๙๗ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-131/2559 ชื่อ นายพอร์ช ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง เป็นคณะกรรมการเลือกตั้ง ผู้แทน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา แต่ทำให้การเลือกตั้ง ส่อไปในทางไม่สุจริต ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายพอร์ช มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น คณะกรรมการเลือกตั้ง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา มีหน้าที่จ่ายบัตรลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ในสายผู้บริหารสถานศึกษา แต่นายพอร์ชกลับยื่นบัตรให้นางอาวดี้พร้อมกับพูดให้เอาบัตรดังกล่าวไปหย่อนในหีบ แต่นางอาวดี้ไม่ยอม และขอยืนยันให้มีการเปลี่ยนบัตรใหม่ ซึ่งนายพอร์ช ก็ยังยืนกรานคะยั้นคะยอให้ใช้บัตรดังกล่าว ที่มีการเขียนหมายเลข 1 แล้ว นำไปใช้ให้ได้ แต่นายพอร์ชเห็นว่านางอาวดี้ไม่ยอมแน่ๆ จึงเปลี่ยนบัตรใหม่ ให้นางอาวดี้โดยมีการเรื่องดังกล่าวมาร้องเรียนในภายหลัง ซึ่งไม่สามารถกลับไปตรวจสอบบัตรในหีบบัตรเลือกตั้ง ปะปนกันอยู่ ไม่สามารถระบุว่าบัตรใดเป็นบัตรของนางอาวดี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่สามารถกลับไปตรวจสอบ ข้อเท็จจริงได้แล้ว แต่การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นความผิดวินัย ตามมาตรา 84 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ที่มุ่งหวังให้บุคคลในหมายเลขบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง ที่มีร่องรอยการขีดทำสัญลักษณ์ไว้ได้รับคะแนนเลือกตั้งโดยมิชอบ แต่เนื่องจากการสอบสวนไม่ได้ความแน่ชัด พอที่จะสั่งลงโทษวินัยอย่างร้ายแรง แต่ถ้าให้นายพอร์ชรับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ มาตรา 84 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ โทษ ยุติเรื่อง มติ ให้ออกจากราชการ เพราะมีมลทินหรือมัวหมองตามมาตรา 112 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ประชุมครั้งที่ ๓/2560 เมื่อวันที่ 2๑ เมษายน 2560
๙๘ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-122/2560 ชื่อ นายแอสตัน ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ใช้เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทั้งชายแลหญิงให้มานวดแขน ขา บีบนวด ตามร่างกาย และถอนผมหงอกให้กับตนเองในช่วงเช้า พักกลางวัน และช่วงบ่าย อยู่บ่อยครั้ง ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายแอสตันใช้ให้ศิษย์ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ทั้งชายและหญิง บีบนวดร่างกาย และถอนผมหงอกให้ในเวลาเรียนอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน มาตรา 84 วรรคหนึ่ง 88 วรรคหนึ่ง และมาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ปฏิบัติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัด กรณีไม่ประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ผู้เรียนชุมชน สังคม และกรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว โทษ ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560
๙๙ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-259/2560 ชื่อ นายเกรียง ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ สังกัดสำนักงาน กศน. กระทำผิดวินัยในเรื่อง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ เช่น ใช้ดินสอขว้างใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา ต่อว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาต่อหน้าบุคคลภายนอก ไม่เร่งรัด กำกับ ดูแล ให้มีการแก้ไขการจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อใช้ ในการเรียนการสอน และไม่ลงนามให้เสร็จโดยเร็ว สั่งการให้ครูเก็บเงินจากนักศึกษาเป็นค่ารถในการเดินทางในการ จัดกิจกรรม โดยเช่ารถยนต์ของตนและนำเงินไปใช้จ่ายเอง และขัดต่อหนังสือสั่งการของกรมศึกษานอกโรงเรียน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายเกรียงได้ใช้วาจาก้าวร้าว ข่มขู่ ขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ลงนามเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสถานศึกษาในการจัดทำหลักสูตรการศึกษา เพื่อใช้ในการเรียนการสอน และสั่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เก็บเงินจากนักศึกษา คนละ 250 – 300 บาท เพื่อเป็นค่ารถในการ จัดกิจกรรม ซึ่งขัดต่อหนังสือสั่งการของผู้บังคับบัญชา มาตรา 85 วรรคหนึ่ง มาตรา 86 วรรคหนึ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล โดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาไม่รักษาชื่อเสียง ของตนและเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ มิให้เสื่อมเสีย โทษ ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 8/2560 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2560
๑๐๐ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-045/2563 ชื่อ นายมา ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญ การพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับนักเรียนหญิง แม้ว่ายังไม่ถึงกับถูกล่วงละเมิดทางเพศ หลายกรณี ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายมาได้อาสาพานางสาวเอ นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ไปส่งที่บ้าน ขณะอยู่บนรถยนต์ ระหว่างทางนายมาได้เอามือโอบไหล่นางสาวเอ แต่นางสาวเอปัดมือของนายมาออกไปแล้วขยับตัวหนีไปชิด ประตูรถยนต์ด้านซ้ายมือ เนื่องจากตกใจและพยายามป้องกันตนเองให้พ้นจากการกระทำอันไม่เหมาะสมของ นายมา ต่อมาก่อนนางสาวเอจะลงจากรถนายมาได้ขอเบอร์โทรศัพท์นางสาวเอ และภายหลังนายมาได้โทรไปหา นางสาวเอเพื่อชวนเที่ยว แต่นางสาวเอปฏิเสธ ในขณะที่นางสาวบีและเพื่อน ๆ นักเรียนหญิงกำลังนั่งคุยกัน นายมาเดินเข้าไปหาและสอบถาม กลุ่มนักเรียนหญิงดังกล่าวได้ความว่าคุยกันเรื่องความฝัน นายมาจึงพูดทำนองว่าตนเองก็ฝัน แต่ว่าเป็นฝันเปียก คือปวดฉี่ในความฝันแล้วควักน้องชายชี้ไปทางโน้นที ชี้มาทางนี้ทีพอตื่นมาตนก็ฉี่ราดที่นอน นางสาวบีกับเพื่อน ถึงกับอึ้งและตกใจที่ผู้อำนวยการโรงเรียน (นายมา) พูดกับกลุ่มตนอย่างนั้น เมื่อพูดเสร็จแล้วนายมาก็เดินออกไป ในวันเกิดเหตุนางสาวซีนั่งล้อมวงคุยกับเพื่อนช่วงเวลาเย็น นายมาเดินเข้าไปทักทายกลุ่มนักเรียนหญิงดังกล่าว และพูดกับ นางสาวซีว่า คอซองไม่เรียบร้อย พร้อมกับเอื้อมมือมาจับคอซองเพื่อจัดให้เรียบร้อย ซึ่งขณะนั้นมือของนายมา ไปโดนบริเวณเนินอกของนางสาวซีทำให้นางสาวซีมีความรู้สึกในเชิงลบต่อนายมา มาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว โทษ ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 2/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์2563
๑๐๑ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-159/2563 ชื่อ นายบุญ ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการ ชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง กระทำการล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนซึ่งอยู่ในความดูแลของตน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 เวลาประมาณ 10.00 น. นายบุญได้ไปยัง ห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และพาเด็กหญิงดำ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นั่งรถยนต์ส่วนตัวเพียงสองคน เพื่อให้เด็กหญิงดำ นำทางไปยังบ้านของนางสาวพูล เพื่อพูดคุยกับผู้ปกครองของนางสาวพูล และได้กลับไปยังโรงเรียน เวลาประมาณ 11.00 น. การที่นายบุญได้พาเด็กหญิงดำ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นั่งรถยนต์ส่วนตัว เพื่อให้เด็กหญิงดำนำทางไปยังบ้านของนางสาวพูล เพื่อพูดคุยกับผู้ปกครองของนางสาวพูล แม้จะเป็นเจตนาที่ดี ในการเอาใจใส่ดูแลเด็กนักเรียน แต่การเดินทางไปเพียงลำพังสองต่อสอง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม มาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่รักษาชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการมิให้เสื่อมเสีย โดยกระทำการ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว โทษ ภาคทัณฑ์ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 4/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563
๑๐๒ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-198/2563 ชื่อ นางนภัค ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะ รองผู้อำนวยการชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ได้ประพฤติและปฏิบัติตนเป็นผู้ยุยง ส่งเสริม และอยู่เบื้องหลังให้นักเรียนกลุ่มหนึ่ง ดำเนินการเพื่อชุมนุมประท้วง พร้อมให้นักเรียนจัดทำบันทึกข้อร้องเรียนการบริหารงานของผู้อำนวยการโรงเรียน นำไปสู่การสร้างความแตกแยก แตกความสามัคคีในโรงเรียน และเป็นปฏิปักษ์ต่อการบริหารงาน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางนภัคได้มีการพูดคุยในลักษณะยุยง ส่งเสริม โจมตีการบริหารงานของ ผู้อำนวยการโรงเรียน โดยให้นักเรียนเขียนข้อความร้องเรียนการบริหารงานของ ผู้อำนวยการโรงเรียน ทั้งที่ นางนภัคมิได้มีข้อมูลที่เป็นความจริง อีกทั้งมีการนัดหมายนักเรียนให้รวมกลุ่มประท้วงผู้อำนวยการโรงเรียน ในวันเวลาใกล้เคียงที่มีการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาภายในโรงเรียน ประกอบกับมีนักสื่อสารมวลชนท้องถิ่น (นักข่าว) ซึ่งหนึ่งในนักข่าวมีความสัมพันธ์เป็นมารดาของนางนภัค เพื่อให้เกิดการรับรู้สู่สาธารณชนเป็นจำนวนมาก นางนภัคมีความประสงค์ต้องการให้ผู้อำนวยการโรงเรียนย้ายออกจากพื้นที่ มาตรา 88 วรรคหนึ่ง และมาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ 2547 กรณี ไม่รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างข้าราชการด้วยกัน หรือผู้ร่วมปฏิบัติ ราชการ โทษ ตัดเงินเดือน จำนวน 5 % เป็นเวลา 2 เดือน มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 6/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563
๑๐๓ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่ว รายที่ 1-383/2563 ชื่อ นางกัญชา ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ได้รับคำสั่งแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการดำเนินงานกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2559 หลอกลวงเด็กนักเรียนและผู้ปกครอง โดยอ้างว่าบุตรได้รับคัดเลือก ให้ไปศึกษาแลกเปลี่ยน ณ ต่างประเทศ โดยเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการเป็นจำนวนมาก ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางกัญชาได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการดำเนินงานกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับการสอบชิงทุนการศึกษา ในต่างประเทศ และนักเรียนแลกเปลี่ยนนานาชาติ โดยได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสอบชิงทุนการศึกษา ในต่างประเทศและนักเรียนแลกเปลี่ยนนานาชาติ มีหน้าที่ คือ 1. ติดต่อประสานงานกับบริษัทและหน่วยงาน/ บุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกโรงเรียน 2. วางแผน ประสานงานและดำเนินการจัดสอบให้กับนักเรียน พร้อมทั้งให้คำแนะนำที่เหมาะสม และ 3. จัดทำเอกสารต่าง ๆ และทำบันทึกข้อความแจ้งฝ่ายงาน/บุคลากร ที่เกี่ยวข้องทราบ ได้อาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ดังกล่าวกระทำการปลอมเอกสารระเบียบการรับสมัคร และสอบคัดเลือก โครงการเยาวชนเอเอฟเอสเพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ โดยนำเอกสารปลอมดังกล่าวไปใช้หลอกลวงนักเรียนและผู้ปกครองนักเรียน ซึ่งนักเรียนได้เข้าทดสอบเรียงความ ภาษาอังกฤษ และนางกัญชาได้แจ้งผลการทดสอบคัดเลือกว่านักเรียนที่เข้าทดสอบได้ผ่านการคัดเลือก โดยเรียก เก็บเงินจากผู้ปกครองนักเรียนตามแผนที่ได้หลอกลวง ทำให้มีผู้ปกครองนักเรียนจำนวน 3 ราย ที่หลงเชื่อและมอบเงินให้นางกัญชาจำนวน 1,373,656 บาท ต่อมาปรากฏว่าไม่มีนักเรียนรายใดได้ไปศึกษาต่อ ยังต่างประเทศ ผู้ปกครองนักเรียนที่ได้จ่ายเงินไปได้ติดตามทวงเงินคืน นางกัญชาถูกฟ้อง โดยพนักงานอัยการจังหวัด ยื่นฟ้องความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมต่อศาลจังหวัด นางกัญชาให้การ รับสารภาพต่อศาล ศาลจึงได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามมาตรา 91 รวมจำคุก 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และกรณีกระทำความผิดอาญา จนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ ให้เพิ่มเป็นโทษไล่ออก ประชุมครั้งที่ 10/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563
๑๐๔ 9. กรณีความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฆ่าผู้อื่นโดยไตรตรองไว้ก่อน รายที่ ๑-๐๙๐/๒๕๕๗ ชื่อ นางธัณ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา กระทำความผิดวินัยในเรื่อง กระทำความผิดอาญา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางธัณถูกพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลในข้อหาร่วมกันฆ่านายสุ ผู้อำนวยการ โรงเรียน และนางศรี ครู โรงเรียนเดียวกันกับนายสุ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนางธัณ ตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) ประกอบมาตรา ๕๒ (๑) และมาตรา ๘๖ มาตรา ๙๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี กระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โทษ ไล่ออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
๑๐๕ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง บุกรุกเคหสถานและลักทรัพย์ผู้อื่น รายที่ 1-059/2559 ชื่อ นางภาพ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง บุกรุกเคหสถาน และลักทรัพย์ผู้อื่น จนศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางภาพได้เข้าไปในบ้านของนางจันทร์ แล้วลักเอาทรัพย์สินของนางจันทร์ไป ต่อมาศาลพิพากษาว่า นางภาพกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8) วรรคหนึ่ง, 336 ทวิ และ 364 การกระทำเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด จึงลงโทษ ตามมาตรา 335 (8) วรรคแรก จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559
๑๐๖ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ รายที่ 1-116/2560 ชื่อ นางแอสตัน ตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก ในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางแอสตันกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก โดยมีพฤติการณ์เจตนา เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วน เป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้องเป็นคดีอาญา ต่อศาลจังหวัด ฐานโกงเจ้าหนี้ มาตรา 350 ตามประมวลกฎหมายอาญา ศาลจังหวัดมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และคดีถึงที่สุดแล้ว มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี การกระทำอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560
๑๐๗ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ลักทรัพย์ รายที่ 1-117/2560 ชื่อ นางแอสตัน ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง กระทำความผิดอาญาข้อหาลักทรัพย์ ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางแอสตันกระทำความผิดอาญาข้อหาลักทรัพย์ร่วมกับบุคคลภายนอก จนถูกศาลพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 4 ปี 6 เดือน และร่วมกันใช้คืนเงิน จำนวน 22,800 บาท คดีถึงที่สุดแล้ว มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560
๑๐๘ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฆ่าผู้อื่นโดยไตรตรองไว้ก่อน รายที่ 1-086/2561 ชื่อ นายปอง ตำแหน่งครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ถูกฟ้องคดีอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และศาลพิพากษา ถึงที่สุด จำคุก 20 ปี 12 เดือน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายปองกับเพื่อนได้ไปดื่มสังสรรค์กันที่ร้านแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นนายปอง กับเพื่อน ได้มีความไม่พอใจกลุ่มของนายปัน ต่อมานายปองกับเพื่อนจึงได้ชำระเงินและเดินออกจากร้าน ไปขึ้นรถและขับออกไป แต่ได้ขับรถย้อนกลับมาที่หน้าร้านและร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นเล็งและยิงเข้ามาในร้าน กระสุนปืนถูกนายปันถึงแก่ความตาย และถูกนางสาวปิ่นจนได้รับบาดเจ็บ ต่อมาพนักงานอัยการสั่งฟ้อง นายปองและพวก ในเรื่อง ความผิดต่อชีวิตพยายามฆ่า และความผิดพระราชบัญญัติอาวุธปืน ศาลพิพากษา ให้ลงโทษประหารชีวิต ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 20 ปี 12 เดือน และศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุกนายปอง 20 ปี 12 เดือน จากพฤติการณ์ของนายปอง เป็นการกระทำอุกอาจ ส่งผลกระทบเสื่อมเสียต่อวิชาชีพครู มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ประกอบกับกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. 2549 กรณี กรณีกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ ให้เพิ่มโทษจากโทษออกจากราชการ เป็นโทษไล่ออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2561
๑๐๙ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ค้าประเวณี รายที่ 1-194/2561 ชื่อ นางแจ่มใส ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง กระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 8 ปี กรณีร่วมกับพวกพาหญิงผู้เสียหายไปค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น อันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางแจ่มใสถูกเจ้าพนักงานตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิด ต่อเด็ก เยาวชนและสตรี จับกุมตัวในข้อหา “ร่วมกันเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาล่อไปหรือพาไป เพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม” และดำเนินคดีอาญา ต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลย (นางแจ่มใส) ร่วมกับพวกพาผู้เสียหายไปค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นความผิดตามฟ้อง และต้องถูกลงโทษบทหนักฐานร่วมกันค้ามนุษย์ จึงพิพากษาจำคุก 8 ปี โดยไม่รอการลงโทษ พฤติการณ์ของนางแจ่มใส เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. 2549 ข้อ 2 การที่นางแจ่มใสมีพฤติกรรมค้ามนุษย์ ชักพาคนไปค้าประเวณีต่างแดน โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เป็นพฤติกรรมร้ายแรงมาก ขาดจิตสำนึกที่ดีงาม ที่ผู้เป็นข้าราชการครูต้องวางตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคม มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และกรณีกระทำ การอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออกจากราชการ มติ เพิ่มโทษปลดออกจากราชการเป็นโทษไล่ออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 12/2561 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2561
๑๑๐ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ชิงทรัพย์ รายที่ 1-155/2563 ชื่อ นายสืบ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ได้ใช้อาวุธปืนทำร้ายนางสุภาจนได้รับอันตรายแก่กาย พร้อมกับได้กระทำการ ชิงทรัพย์ของนางสุภาซึ่งเป็นสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำ รวมหนัก 2 บาท ราคา 20,000 บาท ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายสืบได้ใช้อาวุธปืนทำร้ายนางสุภาจนได้รับอันตรายแก่กาย พร้อมกับ ได้กระทำการชิงทรัพย์ของนางสุภาซึ่งเป็นสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำ รวมหนัก 2 บาท ราคา 20,000 บาท คดีนี้ถูกนำขึ้นพิจารณาในชั้นศาล มีนางสุภา ผู้เสียหาย เบิกความลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกขั้นตอนอย่างสมเหตุสมผล สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้อย่างละเอียด ทั้งภายหลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายยังได้บอกกับบุคคลอื่นว่านายสืบคือคนร้าย ก่อนจะเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน และไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่องรอยบาดแผลในวันเดียวกัน ซึ่งจากผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ พบบาดแผลบวม ฟกช้ำที่ริมฝีปากล่างและคาง และบาดแผลฉีกขาดบริเวณริมฝีปากล่างด้าน ในศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมีความผิดและให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจโดยมีหรือใช้อาวุธปืน และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 พิพากษาให้จำคุก 15 ปี 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และคดีถึงที่สุดแล้ว มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออก มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 4/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563
๑๑๑ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง พยายามฆ่าผู้อื่น รายที่ 1-192/2563 ชื่อ นายอินทร์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง กระทำผิดอาญาฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ทำให้เสียทรัพย์ พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมชน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายอินทร์ได้พกพาอาวุธปืนลูกซองไปลอบยิง จำนวน 2 นัด เข้าไปในบ้านพัก ที่นายมาลาและนางเกตุอาศัยอยู่ ซึ่งบุคคลทั้งสองหลบวิถีกระสุนได้ทันท่วงที แต่ลูกกระสุนปืนก่อให้เกิด ความเสียหายต่อทรัพย์สิน และมีการแจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว ศาลพิพากษาว่าจำเลย (นายอินทร์) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นให้ลงโทษจำคุก 10 ปี และมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์และให้จำเลยชำระเงิน 15,000 บาท แก่โจทก์ร่วม (นายมาลา) ประกอบกับมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 2,000 บาท คดีถึงที่สุด มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 5/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
๑๑๒ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุเกิดความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สินรายที่ 1-0010/2564 ชื่อ นายชัย ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการ ชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระทำความผิดในเรื่อง กระทำการประทุษร้ายร่างกายและชีวิตของผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย จนทำให้เกิด ความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สิน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลอาญา ได้ออกหมายจับนายชัย กรณีใช้อาวุธปืนพกออโตเมติก (CZ Model 75 SP – 01) ขนาด 9 มม. LUGER จำนวน 1 กระบอก ประกอบเครื่องบังคับเสียงให้เบาผิดปกติ ก่อเหตุชิงทรัพย์ในร้านทอง สร้อยคอทองคำ น้ำหนักเส้นละ 1 บาท (15.2 กรัม) จำนวน 22 เส้น รวมเป็นเงิน 527,280 บาท และสร้อยคอทองคำ น้ำหนักเส้นละ 2 สลึง (7.6 กรัม) จำนวน 11 เส้น รวมเป็นเงิน 137,190 บาท รวมทรัพย์ 2 รายการ จำนวน 33 เส้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 664,470 บาท โดยใช้อาวุธปืนพกดังกล่าวยิงนางสาวธิดาที่บริเวณไหล่ซ้ายด้านหลังทะลุออกใต้ราวนมซ้าย ทางกระสุน เฉี่ยวผิวหนังบริเวณลิ้นปี่แฉลบเข้าใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องทะลุออกจากร่างกายบริเวณเหนือสะดือ บาดแผล บริเวณสีข้างซ้ายกระสุนทะลุออกจากร่างกายบริเวณราวนมขวา และบาดแผลกระสุนเฉี่ยวบริเวณข้อมือด้านใน เป็นเหตุให้นางสาวธิดาถึงแก่ความตาย และนางสาวแก้วพนักงานร้านทองที่บริเวณขาซ้ายกระดูกปลายขาซ้ายหัก บริเวณสะบักขวา หน้าอกขวา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และผู้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับบาดเจ็บสาหัสรวม 4 คน และเสียชีวิต 3 คน มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ไล่ออก มติ รับทราบโทษไล่ออก ประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564
๑๑๓ กรณีความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา รายที่ 1-117/2564 ชื่อนางแนน ตำแหน่งนักวิชาการศึกษา ระดับชำนาญการ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ได้จัดทำเอกสารและได้นำเอกสารดังกล่าวไปวางบริเวณที่สาธารณะต่าง ๆ โดยเอกสารดังกล่าวมีข้อความปรากฏในลักษณะเกิดความเสียหายต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 นางแนน ได้ร่วมกับนายชัย และนายชอบ จัดทำใบปลิวเป็นเอกสารและนำไปวางบริเวณที่สาธารณะต่าง ๆ โดยเอกสารมีข้อความปรากฏในลักษณะเกิด ความเสียหายต่อสำนักงานเขตพื้นที่ โดยคำพิพากษาศาลจังหวัด คดีอาญา ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัด โจทก์นางแนน จำเลยเรื่อง หมิ่นประมาท พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 จำคุก 6 เดือนและปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือนและปรับ 20,000 บาท หลังกระทำความผิดจำเลยได้กล่าวขอโทษผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายได้ให้โอวาทแก่จำเลยให้ตั้งใจ ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย มาตรา 89 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องไม่กลั่นแกล้งกล่าวหาหรือร้องเรียนผู้อื่น โดยปราศจากความเป็นจริง โทษ ลดเงินเดือนในอัตราร้อยละสองของเงินเดือน มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564
๑๑๔ กรณีความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา รายที่ 1-087/2565 ชื่อ นางวาสนาตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทำผิดวินัยในเรื่อง บุกรุกขึ้นไปบนเรือนนอน 1 ของโรงเรียนในยามวิกาล และได้ข่มขู่นางสาวเพ็ญ ตำแหน่งครู โดยใช้เก้าอี้ฟาดประตูหลายครั้ง และได้ใช้จอบทำลายประตูห้องพัก เหตุเพราะนางวาสนา เกิดความไม่พอใจที่นางสาวเพ็ญ ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพอาหารสำเร็จรูป (สอร.) ให้ทำบันทึกเสนอขอยกเลิกการส่งนมถั่วเหลือง นมชมพู และน้ำเฉาก๊วยที่นางวาสนา เป็นผู้รับผิดชอบ เนื่องจาก ไม่มีคุณภาพ มีกลิ่นบูด มีรสชาติจืด และส่งไม่ตรงตามกำหนดเวลาบ่อยครั้ง ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๒ เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. นางวาสนา และบุตร รวมทั้งนางสาวสุนิดา ได้ไปที่เรือนนอน 1 ของโรงเรียน โดยได้ข่มขู่และเรียกให้นางสาวเพ็ญเปิดประตูให้ เพื่อต้องการสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง การทำบันทึกเสนอขอยกเลิกการส่งนมถั่วเหลือง นมชมพู และน้ำเฉาก๊วย ที่นางวาสนาเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อนางสาวเพ็ญ ไม่ยอมเปิดประตู นางวาสนาจึงเกิดความโมโห เลยใช้เก้าอี้ ฟาดประตูหลายครั้ง และใช้ให้บุตรไปเอามีดในรถยนต์ แต่บุตรนั้นหาไม่เจอ จึงใช้ให้นางสาวสุนิดา ไปเอาจอบ ที่เรือนนอน 2 เพื่อมาข่มขู่ให้นางสาวเพ็ญ และนักเรียนที่อยู่ในเรือนนอน 1 เปิดประตู ถ้าไม่เปิดประตูจะฆ่า นางวาสนาเลยได้ใช้จอบทุบไปที่ประตูเป็นรอยเจาะประมาณ ๔ รู ซึ่งเป็นทรัพย์สินของราชการได้รับความเสียหาย โดยมีนางใจเข้าไปปลอบ และแย่งจอบจากนางวาสนา แล้วนำจอบไปเก็บใต้ถุนเรือนนอน 2 และในคืนนั้น นางสาวเพ็ญก็ได้เข้าไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจ โดยจากข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้ปรากฏว่า นางสาวเพ็ญ ได้เคยแจ้งแก่นางวาสนาทราบแล้วว่า ให้ส่งสินค้าให้มีคุณภาพ เนื่องจากพบว่า สินค้าไม่มีคุณภาพ น้ำเต้าหู้ ตกตะกอน นมชมพูมีกลิ่น ในบางครั้งไม่สะอาด มีสิ่งแปลกปลอมเจือปน และส่งของไม่ตรงเวลาอยู่บ่อยครั้ง และภายหลังจากเกิดเรื่องขึ้น นางสาวเพ็ญก็ได้มีหนังสือบันทึกข้อความเพื่อขอย้ายออก เนื่องจาก มีความวิตกกังวลและรู้สึกไม่ปลอดภัยแก่ชีวิต ทรัพย์สิน จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันโดยปกติได้และนางวาสนา ก็มีการแก้ข้อกล่าวหาว่า “ข้าพเจ้าขอยอมรับว่า ได้กระทำการทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนจริง และข้าพเจ้าไม่ได้ เพิกเฉยแต่อย่างใด ข้าพเจ้าได้ดำเนินการซ่อมแซมและเปลี่ยนประตูให้แก่เรือนนอน 1 ของโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย แล้ว อีกทั้ง ภายหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าสามารถทำงานและร่วมงานกับนางสาวเพ็ญเป็นอย่างดี” และเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอยู่ มาตรา 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่รักษาชื่อเสียง และรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน มิให้เสื่อมเสีย โดยกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว โทษ ตัดเงินเดือนในอัตราร้อยละสองของเงินเดือน เป็นเวลาหนึ่งเดือน มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 7/2565 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2565
๑๑๕ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ฉ้อโกง รายที่ ๑-๐๒๘/๒๕๕๗ ชื่อ นางอร ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ร่วมกับพวกรวม ๓ คนประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนทั่วไปโดยมิได้รับอนุญาต จากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งประสงค์จะไปทำงานที่ประเทศเกาหลี จำนวน ๑๒ ราย หลงเชื่อมอบเงินให้คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าบริการ โดยที่พวกตนไม่มีความสามารถที่จะส่งผู้เสียหายไป ทำงานต่างประเทศได้ตามที่อ้าง ข้อเท็จจริงได้ความว่า พฤติการณ์ของนางอร เป็นความผิดวินัยที่ปรากฏชัดแจ้ง ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๒ นางอร และที่ ๓ สิบเอกชนะ มีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนงาน พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๙๑ ตรี ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๘๖ เป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักที่สุด จำคุกคนละ ๒ ปี และคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้ง ๑๒ ราย คนละ ๕๐,๐๐๐ บาทพฤติการณ์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา มาตรา ๙๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี กระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗
๑๑๖ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ฉ้อโกง รายที่ ๑-๐๒๗/๒๕๕๗ ชื่อ นางจินตนา ตำแหน่งครู ๒ ระดับ ๗ (เดิม) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง กระทำผิดอาญาฐานฉ้อโกงโดยหลอกลวงผู้เสียหายจำนวน ๑๑ ราย ว่ามีสามี เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีโควตาฝากเด็กเข้าโรงเรียนได้ ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อ มอบเงินให้รายละ ๑๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑,๒๑๐,๐๐๐ บาท โดยรับว่าจะคืนเงินให้ทั้งหมด หากเด็กไม่ได้รับการคัดเลือก โดยใช้หนังสือ มอบอำนาจปลอม และปลอมเช็คธนาคาร เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ว่านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้สั่งจ่าย ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางจินตนาได้รับคำพิพากษาถึงที่สุด ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ในเรื่อง ปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอมและฉ้อโกงทรัพย์ ตามมาตรา ๒๖๘ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๖ (๔) และมาตรา ๓๔๑ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานใช้หนังสือมอบอำนาจปลอม และฐานฉ้อโกง ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมกระทงหนึ่ง และฐานใช้ตั๋วเงินปลอมอีกกระทงหนึ่ง รวมลงโทษ ๓ กระทง กระทงละ ๑ ปี รวมจำคุก ๓ ปี การที่นางจินตนา(จำเลย) ฉ้อโกงโจทก์ร่วมหลายคนและได้เงิน จำนวนมาก เป็นเงิน ๑,๒๑๐,๐๐๐ บาท กับยังใช้เอกสารและตั๋วเงินปลอมอีก เป็นเรื่องที่ร้ายแรงจึงไม่มีเหตุรอการ ลงโทษจำคุก ซึ่งจากพฤติการณ์แล้วเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง มาตรา ๙๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี กระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 3/2557 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2557
๑๑๗ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ฉ้อโกงประชาชน รายที่ ๑-๐๙๑/๒๕๕๗ ชื่อ นางพร ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา กระทำความผิดวินัยในเรื่อง กระทำผิดอาญาในความผิดต่อพระราชกำหนดการกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ จนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางพรถูกพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลในความผิดต่อพระราชกำหนดการกู้ยืม เงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า นางพรกระทำผิดตามฟ้อง แต่มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก เป็นเวลา ๓ ปี ๔ เดือน มาตรา ๙๔ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี กระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และเป็นความผิดที่ปรากฏ ชัดแจ้ง ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๒ (๑) โทษ ไล่ออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
๑๑๘ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ฉ้อโกง รายที่ 1-213/2558 ชื่อ นายสงกรานต์ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงในเรื่อง กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา ถึงที่สุด ให้จำคุก 6 เดือน ฐานฉ้อโกง ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 นางบุ้งกี๋ได้เช่าซื้อรถยนต์เก๋งแวน หมายเลข ทะเบียน กง 888 ซึ่งมีบริษัท เซ็นเตอร์วัน จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นางบุ้งกี๋ได้มอบรถยนต์ดังกล่าวให้กับ นายสงกรานต์ เป็นผู้ใช้และครอบครอง โดยนายสงกรานต์จะเป็นผู้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเอง ต่อมาประมาณ เดือนเมษายน 2554 นายสงกรานต์ไม่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อทำให้บริษัทเซ็นเตอร์วัน จำกัด ได้ติดตามทวงถาม ให้นางบุ้งกี๋ผ่อนชำระ นางบุ้งกี๋ได้พยายามติดต่อกับนายสงกรานต์เพื่อให้นำรถมามอบคืนและจะผ่อนชำระเอง แต่นายสงกรานต์พยายามบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จนถึงวันที่ 7 มิถุนายน 2554 นางบุ้งกี๋ได้พบว่านางวดี เป็นผู้เก็บครอบครองรถยนต์ไว้ โดยนางวดีได้ยืนยันว่านางกิ๊ฟ (ภริยานายสงกรานต์) เป็นผู้นำเอารถยนต์ ดังกล่าวมามอบให้เพื่อเป็นการชำระหนี้ โดยมีข้อตกลงกันว่านางวดีจะเป็นผู้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถต่อไป ต่อมา ประมาณกลางเดือนตุลาคม 2554 นายสงกรานต์ได้มาหลอกนายชาญด้วยการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ว่าได้ติดต่อกับบริษัทผู้ถือกรรมสิทธิ์รถว่าสามารถเปลี่ยนชื่อผู้เช่าซื้อได้ แต่ต้องนำเอารถไปด้วย โดยแจ้งให้ นางบุ้งกี๋ทราบ และนางบุ้งกี๋ได้อนุญาตแล้ว นายชาญหลงเชื่อจึงได้มอบรถให้กับนายสงกรานต์ต่อมานางบุ้งกี๋ ได้ทราบเหตุจากนายชาญ นางบุ้งกี๋ได้ยืนยันว่าตนเองไม่เคยทราบหรือยินยอมให้นายสงกรานต์นำเอารถไปได้ นางบุ้งกี๋ได้แจ้งให้ทางบริษัทผู้ถือกรรมสิทธิ์ทราบ และได้รับมอบอำนาจให้มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี กับนายสงกรานต์ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดได้ยื่นฟ้องนายสงกรานต์เป็นคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ต่อศาลจังหวัด ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 คดีจึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ศาลจึงออกหมายจำคุก ที่ 009/2557 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ให้จำคุกนายสงกรานต์มีกำหนด 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 10/2558 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2558
๑๑๙ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฉ้อโกง รายที่ 1-039/2559 ชื่อ นายเทียน ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายเทียนได้เช่าซื้อรถยนต์ แล้วภายหลังได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปขาย ให้กับบุคคลภายนอก เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัว ผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดี ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และให้คืนรถยนต์หรือใช้ราคา เป็นเงิน 852,000 บาท ต่อมานายเทียนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แก้เป็นลงโทษจำคุก 1 ปี นอกนั้นคง เดิม คดีถึงที่สุด มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จำคุก โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2559
๑๒๐ กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฉ้อโกง รายที่ 1-38/2560ชื่อ นางสาวแอสตัน ตำแหน่งครู ค.ศ.3 วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่องถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่น ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา ของศาลจังหวัด ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางสาวแอสตัน มีพฤติกรรมฉ้อโกงทรัพย์สินเป็นที่ดินของบุคคลอื่น โดยปรากฏผู้เสียหายจำนวน 10 กว่าราย ซึ่งเป็นการฉ้อโกงเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินโดยใช้อุบายโดยมีลักษณะ วางแผน เจตนากระทำกับบุคคลหลายรายในลักษณะเดียวกัน ผู้เสียหายได้ไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และจังหวัดทหารบก เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหารับผิดชอบต่อความเสียหาย และมีหลายรายไปแจ้งความร้องทุกข์ ต่อพนักงานสอบสวน โดยนางสาวแอสตันถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัด และพนักงานอัยการจังหวัดมีความเห็นสั่งฟ้องว่า ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่นต่อศาลจังหวัด มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออกจากราชการ มติ ให้เพิ่มโทษจากโทษปลดออกจากราชการเป็นโทษไล่ออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ ๑0 กุมภาพันธ์ 2560
121 กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฉ้อโกงประชาชน รายที่ 1-154/2563 ชื่อ นางประภา ตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชีปฏิบัติการ กลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ถูกศาลจังหวัดพิพากษาในจำคุกเป็นเวลา 20 ปี ฐานความผิดฉ้อโกงประชาชน กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางประภาหลอกลวงให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนด้วยการนำเงิน รวม 20,480,000 บาท ไปให้นางประภาปล่อยกู้ โดยนางประภาจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนในอัตรา ร้อยละ 5 ต่อเดือน แต่หลังจากที่ผู้เสียหายนำเงินไปร่วมลงทุนกับนางประภาแล้ว นางประภาไม่ได้จ่ายเงิน ค่าตอบแทนให้แก่ผู้เสียหายตามที่ตกลงกันไว้ ผู้เสียหายได้ทวงถามให้นางประภาคืนเงินแล้ว แต่นางประภา ไม่สามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้ และตามคำพิพากษาศาลจังหวัดพิพากษาว่า นางประภามีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง (เดิม) พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4 วรรคแรก, 5 (1) (2), 12 การกระทำของนางประภาเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และฐานกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนอันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 22 กระทง เป็นจำคุก 110 ปี นางประภาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 22 กระทง เป็นจำคุก 44 ปี 132 เดือน แต่เมื่อรวมโทษ ทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งนางประภา ไม่ฎีกาคำพิพากษา คดีจึงถึงที่สุด มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และกรณีเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ตามข้อ 2 (1) แห่งกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยกรณีความผิด ที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. 2549 กรณี กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรือกระทำ การอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ปลดออกจากราชการ มติ ให้เพิ่มโทษเป็นไล่ออก ประชุมครั้งที่ 4/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563
122 กรณีความผิดฐานประพฤติชั่วร้ายแรง ฉ้อโกง รายที่ 1-037/2564 ชื่อ นายก้าวหน้า ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กระทำความผิดในเรื่อง กระทำความผิดอาญาข้อหาฉ้อโกงจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายก้าวหน้าได้ร่วมกับพวกฉ้อโกงหลอกลวงประชาชน เพื่อให้เกษตร 64 คน หลงเชื่อส่งมอบข้าวเปลือก น้ำหนักรวม 683,250 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 7,992,609 บาท และนายก้าวหน้า ได้ร่วมกันนำข้าวเปลือกตามจำนวนและน้ำหนักดังกล่าวของผู้เสียหายทั้งหมดไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว หรือบุคคลที่ 3 โดยทุจริต ศาลพิพากษาถึงที่สุด ว่านายก้าวหน้า มีความผิดตามประมวลอาญา มาตรา 341 มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 หลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ไปตามมาตรา 91 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน 64 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 256 ปี นายก้าวหน้าให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 128 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้ลงโทษ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ให้นายก้าวหน้าร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ จำนวน 4,351,717 บาท มาตรา 94 วรรคสอง ประกอบวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2547 โทษ ปลดออก กรณี กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือกระทำการอื่นใด อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และเสพยาเสพติดหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นเสพยาเสพติด มติ ให้เพิ่มโทษจากโทษปลดออก เป็นโทษไล่ออก ประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564
123 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ ๑-๑๗๓/๒๕๕๖ ชื่อ นายคม ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ร่วมกับพวกปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๙ นายคม นางนวล นางสวย และนางพิศ ร่วมกันกู้ยืมเงินจากนางสาย จำนวน ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท โดยทำสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ แทนสัญญากู้ยืม วันรุ่งขึ้นนางนวลนำเงินไปใช้หนี้ ๙๕๐,๐๐๐ บาท วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๐ ชำระอีก ๓๐๐,๐๐๐ บาท เหลือค้างชำระจำนวน ๔๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐ นายคมกับพวก บอกกับนางสายว่านายชายให้มากู้ยืมเงินจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยนำสัญญากู้ยืมซึ่งลงลายมือชื่อนายชาย โฉนดที่ดิน สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของนายชายมามอบให้แก่นางสาย และยืนยันว่า นายชายได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวจริง มิฉะนั้นจะนำเอกสารดังกล่าวมาได้อย่างไร นางสายหลงเชื่อ จึงยินยอมให้กู้และได้มอบเงินให้นายคมกับพวกไป ต่อมานางสาย ไม่ได้รับการชดใช้เงินที่ยืม จึงได้ทวงถามให้นายชายชำระหนี้แต่นายคมปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ สัญญากู้เงินดังกล่าว นางสายจึงทวงถามจากนางพิศ แต่นางพิศก็อ้างว่า คนที่กู้ คือ นายชาย ไม่ใช่ตน นางสาย จึงทราบว่าตนถูกหลอกลวงและฉ้อโกง จึงได้นำเรื่องแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาพนักงานอัยการ มีคำสั่งฟ้องนายคมและพวกข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารปลอม และข้อหาฉ้อโกงซึ่งคดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาว่านายคมกับพวกมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารปลอม จำคุก ๓ ปี และปรับ ๙,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ลดขั้นเงินเดือน ๑ ขั้น มติ เพิ่มโทษจากโทษลดขั้นเงินเดือน ๑ ขั้น เป็นโทษปลดออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 8/2558 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2558
124 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-0013/2561 ชื่อ นางหนึ่ง ตำแหน่งอดีตครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำการผิดวินัยในเรื่อง ปลอมแปลงเอกสาร ใช้หรืออ้างเอกสารหนังสือมอบอำนาจ ทำการ เปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในโฉนดที่ดินของนายสองจนถูกดำเนินคดีอาญา ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2556 นางหนึ่ง ไปที่สำนักงานที่ดิน ได้ใช้เอกสารหนังสือ มอบอำนาจปลอม โดยรู้อยู่แล้วว่าหนังสือมอบอำนาจปลอมขึ้นทั้งฉบับ ต่อมานางหนึ่งได้นำหนังสือมอบอำนาจที่ปลอมขึ้น มาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน โดยการไถ่ถอนจำนอง และทำการขายให้กับ ตนเอง (นางหนึ่ง) ทั้งที่โฉนดที่ดินเป็นของนายสอง นายสองจึงได้แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนางหนึ่งในข้อหาปลอมแปลง เอกสาร ใช้หรืออ้างเอกสารปลอม ในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ศาลพิพากษาลงโทษนางหนึ่งจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดลงเป็นกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนฝ่ายเดียวและไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงกรณีไม่มีเหตุรอลงอาญา มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ประกอบกับกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยกรณี ความผิดปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. 2549 ข้อ 2 (1) กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ประกอบกับกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยกรณี ความผิดปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. 2549 ข้อ 2 (1) โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 1/๒๕61 เมื่อวันที่ 26 มกราคม ๒๕61
125 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-116/2561 ชื่อ นางสมใจ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง จัดทำเอกสารโฉนดที่ดินปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อวางประกันเงินสัญญากู้ยืม ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางสมใจรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าโฉนดที่ดินเลขที่ 12345 เป็นโฉนดที่ดินที่ไม่ได้ออก ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และเจตนานำโฉนดที่ดินดังกล่าวนำไปใช้หาประโยชน์เพื่อหลอกลวง นายศักดิ์หลงเชื่อ ว่าเป็นโฉนดที่ดินจริง จึงได้ให้นางสมใจ กู้ยืมเงินจำนวน 50,000 บาท มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ไล่ออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 7/2561 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2561
126 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-059/2562 ชื่อ นางเนตร ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสารราชการ และใช้เอกสารปลอม อันเป็นเอกสารราชการ ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางเนตรได้บังอาจทำเอกสารขึ้นทั้งฉบับโดยการปลอมเอกสารราชการ คือ โฉนดที่ดิน จำนวน 4 ฉบับ และนำไปหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน เพื่อขอกู้เงินจากผู้เสียหาย และมอบโฉนดที่ดินที่เป็นเอกสารปลอม ให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินรวม ๔ ครั้ง รวมเงินจำนวน ๘๘๐,๐๐๐ บาท มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กรณีกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ไล่ออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562
127 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-1030/2562 ชื่อ นางสวย ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไป สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำความผิดวินัยในเรื่อง ข้อกล่าวหาที่ 1 เช่าบ้านของนายนิว โดยสัญญาระบุอัตราค่าเช่าเดือนละ 2,400 บาท แต่จ่ายจริง เดือนละ 800 บาท มีพฤติการณ์ปลอมลายมือชื่อนายนิว ผู้ให้เช่าบ้านในสัญญาเช่าบ้านตั้งแต่ทำสัญญาเช่า และปลอมลายมือชื่อนายนิว ผู้ให้เช่าในใบเสร็จรับเงินทุกเดือน ข้อกล่าวหาที่ 2เช่าบ้านนายถาม มีพฤติการณ์ปลอมลายมือชื่อนายถาม ผู้ให้เช่าในใบเสร็จรับเงินทุกเดือน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในข้อกล่าวหาที่ 1 นางสวยได้ทำเรื่อง เบิกค่าเช่าบ้านนายนิว ผู้ให้เช่า โดยทำสัญญาเช่า พ.ศ. 2546 – 2548 สัญญาลงวันที่ 1 ตุลาคม 2546 ระบุค่าเช่าเป็นรายเดือน ๆ ละ 2,400 บาท และต่อมาปี พ.ศ. 2547 นางสวยได้ทำการเปลี่ยนเป็นไปเช่าบ้านนายถามในระหว่างเช่าบ้านนายนิว แต่เนื่องจากคำให้การของนายนิวที่ให้การว่าได้รับค่าเช่าจากนางสวยเดือนละ 800 บาท เป็นการสอบถ้อยคำ ที่ไม่ชอบ เนื่องจากในการสอบสวนถ้อยคำของนายนิวคณะกรรมการสอบสวนได้ให้ภรรยาของนายนิว เข้ามาร่วม ในการสอบสวนด้วย โดยไม่ให้เหตุผลว่าเพื่อประโยชน์แห่งการสอบสวนอย่างไร อันไม่เป็นไปตามข้อ 30 แห่ง กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. 2550 ซึ่งคำให้การดังกล่าว จะต้องดำเนินให้ถูกต้องตาม ข้อ 44 (2) แห่ง กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ. 2550 ส่วนข้อกล่าวหาที่ 2 นางสวยได้เช่าบ้านนายถามในอัตราค่าเช่าเดือนละ 2,400 บาท ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 และสัญญาที่ให้เช่าในวันที่ 1 สิงหาคม 2549 ในปี พ.ศ. 2552 ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งเมื่อพิจารณาในส่วนของค่าเช่านั้นมีคณะกรรมการตรวจบ้านเช่า ได้ไปทำการตรวจบ้านเช่า คณะกรรมการตรวจบ้านเช่าก็ได้ให้ความเห็นว่าได้เช่าอยู่จริง และคณะกรรมการ สอบสวนก็ไม่ได้ระบุว่าสภาพบ้านไม่เหมาะสมกับราคาแต่อย่างใด ส่วนประเด็นการปลอมลายมือชื่อ แม้คำให้การของนายถามจะบอกว่าลายมือชื่อในสัญญาเช่าและลายมือชื่อในใบเสร็จเป็นลายมือชื่อของตนเอง ซึ่งให้การขัดแย้งกันในชั้นสืบสวนที่ให้การว่าไม่เคยลงลายมือชื่อในใบเสร็จแม้แต่ครั้งเดียว แต่เมื่อพิจารณา ตัวอย่างลายมือชื่อของนายถามแล้ว เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากลายมือชื่อของนายถามในสัญญาเช่า และในใบเสร็จรับเงิน ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่านางสวยได้ปลอมลายมือชื่อนายถามเพื่อประโยชน์ในการเบิกค่าเช่าบ้าน มาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน มติ เพิ่มโทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน เป็นปลดออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562
128 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-180/2563 ชื่อ นายอุทิศ ตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน ระดับชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ปลอมลายมือชื่อของนายศักดิ์ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กรณีอนุญาตให้รื้อถอนบ้านพักครูโรงเรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายอุทิศได้ออกหนังสือราชการดังกล่าวเอง โดยการปลอมลายมือชื่อ และปลอมเลขที่หนังสือ ทั้ง ๆ ที่ทางโรงเรียน ก ไม่ได้มีหนังสือขอเข้ามา แล้วนำไปมอบให้กับบุคคลอื่น เพื่อรื้อถอน บ้านพักครูโรงเรียน ก โดยที่ไม่ได้ส่งหนังสือดังกล่าวให้กับทางโรงเรียนเป็นผู้ควบคุมการรื้อถอน ทำให้บ้านพักครู จำนวน 2 หลัง ได้รับความเสียหาย ถึงแม้ภายหลังจะได้ดำเนินการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิมแล้วก็ตาม แต่ความผิดที่ได้กระทำลงนั้นก็ได้สำเร็จไปแล้ว ถือเป็นการกระทำผิดวินัยโดยการปลอมลายมือชื่อของผู้อื่น ไปหาประโยชน์ ซึ่งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/ว 197 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 ให้ถือว่า เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและให้ลงโทษอย่างน้อยปลดออกจากราชการ มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และกรณี กระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ตัดเงินเดือน 5 % เป็นเวลา 1 เดือน มติ ให้เพิ่มโทษเป็นโทษปลดออก ประชุมครั้งที่ 4/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563
129 กรณีความผิดเกี่ยวกับประพฤติชั่วปลอมแปลงเอกสาร,ปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-398/256๓ ชื่อ นายปืน ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ได้จัดทำสำเนาเอกสารวุฒิ การศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิตขึ้น และอ้างเอกสารดังกล่าวเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนเป็นผู้สำเร็จการศึกษาปริญญา ดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) จากมหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2551 ในแบบรายงานประเมินสายงานผู้บริหาร สถานศึกษา เพื่อประกอบการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายปืนได้ใช้หรืออ้างเอกสารวุฒิการศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) จากมหาวิทยาลัยมหิดล อันเป็นการใช้สำเนาวุฒิการศึกษาปลอม เนื่องจากตามกรณีการสอบสวน มหาวิทยาลัยมหิดลได้มีหนังสือแจ้งว่าไม่พบรายชื่อนายปืน เป็นผู้ศึกษาในหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการศึกษา (หลักสูตรนานาชาติ) ประกอบกับข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา ซึ่งทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการกลั่นกรองการย้าย ต่างให้ถ้อยคำไปในทางเดียวกันว่า พบสำเนาวุฒิการศึกษาปลอมดังกล่าวในเล่มรายงานศักยภาพผู้บริหารสถานศึกษาของนายปืน มาตรา 94 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษ ตัดเงินเดือน ๔ % เป็นเวลา ๒ เดือน มติ เพิ่มโทษจากโทษตัดเงินเดือนในอัตราร้อยละสี่ของเงินเดือนเป็นเวลาสองเดือน เป็นโทษปลดออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 11/2563 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563
130 กรณีความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารและปลอมลายมือชื่อ รายที่ 1-119/2562 นางโอบ ตำแหน่งครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ปลอมแปลงเอกสารและลายมือชื่อผู้บังคับบัญชาเพื่อกู้เงินจากสหกรณ์ออม ทรัพย์ครูและทอดทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นางโอบ ได้กระทำการปลอมสลิปเงินเดือนประจำเดือนกันยายน 2559 และปลอมลายมือชื่อผู้อำนวยการสถานศึกษา ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อใช้ในการกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู โดยเมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ นางโอบ ได้ชำระหนี้ให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู เป็นปกติ และในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 นางโอบ เป็นครูประจำชั้น ป. 2/2 ไม่เอาใจใส่ในการจัดการเรียนการสอน อบรมสั่งสอน และควบคุมกำกับ ติดตามนักเรียนตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ปฏิบัติราชการ มาสายและลาบ่อยครั้ง ทำให้ สถานศึกษา ต้องจัดครูเข้าสอนแทน มาตรา มาตรา 87 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กรณีทอดทิ้งหน้าที่ราชการเป็นเหตุให้ ราชการเสียหาย ประกอบกับคณะรัฐมนตรี โทษ ไล่ออกจากราชการ มติ ให้ลดโทษจากโทษไล่ออกจากราชการ เป็นโทษปลดออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 9/2564 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564
131 10. กรณีความผิดลอกเลียนผลงานทางวิชาการ กรณีความผิดลอกเลียนผลงานทางวิชาการ รายที่ ๑-๐๑๐/๒๕๕๗ ชื่อ นายประทวน ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อไปใช้ในการเลื่อน วิทยฐานะให้สูงขึ้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผลงานทางวิชาการของนายประทวน เหมือนผลงานทางวิชาการของนายดำ ทั้งรูปเล่ม คำนิยาม เนื้อหา เกินกว่าร้อยละ ๙๐ ซึ่งมีจุดแตกต่างเพียงแค่เศษส่วนของค่าทศนิยมและนายประทวน ก็ยอมรับว่า ไม่ได้ทำผลงานทางวิชาการด้วยตนเอง เนื่องจากประสบอุบัติเหตุในช่วงก่อนที่จะยื่นคำขอประเมิน และส่งผลงานทางวิชาการ มาตรา ตามมาตรา ๙๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางราชการของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือนำเอาผลงานทางวิชาการ ขอผู้อื่นหรือจ้าง วาน ใช้ผู้อื่น ทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 2/2557 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557
132 กรณีความผิดลอกเลียนผลงานทางวิชาการ รายที่ ๑-๐๑๐/๒๕๕๗ ชื่อ นายบุญ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ โรงเรียน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อไปใช้ในการ เลื่อนวิทยฐานะให้สูงขึ้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผลงานทางวิชาการของนายบุญ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเหมือนผลงานทางวิชาการของนายเดช ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั้งรูปเล่ม คำนิยาม เนื้อหา เกินกว่าร้อยละ ๙๐ มีจุดแตกต่างเพียงเศษส่วนของ ค่าทศนิยม และนายบุญยอมรับว่าไม่ได้ทำผลงานทางวิชาการด้วยตนเอง เนื่องจากประสบอุบัติเหตุในช่วงก่อนที่ จะยื่นคำขอประเมิน และส่งผลงานทางวิชาการ เมื่อผลงานทางวิชาการของนายบุญ เหมือนกับผลงานทางวิชาการ ของนายเดช ดังนั้นจึงเป็นผลงานที่เกิดจากการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อเสนอขอเลื่อนวิทยฐานะให้สูงขึ้น พฤติการณ์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง มาตรา ตามมาตรา ๙๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางราชการของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือนำเอาผลงานทางวิชาการ ขอผู้อื่นหรือจ้าง วาน ใช้ผู้อื่น ทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
133 กรณีความผิดลอกเลียนผลงานทางวิชาการ รายที่ 1-212/2562 ชื่อนางสาวเกด ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำความผิดวินัยในเรื่อง คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานของนายเดช แล้วนำผลงานดังกล่าวเสนอ ขอเลื่อนวิทยฐานะให้สูงขึ้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า จากการตรวจสอบรายงานวิจัยปฏิบัติการการพัฒนาครูเรื่อง การจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบโครงงานของโรงเรียนดับเบิ้ลเอ โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการของนางสาวเกด และรายงานวิจัย ปฏิบัติการการพัฒนาครูเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานของโรงเรียนบีบีโดยการประชุมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งเป็นรายงานวิจัยที่นายเดชเคยใช้เป็นผลงานในการเสนอต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ แล้วพบว่า มีอยู่หลายส่วนที่มีความเหมือนกัน โดยบางรายการมีความเหมือนกันทุกตัวอักษร จึงเชื่อได้ว่า รายงานวิจัยปฏิบัติการการพัฒนาครู เรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานของโรงเรียนดับเบิ้ลเอ โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการที่นางสาวเกดใช้เป็นผลงานในการเสนอต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ เพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะ เป็นรายงานวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยไม่ได้ดำเนินการตาม กระบวนการวิจัยจริง แม้มีความแตกต่างกับรายงานวิจัยของนายเดช ในเรื่องข้อมูลพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมาย ค่าสถิติ รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ วัน เดือน ปี ที่ระบุในตารางประชุมปฏิบัติการก็ตาม แต่ก็เห็นว่าความแตกต่างดังกล่าวมีอยู่ เล็กน้อยและจำต้องเกิดมีอยู่ตามสภาพของเรื่องโดยทั่วไป จึงไม่อาจนำมากล่าวอ้างว่า เมื่อส่วนนี้แตกต่างจะไม่ใช่ การคัดลอกหรือลอกเลียน และเมื่อพิจารณาส่วนอื่นทั้งหมดแล้วเห็นว่า นอกเหนือจากข้อมูลพื้นฐาน กลุ่มเป้าหมาย ค่าสถิติ รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ ที่จำต้องเปลี่ยนตามสภาพของเรื่องโดยทั่วไปเพื่อให้สอดคล้องกับ รายงานทางวิชาการของตนเองแล้ว รายงานทั้งสองฉบับมีความเหมือนกันทุกประการ มาตรา ตามมาตรา ๙๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางราชการของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือนำเอาผลงานทางวิชาการ ขอผู้อื่นหรือจ้าง วาน ใช้ผู้อื่น ทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ โทษ ยุติเรื่อง มติ ลงโทษเป็นปลดออกจากราชการ ประชุมครั้งที่ 10/2562 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562
134 กรณีความผิดเกี่ยวกับการคัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ รายที่ 1-253/2562 ชื่อนางปลอม ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำความผิดวินัยในเรื่อง คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือนำเอา ผลงานทางวิชาการของผู้อื่นไปใช้ในการขอเสนอปรับปรุงกำหนดตำแหน่งและเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ หรือการให้ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางปลอม ได้คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของนางสาวนิด โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของผลงาน ไม่ได้อ้างอิงชื่อเจ้าของผลงานไว้ในบรรณานุกรม โดยอ้างอิงเพื่อนำไปใช้ เป็นผลงานทางวิชาการของตนเอง เพื่อให้ตนมีหรือเลื่อนวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จริง โดยนางปลอมอ้างว่า ตนได้นำผลงานทางวิชาการของนางสาวนิด มาประยุกต์ใช้ประกอบการทำผลงาน ทางวิชาการของตน เป็นการนำมาใช้บางช่วงบางตอนเท่านั้น แต่จากข้อเท็จจริงพบว่า นางปลอมได้คัดลอก หรือลอกเลียนผลงานทางวิชาการของนางสาวนิด จำนวน 5 บท ได้คัดลอก ลอกเลียน แก้ไขบรรณานุกรมท้ายบท ทั้งหมดและคัดลอกหรือลอกเลียนภาคผนวกผลงานทางวิชาการ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพร้อมทั้ง แบบฝึกทักษะทั้งชุด คัดลอกหรือลอกเลียนและนำเอาแบบฝึกหัดซึ่งเป็นแบบฝึกทักษะการอ่าน จำนวน 5 ชุด พร้อมทั้ง เฉลยคำตอบมาใช้เป็นแบบฝึกทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งเหมือนต้นฉบับของนางสาวนิด เกือบทั้งเล่ม มาตรา ตามมาตรา ๙๑ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี คัดลอกหรือลอกเลียนผลงานทางราชการของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือนำเอาผลงานทางวิชาการ ของผู้อื่นหรือจ้าง วาน ใช้ผู้อื่น ทำผลงานทางวิชาการเพื่อไปใช้ในการเสนอปรับปรุงการกำหนดตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนวิทยฐานะ โทษ ปลดออกจากราชการ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 11/2562 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562
135 11. กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา รายที่ 1-073/2561 ชื่อ นายดอนสัก ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการ ชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ กรณีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่ให้ดำเนินการทางวินัย กับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยงโดยไม่มีเหตุอันสมควร ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2557 แจ้งให้โรงเรียนชบาแก้ว เพิกถอนคำสั่งลงโทษข้าราชการครูจำนวน 3 คนและลูกจ้างประจำจำนวน 1 คน เนื่องจากการสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา รวมทั้งไม่ให้ผู้ถูก ลงโทษมีโอกาสโต้แย้งพยานหลักฐานและนำสืบแก้ข้อกล่าวหา อันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ และให้นายดอนสักในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนชบาแก้ว ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งลงโทษดังกล่าว แล้วสั่งให้ดำเนินการสืบสวนและสอบสวน นางฉวีนางนวลจันทร์ และนางมยุรี ให้เป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้โดยเคร่งครัด ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 ได้มีหนังสือ โรงเรียนชบาแก้ว เรื่อง หารือการดำเนินการทางวินัยข้าราชการครูมายังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และหนังสือโรงเรียนชบาแก้วลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เรื่อง หารือแนวทางการปฏิบัติตามรูปแบบขั้นตอนที่ กฎหมายบัญญัติไว้ มายังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แต่ไม่ปรากฏหนังสือตอบข้อหารือจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ได้สั่งให้นายดอนสัก ดำเนินการทางวินัยดังกล่าวในวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 (ครั้งที่ 1) และขอทราบผลการดำเนินการทางวินัย ในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 (ครั้งที่ 2) จนกระทั่งวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในภาครัฐ แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทราบว่าได้รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหา นายดอนสัก ผู้อำนวยการ โรงเรียนชบาแก้ว ว่าละเว้นไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดกรณี นางฉวี นางจันทร์และนางมยุรี และขอทราบข้อเท็จจริงว่าเรื่องร้องเรียนกล่าวหากรณีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงอย่างไร และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง วันที่ 17 มีนาคม 2559 (ครั้งที่ 3)สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ได้ขอทราบผลการดำเนินการกรณีดังกล่าวไปยังโรงเรียนชบาแก้ว อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจัดส่งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ภายในวันที่ 23 มีนาคม 2559 แต่โรงเรียนชบาแก้ว เพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ มาตรา 86 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา โทษ ภาคทัณฑ์ มติ เพิ่มโทษ จากโทษภาคทัณฑ์ เป็นตัดเงินเดือนจำนวน 5% เป็นเวลา 1 เดือน ประชุมครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561
136 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา รายที่ 1-159/2562 ชื่อนายประวิตร ตำแหน่งครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำความผิดวินัยในเรื่อง ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีมีคำสั่งให้ย้าย จากโรงเรียนบ้านแมวไปดำรงตำแหน่งที่โรงเรียนบ้านทุ่ง โดยมีพฤติการณ์ขัดขืนประวิงเวลาไม่ยอมเดินทางไปปฏิบัติ ราชการตามคำสั่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ได้มีคำสั่งย้ายนายประวิตรจากโรงเรียนบ้านแมวไปดำรง ตำแหน่งที่โรงเรียนบ้านทุ่งนั้น เป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยได้ดำเนินการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 8 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 ทุกประการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเห็นว่า เป็นการย้ายเพื่อแก้ปัญหา ในการบริหารจัดการในโรงเรียนบ้านแมว ประกอบกับก่อนที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะมีคำสั่งให้ย้าย นายประวิตรนั้นได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงอันเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน ของกฎหมายที่กำหนดไว้และการย้ายกรณีดังกล่าว เป็นการย้ายเพื่อประโยชน์ของทางราชการ เพื่อแก้ไขปัญหา ในการบริหารจัดการในสถานศึกษา มิใช่การย้ายกรณีปกติการที่นายประวิตรทราบคำสั่งย้ายเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว และไม่ปรากฏว่า นายประวิตรได้มีการเสนอความเห็น เป็นหนังสือภายในเจ็ดวัน เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่ง เพราะเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้ เสียหายแก่ราชการหรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการ การที่นายประวิตรยื่นหนังสือผ่านโรงเรียน บ้านแมวขอชะลอการส่งตัวไปปฏิบัติราชการตามคำสั่งต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาถือไม่ได้ว่าเป็นการเสนอ ความเห็นเป็นหนังสือภายในเจ็ดวันเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่ง เพราะเป็นเรื่องที่นายประวิตรขอให้ชะลอการส่งตัว ไม่ใช่ขอให้ทบทวนคำสั่ง แม้ว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาทบทวนคำสั่งดังกล่าวและแจ้งผลยืนยัน ตามคำสั่งเดิมให้นายประวิตรทราบ นายประวิตรก็ไม่อาจนำมาเป็นข้ออ้างในการที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยไม่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนบ้านทุ่ง ภายในวันที่ 8 มกราคม 2559 เพื่อรอฟังผลการทบทวนคำสั่งย้าย ดังกล่าวก่อนได้ การที่นายประวิตรไม่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งย้ายภายในวันที่ 8 มกราคม 2559 แต่ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 จึงไม่มีเหตุผลที่จะรับฟังได้ มาตรา 86 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โทษ ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 9/2562 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2562
137 12. กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบแบบแผน ของทางราชการฯ รายที่ 1-067/2559 ชื่อ นายโกย ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคล ระดับชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ทำเอกสารของทางราชการสูญหาย ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายโกย มีหน้าที่รักษาเอกสารผลคะแนนประเมินของคณะกรรมการประเมิน ให้คะแนนผลงานทางวิชาการเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการพิเศษ โดยนายโกยได้ทำเอกสารผล คะแนนประเมินของนายวิท สูญหาย แต่ต่อมาภายหลัง นายวิทได้ปรับปรุงและส่งผลงานทางวิชาการใหม่ และได้เลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการพิเศษในที่สุด มาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล โทษ ภาคทัณฑ์ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559
138 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผน ของทางราชการฯ รายที่ 1-076/2559 ชื่อ นายจอม ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญ การพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ไม่ต่อสัญญาจ้างครูอัตราจ้างโดยไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานครูอัตราจ้าง ก่อนระยะเวลาตามสัญญาจ้าง แล้วเรียกบุคคลอื่นซึ่งสอบขึ้นบัญชีอื่นมาทำสัญญาจ้างแทน ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนที่จ้างจากเงินงบประมาณ ร่ายจ่าย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2547 กำหนดว่า“ถ้าสถานศึกษามีการจ้าง ลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนจากเงินงบประมาณ เมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้างต้องมีการประเมินผลงาน ถ้ามีผลงานดีก็ให้จ้างลูกจ้าง คนเดิมต่อไปตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรร”แต่ก่อนจะสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 นายจอมในฐานะผู้อำนวยการ โรงเรียน ไม่ได้ทำการประเมินผลการปฏิบัติงานของนายอาม ครูอัตราจ้างว่ามีผลการปฏิบัติงานผ่านเกณฑ์หรือไม่ แต่กลับเรียกบุคคลอื่นซึ่งสอบขึ้นบัญชีอื่นมาทำสัญญาจ้างแทน มาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล โทษ งดโทษโดยว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร มติ ลงโทษตัดเงินเดือน 5 % เป็นเวลา 1 เดือน ประชุมครั้งที่ 5/2559 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559
139 13. กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) รายที่ ๑-๐๐๔/๒๕๕๘ ชื่อ นายกุ๊กไก่ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษเด็กชายก้องเกียรติด้วยการใช้มือตีที่หัวไหล่ จนทำให้เซถลาไปบนพื้น และได้ใช้ไม้ดันไปที่หน้าอกหลายครั้ง ซึ่งภายหลังผู้ปกครองได้พาไปพบแพทย์และแจ้งความร้องทุกข์ต่อ เจ้าพนักงานตำรวจเพื่อดำเนินคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายกุ๊กไก่ลงโทษเด็กชายก้องเกียรติเนื่องจากทะเลาะวิวาทกับเด็กชายปริญญ์ โดยการใช้มือตบที่บริเวณกกหูข้างขวาของเด็กชายก้องเกียรติจนล้มลงกับพื้น และยังใช้ไม้เรียวความยาว ประมาณ ๑ ฟุต กระแทกไปที่บริเวณหน้าอกอีกหลายครั้ง จนมีเลือดออกในช่องหูและมีบาดแผลฟกช้ำที่บริเวณ หน้าอกมารดาของเด็กชายก้องเกียรติได้ฟ้องนายกุ๊กไก่เป็นคดีอาญาต่อศาล และได้มีคำพิพากษาว่านายกุ๊กไก่มี ความผิดต่อร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ เห็นควรลงโทษสถานเบาให้ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ประกอบกับ จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษกึ่งหนึ่ง คงปรับ ๕๐๐ บาท มาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานการศึกษา โทษ งดโทษโดยให้ทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือ มติ ลงโทษตัดเงินเดือน ๕% เป็นเวลา ๑ เดือน ประชุมครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2558
140 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) รายที่ ๑-๐๗๐/๒๕๕๘ ชื่อ นายสมหมายตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษนักเรียนโดยการตีด้วยไม้หวาย ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายสมหมายได้ใช้ไม้หวายเป็นไม้เรียวตีนักเรียนในลักษณะเคาะย้ำเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ จำนวนถึง ๓๐–๙๐ ครั้งต่อคน และตีแรง ๑ ครั้ง ที่ก้นนักเรียน โดยลงโทษนักเรียนทั้งหมด ๓๓ คน ที่ลืมเอาอุปกรณ์ (เชือกกระโดด) มาสอบ อันเป็นการตีในลักษณะเป็นการใช้อารมณ์ มิใช่กระทำไปเพื่อสั่งสอนศิษย์ มาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงาน การศึกษา โทษ ภาคทัณฑ์ มติ เพิ่มโทษจากโทษภาคทัณฑ์เป็นโทษตัดเงินเดือน ๕% เป็นเวลา ๑ เดือน ประชุมครั้งที่ 3/2558 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2558
141 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) รายที่ ๑-๐๙๓/๒๕๕๗ ชื่อ นางอุไร ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษนักเรียนโดยใช้ไม้ตีน่อง จนเป็นเหตุให้มีรอยฟกช้ำและเจ็บป่วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า นางอุไรได้ลงโทษเด็กชายธีทัตซึ่งขึ้นไปวิ่งบนโต๊ะเรียน โดยใช้ไม้ไผ่ตี จำนวน ๒๐ ครั้ง ด้วยความรุนแรง จนทำให้เด็กชายธีทัตเป็นแผลฟกช้ำที่ขาจำนวนมาก ซึ่งการลงโทษดังกล่าวมีเหตุอันสมควร เพียงแต่เป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ มาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานการศึกษา โทษ งดโทษภาคทัณฑ์ โดยทำทัณฑ์บนเป็นหนังสือ มติ ลงโทษภาคทัณฑ์ ประชุมครั้งที่ 4/2558 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558
142 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของ ทางราชการฯ (ลงโทษนักเรียน) รายที่ 1-105/2559 ชื่อ นายสูบ ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะผู้อำนวยการชำนาญ การพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษนักเรียนไม่เหมาะสม ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายสูบได้ลงโทษนักเรียนรายหนึ่งโดยการตบบริเวณกกหูในขณะที่เข้าแถวเคารพ ธงชาติ เนื่องจากนักเรียนใส่เสื้อแขนยาวมาโรงเรียน และได้ทำโทษนักเรียนอีกรายหนึ่งโดยการตีด้วยไม้เรียวขนาดเท่า นิ้วก้อย เนื่องจากบันไดหน้าห้องเรียนไม่สะอาด ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีนักเรียนรายใดต้องเข้ารักษาพยาบาล มาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล โทษ งดโทษภาคทัณฑ์โดยว่ากล่าวตักเตือนเป็นแทน มติ ลงโทษตัดเงินเดือน 5 % เป็นเวลา 1 เดือน ประชุมครั้งที่ 6/2559 เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2559
143 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) รายที่ 1-285/2559 ชื่อ นายเหี้ยม ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษนักเรียนโดยใช้เท้ากระทุ้งเข้าไปที่ขาด้านซ้าย ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ขณะนักเรียนทำกิจกรรมหน้าเสาธง นายเหี้ยม ซึ่งเป็นผู้ควบคุมและเช็คชื่อนักเรียน เห็นนายสำราญ และเพื่อน ซึ่งเป็นเด็กนักเรียน พูดคุยกันและยืนขวาง ทางเดิน จึงได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าแข้งด้านซ้ายของนายสำราญ ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกลึก ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร และมีเลือดออก แพทย์ผู้ทำการรักษาลงความเห็นว่า แผลถลอกที่ขาด้านซ้ายอักเสบ เพราะถูกทำร้ายร่างกาย ควรพักรักษา 1 สัปดาห์ แผลถึงจะหายสนิท มาตรา 85 วรรคหนึ่ง และ 94 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา พ.ศ. 2549 กรณี ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และกระทำ การอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว โทษ งดโทษภาคทัณฑ์โดยว่ากล่าวตักเตือน มติ ลงโทษเป็นตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน ประชุมครั้งที่ 12/2559 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559
144 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) รายที่ 1-121/2560ชื่อ นายแอสตัน ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุด้วยวิธีการไม่เหมาะสม ข้อเท็จจริงได้ความว่า นักเรียนชั้น ม.4/2 ได้โทรศัพท์ไปขอโทรศัพท์มือถือของเพื่อนนักเรียนหญิง คืนจากนายแอสตัน แต่นายแอสตันไม่คืนให้แล้วบอกว่าให้ไปรับตอนโรงเรียนเลิก ทำให้นักเรียน ม.4/2 ไม่พอใจ ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมทางโทรศัพท์นายแอสตันจึงเรียกนักเรียนคนดังกล่าวมาพบ แต่นักเรียนชั้น ม.4/2 คนดังกล่าวก็ยังแสดงท่าทางไม่เหมาะสมกับนายแอสตันอีก นายแอสตันจึงเกิดบันดาลโทสะ ใช้มือตบศีรษะไป 1 ครั้ง และใช้เท้าถีบอีก 1 ครั้ง สร้างความไม่พอใจแก่ผู้ปกครองนักเรียนคนดังกล่าว จึงทำหนังสือร้องเรียนนายแอสตัน มาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงาน การศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล โทษ งดโทษ โดยให้ทำทัณฑ์บน มติ ให้ลงโทษตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน ประชุมครั้งที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560
145 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียน) รายที่ 1-127/2561 ชื่อ นายสุชาติตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ลงโทษนักเรียนไม่เป็นไปตามระเบียบ ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 นายสุชาติได้นัดนักเรียนไปเรียนที่แปลงเกษตร เมื่อถึงคาบเรียนตามที่นัดหมายก่อนเข้าสู่การเรียนการสอน นายสุชาติได้ทำการตรวจสอบรายชื่อนักเรียน ที่มาเรียนในคาบนี้ครบถ้วนหรือไม่ ผลการตรวจสอบรายชื่อนักเรียนปรากฏว่ามีนักเรียนหายไป 2 คน คือเด็กชายเมฆและเด็กชายหมอกยังไม่มาเข้าเรียน นายสุชาติจึงได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียนตามปกติ จนเกือบจะหมดคาบเรียน เหลือเวลาเรียนอีก 15 นาที นายสุชาติก็ทำการตรวจสอบรายชื่อนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่านักเรียนทั้งสองคนยังไม่มาเข้าเรียน นายสุชาติจึงให้เพื่อนนักเรียนไปตาม ปรากฏว่านักเรียนทั้งสอง นั่งเล่นอยู่ในห้อง เพื่อนนักเรียนจึงเรียกนักเรียนทั้งสองคนไปพบนายสุชาติ เมื่อเด็กนักเรียนทั้งสองคนมาถึง นายสุชาติจึงได้ใช้ไม้ตีไปที่ก้นนักเรียนทั้งสองคนๆละ 3 ทีวันรุ่งขึ้นผู้ปกครองนักเรียนทั้งสองคนจึงนำเรื่องร้องเรียน ต่อผู้อำนวยการโรงเรียน นายสุชาติได้ยอมรับว่าลงโทษนักเรียนจริง ผู้ปกครองนักเรียนทั้งสองรายยอมรับ และไม่ติดใจเอาความ นายสุชาติการกระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อสั่งสอนศิษย์ ไม่มีเจตนามุ่งทำร้ายร่างกายนักเรียน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแต่อย่างใด มาตรา 85 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โทษ ภาคทัณฑ์ มติ รับทราบ ประชุมครั้งที่ 8/2561 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561
146 กรณีความผิดเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ลงโทษเด็กนักเรียนและดื่มสุรา) รายที่ 1-194/2563 ชื่อ นายรัตน์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษา กระทำผิดวินัยในเรื่อง ประพฤติตนไม่เหมาะสม โดยดื่มสุราแล้วมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ และลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายรัตน์ได้กระทำการลงโทษนักเรียนด้วยการตัดผมนักเรียนจากด้านหน้า ไปถึงด้านหลังจนศีรษะลาย ให้นักเรียนอมนิ้วมือเพื่อน ให้นักเรียนเอามือเคาะกระดานหลาย ๆ ครั้ง ลงโทษ นักเรียนโดยการใช้ปากกาสีเมจิกเขียนขอบตานักเรียน และได้ดื่มสุราก่อนมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยดื่มสุรา แล้วเข้ามาทำการสอนนักเรียนจนเป็นเหตุให้นายรัตน์หลับในห้องเรียนขณะสอนนักเรียนอยู่เป็นประจำ มาตรา 85 วรรคหนึ่ง และมาตรา 88 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณี ไม่ประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน ชุมชน และสังคม ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบาย ของรัฐบาล โดยถือประโยชน์สูงสุดของผู้เรียนเป็นสำคัญ โทษ งดโทษภาคทัณฑ์โดยให้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร มติ เพิ่มโทษเป็นตัดเงินเดือนร้อยละสี่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ประชุมครั้งที่ 6/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2563