกผลหลังสอน กุลิสรา จิตรชญาวณิช (2562, น. 173-174) ได้สรุปถึงสิ่งสำคัญที่ควรมีในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยทั่วไป มีดังนี้ 1) ส่วนที่เป็นหัวแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่บนส่วนหัวหรือส่วนบนของ แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อหรือองค์ประกอบ ดังนี้
21 1.1) กลุ่มสาระการเรียนรู้หรือชื่อวิชาที่เรียน 1.2) ลำดับหน่วยการเรียนรู้และเรื่องที่สอน 1.3) ระดับชั้นที่สอน ปีการศึกษาที่สอน 1.4) จำนวนชั่วโมงที่สอนหรือจำนวนคาบเวลาที่สอน 2) ส่วนที่เป็นตัวแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในส่วนของตัวแผนการ จัดการเรียนรู้ทั้งหมด โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 2.1) สาระสำคัญ 2.2) จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3) สาระการเรียนรู้ 2.4) กิจกรรมการเรียนรู้หรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ 2.5) สื่อการเรียนรู้ 2.6) แหล่งการเรียนรู้ 2.7) การวัดผลและประเมินผล 2.8) บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ หรือบันทึกหลังสอน จากแนวคิดข้างต้น สรุปได้ว่าองค์ประกอบของแผนการสอนมี 3 ส่วนคือ ส่วนหัวแผนการสอน ส่วนตัวแผนการสอน และส่วนท้าย ส่วนหัวเป็นการบอกรายละเอียด ชื่อแผนการสอนวิชาและ รายละเอียดอื่น ๆ ที่จำเป็น ส่วนตัวแผนเป็นส่วนของเนื้อหาซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่แสดง รายละเอียดขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดการเรียนรู้ตามองค์ประกอบของแผนตามลำดับ ส่วนท้ายคือการสรุป การสอน และเอกสารประกอบการสอน และแบบประเมิน แบบทดสอบและบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ 2.4 แนวคิดเกี่ยวกับการสะกดคำ 2.4.1 ความสำคัญของการสะกดคำ ความสำคัญของการอ่านสะกดคำ การอ่านสะกดคำเป็นพื้นฐานสำคัญของผู้เรียนที่ใช้ในการต่อ ยอดไปสู่ความสามารถด้านการอ่านที่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความสำคัญของการอ่านสะกดคำ ไว้ดังนี้ ฉวีวรรณ คูหาภินันท์(2559, น. 19) ได้ให้ความหมายว่า การอ่านควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก เพราะ เมื่อเด็กรักการอ่านตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว เวลาที่เติบโตขึ้นนิสัยรักการอ่านจะติดตัวต่อไปเรื่อย ๆ เป็นผลดีต่อ การเรียนและการปรับปรุงตัวให้เข้ากับสังคมและสิ่งแวดล้อมของเด็กได้เป็นอย่างดี ปิยรัตน์ กลอนดอน (2559, น. 7) ได้กล่าวว่า การอ่านคือ การสร้างความหมายจากภาพ สัญลักษณ์ โดยอาศัยความรู้ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน และสิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบ ความหมายที่อ่าน
22 อัจฉรา นาคทรัพย์ (2559, น. 28) ได้กล่าวถึงความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่านเป็น กระบวนการทางสมองที่มีการแปลความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่มองเห็นโดยผ่า น กระบวนการคิด เกิดเข้าใจและถ่ายทอดออกมาเป็นถ้อยคำที่มีความหมาย สื่อได้ตรงกันระหว่างผู้อ่านและ ผู้เขียน สวัสดิ์ เรืองวิเศษ (2558, น. 5) ได้ให้ความหมายว่า การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เด็ก จะ ส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดีพร้อมทั้งทางกาย วาจา ใจ และสติปัญญา อันประกอบด้วยมีความรู้ดี ควา ม ประพฤติดี มีพลานามัยสมบูรณ์ดี สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และนำความรู้นั้นไปใช้ ประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนมนุษยชาติทั้งมวล จารุดี ผลประการ (2555, น. 6) ได้ให้ความหมายว่า ของคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือไม่มีนิสัย รักการอ่านจะเป็นสิ่งบั่นทอนความก้าวหน้าทางด้านวัตถุและจิตใจ รัตนา ศิริพานิช (2550, น. 139-140) ได้ให้ความหมายว่า การอ่านทำให้ผู้อ่านได้พัฒนา ความคิด เนื่องจากการอ่านเป็นพฤติกรรมการรับสารที่มีความคิดเป็นแกนกลาง ขณะที่อ่านผู้อ่านจะต้อง ใช้สมองขบคิด พิจารณา ค้นหาความหมาย และทำความเข้าใจข้อความที่อ่านไปตามระดับความสามารถ การอ่านนี้เป็นผลมาจากการฝึกสมองขณะที่อ่าน ทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิด ผู้ที่อ่านหนังสือมากจึง มักเป็นปราชญ์หรือนักคิด การอ่านหนังสือจึงทำให้ผู้อ่านได้พัฒนาการใช้จินตนาการ เพราะการอ่านทำให้ ผู้อ่านได้ใช้ความคิดอย่างอิสระสามารถสร้างภาพในใจของตนเองโดยการตีความจากภาษาของผู้เขียน ดังนั้นแม้จะอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน แต่ผู้อ่านก็อาจมีภาพในใจที่แตกต่างกันไปตามจินตนาการของแต่ละ คน จากแนวคิดของข้างต้น สรุปได้ว่า การอ่านสะกดคำมีความสำคัญต่อผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการอ่านสะกดคำเป็นพื้นฐานสำคัญของผู้เรียนที่ใช้ในการต่อยอดไปสู่ความสามารถด้านการอ่าน ที่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย การสะกดคำที่ถูกต้องจะช่วยให้ผู้เรียนอ่านและเขียนหนังสือได้อย่าง ถูกต้อง ซึ่งเกิดจากการฝึกของสมองในขณะที่อ่าน ทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิด ผู้ที่อ่านหนังสือมาก จึงมักเป็นปราชญ์หรือนักคิด การอ่านหนังสือจึงทำให้ผู้อ่านได้พัฒนาการใช้จินตนาการ เพราะการอ่านทำ ให้ผู้อ่านได้ใช้ความคิดอย่างอิสระ สามารถสร้างภาพในใจของตนเองโดยการตีความจากภาษาของผู้เขียน 2.4.2 หลักการอ่านสะกดคำ หลักการอ่านสะกดคำ มีวิธีการอ่านอย่างหลากหลายรูปแบบ นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง หลักการอ่านสะกดคำ ไว้ดังนี้ พนัส สุขหนองบึง (2557, น. 32) ได้เสนอองค์ประกอบในการอ่าน ดังนี้ 1. ความสามารถในการแยกสิ่งที่ได้ยินเป็นการเข้าใจและสามารถใช้ภาษาพูดได้อย่างถูกต้อง แยกคำพูดที่แตกต่างกันได้สามารถแยกด้วยคำ และออกเสียงในการอ่านปากเปล่าได้ 2. ความสามารถทางความคิดและความจำความสามารถในการใช้ และเข้าใจเหตุผล รู้จัก
23 เชื่อมโยงความคิดให้มีความหมาย เข้าใจความหมายของประโยคและรูปร่างของคำได้ 3. ความสามารถทางสายตาความสามารถในการแยกคำที่คล้ายคลึงกัน และมองเห็นความ แตกต่างของคำนั้น ๆ ความสนใจความสามารถที่นั่งนิ่ง จับสายตาไปตามสิ่งที่อ่าน เคลื่อนไหวสายตาได้ ตามสมควร จึงมีสมาธิในการอ่าน การฟัง และการทำตามคำสั่งได้ สนิท ฉิมเล็ก (2557, น. 150) ได้สรุปองค์ประกอบทางการอ่านของเด็กได้ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย 1.1 สายตา 1.2 ปาก 1.3 หู 2. องค์ประกอบทางด้านจิตใจ 2.1 ความต้องการ 2.2 ความสนใจ 2.3 ความศรัทธา 3. องค์ประกอบทางด้านสติปัญญา 3.1 ความสามารถในการรับรู้ 3.2 ความสามารถในการนำประสบการณ์เดิมไปใช้ 3.3 ความสามารถในการใช้ภาษาให้ถูกต้อง 3.4 ความสามารถในการเรียน 4. องค์ประกอบทางประสบการณ์พื้นฐาน 5. องค์ประกอบทางวุฒิภาวะ อารมณ์ แรงจูงใจและบุคลิกภาพ 6. องค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อม มยุรี กันทะลือ (2556, น. 12) กล่าวไว้ ดังนี้ 1. ความรู้ทางภาษา (linguistic Knowledge) โดยในระยะแรกผู้อ่านจะเรียนรู้ความสัมพันธ์ เกี่ยวกับตัวอักษรและความหมายของคำ ต่อมาเมื่อผู้อ่านมีประสบการณ์ในการอ่านมากขึ้นก็จะสามารถ อ่านเพื่อความเข้าใจได้มากขึ้น 2. ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน (Schema) ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาและ 3. ความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่องหรืองานเขียนนั้น (Conceptual or Semantic Completeness) ผู้อ่านจะไม่เข้าใจสิ่งที่อ่าน หากเนื้อเรื่องนั้นมีเนื้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ยกเว้นใน กรณีที่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่อ่านมาก่อน 4. ความสามารถในการวิเคราะห์โครงสร้างของงานเขียนนั้น (Text Schema) งานเขียนแต่ ละชิ้นมีลักษณะและโครงสร้างที่แตกต่างกัน และยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อตลอดจนวัฒนธรรมของ
24 ผู้เขียนด้วย ดังนั้น หากงานเขียนเสนอเรื่องราวที่แตกต่างไปจากวัฒนธรรมและประสบการณ์เดิมของ ผู้อ่าน การอ่านก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์(2556, น. 38) ได้กล่าวว่าองค์ประกอบของการอ่านไว้ดังนี้ การจำแนกความแตกต่างและความเหมือนด้วยตา หมายถึง การที่เด็กจำเป็นต้องรู้จักการ สังเกตเห็นความเหมือนและความแตกต่างกันของรูปทรงของวัตถุ รูปภาพ คำที่เขียนเป็นสัญลักษณ์ ความสามารถในการอ่านขึ้นอยู่กับความสามารถในการเห็น ความแตกต่างระหว่างคำที่อ่านกับคำอื่น ๆ เด็กจะสามารถเห็นภาพความแตกต่างของคำได้ดีกว่าเห็นความเหมือน ควบคู่กับการเห็นภาพของคำนั้น ๆ ด้วยการจำแนกเสียงที่คล้ายคลึงกันจากการฟัง หมายถึง ความสามารถในการจำแนกเสียงช่วยให้การ อ่านเป็นไปอย่างถูกต้อง และสามารถในการจำแนกเสียงนั้น สามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝน สิ่งสำคัญคือ มิใช่ฝึกฝน โดยการให้เด็กฟังแต่เสียงอย่างเดียว ควรให้เด็กได้ฟังเสียงควบคู่กันกับการเห็นภาพของคำนั้น ๆ ด้วยความสามารถในการฟังเรื่องราวต่างๆ หมายถึง การฝึกให้เด็กรู้จักคิดหาเหตุผล โดยครูตั้งคำถาม ประเภททำไม รู้สึกอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป หรือเรื่องนี้ให้ความรู้ข้อคิดอะไรแก่เราบ้าง การเรียนรู้คำศัพท์ หมายถึง การเรียนรู้คำศัพท์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป จะช่วยให้เด็กมีความพร้อม ในการอ่านมากขึ้น และถ้าต้องการให้การอ่านประสบความสำเร็จด้วยดี และนำความคิดจากการอ่าน ไปใช้ให้เด็กเข้าใจความหมายของคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้มากการสร้างความสนใจในการอ่านหมายถึง การ สร้างความสนใจเป็นสิ่งที่จะต้องทำตั้งแต่อยู่บ้าน และต่อเนื่องมาถึงโรงเรียน เช่น การอ่าน การวาดภาพ การเล่านิทาน เป็นต้น การสร้างความคิดรวบยอด หมายถึง เด็กเรียนรู้ในการความคิดรวบยอดจากประสบการณ์ และลึกซึ้งกว้างขวางของประสบการณ์ มีการสร้างความสามารถในการคิดถึงคำนั้น ๆ ในลักษณะของ นามธรรมเป็นพัฒนาการในการเข้าใจความสามารถในขั้นแรก เด็กสามารถจำแนกสิ่งของอย่างหนึ่งออก จากสิ่งของอื่นได้ เมื่อเด็กมีความชำนาญมากขึ้น เด็กจะมีการรับรู้เฉียบคมกว้างขวางและมีความ ซับซ้อนยิ่งขึ้น เด็กสามารถเข้าใจลักษณะที่สำคัญและไม่สำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมของตน เด็กจะ สามารถใช้ประสบการณ์ของตน ในการสร้างความคิดรวบยอดซึ่งเริ่มด้วยการเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม จนกระทั่งสามารถจัดกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ ได้ และในที่สุดสามารถจำแนกประเภทได้ การเขียน หมายถึง การใช้สายตามองตัวอักษรจากซ้ายไปขวา บนลงล่างตามลำดับฉะนั้นการ ฝึกความสามารถทางการเขียนจึงเกี่ยวกับการอ่าน การฝึกการเขียนตัวอักษรทำให้เพิ่มทักษะการอ่านได้ เร็วขึ้น เนื่องจากเด็กได้เห็นความแตกต่างของตัวอักษร แต่ละตัวได้อย่างชัดเจน จากหลักการอ่านสะกดคำข้างต้น สรุปได้ว่า หลักการอ่านสะกดคำเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการ เรียนภาษาไทย การสะกดคำเป็นการอ่านโดยนำเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์และตัวสะกด มา ประสมเป็นคำอ่าน การอ่านสะกดคำจะต้องให้ผู้เรียนสังเกตรูปคำพร้อม ๆ กับการสอนสะกดคำ หลักการ
25 อ่านสะกดคำนั้นมีหลายวิธี ดังนั้น การฝึกแจกลูกสะกดคำให้ถูกต้อง ควรอาศัยการฝึกบ่อย ๆ จนเกิด ทักษะและความชำนาญ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนอ่านหนังสือได้อย่างถูกต้องตามหลักการใช้ภาษาไทย 2.5 แนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครูด้วยกระบวนการเรียนรู้ด้วยรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็น ผลลัพธ์ของการดำเนินการจัดการศึกษาและเป็นตัวบ่งชี้ถึงความรู้ความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียน และด้านอื่น ๆ ที่สามารถกำหนดขึ้นได้นอกจากยังแสดงถึงคุณค่าของหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ตลอดจนความรู้ความสามารถของผู้บริหาร ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ 2.5.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้ ทิศนา แขมมณี(2560, น. 55) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ การเข้าใจ ความรู้จากการพัฒนาทักษะในด้านการเรียน หรือผลที่เกิดจากการกระทำของผู้เรียน ซึ่งเป็นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเนื่องจากการได้รับประสบการณ์โดยการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือจากการเรียนการ สอนในชั้นเรียน และสามารถประเมินหรือวัดประมาณค่าได้จากการทดสอบหรือการสังเกตพฤติกรรม ซึ่ง อาจพิจารณาจากคะแนนที่กำหนดจากครูผู้สอน สุรชัย ขวัญเมือง (2558, น. 232-233) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนคือ ความรู้ที่ได้รับจากการ จัดการเรียนรู้ หรือทักษะที่ได้พัฒนาขึ้นมาตามลำดับขั้นในวิชาต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาแล้วในสถานศึกษา และ การที่ครูทราบว่าเด็กได้มีความรู้หรือทักษะในวิชาต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเพียงใดก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยเครื่องมือ ในการวัดผลการศึกษาเข้ามาช่วย สำหรับเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ง่าย และสะดวกที่สุดได้แก่ การทดสอบ ซึ่งเราอาจทดสอบโดยอาศัยการใช้แบบทดสอบหรือทดลองในทางด้านปฏิบัติ เป็นต้น อรุณศรี ดำบรรณ์(2557, น. 28) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ หรือทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้ในวิชาต่าง ๆ ที่เรียนมาแล้ว ซึ่งโดยปกติพิจารณาจากคะแนนสอบที่ กำหนดให้หรือคะแนนที่ได้จากการที่ครูมอบหมายงานให้ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ไพโรจน์ คะเชนทร์(2556, น. 89) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ คุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถของผู้เรียน อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ต่างๆ ที่ ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของ สมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของผู้เรียนว่าเรียน แล้วรู้อะไรบ้างและมีความสามารถด้านได้บ้าง
26 กชกร รุ่งหัวใผ่ (2556, น. 8) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถทางด้านสติปัญญาในการเรียนรู้ซึ่งจำแนกออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ 1) ความรู้ความจำด้านการคิดคำนวณ ประกอบด้วยความรู้ความจำเกี่ยวกับข้อเท็จ จริง คำศัพท์ นิยาม และความสามารถในการคิดคำนวณซึ่งผู้เรียนเรียนรู้มาแล้ว 2) ความเข้าใจ ประกอบด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับมโนมติหลักการ กฎ สรุป อ้างอิง และโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ ความสามารถในการเปลี่ยนรูปแบบจากปัญหาหนึ่งไปยังอีกปัญหาหนึ่ง การให้เหตุผล การอ่านและการตีความโจทย์ปัญหา 3) การนำไปใช้ประกอบด้วยปัญหาที่คล้ายคลึงกับที่เคยเรียนมาแล้ว ผู้เรียนใช้ ความสามารถในการเปรียบเทียบ การวิเคราะห์ข้อมูลและการมองเห็นแบบลักษณะที่เหมือนกัน 4) การวิเคราะห์ ประกอบด้วยความสามารถในการแก้ปัญหาที่ชับซ้อน ไม่คุ้นเคย มาก่อน แต่อยู่ในขอบเขตเนื้อหาที่เรียนและเหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน จากแนวคิดข้างต้น สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ความรู้ความเข้าใจ ความสามารถ และ ทักษะทางด้านวิชาการของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนการสอน การพัฒนาทักษะในด้านการเรียน เป็นผล ของผู้เรียนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจาการเรียนรู้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการตรวจสอบระดับ ความสามารถของผู้เรียน 2.5.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้ อัญชนา โพธิพลากร (2559, น. 93) ได้กล่าวว่า มีองค์ประกอบหลายประการที่ทำให้เกิดผล กระทบต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ด้านตัวผู้เรียน เช่น สติปัญญา อารมณ์ ความสนใจ เจตคติต่อการ เรียน ด้านตัวครู เช่น คุณภาพของครู การจัดระบบ การบริหารของผู้บริหารด้านสังคม เช่น สภาพ เศรษฐกิจและสังคมของครอบครัวของผู้เรียนเป็นต้น แต่ปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของผู้เรียน คือ การจัดการเรียนรู้ของครู วิมล พงษ์ปาลิต (2558, น. 4) ได้กล่าวว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น ประกอบด้วย คุณลักษณะของตัวผู้เรียน ซึ่งได้แก่ พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิดรวมกับลักษณะนิสัยทาง จิตพิสัยของผู้เรียน คุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งคุณลักษณะของตัว ผู้เรียนมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากที่สุด รองลงมา คือ คุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครูและ ปัจจัยอื่น ๆ ตามลำดับ อรุณศรี ดำบรรณ์(2557, น. 41) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับอิทธิพลขององค์ประกอบต่างๆ ที่มี ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จะเห็นว่ามีองค์ประกอบหลายประการ ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์
27 ทางการเรียน โดยเฉพาะตัวองค์ประกอบที่เกี่ยวกับตัวผู้เรียนในด้านต่าง ๆ เช่น สติปัญญาอารมณ์ ความ สนใจ เจตคติต่อการเรียน รวมถึงองค์ประกอบทางวัฒนธรรม และสังคมของผู้เรียนและทั้งคุณภาพการ จัดการเรียนรู้ของครูก็เป็นผลเช่นกัน จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มี 2 ด้าน ด้านตัว ผู้เรียน และ ด้านตัวครู ด้านตัวผู้เรียน เช่น สติปัญญา อารมณ์ ความสนใจ เจตคติต่อการเรียนและสภาพ เศรษฐกิจและสังคมของครอบครัวของผู้เรียน ส่วนด้านตัวครู เช่น คุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู การ จัดระบบการบริหารของผู้บริหาร แต่ปัจจัยที่มีผลโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู 2.5.3 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความคิดเห็น ดังนี้ ขนิษฐา บุญภักดี(2556, น. 9) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการตรวจสอบระดับ ความสามารถหรือความสำเร็จในการเรียนของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบตามจุดมุ่งหมายและ ลักษณะวิชาที่สอบ ดังนี้1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถ ในการปฏิบัติ หรือ ทักษะของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปการกระทำจริงให้ออกมาเป็น ผลงานได้โดยใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับ เนื้อหาวิชาอันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวัดได้โดยใช้ข้อสอบสำหรับวัดผลสัมฤทธิ์นอกจากนี้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจได้มาจาก กระบวนการที่ไม่ต้องอาศัยการทดสอบที่เรียกว่า Nontesting Procedures เช่น การสังเกต หรือตรวจ การบ้าน หรืออาจอยู่ในรูปของการที่ได้มาจากการเรียนหรืออีกวิธีหนึ่งอาจวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย แบบวัคผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่วไป ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบของเกรดที่ได้จากการเรียนเนื่องจากได้ผลที่ เชื่อถือได้มากกว่า อย่างน้อยก่อนที่จะทำการประเมินผลการเรียนของผู้เรียน ผู้สอนจะต้องพิจารณา องค์ประกอบอื่น ๆ จึงดีกว่าการแสดงขนาดความสำเร็จหรือความล้มเหลวจากการทดสอบนักเรียนด้วย แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่ว ๆ ไปเพียงครั้งเดียว วนิดา ดีแป้น (2556, น. 24) ได้กล่าวว่า การวัดและการประเมินผลการเรียน คือกระบวนการ ตรวจสอบผู้เรียนว่าได้พัฒนาไปถึงจุดหมายปลายทางของหลักสูตรและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์เป็น ไปตามที่กำหนดหรือไม่ รวมทั้งเป็นสิ่งที่ทำให้ทราบว่าผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อย เพียงใด โดยการวัดและการประเมินผลการเรียนมีจุดประสงค์คือ การจัดตำแหน่งเพื่อเป็นการวัดว่าผู้เรียน แต่ละคนมีความรู้หรือทักษะเพียงพอหรือไม่ ซึ่งจะ ทำให้ทราบจุดเด่นจุดด้อยของผู้เรียนเป็นการประเมิน พัฒนาการของเด็ก แล้วนำไปทำนายเพื่อเป็นการแนะแนวทางในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ นำไป ประเมินค่าซึ่งจะกระทำเมื่อการสอนสิ้นสุดลงการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
28 พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2555, น. 95) ได้กล่าวว่าเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้แก่ แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test) ซึ่งนักวัดผลและนักการศึกษา มีการเรียกชื่อแตกต่างกัน เช่น แบบทดสอบความสัมฤทธิ์ แบบทคสอบผลสัมฤทธิ์ หรือแบบสอบผลสัมฤทธิ์โดยแบบวัดผลสัมฤทธิ์เป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ทักษะและความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด ซึ่งได้แบ่งประเภทของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ออกเป็น 2 ประเกท ดังนี้ 1. แบ บทคสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง เป็นแบบทคสอบที่มุ่งวัคผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่มที่สอน เป็นแบบท คสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบทดสอบข้อเขียน ซึ่งแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภท ดังนี้1.1 แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถามหรือปัญหาให้ แล้วให้ ผู้ตอบเขียนโดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติ ได้อย่างเต็มที่ 1.2 แบบทดสอบปรนัย หรือแบบให้ตอบสั้น ๆ เป็นแบบทดสอบที่กำหนดให้ผู้สอบเขียนตอบสั้น ๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ ผู้ตอบไม่มี โอกาสแสดงความรู้ ความคิดได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทคสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้แบ่ง ออกเป็น 4 แบบ คือ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบเติมคำ แบบทดสอบจับคู่ และแบบทดสอบ เลือกตอบ 2. แบบทดสอบมาตรฐานเป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่ว ๆ ไป ซึ่งสร้างโดย ผู้เชี่ยวชาญ มีการวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างดีจนมีคุณภาพ และได้มาตรฐาน จากการวัดผลสัมฤทธิ์ที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการ ตรวจสอบระดับความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียนในด้านวิชาการของผู้เรียน เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียน เกิดความรู้ความเข้าใจมากน้อยเพียงใด สามารถทดสอบโดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ หรือได้จาก กระบวนการที่ไม่ต้องใช้แบบทดสอบ เช่น การสังเกต การตรวจการบ้านที่ได้รับมอบหมาย หรืออาจอยู่ใน รูปของผลการเรียนหรือเกรดที่ได้จากการเรียนในรายวิชานั้น ๆ จะพบว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ นิยมใช้กันทั่วไปมักอยู่ในรูปแบบของคะแนน หรือเกรดที่ได้จากการจัดการเรียนการสอน 2.6 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 2.6.1 ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลสำคัญต่อความสำเร็จของงานที่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่าง มีประสิทธิภาพ อันเป็นผลจากการได้รับการตอบสนองต่อแรงจูงใจหรือความต้องการของแต่ละบุคคลใน แนวทางที่ต้องการ นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ ดังนี้ คมสัน อินทเสน (2560, น. 8) สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่ได้รับ การตอบสนองจากการปฏิบัติงานและได้รับผลตอบแทนจนทำให้เกิดความสุขทำให้บุคคลเกิดความรู้สึก กระตือรือร้นมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเกิดขวัญและกำลังใจส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพและประสบ ผลสำเร็จ
29 ดิเรก ฤกษ์หร่าย (2558, น. 36) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติทางบวกของบุคคลที่มี ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นความรู้สึกหรือเป็นทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำของบุคคลที่มีต่องานในทางบวก และ ความสุขของบุคคลอันเกิดจากการปฏิบัติงานและได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ ทำให้บุคคลเกิดความ กระตือรือร้น มีความสุขความมุ่งมั่นที่จะทำงาน มีขวัญและกำลังใจ มีความผูกพันกับหน่วยงาน มีความ ภาคภูมิใจในความสำเร็จของงานที่ทำ และสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ ทำงานส่งผลต่อความก้าวหน้าและความสำเร็จขององค์กรอีกด้วย วิเชียร วิทยอุดม (2557, น. 4-2) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีที่ชอบ ซึ่งจะ ปรากฏออกมาทางพฤติกรรมของบุคคลอันอาจเป็นผลมาจากสิ่งเร้าหรือแรงจูงใจในการจัดการเรียนรู้ ราชบัณฑิตยสถาน (2556, น. 840) กล่าวว่า พึงพอใจ หมายถึง รัก ชอบใจทำให้ผู้เรียนเกิดความ พึงพอใจในการเรียนจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การ ที่บุคคลจะเรียนรู้หรือพัฒนาการและความเจริญงอกงามนั้น บุคคลจะต้องอยู่ในสภาวะพึงพอใจสุขใจ เบื้องต้น นั่นคือ บุคคลจะต้องได้รับแรงจูงใจทั้งในลักษณะนามธรรมและรูปธรรม สรุปได้ว่าแรงจูงใจเป็น หัวใจสำคัญของการเรียนรู้พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2556 กล่าวไว้ว่า"พึง" เป็นคำช่วยกริยา อื่น หมายความว่า "ควร" เช่น พึงใจ หมายความว่า พอใจ ชอบใจ และคำว่า "พอ"หมายความว่า เท่าที่ ต้องการเต็มความต้องการ ถูกชอบ เมื่อนำคำสองคำมาผสมกัน "พึงพอใจ" จะหมายถึง ชอบใจ ถูกใจ ตามที่ต้องการ เมขลา ลือโสภา (2555, น. 59) ได้กล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิด ความ เชื่อ การแสดงความรู้สึก ความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยแสดงพฤติกรรมออกมา 2 ลักษณะ คือ ทางบวก ซึ่งแสดงในลักษณะความชอบ ความพึงพอใจ ความสนใจ เห็นด้วย ทำให้อยากทำงานหรือปฏิบัติ กิจกรรม อีกลักษณะหนึ่งคือ ทางลบ ซึ่งแสดงออกในลักษณะของความเกลียด ไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ สนใจ ไม่เห็นด้วย อาจทำให้บุคคลเกิดความเบื่อหน่าย หรือต้องการหนีห่างจากสิ่งนั้น นอกจากนี้ความพึง พอใจอาจจะแสดงออกในลักษณะความเป็นกลางก็ได้ เช่น รู้สึกเฉย ๆ ไม่รัก ไม่ชอบ ไม่น่าสนใจในสิ่งนั้น จากแนวคิดข้างต้น สรุปได้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกชอบหรือพอใจ เป็นผลจากการได้รับ การตอบสนองต่อแรงจูงใจหรือความต้องการของแต่ละบุคคล เป็นความรู้สึกที่ดีของบุคคลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ได้รับ โดยสิ่งนั้นสามารถตอบสนองความต้องการได้ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความพึง พอใจได้จะทำให้สมรรถนะทางการเรียนของผู้เรียนดีขึ้นจากพฤติกรรมที่กระตือรือร้นในการเรียน 2.6.2 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ นักวิชาการได้พัฒนา แนวคิด ทฤษฎีที่อธิบายองค์ประกอบของความพึงพอใจในงาน และอธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในงานกับปัจจัยอื่น ๆ ไว้หลายทฤษฎี ดังต่อไปนี้ สุธิดา การีมี(2561, น. 71) ได้เสนอแนวคิดในเรื่องจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการปฏิบัติ กิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในเชิงปฏิบัติ มีลักษณะ ดังนี้
30 1) ควรมีส่วนสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัว งานนั้นจะมีความหมายสำหรับผู้ทำ 2) ต้องมีการวางแผนและวัดความสำเร็จได้ โดยใช้ระบบการทำงานและการควบคุมที่มี ประสิทธิภาพ 3) เพื่อให้ได้ผลในการสร้างสิ่งจูงใจในเป้าหมายของกิจกรรมจะต้องมีลักษณะดังนี้ 3.1 คนทำงานมีส่วนในการตั้งเป้าหมาย 3.2 ผู้ปฏิบัติได้รับทราบผลสำเร็จในการทำงานโดยตรง 3.3 งานนั้นสามารถทำให้สำเร็จได้ เมื่อนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นักเรียนมีส่วนเลือกเรียน ตามความสนใจ และมีโอกาสร่วมกันตั้งจุดประสงค์หรือความหมายในการทำกิจกรรมได้ เลือกแสวงหา ความรู้ด้วยวิธีที่ผู้เรียนถนัดและสามารถค้นหาคำตอบได้ รวีวรรณ ไสบาล (2560, น. 57) ได้อธิบายไว้ว่า ได้จำแนกทฤษฎีความพึงพอใจในงานออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) ทฤษฎีการสนองความต้องการ (Need Fulfillment Theory) กลุ่มนี้ถือว่าความ พึงพอใจในงานเกิดจากความต้องการส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อผลที่ได้รับจากงานกับการประสบ ความสำเร็จตามเป้าหมายส่วนบุคคล 2) ทฤษฎีการอิงกลุ่ม (Reference - Group Theory) ความพึงพอใจในงานมี ความสัมพันธ์ในทางบวกกับคุณลักษณะของงานตามความปรารถนาของกลุ่มซึ่งสมาชิกให้กลุ่มเป็น แนวทางในการประเมินผลการทำงานของงาน นิรัชรา ชัยชนะอุดมกุล (2556, น. 47) ได้อธิบายไว้ว่า ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น สมมติฐานอยู่ 2 ประการ คือ 1) มนุษย์มีความต้องการอยู่ตลอดเวลาตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ความต้องการที่ได้รับ การตอบสนองแล้ว ก็จะไม่เป็นแรงจูงใจสำหรับพฤติกรรมนั้นอีกต่อไป ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการ ตอบสนองเท่านั้นจึงจะมีอิทธิพลในการจูงใจ 2) ความต้องการของคนมีลักษณะเป็นลำดับขั้นจากต่ำไปหาสูงตามลำดับความสำคัญ ในเมื่อความต้องการขั้นต่ำได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการขั้นสูงก็จะตามมา มาสโลว์ได้แบ่งลำดับ ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ (Human Basic Needs) แบ่งออกเป็น 5 ชั้น และความต้องการขั้นแรก จะต้องได้รับการตอบสนองก่อนจึงจะสามารถตอบสนองความต้องการ ขั้นต่อไปได้ โดยแบ่งความต้องการ ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ออกเป็น 5 ชั้น ดังนี้ 2.1 ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการขั้น พื้นฐานที่เป็นความจำเป็นต่อการอยู่รอดของชีวิตมนุษย์ ได้แก่ ความต้องการในเรื่องอาหาร น้ำที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการพักผ่อนและความต้องการทางเพศ ฯลฯ ความต้องการทางด้าน
31 ร่างกายจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ก็ต่อเมื่อความต้องการทางด้านร่างกายยังไม่ได้รับการ ตอบสนองเลยในคนนี้ 2.2 ความต้องการความปลอดภัยหรือความมั่นคง (Security or Safety Needs) ถ้า หากความต้องการทางด้านร่างกายได้รับการตอบสนองตามสมควรแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการในขั้น ต่อไปที่สูงขึ้น ความต้องการทางด้านความปลอดภัยหรือความที่มั่นคง ซึ่งความต้องการทางด้านนี้จะเป็น เรื่องเกี่ยวกับการป้องกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และความ ต้องการความมั่นคงความเท่าเทียม ความเสมอภาค ความไว้วางใจ ตลอดจนความปลอดภัยจาก สิ่งแวดล้อมที่อันตราย 2.3 ความต้องการทางด้านสังคม (Social or Belongingness Needs) ภายหลังจากที่ ได้รับการตอบสนองในสมองขั้นดังกล่าวแล้วก็จะมีความต้องการสูงขึ้น คือ ความต้องการทางสังคมจะเริ่ม เป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ความต้องการทางด้านนี้จะเป็นความต้องการเกี่ยวกับการอยู่ ร่วมกัน และการได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นและมีความรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทาง สังคมเสมอ 2.4 ความต้องการที่จะมีฐานะเด่นในสังคม (Esteem Or Status Needs) ความ ต้องการขั้นต่อมาจะเป็นความต้องการที่ประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้คือ ความมั่นใจในตัวเองในเรื่อง ความสามารถ ความรู้ และความสำคัญในตัวเอง รวมทั้งความต้องการที่จะมีฐานะเป็นที่ยอมรับของบุคคล อื่น หรือต้องการที่จะให้บุคคลอื่นยกย่องสรรเสริญในความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน 2.5 ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิต : (Self-actualization or Self Realization) ลำดับขั้นตอนความต้องการที่สูงสุดของมนุษย์ก็คือ ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ในชีวิตตามความนึกคิด หรือความคาดหวังทะเยอทะยานใฝ่ฝันที่จะได้รับผลสำเร็จในสิ่งอันสูงส่งในทัศนะ ของตน ภายหลังจากที่มนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการทั้ง 4 ขั้นอย่างครบถ้วนแล้ว ความต้องการ ในชั้นนี้จะเกิดขึ้นและมักเป็นความต้องการที่เป็นอิสระเฉพาะแต่ละคนซึ่งต่างมีความนึกคิดใฝ่ฝันที่อยาก ได้รับผลสำเร็จในสิ่งสูงสุดในทัศนะของตน จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ เป็นแนวคิดในการสร้าง สิ่งจูงใจให้เกิดความพึงพอใจต่อการปฏิบัติกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในเชิงปฏิบัติ ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จของ งานที่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน ทำให้นักเรียนมีส่วนเลือกเรียนตามความสนใจและมีโอกาสร่วมกันกำหนดจุดประสงค์หรือ ความหมายในการทำกิจกรรมได้
32 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การ อ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการวิจัย ดังนี้ 2.7.1 งานวิจัยในประเทศ รุ่งทิพย์ ทิพย์เนตร (2565, น. 63-65) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่าน สะกดคำที่ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยว โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับ แบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านยางสามต้น กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 11 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ผลการวิจัยพบว่า การสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.12/81.82 แสดงให้เห็นว่าการสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทย มีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 และผลการเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านสะกดคำที่ ประสมด้วยสระเสียงเดี่ยวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับแบบฝึกการอ่านชุดเรียนรู้สระไทยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 11.73 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.27 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียน และคะแนนหลังเรียนพบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 วิลัยลักษณ์ ดำคง (2564, น. 25) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาการอ่านและการเขียนแบบแจกลูก สะกดคำโดยการใช้แบบฝึกทักษะอ่านและการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดท่าไทร (ดิตถานุเคราะห์) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 20 คน โรงเรียนวัดท่าไทร (ดิตถานุเคราะห์) ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการอ่านและการเขียนแบบแจกลูก สะกดคำโดยการใช้แบบฝึกทักษะอ่านและการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แบบฝึกทักษะอ่านและการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ที่ตั้งไว้ คะแนนทดสอบหลังใช้ชุดแบบฝึกทักษะอ่านและการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 มีคะแนนสูงจากก่อนใช้ชุดแบบฝึกทักษะอ่านและการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ย 6.6 ร้อยละ 33.00 ซึ่งแสดงว่าการใช้แบบฝึกทักษะอ่านและ การเขียนแบบแจกลูกสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้น
33 ขวัญนภา บุญนิธี(2564, น. 50) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาทักษะด้านการอ่านสะกดคำ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกวินิจฉัยเป็นรายบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนบ้านคลองน้ำโจน จำนวน 5 คน ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดย ใช้แบบฝึกวินิจฉัยเป็นรายบุคคล การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มี คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 11.00 คะแนน และ 16.40 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง คะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน กับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า ทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.00 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบหลังเรียนกับเกณฑ์ พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยทางสถิติที่ระดับ .05 ภัททิยา แก้วเกตุ (2564, น. 154-155) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อ พัฒนาการอ่านออกเสียงสะกดคำวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนาหลวง กลุ่มตัวอย่างใน การวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จํานวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงสะกดคำวิชาภาษาไทย การอ่านออก เสียงสะกดคำ ซึ่งส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีส่วนประกอบของรูปภาพ กราฟิก และเนื้อหา ประกอบด้วย หน้าปก คำชี้แจงสำหรับนักเรียน ข้อสอบ เนื้อหาบทเรียน แบบฝึกทักษะ เป็น ต้น สามารถส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำ ของนักเรียนอยู่ในระดับมาก นักเรียน ร้อยละ 97.37 มีทักษะการอ่านเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และจากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 อีกทั้งมีความพึงพอใจต่อหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงสะกดคำ วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 อยู่ในระดับมาก ดังนั้นการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จึงช่วย ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่กระตุ้นความสนใจ ทำให้ทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำ อยู่ในระดับดีขึ้น และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นด้วย วิสารัตน์ ทองเพียร (2563, น. 31) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและการสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดเสาธงนอก โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาจับคู่ประสมคำกับ ภาพ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2563
34 โรงเรียนวัดเสาธงนอก จำนวน 4 คน ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านและการสะกดคำของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดเสาธงนอก โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษาจับคู่ประสมคำกับภาพ มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ การจัดกิจกรรมเกมการศึกษาจับคู่ประสมคำกับภาพ สามารถช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้ อยู่ในระดับดี ทุกคน ทักษะการอ่านและการสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้กิจกรรมเกม การศึกษาจับคู่ประสมคำกับภาพสูงขึ้นกว่าก่อนการใช้กิจกรรม อริสรา โพธิ์ทอง (2563, น. 73) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านและเขียน ภาษาไทยโดยการแจกลูกสะกดคําสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองปรือ กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองปรือ จํานวน 32 คน ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านและเขียนภาษาไทยโดย การแจกลูกสะกดคําสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองปรือ มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 สูงกว่าเกณฑ์ที่กําหนด ภานุวัฒน์ จารุนัย (2563, น. 131) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านคําศัพท์พื้นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีสอนอ่านแจกลูกสะกดคําร่วมกับเกมทางภาษากรณีศึกษา โรงเรียนบ้านนาดีกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียนบ้านนาดี จํานวน 16 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านคําศัพท์พื้นฐานก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านคําศัพท์พื้นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่ตั้ง ไอดิน วงค์เจริญ (2563, น. 10) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกด คำไม่ตรงมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนศรีเหน์รู กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 27 คน ซึ่งได้มาโดยเลือกการสุ่มแบบ เจาะจง ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ ไม่ตรงมาตราตัวสะกด โดยใช้ แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 88.77/87.85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ความสามารถในการอ่านและการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 มีประสิทธิภาพ 88.77/87.85 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
35 พิชา พลมาตย์(2561, น. 29) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการอ่านออกเสียง โดย ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านแจกลูกสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสะพานที่ 3 โดยใช้ แบบฝึกทักษะการอ่านแจกลูกสะกดคำ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1/2 จำนวน 31 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ในปีการศึกษา 2561 ผลการวิจัยพบว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านแจกลูกสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.06/89.84 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 สรุปได้ว่า หลังจากเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการ เรียนรู้เรื่อง การอ่านออกเสียงแล้ว ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้นซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับสมมติฐานที่ผู้วิจัยกำหนด ณัฐชิมากรณ์ หนูส่ง (2561, น. 8) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านคำพื้นฐานของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนโดยใช้บัตรคำและบัตรภาพ โรงเรียนบ้านนาสีนวล โดยใช้บัตรคำ และบัตรภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 72 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านคำ พื้นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนโดยใช้บัตรคำและบัตรภาพ เมื่อเปรียบเทียบคะแนน ผลสัมฤทธิ์การอ่านคำพื้นฐานที่สอนโดยใช้บัตรคำและบัตรภาพ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่ามีคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้ง ทักษิณ คุณพิภาค (2560, น. 8) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาแบบฝกทักษะการอานและการ เขียนสะกดคําภาษาไทยโดยใชการเรียนรูแบบรวมมือรวมกับเทคนิคแผนผังความคิดที่สงผลต่อทักษะ การอานและการเขียน ความพึงพอใจตอการเรียน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านกุดสะกอย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ในปีการศึกษา 2560 จำนวน 21 คน ซึ่งไดมาจากการสุมแบบแบงกลุม ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบฝกทักษะการอานและการเขียนสะกดคําภาษาไทย โดยใชการเรียนรูแบบร่วมมือรวมกับ เทคนิคแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 มีคาดัชนีประสิทธิผลเทากับ 0.59 คิดเปนรอย ละ 59 แสดงวาผูเรียนมีความกาวหนาทางการเรียนคิดเปนรอยละ 59 ซึ่งสูงกว่าเกณฑมาตรฐานที่กําหนด ไว สอดคลองและเปนไปตามสมมติฐานขอที่ 1 2) ทักษะการอานและการเขียนสะกดคําของนักเรียนชั้น
36 ประถมศึกษาปที่ 2 ที่เรียนดวยแบบฝกทักษะการอานและการเขียนสะกดคําภาษาไทย โดยใชการเรียนรู แบบรวมมือรวมกับเทคนิคแผนผังความคิดหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคลองและเปนไปตามสมมติฐานขอที่ 2 3) ความพึงพอใจตอการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาป ที่ 2 ที่เรียนดวยแบบฝกทักษะการอานและการเขียนสะกดคําภาษาไทย โดยใชการเรียนรูแบบรวมมือ รวม กับเทคนิคแผนผังความคิดหลังเรียนอยูในระดับมากขึ้นไป อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคลองและเปนไปตามสมมติฐานขอที่ 3 4) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 2 ที่เรียนดวยแบบฝกทักษะการอานและการเขียนสะกดคําภาษาไทย โดยใชการเรียนรูแบบรวมมือรวมกับ เทคนิคแผนผังความคิดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ซึ่งสอดคลองกับ สมมติฐานขอที่ 4 จากเอกสารและผลของการวิจัยจะเห็นได้ว่า สื่อการสอนรูปแบบต่าง ๆ ช่วยให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยสูงขึ้นและส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความสนใจตลอดจนเกิด ทักษะในด้านต่าง ๆ สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์แก้ปัญหาอย่างมีเหตุมีผล และเห็นคุณค่าของตนเอง ส่งเสริมให้นักเรียนมีเจตคติต่อวิชาภาษาไทยในทางที่ดีขึ้น
37 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่าน สะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอ รามัน จังหวัดยะลา มีรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 แบบแผนการวิจัย 3.5 การรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 10 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ อำเภอรามัน จังหวัด ภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5 คน โดยมีวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ การเลือกแบบเจาะจง จาก การทดสอบก่อนเรียน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 4 ชนิด คือ 3.2.1 สื่อการสอน MLH Model เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยสื่อการสอน MLH Model มีเนื้อหาวิชาภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model 3.2.2 แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อ การสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 4 แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง 3.2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model
38 3.2.4 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อสื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตามขั้นตอนดังนี้ 3.3.1 สื่อการสอน MLH Model เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 3.3.1.1 ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษา ไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เพื่อกำหนดสิ่งที่ต้องพัฒนา 3.3.1.2 ศึกษาทฤษฎีหลักการจากเอกสารตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนด กรอบในการสร้างและพัฒนาสื่อการสอน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model 3.3.1.3 กำหนดวัตถุประสงค์และเนื้อหาสาระในการออกแบบสื่อการสอนที่เกี่ยวกับ เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ที่จะสร้าง 3.3.1.4 ออกแบบสื่อการสอน เรื่อง การอ่านสะกดคำ พยัญชนะประสมสระเสียง สั้นเสียงยาว สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านละแอ ตามองค์ประกอบต่าง ๆ ของการ สร้างสื่อการสอน 3.3.1.5 นำสื่อการสอน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ไป ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาของนักเรียน โดยกำหนด ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ดังนี้ 1) นางสาวฮามีด๊ะ ยามามะลี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ 2) นางสาวฟาตีหม๊ะ เบ็ญฮาวัน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ 3) นายอารีฟ สาเมาะ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน โดยวิธีหาค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหา (IOC) กับนิยามศัพท์เฉพาะ โดยมีเกณฑ์ให้คะแนน ดังนี้ +1 หมายถึง สอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ -1 หมายถึง ไม่สอดคล้อง แล้วนำไปวิเคราะห์หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เลือกข้อที่มีดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ .50 ขึ้นไป เพื่อ นำมาใช้ และนำข้อเสนอแนะมาปรับปรุงให้เครื่องมือมีคุณภาพยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าแบบฝึก ทักษะมีความเหมาะสมโดยมีค่าเฉลี่ยโดยรวมตั้งแต่ 0.50 – 1.00 3.3.1.6 ปรับปรุงแก้ไขตามประเด็นที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะ 3.3.1.7 นำไปสร้างสื่อการสอนและเก็บรวบรวมข้อมูล
39 3.3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 3.3.2.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรวิชาภาษาไทยช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์องค์ประกอบของรายวิชา กิจกรรมรายวิชา สาระการเรียนรู้รายวิชา และวิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3.3.2.2 จัดหน่วยการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ผู้วิจัยได้นำข้อมูลจากการวิเคราะห์ หลักสูตรมาจัดหน่วยการเรียนรู้วิชาภาษาไทยและคัดเลือกหน่วยการเรียนรู้เพื่อการศึกษา เรื่อง การอ่าน สะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model 3.3.2.3 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบชุดการเรียนการสอน เรื่อง การอ่าน สะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 3.3.2.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ดังรายนาม ต่อไปนี้ 1) นางสาวฮามีด๊ะ ยามามะลี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ 2) นางสาวฟาตีหม๊ะ เบ็ญฮาวัน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ 3) นายอารีฟ สาเมาะ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อหาค่าความสอดคล้องให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องของเนื้อหา ความเหมาะสมของภาษา เวลา รูปแบบและความสอดคล้องของเนื้อหากับ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข ด้วยแบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งมี 3 ระดับ ความคิดเห็น โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถาม (IOC) โดยมีเกณฑ์ให้ คะแนน ดังนี้ +1 หมายถึง สอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ -1 หมายถึง ไม่สอดคล้อง 3.3.2.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการประเมินคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญ และมา หาค่าเฉลี่ย เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมโดยมีค่าเฉลี่ย 1.00 3.3.2.6 แก้ไข ปรับปรุง แผนการจัดการเรียนรู้ให้มีรายละเอียดเนื้อหาครอบคลุม จุดประสงค์การเรียนรู้และเพิ่มกิจกรรมกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีความหลากหลาย และเหมาะสมกับ วัยของนักเรียนตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง 3.3.2.7 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์เพื่อใช้จัดกิจกรรมการเรียนการ สอน
40 3.3.3 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบความสามารถด้านการอ่าน สำหรับใช้ทดสอบในก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การอ่าน สะกดคำ โดยใช้สื่อการสอน MLH Model โดยใช้สื่อการสอน MLH Model ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 มีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้ 3.3.3.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับหลักสูตรคู่มือครูแบบเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และทำการวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ 3.3.3.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธีการสร้างแบบทดสอบความสามารถด้านการ อ่านก่อนเรียนและหลังเรียน 3.3.3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำ โดยใช้ สื่อการสอน MLH Model เป็นแบบทดสอบความสามารถด้านการอ่าน 3.3.3.4 นำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่านดังรายนามต่อไปนี้ 1) นางสาวฮามีด๊ะ ยามามะลี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ 2) นางสาวฟาตีหม๊ะ เบ็ญฮาวัน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ 3) นายอารีฟ สาเมาะ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อพิจารณาเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ความครอบคลุมเนื้อหา ความถูกต้องเหมาะสม สมบูรณ์ของแบบทดสอบ พิจารณาให้ข้อเสนอแนะในด้านของความเหมาะสมของคำและความเหมาะสม ของภาษาที่ใช้ รวมทั้งพิจารณาความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาในแบบทดสอบกับจุดประสงค์ของการวัด โดยพิจารณาค่า IOC ไม่ต่ำกว่า .50 ได้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน ซึ่งมี 3 ระดับความ คิดเห็น โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถาม (IOC) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ +1 หมายถึง สอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ -1 หมายถึง ไม่สอดคล้อง แล้วนำไปวิเคราะห์หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา เลือกข้อที่มีดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ .50 ขึ้นไปเพื่อ นำมาใช้และนำข้อเสนอแนะมาปรับปรุงให้เครื่องมือมีคุณภาพยิ่งขึ้น เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความเหมาะสมโดยมีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 1.00 3.3.3.5 นำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่ผ่านการตรวจสอบและคัดเลือก จากผู้เชี่ยวชาญไปปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ นำไปจัดพิมพ์ และเก็บรวบรวมข้อมูล