The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตร วิทย์ ม.ต้น (ฉบับบปรับปรุง 2566 )

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pinyo1154, 2023-07-25 19:24:36

หลักสูตร วิทย์ ม.ต้น (ฉบับบปรับปรุง 2566 )

หลักสูตร วิทย์ ม.ต้น (ฉบับบปรับปรุง 2566 )

ก ค ำน ำ เนื่องจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) เป็นหลักสูตรแกนกลางที่มีลักษณะเป็นกรอบและแนวทางในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรโดยกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ก าหนดสาระและ มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐานและมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น ส าหรับให้สถานศึกษา ได้จัดท าสาระของหลักสูตร และจัดการเรียนการสอนได้สอดคล้องกับแนวทางของหลักสูตร หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2566) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โรงเรียนค าแสนวิทยาสรรค์ ได้ตระหนักถึงพันธกิจดังกล่าว ตรงตาม จุดหมายของหลักสูตรและสนองตอบต่อเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษา ที่มุ่งเน้นปฏิรูป กระบวนการเรียนรู้ ยึดผู้เรียนส าคัญที่สุด ทุกคนเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ เน้นการบูรณาการ เชื่อมโยงหลักสูตร โดยเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้ตลอดชีวิต ฝึกทักษะ กระบวนการคิด แก้ปัญหา ปฏิบัติ จริง เรียนรู้คู่คุณธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนค าแสนวิทยาสรรค์ อ าเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวล าภู


ข สำรบัญ เรื่อง หน้ำ ค าน า ก สารบัญ ข ความน า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 1 สาระการเรียนรู้ 3 คุณภาพของผู้เรียน 4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 5 โครงสร้างหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 47 ค าอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 48 อภิธานศัพท์ 107 คณะผู้จัดท า 109


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ บทน า ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2566) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ได้ก าหนดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ ได้แก่สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพสาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และ อวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยีมีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ ได้แก่สาระชีววิทยา สาระเคมีสาระฟิสิกส์และ สาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตรทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการ สอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้น มีความส าคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส าหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้ก าหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง ที่ผู้เรียนจ าเป็นต้องเรียนเป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถน าความรู้นี้ไปใช้ในการด ารงชีวิตหรือศึกษา ต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้โดยจัดเรียงล าดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละ ระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน พัฒนาความคิดทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์คิดวิเคราะห์วิจารณ์มีทักษะที่ส าคัญทั้งทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วย กระบวนการสืบเสาะหาความรู้สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลหลากหลาย และประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ตระหนักถึงความส าคัญของการ จัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดท าตัวชี้วัดและสาระการ เรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้ เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียน คู่มือครูสื่อประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและ ประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ที่จัดท าขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้ มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตลอดจนการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการ ต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ


2 เป้าหมายของวิทยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้ กระบวนการและความรู้จากวิธีการสังเกต การส ารวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วน าผลที่ได้มาจัดระบบเป็น หลักการ แนวคิด และองค์ความรู้การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายที่ส าคัญ ดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีและกฎที่เป็นพื้นฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และข้อจ ากัดในการศึกษา วิชาวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทักษะที่ส าคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี 4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมวลมนุษย์ และสภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 5. เพื่อน าความรู้ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อสังคมและการด ารงชีวิต 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และ การจัดการ ทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ 7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มีทักษะส าคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหา ความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการท ากิจกรรมด้วยการ ลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยก าหนดสาระส าคัญ ดังนี้ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การด ารงชีวิต ของมนุษย์และสัตว์การด ารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลังงาน และคลื่น วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพื่อการด ารงชีวิตในสังคมที่มี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยค านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม วิทยาการค านวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงค านวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใน การ แก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอด พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ ผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออกจาก เซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ ท างานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลม ฟ้า อากาศ และภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม


4 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยค านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงค านวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การท างาน และ การแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม คุณภาพผู้เรียน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่ส าคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการท างานของระบบ ต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์การด ารงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของยีน หรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศและ การถ่ายทอดพลังงานในสิ่งมีชีวิต เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุสารละลาย สารบริสุทธิ์สารผสม หลักการแยกสาร การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี และสมบัติทางกายภาพ และการใช้ประโยชน์ของวัสดุประเภทพอลิเมอร์เซรามิก และวัสดุผสม เข้าใจการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระท าต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรงแรงที่ปรากฏใน ชีวิตประจ าวัน สนามของแรง ความสัมพันธ์ของงาน พลังงานจลน์พลังงานศักย์โน้มถ่วงกฎการอนุรักษ์ พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้าการต่อวงจรไฟฟ้าใน บ้าน พลังงานไฟฟ้า และหลักการเบื้องต้นของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เข้าใจสมบัติของคลื่น และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหักเหของแสง และทัศนอุปกรณ์ เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์การเกิดฤดูการเคลื่อนที่ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์การเกิดน้ าขึ้นน้ าลง ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และความก้าวหน้าของโครงการส ารวจอวกาศ เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ การเกิดและ ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์และการใช้ประโยชน์พลังงานทดแทนและการใช้ ประโยชน์ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้น หน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้ าผิวดิน แหล่งน้ าใต้ดิน กระบวนการเกิดและผลกระทบของภัย ธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย


5 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีได้แก่ระบบทางเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยีโดยค านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานส าหรับการแก้ปัญหาใ น ชีวิตประจ าวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย รวมทั้งค านึงถึงทรัพย์สินทางปัญญา น าข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ประเมิน น าเสนอข้อมูลและสารสนเทศได้ตาม วัตถุประสงค์ใช้ทักษะการคิดเชิงค านวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อ ช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทันและรับผิดชอบต่อสังคม ตั้งค าถามหรือก าหนดปัญหาที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มี การก าหนดและควบคุมตัวแปร คิดคาดคะเนค าตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สามารถน าไปสู่ การส ารวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมือส ารวจตรวจสอบโดยใช้วัสดุและเครื่องมือที่เหมาะสม เลือกใช้ เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ที่ได้ผลเที่ยงตรงและปลอดภัย วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการส ารวจตรวจสอบจากพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและสื่อสารความคิด ความรู้จากผลการส ารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้ อย่างเหมาะสม แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ในสิ่งที่จะเรียนรู้มีความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่ค้นพบ เมื่อมีข้อมูลและประจักษ์พยานใหม่เพิ่มขึ้นหรือโต้แย้งจากเดิม ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจ าวัน ใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการด ารงชีวิต การประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทาง วิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ท าโครงงานหรือสร้างชิ้นงาน ตามความสนใจ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และ ความหลากหลายทางชีวภาพ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน กา รเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ คว ามหม ายของป ระช ากร ปัญห าและผลกระทบที่มี


6 ต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อม รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายปฏิสัมพันธ์ขอ องค์ประกอบของระบบนิเวศที่ได้จาก การส ารวจ - ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีชีวิตเช่นพืช สัตว์จุลินทรีย์ และองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น แสง น้ า อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊สองค์ประกอบเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น พืชต้องการแสง น้ า และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในการสร้างอาหารสัตว์ต้องการอาหาร และสภาพแวดล้อม ที่เหมาะสมในการด ารงชีวิต เช่นอุณหภูมิ ความชื้น องค์ประกอบทั้งสองส่วนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่าง เหมาะสม ระบบนิเวศจึงจะสามารถคงอยู่ต่อไปได้ 2. อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรปูแบบ ต่าง ๆ ในแหล่งที่อยู่เดียวกันที่ได้ จากการส ารวจ - สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากันภาวะอิงอาศัยภาวะเหยื่อกับผู้ล่า ภาวะปรสิต - สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกันใน แหล่งที่อยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันเรียกว่า ประชากร - กลุ่มสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยประชากรของสิ่งมีชีวิตหลายๆ ชนิด อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่ เดียวกัน 3. สร้างแบบจ าลองในการอธิบาย การถ่ายทอด พลังงานในสายใย อาหาร 4. อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลิต ผู้บริโภคและผู้ย่อยสลาย สารอินทรีย์ในระบบนิเวศ 5. อธิบายการสะสมสารพิษใน สิ่งมีชีวิตในโซ่อาหาร 6. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อมในระบบ นิเวศ โดยไม่ท าลายสมดุล ของ ระบบนิเวศ - กลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย สารอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตทั้ง 3 กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กันผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิต ที่สร้างอาหารได้เอง โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ผู้บริโภคเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และ ต้องกินผู้ผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร เมื่อผู้ผลิตและ ผู้บริโภคตายลงจะถูกย่อยโดยผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ซึ่งจะ เปลี่ยนสารอินทรีย์เป็นสารอนินทรีย์กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ท าให้เกิดการหมนุเวียนสารเป็นวัฏจักรจ านวนผู้ผลิต ผู้บริโภคและผู้ย่อยสลายสารอนิทรีย์จะต้องมีความ เหมาะสมจึงท าให้กลุ่มสิ่งมีชีวิตอยู่ได้อย่างสมดุล - พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ล าดับต่าง ๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ในรูปแบบสายใยอาหาร ที่ประกอบด้วยโซอ่าหาร หลายโซ่ที่สัมพันธ์กันในการ ถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหารพลังงานที่ถูกถ่ายทอดไป จะลดลงเรื่อยๆตามล าดับของการบริโภค


7 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศอาจท าให้มีสารพิษ สะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้จนอาจก่อให้เกิด อันตรายต่อ สิ่งมีชีวิตและท าลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแล รักษาระบบนิเวศให้เกิดความสมดุล และคงอยู่ตลอดไปจึง เป็นสิ่งส าคัญ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การล าเลียงสารเข้า และออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ท างาน สัมพันธ์กันความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวยัวะต่าง ๆ ของพืชที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน า ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. เปรียบเทียบรูปร่างลักษณะ และ โครงสร้างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอ โรพลาสต์ 2. ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษา เซลล์และโครงสร้างต่างๆ ภายใน เซลล์ - เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมชีวีติ สิ่งมีชีวิต บางชนิดมีี เซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่น อะมบีา พารามีเซียม ยีสต์ บาง ชนิดมีหลายเซลล์ เช่น พืช สัตว์ - โครงสร้างพื้นฐานที่พบทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์และ สามารถสังเกตได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงได้แก่ เยื่อหุ้ม เซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียสโครงสร้างที่พบในเซลล์พืช แต่ไม่พบในเซลล์สัตว์ ได้แก่ ผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์ - โครงสร้างต่าง ๆ ของเซลล์มีหน้าที่แตกต่างกัน - ผนงัเซลล์ ท าหน้าที่ใีห้ความแข็งแรงแก่ีเซลล์ - เยื่อหุ้มเซลล์ ท าหน้าที่ห่อหุ้มเซลล์และควบคุม การล าเลียง สารเข้าและออกจากเซลล์ - นิวเคลียส ท าหน้าที่ควบคุมการท างานของเซลล์ - ไซโทพลาซมึมีออร์แกเนลล์ที่ท าหน้าที่แตกต่างกัน - แวคิวโอล ท าหน้าที่เก็บน้ าและสารต่าง ๆ - ไมโทคอนเดรยีท าหน้ที่ีเกี่ยวกับการสลายสาร อาหาร เพื่อให้ได้พลังงานแก่เซลล์ - คลอโรพลาสต์ เป็นแหล่งที่เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสง 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง รูปร่างกับการท าหน้าที่ของเซลล์ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีรูปร่างลักษณะ ที่หลากหลายและมีความ เหมาะสมกับหน้าที่ของเซลล์นั้น เช่น เซลล์ประสาทส่วนใหญ่ มีเส้นใยประสาทเป็นแขนงยาวน ากระแสประสาทไปยังเซลล์ อื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป เซลล์ขนราก เป็นเซลล์ผิวของราก ที่มี ผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ยื่นยาวออกมา ลักษณะคล้ายขน เส้นเล็ก


8 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจาก เซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะจนเป็นสิ่งมีชีวิต พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีการจัด ระบบโดยเริ่ม จากเซลล์ไปเป็นเนื้อเยื่อ อวยัวะ ระบบอวยัวะ และสิ่งมีชีวีติ ตามล าดับ เซลล์หลาย เซลล์มารวมกันเป็นเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อ หลายชนิดมา รวมกันและท างานร่วมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะ ต่าง ๆ ท างานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ ระบบอวัยวะ ทุก ระบบท างานร่วมกันเป็นสิ่งมีชีวิ 5. อธิบายกระบวนการแพร่และ ออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่างการแพร่และ ออสโมซิสในชีวิตประจ าวัน เซลล์มีการน าสารเข้าสู่เซลล์ เพื่อใชใีนกระบวนการ ต่าง ๆ ของเซลล์ และมีการขจัดสารบางอย่าง ที่เซลล์ไม่ ต้องการออกนอกเซลล์ การน าสารเข้า และออกจากเซลล์มี หลายวิธี เช่น การแพร่ เป็นการเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณที่ มีความเข้มข้นของสารสูงไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสาร ต่ า ส่วนออสโมซิส เป็นการแพร่ของน้ า ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ จาก ด้านที่มีความเข้มข้นของ สารละลายต่ าไปยังด้านที่มีความ เข้มข้นของ สารละลายสูงกว่า 6. ระบุปัจจัยที่จ าเป็นในการ สังเคราะห์ด้วยแสง และผลผลิตที่ เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่เกิดขึ้น ในคลอโรพ ลาสต์จ าเป็นต้องใช้แสงแก๊สคารบ์อนไดออกไซด์ คลอโรฟิลล์และน้ า ผลผลิตที่ได้จากการสังเคราะห์ ด้วยแสง ได้แก่ น้ าตาลและแก๊สออกซิเจน 7. อธิบายความส าคัญของการ สังเคราะห์ด้วยแสง ของพืชต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนการที่ส าคัญ ต่อสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นกระบวนการเดียวที่สามารถน าพลังงาน แสงมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน ในรูป 8. ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการ ร่วมกันปลูกและดูแลรักษา ต้นไม้ใน โรงเรียนและชุมชน สารประกอบอนิทรีย์และเกบ็สะสมในรปูแบบ ต่าง ๆ ใน โครงสร้างของพืช พืชจึงเป็นแหล่ง อาหารและพลังงานที่ ส าคัญของสิ่งมีชีวิตอื่น นอกจากนี้กระบวนการสังเคราะห์ด้วย แสงยังเป็น กระบวนการหลักในการสร้างแก๊สออกซิเจนให้กับ บรรยากาศเพื่อให้สิ่งมีชีวิตอื่นใช้ในกระบวนการหายใจ 9. บรรยายลักษณะและหน้าที่ของ ไซเล็มและ โฟลเอ็ม พืชมีไซเล็มและโฟลเอ็ม ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อมีลักษณะคล้ายท่อ เรียงตัวกันเป็นกลุ่มเฉพาะที่โดยไซเล็มท าหน้าที่ล าเลียงน้ า และธาตุอาหารมีทิศทางล าเลียงจากรากไปสู่ล าต้นใบ และ ส่วนต่างๆ ของพืชเพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง รวมถึง กระบวนการอื่น ๆ 10. เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศ ทางการล าเลียงสารในไซเล็มและโฟล เอ็มของพืช ส่วนโฟลเอ็มท าหน้าที่ ล าเลียงอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์ ด้วยแสงมีทิศทางล าเลียงจากบริเวณที่มีการสังเคราะห์ด้วย แสงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช


9 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 11. อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัย เพศ และไม่อาศัยเพศของพืชดอก 12. อธิบายลักษณะโครงสร้างของ ดอกที่มีส่วน ท าให้เกิดการถ่ายเรณู รวมทั้งบรรยาย การปฏิสนธิของพืช ดอก การเกิดผลและเมล็ดการ กระจายเมล็ด และการงอกของเมล็ด 13. ตระหนักถึงความส าคัญของสัตว์ ที่ช่วยในการ ถ่ายเรณูของพืชดอก โดยการไม่ท าลายชีวิต ของสัตว์ที่ช่วย ในการถ่ายเรณู - พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้และบาง ชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ - การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เป็นการสืบพันธุ์ที่มีการ ผสม กันของสเปิร์มกับเซลล์ไข่การสืบพันธุ์ แบบอาศัยเพศของพืช ดอกเกิดขึ้นที่ดอก โดยภายใน อับเรณูของส่วนเกสรเพศผู้มี เรณู ซึ่งท าหน้าที่สร้างสเปิร์ม ภายในออวุลของส่วนเกสร เพศเมีย มีถุงเอ็มบริโอท าหน้าที่สร้างเซลล์ไข่ - การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เป็นการสืบพันธุ์ที่พืช ต้น ใหม่ไม่ได้เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างสเปิร์มกับเซลล์ไข่แต่ เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่นราก ล าต้น ใบ มีการ เจริญเติบโตและพัฒนาขึ้นมาเป็นต้นใหม่ได้- การถ่ายเรณู คือ การเคลื่อนย้ายของเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศ เมีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ลักษณะและโครงสร้างของดอก เช่น สี ของกลีบดอก ต าแหน่งของเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย โดยมีสิ่งที่ช่วยในการถ่ายเรณู เช่น แมลง ลม - การถ่ายเรณูจะน าไปสู่การปฏิสนธิ ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ ถุง เอ็มบริโอภายในออวุลหลังการปฏิสนธิจะได้ไซโกตและเอน โดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไป เป็นเอ็มบริโอออวุลพัฒนา ไปเป็นเมล็ด และรังไข่ พัฒนาไปเป็นผล - ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต้นเดิม โดยวิธีการต่าง ๆ เมื่อเมล็ดไปตกในสภาพแวดลอ้มที่ เหมาะสมจะเกดิการ งอกของเมลด็ โดยเอ็มบริโอ ภายในเมล็ดจะเจริญออกมา โดยระยะแรกจะอาศัยอาหารที่สะสมภายในเมล็ดจนกระทั่ง ใบแท้พัฒนาจนสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้เต็มที่และ สร้างอาหารได้เองตามปกติ 14. อธิบายความส าคัญของธาตุ อาหารบางชนิดที่มีผลต่อการ เจริญเติบโตและการด ารงชีวิตของ พืช 15. เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร เหมาะสมกับพืชใน สถานการณ์ที่ ก าหนด - พืชต้องการธาตุอาหารที่จ าเป็นหลายชนิดในการ เจริญเติบโตและการด ารงชีวิต - พืชต้องการธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมากได้แก่ ไนโตรเจนฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียมแมกนเีซยีม และก ามะถันซึ่งในดนิอาจมีีไม่เพียงพอส าหรับการ เจริญเติบโตของพืช จึงต้องมีการให้ธาตุอาหารในรูปของ ปุ๋ยกับพืชอย่างเหมาะสม


10 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 16. เลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชให้ เหมาะสมกับ ความต้องการของ มนุษย์ โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการ สืบพันธุ์ของพืช 17. อธิบายความส าคัญของ เทคโนโลยี การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ในการใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ - มนุษย์สามารถน าความรู้เรื่องการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศมาใช้ในการ ขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มจ านวนพืช เช่น การใช้เมล็ดที่ได้จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมา เพาะเลี้ยงวิธีการนี้จะได้พืชในปริมาณมาก แต่อาจมีลักษณะ ที่ีแตกต่างไปพ่อ แม่ส่วนการตอนกิ่ง การปักช า การต่อกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง การเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อ เป็น การน าความรู้เรื่องการสืบพันธุ์แบบ ไม่อาศัยเพศของพืชมา ใช้ในการขยายพันธุ์ เพื่อให้ได้พืชที่มีลักษณะเหมือน 18. ตระหนักถึงประโยชน์ของการ ขยายพันธุ์พืช โดยการน าความรู้ไปใช้ ในชีวิตประจ าวัน ต้นเดิม ซึ่งการขยายพันธุ์ แต่ละวิธีมีขั้นตอนแตกต่างกัน จึง ควรเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์ โดยต้อง ค านึงถึงชนิดของพืชและลักษณะการสืบพันธุ์ของพืช - เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นการน า ความรู้ เกี่ยวกับปัจจัยที่จ าเป็นต่อการเจริญเติบโต ของพืชมาใช้ใน การเพิ่มจ านวนพืช และท าให้พืช สามารถเจริญเติบโตได้ใน หลอดทดลอง ซึ่งจะได้พืชจ านวนมากในระยะเวลาสั้นและ สามารถน า เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาประยุกต์ เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชปรับปรุงพันธุ์พืชที่มี ความส าคัญทางเศรษฐกิจ การผลิตยาและสารส าคัญในพืช และอื่น ๆ ม.2 1. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ ของอวัยวะที่ เกี่ยวข้องในระบบ หายใจ - ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จมูก ท่อลม ปอดกะบังลมและกระดูกซี่โคร - มนุษย์หายใจเข้า เพื่อน าแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อ น าไปใช้ในเซลล์ และหายใจเพื่อก าจัดแก๊ส 2. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและ ออกโดยใช้แบบจ าลองรวมทั้งอธิบาย กระบวนการแลกเปลี่ยนแก๊ส 3. ตระหนักถึงความส าคัญของระบบ หายใจ โดยการบอกแนวทางในการ ดูแลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ ท างานเป็นปกติ คาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย - อากาศเคลื่อนที่เข้าและออกจากปอดได้ เนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงปริมาตรและความดัน ของอากาศภายในช่อง อก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการท างานของกะบังลม และกระดูก ซี่โครง - การแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในร่างกายเกิดขึ้นบริเวณถุงลมในปอดกับหลอดเลือดฝอยที่ ถุงลมและ ระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเนื้อเยื่อ - การสูบบุหรี่การสูดอากาศที่มีสารปนเปื้อนและการเป็น โรคเกี่ยวกับระบบหายใจบางโรคอาจท าให้เกิดโรคถุงลมโป่ง พอง ซึ่งมีผลให้ความจุ อากาศของปอดลดลง ดังนั้นจึงควร ดูแลรักษา ระบบหายใจให้ท าหน้าที่เป็นปกติ


11 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ ของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการ ก าจัดของเสยีทางไต 5. ตระหนักถึงความส าคัญของระบบ ขับถ่ายในการก าจัดของเสียทางไต โดยการบอก แนวทางในการปฏิบัติ ตนที่ช่วยให้ระบบขับถ่าย ท าหน้าที่ ได้อย่างปกติ - ระบบขับถ่ายมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ ไต ท่อไตกระเพาะ ปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมีไตท าหน้าที่ก าจัดของเสีย เช่น ยูเรีย แอมโมเนีย กรดยูริกรวมทั้งสารที่ร่างกายไม่ ต้องการออกจาก เลือด และควบคุมสารที่มีมากหรือน้อย เกินไป เช่น น้ า โดยขับออกมาในรูปของปัสสาวะ - การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น รับประทาน อาหารที่ไม่มีรสเค็มจัดการดื่มน้ า สะอาดให้เพียงพอ เป็น แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายท าหน้าที่ได้อย่างปกติ 6. บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ของ หัวใจหลอดเลือดและเลือด 7. อธิบายการท างานของระบบ หมุนเวียนเลือด โดยใช้แบบจ าลอง - ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วยหัวใจหลอดเลือดและ เลือด - หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ห้อง ได้แก่ หัวใจห้องบน 2 ห้อง และห้องล่าง 2 ห้อง ระหว่าง หัวใจห้องบนและหัวใจ ห้องล่างมีลิ้นหัวใจกั้น - หลอดเลือด แบ่งเป็น หลอดเลือดอาร์เตอรีหลอดเลือด เวน หลอดเลือดฝอย ซึ่งมีโครงสร้าง ต่างกัน - เลือด ประกอบด้วย เซลล์เม็ดเลือด เพลตเลตและ พลาสมา - การบบีและคลายตัวของหัวใจท าให้เลือดหมุนเวียน และ ล าเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และสารอื่น ๆไปยังอวัยวะ และเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย - เลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงจะออกจากหัวใจ ไปยัง เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายขณะเดียวกัน แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือด และ ล าเลียงกลับเข้าสู่หัวใจและถูกส่งไปแลกเปลี่ยนแก๊สที่ปอด 8. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบอัตราการเต้นของ หัวใจขณะปกติและหลังท ากิจกรรม 9. ตระหนักถึงความส าคัญของระบบ หมุนเวียนเลือด โดยการบอก แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะใน ระบบหมุนเวียนเลือดให้ท างานเป็นป - ชีพจรบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งอัตราการเต้น ของหัวใจในขณะปกติและหลังจากท ากิจกรรมต่าง ๆ จะ แตกต่างกันส่วนความดันเลือด ระบบหมุนเวียนเลือดเกดิ จากการท างานของหัวใจและหลอดเลือด - อัตราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันใน แต่ละบุคคล คนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด จะส่งผลท าให้หัวใจสูบ ฉีดเลือดไม่เป็นปกติ - การออกก าลังกาย การเลือกรับประทานอาหาร การ พักผ่อน และการรักษาภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ ทางเลือก หนึ่งในการดูแลรักษาระบบ หมุนเวียนเลือดให้เป็นปกติ


12 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 10. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ ของอวัยวะใน ระบบประสาท ส่วนกลางในการควบคุม การท างาน ต่าง ๆ ของร่างกาย 11. ตระหนักถึงความส าคัญของ ระบบประสาทโดยการบอกแนวทาง ในการดูแลรักษา รวมถึงการป้องกัน การกระทบกระเทือนและอันตราย ต่อสมองและไขสันหลัง - ระบบประสาทส่วนกลางประกอบด้วยสมอง และไขสัน หลัง จะท าหน้าที่ร่วมกับเส้นประสาท ซึ่งเป็นระบบประสาท รอบนอก ในการควบคุม การท างานของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงการแสดง พฤติกรรม เพื่อการตอบสนองต่อสิ่งเร้า - เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึกจะเกิด กระแส ประสาทส่งไปตามเซลล์ประสาทรับความรู้สึกไปยังระบบ ประสาทส่วนกลาง แล้วส่งกระแสประสาทมาตามเซลล์ ประสาทสั่งการไปยงัหน่วยปฏิบัติงาน เช่น กล้ามเนื้อ - ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและมี ความสัมพันธ์กับทุกระบบในร่างกาย ดังนั้น จึงควรป้องกัน การเกิดอับติเหตุที่กระทบกระเทือน ต่อสมองหลีกเลี่ยงการ ใช้สารเสพติดหลีกเลี่ยง ภาวะเครียดและรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์เพื่อดูแลรักษาระบบประสาทให้ท างานเป็น ปกติ 12. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ ของอวัยวะใน ระบบสืบพันธุ์ของเพศ ชายและเพศหญิง โดยใช้แบบจ าลอง 13. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชาย และเพศหญิงควบคุมเปลี่ยนแปลง ของร่างกายเข้าสู่วัยหนุ่มสาว 14. ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของ ร่างกายเมื่อ เข้าสู่วัยหนุ่มสาวโดยการ ดูแลรักษาร่างกาย และจิตใจของ ตนเองในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง 15. อธิบายการตกไข่การมี ประจ าเดือน การปฏิสนธิและการ พัฒนาของไซโกตจนคลอดเป็นทารก 16. เลือกวิธีการคุมก าเนิดที่ เหมาะสมกับ สถานการณ์ที่ก าหนด 17. ตระหนักถึงผลกระทบของการ ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการ ประพฤติตนให้เหมาะสม - มนุษย์มีระบบสืบพันธุ์ที่ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆที่ท า หน้าที่เฉพาะโดยรังไข่ในเพศหญิงจะท าหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่ ส่วนอัณฑะในเพศชาย จะท าหน้าที่สร้างเซลล์อสุจิ - ฮอร์โมนเพศท าหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของลักษณะ ทางเพศที่แตกต่างกัน เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะสร้างเซลล์ไข่ และเซลล์อสุจิ การตกไข่ การมีรอบเดือน และถ้ามีการ ปฏิสนธิของเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิจะท าให้เกิดการตั้งครรภ์ - การมีประจ าเดือนมีความสัมพันธ์กับการตกไข่ โดยเปน็ผล จากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอรโีมนเพศหญิง - เมื่อเพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไข่ได้รับการปฏิสนธิกับ เซลล์อสุจิจะท าให้ได้ไซโกต ไซโกตจะเจริญเป็นเอ็มบริโอ และฟีตัส จนกระทั่งคลอดเป็นทารกแต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิ เซลล์ไข่จะสลายตัว ผนังด้านในมดลูกรวมทั้ง หลอดเลือดจะ สลายตัวและหลุดลอกออกเรียกว่า ประจ าเดือน - การคุมก าเนิดเป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ โดย ป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝังตัวของ เอ็มบริโอ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยการกินยาคุมก าเนิด ม.3 - -


13 มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมทมี่ผีลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างยีน ดี เอ็นเอ และ โครโมโซม โดยใช้ แบบจ าลอง - ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมชีวีติสามารถ ถ่ายทอด จากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้โดยมียีน เป็นหน่วยควบคุม ลักษณะทางพันธุกรรม - โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีนขดอยู่ใน นิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม มีความสัมพันธ์กันโดย บางส่วนของดีเอ็นเอ ท าหน้าที่เป็นยีนที่ก าหนดลักษณะของ สิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม 2 ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่กัน มีการ เรียงล าดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งที่อยู่บนคู่ฮอมอโลกัส โครโมโซมอาจมีรูปแบบแตกต่างกันเรียกแต่ละรปูแบบของยีน ที่ต่างกันนี้ว่า แอลลีล ซึ่งการเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลท าให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะที่แตกต่างกันได้ - สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจ านวนโครโมโซมคงที่มนุษย์มีจ านวน โครโมโซม 23 คู่เป็นออโตโซม 22 คู่ และ โครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX เพศชายมีโครโมโซมเพศ เป็น XY 2. อธิบายการถ่ายทอดลกัษณะทาง พันธุกรรมจาก การผสมโดยพิจารณา ลักษณะเดียวที่แอลลีลเด่น ข่มแอลลี ลด้อยอย่างสมบูรณ์ 3. อธิบายการเกิดจีโนไทป์ และฟีโน ไทป์ของลูกและค านวณอัตราส่วน การเกิดจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของรุ่น ลูก - เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ของต้นถั่วชนิดหนึ่งและน ามาสู่หลักการพื้นฐานของการ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิต - สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็น 2 ชุด ยีนแต่ละต าแหน่งบน ฮอมอโลกัสโครโมโซมมี 2 แอลลีล โดยแอลลีลหนึ่งมาจาก พ่อและอีกแอลลีลมาจากแม่ ซึ่งอาจมีรูปแบบเดียวกันหรือ แตกต่างกัน แอลลีลที่แตกต่างกันนี้แอลลีลหนึ่งอาจมีการ แสดงออกข่มอีกแอลลีลหนึ่งได้ เรียกแอลลลีนั้นว่าเป็น แอลลีลเด่น ส่วนแอลลีลที่ถูกข่มอย่างสมบูรณ์เรียกว่าเป็น แอลลีลด้อย - เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ แอลลีลที่เป็นคู่กัน ในแต่ละ ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสู่เซลล์สืบพันธุ์แต่ละ เซลล์ โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์จะได้รับเพียง 1 แอลลลีและจะ


14 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง มาเข้าคู่กับแอลลีลที่ต่ าแหนง่เดยีวกนัของอกีเซลล์สืบพันธ์ หนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิจนเกิดเป็นจีโนไทป์และ แสดงฟีโน ไทป์ในรุ่นลูก 4. อธิบายความแตกต่างของการแบ่ง เซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส - กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี2 แบบ คือ ไมโทซิส และไมโอซิส - ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจ านวนเซลล์ร่างกายผล จากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ที่มีลักษณะและจ านวน โครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น - ไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ผลจาก การแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ ที่มีจ านวนโครโมโซมเป็น ครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น เมื่อเกิดการปฏิสนธิของเซลล์ สืบพันธุ์ลูกจะได้รับ การถ่ายทอดโครโมโซมชุดหนึ่งจากพ่อ และอีกชุดหนึ่งจากแม่ จึงเป็นผลให้รุ่นลูกมีจ านวน โครโมโซม เท่ากับรุ่นพ่อแม่และจะคงที่ในทุก ๆ รุ่น 5. บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีน หรือโครโมโซม อาจท าให้เกิดโรคทาง พันธุกรรมพร้อมทั้งยกตัวอย่างโรค ทางพันธุกรรม 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ เรื่องโรคทาง พันธุกรรมโดยรู้ว่าก่อน แตง่งานควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจ และวินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจ เกิดโรคทางพันธุกรรม - การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของ สิ่งมีชีวิต เช่น โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงของยีน กลุ่มอาการ ดาวน์เกิดจากการ เปลี่ยนแปลงจ านวนโครโมโซม - โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลกูได้ ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจงึควรปอ้งกนัโดยการตรวจ และวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการ ถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม 7. อธิบายการใช้ประโยชน์จาก สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและ ผลกระทบที่อาจมีต่อมนุษย์ และ สิ่งแวดล้อมโดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ 8. ตระหนักถึงประโยชน์และ ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมที่อาจมีต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม โดยการเผยแพร่ความรู้ที่ ทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน - มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตาม ธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตาม ต้องการเรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม - ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิต ดัดแปร พันธุกรรมเป็นจ านวนมากเช่น การผลิต อาหาร การผลิตยา รักษาโรค การเกษตร สังคมยังมีความกังวลเกี่ยวกับ ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตแล สิ่งแวดล้อม ซึ่งยังท าการติดตามศึกษาผลกระทบดังกล่าว


15 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 9. เปรียบเทียบความหลากหลายทาง ชีวภาพ ในระดับชนิดสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศต่าง ๆ - ความหลากหลายทางชีวภาพ มี 3 ระดับ ได้แก่ ความ หลากหลายของระบบนิเวศความหลากหลายของชนิด สิ่งมีชีวิตและความหลากหลาย ทางพันธุกรรมความ หลากหลายทางชีวภาพนี้มีความส าคัญต่อการรักษาสมดุล 10. อธิบายความส าคัญของความ หลากหลายทาง ชีวภาพที่มีต่อการ รักษาสมดุลของระบบนิเวศและต่อ มนุษย์ 11. แสดงความตระหนักในคุณค่า และความส าคัญ ของความ หลากหลายทางชวีภาพ โดยมีส่วน ร่วม ในการดูแลรักษาความ หลากหลายทางชีวภาพ ของระบบนิเวศ ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ สูงจะรักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทาง ชีวภาพต่ ากว่า นอกจากนี้ความหลากหลายทางชีวภาพยังมี ความส าคัญต่อมนุษย์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นอาหารยา รักษาโรค วัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ - วัสดุบางอย่างสามารถน ามาประกอบกัน เพื่อท าเป็นวัตถุ ต่าง ๆ เช่น ผ้าและกระดุมใช้ท าเสื้อ ไม้และโลหะ ใช้ท า กระทะ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนในการดูแลรักษาความ หลากหลายทางชีวภาพให้คงอยู่ สาระที่2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะ ของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายสมบัติทางกายภาพบาง ประการของธาตุโลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่ได้จากการสังเกตและการทดสอบ และใช้สารสนเทศที่ได้จาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งจัดกลุ่ม ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ - ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทางกายภาพ บางประการเหมือนกันและบางประการต่างกัน ซึ่งสามารถ น ามาจัดกลุ่มธาตุ เป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ธาตุโลหะ มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง มีผิวมันวาว น าความร้อน น า ไฟฟ้า ดึงเป็นเส้นหรือตีเป็นแผ่นบาง ๆ ได้ และมีความ หนาแน่นทั้งสูงและต่ า ธาตุอโลหะ มีจุดเดือด จุด หลอมเหลวต่ า มีผิวไม่มันวาว ไม่น าความร้อน ไม่น าไฟฟ้า เปราะแตกหักง่ายและมีความหนาแน่นต่ า ธาตุกึ่งโลหะมี สมบัติบางประการเหมือนโลหะและสมบัติบางประการ เหมือนอโลหะ 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุ กัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจและสังคมจาก ข้อมูลที่รวบรวมได้ - ธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ที่สามารถแผ่รังสีได้ จัดเป็นธาตุกัมมันตรัง - ธาตุมีทั้งประโยชน์และโทษ การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่ง โลหะ ธาตุกัมมันตรังสี ควรค านึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม


16 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุ โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุ กัมมันตรังสีโดยเสนอแนวทาง การ ใช้ธาตุอย่างปลอดภัย คุ้มค่า 4.เปรียบเทียบจุดเดือด จุด หลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสาร ผสม โดยการวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมลูจากกราฟ หรือสารสนเทศ 5. อธิบาย เปรียบเทียบความ หนาแน่นของสารบริสุทธิ์ สารผสม 6. ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวลและ ปริมาตรของสารบริสุทธิ์และสารผสม - สารบริสุทธิ์ประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว ส่วนสารผสม ประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไป สารบรสิทธิ์แต่ละ ชนิดมีสมบัติบางประการที่เป็นค่าเฉพาะตัว เช่น จุดเดือด และ จุดหลอมเหลวคงที่ แต่สารผสมมีจุดเดือด และจุด หลอมเหลวไม่คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและ สัดส่วนของสารที่ผสม อยู่ด้วยกัน - สารบริสุทธิ์แต่ละชนิดมีความหนาแน่น หรือมวลต่อหนึ่ง หน่วยปริมาตรคงที่เป็นค่าเฉพาะของสารนั้นณ สถานะและ อุณหภูมิหนึ่ง แต่สารผสมมีความหนาแน่นไม่คงที่ขึ้นอยู่กับ ชนิด และสัดส่วนของสารที่ผสมอยู่ด้วยกัน 7. อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างอะตอม ธาตุ และ สารประกอบ โดยใช้แบบจ าลอง และสารสนเทศ - สารบริสุทธิ์แบ่งออกเป็นธาตุและสารประกอบ ธาตุ ประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ยังแสดง สมบัติของธาตุนั้น เรียกว่า อะตอม ธาตุแต่ละชนิด ประกอบด้วยอะตอมเพียง ชนิดเดียวและไม่สามารถแยกสลายเป็นสารอื่นได้ด้วยวิธี ทางเคมีธาตุเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ธาตุ สารประกอบ เกิดจากอะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป รวมตัวกันทาง เคมีในอัตราส่วนคงที่มีสมบัติ แตกต่างจากธาตุที่เป็น องค์ประกอบ สามารถแยกเป็นธาตุได้ด้วยวิธีทางเคมีธาตุ และ สารประกอบสามารถเขียนแทนได้ด้วยสูตรเคมี 8. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ ประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ าลอง - อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ธาตุ ชนิดเดียวกันมีจ านวน โปรตอนเท่ากันและเป็นค่าเฉพาะของธาตุนั้น นิวตรอนเป็น กลางทางไฟฟ้า ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ เมื่อ อะตอมมีจ านวนโปรตอนเท่ากับจ านวนอิเล็กตรอน จะเป็น กลางทางไฟฟ้าโปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรงกลาง อะตอมเรียกว่านิวเคลียสส่วนอิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่ใน ที่ว่างรอบนิวเคลีย 9. อธิบายและเปรียบเทียบการ จัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ ของอนุภาคของสสารชนิดเดียวกันใน สถานะ ของแข็ง ของเหลวและแก๊ส โดยใช้แบบจ าลอง - สสารทุกชนิดประกอบด้วยอนุภาค โดยสารชนิดเดียวกันที่ มีสถานะของแข็งของเหลว แก๊ส จะมีการจัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค การเคลื่อนที่ของอนุภาค แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อรูปร่างและปริมาตรของสสาร


17 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - อนุภาคของของแข็งเรียงชิดกัน มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่าง อนุภาคมากที่สุด อนุภาคสั่นอยู่กับที่ ท าให้มีรูปร่างและ ปริมาตรคงที่ - อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กันมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง อนุภาคน้อยกว่าของแข็งแต่มากกว่าแก๊ส อนุภาคเคลื่อนที่ ได้แต่ไม่เป็นอิสระเท่าแก๊ส ท าให้มีรูปร่างไม่คงที่ แต่ ปริมาตรคงที่ - อนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่าง อนุภาคน้อยที่สุดอนุภาคเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทุกทิศทาง ท าให้มีรูปร่างและปริมาตร ไม่คงที่ 10. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง พลังงานความร้อนกับการเปลี่ยน สถานะของสสาร โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์และ แบบจ าลอง - ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสสาร เมื่อให้ ความร้อนแก่ของแข็งอนุภาคของของแข็ง จะมีพลังงานและ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ซึ่งของแข็งจะใช้ความร้อน ในการเปลี่ยนสถานะ เป็นของเหลว เรียกความร้อนที่ใช้ใน การเปลี่ยน สถานะจากของแขง็เปน็ของเหลวว่า ความร้อน แฝง ของการหลอมเหลว และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะ จะคงที่ เรียกอุณหภูมินี้ว่า จุดหลอมเหลว - เมื่อให้ความร้อนแก่ของเหลว อนุภาคของของเหลว จะมี พลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ซึ่งของเหลว จะใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะ เป็นแก๊ส เรียกความ ร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะ จากของเหลวเป็นแก๊สว่า ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอและอุณหภูมิขณะ เปลี่ยนสถานะจะคงที่เรียกอุณหภูมินี้ว่า จุดเดือด - เมื่อท าให้อุณหภูมิของแก๊สลดลงจนถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะ เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกอุณหภูมินี้ว่าจุดควบแน่น ซึ่งมีอุณหภูมิเดียวกับจุดเดือด ของของเหลวนั้น - เมื่อท าให้อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึงระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งเรียกอุณหภูมินี้ว่า จุดเยือกแข็ง ซึ่งมีอุณหภูมิเดียวกับจุดหลอมเหลวของ ของแข็งนั้น ม.2 1. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ ระเหยแห้งการตกผลึก การกลั่น อย่างง่ายโครมาโทกราฟีแบบ กระดาษการสกัดด้วย ตัวท าละลาย โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ - การแยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธิ์ท าได้หลายวิธีขึ้นอยู่ กับสมบัติของสารนั้น ๆ การระเหยแห้งใช้แยกสารละลาย ซึ่งประกอบด้วยตัวละลายที่เป็น ของแข็งในตัวท าละลายที่ เป็นของเหลว โดยใช้ความร้อนระเหยตัวท าละลายออกไป


18 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง จนหมด เหลือแต่ตัวละลาย การตกผลึกใช้แยกสารละลายที่ ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็นของแข็งในตัวท าละลายที่เป็น ของเหลว โดยท าให้สารละลายอิ่มตัว แล้วปล่อยให้ตัว 2. แยกสารโดยการระเหยแห้งการตก ผลึก การกลั่นอย่างง่าย โครมาโทก ราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวท า ละลา ท าละลายระเหยออกไปบางส่วน ตัวละลายจะตกผลึกแยก ออกมา การกลั่นอย่างง่ายใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วย ตัวละลายและตัวท าละลายที่เป็นของเหลวที่มีจุดเดือด ต่างกันมาก วิธีนี้จะแยกของเหลวบริสุทธิ์ออกจาก สารละลายโดยให้ความร้อนกับสารละลายของเหลวจะเดือด และกลายเป็นไอแยกจาก สารละลายแล้วควบแน่นกลับเป็น ของเหลวอีกครั้ง ขณะที่ของเหลวเดือด อุณหภูมิของไอจะ คงที่ โครมาโทกราฟีแบบกระดาษเป็นวิธีการแยก สารผสม ที่มีปริมาณน้อยโดยใช้แยกสารที่มีสมบัติการละลายในตัว ท าละลายและการถูกดูดซับด้วย ตัวดูดซับแตกต่างกันท าให้ สารแต่ละชนิด เคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับได้ต่างกัน สารจึง แยก ออกจากกันได้ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่สาร องค์ประกอบแต่ละชนิดเคลื่อนที่ได้บนตัวดูดซับ กับ ระยะทางที่ตัวท าละลายเคลื่อนที่ได้ เป็นค่าเฉพาะตัวของ สารแต่ละชนิดในตัวท าละลาย และตัวดูดซับหนึ่ง ๆ การ สกัดด้วยตัวท าละลาย เป็นวิธีการแยกสารผสมที่มีสมบัติ การละลายในตัวท าละลายที่ต่างกัน โดยชนิดของตัวท า ละลาย มีผลต่อชนิดและปริมาณของสารที่สกัดได้การสกัด โดยการกลั่นด้วยไอน้ าใช้แยกสารที่ระเหยง่ายไม่ละลายน้ า และไม่ท าปฏิกิริยากับน้ าออกจากสารที่ระเหยยาก โดยใช้ไอ น้ าเป็นตัวพา 3. น าวิธีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหา ในชวีติประจ าวนัโดยบูรณาการ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสต ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแยกสารบูรณาการกับ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรม สามารถน าไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจ าวันหรือปัญหาที่พบ ใน ชุมชนหรือสร้างนวัตกรรม โดยมีขั้นตอน ดังนี้ - ระบุปัญหาในชีวิตประจ าวันที่เกี่ยวกับการแยกสารโดยใช้ สมบัติทางกายภาพหรือนวัตกรรมที่ต้องการพัฒนา โดยใช้ หลักการดังกล่าว


19 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับการแยกสาร โดยใช้ สมบัติทางกายภาพที่สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุหรือน าไปสู่ การพัฒนานวัตกรรมนั้น - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาหรือพัฒนานวัตกรรม ที่เกี่ยวกับ การแยกสารในสารผสม โดยใช้สมบัติทางกายภาพ โดย เชื่อมโยงความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ คณติศาสตร์ เทคโนโลยี และ กระบวนการทางวิศวกรรมรวมทั้งก าหนดและ ควบคุม ตัวแปรอย่างเหมาะสมครอบคลุม - วางแผนและด าเนินการแก้ปัญหา หรือพัฒนา นวัตกรรม รวบรวมข้อมูล จัดกระท าข้อมูลและเลือกวิธีการสื่อ ความหมายที่เหมาะสมในการน าเสนอผล - ทดสอบประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหา หรือ นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ รวบรวมได้ - น าเสนอวิธีการแก้ปัญหาหรือผลของนวัตกรรม ที่ พัฒนาขึ้น และผลที่ได้โดยใช้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสมและ น่าสนใจ 4. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการอธิบาย ผลของชนิดตัวละลาย ชนิดตัวท าละลายอุณหภูมิที่มีต่อ สภาพละลายได้ของสาร รวมทั้ง อธิบายผลของความดันที่มีต่อสภาพ ละลายได้ของสาร โดยใช้สารสนเทศ - สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส สารละลายประกอบด้วยตัวท าละลาย และตัวละลายกรณี สารละลายเกิดจากสารที่มีสถานะเดียวกัน สารที่มีปริมาณ มากที่สุดจัดเป็น ตัวท าละลายกรณีสารละลายเกิดจากสารที่ มีสถานะต่างกัน สารที่มีสถานะเดียวกันกับ สารละลาย จัดเป็นตัวท าละลาย - สารละลายที่ตัวละลายไม่สามารถละลายในตัวท าละลาย ได้อีกที่อุณหภูมิหนึ่ง ๆ เรียกว่า สารละลายอิ่มตัว - สภาพละลายได้ของสารในตัวท าละลายเป็นค่าที่ บอก ปริมาณของสารที่ละลายได้ในตัวท าละลาย 100 กรัม จนได้ สารละลายอิ่มตัว ณ อุณหภูมิและความดันหนึ่งๆ สภาพ ละลายได้ของสารบ่งบอกความสามารถในการละลายได้ของ ตัวละลายในตัวท าละลาย ซึ่งความสามารถในการละลาย ของสารขึ้นอยู่กับชนิดของตัวท าละลายและตัวละลาย อุณหภูมิและความดัน - สารชนิดหนึ่ง ๆ มีสภาพละลายได้แตกต่างกันในตัวท า ละลายที่แตกต่างกัน และสารต่างชนิดกันมีสภาพละลายได้ ในตัวท าละลายหนึ่ง ๆ ไม่เท่ากัน


20 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นสารส่วนมากสภาพละลายได้ของสาร จะเพิ่มขึ้น ยกเว้นแก๊สเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น สภาพการละลาย ได้จะลดลง ส่วนความดันมีผล ต่อแก๊ส โดยเมื่อความดัน เพิ่มขึ้น สภาพละลายได้จะสูงขึ้น - ความรู้เกี่ยวกับสภาพละลายได้ของสาร เมื่อเปลี่ยนแปลง ชนิดตัวละลาย ตัวท าละลาย และ อุณหภูมิสามารถน าไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน เช่น การท าน้ าเชื่อมเข้มข้นการ สกัดสารออกจากสมุนไพรให้ได้ปริมาณมากที่สุด 5. ระบุปริมาณตัวละลายใน สารละลายในหน่วย ความเข้มข้น เป็นร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตรมวล ต่อมวล และมวลต่อปริมาตร 6. ตระหนักถึงความส าคัญของการ น าความรู้เรื่อง ความเข้มข้นของสาร ไปใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้ สารละลายในชีวิตประจ าวันอย่าง ถูกต้องและปลอดภัย - ความเข้มข้นของสารละลาย เป็นการระบุปริมาณ ตัว ละลายในสารละลายหน่วยความเข้มข้นมีหลายหน่วยที่นิยม ระบุเป็นหน่วยเป็นร้อยละปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อมวล และมวลต่อปริมาตร - ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตรเป็นการระบุ ปริมาตรตัว ละลายในสารละลาย 100 หน่วย ปริมาตรเดียวกัน นิยม ใช้กับสารละลายที่เป็น ของเหลวหรือแก๊ส - ร้อยละโดยมวลต่อมวลเป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยมวลเดียวกันนิยมใช้กับสารละลายที่ มีสถานะเป็นของแข็ง - ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตรเป็นการระบุมวลตัวละลายใน สารละลาย 100 หน่วยปริมาตร นิยมใช้กับสารละลายที่มี ตัวละลายเป็นของแข็งในตัวท าละลายที่เป็นของเหล - การใช้สารละลายในชีวิตประจ าวันควรพิจารณา จาก ความเข้มข้นของสารละลายขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการใช้ งาน และผลกระทบต่อสิ่งชีวิตและสิ่งแวดล้อม ม.3 1. ระบุสมบัติทางกายภาพและการ ใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์และสารสนเทศ 2. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้วัสดุ ประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุ ผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้ วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่ - พอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุผสม เป็นวัสดุที่ใช้มากใน ชีวิตประจ าวัน - พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิดจากโมเลกุล จ านวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น พลาสติก ยาง เส้นใย ซึ่ง เปน็พอลิเมอร์ที่มีสมบัติแตกต่างกันโดยพลาสติกเป็นพอลิ เมอร์ที่ขึ้นรูปเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ยางยืดหยุ่นได้ ส่วนเส้น ใยเป็นพอลิีเมอร์ที่สามารถดึงเป็นเส้นยาวได้พอลิเมอร์จึงใช้ ประโยชน์ได้แตกต่างกัน


21 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - เซรามิกเป็นวัสดุที่ผลิตจากดิน หิน ทราย และแร่ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติ และส่วนมากจะผ่าน การเผาที่อุณหภูมิสูง เพื่อให้ได้เนื้อสารที่แข็งแรง เซรามิกสามารถท าเป็นรูปทรง ต่าง ๆ ได้สมบัติทั่วไปของเซรามิกจะแข็งทนต่อการสึก กร่อน และเปราะสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นภาชนะ ที่เป็นเครื่องปั้นดินเผา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ - วัสดุผสมเป็นวัสดุที่เกิดจากวัสดุตั้งแต่ 2 ประเภท ที่มี สมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกันเพื่อน าไปใช้ประโยชน์ได้ มากขึ้น เช่น เสื้อกันฝนบางชนิด เป็นวัสดุผสมระหว่างผ้า กับยาง คอนกรตีเสริมเหล็กเป็นวัสดุผสมระหว่างคอนกรีต กับเหล็ก - วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้วัสดุ อย่างฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังอาจก่อ ปัญหาต่อ สิ่งแวดล้อม 3. อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอม เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้ แบบจ าลองและสมการข้อความ - เรียงตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้ แบบจ าลองและสมการข้อความ - การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทาง เคมีของ สารเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ท าให้เกิดสารใหม่ โดยสารทเีขาี ท าปฏิกิริยาเรียกว่า สารตั้งต้น สารใหม่ที่เกิดขึ้นจาก ปฏิกิริยาเรียกว่า ผลิตภัณฑ์การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถ เขียนแทนได้ด้วย สมการข้อความ - การเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมของสารตั้งต้นจะมีการ จัดเรียงตัวใหม่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีสมบัติแตกต่างจาก สารตั้งต้น โดยอะตอมแต่ละชนิด ก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยา เคมีมีจ านวนเท่ากัน 4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้ หลักฐานเชิงประจัก 5. วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏิกิริยา คายความร้อนจากการ เปลี่ยนแปลงพลังงาน ความร้อนของ ปฏิกิริยา - เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารตั้งต้น เท่ากับมวล รวมของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นไปตามกฎทรงมวล - เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี มีการถ่ายโอนความร้อน ควบคู่ไปกับ การจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมของสารปฏิกิริยาที่มีการถ่าย โอนความร้อนจากสิ่งแวดล้อม เข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิริยาดูด ความร้อนปฏิกิริยาที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออก สู่สิ่งแวดล้อมเป็นปฏิกิริยาคายความร้อนโดยใช้เครื่องมือที่ เหมาะสมในการวัดอุณหภูมิ เช่น เทอร์มอมิเตอร์หัววัดที่ สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้อย่าง ต่อเนื่อง


22 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 6. อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของ เหล็กปฏิกิริยา ของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรดกับเบส และ ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้ หลักฐานเชิง ประจักษ์ และอธิบาย ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้ สารสนเทศรวมทั้งเขียนสมการ ข้อความแสดง ปฏิกิริยาดังกล่าว - ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจ าวันมีหลายชนิด เช่น ปฏิกิริยาการเผาไหม้การเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของ กรดกับโลหะปฏิกิริยาของกรดกับ เบสปฏิกิริยาของเบสกับ โลหะการเกิดฝนกรดการสังเคราะห์ด้วยแสงปฏิกิริยาเคมี สามารถ เขียนแทนได้ด้วยสมการข้อความ ซึ่งแสดงชื่อของ สารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ เช่น เชื้อเพลิง + ออกซิเจน → คารบ์อนไดออกไซด์ + น าี ปฏิกิริยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาระหว่างสารกับ ออกซิเจน สารที่เกิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบที่ มีคาร์บอนและ ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ ซึ่งถ้าเกิดการ เผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็น คาร์บอนไดออกไซด์และน้ า - การเกิดสนิมของเหล็ก เกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างเหล็ก น้ าและออกซิเจน ได้ผลิตภัณฑ์เป็นสนิมของเหล็ก - ปฏิกิริยาการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็ก เป็น ปฏิกิริยาระหว่างสารต่าง ๆ กับออกซิเจน - ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ กรดท าปฏิกิริยากับ โลหะได้ หลายชนิด ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของ โลหะและแก๊ส ไฮโดรเจน - ปฏิกิริยาของกรดกบัสารประกอบคาร์บอเนตได้ผลิตภัณฑ์ เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เกลือของโลหะและน้ า - ปฏิกิริยาของกรดกับเบสได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือ ของโลหะ และน้ า หรืออาจได้เพียงเกลือของโลหะ - ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนิดได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือ ของเบสและแก๊สไฮโดรเจน - การเกิดฝนกรดเป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่าง น้ าฝนกับ ออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ท าให้ น้ าฝนมีสมบัติเป็นกรด - การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเป็นปฏิกิริยาระหว่างแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ าโดยมีแสงช่วยในการเกิดปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็น น้ าตาลกลูโคสและออกซิเจน


23 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 7. ระบุประโยชน์และโทษของ ปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อมและยกตัวอย่าง วิธีการ ป้องกันและแก้ปัญหาที่ีเกิดจาก ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจ าวัน จากการสืบค้นข้อมูล 8. ออกแบบวิธีแก้ปัญหาใน ชีวิตประจ าวัน โดยใช้ความรู้ เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี โดยบูรณาการ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ - ปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจ าวันมีทั้งประโยชน์และ โทษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม จึงต้อง ระมัดระวังผล จากปฏิกิริยาเคมี ตลอดจนรู้จักวิธีป้องกันและแก้ปัญหา ที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจ าวัน - ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีสามารถน าไปใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจ าวัน และสามารถบรูณาการ กับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อใช้ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ให้มีคุณภาพตามต้องการหรืออาจสร้างนวัตกรรมเพื่อ ป้องกัน และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี โดยใช้ ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี เช่น การเปลี่ยนแปลงพลังงาน ความร้อนอันเนื่องมาจากปฏิกิริยาเคมีการเพิ่มปริมาณ ผลผลิต มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจ าวัน ผลของแรงที่กระท าต่อวัตถุลักษณะ การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 สร้างแบบจ าลองที่อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่าง ความดัน อากาศกับความสูงจากพื้นโลก - เมื่อวัตถุอยู่ในอากาศจะมีแรงที่อากาศกระท าต่อ วัตถุใน ทุกทิศทางแรงที่อากาศกระท าต่อวัตถุขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ ของวัตถุนั้นแรงที่อากาศ กระท าตั้งฉากกับผิววัตถุต่อหนึ่ง หน่วยพื้นที่เรียกว่า ความดันอากาศ - ความดันอากาศมีความสัมพันธ์กับความสูงจากพื้นโลก โดยบริเวณที่สูงจากพื้นโลกขึ้นไปอากาศเบาบางลงมวล อากาศน้อยลงความดัน อากาศก็จะลดลง ม.2 1. พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ เป็นผลของแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรง หลายแรงที่กระท าต่อวัตถุในแนว เดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ์ 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรง ลัพธ์ที่เกิดจาก แรงหลายแรงที่ กระท าต่อวัตถุในแนวเดียวกัน แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงหลาย ๆ แรง กระท าต่อ วัตถุ แล้วแรงลัพธ์ที่กระท าต่อวัตถุมีคาเป็นศูนย์วัตถุจะไม่ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่แต่ถ้าแรงลัพธ์ที่กระท าต่อวัตถุมี ค่าไม่เป็นศูนย์วัตถุจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ 3. ออกแบบการทดลองและทดลอง ด้วยวิธีที่ีเหมาะสมในการอธิบาย ปัจจัยที่มีผลต่อความดันของ ของเหลว - เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงที่ของเหลว กระท าต่อวัตถุ ในทุกทิศทางโดยแรงที่ของเหลว กระท าตั้งฉากกับผิววัตถุ ต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ เรียกว่าความดันของของเหลว


24 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - ความดันของของเหลวมีความสัมพันธ์กับความลึกจาก ระดับผิวหน้าของของเหลว โดยบริเวณที่ลึกลงไปจากระดับ ผิวหน้าของของเหลวมากขึ้น ความดันของของเหลวจะ เพิ่มขึ้นเนื่องจากของเหลวที่อยู่ลึกกว่าจะมีน้ าหนักของ ของเหลว ด้านบนกระท ามากกว่า 4. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม การ ลอยของวัตถุในของเหลวจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระท า ต่อวัตถุในของเหลว - เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเนื่องจาก ของเหลว กระท าต่อวัตถุ โดยมีทิศขึ้นในแนวดิ่งการจมหรือการลอย ของวัตถุขึ้นกับน้ าหนักของวัตถุและแรงพยงุถ้าน้ าหนักของ วัตถุและแรงพยุง ของของเหลวมีค่าเท่ากัน วัตถุจะลอยนิ่ง อยู่ใน ของเหลว แต่ถ้าน้ าหนักของวัตถุมีค่ามากกว่าแรง พยุงของของเหลว 6. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและแรง เสียดทานจลน์จากหลักฐานเชิง ประจักษ์ - แรงเสียดทานเป็นแรงที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัส ของวัตถุ เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดยถ้าออกแรงกระท าต่อ วัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิว ให้เคลื่อนที่ แรงเสียดทานก็จะต้าน การเคลื่อนที่ของวัตถุแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นในขณะที่วัตถุ ยัง ไม่เคลื่อนที่เรียก แรงเสียดทานสถิต แต่ถ้าวัตถุก าลัง เคลื่อนที่แรงเสียดทานก็จะท าให้วัตถุนั้น เคลื่อนที่ช้าลงหรือ หยุดนิ่ง เรียก แรงเสียดทานจลน์ 7. ออกแบบการทดลองและทดลอง ด้วยวิธีที่ เหมาะสมในการอธิบาย ปัจจัยที่มีผลต่อขนาด ของแรงเสียด ทาน 8. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน และแรงอื่น ๆ ที่กระท าต่อวัตถุ 9. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ เรื่องแรงเสียดทาน โดยวิเคราะห์ สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะ วิธีการลดหรือเพิ่มแรงเสียดทานที่ เป็นประโยชน์ต่อการท ากิจกรรมใน ชีวิตประจ าวัน - ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุขึ้นกับ ลักษณะผิวสัมผัสและขนาดของแรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหว่าง ผิวสัมผัส - กิจกรรมในชีวิตประจ าวันบางกิจกรรมต้องการแรงเสียด ทาน เช่น การเปิดฝาเกลียวขวดน้ าการใช้แผ่นกันลื่นใน ห้องน้ าบางกิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียดทาน เช่น การลาก วัตถุบนพื้น การใชน้ ามันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ - ความรู้เรื่องแรงเสียดทานสามารถน าไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจ าวันได้ 10. ออกแบบการทดลองและทดลอง ด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบาย โมเมนต์ของแรง เมื่อวัตถุอยู่ใน สภาพสมดุลต่อการหมุน และค านวณ โดยใช้สมการ M =Fl - เมื่อมีแรงที่กระท าต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลาง มวลของ วัตถุจะเกิดโมเมนต์ของแรงท าให้วัตถุ หมุนรอบศูนย์กลาง มวลของวัตถุนั้น


25 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - โมเมนต์ของแรงเปน็ผลคณูของแรงทกี่ระท าต่อ วัตถุกับ ระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรงเมื่อผลรวมของ โมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์วัตถุจะอยู่ในสภาพสมดุลต่อ การหมุน โดย โมเมนต์ของแรงในทิศทวนเข็มนาฬิกาจะมี ขนาด เท่ากับโมเมนต์ของแรงในทิศตามเข็มนาฬิกา - ของเล่นหลายชนิดประกอบด้วยอุปกรณ์หลาย ส่วนที่ใช้ หลักการโมเมนต์ของแรง ความรู้เรื่อง โมเมนต์ของแรง สามารถน าไปใช้ออกแบบและ ประดิษฐ์ของเล่นได้ 11. เปรียบเทียบแหล่งของ สนามแม่เหล็กสนามไฟฟ้าและสนาม โน้มถ่วง และทิศทาง ของแรงที่ กระท าต่อวัตถุที่อยู่ในแต่ละสนาม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - วัตถุที่มีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ แรงโน้มถ่วงที่ กระท าต่อวัตถุที่อยู่ในสนามโน้มถ่วงจะมีทิศพุ่งเข้าหาวัตถุที่ เป็นแหล่งของสนามโน้มถ่วง 12. เขียนแผนภาพแสดงแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท า ต่อวัตถุ 13. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ขนาดของแรง แม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และแรงโน้มถ่วงที่กระท า ต่อวัตถุที่ อยู่ในสนามนั้น ๆกับระยะห่างจาก แหล่งของสนามถึงวัตถุจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ - วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบแรงไฟฟ้าที่ กระท าต่อวัตถุที่มีประจุจะมีทิศพุ่ง เข้าหาหรือออกจากวัตถุ ที่มีประจุที่เป็นแหล่งของ สนามไฟฟ้า - วัตถุที่เป็นแม่เหล็กจะมีสนามแม่เหล็กอยู่โดยรอบ แรง แม่เหล็กที่กระท าต่อขั้วแม่เหล็กจะมีทิศพุ่งเข้าหาหรือออก จากขั้วแม่เหล็กที่เป็นแหล่งของสนามแม่เหล็ก - ขนาดของแรงโน้มถ่วงแรงไฟฟ้า และแรงแม่เหล็กที่ กระท าต่อวัตถุที่อยู่ในสนามนั้น ๆ จะมีค่าลดลงเมื่อวัตถุอยู่ ห่างจากแหล่งของสนามนั้น ๆ มากข 14. อธิบายและค านวณอัตราเร็วและ ความเร็วของ การเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยใช้สมการ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ 15. เขียนแผนภาพแสดงการกระจัด และความเร็ว - การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นการเปลี่ยนต าแหน่ง ของวัตถุ เทียบกับต าแหน่งอ้างอิง โดยมีปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนที่ซึ่งมีทั้งปริมาณ สเกลาร์และปริมาณเวกเตอร์ เช่น ระยะทาง อัตราเร็ว การกระจัด ความเร็ว ปริมาณสเกลาร์ เป็นปริมาณที่มีขนาด เช่น ระยะทาง อัตราเร็ว ปริมาณ เวกเตอร์เป็นปริมาณที่มีทั้งขนาด และทิศทาง เช่น การ กระจัด ความเร็ว - เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ด้วยลูกศร โดย ความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัวลูกศร แสดงทศิทาง ของเวกเตอร์นั้น ๆ - ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็นความยาว ของเส้นทางที่เคลื่อนที่ได้


26 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจัด มีทิศชี้ จากต าแหน่งเริ่มต้นไปยังต าแหน่งสุดท้าย และมีขนาด เท่ากับระยะที่สั้นที่สุดระหว่างสอง ต าแหน่งนั้น - อัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็น อัตราส่วน ของระยะทางต่อเวลา - ความเร็วปริมาณเวกเตอร์มีทิศเดียวกับทิศของ การกระจัด โดยความเร็วเป็นอัตราส่วนของการกระจัดต่อเวลา ม.3 - - มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจ าวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูล และค านวณ ปริมาณความร้อนที่ท า ให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิและเปลี่ยน สถานะ โดยใช้สมการ 2. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวัด อุณหภูมิของสสาร - เมื่อสสารได้รับหรือสูญเสียความร้อนอาจท าให้สสาร เปลี่ยนอุณหภูมิเปลี่ยนสถานะหรือเปลี่ยนรูปร่าง -ปริมาณความร้อนที่ท าให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิขึ้นกับมวล ความร้อนจ าเพาะและอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป - ปริมาณความร้อนที่ท าให้สสารเปลี่ยนสถานะขึ้นกับมวล และความร้อนแฝงจ าเพาะโดยขณะที่ สสารเปลี่ยนสถานะ อุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลง 3. สร้างแบบจ าลองที่อธิบายการ ขยายตัวหรือหดตัวของสสาร เนื่องจากได้รับหรือสูญเสียความร้อน 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ของการหด และขยายตัวของสสาร เนื่องจากความร้อนโดยวิเคราะห์ สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะ วิธีการน าความรู้มาแก้ปัญหาใน ชีวิตประจ าวัน 5. วิเคราะห์สถานการณ์การถ่ายโอน ความร้อน และค านวณปริมาณความ ร้อนที่ถ่ายโอน ระหว่างสสารจนเกิด สมดุลความร้อนโดยใช้ สมการ Qสูญเสีย = Qได้รับ - ความร้อนท าให้สสารขยายตัวหรือหดตัวได้เนื่องจากเมื่อ สสารได้รับความร้อนจะท าให้อนุภาคเคลื่อนที่เร็วขึ้นท าให้ เกิดการขยายตัวแต่เมื่อสสารคายความร้อนจะท าให้อนุภาค เคลื่อนที่ช้าลงท าให้เกิดการหดตัว - ความรู้เรื่องการหดและขยายตัวของสสาร เนื่องจากความ ร้อนน าไปใช้ประโยชน์ได้ด้านต่าง ๆ เช่น การสร้างถนนการ สร้างรางรถไฟการท าเทอร์มอมิเตอร์ - ความร้อนถ่ายโอนจากสสารที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยังสสาร ที่มีอุณหภูมิต่ ากว่าจนกระทั่งอุณหภูมิของสสารทั้งสอง เท่ากันสภาพที่สสารทั้งสองมีอุณหภูมิเท่ากันเรียกว่าสมดุล ความร้อน - เมื่อมีการถ่ายโอนความร้อนจากสสารที่มีอุณหภูมิต่างกัน จนเกิดสมดุลความร้อนความร้อนที่เพิ่มขึ้นของสสารหนึ่งจะ เท่ากับความร้อนที่ลดลงของอีกสสารหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามกฎ การอนุรักษ์พลังงาน


27 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 6.สราีงแบบจ าลองทอี่ธบิายการถาีย โอนความรอ้น โดยการน าความร้อน การพาความร้อน การแผ่รังสีความ ร้อน 7. ออกแบบเลือกใช้และสร้าง อุปกรณ์เพื่อแก้ ปัญหาใน ชีวิตประจ าวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ การถ่ายโอนความร้อน - การถ่ายโอนความร้อนมี3 แบบ คือ การน าความร้อน การพาความร้อน และ การแผ่รังสีความร้อนการน าความ ร้อนเป็นการถ่ายโอน ความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยที่ ตัวกลาง ไม่เคลื่อนที่การพาความร้อนเป็นการถ่ายโอน ความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยที่ตัวกลาง เคลื่อนที่ไปด้วย ส่วนการแผ่รังสีความร้อน เป็นการถ่ายโอนความร้อนที่ไม่ ต้องอาศัยตัวกลาง - ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนความร้อนสามารถน าไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได้ เช่น การเลือกใช้วัสดุเพื่อ น ามาท าภาชนะบรรจุอาหาร เพื่อเก็บความร้อน หรือการ ออกแบบระบบ ระบายความร้อนในอาคาร ม.2 1. วิเคราะห์สถานการณ์และค านวณ เกี่ยวกับงาน และก าลังที่เกิดจากแรง ที่กระท าต่อวัตถุ โดยใช้สมการ W = Fsและ P =W t จากข้อมูลที่รวบรวมได้ 2. วิเคราะห์หลักการท างานของ เครื่องกลอย่างง่าย จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ 3. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ของเครื่องกลอย่างง่าย โดยบอก ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจ าวัน 4. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีที่ เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผล ต่อพลังงานจลน์ และพลังงานศักย์ โน้มถ่วง 5. แปลความหมายข้อมูลและอธิบาย การเปลี่ยน พลังงานระหว่างพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงและ พลังงานจลน์ของ วัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุมีค่าคง ตัวจากข้อมูลที่รวบรวมได้ - เมื่อออกแรงกระท าต่อวัตถุแล้วท าให้วัตถุ เคลื่อนที่ โดย แรงอยู่ในแนวเดียวกับการเคลื่อนที่ จะเกิดงานงานจะมีค่า มากหรือน้อยขึ้นกับขนาด ของแรงและระยะทางในแนว เดียวกับแรง - งานทที่ีในหนึ่งหน่วยเวลาเรียกว่าก าลังหลักการของงาน น าไปอธิบายการท างานของเครื่องกลอย่างง่าย ได้แก่คาน พื้นเอียงรอกเดี่ยวลิ่มสกรูล้อและเพลา ซึ่งน าไปใช้ ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจ าวัน - พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุที่เคลื่อนที่พลังงานจลน์ จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับมวล และอัตราเร็ว ส่วนพลังงาน ศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้อง กับต าแหน่งของวัตถุจะมีค่ามากหรือ น้อยขึ้นกับมวลและต าแหน่งของวัตถุเมื่อวัตถุอยู่ในสนาม โน้มถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วงพลังงานจลน์และ พลังงานศักย์โน้มถ่วงเป็น พลังงานกล - ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์เป็น พลังงานกลพลังงานศักย์โน้มถ่วงและ พลังงานจลน์ของวัตถุ หนึ่ง ๆ สามารถเปลี่ยนกลับไปมาได้ โดยผลรวมของ พลังงานศักย์โน้มถ่วง และพลังงานจลน์มีค่าคงตัวนั่นคือ พลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตัว - พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซึ่งอาจเปลี่ยน จาก พลังงานหนึ่งเป็นอีกพลังงานหนึ่ง เช่น พลังงานกล เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานจลน์เปลี่ยนเป็นพลังงาน ความร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสง เนื่องมาจากแรง


28 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 6. วิเคราะห์สถานการณ์และอธิบาย การเปลี่ยน และการถ่ายโอนพลังงาน โดยใช้กฎการอนุรักษ์พลังงาน เสียดทานพลังงานเคมีในอาหารเปลี่ยนเป็น พลังงานที่ไปใช้ ในการท างานของสิ่งมีชีวิต - นอกจากนี้พลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีก ระบบหนึ่ง หรือได้รับพลังงานจากระบบอื่นได้เช่น การถ่ายโอนความ ร้อนระหว่างสสารการถ่ายโอนพลังงานของการสั่นของ แหล่งก าเนิดสียงไปยังผู้ฟังทั้งการเปลี่ยนพลังงานและการ ถ่ายโอน พลังงานพลังงานรวมทั้งหมดมีค่าเท่าเดิมตามกฎ การอนุรักษ์พลังงาน ม.3 1. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้า และ ความต้านทาน และค านวณ ปริมาณ ที่เกี่ยวข้องโดยใช้สมกา V = IR จากหลักฐานเชิงประจักษ์ 2. เขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง กระแสไฟฟ้า และความต่าง ศักย์ไฟฟ้า 3.ใช้โวลต์มิเตอร์แอมมิเตอร์ในการวัด ปริมาณทาง ไฟฟ้า 4. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและ กระแสไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตัว ต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมและ แบบขนานจากหลักฐานเชิงประจักษ์ 5. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟ้าแสดง การต่อตัวต้านทาน แบบอนุกรมและ ขนาน 6. บรรยายการท างานของชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายในวงจรจาก ข้อมูลที่รวบรวมได้ 7. เขียนแผนภาพและต่อชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายใน วงจรไฟฟ้า - เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออกจาก ขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ แหล่งก าเนิดไฟฟ้า ซึ่งวัดค่าได้จากแอมมิเตอร์ - ค่าที่บอกความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วย ประจุ ระหว่างจุด 2 จุดเรียกว่า ความต่างศักย์ ซึ่งวัดค่าได้จาก โวลต์มิเตอร์ - ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีค่าแปรผันตรงกับความต่างศักย์ ระหว่างปลายทั้งสองของตัวน า โดยอัตราส่วนระหว่างความ ต่างศักย์และกระแสไฟฟ้ามีค่าคงที่ เรียกค่าคงที่นี้ว่า ความ ต้านทาน - ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วยแหล่งก าเนิดไฟฟ้าสายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ละชิ้นมีความ ต้านทานในการต่อตัวต้านทานหลายตัวมีทั้งต่อแบบอนุกรม และแบบขนาน - การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทาน แต่ละตัวมีค่าเท่ากับ ผลรวมของความต่างศักย์ที่คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัว โดย กระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากัน - การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ผ่านวงจรมีค่าท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้า ที่ผ่านตัวต้านทานแต่ละตัวโดยความต่างศักย์ที่คร่อมตัว ต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากัน - ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิด เช่น ตัวต้านทานไดโอด ทรานซิสเตอร์ ตัวเก็บประจุโดยชิ้นส่วน แต่ละชนิดท า หน้าที่แตกต่างกันเพื่อให้วงจร ท างานได้ตามต้องการ


29 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - ตัวต้านทานท าหน้าที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้าไดโอดท าหน้าที่ให้กระแสไฟฟ้า ผ่านทางเดียว ทรานซิสเตอร์ท าหน้าที่เป็นสวิตช์ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้า และควบคุมปริมาณ กระแสไฟฟ้า ตัวเก็บประจุท าหน้าที่ เก็บและคายประจุไฟฟ้า - เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดที่ท างานร่วมกันการต่อวงจร อิเล็กทรอนิกส์โดยเลือกใช้ชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ที่ เหมาะสมตามหน้าที่ของชิ้นส่วน นั้น ๆ จะสามารถท าให้ วงจรไฟฟ้าท างานได้ตาม ต้องการ 8. อธิบายและค านวณพลังงานไฟฟ้า โดยใช้สมการ W =Pt รวมทั้งค านวณ ค่าไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 9. ตระหนักในคุณค่าของการเลือกใช้ เีครื่อง โดยน าเสนอวิธีการใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและ ปลอดภัย - เครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีค่าก าลังไฟฟ้าและความต่างศักย์ก ากับ ไว้ก าลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็นวัตต์ ความต่างศักย์มีหน่วยเป็น โวลต์ ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่คิดจาก พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด ซึ่งหาได้จากผลคูณของก าลังไฟฟ้า ในหน่วยกิโลวัตต์กับ เวลาใน หน่วยชั่วโมง พลังงานไฟฟ้ามีหน่วยเป็นกิโลวัตต์ ชั่วโมงหรือหน่วย - วงจรไฟฟ้าในบ้านมีการต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ ขนาน เพื่อให้ความต่างศักย์เท่ากันการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในชวีติ ประจ าวันต้องเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความต่างศักย์และ ก าลังไฟฟ้าให้เหมาะกับ การใช้งานและการใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องใช้อย่างถูกต้อง ปลอดภัยและประหยัด 10. สร้างแบบจ าลองที่อธิบายการ เกิดคลื่นและบรรยายส่วนประกอบ ของคลื่น 11. อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ สเปกตรัม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก ข้อมูลที่รวบรวมได้ 12. ตระหนักถึงประโยชน์และ อันตรายจาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดย น าเสนอการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และอันตรายจาก คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าในชีวิตประจ าวัน - คลื่นเกิดจากการส่งผ่านพลังงานโดยอาศัยตัวกลาง และไม่ อาศัยตัวกลางในคลื่นกล พลังงานจะถูก ถ่ายโอนผ่าน ตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลางไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่นคลื่น ที่แผ่ออกมาจาก แหล่งก าเนิดคลื่นอย่างต่อเนื่องและมี รูปแบบ ที่ซ้ ากัน ด้วยความยาวคลื่นความถี่แอมพลิจูด - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่ไม่อาศัยตัวกลางในการ เคลื่อนที่มีความถี่ต่อเนื่องเป็นช่วงกว้างมากเคลื่อนที่ใน สุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากันแต่จะเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็ว ต่างกันในตัวกลางอื่นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบง่ออกเป็นช่วง ความถี่ต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ ละ ช่วงความถี่มีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่มองเห็น อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และ รังสีแกมมา ซึ่งสามารถน าไปใช้ประโยชน์


30 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - เลเซอร์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น เดียวเป็น ล าแสงขนานและมีความเข้มสูงน าไปใช้ประโยชน์ในด้าน ต่าง ๆ เช่น ด้านการสื่อสารมีการใช้เลเซอร์ส าหรับส่ง สารสนเทศผ่านเส้นใยน าแสง โดยอาศัยหลักการการ สะท้อนกลับหมดของแสง ด้านการแพทย์ใช้ในการผ่าตัด - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกจากจะสามารถน าไปใช้ประโยชน์ แล้วยังมีโทษต่อมนุษย์ด้วย เช่น ถ้ามนุษย์ได้รับรังสี อัลตราไวโอเลตมากเกินไปอาจจะท าให้เกิดมะเร็งผิวหนัง หรือถ้าได้รังสีแกมมาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูง และสามารถทะลุผ่านเซลล์และอวัยวะได้อาจท าลายเนื้อเยื่อ หรืออาจท าให้เสียชีวิตได้ เมื่อได้รับรังสีแกมมาในปริมาณสูง 13. ออกแบบการทดลองและ ด าเนินการทดลอง ด้วยวิธีที่ เหมาะสมในการอธิบาย กฎการ สะท้อนของแสง 14. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของ แสงแสดง การเกิดภาพจากกระจก เงา - เมื่อแสงตกกระทบวัตถุจะเกิดการสะท้อนซึ่งเป็น ไปตาม กฎการสะท้อนของแสง โดยรังสีตกกระทบเส้นแนวฉาก รังสีสะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกัน และมุมตกกระทบเท่ากับ มุมสะท้อนภาพจาก กระจกเงาเกิดจากรังสีสะท้อนตัดกัน หรือต่อแนว รังสีสะท้อนให้ตัดกัน โดยถ้ารังสีสะท้อนตัดกัน จริงจะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนวรังสีสะท้อนให้ไปตัดกันจะ เกิดภาพเสมือน 15. อธิบายการหักเหของแสงเมื่อ ผ่านตัวกลาง โปร่งใสที่แตกต่างกัน และอธิบายการกระจาย แสงของแสง ขาวเมื่อผ่านปริซึมจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ 16. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของ แสงแสดงการเกิดภาพจากเลนส์บาง 17. อธิบายปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับ แสงและการ ท างานของทัศน อุปกรณ์จากข้อมูลที่รวบรวม ได้ 18. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของ แสง แสดงการ เกิดภาพของทัศน อุปกรณ์และเลนส์ตา - เมื่อแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปร่งใสที่แตกต่าง กัน เช่น อากาศและน้ า อากาศและแก้ว จะเกิด การหักเห หรือ อาจเกิดการสะท้อนกลับหมดใน ตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหักเหของแสงผ่าน เลนส์ท าให้เกิดภาพที่มีชนิดและ ขนาดต่าง ๆ - แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ เมื่อแสงขาว ผ่านปริซึม จะเกิดการกระจายแสงเป็นแสงสีต่าง ๆ เรียกว่า สเปกตรัม ของแสงขาว เมื่อเคลื่อนที่ใน ตัวกลางใด ๆ ที่ไม่ใช่อากาศจะ มีอัตราเร็วต่างกันจึงมีการหักเหต่างกัน - การสะท้อนและการหักเหของแสงน าไปใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับแสง เช่น รุ้ง มิราจ และอธิบายการ ท างานของทัศนอุปกรณ์ เช่น แว่นขยายกระจกโค้งจราจร กล้องโทรทรรศน์กล้องจุลทรรศน์ และแว่นสายตา - ในการมองวัตถุเลนส์ตาจะถูกปรับโฟกัส เพื่อให้เกิดภาพ ชัดที่จอตาความบกพร่องทางสายตา เช่น สายตาสั้น และ สายตายาวเป็นเพราะต าแหน่งที่เกิดภาพไม่ได้อยู่ที่จอตา พอดีจึงต้องใช้เลนส์ในการแก้ไขเพื่อช่วยให้มองเห็นเหมือน


31 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง คนสายตาปกติ โดยคนสายตาสั้นใช้เลนส์เว้า ส่วนคน สายตายาวใช้เลนส์นูน 19. อธิบายผลของความสว่างที่มีต่อ ดวงตาจาก ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น 20. วัดความสว่างของแสงโดยใช้ อุปกรณ์วัดความสว่างของแสง 21. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ เรื่องความสว่าง ของแสงทมี่ตีอ่ ดวงตา โดยวเีคราะหส์ถานการณ์ ปัญหาและเสนอแนะการจัดความ สว่างให้เหมาะสมในการท ากิจกรรม ต่างๆ - ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตามนุษย์ การใช้สายตา ในสภาพแวดล้อมที่มีความสว่างไม่เหมาะสม จะเป็น อันตรายต่อดวงตา เช่น การดูวัตถุในที่มีความสว่างมากหรือ น้อยเกินไปการจ้องดูหน้าจอภาพเป็นเวลานานความสว่าง บนพื้นที่รับแสงมีหน่วยเป็นลักซ์ความรู้เกี่ยวกับความสว่าง สามารถน ามาใช้จัดความสว่างให้เหมาะสมกับ การท า กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดความสว่างที่เหมาะสมส าหรับ การอ่านหนังสือ สาระที่3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 - - ม.2 - - ม.3 1. อธิบายการโคจรของดาวเคราะห์ รอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้มถ่วงจาก สมการ F = (Gm1m2)/r2 - ในระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางโดยมีดาว เคราะห์และบริวารดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อยดาว หางและอื่น ๆ เช่น วัตถุคอยเปอร์โคจรอยู่โดยรอบ ซึ่งดาว เคราะห์และวัตถุเหล่านี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยแรงโน้ม ถ่วงแรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดระหว่างวัตถุสองวัตถุ โดยเป็น สัดส่วนกับผลคูณของมวลทั้งสอง และเป็นสัดส่วนผกผันกับ ก าลังสองของระยะทางระหว่าง วัตถุทั้งสองแสดงได้โดย สมการ F = (Gm1m2)/r2 เมื่อ F แทนความโน้มถ่วง ระหว่างมวลทั้งสอง G แทนค่านิจโน้มถ่วงสากล m1 แทน มวลของวัตถุแรก m2 แทนมวลของวัตถุที่สอง และ r แทน ระยะห่างระหว่างวัตถุทั้งสอง 2. สร้างแบบจ าลองที่อธิบายการเกิด ฤดู และการเคลื่อนที่ปรากฏของดวง อาทิตย์ - การที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในลักษณะที่แกนโลกเอียง กับแนวตั้งฉากของระนาบทางโคจรท าให้ส่วนต่าง ๆ บนโลก ได้รับปริมาณแสงจาก ดวงอาทิตย์แตกต่างกันในรอบปีเกิด


32 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 3. สร้างแบบจ าลองที่อธิบายการเกิด ข้างขึ้นข้างแรมการเปลี่ยนแปลงเวลา การขึ้นและตก ของดวงจันทร์ และ การเกิดน้ าขึ้นน้ าลง เป็นฤดูกลางวันกลางคืนยาวไม่เท่ากัน และต าแหน่งการขึ้น และตกของดวงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าและเส้นทางการขึ้นและตก ของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไป ในรอบปีซึ่งส่งผลต่อการด ารงชีวิ - ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและดวงจันทร์โคจร รอบดวง อาทิตย์ดวงจันทร์รับแสงจากดวงอาทิตย์ครึ่งดวง ตลอดเวลา เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลกได้หันส่วนสว่าง มายังโลกแตกต่างกันจึงท าให้คน บนโลกสังเกตส่วนสว่าง ของดวงจันทร์แตกต่างไป ในแต่ละวันเกิดเป็นข้างขึ้น ข้างแรม - ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทางเดียวกันกับที่โลกหมุ่น รอบตัวเองจึงท าให้เห็นดวงจันทร์ขึ้นช้า ไปประมาณวันละ 50 นาที - แรงโน้มถ่วงที่ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์กระท าต่อ โลกท าให้ เกิดปรากฏการณ์น้ าขึ้นน้ าลง ซึ่งส่งผล ต่อสิ่งแวดล้อมและ สิ่งมีชีวิตบนโลกวันที่น้ ามีระดับการขึ้นสูงสุดและลงต่ าสุด เรียก วันน้ าเกิด ส่วนวันที่ระดับน้ ามีการขึ้นและลงน้อย เรียก วันน้ าตาย โดยวันน้ าเกิด น้ าตาย มีความสัมพันธ์กับ ข้างขึ้นข้างแรม 4. อธิบายการใช้ประโยชน์ของ เทคโนโลยีอวกาศและยกตัวอย่าง ความก้าวหน้าของโครงการ ส ารวจ อวกาศ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - เทคโนโลยีอวกาศได้มีบทบาทต่อการด ารงชีวิต ของมนุษย์ ในปัจจุบันมากมายมนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี อวกาศ เช่น ระบบน าทาง ด้วยดาวเทียม (GNSS) การ ติดตามพายุสถานการณ์ไฟป่าดาวเทียมช่วยภัยแล้ง การ ตรวจคราบน้ ามันในทะเล - โครงการส ารวจอวกาศต่าง ๆ ได้พัฒนาเพิ่มพูน ความรู้ ความเข้าใจต่อโลกระบบสุริยะและเอกภพ มากขึ้นเป็น ล าดับตัวอย่างโครงการส ารวจอวกาศ เช่น การส ารวจ สิ่งมีชีวิตนอกโลกการส ารวจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ การส ารวจดาวอังคารและบริวารอื่นของดวงอาทิตย์


33 มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. สร้างแบบจ าลองที่อธิบายการแบ่ง ชั้นบรรยากาศและเปรียบเทียบ ประโยชน์ของบรรยากาศ แต่ละชั้น - โลกมีบรรยากาศห่อหุ้ม นักวิทยาศาสตร์ใช้สมบัติและ องค์ประกอบของบรรยากาศในการแบ่งบรรยากาศของโลก ออกเป็นชั้น ซึ่งแบ่งได้หลายรูปแบบตามเกณฑ์ที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์ใช้เกณฑ์การเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิตามความสูง แบ่งบรรยากาศได้เป็น 5 ชั้น ได้แก่ ชั้นโทรโพสฟียร์ ชั้นสตราโตสเฟยีร์ ชั้นมีโซสเฟียร์ ชั้นเทอร์ โมสเฟียร์ และชั้นเอกโซสเฟียร์ - บรรยากาศแต่ละชั้นมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน โดยชั้นโทรโพสเฟียร์มีปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศที่ส าคัญต่อ การด ารงชวีติของสิ่งมชีวีติชั้นสตราโตสเฟียร์ช่วยดูดกลืน รังสีอัลตราไวโอเลต จากดวงอาทิตย์ไม่ให้มายังโลกมาก เกินไปชั้นมีโซสเฟียร์ช่วยชะลอวัตถุนอกโลกที่ผ่านเข้ามาให้ เกิดการเผาไหม้กลายเป็นวัตถุขนาดเล็กลดโอกาสที่จะท า ความเสียหายแก่สิ่งมีชีวิตบนโลกชั้นเทอร์โมสเฟียร์สามารถ สะท้อนคลื่นวิทยุ และชั้นเอกโซสเฟียร์เหมาะส าหรับการ โคจรของ ดาวเทียมรอบโลกในระดับต่ า 2. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของลมฟ้า อากาศ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ 3. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดพายุ ฝนฟ้าคะนอง และพายุหมุนเขตร้อน และผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งน าเสนอแนว ทางการ ปฏิบัติตนให้เหมาะสมและ ปลอดภัย - ลมฟ้าอากาศ เป็นสภาวะของอากาศในเวลาหนึ่งของพื้นที่ หนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ลมฟ้าอากาศ ได้แก่ อุณหภูมิอากาศ ความกดอากาศ ลม ความชื้น เมฆ และหยาดน้ าฟ้า โดยหยาดน้ าฟ้าที่พบบ่อย ในประเทศไทย ได้แก่ ฝน องค์ประกอบลมฟ้าอากาศ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณ รังสีจากดวงอาทิตย์และ ลักษณะพื้นผิวโลกส่งผลต่อ อุณหภูมิอากาศอุณหภูมิอากาศและปริมาณไอน้ าส่งผลต่อ ความชื้นความกดอากาศส่งผลต่อลมความชื้น และลมส่งผล ต่อเมฆ - พายุฝนฟ้าคะนอง เกิดจากการที่อากาศที่มีอุณหภูมิและ ความชื้นสูงเคลื่อนที่ขึ้นสู่ระดับความสูงที่มีอุณหภูมิต่ าลง จนกระทั่งไอน้ า ในอากาศเกิดการควบแน่นเป็นละอองน้ า และ เกิดต่อเนื่องเป็นเมฆขนาดใหญ่พายุฝนฟ้าคะนอง ท า ให้เกิดฝนตกหนักลมกรรโชกแรงฟ้าแลบ ฟ้าผ่าซึ่งอาจ ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน


34 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมุทรหรือทะเลที่น้ ามี อุณหภูมิสูงตั้งแต่ 26-27 องศาเซลเซียส ขึ้นไปท าให้ อากาศที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูง บริเวณนั้นเคลื่อนที่ สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นบริเวณกว้างอากาศจากบริเวณอื่น เคลื่อนเข้ามา แทนที่และพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลางของพายุ ยิ่งใกล้ศูนย์กลางอากาศจะเคลื่อนที่พัดเวียน เกือบเป็น วงกลมและมีอัตราเร็วสูงที่สุดพายุหมุน เขตร้อนท าให้เกิด คลื่นพายุซัดฝั่งฝนตกหนักซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินจึงควรปฏิตนให้ปลอดภัยโดยติดตามข่าวสาร การพยากรณ์อากาศ และไม่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงภัย 4. อธิบายการพยากรณ์อากาศและ พยากรณ์อากาศอย่างง่ายจากข้อมูล ที่รวบรวมได้ 5. ตระหนักถึงคุณค่าของการ พยากรณ์อากาศ โดยน าเสนอแนว ทางการปฏิบัติตนและการใช้ ประโยชน์จากค าพยากรณ์อาการ 6. อธิบายสถานการณ์และผลกระทบ การเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลกจาก ข้อมูลที่รวบรวมได้ 7. ตระหนักถึงผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก โดย น าเสนอแนวทางการปฏิบัติตน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โลก - การพยากรณ์อากาศเป็นการคาดการณ์ลมฟ้าอากาศ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการตรวจวัดองค์ประกอบลมฟ้า อากาศ การสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ประกอบลมฟ้า อากาศระหว่างพื้นที่การวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างค า พยากรณ์อาการ - การพยากรณ์อากาศสามารถน ามาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น การใช้ชีวิตประจ าวัน การคมนาคม การเกษตร การ ป้องกัน และเฝ้าระวังภัยพิบัติทางธรรมชาติ - ภูมิอากาศโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดย ปัจจัยทางธรรมชาติ แต่ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากกิจกรรม ของมนุษย์ในการ ปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกสู่ บรรยากาศแก๊สเรือนกระจก ที่ถูกปลดปล่อยมากที่สุด ได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรคาร์บอน - การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกก่อให้เกิดผล กระทบต่อ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น การหลอมเหลวของน้ าแข็ง ขั้วโลก การเพิ่มขึ้นของระดับทะเลการเปลี่ยนแปลงวัฏจักร น้ า การเกิดโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ าและการเกิดภัยพิบัติ ทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น มนุษย์จึงควร เรียนรู้แนวทางการ ปฏิบัติตนภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวทั้งแนวทางการปฏิบัติ ตนให้เหมาะสม และแนวทางการลดกิจกรรมที่ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก


35 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.2 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดสมบัติ และการใช้ประโยชน์รวมทั้งอธิบาย ผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซาก ดึกด าบรรพ์จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์เกิดจากการเปลี่ยนแปลง สภาพ ของซากสิ่งมีชีวิตในอดีต โดยกระบวนการทางเคมีและ ธรณีวิทยาเชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหินหินน้ ามัน และปิโตรเลียมซึ่งเกิดจากวัตถุต้น ก าเนิดสภาพแวดล้อม การเกิดที่แตกต่างกันท าให้ได้ชนิดของเชื้อเพลิง ซากดึกด า บรรพ์ที่มีลักษณะสมบัติ และการน าไป ใช้ประโยชน์ แตกต่างกันส าหรับปิโตรเลียมจะต้องมีการผ่านการกลั่น ล าดับส่วนก่อนการใช้งานเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ต่อการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์เป็นทรัพยากร ที่ใช้แล้ว หมดไปเนื่องจากต้องใช้เวลานานหลายล้านปีจึงจะ เกิดขึ้นใหม่ได้ 2. แสดงความตระหนักถึงผลจากการ ใช้เชื้อเพลิง ซากดึกด าบรรพ์โดย น าเสนอแนวทางการใช้เชื้อเพลิงซาก ดึกด าบรรพ์ - การเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์ในกิจกรรม ต่าง ๆ ของมนุษย์จะท าให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผล กระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้แก๊สบางชนิด ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดกึด าบรรพ์ เช่น แก๊ส คารบ์อนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ยังเป็นแก๊สเรือน กระจก ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก รุนแรงขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้เชื้อเพลิง ซากดึกด าบรรพ์ โดย ค านึงถึงผลที่เกิดขึ้นต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น เลือกใช้พลังงาน ทดแทน หรือเลือกใช้เทคโนโลยีที่ลดการ ใช้เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์ 3. เปรียบเทียบข้อดีและข้อจ ากัดของ พลังงาน ทดแทนแต่ละประเภทจาก การรวบรวมข้อมูล และน าเสนอแนว ทางการใช้พลังงานทดแทนที่ เหมาะสมในท้องถิ่น 4. สร้างแบบจ าลองที่อธิบาย โครงสร้างภายในโลก ตาม องค์ประกอบทางเคมีจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ - เชื้อเพลิงซากดึกด าบรรพ์เป็นแหล่งพลังงานที่ส าคัญใน กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เนื่องจาก เชื้อเพลิงซากดึกด า บรรพ์มีปริมาณจ ากัดและมักเพิ่มมลภาวะในบรรยากาศมาก ขึ้นจึงมีการใช้พลงังานทดแทนมากขึ้น เช่น พลังงานแสง อาทติย์ พลังงานลม พลังงานน้ า พลังงานชีวมวล พลังงาน คลื่น พลังงานความร้อนใต้พิภพพลังงานไฮโดรเจน ซึ่ง พลังงานทดแทนแต่ละชนิด จะมีข้อดีและข้อจ ากัดที่ แตกต่างกัน - โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นชั้นตามองค์ประกอบ ทางเคมีได้แก่ เปลือกโลก ซึ่งอยู่ นอกสุด ประกอบด้วย สารประกอบของซิลิกอนและอะลูมิเนียมเป็นหลัก เนื้อโลก คือส่วนที่อยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึงแก่นโลกมี องค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบของซิลิกอ แมกนีเซียม และเหล็ก และแก่นโลกคือส่วนที่อยู่ใจกลางของโลก


36 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กและนิกเกิลซึ่งแต่ละชั้นมี ลักษณะแตกต่างกัน 5. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของ ตะกอนจากแบบจ าลอง รวมทั้ง ยกตัวอย่างผลของกระบวนการ ดังกล่าว ที่ท าให้ผิวโลกเกิดการ เปลี่ยนแปลง - การผุพังอยู่กับที่การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง ธรณีวิทยาที่ท าให้ผิวโลก เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นภูมิลักษณ์แบบต่าง ๆ โดยมีปัจจัย ส าคัญ คือ น้ า ลม ธารน้ าแข็ง แรงโน้มถ่วงของโลกสิ่งมีชีวิต สภาพอากาศ และปฏิกิริยาเคมี - การผุพังอยู่กับที่ คือ การที่หินผุพังท าลายลงด้วย กระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศกับ น้ าฝน และ รวมทั้งการกระท าของต้นไม้กับ แบคทีเรีย ตลอดจนการ แตกตัวทางกลศาสตร์ ซึ่งมีการเพิ่มและลดอุณหภูมิสลับกัน เป็นต้น - การกร่อน คือ กระบวนการหนึ่งหรือหลาย กระบวนการที่ ท าให้สารเปลือกโลกหลุดไปละลายไปหรือกร่อนไปโดยมี ตัวน าพาธรรมชาติ คือ ลมน้ า และธารน้ าแข็งร่วมกับปัจจัย อื่น ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การครูดถู การน าพา ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพังทลายเป็นกลุ่ม ก้อน เช่น แผ่นดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด - การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของ วัตถุจาก การน าพาของน้ า ลม หรือธารน้ าแข็ง 6. อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดิน และกระบวนการ เกิดดินจาก แบบจ าลองรวมทั้งระบุปัจจัยที่ท าให้ ดินมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน - ดินเกิดจากหินที่ผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคล้า กับ อินทรียวัตถุที่ได้จากการเน่าเปื่อยของซากพืช ซากสัตว์ทับ ถมเป็นชั้น ๆ บนผิวโลก ชั้นดินแบ่งออกเป็นหลายชั้นขนาน หรือเกือบขนานไปกับผิวหน้าดิน แต่ละชั้นมีลักษณะ แตกต่างกัน เนื่องจากสมบัติทางกายภาพ เคมีชีวภาพและ ลักษณะอื่นๆ เช่น สี โครงสร้างเนื้อดินการยึดตัวความเป็น กรด-เบสสามารถสังเกตได้จากการ ส ารวจภาคสนามการ เรียกชื่อชั้นดินหลักจะใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ ได้แก่ O, A, E,B, C, R - ชั้นหน้าตัดดิน เป็นชั้นดินที่มีลักษณะปรากฏให้เห็น เรียงล าดับเป็นชั้นจากชั้นบนสุดถึงชั้นล่างสุด - ปัจจัยที่ท าให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบัติ แตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุต้นก าเนิดดิน ภูมิอากาศ สิ่งมีชีวิตใน ดิน สภาพภูมิประเทศ และระยะเวลาในการเกิดดิน


37 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 7.ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและ น าเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์ดิน จากข้อมูลสมบัติของดิน - สมบัติบางประการของดิน เช่น เนื้อดินความชื้นดินค่า ความเป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดิน สามารถ น าไปใช้ ในการตัดสินใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยอาจ น าไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรหรืออื่นๆ ซึ่งดินที่ไม่ เหมาะสมต่อการท าการเกษตร เช่น ดินจืด ดินเปรี้ยวดิน เค็มและดินดานอาจเกิดจากสภาพดนิตามธรรมชาติหรือ การใช้ประโยชน์จะต้องปรับปรุงให้มีสภาพเหมาะสมเพื่อ น าไปใช้ประโยชน 8. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิด แหล่งน้ าผิวดิน และแหล่งน้ าใต้ดิน จากแบบจ าลอง - แหล่งน้ าผิวดินเกิดจากน้ าฝนที่ตกลงบนพื้นโลกไหลจากที่ สูงลงสู่ที่ต่ าด้วยแรงโน้มถ่วงการไหล ของน้ าท าให้พื้นโลก เกิดการกัดเซาะเป็นร่องน้ า เช่น ล าธาร คลองและแม่น้ า ซึ่ง ร่องน้ าจะมีขนาด และรูปร่างแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณ น้ าฝนระยะเวลาในการกัดเซาะชนิดดินและหินและ ลักษณะภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูง ต่ าของ พื้นที่ เมื่อน้ าไหลไปยังบริเวณที่เป็นแอ่ง จะเกิดการสะสมตัว เป็นแหล่งน้ า เช่น บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมุทร - แหล่งน้ าใต้ดินเกิดจากการซึมของน้ าผิวดินลงไป สะสมตัว ใต้พื้นโลก ซึ่งแบ่งเป็นน้ าในดินและน้ าบาดาล น้ าในดินเป็น น้ าที่อยู่ร่วมกับอากาศ ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ส่วนน้ า บาดาล เป็นน้ าที่ไหลซึมลึกลงไปและถูกกักเก็บไว้ในชั้นหิน หรือชั้นดินจนอิ่มตัวไปด้วยน้ า 9. สราีงแบบจ าลองที่อธิบายการใช้ น้ าและน าเสนอ แนวทางการใช้น้ า อย่างยั่งยืนในท้องถิ่นของตนเอง - แหล่งน้ าผิวดินและแหล่งน้ าใต้ดินถูกน ามาใช้ในกิจกรรม ต่าง ๆ ของมนุษย์ส่งผลต่อการจัดการ การใช้ประโยชน์น้ า และคุณภาพของแหล่งน้ า เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจ านวน ประชากรการใช้ประโยชน์พื้นที่ในด้านต่าง ๆ เช่น ภาค เกษตรกรรมภาคอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ าฝนในพื้นที่ ลุ่มน้ า และแหล่งน้ าผิวดินไม่เพียงพอส าหรับกิจกรรม ของ มนุษย์น้ าจากแหล่งน้ าใต้ดินจึงถูกน ามาใช้มากขึ้น ส่งผลให้ ปริมาณน้ าใต้ดินลดลงมากจึงต้องมีการจดัการใช้น้ าอย่าง เหมาะสมและยั่งยืน ซึ่งอาจท าได้โดยการจัดหาแหล่งน้ า เพื่อให้มีแหล่งน้ าเพียงพอส าหรบัการด ารงชวีติ การจดัสรร และการใช้น้ าอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์และฟื้นฟู แหล่งน้ า การป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ า


38 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 10. สร้างแบบจ าลองที่อธิบาย กระบวนการเกิด และผลกระทบของ น้ าท่วม การกัดเซาะชายฝั่งดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด - น้ าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ แผ่นดินทรุด มีกระบวนการเกิดและผลกระทบที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้าง ความเสียหายร้ายแรง แก่ ชีวิต และทรัพย์สิน - น้ าท่วมเกิดจากพื้นที่หนึ่งได้รับปริมาณน้ าเกินกว่า ที่จะ กักเก็บได้ท าให้แผ่นดินจมอยู่ใต้น้ า โดยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ า และสภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่ - การกัดเซาะชายฝั่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง ของ ชายฝั่งทะเลที่เกิดขึ้นตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคลื่น หรือลม ท าให้ตะกอนจากที่หนึ่ง ไปตกทับถมในอีกบริเวณ หนึ่งแนวของชายฝั่งเดิมจึงเปลี่ยนแปลงไป บริเวณที่มี ตะกอนเคลื่อนเข้ามาน้อยกว่าปริมาณที่ตะกอนเคลื่อน ออกไป ถือว่าเป็นบริเวณที่มีการกัดเซาะชายฝั่ง - ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนที่ของมวลดินหรือหิน จ านวนมาก ลงตามลาดเขา เนื่องจากแรงโน้มถ่วง ของโลกเป็นหลัก ซึ่ง เกิดจากปัจจัยส าคัญ ได้แก่ ความลาดชันของพื้นที่ สภาพ ธรณีวิทยาปริมาณ น้ าฝน พืชปกคลุมดิน และการใช้ ประโยชน์พื้นที่ - หลุมยุบ คือ แอ่งหรือหลุมบนแผ่นดินขนาดต่าง ๆ ที่อาจ เกิดจากการถล่มของโพรงถ้ าหินปูน เกลือหินใต้ดิน หรือเกิด จากน้ าพัดพาตะกอนลงไปในโพรงถ้ าหรือธารน้ าใต้ดิน - แผ่นดินทรุดเกิดจากการยุบตัวของชั้นดิน หรือหินร่วน เมื่อมวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมากที่รองรับอยู่ใต้ชั้น ดินบริเวณนั้นถูกเคลื่อนย้ายออก ไปโดยธรรมชาติหรือโดย การกระท าของมนุษย์ ม. 3 - -


39 สาระที่4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสม โดยค านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ในชีวิตประจ าวัน และวิเคราะห์ สาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี - เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาขึ้นซึ่งอาจ เป็นได้ทั้งชิ้นงานหรือวิธีการ เพื่อใช้แก้ปัญหาสนองความ ต้องการหรือเพิ่มความสามารถในการท างานของมนุษย์ - ระบบทางเทคโนโลยีเป็นกลุ่มของส่วนต่างๆ ตั้งแต่สอง ส่วนขึ้นไปประกอบเข้าด้วยกันและ ท างานร่วมกันเพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์ โดยในการท างานของระบบทาง เทคโนโลยีจะประกอบ ไปด้วยตัวป้อน (input)กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ที่สัมพันธ์กันนอกจากนี้ ระบบทางเทคโนโลยีอาจมีข้อมูลย้อนกลับ(feedback) เพื่อ ใช้ปรับปรุงการท างานได้ตามวัตถุประสงค์ซึ่งการวิเคราะห์ ระบบทางเทคโนโลยีช่วยให้เข้าใจองค์ประกอบและการ ท างานของเทคโนโลยีและสามารถปรับปรุงให้เทคโนโลยี ท างานได้ตามต้องการ - เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันซึ่งมีสาเหตุหรือปัจจัยมาจากหลายด้าน เช่น ปัญหาความต้องการความก้าวหน้าของศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐกิจ สังคม 2. ระบุปัญหาหรือความต้องการใน ชีวิตประจ าวัน รวบรวม วิเคราะห์ ข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง กับ ปัญหา - ปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจ าวัน พบได้จาก หลายบริบทขึ้นกับสถานการณ์ที่ประสบ - การแก้ปัญหาจ าเป็นต้องสืบค้นรวบรวมข้อมูลความรู้ จากศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อน าไปสู่การออกแบบแนว ทางการแก้ปัญหา 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาโดย วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตัดสินใจ เลือกข้อมูลที่จ าเป็น น าเสนอ แนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นเข้าใจ วางแผนและด าเนินการแก้ปัญหา - การวิเคราะห์ เปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกข้อมูล ที่ จ าเป็นโดยค านึงถึงเงื่อนไขและทรัพยากรที่มีอยู่ช่วยให้ได้ แนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม - การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาท าได้หลากหลายวิธี เช่น การเขียนผังงานการก าหนดขั้นตอนและระยะเวลาใน การท างาน ก่อนด าเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้ท างาน ส าเร็จ ได้ตามเป้าหมายและลดข้อผิดพลาดของการท างาน ที่อาจเกิดขึ้น


40 ชั้น ตัวชี้วัด - สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. ทดสอบประเมินผล และระบุ ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งหาแนว ทางการปรับปรุงแก้ไข และน าเสนอ ผลการแก้ปัญหา - การทดสอบ และประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ชิ้นงาน หรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม วัตถุประสงค์ภายใต้ กรอบของปัญหา เพื่อหาข้อบกพร่อง และด าเนินการ ปรับปรุงโดยอาจ ทดสอบซ้ าเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ - การน าเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพื่อให้ผู้อื่น เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการท างาน และชิ้นงานหรือวิธีการที่ ได้ ซึ่งสามารถท าได้หลายวิธี เช่น การเขยีนรายงานการท า แผ่นน าเสนอ ผลงาน การจัดนิทรรศการ การน าเสนอผ่าน สื่อออนไลน์ 5. ใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับวัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือกลไกไฟฟ้า หรือ อิเล็กทรอนิกส์เพื่อแก้ปัญหาได้อย่าง ถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัย - วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เช่น ไม้ โลหะ พลาสติกจึงต้องมีการวิเคราะห์สมบัติเพื่อเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับลักษณะของงาน - การสร้างชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไกไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เช่น LED บัซเซอร์มอเตอร์วงจรไฟฟ้า - อุปกรณ์และเครื่องมือในการสร้างชิ้นงานหรือ พัฒนา วิธีการมีหลายประเภทต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม และปลอดภัยรวมทั้งรู้จักเก็บรักษา ม.2 1. คาดการณ์แนวโน้มเทคโนโลยีที่จะ เกิดขึ้นโดยพิจารณาจากสาเหตุหรือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยี และวิเคราะห์ เปรียบเทียบตัดสินใจเลือกใช้ เทคโนโลยี โดยค านึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม 2. ระบุปัญหาหรือความต้องการใน ชุมชนหรือท้องถิ่นสรุปกรอบของ ปัญหารวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาโดย วิเคราะห์เปรียบเทียบและตัดสินใจ เลือกข้อมูลที่จ าเป็น ภายใต้เงื่อนไข และทรัพยากรที่มีอยู่น าเสนอ แนว ทางการแก้ปัญหาวางแผน ขั้นตอน การท างานและด าเนินการแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอน - สาเหตุหรือปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความก้าวหน้าของ ศาสตร์ ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังค วัฒนธรรม ท าให้เทคโนโลยีมีการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา - เทคโนโลยีแต่ละประเภทมีผลกระทบต่อชีวิต สังคมและ สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงต้อง วิเคราะห์เปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย และตัดสินใจ เลือกใช้ให้เหมาะสม - ปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรือท้องถิ่นมีหลาย อย่างขึ้นกับบริบทหรือสถานการณ์ที่ประสบ เช่น ด้าน พลังงาน สิ่งแวดล้อม การเกษตร การอาหาร - การระบุปัญหาจ าเป็นต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ของ ปัญหาเพื่อสรุปกรอบของปัญหา แล้วด าเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อ น าไปสู่การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา


41 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. ทดสอบประเมินผลและอธิบาย ปัญหาหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ภายใต้กรอบเงื่อนไขพร้อมทั้งหาแนว ทางการปรับปรุงแก้ไข และน าเสนอ ผลการแก้ปัญหา 5. ใช้ความรู้ และทักษะเกี่ยวกับวัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือกลไก ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย - การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่ จ าเป็น โดยค านึงถึงเงื่อนไขและทรัพยากร เช่น งบประมาณ เวลา ข้อมูล และสารสนเทศ วัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ช่วยให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม - การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาท าได้ หลากหลายวิธี เช่น การร่างภาพ การเขียน แผนภาพการเขียนผังงาน - การก าหนดขั้นตอนระยะเวลาในการท างานก่อน ด าเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้การท างาน ส าเร็จได้ตาม เป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของการท างานที่อาจเกิดขึ้น - การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบชิ้นงาน หรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตามวัตถุประสงค์ภายใต้ กรอบของปัญหา เพื่อหาข้อบกพร่อง และด าเนินการ ปรับปรุงให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ - การน าเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพื่อให้ผู้อื่น เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการท างาน และชิ้นงานหรือวิธีการที่ ได้ ซึ่งสามารถท าได้หลายวิธี เช่น การเขียนรายงานการท า แผ่นน าเสนอผลงานการจัดนิทรรศการ - วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เช่น ไม้ โลหะ พลาสติก จึงต้องมีการวิเคราะห์สมบัติเพื่อเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับลักษณะของงาน - การสร้างชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไกไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เช่น LED มอเตอร์บัซเซอร์เฟือง รอก ล้อ เพลา - อุปกรณ์และเครื่องมือในการสร้างชิ้นงาน หรือพัฒนา วิธีการมีหลายประเภทต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม และ ปลอดภัยรวมทั้งรู้จัก เก็บรักษา ม.3 1. วิเคราะห์สาเหตุ หรือปัจจัยที่ ส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ของ เทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ เพื่อ เป็นแนวทาง การแก้ปัญหาหรือ พัฒนางาน - เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตั้งต่ออดีตจนถึง ปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหรือปัจจัยมาจากหลายด้าน เช่น ปัญหา หรือความต้องการของมนุษย์ ความก้าวหน้าของศาสตร์ ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม - เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานความรู้ที่น าไปสู่ การพัฒนาเทคโนโลยี และเทคโนโลยีที่ ได้สามารถเป็น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า เพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ ความรู้ใหม่


42 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2. ระบุปัญหาหรือความต้องการของ ชุมชนหรือ ท้องถิ่นเพื่อพัฒนางาน อาชีพสรุปกรอบของ ปัญหารวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและแนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับปัญหาโดยค านึงถึงความ ถูกต้อง ด้านทรัพย์สินทางปัญญา - ปัญหาหรือความต้องการอาจพบได้ในงานอาชีพ ของ ชุมชนหรือท้องถิ่น ซึ่งอาจมีหลายด้าน เช่น ด้านการเกษตร อาหาร พลังงาน การขนส่ง - การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาช่วยให้เข้าใจ เงื่อนไขและ กรอบของปัญหาได้ชัดเจนจากนั้น ด าเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้ จากศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อ น าไปสู่การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาโดย วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตัดสินใจ เลือกข้อมูลที่จ าเป็น ภายใต้เงื่อนไข และทรัพยากรที่มีอยู่น าเสนอ แนว ทางการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย เทคนิค หรือวิธีการที่หลากหลาย วางแผนขั้นตอน การท างานและ ด าเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็น ขั้นตอน - การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือก ข้อมูลที่ จ าเป็น โดยค านึงถึงทรัพย์สินทางปัญญาเงื่อนไขและ ทรัพยากร ข้อมูลและสารสนเทศวัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ ช่วยให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม - การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาท าได้หลากหลายวิธี เช่น การร่างภาพ การเขยีนแผนภาพ การเขียนผังงาน - เทคนิคหรือวิธีการในการน าเสนอแนวทางการแก้ปัญหามี หลากหลาย เช่น การใช้แผนภูมิ ตาราง ภาพเคลื่อนไหว - การก าหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการท างาน ก่อน ด าเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้การท างาน ส าเร็จได้ตาม เป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของการท างานที่อาจเกิดขึ้น 4. ทดสอบ ประเมินผล วิเคราะห์ และให้เหตุผล ของปัญหาหรือ ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นภายใต้กรอบ เงื่อนไข พร้อมทั้งหาแนวทางการ ปรับปรุง แก้ไข และน าเสนอผล การแก้ปัญหา 5. ใช้ความรู้ และทักษะเกี่ยวกับวัสดุ อุปกรณ์เครื่องมือกลไก ไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ให้ถูกต้องกับลักษณะ ของงาน และปลอดภัย เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนางาน - การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบชิ้นงาน หรือวิธีการว่า สามารถแก้ปัญหาได้ตาม วัตถุประสงค์ภายใต้ กรอบของปัญหา เพื่อหาข้อบกพร่อง และด าเนินการ ปรับปรุงโดยอาจทดสอบซ้ าเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ - การน าเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเพื่อให้ผู้อื่น เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการท างาน และชิ้นงานหรือวิธีการ ที่ได้ ซึ่งสามารถท าได้หลายวิธี เช่น การเขียนรายงาน การจัดนิทรรศการ การน าเสนอ ผ่านสื่อออนไลน์ -วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เช่นไม้ โลหะ พลาสติก เซรามิกจึงต้องมีการวิเคราะห์สมบัติเพื่อเลือกใช้ ให้เหมาะสมกับลักษณะของงาน - การสร้างชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไกลไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เช่น LED LDR มอเตอร์ เฟือง คาน รอก ล้อเพลา - อุปกรณ์และเครื่องมือในการสร้างชิ้นงานหรือพัฒนา วิธีการมีหลายประเภทต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมและ ปลอดภัยรวมทั้งรู้จักเก็บรักษา


43 มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงค านวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การท างาน และการแก้ปัญหา ได้อย่างมีประสิทธิภาพรู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม. 1 ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิง นามธรรม เพื่อแก้ปัญหาหรืออธิบาย การท างานที่พบในชีวิตจริง - แนวคิดเชิงนามธรรมเป็นการประเมินความส าคัญของ รายละเอียดของปัญหา แยกแยะส่วนที่เป็น สาระส าคัญ ออกจากส่วนที่ไม่ใช่สาระส าคัญ - ตัวอย่างปัญหา เช่น ต้องการปูหญ้าในสนามตามพื้นที่ที่ ก าหนด โดยหญ้าหนึ่งผืนมีความกว้าง 50 เซนติเมตรยาว 50 เซนติเมตร จะใช้หญ้า ทั้งหมดกี่ผืน 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่าง ง่าย เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ตัวแปร เงื่อนไข วนซ้ า - การออกแบบอัลกอริทึม เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์อย่างง่าย อาจใช้แนวคิดเชิงนามธรรมในการ ออกแบบ เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ - การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้แก้ปัญหา ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ - ซอฟต์แวรที่ใชในการเขยีนโปรแกรม เช่น Scratch, python, java, c - ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมสมการ การเคลื่อนที่ โปรแกรมค านวณหาพื้นที่ โปรแกรมค านวณดัชนีมวลกาย 3. รวบรวมข้อมูลปฐมภูมิประมวลผล ประเมินผล น าเสนอข้อมูลและ สารสนเทศตามวัตถุประสงค์โดยใช้ ซอฟต์แวร์ หรือบริการบนอินเทอร์เน็ต ที่หลากหลาย - การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิประมวลผล สร้างทางเลือกประเมินผลจะท าให้ได้สารสนเทศเพื่อใช้ ในการแก้ปัญหาหรือการ ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ - การประมวลผลเป็นการกระท ากับข้อมูล เพื่อให้ได้ ผลลัพธ์ที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อ การน าไปใช้ งาน สามารถท าได้หลายวิธี เช่น ค านวณอัตราส่วน ค านวณค่าเฉลี่ย - การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ หลากหลายในการรวบรวมประมวลผลสร้างทางเลือก ประเมินผล น าเสนอจะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นย า - เน้นการบูรณาการกับวิชาอื่น เช่น ต้มไข่ให้ตรงกับ พฤติกรรมการบริโภค ค่าดัชนีมวลกายของคนในท้องถิ่น การสร้างกราฟ ผลการทดลองและวิเคราะห์แนวโน้ม


44 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัยใช้สื่อ และแหล่งข้อมูลตาม ข้อก าหนดและข้อตกลง - ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น การ ปกป้องความเป็นส่วนตัวและอัตลักษณ์ - การจัดการอัตลักษณ์ เช่น การตั้งรหัสผ่าน การปกป้อง ข้อมูลส่วนตัว - การพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหา เช่น ละเมิด ความเป็นส่วนตัวผู้อื่น อนาจารวิจารณ์ผู้อื่นอย่างหยาบคาย - ข้อตกลงข้อก าหนดในการใช้สื่อหรือ แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น Creative commons ม. 2 1. ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิง ค านวณ ในการแก้ปัญหา หรือการ ท างานทพี่บในชวีติจริง - ในการแก้ปัญหาหรือการท างานทพี่บในชวีติจรงิ - แนวคิดเชิงค านวณ - การแก้ปัญหาโดยใช้แนวคิดเชิงค านวณ - ตัวอย่างปัญหา เช่น การเข้าแถวตามล าดับความสูงให้ เร็วที่สุดจัดเรียงเสื้อให้หาได้ง่ายที่สุด 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่ใช้ ตรรกะ และฟังก์ชันในการแก้ปัญหา - ตัวด าเนินการบูลีน - ฟังก์ชัน - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ตรรกะและ ฟังก์ชัน - การออกแบบอัลกอริทึม เพื่อแก้ปัญหาอาจใช้แนวคิด เชิงค านวณในการออกแบบเพื่อให้การแก้ปัญหามี ประสิทธิภาพ -การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้แก้ปัญหา ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ - ซอฟตแีวรที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, python, java, c - ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตัดเกรด หาค าตอบ ทั้งหมดของอสมการหลายตัวแปร 3. อภิปรายองค์ประกอบและหลักการ ท างานของ ระบบคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อประยุกต์ใช้ งานหรือแก้ปัญหาเบื้องต้น - องค์ประกอบและหลักการท างานของระบบ คอมพิวเตอร์ - เทคโนโลยีการสื่อสาร - การประยุกต์ใช้งานและการแก้ปัญหาเบื้องต้น 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัยมีความ รับผิดชอบสร้างและ แสดงสิทธิในการเผยแพร่ผลงาน - ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย โดยเลือก แนวทางปฏิบัติเมื่อพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น แจ้ง รายงานผู้เกี่ยวข้องป้องกันการเข้ามาของ ข้อมูลที่ไม่ เหมาะสมไม่ตอบโต้ไม่เผยแพร่


45 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความรบัผดิชอบ เช่น ตระหนักถึงผลกระทบในการเผยแพร่ข้อมูล - การสร้างและแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของผลงาน - การก าหนดสิทธิการใช้ข้อมูล ม.3 พัฒนาแอปพลิเคชันที่มีการบูรณาการ กับวิชาอื่น อย่างสร้างสรรค์ - ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน - Internet of Things (IoT) - ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เช่น Scratch, python, java, c, AppInventor - ตัวอย่างแอปพลิเคชัน เช่น โปรแกรมแปลงสกุลเงิน โปรแกรมผันเสียงวรรณยุกต์โปรแกรม จ าลองการแบ่ง เซลล์ระบบรดน้ าอัตโนมัติ 2. รวบรวมข้อมูลประมวลผล ประเมินผล น าเสนอ ข้อมูลและ สารสนเทศตามวัตถุประสงค์ โดยใช้ ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ต ที่หลากหลาย - การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและ ทุติยภูมิ ประมวลผลสร้างทางเลือกประเมินผลจะท าให้ได้ สารสนเทศเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา หรือการตัดสินใจได้ อย่างมีประสิทธิภาพ - การประมวลผลเปน็การกระท ากับข้อมูล เพื่อให้ได้ ผลลัพธ์ที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการน าไปใช้งาน - การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ หลากหลายในการรวบรวมประมวลผลสร้างทางเลือก ประเมินผล น าเสนอจะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นย า - ตัวอย่างปัญหา เช่น การเลือกโปรโมชันโทรศัพท์ให้ เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานสินค้าเกษตร ที่ต้องการ และสามารถปลูกได้ในสภาพดินของ ท้องถิ่น 3. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล วิเคราะห์สื่อและผลกระทบจากการให้ ข่าวสารที่ผิด เพื่อการใช้งานอย่างรู้เท่า ทัน - การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น ตรวจสอบ และยืนยันข้อมูล โดยเทียบเคียงจาก ขอ้มลูหลายแหลง่ แยกแยะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นหรือใช้ PROMPT - การสืบค้น หาแหล่งต้นตอของข้อมูล - เหตุผลวิบัติ (logical fallacy) - ผลกระทบจากข่าวสารที่ผิดพลาด - การรู้เท่าทันสื่อเช่น การวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ของ ข้อมูลและผู้ให้ข้อมูลตีความแยกแยะเนื้อหา สาระของสื่อ เลือกแนวปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม เมื่อพบข้อมูลต่าง


46 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อ สังคมปฏิบัติตามกฎหมาย เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ใช้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่น โดย ชอบธรรม - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น การท า ธุรกรรมออนไลน์การซื้อสินค้า ซื้อซอฟต์แวร์ค่าบริการ สมาชิก ซื้อไอเท็ม - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น ไม่สร้างข่าวลวงไม่แชร์ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ ข้อเท็จจริง - กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ - การใช้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยชอบธรรม (fairuse)


47 โครงสร้างหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ชั้น รหัส ชื่อวิชา นก. ชม. ชั้น รหัส ชื่อวิชา นก. ชม. รายวิชาพื้นฐาน รายวิชาพื้นฐาน ม.1 ว21101 วิทยาศาสตร์1 1.5 60 ม.1 ว21102 วิทยาศาสตร์2 1.5 60 ว21181 การออกแบบและ เทคโนโลยี 1.0 40 ม.2 ว22101 วิทยาศาสตร์3 1.5 60 ม.2 ว22102 วิทยาศาสตร์4 1.5 60 ว22181 วิทยาการค านวณ 1.0 40 ม.3 ว23101 วิทยาศาสตร์5 1.5 60 ม.3 ว23102 วิทยาศาสตร์6 1.5 60 ว23181 การออกแบบและ เทคโนโลยี 0.5 20 ว 23182 วิทยาการค านวณ 0.5 20 รวม 7.5 300 รวม 4.5 180 รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาเพิ่มเติม ม.1 ว21201 พลังงานทดแทน 1.0 40 ม.1 ว21202 วิทยาศาสตร์กับ ความงาม 1.0 40 ม.2 ว22201 โครงงาน วิทยาศาสตร์ 1.0 40 ม.2 I22282 การสื่อสารและ การน าเสนอ 1.0 40 I22281 การสืบค้นและ สร้างองค์ความรู้ 1.0 40 ม.3 ว23202 อิเลคทรอนิคส์ เบื้องต้น 1.0 40 ม.3 ว23201 ไฟฟ้าและ เครื่องกล 1.0 40 รวม 4.0 160 3.0 120 รวม 11.5 460 7.5 300


Click to View FlipBook Version