การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอน แบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางสาวพิชญ์สินี จิ้วบุญชู รหัสนักศึกษา 6006510037 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอน แบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นางสาวพิชญ์สินี จิ้วบุญชู รหัสนักศึกษา 6006510037 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
หัวข้อวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผู้วิจัย พิชญ์สินี จิ้วบุญชู อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิชญา สุวรรณโน สาขา ภาษาไทย ปีการศึกษา 2564 บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงพัฒนา มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน 2.เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธิการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัยเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา จ านวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรืองส านวนไทย แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้าน สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความยากง่าย ค่าอ านาจจ าแนก และการ ทดลองสมมติฐาน (t-test) ผลการวิจัยพบว่าการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย มีผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีคะแนนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.83 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.19 แตกต่าง อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน หลังการทดลอง พบว่าความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอน แบบห้องเรียนกลับด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.66 เป็นไปตามสมมติฐานที่ก าหนดไว้
กิตติกรรมประกาศ วิจัยเล่มนี้ส ำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทั้งนี้เนื่องจำกได้รับควำมอนุเครำะห์และ ควำมเมตตำ จำก ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์พิชญำ สุวรรณโน ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลในกำรท ำวิจัยครั้งนี้และให้ค ำปรึกษำ อย่ำง ดียิ่งในกำรท ำวิจัยครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งส ำเร็จลุล่วง รวมทั้ง ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์พิชญำ สุวรรณโน อำจำรย์ประจ ำสำขำวิชำภำษำไทย คณะศึกษำศำสตร์และศิลปะศำสตร์ ที่คอยสอบถำม ควำมคืบหน้ำและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ชี้แนะแนวทำงและให้ค ำแนะน ำ ที่เป็นประโยชน์อย่ำงยิ่งต่อกำร ท ำวิจัยเล่มนี้ ผู้วิจัยขอกรำบพระคุณเป็นอย่ำงสูง ขอขอบคุณ คุณครูวงษ์ษำ ประดิษฐศร คุณครูจิตตินันท์ สุขสีเสน คุณครูกมลชนก สุวรรณนัง ครูผู้สอนวิชำภำษำไทย ที่กรุณำเป็นผู้เชี่ยวชำญในกำรตรวจสอบเครื่องมือวิจัยและชี้แนะแนวทำงที่ เป็นประโยชน์ในกำรจัดท ำวิจัยให้ส ำเร็จลุล่วง ขอขอบพระคุณคณำจำรย์ทุกท่ำนที่ประสิทธิ์ประสำทวิชำควำมรู้ต่ำง ๆ แก่ผู้วิจัย ตลอดจนให้ ค ำปรึกษำ ค ำแนะน ำในระหว่ำงที่ศึกษำและท ำวิจัย ผู้วิจัยขอเก็บควำมประทับใจและควำมทรงจ ำนี้ไว้ ตลอดไป ขอขอบคุณผู้อ ำนวยกำร คณะครู และนักเรียนโรงเรียนสมำนคุณวิทยำทำน อ ำเภอหำดใหญ่ จังหวัดสงขลำ ที่ให้ควำมร่วมมือและคอยช่วยอ ำนวนควำมสะดวกในกำรทดลองวิจัยและเก็บข้อมูล วิจัยเป็นอย่ำงดี คุณค่ำและประโยชน์อันพึงมีจำกกำรท ำวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยขอน้อมเป็นเครื่องบูชำพระคุณของ บิดำ มำรดำ บูรพคณำจำรย์ และผู้มีพระคุณทุก ๆ ท่ำน พิชญ์สินี จิ้วบุญชู
สารบัญ หน้า บทที่ 1 บทน า............................................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา....................................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................. 2 สมมติฐานของการวิจัย.................................................................................................... 2 ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................................... 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ........................................................................................... 3 นิยามศัพท์................................................................................................................... . 3 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................... 5 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนวิชาภาษาไทย.............................................................. 6 ความหมายของการเรียนภาษาไทย......................................................................... 6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551................................................ 7 ความส าคัญของการเรียนภาษาไทย......................................................................... 9 จุดมุ่งหมายของการเรียนภาษาไทย......................................................................... 10 แนวทางการเรียนภาษาไทย.................................................................................... 10 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับส านวนไทย............................................................................... 11 ความหมายของส านวนไทย.................................................................................... 11 ความส าคัญของส านวนไทย................................................................................... 11 ประโยชน์ของส านวนไทย...................................................................................... 12 ลักษณะของส านวนไทย......................................................................................... 12 หลักการแบ่งประเภทของส านวนไทย.................................................................... 13 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน................................................................... 14 ความหมายของห้องเรียนกลับด้าน........................................................................ 14 องค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้าน..................................................................... 15 ลักษณะของห้องเรียนกลับด้าน............................................................................. 16 ขั้นตอนการสอนของห้องเรียนกลับด้าน................................................................ 16 ประโยชน์ของห้องเรียนกลับด้าน........................................................................... 17 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................................... .. 19
สารบัญ (ต่อ) หน้า งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน.................................. 19 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย......................................................................................................... 22 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ 22 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................ 22 การสร้างตรวจสอบและคุณภาพเครื่องมือ.................................................................... 23 การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................... 28 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้................................................................................... 28 บทที่ 4 ผลการวิจัย................................................................................................................... 32 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................... 32 บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ............................................................................ 36 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................. 36 สมมติฐานของการวิจัย.................................................................................................. 36 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง........................................................................................... 36 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ............................................ 37 สรุปผลการวิจัย............................................................................................................. 37 อภิปรายผลการวิจัย...................................................................................................... 37 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................. 39 บรรณานุกรม.......................................................................................................................... ... 41 ภาคผนวก............................................................................................................................. ...... 42 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ.................................................................................. 43 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย........................................................................... 45 ภาคผนวก ค ผลการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ........................................................... 106 ภาคผนวก ง ภาพกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้วิธีสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน....... 119 ประวัติย่อผู้วิจัย............................................................................................................................ 124
สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 ก าหนดเนื้อหาในการจัดการเรียนรู้............................................................................... 23 2 สรุปผลการแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องทางข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ.......................... 25 3 ผลเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน................................................................... 32 4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1.............................................. 33
บทที่ 1 บทน ำ ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ การสอนภาษาไทยในปัจจุบันให้บรรลุวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยทักษะใน การเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะการฟัง การอ่าน การพูด และการเขียน ซึ่งทักษะเหล่านี้ต่างมีความสัมพันธ์กัน ตลอดเวลา โดยการจัดการเรียนรู้ต้องค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล การใช้สื่อที่เหมาะสม ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก จากการสังเกตการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทานส่วน ใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ เรื่อง ส านวนไทยท าให้ใช้ส านวนไทยแบบผิด ๆ ถูก ๆ โดยไม่ได้เข้าใจ ความหมายของส านวนไทยอย่างแท้จริงผู้วิจัยจึงน าปัญหานี้มาวิเคราะห์ว่าจะท าอย่างไรให้นักเรียนมี ความรู้ความเข้าใจเรื่องส านวนไทยดีขึ้น เพื่อให้นักเรียนมีผลการเรียนที่ดีขึ้นและประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจ าวัน จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าครูจะมีบทบาทหน้าเพียงการสอนเพียงอย่างเดียว ครู จะต้องกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเชิญชวนให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้ อยากค้นคว้า ซึ่ง ผู้ท าวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาปรับเปลี่ยนวิธีการสอนจากเดิมที่สอนแบบปกติทั่วไป จึงได้น าวิธีการสอน แบบห้องเรียนกลับด้าน ตามแนวคิดของ โจนาธาน เบิร์กแมน และ แอรอน แซมส์ ที่ได้แก้ไขปัญหา การเรียนการสอน จนน าไปสู่การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน โดยนักเรียนจะรู้เนื้อหา ล่วงหน้ามาจากที่บ้านแล้วมาพูดคุยในชั้นเรียน ซึ่งจะท าให้เรียนรู้ได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น “เป็นการเรียนที่ บ้าน ท าการบ้านที่โรงเรียน”มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เรื่อง ส านวนไทย จึงเหมาะที่น ามาใช้ใน การสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ตามการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับการเรียนรู้ในปัจจุบันในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางให้มีแนวทาง การศึกษาที่น่าสนใจ จากปัญหาดังกล่าวมา การน ารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านมาใช้ และสอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของสังคมในปัจจุบันนี้ และมีการระบาดของโควิด 19 ที่ไม่สามารถ เรียนในห้องเรียนแบบปกติได้ ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านจะ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย ให้นักเรียนมีผลการเรียนที่ดี ขึ้นและสามารถน าความรู้ที่ได้เรียนมาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจ าวันและการด าเนินชีวิตของตนเองได้ และท าให้นักเรียนสนุกกับการเรียนส านวนไทย มากยิ่งขึ้น
2 วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอน แบบห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ส านวนไทยโดยใช้วิธิการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน สมมติฐำนของกำรวิจัย 1. นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดี ขอบเขตของกำรวิจัย 1. ขอบเขตด้ำนประชำกร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ ก าลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จ านวน 252 คน 2. ขอบเขตด้ำนกลุ่มตัวอย่ำง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ก าลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จ านวน 40 คน โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ แบ่งกลุ่ม หน่วยในการสุ่ม คือ ห้องเรียน 3. ขอบเขตด้ำนเนื้อหำ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย จากหนังสือเรียนหลักภาษาและการใช้ภาษา เรื่องส านวนไทย ม.1
3 4. ขอบเขตด้ำนเวลำ การวิจัยครั้งนี้ท าการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ใช้ระยะเวลาในการทดลอง 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ รวม 4 คาบ ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวน ไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ส านวนไทยโดย ใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดี นิยำมศัพท์เฉพำะ ภำษำไทย คือเป็นภาษาทางการของประเทศไทย และภาษาแม่ของชาวไทย และชนเชื้อสาย อื่นในประเทศไทย ภาษาไทยเป็นภาษาในกลุ่มภาษาไต ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาไทกะได สันนิษฐานว่า ภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นก าเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์ บางท่านเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษา ออสโตรนีเซียน ตระกูลภาษาจีน-ทิเบตภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของค าแน่นอนหรือ วรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกค าต่อค า เป็นที่ล าบากของชาวต่างชาติเนื่องจาก การออกเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละค า และการสะกดค าที่ซับซ้อน นอกจากภาษากลาง แล้ว ในประเทศไทยมีการใช้ภาษาไทยถิ่นอื่นด้วย ธนากร จันสว่าง (2560:3) ส ำนวนไทย คือถ้อยค าหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ตรงตาม ตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ส านวน คือถ้อยค า กลุ่มค า หรือความที่ เรียบเรียงขึ้นในเชิงอุปมา อุปมัยโดยมีนัยแฝงเร้นซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้ง แยบคาย เพื่อให้ผู้รับได้ไปตีความ ท าความเข้าใจด้วยตนเองอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งอาจแตกต่างไปความหมายเดิมหรืออาจคล้ายคลึงกับ ความหมายเดิมก็ได้ ลักขณา สวัฒน์ (2561:7) กำรจัดกำรเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบห้องเรียนกลับด้ำน หมายถึงวิธีการจัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดของ โจนาธาน เบิร์กแมน และ แอรอน แซมส์ เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ครูจัดเตรียมไว้ ให้สามารถน าไปศึกษาเองที่บ้าน นักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งความรู้ อาทิ
4 เอกสารใบความรู้ต่าง ๆ ที่ครูได้แจ้งไว้ แล้วบันทึกหรือจดประเด็นส าคัญ เพื่อน ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กันในชั้นเรียน ซึ่งมี 6 ขั้นตอน คือ กิจกรรมนอกชั้นเรียน ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ครูศึกษาบทเรียน และเลือกบทเรียนที่สนใจน ามาออกแบบ แผนการสอน ก าหนดวัตถุประสงค์การสอนการเลือกใช้สื่อการสอน กิจกรรมเสริม ที่เหมาะสมกับวัย ผู้เรียน กับห้องเรียน และบริบทของโรงเรียนชี้แนะนักเรียนเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ บอก แหล่งความรู้ให้แก่นักเรียน และมีการตั้งค าถามกระตุ้นคิดให้นักเรียนมีความพร้อม มีความสนใจที่จะ ศึกษาค้นคว้า ขั้นที่ 2 เตรียมการสอน คุณครูอาจบันทึกการสอนของตัวเองหรือใช้บริการจากวิดีโอการสอนที่ มีเนื้อหาของบทเรียนครบตามตัวชี้วัด กิจกรรมในชั้นเรียน ขั้นที่ 3 ในขั้นตอนนี้ครูอาจสร้างกิจกรรม หรือแจกแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้นักเรียนได้ลอง ท าก่อนการสอนในห้องเรียน ขั้นที่ 4 แลกเปลี่ยน เพื่อสนับสนุนการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันคุณครูเปิดโอกาสให้เด็ก ๆได้ ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนและซักถาม จากเนื้อหาที่ได้ศึกษามาเพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ และการ สื่อสาร ขั้นที่ 5 แบ่งกลุ่มเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ตามที่วางแผนไว้ ครูแบ่งกลุ่มเพื่อให้นักเรียนได้ร่วมกัน ท างานในหัวข้อที่ครูมอบหมาย หรือช่วยกันเลือกหัวข้อในการท างานเพื่อให้เกิดทักษะการคิด สร้างสรรค์ และการท างานร่วมกัน ขั้นที่ 6 รวมกลุ่มกันอีกครั้งเพื่อน าเสนอผลงานกลุ่ม เปิดเวทีให้เพื่อน ๆ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็น และซักถาม ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน คือเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียน ได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและ ประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้นรวมถึงความสามารถหรือผลส าเร็จ ที่ได้รับจาก กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จ าแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของ การเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ปราณี กองจินดา (2549:42) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ คือหมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถ ทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลส าเร็จตามจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้เพียงใด พิชิต ฤทธิ์ จรูญ (2545 : 96)
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนวิชาภาษาไทย 1. ความหมายของการเรียนวิชาภาษาไทย 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 3. ความส าคัญของการเรียนวิชาภาษาไทย 4. จุดมุ่งหมายของการเรียนวิชาภาษาไทย 5. แนวทางการเรียนวิชาภาษาไทย แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับส านวนไทย 1. ความหมายของส านวนไทย 2. ความส าคัญของส านวนไทย 3. ประโยชน์ของส านวนไทย 4. ลักษณะของส านวนไทย 5. หลักการแบ่งประเภทของส านวนไทย แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน 1. ความหมายของห้องเรียนกลับด้าน 2. องค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้าน 3. ลักษณะของห้องเรียนกลับด้าน 4. ขั้นตอนการสอนของห้องเรียนกลับทาง 5. ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน งานวิจัยทีเกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน
6 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้าง ความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ท าให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และด ารงชีวิตร่วมกัน ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก แหล่งข้อมูลสารสนเทศ ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และ สร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนน าไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจนอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิ ปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพเป็นสมบัติล้ าค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความช านาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อน าไปใช้ในชีวิตจริง 1. ความหมายของการเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของคนในชาติเพื่อการสื่อสารท าความเข้าใจกันและใช้ภาษาในการ ประกอบกิจการงานทั้งส่วนตัว ครอบครัว กิจกรรมทางสังคมและประเทศชาติ เป็นเครื่องมือการ เรียนรู้ การบันทึกเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบัน และเป็นวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นการเรียนภาษาไทย จึงต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิดทักษะอย่างถูกต้องเหมาะสมในการสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเรียนแสวงหา ความรู้ และประสบการณ์ เรียนรู้ในฐานะเป็นวัฒนธรรมทางภาษาให้เกิดความชื่นชม ซาบซึ้ง และ ภูมิใจในภาษาไทย โดยเฉพาะคุณค่าของวรรณคดีและภูมิปัญญาทางภาษา ของบรรพบุรุษได้ สร้างสรรค์ไว้ อันเป็นส่วนเสริมสร้างความงดงามในชีวิตการเรียนรู้ภาษาไทยย่อมเกี่ยวพันกับความคิด ของมนุษย์ เพราะภาษาเป็นสื่อของความคิดการเรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ คิดวิพากษ์วิจารณ์ คิดตัดสินใจแก้ปัญหา และวินิจฉัยอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันการใช้ภาษาอย่างมี เหตุผลใช้ในทางสร้างสรรค์และใช้ภาษาอย่างสละสลวยงดงาม ย่อมสร้างเสริมบุคลิกภาพของผู้ใช้ ภาษาให้น่าเชื่อถือภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความช านาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การอ่าน การฟังเป็นทักษะของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์การ เรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องเรียนเพื่อการสื่อสารให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถเลือกใช้ค า เรียบเรียงความคิด ความรู้และใช้ภาษาได้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ได้ตรงตาม ความหมาย และถูกต้องตามกาลเทศะ บุคคล และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพภาษาไทยมีส่วนที่เป็น เนื้อหาสาระ ได้แก่ กฎเกณฑ์ทางภาษา ซึ่งผู้ใช้ภาษาจะต้องรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้อง นอกจากนั้น วรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนบทร้องเล่นของเด็ก เพลงกล่อมเด็ก ปริศนาค าทาย เพลงพื้นบ้าน
7 วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ซึ่งมีคุณค่าต่อการเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียน วรรณคดีวรรณกรรม ภูมิปัญญาทางภาษา ที่ถ่ายทอดความรู้สึก นึกคิด ค่านิยมขนบธรรมเนียม ประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีตและความงดงามของภาษา ในบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งความภูมิใจในสิ่งที่บรรพบุรุษได้สั่งสมและสืบทอดถึงปัจจุบัน หลักสูตรแกนกลาง กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับปรับปรุง 2560) 2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายส าหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของ ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาส ได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจ ให้ สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพความต้องการของท้องถิ่นเป็นหลักสูตรที่มี โครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลา และการจัดการเรียนรู้เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้น ผู้เรียนเป็นส าคัญเป็นหลักสูตรส าหรับการศึกษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัยครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร หมายถึง ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อ การพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆการ เลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด หมายถึง รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างสร้างสรรค์ คิด อย่างมีวิจารณญาณ และคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการ ตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา หมายถึง เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาได้ อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผลคุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งตัดสินใจที่มี ประสิทธิภาพ โดยค านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเองสังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต หมายถึง ใช้กระบวนการต่าง ๆ ในการด าเนิน ชีวิตประจ าวัน เรียนรู้ด้วยตนเองต่อเนื่อง ท างานและอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริม ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมรู้จักปรับตัวให้
8 ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมแวดล้อมและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบ ต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี หมายถึง รู้จักเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆทักษะ กระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม ซึ่งได้ก าหนด สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 5 สาระดังนี้ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง (ตรงกับเรื่องส านวนไทย) สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
9 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย • เสียงในภาษาไทย 2. สร้างค าในภาษาไทย • การสร้างค า - ค าประสม ค าซ้ า ค าซ้อน - ค าพ้อง 3. วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของค าในประโยค • ชนิดและหน้าที่ของค า ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 4. วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษา เขียน • ภาษาพูด • ภาษาเขียน 5. แต่งบทร้อยกรอง • กาพย์ยานี 11 6. จ าแนกและใช้ส านวนที่เป็นค าพังเพยและสุภาษิต • ส านวนที่เป็นค าพังเพยและ สุภาษิต 3. ความส าคัญของการเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจ าชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความ เข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ท าให้สามารถประกอบกิจธุรการงานและด ารงชีวิตร่วมกันในสังคม ประชาชาติได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีตลอดจนน าไปใช้ในการพัฒนา อาชีพให้มีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณีชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีวรรณกรรม อันล้ าค่าภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติ ไทยตลอดไปดังนั้นการศึกษาวิชาภาษาไทยจึงเป็นสิ่งส าคัญส าหรับคนในชาติของเรา วรรณี โสม ประยูร (2534 : 28) ได้สรุปความส าคัญของการสอนภาษาไทยไว้ตอนหนึ่งว่า มนุษย์ได้ใช้ทักษะการ ฟัง พูด อ่านและเขียน เป็นเครื่องมือในการศึกษาความรู้ เพื่อประกอบอาชีพ พัฒนาบุคลิกภาพและ สร้างเสริมคุณภาพชีวิตในด้านอื่น ๆ เพราะคนเราได้รับความรู้ ความคิดต่าง ๆ จากการฟัง การอ่าน แล้วการเขียนบันทึกไว้เพื่อพูดหรือเขียนถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจอีกทอดหนึ่ง การเขียนของนักเรียนที่ อ่อนภาษาจึงท าให้อ่อนวิชาอื่น ๆด้วย
10 4. จุดมุ่งหมายของการเรียนวิชาภาษาไทย การเรียนการสอนภาษาไทยมีความมุ่งหมายให้ผู้เรียนได้มีโอกาสพัฒนาการทางภาษาในด้าน การฟัง พูด อ่าน เขียน ส าหรับด้านการเขียนนั้น การเรียนภาษาไทยจึงควรเน้นสัมฤทธิ์ผลของทักษะ การเข้าใจทางภาษา คือ การฟังการอ่านและทักษะการใช้ภาษาคือการพูดและการเขียน จนสามารถใช้ เป็นเครื่องมือให้เกิดความเข้าใจแสวงหาความรู้และมีเหตุผลเพื่อน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันอันจะน าไปสู่ การมีชีวิตที่ผาสุกในสังคม ซึ่งผู้ที่ท าหน้าที่โดยตรงในการสอนภาษาไทยให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายคือ ครูซึ่งควรตระหนักถึงความมุ่งหมายดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนส าหรับ วิธีการสอนภาษาไทยให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ภาษาไทยขึ้น ทรง จิตปราสาท (2526 : 23 ) ได้กล่าวไว้ว่า มีวิธีการสอนหลายวิธี ครูควรเลือกใช้วิธีใด ก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมและตรงตามความถนัด 4.1 สอนสระ พยัญชนะ ให้บอกชื่อ ออกเสียง และเขียน ให้ถูกต้องจะสอนครบทุกตัวทันทีหรือ จะสอนบางตัวโดยเริ่มจากพยัญชนะที่เด็กได้พบก่อนแล้วค่อยเพิ่มขึ้นจนครบทุกตัวแล้วน ามา เรียงล าดับให้ถูกต้องในภายหลังก็ได้ 4.2 สอนค าให้อ่าน เขียนถูกต้องตามความหมาย 4.3 สอนประโยค ให้อ่าน เขียน ให้ถูกต้องรู้ความหมายและใช้ค าเรียงประโยคได้ถูกต้องทั้งใน การพูดและการเขียน 4.4 สอนแจกลูก ให้สามารถจับหลักเกณฑ์วิธีออกเสียงผสมพยัญชนะกับสระ เพื่อน าไปใช้ใน การอ่านและเขียนค าที่ต้องการได้ 4.5 สอนให้สามารถจับหลักเกณฑ์วิธีออกเสียง ผันวรรณยุกต์ เพื่อน าไปใช้ในการอ่านและการ เขียนค าที่ต้องการได้ 4.6 สอนการใช้ภาษาไทยให้สามารถใช้ภาษาไทยสื่อความหมายแสดงความคิดเห็นความรู้สึกทั้ง การพูดและการเขียนได้ถูกต้องทั้งตัวสะกดตัวและความหมายได้ดีตามวัยและระดับชั้นการจัดกาเรียน การสอนภาษาไทยมิได้มุ่งเพียงการอ่านออกเขียนได้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่เน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของ ทักษะความเข้าใจ ทักษะการใช้ภาษาคือการพูดและการเขียนจนสามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อ ความคิด ความเข้าใจ การหาเหตุผล แสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง 5. แนวทางการเรียนวิชาภาษาไทย วิชาภาษาไทยจะเรียนให้สนุก และตรวจสอบความรู้ผู้เรียนได้ ต้องใช้เทคนิค เกมวัดความรู้ อยากวัดความรู้ผู้เรียนอย่างสร้างสรรค์ ต้องออกแบบการสรุปบทเรียนเป็นผลงานที่หลากหลาย ไม่ใช่ เพียงรายงานเล่มเดียว ภาษาไทยนอกจากเป็นสัญลักษณ์ส าคัญทางวัฒนธรรมของชาติแล้วยังเป็น เครื่องมือในการสื่อสารตลอดชีวิตและสาเหตุหลักในการเรียนวิชาภาษาไทย รู้สึกว่าวิชาภาษาไทยเป็น
11 เรื่องยาก เรียนไปเท่าไรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี โดยมี 5 ขั้นตอน การเรียนภาษาไทยให้สนุก สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 59) 1. ปลุกใจให้เริงร่า เป็นขั้นเตรียมความพร้อมที่จะให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ด้วยการน าเพลง เกม หรือนิทาน เป็นตัวเกริ่นเรื่องก่อนเข้าสู่บทเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนาน และพร้อมที่จะ เรียนรู้ 2. ดึงเนื้อหามาสัมพันธ์ เป็นการน าเสนอเนื้อหาเดิมเชื่อมโยงสู่เนื้อหาใหม่ ที่ต้องการให้ นักเรียนเรียนรู้ 3. บูรณาการสร้างความรู้ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่น าวิชาภาษาไทยเป็นแกนตั้งต้นแล้วดึงกลุ่ม สาระวิชาอื่น ๆ เชื่อมโยงเนื้อหาที่จะสอน เช่น ศิลปะ คณิตศาสตร์ 4. สรุปสิ่งที่ได้เป็นเกม เป็นการสรุปเนื้อหาที่ได้จากการเรียน ผ่านรูปแบบเกมแสนสนุกเพื่อให้ ผู้เรียนได้เล่นเกมย้ าทวนความรู้กันอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่บทเรียนต่อไป 5. สร้างชิ้นงานตามศักยภาพ เป็นการทดสอบว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อหามากน้อยเพียงใดอาจให้ สร้างผลงานในรูปหนังสือเล่มเล็ก นิทานหน้าเดียว หรือหนังสือสามมิติก็ได้ ผู้เรียนจะได้สนุกและได้ ลองท าอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่รายงานเล่มเดียวแบบเดิม ๆ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับส านวนไทย 1. ความหมายของส านวนไทย ความหมายของค าว่าส านวนมีหลากหลายความหมายดังนี้ ส านวน หมายถึง ค าพูดเป็นชั้นเชิง ไม่ตรงไปตรงมา แต่มีความหมายในค าพูดนั้น ๆ ส านวนไทย คือถ้อยค าหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกัน มาช้านานแล้วมีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ส านวน คือถ้อยค า กลุ่มค า หรือความที่เรียบเรียงขึ้นในเชิงอุปมาอุปมัยโดยมีนัยแฝงเร้นซ่อนอยู่อย่าง ลึกซึ้ง แยบคาย เพื่อให้ผู้รับได้ไปตีความ ท าความเข้าใจด้วยตนเองอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งอาจแตกต่างไป ความหมายเดิมหรืออาจคล้ายคลึงกับความหมายเดิมก็ได้ สันนิษฐานว่าส านวนนั้นมีอยู่ในภาษาพูด ก่อนที่จะมีภาษาเขียนเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยเมื่อพิจารณาจากข้อความในศิลาจารึกพ่อขุน รามค าแหงแล้ว ก็พบว่ามีส านวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส หมายถึง ประชาชน อยู่เย็นเป็นสุข 2. ความส าคัญของส านวนไทย 2.1 เป็นเครื่องอบรมสั่งสอนและชี้แนะให้เป็นคนดีในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน ความ รัก การสมาคม การครองเรือน การศึกษา เช่น อย่าใฝ่สูงให้เกินศักดิ์ น้ าขุ่นไว้ในน้ าใสไว้นอก
12 2.2 เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นแนวคิด ความเชื่อของคนในสังคมไทยหลายประการเช่น ความเชื่อในเรื่องกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับความไม่ประมาท เช่น กงเกวียนก าเกวียน ช้างสาร 2.3 เป็นเครื่องชี้สะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมด้านต่าง ๆ เช่น การ ท ามาหากิน การครองชีพ เศรษฐกิจ 2.4 เป็นเครื่องชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของคนไทยกับธรรมชาติ จึงได้น าเอาลักษณะทาง ธรรมชาติมาตั้งเป็นส านวน เช่น ฝนตกไม่ทั่วฟ้า น้ าซึมบ่อทราย 2.5 เป็นการสืบต่อวัฒนธรรมของชาติเอาไว้ ไม่ให้สูญหายและเกิดความภาคภูมิใจที่บรรพ ชนได้สร้างสรรค์ถ้อยค าที่มีคุณค่าไว้ให้แก่เรา 3. ประโยชน์ของส านวนไทย 1. เป็นเครื่องอบรมสั่งสอนและชี้แนะให้เป็นคนดี 2. ส านวนไทยช่วยสะท้อนท าให้เห็นความคิด ความเชื่อของคนในสังคมไทย 3. ส านวนไทยช่วยสะท้อนให้เห็นถึงภาวะความเป็นอยู่ ชี้ให้เห็นว่าคนไทยรักธรรมชาติ เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก จึงได้น าเอาลักษณะธรรมชาติ สัตว์ ต้นไม้ มาตั้งเป็นส านวนไทย 4. การเรียนรู้เรื่องส านวนไทย เป็นการสืบสานวัฒนธรรมของชาติเอาไว้มิให้สูญหายและเกิด ความภาคภูมิใจที่บรรพชนได้คิดสร้างสิ่งเหล่านี้ไว้แก่เราในการศึกษา 5. ช่วยให้เราใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและสละสลวย 4. ลักษณะของส านวนไทย 4.1 มีความหมายโดยนัย คือความหมายไม่ตรงตัวตามความหมายโดยอรรถพูดอย่างหนึ่งมี ความหมายอีกอย่างหนึ่ง เช่น กินปูนร้อนท้อง ขนทรายเข้าวัด เป็นต้น 4.2 ใช้ถ้อยค ากินความมากการใช้ถ้อยค าในส านวนส่วนใหญ่เข้าลักษณะใช้ค าน้อยกินความ มาก เนื้อความมีความหมายเด่น เช่น ก่อหวอด ขึ้นคาน คว่ าบาตร ขมิ้นกับปูน คมในฝัก ซึ่งล้วน มีความหมายอธิบายได้ยืดยาวส่วนที่ใช้ถ้อยค าหลายค าแต่ละค าก็ล้วนมีความหมายและช่วยให้ได้ความ กระจ่างชัดเจน 4.3 ถ้อยค ามีความไพเราะการใช้ถ้อยค าในส านวนไทยมักใช้ถ้อยค าสละสลวยมีสัมผัสคล้อง จอง เน้นการเล่นเสียงสัมผัสสระ สัมผัสอักษร ให้เสียงกระทบกระทั่งกันเกิดความไพเราะน่าฟังทั้ง สัมผัสภายในวรรคและระหว่างวรรค มีการจัดจังหวะค าหลายรูปแบบเช่น อย่างก่อกรรมท าเข็ญ ก่อร่างสร้างตัว คู่ผัวตัวเมีย คู่เรียงเคียงหมอน เป็นต้น 4.4 มีลักษณะสัมผัสคล้องจองเป็นร้อยกรองง่ายๆหลายรูปแบบมีทั้งคล้องจองกันใน ข้อความตอนเดียว เช่น ตื่นก่อนนอนหลัง ต้อนรับขับสู้ ผูกรักสมัครใคร่ โอภาปราศรัยและคล้องจอง ในข้อความที่เป็น 2 ตอนซึ่งมีอยู่จ านวนมากและในข้อความมากกว่า 2 ตอน เช่น น้ ามาปลากินมด
13 น้ าลดมดกินปลา เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง เป็นต้น 4.5 ส านวนไทยมักมีการเปรียบเปรยหรือมีประวัติที่มาส่วนใหญ่มาจากการเปรียบเทียบกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ประเพณี ศาสนา นิยาย นิทานต่าง ๆ กิริยาอาการและส่วนต่าง ๆของ ร่างกาย เช่น กลับหน้ามือเป็นหลังมือ นอนตาไม่หลับ ใจดีสู้เสือ กินไข่ขวัญ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็น เอง เป็นต้น 5 หลักการแบ่งประเภทของส านวนไทย ส านวนไทย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 5.1 ส านวนประเภทคล้องจอง ประเภทนี้มีการเรียงค าเป็น ๔ ค า ๖ ค า และ ๑๐ ค า มี เสียงสัมผัส คล้องจอง ท าให้จ าง่ายและไพเราะ ตัวอย่าง ส านวนคล้องจอง เรียง 4 ค า มีสัมผัส เช่น กว้างใหญ่ไพศาล ก่อกรรมท าเข็ญ เกิดดอกออกผล เก็บหอมรอมริบ เรียง 6 ค า มีสัมผัส เช่น ขิงก็ราข่าก็แรง ขุดด้วยปากถากด้วยตา ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ทรัพย์ในดินสินในน้ า เรียง 8 ค า มีสัมผัส เช่น กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง เรียง 10 ค า มีสัมผัส เช่น สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่ 5.2 ส านวนเปรียบเทียบ ส านวนประเภทนี้มักจะมีค าตั้งแต่ ๓-๗ ค า โดยมีลักษณะเด่น คือ เป็นการกล่าวถึงสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง ตัวอย่าง ส านวนเปรียบเทียบ เรียง 3 ค า ไม่มีสัมผัส เช่น เกลือจิ้มเกลือ ก้างขวางคอ กาคาบพริก ขมเป็นยา ไข่ในหิน ถ่านไฟเก่า เด็กอมมือ เรียง 4 ค า ไม่มีสัมผัส เช่น กระดี่ได้น้ า แกว่งเท้าหาเสี้ยน ใจเป็นปลาซิว ผักชีโรยหน้า ช้าเหมือเต่าคลาน เรียง 6 - 7 ค า ไม่มีสัมผัส เช่น กว่าถั่วจะสุก งานก็ไหม้นิ้วไหนร้าย ตัดนิ้วนั้น ข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า 5.3 ส านวนประเภทค าซ้ า ส านวนประเภทนี้มีการเรียงค า 4 ค า ค าที่ 1 จะซ้ ากับค าที่ 3 ตัเช่น ส านวนที่ซ้ ากัน กินนอกกินใน ข้ามหน้าข้ามตา เข้าด้ายเข้าเข็ม คงเส้นคงวา กินบ้านกินเมือง
14 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับห้องเรียนกลับด้าน การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านนั้น เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ นักเรียนเกิดทักษะศตวรรษที่ 21 แนวคิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้าน(Flipped Classroom) คิดขึ้นโดย Jonathan Bergmanและ Aaron Sams (2012) ครูชาวอเมริกันซึ่งสอนวิชา เคมี ที่โรงเรียน Woodland Park High School เมือง Woodland Park รัฐ Colorado สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ ปีค.ศ. 2007โดยการเริ่มท าการบันทึกเทปวีดิทัศน์การสอนของตนเอง เพื่อให้นักเรียนสามารถ น ากลับไปศึกษาด้วยตนเองที่บ้านเพื่อแก้ปัญหานักเรียนขาดเรียนหรือเรียนไม่ทันได้มีโอกาสเรียนรู้ หรือทบทวนเรื่องที่เรียนอยู่ในขณะนั้นด้วยวีดิทัศน์และเปิดโอกาสให้นักเรียนน าความรู้หรือประเด็นข้อ สงสัยมาอภิปรายร่วมกันในชั้นเรียน โดยครูมีหน้าที่ให้ค าแนะน า ตอบ ประเด็นค าถามของนักเรียนซึ่ง ถือเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งระหว่างครูและ นักเรียน รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียนในชั้นเรียนมากขึ้นด้วย การน าเทคโนโลยีและสื่อICT ที่ หลากหลายมาประยุกต์ใช้ท าให้ นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้และกระตุ้นความสนใจของนักเรียนได้เป็นอย่างดี 1. ความหมายของห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวข้องกับห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีนักวิชาการศึกษาหลาย ท่านได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ โจนาธาน เบิร์กแมน และ แอรอน แซมส์ (Jonathan Bergmanand Aaron Sams,2012) ได้ ให้ความหมายของห้องเรียนกลับทางไว้ว่า ห้องเรียนกลับด้านเป็นรูปแบบการ สอนที่มีการบรรยายไว้ ล่วงหน้า นักเรียนสามารถศึกษาวีดิทัศน์ได้ที่บ้าน Carbaugh Eric M. and Doubet KristinaJ (2016) กล่าวว่าห้องเรียนคือรูปแบบจ าลองการ ใช้เทคโนโลยีด้านการศึกษาเพื่อน าเสนอสิ่งใหม่ให้กับนักเรียนศึกษาที่บ้าน และใช้เวลาในชั้นเรียนเพื่อ ทบทวนเสริมสร้างและฝึกฝน ส านักงานราชบัณฑิตยสภา (2558:212) ได้ให้ความหมายของ ห้องเรียนกลับด้านว่าการเรียน การสอนที่นักเรียนศึกษาสาระส าคัญของบทเรียนด้วยตนเองที่บ้านและน าผลงาน หรือปัญหาที่บันทึก ไว้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูหรือเพื่อนในห้องเรียน วิจารณ์ พานิช (2557:36) ได้กล่าวถึงความหมายของห้องเรียนกลับด้านไว้ว่า ห้องเรียนกลับ ด้านคือ การให้เรียนที่บ้านท าการบ้านที่โรงเรียน และท าให้ห้องเรียนเป็นที่นักเรียนแต่ละคนเรียนตาม อัตราความเร็วของตนเอง โดย ICTช่วยให้ครูสามารถติดตามประเมิน ความก้าวหน้าในการเรียนของ นักเรียนได้เป็นรายบุคคล ซึ่ง ICTและหนังสือช่วยให้นักเรียนค้นหา และเรียนรู้เนื้อหาได้เอง กิจกรรม นี้เป็นส่วนที่ง่าย จึงควรท าที่บ้าน แต่การเรียนรู้ที่แท้จริง คือ การท าแบบฝึกหัดหรือการประยุกต์ใช้
15 ความรู้ในการแก้ปัญหา การเรียนเป็นทีมกับเพื่อน การช่วย อธิบายส่วนที่เพื่อนไม่เข้าใจและการท า ความเข้าใจเนื้อหาสาระวิชานั้นเป็นเรื่องส าคัญจึงต้องท าที่ โรงเรียนโดยมีครูเป็นโค้ชจากการศึกษา ความหมายของห้องเรียนกลับด้าน ข้างต้นสรุปได้ว่า ห้องเรียนกลับด้าน หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ กลับทางห้องเรียน คือเรียนที่บ้านท าการบ้านที่โรงเรียน ครูมีหน้าที่ ชี้แนะจัดเตรียมเนื้อหาสาระ เตรียมไว้ให้แก่นักเรียน การเรียนรู้เกิดขึ้นได้เองที่บ้าน และท าการบ้านที่โรงเรียนเพื่อตรวจสอบความรู้ ภายในชั้นเรียนจะเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน เป็นการเรียนรู้ที่ท าให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริง มีทักษะการค้นคว้า การใช้เทคโนโลยีซึ่ง เหมาะสมกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 2. องค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้าน สุรศักดิ์ ปาเฮ (2556:89) ได้สรุปองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านซึ่ง เป็นนวัตกรรมการเรียนการสอน รูปแบบใหม่ในการสร้างนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้าน หรือ Mastery Learning นั้น มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบที่เป็นวัฏจักร (Cycle) ได้แก่ 1. การก าหนดยุทธวิธีเพิ่มพูนประสบการณ์โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ให้กับ นักเรียนเพื่อเรียนเนื้อหาโดยอาศัย วิธีการที่หลากหลายทั้ง การใช้กิจกรรมที่ก าหนดขึ้นเอง เช่น เกมส์ สถานการณ์จ าลอง สื่อปฏิสัมพันธ์การทดลอง หรืองานด้านศิลปะแขนงต่าง ๆ 2. การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด โดยครูผู้สอนเป็นผู้คอยชี้แนะให้กับนักเรียนจากสื่อ หรือกิจกรรมหลายประเภทเช่น สื่อประเภทวิดีโอ บันทึกการบรรยาย การใช้สื่อบันทึกเสียงประเภท Podcasts การใช้สื่อ Websites หรือสื่อออนไลน์ 3. การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย โดยนักเรียนเป็นผู้บูรณาการสร้างทักษะองค์ความรู้ จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างกระดาน ความรู้อิเล็กทรอนิกส์การใช้ แบบทดสอบ การใช้สื่อสังคมออนไลน์และกระดานส าหรับอภิปรายแบบออนไลน์ 4. การสาธิตและประยุกต์ใช้ เป็นการสร้างองค์ความรู้โดยนักเรียนเองในเชิงสร้างสรรค์โดยการ จัดท าเป็นโครงงานและผ่าน กระบวนการน าเสนอผลงานที่เกิดจากการรังสรรค์งานเหล่านั้น จากข้างต้นสรุปได้ว่า องค์ประกอบของห้องเรียนกลับด้านนั้น ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทส าคัญที่สุด ในการจัดการเรียนรู้เริ่มตั้งแต่ครูศึกษาเนื้อหาสาระ ตั้งวัตถุประสงค์สร้างสื่อการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียน ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้นักเรียนสามารถไปศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ทุกที่ทุกเวลาตามความต้องการ ของนักเรียนเมื่อศึกษาวีดิทัศน์จบแล้วสามารถจดบันทึกสาระความรู้ประเด็นส าคัญ หรือข้อสงสัยเพื่อ น ากลับมาพูดคุยแลกเปลี่ยนหรือหาข้อสรุปได้อีกครั้งเมื่อเข้าชั้นเรียน โดยครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใน ชั้นเรียนด้วยกิจกรรมที่หลากหลายเหมาะสมกับนักเรียน การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วย ตนเองจะท าให้เกิดความรู้จริงมากกว่าการนั่งฟังครูบรรยายในชั้นเรียน ห้องเรียนกลับด้าน จึงเป็น แนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้และเกิด ประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียน 3. ลักษณะของห้องเรียนกลับด้าน
16 ห้องเรียนกลับด้าน เริ่มต้นโดยครูJonathan Bergmanand Aaron Sams (2012) จะแนะน า วิธีการดูวีดิทัศน์ที่บ้านอย่างได้ผลดีให้แก่นักเรียน เริ่มตั้งแต่แนะน าให้ขจัดสิ่งรบกวนสมาธิได้แก่ การ ปิดโทรศัพท์ ไอพ็อด ทีวีและตัวรบกวนอื่น ๆ แนะน าให้นักเรียนรู้จักหยุดวิดีโอหรือดูบางตอนบอก นักเรียนว่าการดูวิดีโอสามารถ “ หยุด ” และ “ กรอกลับ ” ครูได้เพื่อจดบันทึกประเด็น ส าคัญหรือ ส่วนที่ไม่เข้าใจ เมื่อถึงเวลาชั้นเรียนในโรงเรียนนี้ให้เวลาคาบละ 95 นาทีเริ่มด้วยการใช้เวลาสั้นๆ ทบทวนวีดิทัศน์และตอบค าถามสิ่งที่ไม่เข้าใจหลังดูวีดิทัศน์ซึ่งจะช่วยให้ครูได้แก้ไขความเข้าใจผิดของ นักเรียนบางคนหรือถ้าเด็กทั้งชั้นเข้าใจผิดก็แสดงว่าวีดิทัศน์มีข้อบกพร่องครูจะได้แก้ไขหลังจากนั้น ครู มอบงานให้ท าโดยอาจเป็น lab หรือเป็นกิจกรรมค้นคว้า โครงงานหรือ กิจกรรมแก้ปัญหา หรือการ ทดสอบตามปกติ โดยบทบาทของครูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คือไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้แต่ท า บทบาทเป็นโค้ช หรือเป็นผู้จุดประกาย โดยการตั้งค าถามให้นักเรียน คิดหาค าตอบสร้างความ สนุกสนานในการเรียน และเป็นผู้อ านวยความสะดวกในการเรียน เวลา ของครูในชั้นเรียนจะใช้ ส าหรับมีปฏิสัมพันธ์สองทางกับนักเรียนท าให้นักเรียนที่เรียนช้าได้รับการเอาใจใส่ครูจะไม่ยืนสอนอยู่ หน้าชั้นอีกต่อไปแต่จะเดินไปเดินมาในชั้น เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาการเรียน 4. ขั้นตอนการสอนของห้องเรียนกลับทาง วิจารณ์ พานิช (2556:71) ได้สรุปขั้นตอนการสอนตามแนวทางของโจนาธาน เบิร์กแมน และ แอรอน แซมส์ไว้อย่างน่าสนใจว่า สิ่งที่ควรท าเป็นสิ่งแรกคือ ครูควรอธิบายประโยชน์ของการเรียน แบบใหม่และให้เด็กดูวิดีทัศน์เพื่ออธิบายว่าวิธีเรียนแบบนี้ดีต่อนักเรียนอย่างไร ขั้นต่อไปคือครูต้อง แนะน าวิธีศึกษาและจัดการวิดีทัศน์โดยแนะน าให้ดูวิดีทัศน์ด้วยความตั้งใจโดยไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิ เช่น ไม่มีหูฟัง iPod เสียบหูไม่เปิดเฟซบุ๊ก ไปพร้อม ๆ กันเมื่อไม่เข้าใจหรือเกิดข้อสงสัย นักเรียน สามารถหยุดเพื่อกรอกลับและดูซ้ าจนเข้าใจได้นอกจากนี้ครูยังต้องสอนวิธีจดบันทึกหรือตั้งประเด็นที่ สนใจเพื่อน ามาอธิบายหรือค้นหาค าตอบภายหลังได้ครูสามารถตรวจสอบว่านักเรียนได้ศึกษาวีดิทัศน์ หรือไม่ด้วยวิธีการตั้งค าถามเพื่อให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นหรือการท าแบบทดสอบย่อย เพื่อเป็น การกระตุ้นให้นักเรียนตระหนักเสมอว่าตนก าลังเรียนรู้เนื้อหาสาระอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง เมื่ออยู่ในชั้นเรียนครูจะจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความสนใจของนักเรียนจนเกิดความรู้ จริงและมีการประเมินผลการเรียนรู้ว่าเป็นอย่างไร จากการศึกษาข้อมูลข้างต้น ผู้วิจัยจึงน าขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ของโจนาธาน เบิร์กแมน และ แอรอน แซมส์มาเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบห้องเรียนกลับด้านดังนี้ กิจกรรมนอกชั้นเรียน ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ครูศึกษาบทเรียน และเลือกบทเรียนที่สนใจน ามาออกแบบ แผนการสอน ก าหนดวัตถุประสงค์การสอนการเลือกใช้สื่อการสอน กิจกรรมเสริม ที่เหมาะสมกับวัย ผู้เรียน กับห้องเรียน และบริบทของโรงเรียนชี้แนะนักเรียนเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้ บอก
17 แหล่งความรู้ให้แก่นักเรียน และมีการตั้งค าถามกระตุ้นคิดให้นักเรียนมีความพร้อม มีความสนใจที่จะ ศึกษาค้นคว้า ขั้นที่ 2 เตรียมการสอน คุณครูอาจบันทึกการสอนของตัวเองหรือใช้บริการจากวิดีโอการสอนที่ มีเนื้อหาของบทเรียนครบตามตัวชี้วัด กิจกรรมในชั้นเรียน ขั้นที่ 3 ในขั้นตอนนี้ครูอาจสร้างกิจกรรม หรือแจกแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้นักเรียนได้ลอง ท าก่อนการสอนในห้องเรียน ขั้นที่ 4 แลกเปลี่ยน เพื่อสนับสนุนการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันคุณครูเปิดโอกาสให้เด็ก ๆได้ ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนและซักถาม จากเนื้อหาที่ได้ศึกษามาเพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ และการ สื่อสาร ขั้นที่ 5 แบ่งกลุ่มเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ตามที่วางแผนไว้ ครูแบ่งกลุ่มเพื่อให้นักเรียนได้ร่วมกัน ท างานในหัวข้อที่ครูมอบหมาย หรือช่วยกันเลือกหัวข้อในการท างานเพื่อให้เกิดทักษะการคิด สร้างสรรค์ และการท างานร่วมกัน ขั้นที่ 6 รวมกลุ่มกันอีกครั้งเพื่อน าเสนอผลงานกลุ่ม เปิดเวทีให้เพื่อน ๆ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็น และซักถาม 5. ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน วิจารณ์พานิช (2557:43) ได้สรุปประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ที่ Jonathan Bergmanand Aaron Sams กล่าวไว้ในหนังสือFlip Your Classroom : Reach Every Student in Every Class Every Day ดังนี้ 1. เพื่อเปลี่ยนวิธีการสอนของครูจากการบรรยายหน้าชั้นเรียนหรือจากครูสอนไปเป็นครูฝึก ฝึก การท าแบบฝึกหัดหรือท ากิจกรรมอื่นในชั้นเรียนให้แก่นักเรียนเป็นรายบุคคลหรืออาจเรียกว่าเป็นครู ติวเตอร์ 2. เพื่อใช้เทคโนโลยีการเรียนที่นักเรียนสมัยใหม่ชอบโดยใช้สื่อ ICT ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการน า โลกของโรงเรียนเข้าสู่โลกของนักเรียนซึ่งเป็นโลกยุคดิจิทัล 3. ช่วยเหลือเด็กที่มีงานยุ่งเด็กกิจกรรม ซึ่งช่วยเหลือในการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทสอนที่ช่วย ให้เด็กเรียนไว้ล่วงหน้าหรือเรียนตามชั้นเรียนได้ง่ายขึ้นรวมทั้งเป็นการฝึกเด็กให้รู้จักการจัดเวลาของ ตนเอง 4. ช่วยเหลือเด็กเรียนอ่อนให้ขวนขวายหาความรู้ในชั้นเรียนปกติเด็กเหล่านี้จะถูกทอดทิ้งแต่ใน ห้องเรียนกลับด้านเด็กจะได้รับการเอาใจใส่จากครูมากที่สุดโดยอัตโนมัติ 5. ช่วยเหลือเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันให้ก้าวหน้าในการเรียนตามความสามารถของ ตนเองเพราะเด็กสามารถฟังดูวีดิทัศน์ได้เองจะหยุดตรงไหนก็ได้กรอกลับได้ตามที่ตนเองพึงพอใจ
18 6. ช่วยให้เด็กสามารถหยุดและกรอกลับครูของตนเองได้ท าให้เด็กจัดเวลาเรียนตามที่ตนพอใจ เบื่อก็หยุดพักได้สามารถแบ่งเวลาในการดูเป็นช่วงได้ 7.ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับครูเพิ่มขึ้นตรงกันข้ามกับการที่เรียนแบบออนไลน์การ เรียนแบบห้องเรียนกลับด้านยังเป็นรูปแบบการเรียนที่นักเรียนยังคงมาโรงเรียนและนักเรียนพบปะกับ ครูห้องเรียนกลับด้านเป็นการประสานการใช้ประโยชน์ระหว่างการเรียนแบบออนไลน์และการเรียน ระบบพบหน้าช่วยเปลี่ยนและเพิ่มบทบาทของครูให้เป็นทั้งพี่เลี้ยงและผู้เชี่ยวชาญ 8. ช่วยให้ครูรู้จักนักเรียนดีขึ้นหน้าที่ของครูไม่ใช่เพียงช่วยให้ศิษย์ได้ความรู้หรือเนื้อหาแต่ต้อง กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจให้ก าลังใจ รับฟังและช่วยเหลือ ส่งเสริม นักเรียนซึ่งเป็นมิติส าคัญที่จะช่วย เสริมพัฒนาการทางการเรียนของเด็ก 9.ช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูจัด ประสบการณ์ขึ้นมานั้นนักเรียนสามารถที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้ดีเป็นการปรับเปลี่ยน กระบวนทัศน์ของนักเรียนที่เคยเรียนตามค าสั่งครูหรือท างานให้เสร็จตามก าหนดเป็นการเรียนเพื่อ ตนเองไม่ใช่คนอื่นส่งผลต่อเด็กที่เอาใจใส่การเรียน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกันจะเพิ่มขึ้นโดย อัตโนมัติ 10. ช่วยให้เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ตามปกติแล้วในชั้นเรียนเดียวกันจะมีเด็กที่มีความ แตกต่างกันมากมีความถนัดและความชอบที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจัดกิจกรรมการ สอนแบบห้องเรียนกลับทางจะช่วยให้ครูเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของ นักเรียนแต่ละคน เพื่อนด้วยกันก็เห็นและช่วยเหลือกันด้วยจุดแข็งของแต่ละคนเป็นการปรับเปลี่ยน รูปแบบการจัดการห้องเรียนช่วยเปิดช่องให้ครูสามารถจัดการชั้นเรียนได้ตามความต้องการที่จะท าครู สามารถท าหน้าที่ของการสอนที่ส าคัญในเชิงสร้างสรรค์เพื่อสร้างคุณภาพแก่ชั้นเรียน ช่วยให้เด็กรู้ อนาคตของชีวิตได้ดีที่สุด
19 งานวิจัยทีเกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการวิจัย ดังนี้ นิภา กู้พงศ์ศักดิ์ (2560) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเพื่อการสร้างสรรค์และ ความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้วิธีการสอนห้องเรียนกลับด้าน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเพื่อการสร้างสรรค์ จ านวน 3 เรื่อง ได้แก่ การใช้ค า ชื่อเรื่อง ภาพพจน์ หลังเรียนของวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านสูงกว่าวิธีการสอนแบบปกติอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเพื่อการสร้างสรรค์หัวข้อโวหารสูงกว่าอย่างไม่มี นัยส าคัญทางสถิติ 0.05 2) ความพึงพอใจต่อวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่า ผู้เรียนมีความ พึงพอใจอย่างมากใน 3 ด้านคือ 1) ด้านความรู้ความเข้าใจเนื้อหา พบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่มีความพึง พอใจโดยเรียงล าดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ 1.1) การเตรียมพร้อมก่อนเรียนท าให้เวลาเรียนมีความรู้ ความเข้าใจมากขึ้นกล่าวคือการที่ผู้สอนส่งไฟล์ข้อมูลมาให้ผู้เรียนได้ศึกษาก่อนเข้าเรียนท าให้ผู้เรียน เกิดการขวนขวายหาความรู้นอกห้องเรียนด้วยตนเอง ได้เตรียมความพร้อมเพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ สามารถท าความเข้าใจเนื้อหาหรือได้อ่านหนังสือมาล่วงหน้าขณะอยู่ในชั้นเรียนจะตั้งใจเรียนและมี ความรู้ความเข้าใจมากขึ้น 1.2) สามารถตอบค าถามหรือท ากิจกรรมได้ทันที 1.3) ท าให้เข้าใจเนื้อหา อย่างแท้จริงเพราะมีการทบทวนความรู้หลายรอบ 2) ด้านบรรยากาศการเรียน พบว่ามีความสุขและ สนุกกับการเรียนท าให้ผู้เรียนสนใจเรียนและเรียนอย่างมีความสุขกระตือรือร้นที่จะช่วยกันตอบค าถาม และแสดงความเห็นเพื่อให้ได้คะแนนโบนัสท าให้บรรยากาศในห้องดูตื่นเต้น สนุกสนานและน่าสนใจ ตลอดเวลา 3) ด้านการท ากิจกรรมกลุ่มพบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยเรียงล าดับจากมาก ไปหาน้อย 3.1)กิจกรรมกลุ่มฝึกให้ผู้เรียนมีความสามัคคี และความรับผิดชอบร่วมกัน 3.2) การ แบ่งกลุ่มท ากิจกรรมท าให้มีเพื่อนมากขึ้นท าให้ได้พบเพื่อนใหม่และมีเพื่อนมากขึ้น แม้บางคนจะเป็น เพื่อนใหม่ แต่ก็สามารถสนิทกันได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเวลาท างานทุกคนรับฟังความเห็นของกันและ กัน มีความรับผิดชอบร่วมกัน ช่วยสอนและทบทวนให้กันในจุดที่สงสัย สิรินาถ จงกลกลาง (2563) ศึกษาผลการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาผลการเรียนรู้ตามแนวคิด ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการจัดการเรียนรู้เน้นการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ หน่วยการเรียนรู้ ขลุ่ย บรรเลงเพลงเสนาะ ชองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1) พบว่าหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05และเมื่อประเมินเป็นรายครั้งพบว่าในภาพรวมมี ค่าเฉลี่ยการประเมินทักษะการปฏิบัติครั้งที่ 1อยู่ในระดับควรปรับปรุง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.59 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.70 และคิดเป็นร้อยละ 9.56 การประเมินทักษะการปฏิบัติครั้งที่ 7อยู่ใน
20 ระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.53 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.37และคิดเป็นร้อยละ 83.44 และมี ความก้าวหน้าเท่ากับ 19.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 73.88 เมื่อน าการประเมินทักษะการปฏิบัติครั้งที่ 1 (ก่อนเรียน) มาเปรียบเทียบกับการประเมินทักษะการปฏิบัติครั้งที่ 7 (หลังเรียน) 2) ผลการการ ปฏิบัติพบว่าหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในภาพรวมมี คุณภาพอยู่ที่ระดับผ่าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.04 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ1.15 และคิดเป็นร้อย ละ 94.35 และเมื่อพิจารณาคะแนนแยกเป็นรายองค์ประกอบพบว่าองค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ท่านั่ง 3) ความมีวินัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ในภาพรวมก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมาก อุรสา พรหมทา และสมชาย วงศา (2561) ศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับบทเรียนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ รายวิชาความเป็นครู ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับบทเรียน เครือข่ายสังคมออนไลน์ รายวิชาความเป็นครูพบว่า คะแนนประสิทธิภาพของกระบวนการเท่ากับ 84.75 และคะแนนประสิทธิภาพของผลลัพธ์ เท่ากับ 89.07 ดังนั้นประสิทธิภาพของการจัดการเรียน การสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับบทเรียนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) ผลการวิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ร่วมกับบทเรียนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ รายวิชาความเป็นครูผลรวมคะแนนของการทดสอบก่อน เรียนเท่ากับ 450 คะแนน ผลรวมคะแนนของการทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 678 คะแนน ได้ค่าดัชนี ประสิทธิผล เท่ากับ 0.72หมายความว่า นักศึกษา 25 คน 3) ผลความพึงพอใจของผู้เรียนหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับบทเรียนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ รายวิชาความเป็นครูรายวิชาความเป็นครูพบว่า ผลการวิเคราะห์ค่าความพึงพอใจของผู้เรียนหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับบทเรียนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ รายวิชาความเป็นครูส าหรับนักศึกษาปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ จ านวน 25 คนมีความพึงพอใจ โดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เสาวนีย์ คูณทา และจิตณรงค์ เอี่ยมสาอางค์ (2562) ศึกษาการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดห้องเรียนกลบด้านร่วมกบการโค้ชเพื่อส่งเสริมความสามารถในการสร้างเว็บไซต์ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัยพบว่า 1) พบว่ากิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า กิจกรรมการเรียนรู้ PICPE ประกอบด้วย5 ขั้นบันได ประเมินผลการเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียน) มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.77/80.94 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑเกณฑ์ที่ก าหนด 2)ผลการศึกษา ประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่านกเรียนมีความสามารถในการสร้างเว็บไซต์หลังการ จัดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 80 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยความสามารถในการ
21 สร้างเว็บไซต์กิจกรรมการเรียนรู้มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ( X = 32.38, S.D. = 2.96) โดยผู้เรียนมี ความสามารถในการออกแบบเว็บไซต์คือออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่มีความเหมาะสมมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์เน้นเนื้อหาที่น ามาสร้างเว็บไซต์มีความเหมาะสมครบถ้วนสมบูรณ์มีการใชรู้ปภาพที่ เหมาะสมเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นนมีความสวยงาม 2.1)ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมากที่สุดเมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่านักเรียนมีความคิดเห็นต่อ กิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุดทุกคนโดยมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการจัดบรรยากาศการ เรียนรู้( X = 4.93,S.D. = 0.21) ด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยรองลงมาคือด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการจด การเรียนรู้( X = 4.93,S.D. = 0.22) และด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ าสุดคือด้านบทบาทการโค้ช นริสรา เกิดพุ่ม และคณะ (2562) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัยโดยใช้การเรียนแบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับบทเรียนอีเลิร์นนิ่ง เรื่องกลไกลไฟฟ้า ผลการวิจัยพบว่า 1)ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนด้านทักษะการต่อบอร์ดและการเขียนโปรแกรมหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านร่วมกับบทเรียนอีเลิร์นนิงสูงกว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนก าหนดอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 เนื่องจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้และบทเรียนอีเลิร์นนิงที่มีคุณภาพท าให้นักเรียนเรียนรู้ด้วย ตนเองทุกที่ทุกเวลา เมื่อเข้าสู่การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนท าให้นักเรียนมีเวลาในการปฏิบัติการ ทดลองมากขึ้นรวมทั้งครูผู้สอนชี้แนะแนวทางและกระตุ้นเรียนรู้ให้นักเรียนแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของ Nawaphat Kemkaman ได้ท าการวิจัยเรื่องผลของการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียน กลับด้านด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่องการเขียนโปรแกรมแบบทางเลือกมีคะแนนมากกว่า ร้อยละ 75 กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ก าหนดกรอบแนวคิดไว้ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ทางการเรียน วิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. ความพึงพอใจของนักเรียน
บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผู้ศึกษาได้ด าเนินการตามล าดับ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง ประชำกร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณ วิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 252 คน กลุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 โรงเรียนสมานคุณ วิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จ านวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบ แบ่งกลุ่ม หน่วยในการสุ่ม คือ ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัยและกำรตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในกาวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องส านวนไทย 3. แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน
23 กำรสร้ำงและตรวจสอบคุณภำพเครื่องมือ ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบในการเก็บรวบรวมเครื่องมือด้วยตนเอง ได้แก่ 1. แผนกำรจัดกำรเรียนรู้เรื่องส ำนวนไทยโดยใช้วิธีกำรสอนแบบห้องเรียนกลับด้ำน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ ขอบข่ายของเนื้อหา ตัวชี้วัดวิชาภาษาไทย ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน สมานคุณวิทยาทาน เพื่อก าหนดขอบเขตเนื้อหา มาตรฐานและตัวชี้วัด สาระส าคัญ กิจกรรมการ เรียนรู้ สื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการและแนวทางการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ ห้องเรียนกลับด้าน จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียน กลับด้าน 1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยก าหนดเนื้อหาและขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ ดังตาราง ตารางที่ 1 ก าหนดเนื้อหาในการจัดการเรียนรู้ แผน เนื้อหำ จ ำนวนคำบ 1 ความหมายและที่มาของส านวนไทย 1 2 ลักษณะและคุณค่าของส านวนไทย 1 3 วิธีใช้ส านวนไทยและตัวอย่างส านวนไทย 1 4 ทบทวนเนื้อหาและทดสอบหลังเรียน 1 รวมทั้งหมด 4 1.4 ศึกษาขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน 1.4.1 ศึกษาหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ ขอบข่ายของเนื้อหา ตัวชี้วัดวิชาภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธสักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษาของ โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน เพื่อก าหนดขอบเขตเนื้อหา มาตรฐานและตัวชี้วัด สาระส าคัญ กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1.4.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการและแนวทางการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบห้องเรียนกลับด้าน จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ
24 ห้องเรียนกลับด้าน 1.4.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้าน โดยก าหนดเนื้อหาและขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ กิจกรรมนอกชั้นเรียน ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ครูศึกษาบทเรียน และเลือกบทเรียนที่สนใจน ามา ออกแบบแผนการสอน ก าหนดวัตถุประสงค์การสอนการเลือกใช้สื่อการสอน กิจกรรมเสริม ที่ เหมาะสมกับวัยผู้เรียน กับห้องเรียน และบริบทของโรงเรียนชี้แนะนักเรียนเกี่ยวกบรูปแบบการจัดการ เรียนรู้ บอกแหล่งความรู้ให้แก่นักเรียน และมีการตั้งค าถามกระตุ้นคิดให้นักเรียนมีความพร้อม มี ความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้า ขั้นที่ 2 เตรียมการสอน คุณครูอาจบันทึกการสอนของตัวเองหรือใช้บริการจากวิดีโอการ สอนที่มีเนื้อหาของบทเรียนครบตามตัวชี้วัด กิจกรรมในชั้นเรียน ขั้นที่ 3 ในขั้นตอนนี้ครูอาจสร้างกิจกรรม หรือแจกแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้ นักเรียนได้ลองท าก่อนการสอนในห้องเรียน ขั้นที่ 4 แลกเปลี่ยน เพื่อสนับสนุนการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันคุณครูเปิดโอกาสให้ เด็ก ๆได้ร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนและซักถาม จากเนื้อหาที่ได้ศึกษามาเพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ และการสื่อสาร ขั้นที่ 5 แบ่งกลุ่มเพื่อให้ได้ผลสัมฤทธิ์ตามที่วางแผนไว้ ครูแบ่งกลุ่มเพื่อให้นักเรียนได้ ร่วมกันท างานในหัวข้อที่ครูมอบหมาย หรือช่วยกันเลือกหัวข้อในการท างานเพื่อให้เกิดทักษะการคิด สร้างสรรค์ และการท างานร่วมกัน ขั้นที่ 6 รวมกลุ่มกันอีกครั้งเพื่อน าเสนอผลงานกลุ่ม เปิดเวทีให้เพื่อน ๆ ร่วมกันแสดง ความคิดเห็น และซักถาม 1.5 น าแผนการจัดการเรียรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นเสนอ ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน เพื่อพิจารณาความถูกต้องเหมาะสมของเนื้อหา ความสอดคล้องของ จุดประสงค์กับกระบวนการเรียนรู้ จากนั้นน ามาปรับปรุงตามข้อเสนอแนะ โดยพิจารณาค่าดัชนีความ สอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ (ค่า IOC) ซึ่งมีเกณฑ์การพิจารณา ดังนี้ ให้คะแนนเท่ากับ +1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ ให้คะแนนเท่ากับ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ ให้คะแนนเท่ากับ -1 เมื่อไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับจุดประสงค์ จากนั้นค านวณค่า IOC จากสูตร
25 = ∑ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้กับจุดประสงค์ ∑ หมายถึง ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N หมายถึง จ านวนผู้เชี่ยวชาญ ค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ .50 ขึ้นไป ถือว่ามือความสอดคล้องกันในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ จากนั้นน าผลคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 คน มาวิเคราะห์ความสอดคล้อง ผลการ ประเมินความสอดคล้องปรากฏว่าแผนการจัดการเรียนรู้ 1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านไปปรับปรุงแก้ไขใหม่แล้ว ทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน จ านวน 1 ห้องเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างในการทดลอง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของกิจกรรมและระยะเวลาแต่ละขั้นตอนการ จัดการเรียนรู้มีดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.99 ซึ่งเป็นค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแผนการ จัดการเรียนรู้ที่เชื่อมั่นได้ส าหรับน าไปทดลองใช้กับผู้เรียน ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะข้อบกพร่อง ดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2 สรุปผลการแก้ไขปัญหาข้อพกพร่องทางข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ข้อบกพร่อง กำรปรับปรุงแก้ไข - ผู้เชี่ยวชาญแนะน าให้ไปปรับเรื่องการใช้ภาษา ที่ซับซ้อนในการจัดการเรียนรู้ออก - ผู้วิจัยได้ปรับการใช้ภาษาที่ซับซ้อนออกแล้ว ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้แนะน า 1.7 น าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านที่ปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน เรื่องส ำนวนไทย ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนที่ จัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน 2.1 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.2 ศึกษาวิธีสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการหาคุณภาพของเครื่องมือ วัดผลและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย จ านวน 30 ข้อ ตามตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยมีเกณฑ์คะแนน ตอบถูกให้ 1 คะแนน และตอบผิดให้ 0
26 คะแนน 2.4 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นไปเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ตรวจ ความถูกต้อง และแก้ไขปรับปรุงตามค าแนะน า และเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง 2.5 น าแบบทดสอบที่ผ่านการแก้ไขปรับปรุงแล้ว เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 3 คน เพื่อดู ความเที่ยงตรงของเนื้อหาและจุดประสงค์ของการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา IOC (Index of Item - Objective Congruence) ซึ่งจะน าความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิมาแปลง เป็นคะแนน ดังนี้ หากมีความคิดเห็นว่าสอดคล้อง ก าหนดคะแนนเป็น +1 หากมีความคิดเห็นว่าไม่แน่ใจ ก าหนดคะแนนเป็น 0 หากมีความคิดเห็นว่าไม่สอดคล้อง ก าหนดคะแนนเป็น -1 ผู้วิจัยน าคะแนนการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิมาแทนค่าในสูตรเพื่อค านวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ถ้ามีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ 2.6 น าผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละข้อไปหาค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) โดย ผู้วิจัยคัดเลือกข้อที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 หมายความว่าข้อสอบนั้น มี ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ข้อสอบที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 0.00 ถึง 1 ปรากฏว่าข้อสอบ จ านวน 40 ข้อที่มีค่าดัชนีความ สอดคล้องเท่ากับ 0.00 จ านวน 3 ข้อ และมีค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67 จ านวน 7 ข้อ และมีค่าดัชนี ความสอดคล้อง 1.00 จ านวน 30 ข้อ อยู่ในเกณฑ์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาที่สามารถน าไปใช้ ผู้วิจัย จึงน าไปใช้เป็นแบบทดสอบ จ านวน 30 ข้อ 2.7 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณ อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างซึ่งผ่านการเรียนเรื่องส านวนไทย มาแล้ว จ านวน 40 คน ให้ท าแบบทดสอบแล้วตรวจค าตอบ โดยข้อที่ตอบถูกให้ 1 คะแนน ข้อที่ตอบ ผิด หรือไม่ตอบ หรือตอบมากกว่า 1 ตัวเลือกในข้อเดียวกันให้ 0 คะแนน 2.8 น าคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) เป็นรายข้อ โดยใช้สูตรของเบรนแนน (บุญชม ศรีสะอาด.2556:90) พบว่าข้อสอบจ านวน 40 ข้อที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี ค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.60 – 0.80 และค่าอ านาจจ าแนก (r) ตั้งแต่ 0.51 – 0.80 เข้าเกณฑ์ที่ ยอมรับได้ซึ่งที่ก าหนดไว้ว่าข้อสอบที่ดีควรมีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 – 0.80 และค่าอ านาจ จ าแนก (r) ตั้ง 0.20 ขึ้นไป ข้อสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจึงผ่านเกณฑ์การคัดเลือกทั้งหมด 38 ข้อ แต่ผู้วิจัย เลือกมา 30 ข้อ โดยค านึงถึงจุดประสงค์กาเรียนรู้ด้วยที่สามรถน าไปใช้ได้ 2.9 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีประสิทธิภาพแล้วไปทดสอบกับผู้เรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง
27 3. แบบสอบถำมควำมพึงพอใจในกำรจัดกำรเรียนรู้เรื่องส ำนวนไทย โดยใช้วิธีกำรสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้ำน 3.1 การสร้างแบบวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยการสร้างแบบ ประเมินความพึงพอใจด าเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจ 3.1.2 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) ตามแบบของลิเคิร์ท (Likert’s Rating Scale) มี 5 ระดับ ) มี 5 ระดับ ซึ่งก าหนดความคิดเห็น ดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง เห็นด้วยมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง เห็นด้วยมาก ระดับ 3 หมายถึง เห็นด้วยปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง เห็นด้วยน้อย ระดับ 1 หมายถึง เห็นด้วยน้อยที่สุด 3.1.3 น าแบบประเมินความพึงพอใจเสนอผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน เพื่อตรวจสอบค่า ดัชนีความสอดคล้องหรือค่า IOC ของผู้เชี่ยวชาญในการพิจารณาแบบประเมินความพึงพอใจกับควา คิดเห็นของผู้ประเมิน 3.1.4 น าแบบประเมินความพึงพอใจมาปรับปรุงแก้ไขตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ แล้วน าไปให้นักเรียนโรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ตอบแบบประเมินความพึงพอใจ 3.1.5 น าผลการตอบแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนพิจารณาหาค่าเฉลี่ยโดย ใช้เกณฑ์ในการแปลความหมายของข้อมูลการประเมิน ดังนี้ ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับมาก ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับน้อย ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจระดับน้อยที่สุด ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ที่ประเมินโดยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดการ เรียนรู้ เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X̅=4.50,S.D.=0.66)
28 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ดังนี้ 1. ติดต่อประสานงานผู้อ านวนการและคุณครูที่เกี่ยวข้อกับโรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมทั้งศึกษางานวิจัย และผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือเพื่อปรึกษาหรือ ขอความช่วยเหลือในการท าวิจัย 2. ด าเนินการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยทดลองเก็บรวบรวมข้อมูลจากการเรียนโดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน 3. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทยไปทดสอบก่อนเรียน (pre-test) กับกลุ่มตัวอย่างแล้วรวบรวมคะแนนผลสัมฤทธิ์ของกลุ่มตัวอย่างโดยบันทึกลงตารางที่ ก าหนดไว้ 2. ผู้วิจัยด าเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน เรื่องส านวน ไทย จ านวน 4 คาบเรียน คาบเรียนละ 1 ชั่วโมง 3. น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย จ านวน 30 ข้อ ฉบับ เดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการเรียนไปทดสอบหลังการเรียน (post-test) กับกลุ่มตัวอย่างอีกครั้ง หนึ่งและตอบแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนภาษาไทย เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน จ านวน 10 ข้อ เพื่อน าผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป 4. น าคะแนนที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบค่า (t-test) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่องส านวนไทย ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กำรวิเครำะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน าข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติโดยใช้สูตรทางสถิติ ต่าง ๆ ดังนี้ 1.เปรียบเทียบผลทางการเรียนรู้จากการท าแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องส านวน ไทย ของนักเรียนกลุ่มทดลองด้วยการหาค่า t-test ส าหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน 2. วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จากแบบประเมิน ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ด้วยการใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean : x̅ ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: S.D.) ส าหรับวิเคราะห์การ
29 กระจายการเลือกระดับความเหมาะสม และจากนั้นน าค่าเฉลี่ยไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์การ ประเมินผล สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้ 1. ค่ำเฉลี่ย (Mean) ใช้สูตร ดังนี้ ̅ = ∑ x̅แทน คะแนนเฉลี่ย ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จ านวนคน 2. ค่ำ IOC ใช้สูตร ดังนี้ IOC = ∑ IOC หมายถึง ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับวัตถุประสงค์ R หมายถึง คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ∑ หมายถึง ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน N หมายถึง จ านวนผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งค่า IOC ของค าถามที่น ามาใช้ในแบบทดสอบมีค่าความสอดคล้องอยู่ที่ 1.00 3.ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation: S.D.) ใช้สูตร ดังนี้ = √ ∑ −(∑ ) (−)
30 S แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนน N แทน จ านวนคน Σ แทน ผลรวม 4. ค่ำ t-test ส ำหรับกลุ่มตัวอย่ำงที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent) จำกสูตร ดังนี้ t = ∑ √ ∑ D 2−(∑ 2) ( −1) Df = (n-1) สัญลักษณ์ในสูตร t-test (Dependent) มีความหมาย ดังนี้ (ดูประกอบตาราง) t = การทดสอบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน D = ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนแต่ละคน Σ = ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนทุกคน n-1 = จ านวนคู่ (คะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน) หรือจ านวนนักเรียนทั้งหมด ลบด้วย 1 5. กำรหำค่ำอ ำนำจจ ำแนก ใช้สูตร ดังนี้ = − แทน ค่าอ านาจจ าแนก แทน จ านวนนักเรียนในกลุ่มสูงที่ตอบถูก แทน จ านวนนักเรียนในกลุ่มต่ าที่ตอบถูก N แทน จ านวนนักเรียนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ า
31 6. กำรค่ำควำมยำกง่ำย ใช้สูตร ดังนี้ = แทน ความยากง่ายของแบบทดสอบ แทน จ านวนนักเรียนที่ตอบถูก แทน จ านวนนักเรียนทั้งหมด
บทที่ 4 ผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทานผู้วิจัยได้ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยน าเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดย ใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องส านวนไทย แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้าน น าไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจ านวน 40 คน โดยทดสอบก่อนและหลังการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้และสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มทดลอง โดยใช้ แบบสอบถามความพึงพอใจ เพื่อเป็นวัตถุประสงค์และข้อค าถามในการวิจัย ผู้วิจัยได้ด าเนินการและ เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ส านวนไทย โดยแสดงรายละเอียดของผลการวิจัยแต่ละตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตารางที่ 3 ผลเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน การทดสอบ จ านวน () คะแนนเต็ม (30) ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) t Sig. ก่อนเรียน 40 30 16.83 1.19 20.61 .000 หลังเรียน 40 30 26.28 3.26
33 จากตารางที่ 3 พบว่าผลการทดสอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน จ านวน 40 คน ด้วยข้อสอบแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก แบบฉบับเดียว สอบก่อน เรียนและหลังเรียน จ านวน 30 ข้อ โดยทดสอบก่อนเรียน มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ (X̅=16.83) และ ทดสอบหลังเรียน มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ (X̅=26.28) และน าคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยแบบทดสอบ เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปรียบเทียบโดยการทดสอบค่า (t) พบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียน สูง กว่าก่อนเรียน โดยค่า (t) เท่ากับ 20.61 คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ตอนที่ 2 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ส านวนไทย ตารางที่ 4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้าน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รายการประเมิน ผลการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย ( x̅ ) ส่วนเบี่ยงเบน มาตราฐาน (S.D.) แปลผล ล าดับ 1. บรรยากาศการเรียนขณะเรียนเป็นกันเอง นักเรียนสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรมทุก ขั้นตอน 4.67 0.62 มากที่สุด 3 2. ครูเป็นกันเองกับนักเรียนและช่วยส่งเสริม ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัด กิจกรรม 4.33 0.75 มาก 6 3. นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม 4.17 0.90 มาก 7 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ 4.67 0.62 มากที่สุด 3 5. กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง ส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน 4.42 0.76 มาก 5
34 รายการประเมิน ผลการวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย ( x̅ ) ส่วนเบี่ยงเบน มาตราฐาน (S.D.) แปลผล ล าดับ กลับด้าน ช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาด้าน การเรียนและท าให้สรุปบทเรียนได้ด้วยตนเอง 4.42 0.76 มาก 5 6. กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง ส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านช่วยให้นักเรียนสามารถจัดระบบ ความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย 4.71 0.61 มากที่สุด 2 7. กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง ส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับ เนื้อหาที่เรียน 4.46 0.82 มาก 4 8. กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง ส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านช่วยพัฒนาความสามารถด้านการ เรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยของ นักเรียนได้ดีขึ้น 4.79 0.58 มากที่สุด 1 9. นักเรียนมีทักษะในการท างานร่วมกับผู้อื่น 4.46 0.82 มาก 4 10. นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่าง อิสระ และได้แลกเปลี่ยนความรู้ 4.46 0.82 มาก 4 รวม 4.50 0.66 มาก - จากตารางที่ 4 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่าความพึงพอใจของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X̅=4.50,S.D.=0.66) เมื่อพิจารณาเป็นข้อพบว่า นักเรียนเห็นด้วยกับการใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน โดยเรียงตามอันดับดังนี้
35 อันดับที่ 1 กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านช่วยพัฒนาความสามารถด้านการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยของนักเรียนได้ดีขึ้น ซึ่ง มีค่าเท่ากับ ( X̅=4.79,S.D.=0.58) อันดับที่ 2 กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านช่วยให้นักเรียนสามารถจัดระบบความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งมีค่าเท่ากับ ( X̅=4.71, S.D.=0.61) อันดับที่ 3 บรรยากาศการเรียนขณะเรียนเป็นกันเอง นักเรียนสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรม ทุกขั้นตอน และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งมีค่าเท่ากับ ( X̅=4.67,S.D.=0.62) อันดับที่ 4 กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้านช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนมีทักษะในการท างานร่วมกับ ผู้อื่น และนักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งมีค่าเท่ากับ ( X̅=4.46,S.D.=0.82) อันดับที่ 5 กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียน กลับด้าน ช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาด้านการเรียนและท าให้สรุปบทเรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีค่า เท่ากับ ( X̅=4.42,S.D.=0.76) อันดับที่ 6 ครูเป็นกันเองกับนักเรียนและช่วยส่งเสริมให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการ จัดกิจกรรม ซึ่งมีค่าเท่ากับ ( X̅=4.33,S.D.=0.75) อันดับที่ 7 นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม ซึ่งมีค่าเท่ากับ ( X̅=4.17,S.D.=0.90)
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผู้วิจัยมีการน าเสนอการอภิปรายผลการวิจัยดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอน แบบห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ส านวนไทยโดยใช้วิธิการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา มีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดี ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณ วิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 252 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 โรงเรียนสมานคุณ วิทยาทาน อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จ านวน 40 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบ แบ่งกลุ่ม หน่วยในการสุ่ม คือ ห้องเรียน
37 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในกาวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องส านวนไทย 3. แบบสอบถามความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน สรุป ผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีคะแนนผลสัมฤทธิ์คะแนนเฉลี่ย หลังเรียน ( X̅=26.28,S.D.=3.26) สูงกว่า ก่อนเรียน ( X̅=16.83,S.D.=1.19) แตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน หลังการทดลอง พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( X̅=4.50,S.D.=0.66) อภิปรายผลการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ส านวนไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน พบว่ามีคะแนน ผลสัมฤทธิ์คะแนนเฉลี่ย หลังเรียน ( X̅=26.28,S.D.=3.26) สูงกว่าก่อนเรียน ( X̅=16.83,S.D.=1.19) ซึ่งยอมรับสมมติฐานของการวิจัยที่ก าหนดไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมากจากการวิเคราะห์ผู้เรียนร่วมกับน า ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา น าเนื้อหาที่จะใช้สอนมาวิเคราะห์เพื่อสร้าง แบบทดสอบโดยวิเคราะห์จากเนื้อหาและ วัตถุประสงค์พร้อมก าหนดข้อสอบทั้งหมดที่สร้างขึ้นให้ ครอบคลุมและสอดคล้องกับเนื้อหาที่ใช้สอนผ่านการตรวจสอบหาค่าดัชนีความสอดคล้องจาก ผู้เชี่ยวชาญ ได้ข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์น ามาใช้ในกิจกรรมการสอนที่ใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ได้จัดเนื้อหาบทเรียนเป็นขั้นตอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาบทเรียนได้อย่างเข้าใจ ท าให้
38 สภาพแวดล้อมการเรียนรู้เป็นห้องที่เปิดกว้างนักเรียนสามารถจัดสรรช่วงเวลาที่ต้องการศึกษาได้ด้วย ตนเองตามความสะดวกของตนเอง และเป็นประโยชน์ ที่สอดคล้องกับงานวิจัยของ นริสรา เกิดพุ่ม และคณะ (2562) ที่กล่าวไว้ว่า นักเรียน ที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน เรื่องกลไกล ไฟฟ้า มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องส านวน ไทยโดยใช้วิธิการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการ สอนอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ( X̅=4.50,S.D.=0.66) เมื่อพิจารณา เป็นข้อพบว่า กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้านช่วยพัฒนาความสามารถด้านการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยของนักเรียนได้ดีขึ้น มีความ พึงพอใจเป็นอันดับสูงสุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ(X̅=4.79,S.D.=0.58) และ อันดับที่ 2 คือ กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้านช่วยให้นักเรียนสามารถจัดระบบความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ ( X̅=4.71, S.D.=0.61) และอันดับที่ 3 บรรยากาศการเรียนขณะเรียนเป็นกันเอง นักเรียนสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรมทุกขั้นตอน และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ (X̅=4.67,S.D.=0.62) และรองลงมาอันดับที่ 4 กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวนไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านช่วยให้ นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน นักเรียนมีทักษะในการท างานร่วมกับผู้อื่น และนักเรียน สามารถแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และได้แลกเปลี่ยนความรู้มีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ ( X̅=4.46,S.D.=0.82) และอันดับที่ 5 กิจกรรมการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องส านวน ไทยโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาด้านการเรียนและท าให้ สรุปบทเรียนได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานเท่ากับ ( X̅=4.42,S.D.=0.76) และอันดับที่ 6 ครูเป็นกันเองกับนักเรียนและช่วยส่งเสริมให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัด กิจกรรมซึ่งมีค่าเท่ากับ (X̅=4.33,S.D.=0.75) และอันดับที่ 7 นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม ซึ่ง มีค่าเท่ากับ(X̅=4.17,S.D.=0.90) ซึ่งยอมรับกับสมมติฐานของการวิจัยที่ได้ก าหนดไว้ โดยความพึง พอใจของนักเรียนอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก กิจกรรมการจัดการเรียนการสอน โดยใช้วิธี สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน มีบรรยากาศที่ดีในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ทั้งในชั้นเรียนและ นอกชั้นเรียน ซึ่งกิจกรรมในชั้นเรียน ผู้สอนเน้นกระบวนการส่งเสริม ให้ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจ ซึ่ง เนื้อหาในการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนทั้งหมดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ และ
39 ในห้องเรียนมีเวลา 1 ชั่วโมง และผู้เรียนมีเวลาศึกษาบทเรียนอย่างอิสระ เมื่อมาเรียนในห้องเรียน ผู้เรียนจะเข้าใจบทเรียนเป็นอย่างดี ด้วยตนเอง โดยใช้เวลานอกห้องเรียนในการศึกษา ก่อนที่จะเข้าสู่ เนื้อหาใหม่ ผู้เรียนมีการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าห้องเรียน และเนื่องจากเนื้อหาที่ใช้สอนเรื่อง ส านวนไทย เป็นเรื่องใกล้ตัวและมีความเกี่ยวข้องกับผู้เรียนโดยตรง ผู้จึงมีความเข้าใจบทเรียนได้เป็น อย่างดี เพราะผู้เรียนมีเวลาศึกษาบทเรียนอย่างอิสระตามขั้นตอนของทฤษฎีห้องเรียนกลับด้าน ผลการวิจัยพบว่า ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะของผู้เรียนสิ่งที่ผู้เรียนได้ประโยชน์ คือได้พัฒนาทักษะด้าน การเรียนภาษาไทยของนักเรียนได้ดีขึ้น และมีทักษะในการจัดระบบความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย และ การค้นคว้าข้อมูล การศึกษาความรู้ด้วยตนเองและการท างานเป็นกลุ่ม รวมทั้งสามารถน าความรู้ที่ได้ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันได้และผู้เรียนมีเวลาศึกษาบทเรียนอย่างอิสระ เมื่อมาเรียนในห้องเรียน ผู้เรียนจะเข้าใจบทเรียนเป็นอย่างดี ด้วยตนเอง โดยใช้เวลานอกห้องเรียนในการศึกษา ก่อนที่จะเข้าสู่ เนื้อหาใหม่ ผู้เรียนมีการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าห้องเรียน และเนื่องจากเนื้อหาที่ใช้สอนเรื่อง ส านวนไทย เป็นเรื่องใกล้ตัวและมีความเกี่ยวข้องกับผู้เรียนโดยตรง ผู้จึงมีความเข้าใจบทเรียนได้เป็น อย่างดี เพราะผู้เรียนมีเวลาศึกษาบทเรียนอย่างอิสระตามขั้นตอนของทฤษฎีห้องเรียนกลับด้าน ผลการวิจัยพบว่า ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะของผู้เรียนสิ่งที่ผู้เรียนได้ประโยชน์ คือได้พัฒนาทักษะด้าน การเรียนภาษาไทยของนักเรียนได้ดีขึ้น และมีทักษะในการจัดระบบความคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย และ การค้นคว้าข้อมูล การศึกษาความรู้ด้วยตนเองและการท างานเป็นกลุ่ม รวมทั้งสามารถน าความรู้ที่ได้ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ที่สอดคล้องกับงานวิจัยของ อุรสา พรหมทา และสมชาย วงศา (2562) ที่ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านนร่วมกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ รายวิชาเป็นครู ผลการวิจัยพบว่าความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจโดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 1. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านผู้สอนควร เสริมแรงกระตุ้นจูงใจ และก ากับขั้นตอนต่าง ๆ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่ส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดการค้นคว้าหาค าตอบ 2. การเตรียมความพร้อมของผู้เรียน และความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ จะต้องมี ความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน 3. ผู้สอนจะต้องศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ และบรรลุตามจุดประสงค์ของผู้สอน
40 4. จากผลการวิจัยพบว่าระหว่างการด าเนินกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนนั้น ผู้สอนจะต้อง มีการแบ่งเวลาที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้พอเหมาะสมในการสอน ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านควรเป็นกิจกรรมที่มีความ แปลกใหม่และเข้ากับวิถีชีวิตของผู้เรียนเป็นปัจจุบันและอนาคต เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจ 2. ควรมีการวิจัยเปรียบเทียบผลการเรียนและทักษะอื่น ๆ ที่จ าเป็นในการเรียนรู้ระหว่างการ สอน โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านกับรูปแบบโดยใช้วิธีการสอนแบบอื่น ๆ 3. ควรประยุกต์ใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับการเรียนรู้ในรูปแบบอื่น
41 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับปรับปรุง. (2560).หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. จิราภรณ์ พาณิช. (2557). ผลการสอนโดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทางของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1.วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการ สอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาราชภัฏอุดรธานี. ดารณี ดีทวี. (2550). การสอนเขียนภาษาไทยแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้โดยวิธี สอนเขียนจากส านวนไทย.กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. นิภา กู้พงศ์ศักดิ์ (2560). ). การพัฒนาชุดการเรียนด้วยตนเองสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนาคประสิทธิ์อ าเภอสาม พราน จังหวัดนครปฐม. ธนาการ จันสว่าง. (2560). การพัฒนาทักษะการเรียนเรื่องส านวนไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1.โรงเรียนสตรี 2 อ าเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี. ปราณี กองจินดา. (2549). วิธีสอนส าหรับครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2545). ภาษาไทยน่าศึกษาหาค าตอบ. กรุงเทพฯ : ส านักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา ส านักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ. ลักขณา สวัฒน์. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่องส านวนไทย ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกประอบการเรียน. วิจารณ์ พาณิช. (2556). การพัฒนาหลักสูตร. กรุงเทพฯ : สุริวิยาสนาส์น. เสาวนีย์ คูหา. (2562). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทาง ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขา เคมีมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. อุสา พรหม และสมชายวงศา. (2561). ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้าน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปทุมวิไล อ าเภอเมือง จันทบุรี.
ภาคผนวก
1 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา