The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โรงเรียนสามพร้าววิทยา ม.๑

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัยในชั้นเรียน

โรงเรียนสามพร้าววิทยา ม.๑

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องราชาธิราชโดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อทิตยา อรุณวิจิตร งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา (ED๑๘๕๐๒) สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องราชาธิราชโดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อทิตยา อรุณวิจิตร รหัสนักศึกษา ๖๒๑๐๐๑๐๑๑๐๔ งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา (ED๑๘๕๐๒) สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่องราชาธิราชโดยใช้รูปแบบ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา ผู้วิจัย อทิตยา อรุณวิจิตร อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธิดารัตน์ ถาบุตร ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา ๒๕๖๖ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ( CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ได้รับ การเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๒๐ คน ที่ได้มาด้วยการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทยในวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) จำนวน ๕ แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา และวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยค่า t – testfor Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า ๑) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา คะแนนสอบก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๙ คะแนน คิดเป็นร้อย ละ ๒๙.๑๖ และได้คะแนนสอบหลังเรียนเท่ากับ ๒๘ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๖๖ และเมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๒) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยโดยใช้รูปแบบ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด = ๔.๘๘


ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธิดารัตน์ถาบุตร ที่ปรึกษาที่กรุณาให้คำปรึกษา ตลอดจนชี้แนะแนวทางในการทำวิจัย ทั้งยังให้แนวคิดใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการวิจัยในครั้งนี้ และดูแลให้กําลังใจผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่เสมอมา ขอขอบพระคุณคณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทยทุกท่าน และอาจารย์คณะครุศาสตร์ทุกคนที่ให้ คำแนะนําเกี่ยวกับเครื่องมือและเอกสารในการทำวิจัย และเสียสละเวลาให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ เป็นอย่างยิ่งในการทำวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ คุณครูพรพิมล นามพรมมา คุณครูเกวลิน มาสม และคุณครูกนกอร ต.ศรีวงษ์ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบการเก็บข้อมูลวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้อํานวยการ คณะครูและนักเรียนโรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่ให้ความร่วมมือและ อนุญาตให้ผู้วิจัยศึกษาบริบทโรงเรียนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน รวมทั้งให้ข้อมูลในการวิจัย ครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ บิดา มารดา รวมทั้งญาติพี่น้องทุกท่าน ที่คอยให้คําชี้แนะ คอยให้ความรัก ความห่วงใย รวมทั้งช่วยเหลือในด้านทุนทรัพย์ และให้กําลังใจผู้วิจัยเสมอมา ขอขอบคุณเพื่อนสาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ ๕ ทุกคนที่ให้กําลังใจ ให้คำแนะนําที่ดี และคอยสอบถามความก้าวหน้าของงานวิจัยด้วยความปรารถนาดีตลอดมา อทิตยา อรุณวิจิตร


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญ (ต่อ) ง สารบัญตาราง จ บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ๑ วัตถุประสงค์การวิจัย ๔ ขอบเขตของการวิจัย ๔ สมมติฐาน ๕ นิยามศัพท์เฉพาะ ๕ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๗ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๙ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ๑๒ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๑๖ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒๓ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒๗ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๓๒ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓๒ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ๓๓ แบบแผนการวิจัย ๓๕ การรวบรวมข้อมูล ๓๕ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓๖ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๖


ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๙ ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔๐ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔๐ บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการศึกษา ๔๖ สมมติฐานการวิจัย ๔๖ สรุปผลการวิจัย ๔๗ อภิปรายผลการวิจัย ๔๗ ข้อเสนอแนะ ๕๑ บรรณานุกรม ๕๒ ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข ข้อมูลแสดงความสอดคล้องของเครื่องมือ ภาคผนวก ค แผนการจัดการเรียนรู้ ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ภาคผนวก จ ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ภาคผนวก ฉ ผลงานนักเรียน ภาคผนวก ช ประวัติผู้วิจัย


จ สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ ๑ ตัวชี้วัดและสาระแกนกลาง สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๑๑ ตารางที่ ๒ แสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างของ PBL และ CBL ๑๘ ตารางที่ ๓ รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ๓๕ ตารางที่ ๔ ประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๔๑ ตารางที่ ๕ ประสิทธิภาพของผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๔๓ ตารางที่ ๖ ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๔๔ ตารางที่ ๗ ค่าดัชนีประสิทธิภาพ ๔๔ ตารางที่ ๘ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระ ๔๕


๑ บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่คนไทยทุกคนใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความเข้าใจ และสัมพันธ์อันดีต่อกัน เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาหาความรู้ เพื่อพัฒนาความรู้ให้สามารถ ดำรงชีพได้ในสังคม นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็นวิชาพื้นฐานของการศึกษา เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจในการเรียนรู้สาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ตลอดจน นำตนไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ภาษาไทยจึงมีความสำคัญยิ่ง ควรมีการปลูกฝังให้ผู้เรียน ได้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาไทยในทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ และควรอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่ เป็นภาษาชาติตลอดไป พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร ทรงมีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของภาษาไทยว่า “ภาษาไทยเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ คนไทยโชคดีที่มีภาษาเป็นของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้ ปัญหาเฉพาะด้าน การรักษาภาษามีหลายประการอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียงคือออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน”นอกจากทักษะด้านการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน วรรณคดีและวรรณกรรมไทย ยังรวมเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทย ที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สมบัติทางภูมิปัญญาผ่านความงามทั้งด้าน ร้อยแก้วและร้อยกรอง ซึ่งถือเป็นคุณค่าด้านต่าง ๆ ในทางวรรณศิลป์ (ศูนย์พัฒนาหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๓๒: ๗๖) วรรณคดีเป็นงานเขียนที่สร้างสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึกภายในของกวี ที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวหรือสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละยุคสมัย เพื่อเป็นตัวอย่าง หรือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจในการดำเนินชีวิตของผู้อ่านโดยใช้ถ้อยคำ ภาษาที่งดงามไพเราะสละสลวย ก่อให้เกิดอารมณ์ ความรู้ ความสนุกสนานเพลิดเพลินหรือก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์แก่ผู้อ่าน หรือผู้ศึกษา ดังที่ รื่นฤทัย สัจจพันธุ์(๒๕๕๕: ๕) กล่าวว่า วรรณคดี เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอย่างมีศิลปะ ในการแต่ง มีความเหมาะเจาะกลมกลืนทั้งรูปแบบและเนื้อหา มีการวางโครงเรื่องที่ดีเลือกใช้คำประพันธ์ ที่สอดคล้องกับเนื้อความ มีท่วงทำนองการเขียนที่ประกอบกันให้เกิดสุนทรียรสในการอ่านชวนให้คิดตาม ใช้ภาษาที่ประณีตไพเราะ เลือกสรรเป็นอย่างดีทั้งเสียงและความหมาย เป็นหนังสือที่สร้างความบันเทิง สำเริงอารมณ์ ก่อให้เกิดความนึกคิดและจินตนาการ และยังให้ความรู้ให้ข้อคิดอันเป็นคุณประโยชน์ หรือเป็นเครื่องสังวรให้เห็นโทษ ทั้งยังเป็นภาพสะท้อนให้ผู้อ่านได้รู้จักชีวิตและสังคมหลายแง่มุม วรรณคดีมีคุณค่าหลายประการ วรรณคดีเปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นภาพ หลากหลายของชีวิตมนุษย์ทั้งดีงามและต่ำทราม ไม่ใช่เพียงภาพที่เรารู้เห็นและผ่านเลยไปเท่านั้น แต่อย่างน้อยวรรณคดีจะทำให้เราได้หยุดคิดถึงสิ่งที่เป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ได้บ้าง ตัวอย่างจากเรื่องในวรรณคดีอาจทำให้เราสำนึกได้ว่า สิ่งที่เราจะกระทำไม่ใช่ที่เราอยากจะทำเท่านั้น


๒ แต่ต้องเป็นสิ่งที่เราสมควรกระทำด้วย ความดีงามถูกต้องตามจริยธรรมเป็นตัวอย่างที่สามารถหาได้ไม่ยาก จากวรรณคดีที่เปรียบเสมือนภาพจำลองชีวิตของมนุษย์อย่างปกติสุข (กุสุมา รักษมณี, ๒๕๔๗: ๑) เช่นเดียวกับ กตัญญู ชูชื่น (๒๕๔๓: ๔) กล่าวว่า คุณค่าของวรรณคดีนั้น ไม่ใช่เพียง ให้ความเพลิดเพลินบันเทิงอารมณ์เท่านั้น แต่เรื่องราวของวรรณคดียังให้ความรู้ ความเข้าใจ สามารถ นำมาเป็นตัวอย่าง ในการดำเนินชีวิต เพื่อให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถทำตนให้เป็นสุข และอยู่ในสังคมได้ด้วยดี จะเห็นได้ว่า วรรณคดีไทยมีคุณค่าต่อผู้อ่านและควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบสาน เป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากผู้อ่านจะได้รับอรรถรสจากความงดงามทางภาษาก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน ทางอารมณ์นั้น วรรณคดียังสอดแทรกแง่คิดและคติสอนใจสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ให้เกิดความปกติสุข ดำเนินชีวิตถูกต้องตามหลักจริยธรรม ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันในสังคม ได้อย่างมีความสุข ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา เป็นวรรณคดีเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพระคลัง (หน) พระยาอินทรอัคคราช พระภิรมรัศมี และพระศรีภูริปรีชา ช่วยกันแต่งขึ้น เป็นบทร้อยแก้ว โดยมีพระราชประสงค์ให้แต่งเพื่อเป็นหนังสือสำหรับบำรุงสติปัญญา ของพระบรมวงศานุวงศ์และ ข้าราชบริพาร มีเนื้อหาสาระ และส่วนประกอบปลีกย่อยมาจากมหายุทธ สงครามในพระราชพงศาวดารรามัญ (มอญ) แปลจากภาษารามัญเป็นภาษาสยาม นิยมอ่าน เพื่อเป็นความรู้ทางด้านกลอุบายทางการเมือง วิสัยของ มนุษย์ เรื่องราวทางศีลธรรมและการใช้สติปัญญา ในการแก้ปัญหา และมีสำนวนโวหารไพเราะโดดเด่นและให้คติสอนใจเป็นอย่างดี(นามานุกรมวรรณคดี ไทย (๒๕๖๖: ๔) ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๓๕: ๗) จึงได้กำหนดตัวชี้วัดของการศึกษาวรรณคดี โดยกำหนดให้อยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม รวมทั้งกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ว่า เข้าใจและแสดง ความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ถึงแม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๓๕: ๗) จะเล็งเห็นความสำคัญ และส่งเสริมการศึกษาวรรณคดี มากเพียงใดแต่การจัดการเรียนการสอนเนื้อหาวรรณคดีก็ยังคงประสบปัญหาหลายประการ ดังที่ พรรณรอง รัตนไชย (๒๕๕๕: ๑๔๒) กล่าวว่าครูส่วนใหญ่ใช้สื่อการเรียนการสอนที่ไม่หลากหลาย ใช้หนังสือแบบเรียนมากเกินไปโดยไม่มีการนำสื่อเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน อีกทั้งขาดกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ ทำให้การจัดการเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น ครูผู้สอนจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับปัจจัยรอบด้าน จึงจะสามารถ เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนได้ สภาพปัจจุบันโรงเรียนสามพร้าววิทยาเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลายมีจำนวนนักเรียน นักเรียนส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาในพื้นที่บริการ จำนวน ๒ ตำบล ได้แก่ ตำบลสามพร้าว อำเภอเมืองอุดรธานี และตำบลสร้างแป้น อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี


๓ รวมทั้งบางส่วน ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ผู้ปกครองของนักเรียนประมาณร้อยละ ๔๖ ประกอบอาชีพ รับจ้าง ร้อยละ ๔๕ ประกอบอาชีพเกษตรกร ที่เหลือประกอบอาชีพค้าขาย และรับราชการ ฐานะความเป็นอยู่อยู่ในระดับยากจน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ระดับปานกลาง นักเรียนมีความประพฤติ เรียบร้อย สภาพโดยทั่วไปของชุมชน มีลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปเป็นพื้นที่ราบสูงมีลำน้ำ ส่งผลให้สภาพ การเรียนการสอน นักเรียนโรงเรียนสามพร้าววิทยาบางคน มีความขาดแคลนในด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่ใช้อำนวยความสะดวกทางด้านการเรียน รวมถึงการขาดโอกาสที่จะได้รับการเรียนรู้อย่างเต็มรูปแบบ จากสภาพปัญหาข้างต้น ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมการเรียนรู้ได้อย่างไม่ทั่วถึง เรียนรู้ได้ช้า โดยสิ่งแวดล้อม ต่าง ๆ ส่งผลให้เด็กเกิดการเรียนได้อย่างไม่เต็มที่นั่นเอง การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคม เกิดการรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาอย่างแพร่หลาย จึงส่งผลให้การปฏิบัติตนของคนในสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้ทัศนคติและความสนใจ ที่มีต่อวรรณคดีของผู้เรียนลดน้อยลง เพราะวรรณคดีมีเนื้อหาโบราณ ไม่ทันสมัย ไม่สอดรับกับเหตุการณ์ ของบ้านเมืองในปัจจุบัน ผู้เรียนจึงขาดแรงจูงใจและขาดความลึกซึ้งในการเรียนวรรณคดี ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ทำให้ปีการศึกษาที่ผ่านมานั้น ผู้เรียนจำต้องเรียนในรูปแบบออนไลน์อยู่ที่บ้าน จึงทำให้ผู้เรียนต้องใช้สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ตในการเรียนการสอน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จึงเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลกระทบ ต่อพฤติกรรมของผู้เรียน ในแต่ละวันผู้เรียนต้องอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมไม่ต่ำกว่า ๘ ชั่วโมง บางคนกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น จากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในการเรียนออนไลน์ และขาดปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อนมนุษย์ จึงทำให้ การจัดการเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เหตุนี้เองทำให้ผู้เรียน มองว่าวรรณคดีนั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัว นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ จึงไม่เห็นคุณค่า และเกิดการปิดกั้น ที่จะเรียนรู้วรรณคดีไทย ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบ วิธีการสอนเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน ไม่ให้ผู้เรียนมองว่าวรรณคดีนั้นเป็นสิ่งที่ไกลตัว แต่วรรณคดี นั้นกลับเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนได้ นั่นคือ รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนใหม่ที่เหมาะสม กับสภาพแวดล้อม และความต้องการของประเทศไทย เพื่อให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ การสอนใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติเป็นเครื่องมือให้เกิดการเรียนรู้ที่สนุกสนานแปลก ใหม่ ท้าทาย เกิดผลลัพธ์ครบถ้วนตามหลักการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยโครงสร้างรูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) มีการพัฒนามาจากโครงสร้างการเรียนการสอนใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) และแนวทางการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์แบบคิดแนวขนาน (Parallel Thinking) ของ เอ็ดเวิร์ดเดอ โบโน ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการเรียนรู้เชิงลุก (ACTIVE learning Model) การสอนแบบสร้างสรรค์เป็น ฐานจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะด้านการค้นคว้า ทักษะการคิด และทักษะการทำงาน จากผลการวิจัย ของสถาบันวิจัยห้องเรียนแห่งอนาคตพบว่าผลสำเร็จของการนำ CBL ไปใช้ คือ ผู้เรียนสนุกตื่นตัว แสดงถึงการเป็นรูปแบบการสอนที่พัฒนาในศตวรรษที่ ๒๑ ได้จริง (วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์, ๒๕๕๘: ๒๔)


๔ จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนเป็นสิ่งที่สำคัญ และมีบทบาทอย่างมากต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา จังหวัดอุดรธานี จึงเป็นการพัฒนาทักษะภาษาไทย ด้านวรรณคดี ในครั้งนี้จะใช้วิธีการประเมินนักเรียนควบคู่ไปกับรูปแบบ การสอนโดยการวัดประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระราม อาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานีให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒. เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ได้รับการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ขอบเขตการวิจัย ๑. ประชากร กลุ่มประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจำนวน ๒ ห้องเรียน ได้แก่ ๑/๑ และ ๑/๒ รวมทั้งสิ้น ๖๐ คน ๒. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจำนวนนักเรียนทั้งหมด ๒๐ คน ๓. ตัวแปรที่ศึกษา ๑) ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๒) ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าว วิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ที่เรียนวิชาภาษาไทยวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๔. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ใช้เวลา ๖ ชั่วโมง สัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมง รวม ๒ สัปดาห์ ทำการทดสอบ ในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖


๕ ๕. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาของการวิจัยในครั้งนี้ คือ เนื้อหาวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน ๕ แผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ ความเป็นมา แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ ประวัติผู้แต่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ รูปแบบการประพันธ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๔ เรื่องย่อ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ คุณค่าด้านภาษา สังคมและวรรณศิลป์ สมมติฐานการวิจัย ๑. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย จำนวน ๒๐ คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย จำนวน ๒๐ คนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้วิจัยกับผู้อ่าน ผู้วิจัยจึงกำหนดนิยามศัพท์เฉพาะ ดังต่อไปนี้ ๑. วรรณคดีหมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ ในที่นี้คือเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ซึ่งปรากฏในเนื้อหาวรรณคดี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในหนังสือภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ๒. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมือง อุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย จำนวน ๒๐ คน ที่เรียนวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๓. ค่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลต่างของคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนที่เรียนวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช โดยใช้รูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL)


๖ ๔. ค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ หมายถึง การหาประสิทธิภาพของบทเรียน จากการใช้รูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ตัวเลข ๘๐ ตัวแรก หมายถึง คะแนน เฉลี่ยจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียนของผู้เรียนโดยคิดเป็นค่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ส่วนตัวเลข ๘๐ ตัวหลังหมายถึง คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียน โดยคิดเป็นค่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ๕. รูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) คือ รูปแบบการสอน แนว Active learning เพื่อออกแบบการสอนให้ผู้เรียนได้ครบสองด้าน คือด้านเนื้อหาวิชาและด้านทักษะ ศตวรรษที่ ๒๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการสอนรูปแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนทักษะในการคิดอย่างสร้างสรรค์ อย่างเป็นรูปธรรม ได้ผลลัพธ์ที่ดีคือเป็นรูปแบบการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ และคิดสร้างสรรค์มากกว่ารูปแบบดั้งเดิมที่มีการพัฒนามาประกอบด้วยขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ กระตุ้นความสนใจ ขั้นตอนที่จำเป็นจะต้องกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนนั้นมีความอยากเรียน อยากรู้ อยากค้นหาคำตอบ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL ขั้นที่ ๒ ตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มตามความสนใจ ขั้นตอนนี้จะเป็นการใช้ปัญหาเป็นตัวนำ ซึ่งผู้สอนไม่ได้เป็นผู้กำหนดคำถามตั้งแต่แรก แต่จะเป็นการปล่อยให้ผู้เรียนค้นหาปัญหาที่ตนเองสงสัย โดยปัญหาที่เกิดขั้นนั้นจะเป็นปัญหาที่ผู้เรียน สนใจในบทเรียน เมื่อผู้เรียนค้นพบปัญหาที่ตนเองสงสัยแล้ว จึงทำการแบ่งกลุ่มตามความสนใจ จำนวนของกลุ่มนั้นจะตั้งขึ้นตามจำนวนปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและสมาชิกของแต่ละกลุ่มนั้น ก็จะเกิดจากความพอใจของผู้เรียนเอง และดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง ขั้นที่ ๓ ค้นคว้าและคิด ขั้นตอนนี้เป็นทักษะการคิดและการค้นคว้าหาคำตอบที่จะเกิดขึ้นจากช่วงเวลาที่ผู้สอนนั้น ปล่อยให้ผู้เรียนได้ใช้เวลากับเนื้อหาที่ตนเองสนใจได้อย่างเต็มที่ ขั้นที่ ๔ นำเสนอ ขั้นตอนนี้ผู้เรียนได้นำเสนอผลงานที่ตนเองไปศึกษาค้นคว้าและคิดออกมาและผู้สอน จะต้องปล่อยให้ผู้เรียนได้นำเสนอผลงานอย่างเต็มที่จนจบ โดยไม่แทรกแซงระหว่างผู้เรียนนำเสนอผลงาน ผู้สอนมีหน้าที่หลักในการแสดงความคิดเห็น และซักถามผู้เรียนร่วมชั้น ขั้นที่ ๕ ประเมินผล ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลกิจกรรมทั้งหมดที่ผู้เรียนได้ทำมาตลอดเวลาของการเรียนรู้ ในรูปแบบ CBL ครอบคลุม ๓ ด้าน คือ ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์


๗ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑. บทเรียนวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสาโดยใช้รูปแบบการสอนแบบความคิด สร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) มีประสิทธิภาพและสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนวิชาภาษาไทยที่ช่วยให้นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ดีขึ้น ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ได้รับการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) เพิ่มขึ้น ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน


๘ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระราม อาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา จังหวัดอุดรธานีมีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๑.๑ ความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๑.๒ สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ ๑.๓ สาระการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม ๒. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ๒.๑ ประวัติความเป็นมาวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ๒.๒ รูปแบบวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ๒.๓ เนื้อหาวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ๒.๔ คุณค่าวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ๓. การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๓.๑ แนวคิดทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๓.๒ ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๔. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๔.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๔.๒ ลักษณะสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๔.๓ องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๔.๔ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ๕. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับราชาธิราช ๕.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด CBL


๙ ๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ได้ถูก กำหนดขึ้นเพื่อเป็นทิศทางสำคัญในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยให้เป็นแนวเดียวกัน ทั้งประเทศ ตามมาตรฐานและสาระการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้าง บุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทัน ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ๑.๒ สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง สาระการเรียนรู้ สาระที่ ๑ การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่านเพื่อนำไปปรับใช้ ในชีวิตประจำวัน สาระที่ ๒ การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบ ต่าง ๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษา ให้ถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศ ในภาษาไทย สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่บทร้อง


๑๐ เล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้ง และภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๑: ๑-๓) มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยประกอบด้วยมาตรฐานการเรียนรู้๕ สาระ ดังนี้ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความและเขียนเรื่องราว ในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทยการเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๑.๓ สาระการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็น คุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง


๑๑ ตารางที่ ๑ ตัวชี้วัดและสาระแกนกลาง สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระที่ / มาตรฐาน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง /ท้องถิ่น ความรู้ ทักษะ/ กระบวนการ คุณลักษณะ ท ๕.๑ ม.๑/๑ ๑. วิเคราะห์และวิจารณ์ วรรณคดีและวรรณกรรมตาม หลักการวิจารณ์เบื้องต้น หลักการ วิเคราะห์ วิจารณ์ -การรวบรวมข้อมูล - การคิดวิเคราะห์ - ความสนใจใฝ่รู้ -ความตั้งใจ ท ๕.๑ ม.๑/๒ ๒. วิเคราะห์ลักษณะเด่นของ วรรณคดีเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต ทางสังคมในอดีต หลักการ วิเคราะห์ - การคิดวิเคราะห์ -การสรุปความและ นำไปใช้ - ความสนใจใฝ่รู้ -ความตั้งใจ ท ๕.๑ ม.๑/๓ ๓. วิเคราะห์และประเมินคุณค่า ด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและ วรรณกรรมในฐานะที่เป็นมรดก ทางวัฒนธรรมของชาติ คุณค่าของ วรรณคดีและ วรรณกรรม -การรวบรวมข้อมูล - การคิดวิเคราะห์ -การสรุปความ - ความสนใจใฝ่รู้ -ความตั้งใจ ท ๕.๑ ม.๑/๔ ๔. สังเคราะห์ข้อคิดจาก วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อ นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ข้อคิดจาก วรรณคดีและ วรรณกรรม - การคิดวิเคราะห์ -การสรุปความและ นำไปใช้ - ความสนใจใฝ่รู้ -ความตั้งใจ ท ๕.๑ ม.๑/๕ ๕. รวบรวมวรรณกรรมพื้นบ้าน และอธิบายภูมิปัญญาทางภาษา วรรณกรรม พื้นบ้าน -การรวบรวมข้อมูล -ทักษะการอ่าน - การอธิบาย - ความสนใจใฝ่รู้ -ความตั้งใจ -ความอดทน ท ๕.๑ ม.๑/๖ ๖. ท่องจำและบอกคุณค่าบท อาขยานตามที่กำหนดและบท ร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความ สนใจ - บทอาขยาน - บทร้อยกรอง -การวิเคราะห์ - การนำไปใช้ - ความสนใจใฝ่รู้ -ความตั้งใจ -ความอดทน


๑๒ จากที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดของรูปแบบหลักสูตร ความสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ รวมถึงสาระ การเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ในด้านการจัดทำแผนการเรียนรู้ และข้อสอบให้มีความสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนด ๒. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ๒.๑ ประวัติความเป็นมาวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ประเพณีการประพันธ์ร้อยแก้วของไทยแม้จะมีอายุยืนยาว แต่ก่อนจะถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พบว่ารูปแบบการเขียนร้อยแก้วนิยมใช้เขียนงานประเภทสารัตถคดี เช่น ตำนาน พงศาวดาร การจดบันทึก เกี่ยวกับพระราชพิธี ตำราต่าง ๆ กฎหมาย เป็นต้น ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการใช้เพื่อเขียนงาน ที่เป็นจินตคดีหรือมุ่งเน้นความบันเทิง กระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเพณีการประพันธ์ร้อยแก้ว เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ดังที่สรณัฐไตลังคะ กล่าวไว้ว่า พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพัน จันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งได้มีการชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ ใช้การสร้างวรรณศิลป์ในการสร้างโครงเรื่องและ กลวิธีการเล่าเรื่องแบบบันเทิงคดี ทำให้งานเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการบอกเล่าเอาความว่าเกิดอะไรขึ้น เท่านั้น แต่เป็นงานที่จรรโลงใจและการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านโดยการใช้พลังของจินตภาพและภาษาที่งดงาม เป็นการนำวิธีการทางวรรณคดีมาใช้ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ เพื่อสร้าง “ความสมจริง” ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของประเพณีการเขียนร้อยแก้วประเภทพงศาวดารที่เกิดขึ้นนี้ ได้รับอิทธิพล จากพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กและไซ่ฮั่นที่มีการแปลในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน (สรณัฐ ไตลังคะ, ๒๕๔๙ :๓๑-๕๖) สามก๊ก และไซ่ฮั่นที่มีการแปลและเรียบเรียงในสมัยรัชกาลที่ ๑ คนไทยทั่วไปมักเข้าใจว่าเป็น หนังสือพงศาวดารเพราะเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ของจีน ความจริงแล้วทั้งสามก๊กและไซ่ฮั่น รวมถึงพงศาวดารจีนที่แปลในยุคต่อมาไม่ได้เป็นหนังสือพงศาวดารดังที่เข้าใจกัน แต่เป็นนวนิยาย อิงพงศาวดารที่นักประพันธ์สมัยราชวงศ์หมิงและชิงแต่งขึ้นโดยอาศัยบันทึกประวัติศาสตร์เป็นวัตถุดิบ Lu Hsun ถาวร สิกขโกศลและกนกพร นุ่มทอง ซึ่งรูปแบบการประพันธ์นวนิยายอิงพงศาวดารจีนเหล่านี้ ถาวร สิกขโกศล กล่าวว่า มีลักษณะเป็นนวนิยายที่เกิดก่อน นวนิยายของตะวันตกด้วยซ้ำไป การแปล สามก๊กและไซฮั่นในสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงเป็นการเริ่มแปลนวนิยายเป็นครั้งแรก แต่ด้วยเหตุที่เป็นเรื่อง เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และมีวัตถุประสงค์ในการแปลเพื่อประโยชน์ในทางการเมืองและการสงคราม ประกอบกับสังคมไทยยังไม่รู้จักนวนิยาย จึงเรียกวรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้ว่าพงศาวดารตามรูปแบบ คำประพันธ์ร้อยแก้วบันทึกประวัติศาสตร์ที่มีมาแต่เดิม (ถาวร สิกขโกศล, ๒๕๔๙ :๑๑๗-๑๓๕) พระราชพงศาวดารรามัญเรื่องราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ซึ่งแปลและเรียบเรียงขึ้น ในช่วงเวลาเดียวกับสามก๊กและไซ่ฮั่นและมีผู้แปลหรือผู้อำนวยการแปลและเรียบเรียงคนเดียวกันกับเรื่อง สามก๊กคือเจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ผู้เรียบเรียงจะรับเอารูปแบบและกลวิธี การประพันธ์สามก๊กมาใช้ในการเรียบเรียงเรื่องราชาธิราชด้วย


๑๓ ต่อมาเมื่อมีการนำเอาเทคโนโลยีทางการพิมพ์เข้าสู่ประเทศไทยและเริ่มมีการพิมพ์หนังสือ วรรณกรรมออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก คือ นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัยเป็นผลให้วัฒนธรรมการอ่าน เริ่มขยายตัวการพิมพ์พงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ ได้ส่งผลให้มีการแปลนวนิยายอิง ประวัติศาสตร์จีนเป็นจำนวนมาก ความนิยมของผู้อ่านก็เพิ่มขึ้นตามลำดับพระราชพงศาวดารรามัญเรื่อง ราชาธิราชจึงได้รับการชำระและตีพิมพ์จำหน่ายในช่วงนี้ด้วย เรื่องราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงเป็นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำตลอดมาและมักจะเรียกชื่อว่า “พระราชพงศาวดารรามัญเรื่องราชาธิราช” ตามความเข้าใจของคนทั่วไปที่เห็นว่าหนังสือเรื่องนี้เป็น “พงศาวดาร” ดังที่ ม.ล.บุญเหลือเทพยสุวรรณ กล่าวไว้ว่า “ราชาธิราชเป็นหนังสือที่ชาวรามัญถือว่าเป็น พระราชพงศาวดาร ไม่ใช่เรื่องแต่ง”แต่เมื่อพิจารณาเนื้อเรื่องราชาธิราชจะเห็นว่า ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ เชิงประวัติศาสตร์แม้จะเปรียบกับพระราชพงศาวดารกรุงเก่าซึ่งนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันถือเป็นเพียง หลักฐานสำหรับอ้างอิงอันหนึ่ง มิได้เชื่อถือตลอดทุกตอน พระราชพงศาวดารที่ว่านี้ก็ยังมีลักษณะเป็น บันทึกเชิงประวัติศาสตร์มากกว่าราชาธิราช (บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, ๒๕๒๙ :๑๓๔–๒๐๙) ๒.๒ รูปแบบวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ทัศนะของม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ จึงถือว่าราชาธิราชเป็น วรรณคดี “เพราะสำนวนร้อยแก้ว ที่ใช้บรรยายและพรรณนาอาศัยศิลปะทางภาษามาก...” และ “...ถ้าหากเป็นนวนิยาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างที่เกิดในราชาธิราช จะต้องยกย่องกลศิลป์ของผู้ประพันธ์อย่างมาก ในฐานะที่ทำให้เหตุการณ์ แยกออกจากลักษณะนิสัย (ตัวละคร) ไม่ออกนี้ ซึ่งนักเขียนนวนิยายทำกันได้ยาก ผู้เรียบเรียงราชาธิราช ไม่ต้องพะวงถึงโครงเรื่องจึงแสดงให้เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยบุคคลเป็นเหตุได้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผู้เรียบเรียง อาศัยอ้างถึงความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของบุคคลที่เป็นปรปักษ์กันว่าเป็นผลของบุญญาภินิหารความจริง ในชีวิตมนุษย์เรามนุษย์ก่อเหตุการณ์ขึ้นตามลักษณะนิสัยของแต่ละคนแต่เมื่อจะถึงที่สุดของเหตุการณ์ ดูเหมือนมนุษย์จะไม่มีอำนาจบันดาลผล หากมีอำนาจที่นอกเหนืออำนาจมนุษย์มาบันดาลไปอีกทางหนึ่ง ต่างไปจากที่น่าจะเป็น ถ้าใช้ทรรศนะนี้แล้ว ราชาธิราชอาจเป็นงานเขียนที่มีโครงเรื่องแยบยลที่สุดก็ได้ ผู้วาดโครงเรื่องวาดเหมือนชีวิตมนุษย์อย่างเหลือเกิน จนดูไม่เป็นงานศิลปะ...” การเพิ่มลักษณะที่เป็น“นวนิยาย”ตามสมมุติฐานของ ม.ล.บุญเหลือเทพยสุวรรณนั้นกระทำขึ้น ในราวปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ หรือต้นรัชกาลที่ ๕ อันเป็นช่วงเวลาที่ไทยเราเริ่มรับเอารูปแบบวรรณกรรม แบบใหม่จากตะวันตกเข้ามาใช้แล้ว รวมทั้งเรื่องจีนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ก็ได้รับ การถ่ายทอดเป็นภาษาไทยเป็นจำนวนมากในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าผู้ชำระได้ดัดแปลงหรือ เพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับสำนวนภาษาและกลวิธีการประพันธ์ให้ใกล้เคียงกับรูปแบบใหม่ๆ ที่ตนรู้จัก จึงทำให้ราชาธิราชฉบับพิมพ์มีลักษณะเป็นบันเทิงคดีมากขึ้น (บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, ๒๕๒๙: ๑๓๔–๒๐๙)


๑๔ ๒.๓ เนื้อหาวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา พระเจ้ากรุงต้าฉิง ผู้เสวยราชสมบัติอยู่ที่กรุงจีน มีทหารเอกคนหนึ่งชื่อ “กามะนี” ผู้มีฝีมือ ด้านการขี่ม้าแทงทวนอย่างหาผู้ทัดเทียมได้ยาก พระเจ้ากรุงจีนจึงเกิดดำริอยากทอดพระเนตรขุนศึก ของพระองค์รำทวนต่อสู้กับทหารฝีมือดี จึงได้ทำการยกทัพมาที่กรุงรัตนปุระอังวะ เพื่อตามหาขุนศึก ที่ทัดเทียมกับกามะนี เมื่อมาถึงพระเจ้ากรุงจีน ได้ส่ง “โจเปียว” ขุนนางในตำแหน่งฝ่ายพลเรือน ที่พูดภาษาพม่าได้ เพื่ออัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการมากมาย โดยบอกความประสงค์ ของพระองค์ว่า ต้องการเพียงแค่ทอดพระเนตรรำทวนเท่านั้น จึงมีพระราชประสงค์ให้ทั้ง ๒ ฝ่าย ส่งตัวแทนมารำทวนสู้กัน ซึ่งหากตัวแทนฝั่งกรุงอังวะแพ้ จะต้องยกเมืองให้พระเจ้ากรุงจีน แต่หากกรุง อังวะชนะตนจะยอมทัพกลับไปแต่โดยดี และได้มีพระราชกำหนดประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดไม่มี อาวุธในการสู้รบ ห้ามทำอันตรายเป็นอันขาด พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้รับแจ้งในพระราชสาส์น ก็รู้สึกดีพระทัยยิ่งนัก จึงได้พระราชทานเงินทอง ให้แก่โจเปียว และเครื่องราชบรรณาการตอบกลับเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง จึงได้ตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วทั้งพระนคร เพื่อตามหาคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับกามะนีแต่ก็ไม่มีใครรับอาสา แม้พระเจ้ามณเฑียรทองจะทรงโปรดให้เป็นมหาอุปราช และแบ่งพระราชสมบัติให้กึ่งหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อสมิงพระรามได้ยินเรื่องราวเหล่านี้จากการพูดคุยกันของผู้คุม ก็เกิดความคิดว่าตัวเองนั้น ต้องพันธนาการมานาน ได้ออกไปขี่ม้ายืดแข้งยืดขาบ้างก็คงจะดีไม่น้อย อีกทั้งตนก็ไม่ได้เกรงกลัว ต่อกามะนีแต่อย่างใด ถึงกระนั้นการจะรับอาสาก็เหมือนเป็นการหาบสองบ่า อาสาสองเจ้า เพราะตนเป็น คนมอญที่เคารพพระเจ้าราชาธิราชมาก จะมาช่วยพม่าได้อย่างไร แต่เมื่อมาคิดดู ๆ แล้ว หากพม่าไม่สามารถต้านทานทัพของพระเจ้ากรุงจีนไว้ได้ ด่านต่อไป ที่ทัพจีนจะไปบุก คงหนีไม่พ้นกรุงหงสาวดี บ้านเกิดของตนแน่ ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น สมิงพระรามจึงอาสา ทำศึกกับกามะนี พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องดีพระทัยมาก จึงถามสมิงพระรามว่าต้องการสิ่งใดบ้าง ฝ่ายพระสมิงพระรามจึงตอบกลับไปว่า ต้องการแค่ม้าฝีเท้าดีเท่านั้น พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องได้ยินดังนั้น จึงประกาศหาม้าไปทั่วเมือง แต่ก็ไม่ถูกใจสมิงพระราม สุดท้ายจึงต้องหาม้าเชลยศักดิ์จากนอกเมือง เมื่อออกมานอกเมือง สมิงพระรามได้พบกับม้าสองแม่ลูกของหญิงม่ายคนหนึ่ง โดยลูกม้านั้น มีกำลังมากถูกต้องตรงตามคุณสมบัติทุกประการ เมื่อสมิงพระรามเอามือแตะหลังม้า ก็ไม่ได้ทรุดอ่อน เหมือนม้าตัวอื่น ๆ สมิงพระรามจึงตัดสินใจขึ้นขี่ม้า และควบออกไปอย่างรวดเร็วจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว และแม้จะควบตั้งแต่เช้าจนบ่าย เจ้าม้าตัวนี้ก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเลย สมิงพระรามจึงสะบัดม้าเป็นเพลงทวน กลับเข้ามาเฝ้าพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง เมื่อวันประลองศึกมาถึง ณ สนามรบ กามะนี ขุนศึกพระเจ้ากรุงจีน แต่งตัวใส่เสื้อหุ้มเกราะ คาดสายเอวประดับหยก เหน็บกระบี่ ฝ่ายสมิงพระราม ใส่เสื้อสีชมพูขลิบทอง จีบเอว ใส่กำไลต้นแขน ปลายแขนสอดดาบสะพายแล่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ร่ายรำเพลงทวนออกมาอย่างสง่างาม เมื่อสมิงพระราม เห็นชุดเกราะที่แน่นหนาของกามะนี จึงออกอุบายให้ทั้ง ๒ ฝ่ายร่ายรำเพลงทวนถวายแก่พระเจ้าอยู่หัว ทั้งสองทอดพระเนตรเป็นขวัญตาเสียก่อน แล้วจึงค่อยสู้กันทีหลัง กามะนีตอบตกลง ทั้งสองจึงรำทวน


๑๕ ถวายซึ่งในขณะที่รำทวนอยู่นั้น สมิงพระราม ได้หาช่องทางที่จะสอดแทงทวนผ่านชุดเกราะ ซึ่งมีอยู่ ๒ ช่องทางคือ บริเวณใต้รักแร้ และกลีบเกราะท้ายหมวก ที่พอจะย้อนแทงได้ หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็เข้าโรมรันเพลงทวนต่อสู้กันหลายสิบเพลง ต่างคนต่างรับ ต่างป้องกัน ไม่มีคนเพลี่ยงพล้ำ สมิงพระรามจึงคิดว่าหากสู้ต่อไปแบบนี้ คงชนะได้ยากแน่ จึงแสร้งควบม้าหนี กามะนี จึงควบม้าไล่ตาม สมิงพระรามมองเห็นว่าม้าของกามะนีอ่อนแรงแล้ว จึงชักม้าเข้าสู้อีกครั้ง แต่ม้าของกามะนีที่อ่อนแรงหันหนีกลับไม่ทัน สมิงพระรามจึงได้สอดทวนแทงใต้รักแร้กามะนีเสียจังหวะ ทันที ฝ่ายสมิงพระรามไม่รอช้า ชักดาบออกพร้อมเร่งม้า ฟันย้อนตามกลีบเกราะท้ายหมวกจนศีรษะ ของกามะนีขาด แต่ไม่ทันตกลงพื้น สมิงพระรามก็ได้ใช้ขอเหล็กเกี่ยวศีรษะใส่ตะกรวย แล้วชักม้ากลับไป ถวายพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง หลังจากนั้น พระเจ้ากรุงจีนได้นำศพของกามะนี มาทำพิธีฝังต่อไป ส่วนเหล่า ทหารของพระเจ้ากรุงจีนก็โกรธแค้นมาก จึงขอเข้าไปตีกรุงอังวะ แต่พระเจ้ากรุงจีนนั้นรักษาสัตย์มากกว่า ทรัพย์ จึงสั่งให้ถอนกองทัพกลับไป (กรมศิลปากร, ๒๕๑๒: ๕๓๖-๕๕๕) ๒.๔ คุณค่าวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ มีการใช้สำนวนโวหารสูง แม้จะใช้ประโยคยาวแต่ใช้ถ้อยคำภาษาและการเข้าประโยคที่สละสลวย การใช้สำนวนเปรียบเทียบที่คมคาย เช่น " พระเจ้ากรุงจีนยกมาครั้งนี้อุปมาดังฝนตกห่าใหญ่ตกลงน้ำนองท่วมป่าไหลเชี่ยวมาเมื่อวสันตฤดู นั้นหาสิ่งใดจะต้านทานมิได้" หมายถึง กองทัพของพระเจ้ากรุงจีนเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ ใช้คำคมให้คติเตือนใจ เช่น "เรารักสัตย์ยิ่งกว่าทรัพย์ อย่าว่าแต่สมบัติมนุษย์นี้เลย ถึงท่านจะเอาทิพยสมบัติของสมเด็จ อมรินทร์มายกให้เรา เราก็มิได้ปรารถนา" หมายถึง คนที่รักษาคำพูดถึงแม้จะนำทรัพย์อันมีค่ามาให้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคำพูดที่เคยให้ ไว้ได้" คุณค่าด้านสังคม ค่านิยม และความเชื่อ ๑. ความเชื่อถือในเรื่องฤกษ์ เช่น ตอนพระเจ้ากุงต้าฉิงยกทัพมายังกรุงรัตนบุระอังวะก็ต้องรอให้ ฤกษ์ดีก่อนจะยกทัพมาใด ๒. ขนบธรรมเนียมในการส่งเครื่องราชบรรณาการไปเพื่อตอบแทน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งประพฤติ ปฏิบัติตามที่ฝ่ายตนร้องขอ หรือส่งเครื่องราชบรรณาการไปเพื่อขอให้อีกฝ่ายหนึ่งทำตามที่ตนเองขอ เช่น การส่งพระราชสาส์นจากพระเจ้ากรุงต้าฉิง เพื่อจะให้พระเจ้าอังวะอยู่ในอำนาจออกมาถวายบังคม และต้องการจะดูทหารรำทวนขี่ม้าสู้กัน ๓. การรักษาสัจจะของบุคคลที่อยู่ในฐานะกษัตริย์ เช่น การรักษาคำพูดของพระเจ้ากรุงต้าฉิง เมื่อกามะนีแพ้ก็ยกทัพกลับไปโดยไม่ทำอันตรายแก่ผู้ใดเลย ตามที่ได้พูดไว้


๑๖ ๔. ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เช่น สมิงพระรามแม้จะอาสารบให้กับพระเจ้าอังวะ แต่โดยใจจริงแล้วก็ทำเพื่อบ้านเมืองของตน และยังคงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของตน ๕. การปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ เป็นการสร้างกำลังใจและผูกใจ คนไว้ได้ ดังตอนที่พระเจ้าอังวะให้เหตุผลต่อสมิงพระราม เมื่อสมิงพระรามไม่รับบำเหน็จจากการอาสารบ" อนึ่งเราเกรงคนทั้งปวงจะครหานินทาได้ ท่านรับอาสากู้พระนครไว้มีความชอบเป็นอันมากมิได้รับบำเหน็จ รางวัลสิ่งใด นานไปเบื้องหน้าถ้าบ้านเมืองเกิดการจลาจล หรือข้าศึกมาย่ำยีเหลือกำลังก็จะไม่มีผู้ใดรับ อาสาอีกแล้ว"ด้วยเหตุผลของพระเจ้าอังวะข้างต้น สมิงพระรามจึงต้องรับรางวัลในครั้งนี้ ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ๑. คนดีมีความสามารถแม้อยู่ในเมืองศัตรูก็ยังมีคนเชิดชูได้เสมอ ๒. ผู้เป็นกษัตริย์ย่อถือความสัตย์เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ๓. ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย เช่น กามะนี ๔. ผู้ที่ทำกิจโดยอาศัยปฏิภาณไหวพริบและความสามารถเฉพาะตนจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ๕. บ้านเมืองที่ประกอบไปด้วยกษัตริย์ ที่อยู่ในความสัตย์ เสนาอำมาตย์มีความสามัคคี เชื่อฟัง ผู้บังคับบัญชา และทหารที่มีความสามารถในการรบจัดเป็นบ้านเมืองที่แข็งแกร่ง เป็นที่เกรงขามของ ประเทศทั่วไป และจะสามารถดำรงเอกราชไว้ตราบนานเท่านาน (อังศุมา ตุนก่อ, ๒๕๖๐: ๔) ๓. การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๓.๑ แนวคิดทฤษฎีการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) รูปแบบการเรียนการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity Based Learning) ช่วยให้ผู้เรียน ได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่ออนาคตและสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ การสอนแบบ สร้างสรรค์เป็นฐานเป็นหนึ่งในวิธีการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งโครงสร้าง หลักของรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นฐานได้พัฒนามาจากโครงสร้าง การเรียน การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) และแนวทางการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์แบบความคิดแนวขนาน (Parallel Thinking) ของเอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน (Edward De Bono) ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ได้ผลดีในหลายประเทศ และทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์นำมาสร้าง รูปแบบการเรียนแบบใหม่ ซึ่งเป็นการเรียนแบบ Active Learning คือการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียน ตื่นตัวในการค้นคว้า แทนที่จะรอรับการบรรยายแบบเดิม นักเรียนมีความสุขในการเรียน มีทักษะ ในการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ การสื่อสารและการทำ งานเป็นทีมของนักเรียนมีเพิ่มมากขึ้น (วิริยะ ฤาชัยพานิชย์, ๒๕๕๘: ๒๓-๓๗) การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity Based Learning) นับเป็นหนึ่ง ในวิธีการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โครงสร้างหลักของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน ออกแบบและพัฒนามาจากกระบวนการเรียนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning ) มาทำเป็นกระบวนการสอนและนำทฤษฎีด้านการวัดความคิดสร้างสรรค์


๑๗ ๒๔ ของศาสตราจารย์ พอล อี ทอแรนซ์ มาวิจัยเพื่อกำหนดบริบทของห้องเรียน ที่จะช่วยส่งเสริม ให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น (วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์, ๒๕๖๒: ๒๖) โดยขั้นตอนของการสอนแบบ PBL สามารถสรุปได้ดังนี้ มีการแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น ๔-๘ คน ให้ค้นคว้า เพื่อแก้ปัญหาที่ครูผู้สอนจัดหามาให้ผู้เรียน จะได้ฝึกการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา ฝึกความร่วมมือ ผู้เรียนจะได้รับความรู้ใหม่ ๆ จากการค้นคว้า ครูผู้สอนจะลดบทบาทในการสอน มาเป็นผู้อำนวยการ ส่งเสริมให้ เกิดการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้นำเสนอแนวคิด และแนวทางในการแก้ปัญหา นั้น ๆ ส่วนการวัดผลนั้นจะแตกต่างจากการวัดผลแบบเดิมมาก ครูผู้สอนจะทำการวัดผลแบบค่อยเป็น ค่อยไปไม่ได้วัดผลจากการทำข้อสอบ เพื่อวัดว่าผู้เรียนรู้อะไรบ้าง แต่จะวัดผลออกมาหลายครั้ง และหลายด้าน (Multi-dimensional Assessment) เช่น วัดการนำข้อมูลมาใช้อย่างมีเหตุผล วัดการนำเสนอผลงาน การทำงานเป็นทีมและก็จะวัดหลายครั้งเพื่อช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ ในด้านที่ตนเองยังขาดไป ซึ่งผู้เรียนเองจะมีโอกาสพัฒนาตนเองในด้านทักษะต่าง ๆ และยังเก็บเกี่ยว ความรู้ที่ได้จากการค้นคว้า และทำโครงงานในการวัดผลครั้งสุดท้าย ครูผู้สอนจะประเมินผลออก เป็นผลการเรียนที่ไม่ได้มีแค่เกรดแต่รายงานผลด้านอื่น ๆ ด้วย และอาจจะให้ครูผู้สอน ท่านอื่น เป็นผู้ประเมินผลในการนำเสนอผลงาน ในการจบการเรียนรายวิชานั้น ๆ การจัดการเรียนรู้แบบ PBL จึงเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับยุคสมัยที่ข้อมูลความรู้ง่ายต่อการเข้าถึงอย่างทุกวันนี้ และได้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางในโรงเรียนทั่วไป เพราะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ แทนที่จะได้ แต่เนื้อหา ความรู้แบบเดิม แต่สิ่งที่ยังขาดหายไปในการเรียน คือ ทักษะในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมและสังคม มักเน้นให้ผู้เรียนอยู่ในกฎระเบียบ ที่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ทำให้ผู้เรียนชอบความเหมือนและไม่กล้าที่จะแตกต่าง ซึ่งเป็นอุปสรรคในการคิดสร้างสรรค์เพราะความคิด สร้างสรรค์ต้องเกิด จากความแตกต่าง จึงได้นำเอาทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เข้ามาใช้ร่วมกับ PBL เพื่อสร้างรูปแบบการเรียน ใหม่ที่น่าจะเหมาะกับความต้องการของผู้เรียน คือ เรียนแล้วพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ได้ ดังจะเห็นได้จาก


๑๘ ตารางที่ ๒ แสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างของ PBL และ CBL ลักษณะเฉพาะ PBL CBL การเตรียมการ ไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า การเตรียมการล่วงหน้า กิจกรรม ตามกรณี ตามกรณีแต่จะบรรยายสั้น ๆ และมีกิจกรรมให้กับนักเรียน วัตถุประสงค์การเรียนรู้ มุ่งเน้นที่นักเรียน มุ่งเน้นที่นักเรียน การจัดการ แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ๔-๘ คน แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ๔-๘ คน วิธีการเรียนรู้ กำกับตนเอง ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวก นักเรียนกำกับตนเอง ลักษณะเฉพาะ PBL CBL รูปแบบการสอบถาม คำแนะนำที่จำกัด คำแนะนำที่ใช้อยู่ การนำเสนอ ผู้เรียนสรุปด้วยการนำเสนอ สรุปโดยครูผู้สอน สรุปและประเมินโดยเพื่อน จากตารางพบว่า การจัดการเรียนรู้แบบ CBL เน้นที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นกระบวนการกลุ่ม ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง มีความกระตือรือร้นในการค้นคว้าหาคำตอบ โดยมีครูเป็นผู้อำนวย ความสะดวก จะใช้แนวทางการตั้งคำถามเพื่อนำกลับไปสู่วัตถุประสงค์การเรียนรู้นักเรียนเป็นผู้วัด ประเมินผลชิ้นงานของเพื่อน รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐานประกอบด้วย กระบวนการ (Process) และการสร้าง บริบท (Context) ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ครูผู้สอนจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนแล้ว คิดได้ โดยนำกระบวนการทั้ง ๘ ข้อไปออกแบบการสอน ตามความเหมาะสม โดยผสมผสานกระบวนการ เหล่านี้ออกมาเป็นขั้นตอนที่เหมาะสมกับเนื้อหา ปัญหา และบริบทได้ดังที่ วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ (๒๕๖๒: ๘๓-๘๕) ได้เสนอกระบวนการ (Process) มีดังนี้ ๑. สร้างแรงบัลดาลใจ (inspiration) โดยกระตุ้นความอยากรู้ ด้วยสื่อต่าง ๆ เช่น YouTube,Joox ใช้เกมหรือกิจกรรม เป็นต้น ๒. เปิดโอกาสให้ค้นหาข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ และนำมาสร้างเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเอง ๓. การสอนเน้นแบบรายคนหรือรายกลุ่มในช่วงเวลาที่ครูผู้สอนเดินให้คำปรึกษามากกว่าการสอน รวม (Coaching) ๔. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการตั้งปัญหาและแก้ปัญหาด้วยตนเอง (Individual problem solving) ๕. ใช้เกมเป็นตัวช่วยเสริมการเรียนรู้ในห้องเรียน (Game-based learning) ๖. แบ่งกลุ่มทำโครงงาน (team project)


๑๙ ๗. ครูฝึกให้ผู้เรียนนำเสนอผลงานด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่หลากหลาย (creative presentation) ๘. มีการวัดประเมินผลในการเรียนด้วยการประเมินที่หลากหลาย การสร้างบริบท (Context) หรือปัจจัยที่จะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการคิดอย่างสร้างสรรค์ มีดังนี้ ๑. ครูควรใช้เวลาสอนให้น้อยลง ให้เวลาผู้เรียนได้ค้นคว้าหาความรู้และนำเสนองานให้มาก ๆ โดยมีครูเป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวก (Facilitator) ๒. ครูหลีกเลี่ยงการอธิบายอย่างละเอียด แต่จะพยายามให้เด็กค้นหาคำตอบเอง ครูจึงมักจะตอบ คำถาม ด้วยคำถามเพื่อให้เด็กสนใจ ๓. ครูควรจะหลีกเลี่ยงการตัดสินแบบเด็ดขาด เช่น ถูกต้อง ผิด แต่จะใช้วิธีถามว่าแน่ใจหรือทำไม คิดอย่างนั้น หรือเพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ ๔. บรรยากาศของการจัดการเรียนรู้แบบ CBL ที่สำคัญ คือ การสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ฝึกคิด ๕. ใช้เรื่องที่เด็กสนใจเป็นเนื้อหานำในการค้นคว้า และเนื้อหาวิชาความรู้ตามตำราเป็นตัวตาม ช่วงเวลาเรียนควรยาวกว่า ๙๐ นาที ครูอาจสอนพร้อม ๆ กันทั้ง ๒-๓ วิชาในห้องเรียนเดียวกัน ๖. เน้นให้ผู้เรียนสนใจพัฒนาการตนเองในด้านต่าง ๆ ควรมีการวัดผลและรายงานผลให้ผู้เรียน ได้รับรู้และพัฒนาตนเองในแต่ละด้าน ๗. การจัดการเรียนรู้แบบ CBL ต้องให้ผู้เรียนมีความสนใจ และความร่วมมือมากกว่าการบังคับ ให้รู้ดังนั้นการตัดคะแนนและลงโทษเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ๘. ครูเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่ผู้เรียนคิด นำเสนอ รับฟังความคิดเห็น และสิ่งที่สำคัญ คือการให้กำลังใจ การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานที่ใช้บูรณาการเข้ากับการเรียนวรรณคดีไทยสามารถ จัดรูปแบบการสอนเป็น ๕ ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ ๑ กระตุ้นความสนใจ รูปแบบการสอนแบบปกติจะมีขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหาบทเรียนของเรา อยู่แล้วก็ตาม แต่ในการจัดการเรียนรู้แบบ CBL นั้น มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องกระตุ้นความสนใจ ผู้เรียนการทำให้ผู้เรียนนั้นมีความอยาก อยากเรียน อยากรู้ อยากค้นหาคำตอบ ถือเป็นปัจจัยสำคัญ สู่ความสำเร็จ ในการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL ในการจัดการสอนแบบั้งเดิมที่เราคุ้นชิน มักจะใช้ กฎเกณฑ์ข้อบังคับต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการลงโทษเพื่อให้ผู้เรียนสนใจในเนื้อหาบทเรียน ซึ่งเราจะเห็น ได้ว่าผู้เรียนฟังครูสอนแบบจำเป็นและเข้าเรียนแบบจำขาดความสนใจต่อบทเรียนที่เราเตรียมการ มาแต่ในการจัดการเรียนการสอนแบบ CBL นั้นจะมีวิธีการจัดการกระตุ้นผู้เรียนที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้ดีกว่าเดิม และสนใจในการค้นหาความรู้ด้วยตนเองได้โดยที่เราสามารถ จัดการกระตุ้นความสนใจได้ ดังนี้ ๑) ใช้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน หรือสิ่งที่ผู้เรียนสนใจเป็นตัวกระตุ้น ปกติแล้วผู้สอน มักจะมีเป้าประสงค์ในใจว่า เรียนเพื่อสอบ เราจึงสอนเพื่อให้ผู้เรียนไปสอบ จนลืมคิดไปว่าการเรียน


๒๐ คือการพัฒนาชีวิต เนื้อหาที่เรียนต้องนำไปใช้ในชีวิตของผู้เรียนได้ ถ้าเรียนไปแล้วไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง นั่นแสดงว่าเนื้อหานั้นไร้ค่า แต่ถ้าเนื้อหาที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันเนื้อหาเหล่านั้น จะไม่ไร้ค่าอีกต่อไป ผู้สอนจึงมีหน้าที่จัดการให้เนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียน เช่น "เงินหาง่ายถ้าใช้เป็น" "คนรวยใช้เงินอย่างไร" การใช้เรื่องการเก็บออมและการลงทุน เพื่อกระตุ้นความสนใจในวิชาคณิตศาสตร์ แทนที่จะบอกให้จำสูตรอย่างเดียว การใช้เนื้อหาเรื่องพืชพันธุ์ที่ปลูกได้ในบ้านของตัวเอง กระตุ้น ความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ แทนที่จะสอนให้จำพืชที่ไกลตัว หรือการใช้บทสนทนาที่จำเป็นใน ชีวิตประจำวันในการกระตุ้นความสนใจในวิชาภาษาอังกฤษ แทนที่จะสอนแค่ไวยากรณ์ เป็นต้น ๒) ใช้สื่อมัลติมีเดีย การใช้สื่อมัลติมีเดียถือเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งรูปภาพ เสียง ข้อความต่าง ๆ ที่นำมาใช้ ผู้สอนจำเป็นจะต้องเลือกสื่อที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยที่สื่อนั้น เป็นสื่อที่กระตุ้นความสนใจ หรือสร้างแรงบันดาลใจในบทเรียนนั้น ๆ ได้ดี จึงจะส่งผลต่อผู้เรียนได้มาก และส่งผลให้ผู้เรียนอยากหาคำตอบในเนื้อหาที่เราจะทำการเรียนการสอน ๓) ใช้เกม หรือกิจกรรม การใช้เกมหรือกิจกรรมนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีมากในการกระตุ้นความสนใจ ของผู้เรียน ซึ่งเกมหรือกิจกรรมที่เลือกมานั้นอาจจะเป็นสันทนาการง่าย ๆ ทั่วไป จนไปถึงเกมหรือกิจกรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เราจะจัดการเรียนการสอน ซึ่งผู้สอนสามารถเลือกใช้ได้หลากหลายให้เหมาะ กับผู้เรียนการกระตุ้นผู้เรียนนั้นผู้สอนจำเป็นที่จะต้องเลือกกิจกรรมให้สอดคล้องกับผู้เรียน เราต้องรู้ก่อน ว่าเนื้อหาที่เราจะทำการจัดการเรียนการสอนนั้นจำเป็นกับชีวิตของผู้เรียนหรือไม่ แล้วเลือกกิจกรรม ที่ เหมาะสมกับเนื้อหานั้นเพื่อเป็นการดึงความสนใจผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญ ในเนื้อหา ซึ่งจะทำให้ผู้สอนสามารถเลือกเนื้อหามาใช้ในกระบวนการกระตุ้นได้ง่ายขึ้น ผู้สอนนั้นสามารถ ใช้การกระตุ้นทั้งสามหัวข้อพร้อมกันได้ เช่น การใช้เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้เรียนมาน ำเสนอ ในรูปแบบของสื่อมัลติมีเดีย เมื่อจบการนำเสนอสื่อแล้วจึงนำเกมหรือกิจกรรมมาเป็นการกระตุ้นอีกทีหนึ่ง ขั้นตอนที่ ๒ ตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มตามความสนใจ ขั้นตอนต่อมาหลังจากการกระตุ้นความสนใจคือการตั้งปัญหา และแบ่งกลุ่มผู้เรียนตามความ สนใจ กระบวนการนี้ทั้งหมดจะเป็นการใช้ปัญหาเป็นตัวนำ ขั้นการตั้งปัญหาในรูปแบบของการจัดการ เรียนการสอนแบบ CBL นั้นผู้สอนไม่ได้เป็นผู้กำหนดคำถามให้ตั้งแต่แรก แต่จะเป็นการปล่อยให้ผู้เรียน ค้นหาปัญหาที่ตนเองสงสัยโดยปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเมื่อผู้เรียนค้นพบ ปัญหาที่ตนเองสงสัยแล้วนั้นจึงทำการแบ่งกลุ่มตามความสนใจ จำนวนของกลุ่มนั้นจะตั้งขึ้นตามจำนวน ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และสมาชิกของแต่ละกลุ่มนั้นก็จะเกิดจากความพอใจของผู้เรียนเอง และ ดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง กระบวนการ CBL นั้นจะได้ผลดีมากจากความสมัครใจ ความสนใจและความร่วมมือกัน ของผู้เรียน กระบวนการนี้จะเห็นได้ว่าผู้เรียนนั้นไม่ได้ถูกบังคับให้รู้ แต่เกิดความ "อยากรู้" ด้วยตนเอง และเมื่อผู้เรียนเกิดความอยากรู้ นั่นจึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนั้นค้นหาเนื้อหาที่ตนเอง ต้องการซึ่งผู้เรียนนั้นพร้อมที่จะเปิดรับความรู้นั้นได้อย่างเต็มที่


๒๑ ขั้นตอนที่ ๓ ค้นคว้าและคิด ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามากที่สุดในการจัดกระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL ผู้สอน จะปล่อยให้ผู้เรียนนั้นได้ใช้เวลาในการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ ผู้สอนนั้นมีหน้าที่เดินให้คำปรึกษาตามกลุ่ม ให้คำปรึกษาเวลา ที่ผู้เรียนมีปัญหา ผู้สอนจะต้องหักห้ามใจไม่ให้สอน แต่จะเปลี่ยนหน้าที่จากการสอน ทั่วไปที่คอยบอกต่อเนื้อหาคำตอบและตัดสินความถูกต้องของคำตอบ เป็นผู้ให้คำปรึกษา ชี้แนะ และตอบคำถามด้วยคำถาม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิด โดยหลีกเลี่ยงการตัดสิน และการอธิบายเนื้อหา อย่างละเอียด อันจะเป็นการส่งผลให้ผู้เรียนหมดอิสระทางความคิด แต่จะใช้วิธีการง่าย ๆ เช่น การถามกลับ จะดีเหรอ แน่ใจเหรอ ทำไมถึงคิดแบบนั้นมันมีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ หรือเพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งสำหรับผู้สอนนั้นไม่ใช่ความรู้ในเนื้อหาข้อมูลนั้น ๆ แต่เป็นแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่ผู้สอนนั้นจะสามารถนำไปแนะนำผู้เรียนได้ ผู้สอนในรูปแบบการจัดการเรียนการสอน แบบ CBL นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ที่รู้ที่สุดในห้องเรียน เพราะว่าความรู้มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีจำนวนมหาศาล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการที่ผู้สอนนั้นจำเป็นต้องแนะนำให้ผู้เรียนหาความรู้ได้ถูก แหล่งแนะนำ ให้ผู้เรียนรู้จักเลือกข้อมูลความรู้ได้อย่างถูกต้องและปล่อยให้ผู้เรียนสนุกไปกับการเรียนรู้และ ค้นคว้าความรู้นั้น สิ่งที่ได้จากกระบวนการนี้ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่เป็นทักษะการคิดและค้นคว้า หาคำตอบที่จะเกิดขึ้นจากช่วงเวลาที่ผู้สอนนั้นปล่อยให้ผู้เรียนได้ใช้เวลากับเนื้อหาที่ตนเองสนใจได้อย่าง เต็มที่ ผู้สอนหลายท่านอาจจะมีข้อโต้แย้งว่า ถ้าหากผู้เรียนนั้นค้นหาคำตอบไม่ได้ หรือได้คำตอบ ที่ไม่ถูกต้องนั้นจะเกิดข้อเสียอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะทำให้ผู้สอนหลายท่านยกเลิกวิธีการนี้และหันกลับ ไปใช้รูปแบบสอนแบบเดิมเพื่อความสบายใจ แต่เนื่องจากกระบวนการเรียนการสอนแบบ CBL นั้น เรามองไกลมากกว่าคำตอบที่ถูกต้อง แต่คือการฝึกฝนให้ผู้เรียนได้รู้จักคิด และรู้จักค้นคว้าหาข้อมูล รู้จักเลือกใช้และตัดสินใจในข้อมูลที่หาได้อย่างง่ายดายในยุคสมัยนี้ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ขั้นตอนที่ ๔ นำเสนอ ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนั้นจะได้นำเสนอผลงานที่ตนเองที่ได้ไปกันคว้าและคิดออกมา และผลงานที่นำเสนอนั้นอยากให้ผู้สอนพึงระลึกว่านี่คือผลงานแห่งความทุ่มเทของผู้เรียนอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อผู้เรียนออกมาทำการเสนอหน้าชั้น ผู้สอนนั้นจำเป็นจะต้องปล่อยให้ผู้เรียนนั้นนำเสนอจนจบ โดยที่ผู้สอนนั้นไม่มีความจำจนต้องแทรกแซงระหว่างการนำเสนอ แสดงความคิดเห็น หรือซักถามใดใด มีหน้าที่หลักในการแสดงความคิดเห็นและซักถามนั้นคือผู้เรียนร่วมชั้น ขั้นตอนที่ ๕ ประเมินผล ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลกิจกรรมทั้งหมดที่ผู้เรียนได้ทำมาตลอดเวลาของการเรียนรู้ ในรูปแบบ CBL ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจในรูปแบบของการประเมินผลก่อน สิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นกรอบ คุณวุฒิแห่งชาติ หรือหลักสูตรแกนกลางต้องการนั้น คือการที่ผู้เรียนมีการพัฒนาทั้งด้านของความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attitude) ดังนั้นการประเมินผลนั้น จึงจำเป็นต้องทำให้ครอบคลุมทั้ง ๓ ด้านนี้เพื่อให้ใด้คุณภาพของผู้เรียนที่เป็นมาตรฐาน โดยปกตินั้นผู้สอน


๒๒ จะคุ้นเคยกับการประเมินด้านความรู้ นั่นก็คือการจัดสอบ หรือการหาคะแนนจากแบบทดสอบต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนนั้นมีความรู้ แต่ในส่วนของการประเมินด้านทักษะ และการประเมิน ด้านคุณลักษณะ อันพึงประสงค์นั้นไม่มีความชัดเจนมากนัก จึงกลายเป็นว่าคะแนนที่เราเห็นกัน จากการเรียนรู้ในรูปแบปกตินั้นมักจะเป็นคะแนนของความรู้ทั้งสิ้น จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปแนวคิดทฤษฎีรูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ได้ว่าการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐานมีกระบวนการ ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. กระตุ้นความสนใจ ๒. ตั้งปัญหา และแบ่งกลุ่มตามความสนใจ ๓. ค้นคว้าและคิด ๔. นำเสนอผลงาน และ ๕. ประเมินผล ซึ่งผู้วิจัย ได้ใช้กระบวนในการวิจัยครบถ้วนทั้ง ๕ ขั้นตอน ๓.๒ ประโยชน์ของรูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ (๒๕๖๒: ๗๓) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ถือเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็น สำหรับทุกคนเพราะนอกจากจะช่วยสร้างสิ่งใหม่ ๆ แล้วยังช่วยในการคิดค้นกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ซึ่ง ดร.เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน พบว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่โดยธรรมชาติ แต่จะต้องฝึก การสร้างความคิดดังกล่าว เพื่อช่วยจัดระเบียบการคิด ทำให้การคิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถพัฒนา ให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะที่จำเป็นต่ออนาคต เกิดทักษะสำคัญ ๔ ด้าน ได้แก่ ๑) ทักษะการคิดวิเคราะห์ ๒) ทักษะด้านการค้นคว้าหาความรู้ ๓) ทักษะด้านการสื่อสาร และ ๔) ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ Mari K. and Hopper (๒๐๑๘: ๑๔๔-๑๔๙) จากการวิจัยได้พบว่า การจัดการเรียนการสอนแบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน ในการเรียนการสอนด้านสุขภาพและยา ช่วยให้นักศึกษามหาวิทยาลัยอินดีแอนา อีแวนส์วิลล์ เกิดทักษะในการค้นคว้าหาความรู้ และทักษะในการทำงานกลุ่ม โดยมีครูเป็นผู้อำนวย ความสะดวกให้คำชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหา มงคล เรียงณรงค์ (๒๕๕๘: ๑๗๒) จากการวิจัยได้พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็น ฐาน ช่วยให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะในการค้นคว้าหาความรู้ ทักษะการคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ ทักษะในการนำเสนองาน ทักษะในการบริหารเวลา และทักษะในการทำงานกลุ่ม จากข้อความข้างต้นสามารถสรุปประโยชน์ของรูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ได้ว่าการเรียนการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐานทำให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะในการค้นคว้า ทักษะการคิด และทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ทักษะต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผู้เรียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ในชีวิตประจำวันและมีความสำคัญต่อผู้เรียนในการศึกษาเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ ๒๑


๒๓ ๔. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๔.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไพศาล หวังพานิช (๒๕๒๖ : ๘๙) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ ประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการฝึกอบรมหรือจากการสอน จึงเป็นการตรวจสอบ ความสามารถ หรือความสัมฤทธิ์ผลของบุคคลว่าเรียนรู้แล้วเท่าไร มีความสามารถชนิดใด พวงรัตน์ทวีรัตน์(๒๕๒๙ : ๒๙) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือคือมวลประสบการณ์ ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจาการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จาการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (๒๕๔๖) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัด ความสำเร็จ หรือวัดประสบการณ์ทางการเรียนที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน โดยวัดตาม จุดมุ่งหมายของการสอนหรือวัดผลสำเร็จจากการศึกษาอบรมในโปรแกรมต่าง ๆ สมพร เชื้อพันธ์ (๒๕๔๗ : ๕๓) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จ และสมรรถภาพของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียน การสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีต่าง ๆ ปราณี กองจินดา (๒๕๔๙ : ๔๒) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความสำเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ๔.๒ ลักษณะสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บลูม (Bloom, ๒๕๒๕ อ้างถึงในคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง, ๒๕๖๐, ๙๙-๑๐๐) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมิน ระดับความรู้ ทักษะ และเจตคติของผู้เรียน และระดับความรู้ความสามารถซึ่งมี ๖ ระดับ ดังนี้ ๑. ความจำ คือ สามารถจำเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น ชื่อสารอาหาร ๕ ชนิด ๒. ความเข้าใจ คือ สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสำคัญได้ ๓. การนำไปใช้ คือ สามารถนำความรู้ เช่น หลักการ ทฤษฎีไปใช้ในสภาพการณ์ที่ต่างออกไปได้ ๔. การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๕. การสังเคราะห์ คือ สามารถนำองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่ อย่างมีความหมาย ๖. การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่า หลักการโดยใช้มาตรการ ที่ผู้อื่นกำหนดไว้หรือตัวเองกำหนดขึ้น อุทุมพร จามรมาน (๒๕๓๕, ๒๐) กล่าวว่า ลักษณะของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายลักษณะ โดยจะกล่าวถึง ๒ ด้าน ดังนี้ ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านสมอง จำแนกเป็น ๖ ระดับ ดังนี้


๒๔ ๑.๑ ผลสัมฤทธิ์ด้านความจำ เป็นสิ่งสำคัญทางการเรียน ความจำเป็นตัวเสริมให้เกิดความรู้ ความสามารถในการเรียน ความจำเป็นผลสัมฤทธิ์พื้นฐานก่อนการแสดงความสามารถในระดับสูงขึ้น ๑.๒ ผลสัมฤทธิ์ด้านความเข้าใจ เป็นการแสดงความสามารถในระดับสูงขึ้นกว่าความจำ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์ด้านการนำไปใช้ เป็นการนำความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วไปใช้ในสถานการณ์อื่น ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการบรรลุจุดมุ่งหมายของการนำไปใช้ ๑.๔ ผลสัมฤทธิ์ด้านการวิเคราะห์ เป็นการแยกแยะเนื้อหาให้เป็นส่วนย่อยแล้วระบุส่วน ส่วนย่อย กับส่วนย่อย หรือส่วนย่อยกับส่วนใหญ่ ๑.๕ ผลสัมฤทธิ์ด้านการสังเคราะห์ เป็นการนำสิ่งที่วิเคราะห์มาผสมผสานเป็นเรื่องใหม่ ๑.๖ ผลสัมฤทธิ์ด้านการประเมิน ความสามารถในการประเมินเพื่อให้ได้คุณค่าบางอย่างถือว่าเป็น ขั้นสุดท้ายของการพัฒนาทางสังคมของผู้เรียน ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านจิตใจ เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมและมีขอบเขตกว้างมาก ตั้งแต่การรับรู้จนถึงความพึงพอใจในคุณค่า แบ่งย่อยเป็น ๕ ระดับ ดังนี้ ๒.๑ ขั้นการรับรู้ เป็นระดับต่ำ หมายถึง การที่บุคคลแต่ละคนเปิดใจอยากรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภายนอกบ้าง คือการรู้ตัวและการตั้งใจรับรู้เพิ่ม ๒.๒ ขั้นการตอบสนอง เป็นขั้นที่นักเรียนได้แสดงตอบต่อคน สิ่งของและปรากฏการณ์ ๒.๓ ขั้นการแสดงคุณค่า เป็นขั้นที่มีการรับรู้คุณค่า ๒.๔ ขั้นการสร้างมโนทัศน์ของคุณค่า เป็นขั้นการสร้างความเข้าใจ ๒. ขั้นการแสดงลักษณะ เป็นขั้นการแสดงบุคลิกนิสัยของบุคคลเหล่านั้นออกมา จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปลักษณะสำคัญของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ว่าเป็นสิ่งมองไม่เห็น โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน และมีหลายลักษณะ ๔.๓ องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (อ้างถึงในน้ำเพชร สินทอง, ๒๕๔๑: ๑๖) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าตั้งแต่เด็กเกิดมาและเจริญเติบโต ในครอบครัวจนกระทั่งเข้าสู่วัยเรียน ได้แก่ คุณลักษณะของนักเรียน คุณภาพการจัดการเรียนในโรงเรียน ความสามารถติดตัวมาแต่กำเนิดและภูมิหลังของครอบครัว สุภาพรรณ โคตรจรัส (อ้างถึงในน้ำเพชร สินทอง, ๒๕๔๑: ๑๖) กล่าวว่าองค์ประกอบที่มีอิทธิพล ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ องค์ประกอบด้านคุณลักษณะเดียว กับตัวผู้เรียน ได้แก่ เชาวน์ปัญญาความถนัดความรู้พื้นฐานหรือความรู้เดิมของนักเรียน และอารมณ์ เป็นแรงจูงใจความสนใจ ทัศนคติและนิสัยในการเรียน ความนึกคิดเกี่ยวกับตนเอง ตลอดจนการปรับตัว และบุคลิกภาพอื่น ๆ และองค์ประกอบทางสภาพแวดล้อม สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจ ที่อยู่อาศัย ความคาดหวังของบิดามารดา Prescott (อ้างถึงในน้ำเพชร สินทอง, ๒๕๔๑: ๑๖) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่มีอิทธิพล ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้องค์ประกอบทางร่างกาย ได้แก่ การเจริญเติบโตของร่างกาย สุขภาพ


๒๕ ข้อบกพร่อง และลักษณะท่าทางของร่างกาย องค์ประกอบทางความรัก ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดา ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร ความสัมพันธ์ระหว่างบุตรและสมาชิกในครอบครัว องค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี ได้แก่ ความเป็นอยู่ของครอบครัว สภาพแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครอง และฐานะทางเศรษฐกิจ องค์ประกอบด้านความสัมพันธ์ กับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน องค์ประกอบทางการพัฒนาแห่งตน ได้แก่ สติปัญญา ความสนใจ เจตคติ และแรงจูงใจ และองค์ประกอบทางด้านการปรับตัว คือ การปรับตัวและการแสดงอารมณ์ Gagne (อ้างถึงใน น้ำเพชร สินทอง, ๒๕๔๑: ๑๗) ได้กล่าวว่า อิทธิพลที่มีผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ตามที่ยอมรับกันว่าสติปัญญาของคนได้รับการถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม แต่ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นแทรกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น ประสบการณ์การเรียนรู้ ความสนใจตลอดจน สิ่งแวดล้อมที่เป็นบุคคลที่ได้รับจากการเรียนรู้สังคมและเศรษฐกิจ บลูม (Bloom, ๑๘๗๒: ๔๒ อ้างถึงในสมชาย วรกิจเกษมสกุล, ๒๕๓๓: ๒๐-๒๒) ได้กล่าวถึง ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในโรงเรียนดังต่อไปนี้ ๑. พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิด หมายถึง ความสามารถทั้งหลายของนักเรียนซึ่งประกอบด้วย ความถนัดและพื้นฐานของนักเรียน ๒. คุณลักษณะด้านจิตพิสัย หมายถึง สภาพการณ์หรือแรงจูงใจที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ใหม่ ได้แก่ ความสนใจ เจตคติที่มีต่อเนื้อหาที่เรียนในโรงเรียน ระบบการเรียนความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง และลักษณะบุคลิกภาพ จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะต้องประกอบด้วยสติปัญญาของเด็ก สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว ซึ่งหมายถึงการที่เด็กได้รับความรักเอาใจใส่จากครอบครัว ตลอดจน กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียน ซึ่งถ้าหากพ่อแม่และครูดูแลเอาใจใส่ให้เด็กเจริญเติบโตพัฒนาทาง ร่างกาย จิตใจ และเสริมสติปัญญาที่ถูกทิศทางเด็กก็จะเจริญเติบโตพร้อมกับความสำเร็จในด้านการเรียน และในที่สุดก็จะกลายเป็นคนดีและรับผิดชอบในสังคมต่อไป ๔.๔ เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยเป็นผลสำเร็จของการเรียนภาษาไทยของผู้เรียนและ การสอน ของครูผู้สอน เช่น ผลสัมฤทธิ์การเรียนวรรณคดีวรรณกรรม ผู้เรียนแต่ละคนจะประสบ ความสำเร็จ ในการเรียนรู้เรื่องวรรณคดีวรรณกรรมไม่เท่ากัน แม้จะเรียนอยู่ในระดับชั้นเดียวกันและมีสภาพแวดล้อม ในการเรียนที่คล้ายกัน ผลสัมฤทธิ์การเรียนวรรณคดีวรรณกรรมของผู้เรียนขึ้นอยู่กับ ความสามารถ ทางสมอง ความสนใจ และประสบการณ์ทางภาษาของผู้เรียน การรู้ผลสัมฤทธิ์การเรียน แต่ละทักษะ ของผู้เรียนจะช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนนำผลไปใช้พัฒนาการสอน และการเรียนให้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การวัดผลสัมฤทธิ์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานเพื่อผลที่วัดออกมา จะได้มีความเชื่อถือ กระบวนการ วัดผลจึงต้องมีระบบซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการบริหารการใช้เครื่องมือวัดผล วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย


๒๖ ๑. เป็นการวัดพื้นฐานการเรียนภาษาไทยของผู้เรียนก่อนที่กิจกรรมการเรียนจะเริ่มขึ้น ผู้สอน อาจทำการวัดพื้นฐานการเรียนในชั่วโมงแรกของการเปิดภาคเรียนเพื่อนำผลมาวินิจฉัยว่าผู้เรียน มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่จะเรียนภาษาไทยมากหรือน้อย ผู้สอนจะได้น ำผลมาใช้เป็นแนวทาง ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป ๒. เป็นการวัดผลภายหลังที่ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เช่น ในภาคเรียนหนึ่งกำหนดให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางภาษาไทย โดยสามารถจำ เข้าใจ นำไปใช้วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่าได้อย่างน้อยร้อยละ ๖๐ มีเนื้อหาสาระจากแบบเรียน และหนังสืออ่านประกอบซึ่งเป็นสื่อใช้ฝึกความรู้ทางภาษาไทยให้นักเรียนเปลี่ยนพฤติกรรม ตามวัตถุประสงค์ การวัดผลโดยใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์จะช่วยให้ผู้สอนรู้ว่าผู้เรียนประสบความสำเร็จตามเกณฑ์อย่างน้อย ร้อยละ หรือไม่ถ้าคำตอบออกมาว่าไม่ก็จำเป็นต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป ๓. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มผู้เรียน เพื่อพิจารณาว่าสูงหรือต่ำจากค่าเฉลี่ย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงกิจกรรม การเรียนการสอน ในการพัฒนาให้ผู้เรียนแต่ละคนให้มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนสูงขึ้นกว่าเดิม ๔ . เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน การทดสอบก่อนเรียนจะใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนจึงดำเนินการสอนตามวัตถุประสงค์เมื่อครบ ตามเวลาที่กำหนดการสอน แล้วจึงทดสอบหลังเรียนด้วยข้อทดสอบชุดเดียวกับการวัดผลก่อนเรียน จากนั้นจึงนำคะแนนทั้งสองครั้งมาเปรียบเทียบกัน เพื่อพิจารณาความแตกต่างว่าคะแนนหลังเรียนสูงขึ้น หรือต่ำกว่าเดิม ผลที่ปรากฏจะใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแผนการสอนภาษาไทย เพื่อจัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น ๕. เปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบกับเวลาเฉลี่ยที่เป็นมาตรฐาน ผู้เรียนบางคน อาจใช้เวลามากหรือน้อยจากเวลาที่เป็นมาตรฐานของการทำข้อสอบ การใช้เวลาที่แตกต่างกัน อาจ ชี้ให้เห็นทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง ข้อดีคือผู้เรียนทำข้อสอบได้จึงใช้เวลาน้อยกว่าที่กำหนด ข้อบกพร่อง คือ เมื่อทำข้อสอบไม่ได้จะใช้วิธีการเดา ทำให้เสร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนด นอกจากนั้นบางคน อาจทำข้อสอบไม่ทันตามเวลา ข้อสังเกตตามที่กล่าวมานี้จะช่วยให้ผู้สอนนำมาปรับการบริหารเครื่องมือ ให้ผู้เรียนใช้เวลา ในการทำข้อสอบได้ตามที่กำหนดต่อไป ๖. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาไทยระหว่างทักษะต่าง ๆ ได้แก่ ฟัง พูด อ่าน และ เขียน โดยนำคะแนนที่ได้มาปรับเป็นคะแนนมาตรฐาน แล้วจึงนำมาเปรียบเทียบกัน ทำให้เห็น ความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนของแต่ละทักษะ ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าควรปรับปรุงทักษะใด ให้มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับทักษะอื่น ๆ ๗. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยกับผลการเรียนวิชาอื่น ๆ โดยปรับให้เป็น คะแนน มาตรฐาน แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกันจะทำให้เห็นคะแนนผลสัมฤทธิ์วิชาภาษาไทยใกล้เคียงกับวิชาอื่น ๆ หรือไม่ เพื่อผู้สอนและผู้เรียนจะได้ปรับปรุงผลการเรียนของแต่ละวิชาให้ดีขึ้น


๒๗ จากที่กล่าวมาข้างต้น การใช้เครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทย สรุปได้ว่าการใช้เครื่องมือ วัดผลสัมฤทธิ์การเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อวัดความรู้พื้นฐานก่อนเรียนและวัดผลหลังเรียน เปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม และเปรียบเทียบ ความก้าวหน้าในการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียน ผู้วิจัยนำความรู้นี้ไปใช้ ในงานวิจัยโดยการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการพัฒนาและ เพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่เรียนวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ และให้คะแนนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ ๕. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๕.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับราชาธิราช ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดี ราชาธิราช ดังนี้ วสะ ภูวงศ์ (๒๕๖๑: ๙-๑๐) ได้ศึกษาเรื่อง พัฒนาการเครื่องแต่งกายตัวละครพม่า ในละคร พันทางเรื่องราชาธิราช ของกรมศิลปากร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการและรูปแบบของเครื่องแต่ง กายตัวละครพม่า ในละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ของกรมศิลปากร ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๙๕ จนถึงพ.ศ.๒๕๖๐ โดยการศึกษาจากเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ทั้งแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการเครื่องแต่งกายตัวละครพม่า ในละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ของกรมศิลปากร ในช่วงแรกได้นำรูปแบบเครื่องแต่งกายของโขน - ละคร ของไทยมาพัฒนาให้มีรูปแบบ เฉพาะตัวของละครพันทาง ต่อมาได้รับอิทธิพลมาจากละครพันทางเรื่องผู้ชนะสิบทิศ จึงได้นำ มาสร้างสรรค์พัฒนาให้มีความงดงามและสะดวกสบายในการสวมใส่มากยิ่งขึ้น และในปัจจุบัน ได้มีการเปลี่ยนแปลงวัสดุที่นำมาใช้ในการสร้างเครื่องแต่งกาย โดยเลือกวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องตลาด เพื่อการสร้างเครื่องแต่งกายที่มีความงดงามตามยุคสมัย ในส่วนของรูปแบบเครื่องแต่งกาย ตัวละคร แต่ละตัวสามารถแต่งได้หลายรูปแบบ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในส่วนของการสวมใส่เสื้อ การนุ่งผ้า การสวมใส่เครื่องประดับ การโพกศีรษะ หรือแม้แต่กระทั่งการใช้สีของเสื้อผ้าที่ตรงกันข้ามกัน ในแต่ละตัวละครโดยยึดหลักการใช้สีจากเครื่องแต่งกายโขน - ละคร ทั้งนี้เพื่อสร้างความโดดเด่น ให้แก่ตัวละคร และเครื่องแต่งกายของตัวละคร จะบ่งบอกถึงสถานภาพในสังคมของตัวละคร ทำให้ผู้ชม การแสดงทราบว่าตัวละครตัวใดมีความสำคัญในการแสดงในฉากนั้น งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาพัฒนาการ และรูปแบบเครื่องแต่งกายตัวละครพม่า ในละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ของกรมศิลปากร เพื่อการเผยแพร่รูปแบบเครื่องแต่งกายละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ให้เป็นที่นิยมและแพร่หลาย ในกลุ่มการแสดงกลุ่มอื่น เช่น โรงเรียนต่าง ๆ และหน่วยงานอื่นที่มีการแสดงละครพันทางเรื่องราชาธิราช สืบไปอย่างยั่งยืน


๒๘ มาโนช ดินลานสกูล (๒๕๖๒: ๕) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ราชาธิราช : จากพระราชพงศาวดาร สู่นวนิยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการศึกษาเรื่องราชาธิราชในบริบทสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และศึกษาลักษณะนวนิยายของเรื่องราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ที่เป็นฉบับพิมพ์ แล้วเสนอ ผลด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่ามีการดัดแปลงเรื่องราชาธิราชด้วยกลวิธีต่างๆ ทั้งในส่วนของต้นฉบับ ที่เป็นภาษามอญและฉบับภาษาไทย ดังนี้ เรื่องราชาธิราชเป็นเรื่องของกษัตริย์มอญตั้งแต่สมัยพระเจ้า ฟ้ารั่วจนกระทั่งถึงสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ เป็นเรื่องจริงที่มีหลักฐานแน่ชัด แต่มีการขยายความมากขึ้น ในพงศาวดารบางฉบับจนกลายเป็นเรื่อง Razadarit Ayedawpon ของพระยาทะละ ซึ่งจัดเป็นวรรณกรรมสดุดี และนิทานธรรมเจดีย์กถา ซึ่งเป็นเรื่องเล่ามากกว่าพงศาวดาร ส่วนเรื่องราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) นั้น มีรายละเอียดมากกว่าราชาธิราชฉบับใด ๆ ในภาษา มอญและพม่า ได้มีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของเรื่องให้มีลักษณะใกล้เคียงกับนวนิยายอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการปรับลำดับเหตุการณ์ให้เป็นโครงเรื่องแบบนวนิยาย เพื่อเสนอแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับ ราชาเหนือราชาทั้งปวงสอดคล้องกับสังคมและการเมืองไทยในสมัยนั้น ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยน องค์ประกอบอื่น ๆ ด้วยซึ่งน่าจะรับอิทธิพลจากนิยายอิงพงศาวดารจีนที่นิยมกันในขณะนั้นมากกว่า อิทธิพลจากตะวันตก ราชาธิราชฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ฉบับพิมพ์ จึงมีลักษณะเป็นบันเทิงคดี หรือเรื่องแต่ง ทั้งแก่นเรื่อง โครงเรื่องและตัวละคร ภุมรินทร์ มณีวงษ์ (๒๕๖๕: ๑๒) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การเจรจาเลียนสำเนียงตามเชื้อชาติ ที่ปรากฏในละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ชุด สมิงพระรามอาสา มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมรูปแบบ การเจรจาสำเนียงตามเชื้อชาติของตัวละครที่ปรากฏอยู่ในการแสดงละครพันทาง เรื่อง ราชาธิราช ชุด สมิงพระรามอาสา โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร การสัมภาษณ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ การสังเกต และการฝึกปฏิบัติ สรุปผลการวิจัยด้วยรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ โดยศึกษาบทบาทตัวละคร ๓ เชื้อชาติ ได้แก่ มอญ พม่า และจีน ผลศึกษาพบว่า ในการเจรจาเลียนสำเนียงของตัวละครเชื้อชาติต่าง ๆ ในการแสดงละครพันทาง เรื่องราชาธิราช ชุด สมิงพระรามอาสา มี ๒ รูปแบบ ได้แก่ ๑. รูปแบบการฝึกหัดเลียนสำเนียงแต่ละเชื้อชาติ มีวิธีดังนี้ ๑) ผู้แสดงต้องท่องจำบท การแสดงให้ได้ ๒) การฝึกหัดกับครูผู้ฝึกซ้อมด้วยการฝึกพูดตาม ๓) ใช้วิธีการผันเสียงตามวรรณยุกต์ สระ และตัวสะกด ๔) เมื่อพูดได้จึงฝึกปฏิบัติการแสดงต่อไป ๒. รูปแบบการเจรจาเลียนแบบสำเนียงของทั้ง ๓ เชื้อชาติ มีวิธีดังนี้ ๑) การเจรจาเลียน สำเนียงมอญใช้วิธีการเจรจาด้วยลักษณะการใช้เสียงขึ้นลง ช้าและชัด มีการปรับเสียงวรรณยุกต์ ๒) การเจรจาเลียนสำเนียงของพม่าเน้นจังหวะของคำ มีการใช้หางเสียงต่ำเป็นส่วนใหญ่ เน้นการกดเสียง ในลำคอ การแบ่งคำ รวมถึงการกระแทกเสียงให้หนักแน่น ๓) การเจรจาเลียนสำเนียงของจีน ที่ต้องใช้การผันเสียงของวรรณยุกต์ ตัวสะกดให้มีความสั้นและห้วน มีการแปลงตัวสะกดให้เกิดสำเนียง ที่ใกล้เคียง


๒๙ ๕.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด CBL ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดรูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ดังนี้ มงคล เรียงณรงค์ (๒๕๕๘: ๓) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ ๒๑ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ รายวิชา ส ๒๑๑๐๓ สังคมศึกษา ๒ มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนาทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนราชสีมา จำนวน ๓๐ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน จำนวน ๙ แผน ๒) เครื่องมือสะท้อนผลการปฏิบัติการได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูโดยผู้ช่วยวิจัย แบบบันทึกการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู แบบสัมภาษณ์นักเรียน แบบทดสอบท้ายวงจร ๓) เครื่องมือ ประเมินผลการปฏิบัติการได้แก่ แบบวัดทักษะการเรียนรู้ในสตวรรษที่ ๒๑ และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยและร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ๑) ทักษะ ในศตวรรษที่ ๒๑ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน นักเรียน ร้อยละ ๘๓.๓๓ ผ่านเกณฑ์ และมีค่าเฉลี่ยร้อยละ ๗๘.๐๐ และ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใช้รูปแบบการสอนแบบ สร้างสรรค์เป็นฐาน นักเรียนร้อยละ ๘๐.๐๐ ผ่านเกณฑ์ และมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ ๗๕.๕๐ วิริยะ ฤาชัยพานิช (๒๕๕๘: ๑๖) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนแบบนักเรียนเป็น ศูนย์กลาง โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน Creativity-Based Learning (CBL) ซึ่งนักเรียนจะได้เรียนรู้ กระบวนการในการแก้ปัญหาด้วยการวิเคราะห์ ปัญหาและอาศัยความคิดสร้างสรรค์ช่วยในการวิเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ มีทั้งหมด ๘ กระบวนการ ๑) ให้แรงบันดาลใจเพื่อทำให้ปัญหาง่ายขึ้น ๒) ศึกษาด้วยตนเอง นักเรียนจะได้ค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเองเพื่อคำตอบที่สร้างสรรค์ ๓) นักเรียนปรึกษาครูผู้สอนโดยตรง ๔) นักเรียนจะได้แก้ปัญหาของตนเองที่ตนได้รับ ๕) อาศัยการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน ๖) การทำงาน เป็น ทีม ๗) การนำเสนออย่างสร้างสรรค์ และ ๘) การประเมินงานร่วมกันของนักเรียน จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน จะสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม การสื่อสารกันภายในกลุ่มและการจัดสรรเวลา ชลธิชา นำนา (๒๕๖๐: ๒-๓) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของ นักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ก่อนเรียนและหลังเรียนที่จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน และ ๒) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๔/๖ โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม จำนวน ๔๕ คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย


๓๐ (Simple Random Sampling) ด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบด้วย ๑) แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยที่จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ๒) สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทยก่อนและหลังการ จัดการเรียนรู้ และ ๔) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ผลการวิจัยพบว่า ๑. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณดีไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญ ที่ ระดับ .๐๕ ๒. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐานโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก อรวรรณ อุดมสุข (๒๕๖๓: ๑๑) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทย เรื่อง กาพย์พระไชย สุริยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวรรณคดีไทยเรื่อง กาพย์พระไชยสุริยา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน โดยการจัดเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ( CBL) ร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิก ๒) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังเรียน ของนักเรียนที่มีพื้นความรู้เดิมแตกต่างกัน และ ๓) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวรรณคดีไทย ของนักเรียนหลังได้รับการจัดเรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๒ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ โรงเรียนระหานวิทยา อำเภอ บึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร จำนวนนักเรียน ๓๓ คน ได้มาโดยการใช้วิธีการสุมตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ สร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิก จำนวน ๖ แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีไทย เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ แบบสอบถาม ความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับสื่อ อินโฟกราฟิก ซึ่งแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ จำนวน ๑๑ ข้อ ผลการวิจัยพบว่า ๑. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิกมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเท่ากับ ๑๘.๘๕ ซึ่งสูงกว่า ก่อนเรียนเท่ากับ ๙.๒๔ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ ๔๑ .๐๕ ๒. นักเรียนที่มีพื้นความรู้อยู่ในกลุ่มสูง ปานกลางและต่ำมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยหลัง เรียนไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .๐๕ ๓. นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนหลังได้รับการจัดเรียนรู้ แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ร่วมกับสื่ออินโฟกราฟิกโดยภาพ รวมอยู่ในระดับมาก (x=๔.๓๔,๕=๐.๒๑) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ระดับมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕


๓๑ จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่า งานวิจัยที่เกี่ยวกับรูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) ที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษานี้มีประโยชน์อย่างมาก ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเพื่อเป็นแนวทาง ในการดำเนินงานวิจัยให้เป็นไปในรูปแบบที่ถูกต้องและที่สำคัญเพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบกิจกรรม การจัดการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดผ่านแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้เนื้อหามีความสอดคล้องกับวรรณคดี เรื่อง ราชาธิราช อยู่ในรูปแบบการสอนแบบความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL)


๓๒ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยและเพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี โดยได้นำเสนอวิธีดำเนินการวิจัยตามหัวข้อดังนี้ ๑. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ๔. แบบแผนการวิจัย ๕. การรวบรวมข้อมูล ๖. การวิเคราะห์ข้อมูล ๗. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๑. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๑.๑ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจำนวน ๒ ห้องเรียน ได้แก่ ๑/๑ และ ๑/๒ รวมทั้งสิ้น ๖๐ คน ๑.๒ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจำนวนนักเรียนทั้งหมด ๒๐ คน ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ๒.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้ รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอ เมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจำนวน ๕ แผน คือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ ความเป็นมา แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ ประวัติผู้แต่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ รูปแบบการประพันธ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๔ เรื่องย่อ


๓๓ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ คุณค่าด้านภาษา สังคมและวรรณศิลป์ ๒.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิง พระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีแบบปรนัย ๓๐ ข้อ ๓. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยได้กำหนดรายละเอียดของการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือในการวิจัย ดังนี้ ๓.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้ รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ผู้วิจัยมีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ ๓.๑.๑ ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดเกี่ยวกับวรรณคดี ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม ที่กำหนดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๓.๑.๒ ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสามพร้าววิทยา ภาคเรียนที่ ๒ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๓.๑.๓ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) ตามรูปแบบของวิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ (๒๕๖๒: ๘๔) มี ๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑) ขั้นตอนที่ ๑ กระตุ้นความสนใจ ๒) ขั้นตอนที่ ๒ ปัญหาและแบ่งกลุ่มตามความสนใจ ๓) ขั้นตอนที่ ๓ ค้นคว้าและคิด ๔) ขั้นตอนที่ ๔ นำเสนอ ๕) ขั้นตอนที่ ๕ ประเมินผล ๓.๑.๔ กำหนดเนื้อหาและระยะเวลาในการวิจัย สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์ การเรียนรู้ วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์ เป็นฐาน (CBL) ใช้เวลาในการดำเนินการวิจัยทั้งหมดเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ สัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมง ชั่วโมงละ ๕๐ นาที รวมทั้งหมด ๖ ชั่วโมง ๓.๑.๕ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ สาระสำคัญ สาระการเรียนรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อและแหล่ง การเรียนรู้ การจัดบรรยากาศเชิงบวกในชั้นเรียน และการวัดและการประเมินผล ๓.๑.๖ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นนำเสนอต่อคุณครูและอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบเรื่องการใช้ภาษา ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผล


๓๔ จากนั้นนำมาปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนำของคุณครูและอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence :IOC) ระหว่างองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้โดยสูตรคำนวณ ดังนี้ สูตร IOC = N เมื่อ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องของจุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผล คือ ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด จะต้องได้ค่าดัชนีความสอดคล้องของทุกองค์ประกอบตั้งแต่ ๐.๕ ขึ้นไป ๓.๑.๘ ปรับปรุง และแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ๓.๑.๙ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยได้มา จากการสุ่มนักเรียนชั้น ม.๑/๒ ที่เหลือจำนวน ๒๐ คน เพื่อหาข้อบกพร่องเกี่ยวกับเวลา สื่อการสอน ปริมาณเนื้อหา และกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ ๓.๑.๑๐ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่งเพื่อ ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์ที่ใช้ในการทดลองภาคสนาม ๓.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิง พระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) เพื่อเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบปรนัย จำนวน ๓๐ ข้อ เลือกตอบ ๔ ตัวเลือก ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง ๓.๒.๑ ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๓.๒.๒ สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาวรรณคดี วรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ๓.๒.๓ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย แบบทดสอบปรนัย จำนวน ๒๐ ข้อ เลือกตอบ ๔ ตัวเลือก ให้ครอบคุลมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ๓.๒.๔ นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๓ ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสอนวิชาภาษาไทย การวิจัย และด้านการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิง เนื้อหา โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +๑ เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน ๐ เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน -๑ เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง


๓๕ ๓.๒.๕ นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อคำถามของแบบทดสอบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยหาค่า IOC ซึ่งมีค่าเท่ากับ ๑.๐๐ ทุกข้อ ๓.๒.๖ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ที่เรียนวิชาภาษาไทย ผ่านมาแล้วและ ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย จำนวน ๒๐ คน แล้วนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (P) และหาค่าคำอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ ๓.๒.๗ นำข้อสอบที่คัดเลือกแล้วจำนวน ๓๐ ข้อ ไปทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-๒๐ ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder Richardson Method) ๓.๒.๘ นำแบบทดสอบที่ได้ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนสามพร้าววิทยา ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองภาคสนามต่อไป ๔. แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการวิจัย (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง การทดลอง (One group Pretest – Posttest Design) ตารางที่ ๓ รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group) T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน รูปแบบการสอนโดยใช้การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) ๕. การรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับ ดังนี้ ๕.๑ ก่อนการทดลองให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๕.๒ ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดยให้นักเรียน เรียนรู้ และปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ อันมีรูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๕ แผน คือ


๓๖ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ ความเป็นมา แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ ประวัติผู้แต่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ รูปแบบการประพันธ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๔ เรื่องย่อ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ คุณค่าด้านภาษา สังคมและวรรณศิลป์ ๕.๓ เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย (ชุดเดิม) ไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป ๖. การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระราม อาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ผู้ดำเนินการวิจัย ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ตามขั้นตอน ดังนี้ ๖.๑ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ๖.๒ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนโดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) ๗. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ ๗.๑ สถิติพื้นฐาน ใช้ค่าเฉลี่ย ( x̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ ๗.๒ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป Test Analysis Program (TAP) ๗.๒.๑ ค่าความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๗.๒.๒ ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๗.๒.๓ ค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน KR-๒๐ ของคูเดอร์ ริชาร์ด สัน (Kuder Richardson Method) เมื่อ แทนค่า ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ n แทนค่า จำนวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ


๓๗ P แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น S 2 แทนค่า ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ ๗.๒.๔ หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) IOC = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด ๗.๓ หาค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) มีสูตรคำนวณ ดังนี้ เมื่อ แทน ค่าเฉลี่ย แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม ๗.๔ หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนจากการทดสอบใช้สูตร ดังนี้ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) มีสูตรคำนวณ ดังนี้ เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม ๗.๕ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูล ทาง สังคมศาสตร์ SPSS for Windows ๗.๕.๑ สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลัง เรียน คือ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) และ (t-test for one Sample)


๓๘ จากวิธีการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยใช้ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน สามพร้าววิทยา จำนวน ๒ ห้องเรียน ได้แก่ ๑/๑ และ ๑/๒ รวมทั้งสิ้น ๖๐ คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา จำนวน ๒๐ คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง แบบง่าย รูปแบบการทดลองใช้แบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ คือ แผนการสอนและแบบทดสอบหลังเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบทดสอบหลังเรียนจำนวน ๓๐ ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลและใช้สูตรคำนวณทางสถิติ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบด้วย โปรแกรม SPSS


๓๙ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระราม อาสา โดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยาอำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีผู้วิจัยจะนำเสนอผลการวิเคราะห์ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังต่อไปนี้ ๑. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒. เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีที่ได้รับการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ในวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ในการการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ผู้วิจัยจะน ำเสนอ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๒ ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกัน ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียน แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง (Mean) S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) df แทน ระดับชั้นความเป็นอิสระ (Degree of freedom) MD แทน ค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลังเรียนกับการทดสอบก่อน เรียน S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลังเรียน กับการทดสอบก่อนเรียน


๔๐ E๑ แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการที่ได้จากการประเมินพฤติกรรมกลุ่มประเมินผลงาน นักเรียน และการทดสอบย่อยของแต่ละแผน E๒ แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักเรียนทุกคน % แทน ร้อยละ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตจากการแจกแจงแบบที (t-distribution) P แทน ความน่าจะเป็นสำหรับบอกนัยสำคัญทางสถิติ * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ** แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ ๔.๒ ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ ตอนที่ ๑ ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ตอนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ที่ได้รับการเรียนการสอนวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ ๑ ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐


๔๑ ตารางที่ ๔ ประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จำนวน ๒๐ คน นักเรียน คนที่ ก่อนเรียน (๓๐) คะแนนระหว่างการจัดการเรียนการสอน รวมระหว่าง เรียน (๕๐) หลังเรียน แผนที่ ๑ (๓๐) (๑๐) แผนที่ ๒ (๑๐) แผนที่ ๓ (๑๐) แผนที่ ๔ (๑๐) แผนที่ ๕ (๑๐) ๑ ๙ ๘ ๖ ๕ ๗ ๑๐ ๓๖ ๒๘ ๒ ๗ ๘ ๖ ๗ ๗ ๑๐ ๓๘ ๒๖ ๓ ๑๐ ๑๐ ๙ ๙ ๙ ๑๐ ๔๗ ๓๐ ๔ ๘ ๙ ๗ ๘ ๘ ๑๐ ๔๒ ๒๔ ๕ ๔ ๗ ๕ ๗ ๖ ๑๐ ๓๕ ๒๕ ๖ ๑๐ ๘ ๗ ๗ ๘ ๑๐ ๔๐ ๒๙ ๗ ๑๐ ๗ ๖ ๗ ๖ ๑๐ ๓๖ ๒๖ ๘ ๖ ๗ ๕ ๖ ๕ ๑๐ ๓๓ ๒๙ ๙ ๙ ๑๐ ๙ ๙ ๘ ๑๐ ๔๖ ๒๘ ๑๐ ๘ ๙ ๙ ๘ ๘ ๑๐ ๔๔ ๒๙ ๑๑ ๘ ๘ ๗ ๗ ๗ ๑๐ ๓๙ ๒๕ ๑๒ ๔ ๗ ๗ ๖ ๖ ๑๐ ๓๖ ๒๗ ๑๓ ๑๑ ๙ ๘ ๘ ๘ ๑๐ ๔๓ ๒๙ ๑๔ ๑๑ ๙ ๘ ๘ ๘ ๑๐ ๔๓ ๒๙ ๑๕ ๑๒ ๑๐ ๙ ๙ ๗ ๑๐ ๔๕ ๒๙ ๑๖ ๙ ๘ ๗ ๕ ๗ ๑๐ ๓๗ ๒๔ ๑๗ ๑๐ ๑๐ ๘ ๘ ๘ ๑๐ ๔๔ ๒๙ ๑๘ ๑๒ ๑๐ ๙ ๙ ๙ ๑๐ ๔๗ ๒๗ ๑๙ ๑๒ ๑๐ ๙ ๘ ๘ ๑๐ ๔๕ ๒๙ ๒๐ ๕ ๘ ๗ ๘ ๗ ๑๐ ๔๐ ๒๘ รวม ๑๗๕ ๑๗๒ ๑๔๘ ๑๔๙ ๑๔๗ ๒๐๐ ๘๑๖ ๕๕๐ ๙ ๙ ๗ ๗ ๗ ๑๐ ๔๑ ๒๘ S.D. ๒.๕๑๐๕ ๑.๑๔๒๔ ๑.๓๕๓๓ ๑.๒๓๔๓ ๑.๐๓๙๙ ๐ ๔.๓๖๐๑ ๑.๘๗๗๘ ร้อยละ ๒๙.๑๖ ๘๖ ๗๔ ๗๔.๕ ๗๓.๕ ๑๐๐ ๘๑.๖ ๙๑.๖๖ จากตารางที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีพบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย


๔๒ ก่อนเรียนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ ๙ คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๑๖ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๒.๕ ในส่วนของคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนจากการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนเท่ากับ ๔๑ คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๖ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๔.๓ และในส่วนของคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ ๒๘ คิดเป็นร้อยละ ๙๑.๖ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๘ ตารางที่ ๕ ประสิทธิภาพของผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน ๒๐ คน จำนวน นักเรียน (N) คะแนนระหว่างการจัดการเรียน การสอน (E1) คะแนนสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน (E2) คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ ๒๐ ๕๐ ๔๑ ๘๑.๖ ๓๐ ๒๘ ๙๑.๖๖ จากตารางที่ ๕ แสดงให้เห็นว่าผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๑.๖/๙๑.๖๖ ดังนั้น ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอน แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ E๑/ E๒ = ๘๐/๘๐ และสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ตอนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน วรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ในการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสามพร้าววิทยา อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีนั้น ผู้วิจัยได้รวบรวมคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อทดสอบความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL)


๔๓ อีกทั้งผู้วิจัยเลือกใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับเดียวกัน ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน จากนั้นจึงนำคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์เป็นรายบุคคลและภาพรวม ดังนี้ ตารางที่ ๖ ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนวรรณคดี เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ (CBL) ของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างจำนวน ๒๐ คน นักเรียนคน ที่ คะแนนก่อนเรียน (๓๐) คะแนนหลังเรียน (๓๐) ผลต่างของคะแนน (D) ๑ ๙ ๒๘ ๑๙ ๒ ๗ ๒๖ ๑๙ ๓ ๑๐ ๓๐ ๒๐ ๔ ๘ ๒๔ ๑๖ ๕ ๔ ๒๕ ๒๐ ๖ ๑๐ ๒๙ ๑๙ ๗ ๑๐ ๒๖ ๑๖ ๘ ๖ ๒๙ ๒๓ ๙ ๙ ๒๘ ๑๙ ๑๐ ๘ ๒๙ ๒๑ ๑๑ ๘ ๒๕ ๑๗ ๑๒ ๔ ๒๗ ๒๓ ๑๓ ๑๑ ๒๙ ๑๘ ๑๔ ๑๑ ๒๙ ๑๘ ๑๕ ๑๒ ๒๙ ๑๗ ๑๖ ๙ ๒๔ ๑๕ ๑๗ ๑๐ ๒๙ ๑๙ ๑๘ ๑๒ ๒๗ ๑๕ ๑๙ ๑๒ ๒๙ ๑๗ ๒๐ ๕ ๒๘ ๒๓ รวม ๑๗๕ ๕๕๐ ๓๗๔ ๙ ๒๘ ๑๙ S.D. ๒.๕๑๐๕ ๑.๘๗๗๘ ๒.๔๗๓๐ ร้อยละ ๒๙.๑๖ ๙๑.๖๖ ๖๒.๓๓


Click to View FlipBook Version