The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยสมบูรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Chomphu Patthawaro, 2024-03-23 11:44:22

วิจัย

วิจัยสมบูรณ์

42 5. วิธีดำเนินการทดลอง การทดลองครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดีและวันศุกร์วันละ 30 นาที รวม 24 วัน โดยมีลำดับ ขั้นตอน ดังนี้ 1. ทำการทดสอบเด็กกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัยเป็นการสอบก่อนการทดลอง (Pretest) 2. ดำเนินการจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ 3. เมื่อครบ 8 สัปดาห์แล้วทำการทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หลังการทดลอง (Posttest) ด้วยแบบทดสอบฉบับเดียวกับก่อนการทดลอง 4. นำข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบในข้อ 1 และ ข้อ 3 มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 1. หาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ คะแนนเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. เปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังการทดลอง โดยอาศัยการ แจกแจงของ (t – test dependent - sample) 7. สรุปผลการวิจัย ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย หลังการได้รับการจัดประสบการณ์แบบ โครงการ เรื่อง เห็ด มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ด้านการสังเกต ด้านการจำแนกประเภท ด้าน การสื่อความหมาย และด้านการลงความเห็นข้อมูล สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดย ก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ยเป็น 15.05 คะแนน หลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยเป็น 31.68 คะแนน 8. อภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยก่อนจัดประสบการณ์และหลัง การจัดประสบการณ์แบบโครงการในช่วงการทดลองใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ มีทักพื้นฐานทางวิทยา - ศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเด็กปฐมวัยมีทักพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หลัง การทดลองสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่าการจัด ประสบการณ์แบบโครงการสามารถส่งเสริมทักพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยให้พัฒนาขึ้นได้ จากผลการวิจัยในครั้งนี้สามารถอภิปรายได้ดังนี้


43 ประการที่ 1 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจเป็นการฝึกการสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวทำ ให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากการกระทำ รู้จักแยกแยะสิ่งที่พบเห็น จึงเกิดการเรียนรู้ผ่านการจัด ประสบการณ์ตามลำดับขั้นตอนในการเรียนรู้ทั้ง 3 ระยะ ซึ่งสอดคล้องกับ วัฒนา มัคคสมัน (2554 : 51-52) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นรูปแบบการสอนที่มุ่งการให้ความสำคัญกับ ความต้องการและความสนใจของเด็ก โดยเด็กจะเป็นผู้มีบทบาทในการเลือกเรื่องที่จะเรียน และเลือก วิธีการที่จะศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองโดยมีครูที่ยอมรับความคิดเห็นของเด็ก แสดงให้เด็กเห็นว่าครูให้ ความสนใจ เชื่อมั่นในความคิดของเด็กและให้โอกาสเด็กที่จะเรียนรู้ตามความคิด และวิธีการของ ตนเองเป็นการจัดประสบการณ์ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อค้นหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ โดยเด็ก ปฐมวัย ได้รับประสบการณ์ตรงจากการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการสำรวจ สังเกต และการคันหา แล้วนำข้อมูลที่ได้มาสรุปเป็นองค์ความรู้ ซึ่งการจัดประสบการณ์ดังกล่าว สอดคล้องกับทฤษฎีการ เรียนรู้ของดิวอี้ (Dewey, 1963 อ้างอิงจาก ทิศนา แขมมณี, 2556: 66-67) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้เกิด จากการที่เด็กสนใจที่จะเรียนรู้และลงมือปฏิบัติ เพื่อก่อให้เกิดประสบการณ์ตรงที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ และสอดคล้องกับแนวคิดของ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 31-33) ที่กล่าวไว้ว่า เด็กปฐมวัยเป็นวัย แห่งธรรมชาติของการเรียนรู้ เด็กสามารถสังเกต สะสมประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเองจากการ สัมผัส การเห็นตัวแบบ โดยเฉพาะการทำงานของเด็ก คือ การเล่น ถ้ามีวิธีสอนที่ถูกต้องสอดคล้องกับ วัยและวุฒิภาวะของเด็กจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และพัฒนาสติปัญญาได้อย่างรวดเร็ว และซึมซับ ประสบการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ วรนาท รักสกุลไทย (2559: 30) ที่กล่าวว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงการเป็นกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คำนึงถึงความสนใจและความ ต้องการของเด็กทุกคน เด็กมีโอกาสเรียนรู้อย่างละเอียดลุ่มลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามความสนใจของ เด็กทั้งห้อง เด็กกลุ่มเล็ก/รายบุคคล หัวใจของแนวคิดการสอนแบบโครงการ คือ การให้เด็กแสวงหา คำตอบแล้วสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และนอกจากนี้ยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ นิตยา อิ่มหิรัญ (2564 : 122) ได้ทำการศึกษา เรื่อง การจัดประสบการณ์แบบโครงการที่มีต่อการรู้ เศรษฐศาสตร์ ในเด็กปฐมวัย ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบ โครงการ มีคะแนนเฉลี่ยการรู้เศรษฐศาสตร์ในเด็กปฐมวัยสูงขึ้นกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ ก่อน การทดลอง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.64 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.03 และหลังการจัดประสบการณ์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.88 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.10 โดยเด็กปฐมวัยมีการพฤติกรรมการรู้ เศรษฐศาสตร์เพิ่มขึ้นทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการวางแผนการเงิน ด้านบทบาทการเป็นผู้ผลิตและ ผู้บริโภค และด้านความขาดแคลนและการเลือกตามลำดับ และผลการวิจัยของ รัตติยาพร ฟูแสง (2561 : 111) ที่ได้ทำการศึกษาผลของประสบการณ์แบบโครงการที่มีต่อทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ผลการศึกษาพบว่า ทักษะกระบวนการทาง


44 วิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการหลัง การเรียนสูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่าการจัด ประสบการณ์แบบโครงการนั้นช่วยให้เด็กปฐมวัย มีความสามารถด้านการสังเกต ด้านการจำแนก ประเภท ด้านการวัด และด้านการลงความเห็นข้อมูลดีขึ้น ประการที่ 2 การจัดประสบการณ์แบบโครงการส่งผลต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ด้าน การสังเกต การจำแนกประเภท ด้านการสื่อความหมาย และด้านการลงความเห็นข้อมูลดีขึ้น ทั้งนี้เป็น เพราะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการนอกจากส่งเสริมให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ศึกษาจาก แหล่งข้อมูลทำให้ได้รับประสบการณ์ตรง จากการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด เด็ก แสดงออกถึงทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ เด็กได้แสดงออกถึงทักษะการสังเกต ได้ใช้ประสาท สัมผัสจากการใช้ตาดูและสำรวจสิ่งต่าง ๆ จากการที่ได้ทำกิจกรรม เด็กได้แสดงออกถึงทักษะการ สังเกตที่ได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือสามารถใช้อย่างใดอย่างหนึ่งในการค้นหาคำตอบ ด้านทักษะ การจำแนก เด็กได้แสดงออกถึงทักษะการจำแนก ได้ทำกิจกรรมที่ได้แสดงออกถึงการจำแนกเห็ดที่มี ความแตกต่างกัน ทั้งรูปร่างลักษณะ ความเหมือน ความแตกต่างของเห็ดแต่ละชนิด ด้านทักษะการ สื่อความหมายข้อมูล เด็กได้แสดงออกจากการลงมือปฏิบัติ เช่น ประกอบอาหารจากเห็ด การผ่าเห็ด ซึ่งเด็กได้ผ่านกระบวนการสังเกต จำแนกเบื้องต้น ทำให้เด็กสามารถสื่อความหมายข้อมูลในกิจกรรม ป่านบทสนทนาร่วมกับเพื่อนและครูได้ และทักษะการลงความเห็นข้อมูล เด็กได้มีการอธิบายหรือ แสดงความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการสังเกต จำแนกและสื่อความหมายข้อมูลซึ่งเป็น ประสบการณ์เดิมมาอธิบายอย่างมีเหตุผล ทั้งนี้ ในการจัดประสบการณ์ครูมีบทบาทในการเตรียม ความพร้อมและกระตุ้นให้เด็กเกิดข้อสงสัย สังเกตและคิดหาคำตอบ จากการค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการนี้ เด็กได้ฝึกความรับผิดชอบโดยการทำงานที่ได้รับ มอบหมายจนสำเร็จ ตรงต่อเวลา ปฏิบัติตนตามข้อตกลง โดยครูมีหน้าที่ในการกระตุ้นและคอยสังเกต ชี้แนะให้เด็กฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนทำให้เด็กเกิดการ เรียนรู้ และได้ใช้ความสามารถด้านการสังเกต การจำแนกประเภท ด้านการสื่อความหมาย และด้าน การลงความเห็นข้อมูลและตั้งคำถามให้เด็กคิดหาคำตอบ เด็กจะได้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ และผล ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของวัฒนา มัคคสมัน (2554: 24) ที่ว่า การจัดประสบการณ์แบบ โครงการ หมายถึง การจัดประสบการณ์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกโดย เรื่องที่เรียนมาจากความสนใจของเด็กเอง การจัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่ศึกษา นั้น โดยเปิดโอกาสให้เด็กสังเกตอย่างใกล้ชิดจากแหล่งความรู้เบื้องต้น อาจใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน อย่างเพียงพอตามความสนใจของเด็ก เพื่อให้เด็กได้ค้นพบคำตอบแล้วนำความรู้นั้น มาเสนอใน รูปแบบ ต่าง ๆ ตามความต้องการของเด็กเอง อาจจะเป็นงานเขียน งานวาดภาพระบายสี การสร้าง แบบ จำลอง การเล่นบทบาทสมมติ ละคร การทำหนังสือ หรือรูปแบบอื่น ๆ โดยนำเสนอความรู้ต่อ


45 เพื่อน ๆ คุณครูผู้ปกครองและคนอื่น ๆ ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จนั้น สอดคล้องกับ คำกล่าวของทิศนา แขมมณี (2556: 139) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็น หลัก คือ การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันเลือกทำโครงการที่ตน สนใจ โดยร่วมกันสำรวจ สังเกต และกำหนดเรื่องที่ตนสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษา หาข้อมูลความรู้ที่จำเป็นและลงมือปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้จนได้ข้อค้นพบ แล้วจึงเขียนรายงาน และนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนำผลงานและประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดค้นและสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ได้รับทั้งหมด 9. ข้อสังเกตที่ได้รับจากการวิจัย 1. เนื่องจากการจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นกิจกรรมที่เด็กยังไม่คุ้นเคยในช่วงสัปดาห์ที่ 1 และ 2 ของการทดลองมีการขัดแย้งและทะเลาะวิวาทกันในหมู่เด็กมีการหวงอุปกรณ์ไม่ยอมแบ่งปัน ให้เพื่อน ไม่รับฟังความคิดเห็นของเพื่อน รวมทั้งไม่ช่วยกันเก็บวัสดุอุปกรณ์ให้เข้าที่เมื่อใช้เสร็จ ซึ่งครู จะต้องใช้คำถามกระตุ้นให้เด็กคิดและให้แรงเสริมเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรม ในสัปดาห์หลัง ๆ เด็กได้ เรียนรู้การทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น ช่วยให้เด็กแสดงพฤติกรรมด้านสังคมในการทำ กิจกรรมร่วมกันมากขึ้น 2. การจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ในเรื่อง ที่สนใจอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถยืดหยุ่นระยะเวลาในการเรียนรู้ได้ในหลายสัปดาห์ ซึ่งเด็กอายุ 5-6 ปี มีช่วงความสนใจในการปฏิบัติกิจกรรมและหัวเรื่องของกิจกรรมอยู่ในระยะสั้น ดังนั้นการทำ โครงการของเด็กปฐมวัยที่มีอายุ 5-6 ปี ไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการทำโครงการนาน อาจใช้ ระยะเวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ต่อโครงการ ทั้งนี้ครูควรจะใช้ดุลยพินิจพิจารณาตามความสามารถและ ความสนใจของเด็กที่มีต่อหัวเรื่อง เพื่อให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้และช่วยให้เด็กได้รับประสบการณ์ใน เรื่องที่ตนสนใจมากขึ้น เพราะหากใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมนานเกินไปจะทำให้เด็กเบื่อและ หมดความกระตือรือร้นที่จะปฏิบัติกิจกรรม 3. การจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นกิจกรรมที่เด็กยังไม่คุ้นเคยและไม่เคยอยู่ใน บรรยากาศของการเรียนรู้แบบโครงการ การนำเสนอหัวเรื่องโดยการเล่านิทานหรือการสร้าง สถานการณ์เพื่อกำหนดหัวเรื่องจากประสบการณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก เป็นวิธีการที่ดีและเหมาะสมกับการ เรียนรู้ของเด็กที่มีอายุน้อย 4. การจัดประสบการณ์แบบโครงการที่มีกิจกรรมสำคัญ 5 กิจกรรมได้แก่ การอภิปราย การ นำเสนอประสบการณ์ การปฏิบัติภาคสนาม การสืบคันข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ และการจัดแสดง ผลงานนั้น เอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ไปตามพัฒนาการและความสามารถของเด็กแด่ละคน อีกทั้งยัง ช่วยส่งเสริมลักษณะเด่นของแต่ละบุคคล เช่น เด็กบางคนสามารถเรียนรู้ในกิจกรรมการปฏิบัติ


46 ภาคสนามได้ดี เด็กบางคนเรียนรู้และสามารถแสดงออกได้ดีเมื่อได้รับกำลังใจจากเพื่อนและครู และ เด็กบางคนมีความสามารถสืบค้นข้อมูลได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและถ่ายทอดประสบการณ์ ได้ดี 5. การบันทึกสาระการเรียนรู้ตามกระบวนการของโครงการ ช่วยให้ครูมองเห็นและตระหนัก ถึงกระบวนการการเรียนรู้ของเด็กและปัญหาที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งครูสามารถนำข้อมูล เหล่านี้ไปจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ 6. การเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่เป็นของจริง ให้เด็กได้มีโอกาสลงมือ กระทำกับสื่อวัสดุอุปกรณ์ด้วยตนเองจะช่วยทำให้เด็กเกิดความสนใจ มีความกระตือรือร้นในการทำ กิจกรรมและทำให้เด็กรู้จักที่จะดูแลและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยทางสังคมที่พึง ประสงค์ที่ควรปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็ก นอกจากนี้กิจกรรมที่จะจัดให้กับเด็กควรเป็นกิจกรรมที่เร้าความ สนใจ สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ และกิจกรรมไม่ควรใช้เวลานานมากนัก 7. การจัดประสบการณ์แบบโครงการ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมร่วมกับ เพื่อนอย่างเป็นกระบวนการ ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกดีในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เกิดความ ภาคภูมิใจในผลงานของตนเองและเพื่อน นอกจากนี้เด็กยังได้มีโอกาสในการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนใน เรื่องของทัศนคติค่านิยม และวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของเพื่อนขณะร่วมทำกิจกรรม 8 . ลักษณะการวางแผนเพื่อทำกิจกรรมของเด็กวัย 5 - 6 ปีนั้น เป็นเพียงการเสนอกิจกรรมที่ เด็กมีความสนใจและคิดว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องในการทำโครงการ ส่วนรายละเอียด และขั้นตอนในการทำกิจกรรมที่เด็กเสนอนั้นครูจะต้องเป็นผู้ช่วยเหลือและกระตุ้น โดยใช้คำถามให้ เด็กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับขั้นตอนของการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นการฝึกฝนให้เด็กได้พัฒนาทักษะใน การคิดวางแผน และแก้ไขปัญหาอย่างเป็นกระบวนการ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กได้มีพัฒนาการ ในด้านสติปัญญาและการใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม 10. ข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการวิจัย 1. จากการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์แบบโครงการมีทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนการทดลอง ดังนั้นครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัยจึงควร พิจารณาการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็ก ปฐมวัย 2. ในขณะดำเนินกิจกรรมครูต้องยืดหยุ่นเวลาให้เหมาะสมกับความต้องการและความสนใจ ของเด็ก เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีความสนใจสั้น ในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น ครู ต้องให้เด็กร่วมแสดงความคิดเห็นและปฏิบัติตามข้อตกลงที่เด็กได้ร่วมกันวางไว้ ครูต้องให้โอกาสและ เวลาในการปรับตัวที่จะทำงานร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม ให้เด็กมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สื่อ


47 อุปกรณ์ เพื่อที่เด็กจะได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับเพื่อนในกลุ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ครูจะต้องกระตุ้นให้แรง เสริมกับเด็ก ชมเชยเด็กเมื่อเด็กได้แสดงออกทางพฤติกรรมที่พึงประสงค์ รวมทั้งครูต้องเป็นแบบอย่าง ที่ดีในการแสดงพฤติกรรมเพราะเด็กในวัยนี้ยังคงเลียนแบบพฤติกรรมจากผู้ใหญ่ 3. การจัดประสบการณ์แบบโดรงการควรมีรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย ครูควรจัดกิจกรรม ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับความสามารถและพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมี พัฒนาการครบทุกด้าน 4. เนื่องจากในปัจจุบันมีรูปแบบการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กในระดับปฐมวัยหลากหลาย รูปแบบซึ่งการจัดประสบการณ์แบบโครงการเป็นรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะขั้นตอนในการทำกิจกรรมที่ ชัดเจน ครูผู้สอนสามารถนำไปจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ได้แต่ครู ควรศึกษาธรรมชาติของเด็กที่อยู่ในความดูแลของตน ลักษณะเด่นและขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม รวมทั้งบทบาทของครูในการจัดประสบการณ์แบบโครงการให้ชัดเจนเสียก่อน เพื่อที่จะสามารถนำไป ปรับใช้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นตามความต้องการและความสนใจของเด็ก 11. ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์โดยใช้เทคนิควิธีอื่น เช่น การ จัดกิจกรรมทัศนศึกษา การจัดกิจกรรมการทดลอง เป็นต้น 2. ควรมีการศึกษาการจัดประสบการณ์แบบโครงการ ที่มีต่อตัวแปรตามอื่น ๆ เช่น ความ สามารถด้านภาษา ความคิดรวบยอด ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นต้น ซึ่งจะทำให้การเรียนการสอนในระดับปฐมวัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยระหว่างผลการ จัดประสบการณ์แบบโครงการ กับการจัดกิจกรรมในรูปแบบอื่นที่มีผลต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยา - ศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เพื่อนำผลที่ได้มาเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมที่จะสามารถ ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 4. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์กับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 ซึ่งมีระดับสติปัญญาสูงกว่าเด็กปฐมวัย ทั้งนี้เพื่อศึกษาว่าการจัดประสบการณ์แบบโครงการจะมี ผลต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กในระดับสูงขึ้นหรือไม่


48 บรรณานุกรม กชกร อินทา. (2557). ทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยที่ใช้การจัดประสบการณ์ แบบโครงการ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนคริน -ทรวิโรฒ. กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : เบรนเบส บุ๊คส์. จิตเกษม ทองนาค. (2548). การพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้ กิจกรรมการเรียนการสอนแบบจิตปัญญา. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จิราภรณ์ วสุวัต. (2540). การพัฒนาโปรแกรมการส่งเสริมจริยธรรมทางสังคมของเด็กวัยอนุบาล โดยใช้การจัดประสบการณ์แบบโครงการ. ปริญญานิพนธ์ ค.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จุฬินฑิพา นพคุณ. (2563). การสอนแบบโครงการสำหรับเด็กปฐมวัย : กรณีศึกษาโรงเรียนหนานไฮ เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 3(1), 1 – 14. ชนกพร ธีระกุล. (2541). ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปสร้างสรรค์แบบเน้นกระบวนการ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชุลีพร สงวนศรี. (2550). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา เด็กปฐมวัยกับทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์. ลพบุรี: มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี. ณัฐชุดา สาครเจริญ. (2548). การพัฒนากระบวนการวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของเด็กปฐมวัยโดย การใช้รูปแบบกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษา ปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์. (2558). ครูปฐมวัยกับการจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 10 กันยายน 2566 จาก http://daratim54.blogspot.com/2015/09/blog-post.html. ทิศนา แขมมณี. (2556). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดการกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่7). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นภเนตร ธรรมบวร. (2556). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย.


49 นันทิยา ชัยชนะเลิศ. (2561). การจัดประสบการณ์แบบโครงการ (Project Approach) ควบคู่ สารนิทัศน์ โดยใช้บริบทเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัย. รายงานการวิจัยในชั้นเรียน. เชียงราย : โรงเรียนบ้านรวมมิตร. น้ำผึ้ง เลาหบุตร. (2560). การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และทักษะทาง สังคม โดยการจัดประสบการณ์เรียนรู้แบบโครงการสำหรับเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ ศษ.ม. (หลักสูตรและการนิเทศ). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร. นิตยา อิ่มหิรัญ. (2564). ผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่มีต่อการรู้เศรษฐศาสตร์ในเด็ก ปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ ศษ.ม. (ปฐมวัยศึกษา). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. บุปผา เรืองรอง. (2556). โครงงานการสอนแบบโครงการ (Project Approach). สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2566 จาก https://taamkru.com. ปราณีต มาลัยวงษ์. (2550). วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย. อุดรธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานี. ปริญญา ภูหวล. (2563). ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ 20 กิจกรรม โครงการบ้าน นักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทยเพื่อพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย. งานวิจัยในชั้นเรียน. กาฬสินธุ์ : โรงเรียนคำโพนคำม่วงวิทยา จังหวัดกาฬสินธุ์. ปาริฉัตร ไชยเดช และคณะ. (2564). แนวทางการส่งเสริมการจัดประสบการณ์แบบโครงการใน ห้องเรียนของเด็กปฐมวัย. วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง. 10(3), 124 – 132. เปลว ปุริสาร. (2543). การศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์แบบโครงการ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พรทิพย์ เกนโรจน์. (2553). ทักษะการสังเกตและการเปรียบเทียบของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยการย้อมสี. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พัชรี ผลโยธิน (2555). การศึกษาแนวโปรเจ็คแอพโพรช (Project Approach) ใน รวมนวัตกรรม ทฤษฎีการศึกษาปฐมวัยสู่การประยุกต์ใช้ในห้องเรียน. กรุงเทพฯ: สาราเด็ก. พัทธนันท์ ไตรทามา. (2563). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ด้วยการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา. ปริญญานิพนธ์ ค.ม. (วิจัยหลักสูตรและ การสอน). สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. พิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2545). พฤติกรรมการสอนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาคุณภาพ วิชาการ.


50 เพียงจิต ศรีสุก. (2556). ผลการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ภายใต้การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ที่มี ต่อทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน). อุดรธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. มานิต ปวริญญานนท์. (2550). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. อุดรธานี : มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. ยุพาภรณ์ ชูสาย. (2555). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง สีจากธรรมชาติที่มีต่อทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. รัตติยาพร ฟูแสง. (2561). การจัดกิจกรรมโครงการเพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ ศษ.ม. (วิจัยและ ประเมินผลการศึกษา). พิษณุโลก : มหาวิทยาลัยนเรศวร. วณิชชา สิทธิพล. (2556). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัด กิจกรรมการทำเครื่องดื่มสมุนไพร. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (วิทยาการทางการศึกษาและการ จัดการเรียนรู้). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วรนาท รักสกุลไทย. (2559). สุดยอดเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : แฮปปี้ เลิร์นนิ่ง. วัฒนา มัคคสมัน. (2539). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามหลักการสอนแบบโครงการเพื่อ เสริมสร้างการเห็นคุณค่าในตนเองของเด็กวัยอนุบาล. ปริญญานิพนธ์ค.ม. (การศึกษา ปฐมวัย). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. _________. (2550). การสอนแบบโครงการ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. _________. (2554). การสอนแบบโครงการ. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วาโร เพ็งสวัสดิ์. (2551). วิธีวิทยาการวิจัย. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. วิวรรณ สารกิจปรีชา. (2560). Project Approach. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2566 จาก https://preschool.or.th/knowledge/project-approach. _________. (2562). การเรียนรู้แบบ “Project Approach” โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่. สืบค้นเมื่อ 8 กันยายน 2566 จาก https://kukai.ac.th/Thai/Project_Approach.php. ศศิพรรณ สำแดงเดช. (2553). ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมการทดลองหลังการฟังนิทาน. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ศศิพันธุ์ เปี๊ยนเปี่ยมสิน และคณะ. (2561). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. สรวงพร กุศลส่ง. (2553). วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย. เพชรบูรณ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏ เพชรบูรณ์.


51 สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2565). แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงการ (Project Approach). นนทบุรี: 21 เซ็นจูรี่. สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์. (2550). การศึกษาปฐมวัย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. _________. (2553). การวัดและประเมินเด็กแนวใหม่ : เด็กปฐมวัย. (พิมพ์ครั้งที่ 3).กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์. (2542). การปฏิรูปการเรียนรู้: มิติใหม่เพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อำพวรรณ์ เนียมคำ. (2545). ผลการจัดประสบการณ์แบบโครงการที่มีต่อความสามารถทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. เอราวรรณ ศรีจักร. (2550). การพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ประกอบชุดแบบฝึกทักษะ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.


52 ภาคผนวก


53 ภาคผนวก ก แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์


54 คู่มือการใช้ แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คำชี้แจง คู่มือการใช้แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์จัดทำขึ้นเพื่อชี้แจงและอธิบาย รายละเอียดในการทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย อายุ 5 - 6 ปี ซึ่งใน การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้ให้ความหมายของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการแสวงหาความรู้ โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการค้นหา ข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. ทักษะการสังเกต หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้าไปสัมผัส โดยตรงกับวัตถุสิ่งแวดล้อม สามารถตอบข้อมูลหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ได้อธิบายว่าสิ่งที่สังเกต ได้เป็นอย่างไร บอกความเหมือนความต่างว่าสิ่งที่สังเกตได้เป็นอย่างไร 2. ทักษะการจำแนกประเภท หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบและบอกข้อ แตกต่างของคุณสมบัติ โดยมีเกณฑ์ในการจัดแบ่ง มี 3 ประการคือ ความเหมือน ความแตกต่างและ ความสัมพันธ์ 3. ทักษะการสื่อความหมาย หมายถึง ความสามารถในการนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การทดลอง หรือจากแหล่งอื่นที่มีข้อมูลอยู่ แล้วมาจัดทำใหม่โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ คือ การสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่ โดยมุ่งสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย ได้ดีขึ้น 4. ทักษะการลงความเห็นข้อมูล หมายถึง ความสามารถในการอธิบายหรือแสดงความ คิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล ในการอธิบาย หรือสรุปผลจากข้อมูลที่ได้จาก การสังเกต การวัด การสัมผัส โดยใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิม วิธีดำเนินการทดสอบ 1. ผู้ดำเนินการทดสอบศึกษาแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และคู่มือให้เข้าใจ กระบวนการทั้งหมดก่อน ใช้ภาษาที่ชัดเจนเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เด็กสนใจและตั้งใจฟังคำถามและ ก่อนการทดสอบ ผู้ดำเนินการทดสอบต้องเขียนชื่อสกุลของนักเรียนให้เรียบร้อย 2. จัดเตรียมสถานที่สอบ ควรเป็นห้องที่มีสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน เอื้อต่อผู้รับการทดสอบ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ มีขนาดที่เหมาะสมกับนักเรียน มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มี เสียงรบกวน


55 3. ก่อนดำเนินการทดสอบ ให้ผู้ช่วยดำเนินการทดสอบพาเด็กไปทำธุระส่วนตัว เช่น ดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ผู้ดำเนินการทดสอบสร้างความคุ้นเคยกับเด็ก โดยการชวนสนทนากับเด็ก 4. เขียนชื่อ และนามสกุลเด็กที่รับการทดสอบให้เรียบร้อย แล้วดำเนินการทดสอบเด็ก เป็นรายบุคคลแบบปากเปล่า (Oral test) โดยครูอ่านคำถาม 2 ครั้ง ถ้าภายใน 30 วินาที เด็กยังไม่ ตอบคำถาม จะถามคำถามซ้ำอีก 1 ครั้ง ถ้าภายใน 2 นาที เด็กยังไม่ตอบคำถามอีก ถือว่าตอบไม่ได้ 5. อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบมีดังนี้ 5.1 คู่มือผู้ดำเนินการสอบ 5.2 นาฬิกาจับเวลา 1 เรือน บทบาทของผู้ดำเนินการทดสอบ 1. ศึกษาแบบทดสอบให้เข้าใจ 2. มีความพร้อมในการดูแลเด็กนักเรียนที่ทำการทดสอบ 3. ไม่มีอคติและลำเอียงในขณะที่เด็กทำแบบทดสอบ 4. สร้างความคุ้ยเคยกับเด็กที่ทำแบบทดสอบ เกณฑ์การให้คะแนน การแก้ปัญหาที่ใช้เป็นคำถามประกอบสถานการณ์ที่ให้ความอิสระในการตอบ การตรวจให้ คะแนนพิจารณาจากคำตอบ ภายในเวลาที่กำหนด ดังนี้ 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


56 แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 1 ทักษะการสังเกต ข้อที่ 1 สถานการณ์ ให้เด็กชิมรสชาติน้ำส้มคั้น ซึ่งในแต่ละแก้วจะผสม น้ำตาล เกลือ และน้ำต้มสุก จากนั้นถาม เด็กว่าน้ำส้มแก้วไหนมีรสชาติหวาน อุปกรณ์ 1. แก้วที่ 1 น้ำส้มผสมเกลือ 2. แก้วที่ 2 น้ำส้มผสมน้ำต้มสุก 3. แก้วที่ 3 น้ำส้มผสมน้ำตาล หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนส่วนผสม เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 2 สถานการณ์ ให้เด็กดมกลิ่นดอกไม้ ซึ่งแจกันในแต่ละใบจะมี ดอกมะลิ ดอกดาวเรือง และดอกกุหลาบ จากนั้นถามเด็กว่าดอกไม้ในแจกันใบไหนมีกลิ่น อุปกรณ์ 1. แจกันใบที่ 1 ดอกดาวเรือง 2. แจกันใบที่ 2 ดอกกุหลาบ 3. แจกันใบที่ 3 ดอกมะลิ หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนชื่อดอกไม้ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


57 ข้อที่ 3 สถานการณ์ ให้เด็กดูอุปกรณ์การเขียน 3 ชนิด คือดินสอไม้ ดินสอสี และปากกา จากนั้นถามเด็กว่า อุปกรณ์การเขียนชิ้นไหนต่างไปจากพวก อุปกรณ์ 1. ด้ามที่ 1 ดินสอไม้ 2. ด้ามที่ 2 ปากกาแดง 3. ด้ามที่ 3 ดินสอสี หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนอุปกรณ์การเขียนทั้ง 3 ชนิด เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 4 สถานการณ์ ให้เด็กดูจานใส่ก้อนหิน 1 ใบ และจานใส่ทราย 1 ใบ แล้วเขย่าลูกไข่พลาสติกที่มีลักษณะ เหมือนกัน จำนวน 4 ลูก ซึ่ง 2 ลูก บรรจุทรายและอีก 2 ลูกบรรจุก้อนหิน ชั่งน้ำหนักเท่ากัน เมื่อเด็ก เขย่าฟังเสร็จแล้ว ให้เด็กตอบทีละ 1 ลูกว่ามีสิ่งใดบรรจุอยู่ในไข่ อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ใส่ทราย 2. จานหมายเลข 2 ใส่ก้อนหิน 3. ลูกไข่พลาสติกที่มีลักษณะเหมือนกัน จำนวน 4 ลูก หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนชื่อ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


58 ข้อที่ 5 สถานการณ์ ให้เด็กดูจานใส่ฟองน้ำล้างจานที่มีผิวเรียบ 1 ใบ และจานใส่ฟองน้ำล้านจานผิวขรุขระ 1 ใบ แล้วให้เด็กสัมผัสสิ่งของที่อยู่ในกล่องปริศนา เมื่อเด็กสัมผัสเสร็จแล้วให้เด็กตอบว่าในกล่องปริศนาที่ เด็กได้สัมผัสนั้นมีลักษณะอย่างไร และตรงกับจานหมายเลขใด อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ฟองน้ำล้างจานผิวเรียบ 2. จานหมายเลข 2 ฟองน้ำล้างจานผิวขรุขระ 3. กล่องสี่เหลี่ยมทึบ จำนวน 1 กล่อง หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนชื่อ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


59 แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 2 ทักษะการจำแนกประเภท ข้อที่ 6 สถานการณ์ ให้เด็กดูมะนาวในตะกร้า แล้วให้เด็กจำแนกมะนาวตามขนาด โดยที่มะนาวขนาดใหญ่ให้ใส่ลง ไปในจานหมายเลข 1 มะนาวขนาดเล็กให้ใส่ลงไปในจานหมายเลข 2 อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ใส่มะนาวขนาดใหญ่ 2. จานหมายเลข 2 ใส่มะนาวขนาดเล็ก 3. ตะกร้าใส่มะนาว เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 7 สถานการณ์ ให้เด็กดูผลไม้ในตะกร้าซึ่งมี องุ่น มะม่วง ฝรั่ง กล้วย ส้ม แอปเปิล โดยให้เด็กจำแนกผลไม้ที่ รับประทานได้ทั้งเปลือกใส่ในจานหมายเลข 1 และผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนรับประทานใส่จาน หมายเลข 2 อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ใส่ผลไม้ที่รับประทานได้ทั้งเปลือก 2. จานหมายเลข 2 ใส่ผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนรับประทาน 3. ตะกร้าใส่ผลไม้ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


60 ข้อที่ 8 สถานการณ์ ให้เด็กดูแผ่นกระดาษรูปเรขาคณิตที่มีรูปร่าง สี และขนาด เหมือนกัน และต่างกัน ซึ่งมี วงกลม สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม จำนวน 9 ชิ้น แล้วให้จัดใส่กระจาด 3 ใบ โดยจำแนกและจัดกลุ่ม ตั้งแต่ 2 ลักษณะขึ้นไปโดยไม่ให้ซ้ำกันเป็นเกณฑ์เช่น จำแนกตามสี ขนาด และรูปทรง อุปกรณ์ 1. กระจาด 3 ใบ 2. แผ่นกระดาษรูปเรขาคณิต วงกลม ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ อย่างละ 1 ชิ้น 3. แผ่นกระดาษรูปเรขาคณิต สี่เหลี่ยม ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ อย่างละ 1 ชิ้น 4. แผ่นกระดาษรูปเรขาคณิต สามเหลี่ยม ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ อย่างละ 1 ชิ้น เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 9 สถานการณ์ ให้เด็กดูสิ่งของซึ่งมี สมุด หนังสือ ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ลูกบาส ลูกบอล โดยให้เด็กจำแนกว่าสิ่ง ใดเป็นพวกเดียวกันมีลักษณะเหมือนกัน ให้นำมารวมเป็นกลุ่มเดียวกันลงในกล่อง 2 ใบที่ครูจัดให้ อุปกรณ์ 1. กล่อง 2 ใบ 2. สิ่งของ ได้แก่ สมุด หนังสือ ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ลูกบาส ลูกบอล เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


61 ข้อที่ 10 สถานการณ์ ให้เด็กดูผักในตะกร้าซึ่งมี ผักชี ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือ แครอท หัวไชเท้า โดยให้เด็กจำแนก ผักที่รับประทานใบใส่ในจานหมายเลข 1 ผักที่รับประทานรากใส่จานหมายเลข 2 และผักที่ รับประทานผลใส่จานหมายเลข 3 อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ผักที่รับประทานใบ 2. จานหมายเลข 2 ผักที่รับประทานราก 3. จานหมายเลข 3 ผักที่รับประทานผล 4. ตะกร้าใส่ผัก 5. ผัก ได้แก่ ผักชี ผักบุ้ง แตงกวา มะเขือ แครอท หัวไชเท้า เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


62 แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 3 ทักษะการสื่อความหมาย ข้อที่ 11 สถานการณ์ ให้เด็กดูภาพและบอกสิ่งที่เด็กรู้ตามความคิดเห็นของเด็ก เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


63 ข้อที่ 12 สถานการณ์ ให้เด็กดูภาพและบอกสิ่งที่เด็กรู้ตามความคิดเห็นของเด็ก เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


64 ข้อที่ 13 สถานการณ์ ให้เด็กดูภาพและบอกสิ่งที่เด็กรู้ตามความคิดเห็นของเด็ก เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


65 ข้อที่ 14 สถานการณ์ ให้เด็กดูสลัดผัก 1 จาน และให้เด็กอธิบายส่วนประกอบที่อยู่ในจานสลัดผักว่ามีอะไรบ้าง อุปกรณ์ สลัดผัก 1 จาน เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 15 สถานการณ์ ในกล่องกระดาษทึบแสงมีช่องสำหรับมองผ่านเข้าไปดูได้ภายในมีดวงดาว ดวงจันทร์เรืองแสง ติดอยู่ตามผนังด้านใน โดยให้เด็กมองดูครั้งที่ 1 ดูด้วยตาเปล่า ครั้งที่ 2 ใช้ไฟฉายส่องดู จากนั้นถาม เด็กว่าเห็นอะไรบ้าง การดูครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 มีความแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร อุปกรณ์ 1. กล่องกระดาษทึบแสง ภายในติดดวงดาว ดวงจันทร์เรืองแสงตามผนังด้านใน 2. ไฟฉาย เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


66 แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ชุดที่ 4 ทักษะการลงความเห็นข้อมูล ข้อที่ 16 สถานการณ์ ให้เด็กดูกระจาดใส่ผลไม้ ซึ่งมี ส้ม กล้วย องุ่น เงาะ สัปปะรด แคนตาลูป น้อยหน่า พร้อมให้ เด็กบอกชื่อผลไม้จนครบ จากนั้นใช้ผ้าคลุมแล้วให้เด็กบอกชื่อผลไม้ที่เห็น 3 ชื่อ อุปกรณ์ 1. ผลไม้ ได้แก่ ส้ม กล้วย องุ่น เงาะ สัปปะรด แคนตาลูป น้อยหน่า 2. กระจาด 3. ผ้าคลุม เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 17 สถานการณ์ ให้เด็กดูถาดผลไม้ ซึ่งมี ส้ม มะนาว มะม่วง ลำไย แล้วให้เด็กคลำในถุงผ้าที่บรรจุมะนาว 1 ผล มะม่วง 1 ผล ลำไย 1 ผล และลูกปิงปอง 1 ลูก จากนั้นให้เด็กบอกว่าในถุงมีผลไม้อะไรบ้างที่ เหมือนกับผลไม้ในถาด อุปกรณ์ 1. ถุงผ้าที่บรรจุ มะนาว 1 ผล มะม่วง 1 ผล ลำไย 1 ผล และลูกปิงปอง 1 ลูก 2. ถาดผลไม้ซึ่งมี ส้ม มะนาว มะม่วง ลำไย เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


67 ข้อที่ 18 สถานการณ์ ให้เด็กคลำใบไม้ที่ผ้าคลุมอยู่ แล้วให้เด็กบอกว่าใบไม้ที่คลำนั้นมีลักษณะอย่างไร จากนั้นให้ เด็กดูจานใส่ใบไม้แล้วตอบว่าใบไม้ที่คลำคือใบไม้ที่อยู่ในจานหมายเลขใด ซึ่งมี ใบมะม่วง ใบโพธิ์และ ใบหูกวาง อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ใบโพธิ์ 2. จานหมายเลข 2 ใบมะม่วง 3. จานหมายเลข 3 ใบหูกวาง หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนชื่อ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม ข้อที่ 19 สถานการณ์ ให้เด็กชิมน้ำส้มที่อยู่ในแก้วทึบแสง แล้วให้เด็กบอกว่าน้ำในแก้วทึบแสงนั้นมีรสชาติอย่างไร จากนั้นให้เด็กดูแก้วน้ำผลไม้ทั้ง 3 แก้วแล้วตอบว่าน้ำผลไม้ที่ชิมนั้นคือผลไม้ที่อยู่ในจานหมายเลขใด อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ส้ม 2. จานหมายเลข 2 มะนาว 3. จานหมายเลข 3 เสาวรส หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนชื่อ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


68 ข้อที่ 20 สถานการณ์ ให้เด็กดมใบกระเพราที่อยู่ในผ้าห่อ แล้วให้เด็กบอกว่าใบที่ดมในผ้าห่อนั้นมีกลิ่นอย่างไร จากนั้นให้เด็กดูผักในจานทั้ง 3 ใบ ซึ่งมีใบกระเพราสด ใบแมงลักสด และใบโหรพาสด แล้วตอบว่าผัก ที่มีกลิ่นเหมือนกับผักที่อยู่ในผ้าห่ออยู่ในจานหมายเลขใด อุปกรณ์ 1. จานหมายเลข 1 ใบแมงลักสด 2. จานหมายเลข 2 ใบโหรพาสด 3. จานหมายเลข 3 ใบกระเพราสด หมายเหตุ ขณะทดลองจะใช้ตัวเลขแทนชื่อ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง 1 คะแนน เมื่อเด็กปฏิบัติได้ถูกต้องโดยครูต้องอธิบายเพิ่มเติม 0 คะแนน เมื่อเด็กไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องแม้ครูอธิบายเพิ่มเติม


69 ทดสอบครั้งที่ ......... แบบบันทึกการให้คะแนนทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คำชี้แจง ให้ครูเขียนคะแนนจากการทดสอบเด็กลงในช่องบันทึกคะแนน ลงชื่อ ผู้ทดสอบ (....................................................) ........../........../.......... ที่ ข้อ รวม 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22


70 ภาคผนวก ข แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ เรื่อง เห็ด


71 คู่มือการใช้ แผนการจัดประสบการณ์แบบโครงการ หลักการและเหตุผล ในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยนั้น สามารถจัด ประสบการณ์เพื่อส่งเสริมได้หลายวิธี การจัดประสบการณ์แบบโครงการ (Project Approach) เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เปิดโอกาสให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย และได้ทำงานร่วมกับเพื่อนโดยผ่านกิจกรรม การจัดประสบการณ์แบบ โครงการที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นการจัดประสบการณ์ที่มุ่งเน้นเด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ โดย คำนึงถึงความสนใจ ความต้องการของเด็ก และความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นสำคัญ เด็กได้ศึกษา ในเรื่องที่เด็กสนใจอย่างลุ่มลึก เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจากสถานการณ์จริง ได้ค้นพบข้อมูลความรู้ด้วยตนเองจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และจากการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งรูปแบบของการจัดประสบการณ์แบบโครงการนั้นมีรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลายตามความสนใจ ของเด็ก เช่น การสนทนา อภิปราย การเล่านิทาน การสาธิต การปฏิบัติการทดลอง การศึกษานอก สถานที่ ฯลฯ และด้วยรูปแบบของกิจกรรมที่หลากหลายเหล่านี้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด เลือก และตัดสินใจที่จะลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามความสนใจของเด็ก เด็กได้มีโอกาสใช้และฝึกฝน ทักษะต่าง ๆ ในการเรียนรู้ ได้ใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลและยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อีกทั้ง ยังปฏิบัติตามกฎกติกาที่เด็กได้ร่วมกันกำหนดขึ้น อันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ได้วางแผนการ เรียนรู้ร่วมกัน ทั้งนี้บุคคลที่มีความสำคัญในการช่วยเหลือและสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก คือ ครูและ ผู้ปกครอง ซึ่งครูมีบทบาทสำคัญในการจัดสภาพแวดล้อม บรรยากาศและสถานการณ์ที่กระตุ้นและ ส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ คอยดูแลให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งการสังเกต บันทึก สรุปการเรียนรู้และประเมินความก้าวหน้าในทุกด้านของเด็ก ส่วนผู้ปกครองนั้นมีบทบาทในการช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก โดยเป็นผู้ให้และแลกเปลี่ยนข้อมูล กับเด็ก ช่วยในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญให้กับเด็ก รวมทั้งคอยเป็นกำลังใจให้กับเด็ก ในการทำโครงการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยก่อให้เกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ขึ้นในเด็กปฐมวัย จุดมุ่งหมาย เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้ การจัดประสบการณ์แบบโครงการ


72 เนื้อหา การจัดประสบการณ์แบบโครงการ คือ การจัดกิจกรรมและประสบการณ์ที่ให้เด็กได้มี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อมที่เด็กสนใจและต้องการศึกษาหาคำตอบ โดย เด็กจะมีส่วนร่วมในการวางแผนการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติกิจกรรม เพื่อค้นหาคำตอบจาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ อย่าลุ่มลึก โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก ช่วยเหลือและสนับสนุนการเรียนรู้ ให้กำลังใจและเชื่อมโยงประสบการณ์ต่าง ๆ ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ โดยจัดประสบการณ์แบบโครงการ ให้กับเด็กปฐมวัยในชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโคกลาด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 หลักการจัดกิจกรรม 1. การจัดประสบการณ์แบบโครงการ ในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์สัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดีและวันศุกร์วันละ 30 นาทีรวมทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ รวมทั้งหมด 24 ครั้ง 2. เด็กทุกคนได้รับอิสระในการเรียนรู้กับการจัดประสบการณ์แบบโครงการโดยครูสร้าง บรรยากาศให้เป็นกันเองโดยครูมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กระหว่างดำเนินการจัดประสบการณ์ 3. สัปดาห์ที่ 1 ระยะเริ่มต้นโครงการ สร้างความคุ้นเคยกับเด็ก และเปิดโอกาสให้เด็กเลือก เรื่องที่ต้องการจะเรียน เด็กร่วมมือกันวางแผนกิจกรรมโครงการ โดยใช้การระดมสมอง เพื่อวางแผน ในการศึกษาและร่วมกันตั้งคำถามเพื่อคันหาคำตอบโดยการสืบสวน เด็กทบทวนประสบการณ์เดิม และถ่ายทอดประสบการณ์เดิมออกมาเป็นผลงาน สัปดาห์ที่ 2-7 ระยะพัฒนาโดรงการ เด็กศึกษาค้นคว้าอย่างลุ่มลึกเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ หัวข้อที่ตนสนใจ โดยผ่านประสบการณ์ตรง เช่น การพาไปทัศศึกษา การพูดคุย สนทนา การทำ กิจกรรมศิลปะ เช่น การวาด การปั้น การประดิษฐ์ และกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดลอง การทดสอบต่าง ๆ การตั้งสมมติฐาน การทดสอบสมมติฐาน และการปรับปรุงแก้ไขผลงาน เป็นตัน สัปดาห์ที่ 8 ระยะสรุปโครงการ สรุปประสบการณ์ที่ได้รับจากการศึกษาโครงการและ นำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดแสดง การจัดนิทรรศการ การสาธิตเพื่อให้ผู้ปกครอง ครู และ เพื่อน ๆ ได้ชมผลงานและกิจกรรมที่จัดขึ้น บทบาทเด็ก 1. ร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอหัวข้อที่จะจัดประสบการณ์แบบโครงการ 2. สนทนาแลกเปลี่ยน และตั้งคำถามเกี่ยวกับหัวเรื่องที่ต้องการศึกษา 3. ร่วมกันวางแผนการปฏิบัติกิจกรรมและเวลาที่ใช้ในการดำเนินโครงการ 4. กำหนดข้อตกลงในการทำกิจกรรมและร่วมกันปฏิบัติตาม


73 5. ลงมือศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองจากการสอบถาม การค้นคว้าและลงมือปฏิบัติกิจกรรม 6. นำเสนอข้อมูลและความรู้ที่ได้รับจากกิจกรรมโครงการในรูปแบบที่หลากหลาย 7. ช่วยกันสรุปกระบวนการเรียนรู้และผลที่ได้จากการเรียนรู้ร่วมกันในการจัดประสบการณ์ แบบโครงการ 8. ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมแบบโครงการเพื่อให้เกิดความลุล่วงจนเป็นผลสำเร็จ 9. ร่วมกันวางแผนในการจัดแสดงผลงานและเชิญชวนผู้ปกครองให้มาร่วมชมผลงานด้วย 10. ประเมิน ทบทวนความรู้จากการทำตามขั้นตอนของการจัดประสบการณ์แบบโครงการ และร่วมกันหาข้อเสนอแนะในการทำการจัดประสบการณ์แบบโครงการครั้งต่อไป บทบาทครู ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่จะทำให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ตามจุดประสงค์ ดังนี้ 1. ครูควรมีการพิจารณา และวางแผนงานร่วมกับเด็กในการดำเนินกิจกรรมตามระยะขั้นของ การจัดประสบการณ์แบบโครงการ 2. ครูสร้างสถานการณ์ สิ่งแวดล้อม หรือใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดการสงสัย และ ขวนขวายที่จะหาคำตอบหรือหาวิธีต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ 3. จัดเตรียมอุปกรณ์ บรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ โดยร่วมกันจัดหาสิ่งอำนวย ความสะดวกต่าง ๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนข้อมูลอื่น ๆ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เด็กทำการสืบค้น 4. ให้การสนับสนุนแนะนำช่วยเหลือในการดำเนินงานให้เป็นไปในรูปแบบของการเรียนรู้ แบบโครงการ 5. ช่วยแนะนำวิธีการแก้ปัญหาต่างๆอันเกิดขึ้นในระหว่างการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 6. ประสานงานระหว่างผู้ปกครอง ชุมชน และโรงเรียนในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการ เรียนรู้ของเด็กในการจัดประสบการณ์แบบโครงการ 7. สังเกตความก้าวหน้าบันทึกข้อมูลสาระการเรียนรู้ของเด็กรวมทั้งวิเคราะห์และให้ข้อมูล ย้อนกลับเพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ 8. ร่วมวางแผนการจัดผลงานเพื่อแสดงนิทรรศการที่ได้จากการจัดประสบการณ์แบบ โครงการเพื่อให้เด็กเกิดความภูมิใจในผลงานของตนเองโดยจัดแสดงและเก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ แก่เด็ก


74 บทบาทผู้ปกครอง ผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่จะทำให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ตาม จุดประสงค์ดังนี้ 1. ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการสืบดันให้ข้อมูล และแลกเปลี่ยนความรู้กับเด็กและครู 2. ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้เด็กเกิดความกระตือรือร้นและสนใจ 3 ผู้ปกครองที่มีความชำนาญหรือเชี่ยวชาญอาจช่วยมาเป็นวิทยากรในการให้ความรู้เพิ่มเติม หรือช่วยจัดหาสื่ออุปกรณ์ 4. ให้กำลังใจ และกระตุ้นให้เด็กเกิดทางเลือกในการหาคำตอบ 5. นำเสนอสาระที่เด็กเรียนรู้ต่อผู้ปกครองและชุมชน กระบวนการจัดประสบการณ์ กระบวนการจัดประสบการณ์แบบโครงการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งมีรายละเอียดแต่ละ ระยะโครงการ มีดังนี้ โครงการ /วันที่ การดำเนินกิจกรรม ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น โครงการวันที่ 1 - 8 - ครูสังเกตความสนใจของเด็กเพื่อหาข้อมูลในการเรียนรู้ - สร้างบรรยากาศในชั้นเรียนเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้าง ความคุ้นเคยกับเด็ก - เชิญชวนให้เด็กไปสำรวจบริเวณสนามและรอบ ๆ โรงเรียนเพื่อเสนอ เรื่องหรือเล่าเรื่องที่ตนเองสนใจอยากเรียนรู้ - เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจที่จะเรียนรู้ - ครูสังเกต จดบันทึก ยอมรับความคิดเห็นและการแสดงออกของเด็ก - เสนอ /คัดเลือก /ตัดสินใจในการเลือกหัวข้อที่จะทำโครงการร่วมกัน - ครูและเด็กจัดหาสื่ออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่เด็กสนใจ มานำเสนอ - แจ้งข่าวสารถึงผู้ปกครองเพื่อนำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบการจัด ประสบการณ์แบบโครงการและหัวข้อโครงการที่เด็กสนใจ - เด็กร่วมกันสนทนาถึงประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของ โครงการ - เด็กได้แสดงความคิดเห็น ครูจดบันทึกการแสดงออกในโครงการ ของเด็ก


75 กระบวนการจัดประสบการณ์(ต่อ) โครงการ /วันที่ การดำเนินกิจกรรม - นำหัวเรื่องที่จะศึกษามากำหนดให้อยู่ในรูปแบบของใยแมงมุม (Web) เพื่อจะนำไปสู่การขยายเนื้อหากับการเรียนรู้ - เด็กนำความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เดิมในหัวข้อโดรงการมานำเสนอ ในรูปแบบของกิจกรรม เช่น การเล่นบทบาทสมมติการเล่าเรื่องราว การทำกิจกรรมศิลปะ การเคลื่อนไหว เป็นต้น - เชิญชวนเด็กให้ร่วมกันตั้งคำถามที่สนใจเกี่ยวกับหัวเรื่องของโครงการ - เด็กและครูร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ เกี่ยวกับหัวเรื่องโครงการในรูปแบบต่าง ๆ ตามความต้องการ เช่น การวาด การปั้น เป็นตัน - เด็กและครูร่วมมือกันในการช่วยระดมพลังสมองเพื่อวางแผน ในการศึกษาคันคว้าเกี่ยวกับการทำโครงการ - แจ้งข่าวสารถึงผู้ปกครองเพื่อขอความร่วมมือกับผู้ปกครองในการ ให้ข้อมูล เพื่อเป็นแนวทางให้เด็กได้ศึกษาค้นคว้าต่อไป - เด็กและครูร่วมกันวางแผนในการทำโครงการ โดยใช้คำถามเกี่ยวกับ ขั้นตอนในการทำกิจกรรม รวมทั้งสื่ออุปกรณ์ และแหล่งข้อมูล ที่จะสืบค้น - เด็กและครูร่วมกันเสนอแผนงานการทำโครงการ เพื่อการลงมือ ปฏิบัติการทำงานภาคสนาม - ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นในการทำโครงการ ครูจดบันทึกการวาง แผนการทำงานของเด็ก - เด็กร่วมกันวางแผนในการค้นหาข้อมูล /คำตอบจากแหล่งอื่นเพื่อ ความสะดวกในการทำโครงการ - เชิญชวนและกระตุ้นเด็กให้ตั้งคำถาม สมมติฐานหรือดาดคะเน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในโครงการ เพื่อเป็นการเตรียมการทำโครงการ ภาคสนามค้นคว้าในสิ่งที่เด็กต้องการเรียนรู้ - แจ้งข่าวสารถึงผู้ปกครองเด็กในการทำโครงการ เพื่อขอความร่วมมือ ในการปฏิบัติงานในภาคสนาม


76 กระบวนการจัดประสบการณ์(ต่อ) โครงการ /วันที่ การดำเนินกิจกรรม ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา และค้นหาคำตอบ โครงการวันที่ 9 – 23 - เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ - เด็กดำเนินการค้นหาความรู้เกี่ยวกับโครงการจากแหล่งข้อมูล ความรู้ ตามที่วางแผน เช่น การศึกษาดูงาน การเชิญวิทยากร การไปพบ ผู้เชี่ยวชาญ การศึกษาดูงานจากหน่วยงานต่าง ๆ - เด็กดำเนินการหาความรู้ตามแผนที่วางไว้และมีการปรับปรุงแผน เมื่อมีปัญหาหรืออุปสรรค - ครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก แนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุนในการ ค้นคว้า เพื่อให้เด็กได้พบคำตอบและความรู้ที่ตนเองสงสัยและอยากรู้ - ส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าการเน้นทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ - เด็กทดสอบสิ่งที่ได้จากการทำโครงการ เพื่อให้เด็กค้นหาสิ่งที่ควร แก้ไขและปรับปรุง ระยะที่ 3 ระยะสรุปผล และจัดแสดงนิทรรศการ โครงการวันที่ 24 - เด็กทบทวนการเรียนรู้และขั้นตอนจากการทำโครงการ - ครูสังเกตเด็กในการทำโครงการ เมื่อพบว่าทุกคนพอใจในการทำ โครงการ เชิญชวนและกระตุ้นให้เด็กคิดหาวิธีการนำเสนอผลงาน ที่ทำในโครงการ - เด็กและครูร่วมกันเสนอความคิดเห็นและวางแผนในการนำเสนอ ผลงานที่ได้ทำในโครงการ - เด็กและครูร่วมกันการจัดกิจกรรมการนำเสนอผลงานทำโครงการ ที่เด็กเสนอไว้ - เด็กและครูช่วยกันลงมือปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ โดยอาจจะนำเสนอ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดนิทรรศการ การแสดง การเล่นบทบาท สมมติ เป็นต้น - ให้นักเด็กเชิญชวน ผู้ปกครอง /เพื่อน /ครู /บุคคลต่าง ๆ ที่สนใจ เข้าร่วมชมกิจกรรมโครงการที่เด็กได้ทำ - ให้เด็กนำเสนอผลงาน /บทบาทหน้าที่ /ความรับผิดชอบในหน้าที่ ของตนเองที่ได้รับมอบหมาย - เมื่อสิ้นสุดโครงการ เด็กและครูร่วมกันประเมินความสำเร็จ /ปัญหา /อุปสรรค /ปัญหาจากการทำโครงการที่พบ เพื่อหาทางแก้ไขร่วมกัน ในการทำโครงการครั้งต่อไป


77 บันทึกการเรียนรู้ โครงการ เห็ด ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น วันที่ 1 ครูเล่านิทานเรื่อง “ตุ๊กตากับเทวดาเห็ด” ให้เด็ก ๆ ฟังเพื่อเป็นการสร้างสถานการณ์และ กระตุ้นให้เด็ก ๆ เสนอหัวเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ หรือเรื่องอื่น โดยครูใช้คำถาม ครู : ในนิทาน มีตัวละครอะไรบ้าง เจน /จอม : มีเทวดาเห็ด ออกัส : แมลงเต่าทอง คิว : ต้นพริก ต้นอ้อย ครู : แล้วสัตว์อะไรที่มันร้อง “โฮ่ง โฮ่ง” เอิร์ธ /แนน : หมา กล้วยหอม : หมามันกินอาหารเม็ด หมวย : มันกินอาหารจากคนด้วย ปังปัง : หนูเคยเห็นหมาข้ามถนน ครู : แล้วหนูเห็นที่ไหน ปังปัง : พ่อขับรถแล้วมีคนพามันข้ามถนน ครู : เด็ก ๆ คิดว่าคนพาหมาข้ามถนนไปไหน ข้าวฟ่าง : พาไปกินข้าว ลีวาย : พากลับบ้าน ชินจัง : หนูเคยเห็ดเป็ดที่ทุ่งนา ตาม /ศร : หนูก็เคยเห็น ครู : แล้วหนูเคยเห็นที่ไหน ตาม : แม่หนูพาขี่จักรยานไปแล้วเห็น โชค : ครู บ้านหนูมีหมา เจน : บ้านหนูก็มี ต้นเงิน : บ้านหนูมีแมว ครูสังเกตพบว่าเด็ก ๆ สนใจเรื่องสัตว์ ครูสนทนากับเด็ก ๆ ว่า “เด็ก ๆ รู้จักสัตว์ตั้งหลายชนิด แล้ว ตอนนี้เรายังไม่มีเรื่องเรียนกันเลย แล้วมีใครอยากเรียนเรื่องสัตว์บ้าง” เด็ก ๆ ร่วมกันยกมือ ครู จึงถามต่อว่า “แล้วมีใครอยากเรียนเรื่องอื่นบ้างก็ให้บอกครู เราจะได้ตกลงกันว่า เด็ก ๆ อยากเรียน


78 เรื่องสัตว์หรือเรื่องอื่น” เด็กทุกคนตอบว่าอยากเรียนเรื่องสัตว์ ซึ่งในวันนั้นเรายังสรุปเรื่องที่จะเรียน ไม่ได้ว่าอยากจะเรียนเกี่ยวกับสัตว์ตัวไหน ครูจึงให้การบ้านเด็ก ๆ ว่า “ที่บ้านใครเลี้ยงสัตว์ หรือเด็ก ๆ ชอบสัตว์ตัวไหน ให้กลับไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ แล้วพรุ่งนี้เราจะมาคุยกันว่าเด็ก ๆ อยากจะเรียนเรื่อง สัตว์อะไร หรืออยากเรียนเรื่องอื่น” วันที่ 2 ครูทบทวนเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ที่เด็กชอบหรือที่บ้านเลี้ยงไว้และได้ไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่มา เพื่อหาหัวเรื่องที่จะเรียน แต่มีเด็กที่ได้กลับไปคุยกับผู้ปกครองมาน้อยมาก ครูจึงใช้คำถามกระตุ้นเด็ก โดยก่อนที่จะถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องสัตว์นั้น ครูและเด็กร่วมกันตกลงถึงกติกาในการร่วมแสดงความ คิดเห็น เด็กและครูร่วมกันสรุปข้อตกลงจากนั้นครูเริ่มถามคำถาม ครู : ที่บ้านใครเลี้ยงสัตว์บ้าน ลีวาย : บ้านลีวายเลี้ยงนกแก้ว ป๊อป : บ้านน้องป๊อบเลี้ยงหมาชื่อ ไอ้ตาล อิง : บ้างอิงก็มี 2 ตัว บิ๊กไบค์ : ครู บ้านหนูเลี้ยงไก่ ครู : บ้านใครมีสัตว์ไม่เหมือนของเพื่อน ต้นเงิน : บ้านหนูเลี้ยงแมว อ๋อมแอ๋ม : เลี้ยงไก่แจ้ เฟอร์ : หมูบ้านหนูมันออกลูก จอม : หนูเคยเห็นหมูมันดมเห็ดที่อยู่ในดินให้คนมากิน ครู : แล้วหนูเห็นมาจากไหน จอม : จากคลิปในยูทูบ นิ่ม : หนูเคยเห็นเห็ดหูหนูเกิดอยู่บนต้นไม้ในโรงเรียน แนน : หนูเคยไปเก็บเห็ด ออกัส : ต้องให้ผู้ใหญ่เก็บ เด็กทำเดี๋ยวเห็ดเละ หมวย : ต้องต้มเห็ดก่อนถึงกินได้ ครูสังเกตเห็นว่า เด็ก ๆ กำลังสนใจกับเรื่อง เห็ด จึงนำเสนอเรื่อง เห็ด กับเด็ก และเด็กทุกคน ลงความเห็นว่าอยากเรียนเรื่อง เห็ด วันนี้ครูจึงได้หัวเรื่องทำโครงการคือ เรื่อง เห็ด


79 วันที่ 3 เด็กและครูสนทนาทบทวนเกี่ยวกับหัวเรื่อง เห็ด ที่เราจะเรียนกันและเด็กเล่าถึงประสบการณ์ เดิมเกี่ยวกับหัวเรื่อง และครูจดบันทึกเป็นรายบุคคล โดยครูใช้คำถามกระตุ้น ครู : เด็ก ๆ รู้จักเห็ดอะไรบ้าง นิ่ม /ต้นเงิน /แนน /ป๊อป : เห็ดเข็ม ตาม : เห็ดหอม โชค/เจน/ศร/อิง : เห็ดหูหนู ข้าวฟ่าง /คิว /เฟอร์ : แม่หนูเอาเห็ดมาทำอาหาร เอิร์ธ /อ๋อมแอ๋ม /จอม /กัส : ต้องให้มันสุกก่อนถึงจะกินได้ ปังปัง /หมวย /บิ๊กไบค์ : เคยกินเห็ดอร่อยมาก ชินจัง /กล้วยหอม /ลีวาย : เคยเห็นเห็ดพิษที่โรงเรียน เมื่อสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เดิมแล้ว ครูจึงให้การบ้านเด็ก ๆ กลับไปสนทนากับคุณ พ่อ คุณแม่ว่าหนูจะเรียนเรื่อง เห็ด ให้คุณพ่อคุณแม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับเห็ด หรือช่วยหาสื่อมาให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ จากนั้นเด็กทำกิจกรรมนำเสนอประสบการณ์เดิมโดยการวาดภาพ การปั้น เป็นต้น ครูทำจดหมายถึงผู้ปกครองเกี่ยวกับลักษณะการจัดประสบการณ์ รูปแบบการจัดกิจกรรมใน โครงการ และขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการให้ข้อมูลความรู้และจัดหาอุปกรณ์เกี่ยวกับหัวเรื่อง ที่ทำโครงการ ให้นำเสนอประสบการณ์เดิมด้วยการวาดภาพ ระบายสี และปั้นแป้งโด วันที่ 4 เด็กและครูร่วมกันสนทนาอภิปรายเกี่ยวกับหัวเรื่องหลังจากที่กลับไปพูดคุยกับผู้ปกครอง ซึ่ง มีเด็กเพียง 2 – 3 คน ที่ได้สนทนาเกี่ยวกับหัวเรื่องกับผู้ปกครอง โดยในการสนทนา ครูเป็นผู้เปิดการ สนทนา ทบทวนความจำเด็ก ว่า ครู : เมื่อวานใครได้กลับไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่เรื่อง เห็ด บ้าง ออกัส : ครู วันนี้แม่ออกัสเอาเห็ดมา ครู : เพื่อน ๆ มีใครอยากรู้บ้างว่า คุณแม่น้องออกัสเอาเห็ดอะไรมาให้ เด็ก ๆ ดู


80 หมวย : บ้านหมวยมีเห็ดฟาง ออกัส : แม่บอกให้เอาเห็ดมาแบ่งให้เพื่อนดู จอม : แม่หนูเอามาทอดให้กิน ตาม : พ่อหนูบอกว่าเห็ดบางชนิดมีพิษ ป๊อบ : บ้านเรามีเห็ดฟาง ต้องให้มันกินน้ำทุกวันมันถึงจะงอก ครู : เด็ก ๆ คิดว่ามีเห็ดอะไรที่เราปลูกเองได้อีก เอิร์ธ /ลีวาย /นิ่ม : เห็ดนางฟ้า ครู : แล้วคนอื่นที่ยังไม่ตอบว่ามีเห็ดอะไรที่เราปลูกเองได้อีก (เด็กจะยัง ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น ครูจึงต้องเรียกชื่อเพื่อให้เด็กได้มี ส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าเด็กยังไม่กล้าที่จะ แสดงออก ครูก็จะยังไม่บังคับ บางครั้งเด็กยังนึกคำตอบไม่ออก ครูจะใช้คำถามอื่นกระตุ้น เช่น สัตว์อะไรที่ชื่อเหมือนสัตว์แล้วสัตว์ ตัวนี้โดราเอมอนกลัวมาก) ตาม /ศร แนน /เจน : เห็ดหูหนู ครูถามเด็ก ๆ ว่า “มีใครอยากเล่าอะไรให้เพื่อนฟังอีกไหม” เด็ก ๆ บอกว่า “ไม่มี” ครูจึงเชิญ ชวนให้เด็ก ๆ นำเสนอผลงานผลงานของตนเองให้เพื่อน ๆ ดู โดยครูถามว่าใครอยากออกมาเล่าให้ เพื่อนฟังก่อน น้องอ๋อมแอ๋มยกมือ แต่พอออกมาแล้ว ไม่กล้าเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ครูจึงให้น้องอ๋อมแอ๋ม ถือภาพที่ตนเองวาดให้เพื่อน ๆ ดู แล้วถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในภาพว่าวาดอะไรและเป็นอย่างไร เมื่อ บอกเพื่อน ๆ เสร็จ ครูกล่าวชมเชยและเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้กำลังใจด้วยการปรบมือให้น้องอ๋อมแอ๋ม และให้เด็กอีก 4 คน ออกมาเล่า โดยครูเป็นผู้กระตุ้นด้วยคำถามเกี่ยวกับภาพที่วาด ครูเชิญชวนเด็ก ๆ ให้ออกมาเสนอผลงานให้เพื่อน ๆ ฟังทุกครั้ง ดีไหม เด็ก ๆ เห็นด้วย จากนั้นครูให้เด็กแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ละ 5 คน แต่ละกลุ่มร่วมกันทำกิจกรรมเกี่ยวกับหัวเรื่องที่ครูเตรียมไว้ให้ วันที่ 5 ครูเชิญชวนเด็ก ๆ สนทนาเกี่ยวกับการนำเสนอผลงานหน้าห้อง ซึ่งเด็กและครูตกลงกันว่าจะ ให้ออกมานำเสนอผลงานวันละ 5 คน น้องแนน บอกว่า อยากออกกับเพื่อน เด็กส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ น้องแนน จึงลงความคิดเห็นได้ว่า จะออกมานำเสนอผลงานเป็นกลุ่ม จากนั้นครูเชิญชวนเด็กร่วมกัน วางแผนในการเก็บผลงาน บางคนบอกว่าเก็บไว้ที่ชั้น หลายคนบอกว่าให้ติดไว้ที่บนกระดานห้องจะ


81 สวยกว่าน้องข้าวฟ่างกับน้องเอิร์ธ บอกว่า ถ้าติดที่กำแพง คุณพ่อคุณแม่เดินมาจะได้เห็น เพื่อน ๆ เห็น ด้วยกับความคิดเห็นของน้องข้าวฟ่างกับน้องเอิร์ธ จึงตกลงกันตามนั้น ครูให้เด็ก ๆ ช่วยกันคิดว่าแล้ว เราจะติดอย่างไร เด็ก ๆ บอกว่าต้องใช้สก๊อตเทป กรรไกร กระดาษ ครูถามต่อว่าแล้วเราจะให้ใครเป็น คนติด เด็กทุกคนบอกให้คุณครูติดให้ จากนั้นครูให้เด็กออกมานำเสนอผลงาน โดยครูสังเกตเห็นว่าเด็ก จะยังไม่กล้านำเสนอ ครูยังต้องใช้คำถามนำเด็กว่า วาดรูปอะไร อย่างไร เด็กส่วนใหญ่จะพูดเสียงเบา ไม่กล้าที่จะพูดหน้าห้อง เมื่อเด็กแต่ละคนนำเสนองานของตนเองเสร็จ ครูจะสรุปให้เด็ก ๆ ฟังอีกครั้ง (ในกรณีที่เด็กไม่กล้าที่จะนำเสนอผลงาน ครูจะเข้าไปนั่งใกล้ ๆ และค่อย ๆ ถามเกี่ยวกับงานของเด็ก แต่ถ้าเด็กยังไม่พร้อมและไม่อยากที่จะบอกครูจะไม่บังคับ จะให้เวลาเด็กในการเรียนรู้ที่จะร่วม กิจกรรม และจะให้โอกาสเด็กเมื่อเด็กต้องการร่วมทำกิจกรรมตามความสมัครใจ พร้อมกันนั้นครูก็ ไม่ได้ละเลยที่จะให้ความสนใจและให้กำลังใจกับเด็กที่ยังไม่พร้อมจะร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อนโดย ครูจะเข้าไปสนทนากับเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อให้เด็กสะท้อนความคิดเห็นของตนเองจากการทำ ผลงาน และครูคอยบันทึกการเรียนรู้ของเด็ก และนำมาสรุปให้เด็กทุกคนฟังเป็นกลุ่มใหญ่อีกครั้ง และ ส่งเสริมและเป็นแบบอย่างให้เด็กทุกคนช่วยกันให้กำลังใจกับเพื่อน โดยกล่าวชมเชยหรือปรบมือให้ เพื่อน เพื่อเด็กจะได้มีกำลังใจ และมีความเชื่อมั่นที่จะกล้าแสดงออกมากขึ้น) หลังจากนำเสนอผลงาน เรียบร้อยแล้ว ครูสนทนากับเด็ก ๆ เกี่ยวกับหัวเรื่อง โดยครูนำหัวเรื่องเขียนไว้ในกระดาษชาร์ท และ เขียนประสบการณ์เดิมของเด็ก ๆ ที่พูดเกี่ยวกับเห็ดลงไป จากนั้นเด็กเข้ากลุ่มและทำกิจกรรมที่ค้างไว้ จากสัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 6 ครูสนทนากับเด็ก ๆ ว่า ในวันหยุดที่ผ่านมามีใครกลับไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่เรื่อง เห็ด บ้าง ออกัส : หนูดูทีวีเห็นเห็ดปลวกด้วย ปังปัง : ปลวกไม่มีเห็ด ออกัส : มี เราเห็นในทีวี ครู : เด็ก ๆ คนอื่นว่าปลวกทำให้เกิดเห็ดได้ไหม นิ่ม /อิง คิว /จอม : ได้ ครู : จึงถามเด็ก ๆ ว่า แล้วเด็ก ๆ อยากรู้ไหมว่า “ปลวกมันทำให้เกิด เห็ดได้ไหม” เด็กทุกคนสนใจและตอบพร้อมกันว่า “อยากรู้” ซึ่ง ครูได้เขียนคำถาม (ใช้ปากกาสีแดง) ลงบนกระดาษชาร์ท แล้วครูจึงถามเด็ก ๆ ว่า “แล้วเราจะไปถามใครดี” เด็ก ๆ ส่วน ใหญ่บอกว่า “ถามคุณครู” ส่วนเด็กที่เหลือบางคนไม่ตอบ ครูเลย


82 ถามว่าแล้วเราจะไปถามครูคนไหน น้องอิงกับน้องหมวยบอกว่า “จะไปถามครูปุ๊” ครูจึงถามว่า “แล้วเราจะให้ใครเป็นตัวแทนไป ถามคุณครูปุ๊ดี” เด็ก ๆ ตกลงกันว่าจะให้น้องคิวกับน้องต้นเงิน เป็นคนไปถาม จากนั้นครูนำเห็ดประเภทต่าง ๆ มาให้เด็กสังเกต และสนทนาเกี่ยวกับลักษณะ สี รูปร่าง ขนาดของเห็ดแต่ละชนิด โดยครูใช้คำถามกระตุ้น ศร /ชินจัง : เห็ดเข็มสีขาว บิ๊กไบค์ : เห็ดนางฟ้าสีน้ำตาลอ่อน ลีวาย /ตาม /โชค : เห็ดฟางสีน้ำตาลเหมือนกัน หมวย /เจน : เห็ดหูหนูสีดำ อ๋อมแอ๋ม : เห็ดนางฟ้าใหญ่ที่สุด กล้วยหอม : เห็ดเข็มเล็กที่สุด เฟอร์ : เห็ดฟางมันดำ ๆ ครูฝากการบ้านให้เด็ก ๆ กลับไปลองสำรวจดูว่าที่บ้านมีตรงไหนบ้างที่มีเห็ด อยู่ในบ้านบ้าง และให้ขอคุณพ่อ คุณแม่เอามาให้คนละ 1 ดอก แล้ววันพรุ่งนี้เราจะมาดูกันว่าที่บ้านของใครมีเห็ด อะไรบ้าง และเด็ก ๆ ไปเจอเห็ดอยู่ที่ไหน หมายเหตุ คำถามที่เกิดขึ้นกับเด็กในวันนี้เป็นคำถามที่เด็กเกิดความสงสัยขณะที่เด็กคนหนึ่งได้ เล่าประสบการณ์ที่ตนได้รู้จากการดูคลิปวิดีโอในยูทูบ สรุปการเรียนรู้ระยะที่ 1 โครงการ เห็ด เริ่มจากครูสร้างสถานการณ์โดยการเล่านิทาน เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความ สนใจและครูสังเกตความสนใจของเด็กว่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ ครูจึงนำเสนอหัวเรื่อง สัตว์กับเด็ก และให้เด็กแสดงความคิดเห็นร่วมกัน เด็กส่วนใหญ่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องสัตว์ เนื่องจากใน ครอบครัวและญาติของเด็กได้เลี้ยงสัตว์ไว้ที่บ้าน เด็กจึงนำประสบการณ์เกี่ยวกับสัตว์ที่ตนชอบหรือ เคยเลี้ยงมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเพื่อน และจากการที่ครูนำเสนอเรื่อง สัตว์แต่ยังไม่ สามารถกำหนดได้ว่าจะเรียนเรื่องสัตว์อะไร เด็ก ๆ สามารถเชื่อมโยงจากเรื่องสัตว์ไปถึงเรื่องเห็ด และ ร่วมแสดงดวามคิดเห็นอย่างหลากหลาย ครูสังเกตเห็นว่าเด็กส่วนใหญ่มีความสนใจและสนุกสนานกับ การเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับเห็ด ครูจึงเสนอเด็ก ๆ ว่าเรามาเรียนเรื่อง เห็ด กันดีไหมซึ่งเด็กทุกคน เห็นด้วย จากนั้นเด็กทุกคนจึงร่วมกันแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์เดิม ตอบคำถาม และมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ อย่างสนใจ เช่น การนำเสนอประสบการณ์เดิม การ


83 อภิปรายกลุ่ม เป็นต้น นอกจากนี้เด็กยังได้ร่วมกันวางแผนทำกิจกรรมอย่างง่าย ได้ตัดสินใจและ ยอมรับความคิดเห็นของกลุ่ม บทบาทครู ครูเป็นผู้จัดเตรียมสถานการณ์ สภาพแวดล้อมและบรรยากาศ เพื่อกระตุ้นความสนใจของ เด็ก สังเกตความสนใจและความต้องการของเด็ก ครูจะต้องใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้เด็กนำเสนอ ประสบการณ์เดิมในรูปแบบต่าง ๆ บันทึกการเรียนรู้ของเด็ก เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกทั้ง ทางด้านความคิดเห็นและการกระทำ ยอมรับความคิดเห็นของเด็ก และจัดเตรียมกิจกรรม สื่ออุปกรณ์ ที่หลากหลาย โดยคำนึงถึงพัฒนาการ ความสนใจ และความสามารถของเด็กเป็นรายบุคคล เพื่อให้ เด็กได้เรียนรู้และสามารถสื่อความหมายของเด็กได้ ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา และค้นหาคำตอบ วันที่ 7 ครูทบทวนเกี่ยวกับข้อคำถามที่เด็ก ๆ สงสัยเมื่อวานนี้ และบอกว่าจะไปถามครูปุ๊ ครูถาม ตัวแทนของห้องทั้ง 2 คนว่า ได้ไปถามครูปุ๊มาว่า “ปลวกทำให้เกิดเห็ดได้ไหม แล้วครูปุ๊บอกว่า อย่างไร” คิว /ต้นเงิน : ปลวกทำให้เกิดเห็ดได้ ต้นเงิน : เห็ดปลวก มีชื่ออีกว่าเห็ดโคน เกิดขึ้นโดยต้องพึ่งพาปลวก เพราะ ปลวกอาศัยอาหารและน้ำตาลที่เกิดจากการย่อยสลายเศษใบไม้ และใบไม้จากเชื้อเห็ดรา คิว : ปลวกงานจะเอาสปอร์ ที่เป็นตัวขยายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กมากไป ปลูกในรังให้เป็นอาหารของปลวกวัยเด็ก ส่วนสปอร์ที่เหลือ ถ้าได้รับความชื้นในฤดูฝน ก็จะโตโผล่พ้นผิวดินขึ้นมาให้คนทาน ครู : แล้วครุปุ๊บอกอะไรอีก คิว /ต้นเงิน : ไม่ได้บอกแล้ว ครู : สนทนากับเด็ก ๆ ว่า “เมื่อวานครูให้เด็ก ๆ กลับไปที่บ้านไปทำ อะไรนะคะ” แนน : ไปดูเห็ดที่บ้าน ครู : วันนี้มีเพื่อน ๆ เอาเห็ดมาให้คุณครู เดี๋ยวเรามาดูกันว่าเราเอาเห็ด อะไรมาบ้าง หมวย : หนูไม่ได้เอาเห็ดมา


84 ครู : บอกเด็ก ๆ ว่า “ไม่เป็นไร” เดี๋ยวเราจะมาดูเห็ดของเพื่อน ๆ กัน แล้วครูหยิบเห็ดชนิดต่าง ๆ ออกมาแล้วถามเด็ก ๆ ว่าเป็นเห็ด อะไร แล้วมีกี่ดอก เด็ก ๆ ช่วยกันตอบและนับจำนวนเห็ด มีเห็ด นางฟ้า 2 ดอก เห็ดชิเมจิ 5 ดอก และเห็ดเข็ม 3 ถุง จากนั้นครู ถามเด็กคนที่เอาเห็ดมาว่าไปหยิบเห็ดมาจากตรงไหน ออกัส /นิ่ม : อยู่ในตู้เย็น โชค : แม่โชคไปซื้อที่ตลาดเมื่อเช้า ครู : วันหลังบอกคุณแม่ว่าไม่ต้องซื้อมาก็ได้ ถ้าที่บ้านใครมีก็ให้เอามา โชค : หนูลืมหยิบมา ครู : เอาเห็ดที่น้องชินจัง เอามาให้เด็ก ๆ ดู แล้วถามว่า “เด็ก ๆ คิดว่า ที่น้องชินจังเอามานี้ เป็นเห็ดอะไร” เด็กทุกคน : ไม่ตอบ ครู : ถามน้องชินจังว่า “น้องชินจังเอาเห็ดมาจากไหน” ชินจัง : พ่อเอาให้ ครู : แล้วคุณพ่อบอกหรือเปล่าว่าเป็นเห็ดอะไร ชินจัง : เห็ดระโงกขาว ต้นเงิน : สีขาวเหมือนไข่เป็ดเลย ศร : แต่มันเล็กกว่า ครูบันทึกข้อมูลการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มเติมลงในกระดาษชาร์ท และสรุปให้เด็ก ๆ ฟังอีกครั้ง ว่ามีเห็ดหลายชนิดที่มีสีแตกต่างกัน และมีสีเหมือนกัน จากนั้นครูเชิญชวนเด็ก ๆ ตั้งคำถามที่สนใจ เกี่ยวกับโครงการ โดยถามว่า "เด็กๆ อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเห็ดบ้าง" เด็กๆ ทุกคนบอกว่าอยากรู้ แต่ไม่ ตอบว่าอยากรู้อะไร ครูจึงนำเสนอคำถามกับเด็ก ๆ ว่า "เด็ก ๆ อยากรู้ไหมว่าข้างในเห็ดมีอะไร" เด็ก ทุกคนสนใจและบอกว่า “อยากรู้” น้องลีวาย น้องหมวย และน้องเอิร์ธ บอกว่า ข้างในมีไม้นุ่ม ๆ อยู่ ครูบอกให้เด็ก ๆ แบ่งกลุ่มและช่วยกันวางแผนว่าเราจะทำยังไงถึงจะรู้ว่ามีไม้นุ่ม ๆ อยู่ในเห็ด และให้ ออกมาเล่าให้เพื่อนฟังเป็นกลุ่ม เด็กกลุ่มสีเหลืองบอกว่า ต้องทุบเห็ดดู กลุ่มสีฟ้าบอกว่า ต้องไปดูที่มัน อยู่ถึงจะเห็น กลุ่มสีแดงบอกว่า ต้องทำให้เห็ดแตกถึงจะเห็น กลุ่มสีเขียวบอกว่า ต้องผ่าถึงจะเห็น ครู จึงสรุปให้เด็ก ๆ ฟังว่า เราจะลองผ่าเห็ดออกมาดู และครูจะไปดูฟาร์มเห็ดกัน แต่ครูจะต้องไปขอ อนุญาตเจ้าของฟาร์มเห็ดก่อน จากนั้นครูให้เด็ก ๆ ทำกิจกรรมตามความสนใจของเด็ก


85 วันที่ 8 ครูแจ้งข่าวสารกับเด็ก ๆ ว่าได้ไปติดต่อขอเจ้าของฟาร์มเห็ดใกล้ ๆ โรงเรียนในการไปเยี่ยมชม แล้ว แต่ได้รับข่าวว่าฟาร์มเห็ดนั้นได้เลิกกิจการไปแล้ว ซึ่งหากเดินทางไปฟาร์มเห็ดที่อยู่ไกลครูเกิด ความกังวลเรื่องการเดินทาง ครูจึงเปลี่ยนวิธีการโดยจะใช้วิธีสร้างสถานการณ์ว่าจะพาชมฟาร์มเห็ด โดยการเปิดคลิปวิดีโอฟาร์มเห็ดให้เด็กดู โดยก่อนการเปิดคลิปวิดีโอครูสนทนาถึงข้อควรทำในการไป ทัศนศึกษาฟาร์มเห็ดว่าเราจะปฏิบัติตัวอย่างไร ครู : เราจะไปฟาร์มเห็ดกันอย่างไร บิ๊กไบค์ /เอิร์ธ : เดินไป นิ่ม : มันไกล เดินไปเหนื่อย แนน /ออกัส : ต้องนั่งรถ คิว : ให้พ่อคิวขับรถไปส่ง ครู : เราจะนั่งรถไปกัน เพราะถ้าเดินไปจะไกล เด็ก ๆ จะทำตัวอย่างไร เวลาจะไปขึ้นรถ กล้วยหอม /เจน /โชค /หมวย : ต้องเชื่อฟังคุณครู ครู : เวลาเราจะไปขึ้นรถเราจะไปกันอย่างไร แนน /ตาม : ต้องเดินเรียบร้อย ศร /จอม : ต้องเข้าแถวไป ครู : เวลาขึ้นรถ เด็ก ๆ แย่งกันขึ้นได้ไหม เด็กทุกคน : ไม่ได้ อ๋อมแอ๋ม : ต้องรอครู ครู : อธิบายต่อว่า ครูจะเรียกเด็ก ๆ ขึ้นรถทีละคน และเมื่อไปถึง ครูจะ ลงไปรอข้างล่างก่อน แล้วเด็ก ๆ ค่อยลงทีละคน ถ้าเราแย่งกันลง จะเป็นอย่างไร เอิร์ธ : ตกรถ ป๊อบ : เบียดกับเพื่อน ครู : ระหว่างอยู่ในรถ เด็ก ๆ เล่นกันเสียงดังได้ไหม เด็กทุกคน : ไม่ได้ ต้นเงิน : เราเอามือออกนอกรถไม่ได้ เดี๋ยวมือขาด ครู : เวลาเด็ก ๆ ออกไปข้างนอกโรงเรียน ถ้าเด็ก ๆ ไม่ฟังครู ไม่รอเพื่อน จะเป็นอย่างไร


86 ปังปัง : ถูกรถชน ชินจัง : เดี๋ยวหลงทาง ครูสรุปให้เด็ก ๆ ฟัง ว่า "ก่อนขึ้นรถ และเมื่อลงจากรถแล้ว เด็กๆ จะต้องเข้าแถวรอคุณครู เวลาอยู่ในรถไม่เอา มือ ศีรษะ แขน ขายื่นออกไปนอกตัวรถ และไม่ส่งเสียงดัง เมื่อไปถึงฟาร์มเห็ด เจอเจ้าของ เราจะต้องทำอย่างไร น้องแนน "สวัสดีค่ะ เจ้าของฟาร์มเห็ด" แล้วเวลาเราดูเสร็จเรา จะต้องทำอย่างไร เด็กๆ ไม่ตอบ ครูบอกว่าเราจะต้องขอบคุณ เพราะเขาอนุญาตให้เด็ก ๆ มาดู พอ เด็ก ๆ ไปถึงเล้าแล้ว ไปวิ่งเล่นได้ไหม เฟอร์ : ไม่ได้ เดี๋ยวไปชนเห็ดพัง อิง /ข้าวฟ่าง : เดี๋ยวเจ้าของฟาร์มดุ ครู : เราจะต้องเดินไปดูพร้อม ๆ กัน ตกลงไหมคะ เด็กทุกคน : ตกลงครับ /ตกลงค่ะ จากนั้นครูให้เด็ก ๆ แบ่งกลุ่มแล้วให้ช่วยกันคิดวางแผนว่าในกิจกรรมที่เราจะผ่าเห็ดออกมาดู ว่ามีไม้นิ่ม ๆ อยู่ข้างในไหม เราจะใช้อะไรบ้าง โดยครูเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กทุกกลุ่ม เพื่อกระตุ้นให้ เด็กคิดว่าจะต้องใช้อะไรบ้างและให้เด็กๆ ช่วยกัน วาดรูปอุปกรณ์ที่ต้องการ วันที่ 9 เด็กและครูร่วมกันสนทนาทบทวนเกี่ยวกับการไปเยี่ยมชมฟาร์มเห็ด โดยครูทบทวนเกี่ยวกับ ข้อตกลงและการปฏิบัติตัว ตลอดการเดินทางไปศึกษาหาข้อมูลในครั้งนี้ ครูให้เด็ก ๆ แบ่งกลุ่มร่วมกัน วางแผนและนำเสนอว่าเราควรจะเตรียมตัวในการเดินทางครั้งนี้อย่างไร โดยครูเข้าไปมีส่วนร่วมในการ กระตุ้นโดยใช้คำถาม และสังเกตการเรียนรู้ และจดบันทึกทุกกลุ่ม กลุ่มสีฟ้า ครู : เราจะเอาอะไรไปกันบ้าง เอิร์ธ : เอาหมวกไป ออกัส : เอาน้ำ เอาขนมไป ตาม : เอาอาหารไป ปังปัง : เอาของฝากไปขอบคุณเจ้าของฟาร์ม ป๊อบ : เอาร่มไป ครู : ถ้าเราเอาร่มไป เราจะเอาไปกางเพื่อกันแดดหรือจะเอาไปเขี่ยเห็ด เด็กทุกคน : เอาไปกางเพื่อกันแดด ออกัส : เอาอาหารไปให้เห็ดกินด้วย


87 ครู : แล้วเห็ดมันกินอะไร ปังปัง /ป๊อบ : กินปุ๋ย ครู : แล้วเราจะเอาอะไรไปให้เห็ดกิน ตาม : ปุ๋ย เอิร์ธ /ออกัส : เอาข้าว ครู : ให้เด็ก ๆ ช่วยกันลองคิดว่าจะเอาปุ๋ย หรือเอาขนมไปให้เห็ด แล้ว จะเอาไปกี่ช้อนดีส่วนที่น้องออกัสบอกว่าให้เตรียมหมวกมาด้วย เด็ก ๆ ว่าดีไหม เอิร์ธ /ปังปัง : เราต้องใส่หมวก ดีกว่ากางร่ม ออกัส : ใช่ ๆ เราเอาร่มไปมันเกะกะ กลุ่มสีเหลือง ครู : ถามเด็ก ๆ ว่า แล้วกลุ่มนี้มีใครจะเอาอะไรไปบ้าง ศร : เอาน้ำไปกินด้วยเดี๋ยวหิว อ๋อมแอ๋ม ; ต้องใส่หมวกไป ครู : แล้วคนอื่นอยากเอาอะไรไปอีก (โดยถามทีละคน) ข้างฟ่าง : เอาหมวก แนน : เอาน้ำ กล้วยหอม : เอาหมวก ครู : แล้วเราจะใส่ชุดไหนไปดี ศร /แนน : ใส่ชุดนักเรียน ครู : แล้วจะใส่ชุดพละ หรือชุดที่เราใส่กันวันนี้ เด็กทุกคน : ใส่ชุดพละ ครู : แล้วเราจะเอาอะไรไปอีกไหม เด็กทุกคน : หมดแล้ว กลุ่มสีแดง ครู : ถามเด็ก ๆ ว่า กลุ่มนี้ใครจะเอาอะไรไปบ้าง คิว : เอาขนม โชค : เอาร่มไปด้วย เดี๋ยวฝนตก ชินจัง : เอาหมวกไปกันแดด


88 ครู : แล้วคนอื่นล่ะ อยากเอาอะไรไป (ถามทีละคน) เฟอร์ : เอาน้ำไปกิน เจน : เอาหมวก ครู : แล้วเราจะใส่ชุดไหนไปดี นิ่ม : ชุดไปเที่ยว ครู : แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ เด็กทุกคน : เห็นด้วยว่า อยากใส่ชุดไปเที่ยว กลุ่มสีเขียว ครู : ถามเด็ก ๆ ว่า กลุ่มนี้ใครจะเอาอะไรไปบ้าง บิ๊กไบค์ : เอาของไปฝากเจ้าของฟาร์มเห็ด ลีลาย : เอาหมวกไปกันแดด จอม : เอาน้ำไปกิน ครู : แล้วคนอื่นล่ะ อยากเอาอะไรไป (ถามทีละคน) หมวย : เอาน้ำไปกิน อิง : เอาหมวก ครู : แล้วเราจะใส่ชุดไหนไปดี ต้นเงิน : ชุดไปเที่ยว ครู : แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ เด็กทุกคน : เห็นด้วยว่า อยากใส่ชุดไปเที่ยว ครูให้เด็ก ๆ แต่ละกลุ่มนำเสนอว่า กลุ่มตนเองวางแผนจะเอาอะไรไปบ้างทีละกลุ่ม และเขียน ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่โดยครูจะสรุปให้อีกครั้ง เด็กส่วนใหญ่บอกจะเอา น้ำ หมวก ขนม ไป ส่วนของ ไปฝากเจ้าของฟาร์มมีสองกลุ่มคือ กลุ่มสีแดงและกลุ่มสีเขียว และอาหารที่จะนำไปให้เห็ดมีกลุ่มเดียว คือ กลุ่มสีฟ้า เด็กส่วนใหญ่ตกลงกันว่าจะไม่เอาไปเพราะไม่รู้ว่ามันกินอะไร ครูจึงบอกว่า ถ้าเราอยากรู้ ว่าเห็ดกินอะไร เราจะถามใครดี น้องนิ่ม บอกว่า “ต้องถามคนเลี้ยง” และครูบอกเด็ก ๆ ว่า “เราจะใส่ ชุดพละไปกัน เพราะเด็กผู้ชายและผู้หญิง ใส่กางเกงเหมือนกัน จะได้ทำกิจกรรมสะดวก และดูเป็น ระเบียบเรียบร้อย” จากนั้นครูทบทวนกับเด็ก ๆ ถึงสิ่งของที่ทุกคนจะต้องเตรียมมาวันพรุ่งนี้ จากนั้น ครูให้เด็ก ๆ แยกย้ายตามกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมเดิม (นำเสนอการวางแผนในกิจกรรมผ่าเห็ด)


89 วันที่ 10 ครูสร้างสถานการณ์กับเด็ก ๆ ว่าจะพาไปชมฟาร์มเห็ด เมื่อครูเปิดคลิปวิดีโอฟาร์มเห็ด เด็ก ๆ ตื่นเต้นและชี้ชวนกันให้ดูสถานที่เพาะเห็ด ครูจึงให้เด็ก ๆ สังเกตว่าเห็นอะไรบ้าง โชค /ศร : โรงปลูกเห็ด แนน /นิ่ม /อิง /ชินจัง : นั่นมีเห็ด เอิร์ธ : เห็ดมันอยู่ในโรงปลูก ครู : ถามเด็ก ๆ ว่า มีโรงเพาะเห็ดกี่โรง เฟอร์ : 3 โรง ครู : พาเด็ก ๆ มาที่โรงเพาะเห็ด กล้วยหอม : มีเห็ดเต็มเลย ครู : ในโรงเพาะเห็ดมีอะไรบ้าง เจน /หมวย : มีเห็ดเรียงต่อกันเยอะมาก อ๋อมแอ๋ม : สังเกตเห็นก้อนเชื้อเห็ด จึงชี้ให้เพื่อน ๆ และคุณครูดู แล้วบอกว่า หนูเห็นก้อนเชื้อเห็ด ครู : ถามเด็ก ๆ ว่า เห็ดมันเกิดได้อย่างไร แนน /บิ๊กไบค์ : รดน้ำบ่อย ๆ จอม : ครูครับ ผมอยากดูก้อนเห็ดใกล้ ๆ ครู : ครูหยุดคลิปแล้วเอาก้อนเชื้อเห็ด ที่เตรียมไว้ในห้องเรียนมาให้เด็ก ดูใกล้ ๆ แล้วให้เด็กสังเกตลักษณะและรูปร่าง ชินจัง /ศร : มันเป็นก้อนสีขาว ข้าวฟ่าง : เหมือนขวดน้ำเลย คิว : ข้างในมีถุงสีขาว ลีวาย /อิง : เห็ดมันงอกออกมาจากปากขวด หมวย : ตรงก้อนขาว ๆ มันนิ่ม อ๋อมแอ๋ม : มันเหมือนมีสำลีรวมกันอยู่ข้างใน ต้นเงิน : มันเป็นอาหารของเห็ด ครู : เด็ก ๆ ว่าเห็ดมันกินอะไรเป็นอาหาร เอิร์ธ : กินปุ๋ย ปังปัง : กินน้ำ เฟอร์ /อิง : กินข้าว


90 ครู : บอกเด็กว่า เดี๋ยวเราไปถามคุณคนเพาะเห็ดกัน จากนั้น ครูพาเด็ก ๆ ไปสวัสดีคนที่เพาะเห็ด แล้วบอกเด็ก ๆ ว่า อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเห็ด ให้ถามได้ และถามเด็ก ๆ ว่า ใครจะเป็นคนถามว่าเห็ดกินอะไร ออกัส /จอม /เจน : หนูกล้าถาม ครู : ให้ 3 คน ช่วยกันถาม คนเพาะเห็ด : เห็ดชอบทานน้ำ เราจะต้องรดน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อ รักษาความชื้น แต่ถ้าอากาศแห้งจะรดน้ำมากขึ้นเพื่อรักษา ความชื้นในโรงเรือนให้ได้นานที่สุด อ๋อมแอ๋ม : ถามว่า ทำไมต้องมีมุ้งสีดำผูกรอบโรงเพาะ คนเพาะเห็ด : มีไว้กันไม่ให้ศัตรูของเห็ดมากัดกินให้เกิดความเสียหาย และรักษา ความชื้น ครู : มีใครอยากถามอะไรคนเพาะเห็ดอีกไหม เด็กทุกคน : ไม่มีครับ /ไม่มีค่ะ เด็ก ๆ และครูร่วมกันขอบคุณคนเพาะเห็ด จากนั้นครูพาเด็ก ๆ ไปรับประทานของว่าง วันที่ 11 ครูสนทนาทบทวนกับเด็ก ๆ เกี่ยวกับการไปดูคลิปฟาร์มเห็ด ครูบันทึกการเรียนรู้ของเด็กลง ในกระดาษชาร์ท ครูถามกระตุ้นเด็ก ๆ ว่า เราไปที่ฟาร์มเห็ด แล้วเราเห็นอะไรบ้าง ออกัส : เห็นเห็ดฟาง อ๋อมแอ๋ม : เห็ดนางฟ้า ครู : แล้วเด็ก ๆ ว่า เห็ดมันเกิดมาได้อย่างไร เจน /หมวย : มันงอกออกมาจากขวด ตาม : คนรดน้ำทุกวัน ครู : แล้วเด็ก ๆ อยากรู้ไหมว่า เห็ดมันออกมาจากขวดได้อย่างไร เด็กทุกคน : อยากรู้ ออกัส : หนูอยากรู้ว่าเห็ดมีกี่ชนิด มีกี่สายพันธ์ จอม : ผมอยากรู้ว่าเห็ดไหนกินได้ เห็ดไหนกินไม่ได้ ต้นเงิน : หนูอยากรู้ว่าเห็ดมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ครู : คราวหน้า ครูจะหาหนังสือมาให้เด็ก ๆ ดู


91 จากนั้น ครูเชิญชวนให้เด็กแต่ละกลุ่ม ร่วมกันนำเสนออุปกรณ์การทำกิจกรรมผ่าเห็ดกลุ่มที่ เหลือ เมื่อเด็กนำเสนอครบทุกกลุ่มแล้ว ครูแนะนำอุปกรณ์ และแจกอุปกรณ์ให้เด็ก ๆ แต่ละกลุ่มทำ กิจกรรมผ่าเห็ด โดยครูเข้าไปสังเกตการณ์และบันทึกการเรียนรู้ทีละกลุ่ม กลุ่มสีแดง ใช้เห็ดเข็ม 2 ดอก เห็ดชิเมจิ 2 ดอก เห็ดนางรมหลวง 2 ดอก และมีดพลาสติก 6 ด้าม คิว : มันมีสีขาว ๆ โชค : ครู หนูทำไม่เป็น ชินจัง : ต้องทุบก่อนแล้วค่อยผ่า เฟอร์ : แตกหมดเลย ครู : มีสีอะไรบ้างในเห็ด เจน /นิ่ม : สีขาว กลุ่มสีเหลือง ใช้เห็ดเข็ม 2 ดอก เห็ดชิเมจิ 1 ดอก เห็ดนางรมหลวง 2 ดอก และมีดพลาสติก 5 ด้าม ศร : ครู ข้างในมันมีสีขาว ครู : หยิบหมวกเห็ดขึ้นมา แล้วถามเด็ก ๆ ว่า “เขาเรียกอันนี้ว่าอะไร” อ๋อมแอ๋ม : ดอก ครู : เราเรียกว่า “หมวกเห็ด” ข้าวฟ่าง : ครู แนนทำเห็ดตกพื้น ครู : ถ้าเห็ดตกพื้น เราต้องทำอย่างไร แนน /กล้วยหอม: เก็บขึ้น กลุ่มสีฟ้า ใช้เห็ดเข็ม 1 ดอก เห็ดชิเมจิ 2 ดอก เห็ดนางรมหลวง 2 ดอก และมีดพลาสติก 5 ด้าม เอิร์ธ : มีสีน้ำตาล ครู : ตรงไหนเรียกว่าสีน้ำตาล ออกัส : นี่ มีสีน้ำตาลบนเห็ด ตาม : ผ่าแล้วมีสีขาวทุกอันเลย ครู : เห็ดพอเราผ่าออกมาแล้ว ข้างในเหมือนกันไหม ปังปัง /ป๊อบ : เหมือนกัน


Click to View FlipBook Version