1 ผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ชมพู่ ปัตถาวะโร วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
2 ผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ชมพู่ ปัตถาวะโร วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
3
4 ชื่อเรื่อง ผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ที่มีต่อทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัย นางสาวชมพู่ ปัตถาวะโร อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ญาดา ช่อสูงเนิน ที่ปรึกษาร่วม นางสุภาวดี แก้วแก่น ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบและศึกษาการเปลี่ยนแปลงทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กปฐมวัยชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ใน ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านโคกลาด จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้เลือก แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มา 22 คน ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดย ทำการทดลอง สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที รวมระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด และแบบทดสอบทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ t–test for Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบ โครงการ เรื่อง เห็ด มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
5 กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจากอาจารย์ ญาดา ช่อสูงเนิน ที่ได้ให้คำแนะนำ ข้อคิด และตรวจปรับข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็น อย่างยิ่ง ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูจารุวรรณ สมพะยอม คุณครูพวงเพชร พัชรภิญโญภาคย์และ คุณครูนฤดล มัฆนาโส ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย อีกทั้งให้คำแนะนำอย่างดียิ่ง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอกราบขอบพระคุณ คณาจารย์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยทุกท่านที่ได้กรุณา อบรม สั่งสอน ถ่ายทอดความรู้และให้ประสบการณ์ที่ดี และมีคุณค่าอย่างยิ่งกับผู้วิจัยจนทำให้ผู้วิจัยประสบ ความสำเร็จในการศึกษา ขอกราบขอบพระคุณผู้อำนวยการ นางฑิฆัมพร บุญมาก คณะครูและเจ้าหน้าที่โรงเรียน บ้านโคกลาด ที่ได้ให้คำแนะนำ และประสบการณ์ที่ดี รวมทั้งนักเรียนชั้นอนุบาล 3 ทุกคน ที่ให้ความ ร่วมมือในการศึกษาค้นคว้าและทดลองของผู้วิจัยในครั้งนี้ การศึกษาและการทำวิจัยสำเร็จได้ด้วยดี เพราะได้รับการสนับสนุนจากบิดา มารดา ตลอดจนญาติ พี่ น้องที่ให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยตลอดมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งและขอขอบพระคุณ เป็นอย่างสูง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณบูรพาจารย์ผู้อบรมสั่งสอนให้ความรู้แก่ผู้วิจัย ขอบคุณเด็ก ๆ ที่ เปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนเกิดความเข้าใจความต้องการของเด็ก ๆ แต่ละวัย และที่สำคัญคือได้เป็นครูซึ่งเป็นอาชีพที่ชอบมาก คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยเล่มนี้ ขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดามารดาที่ได้อบรม เลี้ยงดู ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ให้การศึกษาและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้วิจัยเสมอมา และขออุทิศ ความดีทั้งหลายทั้งปวงจากวิจัยเล่มนี้แด่บูรพาจารย์ทุกท่านทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ได้ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้ทำให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์ที่ทรงคุณค่ายิ่ง ชมพู่ ปัตถาวะโร
6 สารบัญ หน้า บทที่1 บทนำ …………………………………………………………………..……………………………………………….. 1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ....................................................................... 1 2. ความมุ่งหมายของการวิจัย ............................................................................................ 3 3. ขอบเขตของการวิจัย ..................................................................................................... 3 4. สมมติฐานของการวิจัย .................................................................................................. 3 5. นิยามคำศัพท์เฉพาะ ...................................................................................................... 4 6. ความสำคัญของการวิจัย ……………………………………………..………………..…………………… 5 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย ……………………………….…………………………………………………… 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง …………………………………………………..………………………….. 6 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ …………………… 7 1.1 ความหมายของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ......................................... 7 1.2 ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ………………. 8 1.3 แนวคิดของการจัดประสบการณแบบโครงการ ………………………………………. 11 1.4 ลักษณะของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ............................................ 12 1.5 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ……………………………………………. 17 1.6 บทบาทของครูในการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ………………………………. 19 1.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ............................. 22 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์……………………… 23 2.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์……………………………………… 23 2.2 ความสำคัญและประโยชน์ของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์...................... 25 2.3 ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย .............................. 26 2.4 บทบาทของครูในการส่งเสริมทักษะทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ...... 28 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์.................................. 31 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย …………………………..……………………………………………………………………. 33 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ........................................................... 33 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................................................................................ 33 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ …………………………………………………………… 33
7 สารบัญ (ต่อ) หน้า 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง ……………………………………………………………………… 36 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ................................................. 37 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ..................................................................................................... 38 1. สัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ………………………………………………… 38 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ………………………………………………………………………………………. 38 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ……………………………………………..……………………. 41 1. ความมุ่งหมายของการวิจัย ............................................................................................ 41 2. สมมติฐานของการวิจัย ………………………………………………………………………………………. 41 3. ขอบเขตของการวิจัย …………………………………………………………………………………………. 41 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ……………………………………………………………………………………. 41 5. วิธีดำเนินการทดลอง ..................................................................................................... 42 6. การวิเคราะห์ข้อมูล ........................................................................................................ 42 7. สรุปผลการวิจัย ............................................................................................................. 42 8. อภิปรายผล ……………………………………………………………………………………………………… 42 9. ข้อสังเกตที่ได้รับจากการวิจัย ……………………………………………………………………………… 45 10. ข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการวิจัย ………………………………………………………………………. 46 11. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ........................................................................... 47 บรรณานุกรม …………………………………………………………………………………………………………………… 48 ภาคผนวก ……………………………………………………………………………………………………………………….. 52 ภาคผนวก ก แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์................................................ 53 ภาคผนวก ข แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ...................................... 70 ภาคผนวก ค บัญชีรายชื่อผู้เชี่ยวชาญ …………………………..……………………………….……… 105 ภาคผนวก ง การวิเคราะห์ความสอดคล้องของแบบทดสอบ และแผนการจัด ประสบการณ์…………………………………………..……………………..……………… 110 ภาคผนวก จ ภาพถ่าย .................................................................................................... 120 ประวัติย่อผู้วิจัย ……………………………………………………………………………………………………………… 145
8 สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า ....................................................................................... 5
9 สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบการสอนแบบปกติกับการสอนแบบโครงการของชาร์ด ........................ 16 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง ..................................................................................................... 36 ตารางที่3 คะแนนค่าเฉลี่ย ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ............................................................... 38 ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ......................................................... 40
1 บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่ร่างกายและสมองของเด็กกำลังเจริญเติบโต เด็กต้องการความรักและ การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด การเล่นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญ เด็กควรได้ สำรวจ ทดลอง เลือก ตัดสินใจ เรียนรู้การแก้ปัญหา จนสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง (วรนาท รักสกุลไทย, 2559 : คำนำ) การจัดการเรียนรู้สำหรับวัยนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปูรากฐานชีวิต ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการอบรมเลี้ยงดู จัดให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ใน สิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ เอื้อต่อการเรียนรู้และจัดกิจกรรมแบบบูรณาการให้เหมาะสมกับระดับ พัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อเป็นการพัฒนาเด็กอย่างเต็มศักยภาพ (มานิต ปวริญญานนท์, 2550 : 1) จะเห็นได้ว่า เด็กคือทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและมีค่าอย่างยิ่ง เป็นผู้มีบทบาทสร้างความ เจริญก้าวหน้าให้แก่ชาติ และอนาคตชาติจะรุ่งโรจน์เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของเด็กเป็นสำคัญ สถาบันบ้านและโรงเรียนจึงมีความรับผิดชอบร่วมกันในอันที่จะสร้างสรรค์ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนา อย่างเต็มที่ในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนา เป็นพลเมืองที่ดี มีบุคลิกภาพสมบูรณ์ มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ การติดต่อสื่อสาร ความเจริญก้าวหน้าทางการ แพทย์ การแสวงหาแหล่งทรัพยากร และอื่น ๆ ล้วนมีความจำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถทาง วิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น การเตรียมกำลังคนที่มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์จึงนับเป็นภารกิจที่สำคัญ อย่างหนึ่งของการจัดการศึกษาในทุกระดับ เพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาทาง วิทยาศาสตร์อย่างไม่หยุดยั้ง รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนสามารถนำความรู้ที่คิดค้นได้มาใช้ประโยชน์ได้ อย่างเต็มที่ (ปราณีต มาลัยวงษ์, 2550 : 1) ดังนั้น การสนับสนุนสมรรถภาพทางวิทยาศาสตร์จึงมี บทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในด้านทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพราะทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือแรกในการแสวงหาความรู้ แล้วนำไปสู่กระบวนการคิดและแก้ปัญหาที่ถูกต้องตาม ขั้นตอนและระบบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของวิทยาศาสตร์ซึ่งมีความ จำเป็นที่จะต้องฝึกให้กับเด็กจนสามารถนำไปใช้อย่างคล่องแคล่วและเกิดความชำนาญในการเลือกใช้ วิธีการที่เหมาะสมกับเรื่องราวหรือปัญหาที่ต้องการคำตอบ นักการศึกษาหลายท่านได้ยืนยันในทำนอง เดียวกันว่า กระบวนการดังกล่าวจะทำให้เด็กสามารถพัฒนาความคิดรวบยอดและหลักการทาง
2 วิทยาศาสตร์ รู้จักการใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา ตลอดจนค้นหาความรู้ใหม่ ๆ เชิงวิทยาศาสตร์ได้ อยู่เสมอ อีกทั้งสามารถนำไปใช้ในวิชาอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ดังที่ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2545 : 9) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ ความชำนาญ หรือความสามารถในการใช้ความคิด เพื่อ ค้นหาความรู้รวมทั้งการแก้ปัญหา ซึ่งทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะทางปัญญา (Intellectual Skill) เพราะเป็นการทำงานของสมองในรูปแบบการคิดพื้นฐาน เช่น ทักษะการสื่อ ความหมาย ได้แก่ การอ่าน การจำ การจำถาวร การพูด การเขียน นอกจากนี้ยังมีทักษะการสังเกต การระบุ การจำแนก การเรียงลำดับ การเปรียบเทียบ การลงข้อสรุปและการใช้ตัวเลข การส่งเสริม ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และปลูกฝังทัศนคติที่ดีของวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่งและควรเริ่มต้นตั้งแต่ระดับปฐมวัย เพราะเด็กปฐมวัยเป็นวัยแห่งการเริ่มต้นการเรียนรู้ที่มี ความสำคัญมากที่สุดของชีวิตมนุษย์และพัฒนาการในแต่ละด้านของเด็กจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่ง สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2553: 36–39) กล่าวว่า ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจะเกิดขึ้น เมื่อเด็กให้ความสนใจในการเรียนรู้ต่อสิ่งนั้น ๆ การเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่น ทดลองและสำรวจ ตามความสนใจเป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักการคิดหาเหตุผลจากการลงมือปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง เกิดเป็นองค์ความรู้ของตน เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตในอนาคตของเด็กโดยเฉพาะใน ภาวะสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศและการหลั่งไหลทาง วัฒนธรรม (อำพวรรณ์ เนียมคำ, 2545: 1) ซึ่งการจัดกิจกรรมที่จะทำให้เด็กปฐมวัยเกิดการเรียนรู้ สูงสุดนั้นจะต้องจัดกิจกรรมที่เด็กสนใจ ลงมือค้นคว้ากระทำด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะและ สนับสนุน คอยช่วยเหลือในขณะที่เด็กทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย ซึ่งวิธีการเรียนรู้ของเด็ก คือ เรียนรู้จากการเล่น การใช้ประสาทสัมผัส การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนกับผู้ใหญ่กับครู (กุลยา ตันติผลา ชีวะ, 2551 : 24-25) ดังนั้น การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น สนุกสนานและเน้นให้ เด็กได้ลงมือฝึกฝนทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง จึงเป็นกิจกรรมที่ตอบสนองต่อความ ต้องการของเด็ก เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กเกิดความสนใจ อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้น จนกลายเป็น รากฐานที่สำคัญในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในอนาคต การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการเป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่ให้โอกาสเด็กเรียนรู้ โดยการสืบค้นข้อมูลอย่างลุ่มลึกในหัวข้อที่เด็กสนใจ โดยเรื่องที่เด็กสนใจจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ตัวเด็ก มีความหมายต่อการดำเนินชีวิตของเด็ก เป็นการเรียนรู้ที่เด็กจะเป็นนักวิจัย โดยมีครูเป็นผู้ให้ การสนับสนุน และช่วยเหลือเมื่อเด็กต้องการ นอกจากนี้ในขณะทำโครงการยังสามารถบูรณาการ เนื้อหาเกี่ยวกับภาษา คณิตศาสตร์ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย (วรนาท รักสกุลไทย, 2559 : 69) โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ เพราะการจัดประสบการณ์แบบโครงการเน้นทักษะกระบวนการสร้างความรู้ (Construction) ช่วยให้เด็กมีพื้นฐานและพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทักษะทาง
3 วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยจะเป็นทักษะขั้นพื้นฐาน เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนก ประเภท ทักษะการวัด และทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูล เป็นต้น (พัชรี ผลโยธิน, 2555 : 55) จะเห็นได้ว่า การจัดประสบการณ์โดยใช้การสอนแบบโครงการเป็นอีกหนึ่งวิธีการจัดการ เรียนรู้ที่สามารถพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัยได้ โดยจะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ อย่างเป็นองค์รวมอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานที่ดีในการเรียนรู้และเพื่อสร้างเจตคติที่ดี ในการเรียนรู้และศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นที่สูงขึ้นไปให้กับเด็กปฐมวัยต่อไป ด้วยเหตุผลดังกล่าวถึงข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพในชั้นเรียน อันที่จะช่วยพัฒนาให้เด็กเติบโตเป็น ประชากรที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป 2. ความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด 3. ขอบเขตของการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านโคกลาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 22 คน จากการเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 3.2 ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น คือ การจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด 2) ตัวแปรตาม คือ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 4. สมมติฐานของการวิจัย หลังการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางวิทยา – ศาสตร์สูงขึ้น
4 5. นิยามคำศัพท์เฉพาะ 5.1 เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กอายุ 5 – 6 ปี ที่ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านโคกลาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 5.2 ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานทักษะ ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการประเมินทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ แบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้ ศึกษาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์4 ด้านคือ 1) ทักษะการสังเกต หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้าไปสัมผัส โดยตรงกับวัตถุสิ่งแวดล้อม สามารถตอบข้อมูลหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้อธิบายว่าสิ่งที่สังเกต ได้เป็นอย่างไร บอกความเหมือนความต่างว่าสิ่งที่สังเกตได้เป็นอย่างไร 2) ทักษะการจำแนกประเภท หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบและบอก ข้อแตกต่างของคุณสมบัติ โดยมีเกณฑ์ในการจัดแบ่ง มี 3 ประการคือ ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ 3) ทักษะการสื่อความหมาย หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การทดลอง หรือจากแหล่งอื่นที่มีข้อมูลอยู่ แล้วมาจัดทำใหม่โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ คือ การสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่ โดยมุ่งสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย ได้ดีขึ้น 4) ทักษะการลงความเห็นข้อมูล หมายถึง ความสามารถในการอธิบายหรือแสดงความ คิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล ในการอธิบาย หรือสรุปผลจากข้อมูลที่ได้จาก การสังเกต การวัด การสัมผัส โดยใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิม 5.3 การจัดประสบการณ์แบบโครงการ หมายถึง การศึกษาหาความรู้อย่างลุ่มลึกในเรื่องใด เรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจ หรืออยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งนั้น โดยมีครูเป็นผู้ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือ เมื่อเด็กต้องการ ซึ่งกำหนดขั้นตอนการดำเนินการเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น 1.1 สร้าง /สังเกตความสนใจของเด็ก 1.2 เด็กกำหนดหัวข้อโครงการ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา และค้นหาคำตอบ 2.1 เด็กกำหนดปัญหาที่จะศึกษา 2.2 เด็กตั้งสมมติฐานเบื้องต้น 2.3 เด็กทดสอบสมมติฐานเบื้องต้น 2.4 เด็กตรวจสอบสมมติฐาน
5 ระยะที่ 3 ระยะสรุปผล และจัดแสดงนิทรรศการ 3.1 สิ้นสุดความสนใจ 3.2 นำเสนอผลงาน 3.3 สิ้นสุดโครงการและกำหนดโครงการใหม่ 6. ความสำคัญของการวิจัย ผลของการศึกษาครั้งนี้สามารถเป็นแนวทางให้กับครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฐมวัย ได้มีแนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งการจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นรูปแบบการสอนที่ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้จากกระบวนการ ค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ทำให้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยวิธีการอื่น ๆ ใน ลักษณะเดียวกันได้กว้างขวางมากขึ้น 7. กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า การจัดประสบการณ์ แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ของเด็กปฐมวัย 1. ทักษะการสังเกต 2. ทักษะการจำแนกประเภท 3. ทักษะการสื่อความหมาย 4. ทักษะการลงความเห็นข้อมูล
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ ในการวิจัย และนำเสนอตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.1 ความหมายของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.2 ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.3 แนวคิดของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.4 ลักษณะของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.5 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.6 บทบาทของครูในการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 2.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 2.2 ความสำคัญและประโยชน์ของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 2.3 ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย 2.4 บทบาทของครูในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
7 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 1.1 ความหมายของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ได้มีผู้รู้และนักวิชาการหลายท่านได้เสนอความหมายของการจัดประสบการณ์แบบ โครงการไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ วัฒนา มัคคสมัน (2550 : 24) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการ เป็นการจัดประสบการณ์ ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่าลุ่มลึก โดยเรื่องที่เรียนและประเด็นปัญหาที่ศึกษามา จากความสนใจของตัวเด็กเอง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมุ่งให้เด็กมีประสบการณ์ตรงกับเรื่อง ที่ศึกษานั้น โดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกตอย่างใกล้ชิดจากแหล่งความรู้เบื้องต้น อาจใช้ระยะเวลา ที่ยาวนานอย่างเพียงพอตามความสนใจของเด็ก เพื่อที่จะให้เด็กได้ค้นพบคำตอบและคลี่คลายความ สงสัยใคร่รู้ พัชรี ผลโยธิน (2555 : 51) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการ คือวิธีการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่ให้โอกาสเด็กปฐมวัยเรียนรู้โดยวิธีการสืบค้นข้อมูลอย่างลึกในหัวเรื่องที่เด็กสนใจ มีค่าต่อการเรียนรู้ การสืบค้นอาจทำโดยเด็กกลุ่มเล็กๆ หรือเด็กทั้งชั้นร่วมกัน หรืออาจเป็นเพียงเด็กคนใดคนหนึ่ง เพื่อหา คำตอบจากคำถามที่เด็กร่วมกันคิดด้วยกันกับเพื่อนหรือร่วมกันคิดกับครู และทำให้เกิดกระบวนการ สืบค้นขึ้นมา ทั้งนี้หัวเรื่องที่นำมาสืบค้นจะมีความหมายต่อตัวเด็ก เช่น บ้าน รถยนต์ รถเมล์ เครื่องบิน โรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถบูรณาการเนื้อหาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งภาษา ในขณะทำโครงการได้อีกด้วย วรนาท รักสกุลไทย (2559 : 69) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์แบบโครงการ เป็นการ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลอย่างลุ่มลึกในเรื่องที่ตนเองสนใจที่จะศึกษา โดย เรื่องที่เด็กสนใจจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก มีความหมายต่อการดำเนินชีวิตของเด็ก มีการบูรณา การ ศาสตร์ต่าง ๆ เข้าไปในการจัดประสบการณ์ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น โดยครูมี บทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการทำกิจกรรม โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเริ่มต้นเลือก หัวข้อที่จะศึกษา ระยะพัฒนา และระยะสรุปและจัดแสดงผลงาน ศศิพันธุ์ เปี๊ยนเปี่ยมสิน และคณะ (2561 : 142) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการ เป็น วิธีการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่ได้ให้โอกาสเด็กปฐมวัยเรียนรู้โดยการสืบค้นข้อมูลอย่างลึกในหัวเรื่องที่เด็ก สนใจ มีค่าต่อการเรียนรู้ การสืบค้นอาจทำโดยเด็กกลุ่มเล็ก ๆ หรือเด็กทั้งชั้นร่วมกันหรืออาจเป็นเพียง เด็กคนใดคนหนึ่ง เพื่อหาคำตอบจากคำถามที่เด็กร่วมกันคิดด้วยกันกับเพื่อนหรือร่วมกันคิดกับครู และทำให้เกิดกระบวนการสืบค้นขึ้นมา ทั้งนี้หัวเรื่องที่นำมาสืบค้นมักจะมีความหมายต่อตัวเด็ก เช่น บ้าน รถยนต์ รถเมล์ เครื่องบิน โรงพยาบาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถบูรณาการเข้าในหลักสูตร ปฐมวัยได้หลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับครูและสถานศึกษาที่นำไปใช้หรือบูรณาการเนื้อหาเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ รวมทั้งภาษา ในขณะทำโครงการได้อีกด้วย
8 วิวรรณ สารกิจปรีชา (2562 : ออนไลน์) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการ เป็นวิธีการ จัดการเรียนรู้ให้เด็กรูปแบบหนึ่ง ที่ให้โอกาสเด็กเลือกเรียนรู้ในสิ่งที่เด็กสนใจในสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวเด็ก โดยเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ ตั้งคำถามในสิ่งที่ยังต้องการเรียนรู้หาคำตอบ รวมทั้ง ดำเนินการวางแผนสำรวจ สืบค้น บันทึก คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อให้ ได้มาซึ่งข้อมูล และความรู้ต่างๆ เด็กเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยประสบการณ์ตรงหลากหลายวิธี แล้วสุดท้าย เด็กและครูร่วมกันสรุปเรียบเรียงขั้นตอนการเรียนรู้และสิ่งที่เรียนรู้ออกมาเป็นชิ้นงานและนิทรรศการ อันเป็นการสรุปความคิดรวบยอดที่ดี ต่อจากนั้นก็ทำการเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ ซึ่งเป็นการเรียบเรียง ทบทวน วิธีการ ทักษะ และข้อมูลในการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระบบ การเรียนรู้แบบ Project Approach จะเป็นการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในสิ่งที่เด็กสนใจใกล้ตัว ซึ่งเปรียบเทียบได้กับการ เรียนรู้ด้วยวิธีการการดำเนินการวิจัยเบื้องต้น ฮาร์ทแมน (Hartman, 1995 : 141-147 อ้างอิงจาก จุฬินฑิพา นพคุณ, 2563 : 3) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการ เป็นการศึกษาหาความรู้อย่างลุ่มลึก เมื่อเด็กเข้าร่วมโครงการจะได้ พัฒนาคำถาม แสดงความสามารถค้นหาทางแก้ปัญหา เสนอกระบวนการแก้ปัญหาที่คิดค้นขึ้น โครงการใช้ระยะเวลาประมาณโครงการละ 3-4 สัปดาห์ แต่บางโครงการใช้เพียงสัปดาห์เดียวซึ่งมี ขั้นตอนหลักของวิธีการคือระยะเริ่มต้น ระยะพัฒนา และระยะสรุป สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์แบบโครงการ หรือการสอนแบบโครงการ เป็นการศึกษา หาความรู้อย่างลุ่มลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจ หรืออยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งนั้น โดยจะศึกษา เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ ภายใต้บรรยากาศที่เป็นมิตร มีอิสระในการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ที่เด็กจะเป็นนักวิจัย โดยมีครูเป็นผู้ให้การสนับสนุน และช่วยเหลือเมื่อเด็กต้องการ ครูจะไม่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่จะเป็นผู้จัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนและเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ที่เอื้อให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมในเรื่องราวที่สนใจ ให้เด็กได้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการ ที่เด็กจะเรียนรู้ว่าจะสามารถหาคำตอบหรือข้อมูลของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างไร และแหล่งข้อมูล หรือแหล่งเรียนรู้มีที่ใดบ้าง เด็กจะได้รับประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ของตนให้ ผู้อื่นรับทราบด้วยวิธีที่หลากหลาย 1.2 ความสำคัญและประโยชน์ของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ นักวิชาการหลายท่านได้อธิบายถึงความสำคัญและประโยชน์ของการจัดประสบการณ์ แบบโครงการไว้ดังนี้ บุปผา เรืองรอง (2556 : ออนไลน์) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการมีประโยชน์ต่อเด็ก ปฐมวัย ดังนี้ 1. เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้ 2. ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
9 3. เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงานและกิจกรรม ที่ทำ 4. เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก 5. เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข สนุกสนานเพราะเด็กได้เรียนในสิ่งที่ ตนเองสนใจ รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้ 6. ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน 7. สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง 8. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับครูสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ วรนาท รักสกุลไทย (2559 : 79) กล่าวว่า ประโยชน์ของการสอนแบบโครงการ มีดังนี้ 1. ช่วยให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่ และเพิ่มความชำนาญในทักษะนั้น ยิ่งขึ้น 2. แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความถนัดของเด็ก 3. แสดงให้เห็นแรงจูงใจภายใน และความสนใจที่เกิดจากตัวเด็กในงานและกิจกรรม ที่ทำ 4. ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการ ของเด็ก โดยที่เด็กมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ และเด็กเป็นผู้ ตัดสินใจลงมือทำด้วยตัวเด็กเอง วิวรรณ สารกิจปรีชา (2562 : ออนไลน์) กล่าวว่า การสอนแบบโครงการเป็นการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมองอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีพหุปัญญา ช่วยพัฒนาจิตทั้ง 5 ประการ เป็นการเรียนรู้ที่ให้เด็กสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีคิดต่าง ๆ มากมาย ทั้งการ คิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ สังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้ตามวัย ช่วยเตรียมความพร้อมเด็กให้ก้าวสู่ศตวรรษ ที่ 21 ได้เป็นอย่างดี เป็นการเรียนการสอนที่ให้เด็กเรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจอย่างลุ่มลึก สามารถเรียน โดยบูรณาการวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ ทำให้การเรียนรู้ของเด็กมีความหมาย และการสอนแบบ โครงการยังสอดคล้องกับพัฒนาการและความสนใจของเด็กปฐมวัยเนื่องจากเด็กวัยนี้เป็นวัยที่ชอบ สืบค้น ชอบสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ปาริฉัตร ไชยเดช และคณะ (2564 : 129 - 130) กล่าวว่า ประโยชน์ของการจัด ประสบการณ์แบบโครงการมีดังนี้ 1. ช่วยให้เด็กได้มีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่และเพิ่มความชำนาญในทักษะนั้น ยิ่งขึ้น 2. แสดงให้เห็นถึงความสามารถและความถนัดของเด็ก
10 3. แสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจภายใน และความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงาน กิจกรรมที่ทำ 4. ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรและผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของ เด็กโดยเด็กมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำและเด็กเป็นผู้ตัดสินใจ ลงมือปฏิบัติ 5. ส่งเสริมให้ครูมีทักษะในการปฏิบัติงาน 6. ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแผน และทำงานตามแผนที่วางไว้ 7. ส่งเสริมให้เด็กมีความคิดเชิงสร้างสรรค์ 8. ผู้เรียนสามารถนำโครงการที่ทำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงทั้งในส่วนที่เป็นวัสดุหรือ ผลิตผลที่ได้จากโครงการและวิธีการทำงานอย่างมีระบบ 9. ฝึกฝนกระบวนการในการค้นคว้าหาความรู้กรณีที่เป็นโครงการแบบรายงาน 10. กรณีที่เป็นโครงการระดับกลุ่มจะส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม อย่างไรก็ตามมีผู้วิจารณ์ถึงข้อจำกัดของวิธีการจัดประสบการณ์แบบโครงการหลายประการว่าการให้ ผู้เรียนปฏิบัติโครงการนั้น เป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองทรัพยากรอยู่ไม่ใช่น้อยและผลที่ได้ก็ไม่แน่ใจ ว่าจะคุ้มกับเวลา และทรัพยากรที่เสียไปหรือไม่นอกจากนั้นถ้าครูมีข้อจำกัด เช่น ไม่มีความรู้ใน โครงการที่ผู้เรียนปฏิบัติอย่างเพียงพอย่อมไม่สามารถอธิบายหรือให้คำแนะนาแก่ผู้เรียนได้ เมื่อเด็ก ต้องการความช่วยเหลือหรือบางครั้งถ้าครูเป็นคนใจร้อน ไม่อดทนที่จะให้ผู้เรียนปฏิบัติโครงการด้วย ตนเอง ครูอาจยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องและลงมือปฏิบัติโครงการนั้น ๆ เสียเองซึ่งการกระทำดังกล่าว จะไม่ช่วยให้ครูเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติเท่าที่ควร 11. เด็กได้เรียนรู้อย่างมีความสุขสนุกสนานเพราะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ 12. เด็กได้ประยุกต์ใช้ความรู้ ประสบการณ์และทักษะที่มีอยู่ในการดำเนินโครงการอีก ทั้งการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แนวทางนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อ การเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น และทักษะที่ใช่ในการดำเนินชีวิตในอนาคต เช่น การทำงานเป็นกลุ่ม การแก้ไขปัญหาการสืบค้นข้อมูล การคิดอย่างเป็นกระบวนการ และการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นต้น 13. การจัดประสบการณ์เรียนรู้แนวทางนี้ช่วยให้ครูเข้าใจเด็กมากขึ้นทั้งในด้านความ สนใจความรู้ความสามารถ ความถนัด และสิ่งที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม สรุปได้ว่า การสอนแบบโครงการช่วยให้เด็กปฐมวัยเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้เด็กมีวิธีคิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ สังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้ตามวัย เห็นคุณค่าของตนเอง พึ่งพา ตนเองได้ ได้ใช้ทักษะที่ตนเองมีอยู่ เกิดแรงจูงใจภายใน สามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เป็น คนทำงานอย่างมีแบบแผน สามารถนำไปใช้ได้ชีวิตจริง และเกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
11 1.3 แนวคิดของการจัดประสบการณแบบโครงการ การสอนแบบโครงการเป็นการสอนที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งที่ตนเองสนใจอย่างลุ่ม ลึก ได้ลงมือค้นคว้า ทดลองปฏิบัติจริง และปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งมีรากฐานมาจาก แนวคิดและทฤษฎีทางการศึกษาปฐมวัยที่เกี่ยวข้อง สามารถประมวลได้ดังนี้ 1. แนวคิดแบบพิพัฒนนิยมของจอนห์ ดิวอี้ (John Dewey) แนวคิดนี้ได้มีการนำมาใช้ อย่างมากเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้มีอิสระ ดิวอี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ธรรมชาติของเด็กมีความกระตือรือร้น ที่จะ มีส่วนร่วมและต้องการพึ่งพาตนเอง ดังนั้นเด็กควรมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ได้เรียนรู้จากการ กระทำและมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งแวดล้อม ได้เล่นอย่างอิสระ ได้มีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และทำงานกันอย่างมีความสุขจากการเรียนรู้ในโรงเรียนที่เปรียบเสมือนชุมชนจำลองของสังคม (Edwards; Gandini; & Forman, 1993 : 151 – 169 อ้างอิงจาก จุฬินฑิพา นพคุณ, 2563 : 4) 2. แนวคิดของวิลเลี่ยม คิลแพทริก (William Kilpatrick) คิลแพทริกได้นำแนวคิดของ จอนห์ ดิวอี้ (John Dewey) มาประยุกต์ใช้โดยทำการทดลองวิธีการสอนแบบโครงการและฝึกหัด นักศึกษาครูให้รู้จักใช้วิธีการสอนแบบโครงการ คิลแพทริก ได้ศึกษา พบว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อเด็ก ได้วางแผนร่วมกัน มีอิสระในการตัดสินใจ และได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งมีผลให้เด็กมีระดับความ พึงพอใจเพิ่มมากขึ้น และเด็กได้พัฒนาศักยภาพของตนเองด้านต่าง ๆ สูงขึ้น อันเป็นผลมาจาก ความสัมพันธ์ของระดับความสนใจและเป็นเป้าหมายที่เด็กต้องการเรียนรู้ซึ่งไม่ได้มาจากการที่ครู เป็นผู้กำหนดหรือจากบทเรียนสำเร็จรูป จึงเป็นการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง คิลแพทริก กล่าวว่า การสอนแบบโครงการ คือ หัวใจสำคัญของกิจกรรมทุกกิจกรรมการเรียนรู้ของเด็ก (Knoll, 1996 : 193 – 223 อ้างอิงจาก จุฬินฑิพา นพคุณ, 2563 : 4) 3. แนวคิดแบบเรกจิโอ เอมีเลีย (Reggio Emilia) ในช่วงทศวรรษที่ 1970 นักการศึกษา เรกจิโอได้พัฒนาปรัชญาทางการศึกษา จากฐานของแนวคิดที่สำคัญประการแรก คือ 1) วิธีการมอง เด็กของนักการศึกษาเรกจิโอ เอมีเลีย เห็นว่าเด็กเต็มไปด้วยความสมบูรณ์และความแข็งแกร่ง เด็กมี ลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะในแต่ละคนมีศักยภาพและความสามารถในตนเอง มีความ ปรารถนาที่จะเติบโตและงอกงาม ความอยากรู้อยากเห็น ความสามารถที่เป็นที่น่าพิศวง และความ ปรารถนาที่จะสัมพันธ์และสื่อสารกับผู้อื่น 2) ครูที่ เรกจิโอ เอมีเลีย มองว่าโรงเรียนเป็นที่บูรณาการ สิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย เป็นสถานที่ใช้ชีวิตร่วมกันและมีสัมพันธภาพร่วมกันระหว่างผู้ใหญ่ และเด็กที่ ต่างเต็มไปด้วยความหลาย โรงเรียนเป็นสิ่งก่อสร้างที่ดำเนินการอยู่ตลอดเวลา และมีการปรับปรุง อย่างต่อเนื่องในงานของโรงเรียน และระบบชีวิตในโรงเรียนขยายไปสู่ครอบครัวของนักเรียน ครอบครัวของนักเรียนมีสิทธิ์ที่จะรับรู้และมีส่วนร่วมในระบบชีวิตของโรงเรียน และยังขยายไปถึงเมือง ที่โรงเรียนตั้งอยู่เพื่อให้เมืองและโรงเรียนรับรู้ถึงชีวิตของกันและกันในรูปแบบการพัฒนาและวิถีชีวิต ดังนั้น การดำเนินการในเรกจิโอ เอมิเลีย จึงคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบ คือ เด็ก ครอบครัว
12 และครู 3) ครูและนักเรียน เรียนรู้ไปด้วยกัน การสอนและการเรียนต้องควบคู่ไปด้วยกัน แนวคิด เรกจิโอจะให้ความสำคัญของการเรียนมากกว่า การสอน เน้นการจัดสิ่งแวดล้อมและโอกาสให้เด็กได้ คิด ประดิษฐ์ ค้นพบด้วยตนเอง ครูต้องนำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย สนับสนุนการเรียนรู้ให้กับเด็ก (สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์, 2542 : 64) 4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) เป็นทฤษฎีที่ให้ ความสำคัญอย่างมากกับกระบวนการการสร้างความรู้ผ่านการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมผ่าน ประสบการณ์การเล่น สำรวจ ทดลอง มีโอกาสเลือกตัดสินใจ และแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง (สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์, 2550 : 55) ซึ่งถือเป็นแนวคิดสำคัญของการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่เด็ก ต้องเรียนรู้ 5. ทฤษฎีวัฒนธรรมและสังคมของเลฟ ไวก็อตสกี้(Lev Vygotski) เป็นทฤษฎีที่สำคัญ อีกทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า Scaffolding จากหลักการของ Zone of Proximal Development (ZPD) ที่เชื่อว่าเด็กเกิดการเรียนรู้ ได้พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมี การปฏิสัมพันธ์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น เช่น ผู้ใหญ่ ครูและเพื่อน บุคคลเหล่านี้จะให้ข้อมูลที่ช่วย สนับสนุนการเรียนรู้ ZPD จึงเป็นสภาวะที่เด็กเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย เมื่อเด็กไม่สามารถคิด แก้ปัญหาได้โดยลำพัง การได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่ หรือจากการทำงานร่วมกับเพื่อนที่มี ประสบการณ์มากกว่าจะทำให้เด็กสามารถแก้ปัญหานั้นได้และเกิดการเรียนรู้ขึ้น แนวคิดนี้ทำให้เกิด ความเข้าใจและตระหนักในความสำคัญของบทบาทครูที่มีส่วนส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งในการจัดประสบการณ์ (Berk, 1994 : 30 – 39 อ้างอิงจาก จุฬินฑิพา นพคุณ, 2563 : 4) สรุปได้ว่า แนวคิดและทฤษฎีการสอนแบบโครงการมีรากฐานมาจากแนวคิดแบบพิพัฒน นิยม ของจอนห์ดิวอี้ แนวคิดของวิลเลี่ยม คิลแพทริก แนวคิดแบบเรกจิโอ เอมีเลีย ทฤษฎีพัฒนาการ ทางสติปัญญาของฌอง เพียเจต์และทฤษฎีวัฒนธรรมและสังคมของเลฟ ไวก็อตสกี้ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จากแนวคิดและทฤษฎีดังกล่าวจึงนำมาสู่การสอนแบบโครงการที่มีกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีความสอดคล้อง กับธรรมชาติและความต้องการของวัยเด็ก ให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการกระทำ ลงมือปฏิบัติจริง ให้เด็กได้ ค้นพบด้วยตนเอง วางแผนการทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การทำงานร่วมกันระหว่างเด็กที่ มีอายุมากกว่าและน้อยกว่า และคำนึงถึงตัวเด็ก ครอบครัว และครูเป็นสำคัญ 1.4 ลักษณะของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ นักวิชาการหลายท่านได้อธิบายถึงลักษณะของการจัดประสบการณ์แบบโครงการไว้ดังนี้ วัฒนา มัคคสมัน (2539 : 121) กล่าวว่า ลักษณะในการจัดประสบการณ์แบบโครงการ มีหลายลักษณะดังนี้
13 1. เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ร่วมกับระบบการสอนในหลักสูตรตามปกติ โดย โอกาสที่ครูจะใช้รูปแบบการเรียนการสอนนี้จะเกิดขึ้นภายใต้สภาพการเรียนการสอนตามปกติ เมื่อครู สังเกตเห็นว่าเด็กมีความสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นพิเศษ และต้องการจะศึกษาเรื่องนั้นต่อไป และ ครูพิจารณาว่าสามารถจัดกิจกรรมเพื่อศึกษาเรื่องนั้นได้และมีแหล่งทรัพยากรเพียงพอในการศึกษา เรื่องนั้น 2. จุดเน้นสำคัญของการจัดการเรียนการสอนนี้มุ่งที่ความสนใจของเด็กเป็นหลักเพื่อให้ เด็กมีโอกาได้ศึกษาเรื่องที่ตนสนใจในวิธีการของเด็กเองดังนั้นการสอนแบบโครงการไม่มีการวาง แผนการสอนอย่างชัดเจนไว้ล่วงหน้าครูผู้สอนคอยจะสังเกตจนพบความความสนใจของเด็ก แล้วจึงจะ สามารถร่วมกันวางแผนและกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกันกับเด็กขึ้นและจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการความสนใจของเด็ก 3. แม้ว่าการสอนแบบโครงการจะมุ่งที่ความสนใจของเด็กเป็นรายบุคคล แต่ในการเลือก หัวข้อของโครงการที่จะทำการศึกษานั้น เด็กทั้งกลุ่มจะร่วมกันเลือกหัวข้อของโครงการร่วมกัน ภายใต้ กรอบความสนใจของเด็กส่วนใหญ่ในห้องเรียนและภายใต้การพิจารณาของครูว่าหัวข้อดังกล่าว สามารถเลือกเป็นหัวข้อโครงการได้หรือไม่ โดยครูพิจารณาเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของโครงการดังนี้ 3.1 เป็นหัวข้อที่เด็กทุกคนหรือเด็กส่วนใหญ่ของกลุ่มสนใจ 3.2 มีแหล่งทรัพยากรในท้องถิ่นเพียงพอที่จะจัดกิจกรรมในหัวข้อโครงการนี้ได้ 3.3 เป็นหัวข้อที่เด็กพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างแล้ว 3.4 เป็นหัวข้อที่เด็กสามารถใช้ประสบการณ์ตรงในการค้นหาข้อมูลข้อเท็จจริงได้ 3.5 เป็นเรื่องที่เป็นจริง สามารถให้เด็กมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องนั้นได้ 3.6 เป็นเรื่องที่เปิดโอกาสให้มีการร่วมมือกันทำงาน 3.7 เป็นเรื่องที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ สร้างสิ่งของหรือเล่นสมมุติ 3.8 เป็นหัวข้อที่มีความสัมพันธ์กับจุดประสงค์ของการเรียนการสอน 3.9 เด็กมีโอกาสใช้ทักษะต่างๆในการเรียนรู้ 3.10 ผู้ปกครองมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมตามโครงการ 4. การสอนแบบโครงการต้องการครูที่มีคุณลักษณะสำคัญอย่างยิ่งคือต้องเป็นผู้ที่ ยอมรับเด็กโดยแท้ เชื่อมั่นว่าเด็กสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเด็กเอง โดยครูจะต้องแสดงบทบาท ผู้ฟังที่ดีให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการความสนใจของเด็กและจัดกิจกรรมตามความสนใจของ เด็กอย่างแท้จริงต้องไม่แสดงบทบาทของผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กไม่เป็นผู้กำหนดกิจกรรมให้เด็กทำ ตามความคิดของครู วรนาท รักสกุลไทย (2559 : 70) ได้กล่าวถึงลักษณะโครงสร้างของการปฏิบัติโครงการ ไว้ 5 ประการ ดังนี้
14 1. การอภิปรายกลุ่ม ในงานโครงการครูสามารถแนะนำการเรียนรู้ให้เด็ก และช่วยให้ เด็กแต่ละคนมีโอกาสแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำกับเพื่อน การพบปะสนทนากันในกลุ่มย่อย หรือกลุ่มใหญ่ ทั้งชั้น ทำให้เด็กมีโอกาสที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 2. การศึกษานอกสถานที่ หรืองานในภาคสนาม ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญของการทำ โครงการ สำหรับเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อพาเด็กไปในสถานที่ไกล ๆ ประสบการณ์ในระยะแรกครูอาจพาไปศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่อยู่รอบบริเวณ โรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนนหนทาง ป้ายสัญญาณ วัด หรือสถานที่สำคัญในชุมชน 3. การนำเสนอประสบการณ์เดิม เด็กสามารถที่จะทบทวนประสบการณ์ในหัวเรื่องที่ตน สนใจ มีการอภิปราย แสดงความคิดเห็นที่เหมือน หรือแตกต่างกับเพื่อน รวมทั้งแสดงคำถามที่ ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้น ๆ นอกจากนี้เด็กแต่ละคนสามารถที่จะเสนอประสบการณ์ที่ตนมี ให้เพื่อนในชั้นรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลายเสมือนเป็นการพัฒนาทักษะเบื้องต้น เช่น การวาดภาพ การเขียน การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ การสร้างแบบต่าง ๆ 4. การสืบค้น งานโครงการเปิดกว้างให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูลอย่างหลากหลายตามเรื่อง ที่สนใจ เด็กสามารถสัมภาษณ์พ่อแม่ ผู้ปกครองของตนเอง บุคคลในครอบครัว เพื่อนนอกโรงเรียน การสัมภาษณ์วิทยากร หรือบุคคลต่าง ๆ ที่มีความรอบรู้ในเรื่องนี้ อาจสำรวจวิเคราะห์วัตถุสิ่งของ ด้วยตนเอง เขียนโครงร่าง หรืออาจใช้หนังสือในห้องเรียนหรือห้องสมุดทำการค้นคว้า 5. การจัดแสดง ทำได้หลายรูปแบบอาจใช้ฝาผนัง หรือบอร์ดจัดแสดงผลงานของเด็ก เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ที่ได้จากการสืบค้นแก่เพื่อนในชั้นเรียน ครูสามารถให้เด็ก ในชั้นได้ทราบถึงความก้าวหน้าในการสืบค้น โดยจัดให้มีการอภิปราย หรือการจัดแสดง ทั้งจะเป็น โอกาสให้เด็กและครูได้เล่าเรื่องงานโครงการที่ทำแก่ผู้มาเยี่ยมเยียนโรงเรียนอีกด้วย บูธ (Booth, 1987: 46 – 49 อ้างอิงจาก นันทิยา ชัยชนะเลิศ, 2561 : 21 – 22) กล่าวว่า วิธีการสอนแบบโครงการเป็นการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง การสอนแบบโครงการมี 2 ลักษณะ คือ โครงการเต็มรูปแบบ (Full scale project) กับโครงการเชื่อมโยงกิจกรรมสร้างแรงจูงใจ (Bridging or motivating) ซึ่งทั้งสองลักษณะนี้มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ กิจกรรมสร้างแรงจูงใจ หรือโครงการย่อยเป็นกิจกรรมในห้องเรียนเท่านั้น ส่วนโครงการสมบูรณ์มีการขยายออกนอก ห้องเรียน ด้วยโครงการสมบูรณ์จะมีขั้นตอนอยู่ 3 ขั้นตอน คือ 1. การวางแผนในห้องเรียน (Classroom planning) เด็กและครูอภิปรายถึงหัวข้อเรื่อง และขอบเขตของโครงการ 2. ดำเนินการโครงการ (Carry out the project) เด็กจะออกนอกห้องเรียนไปดำเนิน โครงการตามแผนที่เด็กวางไว้
15 3. ขั้นทบทวน (Reviewing and Monitoring the work) เป็นการอภิปรายและให้ ข้อมูลย้อนกลับหลังจากเสร็จสิ้นโครงการ ครูแนะนำให้ข้อคิดเห็น เด็กวิเคราะห์ผลงานและ กระบวนการทำงาน แต่การทำงานเต็มรูปบางทีก็ตอบสนองความต้องการอันกระตือรือร้นของเด็ก ไม่ทัน ดังนั้น จึงมีโครงการย่อย (Bridging) ซึ่งสามารถทำในห้องเรียน ไม่ต้องออก ไปนอกห้องเรียนใช้ เวลาสั้น ๆ โครงการนี้ถูกออกแบบสำหรับผู้เริ่มต้นใช้โครงการในการสอนใหม่ ๆ เวลาที่ใช้ในโครงการ ก็ไม่จำกัดตายตัวขึ้นอยู่กับจำนวนเวลาที่มีและธรรมชาติของโครงการ บางโครงการก็เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง บางที่ก็ใช้เวลาประมาณ12 สัปดาห์ แต่จะสั้นหรือยาวอย่างไรก็มีกระบวนการและขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 3.1 ขั้นกระตุ้นความสนใจ (Stimulus) เป็นการอภิปรายเบื้องต้นและแลกเปลี่ยน ความเห็นเกี่ยวกับโครงการ 3.2 ขั้นเตรียมโครงการ (Definition of the Project Objective) เป็นการอภิปราย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการว่าจะใช้เวลาเท่าใด รายละเอียดของโครงการมีอะไรบ้าง 3.3 ขั้นฝึกทักษะที่จำเป็น (Practice) บางโครงการต้องการทักษะที่จำเป็นในการ ดำเนินการจำต้องมีการฝึกทักษะเหล่านั้นก่อน เช่น การสัมภาษณ์ 3.4 ขั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ (Design of Written Materials) 3.5 ขั้นกิจกรรมกลุ่ม (Group Activities) 3.6 ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล (Collecting Information) 3.7 ขั้นสรุปการดำเนินการ (Organization) 3.8 ขั้นเสนอผลโครงการ (Final Presentation) ฮาร์ทแมน (Hartman, 1995 : 141 – 147 อ้างอิงจาก จุฬินฑิพา นพคุณ, 2563 : 5) กล่าวว่า วิธีแบบโครงการ (Project work) เป็นการศึกษาหาความรู้อย่างลุ่มลึก เมื่อเด็กเข้าร่วม โครงการ จะได้พัฒนาคำถาม แสดงความสามารถ ค้นหาทางแก้ปัญหา เสนอกระบวนการแก้ปัญหาที่ คิดค้นขึ้น โครงการใช้เวลามากประมาณโครงการละ 3 – 4 สัปดาห์แต่บางโครงการก็ใช้เพียงสัปดาห์ เดียว มีขั้นตอนหลัก ๆ ของวิธีการแบบนี้ คือ 1. เริ่มต้น (start) 2. ปฏิบัติให้บังเกิดผล (Implementation) 3. ปรับนำเสนอ (Transition) โครงการมีได้หลายขนาดตั้งแต่โครงการขนาดเล็กที่ไม่ต้องการพื้นที่มากนัก จนถึง โครงการที่ต้องใช้พื้นที่มาก ๆ เช่น ทัศนศึกษา การเยี่ยมชุมชน การสำรวจ บทบาทสมมติ จิตรกรรม ฝาผนัง การแสดงและเสนอโครงการ การจัดการเรียนการสอนแบบโครงการอาจใช้เป็นแกนของ
16 หลักสูตร (Program) หรือใช้ในบางส่วนของหลักสูตรได้ เราสามารถใช้วิธีการแบบโครงการร่วมกับ วิธีการสอนแบบหน่วยการเรียนการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language) โปรแกรมการสอนลักษณะนี้ต้องมีการจัดเตรียมเพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ตรงกับ สถานการณ์จริง ได้พบกับผู้คนจริง ๆ ซึ่งประสบการณ์ตรงดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้เด็กเข้าร่วมใน กระบวนการของโครงการโดยเด็กจะได้ 1. เลือกเรื่องสำหรับโครงการ 2. พัฒนาทิศทาง แนวทางของโครงการ 3. ลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล 4. เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินความก้าวหน้าของโครงการ 5. ตัดสินความก้าวหน้าของโครงการและสรุป ชาร์ด (Chard, 2000 : 10 อ้างอิงจาก วัฒนา มัคคสมัน, 2550 : 26) ได้เปรียบเทียบ วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ กับการสอนแบบโครงการ ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบปกติกับการสอนแบบโครงการของชาร์ด การสอนแบบปกติ การสอนแบบโครงการ 1. เป็นการแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้และ ทักษะ 1. เป็นการประยุกต์ใช้ทักษะในการเรียนรู้ที่เด็กมี 2. กิจกรรมเป็นไปตามลำดับการเรียนการสอน 2. กิจกรรมอยู่ในระดับที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้ 3. ครูเป็นผู้กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ของเด็ก 3. ครูเป็นเพียงผู้คอยอำนวยความสะดวกและให้ คำแนะนำแก่เด็ก 4. เด็กเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามกิจกรรมการเรียน การสอนที่ครูกำหนดให้ 4. เด็กเป็นผู้เลือกที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ หลากหลายด้วยตนเอง 5. แรงจูงใจภายนอกเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ ของเด็ก 5. แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงาน ของเด็ก 6. ครูเป็นผู้ที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่เด็กยังบกพร่องอยู่ 6. ครูสร้างเด็กบนศักยภาพของเด็กเอง สรุปได้ว่า ลักษณะของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เป็นการจัดประสบการณ์ที่ ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงความต้องการ ความสนใจของเด็กเป็นสำคัญ และเป็นกิจกรรมที่ มีความหลากหลาย เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามความสนใจ โดยเด็กได้ร่วมกันคิด วางแผน ลงมือปฏิบัติ และสรุปอภิปรายผล โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก ดูแลให้ความช่วยเหลือ ในด้านต่าง ๆ
17 1.5 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ขั้นตอนการสอนแบบโครงการมีทั้งหมด 3 ระยะ ดังที่พัชรี ผลโยธิน (2555 : 54-56) ได้ กล่าวไว้ดังนี้ ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ : ทบทวนความรู้ความสนใจของเด็ก เด็กและครูใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอภิปรายเพื่อเลือกและปรับหัวเรื่องที่จะทำการสืบค้น หัวเรื่องอาจเสนอโดยเด็ก โดยให้หลักในการเลือกหัวข้อ ดังต่อไปนี้ 1. เลือกหัวเรื่องโครงการที่เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เด็กมีอยู่ทุกวัน โดยอย่างน้อยเด็ก ประมาณ 2-3 คน ควรคุ้นเคยกับหัวข้อ และจะช่วยในการตั้งประเด็นคำถามเกี่ยวกับหัวข้อโครงการได้ 2. ทักษะพื้นฐานการรู้หนังสือ และจำนวนควรถูกบูรณาการอยู่ในหัวเรื่องที่ทำโครงการ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา 3. หัวเรื่องที่เลือกใช้เวลาทำโครงการได้อย่างน้อย 1 สัปดาห์และเหมาะที่จะทำการ สำรวจค้นคว้าที่โรงเรียนมากกว่าที่บ้าน เมื่อได้หัวเรื่องแล้วครูควรเริ่มทำแผนที่ความคิด (Mind-Map) หรือ ใยแมงมุมเพื่อระดมความคิดร่วมกับเด็กในหัวข้อเรื่องโครงการ และจัดแสดงแผนที่ความคิดที่ทำ ไว้ภายในชั้นเรียน ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้สามารถใช้ในการสรุป อภิปราย ระหว่างทำโครงการและยัง สามารถเชื่อมโยงไปยังเรื่องย่อย ๆ ได้อีก นอกจากนี้ในช่วงอภิปราย ระดมความคิด ครูจะทราบว่าเด็ก มีประสบการณ์ในหัวเรื่องเพียงใด เด็กจะเสนอประสบการณ์และแสดงแนวคิดที่ตนเข้าใจในรูปแบบ ต่าง ๆ ตามความเหมาะสมของวัย เช่น เด็กปฐมวัยอาจใช้การเขียนภาพ เล่นบทบาทสมมติเป็นต้น ครูจะเป็นผู้ช่วยให้เด็กเสนอคำถามที่ต้องการสืบค้นหาคำตอบ จดหมายเกี่ยวกับหัวเรื่องที่สืบค้นถูก ส่งไปยังบ้านของเด็ก ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้พ่อแม่พูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับหัวเรื่องโครงการเพื่อ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ครูจะชี้แนะวิธีการสืบค้นเพื่อให้เด็กแต่ละคนได้ทำงานตามศักยภาพโดยใช้ พื้นฐาน การสร้าง การวาดภาพ ดนตรี และบทบาทสมมติ ระยะที่ 2 พัฒนาโครงการ : ให้โอกาสเด็กค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่ ในระยะนี้เป็นงานภาคสนาม ประกอบด้วย การสืบค้นตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ระยะนี้ถือ เป็นหัวใจของโครงการ ครูจะเป็นผู้จัดหาจัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้นไม่ว่าจะเป็นของจริง หนังสือ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือแม้แต่การออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่นเพื่อให้เด็กทำการสืบค้น สังเกตอย่างใกล้ชิดและบันทึกสิ่งที่พบเห็น อาจมีการเขียน ภาพที่เกิดขึ้นจากการสังเกต จัดทำกราฟ แผนภูมิ ไดอะแกรม หรือสร้างแบบต่าง ๆ สำรวจ คาดคะเน มีการอภิปราย เล่นบทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้ ระยะที่ 3 สรุปโครงการ : ประเมิน สะท้อนกลับ และแลกเปลี่ยนโครงการ เป็นระยะสรุปเหตุการณ์รวมถึงการเตรียมการเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปแบบของ การจัดแสดง การค้นพบและจัดทำสิ่งต่าง ๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติ หรือจัดนำชมสิ่งที่ได้จากการ
18 ก่อสร้าง ครูจะจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น ครู พ่อแม่ผู้ปกครอง และผู้บริหาร ครูจะช่วยเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาแสดง ซึ่งการทำเช่นนี้เท่ากับการทบทวนและ ประเมินโครงการทั้งหมด ครูอาจเสนอให้เด็กใช้จินตนาการ ความรู้ใหม่ที่ได้ทางศิลปะ ทางละคร สุดท้ายครูนำความคิดและความสนใจของเด็กไปสู่การสรุปโครงการ และอาจนำไปสู่หัวเรื่องใหม่ของ โครงการต่อไป นอกจากนั้นการสอนแบบโครงการ ซึ่งกุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 97 - 102) ได้กล่าว ว่าวิธีการจัดการเรียนการสอนกำหนดเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เป็นขั้นตอนของการเชิญชวนเด็กให้คิดเรื่องที่จะเรียนด้วยการเรียนการสอนแบบ โครงการ งานสำคัญคือการเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องมาจากความสนใจของเด็กการเลือกหัวข้อโครงการ เป็นภารกิจของเด็กหรือกลุ่มเด็กที่ต้องคิดอย่างกว้างขวางในการเลือกหัวข้อ เรื่องนี้ครูต้องพิจารณา คุณค่าของการเรียนรู้ด้วย เรื่องที่เลือกทำโครงการต้องเหมาะสมและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการ เรียนรู้ การเริ่มต้นเลือกเรื่องที่จะเรียนเริ่มจากเด็กและครูร่วมกันคัดหัวข้อเพื่อศึกษาด้วยการระดม สมองว่าอยากจะเรียนเรื่องอะไร ครูอาจนำโดยนำเสนอสิ่งของต่อเด็ก หรือสร้างสถานการณ์เร้าความ สนใจ หรือครูอภิปรายนำ ใช้คำถามกระตุ้นให้เด็กคิดและสนใจ ทั้งนี้ครูอาจมีกรอบเรื่องอยู่ตาม หลักสูตรหรือไม่มีก็ได้ เมื่อเด็กระดมสมองเรื่องที่สนใจมากพอ จากคำอภิปรายที่หลากหลาย ให้ครู สรุปเรื่องที่เด็กสนใจร่วมกันมากที่สุดเป็นหัวข้อการเรียน ซึ่งมักเป็นหัวข้อเรื่องที่เด็กสนใจ ระยะที่ 2 วางแผนโครงการ ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนการกำหนดจุดประสงค์ของโครงการ ว่าต้องการการเรียนรู้อะไร กำหนดขอบเขตเนื้อหาที่ต้องศึกษา ซึ่งครูและเด็กจะร่วมคิดและตัดสินใจร่วมกันด้วยการปฏิบัติ ดังนี้ 1. กำหนดจุดประสงค์โครงการ 2. กำหนดขอบเขตเนื้อหาที่ต้องศึกษาว่ามีกี่เรื่อง 3. วางแผนกิจกรรม ระยะที่ 3 ดำเนินโครงการ เป็นขั้นตอนของการดำเนินโครงการตามแผนที่กำหนด เด็กแต่ละคนหรือกลุ่มจะไป ทำงานตามความรับผิดชอบ โดยมีนัดหมายเวลาที่จะมาประชุมสนทนาและอภิปรายสิ่งที่ค้นพบหรือ เรียนรู้ เด็กต้องนำเอางานที่ได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครูเพื่อแสดงว่าไม่ได้ผิดสัญญา การลงมือ ปฏิบัติเพื่อการค้นหา ศึกษาและรวบรวมข้อมูลอาจทำในสถานที่ นอกสถานที่หรือทั้งสองสถานที่ ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงการซึ่งมี 2 รูปแบบ คือโครงการเต็มรูปแบบ เป็นโครงการที่เด็กออกไป ศึกษานอกห้องเรียนมีการค้นคว้าศึกษากว้างขวาง ส่วนอีกลักษณะหนึ่งเป็นโครงการขนาดเล็กทำ
19 เฉพาะในชั้นเรียน แต่มีขั้นตอนการดำเนินโครงการอย่างเดียวกันคือวางแผนในชั้นเรียน ซึ่งควรเป็น โครงการทบทวนและประเมินโครงการ ขั้นดำเนินโครงการนี้หากเป็นการศึกษานอกชั้นเรียนครูอาจต้องเป็นผู้นำเด็กไปศึกษา ด้วยตนเอง แต่บางกรณีอาจให้ผุ้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมนำเด็กศึกษาด้วย ขึ้นอยู่กับขั้นเริ่มต้นว่าครู กับเด็กจะมีข้อกำหนดตกลงกันอย่างไร ในขั้นนี้หากมีการศึกษานอกสถานที่มีการสัมภาษณ์บุคคล ครูจำเป็นต้องเตรียมเด็ก ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตน การแต่งตัว การเตรียมคำถาม สิ่งที่ต้อง ศึกษา เป็นต้น ระยะที่ 4 สรุปผลโครงการ ในการสอนแบบโครงการแต่ละโครงการครูกับเด็กต้องวางแผนสรุปผลโครงการ ซึ่งเป็น ขั้นตอนของการประเมินผลโครงการ ทบทวนการปฏิบัติ และวางแผนโครงการใหม่ถ้ามีโครงการ ต่อเนื่อง หลังจากแสดงผลงานแล้วครูกับเด็กจะร่วมกันสรุปสิ่งที่เรียนรู้อีกครั้งหนึ่งเพื่อเชื่อมโยงสู่การ คิดโครงการศึกษาใหม่ ๆ ต่อไป สรุปได้ว่า การสอนแบบโครงการมีกิจกรรมสำคัญทั้งหมด 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการเป็นการทบทวนความรู้ความสนใจของเด็ก ระยะที่ 2 พัฒนาโครงการ เป็นการให้ โอกาสเด็ก ค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่ และระยะที่ 3 สรุปโครงการ เป็นการประเมิน สะท้อน กลับ และแลกเปลี่ยนโครงการ ในแต่ละระยะมีกิจกรรมสำคัญทั้งหมด 5 ลักษณะ ได้แก่ การอภิปราย การศึกษานอกสถานที่หรืองานในภาคสนาม การนำเสนอประสบการณ์เดิม การสืบค้น และการจัด แสดง ซึ่งปรากฏในแต่ละระยะของโครงการ 1.6 บทบาทของครูในการจัดประสบการณ์แบบโครงการ นักวิชาการหลายท่านได้เสนอแนะถึงบทบาทของครูในการจัดประสบการณ์แบบ โครงการไว้ดังนี้ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 103 - 104) กล่าวว่า ในการสอนแบบโครงการ ครูมี บทบาทหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้ 1. เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ ด้วยการสนับสนุนสื่ออุปกรณ์ การนำและพาเด็กไปศึกษา นอกสถานที่ การให้คำปรึกษาแนะนำที่นำไปสู่เป้าหมายที่เด็กต้องการเรียนรู้ 2. เป็นผู้สร้างบรรยากาศการเรียนรู้จากการค้นพบด้วยการมีส่วนร่วมในการศึกษา นับจากวางแผนโครงการ กำหนดจุดประสงค์การดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ในฐานะผู้ประสานงาน การติดต่อวิทยากร ติดต่อกับผู้ปกครองเพื่อแจ้งแนวการเรียนของเด็ก การเรียนรู้ของเด็ก และผลงาน ที่เกิดขึ้นจากการเรียน
20 3. เป็นผู้กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ด้วยการนำพูดสนทนา กระตุ้นความคิด และการนำเสนอที่ทำให้เด็กสามารถดึงศักยภาพตนเองออกมาได้เต็มที่ สนับสนุนให้เด็กเก่งช่วย เด็กอ่อน 4. เป็นผู้สังเกตความก้าวหน้า บันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กรวมถึงประมวล ข้อความรู้จากผลงานการเรียนของเด็ก ติดตาม ช่วยเหลือในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ของเด็กให้ ประสบความสำเร็จ 5. เป็นผู้กระตุ้นความคิดริเริ่ม กิจกรรมในการสอนแบบโครงการเหมือนกับการเรียน แก้ปัญหา ต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติม หรือค้นคว้ามาจากผู้มีประสบการณ์ก็ได้ ในบางครั้งอาจมีสาธิต บรรยาย หรือทบทวนประกอบกันแล้วแต่ความเหมาะสม การสอนแบบนี้ทำให้เกิดความคิดริเริ่ม ความมีเหตุผล รู้จักการค้นคว้าและสามารถปฏิบัติได้จริง นภเนตร ธรรมบวร (2556 : 205) กล่าวว่า บทบาทของครูหรือผู้สอนในการจัดการเรียน การสอนแบบโครงการถือว่ามีความสำคัญดังนี้ 1. ครูต้องมีความรู้ความเข้าใจและทัศนคติในการเคารพ (การยอมรับ) และเชื่อใจใน ศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน มีบทบาทในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกและความเป็นไปได้ของการ เรียนรู้ มีความยืดหยุ่นในการปรับเนื้อหาสาระการเรียนรู้อย่างสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความมุ่ง หมาย 2. ครูมีบทบาทในการสนับสนุนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับคน สิ่งของ และสิ่งแวดล้อมตาม ความหมายและความเข้าใจของผู้เรียน 3. ครูส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยการกระทำและปฏิบัติการ ด้วยตนเองนอกเหนือจากการเรียนด้วยการคิดพิจารณาหรือการเดา 4. ครูมีความเป็นนักวิจัย ช่างสังเกต เก็บข้อมูลการเรียนรู้ของเด็กด้วยการบันทึก ประกอบการอัดเสียง การบันทึกด้วยวีดีโอ เทป หรือการถ่ายภาพในขณะดำเนินการเรียนรู้โครงการ เพื่อนำข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้นด้วยการตั้งประเด็นคำถาม หรือจัดกิจกรรมเสริม การเรียนรู้ที่ข้อคำถามหรือความสนใจของเด็ก และสามารถรวบรวมข้อมูลการบันทึกนำเสนอถึงการ เดินเรื่องของโครงการและวิเคราะห์การเรียนรู้ของเด็กเพื่อการสื่อสารถึงผู้ปกครองและชุมชนการ เรียนรู้ 5. ครูมีบทบาทในการตั้งคำถามปลายเปิด หรือคำถามระดับสูงที่ท้าทายและกระตุ้นให้ เด็กคิดไตร่ตรอง คิดทบทวนก่อนตอบ 6. ครูสามารถมีบทบาทในการนำเสนอหัวข้อโครงการ เมื่อมีกรณีที่จำเป็น เช่น เด็กยัง คิดหัวข้อโครงการไม่เป็น หรือมีเหตุการณ์ที่เป็นประเด็นด่วนในชุมชนที่เด็กควรเรียนรู้ และพร้อมที่จะ ให้บทบาทเด็กในการคิดรายละเอียดเนื้อหาโครงการ
21 7. ครูมีบทบาทในการเป็นผู้จัดการการเรียนรู้แบบโครงการ ด้วยการแนะแนวทาง ตั้ง คำถาม ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายของโครงสร้างการเรียนรู้ที่ส่งเสริม พัฒนาการผู้เรียนทุกคน ซึ่งหมายถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ถักทอประสานการส่งเสริมพัฒนาการทุก ด้าน ทักษะการเรียนรู้ คุณลักษณะของผู้เรียนตลอดชีวิตอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2565 : 10) กล่าวว่า บทบาทของครูในการสอน โครงการ มีดังนี้ 1. สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับเด็กในเรื่องที่เด็กสนใจ เช่น การเล่านิทาน การไป ห้องสมุด การสำรวจรอบ ๆ โรงเรียน 2. แจ้งข่าวให้ผู้ปกครองทราบเรื่องโครงการที่เด็กกำลังเรียน และขอความร่วมมือกับ ผู้ปกครองในการพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับโครงการ จัดเตรียมสื่อให้เด็กมาใช้ในการทำโครงการ เป็นอาสาสมัครในการพาเด็กไปทำงานภาคสนามที่แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ หรือเป็นวิทยากรให้ความรู้ กับเด็ก ๆ 3. กระตุ้นให้เด็กเล่าประสบการณ์เดิมของตนเอง และสิ่งที่อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ โครงการที่ทำ จดบันทึกพฤติกรรมและคำพูดของเด็ก ๆ 4. อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ด้วยการสนับสนุนสื่ออุปกรณ์ การพาเด็กไปศึกษา นอกสถานที่ การให้คำปรึกษาและคำแนะนำเพื่อไปสู่เป้าหมายที่เด็กต้องการเรียนรู้ 5. ดำเนินกิจกรรมของโครงการในฐานะผู้ประสานงาน เช่น การเชิญวิทยากร การติดต่อ และขอความร่วมมือกับผู้ปกครองในการสนับสนุนการทำโครงการของเด็ก 6. สังเกตความก้าวหน้า จดบันทึกคำพูดและพฤติกรรมของเด็ก รวมถึงประมวล ข้อความรู้จากผลงานของเด็ก ติดตามช่วยเหลือในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ในโครงการของเด็ก ให้ประสบผลสำเร็จ 7. เตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และผลงานสำหรับจัดแสดงนิทรรศการ 8. อำนวยความสะดวกในการจัดนิทรรศการสรุปโครงการ โดยแบ่งหน้าที่เด็ก ๆ ในการ จัดนิทรรศการ เช่น การนำเสนอความรู้ที่ได้รับผลงาน และกระบวนการในการทำโครงการและการ จัดเตรียมของที่ระลึก เป็นต้น สรุปได้ว่า บทบาทที่สำคัญของครูในการจัดกิจกรรมการสอนแบบโครงการ มี 5 ประการ ได้แก่ 1. มีความรู้ความเข้าใจหลักการสอนแบบโครงการและรู้ความแตกต่างระหว่างการสอนแบบ โครงการ (Project) กับการสอนแบบหน่วยการเรียน (Unit) 2. ตระหนักในบทบาทผู้อำนวยความ สะดวกและร่วมเรียนรู้ไปกับเด็ก 3. ไตร่ตรองการสอนของตนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 4. ประสาน ความร่วมมือกับผู้ปกครองและใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และ 5. แลกเปลี่ยนและแบ่งปันประสบการณ์ กับเพื่อนครูอย่างกัลยาณมิตร
22 1.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ งานวิจัยในประเทศ กชกร อินทา (2557 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงทักษะการคิด วิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็ก ปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนอนุบาลห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 30 คน ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ผลการศึกษาพบว่า ทักษะการคิด วิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 น้ำผึ้ง เลาหบุตร (2560 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์และทักษะทางสังคม โดยการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบโครงการ สำหรับเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 4 - 5 ปี โรงเรียนวัดปรีดาราม (มณีศิริวรรณ) จังหวัด นครปฐม จำนวน 28 คน ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบโครงการ มีพัฒนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์อยู่ในระดับดีโดยด้านการปฏิบัติมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบโครงการ มีพัฒนาการของทักษะทางสังคมอยู่ ในระดับดีโดยด้านการให้ความร่วมมือ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด นิตยา อิ่มหิรัญ (2564 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบการรู้เศรษฐศาสตร์ในเด็ก ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์แบบโครงการ กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนสุเหร่าใหม่ กรุงเทพมหานคร จำนวน 25 คน ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบ โครงการ มีคะแนนเฉลี่ยการรู้เศรษฐศาสตร์ในเด็กปฐมวัยสูงขึ้นกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.64 และหลังการจัดประสบการณ์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.88 โดยเด็กปฐมวัยมีการ พฤติกรรมการรู้เศรษฐศาสตร์เพิ่มขึ้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนการเงิน ด้านบทบาทการเป็น ผู้ผลิตและผู้บริโภค และด้านความขาดแคลนและการเลือกตามลำดับ งานวิจัยในต่างประเทศ แรบบิตต์ (Rabitti, 1992 อ้างอิงจาก จิราภรณ์ วสุวัต, 2540: 71 - 72) ได้ศึกษาการจัด ประสบการณ์แบบโครงการของโรงเรียนอนุบาลที่ La Viletta อิตาลีผลการศึกษาพบว่า บทบาทครูมี ความสำคัญอย่างมากในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กในโครงการ กล่าวคือ ครูต้องแสดงให้เด็กเห็น ว่า ครูยอมรับในความคิดของเด็ก สนับสนุนช่วยเหลือให้เด็กสามารถพัฒนาความคิดที่ดีในการทำงาน โครงการ ให้เด็กใช้ความสามารถในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ครูส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้แบบร่วมมือ และการพึ่งพาตนเองให้กับเด็ก จากผลการศึกษาแสดง
23 ให้เห็นได้ว่า บทบาทครูมีอิทธิพลต่อการดำเนินการจัดประสบการณ์แบบโครงการอย่างมาก และ บทบาทครูสอดคล้องกับการส่งเสริมจริยธรรมทางสังคมอีกด้วย การ์ดเนอร์ (Gardner, 1983, 1989 อ้างอิงจาก จิราภรณ์ วสุวัต, 2540: 71-72) ได้ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับทฤษฎีความหลากหลายทางสติปัญญา ผลการศึกษาพบว่า การจัดประสบการณ์ แบบโครงการเป็นรูปแบบการสอนที่สอดคล้องกับทฤษฎีที่ส่งเสริมสติปัญญาให้กับเด็กทั้ง 7 ด้านได้ อย่างเหมาะสมที่สุดวิธีหนึ่ง และพบว่าด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็น 1 ใน 7 ด้านของทฤษฎี ความหลากหลายทางสติปัญญาที่สอดคล้องกับการพัฒนาจริยธรรมทางสังคมตามแนวคิดคอนสตรัค ติวิสต์ คอนลินส์ (C0llings, 1932 อ้างอิงจาก เปลว ปุริสาร, 2543: 25) ได้ศึกษาวิจัยโดยใช้ การจัดประสบการณ์แบบโครงการในระยะแรกของการพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ แบบโครงการ พบว่า เด็กในกลุ่มทดลองที่ใช้การจัดประสบการณ์แบบโครงการสามารถทำคะแนนการ สอบด้วยแบบทดสอบมาตรฐานที่เน้นการเขียน การอ่าน และคณิตศาสตร์ได้สูงกว่าเด็กในกลุ่มควบคุม ที่มาจากการ สอนที่เน้นการอ่าน การเขียนโดยตรง และมีทักษะทางสังคม มีทัศนคติที่ดีและ พฤติกรรมเอื้อเฟื้อสังคม ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่ากลุ่มควบคุม ซึ่งผลการศึกษาวิจัยครั้งนั้น นำไปสู่แนวคิดในการปฏิรูปการศึกษาโดยเน้นการยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง จากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็น การสนับสนุนให้เด็กเรียนรู้อย่างลุ่มลึกมีขั้นตอนการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยครูมีบทบาทหน้าที่ในการอำนวยความ สะดวก จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ยอมรับในความคิดและคอยให้คำแนะนำต่อเด็กเมื่อเด็ก ต้องการ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 2.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ได้มีผู้รู้และนักวิชาการหลายท่านได้เสนอความหมายของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ ปราณีต มาลัยวงษ์ (2550 : 3) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นการ แสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์ต้องการทราบ โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการสืบค้น ชุลีพร สงวนศรี(2550 : 57) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือใน การแสวงหาความรู้ในการปฏิบัติ ค้นคว้า ทดลอง อย่างเป็น ระบบและมีกระบวนการต่อเนื่องกันไป
24 เพื่อหาข้อเท็จจริงในการตอบสนองความอยากรู้ ช่วยให้เด็กปฐมวัยเป็นคนมีเหตุผล และรู้จักแก้ปัญหา ในชีวิตประจำวันได้ สรวงพร กุศลส่ง (2553 : 130) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการปฏิบัติและแสวงหาความรู้ที่มีกระบวนการและวิธีการในการฝึกฝนกระบวนการ ทางความคิดอย่างเป็นระบบ ยุพาภรณ์ ชูสาย (2555 : 9 - 10) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการแสวงหาความรู้โดยผ่านการปฏิบัติและการฝึกฝนกระบวนการทางความคิดอย่าง เป็นระบบจนเกิดความชำนาญเพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ในขั้นสูงต่อไป และทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะสำคัญเพื่อการเรียนรู้ในการแสวงหาความรู้เป็นกระบวนการที่ นำไปสู่การคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ เพื่อให้ข้อมูลที่ได้เกิดเป็นความรู้และสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่น เข้าใจได้ ซึ่งเป็นการพัฒนากระบวนการทางสติปัญญา และเด็กปฐมวัยควรได้รับการพัฒนาดังกล่าว โดยผ่านการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ซึ่งต้องจัดให้เหมาะสมกับธรรมชาติและความสามารถของเด็ก เพื่อเด็กจะได้นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการค้นหาความรู้ในระดับสูงต่อไป วณิชชา สิทธิพล (2556 : 9) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือใน การแสวงหาความรู้ ค้นคว้า ทดลอง อย่างเป็นระบบและมีกระบวนการต่อเนื่องกันไป เพื่อหา ข้อเท็จจริงในการตอบสนองความอยากรู้ การแก้ปัญหา และสร้างความรู้ใหม่ เพียงจิต ศรีสุก (2556 : 47) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะการ แสวงหาความรู้และการแก้ปัญหาต่อเนื่องเป็นวัฏจักรตามขั้นตอน เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้ทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ได้โดยครูและเด็กช่วยกันคิดตามขั้นตอนเพื่อแสวงหาความรู้และแก้ปัญหา พัทธนันท์ ไตรทามา (2563 : 30) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการทางสติปัญญา ที่ใช้ในการแสวงหาความรู้เพื่อแก้ปัญหา อย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมให้แก่เด็กในระดับอนุบาล เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ในขั้นสูงต่อไป สรุปได้ว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์คือกระบวนการต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการ แสวงหาความรู้ เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนปฏิบัติ ความนึกคิดอย่างเป็นระบบของคนและ ความสามารถในการเลือกใช้ และทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงออกเพื่อแสวงหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์หรือใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อีกทั้งเป็นทักษะทางสติปัญญา ที่ต้องอาศัยความคิดใน ระดับต่าง ๆ มาใช้ในการแก้ปัญหาหรือค้นคว้าสิ่งที่ยังไม่รู้ ให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริง หลักการและ กฎเกณฑ์ อันก่อให้เกิดความรู้ใหม่เพิ่มมากขึ้น
25 2.2 ความสำคัญและประโยชน์ของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ นักวิชาการหลายท่านได้อธิบายถึงความสำคัญและประโยชน์ของกทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้ ชุลีพร สงวนศรี(2550 : 57 – 58) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย เป็นทักษะที่เชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก โดยจัดในรูปแบบของกิจกรรม ให้โอกาสเด็กได้ทดลอง ลงมือปฏิบัติจริงตามความสนใจซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ นั้น มีความสำคัญต่อเด็ก ดังนี้ 1. ฝึกให้เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริงอย่างเป็นระบบและมีขั้นตอน ช่วยให้เป็นคน คิดกว้าง มองไกล รู้จักคิด วิเคราะห์ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีเหตุผลด้วยตนเอง 2. ช่วยให้เด็กปฐมวัยเป็นคนช่างสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวด้วยความสนใจและตั้งใจ มีความ กระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น 3. ช่วยให้มีความเข้าใจและรับรู้ได้รวดเร็ว มีเหตุผล รู้จักจำแนก และเปรียบเทียบสิ่ง ต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว 4. ช่วยให้เป็นผู้ที่เห็นคุณค่าและประโยชน์ของสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่ว่ามนุษย์ และ สิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องกันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน 5. ช่วยพัฒนาส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีความคล่องแคล่ว คล่องตัวจากการทำ กิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหว 6. ช่วยให้เด็กรู้จักการปรับตัวเข้ากับสังคมและสภาพแวดล้อมได้ดี และรู้จักใช้เวลาว่าง ให้เป็นประโยชน์ 7. ช่วยให้เด็กฉลาด มีไหวพริบ สามารถคิดหาคำตอบได้หลายทาง 8. ช่วยให้เด็กมีความสุข สนุกสนาน เพลิดเพลินและได้รับประโยชน์จากการทำกิจกรรม เพื่อพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ 9. ช่วยฝึกทักษะการคิด และยอมรับความคิดเห็นของบุคคลอื่น รู้จักการเป็นผู้นำและ ผู้ตามที่ดี 10. ช่วยให้เด็กปฐมวัยได้พัฒนาทักษะในการดำรงชีวิตประจำวันด้วยการใช้ทักษะ พื้นฐานเบื้องต้น เช่น ทักษะด้านการสังเกตได้สังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การเปลี่ยนแปลง การ เคลื่อนไหวหรือการฝึกการจำแนกประเภทของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันได้อย่าง คล่องแคล่ว สรุปได้ว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มีความสำคัญสำหรับเด็กปฐมวัยเป็น อย่างมาก เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือฝึกปฏิบัติด้วยตัวของเด็กเอง ตามความสามารถ วุฒิภาวะ และความสนใจตามวัย เป็นการตอบสนองความต้องการ อยากรู้ อยากเห็น อยากค้นคว้า
26 ทดลอง สังเกต ฝึกการลองผิด ลองถูก เพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดี ให้กับเด็กปฐมวัย 2.3 ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย นักวิชาการหลายท่านได้เสนอทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ไว้ดังนี้ ชุลีพร สงวนศรี(2550 : 59 - 70) กล่าวว่า การส่งเสริมและพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย ครูและผู้เกี่ยวข้องควรมีความเข้าใจในการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถตามวัย โดยทักษะที่เด็ก ควรได้รับการพัฒนา ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ทักษะการสังเกต หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าใน การจัดกระทำกับวัตถุต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลของวัตถุที่เป็นข้อมูลที่มีอยู่จริงโดยไม่แสดงความคิดเห็น ใด ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ตนเองต้องการ การฝึกการสังเกตควรทำการสังเกตและบันทึก ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทราบที่มาและระยะเวลาที่ทำการสังเกตเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมช่วยให้ผลที่ได้จากการสังเกตสามารถเชื่อถือและพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเป็นความจริง 2. ทักษะการจำแนกประเภท หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการจำแนกประเภท ของสิ่งของต่าง ๆ ตามเกณฑ์ที่บุคคลมีความสามารถในการจำแนกตามความคิดและความเหมาะสม ด้วยตนเอง โดยทั่วไปแล้วสามารถใช้เกณฑ์ในการจำแนกประเภทสิ่งของได้3 อย่างคือความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วม สิ่งของบางชนิดสามารถใช้การจำแนกประเภทได้หลายลักษณะ ด้วยกัน แต่ควรบอกได้ว่าใช้เกณฑ์อะไรในการจำแนก ซึ่งบุคคลอื่นสามารถพิสูจน์ได้ว่าการจำแนก ประเภทตามที่กล่าวมานั้นสามารถทำได้จริง 3. การวัด หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการใช้เครื่องมือใด ๆ เพื่อทำการวัด สิ่งของที่เราต้องการทราบได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยมีหน่วยการวัดกำกับอยู่เสมอ สำหรับเด็กปฐมวัยการวัดจะเป็นลักษณะที่เป็นการคาดคะเนที่ใกล้เคียงความจริง โดยการใช้ทักษะ อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การสังเกตว่าตนเองได้รับขนมปังมากหรือน้อยกว่าเพื่อนกี่ชิ้น การมองดูอาจไม่ สามารถระบุได้ชัด เด็กอาจใช้การนับจำนวนจะช่วยให้สามารถตอบข้อสงสัยของเด็กได้เป็นต้น 4. ทักษะการสื่อความหมายหมายถึง ความสามารถของบุคคลในการนำเสนอข้อมูลที่ตน มีอยู่เดิมหรือได้รับมาใหม่ ที่ได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง มาจัดกระทำให้มีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กัน แล้วนำเสนอให้บุคคลอื่นเข้าใจได้ด้วยวิธีการของตนเอง เช่น การพูด การวาดภาพ และ การแสดงท่าทางสื่อความหมาย ซึ่งผู้รับข้อมูลสามารถตอบสนองได้ว่าข้อมูลที่ได้รับมาจากการสื่อ ความหมายด้วยวิธีการต่าง ๆ นั้นเป็นความจริง เป็นต้น
27 5. ทักษะการลงความเห็น หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการสรุปความคิดและ ความเห็นของตนเองจากข้อมูลที่ได้จากการสังเกต หรือการทดลองปฏิบัติด้วยตนเองจนกระทั่งได้ ข้อมูลที่เป็นความจริง แล้วสรุปลงความเห็นจากข้อมูลที่ได้โดยอาศัยจากความรู้และความเข้าใจ 6. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา หมายถึง ความสามารถของบุคคล ในการหาความสัมพันธ์ของสิ่งของหรือวัตถุต่าง ๆ ที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน เช่น รูปทรงต่าง ๆ ทิศทาง ระยะทาง พื้นที่ ขนาด สถานที่ต่าง ๆ ที่สิ่งของหรือวัตถุนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องใน การใช้พื้นที่ การแทนที่ หรือเน้นความสามารถในการบอกทิศทางของสถานที่ที่ต้องการบอกข้อมูลว่า ตั้งอยู่บริเวณใด ทิศทางใด หรือระยะเวลาในการเดินทางไปในที่ใด ๆ ซึ่งมีเรื่องของเวลามาเกี่ยวข้อง เป็นต้น 7. ทักษะการใช้ตัวเลข หมายถึง ความสามารถในการนำตัวเลขที่แสดงจำนวนที่นับได้มา คิดคำนวณโดยการ บวก ลบ คูณ หาร โดยตัวเลขที่แสดงค่าปริมาณของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งได้มาจากการ สังเกต การวัด การทดลอง ตัวเลขที่ได้จะต้องแสดงค่าในหน่วยเดียวกัน เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ตรง ตามต้องการ สามารถนับจำนวน และใช้ตัวเลขแสดงจำนวนที่นับได้ตัดสินได้ว่าจำนวนใดมีมากมีน้อย จำนวนใดเท่ากัน หรือแตกต่างกัน วาโร เพ็งสวัสดิ์(2551 : 97) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะทาง สติปัญญาที่นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่หาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหานำมาใช้ในการศึกษา ค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ควรส่งเสริม ให้กับเด็กปฐมวัย มีดังต่อไปนี้ 1. ทักษะการสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ หลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพื่อ ค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้นโดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป 2. ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุ หรือสิ่งที่มีอยู่ในปรากฏการณ์ โดยมีกฎเกณฑ์ ซึ่งอาจเป็นความเหมือนความแตกต่างหรือ ความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง 3. ทักษะการวัด (Measure) หมายถึง การเลือกและใช้เครื่องมือทำการวัดหาปริมาณ ของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นค่าที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสม 4. ทักษะการใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง ความสามารถในการนำตัวเลขที่ แสดงจำนวนที่นับได้มาคิดคำนวณ โดยการบวก ลบ คูณ หาร โดยตัวเลขที่แสดงค่าปริมาณของสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ซึ่งได้มาจากการสังเกต การวัด การทดลอง ตัวเลขที่ได้จะต้องแสดงค่าในหน่วยเดียวกัน เพื่อให้สามารถสื่อสารได้ตรงตามต้องการ สามารถนับจำนวน และใช้ตัวเลขแสดงจำนวนที่นับได้ ตัดสินได้ว่าจำนวนใดมีมาก มีน้อย จำนวนใดเท่ากัน หรือแตกต่างกัน
28 5. ทักษาพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าก่อนจะทดลอง โดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำ หลักการที่เกิดซ้ำ หลักการกฎหรือทฤษฎีที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้นมา ช่วยสรุป 6. ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับ ข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย 7. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Using Space/Time Relationships) หมายถึง การหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติของวัตถุระหว่างตำแหน่งที่ อยู่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่งและระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งหรือมิติของวัตถุกับเวลาที่เปลี่ยนไป 8. ทั กษ ะการจัด กระท ำแล ะสื่ อความห มายข้อ มูล (Organizing Data and Communicating) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การวัด การทดลองและจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่และนำเสนอเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย สรุปได้ว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยได้ แก่ทักษะ การสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็น ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ทักษาพยากรณ์ และทักษะการใช้ตัวเลข เป็นต้น ซึ่งทักษะเหล่านี้เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้และส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ แต่ละทักษะมีความเกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวันของเด็ก เด็กสามารถใช้ประสบการณ์ของตนในการฝึกฝนทักษะเหล่านั้นพร้อม ๆ กัน อย่างต่อเนื่องทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ ประสบการณ์เดิม สภาพแวดล้อม และวุฒิภาวะของเด็กแต่ละคน โดยมีครูและผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้ดูแลและจัดเตรียมกิจกรรมที่เหมาะสมตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น เพื่อส่งเสริมและเพิ่มพูนทักษะกระบวนการขั้นพื้นฐานทั้ง 8 ทักษะอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อเป็น การปูพื้นฐานที่ดี ให้กับเด็กปฐมวัยพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะกระบวนการขั้นบูรณาการต่อไป 2.4 บทบาทของครูในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย นักวิชาการหลายท่านได้เสนอแนะถึงบทบาทของครูในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยไว้ดังนี้ ชุลีพร สงวนศรี(2550 : 71 - 72) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการสอนเพื่อส่งเสริมการฝึก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กปฐมวัยควรได้รับ การฝึกฝนทักษะแต่ละทักษะอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องทุกวัน สำหรับสิ่งที่ครูปฐมวัยควรคำนึงถึงใน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ 1. ครูไม่ควรคาดหวังการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ จากเด็กอย่างรวดเร็วเพราะสิ่งที่ครูคิด ว่าง่าย อาจเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเด็ก
29 2. การเรียนรู้ของเด็กไม่จำกัดเฉพาะในห้องเรียน เด็กสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุก สถานการณ์ที่แวดล้อมเด็ก เพียงแต่ครูควรเป็นผู้สังเกตและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นตามวัยของ เด็ก เพื่อเด็กจะได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ในสถานการณ์นั้นได้อย่างเต็มที่ 3. การฝึกทักษะด้านต่าง ๆ ครูควรคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด ด้วยการจัด กิจกรรมที่ระมัดระวัง และมีการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่าง ๆ 4. ครูควรจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองและเลือกกิจกรรม ตามความสนใจโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยจัดกิจกรรมให้มีความหลากหลายเพียงพอกับความ ต้องการของเด็กแต่ละคน 5. ครูควรใช้คำถามถามเด็กเพื่อกระตุ้นความคิดเด็กอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ควรคาดหวัง คำตอบว่าจะต้องถูกเสมอไปเพียงแต่คอยส่งเสริมให้เด็กได้กล้าคิด กล้าแสดงออก และได้ใช้ ความสามารถตามวัย 6. ครูควรจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้เด็กสนใจอยากรู้อยากทดลองเพื่อให้ได้คำตอบอย่างมี เหตุผล พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง กิจกรรมที่ครูจัดควรเป็นกิจกรรมที่เด็กมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นว่า ควรจะเป็นกิจกรรมประเภทใด โดยครูใช้คำถาม เช่น เด็ก ๆ คิดว่าเราควรจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ผักหลากสีมีประโยชน์ได้อย่างไร เป็นต้น 7. กิจกรรมบางกิจกรรมครูอาจจัดซ้ำ ๆ ได้ถ้าเด็กพอใจและสนใจเด็กจะทำซ้ำแล้วซ้ำ อีก เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว จากการสังเกต ค้นคว้า ทดลอง เลียนแบบ ด้วยวิธีการของเด็กโดย ผ่านทางการเล่นจะทำให้เด็กเกิดทักษะที่ช่วยพัฒนาประสาทสัมผัสรับรู้และการเคลื่อนไหว 8. ครูควรจัดกิจกรรมส่งเสริมการฝึกทักษะด้านต่าง ๆ หลาย ๆ ด้านพร้อมกันไป เพื่อให้ เกิดความชำนาญ และพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะในขั้นสูงต่อไป ปราณีต มาลัยวงษ์ (2550 : 88 - 89) กล่าวว่า บทบาทของครูในการจัดประสบการณ์ ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อให้การจัดประสบการณ์ในการเรียนรู้ให้แก่เด็กเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งครูมีบทบาท ดังนี้ 1. มีความเข้าใจในธรรมชาติพัฒนาการ การเรียน และความสนใจของนักเรียนและ ยอมรับในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลของเด็ก 2. ครูจะต้องสามารถแนะนำแหล่งข้อมูลในเรื่องที่เด็กสนใจได้ 3. จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียน เช่น สื่อ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือที่ จำเป็นต้องใช้ รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตัวเองให้แก่เด็กได้ และรวมถึงการ จัดเตรียมแหล่งข้อมูลที่จะให้นักเรียนศึกษา 4. ครูจะต้องเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง เช่น เป็นผู้แสวงหาความรู้ พัฒนาความ สามารถในการใช้แหล่งข้อมูล
30 5. วางแผนเตรียมกิจกรรม เพราะก่อนลงมือทำกิจกรรม ครูจะต้องเตรียมการให้พร้อม เช่น ต้องรู้ว่าจุดประสงค์ของกิจกรรมที่จัดต้องการอะไร จะได้จัดเตรียมดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์ และมีความหลากหลาย 6. เตรียมการวัดผลประเมินผล เพราะเมื่อนักเรียนลงมือทำกิจกรรมครูต้องประเมินผล การทำกิจกรรมด้วย เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไข หากพบข้อบกพร่อง หรือปัญหาอุปสรรคขณะนักเรียน ดำเนินกิจกรรม ครูควรมีบทบาทดังนี้ 6.1 ช่วยเหลือ แนะนำ หากนักเรียนประสบปัญหา หรือต้องการความช่วยเหลือ 6.2 สนับสนุนให้กำลังใจ เช่น คำชม ให้เด็กรู้สึกภูมิใจในความสามารถของเขา 6.3 เข้าร่วมกิจกรรมกับเด็กหรือคอยดูอยู่ใกล้ ๆ แต่มิใช่เป็นผู้บอกหรือออกความ คิดเห็นจนเด็กไม่กล้าคิด 6.4 เสริมสร้างบรรยากาศให้เด็กรู้สึกอบอุ่น สนุกในการศึกษาค้นคว้า รวมทั้งกระตุ้น ให้เด็กคิดและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 6.5 ส่งเสริมความสามารถของเด็กแต่ละคน ดังนั้นครูจึงปฏิบัติต่อเด็กแต่ละคนบน พื้นฐานของการยอมรับในศักยภาพของเด็ก 6.6 ประเมินผลขณะเด็กทำกิจกรรม เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไข 7. ประสานกับผู้ปกครองของเด็ก เพื่อหาทางส่งเสริมพัฒนาเด็กให้เต็มขีดความสามารถ ของเด็กแต่ละคน รวมทั้งร่วมมือกันในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อันอาจจะเกิดขึ้นกับเด็กทั้งที่โรงเรียน และบ้าน ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์(2558 : ออนไลน์) กล่าวว่า ครูปฐมวัยมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็ก ครูจึงจำเป็นต้องมีบทบาทในการดำเนินการ จัดประสบการณ์ดังนี้ 1. เตรียมประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์และเลือกสรรกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็ก ปฐมวัย เด็กสามารถเรียนรู้จากการปฏิบัติได้เต็มที่ 2. ส่งเสริมให้เด็กได้สำรวจค้นคว้าเพื่อนำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ๆ โดยการกระตุ้นให้เด็ก ได้คิด ทดลอง เด็กได้มีจินตนาการ เป็นต้น 3. จัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน มีการจัดเป็นมุมวิทยาศาสตร์ และส่งเสริมให้เด็กได้ เข้าไปปฏิบัติกิจกรรมซึ่งครูจะต้องคอยเปลี่ยนวัสดุและสื่อต่าง ๆ 4. เด็กจะต้องได้รับการฝึกทักษะต่าง ๆ ในทางวิทยาศาสตร์จากการทำกิจกรรมหรือ ประสบการณ์ที่ครูจัดให้ เช่น ทักษะการสังเกต การวัด การจำแนก การพยากรณ์ เป็นต้น 5. ครูคอยแนะนำวัสดุอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เพื่อให้เด็กสนใจและอยากทำกิจกรรมพร้อม ทั้งครูจะต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็กอย่างใกล้ชิด
31 สรุปได้ว่า ครูมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้กับ เด็กปฐมวัยเพื่อที่เด็กจะได้รับประโยชน์จากการฝึกทักษะต่าง ๆ กับเพื่อนและครูที่โรงเรียน การฝึก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้น เด็กควรได้รับการส่งเสริมและฝึกทักษะอย่างสม่ำเสมอและ ต่อเนื่องทุกวันด้วยกิจกรรมที่เร้าความสนใจเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตอบสนองความอยากรู้ อยากเห็น โดยผ่านทางการเล่น จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้ทั้งห้า มาเป็นเครื่องมือในการฝึกจากกิจกรรมที่ครู เตรียมไว้เป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงวัยและความยากง่าย ของกิจกรรมสลับกันไปเนื่องจากเด็กที่ทำ กิจกรรมง่าย ๆ จนเข้าใจแล้วจะได้เลือกทำกิจกรรมที่ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้นเพื่อท้าทายความสามารถ สำหรับเด็กที่ยังไม่สามารถเลือกทำกิจกรรมที่ซับซ้อนได้ก็สามารถเลือกกิจกรรมที่ตนเองมี ความสามารถจะทำได้ก็จะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จและเห็นคุณค่าในตนเอง จากการทำกิจกรรม นั้น ซึ่งเป็นการตอบสนอง การยึดผู้เรียนเป็นสำคัญได้เป็นอย่างดี 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ งานวิจัยในประเทศ เพียงจิต ศรีสุก (2556 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัด กิจกรรมวิทยาศาสตร์ภายใต้การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จำนวน 35 คน ใช้เวลาในการทดลอง 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที ผลการศึกษาพบว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ภายใต้การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มี ค่าเฉลี่ย 24.23 คิดเป็นร้อยละ 48.46 และค่าเฉลี่ยหลังได้รับการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ย 45.75 คิดเป็น ร้อยละ 91.46 มีค่าเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ปริญญา ภูหวล (2563 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบทักษะทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัยโดยใช้ 20 กิจกรรม โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็ก ปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนคำโพนคำม่วงวิทยา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 11 คน ใช้ เวลาในการทดลอง 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยมี ระดับทักษะทางวิทยาศาสตร์หลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 พัทธนันท์ ไตรทามา (2563 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยชาย - หญิง อายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนอนุบาลเซกา จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 20 คน ใช้เวลาในการทดลอง 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที ผลการศึกษาพบว่า
32 เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 งานวิจัยในต่างประเทศ เคาร์ (Kaur, 1973 : 186 – A อ้างอิงจาก พรทิพย์ เกนโรจน์, 2553 : 24) ได้ศึกษาการ วัดผลทักษะเชิงวิทยาศาสตร์ในด้านการสังเกตและจำแนก โดยสร้างแบบทดสอบวัดทักษะการสังเกต และจำแนกประเภทสำหรับนักเรียนเกรด 1 และเกรด 3 เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการ สังเกตและการจำแนก ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนเกรด 3 สามารถบรรยายได้ชัดเจนและรัดกุมกว่า นักเรียนเกรด 1 ส่วนนักเรียนเกรด 1 และเกรด 3 มีทักษะในการจำแนกประเภทไม่แตกต่างกัน สำหรับทักษะการสังเกตและการจำแนกประเภทมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก บารูฟาลดิ และไดเฮ็ทซ์ (Barufaldi and Dietz, 1975 : 127 – 132 อ้างอิงจาก ยุพาภรณ์ ชูสาย, 2555 : 25) ได้ศึกษาทักษะการสังเกตและการเปรียบเทียบ เพื่อจำแนกประเภท จากของจริง(มองเห็นเป็น 3 มิติ) ภาพถ่ายและภาพวาด (มองเห็นเป็น 2 มิติ) โดยทำการศึกษากับเด็ก เกรด 1, 2, 4 และ 6 พบว่า เด็กเกรด 1, 2, 4 และ 6 ได้คะแนนจากการจำแนกประเภทจากของจริง มากกว่าจากภาพถ่าย และจากภาพถ่ายมากกว่าภาพวาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่เด็กเกรด 2 ได้ คะแนนการจำแนกประเภทจากภาพวาดมากกว่าภาพถ่าย และจากภาพถ่ายมากกว่าของจริง ผลการศึกษาพบว่า ประเภทของอุปกรณ์มีอิทธิพลต่อทักษะการสังเกต และทักษะการเปรียบเทียบ เพื่อจำแนกประเภทของเด็กแต่ละเกรด วีเบอร์ (Weber, 1971 อ้างอิงจาก ยุพาภรณ์ ชูสาย, 2555 : 25) ได้ศึกษาถึงการ พัฒนาด้านทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การศึกษาครั้งนี้ศึกษาถึง 2 ทักษะ คือ ทักษะการลงความ คิดเห็นและทักษะการดำเนินการทดลอง กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม ทดลอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียนโดยใช้หลักสูตร SCIS (Science Curriculum Improvement Study) และกลุ่มควบคุม ซึ่งเรียนโดยใช้หลักสูตรเดิม ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ทักษะ สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์ที่เปิดโอกาส ให้เด็กคิดและลงมือปฏิบัติส่งผลทำให้เด็กมีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการ เรียนรู้ที่สำคัญ เพราะสร้างให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างมีเหตุผล คิดเป็น สังเกตเป็น และเป็นพื้นฐาน ของการส่งเสริมเด็กให้มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ได้รู้จักการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างมี ความหมายด้วย
33 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ซึ่งในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การกำหนดประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านโคกลาด อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 22 คน จากการเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือในการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 2. แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 3. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 1.2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์ แบบโครงการ 1.3 ศึกษารูปแบบการจัดประสบการณ์แบบโครงการของครูแผนกอนุบาล โรงเรียน เกษมพิทยา กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำแผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ
34 1.4 ดำเนินการสร้างคู่มือการใช้แผน และสร้างแผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ มีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 8 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ในกิจกรรมเสริมประสบการณ์ซึ่งกำหนดขั้นตอนการดำเนินการเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น 1.1 สร้าง /สังเกตความสนใจของเด็ก 1.2 เด็กกำหนดหัวข้อโครงการ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา และค้นหาคำตอบ 2.1 เด็กกำหนดปัญหาที่จะศึกษา 2.2 เด็กตั้งสมมติฐานเบื้องต้น 2.3 เด็กทดสอบสมมติฐานเบื้องต้น 2.4 เด็กตรวจสอบสมมติฐาน ระยะที่ 3 ระยะสรุปผล และจัดแสดงนิทรรศการ 3.1 สิ้นสุดความสนใจ 3.2 นำเสนอผลงาน 3.3 สิ้นสุดโครงการและกำหนดโครงการใหม่ 1.5 นำคู่มือการใช้แผนและแผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอ ต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน คือ 1. นางจารุวรรณ สมพะยอม ครูชำนาญการ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี 2. นางพวงเพชร พัชรภิญโญภาคย์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านโคกลาด 3. นายนฤดล มัฆนาโส ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านโคกลาด เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมและสอดคล้องขององค์ประกอบของแผนการจัดประสบการณ์ ตามจุดประสงค์ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาลงความคิดเห็น ซึ่งมีเกณฑ์ การพิจารณาการให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้อง 1.5 นำแผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญมา ปรับปรุงแก้ไขตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
35 1.6 นำแผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่แก้ไขสมบูรณ์แล้ว ไปทดลองใช้กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามเนื้อหาที่กำหนดต่อไป 2. แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 2.2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 2.3 กำหนดจุดประสงค์และวิธีการสร้างแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัย 2.4 ดำเนินการสร้างคู่มือการใช้แบบทดสอบและสร้างแบบทดสอบทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์โดยศึกษาแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ ชนกพร ธีระกุล (2541) ณัฐชุดา สาครเจริญ (2548) จิตเกษม ทองนาค (2548) เอราวรรณ ศรีจักร (2550) ศศิพรรณ สำแดง เดช (2553) ยุพาภรณ์ ชูสาย (2555) และวณิชชา สิทธิพล (2556) เพื่อเป็นแนวทางในการสร้าง แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย จำนวน 20 ข้อ ซึ่งกำหนดแบบทดสอบ เป็น 3 ชุด ดังนี้ ชุดที่ 1 แบบทดสอบทักษะการสังเกต จำนวน 5 ข้อ ชุดที่ 2 แบบทดสอบทักษะการจำแนกประเภท จำนวน 5 ข้อ ชุดที่ 3 แบบทดสอบทักษะการสื่อความหมาย จำนวน 5 ข้อ ชุดที่ 4 แบบทดสอบทักษะการลงความเห็นข้อมูล จำนวน 5 ข้อ 2.5 นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ด้านการศึกษาปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน คือ 1. นางจารุวรรณ สมพะยอม ครูชำนาญการ โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี 2. นางพวงเพชร พัชรภิญโญภาคย์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านโคกลาด 3. นายนฤดล มัฆนาโส ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านโคกลาด เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมและสอดคล้องของข้อคำถาม แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขโดยให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาลงความคิดเห็น ซึ่งมีเกณฑ์การพิจารณาการให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบเหมาะสมและสอดคล้อง ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้อง
36 2.6 นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ มาปรับปรุงแก้ไขตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 2.7 นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แก้ไขสมบูรณ์แล้ว ไปทดลองใช้กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามเนื้อหาที่กำหนดต่อไป 4. แบบแผนและวิธีดำเนินการทดลอง 4.1 แบบแผนการทดลอง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการ ทดลองโดยอาศัยการวิจัยแบบการทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลองตามแบบแผนการ วิจัยแบบ (One Group Pretest – Posttest Design) ดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน การจัดประสบการณ์แบบโครงการ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) 4.2 วิธีการดำเนินการทดลอง การทดลองครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยกลุ่มทดลอง จะได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ซึ่งทดลองในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน (วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์) วันละ 30 นาที ในช่วง เวลา 10.00 – 10.30 น.รวมเป็นระยะเวลาในการทดลองทั้งสิ้น 24 ครั้ง ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ทำหนังสือขออนุญาตดำเนินการศึกษาเรื่อง ผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เสนอต่อผู้อำนวยการโรงเรียน บ้านโคกลาด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2. สร้างความคุ้นเคยกับเด็กที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในห้องเรียน เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ 3. แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด เพื่อส่งเสริมทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยให้ผู้ปกครองของกลุ่มตัวอย่างทราบถึงกระบวนการในการ
37 ดำเนินการจัดประสบการณ์และบทบาทของผู้ปกครองในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ให้กับเด็กโดยการสนทนา พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับเห็ด 4. ก่อนทำการทดลองผู้วิจัยทำการทดสอบ (Pretest) กับกลุ่มตัวอย่าง 22 คน โดยใช้ แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นรายบุคคล จำนวน 20 ข้อ ใช้เวลาข้อ ละไม่เกิน 2 นาที 5. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองกับเด็กที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ตามการจัดประสบการณ์แบบ โครงการ เรื่อง เห็ดที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นเวลา 8 สัปดาห์สัปดาห์ละ 3 วัน ซึ่งเป็นวันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์วันละ 30 นาที ในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์เวลา 10.00 – 10.30 น 6. เมื่อครบ 8 สัปดาห์แล้ว ทำการทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หลังการ ทดลอง (Posttest) ด้วยแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ฉบับเดียวกับก่อนการทดลอง 7. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นำข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบในข้อ 4 และข้อ 6 มา วิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ 5. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการทดลองไปวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติต่าง ๆ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 ค่าร้อยละ (Percentage) 1.2 ค่าเฉลี่ย (X̅) 1.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ซึ่งในการคำนวณหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จะคำนวณผลโดย ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ 2. สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 2.1 การแสดงหลักฐานความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 2.2 หาค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) ค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์คำนวณโดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์แบบทดสอบสำเร็จรูป 2.3 หาค่าความเชื่อมั่นของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์คำนวณโดยใช้โปรแกรม วิเคราะห์แบบทดสอบสำเร็จรูป 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการระหว่างก่อนและ หลังการทดลองของเด็กปฐมวัยด้วยการทดสอบที่ไม่เป็นอิสระ (t-test for Dependent Sample)
38 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการเรื่อง เห็ด เพื่อให้การเสนอเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ผู้วิจัย จึงได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลตามลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผลความหมายการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ ต่าง ๆ ที่ใช้แทนความหมายดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง X̅แทน คะแนนเฉลี่ย S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน D̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนความแตกต่าง t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณา t – distribution * แทน นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. ค่าสถิติพื้นฐานของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้นำคะแนนของเด็กเป็นรายบุคคลจากผลการทดสอบทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมจำนวน 20 ข้อ คะแนนเต็ม 40 คะแนน มา วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ดังตารางที่ 3 ตารางที่3 คะแนนค่าเฉลี่ย ร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เด็กคนที่ คะแนนก่อนทดลอง ร้อยละ คะแนนหลังทดลอง ร้อยละ 1 18 45.00 38 95.00 2 15 37.50 30 75.00
39 ตารางที่ 3 (ต่อ) ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เด็กคนที่ คะแนนก่อนทดลอง ร้อยละ คะแนนหลังทดลอง ร้อยละ 3 12 30.00 31 77.50 4 18 45.00 33 82.50 5 15 37.50 34 85.00 6 18 45.00 32 80.00 7 13 32.50 37 92.50 8 15 37.50 29 72.50 9 12 30.00 20 50.00 10 12 30.00 21 52.50 11 12 30.00 21 52.50 12 11 27.50 32 80.00 13 20 50.00 39 97.50 14 19 47.50 32 80.00 15 12 30.00 25 62.50 16 14 35.00 33 82.50 17 12 30.00 37 92.50 18 12 30.00 28 70.00 19 18 45.00 38 95.00 20 18 45.00 38 95.00 21 15 37.50 30 75.00 22 20 50.00 39 97.50 X̅ 15.05 37.61 31.68 79.20 S.D. 3.05 - 5.89 - จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ขอมูลพบว่าคะแนนทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ก่อนการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.05 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.05 และหลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 31.68 มีค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 5.89
40 2. เปรียบเทียบความแตกต่างของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้นำคะแนนทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด มาหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแล้วนำมา เปรียบเทียบกันโดยใช้สถิติ t-test for Dependent samples ดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการ จัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ N X̅ S.D. D̅ t ก่อนการทดลอง 22 15.05 3.05 16.64 16.95* หลังการทดลอง 22 31.68 5.89 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 4 พบว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.05 และ 31.68 ตามลำดับ และเมื่อ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าคะแนนหลังเรียนของเด็กปฐมวัยสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
41 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยา - ศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับ ครูและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัย ในการพิจารณาเลือกกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งมีลำดับขั้นตอนของการวิจัยและผลของ การศึกษาค้นคว้า โดยสรุปดังนี้ 1. ความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด 2. สมมติฐานของการวิจัย หลังการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด เด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางวิทยา - ศาสตร์สูงขึ้น 3. ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านโคกลาด อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 22 คน จากการเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ซึ่งผู้วิจัยเขียน ขึ้นและผ่านการตรวจ แก้ไข ปรับปรุงจากผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นได้นำมาปรับปรุงการใช้ภาษาในข้อ คำถามให้เหมาะสมและจัดทำเป็นฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มทดลอง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วย 4 ด้าน คือ ด้านการสังเกต ด้านการจำแนกประเภท ด้านการสื่อ ความหมาย และด้านการลงความเห็นข้อมูล หลังจากนั้นได้รับการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญ แล้วนำ ผลการทดลองมาวิเคราะห์หาคุณภาพเพื่อคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์