The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ladda_t, 2023-03-28 23:02:46

สื่อการสอนวิชางานซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า

หน่วยที่1_merged

ระบบไฟฟ้ากําลัง หมายถึง ลักษณะการส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าจากแหล่งกําเนิดไปยังผู้ใช้ ไฟฟ้าตามประเภทการใช้งาน โดยส่งจากสถานีไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าแรงสูง สถานีไฟฟ้าย่อย 1.1.1 อุปกรณ์ในระบบไฟฟ้ากําลัง ระบบไฟฟ้าในอาคารโดยทั่วไปมี 2 ระบบ คือ ระบบไฟฟ้าแสงสว่างและระบบไฟฟ้า กําลังถ้าเป็นบ้านพักอาศัยขนาดเล็ก จะใช้พลังงานไฟฟ้าไม่มากนัก ถ้าเป็นบ้านขนาดใหญ่ หรือโรงงานอุตสาหกรรม ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก 1. อุปกรณ์ป้องกัน (1) สวิตช์ประธาน (Main Switch) หมายถึง อุปกรณ์หลักที่ใช้ตัดต่อวงจรไฟฟ้า ของสายเมนเข้าอาคารกับสายภายในทั้งหมด (2) เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) หรือสวิตช์อัตโนมัติ หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้ตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้าได้ในขณะใช้งานปกติ (3) ฟิ วส์ (Fuse) หมายถึง อุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกินชนิดหนึ่ง


2. ภาระทางไฟฟ้า (Load) เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า เป็นพลังอื่นถือเป็นภาระทางไฟฟ้าทั้งสิ้น ความต้องการกําลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าแสดง ดังตาราง ตาราง กําลังไฟฟ้าของเครื่ องใช้ไฟฟ้า


ตาราง (ต่อ) กําลังไฟฟ้าของเครื่ องใช้ไฟฟ้า เครื่ องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน แบ่งตามข้อบังคับสายดินได้ 3 ประเภท คือ (1) เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 1 หมายถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องมีสายดินเพราะมีความ หนาของฉนวนไฟฟ้าเพียงพอสําหรับการใช้งานปกติเท่านั้น ดังรูป (2) เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 หมายถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการหุ้มฉนวนหนาเป็น 2 เท่า ของความหนาฉนวนที่ใช้สําหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าปกติ ดังรูป (ก) เต้าเสียบเครื่ องใช้ไฟฟ้าประเภท 1 (ข) เต้าเสียบเครื่ องใช้ไฟฟ้าประเภท 2


(3) เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 3 หมายถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กับแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ ไม่เกิน 50 โวลต์ หรือแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง 120 โวลต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทนี้ไม่ต้องมี สายดิน 1.1.2 อันตรายจากการใช้ไฟฟ้า ตาราง องค์ประกอบทีจะทําให้เกิดอันตรายจากการใช้่ไฟฟ้า


1.1.3 ข้อควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าหรือเครื่ องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย 1. อุปกรณ์การติดตั้งทางไฟฟ้าต้องเป็นชนิดที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานต่าง ๆ เช่นสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) VDE และ IEC เป็นต้น 2. การเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า ต้องเป็นไปตามกฎการเดินสายและติดตั้ง อุปกรณ์ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงฉบับล่าสุด 3. ก่อนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ต้องอ่านและศึกษาคู่มือแนะนําการใช้งานให้เข้าใจและ ปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด 4. ตรวจสอบสายไฟและเต้าเสียบ (ปลั๊กไฟ) ของเครื่องว่ามีร่องรอยของการชํารุด หรือไม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้มีการใช้งานมาเป็นเวลานาน 5. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเปลือกหุ้มภายนอกที่ทําด้วยโลหะทุกชนิดหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อาจมีไฟฟ้ารั่วมากับนํ้า เช่น ตู้เย็น เตารีด เป็นต้น หากไม่ใช่เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 หรือประเภท 3 แล้วจําเป็นต้องมีการต่อสายดินของเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ากับระบบสายดิน


1.1.4 ระบบดิน (Ground System) 1. ดิน ดินใช้เป็นจุดอ้างอิงถือว่ามีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ โดยจะทําหน้าที่รองรับกระแส ต่าง ๆ ที่รั่วไหลลงดิน เป็นส่วนที่ต่อกับส่วนที่เป็นโลหะของอาคาร สถานประกอบการ การ ต่อลงดินมีประโยชน์ 2 ประการ คือ (1) เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับบุคคล (2) ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับอุปกรณ์เมื่อเกิดการลัดวงจรลงดิน 2. หลักดิน หลักดินมีหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) ทําให้เกิดการต่อถึงกันระหว่างดินและส่วนที่เป็นโลหะที่ไม่มีกระแสไหลผ่านของ สถานประกอบการเพื่อให้ส่วนของโลหะที่ต่อถึงกันตลอดมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับดิน (2) เป็นทางผ่านเข้าสู่ดินอย่างสะดวกสําหรับอิเล็กตรอนจํานวนมากในกรณีที่เกิด ฟ้าผ่าหรือแรงดันเกิน 3. การต่อลงดิน การต่อลงดินมี 2 ระบบ คือ (1) การต่อลงดินของระบบไฟฟ้า (System Grounding) หมายถึง การต่อส่วนหนึ่ง ส่วนใดของระบบไฟฟ้าที่มีกระแสไหลผ่านลงดิน เช่น การต่อจุดนิวทรัลลงดิน ดังรูป


(ก) การต่อระบบดินในแผงควบคุมที่ใช้สะพานไฟ (ข) การต่อระบบดินในแผงควบคุมที่ใช้ตู้คอนซูมเมอร์ การต่อระบบดินในแผงควบคุมไฟฟ้าภายในบ้าน (2) การต่อลงดินของบริภัณฑ์ไฟฟ้า (Equipment Grounding) หมายถึง การต่อส่วน ที่เป็นโลหะที่ไม่มีกระแสไหลผ่านของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ถึงกันตลอดแล้วต่อลงดิน เพื่อให้ ส่วนของโลหะที่ต่อถึงกันตลอดมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับดิน


4. การวัดความต้านทานระหว่างหลักดินกับดิน มาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้าสําหรับประเทศไทย ของ ว.ส.ท. ได้กําหนดความต้านทานของหลักดินไว้ คือ ความต้านทานหลักดินของบริภัณฑ์ ไฟฟ้าไม่เกิน 3 Ωความต้านทานหลักดินระบบไฟฟ้าไม่เกิน 5 Ω สําหรับการใช้เครื่องวัด ทดสอบความต้านทานหลักดิน ดังรูป (ก) แสดงเครื่ องวัดความต้านทานหลักดิน (ข) การวางตําแหน่ง Current Electrode และ Probe เครื่ องวัดความต้านทานหลักดิน


1.1.5 เครื่ องตัดไฟรั่ ว เครื่ องตัดไฟรั่ ว หมายถึง สวิตช์อัตโนมัติที่สามารถปลดวงจรเมื่อมีกระแสไฟฟ้ารั่วได้ อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้ เครื่องตัดไฟรั่วมักจะเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด 1. เครื่องตัดไฟรั่ว เป็นเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่ทําหน้าที่ป้องกันอันตราย จากไฟดูด ป้องกันอัคคีภัย (ตัดไฟรั่วที่ไหลลงดินที่อุปกรณ์ไฟฟ้า หรือสายไฟฟ้า ในกรณีที่เครื่องป้องกัน กระแสเกิน) เครื่องตัดไฟรั่วอาจมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ดังนี้ (1) เครื่องตัดไฟรั่วที่ตัดกระแสลัดวงจรได้ (2) เครื่องตัดไฟรั่วที่ไม่สามารถตัดกระแสลัดวงจรได้ 2. คุณสมบัติและการใช้งานของเครื่องตัดไฟรั่ว เครื่องตัดไฟรั่วที่ใช้ป้องกันไฟดูดต้อง มีคุณสมบัติและการใช้งานดังนี้ (1) เครื่องตัดไฟรั่วที่ใช้ป้องกันไฟดูดต้องมีพิกัดขนาดกระแสไฟฟ้ารั่วไม่เกิน 30 mA และต้องตัดไฟได้ภายในระยะเวลา 0.04 วินาที (2) เครื่องตัดไฟรั่วควรติดตั้งควบคู่ไปกับการติดตั้งระบบสายดิน และควรติดตั้ง ใช้งานในวงจรไฟฟ้าเฉพาะจุด


(3) ไม่ควรติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วธรรมดา (ขนาด 30 mA) เพียงตัวเดียวป้องกัน รวมทุก วงจรที่เมนสวิตช์ เพราะอาจจะมีปัญหาเครื่องตัดทํางานบ่อย (4) การติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วสําหรับใช้ป้องกันรวมทุกวงจรที่เมนสวิตช์ ร่วมกับการ ติดตั้งระบบสายดินจะช่วยเป็นมาตรการเสริมสําหรับป้องกันอัคคีภัย จากการใช้ไฟฟ้าได้ อีกชั้นหนึ่ง (5) เมื่อติดตั้งร่วมกับระบบสายดิน ตําแหน่งที่มีการต่อลงดินต้องอยู่ด้านไฟเข้าของ เครื่องตัดไฟรั่วเสมอ เครื่ องตัดไฟรั่ ว


1.2.1 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของสายไฟฟ้า 1. ฉนวนของสายไฟฟ้าต้องไม่มีการแตก กรอบ รอยไหม้ ชํารุด ถ้าพบควรหาสาเหตุ แล้วแก้ไขสาเหตุ และเปลี่ยนสายใหม่ 2. หมั่นตรวจสอบสภาพของสายไฟฟ้าปีละ 1 ครั้ง เป็นอย่างน้อย โดยให้มีการบันทึก ข้อมูลการตรวจสภาพไว้ทุกครั้งด้วย 3. กรณีที่มีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ควรตรวจสอบขนาดของสายไฟฟ้าที่ใช้อยู่ว่า เหมาะสมหรือไม่ถ้าขนาดสายไม่เพียงพอต้องเปลี่ยนใหม่ 4. ตรวจสอบสายไฟบริเวณที่ทะลุผ่านฝ้าเพดานหรือผนังนอกจากต้องมีฉนวนรองรับ การบาดสายแล้ว ยังอาจมีรอยหนูแทะเปลือกของสาย ทําให้เกิดลัดวงจร และเกิดไฟไหม้ได้


1.2.2 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของเต้ารับไฟฟ้า การตรวจสอบว่าเต้ารับมีแรงดันไฟฟ้าจ่ายออกมาหรือไม่นั้น สามารถทําได้โดยการ ใช้ ไขควงทดสอบไฟทําการทดสอบเต้ารับในขั้นแรกก่อน โดยใช้ไขควงทดสอบไฟเสียบเข้า ไปที่ช่องของเต้ารับไฟฟ้าที่มีขนาด 2 ช่อง มีแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส 220 โวลต์ ดังรูป การตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าของเต้ารับไฟฟ้าด้วยไขควงทดสอบไฟ


1.2.3 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของคัตเอาต์ 1. ตรวจขั้วต่อสายโดยการขันสกรูให้แน่น ประกอบด้วย จุดต่อสายจ่ายไฟเข้า ด้านบน(ด้านไลน์) จุดต่อสายจ่ายไฟออกด้านล่าง (ด้านโหลด) และจุดต่อฟิ วส์บนคัต เอาต์ถ้าหาก ไม่สามารถขันสกรูได้ก็ควรเปลี่ยนใหม่เช่นกัน 2. ตรวจสอบหน้าสัมผัส ต้องทําให้สัมผัสกันแน่น เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ สะดวก 3. ตรวจสอบอุณหภูมิ ให้ใช้หลังมือแตะดูอุณหภูมิของคัตเอาต์หากร้อนผิดปกติ ควรแก้ไขเช่น เปลี่ยนขนาดคัตเอาต์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น 4. ตรวจสอบการจับยึดกับแป้นไม้ หากพบว่าแป้นไม้ชํารุดจนทําให้การจับยึดไม่ มั่นคงควรเปลี่ยนแป้นไม้อันใหม่ 5. ตรวจดูขนาดพิกัดของฟิ วส์ต้องให้เหมาะสมกับโหลดและขนาดของสายไฟ


1.2.4 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของเซอร์กิตเบรกเกอร์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ จะมีคันโยกเป็นส่วนที่เคลื่อนไหว ดังนั้นโดยทั่วไปจะตรวจสอบ ระบบทางกลตรวจสอบหน้าสัมผัส ซึ่งการตรวจสอบ มีหลักปฏิบัติ ดังนี้ 1. การตรวจระบบทางกล (1) จับคันโยกขึ้นด้วยบน เพื่อให้หน้าสัมผัสของเซอร์กิตเบรกเกอร์ต่อถึงกัน ใน ตําแหน่ง“ON” ถ้าหากระบบกลไกภายในไม่ล็อกแสดงว่าระบบทางกลชํารุด (2) เซอร์กิตเบรกเกอร์ที่มีปุ่ มปรับตั้งใหม่ สามารถทดสอบการทํางานของกลไก ด้วยการใช้ปลายปากกาหรือไม้เล็ก ๆ กดลงที่ปุ่ มปรับตั้งใหม่ 2. การตรวจสอบหน้าสัมผัสและความเป็นฉนวนโดยทั่วไปจะใช้มัลติมิเตอร์ เป็น เครื่องมือในการตรวจสอบมีหลักปฏิบัติ ดังนี้ (1) ตรวจสอบหน้าสัมผัส ด้วยการจับคันโยกดันขึ้นด้านบน ตําแหน่ง “ON” จากนั้นใช้มัลติมิเตอร์ (ย่าน × 1หรือ × 10) ตรวจสอบที่ขั้ว (2) ข้อควรระวัง ขณะที่ตรวจสอบหน้าสัมผัสของเซอร์กิตเบรกเกอร์นั้นต้องตัด แหล่งจ่ายไฟฟ้าออกก่อน


1.3.1 การซ่อมบํารุงสายไฟ 1. หลีกเลี่ยงการมีจุดต่อสายไฟฟ้าเกินความจําเป็น หากมีการต่อสายก็ต้องเลือกใช้ อุปกรณ์การต่อสายที่ถูกต้องมั่นคง 2. สายไฟฟ้าที่ทะลุผ่านผนังหรือออกมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องมีฉนวนรองรับ 3. การต่อสายไฟแต่ละเส้นจะต้องต่อให้ถูกกับขั้วตามมาตรฐานสีของฉนวนสายไฟ 4. อุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกิน เช่น ฟิ วส์ หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์ 5. กรณีที่จะมีการต่อเติมเดินสายไฟบางส่วน แล้วพบว่า การเดินสายไฟเดิมทั้งบ้าน ใช้สีของสายไฟสลับกันกับมาตรฐานเหมือนกันทั้งหมด หากไม่สามารถแก้ไขใหม่ได้ขอ แนะนําให้ใช้สีของสายไฟระบบเดียวกันทั้งบ้าน 6. กรณีของสายดิน ถ้าใช้สายดินเป็นเส้นเดี่ยว ต้องมีฉนวนเป็นสีเขียวและถ้าสาย วงจรเดินในท่อโลหะต้องเดินสายดินในท่อเดียวกับสายวงจรด้วย 7. สายไฟที่มีฉนวนชั้นเดียวเช่นสาย THW ไม่อนุญาตให้เดินสายโดยใช้เข็มขัดรัด สาย 8. สายเมนที่มีขนาดพื้นที่หน้าตัดตํ่ากว่า 50 ตารางมิลลิเมตร ไม่ควรนํามาควบสาย


1.3.2 การซ่อมบํารุงระบบดิน 1. การตรวจสอบการทํางานของเครื่องตัดไฟรั่ว สามารถตรวจสอบว่าเครื่องตัดไฟรั่ว ที่มีอยู่จะทํางานได้อย่างปลอดภัยได้หรือไม่ดังนี้ (1) ติดตั้งพร้อมกับติดตั้งระบบสายดิน (2) ติดตั้งเข้าสายอย่างถูกต้อง (3) กดปุ่ มทดสอบเป็นประจํา (4) การตรวจสอบการทํางานต้องตรวจด้วยเครื่องตรวจสอบการทํางานของเครื่อง ตัดไฟรั่วว่าสามารถตัดไฟรั่วได้ภายในระยะเวลาที่กําหนดหรือไม่ 2. ข้อแนะนําในการตรวจสอบเมื่อเครื่องตัดไฟรั่วทํางาน ซึ่งข้อแนะนําวิธีตรวจสอบ ดังนี้ (1) ตรวจสอบว่าเครื่องตัดไฟรั่วที่ทํางานนั้น จ่ายไฟบริเวณใดบ้าง (2) ตรวจสอบและสอบถามผู้เกี่ยวข้องว่าขณะเกิดเหตุมีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไรบ้าง (3) แจ้งให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อปิดและงดจ่ายไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด


(4) จําลองการใช้ไฟ ทดลองจ่ายไฟเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟทีละเครื่อง (5) ในทางปฏิบัติหากจําเป็นอาจต้องใช้เครื่องตรวจสอบกระแสไฟฟ้ารั่ว (6) ข้อสังเกตอื่น ๆ เพิ่มเติม ตรวจสอบว่ามีฝนตกหรือนํ้าท่วมที่ทําให้เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสายไฟฟ้าเก่า ๆ เปียกนํ้า ชื้น หรือไม่ (7) ผนังที่ชื้นเนื่องจากฝนตกก็อาจทําให้สายไฟเก่า ๆ ที่พาดกับผนังมีไฟรั่วได้เช่นกัน 1.3.3 การตรวจซ่อมอุปกรณ์ป้องกันทางไฟฟ้า อุปกรณ์ป้องกันที่ใช้กันทั่วไป คือ ฟิ วส์ ซึ่งติดตั้งไว้บนคัตเอาต์และการทํางานทริป ของเซอร์กิตเบรกเกอร์ จะพิจารณาจากอาการที่พบดังนี้ 1. หมั่นตรวจสอบขั้วต่อสายของคัตเอาต์หากขั้วหลวมจะจับยึดสายไม่แน่น ทําให้ การจ่ายไฟติด ๆ ดับ ๆ ลักษณะเช่นนี้ควรเปลี่ยนคัตเอาต์อันใหม่ 2. หากพบว่ามีการใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากโหลดมากขึ้น เกิน ความสามารถที่คัตเอาต์จะทนได้ ควรเปลี่ยนคัตเอาต์อันใหม่ที่มีพิกัดกระแสเพิ่มสูงขึ้น 3. ตรวจสอบสภาพฟิ วส์ที่ติดตั้งในคัตเอาต์และขนาดของปลั๊กฟิ วส์ ไม่ควรใช้ เส้นลวดทองแดงแทนฟิ วส์ 4. ควรตรวจสภาพการทริบของเซอร์กิตเบรกเกอร์เพื่อทดสอบระบบกลไกภายใน


1.3.4 การบํารุงรักษาสายไฟ 1. ตรวจสอบการเดินสายไฟฟ้า ว่าใช้สีของฉนวนถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ หากไม่ ถูกต้องเพียงบางจุดให้แก้ไขสลับสายไฟฟ้าใหม่ หากไม่ถูกต้อง ตลอดทั้งอาคารเหมือนกัน หมดให้มีเครื่องหมายหรือเอกสารกํากับไว้ที่แผงสวิตช์ หรือตู้เมนสวิตช์ด้วย 2. ตรวจสอบจุดต่อสายไฟฟ้า การเข้าสายไฟฟ้า ต้องขันให้แน่นอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 3. สังเกตอุณหภูมิของสายไฟฟ้า โดยใช้การสัมผัสที่ผิวฉนวนของสายไฟฟ้า ถ้ารู้สึก อุ่นหรือร้อนแสดงว่ามีสิ่งผิดปกติ อาจเนื่องจากการใช้ไฟเกินขนาดของสายไฟฟ้า 4. สังเกตสีของเปลือกสายไฟฟ้า ถ้าสายไฟฟ้าบางเส้นมีสีเปลี่ยนไป เช่น สีขาว เปลี่ยนเป็นสีคลํ้ามีฝุ่ นจับมาก แสดงว่ามีอุณหภูมิสูงกว่าปกติอาจมีการใช้ไฟเกินขนาด สายไฟฟ้า


2 ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง .1 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 2.2 2 การซ่อมบํารุงรักษาระบบไฟฟ้าแสงสว่าง .3


ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง (Lighting) เป็นระบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้าไปเปลี่ยนแปลงให้เกิด เป็น แสงสว่างซึ่งแต่ละวงจรนั้นจะประกอบไปด้วย แหล่งจ่าย , ตัวนําไฟฟ้า , หลอดไฟฟ้า และสวิตช์ควบคุม 2.1.1 หลักการให้แสงสว่าง 1. การให้แสงสว่างทั่วพื้นที่ เป็นวิธีการให้แสงสว่างจากโคมไฟที่ติดตั้งกระจาย อย่างสมํ่าเสมอบนเพดานทําให้มีความสว่างเกือบเท่ากันตลอดพื้นที่ ข้อดีคือออกแบบได้ ง่าย ข้อเสียคือเป็นวิธีการให้แสงสว่างที่สิ้นเปลืองพลังงานสูง 2. การให้แสงสว่างเฉพาะพื้นที่ เป็นวิธีการให้แสงสว่างโดยการออกแบบ ให้ สอดคล้องกับการทํางานในแต่ละพื้นที่จึงทําให้ประหยัดพลังงานกว่าวิธีแรก ข้อเสียคือ ทําให้ การย้ายตําแหน่งพื้นที่ทํางานไม่อิสระ 3. การให้แสงสว่างเฉพาะตําแหน่ง เป็นวิธีการให้แสงสว่างที่ประหยัดพลังงาน ที่สุดและเสริมสําหรับงานที่ต้องการปริมาณแสงในระดับสูงให้สําหรับผู้ปฏิบัติงานสูงหรือ สายตาผิดปกติ


2.1.2 แสงและการมองเห็น การมองเห็น เกิดจากการที่วัตถุนั้นดูดกลืนแสงสีอื่นไว้ทั้งหมด และสะท้อนแสงสีที่ เป็นสีของวัตถุเข้าตาเรา หน่วยที่ใช้ในการวัดแสงสว่าง 1. ความสว่าง 2. ความเข้มการส่องสว่าง 3. ฟลักซ์การส่องสว่าง ตาราง ความสว่างทีเหมาะสมในการใช้งาน่


หลอดไฟฟ้า เป็ นอุปกรณ์ไฟฟ้าทีออกแบบมาเพื่อให้แสงสว่าง แบ่งไ่ด้ 2 ชนิด คือ หลอดเผาไส้ และหลอดก๊าซดิสชาร์จ 2.2.1 หลอดเผาไส้ (Incandescent Lamp) หลอดเผาไส้ เป็นหลอดไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างโดยการให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไส้หลอด ไส้ หลอดจะร้อนขึ้นจนเปล่งแสงสว่างออกมา แบ่งย่อยได้ 3ชนิด คือ 1. หลอดเผาไส้มาตรฐาน แสงสว่างจะเปล่งจากไส้หลอดออกมาโดยตรงรอบทิศทาง ส่วนประกอบดังรูป คุณสมบัติของหลอดไส้ 1. ไส้หลอดทําจากทังสเตน –ขดลวดชั้นเดียว –ขดลวดสองชั้น 2. อายุใช้งาน 750–1,000ชม. 3. ประสิทธิภาพแสง 8–20 ลูเมน/วัตต์ 4. ให้แสงสว่าง 5% ความร้อน 95%


ส่วนประกอบของหลอดสะท้อนแสง 2. หลอดสะท้อนแสง หลอดสะท้อนแสงจะมีโลหะเป็นมันวาว สะท้อนแสงได้ดี เคลือบไว้ที่ผิวด้านในข้างหลังของไส้หลอด แสงจากไส้หลอดจะถูกสะท้อนหักเหและ ส่องสว่างออกไปด้านหน้าของหลอดส่วนประกอบดังรูป


2.2.2 หลอดก๊าซดิสชาร์จ (Gas Discharge Lamp) หลอดก๊าซดิสชาร์จ คือ หลอดที่ให้กําเนิดแสงโดยวิธีการกระตุ้นอะตอมของก๊าซ (Luminescent)ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อย คือ (2) หลอดโซเดียมความดันตํ่ า 1. หลอดคายประจุความดันตํ่ า (1) หลอดฟล ู ออเรสเซนต์ หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นหลอดก๊าซ ดิสชาร์จ ชนิดคายประจุความดันตํ่า


2. หลอดคายประจุความดันสู ง (High Pressure Discharge Lamp) (1) หลอดไอปรอท เรียกกันทั่วไปว่าหลอดแสงจันทร์ โครงสร้างและการต่อวงจรหลอดไอปรอท (2) หลอดโซเดียมความดันส ู ง (High Pressure Sodium Lamp) การต่อวงจรใช้งาน


โครงสร้างและการต่อวงจรหลอดโซเดียมความดันส ู ง (3) หลอดเมทัลฮาไลด์ (Metal Halide Lamp) โครงสร้างและการต่อวงจรหลอดเมทัลฮาไลด์ การต่อวงจรใช้งาน


2.2.3 ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้หลอดไฟฟ้า 1. ฟลักซ์การส่องสว่าง หมายถึงปริมาณ แสงของหลอด หน่วยเป็น lumen 2. ประสิทธิผล หมายถึง จํานวนปริมาณ แสงต่อวัตต์ หน่วยเป็น lumen/watt (lm/w) 3. ความถูกต้องของสี หมายถึง ความถูกต้อง ของสีวัตถุเมื่อถูกส่องด้วยแสงจากหลอดไฟ ว่า มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด หน่วยเป็น เปอร์เซ็นต์ 4. อุณหภูมิสี ของหลอด มีหน่วยเป็น องศาเคลวิน (Kelvin) 5. มุมองศาการใช้งาน เป็นองศาในการติดตั้ง หลอดตามที่ผู้ผลิตกําหนดซึ่งมีผลต่อหลอดบางชนิด


2.2.4 บัลลาสต์ บัลลาสต์เป็นอุปกรณ์จําเป็นที่ต้องมีอยู่ในระบบไฟฟ้าแสงสว่างที่ใช้หลอดไฟประเภท ฟลูออเรสเซนต์และประเภทหลอดคายประจุความดันสูง มีหน้าที่ควบคุมกระแสไฟฟ้าที่ผ่าน เข้าไปที่หลอดไฟให้มีค่าเหมาะสม บัลลาสต์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด 1. บัลลาสต์แกนเหล็ก (Magnetic Ballast) บัลลาสต์แกนเหล็กที่ใช้งานกันทั่วไป จะ เป็นชนิดความเหนี่ยวนํา แกนเหล็กประกอบมาจากแผ่นเหล็กนํามาเรียงกันและพันรอบด้วย ขดลวดทองแดง ตาราง ข้อดีและข้อเสียในการใช้บัลลาสต์แกนเหล็ก


2. บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Ballast) คืออุปกรณ์ที่ใช้งานคู่กับหลอดฟลูออ เรสเซนต์เพื่อทดแทนบัลลาสต์แบบแกนเหล็ก ตาราง ข้อดีและข้อเสียในการใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์


2.2.5 โคมไฟฟ้า โคมไฟนอกจากทําหน้าที่ยึดหลอดและอุปกรณ์ประกอบเช่น บัลลาสต์แล้วยังมีหน้าที่ สําคัญคือ ควบคุมทิศทางแสงให้กระจายไปตกบนพื้นที่ทํางานที่ต้องการ คุณสมบัติสําคัญ ในการเลือกใช้ ได้แก่ 1. ประสิทธิภาพโคมไฟ สัมประสิทธิ์ การใช้ประโยชน์ 2. กราฟแสดงการกระจายความเข้มส่องสว่าง 3. การป้องกันแสงจ้า ความปลอดภัย โคมดาวน์ไลท์ใช้กับหลอดอินแคนเดส เซนต์หลอดฮาโลเจน และหลอด CFL ส่วน มาติดตั้งไว้ที่ฝ้าเพดานเพื่อความสวยงาม โคมสําหรับหลอดฟล ู ออเรสเซนต์ มีทั้งโคม เปลือยและโคมแบบมีแผ่นสะท้อนแสงด้านหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสะท้อนแสง โคมไฮเบย์ บางครั้งเรียกว่า โคมโรงงาน เป็น โคมสําหรับติดตั้งหลอด HID เหมาะสําหรับ ติดตั้งบริเวณหลังคาโรงงานที่มีความสูงมาก ๆ โคมไฟส่องอาคาร มักใช้กับหลอด HID ชนิด Double Ended ใช้สําหรับส่องภายนอกของตัว อาคารโคมไฟฟ้าที่ใช้กันแพร่หลายทั้งในโรงงาน และอาคาร


2.2.6 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของระบบแสงสว่าง 1. การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องหลอดเผาไส้ (1) ตรวจสอบด้วยสายตา (2) ตรวจสอบด้วยมัลติมิเตอร์ (3) การตรวจสอบขั้วหลอด 2. การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องหลอดฟลูออเรสเซนต์ (1) เมื่อกดสวิตช์ปิดวงจร (ON) หลอดกะพริบแล้วดับ ลองขยับหลอดให้สัมผัสกับขาหลอด ให้แน่น (2) หลอดแดงหัวท้ายและที่สตาร์ตเตอร์มีแสงนิด ๆให้ขยับสตาร์ตเตอร์ถ้าหลอดสว่าง แสดงว่าหน้าสัมผัสสตาร์ตเตอร์อาร์กติดกัน ให้เปลี่ยนสตาร์ตเตอร์ใหม่ (3) หลอดไฟสว่างตามปกติแต่บัลลาสต์มีเสียงคราง แสดงว่าบัลลาสต์คุณภาพ ไม่ดี ยังใช้ งานได้แต่จะทําหน้าให้เกิดความรําคาญควรเปลี่ยนใหม่ (4) บัลลาสต์ร้อนผิดปกติ สาเหตุเกิดจากแรงดันไฟฟ้าสูงเกินไป หรือบัลลาสต์เริ่มเสื่อม แล้ว แก้ไขโดยเปลี่ยนบัลลาสต์ใหม่ (5) อายุหลอดสั้น สาเหตุเกิดจากระดับแรงดันไฟฟ้าไม่พอ หน้าสัมผัสที่ขายึดหลอดไม่ดี การเปิดปิดบ่อยครั้งมาก แก้ไขโดยตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าให้ถูกต้อง


2.3.1 ข้อบกพร่อง สาเหตุทีพบบ่อย และวิธีแก้ไข เกี่ยวกับระบบ่แสงสว่าง ตาราง ข้อบกพร่อง สาเหตุทีพบบ่อย และวิธีซ่อมบํารุงระบบแส่งสว่าง


ตาราง (ต่อ) ข้อบกพร่อง สาเหตุทีพบบ่อย และวิธีซ่อมบํารุงระบบแ่สงสว่าง 2.3.2 การบํารุงรักษาระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ตาราง การบํารุงรักษาระบบแสงสว่าง เพือการประหยัดพลังง่าน


3.1 งานบริการและซ่อมกระทะไฟฟ้า 3.2 งานบริการและซ่อมเตารีดไฟฟ้า 3.3 งานบริการและซ่อมหม้อหุงข้าวไฟฟ้า 3.4 งานบริการและซ่อมกาต้มนําไฟฟ้า ้


กระทะไฟฟ้า (Electric Frying Pan) เป็นเครื่องใช้งานครัวที่ใช้ในการปรุงอาหารให้สุก โดยอาศัยความร้อนที่ได้จากการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน ดังรูป ร ู ปแบบภายนอกของกระทะไฟฟ้าตามลักษณะการใช้งาน 3.1.1 โครงสร้างของกระทะไฟฟ้า กระทะไฟฟ้าทําหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อนแล้วถ่ายเทพลังงาน ความร้อนไปยังโลหะที่ใช้ทําพื้นกระทะสําหรับการหุงต้มอาหารอีกทีหนึ่ง


ลักษณะภายนอกของกระทะไฟฟ้า 1. พืนผิวกระทะ ้ เป็นตัวกระทะทํามาจากอะลูมิเนียมหล่อ เพื่อให้นําความร้อนได้ดี 2. ฝาครอบ ทําหน้าที่ปิดไม่ให้ความร้อนออกในขณะหุงต้มอาหาร 3. โครง ทําหน้าที่ยึดชิ้นส่วนทั้งหมดของกระทะ 4. ปุ่ มปรับระดับความร้อน ทําหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิกระทะไฟฟ้า 5. ขั้ วต่อสายไฟ ทําหน้าต่อวงจรไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไปยังกระทะผ่านทางสายตัวนํา จากร ู ป แสดงโครงสร้างภายนอกของกระทะไฟฟ้า มีส่วนประกอบดังนี้


3.1.2 หลักการทํางานของกระทะไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนโดยให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวดความร้อน มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง ขดลวดความร้อนจะขดอยู่ในที่รองรับที่เป็นฉนวนไฟฟ้าเพื่อป้องกัน ไฟฟ้ารั่ว ที่สามารถถ่ายเทความร้อนจากขดลวดไปยัง พื้นกระทะได้ ลวดความร้อน ทําด้วยลวดนิโครม ขดลวดความร้อนของกระทะไฟฟ้า 1. ลวดความร้อน ลวดความร้อนจะถูกหล่อติดอยู่ที่ก้นของกระทะ ลวดความร้อนนั้น ทํา ด้วยลวดนิโครมซึ่งเป็นโลหะผสมนิกเกิล เหล็ก และโครเมียม ใส่ไว้ในท่อเหล็กมีผงแมกนีเซียม ออกไซด์ลงไปในท่อและมีขั้วต่อสายออกมาจากภายนอก 2 ขั้ว


2. อุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ ทําหน้าที่ในการปรับระดับความร้อนในการใช้งาน และ รักษาระดับความร้อนให้คงที่โดยจะมีเทอร์โมสตัสตัดกระแสไฟฟ้าเมื่อถึงระดับอุณหภูมิ ที่ตั้งไว้ วงจรของกระทะไฟฟ้า อุปกรณ์ควบคุมอุณหภ ู มิ เทอร์โมสตัสตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อถึงระดับอุณหภูมิที่ตั้งไว้


3.1.3 การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของกระทะไฟฟ้า 1.หลักปฏิบัติในการซ่อมบํารุงกระทะไฟฟ้า (1) ตรวจสภาพภายนอกทั่วไป โดยการสัมผัส ดมกลิ่น ฟังเสียง (2) เมื่อพบจุดบกพร่องแล้ว ก็ให้ตรวจสอบจุดนั้นให้ละเอียดอีกครั้ง (3) จุดต่อสายไฟฟ้าให้ตรวจสอบก่อน จุดที่เป็นสกรูหรือสลักเกลียว ขันให้แน่น (4) ตรวจสอบแน่ใจว่ากระทะไฟฟ้าไม่ได้กําลังต่ออยู่กับแหล่งจ่ายไฟฟ้า (5) ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ทํางานเกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าเป็นอันดับแรก ๆ 2. การตรวจสอบหาสาเหตุข้อบกพร่องของกระทะไฟฟ้า การตรวจซ่อมมีลําดับขั้นตอน หรือจุดตรวจที่สําคัญ 3 จุดหลัก ดังต่อไปนี้ (1) สายไฟเครื่องใช้ไฟฟ้า หมายถึง ชุดสายไฟฟ้าที่ต่อเข้ามายังวงจร เครื่องใช้ไฟฟ้า (2) อุปกรณ์ทําให้เกิดความร้อนของกระทะไฟฟ้า คือ ลวดความร้อน (Heater) (3) ชุดควบคุมความร้อน คือ ชุดควบคุมความร้อนอัตโนมัติ


3.1.4 การซ่อมบํารุงรักษากระทะไฟฟ้า 1. การซ่อมกระทะไฟฟ้า เมื่อระบบไฟฟ้าของกระทะไฟฟ้าไม่ทํางาน สามารถตรวจ ซ่อมตามอาการเสีย ได้ดังนี้ (1) ไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กระทะไฟฟ้า ให้ตรวจสอบเต้ารับด้วยมัลติมิเตอร์หรือ ไขควงทดสอบไฟ ดูว่ามีแรงดันไฟฟ้าออกมาหรือไม่ ตั้งค่าวัด มัลติมิเตอร์ที่ Rx1 การใช้มัลติมิเตอร์ตรวจสอบสายไฟฟ้าของกระทะไฟฟ้า


ตั้งค่าวัด มัลติมิเตอร์ที่ Rx1 การใช้มัลติมิเตอร์ตรวจสอบขดลวดความร้อนของกระทะไฟฟ้า (2) มีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กระทะไฟฟ้าแต่กระทะไฟฟ้าไม่ร้อน ให้ใช้เครื่องวัดมัลติ มิเตอร์วัดค่าที่ขั้วของขดลวดความร้อน


2. ข้อบกพร่อง สาเหตุที่พบบ่อย และวิธีแก้ไข เกี่ยวกับกระทะไฟฟ้า ตารางข้อบกพร่อง สาเหตุที่พบบ่อย และวิธีซ่อมบํารุง กระทะไฟฟ้า


ตาราง (ต่อ) ข้อบกพร่อง สาเหตุที่พบบ่อย และวิธีซ่อมบํารุง กระทะไฟฟ้า


3. การบํารุงรักษากระทะไฟฟ้า (1) ให้ตรวจสอบส่วนที่เป็นโลหะของกระทะไฟฟ้า โดยใช้ไขควงทดสอบไฟ หาก พบว่ามีไฟฟ้ารั่วให้รีบแก้ไขทันที (2) สายไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า ต้องไม่เสื่อมสภาพ หรือฉีกขาด (3) เต้าเสียบของกระทะไฟฟ้าต้องไม่แตกร้าว และไม่มีรอยไหม้ (4) กระทะไฟฟ้า ต้องไม่วางอยู่บนพื้นที่ติดไฟและใกล้สารไวไฟ (5) เมื่อเลิกใช้งาน ต้องถอดปลั๊กเสียบออกทันที (6) ระวังอย่าทิ้งสิ่งหุงต้มไว้บนกระทะไฟฟ้านาน ๆ (7) ระบบไฟฟ้าของกระทะไฟฟ้าอยู่ที่ใต้ตัวกระทะ ดังนั้น ไม่ควรแช่กระทะทั้งใบลง ในนํ้า (8) ควรล้างผิวของกระทะทุกครั้ง เมื่อใช้งานแล้วเช็ดให้แห้ง แล้วนํามาเสียบปลั๊กทิ้ง ไว้ประมาณ 2 – 3 นาที (9) ไม่ควรใส่นํ้าหรืออาหารให้เกินขีดที่ตัวกระทะกําหนด


เตารีดไฟฟ้า (Electric Iron) เป็นเครื่องใช้ในงานบ้านที่ใช้ในการรีดผ้าให้เรียบโดยอาศัย ความร้อนที่ได้จากการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน มี 2 แบบ คือ แบบ ธรรมดา และแบบไอนํ้าสามารถพ่นไอนํ้าลงบนผ้าในขณะที่รีดผ้าด้วย ดังรูป ลักษณะภายนอกของเตารีดไฟฟ้า


Click to View FlipBook Version