วจิ ยั รายงานการใช้เอกสารประกอบการเรียน
รหสั วชิ า ง30241 รายวชิ า Web Design and Development
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4
วลิ าวลั ย์ นาคภพ
ตาแหน่งครู วทิ ยฐานะครูชานาญการ
โรงเรียนบรรพตพสิ ัยพทิ ยาคม
สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ
ชอ่ื เรอื่ ง : รายงานการใช้เอกสารประกอบการ รายวิชา Web Design and Development
ง30241 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผ้วู ิจยั : วิลาวัลย์ นาคภพ ตาแหน่ง ครูวิทยฐานะ ครชู านาญการ
ชือ่ สถานศึกษา : โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 42
สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน
ปีทท่ี าการวจิ ัย : 2560 - ปจั จบุ ัน
บทคัดย่อ
วัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา (1) เพ่อื ศึกษาประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้
การงานอาชีพและเทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241 รายวิชา Web Design and Development สาหรบั นักเรียนชน้ั
มัธยมศึกษาปที ี่ 4 ในการทดสอบประสิทธภิ าพใช้จริง ให้มปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑท์ ่ีกาหนด 80/80 (2) เพ่ือ
เปรียบเทยี บและศึกษาความก้าวหนา้ ทางการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นของนกั เรยี นท่ีเรยี นดว้ ยเอกสาร
ประกอบการเรียน กลุม่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241 รายวิชา Web Design
and Development สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนท่ีเรียนด้วย
เอกสารประกอบการเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web
Design and Development สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4
กลุม่ ตวั อยา่ งท่ใี ช้ในการทดลองใชไ้ ด้แก่ นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ห้อง 3 และ ห้อง 4 ปีการศึกษา
2559 โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จานวน 73 คน ปี 2559
โดยการจับสลากคละกันระหว่างนักเรียน ที่มผี ลการเรียน กลุม่ เกง่ กลมุ่ ปานกลาง และกลุ่มออ่ น ในการทดสอบ
แบบเด่ยี ว จานวน 3 คน แบบกลมุ่ จานวน 9 คน แบบภาคสนาม จานวน 42 คน และ กลมุ่ ตวั อย่างกลมุ่ ท่ีสองใช้
ทดลองจรงิ คือนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จานวน 63 คน ปี 2560 กลมุ่
ทดลองใช้จรงิ 42 คน
เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ (1) เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา ง30241 รายวิชา Web
Design and Development กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 จานวน 5
หน่วยการเรยี นรู้ คือ หนว่ ยท่ี 1 เรื่อง รจู้ ักการทางานของเวบ็ ไซตเ์ บ้ืองต้นหน่วยที่ 2 เรือ่ ง Banner และ button สวย
ด้วย Photoshop หนว่ ยท่ี 3 เรอ่ื ง เรม่ิ ต้นสร้างเว็บกับ Dreamweaver หนว่ ยท่ี 4 เร่ือง สร้างเวบ็ งา่ ยๆ สไตล์
Dreamweaver หนว่ ยที่ 5 เร่ือง การอพั โหลดไฟล์ และจรรยาบรรณในการใช้ Internet (2)
แบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรยี นด้วยเอกสารประกอบการเรียน รหสั วชิ า ง30241 รายวชิ า Web Design and
Development กล่มุ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 และ (3) แบบสอบถาม
ความพงึ พอใจของผ้เู รยี นท่ีมีต่อเอกสารประกอบการเรยี นรหสั วชิ า ง30241 รายวิชา Web Design and
Development กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 การวเิ คราะหข์ ้อมูลใช้
สถติ ิ ได้แก่ คา่ ประสทิ ธิภาพ E1/E2 คา่ เฉลย่ี คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ การทดสอบคา่ ที
ผลการศึกษา พบวา่ (1) เอกสารประกอบการเรียน กลุม่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
รหัสวชิ า ง30241 รายวชิ า Web Design and Development ที่ไดพ้ ัฒนาข้นึ มีประสิทธิภาพตามลาดับ ดังนี้
1. เอกสารประกอบการเรยี น กล่มุ สาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241
รายวิชา Web Design and Development คือนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560
จานวน 63 คน ปี 2560 กลุ่มทดลองใช้จรงิ ห้อง 4/3 จานวน 42 คน พบว่าหน่วยท่ี 1 มีประสทิ ธิภาพ
81.7/81.07 หน่วยท่ี 2 มีประสิทธิภาพ 81.75/80.83 หน่วยที่ 3 มปี ระสทิ ธิภาพ 81.65/80.83 หนว่ ยท่ี 4 มี
ประสิทธภิ าพ 81.6/80.60 และ หนว่ ยที่ 5 มีประสทิ ธภิ าพ 81.65/81.19 เเอกสารประกอบการเรยี นทั้ง 5 เลม่ มี
ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ที่กาหนดไว้
2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ทเี่ รยี นโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนรหัส
วิชา ง30241 รายวิชา Web Design and Development กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีช้นั
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีความก้าวหนา้ ทางการเรียนของนกั เรียนทเี่ รยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรียนอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่ี
ระดบั .05
3. นักเรียนมีความพงึ พอใจ นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรยี นง
30241 รายวิชา Web Design and Development กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ชน้ั
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 พบว่า โดยภาพรวมมคี วามพงึ พอใจตอ่ เอกสารประกอบการเรียนอยู่ในระดบั มาก ( X = 4.86 ,
S.D. = 1.21) เป็นไปตามสมมติฐานขอ้ ท่ี 3
คาสาคัญ : เอกสารประกอบการเรยี น / การสรา้ งและการพัฒนาเวบ็ ไซต์
คานา
เอกสารประกอบการเรียน รหัสวชิ า ง30241 รายวิชา Web Design and Development กลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 จัดทาข้นึ เพื่อใชเ้ ปน็ เอกสารประกอบการเรยี นรหัสวชิ า
ง30241รายวิชา Web Design and Development ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โดยเนน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคัญให้สามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการสรา้ ง
เวบ็ ไซต์ในเอกสารประกอบการเรยี นได้จัดเรยี งเนื้อหาใหง้ ่าย โดยมีข้ันตอนและรปู ภาพประกอบเพ่ือใหน้ ักเรยี น
เข้าใจชดั เจนมากยิ่งขน้ึ นักเรียนสามารถนาไปศึกษาดว้ ยตนเองและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวนั ได้
รายงานการใช้เอกสารประกอบการเรียน รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web Design and Development
กลุ่มสาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 เลม่ น้ี สาเรจ็ ลงไดด้ ว้ ยความกรุณาอย่างยิ่ง
จากผู้เชีย่ วชาญดังน้ี (1) ผศ.พรหมเมศ วรี ะพันธ์ ตาแหนง่ อาจารย์ ประจาโปรแกรมวชิ าวิทยาการคอมพวิ เตอร์
คณะวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั กาแพงเพชร ผเู้ ช่ียวชาญด้านเทคโนโลยกี ารศกึ ษาและวจิ ัย (2)
ผศ.นรตุ ม์ บุตรพลอย ตาแหนง่ อาจารย์ ประจาโปรแกรมวิชาเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ คณะเทคโนโลยอี ุตสาหกรรม
มหาวทิ ยาลยั กาแพงเพชร ผู้เชี่ยวชาญดา้ นเทคโนโลยีการศึกษา และผู้เชยี่ วชาญดา้ นเนื้อหา (3) นางจนั ทรเ์ พญ็
เขยี วสอาด ตาแหน่งครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ (วิชาคณติ ศาสตร)์ โรงเรียนบรรพตพิสัยพิทยาคม
สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 42 ผู้เช่ียวชาญดา้ นการวัดและประเมินผลการศึกษา (4) นางสาว
ประพิศ พรมศลิ า ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ (วชิ าภาษาไทย) โรงเรยี นบรรพตพิสัยพิทยาคม
สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42 ผเู้ ชย่ี วชาญด้านเน้อื หา การจัดรปู แบบ (5) นางอญั ชลี บญุ ยัง
อนนั ต์ ตาแหน่งตาแหน่งครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ (วชิ าภาษาไทย) โรงเรยี นบรรพตพิสัยพทิ ยาคม
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 42 ผู้เชย่ี วชาญด้านเนือ้ หา การจัดรูปแบบ ที่ได้ใหค้ าปรึกษา
คาแนะนา ในการจัดทาเอกสารประกอบ การเรยี นเป็นอย่างดีตลอดมา ผู้รายงานขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบพระคณุ ผู้อานวยการโรงเรยี นบรรพตพิสัยพิทยาคม คณะครูโรงเรียนบรรพตพสิ ัยพทิ ยาคม ท่ีได้ใหค้ าแนะนา
เป็นท่ีปรึกษาและเป็นกาลังใจตลอดมา ขอขอบใจนักเรยี นที่ให้ความร่วมมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เปน็ อยา่ งดีย่ิง
ขอขอบพระคุณ บดิ า มารดา ของผรู้ ายงานท่เี ป็นกาลังใจในการศึกษาคน้ ควา้ คร้ังนี้
คณุ ค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการศึกษาค้นควา้ ครง้ั นีผ้ ู้รายงานขออทุ ิศแด่ผู้มีพระคณุ ทุกๆ ท่าน
วลิ าวัลย์ นาคภพ
บทที่ 1
บทนา
1. ความสาคัญของปญั หาและความเปน็ มา
ปัจจบุ ันองค์ความรใู้ นศาสตร์ตา่ งๆ มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิง่ องค์ความรู้ทางด้าน
เทคโนโลยที ลี่ ้าหน้า ทาให้ความรู้ท่เี ป็นปจั จบุ ันเกดิ ข้นึ การเรียนรจู้ งึ มิได้เปน็ เพยี งการถา่ ยทอดความรูจ้ ากครผู ูส้ อน
เพยี งอย่างเดียว การศึกษาระบบ Education 4.0 เปน็ ระบบการเรยี นการสอนแบบใหม่ ทเ่ี น้นใหผ้ ู้เรียนสามารถนา
องค์ความรทู้ ่ีมีอยทู่ ุกหนทุกแห่งมาบรู ณาการเชงิ สร้างสรรค์ เพ่ือพฒั นานวัตกรรมตา่ งๆ มาตอบสนองความต้องการ
ของสงั คม (วารสารวิชาการครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม พระจอมเกลา้ พระนครเหนือ ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-
มิถุนายน 2560) การสรา้ งทกั ษะการฝึกฝนจากประสบการณ์ เน้นการเรยี นรู้แบบร่วมมอื กัน การจัดการ
ศึกษาในปัจจบุ ันมคี วามสาคัญอยา่ งยงิ่ ต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ท้งั น้ี แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับท่ี 11 (2555 - 2559) มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือเสริมสร้าง สังคมทีเ่ ป็นธรรม เปน็ สังคมสันตสิ ขุ และพัฒนาคนไทยทุก
กลมุ่ วัยอย่างเป็นองค์รวม ทงั้ ทางกาย ใจ สตปิ ญั ญา อารมณ์ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมและสถาบนั ทางสังคมมบี ทบาท
หลกั ในการพฒั นาคน ใหม้ ีคณุ ภาพ พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2542 ปรบั ปรุงแก้ไข (ฉบับที่
2) พุทธศักราช 2545 และ (ฉบับท่ี3) พ.ศ. 2553 กาหนดความม่งุ หมายเพ่อื พฒั นาคนไทยใหเ้ ปน็ มนุษยท์ ส่ี มบรู ณ์
ทั้งทางด้านร่างกายและจติ ใจ มสี ติปญั ญาความรู้และคุณธรรม จริยธรรมในการดารงชวี ติ สามารถอย่รู ่วมกับผู้อ่นื
ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข โดยยดึ หลกั การศึกษาตลอดชวี ิตสาหรับประชาชนให้สงั คมมีสว่ นรว่ มในการจดั การศึกษา
พฒั นาการเรียนรใู้ หเ้ ป็นไปอย่างตอ่ เนื่องและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตหิ มวดที่ 4 แนวการจัดการศึกษา
มาตราท่ี 22 การจัดการศึกษาตอ้ งยึดหลักวา่ ผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้และถือว่า
ผู้เรยี นมคี วามสาคัญทสี่ ุด กระบวนการจดั การศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตาม
ศักยภาพเนน้ การจัดการศึกษาเพ่อื สง่ เสริมการเรยี นร้ตู ลอดชวี ติ ทาให้เกิดการเรยี นรู้ได้ตลอดเวลา ทกุ สถานที่
ประกอบกับมาตราที่ 24 การจดั กระบวนการเรยี นรู้ใหส้ ถานศกึ ษาและหนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้องดาเนนิ การดังนี้คือจัด
เนือ้ หาสาระและกิจกรรมใหส้ อดคล้องกบั ความสนใจและความถนดั ของผู้เรยี นโดยคานึงถงึ ความแตกต่างระหว่าง
บคุ คลฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชญิ สถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือปอ้ งกันและ
แกไ้ ขปญั หาจัดกจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรจู้ ากประสบการณ์จรงิ ฝกึ การปฏบิ ัติให้ทาได้ คิดเป็นทาเป็น รักการอ่าน
และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่องจัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรูด้ า้ นตา่ งๆ อย่างไดส้ ัดส่วนสมดุลกนั
รวมทงั้ ปลกู ฝงั คุณธรรม คา่ นิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ไวใ้ นทกุ วชิ าส่งเสริม สนับสนุน ให้ผสู้ อน
สามารถจดั บรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรยี นและอานวยความสะดวกเพื่อให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้และมีความ
รอบรู้รวมท้งั สามารถใชก้ ารวิจัยเป็นส่วนหนง่ึ ของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งน้ผี สู้ อนและผเู้ รยี นอาจเรยี นรู้ไปพร้อมกัน
จากสอื่ การเรยี นการสอนและแหลง่ วทิ ยาการประเภทตา่ งๆ จัดการเรยี นร้ใู ห้เกดิ ขนึ้ ได้ทกุ เวลาทกุ สถานท่ีมกี าร
ประสานความรว่ มมือกับบดิ ามารดา ผู้ปกครอง และบคุ คลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่ือร่วมกันพัฒนาผูเ้ รียนตามศักยภาพ
(กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2553, หนา้ 8) จากพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ ประกอบกับแนวคดิ การจัดกจิ กรรม
การเรยี นการรู้ของ กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ท่ีเนน้ ผู้เรียนเป็นสาคัญดังกล่าว โรงเรียนบรรพต
พิสัยพิทยาคม สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42ได้จัดทาหลกั สูตร รายวิชาเพมิ่ เติม กลมุ่ สาระ
การเรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี รายวชิ า Web design and Development รหสั วชิ า
ง30241 จานวน 1 หน่วยกติ ตอ่ ภาคเรยี น โดยการอนุมัตขิ องคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน โรงเรยี น
บรรพตพิสัยพทิ ยาคม ตามความต้องการของผู้เรียนผู้ปกครองและชุมชน (โรงเรยี นบรรพตพิสัยพทิ ยาคม, 2559, หน้า
38)
ในหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงาน
อาชพี และเทคโนโลยี เป็นกลุ่มสาระท่ชี ่วยพฒั นาใหผ้ ้เู รียน มีความรู้ ความเขา้ ใจ มที ักษะพ้ืนฐานที่จาเป็นต่อการ
ดารงชวี ติ และรูเ้ ท่าทนั การเปลี่ยนแปลง สามารถนาความรู้เก่ียวกบั การดารงชวี ิต การอาชพี และ
เทคโนโลยมี าประยุกต์ใช้ในการทางานอยา่ งมคี วามคิดสร้างสรรค์ และแข่งขนั ในสังคมไทยและสากล เหน็ แนวทาง
ในการประกอบอาชีพ รักการทางาน และมเี จตคติท่ดี ตี ่อการทางาน สามารถดารงชีวติ อยู่ในสงั คมไดอ้ ยา่ งพอเพยี ง
และมคี วามสุข ซงึ่ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ได้
กาหนดสาระการเรียนร้ไู ว้ และมาตรฐานการเรยี นรูไ้ วด้ งั นี้
(1) สาระที่ 1 การดารงชวี ติ และครอบครัว
มาตรฐาน ง 1.1 เขา้ ใจการทางาน มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ มีทักษะกระบวนการทางาน ทกั ษะการ
จัดการ ทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทางานร่วมกนั และทักษะการแสวงหาความรู้ มคี ณุ ธรรม และ
ลกั ษณะนสิ ัยในการทางาน มีจิตสานกึ ในการใช้พลงั งาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดลอ้ มเพื่อการดารงชวี ติ และครอบครัว
(2) สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสรา้ งส่งิ ของเคร่ืองใช้
หรอื วธิ กี าร ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยใี นทางสรา้ งสรรคต์ ่อชีวิต
สังคม ส่งิ แวดลอ้ ม และมสี ่วนร่วมในการจดั การเทคโนโลยีท่ีย่งั ยนื
(3) สาระท่ี 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เหน็ คุณคา่ และใชก้ ระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลการ
เรียนรู้ การส่ือสาร การแกป้ ญั หา การทางาน และอาชีพอย่างมปี ระสิทธภิ าพ ประสทิ ธิผล และมคี ุณธรรม
(4) สาระที่ 4 การอาชพี
มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มที ักษะทีจ่ าเป็น มปี ระสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชพี ใช้เทคโนโลยี
เพ่อื พัฒนาอาชพี มีคุณธรรม และมีเจตคตทิ ด่ี ีต่ออาชพี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 206-219)
หลักสูตรโรงเรยี นบรรพตพิสัยพทิ ยาคม พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกึ ษา 2551 ได้กาหนดโครงสร้างรายวิชาเพ่ิมเติม
สาหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 2 กลุม่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี เปน็ รหสั วิชา
ง30241 รายวชิ า Web design and Development นา้ หนัก 1.0 หน่วยกติ เวลาเรยี น 40 ช่ัวโมง (โรงเรยี น
บรรพตพิสัยพิทยาคม, 2551 : 40-43) โดยมีเนอ้ื หาสาระการศกึ ษาตามคาอธบิ ายรายวชิ าเกย่ี วกบั การศึกษา
หลกั การออกแบบเว็บไซต์ (โรงเรียนบรรพตพสิ ัยพิทยาคม, 2551 : 257) ซง่ึ ปัญหาทีเ่ กิดขนึ้ ใน
การจัดการเรยี นการสอน รหัสวิชา ง30241 รายวชิ า Web design and Development ทผี่ า่ นมา
ครผู ูส้ อนต้องพัฒนาตนเองท้งั ดา้ นความรู้ ทกั ษะและการจดั หาสื่อการเรียนการสอน เพื่อนามาใชใ้ นการสอนด้วย
ตนเอง เนือ่ งจากการสอนในรายวิชานไี้ ม่มหี นงั สอื เรียน ตาราเรยี นหรือเอกสารประกอบการเรียนทีม่ ีเนอ้ื หาตรง
ตามคาอธิบายรายวิชาของหลักสตู รสถานศึกษา โดยหนงั สือหรือค่มู อื การสร้างเวบ็ ไซต์ ทม่ี ขี ายตามร้านหนงั สอื บาง
เลม่ จะมเี นื้อหามากเกินไป มีราคาสูงและไม่มเี น้ือหาตรงกับคาอธิบายรายวิชาของหลักสูตร ประจวบกบั ผู้ปกครอง
ของนักเรียนสว่ นใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีพอ เพราะประกอบอาชีพเกษตรกรและรับจ้าง จงึ ทาให้มนี ักเรียนไม่
มีกาลังซ้ือหนงั สือหรือคู่มือการใชง้ านการสรา้ งเวบ็ ไซต์ท่ขี ายตามรา้ นหนงั สอื ได้ ในส่วนของหนังสือหรือคู่มอื ทท่ี าง
โรงเรยี นจัดเตรยี มไว้ให้ก็มีจานวนน้อยไมเ่ พยี งพอสาหรบั นักเรยี นทุกคน และนักเรียนไม่สามารถนาหนงั สอื หรือ
คู่มอื ไปศึกษาทบทวนเพ่ิมเตมิ นอกเวลาเรยี นได้ ทาให้ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นต่ากวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด
และปัญหาหนึ่งที่สาคญั ส่งผลต่อการเรยี นรู้ของนักเรียน คือ ขาดสอ่ื การเรยี นรู้ทเ่ี หมาะสมในการจัดการเรยี นการ
สอน ซง่ึ ผูศ้ กึ ษาเป็นครูผสู้ อนมาหลายปี จงึ ได้ค้นหาวธิ ีที่จะปรบั ปรงุ และพัฒนาจัดการเรียนการสอนใหม้ ี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขนึ้ และจากเอกสารงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง พบวา่ เอกสารประกอบการเรยี นมีคุณลกั ษณะ
เหมาะสมกับสภาพปญั หา เพราะเอกสารประกอบการสอน ประกอบด้วย ใบเนื้อหา แบบฝึกหัดท้ายบทเรยี น ใบ
งานและใบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิ ซ่ึงเอกสารสอน มปี ระโยชนแ์ ละคุณค่าต่อการเรยี นการสอนอยู่หลายประการ
เช่น ชว่ ยลดภาระของผู้สอน ทาให้ผูเ้ รยี นได้รบั ความรใู้ นแนวเดยี วกนั ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการสอนอยา่ ง
เชอ่ื ถอื ได้ ช่วยให้ครถู า่ ยทอดเนอ้ื หาและประสบการณ์ท่สี ลับซบั ซอ้ น ชว่ ยครไู ม่ตอ้ งเสยี เวลาในการคิดค้นมาก และ
ชว่ ยสร้างความพร้อมและความม่นั ใจแกผ่ ู้สอน เปน็ ต้น สอดคล้องกับงานวิจยั ของ สันทนา สงครินทร์ (2555 :
บทคดั ย่อ) ได้ทาการศกึ ษาเพื่อพัฒนาหาประสิทธภิ าพ หาประสทิ ธิผลทางการเรยี นรู้ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียน และประเมินความพงึ พอใจของนกั ศกึ ษาท่มี ีต่อเอกสารประกอบการสอน วิชาช่าง
ไมโครคอนโทรลเลอร์ (1105-5203) หลกั สตู รวชิ าชีพระยะส้นั พุทธศักราช 2548 วิทยาลัยสารพดั ช่างอุดรธานี
ประเภทวชิ าช่างอตุ สากรรม ผลการศึกษาพบวา่ เอกสารประกอบการสอนที่พฒั นาขึ้นมีประสทิ ธิภาพ เท่ากับ
87.13/86.79 สงู กวา่ เกณฑ์ท่ีตง้ั ไว้ 80/80 ประสทิ ธผิ ลทางการเรียนรโู้ ดยใช้เอกสารประกอบการสอนที่พัฒนาขน้ึ
ทาให้นักศึกษามปี ระสทิ ธิผลทางการเรยี นรู้ เท่ากบั 78.84 สูงกวา่ เกณฑท์ ่ีตงั้ ไว้ 60 ผลการทดสอบความแตกต่าง
ของคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรยี นโดยใช้คา่ ที (t-test) พบวา่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักศกึ ษาหลงั เรยี นสงู
กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั .01 และผลการประเมินความพงึ พอใจของนักศึกษาที่มตี ่อเอกสาร
ประกอบการสอน พบว่า นักศกึ ษามีความพงึ พอใจอย่ใู นระดับมาก (คา่ เฉล่ยี 4.38, S.D. = 0.43)
จากเหตผุ ลดงั กล่าวขา้ งตน้ ผูร้ ายงานในฐานะผ้สู อนวิชา Web design and Development จึงมีความ
สนใจท่จี ะพัฒนาเอกสารประกอบการเรยี น กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง30241
รายวชิ า Web design and Development ช้นั มยั ธมศึกษาปที ่ี 4 ข้นึ สาหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 โดย
การวเิ คราะห์เนื้อหา วางแผนการสอน ผลติ ส่อื การสอนและการทดสอบประสิทธิภาพตามหลกั ทฤษฎี เพ่ือใชใ้ นการ
เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมนักเรยี นในการเรียนรใู้ หบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายที่กาหนด และเพื่อแก้ปญั หา
ทางด้านผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียนใหส้ งู ขึ้น
2. วัตถปุ ระสงค์ของการรายงาน
2.1 เพื่อศึกษาประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรยี น กลุม่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web Design and Development สาหรบั นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4/3 และ 4/4
ปีการศกึ ษา 2559 – 2560 ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
2.2 เพอ่ื ศึกษาความก้าวหน้าทางการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียนของนักเรียนทีเ่ รียนด้วยเอกสาร
ประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web Design and
Development สาหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4
2.3 เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนทเ่ี รียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การ
งานอาชพี และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง30241 รายวชิ า Web Design and Development สาหรบั นกั เรียนช้นั
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4
3. สมมตฐิ านของการศกึ ษา
3.1 เอกสารประกอบการเรยี น รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web design and Development กลุ่ม
สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
3.2 นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ทเี่ รียนโดยใชเ้ อกสารประกอบการเรียนรหัสวชิ า ง30241
รายวชิ า Web design and Development กลมุ่ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่
4 ความกา้ วหน้าทางการเรยี นของนักเรียนท่เี รียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี นมีความก้าวหนา้ งทางการเรยี นอยา่ งมี
นัยสาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05
3.3 นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ที่เรยี นโดยใชเ้ อกสารประกอบการเรยี นรหัสวชิ า ง30241 รายวิชา
Web design and Development กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 มี
ความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีตอ่ เอกสารประกอบการเรียนอยู่ใน ระดับมาก
4. ขอบเขตของการศึกษา
4.1. ขอบเขตด้านประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
4.1.1 ประชากร
ประชากร คือ นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นบรรพตพิสยั พิทยาคม สานักงานเขตพนื้ ที่
การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2559(ปีแรกที่พัฒนา) จานวน 2 หอ้ งเรยี น จานวน 73
คน และ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2560(ปีทส่ี องของพัฒนา) จานวน 2 ห้องเรียน จานวน 63 คน รวมทัง้ ส้ิน
จานวน 136 คน
4.1.2 กลุ่มตัวอยา่ ง ได้แก่
1.) กลุ่มตัวอย่างในการทดสอบประสิทธิภาพเบื้องต้น (ปีแรกท่ีพัฒนา) คือ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2559 โรงเรยี นบรรพตพิสัยพิทยาคม เขตพื้นที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา
เขต 42 มีนักเรียนท้ังหมด จานวน 73 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ด้วยวิธีการจับ
ฉลาก และใชห้ อ้ งเรยี นเป็นหนว่ ยการสุ่ม และกลมุ่ ท่ีทดลองใช้จรงิ มี 3 ขัน้ ตอน คือ ข้ันทดลองใช้เบ้ืองตน้ แบบเดย่ี ว
(นักเรียนจานวน 3 คน) ข้ันทดลองใช้เบื้องต้นแบบกลุ่ม (นักเรียนจานวน 9 คน) และ ข้ันทดลองใช้เบื้องต้นแบบ
ภาคสนาม (นักเรียนจานวน 42 คน)
2.) กลุ่มตัวอย่างในการทดลองใชจ้ ริง (ปที ีส่ องของพฒั นา) คือ นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ท่ี
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนบรรพตพิสยั พิทยาคม เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 42 มีนักเรียน
ท้ังหมด จานวน 63 คน แบบทดลองใช้จริง (นักเรียนจานวน 42 คน) โดยคละกันระหว่างนักเรียนท่ีมีผลการเรียน
เกง่ 15 คน ปานกลาง 12 คน และออ่ น 15 คน รวมมีทงั้ หมด 42 คน
4.2. ขอบเขตดา้ นเนื้อหาในการรายงาน
เน้อื หาของเอกสารประกอบการเรยี น กลุม่ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง
30241 รายวิชา Web design and Development ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 เป็นไปตามหลกั สูตรโรงเรียนบรรพต
พสิ ยั พิทยาคม พุทธศักราช 2551 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 สานกั งาน
คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ประกอบด้วยหนว่ ยการเรียนรู้จานวน 5 หนว่ ย ดังน้ี
1.1 หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 เร่ือง รู้จักการทางานของเวบ็ ไซต์เบ้ืองต้น
1.2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง Banner และ Button สวยดว้ ย Photoshop
1.3 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง เรมิ่ ตน้ สร้างเว็บกบั Dreamweaver
1.4 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 เรอื่ ง สร้างเวบ็ ง่ายๆ สไตล์ Dreamweaver
1.5 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 5 เรือ่ ง การอัพโหลดและจรรยาบรรณในการใช้
อินเทอร์เน็ต
โดยตามคาอธิบายรายวชิ าได้กาหนดให้เป็นหลกั การการสร้างเว็บไซต์ท่ีใชใ้ นกจิ กรรมการเรียนการ
สอนรหสั วชิ า ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 คอื โปรแกรม
Dreamweaver การสร้างเว็บไซต์
4.3. ขอบเขตดา้ นตัวแปร
ตัวแปรที่ศกึ ษาในการศกึ ษาในคร้งั นี้ ได้แก่
4.3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4
4.3.2 ตวั แปรตาม
1.) ประสทิ ธิภาพของเอกสารประกอบกาเรียน กลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและ
เทคโนโลยี รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
2.) ความก้าวหนา้ ทางการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนของนักเรยี นทเี่ รยี นด้วยเอกสาร
ประกอบการเรียน กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241 รายวิชา Web design
and Development ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4
3.) ความพงึ พอใจของนักเรียนทีเ่ รยี นด้วยเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การ
งานอาชพี และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง30241 รายวิชา Web design and Development ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4
4.4. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการศึกษา
4.4.1 เอกสารประกอบการเรยี น กล่มุ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง
30241 รายวิชา Web design and Development ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4
4.4.2 แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี นดว้ ยเอกสารประกอบการเรยี น กลุ่มสาระการ
เรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง30241 รายวชิ า Web design and Development ช้ันมธั ยมศึกษา
ปีท่ี 4
4.4.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี ่อเอกสารประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการ
เรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 4
4.5. ระยะเวลาในการศึกษา
ระยะเวลาทีใ่ ชใ้ นการทดลองเอกสารประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 จานวน 5 หนว่ ย
ใชเ้ วลาในการทดลอง 12 สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ช่ัวโมง ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560
5. นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
5.1 เอกสารประกอบการเรียน หมายถงึ เอกสารประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงาน
อาชพี และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ใช้
สอนควบคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าเพิ่มเติม รหสั วิชา ง30241 รายวิชา Web design and
Development สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 โครงสร้างหลกั สูตรโรงเรียนบรรพตพสิ ัยพิทยาคม
พุทธศักราช 2551 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน ซ่งึ ประกอบดว้ ยหนว่ ยการเรยี นรู้ จานวน 5 หน่วย ได้แก่
หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1 เรอื่ ง รู้จักการทางานของเว็บไซตเ์ บอื้ งตน้
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง Banner และ Button สวยด้วย Photoshop
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เร่อื ง เริ่มต้นสรา้ งเวบ็ กบั Dreamweaver
หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 4 เร่อื ง สร้างเวบ็ งา่ ยๆ สไตล์ Dreamweaver
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5 เรือ่ ง การอัพโหลดและจรรยาบรรณในการใชอ้ ินเทอร์เน็ต
สว่ นประกอบแตล่ ะเล่มประกอบดว้ ย คาชีแ้ จงการใชเ้ อกสารประกอบการเรียน คาชีแ้ จงสาหรับครูผ้สู อน
คาชแ้ี จงสาหรับนักเรยี น หวั ข้อเรอื่ ง สาระสาคญั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เน้อื หาสาระ
กจิ กรรม แบบฝึกหดั และแบบทดสอบหลงั เรียน พร้อมทัง้ แนวการตอบกจิ กรรม เฉลยแบบฝึกหดั และเฉลย
แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรียน
5.2 ประสทิ ธิภาพของส่ือทีพ่ ัฒนา หมายถงึ คุณภาพของการพัฒนาบทเรียน กลุ่มสาระการเรียนรกู้ าร
งานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4
เรื่อง การสรา้ งเวบ็ ไซต์ ทที่ าให้ผู้เรยี นให้บรรลุตามเกณฑท์ ่ีกาหนด 80/80
80 ตวั แรก คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนนกจิ กรรมระหวา่ งการเรียนในแต่ละหน่วยการเรยี นของนกั เรียนที่
เรยี นด้วยเอกสารประกอบการเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี รหัสวิชา ง30241 รายวิชา
Web design and Development ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ของแตล่ ะหน่วยการเรียน จานวน 5 หนว่ ย ไดแ้ ก่
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง รู้จกั การทางานของเวบ็ ไซต์เบื้องต้น เล่มท่ี 1
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอ่ื ง Banner และ Button สวยดว้ ย Photoshop เล่มท่ี 2
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 เร่อื ง เริ่มต้นสรา้ งเวบ็ กบั Dreamweaver เลม่ ที่ 3
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 เรอื่ ง สร้างเว็บง่ายๆ สไตล์ Dreamweaver เลม่ ที่ 4
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 5 เรอ่ื งการอพั โหลดและจรรยาบรรณในการใชอ้ นิ เทอร์เนต็ เลม่ ที่ 5
คดิ เปน็ รอ้ ยละ 80
80 ตวั หลงั คอื ค่าเฉลี่ยของคะแนนแบบทดสอบหลังการเรียนในแต่ละหนว่ ยการเรียนของนักเรยี น
ท่ีเรยี นด้วยเอกสารประกอบการเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วชิ า ง30241
รายวิชา Web design and Development ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ของแตล่ ะหนว่ ยการเรียน จานวน 5 หน่วย
ไดแ้ ก่
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 เรือ่ ง รจู้ ักการทางานของเว็บไซตเ์ บ้ืองตน้ เล่มที่ 1
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง Banner และ Button สวยดว้ ย Photoshop เล่มที่ 2
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 เรื่อง เร่ิมตน้ สร้างเวบ็ กบั Dreamweaver เล่มท่ี 3
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 เรอ่ื ง สร้างเว็บงา่ ยๆ สไตล์ Dreamweaver เลม่ ท่ี 4
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 5 เรอื่ งการอพั โหลดและจรรยาบรรณในการใช้อนิ เทอรเ์ น็ตเลม่ ที่ 5
คิดเป็นรอ้ ยละ 80
5.3 แบบทดสอบวัดความกา้ วหน้าทางการเรียน หมายถงึ แบบทดสอบทีผ่ วู้ ิจยั สรา้ งขน้ึ เพ่ือวดั
ความสามารถทางการเรียนของผเู้ รยี นก่อนเรียนและหลังเรียนดว้ ยการใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น กลุ่มสาระ
การเรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี รหสั วิชา ง30241 รายวชิ า Web design and Development ช้ัน
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 เป็นแบบปรนัยชนดิ 4 ตวั เลอื ก จานวน 10 ข้อทฤษฎี และ แบบปฏิบัติ ของแต่ละหนว่ ยการ
เรียนรู้
5.4 ความก้าวหน้าทางการเรียน หมายถึง คะแนนท่ผี ู้เรยี นทาไดจ้ ากแบบทดสอบวัดผลทางการเรียน
ก่อนเรยี นและหลังเรียนดว้ ยเอกสารประกอบการเรยี น กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รหัสวิชา
ง30241 รายวชิ า Web design and Development ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
5.5 ความพึงพอใจ หมายถึง ความรสู้ กึ ในเชิงบวกของผเู้ รยี นที่มตี อ่ การจดั การเรยี นการสอนดว้ ยเอกสาร
ประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รหัสวิชา ง30241 รายวิชา Web design
and Development ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4
5.6 โรงเรยี น หมายถึง โรงเรยี นบรรพตพสิ ยั พิทยาคม อาเภอบรรพตพิสัย จงั หวัดนครสวรรค์ สานกั งาน
เขตพืน้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42 สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
5.7 นักเรียน หมายถึง นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 4 จานวน 73 คน ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2559
และนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 จานวน 63 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรยี นบรรพตพิสยั พทิ ยาคม
อาเภอบรรพตพสิ ัย จงั หวดั นครสวรรค์ สานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 42 สานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
5.8 กรอบแนวคดิ ของการศึกษา
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการ
เรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี รหสั วิชา ง30241 รายวิชา Web design and Development ชน้ั มัธยมศกึ ษา
ปีที่ 4 ผวู้ ิจัยได้กาหนดกรอบแนวคดิ ของการศึกษา ได้ดังภาพท่ี 1.1
แผนภาพที่ 1 แสดงแสดงกรอบแนวคดิ ของการศึกษาเอกสารประกอบการเรียน รหสั วชิ า ง30241 วชิ า Web
Design and Development กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
เอกสารประกอบการเรียน 1. ประสทิ ธภิ าพของเอกสารประกอบการเรียน
2. ความกา้ วหน้าทางการเรียน รหสั วชิ า ง30241
รายวิชา Web design and Development
3. ความพึงพอใจของนกั เรียน
6. ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รบั
6.1. ได้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รหัสวิชา ง30241
รายวิชา Web design and Development ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ที่กาหนด 80/80
6.2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
รหัสวิชา ง30241 รายวิชา Web design and Development ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4ปีการศึกษา 2559 ภาคเรียน
ที่ 2 และปี 2560 ภาคเรียนที่ 2 มคี วามกา้ วหน้าทางการเรยี นสูงขน้ึ
6.3. เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และเกิดการเรียนรู้อย่าง
ต่อเนื่องและคงทน
6.4. เป็นแนวทางสาหรับครูในการสร้างและใช้เอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ
ตอ่ ไป
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง
การศกึ ษา เรอ่ื ง การพัฒนาเอกสารประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี
รหัสวชิ า ง30241 วิชา Web Design and Development ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ครั้งน้ี ผู้ศกึ ษาได้ทาการศกึ ษา
เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ียวข้องตามลาดับหัวขอ้ ดังนี้
1. เอกสารที่เกยี่ วขอ้ งกับหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการ
เรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี
1.1 ทาไมต้องเรยี นการงานอาชพี และเทคโนโลยี
1.2 เรยี นร้อู ะไรในการงานอาชพี และเทคโนโลยี
1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
1.4 คุณภาพผู้เรียน
1.5 คาอธบิ ายรายวชิ าเพิ่มเติม รหัสวชิ า ง30241 วิชา Web Design and Development
1.6 โครงสรา้ งรายวชิ าเพ่มิ เติม รหัสวชิ า ง30241 วิชา Web Design and Development
1.7 การวัดและประเมนิ ผลรายวิชาเพ่ิมเติมรหัสวชิ า ง30241 วชิ า Web Design and
Development
2. เอกสารเกยี่ วกับเอกสารประกอบการเรยี น
2.1 ความหมายของเอกสารประกอบการเรยี น
2.2 องค์ประกอบของเอกสารประกอบการเรยี น
2.3 ประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรียน
2.4 ขนั้ ตอนการสรา้ งเอกสารประกอบการเรียน
2.5 ทฤษฎีและจิตวิทยาการเรียนรู้ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการสร้างส่อื การเรียนการสอน
3. เอกสารเกยี่ วกบั ความก้าวหนา้ ทางการเรียน
3.1 ความหมายของความก้าวหน้าทางการเรยี น
3.2 ประเภทของแบบทดสอบวดั ความกา้ วหน้าทางการเรียน
3.3 การสรา้ งแบบทดสอบวัดความก้าวหน้าทางการเรียน
3.4 การหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดความก้าวหน้าทางการเรยี น
4. เอกสารเกีย่ วกบั แนวคดิ ทฤษฎี ความพึงพอใจ
4.1 ความหมายของความพงึ พอใจ
4.2 แนวคดิ และทฤษฎีท่ีเกย่ี วกบั ความพงึ พอใจ
4.3 การวดั ความพึงพอใจ
4.4 การหาคุณภาพแบบสอบถามความพึงพอใจ
5. เอกสารเกี่ยวกบั การหาประสทิ ธภิ าพส่ือ
5.1 ความหมายและความสาคัญของการหาประสทิ ธภิ าพส่ือ
5.2 ความจาเปน็ ของการหาประสทิ ธภิ าพสอ่ื
5.3 การกาหนดเกณฑป์ ระสิทธภิ าพสื่อ
5.4 เกณฑป์ ระสทิ ธิภาพส่ือท่ียอมรับ
5.5 ขนั้ ตอนการหาประสิทธภิ าพสอ่ื
6. งานวิจัยทีเ่ กยี่ วข้อง
6.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
6.2 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ
เอกสารทเ่ี กีย่ วข้องกบั หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลมุ่
สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551 ข, หนา้ 204 - 219 ) กลา่ วถงึ หลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ไวด้ งั นี้
1.1 ทาไมต้องเรียนการงานอาชีพและเทคโนโลยี
กลุ่มสาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยเี ปน็ กลมุ่ สาระท่ีช่วยพฒั นาใหผ้ ้เู รียน
มคี วามรู้ ความเข้าใจ มีทักษะพืน้ ฐานท่ีจาเปน็ ต่อการดารงชีวติ และรเู้ ทา่ ทนั การเปลีย่ นแปลง สามารถนา
ความร้เู ก่ียวกับการดารงชีวติ การอาชีพและเทคโนโลยีมาใชป้ ระโยชน์ในการทางานอย่างมคี วามคิดสรา้ งสรรค์
และแข่งขนั ในสงั คมไทยและสากลเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพรักการทางาน และมีเจตคตทิ ีด่ ตี ่อการทางาน
สามารถดารงชวี ิตอยู่ในสังคมไดอ้ ย่างพอเพยี ง และ
มคี วามสุข
1.2 เรียนร้อู ะไรในการงานอาชีพและเทคโนโลยี
กลุม่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรยี นแบบองคร์ วม เพ่ือให้
มีความรคู้ วามสามารถ มีทกั ษะในการทางาน เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอ่ ได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ โดยมสี าระสาคัญดังนี้
1.2.1 การดารงชีวิตและครอบครวั เป็นสาระเกย่ี วกับการทางานในชีวิตประจาวันชว่ ยเหลอื ตนเอง
ครอบครวั และสังคมไดใ้ นสภาพเศรษฐกิจที่พอเพียง ไมท่ าลายสงิ่ แวดลอ้ ม เนน้ การปฏบิ ัติจริงจน
เกดิ ความมนั่ ใจและภูมิใจในผลสาเร็จของงาน เพือ่ ให้ค้นพบความสามารถ ความถนดั และความสนใจ
ของตนเอง
1.2.2 การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรยี นรทู้ ่ีเก่ียวกับการพฒั นา
ความสามารถของมนุษย์อย่างสร้างสรรค์ โดยนาความรูม้ าใชก้ ับกระบวนการเทคโนโลยี
สร้างสิง่ ของเครื่องใช้วิธีการหรือเพ่ิมประสิทธภิ าพในการดารงชีวติ
1.2.3 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร เปน็ สาระเกยี่ วกบั กระบวนการเทคโนโลยสี ารสนเทศ
การตดิ ต่อสอ่ื สาร การค้นหาข้อมูล การใช้ข้อมูลและสารสนเทศ
การแก้ปัญหาหรอื การสรา้ งงาน คณุ คา่ และผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
1.2.4 การอาชีพ เปน็ สาระทเี่ ก่ยี วข้องกับทกั ษะทจี่ าเป็นต่ออาชพี เหน็ ความสาคญั ของคณุ ธรรม
จริยธรรม และเจตคตทิ ่ดี ีตอ่ อาชพี ใชเ้ ทคโนโลยีได้เหมาะสม เห็นคณุ ค่าของอาชีพสจุ ริต และเห็นแนวทางในการ
ประกอบอาชีพ
1.3 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 1 การดารงชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง 1.1 เขา้ ใจการทางาน มีความคิดสรา้ งสรรค์ มที ักษะกระบวนการทางาน ทักษะการ
จัดการ ทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหา ทกั ษะการทางานรว่ มกนั และทักษะการแสวงหาความรู้ มคี ุณธรรม และ
ลกั ษณะนสิ ยั ในการทางาน มีจิตสานกึ ในการใช้พลงั งาน ทรัพยากร และสิง่ แวดลอ้ มเพ่ือ
การดารงชีวติ และครอบครัว
สาระท่ี 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยแี ละกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างส่ิงของเคร่ืองใช้
หรือวิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอยา่ งมีความคดิ สร้างสรรค์ เลอื กใช้เทคโนโลยใี นทางสรา้ งสรรคต์ ่อชวี ิต
สงั คม ส่ิงแวดล้อม และมสี ่วนรว่ มในการจัดการเทคโนโลยีท่ียัง่ ยืน
สาระที่ 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เหน็ คุณคา่ และใชก้ ระบวนการเทคโนโลยสี ารสนเทศในการสบื คน้ ขอ้ มูล
การเรยี นรู้ การส่ือสาร การแก้ปัญหา การทางาน และอาชีพอยา่ งมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีคุณธรรม
สาระที่ 4 การอาชีพ
มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มที ักษะท่จี าเปน็ มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชพี ใช้
เทคโนโลยีเพอ่ื พฒั นาอาชพี มีคุณธรรม และมีเจตคติที่ดีต่ออาชพี
1.4 คณุ ภาพผเู้ รียน
4.1 เมือ่ จบชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
4.1.1 เข้าใจกระบวนการทางานทม่ี ปี ระสิทธิภาพ ใช้กระบวนการกลมุ่ ในการ
ทางาน มีทักษะการแสวงหาความรู้ ทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหาและทักษะการจดั การ มีลกั ษณะนสิ ัยการทางานท่ี
เสยี สละ มีคุณธรรม ตัดสินใจอยา่ งมีเหตุผลและถูกตอ้ ง และมีจิตสานกึ ในการใช้
พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มอย่างประหยัดและคมุ้ ค่า
4.1.2 เขา้ ใจกระบวนการเทคโนโลยีและระดับของเทคโนโลยี มีความคดิ สร้างสรรค์ในการ
แกป้ ัญหาหรือสนองความต้องการ สร้างสิ่งของเคร่ืองใช้หรอื วธิ กี าร
ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างถกู ต้องและปลอดภยั โดยถ่ายทอดความคดิ เปน็ ภาพฉายเพอ่ื นาไปส่กู ารสรา้ ง
ชิ้นงานหรอื แบบจาลองความคิดและการรายงานผล เลอื กใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งสรา้ งสรรค์ต่อชวี ติ สังคม สิง่ แวดลอ้ ม
และมกี ารจดั การเทคโนโลยดี ้วยการลดการใช้ทรัพยากรหรือเลือกใช้เทคโนโลยีท่ไี ม่มผี ลกระทบกบั สิง่ แวดลอ้ ม
4.1.3 เข้าใจหลักการเบ้ืองต้นของการสือ่ สารข้อมลู เครือข่ายคอมพวิ เตอร์ หลักการและวิธี
แกป้ ญั หา หรือการทาโครงงานดว้ ยกระบวนการทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ มีทักษะการค้นหาข้อมลู และการ
ตดิ ต่อสอ่ื สารผา่ นเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์อยา่ งมีคุณธรรมและจรยิ ธรรม การใช้คอมพวิ เตอร์ในการแก้ปญั หา สร้าง
ช้นิ งานหรือโครงงานจากจนิ ตนาการ และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศนาเสนองาน
4.1.4 เขา้ ใจแนวทางการเลอื กอาชพี การมีเจตคตทิ ่ดี ตี ่อและเหน็ ความสาคญั ของการประกอบ
อาชพี วธิ ีการหางานทา คณุ สมบัตทิ ีจ่ าเปน็ สาหรบั การมีงานทา วเิ คราะหแ์ นวทางเขา้ สู่อาชพี มีทักษะพืน้ ฐานที่
จาเป็นสาหรับการประกอบอาชีพ และประสบการณต์ ่ออาชพี ทีส่ นใจ และประเมนิ ทางเลือก
ในการประกอบอาชีพท่สี อดคลอ้ งกบั ความรู้ ความถนัด และความสนใจ
4.2 เม่อื จบชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6
4.2.1 เขา้ ใจวิธีการทางานเพื่อการดารงชวี ิต สรา้ งผลงานอยา่ งมีความคิดสรา้ งสรรค์ มที ักษะ
การทางานร่วมกนั ทกั ษะการจดั การ ทักษะกระบวนการแก้ปญั หา และทักษะการแสวงหาความรู้ ทางานอยา่ งมี
คณุ ธรรม และมจี ิตสานึกในการใช้พลงั งานและทรัพยากรอย่างคมุ้ ค่าและยง่ั ยืน
4.2.2 เขา้ ใจความสมั พันธร์ ะหวา่ งเทคโนโลยีกับศาสตรอ์ นื่ ๆ วิเคราะหร์ ะบบ
เทคโนโลยมี ีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ สรา้ งและพฒั นา สงิ่ ของเคร่ืองใช้หรือ
วิธกี าร ตามกระบวนการเทคโนโลยอี ยา่ งปลอดภยั โดยใชซ้ อฟท์แวรช์ ว่ ยในการออกแบบหรอื นาเสนอผลงาน
วิเคราะหแ์ ละเลือกใชเ้ ทคโนโลยที ีเ่ หมาะสมกับชีวติ ประจาวนั อย่างสร้างสรรค์ต่อชีวติ สงั คม
ส่ิงแวดลอ้ ม และมีการจัดการเทคโนโลยดี ้วยวธิ ีการของเทคโนโลยีสะอาด
4.2.3 เขา้ ใจองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ องคป์ ระกอบและหลักการ
ทางานของคอมพิวเตอร์ ระบบส่ือสารข้อมลู สาหรับเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ คุณลักษณะของคอมพิวเตอร์ และ
อุปกรณ์ต่อพ่วง และมที ักษะการใช้คอมพิวเตอร์แกป้ ญั หา เขียนโปรแกรมภาษา พัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ใช้
ฮารด์ แวรแ์ ละซอฟตแ์ วร์ ติดต่อสื่อสารและค้นหาข้อมูลผา่ นอนิ เทอรเ์ นต็ ใช้คอมพวิ เตอรใ์ นการประมวลผลข้อมูลให้
เป็นสารสนเทศเพ่ือการตดั สินใจใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศนาเสนองาน และใช้คอมพวิ เตอร์สรา้ งชนิ้ งานหรอื โครงงาน
4.2.4 เขา้ ใจแนวทางสู่อาชพี การเลือก และใช้เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสมกบั
อาชีพ มีประสบการณใ์ นอาชีพทถ่ี นัดและสนใจ และมคี ุณลักษณะท่ีดตี ่ออาชีพ
1.5 คาอธิบายวิชา Web Design and Development รหัสวิชา ง30241
โครงสรา้ งของเวบ็ ไซต์ การจัดทาหนา้ เวบ็ และการเชื่อมโยงและการจัดสร้างเว็บไซต์ เรียนรู้การ
กาหนดแนวคิด และ การวางแผนเพอ่ื การผลติ เวบ็ ไซต์ และเรียนรูเ้ กีย่ วกับการใชง้ านซอฟตแ์ วรท์ ่ีใช้สาหรบั การ
ออกแบบและการสร้างเว็บไซตก์ ารจดช่อื โดเมนการขอพื้นท่กี ารอัพโหลดเวบ็ ไซต์ขึน้ ส่เู ครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ นต็
ปฏบิ ัตกิ ารออกแบบ และ สร้างเว็บไซตโ์ ดยเลอื กใช้ ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ท่ีเหมาะสมปฏิบตั ิ
และประยุกตใ์ ช้โปรแกรมสาเร็จรปู Adobe Dreamweaver ในการสร้างเวบ็ เพจ โดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้ความ
เขา้ ใจกระบวนการคิดวิเคราะห์กระบวนการแกป้ ญั หาความสามารถในการคิด การสอื่ สารและการใชเ้ ทคโนโลยี
ใชก้ ระบวนการสืบค้นกระบวนการคิดวเิ คราะห์กระบวนการทางานกลมุ่ และกระบวนการ
แก้ปญั หาเพอื่ ใหเ้ กิดความรูค้ วามเขา้ ใจความคดิ ริเริ่มสร้างสรรค์อยา่ งมคี วามรบั ผิดชอบ มีมารยาท และเกิด
ประโยชน์สงู สดุ ตอ่ ตนเองและสงั คม จนสามารถสร้างชน้ิ งานจากจินตนาการ หรืองานท่ีทาในชวี ิตประจาวนั โดยนา
ภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ มาประยุกต์ใช้ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ในการดารงชวี ติ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความรู้ความเข้าใจ
ในการสร้างสรรคผ์ ลงานทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศและเกิดเจตคติที่ดีทาใหส้ ามารถใช้คอมพวิ เตอร์ ในทาง
สรา้ งสรรค์
ผลการเรียนรู้
1.5.1. มีความรู้ความเข้าใจพ้ืนฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต และสว่ นประกอบของเว็บไซต์
1.5.2. มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถใชโ้ ปรแกรม Adobe Photoshop ในการออกแบบ แบนเนอร์ ปมุ่
เมนู หน้าเว็บไซตไ์ ดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์
1.5.3. สามารถประยกุ ต์ใช้โปรแกรม Adobe Photoshop สรา้ ง Web Photo Gallery ในการตกแตง่ เว็บเพจ
ได้
1.5.4. มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกับขั้นตอนการสรา้ งเว็บเพจ และสามารถสร้างงานเวบ็ เพจเบื้องต้นโดยมีความ
ใฝ่ เรียนรู้ และมุ่งมัน่ ในการทางาน
1.5.5. มีความร้คู วามเข้าใจเก่ียวกบั ขนั้ ตอนการสรา้ งตาราง และสามารถสรา้ งตารางเพอ่ื ออกแบบหนา้ เว็บเพจ
ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม โดยมีความใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ันในการทางาน
1.5.6. มีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การจัดวางรปู ภาพหรือขอ้ ความ บนหนา้ เว็บเพจ สามารถตกแต่ง และจัด
วางรปู ภาพหรอื ข้อความได้อย่างถกู ต้อง เหมาะสม โดยมีความใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทางาน
1.5.7. มีความรคู้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกับขนั้ ตอนการสรา้ งจุดเชอื่ มโยง (Link) และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยง ใน
รูปแบบ ตา่ งๆไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เหมาะสม โดยมีความใฝ่เรียนรู้
1.5.8. มีความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกบั การออกแบบเลยเ์ อาท์ จัดวางรปู ภาพหรือข้อความในเลย์เอาท์ไดอ้ ย่าง
ถกู ต้อง เหมาะสม โดยมคี วามใฝ่เรียนรู้ และมคี วามซื่อสตั ย์สจุ ริต
1.5.9. มคี วามรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับ การสรา้ งเฟรมเซต สามารถสร้าง และเช่ือมโยงเว็บเพจในแตล่ ะเฟรมได้
อยา่ ง สรา้ งสรรค์ และมีความรบั ผดิ ชอบ
1.5.10. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกีย่ วกบั การสรา้ งฟอรม์ ในรูปแบบตา่ งๆ จาแนกความแตกต่างของฟอร์ม แตล่ ะ
ประเภท และสามารถสร้างฟอร์มในรปู แบบของตนเองได้อย่างสรา้ งสรรค์ และมีความรับผิดชอบ
1.5.11. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกีย่ วกับ จรรยาบรรณ คุณธรรม และจริยธรรมในการใชง้ านอินเตอรเ์ น็ต และการ
เผยแพรเ่ วบ็ ไซต์
1.5.12. มคี วามรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกับหลกั การในการอัพโหลดเว็บไซต์ และสามารถอัพโหลดไฟล์ ส่เู ว็บไซต์
เพอื่ เผยแพร่ผลงานได้
1.6 โครงสร้างรายวิชาเพิ่มเตมิ วิชา Web Design and Development รหัสวิชา
ง30241 สาหรบั นักเรียนระดับช้ัน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4
ตารางท่ี 1 แสดงโครงสรา้ งรายวชิ าเพ่ิมเตมิ ง30241 วชิ า Web Design and Development
กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต
ตารางที่ 1
หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา คะแนน
(ชม.)
รู้จักการทางานของ 1. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจพนื้ ฐานเกีย่ วกบั
เวบ็ ไซต์เบือ้ งตน้ อนิ เทอร์เนต็ และสว่ นประกอบของ - อนิ เทอร์เนต็ 4 10
เว็บไซต์
- สว่ นประกอบของ
เวบ็ ไซต์
Banner และ 2. มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถใช้ - การสรา้ งแบน 5 10
Button สวย ดว้ ย 5 10
Photoshop โปรแกรม Adobe Photoshop ในการ เนอร์
เร่มิ ต้นสร้างเวบ็ กบั ออกแบบ หนา้ เวบ็ ไซต์ได้อย่าง - การสรา้ งปุม่ เมนู
Dreamweaver
สร้างสรรค์ - การสร้าง Web
3. สามารถประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรม Adobe Photo Gallery
Photoshop สร้าง
แบนเนอร์ ปุ่ม เมนู และ Web Photo
Gallery ในการตกแต่งเว็บเพจ ได้
4. มีความรูค้ วามเข้าใจเกย่ี วกับขั้นตอน - การสรา้ งเวบ็ ไซต์
การสรา้ งเวบ็ เพจ และสามารถสรา้ งงาน เบื้องต้น
เวบ็ เพจเบอ้ื งตน้ โดยมีความใฝ่เรยี นรู้ และ - การแต่งเว็บสวย
ม่งุ มั่นในการทางาน ด้วยตาราง
5. มคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกับข้นั ตอน - การจัดวาง
การสร้างตาราง และสามารถสร้างตาราง รูปภาพหรือ
เพือ่ ออกแบบหนา้ เวบ็ เพจได้อยา่ งถูกต้อง ขอ้ ความ
เหมาะสม โดยมีความใฝเ่ รยี นรู้ และ - การสรา้ งจดุ
มงุ่ มนั่ ในการทางาน เชอ่ื มโยง
6. มีความร้คู วามเข้าใจเก่ียวกับ การจดั - การออกแบบเลย์
วางรปู ภาพหรือข้อความ บนหนา้ เวบ็ เอาท์
เพจ สามารถตกแตง่ และจัดวางรูปภาพ - การออกแบบ
หรอื ข้อความได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม เฟรมเซต
โดยมคี วามใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่ันในการ - การสรา้ งฟอร์ม
ทางาน
หน่วยการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ เวลา คะแนน
(ชม.)
สรา้ งเว็บง่ายๆ สไตล์ 7. มีความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับขั้นตอน 5 20
Dreamweaver การสร้างจดุ เช่อื มโยง (Link) และ site
map ในรปู แบบตา่ งๆได้อยา่ งถกู ต้อง
เหมาะสม โดยมีความใฝ่เรียนรู้
8. มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับการ
ออกแบบเลยเ์ อาท์ จัดวางรูปภาพหรอื
ข้อความในเลย์เอาทไ์ ด้อยา่ งถูกต้อง
เหมาะสม โดยมีความใฝเ่ รียนรู้ และมี
ความซื่อสตั ย์สจุ รติ
9. มคี วามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การสรา้ ง
เฟรมเซต สามารถสรา้ ง และเชือ่ มโยงเวบ็
เพจในแตล่ ะเฟรมได้อยา่ งสร้างสรรค์ และ
มีความรับผิดชอบ
10. มคี วามรู้ความเข้าใจเกีย่ วกับการสร้าง
ฟอรม์ ในรูปแบบตา่ งๆ จาแนกความ
แตกต่างของฟอรม์ แต่ละประเภท และ
สามารถสร้างฟอรม์ ในรปู แบบของตนเอง
ได้อยา่ งสร้างสรรค์ และมคี วามรับผิดชอบ
การอัพโหลดไฟล์ 11. มีความร้คู วามเข้าใจเกย่ี วกับ - จรรยาบรรณ 5 10
และจรรยาบรรณใน จรรยาบรรณ คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมใน คุณธรรม และ
การใช้อินเทอรเ์ นต็ การใช้งานอนิ เตอรเ์ น็ต และการเผยแพร่ จริยธรรมในการใช้
เว็บไซต์ งานอินเทอรเ์ น็ต
12. มคี วามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ - การอพั โหลดไฟล์
ในการอัพโหลดเว็บไซต์ และสามารถอัพ เพื่อเผยแพรผ่ ลงาน
โหลดไฟล์ สู่เว็บไซต์ เพ่ือเผยแพรผ่ ลงาน
ได้
(สอบกลางภาค) 1 , 2, 3, 4, 5,6 - อนิ เทอรเ์ น็ต 1 20
- สว่ นประกอบของ
เว็บไซต์
- การสรา้ งแบน
เนอร์
- การสร้างปุ่มเมนู
หนว่ ยการเรยี นรู้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา คะแนน
(สอบปลายภาค) 7, 8, 9,10,11,12 (ชม.)
รวม - การสร้าง Web
Photo Gallery
- การสรา้ งเวบ็ ไซต์
เบือ้ งตน้
- การแต่งเว็บสวย
ด้วยตาราง
- การจัดวาง
รูปภาพหรอื
ข้อความ
- การสรา้ งจุด 1 20
เชื่อมโยง
- การออกแบบเลย์
เอาท์
- การออกแบบ
เฟรมเซต
- การสร้างฟอร์ม
- จรรยาบรรณ
คณุ ธรรม และ
จริยธรรมในการใช้
งานอนิ เทอร์เน็ต
- การอพั โหลดไฟล์
เพ่ือเผยแพรผ่ ลงาน
26 100
1.7 การวดั และประเมินผลรายวิชาเพ่ิมเติมวิชา Web Design and Development
วัดและประเมนิ ผลจากทาแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน ประเมนิ ผลจากการทากจิ กรรม ประเมิน
พฤติกรรมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ประเมินพฤติกรรมด้านการทางาน
เอกสารเกย่ี วกับเอกสารประกอบการเรยี น
2.1 ความหมายของเอกสารประกอบการเรียน
เอกสารประกอบการเรยี น อาจมกี ารเรยี กแตกต่างกันบ้างตามลักษณะของการนาไปใช้ ได้แก่ เอกสาร
ประกอบการเรยี นรู้ เอกสารประกอบการสอน ในทน่ี ผ้ี รู้ ายงานเรยี ก เอกสารประกอบการเรยี น เนื่องจากเน้นท่ี
ผเู้ รยี นนาไปใช้เรยี น ซึง่ จากการศึกษามีนักวชิ าการให้ความหมาย เอกสารประกอบการเรียน ไว้ดงั น้ี
วเิ ชียร เกษประทุม (2549, หนา้ 2) กล่าววา่ เอกสารประกอบการเรียน หมายถึง เอกสาร
หรืออุปกรณท์ ี่ใช้ประกอบการสอนวิชาใดวชิ าหนึ่งตามหลักสูตรมลี ักษณะเปน็ เอกสารหรืออปุ กรณ์
ทีเ่ ก่ียวข้องในวิชาทต่ี นสอน ประกอบด้วยแผนการสอน หัวข้อคาบรรยายโดยมีรายละเอียดพอสมควรและอาจจะมีสิง่
ตา่ งๆ เพม่ิ ขนึ้ เช่น รายชอื่ บทความ หรือหนังสืออ่านประกอบ กล่าวโดยสรปุ แลว้ เอกสารประกอบการเรียนหมายถึง
เอกสารทส่ี ร้างข้นึ มาเพื่อเปน็ คู่มอื ครูในการพฒั นาการเรยี นการสอนในรายวชิ าใดวิชาหน่งึ โดยมจี ุดประสงค์การเรียนรู้
เนือ้ หาวชิ า และกจิ กรรมการเรียนการสอนทคี่ รอบคลุมครบถ้วนตามคาอธิบายรายวิชานั้นๆ ท่หี ลักสูตรกาหนดไว้ไม่
น้อยกว่า 1 รายวชิ า
สนม ครุฑเมือง (2549, หน้า 90) กลา่ วว่า เอกสารประกอบการเรยี น หมายถงึ เอกสารหรอื สอื่ ท่สี รา้ ง
และเขยี นเพอ่ื ใช้ประกอบการเรยี นการสอนวชิ าใด วชิ าหนึง่ ตามหลกั สตู รของสถาบนั การศึกษา โดยศึกษาความมงุ่
หมายและเนื้อหาสาระของหลกั สูตร เพ่ือนามาจัดกจิ กรรม การเรียนการสอนไดอ้ ย่างสอดคล้องกับ
สภาพการสอนจริง เอกสารประกอบการสอนต้องมเี นื้อหาสาระทถี่ ูกต้อง มีข้อมลู อ้างอิง มรี ะบบข้นั ตอนในการ
เรียน การจัดทารปู เล่มอาจตีพมิ พ์ หรอื ถา่ ยสาเนาเยบ็ เล่มกไ็ ด้
ประภาพรรณ เส็งวงศ์ (2550, หนา้ 42) กลา่ ววา่ เอกสารประกอบการเรียน หมายถงึ เอกสารทบ่ี อก
วิธกี ารแกป้ ญั หาการจัดการเรียนการสอนเฉพาะเร่ือง หรือจุดประสงค์การเรียนรตู้ ามกล่มุ สาระการเรียนรู้ เพ่ือให้
ครูหรือผู้เรยี นใช้ประกอบการจดั การเรยี นรู้เร่อื งใดเรื่องหน่ึงตามหลักสตู ร ซึ่งจะต้องมหี ัวข้อและเน้ือหาครอบคลุม
และครบถ้วนตามรายละเอียดของกล่มุ สาระเรยี นรู้ท่กี าหนดไว้ในหลักสตู รไมน่ ้อยกวา่ 1 หน่วยการเรียน/รายวิชา
สชุ าติ ศิริสขุ ไพบูลย์ (2550, หน้า 6) กลา่ ววา่ เอกสารประกอบการเรียน หมายถึง เอกสารท่ีผ้สู อน
จัดทาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้ของผเู้ รยี น เป็นลกั ษณะเอกสารทจ่ี ดั ทาเป็นรปู เลม่ มเี น้อื หาสาระที่ครอบคลุม
ครบถ้วนตามจุดประสงค์การเรียนรู้มีคาอธบิ ายถงึ รายละเอียดของเนื้อหา
ท่ถี ูกต้องตามหลักวิชาการและมรี ปู ภาพประกอบตามคาบรรยายอย่างเหมาะสม เน้อื หามีการแยกย่อยและเรียง
ตามลาดับขัน้ ตอนอยา่ งต่อเน่ืองกันสาระถูกต้อง รูปแบบการพิมพ์ท่ดี มี ีความชดั เจน
สวุ ทิ ย์ มลู คา และสุนันทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550, หนา้ 41) กลา่ ววา่ เอกสารประกอบการเรียน
หมายถงึ เอกสารทจี่ ดั ทาขึ้นเพื่อใชป้ ระกอบ การสอนของครู หรอื ประกอบ
การเรียนของนักเรียนในวิชาใด วชิ าหนึง่ ควรมหี วั เรอ่ื ง จดุ ประสงค์ เน้อื หาสาระและกจิ กรรม เพอื่ จะ
ส่งเสริมให้ผู้เรยี นไดเ้ กิดการเรียนร้ตู ามหลกั สูตรกาหนด
จากความหมายของเอกสารประกอบการเรยี นทนี่ กั การศึกษากล่าวมา สรุปไดว้ ่า เอกสารประกอบการ
เรียน หมายถงึ เอกสารท่ีครผู ู้สอนสร้างขึน้ เพอ่ื ใช้ ประกอบการเรียนของนักเรยี นและใช้เปน็ เอกสารการสอนของครู
ในรายวชิ าหนงึ่ ซง่ึ มีจุดประสงค์การ เรยี นรู้ เน้อื หาสาระรายวิชา แบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ ครอบคลุมครบถว้ น
ตามคาอธิบายรายวชิ า ตรงตามหลักสูตรกาหนด ประกอบกับการนาประสบการณ์การสอนของครูผ้สู อนในรายวิชา
นั้นๆ สอดแทรกเนื้อหาสาระสาคัญท่ีจาเป็นต่อการเรยี นเรยี นรู้ของนักเรียนรวบรวมเปน็ เอกสารประกอบ การเรยี น
โดยมจี ุดม่งุ หมายสาคัญ คือ การพัฒนาการเรยี นรู้ของนักเรียนใหม้ ผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น สูงขน้ึ
2.2. องค์ประกอบของเอกสารประกอบการเรยี น
เอกสารประกอบการเรียนมรี ปู แบบหลากหลายไม่จาเพาะเจาะจง ท้งั นี้เป็นไปตาม แนวคดิ และวิธีการ
ดาเนนิ การจดั สร้างเอกสารประกอบการเรียนของผู้สร้าง โดยจะคานึงถึงลกั ษณะการ นาไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์
สูงสุดตอ่ ผ้เู รยี นเปน็ สาคญั นักการศึกษากล่าวถึงองค์ประกอบของเอกสารประกอบการเรียนไว้ ดังนี้
ประคองศรี สายทอง (2545, หนา้ 25) กล่าววา่ องคป์ ระกอบของเอกสารประกอบ
การเรยี นการสอน มดี งั นี้
2.2.1. สว่ นนาเร่อื ง ประกอบด้วย
1.1 ปกนอก
1.2 ปกใน
1.3 คานา
1.4 สารบญั
2.2.2. สว่ นเนอื้ เรือ่ ง
2.1 จดุ ประสงค์
2.2 เน้อื หา
2.3 กจิ กรรมการเรยี น
2.4 แบบฝึกหดั
2.2.3. สว่ นทา้ ยเรื่อง
3.1 บรรณานุกรม
3.2 ภาคผนวก
บนั ลอื พฤกษะวัน และ ดารง ศริ เิ จริญ (2547, หน้า 43) กลา่ ววา่ องค์ประกอบของเอกสาร
ประกอบการเรยี นวา่ ในแตล่ ะบทประกอบดว้ ยจุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรยี น
การสอน การวดั และประเมินผล หนงั สืออา่ นประกอบ เชงิ อรรถตามทีก่ ลา่ วอา้ งเพื่อระบุแหล่งวิชาทใี่ ห้ผู้เรยี นตอ้ ง
ค้นคว้าเพิ่มเตมิ
จากคากลา่ วของนักการศกึ ษาเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของเอกสารประกอบการเรียน สรุป
ไดว้ ่า องค์ประกอบของเอกสารประกอบการเรยี น ประกอบดว้ ย 1) สว่ นนา ได้แก่ ปกนอก คานา
สารบญั คาแนะนาในการใช้ สาระการเรยี นรู้และจุดประสงค์การเรยี นรู้ 2) ส่วนเน้ือหา ได้แก่ ช่ือบท
หรือช่ือหน่วย หวั ข้อเรอ่ื งย่อย เนื้อหาโดยละเอยี ดหรอื ใบความรู้ กิจกรรมฝึกปฏบิ ตั ิหรอื ใบงาน บทสรุป และ 3)
สว่ นอ้างอิง ได้แก่ บรรณานกุ รม ภาคผนวก
2.3. ประโยชนข์ องเอกสารประกอบการเรียน
เอกสารประกอบการเรียนเป็นสอื่ เป็นคมู่ ือครูชนดิ หน่งึ ท่ีมีความสาคญั ในการเรยี น
การสอน นักการศึกษากล่าวถึงประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรยี น ดังนี้
ประคองศรี สายทอง (2545, หนา้ 24) กล่าวถึง ประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรยี น
วา่ เปน็ สือ่ การเรยี นประเภทหนึ่งสาหรบั ใชป้ ระกอบการเรยี นของนักเรียน เอกสารประกอบการเรียนมีความสาคัญ
และประโยชนต์ ่อครผู ้สู อนและนักเรยี น ดังนี้
1. ประโยชน์ต่อครผู ู้สอน
1.1 เปน็ ผลงานทางวชิ าการท่ีเปิดโอกาสให้ครผู สู้ อนได้มคี วามคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ในการพฒั นา
สิ่งตา่ งๆ ทีจ่ ะช่วยในการเรียนการสอน เชน่ สร้างสอ่ื จดั ทาคู่มือทาแบบทดสอบ เปน็ ต้น
1.2 ทาใหผ้ ู้จดั ทาได้ศกึ ษาหลักสูตรอย่างละเอยี ด เพื่อกาหนดขอบเขตเนอ้ื หา จุดประสงค์การ
เรยี นรู้ และกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือจดั ทาเอกสารประกอบการเรียนให้เป็นไปตามจุดมงุ่ หมายของหลกั สตู ร
1.3 เปน็ แนวทางให้ครผู ู้สอนจัดกจิ กรรมและประสบการณ์ สาหรับผเู้ รียนบรรลุจุดประสงค์ท่ี
วางไว้
1.4 ชว่ ยแกป้ ัญหาการขาดแคลนตาราของนักเรียน
2. ประโยชนต์ ่อผเู้ รยี น
2.1 ช่วยใหผ้ เู้ รียนมีเอกสารสาหรบั ศกึ ษา ทาความเขา้ ใจบทเรยี น และฝกึ ปฏบิ ัติกิจกรรมการ
เรยี น
2.2 ชว่ ยสรา้ งแรงจูงใจให้ผู้เรียนมคี วามสนใจใคร่รู้ และศึกษาค้นควา้ เพมิ่ เติม
2.3 ช่วยให้ผูเ้ รียนบรรลุจดุ ประสงคก์ ารเรียน ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึนทัง้
ภาคทฤษฏี และภาคปฏิบตั ิ
รัชนกี ร ทองสขุ ดี (2545, หน้า 101) กล่าวถึง ประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรียนไว้ดงั น้ี
1. ผเู้ ขยี นไดม้ โี อกาสศึกษารายละเอียดวิชาตามโครงสร้างท่หี ลักสูตรแห่งวชิ านน้ั
กาหนดไวต้ ามคาอธิบายรายวชิ า
2. ผู้เขยี นได้ฝกึ กาหนดขอบข่ายของเร่ืองทีจ่ ะเขียนตามคาอธิบายรายวิชาน้นั ๆ
2.1 หวั เรื่อง (Topic) หรือ รายบทเรียน
2.2 หัวขอ้ ยอ่ (Sub Topic)
2.3 ผูเ้ ขยี นได้ฝึกในการคน้ ควา้ แหล่งวิชาต่างๆ ท่ีจะประกอบการเขียนตามรายบท
และขอบขา่ ยที่ผู้เขียนได้กาหนดขอบขา่ ยไวแ้ ล้วน้ัน
2.4 ผู้เขยี นไดฝ้ กึ ใช้เชงิ อรรถ จัดทาบรรณานุกรม อา้ งอิง เพือ่ ให้การใช้เอกสารประกอบการ
เรยี นวิชาน้นั มีความสมบรู ณ์ขึน้ หรอื สาหรับนกั ศึกษาท่สี นใจอาจคน้ ควา้ ศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมได้
2.5 ผเู้ ขยี นได้เตรยี มกาหนดแนวการสอนตามลกั ษณะบทเรียนโดยคานงึ ถึงกจิ กรรมที่เหมาะสม
ทีจ่ ะชว่ ยใหน้ ักศึกษาสามารถเรียนรบู้ ทเรียนนนั้ ๆ ไดด้ ี
2.6 ผเู้ ขียนไดม้ ีโอกาสศึกษาโครงสร้างจากคาอธบิ ายรายวิชาเพื่อชว่ ยให้เข้าใจไดว้ า่ เน้ือหาตาม
คาอธิบายรายวิชานั้น อาจเป็นหัวเรือ่ งหรอื หวั ข้อย่อยท่ีอย่ใู นหวั เร่อื งใดหวั เรอ่ื งหน่ึง (อาจต้งั หวั เรอื่ งใหม่) และอาจ
สลบั หวั เร่ืองเพ่ือความสะดวกในการศึกษา หรอื เพื่อชว่ ยใหเ้ นื้อหาของเอกสารประกอบการเรยี นนน้ั เกิดความ
ต่อเนือ่ งกันเปน็ อนั ดี
2.7 ช่วยให้ผู้เขยี นได้เห็นลักษณะการจดั เน้ือหาวิชาจากคาอธบิ ายรายวชิ าน้นั วา่
กวา้ งหรือแคบ มีข้อบกพร่อง หรือจดุ ดี จดุ เด่นที่ควรจะดดั แปลง ปรบั ปรงุ เพิ่มเติมหรือเน้นยา้ แลว้ แต่กรณี การ
เขียนเอกสารประกอบการเรียน จะต้องยดึ โครงสรา้ งตามคาอธบิ ายรายวชิ า โดยถือหลกั ว่าเพิม่ เติมบทเรยี น หรอื
หัวขอ้ ยอ่ ยได้ แต่จะตดั ทอนหัวข้อ หรือเร่ืองใด เร่ืองหน่ึงไม่ได้โดยเด็ดขาด จากประสบการณใ์ นการเขยี นเอกสาร
ประกอบการเรยี น ผ้เู ขียนจะได้รบั ประสบการณ์ท่มี ีคณุ ค่าเกอื บครบถว้ นท่จี ะช่วยตาราวิชาการ เพียงแต่จะหยิบยก
หัวเรอื่ ง หรอื สว่ นใดสว่ นหน่ึงมาเขียนเปน็ ตาราวิชาการได้ดี ทงั้ นี้ก็แล้วแต่ผ้เู ขยี นจะเลง็ เหน็ ประโยชน์และแนวทาง
เปน็ ไปตามแนวคิด
ของตน
นงลักษณ์ สาคะรัง (2545, หน้า 35) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรียน
ไว้ดงั นี้
1. สง่ เสริมการเรียนร้แู บบรายบคุ คล ผเู้ รียนเรียนไดต้ ามความสามารถ ความสนใจ
ตามเวลา และโอกาสทีเ่ หมาะสมของแตล่ ะบุคคล
2. ชว่ ยขจดั ปญั หาการขาดแคลนครู เพราะเอกสารประกอบการเรยี นชว่ ยให้นักเรยี นไดเ้ รียนดว้ ย
ตนเอง หรอื ต้องการความชว่ ยเหลอื จากครผู สู้ อนเพียงเล็กนอ้ ย
3. ช่วยในการศกึ ษานอกระบบโรงเรยี น เพราะผูเ้ รยี นสามารถนาเอกสารประกอบการเรยี นไปใชไ้ ด้
ทุกสถานที่และทุกเวลา
4. ชว่ ยลดภาระและชว่ ยสร้างความพร้อมและความม่ันใจใหแ้ ก่ครู เพราะเอกสารประกอบการเรียน
ผลิตไวเ้ ปน็ หมวดหมู่ สามารถนาไปใชไ้ ด้ทนั ที
5. เป็นประโยชน์ในการสอนเพราะเนน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคญั
6. ชว่ ยให้ครูวัดผลผ้เู รียนไดต้ รงตามความมุ่งหมาย
7. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดแ้ สดงความเหน็ ฝกึ การตดั สนิ ใจ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง และความ
รบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม
8. ช่วยใหผ้ ้เู รียนรู้จักการใชก้ ระบวนการกล่มุ
9. ชว่ ยให้ครูถ่ายทอดเนื้อหา และประสบการณ์ทส่ี ลับซับซ้อน และมีลักษณะเปน็ นามธรรมสงู ซ่ึง
ครไู มส่ ามารถถา่ ยทอดด้วยการบรรยายไดด้ ี
พิสันติ์ ดา่ นไพบูลย์ (2546, หนา้ 9) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรยี น
ไว้ดังนี้
1. ทาใหผ้ ู้ทา ได้มโี อกาสศกึ ษาหลกั สูตรอยา่ งละเอยี ด เช่นหลักการของหลักสตู ร และ คาอธบิ าย
รายวิชาของวิชาน้นั ๆ เพื่อกาหนดขอบเขตของเน้ือหา และจดุ ประสงค์รายวชิ าทจ่ี ะจดั ทาเอกสารประกอบการสอน
ให้เป็นไปตามจดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร
2. ทาให้ผู้ทา ได้ฝึกการค้นคว้าแหล่งวชิ าตา่ งๆ ตลอดการทาเชงิ อรรถ และบรรณานุกรมอ้างองิ
เพอ่ื ให้เอกสารประกอบการสอนมีความสมบรู ณ์ หรือสาหรับผสู้ นใจศึกษารายละเอยี ด
ถวัลย์ มาศจรสั และพรพรต เจนสุวรรณ (2547, หน้า 23) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของเอกสาร
ประกอบการเรยี น ว่ามีความสาคัญตอ่ การจดั การเรียนรู้ เปน็ ส่งิ ที่ผสู้ อนควรใหค้ วามสนใจเพราะ
เอกสารดังกลา่ วจดั เปน็ นวัตกรรมทางการศกึ ษาท่ีทาใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ
นคร พันธ์ณุ รงค์ (2548, หน้า 25) กลา่ วถงึ ประโยชนข์ องเอกสารประกอบการเรียน ไว้ว่า
1. เปน็ ผลงานด้านวิชาการท่ีเปิดโอกาสใหค้ รูผู้สอน ไดม้ ีความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ทางด้านวิชาการ
เพราะครูผูส้ อนต้องศึกษาหลักสตู ร ศึกษาคา อธบิ ายรายวิชา จดุ ประสงค์ของวิชา วิเคราะห์เวลา และเขียน
จดุ ประสงค์การเรียนร้ขู องวชิ าทส่ี อนดว้ ยตนเอง
2. เป็นผลงานทางดา้ นวชิ าการท่ีมคี วามสมบูรณ์ครบถว้ นทัง้ ในสว่ นท่ีเปน็ เนอ้ื หาวิชา และสว่ นท่ี
เปน็ กิจกรรมการเรียนการสอน รวมทัง้ ส่วนประกอบอืน่ ๆ
3. เป็นผลงานทางด้านวิชาการ ทีเ่ ปดิ โอกาสให้ครูผสู้ อนสามารถคน้ คว้าในส่วนทเี่ ป็นเนื้อหาวชิ าท่ี
สอนได้อย่างเต็มความสามารถ
4. เปน็ ผลงานทางด้านวิชาการที่ครูผสู้ อน สามารถจัดเตรียมกิจกรรมการเรียน การสอนได้
อย่างละเอยี ดและสอดคลอ้ งกับสภาพการสอนจรงิ ในหอ้ งเรียน
5. เปน็ ผลงานทางด้านวิชาการทช่ี ่วยให้ครูผสู้ อน สามารถใช้เป็นคูม่ อื การสอน ไดเ้ ป็นอย่างดี
และยังสามารถใช้เป็นคู่มือสาหรับครูท่ีสอนแทนไดเ้ ปน็ อย่างดอี กี ด้วย
มิ่งขวัญ ธรรมสโรช (2549, หน้า 8) กล่าวถึง ประโยชนข์ องเอกสารประกอบการเรียน
ไวด้ งั นี้
1. ทาใหผ้ ้ทู าไดป้ ฏิบตั งิ านอย่างเปน็ ระบบและเปน็ ขนั้ ตอน เก่ียวกับการศึกษา
หลักสูตรรายวิชา การกาหนดขอบเขตของเนื้อหา การกาหนดจุดประสงค์การเรียนร้กู ารค้นควา้ เนือ้ หาอยา่ ง
ละเอยี ด การเขียนกจิ กรรมการเรยี นการสอน การสร้างส่ือและอปุ กรณก์ ารเรยี น การวัดผล
ประเมินผลตลอดจนการจัดทาหนังสอื และตาราอ่านประกอบ
2. ทาให้มีคมู่ ือการสอนทส่ี ะดวกในการจัดการเรียนการสอนท่ีมีคุณภาพสง่ เสริม ให้ผู้เรยี น
บรรลุผลการเรียนตามความมุ่งหมายของหลกั สตู ร ตลอดจนเป็นประโยชน์ตอ่ ครูอาจารย์ท่ีสอนแทนสามารถดาเนนิ
กิจกรรมการเรยี นการสอนได้ หรือเปน็ ประโยชน์ต่อครูอาจารย์ ผทู้ ี่สนใจนาไปเป็นแนวทางหรอื ปรบั ประยุกตใ์ ห้
เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มของตน
สุชาติ ศิริสุขไพบลู ย์ (2550, หน้า 6) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของเอกสารประกอบการเรียน
ไวด้ ังน้ี
1. ให้นักศกึ ษานาไปใชใ้ นการศกึ ษาทบทวนทง้ั ในระหวา่ งเรยี นและหลังเรยี น
2. ใช้เพอ่ื แสดงถึงความสามารถหรือความเช่ยี วชาญทางวิชาการของผสู้ อน
สภุ าพร สิงหท์ อง (2550, หน้า 45) กล่าวถงึ ประโยชนข์ องเอกสารประกอบการเรยี น
ไว้ดังน้ี
1. ชว่ ยขยายเนอ้ื หาในแบบเรียนใหก้ ว้างขวางขึ้น เอกสารประกอบการเรยี น
จดั ทาข้ึนเพอื่ จุดมงุ่ หมายเฉพาะสว่ นยอ่ ยท่ีช่วยเน้น ขยายเนื้อหา และยังมภี าพประกอบทาให้เกดิ
ความรู้ ความเขา้ ใจกวา้ งขวางข้ึน ดขี ึ้นและงา่ ยขนึ้
2. สร้างเสริมนสิ ยั รกั การคน้ คว้าและพัฒนาการอา่ น เอกสารประกอบการเรยี นเด็ก
สามารถอา่ นได้อยา่ งมีอิสระไมจ่ ากดั สถานที่ เป็นการเสริมสร้างลกั ษณะนสิ ยั ใหร้ ักการศึกษาคน้ ควา้ หาความร้ดู ้วย
ตนเอง รวมท้ังยังเปน็ การใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์
3. ส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กมนี ิสยั รกั การอา่ นหนงั สอื เอกสารประกอบการเรียนมีเร่ืองราวเนื้อหาท่ีสนกุ สนาน
เพลิดเพลิน มภี าพประกอบและเหมาะสมกบั วยั จงึ สามารถเรา้ ความสนใจที่จะอ่านมากกว่าแบบเรยี น
จากคากล่าวของนักวชิ าการดังกล่าวขา้ งตน้ สรปุ ได้วา่ เอกสารประกอบการเรียน
มีประโยชน์ในการใช้เปน็ คู่มือครเู พ่ือการพัฒนาการเรียนการสอนของครู ชว่ ยสง่ เสรมิ การเรียนรู้แบบรายบคุ คล
ผ้เู รียนเรียนไดต้ ามความสามารถ ความสนใจ ตามเวลา และโอกาสที่เหมาะสมของแตล่ ะบุคคลบรรลวุ ัตถุประสงค์
ของการเรยี นรู้ตามทีค่ าดหวงั เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงความเห็น ฝกึ การตัดสินใจ แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง
แก้ปัญหาการขาดแคลนครู ช่วยให้ครวู ดั ผลผูเ้ รยี นไดต้ รงตามความมุ่งหมาย และ เปน็ ผลงานทางด้านวชิ าการที่มี
ความสมบูรณ์ครบถ้วนทงั้ ในส่วนที่เป็นเน้อื หาวิชา และสว่ นท่ีเป็นกจิ กรรมการเรียนการสอน รวมทั้งส่วนประกอบ
อนื่ ๆ
2.4. ข้ันตอนการสรา้ งเอกสารประกอบการเรยี น
เอกสารประกอบการเรยี นเป็นส่อื การเรยี นการสอน เป็นคู่มือครชู นดิ หนง่ึ ท่มี ีความสาคัญในการเรยี นการ
สอน นักการศึกษากล่าวถงึ ขัน้ ตอนการผลติ เอกสารประกอบการเรียน ดังน้ี
สมเสริม ชรู กั ษ์ (2545, หนา้ 10 – 11) กล่าววา่ ควรสรา้ งเอกสารประกอบการเรียนให้เหมาะสม
กบั สภาพของท้องถ่ิน มีขั้นตอนดังน้ี
1. วเิ คราะห์หลักสตู ร จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2. วิเคราะหเ์ อกสารประกอบการสอนควรมสี ิง่ ต่างๆ ดงั นี้
2.1 สอดคลอ้ งกบั หลักสูตร
2.2 สง่ เสรมิ การเรียนรู้
2.3 มเี น้อื หาตามคาอธิบายรายวชิ า
2.4 ส่งเสรมิ ทกั ษะการคิดปฏิบตั ิ
2.5 สง่ เสรมิ คา่ นิยม เจตคติ
2.6 ส่งเสรมิ การนาไปใช้ในชีวิตประจาวนั
2.7 ความถูกต้องเหมาะสม
2.8 ถกู ตอ้ งตามหลักวชิ าในปัจจุบัน
2.9 เหมาะสมกับเวลาเรียน
2.10 ยากงา่ ยเหมาะสมกบั วัย
2.11 เรียงลาดับตามขัน้ ตอน
2.12 อธิบายชัดเจน เขา้ ใจง่าย
2.13 มีตวั อย่างประกอบ
2.14 มีภาพ ตาราง แผนภูมิประกอบ
2.15 ภาษาที่ใช้ถูกตอ้ งตามหลักภาษา
2.16 ไม่ขดั ตอ่ ศีลธรรม
2.17 ไม่ลบหลู่สถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
3. ลกั ษณะของกิจกรรมมีดงั นี้
3.1 มีคาถามส่งเสริมให้คดิ
3.2 มีกิจกรรมส่งเสริมปฏิบตั ิ
3.3 กิจกรรมนาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั
รัชนีกร ทองสุขดี (2545, หน้า 10) กล่าววา่ การจัดทาเอกสารประกอบการเรียนผเู้ ขียนต้องเขยี นตาม
องคป์ ระกอบ ดังนี้
1. สารวจและจดั วางโครงสร้างตามรายละเอียดของวชิ าทหี่ ลักสตู รกาหนดไว้
2. แสดงแนวในการดาเนนิ การสอนตามโครงสร้างที่กาหนดไว้ดังนี้
2.1 ระบกุ ิจกรรมการสอนหรอื การเรียนของผเู้ รยี น เช่น สอนโดยบรรยาย
อภปิ ราย หรอื ศึกษาดงู าน หรือเสนอสถติ ิข้อมลู ใช้เทปการสอน และอื่นๆ เปน็ บทเรียน
2.2 การกาหนดแนวตาม 2.1 น้ีจะแสดงประกอบไว้ในสารบัญของเอกสาร
2.3 เอกสารประกอบการเรยี นรู้ จะตอ้ งประกอบด้วยคานา สารบัญเรอื่ ง
คาอธบิ ายรายวชิ า และในแต่ละบทประกอบด้วยจดุ ประสงคข์ องการสอน เน้อื หาวิชา กจิ กรรมการเรียนการสอน
แหง่ วชิ า การวดั และการประเมินผล หนงั สืออ่านประกอบ และอาจมกี ารใชเ้ ชงิ อรรถตามท่ีกลา่ วอา้ งเพ่ือระบุถึง
แหล่งวชิ าทีใ่ ห้ผู้เรยี นต้องค้นคว้าเพ่มิ เตมิ
2.4 การเขียนเนอ้ื หาตามรายบทเรียน อาจเขียนแบบยอ่ ตามหวั เรื่อง และหวั ข้อยอ่ ยพอเป็น
แนวทางแก่นักศึกษาซ่ึงจะต้องเข้ารว่ มกิจกรรมในการเรยี นการสอนตามหวั ข้อ 2.2 ก็ได้ หรอื จะเขียนคอ่ นข้าง
ละเอยี ดเป็นแก่นสารตามหัวเรอ่ื ง หรือหัวข้อยอ่ ยก็ได้ ทั้งน้ีจะตอ้ งแสดงให้เหน็ ว่าถ้าดาเนินการจดั การเรยี นการสอน
ตามเอกสารประกอบการสอนรายวชิ านแี้ ลว้ นกั ศึกษาจะได้
เรยี นร้ตู รงตามรายละเอียดแห่งวชิ าท่กี าหนดไวใ้ นหลกั สตู ร
ถวลั ย์ มาศจรสั และพรพรต เจนสุวรรณ์ (2547, หนา้ 21 - 23) กลา่ ววา่ การจดั ทาเอกสาร
ประกอบการสอนมี 5 ขัน้ ตอน ดงั น้ี
ขนั้ ตอนท่ี 1 ศึกษาหลักสูตรโดยละเอยี ด
ข้ันตอนท่ี 2 ศึกษา ค้นคว้า รวบรวม เนื้อหา สาระจากตารา เอกสารทเ่ี กี่ยวขอ้ งอ่ืนๆ
ขั้นตอนท่ี 3 นาขอ้ มูลจากข้ันท่ี 2 มาศึกษาเนื้อหาสาระ จัดแบง่ บทในแตล่ ะบทตอน ใหเ้ หมาะสมว่า
ตอ้ งการนาเสนออะไรมากนอ้ ยแคไ่ หน
ขั้นตอนที่ 4 แลว้ กาหนดเนื้อหาสาระในการจดั ทาในแตล่ ะบท แตล่ ะตอนโดยละเอยี ดซึ่งอาจจะบ่ง
เป็นหัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อยเป็นเรื่องๆ
ขน้ั ตอนท่ี 5 เขยี นอธบิ ายเนื้อหาสาระของหวั ข้อใหญ่และหัวขอ้ ยอ่ ยใหเ้ หมาะสมกับเวลาท่ีกาหนด
ไว้ในแผนการจดั การเรียนรู้ และจานวนคาบ เวลาเรียน ทห่ี ลักสูตรกาหนดเอกสารประกอบการสอน นอกจากมี
เน้ือหาสาระแลว้ ส่งิ ที่ต้องจัดทาก็คือแบบทดสอบก่อนเรยี น หลังเรียน
แบบฝึกหดั ตวั อยา่ งหรืออ่นื ๆ ทผี่ ้สู อนเหน็ ว่ามคี วามจาเป็นในการพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รยี น
สุนันทา สนุ ทรประเสรฐิ (2547, หน้า 2 - 3) กลา่ ววา่ การจดั ทาเอกสารประกอบการเรยี น
มขี ้ันตอนการพัฒนาเอกสารประกอบการเรยี นการสอน โดยสรปุ ได้ ดังน้ี
1. วิเคราะหป์ ัญหาและสาเหตุจากการเรยี นการสอนเพื่อการสร้างเอกสารประกอบ
การสอน
2. ศึกษาหลกั สตู รโดยละเอยี ด เพอ่ื วิเคราะหเ์ น้ือหา จุดประสงค์และกจิ กรรม
3. เลอื กเนื้อหาที่เหมาะสม แบ่งเป็นบทเปน็ ตอน หรอื เปน็ เรอื่ งเพื่อแก้ปัญหาท่ีพบ
4. ศกึ ษารูปแบบของการเขียนเอกสารประกอบการสอนและกาหนดสว่ นประกอบภายในของ
เอกสารประกอบการสอน
5. ศกึ ษา ค้นคว้า รวบรวมเนื้อหาสาระจากตาราเอกสารที่เกีย่ วขอ้ งอื่นๆ เพอื่ สรา้ ง จดุ ประสงค์
เน้ือหา วธิ ีการและส่ือประกอบเอกสารประกอบการสอน
6. เขียนเน้ือหาในแต่ละตอนโดยละเอียด ซึ่งอาจจะแบง่ เป็นหวั ข้อใหญแ่ ละหัวขอ้ ย่อยรวมท้งั
ภาพประกอบ แผนภูมิ และข้อทดสอบใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์ท่ีกาหนดไว้
7. ส่งใหผ้ ูเ้ ชี่ยวชาญตรวจสอบ นาผลทไี่ ดม้ าพิจารณาเพ่ือปรับปรุงส่วนที่บกพร่อง
8. นาไปทดลองใชใ้ นห้องเรียนและเก็บบันทึกผลการใช้
9. นาผลทไ่ี ด้มาใชพ้ จิ ารณาและปรับปรุงแก้ไขสว่ นท่ีบกพร่อง
10. นาไปใชจ้ รงิ เพื่อแก้ปญั หาท่เี กิดขึ้นในการเรยี นการสอน
สุวิทย์ มลู คา (2551, หน้า 44) กล่าววา่ ขั้นตอนการผลติ เอกสารประกอบการสอนไว้ ดังน้ี
1. วเิ คราะหป์ ญั หาและสาเหตุจากการเรียนการสอน ซึ่งอาจได้มาจาก
1.1 การสงั เกตปัญหาทเ่ี กิดขึ้นขณะทาการสอน
1.2 การบนั ทกึ ปัญหาและข้อมูลระหวา่ งการสอน
1.3 การศึกษาและวิเคราะห์ผลการเรียนของผ้เู รยี น
2. ศกึ ษารายละเอียดในหลักสูตรของสถานศึกษา เพ่ือวเิ คราะหเ์ นอื้ หาสาระและ
ผลการเรยี นรู้ท่ีคาดหวงั หรือจดุ ประสงคแ์ ละกจิ กรรมทีเ่ ป็นปญั หา
3. เลอื กเนือ้ หาท่ีเหมาะสมแบ่งเปน็ บท เป็นตอน หรือเปน็ เรอื่ ง เพื่อแก้ปัญหาที่พบ
4. ศึกษารูปแบบของการเขียนเอกสารประกอบการเรียนการสอน และกาหนดสว่ นประกอบภายใน
ของเอกสารประกอบการสอนและกาหนดสว่ นประกอบภายในเอกสารประกอบการสอน
5. ศกึ ษาคน้ คว้าและรวบรวมข้อมลู เพื่อนามากาหนดเปน็ จุดประสงค์ เนื้อหา วิธีการ และสอื่
ประกอบเอกสารในแตล่ ะบท หรือแต่ละตอน
6. เขียนเนื้อหาในแตล่ ะตอน รวมท้งั ภาพประกอบ แผนภูมิ และข้อทดสอบให้สอดคล้องกับ
จุดประสงค์ที่กาหนดไว้
7. สง่ ให้ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจ
8. นาไปทดลองใช้ในหอ้ งเรียนและเกบ็ บนั ทกึ ผลการใช้
9. นาผลท่ีได้มาใช้พิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขสว่ นท่บี กพร่อง
10. นาไปใชจ้ ริงเพื่อแก้ปัญหาทพ่ี บจาก ขอ้ 1
จากคากล่าวของนักวชิ าการดังกลา่ วขา้ งต้นสรปุ ไดว้ ่า ข้นั ตอนการผลิตเอกสารประกอบการเรยี น ได้แก่
1) วเิ คราะห์ปญั หาและสาเหตุจากการเรยี นการสอน 2) ศึกษารายละเอียดในหลกั สูตรของสถานศกึ ษา เพื่อ
วิเคราะห์เนือ้ หาสาระและผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง หรือจุดประสงค์และกิจกรรมทีเ่ ป็นปัญหา 3) เลอื กเน้ือหาที่
เหมาะสมแบ่งเปน็ บท เปน็ ตอน หรอื เป็นเรือ่ ง เพอ่ื แก้ปญั หาทพ่ี บ 4) ศกึ ษารูปแบบของการเขยี น และกาหนด
สว่ นประกอบภายในของเอกสารประกอบการเรยี น 5) ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมลู เพ่ือนามากาหนดเปน็
จุดประสงค์ เน้ือหา วิธีการ และส่ือประกอบเอกสารในแต่ละบท หรือแต่ละตอน 6) เขียนเนอ้ื หาในแต่ละตอน รวมทั้ง
ภาพประกอบ แผนภมู ิ และข้อทดสอบใหส้ อดคล้องกบั จดุ ประสงค์ท่ีกาหนดไว้ 7) ส่งให้ผู้เชยี่ วชาญตรวจ 8) นาไป
ทดลองใชใ้ นห้องเรียนและเก็บบันทึกผลการใช้ 9) นาผลท่ีได้มาใช้พจิ ารณาเพื่อปรับปรงุ แกไ้ ขสว่ นทบี่ กพร่อง 10)
นาไปใชจ้ รงิ เพื่อแก้ปญั หา
2.5. ทฤษฎีและจติ วิทยาการเรยี นรู้ ทีเ่ ก่ยี วข้องกับการสร้างสอ่ื การเรียนการสอน
5.1 ทฤษฏีและจิตวิทยาการเรียนรู้
นกั การศกึ ษา กล่าวถงึ การพฒั นาสื่อเพ่ือการเรียนการสอน จะตอ้ งคานึงถงึ ทฤษฎี จติ วิทยาการ
เรยี นรู้ นามาประยกุ ต์ใช้เพ่ือให้การพฒั นาสื่อเป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสทิ ธภิ าพ สาระท่ีเกยี่ วข้องและสาคัญ
ไว้ดังน้ี
ถนอมพร เลาหจรสั แสง (2541, หน้า 51- 56) พินิจ เนอื่ งภิรมย์ (2550, หนา้ 14 ) และวรพจน์
นวลสกลุ (2550, ออนไลน์) กลา่ วถงึ การพัฒนาสื่อเพ่ือการเรยี นการสอนสอดคล้อง
กันว่า จะตอ้ งคานึงถงึ ทฤษฎที างการศึกษา จติ วทิ ยาการเรียนรู้ และศาสตรต์ ่างๆ ท่ีเกย่ี วข้องกับ
การเสรมิ สรา้ งหรอื พัฒนาผเู้ รียนให้ได้ตามจุดประสงคห์ รอื เปา้ หมายของแต่ละบทเรยี น ดังนี้
1. ทฤษฎีพฤติกรรมนยิ ม (Behaviorism) นักจิตวิทยาทมี่ ชี อื่ เสยี งทสี่ ดุ ในกลมุ่
นคี้ อื สกินเนอร์ (B.F. Skinner) เชอ่ื วา่ การเรยี นรู้ของมนุษยเ์ ป็นสิ่งท่ีสามารถสงั เกตได้จาก
พฤติกรรมภายนอก และเช่ือในทฤษฎีการวางเงื่อนไข โดยมีแนวคดิ เกย่ี วกบั ความสมั พันธ์ระหวา่ งส่ิงเร้าและการ
ตอบสนอง การใหก้ ารเสรมิ แรง ทฤษฎนี ี้เชอ่ื วา่ การเรยี นรู้เกดิ จากการที่มนุษยต์ อบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ และพฤตกิ รรม
การตอบสนองจะเข้มขน้ ข้ึนหากได้รบั การเสรมิ แรงที่เหมาะสม
2. ทฤษฎปี ัญญานิยม (Cognitivism) นกั จิตวทิ ยากลุ่มนเี้ ช่ือวา่ มนษุ ยม์ ีความแตกต่างกันทงั้ ใน
ด้านความรูส้ กึ นึกคิด อารมณ์ ความสนใจ และความถนัดในแต่ละคน ดังนนั้
ในการเรียนรู้กต็ ้องมกี ระบวนการ และขั้นตอนทีแ่ ตกตา่ งกันดว้ ย อกี ทัง้ ยังมีแนวคดิ เกยี่ วกบั การเรยี นรู้
ว่า การเรยี นเป็นการผสมผสานขอ้ มลู ข่าวสารเดิมกบั ข้อมูลข่าวสารใหม่เข้าด้วยกนั หากผู้เรยี นมี
ข้อมูลข่าวสารเดมิ เชื่อมโยงกับขอ้ มลู ข่าวสารใหม่ การรับรู้ก็จะง่ายขน้ึ นกั ทฤษฏีกลมุ่ น้ี
ใหค้ วามสนใจศึกษาองค์ประกอบในการจา ท่ีส่งผลตอ่ ความจาระยะส้ัน (Short Term Memory) ความจาระยะ
ยาว (Long Term Memory) และความคงทนในการจา
3. ทฤษฎีโครงสรา้ งความรู้ (Scheme Theory) นักจิตวิทยากลุ่มนเ้ี ชื่อวา่ โครงสร้างภายในของ
ความรู้ของมนุษย์น้ันมีลักษณะทเี่ ชือ่ มโยงกนั เปน็ กลุ่ม หรอื โหนด (Node) การที่มนุษย์จะเรยี นรู้อะไรใหมๆ่ นัน้ จะ
เป็นการนาความรู้ใหม่ๆ ไปเชื่อมโยงกบั ความรเู้ ดิมท่มี ีอยู่ นอกจากน้นั ทฤษฎนี ี้ยังเชอื่ เกี่ยวกบั ความสาคญั ของการ
รบั รู้ โดยเชอ่ื วา่ ไม่มีการเรียนรู้ใด เกดิ ข้ึนโดยปราศจากการรับรู้ การรบั รู้จะเปน็ การสร้างความหมายโดยการถา่ ย
โอนความรู้ใหมเ่ ข้ากบั ความรู้เดิม นอกจากน้นั โครงสร้างความรูย้ ังชว่ ยในการระลึก (Recall) ถึงสง่ิ ต่างๆ ท่ีเราเคย
เรียนรมู้ าอีกด้วย
พงษ์พันธ์ุ พงษโ์ สภา (2544, หนา้ 87) กล่าวถงึ ทฤษฎพี ฤติกรรมนิยมของ
สกินเนอร์ไว้ว่า สกินเนอร์ มีความเช่ือในเรื่องของการเสริมแรง พฤติกรรมใดก็ตามถ้าได้รับการเสริมแรง
พฤติกรรมน้ันก็มี แนวโน้มท่ีจะเกิดข้ึนซ้าๆ สกินเนอร์ได้นาผลการทดลองมาใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอนไว้
หลายรูปแบบ เช่น บทเรียนโปรแกรม โดยยดึ หลกั การเสริมแรงและลักษณะอ่ืนๆ ทีส่ าคัญ ประกอบด้วย
1. ให้ผ้เู รยี นไดม้ สี ว่ นร่วมหรือลงมือกระทาด้วยตนเอง
2. ให้มีความก้าวหนา้ ไปทีละน้อยๆ
3. ใหผ้ ู้เรยี นไดร้ ู้ผลการกระทาในทนั ที
นอกจากนี้ พงษพ์ ันธ์ พงษ์โสภา (2544, หนา้ 91 - 92) ยังได้กลา่ วถงึ กฎการเรียนรู้
ท่สี าคัญ 3 กฎ ของธอรน์ ไดค์ ดังน้ี
1. กฎแหง่ ความพงึ พอใจ หรอื กฎแห่งผล ธอร์นไดคไ์ ดส้ รปุ วา่ อนิ ทรยี จ์ ะทาใน ส่ิงท่ีก่อให้เกิด
ความพึงพอใจและจะหลีกเล่ียงสิ่งที่ทาให้เขาไม่พึงพอใจ ธอร์นไดค์ได้เน้นถึงการใช้เทคนคิ ท่ีจะสรา้ งความพงึ ใจ
ใหก้ ับผู้เรยี น เชน่ การชม การใหร้ างวลั
2. กฎแห่งความพรอ้ ม การเรียนรู้จะมีประสิทธภิ าพมากที่สุดเมื่อผเู้ รียนอย่ใู นสภาพทพี่ ร้อมจะ
เรยี นหรือพร้อมท่ีจะทากจิ กรรม ความพร้อมในท่ีน้รี วมความถงึ ความพร้อมด้านรา่ งกาย สตปิ ญั ญา สงั คม และ
อารมณ์
3. กฎแห่งการฝึกหัด ประกอบดว้ ยกฎท่สี าคัญ 2 ข้อ คือ
3.1 กฎแห่งการใชพ้ ฤติกรรมใดทอ่ี ินทรีย์ได้มีการกระทาอยเู่ สมอหรือมี
การฝึกฝนอยู่เป็นประจาไมไ่ ด้ทง้ิ ชว่ งไว้นาน อนิ ทรีย์ย่อมเกิดทกั ษะและกระทาพฤติกรรมนน้ั ได้ดี
3.2 กฎแห่งการไม่ใช้พฤติกรรมใดก็ตามท่อี นิ ทรยี ์ทงิ้ ช่วงไว้นานอินทรียย์ ่อมจะเกิดการลืม
หรอื กระทาพฤติกรรมน้นั ไมด่ ี
ทศิ นา แขมมณี (2548, หน้า 50) กลา่ วถงึ ทฤษฎีการเรยี นร้กู ลมุ่ พฤตกิ รรมนิยม (Learning
Theory Behaviorism) ประกอบดว้ ยแนวคิดสาคัญ 3 แนวคิดดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Connectionism Theory)
2. ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไข (Conditioning Theory)
3. ทฤษฎกี ารเรียนรขู้ องสกนิ เนอร์ (Skinner Behavior Theory)
1. ทฤษฎีการเช่ือมโยงของธอรน์ ไดค์ (Thorndike’s Connectionism Theory)
1.1 หลกั การเรยี นรู้ กล่าวถึง การเชอื่ มโยงระหว่างสง่ิ เรา้ (Stimulus - S)
กบั การตอบสนอง (Response - R) โดยมีหลักเบอ้ื งต้นวา่ การเรยี นรู้เกดิ จากการเชื่อมโยงระหวา่ ง
ส่ิงเรา้ กับการตอบสนอง โดยทีก่ ารตอบสนองมกั จะออกมาเป็นรปู แบบตา่ งๆ หลายรูปแบบ จนกวา่ จะพบรปู แบบที่
ดี หรอื เหมาะสมทส่ี ดุ เราเรียกการตอบสนองเชน่ น้ีว่าการลองถูกลองผดิ (Trial and error) นั่นคอื การเลือก
ตอบสนองของผเู้ รยี นรู้จะกระทาด้วยตนเองไม่มผี ู้ใดมากาหนดหรอื ชช้ี ่องทางในการปฏบิ ัติใหแ้ ละเมื่อเกิดการเรียนรู้
ขนึ้ แลว้ การตอบสนองหลายรูปแบบจะหายไปเหลอื เพียงการตอบสนองรปู แบบเดียวทเ่ี หมาะสมทีส่ ุด และพยายาม
ทาให้การตอบสนองเชน่ นัน้ เชอ่ื มโยงกับส่งิ เรา้ ที่ต้องการใหเ้ รียนร้ตู ่อไปเรื่อย ๆ
1.2 กฎการเรียนรู้
1.2.1 กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรจู้ ะเกิดขึ้น ได้ดี
ถา้ ผเู้ รียนมีความพรอ้ มท้ังทางร่างกายและจติ ใจ
1.2.2 กฎแห่งการฝกึ หดั (Law of Exercise) การฝึกหดั หรือกระทาบ่อยๆ ด้วยความ
เขา้ ใจจะทาให้การเรยี นรนู้ ัน้ คงทนถาวร ถ้าไมไ่ ด้กระทาซา้ บ่อยๆ การเรยี นรู้น้นั จะไม่คงทนถาวรและในท่ีสดุ อาจลมื
ได้
1.2.3 กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรยี นรูเ้ กิดจากการเชือ่ มโยง
ระหวา่ งส่ิงเรา้ กับการตอบสนอง ความมั่งคงของการเรยี นรู้จะเกดิ ขึ้น หากไดม้ กี ารนาไปใช้บอ่ ยๆ หากไมม่ ีการ
นาไปใชอ้ าจมกี ารลมื เกิดข้ึนได้
1.2.4 กฎแห่งผลทพ่ี ึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลไดร้ ับผลท่ี พึงพอใจ
ยอ่ มอยากจะเรียนรู้ต่อไปแต่ถ้าได้รับผลท่ไี ม่พงึ พอใจจะไม่อยากเรยี นรูด้ งั นน้ั การได้รบั ผลที่พึงพอใจ จงึ เป็นปัจจัย
สาคัญในการเรยี นรู้
2. ทฤษฎกี ารเรยี นร้แู บบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสคิ (Classic Conditioning Theory)
ทฤษฎกี ารเรยี นรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนนั้ ผรู้ เิ รมิ่ ต้งั ทฤษฎีนเี้ ปน็ คนแรก คือ พาฟลอฟ (Pavlov)
ต่อมาภายหลงั วตั สัน (Watson) ไดน้ าเอาแนวคดิ ของพาฟลอฟไปดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมย่งิ ขึน้ พาฟลอฟเช่อื วา่
การเรียนร้ขู องสงิ่ มีชวี ติ เกิดจากการวางเงื่อนไข (Conditioning) คือ การตอบสนองหรือการเรยี นรูท้ ีเ่ กิดขนึ้ น้นั ๆ
ตอ้ งมเี งื่อนไขหรือมกี ารสรา้ งสถานการณ์ใหเ้ กิดขน้ึ เชน่ สนุ ัขได้ยินเสยี งกระด่ิงแล้วน้าลายไหล เปน็ ต้น โดยเสยี ง
กระดงิ่ คอื สิง่ เรา้ ท่ตี ้องการให้เกิดการเรยี นรูจ้ ากการวางเง่ือนไข ซ่ึงเรยี กว่า “ส่ิงเร้าที่วางเงอื่ นไข (Conditioned
stimulus) และปฏิบตั ิกริ ยิ าการเกิดนา้ ลายไหลของสนุ ัข เรยี กวา่ “การตอบสนองทถี่ ูกวางเง่ือนไข (Conditioned
response) ซง่ึ เปน็ พฤติกรรมท่แี สดงถงึ การเรียนรู้จากการวางเง่ือนไข
3. ทฤษฎีการเรียนร้ขู องสกินเนอร์ (Skinner Behavior Theory) ทฤษฎีการวางเง่ือนไขดว้ ย
การกระทา (Operant Conditioning Theory) เกดิ ขึ้นโดยมแี นวความคิดของสกนิ เนอร์ (D.F. Skinner) ในสมัย
ของสกนิ เนอร์ ปี 1950 สหรัฐอเมริกาได้เกดิ วกิ ฤติการการขาดแคลนครูที่มีประสิทธภิ าพเขาจึงได้คดิ เครื่องมือช่วย
สอนขนึ้ มาเพื่อปรับปรงุ ให้ระบบการศึกษามีประสทิ ธภิ าพ เครอื่ งมือที่คดิ ขน้ึ มาสาเร็จเรียกว่าบทเรยี นสาเร็จรูป
หรอื การสอนแบบโปรแกรม (Program Instruction or Program Learning) และเครอ่ื งมือชว่ ยในการสอน
(Teaching Machine) เป็นที่นิยมแพร่หลายจนถึงปัจจบุ นั หลกั การเรยี นรู้ทฤษฎี สกนิ เนอร์ (Skinner) กับทฤษฏี
การวางเงือ่ นไขแบบการกระทา (Operant Conditioning) โดยจากแนวความคดิ ที่ว่าความสัมพนั ธ์
ระหวา่ งพฤตกิ รรมกบั สง่ิ แวดล้อม ซึง่ เปน็ สิ่งก่อใหเ้ กิดพฤติกรรม และผลของการกระทาของพฤตกิ รรมน้นั โดยท่มี ี
อิทธิพลต่อพฤตกิ รรมนนั้ ทฤษฏนี ้เี นน้ การกระทาของผู้ทเี่ รียนรู้มากกวา่ สงิ่ ทผ่ี ูส้ อนกาหนดขึ้น
A คอื สภาพแวดล้อม
S คอื สงิ่ เรา้
R คือการตอบสนอง
C คอื ผลกรรมทมี่ ผี ลต่อพฤติกรรมท่เี กิดข้นึ โดยที่
C+ เป็นผลกรรมทผี่ ู้กระทาพงึ พอใจ
C- เปน็ ผลกรรมทผ่ี ้กู ระทาไม่พึงพอใจ
จะเหน็ ไดว้ ่า ในสภาพแวดลอ้ มมสี งิ่ เร้าทที่ าใหผ้ ูก้ ระทาแสดงพฤติกรรมออกมา
ซ่งึ พฤตกิ รรมนน้ั จะมีผลกรรมตามมาและผลกรรมนน้ั ทาให้อาจจะเพม่ิ ข้นึ หรอื ระดบั คงท่ีหรือลดลง ท้งั นี้ข้ึนอยู่กบั
วา่ ถา้ เป็นผลกรรมพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ
จากทฤษฏีการเรียนรู้ทน่ี ักการศึกษากลา่ วขา้ งต้น สรปุ ไดว้ ่าในการสร้างส่ือ
การเรียนการสอนนน้ั จาเปน็ ต้องนาแนวคิดของทฤษฎีการเรยี นรู้ต่างๆ มาผสมผสานกัน เพื่อใหเ้ หมาะสมกับ
ลกั ษณะและโครงสร้างขององค์ความร้ใู นสาขาวิชาตา่ งๆ โดยไม่จาเปน็ ต้องอาศยั เพียงทฤษฎีใดทฤษฎีหนึง่ ทั้งนี้
เพื่อใหไ้ ด้สื่อการเรยี นการสอนท่ีมีประสทิ ธภิ าพ ตอบสนองต่อวิธีการเรยี นร้ทู ่แี ตกตา่ งกัน และตอบสนองลักษณะ
โครงสร้างขององคค์ วามรู้ของสาขาวิชาตา่ งๆ ทแี่ ตกต่างกันนัน่ เอง
ในการศึกษาครัง้ นี้ผรู้ ายงานการนาหลักทฤษฏีการเรยี นรู้มาประยุกตใ์ ช้ในการสรา้ ง
เอกสารประกอบการเรยี น ได้แก่ 1) ทฤษฎีพฤติกรรมนยิ ม ไดแ้ ก่ การแบง่ เน้ือหาบทเรียนออกเปน็ หนว่ ยย่อยจาก
งา่ ยไปส่ยู าก โดยมีการบอกจุดประสงค์ของแตล่ ะหนว่ ยอย่างชัดเจน มเี กณฑ์การวัดผลท่ีชัดเจนและต่อเน่ือง และ
การให้ข้อมูลป้อนกลับให้นักเรียนทราบผลคะแนนทันที
2) ทฤษฎีปัญญานิยม ได้แก่ การใช้เทคนิคสร้างความสนใจ ความพงึ พอใจ และความถนัดแกผ่ ูเ้ รยี น คานึงถึงความ
แตกตา่ งของผู้เรียน ในแง่ของการเลือกเน้อื หาการเรียน การเลือก กจิ กรรมการเรียน
การควบคุมด้วยตนเองกอ่ น-หลงั และ 3) การนาทฤษฎีโครงสร้างความร้มู าประยุกต์ใชใ้ นการสร้าง
เอกสารประกอบการเรยี นได้แก่ การนาเสนอเน้ือหาที่มีการเชื่อมโยงความร้ใู หม่ๆ ไปเชื่อมโยงกับความรู้เดมิ ทมี่ ีอยู่
นอกจากนผ้ี รู้ ายงานยงั นาทฤษฎกี ารเชือ่ มโยงของธอรน์ ไดค์ ได้แก่ 1) กฎแห่งความพร้อม ถา้ ผูเ้ รยี นมีความพร้อม
ทงั้ ทางร่างกายและจติ ใจนักเรียนมีความพร้อมท้ังร่างกายและจิตใจก็จะเกิดการเรียนรู้ได้ดี และผู้เรียนสามารถนา
เอกสารประกอบการเรียนไปศกึ ษาตามความ
พร้อมของตนเอง 2) กฎแหง่ การฝึกหัด ผู้เรียนนาเอกสารประกอบการเรียนไปศึกษาหรือกระทา
บอ่ ยๆ กระทาซา้ บอ่ ยๆ จนเกิดความเขา้ ใจ หรอื ความรู้ทต่ี นเองพอใจ 3) กฎแหง่ การใช้ การเรยี นรู้เกิดจากการ
เช่ือมโยงระหวา่ งสิง่ เรา้ กับการตอบสนอง ความมง่ั คงของการเรียนรูจ้ ะเกดิ ขนึ้ หากได้มีการนาไปใช้บ่อยๆ หากไม่มี
การนาไปใชอ้ าจมีการลืมเกิดข้นึ ได้ 4) กฎแห่งผลท่ีพึงพอใจ ให้ผู้เรยี นไดม้ ีสว่ นรว่ มหรอื ลงมือกระทาดว้ ยตนเอง ให้
มีความกา้ วหนา้ ไปทลี ะน้อยๆ ใหผ้ ู้เรียนไดร้ ู้ผลการกระทาในทันที เมอ่ื ผู้เรยี นไดร้ บั ผลท่ีพึงพอใจย่อมอยากจะเรียนรู้
5.2 ประโยชนข์ องทฤษฎกี ารเรียนรู้ และจติ วิทยาการศกึ ษา
นักการศึกษากลา่ วถึง ประโยชนข์ องทฤษฎีและจติ วิทยาการเรียนรู้ ดงั นี้
สุรางค์ โคว้ ตระกลู (2544, หน้า 4 – 5) กลา่ วว่า ครูจะต้องรู้เก่ยี วกับจติ วิทยา เพราะครูทุกคนมี
วถิ ีชวี ติ อย่กู บั คนแทบจะตลอดเวลาจงึ จาเป็นจะต้องรูช้ ีวิตจติ ใจของมนษุ ยว์ ่าเขาเหล่านั้น
มคี วามต้องการอะไรดงั มกี ลา่ วว่าคนเปน็ ครจู ะต้องรจู้ ติ วิทยาเพราะวา่ จิตวทิ ยาช่วยครูได้ ดังตอ่ ไปน้ี
1. ชว่ ยครูใหร้ จู้ ักลักษณะนิสยั (Characteristics) ของนักเรียนทค่ี รตู ้องสอนโดยทราบหลัก
พฒั นาการทงั้ ทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สงั คม และบุคลกิ ภาพเป็นส่วนรวม
2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพฒั นาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน เชน่ อัตมโน
ทัศน์ (Self concept) วา่ เกดิ ขนึ้ ได้อยา่ งไร และเรียนรถู้ ึงบทบาทของครูใน การท่จี ะช่วยนักเรียนให้มี อตั มโน
ทศั น์ ท่ดี แี ละถูกต้องได้อย่างไร
3. ชว่ ยครูใหม้ ีความเขา้ ใจในความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล เพอื่ จะได้ชว่ ยนกั เรียนเป็น
รายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแตล่ ะบคุ คล
4. ช่วยให้ครรู วู้ ิธจี ัดสภาพแวดลอ้ มของหอ้ งเรียนใหเ้ หมาะสมแก่วัยและ ขน้ั
พฒั นาการของนักเรียน เพื่อจูงใจใหน้ ักเรียนมีความสนใจและอยากจะเรยี นรู้
5. ชว่ ยให้ครทู ราบถงึ ตัวแปรต่างๆ ทม่ี ีอิทธพิ ลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เชน่
แรงจูงใจ อัตมโนทัศน์ และการต้งั ความคาดหวังของครทู ี่มตี ่อนักเรยี น
6. ช่วยครใู นการเตรียมการสอนวางแผนการเรยี น เพ่อื ทาให้การสอนมีประสทิ ธิภาพสามารถ
ชว่ ยใหน้ ักเรยี นทกุ คนเรียนรู้ตามศักยภาพของแตล่ ะบุคคล โดยคานึง หวั ข้อต่อไปน้ี
6.1 ช่วยครูเลอื กวตั ถปุ ระสงค์ของบทเรยี นโดยคานงึ ถึงลักษณะนสิ ัยและความแตกตา่ ง
ระหว่างบคุ คลของนักเรยี นทจ่ี ะตอ้ งสอน และสามารถท่จี ะเขียนวัตถุประสงคใ์ หน้ ักเรยี นเข้าใจว่าส่งิ ทคี่ รูคาดหวงั ให้
นกั เรียนรูม้ ีอะไรบา้ ง โดยถือว่าวตั ถปุ ระสงค์ของบทเรียนคือ สิง่ ทจี่ ะชว่ ยใหน้ ักเรียนทราบวา่ เมือ่ จบ
บทเรยี นแล้วนกั เรยี นจะสามารถทาอะไรได้บ้าง
6.2 ช่วยครูในการเลือกหลกั การสอนและวิธีสอนท่ีเหมาะสม โดยคานึงถึงลกั ษณะนิสยั
ของนักเรียนและวชิ าท่สี อน และกระบวนการเรียนรู้ของนกั เรยี น
6.3 ช่วยครใู นการประเมนิ ไม่เพยี งแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรียนเท่านั้นแต่ใช้
ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อนสอน ในระหว่างที่ทาการสอนเพื่อจะทราบว่านกั เรยี นมคี วามก้าวหนา้ หรือมี
ปญั หาในการเรยี นรู้อะไรบา้ ง
7. ชว่ ยครใู ห้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนร้ทู นี่ ักจิตวทิ ยา ไดพ้ สิ จู น์
แลว้ ว่าได้ผลดี เช่น การเรยี นร้จู ากการสงั เกตหรอื การเลยี นแบบ (Observational learning
หรอื (Modeling)
8. ชว่ ยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวธิ ีสอนทีม่ ีประสทิ ธิภาพ รวมท้งั พฤติกรรมของ
ครทู ่ีมีการสอนอย่างมปี ระสิทธภิ าพว่ามีอะไรบ้าง เชน่ การใช้คาถาม การให้แรงเสริม และการทาตนเปน็ ต้นแบบ
9. ช่วยครูใหท้ ราบวา่ นกั เรยี นทม่ี ีผลการเรียนดีไม่ไดเ้ ปน็ เพราะ ระดับเชาวน์ปญั ญาเพยี ง
อยา่ งเดียว แต่มอี งค์ประกอบอืน่ ๆ เช่น แรงจงู ใจ (Motivation) ทัศนคติหรือ อตั มโนทัศน์ ของนักเรียนและความ
คาดหวังของครูท่ีมตี ่อตัวนกั เรียน
10. ชว่ ยครใู นการปกครองช้ันและการสรา้ งบรรยากาศของหอ้ งเรยี นให้เอ้ือต่อการเรยี นรู้
และเสรมิ สร้างบคุ ลิกภาพของนักเรียน ครแู ละนักเรียนมีความรัก และไวว้ างใจซึ่งกันและกนั นักเรยี นต่างก็
ชว่ ยเหลอื ซ่งึ กันและกัน ทาให้ห้องเรยี นเป็นสถานท่ีท่ีทุกคนมีความสขุ และนักเรียนรักโรงเรยี น อยากมาโรงเรยี น
ณัฏฐพงศ์ ชูทยั (2550, ออนไลน)์ กล่าวถงึ ประโยชนข์ องจิตวิทยาการศึกษา ว่า
จิตวิทยาการศึกษามปี ระโยชนส์ าหรบั บคุ คลทุกวยั ไมเ่ ฉพาะครูผู้สอน เชน่ ผู้บรหิ ารการศึกษา
นกั แนะแนว ศึกษานิเทศก์ หวั หน้าหน่วยงานต่างๆ รวมทัง้ บิดา มารดา ผูป้ กครอง ในด้านตา่ งๆ ต่อไปนี้
1. ชว่ ยใหค้ รเู ขา้ ใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนาความรู้
ทีไ่ ด้มาจัดการเรยี นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ความตอ้ งการ
ความสนใจของเด็กแตล่ ะวยั
2. ชว่ ยให้ครสู ามารถเตรียมบทเรียน วธิ สี อน จัดกิจกรรม ตลอดจนใชว้ ธิ ี การวดั
และประเมนิ ผลการศึกษาไดส้ อดคล้องกับวยั ซงึ่ เปน็ การชว่ ยใหจ้ ดั การเรยี นการสอนมีประสทิ ธภิ าพ
3. ช่วยใหค้ รสู ามารถจดั กิจกรรมได้อยา่ งสนกุ สนานด้วยบรรยากาศของ
ความเขา้ ใจ การให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซ่ึงกนั และกัน
4. ชว่ ยสรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ รี ะหว่างครู ผูป้ กครองและเด็ก ทาใหป้ กครองเดก็ ง่ายขน้ึ และ
สามารถทางานกบั เด็กได้อยา่ งราบรืน่
5. ช่วยใหค้ รปู อ้ งกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลกิ ภาพของเด็กได้อยา่ งเหมาะสม
6. ช่วยใหผ้ ู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลกั สูตร อปุ กรณ์
การสอนและการบรหิ ารงานไดเ้ หมาะสม
7. ช่วยใหผ้ ู้เรียนเขา้ กบั สังคมไดด้ ี ปรับตัวเข้ากบั ผ้อู นื่ ได้ดี
จากคากลา่ วของนักการศกึ ษาข้างต้น สรปุ ได้ว่า ความรเู้ ก่ยี วกับทฤษฎี
การเรยี นรู้ จติ วิทยาการศึกษาจงึ มสี าคัญในการชว่ ยทงั้ ครูและนักการศึกษา ผูม้ ีความรับผดิ ชอบ
ในการปรับปรงุ หลักสูตร และการเรยี นการสอน ช่วยให้เยาวชนพฒั นาการทั้งทางด้านเชาวน์ปญั ญา และทาง
บคุ ลกิ ภาพ เพ่ือชว่ ยใหเ้ ยาวชนมคี วามสาเรจ็ ในชีวิต ชว่ ยครูใหร้ จู้ ักลกั ษณะนสิ ัยของนักเรียนท่คี รตู ้องสอน เขา้ ใจ
พัฒนาการทางบคุ ลิกภาพบางประการ เข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล จดั สภาพแวดลอ้ มของห้องเรยี นให้
เหมาะสมแก่วัย ทราบถึงหลกั การสอนและวธิ ีสอนที่มปี ระสิทธภิ าพ การสรา้ งบรรยากาศของห้องเรยี นให้เอ้ือต่อ
การเรยี นร้แู ละเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรยี น และรวมถึงการนามาออกแบบการสรา้ งสือ่ การเรียนการสอนท่ียึด
หลกั ทฤษฎีและจติ วิทยาการเรียนรู้
เอกสารเก่ียวกบั แบบทดสอบ
3.1 ประเภทของแบบทดสอบ
แบบทดสอบทางการเรียนอาจแบง่ ได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบท่ีครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐาน
แตเ่ น่ืองจากครูต้องมหี น้าทีว่ ัดผลนักเรียนคอื เขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธ์ใิ นวชิ าทีต่ นได้สอน ซง่ึ เกี่ยวข้องโดยตรงกบั
แบบทดสอบท่ีครสู ร้างขน้ึ นักการศึกษากลา่ วถึงประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นไวด้ ังน้ี
สมนกึ ภัททยิ ธนี (2551, หน้า 73 - 82) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
มี 6 แบบดังน้ี
1. ขอ้ สอบแบบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay Test) ลักษณะทั่วไป
เปน็ ขอ้ สอบทีม่ ีเฉพาะคาถาม แลว้ ให้นกั เรียนเขยี นตอบอยา่ งเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และขอ้ คดิ เหน็ แตล่ ะคน
2. ขอ้ สอบแบบกาถูก-ผดิ (True-false Test) ลักษณะทว่ั ไป ถือได้ว่าขอ้ สอบแบบกา
ถูก-ผดิ คอื ข้อสอบแบบเลือกตอบทมี่ ี 2 ตวั เลือก แตต่ ัวเลือกดังกลา่ วเปน็ แบบคงท่ี และมีความหมายตรงกันข้าม
3. ขอ้ สอบแบบเตมิ คา (Completion Test) ลักษณะทัว่ ไปเป็นขอ้ สอบทีป่ ระกอบดว้ ยประโยคหรอื
ขอ้ ความท่ียงั ไม่สมบูรณ์ใหผ้ ้ตู อบเตมิ คา หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องวา่ งที่เวน้ ไว้นนั้ เพ่ือให้มีใจความ
สมบูรณแ์ ละถกู ต้อง
4. ข้อสอบแบบตอบสน้ั ๆ (Short Answer Test) ลักษณะท่ัวไปข้อสอบประเภทน้ีคลา้ ยกับขอ้ สอบ
แบบเตมิ คา แต่แตกตา่ งกันที่ข้อสอบแบบตอบสนั้ ๆ เขียนเป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคาเปน็ ประโยคที่
ยังไม่สมบรู ณ)์ แล้วให้ผู้ตอบเปน็ คนเขียนตอบคาตอบที่ตอ้ งการจะสัน้ และกะทดั รดั ไดใ้ จความสมบรู ณ์ ไม่ใช่เป็น
การบรรยายแบบข้อสอบอัตนัย หรือความเรียง
5. ขอ้ สอบแบบจับคู่ (Matching Test) ลกั ษณะทัว่ ไปเปน็ ขอ้ สอบเลือกตอบชนิดหนึ่ง โดยมคี าหรือ
ขอ้ ความแยกจากกนั เปน็ 2 ชุด แล้วใหผ้ ู้ตอบเลอื กจับควู่ า่ แต่ละข้อความในชดุ หนง่ึ (ตัวยนื ) จะคู่กับคา หรือ
ข้อความใดในอีกชุดหนงึ่ (ตวั เลอื ก) ซ่ึงมคี วามสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามท่ีผอู้ อกข้อสอบกาหนดไว้
6. ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลักษณะทวั่ ไปข้อสอบแบบเลือกตอบน้จี ะ
ประกอบดว้ ย 2 ตอน ตอนนาหรือคาถาม (Stem) กบั ตอนเลอื ก (Choice) ในตอนเลอื กนี้จะประกอบดว้ ยตัวเลอื กท่ี
เปน็ คาตอบถกู และตัวเลือกท่ีเป็นตัวลวง ปกติจะมีคาถามท่ีกาหนดใหน้ ักเรียนพจิ ารณาแลว้ หาตวั เลือกทถ่ี ูกตอ้ ง
มากท่ีสุดเพียงตวั เลือกเดยี วจากตวั เลือกอ่ืนๆ และคาถามแบบเลอื กตอบท่ีดีนยิ มใช้ตวั เลอื กท่ีใกลเ้ คียงกนั ดูเผินๆ
จะเห็นว่าทุกตัวเลอื กถูกหมด แตค่ วามเป็นจรงิ มีนา้ หนักถูกมากน้อยตา่ งกนั
บญุ ชม ศรสี ะอาด (2554, หนา้ 56 - 57) กลา่ ววา่ แบบทดสอบทางการเรยี นมี 2 ประเภท ดงั นี้
1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบทีส่ ร้างขึน้ ตาม
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม มคี ะแนนจุดตดั หรือคะแนนเกณฑ์สาหรับใชต้ ัดสนิ ว่าผูส้ อบมคี วามรู้ตามเกณฑ์ท่ีกาหนด
ไวห้ รอื ไม่ การวดั ตามจดุ ประสงคเ์ ปน็ หวั ใจสาคญั ของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้
2. แบบทดสอบอิงกลมุ่ (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวดั ให้
ครอบคลุมหลักสตู รจงึ สรา้ งตามตามตารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตร ความสามารถในการจาแนกผูส้ อบตามความเกง่ ออ่ น
ไดด้ ี เปน็ หวั ใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทน้ี การรายงานผลการสอบ อาศัยคะแนนมาตรฐานซงึ่ เปน็
คะแนนที่ให้ความหมายแสดงถงึ สถานภาพความสามารถของบคุ คลน้นั เม่ือเปรยี บเทียบกับบคุ คลอน่ื ๆ ทใ่ี ช้เป็น
กลุม่ เปรยี บเทยี บ
สรุปจากประเภทของแบบทดสอบทางการเรยี นข้างต้น สรปุ ไดว้ า่ แบง่ ตามจดุ ประสงคก์ ารสร้างเป็น 2
ประเภท คอื 1) แบบทดสอบองิ เกณฑส์ ร้างขนึ้ ตามจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 2) แบบทดสอบอิงกล่มุ สรา้ งเพื่อวดั
ให้ครอบคลุมหลักสูตร ประเภท และแบง่ ตามลกั ษณะของข้อสอบมี 6 แบบ ได้แก่ 1) ขอ้ สอบแบบอัตนัยหรอื ความ
เรยี ง 2) ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด 3) ขอ้ สอบแบบเติมคา 4) ข้อสอบแบบตอบสนั้ ๆ 5) ข้อสอบแบบจับคู่ 6) ข้อสอบ
แบบเลือกตอบ
3.2 การสร้างแบบทดสอบ
แบบทดสอบทางการเรียนเป็นเคร่ืองมือวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นอย่างหนึ่ง
นักการศึกษาได้กลา่ วถึงการสรา้ งเครอื่ งมือวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนไว้ ดังน้ี
เยาวดี วบิ ลู ยศ์ รี (2549, หนา้ 187) กล่าววา่ ข้ันตอนการสร้างแบบทดสอบ
ทางการเรยี นแบง่ ได้เป็น 4 ข้ันตอนทีส่ าคัญ คอื
1. กาหนดวตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรมจากวัตถปุ ระสงคท์ ั่วไป
2. กาหนดโครงเรื่องของเนื้อหาทจี่ ะทดสอบให้ครบถ้วน
3. จัดทาตารางเฉพาะหรือผังของข้อสอบ
4. สร้างขอ้ กระทงให้สอดคล้องกบั สดั สว่ นของน้าหนักทร่ี ะบไุ วใ้ นตารางเฉพาะ
ทวิ ัตถ์ มณีโชติ (2549, หนา้ 5) กล่าวว่า ขัน้ ตอนการวัดผลทางการศึกษามดี งั นี้
1. สรา้ งข้อคาถาม เงื่อนไข สถานการณ์ หรือส่งิ เร้า
2. พิจารณาข้อคาถาม เง่ือนไข สถานการณ์ หรือส่ิงเรา้ โดยใหผ้ ู้เชยี่ วชาญ ช่วยพจิ ารณา
3. ทดลองใช้เคร่ืองมือ
4. หาคณุ ภาพเคร่ืองมือ
5. จดั ทาคู่มอื วัดผลและการแปลความหมาย
6. จัดทาเคร่อื งมือฉบับสมบรู ณ์
พิชิต ฤทธจ์ิ รูญ (2552, หน้า 97 – 98) กล่าววา่ การสรา้ งแบบทดสอบทางการเรยี นมีข้ันตอนดังน้ี
1. วิเคราะห์หลกั สูตรและสร้างตารางวิเคราะห์หลกั สูตร โดยระบุจานวนขอ้ สอบ ในแตล่ ะ
เร่อื งและพฤติกรรมท่ีต้องการจะวดั
2. กาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3. กาหนดชนดิ ของข้อสอบและศกึ ษาวิธสี ร้างโดยเลอื กใหส้ อดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้และ
เหมาะสมกบั วยั ของผูเ้ รียน
4. เขยี นขอ้ สอบโดยลงมือเขยี นข้อสอบตามรายละเอียดที่กาหนดไว้ในตารางวเิ คราะห์
หลกั สูตร และใหส้ อดคล้องกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้
5. ตรวจทานข้อสอบจะต้องทบทวนตรวจทานขอ้ สอบอกี ครงั้ กอ่ นจะจัดพิมพ์และนาไปใช้
6. จัดพมิ พ์แบบทดสอบฉบบั ทดลองโดยมคี าช้แี จงหรือคาอธบิ ายวธิ ีตอบแบบทดสอบ และจดั วาง
รปู แบบการพิมพใ์ ห้เหมาะสม
7. ทดลองสอบและวิเคราะหข์ ้อสอบ
8. จดั ทาแบบทดสอบฉบับจรงิ
สรปุ ได้วา่ วิธีการสร้างแบบทดสอบทางการเรียนมีข้นั ตอนดงั นี้
คอื 1) วเิ คราะห์หลักสตู รและสรา้ งตารางวิเคราะห์หลักสตู ร 2) กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
3) กาหนดชนิดของขอ้ สอบและศึกษาวธิ สี ร้าง 4) เขียนข้อสอบและตรวจทาน 5) จัดพิมพ์เพ่ือ
ทดลองใช้ 6) ทดลองสอบและวเิ คราะห์ข้อสอบ 7) จัดทาแบบทดสอบฉบับจรงิ
3.4 การหาคุณภาพของแบบทดสอบ
แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดผลท่ีครูผสู้ อนสรา้ งขึ้นเพ่อื ใชว้ ัดพฤติกรรมหรอื คณุ ลักษณะท่ีต้องการใหเ้ กิด
กับผู้เรยี น จึงตอ้ งมหี ลักในการสร้างและหาคุณภาพซ่ึงนักการศึกษาไดเ้ สนอวิธีการหาคุณภาพของแบบทดสอบ
ดังนี้
4.1 ความเท่ยี งตรง (Validity) นกั การศกึ ษากลา่ วถงึ ความเที่ยง หรอื ความตรงของแบบทดสอบ
ทางการเรยี น ดังนี้
กรมวิชาการ (2544, หนา้ 83 - 87) กล่าวถึง การหาความเทีย่ งของแบบทดสอบทางการเรียนว่า
ต้องไดข้ ้อมลู ตรงกบั วตั ถุประสงคท์ ี่ต้องการทราบ ครอบคลมุ เนื้อหาสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ซ่ึง
ตรวจสอบโดยผูเ้ ชีย่ วชาญไมน่ อ้ ยกว่า 3 คน พิจารณาวเิ คราะห์หาความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงค์
เชิงพฤติกรรม (IOC : Index of item objective congruence) ซ่งึ ข้อสอบแตล่ ะข้อตอ้ งมคี า่ ดชั นีความสอดคล้อง
ตง้ั แต่ 0.5 ขนึ้ ไปจึงจะเป็นข้อสอบท่มี ีความตรงเชิงเนื้อหา
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ (2543, หน้า 249 - 249) กลา่ วถงึ ความเที่ยงวา่
เป็นคุณภาพของแบบทดสอบ แบบทดสอบท่ีสามารถวัดได้ตรงตามลกั ษณะ หรือจุดประสงค์ทต่ี ้องการวัด ซึง่ เป็น
คุณสมบัติสาคัญของแบบทดสอบและสาหรบั แบบทดสอบแบบองิ เกณฑ์ ผเู้ ชยี่ วชาญพจิ ารณาว่าขอ้ สอบของ
แบบทดสอบทีส่ รา้ งข้นึ น้นั วัดไดต้ รงตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมหรอื ไม่นนั้ ค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ ง (IOC : Index
of consistency) จะต้องมีค่ามากกวา่ หรือเท่ากับ 0.5 จึงจะถือวา่ วดั ไดส้ อดคลอ้ งกนั
เกียรตสิ ดุ า ศรสี ขุ (2552, หนา้ 138) กล่าวถงึ ความเทีย่ งว่า การท่เี คร่ืองมือสามารถ
วัดได้ตรงและครบถว้ นในสิ่งท่ีต้องการศกึ ษา หรือตรงตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ผู้วจิ ยั จาเป็นต้องมีการหาความ
เทย่ี งตรงเชิงเนอ้ื หาของเคร่ืองมอื ที่ใช้ มบี างงานวิจัยท่เี น้นการสรา้ งเครื่องมอื อาจมีการหาความเทย่ี งหลายๆ ดา้ น
เพื่อยนื ยันคุณภาพของเครื่องมือ ทาให้เคร่ืองมอื มีคณุ สมบัติทดี่ ใี นเรื่องอนื่ เช่น ความเชื่อม่นั อานาจจาแนก ความ
ยากงา่ ย ต้องเร่มิ ต้นจากควบคุมให้เคร่ืองมือมีคุณภาพด้านความเท่ยี งตรงก่อน การหาความเทย่ี งตรงเชิงเนื้อหาโดย
นาข้อคาถามไปใหผ้ ู้เชีย่ วชาญไม่น้อยกวา่ 3 คน พจิ ารณาโดยใช้เกณฑ์การพิจารณาจากความเหน็ ของผ้เู ชี่ยวชาญ
อยา่ งน้อย 2 ใน 3 วา่ วัดได้ตรงกบั ส่ิงทต่ี ้องการวัด จงึ ถอื วา่ แตล่ ะข้อคาถามในแบบวดั มีความเที่ยงตรงเชงิ เน้ือหา
พชิ ติ ฤทธ์ิจรูญ (2552, หน้า 136 – 142) กลา่ วว่า ความเท่ยี งตรง (Validity) เป็นคุณสมบัติของ
เคร่อื งมือทส่ี ามารถวัดไดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ที่ตอ้ งการวดั แบง่ เป็น 3 ประเภทคือ
1. ความเท่ยี งตรงเชงิ เนื้อหา (Content validity) หมายถึง คุณสมบัติของ
ขอ้ คาถามท่ีสามารถวดั ไดต้ รงตามเน้ือหาและพฤติกรรมทตี่ ้องการวดั
2. ความตรงเชงิ โครงสรา้ ง (Construct validity) หมายถึง คณุ สมบตั ิของเครื่องมือที่สามารถ
วดั ได้ตรงตามทฤษฎีหรอื แนวคดิ ของโครงสร้างทตี่ ้องการจะวดั
3. ความตรงตามเกณฑ์ที่เกีย่ วข้อง (Criteria relative validity) หมายถึง
คณุ สมบตั ิของเครื่องมือทส่ี ามารถวัดได้สอดคล้องกบั เกณฑ์ภายนอก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
คือ ความเทีย่ งตรงเชงิ สภาพ (Concurrent validity) เป็นสมบตั ขิ องเครื่องมือทสี่ ามารถวัดไดต้ รง
กบั สภาพความเป็นจริงทีเ่ กิดข้ึนในปจั จบุ ันและความตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive validity) เป็นคุณสมบตั ิของ
เครอื่ งมอื ท่ีสามารถวัดไดต้ รงกับสภาพความเปน็ จริงท่ีเกิดข้ึนในอนาคต
วรรณด์ ี แสงประทปี ทอง (2553, หน้า 8 - 9) กล่าวว่า ความเทีย่ งตรง หมายถึง ความสามารถของ
เคร่ืองมือ ท่ีสามารถวดั ไดใ้ นสิ่งทีต่ ้องการวัดได้ เปน็ ความสอดคลอ้ งระหว่าง ผลการวัดกบั สงิ่ ทตี่ ้องการวัด
จาแนกเปน็ 3 ชนิด ได้แก่
1. ความตรงตามเนื้อหา (Content Validity)ความตรงตามเน้ือหา หมายถงึ ความสอดคล้อง
ของเน้ือหาสาระของข้อสอบกับเนอ้ื หาวิชาทสี่ อน หรอื ขอ้ สอบสอดคล้องและครอบคลมุ เน้ือหา และวตั ถปุ ระสงค์
ของวชิ าท่ีสอน การตรวจสอบความตรงตามเน้ือหา ทาได้โดยการวิเคราะห์เน้ือหาของแบบทดสอบทั้งฉบบั อาศัย
ผเู้ ช่ียวชาญเปน็ ผูพ้ ิจารณาว่า เนื้อหาสาระของแบบทดสอบ สอดคล้องกบั แบบเรียน รายละเอยี ดของวชิ าและ
หลักสูตรหรอื ไม่ซ่งึ ในทางปฏิบตั ิ จะใชต้ ารางวิเคราะห์หลักสูตรเป็นตัวเทยี บ
2. ความตรงตามโครงสร้าง (Construc Validity) หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบ ท่ี
จะวดั คุณลกั ษณะหรอื พฤติกรรมตามโครงสรา้ งทฤษฎไี ด้ การตรวจสอบความตรงตามโครงสร้าง มีหลายวธิ ี เช่น
2.1 การเทียบกลมุ่ รชู้ ัด (Known Group) วธิ กี ารน้ี จะนาแบบทดสอบท่ีสร้างขนึ้ ไปใชก้ ับ
กลมุ่ ท่ที ราบคุณลักษะทางจิตวทิ ยาตามทีต่ ้องการวัด โดยใช้ 2 กลุ่ม ที่มีลักษณะตรงข้ามกันแลว้ นาผลมาเทียบกนั
ถ้าความแตกต่างของคา่ ทวี่ ดั ได้จากกลุ่มทง้ั สอง ดว้ ยการทดสอบที
(t – test) ถา้ ความแตกต่างมีนัยสาคัญเชิงสถติ ิ แสดงว่าแบบทดสอบนน้ั มีความตรงตามโครงสรา้ ง
2.2 การวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) วธิ ีการนี้ อาศยั วธิ กี าร
ทางสถติ สิ าหรับตรวจหาคณุ สมบตั ทิ างจิตวทิ ยา ด้วยการวเิ คราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหว่างข้อสอบ แต่ละข้อวา่
ขอ้ สอบท้ังหมดนัน้ วัดองคป์ ระกอบอะไรบ้าง ถ้าองคป์ ระกอบทว่ี ัดตรงตามทฤษฎี หรอื สมมตฐิ านท่ตี ้งั ไว้
แสดงวา่ แบบทดสอบมคี วามตรงตามโครงสรา้ ง
2.3 การหาความสัมพันธ์กับเกณฑ์ท่ีมโี ครงสรา้ งเหมือนกัน วธิ นี ี้ทาโดยหา
สมั ประสิทธสิ์ หสมั พนั ธ์ ระหว่างคะแนนจากแบบทดสอบท่ีเราสร้างข้นึ กับแบบทดสอบอื่นที่วดั
ในโครงสรา้ ง หรือทฤษฎีด้วยกัน ซึ่งพิสูจน์ไวแ้ ลว้ ว่ามคี วามตรงตามโครงสรา้ ง ถา้ แบบทดสอบที่
สร้างข้ึนใหม่ มีสหสัมพันธก์ ับแบบทดสอบทีเ่ ปน็ เกณฑส์ งู แสดงว่าแบบทดสอบท่ีสรา้ งขึ้น มีความตรงตามโครงสรา้ ง
3. ความตรงตามเกณฑ์ (Criterion – Related Validity) ความตรงตามเกณฑ์ เป็นการ
พจิ ารณาความสมั พันธ์ระหวา่ งแบบทดสอบที่สรา้ งข้ึนกบั เกณฑภ์ ายนอกบางอย่าง ซ่งึ เป็นสภาพความเป็นจริงท่ีได้
จากการปฏิบัติงาน ความตรงตามเกณฑ์ท่เี กยี่ วข้อง แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังน้ี
3.1 ความตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) เปน็ ความสามารถของ
แบบทดสอบท่ีวัดไดต้ รงกบั สภาพความเปน็ จรงิ ของบคุ คลในขณะน้ัน เช่น แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิวิชาภาษาไทย
นาไปใหผ้ ู้เรยี นคนหนง่ึ สอบ ปรากฏวา่ ไดค้ ะแนนสงู ซง่ึ ในสภาพความเปน็ ความเปน็ จริง ผู้เรียนมคี วามสามารถทาง
ภาษาไทยสูงจรงิ แสดงวา่ แบบทดสอบวัดได้ตรงตามสภาพที่เปน็ อยู่
3.2 ความตรงตามการพยาการณ์ (Predictive Validity) เป็นความสามารถ
ของแบบทดสอบที่วัดผลไดต้ รงกับสภาพความเปน็ จริงที่เกิดขนึ้ ในอนาคต เช่น แบบทดสอบคดั เลอื กบคุ คลเข้า
ศึกษาต่อ เมื่อไปใชส้ อบคัดเลือกบุคคลเข้าศกึ ษาต่อ ปรากฏว่า ผทู้ ีส่ อบคดั เลอื ก
ไดค้ ะแนนดี เมื่อเข้าศกึ ษาต่อมผี ลการเรียนอยใู่ นเกณฑ์ท่ีดี แสดงวา่ แบบทดสอบมีความตรงตาม
การพยากรณ์
สรุปได้ว่า ความเท่ยี งของแบบทดสอบ ประกอบดว้ ย ความเทย่ี งตรงเชิงเนอ้ื หา
คอื คุณสมบตั ิของข้อคาถามท่ีสามารถวดั ไดต้ รงตามเนื้อหาและพฤตกิ รรมทีต่ ้องการวัด ความตรง
เชิงโครงสร้าง คือคุณสมบตั ิของเคร่ืองมือทสี่ ามารถวดั ไดต้ รงตามทฤษฎหี รือแนวคิดของโครงสรา้ งทต่ี ้องการจะวัด
และความตรงตามเกณฑท์ เ่ี กี่ยวข้อง คือ คุณสมบตั ขิ องเคร่ืองมอื ทส่ี ามารถวัดไดส้ อดคลอ้ งกับเกณฑ์ภายนอก การ
หาความเทย่ี งของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนต้องได้ข้อมูลตรงกับวัตถปุ ระสงคท์ ีต่ ้องการทราบ
ครอบคลุมเน้ือหาสอดคล้องกับจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ซง่ึ ตรวจสอบโดยผเู้ ช่ยี วชาญไมน่ อ้ ยกว่า 3 คน พิจารณา
วเิ คราะหห์ าความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ซง่ึ ข้อสอบแต่ละข้อตอ้ งมคี ่าดัชนคี วาม
สอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.5
ข้นึ ไปจงึ จะเปน็ ข้อสอบทีม่ ีความตรงเชงิ เนื้อหา
4.2 ความยากงา่ ย (Difficulty)
นกั การศึกษากล่าวถงึ ความยากงา่ ยของข้อสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ดงั น้ี
พวงรตั น์ ทวีรัตน์ (2543, หน้า 129) กลา่ วถึง ความยากว่า หมายถึง สัดสว่ นระหวา่ ง
จานวนผทู้ ่ีตอบข้อสอบในแตล่ ะข้อถกู ตอ่ จานวนผเู้ ขา้ สอบทั้งหมด เกณฑ์ความยากของขอ้ สอบ
กาหนดไวร้ ะหวา่ ง 0.20 - 0.80
ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2543, หน้า 196) กลา่ วถงึ ค่าความยากงา่ ยหรือดชั นีค่าความ
ยากง่ายของข้อสอบของข้อสอบแบบองิ เกณฑ์จะพิจารณาค่าความยากง่ายนอ้ ยกว่า .40 กอ่ นที่นักเรยี นจะไดร้ ับ
การสอน และเม่อื นักเรยี นได้รับการสอนแลว้ ข้อสอบแต่ละข้อจะต้องมีคา่
ความยากง่ายมากกว่า .75 ทั้งนีเ้ ป็นเพราะว่าข้อสอบแบบอิงเกณฑไ์ ม่ไดเ้ นน้ ท่จี ะนาคา่ ความยากง่าย
เพอ่ื มาเลอื กข้อสอบ แต่เน้นที่คณุ ภาพในการสอนของครู เกณฑแ์ ตล่ ะข้อจะต้องมคี ่าความยากงา่ ย
ไม่นอ้ ยกว่า .40 ก่อนทีน่ กั เรยี นจะไดร้ ับการสอน และเม่ือนักเรียนไดร้ บั การสอนแลว้ ข้อสอบแตล่ ะข้อจะต้องมีคา่
ความยากงา่ ยมากกว่า .75
เกยี รตสิ ดุ า ศรีสุข (2552, หนา้ 139 – 157) กล่าวถึง ความยากง่ายวา่ คาถาม
มคี วามยากของเนื้อหาท่ีถามพอเหมาะกับความสามารถของผตู้ อบ พิจารณาได้จากข้อสอบ
ไม่ยากหรือง่ายเกนิ กบั ความสามารถของผูส้ อบ ข้อสอบที่ดีตอ้ งมีคา่ ความยากง่าย พอเหมาะ อยู่
ระหวา่ ง 0.20 - 0.80
พิชิต ฤทธ์จิ รูญ (2552, หน้า 136 – 142) กล่าววา่ ความยาก (Difficulty) ว่าเปน็ คุณสมบัตขิ อง
ข้อสอบทีบ่ อกให้ทราบวา่ ขอ้ สอบข้อนน้ั มีคนตอบถูกมากหรือน้อย ข้อสอบท่ดี ี ควรมีคา่ ความยาก
พอเหมาะท่ี 0.20 - 0.80
วรรณ์ดี แสงประทีปทอง (2553, หนา้ 2 - 4) กลา่ วถึง ความยากของข้อสอบว่า
คอื สดั สว่ นหรอื ร้อยละของผสู้ อบทตี่ อบข้อสอบนั้นถกู ค่าความยากคานวณได้จากสูตร
ความยาก (p) = จานวนผสู้ อบทตี่ อบตวั เลอื กน้ัน
หรือ ความยาก จานวนผู้สอบทัง้ หมด
(p) = จานวนผสู้ อบทตี่ อบตวั เลอื กนนั้ X 100
จานวนผสู้ อบทั้งหมด
หรือ (p) H L
NH NL
เมื่อ H คอื จานวนผ้สู อบในกลมุ่ ที่ไดค้ ะแนนรวมสูงท่ีตอบตวั เลอื กนน้ั
คือ จานวนผูส้ อบในกลมุ่ ท่ีไดค้ ะแนนรวมต่าท่ตี อบตัวเลือกนน้ั
N จานวนคนในกลุม่ ท่ีได้คะแนนรวมสงู
จานวนคนในกลุม่ ที่ไดค้ ะแนนรวมต่า
NH คอื
NL คอื
ความยากของข้อสอบเปรยี บเทยี บได้กับความชันของเนนิ ข้อสอบใดยากมากก็
เสมือนเนินทช่ี ันมาก เด็กปนี ไม่คอ่ ยไหวทาผดิ มาก จดั เป็นข้อสอบท่ยี ากมากและในทานองเดยี วกัน ถา้ ข้อสอบขอ้
ใดมผี ทู้ าถูกมากแสดงว่าเปน็ ข้อสอบที่ง่ายหรอื มีระดับความยากตา่
1. ลักษณะของความยาก ความยากของข้อสอบมีลักษณะดงั นี้
1.1 คา่ ความยากของข้อสอบในรปู สดั ส่วน (p) มคี ่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1
และค่าความยากของขอ้ สอบในรูปร้อยละ (p) มีค่าอยรู่ ะหวา่ ง 0 ถึง 100
1.2 ข้อสอบขอ้ ใดทผ่ี ู้สอบทาถูกหมดทกุ คน แสดงว่าข้อสอบง่ายมาก
มีคา่ ความยาก (p) เทา่ กบั 1.0 หรือ p เท่ากบั 100
1.3 ข้อสอบขอ้ ใดทีผ่ ้สู อบทาผดิ หมดทุกคน แสดงวา่ ข้อสอบยากมาก
มีค่าความยาก (p) เท่ากบั 0 หรือ p เทา่ กับ 0
1.4 ข้อสอบขอ้ ใดท่ีผูส้ อบคร่ึงหนงึ่ ทาถูกและผสู้ อบอีกคร่ึงหนงึ่ ทาผิด แสดงว่าเป็นข้อสอบ
ที่ยากปานกลาง หรอื ยากพอเหมาะ
ข้อสอบที่งา่ ย 1.5 ข้อสอบข้อใดที่มคี ่าความยากสงู แสดงวา่ ข้อสอบข้อน้ัน มผี ู้ตอบถกู จานวนมากจงึ เปน็
ข้อสอบทย่ี าก 1.6 ข้อสอบข้อใดท่ีมีคา่ ความยากตา่ แสดงว่าข้อสอบขอ้ น้ัน มผี ตู้ อบถูกจานวนน้อยจงึ เป็น
เกณฑก์ ารแปลความหมายของความยากของข้อสอบ มดี ังนี้
ค่าความยาก (p) ความหมาย
0.81 - 1.00 ง่ายมาก
0.61 - 0.80 งา่ ย
0.51 - 0.60 คอ่ นข้างง่าย
0.50 ยากงา่ ยพอเหมาะ
0.40 - 0.49 คอ่ นข้างยาก
0.20 - 0.39 ยาก
0.00 - 0.19 ยากมาก
สรปุ ได้ว่า ความยากง่ายของข้อสอบ คือวิเคราะห์หาสัดสว่ นระหวา่ งจานวนผู้ท่ีตอบขอ้ สอบใน
แตล่ ะข้อถูกต่อจานวนผูเ้ ข้าสอบท้ังหมด เกณฑ์ความยากของข้อสอบ ข้อสอบควร
มีคา่ ความยากพอเหมาะที่ 0.20 - 0.80
4.3 อานาจจาแนก (Discrimination)
นกั การศึกษากล่าวถึงคา่ อานาจจาแนกของข้อสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ดังน้ี
พวงรตั น์ ทวีรตั น์ (2543, หน้า 130) กล่าวถึง คา่ อานาจจาแนกว่า เป็นคุณสมบตั ิ
ของข้อสอบท่สี ามารถจาแนกบคุ คลออกเปน็ 2 กลมุ่ ที่มลี ักษณะต่างกันในเรอ่ื งท่ีศึกษาเป็นกลมุ่ สงู
(กลมุ่ เก่ง) และกลุ่มต่า (กลุ่มอ่อน) เปน็ คา่ ทไี่ ด้จากสัดสว่ นของความแตกต่างของผทู้ ่ีตอบถูก
ระหว่างกลุ่มสงู กลุ่มตา่ คา่ อานาจจาแนกตามเกณฑท์ ่ีกาหนดคอื มีคา่ ตั้งแต่ 0.20 ข้นึ ไป
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ (2543, หน้า 197) กลา่ วถึง คา่ อานาจจาแนกวา่ สาหรบั
ข้อสอบองิ เกณฑ์น้นั จะเปน็ ค่าอานาจจาแนกระหวา่ งกลมุ่ ท่ียังไม่ไดเ้ รยี นหรือกลมุ่ ทีย่ งั ไม่รู้ กับกลุ่มท่เี รยี นรู้แลว้
หรือทร่ี ูแ้ ลว้ คา่ อานาจจาแนกของข้อสอบควรมคี ่าเทา่ กบั หรอื มากกวา่ 0
เกยี รติสดุ า ศรีสุข (2552, หนา้ 139 – 157) กลา่ วถึง ค่าอานาจจาแนกว่า
เปน็ ความสามารถของข้อคาถามในการแยกคนเก่ง (รู้) ไม่เก่ง (ไมร่ )ู้ ออกจากกนั ค่าอานาจจาแนกที่พอเหมาะควรมี
คา่ มากกวา่ .20
พิชิต ฤทธจ์ิ รญู (2552, หน้า 136 – 142) กลา่ วถึง ค่าอานาจจาแนก (Discrimination)
เป็นคุณสมบตั ิของขอ้ สอบท่สี ามารถจาแนกผู้เรียนได้ตามความแตกตา่ งของบุคคล โดยยึดหลักว่า
คนเก่งจะต้องตอบข้อน้นั ถกู คนไม่เก่งจะต้องตอบผิด
วรรณด์ ี แสงประทีปทอง (2553, หนา้ 4 - 5) กล่าวถึง ค่าอานาจจาแนกข้อสอบ หมายถึง
ความสามารถของข้อสอบทีจ่ ะจาแนกความแตกตา่ งของส่ิงทต่ี ้องการวดั โดยสามารถจาแนกกลุ่มผสู้ อบท่ไี ด้คะแนน
รวมสงู ออกจากกล่มุ ผู้ที่ได้คะแนนรวมตา่ การคานวณค่าอานาจจาแนก อาจคานวณได้โดยใชส้ ูตรอยา่ งงา่ ย (r)
และสตู รสมั ประสทิ ธสิ หสมั พันธแ์ บบพอยท์
ไบซีเรยี ล (Point biserial correlation coefficient ; rpb)
1. การคานวณคา่ อานาจจาแนก (r) โดยใช้สตู รอยา่ งงา่ ย เป็นการเปรยี บเทียบ
จานวนผ้ตู อบในกลมุ่ ทไ่ี ด้คะแนนรวมสูง กบั กลุม่ ท่ีไดค้ ะแนนรวมตา่ ท่ตี อบข้อสอบข้อนนั้ ถกู
การคานวณใชส้ ตู ร
r H L หรอื r H L
NH
NL
โดยท่ีสัญลกั ษณแ์ ตล่ ะตัวมีความหมายเหมือนในการคานวณคา่ ความยาก
2. การคานวณค่าอานาจจาแนก โดยใชส้ ูตรสัมประสิทธิสหสัมพันธแ์ บบ
พอยท์ไบซีเรยี ล การหาคา่ จาแนกโดยวิธีน้ี ใช้ในกรณีทกี่ ารกระจายของคะแนนรวม หรือกระจายคะแนนของผู้สอบ
ทีต่ อบขอ้ สอบผิด ไมเ่ ป็นโค้งปกติ การคานวณคา่ rpb ใช้สตู ร
rpb Xp Xq . pq
Sx
เมอื่ Xp = คอื ค่าเฉลี่ยของคะแนนของผสู้ อบทต่ี อบข้อสอบข้อนัน้ ถกู
Xq = คอื ค่าเฉลี่ยของคะแนนของผสู้ อบทตี่ อบข้อสอบขอ้ น้นั ผดิ
Sx = คอื ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนรวมของผู้สอบทั้งหมด
P = คอื สดั สว่ นของผู้สอบท่ตี อบข้อสอบนน้ั ถูก
Q = คือสดั ส่วนของผ้สู อบท่ีตอบข้อสอบนน้ั ผิด
3. ลักษณะของอานาจจาแนก
3.1 อานาจจาแนกมีคา่ ต้ังแต่ -1.00 ถึง 1.00
3.2 ข้อสอบข้อใดที่ผสู้ อบในกลุ่มได้คะแนนรวมสูง ทาถูกทุกคน แต่ผ้สู อบในกลุ่มท่ไี ด้
คะแนนรวมต่าทาผิดทุกคน อานาจจาแนกมีคา่ เทา่ กบั 1 ข้อสอบข้อนั้น เปน็ ข้อสอบทม่ี ีอานาจจาแนกเป็นเลิศ
3.3 ขอ้ สอบขอ้ ใดทผี่ ้สู อบในกลุ่ม ได้คะแนนรวมสูงทาผิดทุกคน แตผ่ ู้สอบในกลุ่มที่ได้
คะแนนรวมต่าทาถูกทุกคน อานาจจาแนกมีค่าเท่ากับ -1 ข้อสอบข้อน้นั เป็นข้อสอบท่ีไม่ดี
3.4 ขอ้ สอบข้อใดท่ีผู้สอบในกล่มุ ได้คะแนนรวมสูงตอบถูกเท่าๆ กับผู้สอบในกลมุ่ ที่ได้
คะแนนรวมต่า อานาจจาแนกจะเท่ากับ 0 หรือมีค่าใกล้ศนู ย์ ข้อสอบขอ้ นน้ั มอี านาจจาแนกต่า
3.5 โดยท่ัวไปการสร้างข้อสอบ ต้องการขอ้ สอบท่ีมีอานาจจาแนกเป็นบวก ถา้ อานาจ
จาแนกท่เี ป็นบวกย่งิ มคี ่ามากก็ยิ่งดี
เกณฑ์การแปลความหมายค่าอานาจจาแนกทเ่ี ปน็ บวก มีดังน้ี
คา่ อานาจจาแนก ความหมาย
1.00 จาแนกได้ดีเลศิ
คา่ อานาจจาแนก ความหมาย
0.80 - 0.99 จาแนกได้ดมี าก
0.60 - 0.79 จาแนกได้ดี
0.40 - 0.59 จาแนกได้ปานกลาง
0.20 - 0.39 จาแนกได้เลก็ น้อย
ตา่ กว่า 1.9 จาแนกไมไ่ ด้เลย
สรุปไดว้ า่ คา่ อานาจจาแนกคือการวเิ คราะหห์ าสัดส่วนระหวา่ งจานวนผูท้ ีต่ อบข้อสอบในกลมุ่
สูง (สอบผา่ น) กับผู้ตอบถูกในกลมุ่ ต่า (สอบไม่ผ่าน) แต่ละข้อถกู จากสดั ส่วนของ ความแตกต่าง
ค่าอานาจจาแนกตามเกณฑ์ที่กาหนดคือมีค่าตงั้ แต่ 0.20 ข้ึนไป
4.4 ความเช่อื มนั่ (Reliability)
นักการศึกษากลา่ วถึงความเชือ่ ม่นั หรอื ความเทยี่ งของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ดงั น้ี
พวงรตั น์ ทวรี ัตน์ (2543, หน้า 120) กล่าวถึงความเชื่อม่นั ว่า เป็นคณุ สมบตั ิของเคร่ืองมือท่ีแสดงว่า
เครื่องมอื นั้นให้ผลการวัดทส่ี ม่าเสมอแนน่ อน คงท่ีมากน้อยเพยี งใด ซง่ึ มีหลายวิธีทีใ่ ช้หาความเชอ่ื มัน่ เช่น แบบ
สอบซา้ แบบใช้เคร่ืองมือวัดที่มีลักษณะเท่าเทยี มกนั หรอื ค่ขู นาน แบบแบ่งครงึ่ แบบของคูเดอร์ริชารด์ สนั เป็นตน้
ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ (2543, หนา้ 232 – 245) กลา่ วถึง ความเช่ือม่นั ของ
แบบทดสอบอิงเกณฑ์วา่ เปน็ ผลของคะแนนท่สี อบได้ มีความคงทีใ่ นการเปน็ ผรู้ อบรู้ หรือผู้ไม่รอบรู้ในเรื่องที่สอบ มี
วธิ ีการหา ดงั นี้
1. แบบหาความคงที่ของความรอบรโู้ ดยการนาแบบทดสอบอิงเกณฑ์มาสอบ ซ้า 2 คร้ัง หา
ได้จากสูตรของ ชรอค และคอสแคลี
2. แบบหาความสอดคล้องในการตดั สินใจ โดยหาจากการทดสอบ 2 ครง้ั จาก
แบบทดสอบฉบบั เดยี วกัน หรือแบบทดสอบคู่ขนานกนั 2 ฉบับ หาจากสูตรของคารเ์ วอร์ หรอื ของ
แฮมเบลตนั และโนวคิ
3. การทดสอบดว้ ยข้อสอบแบบองิ เกณฑเ์ พียงครัง้ เดยี ว จากสตู รของลวิ ิงสตัน
สูตรไบโนเมียลของโลเวท วธิ ีวเิ คราะห์ความแปรปรวนตามสูตรของฮอยท์ การวเิ คราะห์โดยวิธี
แบง่ ครง่ึ แบบทดสอบโดยใชส้ ูตรของสเปียรแ์ มนบราวน์ หรอื สตู รของแฮร์ริส
4. แบบทีค่ านึงถึงจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมของแบบทดสอบองิ เกณฑ์ ตามสตู ร
ของคอนเจนเนอรคิ
เกยี รตสิ ุดา ศรีสุข (2552, หนา้ 139 – 144) กล่าวถึง ความเชื่อมั่นว่า เป็นการวัดผล
ทไี่ ดผ้ ลคงทแ่ี น่นอนจากเคร่ืองมือเม่ือมีการวดั ซ้าอีก นั่นคือจะใช้เครื่องมือนน้ั ๆ วัดสงิ่ เดมิ กี่ครง้ั
ก็จะไดผ้ ลเหมอื นเดิมหรือใกล้เคียงของเดมิ การหาความเชื่อมั่นทาได้หลายวิธี เช่น วิธีทดสอบซ้า วธิ ีการใช้
เคร่ืองมือคู่ขนาน วธิ ีการแบ่งคร่ึง วิธีการหาความเป็นเอกพันธภ์ ายใน เกณฑ์ในการพิจารณา
ความเช่อื ม่ัน ดงั นี้
ถ้ามีค่าตง้ั แต่ .00 - .20 แสดงว่ามีความเช่ือมน่ั ตา่ มาก
ถา้ มคี ่าตง้ั แต่ .21 - .40 แสดงว่ามีความเช่อื ม่ันต่า
ถ้ามีค่าตงั้ แต่ .41 - .70 แสดงว่ามีความเชื่อมั่นปานกลาง
ถ้ามคี า่ ตั้งแต่ .71 - 1.00 แสดงว่ามคี วามเชอ่ื มั่นสูง
พิชิต ฤทธ์ิจรญู (2552, หนา้ 136 – 142) กลา่ วถึง ความเชอ่ื มัน่ (Reliability) ว่าเปน็ คุณสมบตั ิ
ของเคร่ืองมือทแ่ี สดงให้ทราบว่าเครอื่ งมือนัน้ ๆ ให้ผลของการวัดท่คี งท่ีไมว่ า่ จะใช้วัด ก่คี รง้ั กต็ ามกบั
กลุ่มเดิม
วรรณ์ดี แสงประทปี ทอง (2553, หนา้ 10 - 13) กลา่ วถึง ความเท่ียงหรือความเชื่อม่นั ว่าเป็นความ
คงทีข่ องคะแนนทวี่ ดั ได้แตล่ ะครง้ั วธิ กี ารหาคา่ ความเทยี่ งของแบบทดสอบ
ทาได้หลายวธิ ี คือ
1. วธิ ีสอบซา้ การหาความเชื่อมนั่ โดยวิธสี อบซา้ เปน็ การหาความสมั พนั ธ์
ของคะแนน จากการทาแบบทดสอบฉบับเดียวกนั สองครั้ง โดยท้งิ ชว่ งหา่ งใหเ้ หมาะสม (ประมาณ
2 สปั ดาห์) การหาความเช่ือม่ัน โดยวิธนี ้ีเป็นการตรวจสอบความคงที่ของการแสดงออกของผู้สอบสองครงั้ วา่ จะมี
ความคงทีห่ รือไม่ วิธีการนี้มีจุดออ่ นทค่ี วามแปรเปลย่ี นภายในตวั ผสู้ อบ ในระหว่างทง้ิ ช่วงการสอบ ดงั นัน้ การหา
ความเช่ือม่ันโดยวิธีน้ี ควรนาไปใช้กับแบบทดสอบวดั คุณลักษณะท่คี ่อนขา้ งจะคงท่ีไม่แปรเปล่ียนโดยง่าย
2. วิธแี บบทดสอบค่ขู นาน การหาความเชื่อมัน่ โดยใชว้ ธิ ีแบบทดสอบคู่ขนาน
เป็นการหาความสมั พันธ์ของคะแนน จากการนาแบบทดสอบ 2 ฉบับที่เทยี บเท่ากนั ไปสอบกบั กลุม่ บุคคลเดยี วกัน
วิธีการนีม้ ีจุดออ่ นที่ความเป็นคู่ขนานกันของแบบทดสอบ 2 ฉบับ ซ่ึงสรา้ งได้ยาก
3. วธิ หี าความสอดคลอ้ งภายใน แบง่ เป็น
3.1 วิธีแบ่งครึง่ แบบทดสอบ การหาความเทีย่ งโดยวธิ นี ้ี เปน็ การหาความสัมพนั ธ์ของ
คะแนน จากการใช้แบบทดสอบฉบับเดยี วและสอบเพียงครง้ั เดยี ว โดยนาผล
การสอบมาแบ่งเป็นขอ้ มูล 2 ชดุ โดยอาจแบง่ เป็น ข้อคู่ - ข้อคี่ แบง่ เป็นครงึ่ ฉบบั แรก คร่ึงฉบบั หลัง จากการหาค่า
สมั ประสทิ ธ์สิ หสมั พนั ธ์ จะได้สมั ประสิทธิค์ วามเชื่อม่ันของแบบทดสอบคร่ึงฉบับ แลว้ จงึ นาไปปรับขยายเปน็
สัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธข์ องแบบทดสอบท้ังฉบบั
การคานวณโดยใช้สูตร
rtt 2 rxy
1 rxy
เมอื่ rtt คือคา่ ความเทยี่ งของเครือ่ งมือทั้งฉบับ
rxy คือค่าความเทยี่ งของเคร่อื งมือคร่ึงฉบบั
ถา้ คา่ ความเทยี่ งของเคร่ืองมือทัง้ ฉบับมีค่าสูง (มีค่าใกล้ 1.0) แสดงว่าเครอื่ งมอื ทง้ั 2 สว่ น มี
ความเป็นเอกพนั ธ์ หรอื แสดงว่าเครือ่ งมือมีความสอดคลอ้ งภายใน การแบง่ เครื่องมอื
ออกเป็น 2 สว่ น ตอ้ งแบ่งอยา่ งมีเหตุผลกลา่ วคอื ถ้าจัดข้อคาถามที่มลี ักษณะเท่าเทียมกันออกเปน็
2 ส่วน ในลักษณะข้อคู่ - ขอ้ ค่ี การแบ่งผลการวัดเปน็ 2 ส่วน เพอ่ื คานวณหาค่าความเท่ียงของ
เคร่ืองมือคร่ึงฉบบั กจ็ ะแบ่งในลักษณะผลการวัดจากข้อคูส่ ่วนหน่ึง และผลจากการวดั จากข้อคสี่ ่วนหน่ึง แตถ่ า้ จัดข้อ
คาถามเปน็ 2 สว่ น ในลกั ษณะครง่ึ แรกและครึง่ หลงั การนาผลการวดั ไปวเิ คราะห์กต็ ้องแบ่งในลกั ษณะครึ่งแรกและ
คร่ึงหลงั ใหส้ อดคล้องกัน การคานวณคา่ ความเทยี่ งโดยวิธแี บ่งคร่ึงน้ี จะมีลกั ษณะผสมผสานของ
วธิ กี ารสอบซา้ และวิธใี ชเ้ ครอื่ งมอื ท่ีเป็นคขู่ นาน ซึง่ แก้ปัญหาการเก็บขอ้ มูล 2 ครัง้ มาเป็นการเก็บขอ้ มลู จากกลุ่ม
ตัวอย่างเพยี งคร้งั เดยี ว และนาผลการวดั มาแบ่งเปน็ 2 ชุด เพื่อคานวณคา่ ความเทีย่ ง ดังนนั้ คา่ ความเท่ียงท่ีคานวณ
ได้ในตอนแรก (rxy) จึงเปน็ ค่าความเที่ยงของเคร่ืองมือเพยี งครึง่ ฉบับต้องนามาหาค่าความเทีย่ งของเคร่ืองมอื ทง้ั ฉบบั
(rtt) อีกครง้ั หนงึ่
3.2 วธิ ีหาจากสตู รคูเดอร์และรชิ ารด์ สนั การหาความเที่ยงโดยวธิ ีนี้ เป็นการหา
ความสัมพันธข์ องคะแนนจากการใช้แบบทดสอบฉบบั เดียวและการสอบเพยี งครง้ั เดยี ว โดยการนาผลการสอบมา
คานวณคา่ สมั ประสทิ ธ์ิ โดยใช้สูตรของคูเดอร์และริชาร์ดสนั สูตรที่ใช้ มี 2 สตู ร คือ สตู ร KR – 20 กบั สตู ร KR –
21
สตู ร KR – 20
rtt k pq
1 1
k S2x
เมอ่ื k คือจานวนข้อของแบบทดสอบ
S2x
P คอื ความแปรปรวนของคะแนนรวม
Q คอื สัดสว่ นของผตู้ อบขอ้ สอบถูกในแต่ละข้อ
คือสัดส่วนของผู้ตอบข้อสอบผดิ ในแตล่ ะข้อ (1-p)
สตู ร KR – 21
rtt kk 1 1 x(k x)
S2x
เม่อื k คอื จานวนของแบบทดสอบ
X คือค่าเฉลี่ยของคะแนนรวม
S2x คือความแปรปรวนของคะแนนรวม
สูตร KR – 20 และ KR – 21 นี้ใชไ้ ด้เฉพาะการหาความเที่ยงของแบบทดสอบท่ีให้
คะแนนแต่ละข้อเป็นแบบ 0 กับ 1 เท่านั้น สตู ร KR – 21 ใชก้ รณขี อ้ สอบทุกข้อ
มีความยากเทา่ กัน ซ่งึ ในทางปฏบิ ัตติ อ้ งพจิ ารณาเงื่อนไขทีเ่ ป็นจริงด้วย
3.3 วธิ หี าจากสตู รสมั ประสทิ ธิแ์ อลฟา การหาคา่ ความเที่ยงโดยใช้สูตรของครอนบคั
(Cronbach) นีป้ รบั มาจากสูตร KR – 20 ใชห้ าความเทย่ี งของเครื่องมือวัดท่ีให้ คะแนนแตกต่างกันไปในแต่ละขอ้
โดยไมจ่ าเปน็ ต้องเป็นระบบ การใหค้ ะแนน แบบ 1 กับ 0 สตู รการคานวณเป็นดงั นี้
= si 2
n 1 st2
n 1
เมื่อ คือค่าความเทยี่ ง
คอื จานวนข้อของแบบวัด
K คอื ผลรวมความแปรปรวนของคะแนนรายข้อ
S2i คือความแปรปรวนของคะแนนรวม
S2t
สรุปไดว้ า่ ค่าความเชอื่ มนั่ หรอื ความเทีย่ งเปน็ การวิเคราะหจ์ าก แบบทดสอบ ทัง้
ฉบับ เชน่ วิเคราะห์ไดจ้ าก วธิ ีสอบซา้ วธิ แี บบทดสอบคขู่ นาน หรือวิธีหาความสอดคล้องภายใน แบบทดสอบควร
มีคา่ ความเชื่อมน่ั ตัง้ แต่ .70 ขนึ้ ไป จงึ ถือว่าแบบทดสอบนั้นมผี ลการวดั ท่มี ีความคงท่ีแน่นอนเปน็ ท่เี ชอื่ ถอื ได้
การศึกษาคร้งั นี้ ผรู้ ายงานหาค่าความเช่ือมั่นแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของข้อสอบทงั้ ฉบบั โดยวธิ ขี องคู
เดอร์- รชิ ารด์ สัน ดว้ ยสตู ร KR – 20 โดยกาหนดค่าความเชอื่ มั่นของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนทง้ั ฉบบั
ต้องมีค่า .70 ข้นึ ไป
เอกสารเก่ยี วกับแนวคิด ทฤษฎี ความพึงพอใจ
4.1 ความหมายของความพึงพอใจ
ความพงึ พอใจ หรอื ความพอใจ ตรงกับคาในภาษาอังกฤษวา่ “Satisfaction” มนี กั วชิ าการให้
ความหมายของความพึงพอใจไว้ ดงั น้ี
กู๊ด (Good. 1973 : 320) กล่าววา่ ความพงึ พอใจหมายถึง ระดับความรสู้ ึกพึงพอใจ
ชอบ รัก ซ่งึ เปน็ ผลมาจากความสนใจ และทัศนคตทิ ี่ดีของบุคคลทีม่ ีต่อสง่ิ ต่างๆ
เชอรงิ ตัน (Cherrington, 1994 อา้ งองิ จาก สุพจน์ คนยนื , 2544, หนา้ 76) กลา่ ววา่
ความพงึ พอใจเปน็ ทัศนคติของบคุ คลใดบุคคลหน่ึงที่มตี ่องานทีท่ า การวิจยั เกย่ี วกับความพึงพอใจแบง่ เปน็ 2
แนวทาง
แนวทางแรก เปน็ การศึกษาความพึงพอใจต่อส่งิ ต่างๆ การวัดความพงึ พอใจเปน็ การศึกษาทัศนคติ
เฉพาะท่ีมตี ่อองคป์ ระกอบของงานแต่ละส่วน กลา่ วคือศึกษาความพงึ พอใจในรูปของส่วนประกอบยอ่ ยๆ ของความ
พงึ พอใจหรือทัศนคติซงึ่ อาจเป็นบวกหรอื ลบก็ได้ อาจเป็น
ทัศนคติในทางท่ีทา้ ทายความสนใจ
แนวทางท่ี 2 เปน็ การวัดความรู้สึกพึงพอใจทเี่ กิดขึน้ จากสภาวะภายในจิตใจหรอื อารมณ์ที่เปน็
ภาพรวมของความพึงพอใจ (Overall Satisfaction) ของบคุ คล การศึกษาความพงึ พอใจตามแนวทางน้เี ป็น
การศกึ ษาผลรวมของมวลประสบการณ์ทส่ี ะท้อนออกมาในรูปของความ พงึ พอใจ
นงลกั ษณ์ วานิช (2545, หนา้ 8) กล่าววา่ ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรู้สึกที่ดีของบุคคลตอ่ ส่ิงหนง่ึ สงิ่
ใด ซง่ึ เปน็ ความรูส้ ึกที่ดีท่เี กิดจากการตอบสนองทั้งทางร่างกายและจิตใจ
จนทาให้เกิดความพึงพอใจ
ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์ (2546, หน้า 146) กล่าวว่า ความพงึ พอใจ หมายถึง ความรสู้ กึ รวมของบุคคล
ทมี่ ตี ่อการทางานในทางบวก เปน็ ความสขุ ของบุคคลที่เกิดจากการปฏิบตั ิงาน และได้รับผลตอบแทน
คอื ผลทเี่ ปน็ ความพึงพอใจที่ทาใหบ้ คุ คลเกดิ ความรูส้ ึกกระตือรือรน้ มีความมุ่งมัน่ ที่จะทางาน มีขวัญและกาลังใจ
สง่ ผลต่อประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลในการทางาน
ประสาท อิสรปรีดา (2547, หนา้ 321) กล่าววา่ ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรู้สกึ ชอบ หรอื พอใจท่ีมี
ตอ่ องคป์ ระกอบหรือสิ่งจูงใจในด้านต่างๆ ของงาน และเขาไดร้ ับการตอบสนองความต้องการของเขาได้
สุรางค์ โคว้ตระกลู (2551, หนา้ 179) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นองคป์ ระกอบทสี่ าคญั ในการเรยี นรู้
ความสมั ฤทธิผ์ ลในการเรียนของนักเรยี นนอกจากจะขนึ้ อยู่กับความสามารถแลว้ ยงั ข้ึนอยู่กับความพอใจดว้ ย
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน (2552, หนา้ 588) กล่าววา่ “พึง” เปน็ คาชว่ ยกรยิ าอืน่ แปลว่า
“ควร” เชน่ พงึ ใจ หมายถงึ ความพอใจ ความชอบใจ ความพึงพอใจ หมายถงึ คุณภาพหรอื ระดับความพอใจ ซ่งึ
เป็นผลมาจากการสนใจและทัศนคติท่ีมีต่องาน
สรุปได้วา่ ความพึงพอใจ หมายถงึ ความรูส้ กึ ท่ีดี ยินดี เจตคตทิ ดี่ ขี องบุคคลในสังคม นนั้ ๆ เมือ่
ไดร้ บั ผลตอบสนองความต้องการทงั้ ทางดา้ นวตั ถุและจิตใจ ดังนั้นความพงึ พอใจใน
การเรียนร้จู ึงหมายถึง ความรู้สกึ พอใจ ชอบใจในการร่วมปฏบิ ัติกจิ กรรมการเรยี นการสอน
และตอ้ งการดาเนนิ กจิ กรรมนั้นๆ จนบรรลผุ ล
4.2 แนวคดิ และทฤษฎีที่เกย่ี วกับความพึงพอใจ
ความพงึ พอใจเปน็ สว่ นหนง่ึ ของพฤติกรรมมนุษย์และพฤติกรรมมนุษยก์ เ็ ป็นส่วนหนึ่งของ
ความพึงพอใจพฤติกรรมที่แสดงออกมาของมนุษยท์ าให้ทราบวา่ มนุษย์มีความรูส้ ึก หรือมีความคิดเห็นหรือมีความพึง
พอใจต่อสงิ่ หนึ่งส่ิงใดอย่างไรมีนกั การศึกษาหลายท่านได้ทาการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับแนวคิดทฤษฎคี วามพึงพอใจไว้
ดงั น้ี
เฮอร์ซเบริ ์ก (Herzberg, 1959, page 113 – 115) อธบิ ายเก่ียวกับทฤษฎีที่เป็นมลู เหตุท่ีทาให้เกดิ ความ
พงึ พอใจในการทางาน 2 ปจั จัย คอื
1. ปัจจัยกระตุน้ (Motivation Factor) เป็นปัจจยั ที่เก่ียวข้องกับการงานซ่ึงมผี ลก่อให้เกิด
ความพงึ พอใจในการทางาน เช่น ความสาเร็จของงาน การได้รับการยอมรบั นับถือ ลักษณะของงาน ความ
รับผดิ ชอบ ความก้าวหนา้ ในตาแหน่งการงาน
2. ปจั จยั คา้ จุน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยทเ่ี กยี่ วกับสิง่ แวดลอ้ มในการทางาน
และมหี น้าที่ให้บคุ คลเกดิ ความพึงพอใจในการทางาน เช่น เงินเดอื น โอกาสที่จะเจริญก้าวหนา้
ในอนาคต สถานะของอาชีพ สภาพของการทางานเป็นตน้
แมคเกรกเกอร์ (McGreger, 1960, page 33 – 58) อธบิ ายเกย่ี วกบั ลกั ษณะธรรมชาติของมนุษย์ว่า มี 2
ประเภท คือ
1. คนประเภทเอ๊กซ์ (X) มลี ักษณะ ดงั นี้
1.1 มสี ญั ชาตญาณทจ่ี ะหลีกเลย่ี งการทางานทุกอย่างเท่าท่ีจะทาได้
1.2 มีความรบั ผดิ ชอบน้อย
1.3 ชอบสั่งการ
1.4 ไม่มีความคดิ ริเร่มิ สรา้ งสรรค์ในการปรับปรุงองคก์ ร
1.5 มคี วามปรารถนาได้ตอบสนองความต้องการด้านร่างกายและความปลอดภัย
2. คนประเภทวาย (Y) มีลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี
2.1 ชอบทางาน เห็นการทางานเป็นของสนุกเหมือนการเล่นหรือการพักผอ่ น
2.2 มีความรบั ผิดชอบในการทางาน
2.3 มคี วามทะเยอทะยานและกระตอื รือร้น
2.4 สงั่ การตนเองและสามารถควบคมุ ตนเองได้
2.5 มคี วามคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ในการปรบั ปรุงงานและองค์กร พัฒนาวิธีทางาน
2.6 ปรารถนาดา้ นเกยี รตยิ ศ ชื่อเสยี ง ความสมหวงั ในชีวติ
มาสโลว์ (Maslow, 1970, page, 69 – 80 ) อธิบายเกีย่ วกับทฤษฎีความตอ้ งการของมนุษย์(Maslow’s
The Human Needs theory) 5 ประเภท ดงั น้ี
1. ความต้องการทางดา้ นร่างกาย (Physiological Needs) เปน็ ความตอ้ งการพ้นื ฐาน
ของมนุษยเ์ น้นส่ิงจาเปน็ ในการดารงชีวติ ไดแ้ ก่ อาหาร อากาศ ท่อี ยู่อาศยั เครอ่ื งนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการ
พกั ผอ่ น ความต้องการทางเพศ
2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความมัน่ คงในชวี ิตท้ังทีเ่ ปน็ อยู่ใน
ปัจจุบันและอนาคต ความเจริญกา้ วหนา้ อบอนุ่ ใจ
3. ความตอ้ งการทางสังคม (Social Needs) เป็นส่งิ จงู ใจทสี่ าคญั ต่อการเกิดพฤติกรรมตอ้ งการให้
สังคมยอมรบั ตนเองเขา้ เป็นสมาชกิ ตอ้ งการความเป็นมติ ร ความรักท่ีไดจ้ ากเพื่อนรว่ มงาน
4. ความต้องการมีฐานะ (Esteem Needs) มคี วามอยากเด่นในสงั คมมชี ่ือเสยี งอยาก
ให้บุคคลยกย่อง สรรเสรญิ ตนเอง อยากมีความเป็นอสิ รเสรภี าพ
5. ความต้องการทจ่ี ะประสบความสาเรจ็ ในชีวิต (Self-actualization Needs)
เปน็ ความต้องการในระดบั สงู อยากให้ตนเองประสบความสาเรจ็ ทกุ อย่างในชีวติ ซ่งึ เปน็ ไปได้ยาก
สก๊อตต์ (Scott, n.d., page 124) อธิบายเก่ยี วกับแนวคิดในเรือ่ งการจูงใจใหเ้ กิดความพึงพอใจต่อการ
ทางานท่ีจะใหเ้ กิดผลเชงิ ปฏบิ ตั ิ มีลักษณะ ดังน้ี
1. งานควรมสี ่วนสมั พนั ธก์ บั ความปรารถนาส่วนตัว งานน้นั จะมีความหมายสาหรับ
ผทู้ า
2. งานน้ันต้องมีการวางแผนและวดั ความสาเรจ็ ได้ โดยใช้ระบบการทางานและ
การควบคุมที่มปี ระสทิ ธิภาพ
3. เพ่ือให้ไดผ้ ลในการสรา้ งสงิ่ จงู ใจภายใน เปา้ หมายของงานจะต้องมลี กั ษณะ ดงั นี้
3.1 คนทางานมีสว่ นในการต้งั เปา้ หมาย
3.2 ผ้ปู ฏบิ ัติไดร้ บั ทราบผลสาเร็จในการทางานโดยตรง
3.3 งานนั้นสามารถทาใหส้ าเร็จได้
สมนึก วิเศษสมบตั ิ (2546, หน้า 17 - 18) อธบิ ายแนวคิดของมาสโลว์ (Maslow) วา่ มนุษยส์ ่วนใหญไ่ ม่
สามารถบรรลุความต้องการในระดบั ตนเองได้ ทาใหม้ นุษย์มีความต้องการในระดับสูงมากขึ้น เพราะความตอ้ งการ
ในระดบั สูงเปน็ แรงผลักดนั ให้มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเปน็ กล่มุ และทาการส่ือสารซ่ึงกันและกนั เพ่ือหวงั ผลในส่วนหนึ่ง
ท่กี ่อให้เกิดความแลกเปล่ยี นความคิดอยา่ งกวา้ งขวางเกดิ การร่วมมือกนั นาไปสกู่ ารปฏบิ ัติเรอ่ื งใดเรื่องหน่งึ เป็นการ
สนองความต้องการต่างๆ ของมนุษยน์ นั่ เอง เม่ือมนษุ ย์ทกุ คนมีความต้องการและความตอ้ งการนนั้ ได้รบั การบรกิ าร
หรือตอบสนองแลว้ ย่อมทาให้เกิดความพงึ พอใจ
จากแนวคิดทฤษฏีดังกลา่ ว สรุปไดว้ า่ มนุษยส์ ว่ นใหญ่มีความต้องการไม่มที สี่ ิ้นสุด เมื่อความต้องการนนั้
ได้รับการตอบสนองจะเกิดความพึงพอใจ เม่อื นาแนวคิดมาประยุกต์ใช้กบั การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน โดย
การใหน้ กั เรยี นมีสว่ นเลอื กในการเรียนตามความสนใจ มโี อกาสร่วมกาหนดจดุ ประสงคใ์ นการเรียน หรอื การจัด
กิจกรรม เลอื กวิธแี สวงหาความร้ดู ว้ ยวิธที ่ถี นดั สนใจ และค้นหาคาตอบ และทราบคะแนน ความกา้ วหน้าในการ
เรยี น เพอ่ื ใหผ้ ้เู รียนมีความพงึ พอใจซ่ึงจะทาใหผ้ ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นดขี ึน้
4.3 การวดั ความพึงพอใจ
ความพงึ พอใจเปน็ ส่วนหน่งึ ที่แสดงออกมาของมนุษย์ทาให้ทราบว่ามนุษยม์ ีความร้สู ึกหรือมีความคิดเห็น
หรือมีความพึงพอใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างไร มนี ักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึงการวดั ความพึงพอใจไว้ดังนี้
อารี พนั ธม์ ณี (2546, หน้า 145) กลา่ วถึง การวดั ความพึงพอใจ สามารถกระทาไดห้ ลายวธิ ีได้แก่
1. การใช้แบบสอบถาม โดยผสู้ อบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อตอ้ งการทราบ
ความคิดเห็น ซึ่งสามารถทาได้ในลกั ษณะที่กาหนดคาตอบใหเ้ ลือก หรอื ตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าวอาจถาม
ความพึงพอใจดา้ นต่างๆ เช่น การบรหิ าร การควบคุมงาน และเง่ือนไขต่างๆ เป็นต้น
2. การสัมภาษณ์ เป็นวธิ ีวัดความพึงพอใจทางตรงทางหนงึ่ ซง่ึ ตอ้ งอาศัยเทคนิคและวธิ กี ารท่ดี จี ึง
จะทาให้ไดข้ ้อมลู ท่ีเป็นจริงได้
3. การสังเกต เปน็ วธิ ีการวดั ความพึงพอใจโดยสงั เกตพฤติกรรมของบคุ คลเป้าหมาย ไม่วา่ จะ
แสดงออกจากการพูด กรยิ าท่าทาง วธิ ีน้ีจะต้องอาศยั การกระทาอยา่ งจริงจงั และการสงั เกตอยา่ งมีระเบยี บแบบ
แผน
รวีวรรณ องั คนุรกั ษ์พันธ์ (2553, หนา้ 17 ; อา้ งถึงใน ศภุ วรรณ บวั บญุ . 2551, หนา้ 47) กล่าวถงึ
การวัดเจตคติจะต้องคานงึ ถงึ ความเทย่ี งตรงในการวดั เป็นพิเศษ วธิ ีการวดั เจตคติ ไดแ้ ก่
1. การสมั ภาษณ์ (Interview) มี 2 ประเภท คือ
1.1 แบบมีโครงสรา้ ง (Structured interview)
1.2 แบบไมม่ ีโครงสรา้ ง (Unstructured interview)
2. การสงั เกต (Observation) มี 2 ประเภท คือ
2.1 การสังเกตทางตรง (Direct observation)
2.2 การสงั เกตทางอ้อม (Indirect observation)
3. แบบสอบถาม (Questionnaire) นิยมใช้ 3 รูปแบบคอื
3.1 แบบสอบถามชนดิ ปลายเปดิ (Opened form)
3.2 แบบสอบถามชนดิ ปลายปดิ (Closed form) มหี ลายรูปแบบ คือ
3.2.1 แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)
3.2.2 แบบมาตราส่วนรายการ (Rating scale)
3.2.3 แบบจัดอันดับ (Ranking)
3.2.4 แบบเตมิ คาสั้นๆ (Completion)
3.3 แบบสอบถามชนดิ รปู ภาพ
4. ชนดิ รายงานตนเอง (Self-report)
4.1 เทอร์สโตน (Thurstone)
4.2 ลิเคอรท์ (Likert)
4.3 ออสกูด (Osgood)
4.4 กตั ต์แมน (Guttman)
5. เทคนิคจนิ ตนาการ (Project technique) แบ่งตามลักษณะแบบทดสอบได้ 3 แบบ
5.1 แบบทดสอบท่ีมีโครงสร้างเลอื นราง เช่นแบบหยดหมึกของรอรส์ ชาร์ด
5.2 แบบท่ีเก่ยี วข้องกับภาษา เชน่ การเตมิ ประโยคใหส้ มบูรณ์
5.3 แบบทใ่ี หแ้ สดงออก เชน่ การวาดภาพ การแสดงบทบาทสมมุติ
6. การวัดทางสรรี ะภาพ
7. สงั คมมติ ิ
ชวลติ ชกู าแพง (2550, หนา้ 112 - 116) กลา่ วถึง การวดั จติ พสิ ยั สามารถทาไดห้ ลายวธิ ี
ซง่ึ วธิ ีท่นี ยิ มทาในปัจจุบัน คือ
1. การสงั เกต (Observation) สงั เกตการพดู การกระทา การเขียนของนักเรยี น
ที่มตี อ่ สง่ิ ใดส่งิ หนึง่ ท่ีครูต้องการวดั
2. การสมั ภาษณ์ (Interview) เป็นการพดู คุยกบั นักเรียนในประเดน็ ท่คี รูอยากรู้
ซ่งึ อาจเปน็ ทศั นคตขิ องนักเรียน เพื่อนาสิ่งที่นักเรยี นพูดออกมาแปลความหมายเกย่ี วกับลักษณะ
จติ พสิ ยั ของนักเรียน
3. การใชแ้ บบวดั มาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) เปน็ การสรา้ งเคร่ืองมือ
ข้นึ มาเพือ่ วัดทัศนคติ วัดความสนใจ วัดคุณธรรมจรยิ ธรรม ถ้าเป็นการวดั ทัศนคติวัดความสนใจ
จะมีรูปแบบการวัด 3 รูปแบบ คือ แบบของลิเคริ ์ท แบบของเธอรส์ โตน แบบของออสกดู
ปณุ ยาพร ปฐมพฒั นา (2550, หน้า 33) กล่าวถงึ การวัดความพงึ พอใจเป็นการตรวจสอบ
ทศั นคติของบุคคลทม่ี ีต่อสง่ิ หนง่ึ สิ่งใด ซง่ึ สามารถใช้เคร่ืองมือวัดไดห้ ลายแบบ เชน่ การสงั เกต
การสมั ภาษณ์ และการใช้แบบสอบถาม เป็นต้น
จากแนวคดิ นักการศึกษาพอสรุปได้ว่า ความพึงพอใจของผเู้ รียนจะเกดิ จากผ้เู รียนมสี ว่ นรว่ มในการวางแผน
และไดป้ ฏบิ ตั ิกจิ กรรมดว้ ยตนเอง ผู้ศกึ ษาจึงไดพ้ ฒั นาเอกสารประกอบการเรยี นขึ้นเพ่ือสนองความพึงพอใจของ
ผู้เรียนอันจะสง่ ผลให้เกิดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนได้ เป็นอย่างดี
ในการศึกษาครง้ั นีผ้ ู้รายงานเลือกใช้แบบสอบถามการวดั ความพึงพอใจ 5 ระดบั ตามแบบของลิเคริ ์ท
4.4 การหาคณุ ภาพแบบสอบถามความพึงพอใจ
การหาคุณภาพแบบสอบถามความพงึ พอใจ หรอื แบบวัดด้านเจตคติ มีนกั วิชาการเสนอไว้ดังน้ี
4.1 หาความเที่ยงตรง (Validity) หรอื ความตรง
การหาความเท่ียงตรง หรอื ความตรง นักการศกึ ษาไดก้ ลา่ วไว้ดงั น้ี
สุรพงษ์ คงสัตย์ และธรี ชาติ ธรรมวงค์ (2551, หน้า 1) กลา่ วถึง การหาค่าความเทยี่ งตรงของ
แบบสอบถาม หรอื IOC กระทาโดยใหผ้ ้เู ชย่ี วชาญตรวจสอบแบบสอบถามการวจิ ัย
IOC คือ คา่ ความเทีย่ งตรงของแบบสอบถาม หรอื คา่ สอดคลอ้ งระหว่างข้อคาถามกับวตั ถุประสงค์
หรือเนอื้ หา (IOC : Index of item objective congruence) ปกติแล้วจะให้ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบ
ตงั้ แต่ 3 คนข้นึ ไปในการตรวจสอบโดยใหเ้ กณฑ์ในการตรวจพิจารณาข้อคาถาม ดังนี้
ให้คะแนน +1 ถ้าแนใ่ จวา่ ข้อคาถามวัดไดต้ รงตามวตั ถุประสงค์
ให้คะแนน 0 ถ้าไม่แนใ่ จว่าข้อคาถามวดั ได้ตรงตามวตั ถุประสงค์
ให้คะแนน -1 ถ้าแน่ใจวา่ ข้อคาถามวดั ไดไ้ ม่ตรงตามวัตถุประสงค์
แล้วนาผลคะแนนท่ีไดจ้ ากผเู้ ชีย่ วชาญมาคานวณหาค่า IOC ตามสูตร
เกณฑ์พิจารณาดังน้ี
1. ขอ้ คาถามทีม่ คี า่ IOC ต้ังแต่ 0.50-1.00 มคี ่าความเทย่ี งตรง ใชไ้ ด้
2. ขอ้ คาถามท่ีมีค่า IOC ต่ากวา่ 0.50 ตอ้ งปรับปรุง ยงั ใช้ไมไ่ ด้
วิธีการหาค่าความเทยี่ งตรงของแบบสอบถาม (IOC) ตวั อย่างเชน่ ข้อคาถาม
ข้อ 1 ผู้เชี่ยวชาญ 5 ทา่ น แต่ละทา่ น ใหค้ ะแนนมา คือ +1 ท้ัง 5 ท่าน การหาค่า IOC คอื หาผลรวมของคะแนนใน
ข้อ 1 โดยการบวก 1+1+1+1+1 เท่ากับ 5 คะแนน แลว้ นามาหารด้วยจานวนผู้เชย่ี วชาญ คือ ผลรวมคะแนน/
จานวนผเู้ ชย่ี วชาญ เท่ากับ 5/5 = 1.00 จากนั้นนาผลไปเทียบกับเกณฑ์ทต่ี ้ังไว้ จากผลการหาคา่ ความเที่ยงตรงของ
แบบสอบถาม IOC แสดงวา่ ข้อคาถามมคี วามเท่ียงตรงสูงนาไปใชไ้ ด้ส่วนข้ออื่นๆ กท็ าหลักการเดยี วกันท้ังหมดทุก
ขอ้ คาถาม
สรปุ ไดว้ ่า การหาความเทีย่ งตรงหรอื ความตรงของแบบสอบถามวัดเจตคติโดย
นาไปใหผ้ ูเ้ ชี่ยวชาญอยา่ งน้อย 3 ทา่ น ตรวจสอบขอ้ คาถามทเี่ ขียนข้นึ ว่าเหมาะสมกบั พฤตกิ รรมที่ต้องการวัด
พจิ ารณาความตรงเชงิ โครงสร้างโดยให้พิจารณาขอ้ คาถามท่ีเขียนข้นึ วา่ เหมาะสมกบั พฤติกรรมที่ต้องการวดั หรือไม่
ซึ่งวธิ กี ารหรอื รปู แบบใหผ้ ูเ้ ชยี่ วชาญประเมนิ กระทาได้ 2 แบบ คอื 1) โดยใชแ้ บบประเมินชนิดมาตราสว่ นประมาณ
ค่า 5 ระดับ ถา้ ค่าเฉลี่ยมีคา่ ตั้งแต่ 3.51 ข้นึ ไป
และมคี ่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานไม่เกิน 1.00 ถอื วา่ ข้อคาถามนน้ั มีความตรงตามเน้ือหา และมคี วามเท่ียงตรงตาม
โครงสรา้ งดว้ ย 2) ใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบพจิ ารณาข้อคาถามให้คะแนน +1 0 -1 ขอ้ คาถามทม่ี ี
คา่ IOC ต้งั แต่ 0.50 ขึ้นไปแสดงวา่ มีคา่ ความเท่ยี งตรง ใชไ้ ด้
4.2 ความเทยี่ งหรือความเชอ่ื ม่นั
การหาความเทย่ี งหรือความเช่อื มั่น นักการศกึ ษาได้กลา่ วไวด้ ังน้ี
ชวลติ ชกู าแพง (2550, หนา้ 110 – 115) กล่าวว่า การตรวจสอบคณุ ภาพแบบสอบถามวดั ความ
พึงพอใจ หรอื การวัดจติ พิสยั ได้แก่
1. การตรวจสอบเบ้ืองตน้ โดยการนาข้อความไปทดลองกับกลมุ่ ตวั อย่าง เมอื่ สอบ
เสรจ็ แล้วนามาตรวจให้คะแนนแต่ละข้อแล้วนามาหาคา่ สมั พนั ธ์ (rxy) ระหว่างคะแนน รายข้อกับคะแนน
รวม และทดสอบนัยสาคญั ทางสถิตโิ ดยกาหนด a = .05 หรอื a = .01
2. การหาคุณภาพอ่ืนๆ เช่น การหาความเช่อื มั่น หาได้โดยสอบซ้า
(Test-retest) แบบทดสอบคู่ขนาน (Altemative forms หรือ Parallel forms) แบบหาความคงเสน้ คงวาภายใน
น้นั จะสอบเพยี งครั้งเดยี ว แลว้ หาค่าความแปรปรวนของแต่ละข้อและความแปรปรวนท้ังฉบับ โดยหาค่าความเชื่อม่นั
สมั ประสทิ ธ์แิ อลฟา (Alpha-coefficient) ของครอนบาค (Cronbach)
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2543, หนา้ 218) กล่าวว่า การหาความเท่ียงหรือความเชอื่ มั่น
ของแบบสอบถามวัดดา้ นเจตคตทิ ้งั ฉบับท่นี ยิ มใช้ คือการคานวณหาความเที่ยงด้วยสตู รสมั ประสิทธิแ์ อลฟา (Alpha
coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) ค่าความเทยี่ งท่ยี อมรบั ไดข้ น้ึ อยกู่ ับชนิดของเครอ่ื งมือวัดโดยทัว่ ไปแลว้
เคร่อื งมอื วัดด้านความรู้สึกจะมคี วามความเทยี่ งต่ากวา่ เครื่องมอื วัดด้านสตปิ ัญญา ระดับความเทีย่ งท่ียอมรบั ได้คือ
.75
พิตร ทองชน้ั (2544, หนา้ 222) กลา่ ววา่ การตรวจสอบความเชอ่ื ม่ันของแบบสอบถาม เป็นการหา
ความสอดคล้องภายในโดยพยายามอธิบายว่าข้อคาถามแตล่ ะข้อในข้อคาถามชุดหน่งึ น้ันเป็นเรอ่ื งเดียวกนั หรือ