The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอนวิทยาการคำนวณ ม.3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by maria_r, 2022-06-26 03:19:20

แผนการสอนวิทยาการคำนวณ ม.3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

แผนการสอนวิทยาการคำนวณ ม.3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตอ่ )

คำชีแ้ จง : ให้ ผูส้ อน สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✓ ลงในชอ่ งว่างท่ตี รง
กับระดบั คะแนน

คุณลกั ษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
อนั พึงประสงคด์ ้าน 321
5. อยอู่ ย่าง 5.1 ใชท้ รัพยส์ ินและสิง่ ของของโรงเรียนอยา่ งประหยดั
พอเพียง 5.2 ใช้อปุ กรณ์การเรียนอย่างประหยดั และรู้คณุ คา่
5.3 ใชจ้ า่ ยอย่างประหยัดและมกี ารเก็บออมเงิน
6. มุ่งม่นั ในการ 6.1 มีความตง้ั ใจและพยายามในการทำงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
ทำงาน 6.2 มคี วามอดทนและไม่ทอ้ แทต้ อ่ อุปสรรคเพ่ือใหง้ านสำเรจ็
7.1 มีจติ สำนึกในการอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย
7. รักความเปน็ 7.2 เหน็ คณุ คา่ และปฏบิ ัตติ นตามวัฒนธรรมไทย
ไทย 8.1 รูจ้ ักชว่ ยพอ่ แม่ ผูป้ กครอง และครูทำงาน
8. มีจติ สาธารณะ 8.2 อาสาทำงาน ชว่ ยคิด ชว่ ยทำ และแบ่งปันสิ่งของใหผ้ ูอ้ นื่
8.3 รจู้ ักการดแู ล รกั ษาทรพั ย์สมบัติและสิง่ แวดลอ้ มของหอ้ งเรยี น
โรงเรยี น

ชมุ ชน
8.4 เข้ารว่ มกจิ กรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรยี น

ลงชอื่ ...................................................ผ้ปู ระเมนิ
............../.................../................

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ชิ ัดเจนและสมำ่ เสมอ ให้ 3 คะแนน

พฤตกิ รรมที่ปฏิบตั ชิ ัดเจนและบอ่ ยครง้ั ให้ 2 คะแนน

พฤตกิ รรมทีป่ ฏบิ ตั บิ างครงั้ ให้ 1 คะแนน

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 รวบรวมขอ้ มลู เวลาประจำหนว่ ย 4 ช่วั โมง
เรอ่ื ง รวบรวมขอ้ มลู เวลาประจำแผน 1 ชวั่ โมง
รายวชิ า วทิ ยาการคำนวณ 3 รหัสวิชา ว23181 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
กลุม่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
ครูผ้สู อน นางพรทิพย์ ขาวแดง

1. สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปญั หาที่พบในชวี ติ จริงอยา่ งเป็นขั้นตอน

และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หา
ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมจี ริยธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การทำขอ้ มูลให้เปน็ สารสนเทศทีจ่ ะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน จำเป็นตอ้ งอาศยั เทคโนโลยเี ขา้ มาชว่ ยในการ

ดำเนนิ การ เร่ิมตงั้ แต่การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล การดำเนินการประมวลผลข้อมลู ให้กลายเปน็ สารสนเทศ และการ
ดูแลรกั ษาสารสนเทศ เพอื่ การใชง้ าน มีกระบวนการ 3 ขั้นตอน ดังน้ี

1. การรวบรวมและตรวจสอบข้อมลู
2. การประมวลผลขอ้ มูล
3. การดแู ลรักษาขอ้ มูล

3. ตวั ชว้ี ดั / สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ตวั ช้ีวัด

ม.3/2 รวบรวมข้อมูล ประมวลผล ประเมินผล นำเสนอ ข้อมลู และสารสนเทศตามวตั ถปุ ระสงค์โดยใช้ ซอฟตแ์ วรห์ รือ
บรกิ ารบนอนิ เทอร์เนต็ ที่ หลากหลาย

สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

1. การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภมู แิ ละ ทุติยภมู ปิ ระมวลผล สร้างทางเลือก ประเมนิ ผล
2. การประมวลผลเปน็ การกระทาํ กับข้อมูล เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลลพั ธ์ท่ีมคี วามหมายและมปี ระโยชนต์ ่อการนาํ ไปใชง้ าน
3. การใชซ้ อฟตแ์ วรห์ รือบรกิ ารบนอินเทอร์เน็ตท่หี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมนิ ผล

นําเสนอ

4. จุดประสงค์การเรียนรู้

4.1 ด้านความรู้ ( K )
1. อธิบายวิธีการท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้
2. ใชซ้ อฟตแ์ วรเ์ พอ่ื ช่วยในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
3. เห็นประโยชน์ของการใช้ซอฟตแ์ วรเ์ พอ่ื ชว่ ยในการเก็บรวบรวมข้อมูล

4.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ ( P )
1. การคิดวเิ คราะห์
2. กระบวนการกลุ่ม

4.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ( A )
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ มั่นในการทำงาน

5. สาระการเรียนรู้ / เนอ้ื หา

1. การรวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ ข้อมลู ปฐมภมู แิ ละ ทุตยิ ภูมิประมวลผล สร้างทางเลือก ประเมินผล
2. การประมวลผลเป็นการกระทาํ กับข้อมลู เพ่อื ให้ไดผ้ ลลพั ธ์ที่มคี วามหมายและมปี ระโยชนต์ ่อการนาํ ไปใช้งาน
3. การใชซ้ อฟตแ์ วร์หรอื บริการบนอนิ เทอรเ์ น็ตท่หี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก

ประเมินผล นําเสนอ

6. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น

1. ความสามารถในการคดิ
2. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
3. ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี

7. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. มีวินยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. ม่งุ มน่ั ในการทำงาน

8. ภาระงาน
1. กจิ กรรมศกึ ษาเกีย่ วกบั พฤตกิ รรมต่างๆของนักเรยี นในโรงเรียน
2. สร้างแบบสอบถามในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

9. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้

ข้ันนำเข้าส่บู ทเรยี น

- ผสู้ อนถามผู้เรยี นเพือ่ เป็นการกระตุ้นความสนใจ และเพอ่ื ทบทวนความรเู้ ดมิ ของผเู้ รยี น เช่น “หากตอ้ งการ
ทราบวา่ นกั เรียนสว่ นใหญ่ในโรงเรยี นมีพฤติกรรมการใชง้ านโซเชียลมเี ดยี อย่างไร จะมวี ธิ ีการอยา่ งไรบา้ ง?”

แนวคำตอบ : เกบ็ รวบรวมข้อมูลจากการสอบถาม และนำไปประเมินผล

ขน้ั สอน

- ผู้สอนให้ผู้เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เพ่ือทำกิจกรรมศกึ ษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมตา่ งๆของนกั เรยี นใน
โรงเรยี น เช่น พฤตกิ รรมการมาสาย พฤตกิ รรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกำลังกาย พฤติกรรมการเรยี น และ
อนื่ ๆอีกมากมาย
ขัน้ ตอนท่ี 3 ค้นคว้าและคิด

- ผสู้ อนใหผ้ ูเ้ รยี นเปิดคอมพวิ เตอร์ และเปิดบรกิ าร Google Doc จากน้นั เพม่ิ สมาชิกในกลมุ่ และผ้สู อนเขา้ เปน็ ผู้
รว่ มทำงาน จากน้นั ใหผ้ ูเ้ รยี นปรกึ ษาเลอื กหวั ข้อท่ตี ้องการศึกษา ผา่ นบรกิ าร Google Doc โดยทผ่ี ้สู อนคอยใหค้ ำแนะนำ
เพิ่มเติม ผ่านบริการ Google Doc

- ผูส้ อนแจก ใบความรู้ เรอ่ื ง การรวบรวมขอ้ มูล พรอ้ มอธบิ ายใบความรู้ คอื
สามารถแบง่ ประเภทของขอ้ มูลตามแหลง่ ท่ีมา ไดเ้ ป็น 2 กลุม่ คอื
1. ขอ้ มูลปฐมภมู ิ (Primary data) ขอ้ มลู ทีเ่ ก็บรวบรวมมาจากแหลง่ ข้อมูลขั้นต้นหรอื ได้มาจาก

แหล่งข้อมูลโดยตรง เช่น
การสมั ภาษณ์ (interview)
การสำรวจ (survey)
การสังเกต (observe)
การทดลอง (experiment)

2. ขอ้ มูลทุตยิ ภมู ิ (Secondary Data) เปน็ ขอ้ มลู ทีม่ กี ารรวบรวมไว้แลว้ โดยผอู้ ่นื การนำขอ้ มลู ทุติยภูมิ
มาใชจ้ ะตอ้ งตรวจสอบคุณภาพของข้อมลู ก่อน ซ่ึงการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทตุ ยิ ภมู ิ สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็
2 รูปแบบ

1. ขอ้ มูลจากแหลง่ ข้อมลู ภายใน เป็นข้อมลู ทเี่ กดิ ขึ้นภายในหน่วยงาน หรอื ภายในของ
องค์กรของผูใ้ ชง้ าน

2. ขอ้ มูลจากแหล่งข้อมูลภายนอก เป็นขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการรวบรวมขอ้ มลู ของบุคคล
หน่วยงาน หรอื องคก์ รภายนอก
- เมื่อไดห้ ัวข้อทีต่ อ้ งการ ผสู้ อนให้ผู้เรยี น เลอื กวธิ ีการรวบรวมข้อมลู ใหเ้ หมาะสมกับหวั ข้อทีต่ อ้ งการ

- ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นเปิดคอมพวิ เตอร์ และเข้าไปท่บี รกิ าร Google Form เพอื่ สรา้ งแบบสอบถามในการเกบ็
รวบรวมขอ้ มลู โดยผสู้ อนอธบิ ายเพิ่มเติมวา่ Google Form เป็นบริการจากบริษทั Google ทใ่ี ชส้ รา้ งแบบสอบถามหรือ
รวบรวมขอ้ มูลอ่นื ๆ ทางออนไลนไ์ ด้อย่างรวดเรว็ สามารถนำมาประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้หลายกรณี

1. ผ้สู อนใหผ้ ้เู รยี น ใช้ Google Form ในการเกบ็ รวมรวมข้อมูลท่ีตอ้ งการ โดยผู้สอนอธบิ ายวธิ ีการใช้
งาน เคร่อื งมอื ตา่ งๆ ของ Google Form

1. คำตอบสั้นๆ
2. คำถามปลายเปดิ
3. เลอื กตอบไดเ้ พยี ง 1 คำตอบ
4. เลอื กตอบไดม้ ากกว่า 1 คำตอบ
5. Drop down list เลอื กได้ 1 คำตอบ
6. อพั โหลดไฟล์
7. แบบใหค้ ะแนน
8. แบบเลอื ก วัน/เวลา – วนั ท่ี/เวลา
2. ผสู้ อนอธิบายเพ่มิ เติมว่า ผู้เรยี นสามารถเลอื กธีม ปรับแตง่ สี ได้ตามต้องการ รวมถึงสามรถตั้งค่า
ใหก้ ับแบบฟอรม์ และเม่อื ทำแบบฟอร์มเรยี บร้อยแล้ว ใหค้ ลกิ ที่ปุ่มส่ง เพ่อื สง่ แบบฟอร์มใหก้ บั ผู้ตอบ
แบบสอบถาม โดยจะเลอื กสง่ ได้ 3 แบบ คือ

- คดั ลอกลงิ กไ์ ปใหผ้ ู้ตอบแบบฟอรม์
- E-mail
- embed ลงเว็บไซต์
3. ผูส้ อนอธบิ ายเพม่ิ เติมวา่ การใช้งาน Google Form ผ้ใู ชง้ านหรอื ผูท้ จ่ี ะสร้างแบบฟอร์มจะต้องมี
บัญชีของ Gmail หรือ Account ของ Google เพอ่ื เขา้ ใชง้ านสร้างแบบฟอรม์ ผ่าน Web Browser
ได้เลยโดยทไี่ ม่ต้องตดิ ตั้งโปรแกรมใดๆ โดย Google Forms จะสรุปภาพรวมของขอ้ มลู ในรปู แบบ
แผนภมู ิไวใ้ ห้ หากเราตอ้ งการนำข้อมูลไปใช้งานตอ่ เราสามารถนำขอ้ มลู ใน form เกบ็ ลง Google
Sheets เพอื่ ความสะดวกในการประมวลผลขอ้ มูล หรือวเิ คราะหข์ ้อมลู ตอ่ ไป

ข้นั สรุป

- ผสู้ อนสรุปใหผ้ ้เู รยี นเข้าใจวา่ การรวบรวมข้อมูลเปน็ ขนั้ ตอนการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศ เพื่อนำข้อมูลไป
ประยุกตใ์ ช้ได้อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสมกับงาน โดยท่วั ไปวิธีการรวบรวมข้อมลู และประเภทของข้อมลู ทรี่ วบรวมจะขนึ้ อยู่
กบั วัตถปุ ระสงค์ของงานทก่ี ำลังทำอยู่ การรวบรวมข้อมูลจะมีวธิ ีการและแหล่งที่มาแตกต่างกนั ไป หากพจิ ารณาถงึ
ประเภทขอ้ มลู ตามแหล่งท่ีมาสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลปฐมภมู ิ และข้อมลู ทตุ ิยภูมิ และการใช้ซอฟตเ์ พอ่ื
ช่วยในการรวบรวมขอ้ มลู ทำให้สามารถรวบรวมขอ้ มลู ไดอ้ ยา่ งสะดวก รวดเร็ว และไดข้ อ้ มลู ทีถ่ ูกตอ้ ง ครบถ้วน

- ผสู้ อนเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นสอบถามเพิ่มเติม

10. ส่อื /นวัตกรรมทีใ่ ชป้ ระกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1. หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานเทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.3
2. กิจกรรมศึกษาเกี่ยวกบั พฤติกรรมตา่ งๆของนักเรยี นในโรงเรียน
3. สร้างแบบสอบถามในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
4. ใบความรเู้ รอ่ื ง การรวบรวมข้อมลู
5. PowerPoint เรอ่ื ง เรอื่ ง การรวบรวมข้อมลู
11. แหล่งการเรียนรู้
หอ้ ง ICT

0 วิธีการวัด เคร่อื งมือที่ใช้ เกณฑ์การประเมนิ
- ตรวจกจิ กรรมศึกษา - กจิ กรรมศกึ ษา ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 75
12. การวดั และประเมนิ ผล เกี่ยวกบั พฤตกิ รรมต่างๆ เกีย่ วกบั พฤติกรรม
การประเมนิ ของนักเรยี นในโรงเรียน ต่างๆของนักเรียนใน ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 75
- ตรวจการ สร้าง โรงเรยี น
ดา้ นความรู้ ( K ) แบบสอบถามในการเก็บ - สรา้ งแบบสอบถามใน
1. อธบิ ายวธิ ีการทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
รวบรวมขอ้ มูลได้
2. ใชซ้ อฟตแ์ วร์เพ่ือชว่ ยในการเก็บ - ตรวจกจิ กรรมศึกษา - แบบประเมิน
รวบรวมขอ้ มูล เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมต่างๆ กิจกรรมกลมุ่
3. เห็นประโยชนข์ องการใช้ ของนักเรยี นในโรงเรยี น
ซอฟต์แวรเ์ พอื่ ชว่ ยในการเก็บรวบรวม
ข้อมูล
ดา้ นทักษะ / กระบวนการ ( P )

1) การคิดวิเคราะห์
2) กระบวนการกลุ่ม

ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) - ตรวจการ สรา้ ง แบบสงั เกตพฤตกิ รรม การประเมินพฤติกรรม
แบบสอบถามในการเก็บ รายบคุ คล รายบุคคล
1. มีวนิ ยั รวบรวมข้อมูล ผา่ น รอ้ ยละ 60
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุง่ ม่นั ในการทำงาน สงั เกตพฤติกรรม
รายบุคคล

ดา้ นสมรรถนะ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกต - การประเมนิ พฤติกรรม
1.ความสามารถในการคิด รายบุคคล
2.ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี พฤตกิ รรมรายบุคคล รายบคุ คลผา่ น รอ้ ยละ 60

13. กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นกั เรยี นใชเ้ วลาว่างในการทบทวนบทเรยี น ศกึ ษาเนอ้ื หาเพ่มิ เตมิ จากหนว่ ยงานทเี่ กีย่ วขอ้ ง ซึ่งจะไดข้ ้อมลู ท่ี

เป็นปัจจุบนั และเปน็ ประโยชนต์ อ่ การเรียนการสอน และการดำเนินชวี ติ ประจำวนั ตอ่ ไป

ลงชอื่ พรทิพย์ ขาวแดง ผูเ้ ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
(นางพรทพิ ย์ ขาวแดง)
ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย

แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 2

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 รวบรวมขอ้ มลู เวลาประจำหนว่ ย 4 ช่วั โมง
เร่อื ง การประมวลผลข้อมูล เวลา 1 ช่วั โมง
รายวชิ า วิทยาการคำนวณ 3 รหัสวชิ า ว23181 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
ครผู ู้สอน นางพรทิพย์ ขาวแดง

1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชวี ติ จรงิ อยา่ งเปน็ ข้นั ตอน

และเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแกป้ ญั หา
ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทัน และมีจรยิ ธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การทำข้อมูลให้เปน็ สารสนเทศทีจ่ ะเปน็ ประโยชนต์ ่อการใช้งาน จำเปน็ ตอ้ งอาศัยเทคโนโลยเี ขา้ มาชว่ ยในการ

ดำเนินการ เรม่ิ ตั้งแตก่ ารรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การดำเนินการประมวลผลขอ้ มลู ให้กลายเปน็ สารสนเทศ และการ
ดแู ลรกั ษาสารสนเทศ เพ่ือการใชง้ าน มีกระบวนการ 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล
2. การประมวลผลขอ้ มลู
3. การดแู ลรกั ษาขอ้ มลู

3. ตัวชี้วดั /สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ตวั ชว้ี ดั
ว 4.2 ม.3/2 ประเมินความน่าเชอ่ื ถือ ของขอ้ มลู วเิ คราะหส์ อื่ และผลกระทบจากการ ให้ขา่ วสารทผี่ ิด

เพื่อการใช้งานอยา่ งรเู้ ทา่ ทัน
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

1.การรวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มูลปฐมภูมิและ ทตุ ยิ ภมู ปิ ระมวลผล สร้างทางเลอื ก ประเมนิ ผล
2.การประมวลผลเปน็ การกระทํากับข้อมลู เพอื่ ให้ได้ผลลพั ธท์ ี่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการ
นําไปใชง้ าน
3.การใช้ซอฟตแ์ วรห์ รือบรกิ ารบนอินเทอรเ์ น็ตท่หี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลือก
ประเมินผล นําเสนอ

4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

4.1 ดา้ นความรู้ ( K )
1. อธิบายวิธีการทใี่ ชใ้ นการประมวลผลได้
2. ใชซ้ อฟตแ์ วรเ์ พ่ือช่วยในการประมวลผล
3. เห็นประโยชน์ของการใช้ซอฟตแ์ วรเ์ พอื่ ชว่ ยในการประมวลผล

4.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ ( P )
1. การคิดวเิ คราะห์
2. กระบวนการกล่มุ

4.3 ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ( A )
1. มวี ินัย
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทำงาน

5. สาระการเรียนรู้ / เนื้อหา

1.การรวบรวมข้อมลู จากแหล่งข้อมูลปฐมภมู ิและ ทุติยภูมปิ ระมวลผล สร้างทางเลอื ก ประเมนิ ผล
2.การประมวลผลเป็นการกระทํากบั ขอ้ มูล เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลลพั ธท์ มี่ ีความหมายและมปี ระโยชนต์ อ่ การนาํ ไปใชง้ าน
3.การใช้ซอฟต์แวรห์ รือบรกิ ารบนอินเทอรเ์ น็ตทห่ี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมนิ ผล
นาํ เสนอ

6. สมรรถนะสำคญั
1. ความสามารถในการคิด
2. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มงุ่ ม่ันในการทำงาน

8. ภาระงาน
1. กจิ กรรมศกึ ษาเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมตา่ งๆของนกั เรยี นในโรงเรยี น
2. ประมวลผลขอ้ มลู ดว้ ย Google Form

9. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้

ขน้ั นำเขา้ สู่บทเรียน

1. ผสู้ อนถามผู้เรียนเพือ่ เปน็ การกระต้นุ ความสนใจ และเพอ่ื ทบทวนความรเู้ ดมิ ของผู้เรยี น เช่น “เมือ่ ได้ข้อมลู ท่ี
ได้จากการเกบ็ รวบรวมมาแลว้ นักเรยี นมีวิธีการประมวลผลอยา่ งไรบา้ ง”
แนวคำตอบ : ใชซ้ อฟตแ์ วรช์ ่วยในการประมวลผล

ขั้นสอน

1. ผสู้ อนแจกใบความรทู้ ่ี 9 การประมวลผล (Data Processing) พรอ้ มอธิบายใบความรู้
การประมวลผล (Data Processing) เปน็ การประมวลผลทางขอ้ มลู เป็นการนำขอ้ มลู ทเ่ี ก็บรวบรวม

ไดม้ าผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพอื่ แปรสภาพข้อมลู ใหอ้ ย่ใู นรูปแบบทตี่ ้องการ เรยี กวา่ ขอ้ มูลสนเทศหรอื
สารสนเทศ (Information)

DATA PROCESSING INFORMATION

Information คือ ผลลพั ธ์ที่ไดจ้ ากขอ้ มลู ท่ไี ด้รวบรวมและนำเข้าสกู่ ระบวนการประมวลผล ซึง่ ผลลพั ธท์ ี่
ได้ สามารถนำไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการวเิ คราะหท์ ศิ ทาง หรือการตัดสินใจไดท้ นั ที โดยวิธีการประมวลผล
จำแนกได้ 3 วธิ ี
1. การประมวลผลดว้ ยมอื (Manual Data Processing)
2. การประมวลผลดว้ ยเคร่ืองจกั ร (Mechanical Data Processing)
3. การประมวลผลขอ้ มูลดว้ ยเครอ่ื งอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronic Data Processing)

ขั้นตอนการประมวลผลขอ้ มลู หรือขน้ั ตอนให้ไดม้ าซง่ึ สารสนเทศ แบ่งออกเปน็ 3 ขนั้ ตอน ดังน้ี
1. ขนั้ เตรียมข้อมลู (Input)
2. ขั้นการประมวลผล (Processing)
3. ขน้ั การแสดงผลลพั ธ์ (Output)
2. ผูส้ อนใหผ้ ู้เรียนเปิดคอมพวิ เตอร์ เพอ่ื ทำการประมวลผลขอ้ มลู ดว้ ย Google Form โดย เปดิ แบบฟอรม์

แบบสอบถามทีไ่ ดส้ ร้างไว้ ท่ี Google Form จากนน้ั ให้ผู้เรียน ไปท่ี การตอบกลับ (Responses) เปน็ การ

เรียกดูผลการตอบแบบสอบถามท่ี ได้มีการตอบกลบั มา

ซึ่งสามารถเรยี กดูผลการตอบกลับได้ 2 รปู แบบหลัก คือ

1. ผลการตอบรับแบบ “ข้อมูลสรปุ ” (Summary)
2. ผลการตอบรบั แบบ “แยกรายการ” (Individual)

3. ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนลองดูขอ้ มูลการตอบกลบั วา่ เพยี งพอต่อการนำไปประมวลผลหรอื ไม่ ถา้ ไมเ่ พยี งพอใหผ้ ู้เรียน
เกบ็ รวบรวมข้อมูลเพ่ิมเตมิ

4. ผสู้ อนอธบิ ายว่า ระบบการจดั เกบ็ ข้อมลู ของ Google Forms เม่ือมกี ารตอบเข้ามาระบบจะจัดเกบ็
ขอ้ มูลโดยอตั โนมัติและสามารถดูการสรุปผลจำนวนในภาพรวมได้แบบออนไลน์ หรอื จะ
ดาวนโ์ หลดข้อมลู ผลการตอบออกมาในรปู แบบของไฟล์ Excel ได้ รวมถึงสามารถ Print
ผลการตอบในระดับรายบุคคลออกมาเป็นเอกสาร ก็สามารถทำได้เช่นกัน

5. ผสู้ อนแนะนำเพม่ิ เติมวา่ จากข้อมลู ที่ Google Forms ไดท้ ำการวิเคราะห์ประมวลผลไว้แล้ว จะไดอ้ อกมา
เป็นรูปแบบแผนภมู ิ รปู แบบการแสดงผลจะปรากฏในลกั ษณะของแผนภูมวิ งกลม และแผนภูมิแท่ง
ตัวอยา่ ง แผนภูมวิ งกลม แบง่ สัดส่วนของคำตอบดว้ ยลักษณะของสีทแี่ ตกต่าง โดยมคี ำอธบิ ายกำกับ

6. ผู้สอนอธิบายเพม่ิ เตมิ ว่า กรรมวิธใี นการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพวิ เตอร์มีหลายวธิ ี เชน่
การประมวลผลมีดว้ ยกันหลายวิธี เชน่
1. การคำนวณ (computation) เปน็ การนำข้อมลู ทม่ี อี ยูแ่ ลว้ มาคำนวณตามข้อกำหนดของการ
ประมวลผลเพอื่ ให้ไดค้ า่ ผลลพั ธ์ใหม่ เชน่ คำนวณอายปุ จั จบุ ันจากปเี กิด หาค่ามากท่ีสุด ค่าเฉล่ยี
2. การเรยี งลำดับ (sort) เปน็ การจดั ข้อมลู ใหอ้ ยใู่ นลำดบั ที่เหมาะสม โดยการจัดเรียงข้อมูลตัวเลขหรือ
ตัวอกั ษรตามลำดับที่ตอ้ งการเพอ่ื ใหเ้ รยี กใชง้ านไดง้ ่าย
3. การวเิ คราะห์ (analysis) เชน่ การจัดกลมุ่ การแยกประเภท การตคี วาม

4. การสรุป (summation) เปน็ การสรุปใจความสำคัญ ใหเ้ หลือเฉพาะประเดน็ หลัก
5. การรายงาน (reporting) เป็นการนำเสนอ เสนอผลลพั ธท์ ไ่ี ด้ในรูปแบบตา่ งๆ เชน่ เลม่ รายงานหรอื
ไฟล์ ป้ายนเิ ทศ

7. ผู้สอนให้เวลาผเู้ รยี นในการประมวลผลข้อมูล โดยผสู้ อนคอยดูแลความเรียบร้อยและคอยใหค้ ำแนะนำเพิ่มเตมิ

ข้นั สรุป

1. ผูส้ อนสรปุ ให้ผู้เรยี นเข้าใจว่า การประมวลผลขอ้ มูล เปน็ วิธีการจัดการกบั ข้อมูล ซ่งึ อาจะเปน็ การคำนวณหรือ
การเปรียบเทียบลักษณะต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์หรือตรงตามวัตถุประสงค์ของ
ผู้ใช้งาน โดยการประมวลผลข้อมูลสามารถใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในกระมวลผลข้อมูล เพื่อช่วยลดระยะเวลาใน
การทำงาน โดยสามารถนำข้อมลู ท่ซี อฟตแ์ วร์ประมวล ไปใช้ประโยชนใ์ นการวเิ คราะห์ข้อมูลตอ่ ไปได้

2. ผสู้ อนเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนสอบถามเพม่ิ เติม
10. สอ่ื /นวตั กรรมทีใ่ ชป้ ระกอบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

1. หนังสือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานเทคโนโลยี (วทิ ยาการคำนวณ) ม.3
2. กิจกรรมศกึ ษาเก่ียวกับพฤติกรรมตา่ งๆของนกั เรยี นในโรงเรียน
3. ประมวลผลขอ้ มลู ดว้ ย Google Form
4. ใบความรเู้ รอื่ ง การประมวลผล (Data Processing)

11. แหล่งการเรยี นรู้
ห้อง ICT

0

12. การวดั และประเมนิ ผล

การประเมิน วธิ กี ารวัด เครือ่ งมอื ทใ่ี ช้ เกณฑ์การประเมนิ
ด้านความรู้ ( K ) ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 75
1. อธิบายวธิ กี ารที่ใชใ้ นการเก็บ - ตรวจกิจกรรมศกึ ษา - กจิ กรรมศึกษา
รวบรวมข้อมูลได้
2. ใช้ซอฟตแ์ วรเ์ พอ่ื ชว่ ยในการเกบ็ เก่ยี วกับพฤติกรรมตา่ งๆ เกี่ยวกบั พฤตกิ รรม
รวบรวมข้อมลู
3. เหน็ ประโยชน์ของการใช้ ของนักเรียนในโรงเรยี น ต่างๆของนกั เรียนใน
ซอฟต์แวรเ์ พอ่ื ชว่ ยในการเกบ็ รวบรวม
ข้อมลู - ตรวจการ ประมวลผล โรงเรยี น

ขอ้ มลู ด้วย Google Form - ประมวลผลข้อมลู

ดว้ ย Google Form

ด้านทกั ษะ / กระบวนการ ( P ) - ตรวจกจิ กรรมศกึ ษา - กิจกรรมศึกษา ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 75
1) การคดิ วเิ คราะห์ เกย่ี วกบั พฤติกรรมต่างๆ เกย่ี วกับพฤตกิ รรม
2) กระบวนการกล่มุ ของนักเรียนในโรงเรยี น ต่างๆของนกั เรยี นใน การประเมินพฤติกรรม
- ตรวจการ ประมวลผล โรงเรียน รายบคุ คล
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) ข้อมลู ดว้ ย Google Form - ประมวลผลขอ้ มลู ผา่ น ร้อยละ 60
1. มวี นิ ยั
2. ใฝ่เรยี นรู้ ด้วย Google Form
3. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน
สังเกตพฤติกรรม แบบสงั เกตพฤติกรรม
รายบุคคล รายบุคคล

ดา้ นสมรรถนะ - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกต - การประเมนิ พฤตกิ รรม
1.ความสามารถในการคดิ รายบคุ คล
2.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี พฤติกรรมรายบุคคล รายบุคคลผ่าน รอ้ ยละ 60

13. กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนใช้เวลาว่างในการทบทวนบทเรียน ศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะได้ข้อมูลที่

เปน็ ปจั จุบัน และเปน็ ประโยชน์ต่อการเรียนการสอน และการดำเนินชวี ติ ประจำวันตอ่ ไป

ลงชอ่ื พรทิพย์ ขาวแดง ผู้เขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้
(นางพรทพิ ย์ ขาวแดง)
ตำแหน่ง ครูผู้ชว่ ย

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 3

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 รวบรวมขอ้ มูล เวลาประจำหนว่ ย 4 ชัว่ โมง

เร่อื ง การใช้ซอฟตแ์ วรใ์ นการจดั การขอ้ มลู และสารสนเทศ เวลา 2 ช่วั โมง

รายวิชา วิทยาการคำนวณ 3 รหสั วชิ า ว23181 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565

ครผู ู้สอน นางพรทิพย์ ขาวแดง

.

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปญั หาทพี่ บในชีวิตจริงอยา่ งเป็นขัน้ ตอน

และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

ร้เู ทา่ ทนั และมีจริยธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศที่จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้งาน จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ

ดำเนินการ เริม่ ต้ังแต่การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มลู การดำเนนิ การประมวลผลข้อมลู ใหก้ ลายเป็นสารสนเทศ และการ
ดแู ลรักษาสารสนเทศ เพอื่ การใช้งาน มีกระบวนการ 3 ขนั้ ตอน ดังนี้

1. การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล
2. การประมวลผลขอ้ มูล
3. การดแู ลรักษาข้อมลู

3. ตวั ชวี้ ัด/สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ตวั ช้วี ัด
ว 4.2 ม.3/2 ประเมนิ ความน่าเชอื่ ถือ ของข้อมลู วเิ คราะห์ส่ือ และผลกระทบจากการ ให้ข่าวสารทผ่ี ดิ
เพ่ือการใช้งานอยา่ งรเู้ ท่าทัน

สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
1. การรวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งข้อมูลปฐมภูมแิ ละ ทตุ ิยภมู ิประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ประเมินผล
2. การประมวลผลเปน็ การกระทํากับขอ้ มลู เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลลพั ธ์ทีม่ ีความหมายและมีประโยชน์ตอ่ การ

นําไปใชง้ าน
3. การใช้ซอฟตแ์ วรห์ รือบริการบนอินเทอรเ์ น็ตท่หี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สร้างทางเลือก

ประเมินผล

4. จุดประสงค์การเรยี นรู้

4.1 ด้านความรู้ ( K )
1. อธิบายวิธีการใช้ซอฟตแ์ วรใ์ นการใช้ซอฟตแ์ วรใ์ นการจัดการขอ้ มลู และสารสนเทศได้
2. ใชซ้ อฟตแ์ วร์เพอ่ื ช่วยในการจดั การขอ้ มลู และสารสนเทศ
3. เหน็ ประโยชน์ของการใชซ้ อฟตแ์ วรใ์ นการจดั การขอ้ มูลและสารสนเทศ

4.2 ดา้ นทักษะ/กระบวนการ ( P )
1. การคดิ วิเคราะห์
2. กระบวนการกล่มุ

4.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ( A )
1. มวี ินยั
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุง่ ม่ันในการทำงาน

5. สาระการเรยี นรู้ / เนอื้ หา

1. การรวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มูลปฐมภมู ิและ ทุตยิ ภมู ิประมวลผล สรา้ งทางเลือก ประเมินผล
2. การประมวลผลเปน็ การกระทาํ กบั ข้อมูล เพอื่ ให้ไดผ้ ลลพั ธ์ทีม่ ีความหมายและมีประโยชน์ตอ่ การนาํ ไปใช้งาน
3. การใช้ซอฟตแ์ วรห์ รอื บริการบนอนิ เทอรเ์ นต็ ทห่ี ลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก
ประเมนิ ผล นาํ เสนอ

6. สมรรถนะสำคญั
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

7. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวนิ ยั
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุง่ ม่ันในการทำงาน

8. ภาระงาน
1. กจิ กรรมศกึ ษาเก่ยี วกับพฤตกิ รรมต่างๆของนกั เรยี นในโรงเรียน
2. ใช้ซอฟตแ์ วร์เพอ่ื ช่วยในการจัดการขอ้ มลู
3. แบบทดสอบหลงั เรียน
9. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้

ช่ัวโมงที่ 1

ข้นั นำเข้าสบู่ ทเรยี น

1. ผู้สอนถามผเู้ รียนเพอื่ เปน็ การกระต้นุ ความสนใจ และเพอื่ ทบทวนความรู้เดมิ ของผูเ้ รียน เชน่ “เมือ่ ไดข้ ้อสรุป
ผลการวเิ คราะห์ออกมาแล้ว นักเรียนมวี ธิ กี ารนำเสนอข้อมลู ที่ได้จากการศกึ ษาอย่างไร”
แนวคำตอบ : นำเสนอในรปู แบบของรายงาน
นำเสนอในรปู แบบของโปสเตอร์
นำเสนอในรูปแบบของ Presentation

ข้นั สอน

1. ผสู้ อนอธบิ ายว่า ในปจั จุบนั ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช้ในการสรา้ งและนำเสนอขอ้ มูลมใี หเ้ ลอื กใช้จำนวนมาก ซง่ึ
ซอฟตแ์ วรท์ ่ีใชใ้ นการสร้างและนำเสนอขอ้ มูลไมใ่ ชม่ เี พียงแคซ่ อตฟต์แวร์ในการทำ Slide Presentation
เพียงอย่างเดยี วเทา่ นัน้ ยังมีซอฟตแ์ วรเ์ พอ่ื ใช้ในการสร้างภาพการนำเสนอขอ้ มลู ในรูปแบบกราฟ เชน่
Microsoft Excel, Power BI และการซอฟตแ์ วรเ์ พอ่ื การสรา้ งอนิ โฟกราฟกิ เช่น Photoshop, Illustrator

2. ผ้สู อนแนะนำเพิ่มเติมว่า ซอฟต์แวรท์ ่ีใชส้ ำหรับนำเสนอขอ้ มูล การแสดงผลตอ้ งสามารถดงึ ดดู ความสนใจ
นอกจากสามารถแสดงขอ้ ความในลกั ษณะท่ีจะส่ือความหมายได้งา่ ยแล้วจะตอ้ งสรา้ งแผนภมู ิ กราฟ และ
รูปภาพ เพอื่ สรปุ ข้อมลู ให้งา่ ยต่อการเขา้ ใจ

3. ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนปรึกษากนั เพือ่ เลอื กวธิ ีการนำเสนอ และใหเ้ ลอื กใช้ซอฟต์แวรใ์ นการนำเสนอขอ้ มูล
4. ผสู้ อนใหผ้ ้เู รยี นสรปุ ขอ้ มลู เพอ่ื เตรยี มพรอ้ มในการนำเสนอ โดยผูส้ อนคอยดแู ลความเรียบรอ้ ยและคอยให้

คำแนะนำเพม่ิ เติม
5. ผ้สู อนอธบิ ายเพิ่มเตมิ วา่

1. มีวตั ถุประสงค์ที่ชัดเจน มคี วามตอ้ งการท่แี นช่ ัดว่า เสนอเพอ่ื อะไร โดยไม่ต้องใหผ้ รู้ ับรบั การนำเสนอ
ต้องถามวา่ ตอ้ งการใหพ้ ิจารณาอะไร

2. มีรูปแบบการนำเสนอเหมาะสม มคี วามกระทดั รดั ไดใ้ จความ เรียงลำดบั ไมส่ บั สน ใชภ้ าษาเข้าใจงา่ ย
ใชต้ าราง แผนภูมิ แผนภาพ ช่วยให้พจิ ารณาขอ้ มลู ไดส้ ะดวก

3. เน้อื หาสาระดี มีความนา่ เช่อื ถอื เทยี่ งตรง ถูกต้อง สมบรู ณ์ครบถ้วน ตรงตามความตอ้ งการ มขี ้อมูล
ท่เี ป็นปจั จุบันทนั สมยั และมเี นือ้ หาเพียงพอแกก่ ารพิจารณา

4. มี ข้อเสนอทด่ี ี มีข้อเสนอทสี่ มเหตุสมผล มีขอ้ พจิ ารณาเปรยี บเทียบ ทางเลอื กทีเ่ ห็นได้ชัด เสนอแนะ
แนวทางปฏบิ ตั ิทีช่ ัดเจน

ชว่ั โมงท่ี 2

ขั้นสอน (ต่อ)

1. ผู้สอนใหผ้ ้เู รยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานำเสนอขอ้ มลู โดยให้ผูเ้ รยี นกลมุ่ อนื่ ๆ แสดงความคิดเห็น เสนอแนะ
เพ่มิ เตมิ เพอื่ ใหเ้ กดิ การการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้

2. ผู้สอนและผเู้ รียนรว่ มกันสรุปประโยชนท์ ่ไี ด้จากการศึกษาเก่ยี วกบั พฤตกิ รรมต่างๆของนกั เรยี นในโรงเรยี น
1. จะทำให้ทราบขอ้ เท็จจริงตา่ ง ๆ ซ่ึงนำมาใชเ้ ปน็ ประโยชนเ์ พ่ือการปรับปรงุ
2. เป็นแนวทางในการพฒั นาคณุ ภาพของสิง่ ต่างๆ
3. ช่วยใหเ้ ขา้ ใจพฤติกรรมของนกั เรียน
4. นำไปพจิ ารณาถงึ จุดอ่อนและจดุ ดขี องนกั เรยี น แล้วหลกี เลยี่ งไม่ใหเ้ กดิ จุดออ่ นและเสริมสร้างจดุ ดี
5. นำมาประกอบเหตุผลในการทำโครงการ

ข้ันสรปุ

1. ผู้สอนสรุปใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจวา่ ซอฟแวรใ์ นการนำเสนอข้อมลู เปน็ โปรแกรมทใี่ ชน้ ำเสนอข้อมูลด้วยระบบ
คอมพวิ เตอร์ และเป็นซอฟตแ์ วร์ประยกุ ต์ท่สี ามารถนำเสนอข้อมลู ในรูปแบบตัวอกั ษร ตาราง กราฟ ภาพนิ่ง
ภาพเคลือ่ นไหว และเสยี ง ทำให้งานนำเสนอมรี ูปแบบท่ีหลากหลาย สง่ ผลให้ผรู้ ับสารสนใจ และเขา้ ใจเนอื้ หา
ไดม้ ากย่งิ ขน้ึ

2. ผสู้ อนเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนสอบถามเพิม่ เติม

10. ส่ือการเรียนรู้
1. กิจกรรมศกึ ษาเก่ียวกบั พฤตกิ รรมต่างๆของนักเรยี นในโรงเรยี น
2. ใช้ซอฟตแ์ วรเ์ พอื่ ชว่ ยในการจัดการข้อมลู
3. ใบความรู้เรอื่ ง ซอฟต์แวรท์ ช่ี ว่ ยในการจัดการขอ้ มูล

11. แหล่งการเรยี นรู้
หอ้ ง ICT

0

12. การวดั และประเมนิ ผล วิธีการวัด เคร่ืองมอื ที่ใช้ เกณฑ์การประเมิน
การประเมิน ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 75
- ตรวจกิจกรรมศกึ ษา - กิจกรรมศึกษาเก่ียวกับ
ด้านความรู้ ( K ) ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 75
1. อธิบายวิธกี ารท่ีใช้ในการเก็บ เกยี่ วกบั พฤติกรรมต่างๆของ พฤติกรรมต่างๆของ
รวบรวมขอ้ มลู ได้ การประเมิน
2. ใช้ซอฟตแ์ วร์เพอ่ื ชว่ ยในการเกบ็ นักเรียนในโรงเรียน นักเรียนในโรงเรยี น พฤติกรรมรายบคุ คล
รวบรวมข้อมูล ผ่าน ร้อยละ 60
3. เห็นประโยชนข์ องการใช้ - ตรวจการ ใช้ซอฟต์แวร์ - ใช้ซอฟตแ์ วร์เพอ่ื ชว่ ยใน
ซอฟต์แวรเ์ พอ่ื ชว่ ยในการเกบ็ รวบรวม
ข้อมลู เพื่อชว่ ยในการจัดการขอ้ มูล การจดั การขอ้ มลู
ด้านทกั ษะ / กระบวนการ ( P )
- แบบทดสอบหลงั เรยี น - แบบทดสอบหลงั เรียน
1) การคดิ วเิ คราะห์
2) กระบวนการกลมุ่ - ตรวจกจิ กรรมศึกษา - กจิ กรรมศกึ ษาเกยี่ วกบั

ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ (A) เกยี่ วกับพฤตกิ รรมต่างๆของ พฤตกิ รรมต่างๆของ

1. มวี นิ ัย นกั เรยี นในโรงเรยี น นักเรียนในโรงเรยี น
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งมนั่ ในการทำงาน - ตรวจการ ใชซ้ อฟตแ์ วร์ - ใชซ้ อฟตแ์ วรเ์ พอ่ื ช่วยใน

เพือ่ ชว่ ยในการจัดการขอ้ มลู การจดั การข้อมลู

- แบบทดสอบหลังเรียน - แบบทดสอบหลังเรยี น

สังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล แบบสงั เกตพฤติกรรม
รายบคุ คล

ด้านสมรรถนะ - แบบทดสอบหลังเรียน - แบบทดสอบหลงั เรียน - การประเมนิ
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร - สังเกตพฤตกิ รรม - สงั เกตพฤติกรรม พฤติกรรมรายบคุ คล
2. ความสามารถในการคิด รายบคุ คล รายบุคคล ผา่ น รอ้ ยละ 60
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

13. กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนใช้เวลาว่างในการทบทวนบทเรียน ศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะได้ข้อมูลท่ี

เป็นปัจจบุ นั และเป็นประโยชนต์ ่อการเรียนการสอน และการดำเนนิ ชีวติ ประจำวันต่อไป

ลงชอื่ พรทิพย์ ขาวแดง ผูเ้ ขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้
(นางพรทพิ ย์ ขาวแดง)
ตำแหน่ง ครผู ชู้ ว่ ย

ส่อื การสอน/นวัตกรรม

แบบทดสอบหลังเรยี น
คำชแี้ จง : ให้นักเรยี นเลือกคำตอบท่ถี ูกตอ้ งทเ่ี พยี งข้อเดว
1. การดำเนินการเพอ่ื ให้ได้มาซึ่งข้อมูลคือนยิ ามของอะไร
ก. นิยามปญั หา
ข. วเิ คราะห์ปัญหา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรียมข้อมลู
จ. ประมวลผล
2. ขอ้ ใดเป็นขนั้ ตอนแรกการนำขอ้ มลู มาใช้แก้ปัญหา
ก. นิยามปัญหา
ข. วิเคราะห์ปญั หา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรยี มขอ้ มลู
จ. ประมวลผล
3. ข้อใดเป็นขน้ั ตอนการนำขอ้ มูลมาใช้แกป้ ญั หายกเว้นขอ้ ใด
ก. นำเสนอข้อมลู
ข. วิเคราะหป์ ญั หา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรยี มข้อมูล
จ. สนทนากล่มุ
4. ข้อใดเปน็ ขนั้ ตอนการนำข้อมลู มาใช้แกป้ ญั หายกเวน้ ข้อใด
ก. นิยามปญั หา
ข. วเิ คราะห์ปญั หา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. สังเกต
จ. ประมวลผล
5. ข้อใดเป็นขั้นตอนแรกการนำข้อมูลมาใชแ้ ก้ปัญหา
ก. นิยามปญั หา
ข. วิเคราะห์ปญั หา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรียมขอ้ มลู
จ. ประมวลผล

6. ขอ้ ใดเปน็ ขน้ั ทส่ี องการนำข้อมลู มาใช้แกป้ ัญหา
ก. นยิ ามปญั หา
ข. วเิ คราะหป์ ญั หา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรียมขอ้ มูล
จ. ประมวลผล
7. ขอ้ ใดเป็นขัน้ สดุ ทา้ ยการนำข้อมูลมาใช้แก้ปัญหา
ก. นำเสนอขอ้ มลู
ข. วเิ คราะห์ปัญหา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรยี มขอ้ มลู
จ. ประมวลผล
8. หลงั จากเตรียมข้อมลู แลว้ ขั้นตอ่ ไปคืออะไรในการนำขอ้ มูลมาใชแ้ กป้ ญั หา
ก. นำเสนอขอ้ มลู
ข. วิเคราะห์ปัญหา
ค. รวบรวมขอ้ มลู
ง. เตรียมขอ้ มลู
จ. ประมวลผล
9. การต้งั คำถามทส่ี นใจคอื นยิ ามของขน้ั ตอนใด
ก. นิยามปญั หา
ข. วเิ คราะห์ปัญหา
ค. รวบรวมข้อมลู
ง. เตรยี มข้อมูล
จ. ประมวลผล
10. ข้อใดเป็นข้ันตอนการนำข้อมูลมาใชแ้ ก้ปญั หายกเว้นขอ้ ใด
ก. นยิ ามปัญหา
ข. วิเคราะหป์ ญั หา
ค. รวบรวมขอ้ มลู
ง. สงั เกต
จ. ประมวลผล

บนั ทกึ หลงั สอน

1 ด้านความรู้ ( K )
ม.3/5 นกั เรยี นทงั้ หมดมคี วามเข้าใจและผ่านกิจกรรมหนว่ ยท่ี 1
ม.3/6 นักเรียนทงั้ หมดมีความเข้าใจและผ่านกิจกรรมหนว่ ยที่ 1
ม.3/7 นกั เรียนทง้ั หมดมคี วามเข้าใจและผ่านกจิ กรรมหนว่ ยท่ี 1
ม.3/8 นักเรียนทง้ั หมดมีความเขา้ ใจและผ่านกจิ กรรมหนว่ ยท่ี 1
ม.3/9 นักเรียนทั้งหมดมคี วามเขา้ ใจและผา่ นกิจกรรมหนว่ ยท่ี 1

2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ ( P )
นักเรียน ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ม.3/9 ทุกคนมที ักษะการทำงานและทกั ษะกระบวนการ

ทำงานกลุม่ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี

3 ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ( A )
นักเรยี น ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ม.3/9 ทุกคนมคี วามมมุ านะในการทำงานเข้าใจปญั หา

และรว่ มกันแกป้ ัญหาอาจจะช้าหรอื เรว็ ตา่ งกัน กถ็ อื ว่านักเรียนมคี วามพยายามในการแกป้ ญั หาหรือมสี ่วนรว่ มใน
การแก้ปญั หาและนกั เรยี นทกุ คนมีวินยั ในการทำงานเปน็ อย่างดี

4. ปญั หา / อปุ สรรค / แนวทางแกป้ ญั หา

-

5. ขอ้ เสนอแนะ

ให้นักเรียนใช้เวลาวา่ งในการทบทวนบทเรียน ศึกษาเนื้อหาเพิม่ เติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง ซึ่งจะได้
ข้อมลู ทเ่ี ป็นปัจจุบนั และเปน็ ประโยชนต์ ่อการเรียนการสอน และการดำเนนิ ชวี ติ ประจำวันต่อไป

ลงชื่อ พรทิพย์ ขาวแดง ผเู้ ขียนแผนการจดั การเรยี นรู้
(นางพรทพิ ย์ ขาวแดง)
ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 รเู้ ทา่ ทันส่ือ เวลาประจำหนว่ ย 3 ชวั่ โมง
เรอ่ื ง ความน่าเชอื่ ถอื ของขอ้ มลู เวลา 1 ชว่ั โมง
รายวชิ า วทิ ยาการคำนวณ 3 รหสั วิชา ว23181 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ครูผู้สอน นางพรทพิ ย์ ขาวแดง

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชิงคำนวณในการแกป้ ญั หาทพ่ี บในชวี ติ จริงอยา่ งเป็นขัน้ ตอน

และเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หา
ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมจี รยิ ธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การป้องกันตนเองจากการถกู จูงใจจากเนือ้ หาของสือ่ สามารถวิเคราะห์เน้อื หาของสือ่ อย่างมวี จิ ารณญาณ เพ่ือให้

สามารถควบคุมการตีความเนื้อหาของสื่อที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย นั่น คือ การที่ไม่หลงเชื่อเนื้อหาที่ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง แต่
สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และรู้จักต้ังคำถาม การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล การเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ความสามารถในการเขา้ ถึงสื่อ ความเข้าใจการประเมินคา่ สารสนเทศและเนื้อหาในสือ่ การสร้าง การใชป้ ระโยชน์ และการ
เฝา้ ระวงั สารสนเทศและเนอื้ หาในสือ่

3. ตัวชี้วดั / สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ตัวชี้วัด
ว 4.2 ม.3/3 ประเมินความนา่ เชอื่ ถอื ของขอ้ มลู วิเคราะห์ส่อื และผลกระทบจากการ ให้ขา่ วสารท่ีผดิ
เพอื่ การใชง้ านอยา่ งรเู้ ท่าทัน

สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
1. การประเมนิ ความน่าเชื่อถอื ของข้อมูล เชน่ ตรวจสอบและยนื ยนั ขอ้ มูล โดยเทยี บเคียงจาก ข้อมลู
หลายแหลง่ แยกแยะขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ข้อเทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เหน็ หรือใช้ PROMPT
2. การสบื ค้น หาแหล่งตน้ ตอของขอ้ มลู
3. เหตุผลวิบตั ิ(logical fallacy)
4. ผลกระทบจากข่าวสารท่ีผดิ พลาด
5. การรูเ้ ทา่ ทันสอื่ เชน่ การวเิ คราะห์ถงึ จดุ ประสงค์ ของข้อมูลและผใู้ หข้ ้อมูล ตคี วาม แยกแยะเน้อื หา

สาระของสอ่ื เลอื กแนวปฏิบตั ไิ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม เมอื่ พบขอ้ มลู ต่าง ๆ

4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

4.1 ด้านความรู้ ( K )
1. สบื ค้นขอ้ มลู จากแหล่งข้อมูลท่ีต้องการไดอ้ ย่างเหมาะสม
2. ใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตในการสบื คน้ ข้อมูลได้
3. เห็นประโยชน์ของการใช้งานอนิ เทอรเ์ นต็

4.2 ด้านทกั ษะ/กระบวนการ ( P )
1. การคดิ วิเคราะห์
2. กระบวนการกลุ่ม

4.3 ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ( A )
1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทำงาน

5. สาระการเรยี นรู้
1.1 การประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื ของข้อมูล
1.2 การสืบค้น หาแหล่งตน้ ตอของข้อมลู
1.3 เหตุผลวบิ ัติ (logical fallacy)
1.4 ผลกระทบจากข่าวสารท่ีผดิ พลาด
1.5 การรเู้ ทา่ ทันส่อื การวิเคราะหถ์ งึ จดุ ประสงคข์ องขอ้ มลู และผใู้ ห้ขอ้ มลู ตีความ แยกแยะเน้ือหาสาระของสอ่ื
เลอื กแนวปฏิบตั ิได้อยา่ งเหมาะสมเมอ่ื พบขอ้ มูลต่าง ๆ

6. สมรรถนะสำคัญ
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

7. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มวี นิ ัย
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มงุ่ มั่นในการทำงาน

8. ภาระงาน
1. ใบงาน อะไรๆก็ Goo(Gle)

9. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้

ขัน้ นำเข้าสู่บทเรยี น

1. ผู้สอนถามผูเ้ รียนเพอ่ื เปน็ การกระตุ้นความสนใจ และเพอื่ ทบทวนความรูเ้ ดมิ ของผู้เรยี น เช่น “ถา้ นักเรียน
ต้องการทราบข้อมลู เก่ยี วกับวคั ซีนโควิด-19 นักเรียนสามารถหาขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มูลใดไดบ้ า้ ง?”
แนวคำตอบ : ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

2. ผูส้ อนถามผู้เรยี นเพ่ือเปน็ การประเมนิ ความสามารถในการสืบค้นเพอ่ื หาแหลง่ ขอ้ มลู ของผู้เรียน เชน่ “เมอื่
นักเรยี นเกิดความสงสยั ในเรอ่ื งใด เรอ่ื งหนง่ึ นักเรยี นแคยเข้าห้องสมุดเพ่ือคน้ หาคำตอบหรอื ไม่?”

ขั้นสอน

1. ผู้สอนอธิบายว่า ในปจั จุบันการไดม้ าซงึ่ ขอ้ มูลในยุคดิจทิ ลั เพือ่ นำไปใช้ประโยชน์ เป็นสิง่ สำคัญ คือความ
น่าเชอ่ื ถอื ของข้อมูล ซ่ึงเปน็ ปจั จัยสำคญั ต่อคุณภาพของขอ้ มูล หากข้อมูลท่เี ก็บรวบรวมได้ไมม่ ีความ
นา่ เชอื่ ถือ กไ็ ม่สามารถนำข้อมลู ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

2. แจกใบความรู้เรอื่ งการสบื คน้ แหล่งขอ้ มลู พรอ้ มอธบิ ายใบความรู้
การสบื คน้ แหล่งขอ้ มูล คอื กระบวนการคน้ หาข้อมูลทีต่ อ้ งการ โดยใช้โปรแกรมในคอมพิวเตอรเ์ พอ่ื การ

สืบค้นหาและอาจจะคน้ หาจากแหล่งอ่นื ๆ ท่ีไมใ่ ชอ้ ินเทอร์เน็ต การสบื ค้นหาแหล่งข้อมูลสามารถทำได้ ดังนี้
1. การสบื คน้ ข้อมลู ดว้ ยมือ เปน็ การสืบคน้ จากเอกสาร เชน่ จากหนังสือ ตำรา ตามสถานทตี่ ่าง ๆ หรอื

หอ้ งสมดุ
2. การสบื ค้นขอ้ มลู ด้วยระบบคอมพวิ เตอร์ เชน่ การสืบคน้ ขอ้ มลู จากระบบออนไลนจ์ ากโปรแกรมคน้ หา

Search Engine
Search Engine โปรแกรมท่ีออกแบบมาเปน็ เครื่องมอื สำหรบั ใช้ คน้ หา
Web Search Engine โปรแกรมทใ่ี ชส้ ำหรับคน้ หาขอ้ มูลบนเว็บไซต์

3. ผู้สอนแจกใบความรเู้ รื่อง การดำเนนิ การสบื ค้นขอ้ มลู บนอนิ เทอร์เนต็ พร้อมอธบิ ายใบความรู้
1. กำหนดวัตถุประสงค์การสืบค้น ผู้สืบค้นหรือผู้วิจัยที่จะนำข้อมูล สารสนเทศไปใช้ ควรต้ัง

วตั ถปุ ระสงค์การสบื ค้นทช่ี ัดเจน ทำใหส้ ามารถกำหนดขอบเขตของแหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศท่จี ะสบื ค้นให้แคบ
ลง กำหนดประเภทของเครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ต ที่เรียกว่า search
engine ใหเ้ หมาะสม

2. ประเภทของข้อมูลสารสนเทศทส่ี ามารถสืบคน้ ได้ ข้อมูลสารสนเทศท่ี อยบู่ นอนิ เทอร์เน็ตมีมากมาย
หลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือ มีทั้งที่เป็นข้อความ(text) ภาพวาด (painting) ภาพเขียนหรือ
ภาพลายเส้น (drawing) ภาพไดอะแกรม (diagram) ภาพถ่าย (photograph) เสียง(sound) การสืบค้นที่มี
ประสทิ ธภิ าพท่สี ุด คือ การสืบคน้ ข้อมูลสารสนเทศประเภทขอ้ ความ

3. การสืบค้นต้องอาศัยอุปกรณ์และความรู้ ต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้ คือ เครื่อง
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือ ISP) เพื่อเป็นชอ่ งทางออกสู่อินเทอร์เน็ต นอกจากอุปกรณ์
ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์( computer
literacy) ความรู้ภาษาอังกฤษเนื่องจากข้อมูลสารสนเทศส่วนใหญใ่ นอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาอังกฤษ และยัง
ต้องมกี ารจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอกี ด้วย

4. บรกิ ารบนอนิ เทอร์เน็ต เป็นบรกิ ารทสี่ ามารถใช้ชว่ ยในการสบื ค้นขอ้ มูลซ่ึงมีมากมายหลายบรกิ าร
เชน่ บริการเครอื ข่ายใยแมงมุมโลก หรอื Word-Wide-Web (WWW) บรกิ ารสอบถามผา่ นทางจดหมาย
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรอื การสนทนาออนไลนก์ ับผใู้ ชง้ าน

5. เครอ่ื งมอื หรอื โปรแกรมสำหรบั การสบื คน้ มีอยูม่ ากมายและมใี หบ้ ริการอยู่ตามเว็บไซตต์ า่ งๆ ที่
ให้บรกิ ารการสืบค้นข้อมลู โดยเฉพาะ การเลอื กใช้นน้ั ขึน้ กบั ประเภทของขอ้ มลู ท่ีตอ้ งการสืบคน้ จากโปรแกรม
ค้นหาต่างๆ

4. ผสู้ อนแจกใบงาน อะไรๆก็ Goo(Gle) พรอ้ มอธบิ ายวธิ ีการทำใบงาน คอื ให้ผู้เรยี นสืบคน้ ข้อมูลจาก
Google เก่ียวกับ กญั ชารกั ษาโรคมะเร็ง โดยใหผ้ เู้ รียนหาขอ้ มูล เพอ่ื หาขอ้ สรุป วา่ กญั ชารักษาโรคมะเร็งได้
จริงหรอื ไม่ พร้อมกับ อา้ งอิงแหล่งท่ีมาของขอ้ มลู

5. ผู้สอนให้ผู้เรยี นแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 3 – 5 คน ทำใบงาน โดยท่ีผูส้ อนคอยดแู ลความเรยี บรอ้ ยและคอยให้
คำแนะนำเพมิ่ เตมิ

6. ผสู้ อนอธบิ ายว่า ขน้ั ตอนการสืบค้นเพอ่ื หาแหล่งขอ้ มลู ดว้ ยอินเทอรเ์ นต็ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ที่มคี ุณภาพ จะมี
ข้นั ตอน ดังนี้
1. กำหนดวตั ถปุ ระสงคแ์ ละหวั ข้อการสืบคน้ ให้ชดั เจน
2. กำหนดประเภทของขอ้ มูลทจ่ี ะสบื ค้น
3. กำหนดคำสำคญั สำหรบั สบื ค้นข้อมลู
4. ประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู ท่ีได้จากการสบื ค้น

7. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นสืบคน้ ข้อมลู เพ่ือทำใบงาน อะไรๆก็ Goo(Gle) ต่อใหเ้ สรจ็ เรยี บรอ้ ย
8. ผสู้ อนสุม่ ผเู้ รยี นออกมานำเสนอข้อมูลทีไ่ ด้จากการสบื คน้ พร้อมตั้งคำถาม เพอ่ื เปน็ การกระตุน้ ใหเ้ กิดการ

เรียนรู้ เชน่ “จากการค้นหาขอ้ มูลนกั เรียนเจอขอ้ มูลทไ่ี มน่ า่ เชอ่ื ถอื บา้ งหรือไม่ และเพราะอะไรถึงคดิ วา่ ไม่
น่าเชอ่ื ถอื ?”

ข้ันสรุป

1. ผู้สอนสรปุ ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจวา่ เครอ่ื งมอื ที่ใช้สำหรบั สืบค้นขอ้ มูลผา่ นอินเทอรเ์ น็ต โดยโปรแกรมจะทำการ
คน้ หาจากคำสำคญั (Keyword) และทำการแสดงผลลัพธก์ ารสืบคน้ แบบเรยี งลำดบั ซ่งึ จะเรยี งลำดบั เวบ็ ไซต์
ท่ีเผยแพรข่ อ้ มูลเกี่ยวกับคำสำคัญดงั กล่าว โดยเวบ็ ไซต์ทีน่ ยิ มในปัจจุบัน คอื www.google.com

2. ผสู้ อนเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นสอบถามเพ่ิมเติม

10. สื่อการเรยี นรู้
1. ใบความรู้เรอ่ื ง การสืบค้นแหล่งขอ้ มลู
2. ใบความรเู้ รอื่ ง การดำเนินการสบื คน้ ข้อมลู บนอนิ เทอรเ์ นต็
3. สอ่ื PowerPoint การประเมินความน่าเช่ือถอื ของขอ้ มูล.pptx
3. ใบงาน อะไรๆก็ Goo(Gle)

0

11. แหล่งเรียนรู้
หอ้ ง ICT

12. การวัดและประเมินผล

การประเมนิ วธิ กี ารวดั เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ เกณฑ์การประเมิน
ดา้ นความรู้ ( K ) - ตรวจใบงาน อะไรๆก็ - แบบประเมินผลงาน ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 75
1. สบื คน้ ข้อมูลจากแหลง่ ข้อมูลท่ี Goo(Gle)
ตอ้ งการได้อยา่ งเหมาะสม ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 75
2. ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตในการสบื คน้ ขอ้ มูล - ประเมินใบงาน อะไรๆก็ - แบบประเมินผลงาน
ได้ Goo(Gle) การประเมนิ พฤตกิ รรม
3. เหน็ ประโยชนข์ องการใชง้ าน รายบุคคล
อนิ เทอร์เนต็ สงั เกตพฤติกรรม แบบสังเกตพฤติกรรม ผา่ น รอ้ ยละ 60
ด้านทกั ษะ / กระบวนการ ( P ) รายบคุ คล รายบคุ คล

1) การคดิ วเิ คราะห์
2) กระบวนการกล่มุ
ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)

1. มวี นิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งม่ันในการทำงาน

ด้านสมรรถนะ - ตรวจใบงาน อะไรๆก็ - ใบงาน อะไรๆก็ - ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 75
1.ความสามารถในการสื่อสาร Goo(Gle) Goo(Gle) - การประเมนิ พฤติกรรม
2.ความสามารถในการคิด - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกต รายบุคคลผา่ น รอ้ ยละ 60
3.ความสามารถในการแกป้ ญั หา รายบุคคล พฤตกิ รรมรายบคุ คล
4.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

13. กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนใช้เวลาว่างในการทบทวนบทเรียน ศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะได้ข้อมูลท่ี

เป็นปัจจบุ ัน และเปน็ ประโยชน์ต่อการเรยี นการสอน และการดำเนนิ ชีวติ ประจำวันต่อไป

ลงชอื่ พรทิพย์ ขาวแดง ผเู้ ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
(นางพรทิพย์ ขาวแดง)
ตำแหน่ง ครผู ชู้ ่วย

ส่อื การสอน/นวัตกรรม

ใบ ค วามรู้เร่อื ง ก ารสืบ ค น้ แห ล่งขอ้ มลู

การสบื ค้นแหลง่ ข้อมลู

การสืบคน้ แหล่งขอ้ มูล คอื กระบวนการค้นหาขอ้ มลู
ทตี่ อ้ งการ โดยใชโ้ ปรแกรมในคอมพิวเตอรเ์ พือ่ การสืบค้นหา
และอาจจะคน้ หาจากแหล่งอนื่ ๆ ทไ่ี ม่ใช้อนิ เทอรเ์ นต็
การสบื ค้นหาแหล่งข้อมลู สามารถทาได้ ดงั นี้

การสืบคน้ ข้อมลู ดว้ ยมือ

เปน็ การสบื คน้ จากเอกสาร
เช่น จากหนงั สือ ตารา ตามสถานทตี่ ่าง ๆ
หรอื ห้องสมุด

การสบื คน้ ขอ้ มูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์

เชน่ การสืบค้นข้อมูลจากระบบออนไลนจ์ ากโปรแกรมค้นSeหaาrc ngine
Searc ngine โปรแกรมทอ่ี อกแบบมาเป็นเคร่อื งมือสาหรบั ใช้ ค้นหา

e Searc ngine เว็บไซต ์ท่ีใช้สาหรบั ค้นหาข้อมลู

ประโยชนข์ อง Searc ngine

1. ค้นหาเวบ็ ไซต์ทีต่ ้องก ารไดง้ า่ ย สะดวก และรวดเร็ว
2. ค้นหาขอ้ มลู ได้อยา่ งละเอยี ด และหลาก หลายรูปแบบ
3. ค้นหาขอ้ มลู ได้จาก เวบ็ ไซตเ์ พ าะทางต่างๆ ได้
4. ค้นหาขอ้ มลู ได้อย่างหลาก หลาย
5. รองรับก ารค้นหาไดห้ ลายภาษา รวมทง้ั ภาษาไทย

Searc ngine ทีน่ ิยมใช้ในปัจจุบันtt // .go o gle.co m
tt // .sanoo .com
tt // .ya oo.com
tt // .msn.com

การดาเนนิ การ ใบความรู้เร่ืองการดาเนนิ การสบื คน้ ขอ้ มูลบนอินเทอร์เน็ต
สืบคน้ ขอ้ มลู บนอินเทอรเ์ นต็

1 กาหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารสบื ค้น

ผู้สบื คน้ หรอื ผ้วู ิจัยทีจ่ ะนาข้อมลู สารสนเทศไปใช้ ควรตง้ั วัตถุประสงคก์ ารสบื คน้ ทชี่ ัดเจน
ทาให้สามารถกาหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลสารสนเทศท่จี ะสืบคน้ ใหแ้ คบลง
กาหนดประเภทของเคร่อื งมอื หรือโปรแกรมสาหรบั การสืบคน้ ทางอนิ เทอร์เน็ต
ทเี่ รียกว่าsearc engine ใหเ้ หมาะสม

2 ประเภทของขอ้ มลู สารสนเทศท่ีสามารถสืบค้นได้

ข้อมูลสารสนเทศที่ อยู่บนอนิ เทอร์เนต็ มมี ากมายหลายประเภท มีลกั ษณะเป็นมลั ตมิ เี ดีย
คอื มที ง้ั ทเ่ี ปน็ ข้อความ(te t) ภาพวาด( ainting) ภาพเขียน
หรอื ภาพลายเสน้ (dra ing) ภาพไดอะแกรม(diagram)

ภาพถ่าย( otogra )เสยี ง(so nd)การสืบคน้ ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพทส่ี ดุ
คือ การสบื คน้ ขอ้ มลู สารสนเทศประเภทขอ้ ความ

การสืบคน้ ต้องอาศัยอปุ กรณ์และความรู้
3

ตอ้ งมกี ารจดั เตรยี มอุปกรณ์ดงั ต่อไปน้ี คอื เครอื่ งคอมพิวเตอร์ อุปกรณเ์ ชื่อมต่อ
อนิ เทอรเ์ นต็ นอกจากอุปกรณ์ ต่างๆ ดังกล่าวขา้ งตน้ แล้ว ยงั ต้องมีความรู้
และทกั ษะพน้ื ฐานในการใช้งานคอมพิวเต(อcรo์ m ter literacy)
ความรู้ภาษาองั กฤษ และยงั ตอ้ งมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอีกดว้ ย

บริการบนอนิ เทอรเ์ น็ต
4

บรกิ ารที่สามารถใช้ชว่ ยในการสบื คน้ ข้อมลู ซึง่ มมี ากมายหลายบริการ
เช่น บริการเครอื ข่ายใยแมงมมุ โลก หรอื ord- ide- e ( )

บริการสอบถามผ่านทางจดหมายอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
หรอื การสนทนาออนไลน์กับผใู้ ช้งาน

เครอ่ื งมอื หรือโปรแกรมสาหรบั การสบื คน้
5

เครอ่ื งมือหรอื โปรแกรมสาหรับการสบื คน้ มีอยู่มากมายและมีให้บรกิ าร
อยู่ตามเว็บไซต์ตา่ งๆ ทีใ่ ห้บริการการสบื ค้นข้อมูลโดยเ พาะ

การเลือกใช้นนั้ ขนึ้ กับประเภทของข้อมลู ที่ตอ้ งการสบื ค้นจากโปรแกรมค้นหาตา่ งๆ

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5

หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 รู้เทา่ ทนั สือ่ เวลาประจำหนว่ ย 3 ช่วั โมง
เร่อื ง PROMPT เวลา 1 ชัว่ โมง
รายวิชา วิทยาการคำนวณ 3 รหัสวชิ า ว23181 ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
ครูผสู้ อน นางพรทิพย์ ขาวแดง

1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณในการแกป้ ัญหาท่พี บในชวี ิตจริงอยา่ งเป็นขน้ั ตอน

และเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หา
ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมจี ริยธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การป้องกันตนเองจากการถกู จงู ใจจากเนือ้ หาของสือ่ สามารถวิเคราะหเ์ นอื้ หาของสอื่ อย่างมวี ิจารณญาณ เพ่อื ให้

สามารถควบคุมการตีความเนื้อหาของสื่อที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย นั่น คือ การที่ไม่หลงเชื่อเนื้อหาที่ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง แต่
สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และรู้จักต้ังคำถาม การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล การเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ความสามารถในการเข้าถึงส่ือ ความเขา้ ใจการประเมนิ ค่าสารสนเทศและเนื้อหาในส่อื การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการ
เฝา้ ระวังสารสนเทศและเนื้อหาในสอื่

3. ตวั ชี้วดั / สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ตวั ช้ีวัด
ว 4.2 ม.3/3 ประเมินความนา่ เชอ่ื ถือ ของข้อมลู วเิ คราะหส์ ื่อ และผลกระทบจากการ ให้ขา่ วสารที่ผดิ
เพือ่ การใช้งานอยา่ งรเู้ ท่าทนั

สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
1. การประเมนิ ความน่าเชือ่ ถอื ของขอ้ มูล เช่น ตรวจสอบและยนื ยันขอ้ มูล โดยเทยี บเคียงจาก ข้อมลู
หลายแหลง่ แยกแยะขอ้ มูลทเ่ี ปน็ ขอ้ เทจ็ จรงิ และขอ้ คดิ เหน็ หรือใช้ PROMPT
2. การสบื ค้น หาแหล่งต้นตอของขอ้ มลู
3. เหตผุ ลวบิ ตั ิ(logical fallacy)
4. ผลกระทบจากขา่ วสารที่ผดิ พลาด
5. การร้เู ท่าทนั สอื่ เชน่ การวิเคราะห์ถึงจดุ ประสงค์ ของข้อมูลและผใู้ หข้ ้อมูล ตีความ แยกแยะเนอ้ื หา

สาระของสอ่ื เลอื กแนวปฏบิ ตั ิไดอ้ ย่างเหมาะสม เมอื่ พบขอ้ มลู ตา่ ง ๆ

4. จุดประสงค์การเรียนรู้

4.1 ดา้ นความรู้ ( K )
1. วิเคราะห์และการประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือของขอ้ มลู โดยใช้กระบวนการ PROMT
2. ใช้อนิ เทอรเ์ น็ตในการสืบคน้ ขอ้ มลู ทน่ี ่าเชอื่ ถือเพอื่ ใหไ้ ดข้ ้อมลู ทมี่ ีประสิทธภิ าพ
3. เหน็ ความสำคญั ของการประเมนิ ความน่าเช่อื ถอื ของขอ้ มลู

4.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ ( P )
1. การคดิ วเิ คราะห์
2. กระบวนการกลุ่ม

4.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ( A )
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มงุ่ มั่นในการทำงาน

5. สาระการเรยี นรู้
1. การประเมินความนา่ เชอื่ ถือของขอ้ มูล
2. การสบื ค้น หาแหลง่ ต้นตอของข้อมลู
3. เหตุผลวิบตั ิ (logical fallacy)
4. ผลกระทบจากขา่ วสารทผี่ ดิ พลาด
5. การรูเ้ ทา่ ทนั สอ่ื การวเิ คราะหถ์ งึ จดุ ประสงคข์ องขอ้ มูลและผู้ใหข้ ้อมูล ตีความ แยกแยะเน้ือหาสาระของสอ่ื เลอื ก
แนวปฏิบตั ิได้อยา่ งเหมาะสมเมอื่ พบข้อมูลตา่ ง ๆ

6. สมรรถนะสำคัญ
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

7. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุ่งม่ันในการทำงาน

8. ภาระงาน
1. ใบงานเรือ่ ง PROMPT

9. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้

ข้ันนำเขา้ สู่บทเรยี น

1. ผสู้ อนถามผูเ้ รยี นเพื่อกระตุ้นใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ เชน่ “เมือ่ นกั เรียนนำขอ้ มลู ทสี่ ืบค้นไดจ้ ากอินเทอรเ์ นต็ มาใช้
งาน นกั เรียนเคยตง้ั คำถามเกย่ี วกับขอ้ มูลทไ่ี ด้มาบ้างหรอื ไม่? เช่น เป็นเหตกุ ารณ์ปจั จุบนั หรือเปลา่ มี
วัตถปุ ระสงค์เพอ่ื อะไร?”
แนวคำตอบ : ตามประสบการณ์ของผ้เู รียน

ข้นั สอน

1. ผู้สอนแจก ใบความรู้ เรอ่ื ง PROMPT พรอ้ มอธิบายใบความรู้
การประเมนิ ความน่าเช่อื ถอื ของข้อมลู โดยใช้ PROMPT “พรอมท์”
วิธกี ารประเมินความน่าเชอื่ ถือของขอ้ มลู โดยใช้ PROMPT หรอื วธิ กี ารประเมินโดยตัง้ คำถาม

มี 6 ขน้ั ตอน ดงั น้ี

1. Presentation การนำเสนอ
การนำเสนอข้อมลู ตอ้ งชดั เจน ตรงตามเนอื้ หา กระชับ

2. Relevance การพจิ ารณาความสมั พนั ธ์
ความสอดคลอ้ งของขอ้ มลู กับสง่ิ ท่ีตอ้ งการ

3. O jectivity ขอ้ มูลทน่ี ำมาใชต้ อ้ งมวี ตั ถปุ ระสงคท์ ช่ี ดั เจน
ไมม่ เี จตนาแอบแฝง หรอื เป็นขอ้ มูลทแ่ี สดงความคดิ เห็น

4. Met od วิธีการ
มกี ารวางแผนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู อย่างเป็นระบบ

5. Provenance พสิ จู นห์ รอื ยนื ยัน
มกี ารระบุแหลง่ ที่มาของขอ้ มลู อยา่ งชดั เจน เชอื่ ถอื ได้

6. Timeliness ทันเหตุการณแ์ ละเป็นปจั จบุ ัน
ขอ้ มูลตอ้ งเป็นปัจจุบัน ทันสมยั

2. ผู้สอนแจกใบงานเรอื่ ง PROMPT พรอ้ มอธิบายวิธีการทำใบงาน คอื ใหผ้ ู้เรียนหาบทความเกีย่ วกับโควดิ –
19 แล้วนำมาวเิ คราะหบ์ ทความ ผา่ นกระบวนการ PROMT

3. ผ้สู อนสุ่มผู้เรยี นออกมานำเสนอใบงาน โดยใหผ้ ูเ้ รียนคนอน่ื ๆ ชว่ ยกนั เสนอแนะ แสดงความคิดเห็น

ขั้นสรุป

1. ผู้สอนสรปุ ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจว่า การนำขอ้ มลู มาใชใ้ นการเรยี น การทำงาน และการตัดสนิ ใจ ตอ้ งพจิ ารณา
ความถกู ต้องของข้อมลู ทน่ี ำมาจากแหลง่ ข้อมูล วา่ มคี วามนา่ เชอ่ื ถอื ถกู ต้องสมบูรณ์ สอดคลอ้ งตรงตามความ
ต้องการ และมคี วามทันสมยั เพ่ือให้ได้ขอ้ มูลที่มคี ณุ ภาพ จงึ ตอ้ งมกี ารประเมนิ ความน่าเชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู

2. ผสู้ อนเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนสอบถามเพมิ่ เตมิ

10. สือ่ การเรยี นรู้
1. ใบความรเู้ รอื่ งPROMPT
2. สอ่ื PowerPoint PROMPT.pptx
3. ใบงานเรอื่ งPROMPT

0

11. แหลง่ เรียนรู้
ห้อง ICT

0

12. การวัดและประเมินผล

การประเมิน วิธีการวดั เครื่องมือท่ีใช้ เกณฑ์การประเมนิ
- ใบงานเร่อื ง ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 75
ด้านความรู้ ( K ) - ตรวจใบงานเรอื่ ง PROMPT
ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 75
1. วเิ คราะหแ์ ละการประเมินความนา่ เชอ่ื ถอื PROMPT แบบสงั เกต
พฤตกิ รรมรายบุคคล
ของขอ้ มลู โดยใชก้ ระบวนการ PROMT

2. ใช้อนิ เทอรเ์ น็ตในการสืบคน้ ขอ้ มลู ท่ี

นา่ เชอื่ ถือเพอื่ ให้ได้ข้อมลู ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ

3. เหน็ ความสำคัญของการประเมนิ ความ

น่าเชอ่ื ถือของข้อมูล

ด้านทักษะ / กระบวนการ ( P ) - ประเมินใบงาน

1) การคดิ วเิ คราะห์

2) กระบวนการกล่มุ

การประเมิน วธิ ีการวัด เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ การประเมนิ พฤติกรรม
รายบคุ คล
ผ่าน รอ้ ยละ 60

ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสังเกต - ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 75
รายบคุ คล
1. มวี นิ ยั พฤตกิ รรมรายบุคคล
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุ่งมัน่ ในการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสงั เกต - การประเมนิ พฤติกรรม
ด้านสมรรถนะ
1.ความสามารถในการส่อื สาร รายบุคคล พฤติกรรมรายบคุ คล รายบุคคลผา่ น รอ้ ยละ 60
2.ความสามารถในการคิด
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
4.ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

13. กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนใช้เวลาว่างในการทบทวนบทเรียน ศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะได้ข้อมูลที่

เปน็ ปจั จุบนั และเป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนการสอน และการดำเนินชีวติ ประจำวันต่อไป

ลงชอื่ พรทิพย์ ขาวแดง ผู้เขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้
(นางพรทิพย์ ขาวแดง)
ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย

ส่อื การสอน/นวัตกรรม

ใบความร้เู ร่อื ง PROMPT

PROMPT

Presentation
การนำเสนอขอ้ มลู ต้องชดั เจน ตรงตามเนอื้ หา กระชบั
Relevance
การพจิ ารณาความสัมพนั ธ์ ความสอดคล้องของขอ้ มูลกับส่งิ ทต่ี ้องการ
Objectivity
ขอ้ มูลท่นี ำมาใช้ต้องมวี ัตถปุ ระสงคท์ ่ีชดั เจน ไมม่ ีเจตนาแอบแฝง หรอื เปน็ ขอ้ มูลท่แี สดง
ความคดิ เหน็
Method
มีการวางแผนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู อยา่ งเป็นระบบ
Provenance
มกี ารระบุแหล่งทมี่ าของข้อมูลอย่างชัดเจน เชื่อถอื ได้
Timeliness
ข้อมูลตอ้ งเปน็ ปจั จบุ นั ทนั สมยั

คำชี้แจง ให้นกั เรียนหาบทความเกยี่ วกับโควดิ – 19 แลว้ นำมาวเิ คราะหบ์ ทความ ใบงาน เร่อื ง PROMPT

ผ่านกระบวนการ PROMT

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 รู้เทา่ ทันส่อื เวลาประจำหนว่ ย 3 ชัว่ โมง
เรอื่ ง เร่อื ง เหตผุ ลวิบตั ิ เวลา 1 ช่วั โมง
รายวิชา วิทยาการคำนวณ 3 รหสั วิชา ว23181 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
ครูผูส้ อน นางพรทพิ ย์ ขาวแดง

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปัญหาทพี่ บในชวี ิตจรงิ อยา่ งเป็นขั้นตอน

และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หา
ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทัน และมีจริยธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
การปอ้ งกันตนเองจากการถกู จงู ใจจากเน้ือหาของส่ือ สามารถวิเคราะห์เนือ้ หาของส่ืออยา่ งมวี จิ ารณญาณ เพอ่ื ให้

สามารถควบคุมการตีความเนื้อหาของสื่อที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย นั่น คือ การที่ไม่หลงเชื่อเนื้อหาที่ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง แต่
สามารถคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และรู้จักตั้งคำถาม การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล การเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ความสามารถในการเขา้ ถึงสอ่ื ความเข้าใจการประเมินค่าสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการ
เฝ้าระวังสารสนเทศและเนอ้ื หาในส่อื

3. ตวั ชวี้ ดั / สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ตัวช้วี ัด
ว 4.2 ม.3/3 ประเมินความน่าเชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู วิเคราะหส์ ่ือ และผลกระทบจากการ ให้ขา่ วสารที่ผิด
เพื่อการใชง้ านอยา่ งรเู้ ท่าทนั

สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
1. การประเมนิ ความน่าเชอื่ ถอื ของข้อมูล เช่น ตรวจสอบและยนื ยนั ขอ้ มูล โดยเทยี บเคียงจาก ขอ้ มลู
หลายแหลง่ แยกแยะขอ้ มูลทเี่ ป็นขอ้ เทจ็ จริง และขอ้ คดิ เหน็ หรอื ใช้ PROMPT
2. การสบื ค้น หาแหลง่ ต้นตอของข้อมลู
3. เหตผุ ลวบิ ตั (ิ logical fallacy)
4. ผลกระทบจากขา่ วสารท่ผี ดิ พลาด
5. การรเู้ ท่าทันส่ือ เช่น การวเิ คราะห์ถงึ จุดประสงค์ ของข้อมูลและผูใ้ ห้ขอ้ มลู ตีความ แยกแยะเนื้อหา

สาระของสอ่ื เลอื กแนวปฏบิ ตั ิได้อยา่ งเหมาะสม เมอ่ื พบขอ้ มลู ต่าง ๆ

4. จดุ ประสงค์
4.1 ด้านความรู้ ( K )
1. บอกลกั ษณะขอ้ มลู ทเี่ ปน็ เหตุผลวิบตั ิได้
2. การประเมนิ ความน่าเชอื่ ถอื ของข้อมูลโดยใชเ้ หตุผลทีถ่ กู ตอ้ ง
3. เห็นความสำคัญของการใชเ้ หตุผลในการเลอื กใช้ขอ้ มลู
4.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ ( P )
1. การคิดวเิ คราะห์
2. กระบวนการกลุ่ม
4.3 ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ( A )
1. มวี นิ ัย
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มงุ่ มั่นในการทำงาน

5. สาระการเรียนรู้
1. การประเมินความนา่ เชอื่ ถอื ของข้อมลู
2. การสืบค้น หาแหล่งตน้ ตอของข้อมูล
3. เหตผุ ลวิบัติ (logical fallacy)
4. ผลกระทบจากขา่ วสารทผี่ ดิ พลาด
5. การรูเ้ ท่าทันสอื่ การวเิ คราะหถ์ งึ จุดประสงค์ของขอ้ มูลและผ้ใู หข้ อ้ มูล ตีความ แยกแยะเนื้อหาสาระของสอ่ื เลอื ก
แนวปฏิบัตไิ ดอ้ ย่างเหมาะสมเม่อื พบขอ้ มลู ต่าง ๆ

6. สมรรถนะสำคญั
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

7. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มวี นิ ัย
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุ่งม่นั ในการทำงาน

8. ภาระงาน
1. ใบงานเรื่อง เหตุผลวบิ ตั ิ (Logical Fallacy)

9. การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้

ข้นั นำเขา้ ส่บู ทเรยี น

1. ผสู้ อนอา่ นหวั ขอ้ ขา่ วเพอื่ เปน็ การกระตุ้นความสนใจของผ้เู รยี น

และเปดิ คลปิ Overview - ข่มขนื ซ้ำไม่ใช่สมยอม "ศิโรตม"์ ซัดพวกตรรกะวบิ ตั สิ รา้ งวาทกรรมปกป้องเจ็ด
ทรชนรมุ โทรมเด็ก จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=K1xv7LsFFBg&t=179s
2. ผูส้ อนเปดิ คลิป "ตรรกะวบิ ตั "ิ ในข่าวเพลงิ ไหม้นอเทรอดาม | จด๊ั ซัดทุกความจริง | ข่าวชอ่ งวนั | one31 เพอื่
กระตุน้ ความสนใจของผู้เรียน จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=hXINqPr4hG8&t=277s

ขัน้ สอน

1. ผสู้ อนแจก ใบความรู้เรอ่ื ง เหตผุ ลวบิ ตั ิ (Logical Fallacy) พรอ้ มอธิบายใบความรู้
เหตุผลวิบัติ (Logical Fallacy) หรอื ตรรกะวิบัติ เป็นการอา้ งเหตผุ ลท่บี กพรอ่ งอนั เกดิ จากความ

ผดิ พลาดในกระบวนการคดิ หาเหตผุ ล (reasoning process) ทัง้ แบบอปุ นยั เละนริ นยั ซง่ึ สง่ ผลใหก้ ารอา้ ง
เหตผุ ลนั้นเปน็ การอ้างหตุผลทว่ี บิ ตั ิ (fallacious argument)

เหตผุ ลวิบัตสิ ามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คอื
1. เหตผุ ลวบิ ตั ิแบบเปน็ ทางการ
2.เหตผุ ลวิบัติแบบไม่เปน็ ทางการ

1. เหตุผลวบิ ตั ิแบบเป็นทางการ
เกิดจากการให้เหตผุ ลทใ่ี ชห้ ลกั ตรรกะท่ไี ม่ถกู ตอ้ ง แต่เขยี นในรูปแบบทเ่ี ป็นทางการทำให้ดสู มเหตสุ มผล

2. เหตผุ ลวิบตั ิแบบไม่เปน็ ทางการ
เกดิ จากการใหเ้ หตผุ ลทไ่ี มเ่ กย่ี วข้องกับการใช้ตรรกะในการพิจารณาแตเ่ ป็นการสนั นษิ ฐาน หรือเล่น

สำนวนซึ่งเกดิ จากการใชภ้ าษาชกั นำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น การพูดกำกวม หรือการพดู มากเกนิ ความ
จำเปน็

2. ผู้สอนยกตวั อยา่ งการใชเ้ หตผุ ลวิบตั ิแบบเปน็ ทางการ เช่น “คนไทยท่ีเกง่ ภาษาอังกฤษ อยใู่ นกรุงเทพฯ ผมเป็นคน
กรงุ เทพฯ ดังนันผมเกง่ ภาษาองั กฤษ” ซึง่ เมอ่ื ฟังแลว้ อาจคลอ้ ยตาม แต่ ในความเป็นจรงิ คนกรุงเทพทกุ คนอาจ
ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ

3. ผู้สอนยกตวั อยา่ งเหตผุ ลวิบัตแิ บบไม่เป็นทางการ เชน่ มีแมค่ นหนึ่ง ขโมยนมผง เพอื่ จะนำไปใหล้ ูก ต่อมาทาง
เจา้ ของรา้ นจบั ได้ จงึ จะแจง้ ความเพอ่ื ดำเนนิ คดที างกฎหมาย แตม่ ีชาวบ้านคนหนึ่ง พูดวา่ “อยา่ ไปเอาเรอ่ื งกบั
เธอเลย เธอแคเ่ ป็นแม่งทห่ี ว่ งลูก และเธอยากจน” ซ่งึ ความจนไมใ่ ชข่ ้ออา้ ง ในการทำผดิ กฎหมาย ส่งิ ทีเ่ กิดขนึ้ เป็น
ความผดิ ตามกฎหมาย แต่คนทีแ่ สดงความเหน็ กลับมุง่ ประเดน็ ไปทเี่ หตผุ ลของการกระทำ ซงึ่ ไม่เกีย่ วขอ้ งกนั เป็น
การใหเ้ หตุผล โดยอา้ งถึงความนา่ สงสาร ความเห็นอกเหน็ ใจเปลย่ี นให้เป็นความถูกตอ้ ง

4. ผสู้ อนแจกใบงานเรอื่ ง เหตผุ ลวบิ ัติ (Logical Fallacy) พรอ้ มอธบิ ายวธิ กี ารทำใบงาน คอื ให้ผเู้ รยี น ยกตัวอย่าง
เหตกุ ารณ์ ท่มี ีการใชเ้ หตผุ ลวบิ ัติ ท่ีเกดิ ขน้ึ ในสงั คม จากช่องทางสอื่ ตา่ งๆ

5. ผู้สอนให้เวลาผเู้ รยี นในการทำใบงาน โดยท่ผี ้สู อนคอยดูแลความเรยี บรอ้ ยและคอยให้คำแนะนำเพ่ิมเตมิ
6. ผู้สอนอธิบายเพิ่มเติม ว่า เหตุผลวิบัติ หมายถึงการพิสูจน์โดยการอ้างเหตุผลที่มีไม่มีน้ำหนักเพื่อสนับสนุนใน

ข้อสรุปการให้เหตุผล วิบัติมีความแตกต่างจากการให้เหตุผลแบบอ่ืนๆ เนื่องจากหลายคนมักจะพบว่าการให้
เหตุผลนั้นมีความน่าเชื่อถือในทางจิตวิทยา ซึ่งจะส่งผลให้คนจำนวนมากเกิดความเข้าใจผิดและยกเหตุผลอย่าง
ผดิ โดยใชเ้ ปน็ เหตผุ ลทจี่ ะเช่ือในขอ้ สรุปน้ัน การให้เหตุผลอาจจะกลายเป็น "เหตุผลวบิ ตั "ิ ได้ แม้ว่าข้อสรุปน้ันจะ
เปน็ จรงิ หรอื ไมก่ ็ตาม
7. ผู้สอนใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคนออกมานำเสนอใบงาน 2.4 โดยใหผ้ ู้เรียนคนอืน่ ๆ ชว่ ยกนั เสนอแนะ เพอ่ื ใหเ้ กิดการ
แลกเปลย่ี นการเรยี นรู้
8. ผู้สอนอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ว่า จากกรณีตวั อย่างท่ผี ู้เรยี นแตล่ ะคนได้นำมาเสนอ จะพบวา่ คนส่วนมากทีแ่ สดงตรรกะ
วิบตั ิออกมา มักจะไม่มีความคิดว่าส่ิงท่ีคดิ และทำนน้ั ผดิ การอ้างหรอื ยกอะไรข้ึนมาพูดมกั เปน็ แบบคดิ เองเออเอง
เช่น

ชอบอา้ งคนหมูม่ าก ใคร ๆ ก็ทำกัน ฉันทำฉนั ก็ไม่ผิด
โจมตคี นอืน่ ท่ตี วั ตน ไมใ่ ชเ่ รื่องท่กี ำลงั ถกเถยี งกันอยู่
อยา่ มาสอน ถ้าเธอเองยงั ทำไมไ่ ด้
วกกลบั ไปจดุ เรม่ิ ต้น ตัดสนิ ใหม่ เปลยี่ นใจไดต้ ลอด
โลกนี้มแี ค่ 2 ทางเลอื ก แตท่ างของฉันคือถูกเสมอ
การใชค้ ำพูดสวยหรู ฟังดเู ท่ ทั้งท่เี หตผุ ล และขอ้ เทจ็ จรงิ เบาหววิ มาก
การใชว้ ิธีดรามา่ นา่ สงสาร
9. ผู้สอนอธบิ ายเพมิ่ เตมิ วา่ ตรรกะวบิ ัตเิ กิดจากขอ้ บกพรอ่ งจากการคิด ทงั้ การเปลย่ี นแปลงประเด็นของการคดิ
โดยไม่ร้ตู วั การลงขอ้ สรุปโดยการอปุ นยั หรอื การนริ นยั ทไ่ี มเ่ หมาะสม และการปลอ่ ยใหอ้ ารมณ์หรอื ความรสู้ กึ เขา้
มามีบทบาทในการคดิ มากเกินไป

ขั้นสรุป

1. ผู้สอนสรุปให้ผู้เรยี นเข้าใจว่า ในแต่ละวันเราใชเ้ หตุผลในการหาคำตอบให้กับสิ่งต่างๆ โดยที่บางทีก็อาจจะเผลอ
ใช้เหตผุ ลวบิ ัติโดยไมร่ ู้วา่ เป็นการใชเ้ หตผุ ลแบบไมเ่ หมาะสม ซง่ึ การใชเ้ หตผุ ลอยา่ งไม่เหมาะสมจะนำไปสู่ขอ้ สรุปท่ี
ผิดพลาด นำไปสู่คำตอบที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำตอบที่ได้มาโดยมิชอบ ก่อนที่เชื่อในเรื่องใด หรือนำข้อมูลที่
ถงึ แมจ้ ะมกี ารให้เหตผุ ล ก็จำเป็นต้องพจิ ารณากอ่ นวา่ เปน็ การใชเ้ หตผุ ลอย่างถูกต้องเหมาะสมหรอื ไม่

2. ผสู้ อนเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นสอบถามเพ่มิ เติม

10. ส่ือการเรยี นรู้
1. https://www.youtube.com/watch?v=K1xv7LsFFBg&t=179s
2. https://www.youtube.com/watch?v=hXINqPr4hG8&t=277
3. ใบความร้เู รอ่ื ง เหตผุ ลวิบัติ (Logical Fallacy)
4. ใบงานเรอื่ ง เหตุผลวิบัติ (Logical Fallacy)

11. แหลง่ เรียน
หอ้ ง ICT

0 วิธีการวัด เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ เกณฑก์ ารประเมิน
- การประเมนิ
12. การวดั และประเมนิ ผล - ตรวจใบงานเรอ่ื ง เหตผุ ล - ใบงานเร่อื ง เหตผุ ลวิบตั ิ
พฤตกิ รรมรายบคุ คล
การประเมิน วิบตั ิ (Logical Fallacy) (Logical Fallacy) ผา่ น รอ้ ยละ 60

ดา้ นความรู้ ( K ) - แบบทดสอบหลงั เรยี น - แบบทดสอบหลงั เรยี น

1. บอกลักษณะขอ้ มูลท่ีเปน็ เหตผุ ล
วิบัติได้
2. การประเมนิ ความนา่ เชื่อถอื ของ
ขอ้ มูลโดยใชเ้ หตุผลทถี่ ูกตอ้ ง
3. เห็นความสำคัญของการใชเ้ หตผุ ล
ในการเลอื กใช้ขอ้ มลู

ดา้ นทักษะ / กระบวนการ ( P ) - ประเมนิ ใบงานเรอื่ ง - แบบประเมินใบงานเรอ่ื ง - การประเมิน
1) การคิดวิเคราะห์ เหตุผลวิบัติ (Logical
Fallacy) เหตผุ ลวบิ ัติ (Logical พฤตกิ รรมรายบุคคล
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) - แบบทดสอบหลงั เรยี น
1. มวี ินัย Fallacy) ผ่าน ร้อยละ 60
2. ใฝเ่ รยี นรู้ สังเกตพฤตกิ รรม
รายบคุ คล - แบบทดสอบหลงั เรียน

- การประเมนิ

แบบสงั เกตพฤตกิ รรม พฤตกิ รรมรายบุคคล

รายบุคคล ผา่ น ร้อยละ 60

3. ม่งุ มนั่ ในการทำงาน

ด้านสมรรถนะ - แบบทดสอบหลงั เรยี น - แบบทดสอบหลังเรียน - การประเมิน
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม พฤตกิ รรมรายบุคคล
2. ความสามารถในการคดิ รายบุคคล รายบุคคล ผา่ น รอ้ ยละ 60
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

13. กจิ กรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนใช้เวลาว่างในการทบทวนบทเรียน ศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะได้ข้อมูลท่ี

เปน็ ปจั จุบนั และเปน็ ประโยชน์ตอ่ การเรยี นการสอน และการดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั ตอ่ ไป

ลงชอื่ พรทิพย์ ขาวแดง ผเู้ ขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้
(นางพรทิพย์ ขาวแดง)
ตำแหน่ง ครูผชู้ ว่ ย

ส่อื การสอน/นวัตกรรม

ใบความรู้ท่ี 7 เหตุผลวิบัติ (Logical Fallacy)

Logical Fallacy

เหตุผลวิบัต/ิ ตรรกะวิบตั ิ

เหตุผลวบิ ัติ (Logical Fallacy) หรือ ตรรกะวบิ ัติ เป็นการอา้ งเหตุผลทบ่ี กพร่องอนั
เกิดจากความผดิ พลาดในกระบวนการคดิ หาเหตผุ ล (reasoning process) ทงั้ แบบ
อุปนยั เละนิรนัยซึ่งส่งผลให้การอา้ งเหตุผลน้ันเปน็ การอ้างหตผุ ลทวี่ บิ ัติ (fallacious
argument)

เหตุผลวบิ ัติสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คอื

เหตผุ ลวิบตั ิแบบเป็นทางการ

เกดิ จากการให้เหตผุ ลท่ใี ชห้ ลักตรรกะทไ่ี มถ่ กู ต้อง
แต่เขียนในรูปแบบทีเ่ ปน็ ทางการทำให้ดูสมเหตุสมผล

เหตผุ ลวิบัติแบบไมเ่ ป็นทางการ

เกดิ จากการใหเ้ หตผุ ลที่ไมเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการใชต้ รรกะ
ในการพจิ ารณาแตเ่ ป็นการสันนษิ ฐาน หรือเลน่ สำนวนซ่งึ เกิดจากการใช้ภาษาชกั นำ
ให้เกดิ ความเข้าใจผดิ
เชน่ การพดู กำกวม หรอื การพดู มากเกินความจำเปน็

แบบทดสอบหลังเรยี น

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1

คำช้แี จง : ใหน้ ักเรียนเลือกคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1.ซ้นั ตอ้ งการซอื้ รถยนต์คันใหม่จึงหาข้อมูลการเปิดตวั 4.ข้อใดไมใ่ ชว่ ธิ กี ารประเมินความนา่ เช่ือถอื โดยใช้ PROMPT
รถยนต์ร่นุ ใหม่จากเวบ็ ไซตข์ องค่ายรถยนตโ์ ดยตรง ก. กระบวนการ (Process)
ซันประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ของข้อมูลตามขอ้ ใด ข. วัตถปุ ระสงค์ (Objectivity)
ก.ประเมนิ ระดบั เนอื้ หาของขอ้ มลู ค. พสิ ูจน์หหรอื ยืนยัน (Provenance)
ข.ประเมนิ ความตรงตามความต้องการของข้อมลู ง. ทันเหตุการณแ์ ละเป็นปจั จบุ นั (Timeliness)
ค.ประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือและความทันสมัยของขอ้ มลู 5.ข้อใดจดั ลำดับการสบื ค้นขอ้ มลู บนอินเทอรเ์ นต็ ได้ถูกต้อง
ง.ประเมินความความน่าเชอ่ื ถือของเครอื่ งมอื ในการสบื คน้ ก.กำหนดวตั ถุประสงค์ > กำหนดประเภทของข้อมลู
2.ขอ้ ใดเป็นผลกระทบของขอ้ มลู ทีผ่ ดิ พลาด
ก. ฟา้ ใชแ้ ผ่นพับเรอื่ งโรคมะเร็งจากโรงพยาบาลศิรริ าชมา > กำหนดคำสำคญั > ประเมนิ ความน่าเชื่อถือขอ้ มลู
เขยี นบลอ็ กและเผยแพร่ ข.กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ > กำหนดคำสำคญั > กำหนด
ข. ก้อยนำรปู ภาพโปสเตอร์เชญิ ชวนเข้าสมัครเข้ารว่ ม
โครงการอาสาปลูกปะการงั จาก UNESCO มาแชร์หนา้ ประเภทของข้อมลู > ประเมินความน่าเชื่อถอื ขอ้ มูล
เฟสบุก๊ ของตนเอง ค.กำหนดคำสำคญั > กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ > กำหนด
ค. หญิงอา่ นข้อมลู ปริมาณของจำนวนรถยนต์สว่ นบุคคลท่ี
เพิ่มขน้ึ อย่างตอ่ เน่ืองจากเว็บไซต์กรมการขนส่ง แล้วมา ประเภทของขอ้ มูล > ประเมินความนา่ เช่อื ถอื ขอ้ มูล
เขียนบทความตวามมุมมองของตนเองและแชร์บนเฟซบุ๊ก ง.กำหนดประเภทของข้อมูล > กำหนดคำสำคญั
ง. ออยเห็นประกาศเตือนท่หี นา้ โรงพกั เรือ่ งให้ระวงั ขโมย
ในช่วงปใี หมเ่ นอ่ื งจากพ้ืนท่ที ต่ี ำรวจตอ้ งดูแลมีบรเิ วณกวา้ ง > กำหนดวตั ถุประสงค์ > ประเมินความนา่ เชอ่ื ถอื ขอ้ มลู
อาจำทให้ดแู ลไม่ทว่ั ถงึ ออยจงึ ถ่ายรูปลงไลนก์ ลมุ่ ของ 6.การพิจารณาการกระทำของตนเองว่ามีผลกระทบหรอื ผลลัพธ์
หมูบ่ า้ นตนเอง ต่อผ้อู ่ืนอย่างไร เป็นลักษณะของการรู้เทา่ ทนั สอื่ ในขอ้ ใด
3.คณุ พ่อของเอมอายุมากแลว้ เอมตอ้ งการหาเครอ่ื งดืม่ ก. การสะท้อนคิด
ทีเ่ หมาะให้คุณพ่อดืม่ เอมจึงค้นหาขอ้ มูลบนอินเทอรเ์ นต็ ข. ความสามารถในการเขา้ ถงึ สอ่ื
ดว้ ยคำวา่ เคร่ืองดม่ื สุขภาพผสู้ ูงอายุ พฤติกรรมของเอมตรง ค. ความเข้าใจการประเมินคา่ สารสนเทศและเนอื้ หาในสอื่
กับขั้นตอนใด ง. การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการเฝ้าระวงั สารสนเทศและ
ก.กำหนดคำสำคญั สำหรบั สบื คน้ ขอ้ มลู เนื้อหาในสอื่
ข.กำหนดประเภทของขอ้ มูลที่จะสืบค้น 7.ปอยตอ้ งการโพสใบแจง้ คะแนนผลการเรียนของตนเองลงเฟ
ค.กำหนดวตั ถุประสงคแ์ ละหวั ขอ้ การสืบคน้ ให้ชัดเจน ซบกุ๊ ปอยจึงนำปากสเี ข้มมาเขยี นปกปิดขอ้ มูลทไ่ี ม่เหมาะสมต่อ
ง.ประเมนิ ความนา่ เช่อื ถอื ของข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสืบคน้ การเปดิ เผยต่อผู้อ่นื ท้ังแลว้ จึงถ่ายรปู โพสตล์ งเฟซบ๊กุ การกระทำ
ของปอยเป็นการรเู้ ทา่ ทันสอื่ ตามขอ้ ใด
ก. ความร้เู ทา่ ทันขอ้ มลู ดิจทิ ัล
ข. การปกปอ้ งความเป็นสว่ นตัวและขอ้ มูล
ค. การสร้างอตั ลกั ษณส์ ว่ นตวั ในโลกออนไลน์
ง. การใชข้ ้อมูลดจิ ิทลั อย่างสรา้ งสรรค์และไม่ละเมดิ สิทธิ์

8.หากต้องการคน้ หารปู ภาพรถยนต์ Hybrid 10.ข้อใดไม่ใชก่ ารใช้เหตผุ ลแบบวิบัติ
ก.การเจตนาฆา่ คืออาชญากรรม ปอ๊ ปถูกคนร้ายขฆู่ า่ เพ่อื กรรโชก
ข้อใดใชเ้ ทคนคิ การค้นหาขอ้ มลู ด้วย Google.com ทรัพย์แตป่ อ๊ ปตอ่ ส้แู ละใช้ปนื ของคนร้ายยิงเขา้ ทข่ี าปอ๊ ปจึงเปน็
อาชญากร. วบิ ตั ิ
ได้อย่างเหมาะสม ข.นกั เรยี นทีเ่ ข้าเรยี นในความรพู้ นื้ ฐานในปที ีผ่ า่ นมาจะสอบผ่าน
ดงั น้นั เด็กนักเรียนทกุ คนทเ่ี ข้าเรียนคาบความร้พู ืน้ ฐานในปนี จ้ี ะ
ก.รถยนต์ –Hybrid ข.รถยนต์ +Hybrid สอบผา่ น วบิ ัติ
ค.มวิ มีฐานะทางบ้านปานกลาง จงึ ขอให้ศลิ ปนิ ท่านอื่นไม่คิด
ค.รถยนต์ “Hybrid” ง.รถยนต์ or Hybrid คา่ ลขิ สิทธ์เิ วลานำเพลงศลิ ปนิ ทา่ นอนื่ ไปทำการแสดงเพ่ือให้มิวมี
รายได้เลยี้ งครอบครวั วบิ ัติ
9.ข้อใดไม่ใชห่ ลักการในการประเมินความนา่ เชือ่ ถอื ของ ง.วา่ นไดผ้ ลการเรียนท่ีดแี ละได้รางวลั จากพอ่ เน่ืองจากพอ่ สัญญา
วา่ จะให้รางวลั ถ้าว่านไม่ตดิ ศนู ยว์ ชิ าใดเลย
ข้อมูล

ก.ประเมินระดับเนอื้ หาของข้อมลู

ข.ประเมนิ ความตรงตามความตอ้ งการของข้อมลู

ค.ประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือและความทนั สมัยของขอ้ มูล

ง.ประเมินความความน่าเชอื่ ถอื ของเครอื่ งมอื ในการสบื คน้

เ ลย
1. ค 2. ค 3. ก 4. ก 5. ก 6. ก 7. ข 8. ข 9. ง 10. ง

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 7

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เวลาประจำหนว่ ย 3 ชั่วโมง

เรือ่ ง การใชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศ เวลา 1 ช่วั โมง

รายวชิ า วทิ ยาการคำนวณ 3 รหัสวชิ า ว23181 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565

ครผู ู้สอน นางพรทิพย์ ขาวแดง

1. มาตรฐานการเรียนรู้

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคดิ เชงิ คำนวณในการแกป้ ญั หาท่พี บในชวี ิตจรงิ อยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนและเป็น

ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทำงาน และการแกป้ ัญหาได้อยา่ งมี

ประสทิ ธิภาพ รู้เทา่ ทนั และมจี ริยธรรม

2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology : IT) เปน็ การนำเทคโนโลยีคอมพวิ เตอรม์ าใช้ในกระบวนการ

ทำงานต่างๆ เพื่อใช้จัดการข้อมูลที่เกิดขึ้นในการทำงานของบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กร เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศท่ี
นำไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงใน
ทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นดา้ นการดำเนินชีวิตประจำวัน การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศมีท้ังคุณและโทษ ต้องศึกษาเพื่อใช้
งานได้อย่างรู้เท่าทัน และสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัยในสังคมปัจจุบัน นอกจากนี้ยังต้องสามารถเลือกและใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศดา้ นต่างๆ อย่างสรา้ งสรรค์

3. ตวั ชวี้ ดั /สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ตวั ช้ีวัด
ว 4.2 ม.3/4 ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ อย่างปลอดภัยและมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ สังคมปฏิบัติ
ตามกฎหมายเกีย่ วกบั คอมพวิ เตอร์ ใช้ลขิ สิทธ์ิของผอู้ ่นื โดยชอบธรรม
สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
1. การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภยั เชน่ การทำธรุ กรรมออนไลนก์ ารซ้อื สินคา้ ซื้อซอฟต์แวร์
คา่ บรกิ ารสมาชิก ซื้อไอเทม็
2. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น ไม่สรา้ งขา่ วลวง ไม่แชรข์ อ้ มลู โดยไม่
ตรวจสอบ ข้อเทจ็ จรงิ
3. กฎหมายเกีย่ วกบั คอมพวิ เตอร์
4. การใช้ลขิ สทิ ธิ์ของผอู้ ่นื โดยชอบธรรม (fair use)


Click to View FlipBook Version