12. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 13. บันทึกผลหลังการสอน ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง .......
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การจัดการข้อมูลและสารสนเทศ เวลา 9 ชั่วโมง เรื่อง การใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ เวลา 3 ชั่วโมง รายวิชา คอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1. ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้น ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 5. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ จัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ 6. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ใช้ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมในการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ และตรงวัตถุประสงค์การใช้งานได้(K,P) 2. ตระหนักถึงข้อมูลที่นำเสนอว่าไม่ควรส่งผลกระทบต่อผู้อื่น (A) 3. สาระสำคัญ การจัดการข้อมูลและสารสนเทศมีการนำซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาช่วยในการจัดการข้อมูล โดยมีทั้ง ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล และซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการ นำเสนอข้อมูล เพื่อการจัดการข้อมูลและสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ 4. สาระการเรียนรู้ 1. ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 2. ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล 3. ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสร้างและนำเสนอข้อมูล 5. รูปแบบการสอน/วิธีการสอน 1. วิธีการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม (Group Process–Based Instruction) 2. รูปแบบการสอนแบบการอภิปราย
6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะ 4Cs ทักษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration Skill) ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) 8. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์ สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 9. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นนำ (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากคาบที่ผ่านมาในการรวบรวมข้อมูลนักเรียนใช้เครื่องมือใดในการรวบรวมข้อมูล บ้าง (แนวคำตอบ ใช้แบบสอบถาม ใช้โปรแกรม Excel ใช้Google Forms) 2. ครูถามนักเรียนว่ากลุ่มที่ใช้แบบสอบถาม หรือใช้วิธีการสัมภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้นต้องใช้ ระยะเวลาหนึ่งเพื่อเก็บข้อมูลต่อกลุ่มตัวอย่างหนึ่งคน หากมีวิธีที่จะลดเวลาในขั้นตอนนี้ลงเพื่อเอาเวลาไปใช้ ในการทำงานขั้นตอนอื่นที่อาจมีประโยชน์กว่าจะส่งผลดีต่อการทำงานหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ ดีเพราะนำเวลาที่เหลือไปทำงานที่มีความซับซ้อนมากกว่า ดีเพราะลดเวลาในการรวบรวม ข้อมูลอาจทำให้ได้ข้อมูลที่มากขึ้นเท่าตัว) ขั้นสอน (40 นาที) 1. ครูอธิบายว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลมีให้เลือกใช้งานหลากหลาย และมีความสำคัญในขั้นตอน การรวบรวมข้อมูลที่มีปริมาณข้อมูลจำนวนมาก หรือต้องการความรวดเร็ว
2. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 บริษัท หน้า18 เรื่อง ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล เพื่อใช้จัดเก็บรวบรวมข้อมูลตามที่ต้องการ โดยมีซอฟต์แวร์ที่ น่าสนใจ ได้แก่ ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งอยู่บนคอมพิวเตอร์ เช่น Microsoft word และซอฟต์แวร์ที่ใช้งานผ่าน อินเทอร์เน็ต เช่น Google Docs, Google Forms 3. ครูยกตัวอย่างซอฟต์แวร์ที่ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต คือ Google Forms เป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกใช้งานอย่าง แพร่หลาย ใช้งานง่ายและมีประโยชน์ในการทำงาน โดยครูให้นักเรียนทดลองเป็นผู้ตอบแบบสอบถามใน กิจกรรมต่อไป เพื่อเป็นตัวอย่างการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ 1) ครูให้นักเรียนตอบแบบสอบถามใน Google Forms จากกิจกรรม “อาชีพในอนาคต” ที่ครูเตรียมไว้ให้ 2) ครูเปิดแบบสอบถามจากกิจกรรม “อาชีพในอนาคต” จากนั้นไปที่แท็บ “การตอบกลับ” และเปิดแท็บ “ข้อมูลสรุป” เพื่อให้นักเรียนเห็นประโยชน์ ความสะดวกในการประมวลผลข้อมูลด้วย Google Forms
3) ครูอธิบายขั้นตอนการนำแผนภูมิจาก Google Forms ไปใช้เพื่อการนำเสนอข้อมูล ซึ่งสามารถทำได้โดย การคลิกที่ปุ่มคัดลอกแผนภูมิที่อยู่ทางขวาของหัวข้อจากนั้นนำไปวางในโปรแกรมนำเสนอที่ต้องการ เช่น PowerPoint, Google Slide, Keynote 4. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากตัวอย่างที่ครูใช้งาน Google Forms นักเรียนคิดว่ามีข้อดีอย่างไรบ้าง (แนวคำตอบ ใช้งานง่าย ประมวลผลให้ทันที นำแผนภูมิไปนำเสนองานได้ทันที) 5. ครูอธิบายความสำคัญการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับงาน และวัตถุประสงค์ เช่น ตัวอย่างการรวบรวบ ข้อมูลครูเลือกใช้ Google Forms เนื่องจากสามารถประมวลผลข้อมูลให้ได้ทันที และสามารถนำแผนภูมิไป ใช้ในการนำเสนองานต่อได้จึงลดเวลาการทำงานได้มาก 6. ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างโปรแกรมที่สามารถใช้โปรแกรมในการประมวลผลข้อมูล หรือการสร้างและ นำเสนอข้อมูลได้ (แนวคำตอบ Microsoft Excel)
7. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า19 เรื่อง ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล และซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับสร้างและนำเสนอข้อมูล ขั้นสอน (50นาที) 8. ครูสอบถามนักเรียนว่า จากคาบที่แล้วครูยกตัวอย่างการใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ พร้อมทั้งอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนเพิ่มเติม นักเรียนคิดว่าตนเองมีความถนัดในการใช้ซอฟต์แวร์ใดเพื่อ ใช้ในการสร้างและนำเสนอข้อมูลบ้าง (แนวคำตอบ Keynote, PowerPoint, Google Slide) 9. จากกิจกรรมที่ครูให้นักเรียนหาข้อมูลว่าถ้าต้องการทำงาน 5 อาชีพในฝันนี้นักเรียนควรเรียนคณะอะไร ค่าเฉลี่ยเทอมละเท่าไร รวบรวมข้อมูลอย่างน้อย 6 มหาวิทยาลัยขึ้นไป (แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ชั่วโมง ที่ 4) ในคาบเรียนนี้ให้นักเรียนนำข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลและประมวลผลข้อมูลไว้ มาเตรียมนำเสนอทีละ กลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มเลือกใช้ซอฟต์แวร์ตามความถนัดและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่จะใช้งาน ขั้นสอน (40นาที) 10. ครูให้แต่ละกลุ่ม นำเสนองานหน้าชั้นเรียน 11. ครูสอบถามนักเรียนแต่ละกลุ่มว่าจากการประมวลผลมีมหาวิทยาลัยใดที่น่าเรียนต่อบ้าง เพราะอะไร ขั้นสรุป (10นาที) 1. ครูให้นักเรียนช่วยกันสรุปประโยชน์จากการนำข้อมูลมาประมวลผล 10. สื่อแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การจัดการข้อมูลและสารสนเทศ 2. คอมพิวเตอร์ 3. ใบความรู้ เรื่อง การใช้ Google Forms
11. การวัดและการประเมินผล 11.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรม จุดประสงค์ วิธีการประเมิน เครื่องมือการประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1. เลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่ เหมาะสมในการจัดการ ข้อมูลและสารสนเทศ ตามวัตถุประสงค์ได้ (K,P) ประเมินการนำเสนอ อาชีพ แบบประเมินการ นำเสนออาชีพ เลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่ เหมาะสมในการจัดการ ข้อมูลและสารสนเทศ ตามวัตถุประสงค์ได้ใน ระดับคุณภาพพอใช้ขึ้น ไปถือว่าผ่าน 2. ตระหนักถึงข้อมูลที่ นำเสนอว่าไม่ควรส่งผล กระทบต่อผู้อื่น (A) ประเมินการนำเสนอ อาชีพ แบบประเมินการ นำเสนออาชีพ ตระหนักถึงข้อมูลที่ นำเสนอว่าไม่ควรส่งผล กระทบต่อผู้อื่นในระดับ คุณภาพพอใช้ขึ้นไปถือ ว่าผ่าน 11.2 การประเมินการนำเสนออาชีพ ประเด็นในการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน 3 2 1 1. การเลือกใช้ ซอฟต์แวร์ในการจัดการ ข้อมูลและสารสนเทศ สามารเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ที่เหมาะสมกับการใช้ รวบรวมข้อมูล หรือ ประมวลผลข้อมูลตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ ได้ สามารเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ที่เหมาะสมกับการใช้ รวบรวมข้อมูล หรือ ประมวลผลข้อมูลตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ พอใช้ได้เป็นส่วนใหญ่ สามารเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ที่เหมาะสมกับการใช้ รวบรวมข้อมูล หรือ ประมวลผลข้อมูลตาม วัตถุประสงค์พอใช้ได้ เพียงบางส่วน 2. การเลือกใช้ ซอฟต์แวร์ในการ นำเสนอข้อมูลและ สารสนเทศ สามารเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ในการนำเสนอข้อมูล และสารสนเทศได้ตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ สามารเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ในการนำเสนอข้อมูล และสารสนเทศตาม วัตถุประสงค์พอใช้ได้ เป็นส่วนใหญ่ สามารเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ในการนำเสนอข้อมูล และสารสนเทศพอใช้ได้ เพียงบางส่วน
ประเด็นในการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน 3 2 1 3. การนำเสนอ มีความชัดเจนในการ สื่อสาร ใช้ถ้อยคำ เหมาะสมเข้าใจง่าย สามารถตอบคำถามได้ ทุกข้อ และรับฟังความ คิดเห็นของผู้อื่น มีความชัดเจนในการ สื่อสาร ใช้ถ้อยคำ เหมาะสมเข้าใจง่าย สามารถตอบคำถามได้ เป็นส่วนใหญ่ และรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น มีความชัดเจนในการ สื่อสาร ใช้ถ้อยคำ เหมาะสมเข้าใจง่าย สามารถตอบคำถามได้ เพียงบางส่วน และรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น 4. ตระหนักถึง ผลกระทบต่อผู้อื่น ข้อมูลที่นำเสนอไม่ส่งผล กระทบหรือให้ร้ายผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลที่นำเสนอไม่ส่งผล กระทบหรือให้ร้ายผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นส่วนใหญ่ ข้อมูลที่นำเสนอไม่ส่งผล กระทบหรือให้ร้ายผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพียงบางส่วน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 10 – 12 ดี 9 – 6 พอใช้ น้อยกว่า 6 ปรับปรุง
11.3 แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเคารพธงชาติและร้องเพลงชาติได้ 1.2 เข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างความสามัคคีปรองดองและเป็นประโยชน์ ต่อโรงเรียน 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตามหลักศาสนา 1.4 เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว มีความตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้ 4.2 รู้จักจัดสรรเวลาให้เหมาะสม 4.3 เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดา-มารดา โดยไม่โต้แย้ง 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินและสิ่งของของโรงเรียนอย่างประหยัด 5.2 ใช้อุปกรณ์การเรียนอย่างประหยัดและรู้คุณค่า 5.3 ใช้จ่ายอย่างประหยัดและมีการเก็บออมเงิน 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 มีความตั้งใจและพยายามในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย 6.2 มีความอดทนและไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพื่อให้งานสำเร็จ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 รู้จักการดูแลรักษาทรัพย์สมบัติและสิ่งแวดล้อมของห้องเรียน และโรงเรียน ลงชื่อ..................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 51-60 ดีมาก 41-50 ดี 30-40 พอใช้ ต่ำกว่า 30 ปรับปรุง
ใบความรู้ เรื่อง การใช้ Google Forms คำชี้แจง : เอกสารนี้เป็นตัวอย่างการใช้Google Forms ในกิจกรรม อาชีพในอนาคต ให้นักเรียนทำกิจกรรมโดยตอบแบบสอบถามใน Google Forms ที่ครูเตรียมไว้ให้ จากนั้น ครูเปิดผลผลการแบบสอบถามในแถบคำสั่ง “การตอบกลับ” ในรูปแบบแผนภูมิ ตัวอย่าง คำถามในแบบสอบถาม 1.อาชีพที่อยากทำในอนาคต (ตัวอย่างตัวเลือก ครู ตำรวจ ทหาร โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี ดารา นักแสดง นักร้อง ) 2.ระดับเงินเดือนที่คาดหวัง (ตัวอย่างตัวเลือก 20,000-40,000 / 40,000-60,000 / 60,000-80,000 / 80,000-100,000 / มากกว่า 100,000 ) 3.บริษัทที่อยากร่วมงานด้วย (ตัวอย่างตัวเลือก Apple, Facebook, Google, Adidas ) ตัวอย่าง แบบสอบถาม
ตัวอย่าง แผนภูมิจากการประมวลผลด้วยGoogle Forms หมายเหตุ 1.สามารถศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามด้วย Google Forms จากเอกสารตาม ลิงค์http://km.cpd.go.th/pdf-bin/pdf_2117498769.pdf
12. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 13. บันทึกผลหลังการสอน ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง .......
ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เวลา 8 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้น ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 5. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ จัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ 6. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1) การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น ตรวจสอบและยืนยันข้อมูล โดยเทียบเคียงจากข้อมูล หลายแหล่ง แยกแยะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น หรือใช้ PROMPT 2) การสืบค้น หาแหล่งต้นตอของข้อมูล 3) เหตุผลวิบัติ (logical fallacy) 4) ผลกระทบจากข่าวสารที่ผิดพลาด 5) การรู้เท่าทันสื่อ เช่น การวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ของข้อมูลและผู้ให้ข้อมูล ตีความ แยกแยะเนื้อหา สาระของสื่อ เลือกแนวปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมเมื่อพบข้อมูลต่าง ๆ 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การสืบค้นแหล่งข้อมูลเป็นกระบวนการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การสืบค้นข้อมูลด้วยมือ คือ การสืบค้นข้อมูลด้วยเอกสาร หนังสือ ตำรา เป็นต้น 2. การสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คือ การสืบค้นข้อมูลผ่านเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ เช่น การสืบค้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล ข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลที่ได้ จากการสืบค้นข้อมูลที่มีคุณค่า มีความน่าเชื่อถือ เป็นการพิจารณาเพื่อคัดเลือกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2
ซึ่งจากการประเมินความน่าเชื่อถือจะทำให้เราได้ข้อมูลที่มีคุณค่า และนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้ อย่างเหมาะสม การรู้เท่าทันสื่อเป็นลักษณะสมรรถนะที่ครอบคลุมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศผ่านสื่อ และเทคโนโลยีดิจิทัล การเลือก รับ วิเคราะห์ประเมิน และนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ในทางสร้างสรรค์ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. มีจิตสาธารณะ 5. ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง - 6. การวัดและการประเมินผล รายการวัด วิธีวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 6.1 การประเมินก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของ ข้อมูล - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - แบบทดสอบ ก่อนเรียน ประเมินตามสภาพจริง 6.2 การประเมินระหว่างการจัด กิจกรรม 1) การสืบค้นเพื่อหา แหล่งข้อมูล - ตรวจแบบฝึกหัด Exersice หน้า 19-21 - ตรวจใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็ว กว่ากัน - ตรวจแบบฝึกหัด Exersice หน้า21-23 - แบบฝึกหัด(วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล - ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็ว กว่ากัน - แบบประเมิน แบบฝึกหัด ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 2) การประเมิน ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล - ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 24–26 - ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 26–27 - แบบฝึกหัด(วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
รายการวัด วิธีวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน - ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 28 ของข้อมูล 3) การรู้เท่าทันสื่อ - ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 29–31 ข้อ 1 – 4 - ตรวจแบบฝึกหัด Activity หน้า 32 - แบบฝึกหัด(วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 4) คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ในการทำงาน และ มีจิตสาธารณะ - แบบประเมิน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 6.3 การประเมินหลังเรียน 1) แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - แบบทดสอบ หลังเรียน ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 2) การประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง - - ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) - แบบประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 7. กิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล
เรื่องที่ 1 : การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล เวลา 2 ชั่วโมง วิธีการสอนแบบการอภิปราย เทคนิคการสอนแบบคู่คิด (Think Pair Share) (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าหากต้องการทราบข้อมูลเรื่องที่สนใจ นักเรียนมีวิธีการค้นหาข้อมูลได้อย่างไร และใช้ เครื่องมือใด (แนวคำตอบ ค้นหาจากอินเทอร์เน็ตโดยใช้google ค้นด้วยตำราหรือหนังสือ) (30 นาที) 1. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) หน้า 25 ในอดีตการค้นหาข้อมูลส่วน ใหญ่จะใช้วิธีการสืบค้นข้อมูลด้วยมือ เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ในหนังสือ เอกสาร ตำรา แต่ในยุคปัจจุบัน คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นวิธีการสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์จึง เป็นที่นิยม 2. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) หน้า26 ข้อมูลที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตนั้น มีขนาดใหญ่ การสืบค้นจึงควรมีวิธีการหรือเครื่องมือเข้ามาช่วย เช่น กำหนดวัตถุประสงค์ของการสืบค้น ประเภทของข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้ อุปกรณ์และความรู้ที่ใช้ในการสืบค้น บริการอินเทอร์เน็ต เครื่องมือ หรือโปรแกรมสำหรับสืบค้น 3. ครูสนทนากับนักเรียนว่าอินเทอร์เน็ตที่มีทั้งประโยชน์และโทษ ครูถาม คำถามว่า “นักเรียนคิดว่า อินเทอร์เน็ตให้ประโยชน์อย่างไรกับตัวนักเรียนบ้าง” (แนวคำตอบ ใช้ในการสืบค้นข้อมูลได้รวดเร็วประหยัดเวลา ใช้ติดต่อสารสารกับคนอื่น) 4. จากนั้นครูถามคำถามนักเรียนว่า “แล้วคิดว่าอินเทอร์เน็ตมีโทษกับตัวนักเรียนหรือไม่ อย่างไร” (แนวคำตอบ เล่นมากไปเสียการเรียน) 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมในเนื้อหาประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ตจากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการ คำนวณ) หน้า 27 – 28 5. ครูให้นักเรียนดูแนวทางการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรมในหนังสือ หน้า 29 และสรุป แนวคิดเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตร่วมกัน 6. ครูยกตัวอย่างภาพเกี่ยวกับการโพสในโซเชียลเกี่ยวกับคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตให้ นักเรียนดู และให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่าข้อความที่โพสเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร ขั้นนำ ขั้นสอน
7. ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดexersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 19 – 21 ข้อ 1 – 4 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ชั่วโมงที่ 2 (40 นาที) 8. ครูสอบถามนักเรียนว่าหากต้องการสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถใช้เครื่องมือใดได้บ้าง (แนวคำตอบ Google, bing, yahoo) 9. ครูอธิบายเครื่องมือสำหรับสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตจากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) อจท. หน้า 30 – 32 10. ครูให้นักเรียนจับคู่เพื่อทำกิจกรรม “คำไหนเร็วกว่ากัน” กิจกรรมนี้ต้องการให้นักเรียนกำหนดคำสำคัญ ของการสืบค้นข้อ และสามารถประเมินความน่าเชื่อถือข้องแหล่งข้อมูลได้ 11. ครูกำหนดให้นักเรียนแต่ละคู่ค้นหาคำตอบจากอินเทอร์เน็ตโดยมือถือ แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อป 12. ครูถามนักเรียนว่าจากการทำกิจกรรมเพื่อค้นหาข้อมูลให้ได้เร็วที่สุด นักเรียนได้แนวคิดอย่างไรบ้าง 13. ครูถามนักเรียนต่อว่าหากต้องการค้นหาข้อมูลที่สนใจ นักเรียนมีการวางแผน ขั้นตอน หรือเทคนิคอย่างไร บ้าง 14. ครูอธิบายความสำคัญ ขั้นตอนการสืบค้นข้อมูลเพบนอินเทอร์เน็ต และเทคนิคการสืบค้นด้วย Google.com จากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) หน้า 33 – 36 15. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในหนังสือแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 21 – 23 ข้อ 5 – 8 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากนี้ไปหากต้องการสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตต้องมีขั้นตอนอย่างไร 2. ครูให้นักเรียนสรุปเทคนิคการค้นหาข้อมูลที่นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ขั้นสรุป ขั้นสอน
เรื่องที่ 2 : การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เวลา 4 ชั่วโมง วิธีการสอนแบบการอภิปราย วิธีการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม (10 นาที) 1. ครูถามนักเรียนว่าข้อมูล ข่าวสารในอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมายหากเราต้องการนำเอาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ นักเรียนมีวิธีการในการคัดเลือกข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไร (แนวคำตอบ ข้อมูลตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งาน แหล่งข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ) (40 นาที) 1. ครูเปิดตัวอย่างข่าวให้นักเรียนดูจากนั้นให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ (มีตัวอย่างข่าว อยู่ท้ายแผนการสอนชั่วโมงที่ 1) 2. ครูถามนักเรียนว่านักเรียนใช้เกณฑ์ใดในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลบ้าง (แนวคำตอบ แหล่งที่มาของข่าวมีความน่าเชื่อถือ มีการระบุวันที่ในการเผยแพร่ อ้างอิงแหล่งที่มาของ ข้อมูล) 3. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 37 – 40 เรื่อง หลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล จากนั้นครูอธิบายการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ แหล่งข้อมูล หน้า 41 – 42 4. ครูนำตัวอย่างชุดข้อมูลหรือข่าวให้นักเรียนดูเพิ่มเติม จากนั้นให้ทุกคนช่วยกันประเมินความน่าเชื่อถือ (ครู สามารถหาข่าวที่สนใจให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียนได้ทางอินเทอร์เน็ต หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆได้) 5. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 24-26 ข้อ1 – 4 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ชั่วโมงที่ 2 1. (50 นาที) 6. ครูสนทนากับนักเรียนว่า คาบที่แล้วเราประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยหลักการการประเมินความ น่าเชื่อถือ และการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล นอกจาก 2 วิธีนี้แล้ว ยังสามารถประเมินความ น่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT 7. ครูอธิบายวิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT ในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 43 ขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสอน
8. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 26 – 27 ข้อ 5 – 6 โดยใช้ PROMPT ในการวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล ชั่วโมงที่ 3 1. (50 นาที) 9. ครูถามคำถามทบทวนนักเรียนว่าจากคาบที่แล้ว 10. ครูนำภาพตัวอย่างการโพสข้อความบนเฟซบุ๊กให้นักเรียนดู และร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลว่าจากตัวอย่าง ดังกล่าวนักเรียนมีความคิดเห็นอย่างไร (เป็นข่าวที่มีการใช้เหตุผลวิบัติ) 11. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าการสรูปเหมารวม เป็นตรรกะวิบัติที่เรียกว่า Appeal to Igniranceการแสดงความ คิดเห็นต่างๆ บางเรื่องไม่มีใครทราบข้อมูลนั้น จนทำให้อ้างความไม่รู้เพื่อหาข้อเท็จจริงนั้น 12. จากนั้นครูอธิบายเนื้อหาเรื่องการใช้เหตุผลวิบัติ และยกตัวอย่างการใช้เหตุผลวิบัติ พร้อมผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากตัวอย่างในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 46-47 13. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4-5 คน และให้แต่ละกลุ่มหาตัวอย่างการใช้เหตุผลวิบัติบนอินเทอร์เน็ต เพื่อ วิเคราะห์ผลกระทบ หรือปัญหาที่อาจเกิดตามมาจากนั้นให้แต่ละกลุ่มเตรียมนำข้อมูลมาแบ่งปันหน้าชั้น เรียน (อาจเอกสารหรือPowerPoint มาประกอบ ) ในหัวข้อ “เหตุผลวิบัติ และผลกระทบที่เกิดขึ้น” พร้อม บันทึกลงในแบบฝึกหัดแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 28 ข้อ 7- 8 ชั่วโมงที่ 4 1. (40 นาที) 14. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากกิจกรรมที่ให้ไปเตรียมในการแบ่งปันข้อมูลจากคาบที่แล้ว นักเรียนเลือก ยกตัวอย่างเหตุผลวิบัติประเภทไหนบ้าง (แนวคำตอบ การละทิ้งข้อยกเว้น การสรุปเหมารวม การอ้างความไม่รู้ ) 15. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาแบ่งปันข้อมูลหน้าชั้นตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นให้นักเรียนกลุ่ม อื่น ๆ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของกลุ่มที่นำเสนอผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการใช้ เหตุผลวิบัติ (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากคาบที่ผ่านมานักเรียนได้มุมมองในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรบ้าง (แนวคำตอบ ข้อมูลที่เราอ่านอาจไม่ใช้ข้อมูลจริงทั้งหมดควรประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน ตัดสินใจเชื่อ ข่าวบางสำนักมีการเขียนข่าวโดยใช้เหตุผลวิบัติเราควรอ่านข่าวอย่างมีวิจารณญาณหรือคิดไต่ ตรองตามเนื้อหาที่ข่าวเขียนไปด้วย) ขั้นสรุป ขั้นสอน ขั้นสอน
เรื่องที่ 3 : การรู้เท่าทันสื่อ เวลา 2 ชั่วโมง วิธีการสอนแบบการอภิปราย (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากคาบที่แล้ว ข้อมูลที่เราพบในอินเทอร์เน็ต นอกจากการประเมินความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลก่อนนำไปใช้งานแล้วเรายังต้องคำนึงถึงด้านใดอีกบ้าง (แนวคำตอบ การกลั่นแกล้งคนอื่นด้วยสื่อออนไลน์ ลิขสิทธิ์ของข้อมูล) (40 นาที) 1. ครูถามนักเรียนว่าก่อนที่จะสามารถวิเคราะห์ และรู้เท่าทันสื่อได้ ควรมีพื้นฐานความรู้ ความสามารถด้าน ใดบ้าง (แนวคำตอบ การใช้คอมพิวเตอร์ ความสามารถในการค้นหาข้อมูลข่าวสาร) 2. ครูอธิบายองค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อจากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 50-51 3. ครูอธิบายที่มาของความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล 8 ด้าน ในหนังสือเรียน วิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 52 4. ครูสุ่มนักเรียนยกตัวอย่างการรู้เท่าทันสื่อคนละด้าน พร้อมยกตัวอย่าง (แนวคำตอบ ด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูล ยกตัวอย่าง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่อยู่ให้กับบุคคลที่ ไม่รู้จัก ไม่โพสต์ข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนลง Facebook โดยเฉพาะที่อยู่และเลขประจำตัวประชาชน เป็นต้น) 5. ครูอธิบายหัวข้อ “การรู้เท่าทันสื่อ” ในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 53 6. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 29 – 31 ข้อ 1 – 4 ชั่วโมงที่ 2 2. (40 นาที) 7. ครูถามทบทวนนักเรียนโดยการถามคำถามว่า ความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลมีกี่ด้าน อะไรบ้าง (แนวคำตอบ การใช้อย่างปลอดภัย การป้องกันความเป็นส่วนตัว) 8. ครูถามนักเรียนว่าหากมีการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไม่รู้เท่าทัน จะส่งผลกระทบอะไรกับผู้อื่นบ้าง ขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสอน
(แนวคำตอบ ข้อมูลที่เป็นเท็จ เกิดความไม่ปลอดภัยต่อข้อมูลส่วนบุคคล มีการละเมิดลิขสิทธิ์) 9. ครูอธิบายความสำคัญของการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างรู้เท่าทัน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากหนังสือหนังสือ เรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 55-57 เรื่องการใช้สื่อและปัญหาที่พบ ในสื่อปัจจุบัน และเรื่องผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด 10. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด Activity ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 32-33 วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูล และประเมินผลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากข้อมูลผิดพลาด (10 นาที) 1. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไม่รู้เท่าทันสื่อ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 2. แบบฝึกหัด (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 3. ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องคอมพิวเตอร์ 2) อินเทอร์เน็ต ขั้นสรุป
หน่วยการเรียนรู้ที่1 คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1.ข้อใดจัดลำดับการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ได้ถูกต้อง ก.กำหนดวัตถุประสงค์ > กำหนดประเภทของข้อมูล > กำหนดคำสำคัญ > ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล ข.กำหนดวัตถุประสงค์> กำหนดคำสำคัญ > กำหนด ประเภทของข้อมูล > ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล ค.กำหนดคำสำคัญ > กำหนดวัตถุประสงค์> กำหนด ประเภทของข้อมูล > ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล ง.กำหนดประเภทของข้อมูล > กำหนดคำสำคัญ > กำหนดวัตถุประสงค์> ประเมินความน่าเชื่อถือ ข้อมูล 2.คุณพ่อของเอมอายุมากแล้วเอมต้องการหาเครื่องดื่ม ที่เหมาะให้คุณพ่อดื่ม เอมจึงค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตด้วยคำ ว่าเครื่องดื่มสุขภาพผู้สูงอายุ พฤติกรรมของเอมตรงกับขั้นตอน ใด ก.กำหนดคำสำคัญสำหรับสืบค้นข้อมูล ข.กำหนดประเภทของข้อมูลที่จะสืบค้น ค.กำหนดวัตถุประสงค์และหัวข้อการสืบค้นให้ชัดเจน ง.ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น 3.หากต้องการค้นหารูปภาพรถยนต์ Hybrid ข้อใดใช้เทคนิคการค้นหาข้อมูลด้วย Google.com ได้อย่างเหมาะสม ก.รถยนต์– Hybrid ข.รถยนต์+ Hybrid ค.รถยนต์ “ Hybrid ” ง.รถยนต์ or Hybrid 4.ข้อใดไม่ใช่หลักการในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล ก.ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล ข.ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล ค.ประเมินความน่าเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล ง.ประเมินความความน่าเชื่อถือของเครื่องมือในการสืบค้น 5.ซันต้องการซื้อรถยนต์คันใหม่จึงหาข้อมูลการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ จากเว็บไซต์ของค่ายรถยนต์โดยตรง ซันประเมินความน่าเชื่อของข้อมูลตามข้อใด ก.ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล ข.ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล ค.ประเมินความน่าเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล ง.ประเมินความความน่าเชื่อถือของเครื่องมือในการสืบค้น 6.ข้อใดไม่ใช่วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือโดยใช้ PROMPT ก. กระบวนการ (Process) ข. วัตถุประสงค์ (Objectivity) ค. พิสูจน์หหรือยืนยัน (Provenance) ง. ทันเหตุการณ์และเป็นปัจจุบัน (Timeliness) 7.ข้อใดไม่ใช่การใช้เหตุผลแบบวิบัติ ก.การเจตนาฆ่าคืออาชญากรรม ป๊อปถูกคนร้ายขู่ฆ่าเพื่อกรรโชก ทรัพย์แต่ป๊อปต่อสู้และใช้ปืนของคนร้ายยิงเข้าที่ขาป๊อปจึงเป็น อาชญากร. วิบัติ ข.นักเรียนที่เข้าเรียนในความรู้พื้นฐานในปีที่ผ่านมาจะสอบผ่าน ดังนั้น เด็กนักเรียนทุกคนที่เข้าเรียนคาบความรู้พื้นฐานในปีนี้จะสอบ ผ่าน วิบัติ ค.มิวมีฐานะทางบ้านปานกลาง จึงขอให้ศิลปินท่านอื่นไม่คิด ค่าลิขสิทธิ์เวลานำเพลงศิลปินท่านอื่นไปทำการแสดงเพื่อให้มิวมี รายได้เลี้ยงครอบครัว วิบัติ ง.ว่านได้ผลการเรียนที่ดีและได้รางวัลจากพ่อ เนื่องจากพ่อสัญญาว่า จะให้รางวัลถ้าว่านไม่ติดศูนย์วิชาใดเลย 8.การพิจารณาการกระทำของตนเองว่ามีผลกระทบหรือผลลัพธ์ต่อ ผู้อื่นอย่างไร เป็นลักษณะของการรู้เท่าทันสื่อในข้อใด ก. การสะท้อนคิด ข. ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ ค. ความเข้าใจการประเมินค่าสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ ง. การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการเฝ้าระวังสารสนเทศและ เนื้อหาในสื่อ แบบทดสอบก่อนเรียน
9.ปอยต้องการโพสใบแจ้งคะแนนผลการเรียนของตนเอง ลงเฟซบุ๊กปอยจึงนำปากสีเข้มมาเขียนปกปิดข้อมูลที่ไม่ เหมาะสมต่อการเปิดเผยต่อผู้อื่นทั้งแล้วจึงถ่ายรูปโพสต์ ลงเฟซบุ๊ก การกระทำของปอยเป็นการรู้เท่าทันสื่อตามข้อใด ก. ความรู้เท่าทันข้อมูลดิจิทัล ข. การปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูล ค. การสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวในโลกออนไลน์ ง. การใช้ข้อมูลดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์และไม่ละเมิดสิทธิ์ เฉลย 10.ข้อใดเป็นผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด ก. ฟ้าใช้แผ่นพับเรื่องโรคมะเร็งจากโรงพยาบาลศิริราชมาเขียน บล็อกและเผยแพร่ ข. ก้อยนำรูปภาพโปสเตอร์เชิญชวนเข้าสมัครเข้าร่วมโครงการอาสา ปลูกปะการังจาก UNESCO มาแชร์หน้าเฟสบุ๊กของตนเอง ค. หญิงอ่านข้อมูลปริมาณของจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องจากเว็บไซต์กรมการขนส่ง แล้วมาเขียนบทความตาม มุมมองของตนเองและแชร์บนเฟซบุ๊ก ง. ออยเห็นประกาศเตือนที่หน้าโรงพักเรื่องให้ระวังขโมยในช่วงปี ใหม่เนื่องจากพื้นที่ที่ตำรวจต้องดูแลมีบริเวณกว้างอาจทำให้ดูแล ไม่ทั่วถึง ออยจึงถ่ายรูปลงไลน์กลุ่มของหมู่บ้านตนเอง 1. ก 2. ก 3. ข 4. ง 5. ค 6. ก 7. ง 8. ก 9. ข 10. ค
หน่วยการเรียนรู้ที่1 คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1.ซันต้องการซื้อรถยนต์คันใหม่จึงหาข้อมูลการเปิดตัวรถยนต์รุ่น ใหม่จากเว็บไซต์ของค่ายรถยนต์โดยตรง ซันประเมินความน่าเชื่อของข้อมูลตามข้อใด ก.ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล ข.ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล ค.ประเมินความน่าเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล ง.ประเมินความความน่าเชื่อถือของเครื่องมือในการสืบค้น 2.ข้อใดเป็นผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด ก. ฟ้าใช้แผ่นพับเรื่องโรคมะเร็งจากโรงพยาบาลศิริราชมาเขียน บล็อกและเผยแพร่ ข. ก้อยนำรูปภาพโปสเตอร์เชิญชวนเข้าสมัครเข้าร่วมโครงการ อาสาปลูกปะการังจาก UNESCO มาแชร์หน้าเฟสบุ๊กของตนเอง ค. หญิงอ่านข้อมูลปริมาณของจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลที่ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเว็บไซต์กรมการขนส่ง แล้วมาเขียน บทความตวามมุมมองของตนเองและแชร์บนเฟซบุ๊ก ง. ออยเห็นประกาศเตือนที่หน้าโรงพักเรื่องให้ระวังขโมยในช่วง ปีใหม่เนื่องจากพื้นที่ที่ตำรวจต้องดูแลมีบริเวณกว้างอาจำทให้ ดูแลไม่ทั่วถึง ออยจึงถ่ายรูปลงไลน์กลุ่มของหมู่บ้านตนเอง 3.คุณพ่อของเอมอายุมากแล้วเอมต้องการหาเครื่องดื่ม ที่เหมาะให้คุณพ่อดื่ม เอมจึงค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตด้วยคำ ว่าเครื่องดื่มสุขภาพผู้สูงอายุ พฤติกรรมของเอมตรงกับขั้นตอน ใด ก.กำหนดคำสำคัญสำหรับสืบค้นข้อมูล ข.กำหนดประเภทของข้อมูลที่จะสืบค้น ค.กำหนดวัตถุประสงค์และหัวข้อการสืบค้นให้ชัดเจน ง.ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น 4.ข้อใดไม่ใช่วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือโดยใช้ PROMPT ก. กระบวนการ (Process) ข. วัตถุประสงค์ (Objectivity) ค. พิสูจน์หหรือยืนยัน (Provenance) ง. ทันเหตุการณ์และเป็นปัจจุบัน (Timeliness) 5.ข้อใดจัดลำดับการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ได้ถูกต้อง ก.กำหนดวัตถุประสงค์ > กำหนดประเภทของข้อมูล > กำหนดคำสำคัญ > ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล ข.กำหนดวัตถุประสงค์> กำหนดคำสำคัญ > กำหนด ประเภทของข้อมูล > ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล ค.กำหนดคำสำคัญ > กำหนดวัตถุประสงค์> กำหนด ประเภทของข้อมูล > ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล ง.กำหนดประเภทของข้อมูล > กำหนดคำสำคัญ > กำหนดวัตถุประสงค์> ประเมินความน่าเชื่อถือข้อมูล 6.การพิจารณาการกระทำของตนเองว่ามีผลกระทบหรือผลลัพธ์ต่อ ผู้อื่นอย่างไร เป็นลักษณะของการรู้เท่าทันสื่อในข้อใด ก. การสะท้อนคิด ข. ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ ค. ความเข้าใจการประเมินค่าสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ ง. การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการเฝ้าระวังสารสนเทศและ เนื้อหาในสื่อ 7.ปอยต้องการโพสใบแจ้งคะแนนผลการเรียนของตนเองลงเฟซบุ๊ก ปอยจึงนำปากสีเข้มมาเขียนปกปิดข้อมูลที่ไม่เหมาะสมต่อการ เปิดเผยต่อผู้อื่นทั้งแล้วจึงถ่ายรูปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก การกระทำของ ปอยเป็นการรู้เท่าทันสื่อตามข้อใด ก. ความรู้เท่าทันข้อมูลดิจิทัล ข. การปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูล ค. การสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัวในโลกออนไลน์ ง. การใช้ข้อมูลดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์และไม่ละเมิดสิทธิ์ แบบทดสอบหลังเรียน
8.หากต้องการค้นหารูปภาพรถยนต์ Hybrid ข้อใดใช้เทคนิคการค้นหาข้อมูลด้วย Google.com ได้อย่างเหมาะสม ก.รถยนต์–Hybrid ข.รถยนต์+Hybrid ค.รถยนต์ “Hybrid” ง.รถยนต์ or Hybrid 9.ข้อใดไม่ใช่หลักการในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล ก.ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล ข.ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล ค.ประเมินความน่าเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล ง.ประเมินความความน่าเชื่อถือของเครื่องมือในการสืบค้น เฉลย 10.ข้อใดไม่ใช่การใช้เหตุผลแบบวิบัติ ก.การเจตนาฆ่าคืออาชญากรรม ป๊อปถูกคนร้ายขู่ฆ่าเพื่อกรรโชก ทรัพย์แต่ป๊อปต่อสู้และใช้ปืนของคนร้ายยิงเข้าที่ขาป๊อปจึงเป็น อาชญากร. วิบัติ ข.นักเรียนที่เข้าเรียนในความรู้พื้นฐานในปีที่ผ่านมาจะสอบผ่าน ดังนั้น เด็กนักเรียนทุกคนที่เข้าเรียนคาบความรู้พื้นฐานในปีนี้จะสอบ ผ่าน วิบัติ ค.มิวมีฐานะทางบ้านปานกลาง จึงขอให้ศิลปินท่านอื่นไม่คิด ค่าลิขสิทธิ์เวลานำเพลงศิลปินท่านอื่นไปทำการแสดงเพื่อให้มิวมี รายได้เลี้ยงครอบครัว วิบัติ ง.ว่านได้ผลการเรียนที่ดีและได้รางวัลจากพ่อ เนื่องจากพ่อสัญญาว่า จะให้รางวัลถ้าว่านไม่ติดศูนย์วิชาใดเลย 1. ค 2. ค 3. ก 4. ก 5. ก 6. ก 7. ข 8. ข 9. ง 10. ง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล เวลา 2 ชั่วโมง รายวิชา คอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1. ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้น ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 5. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ จัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ 6. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกขั้นตอนการสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลด้วยอินเทอร์เน็ตได้ (K) 2. ค้นหาข้อมูลได้ตรงตามวัตถุประสงค์ (P) 3. ค้นหาข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่าสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์ได้(P,A) 3. สาระสำคัญ การสืบค้นแหล่งข้อมูลเป็นกระบวนการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. การสืบค้นข้อมูลด้วยมือ คือ การสืบค้นข้อมูลด้วยเอกสาร หนังสือ ตำรา เป็นต้น 2. การสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คือ การสืบค้นข้อมูลผ่านเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ เช่น การสืบค้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล ข้อมูลออนไลน์ เป็นต้น 4. สาระการเรียนรู้ 1. การสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 2. ขั้นตอนการสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลด้วยอินเทอร์เน็ต 5. รูปแบบการสอน/วิธีการสอน 1. รูปแบบการสอนแบบการอภิปราย 2. วิธีการสอนโดยเน้นการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning)
- เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะ 4 Cs ทักษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration Skill) ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) 8. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์ สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 9. การจัดกระบวนการเรียนรู้ 1. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อวัดความรู้เดิมของนักเรียนก่อนเข้าสู่กิจกรรม ขั้นนำ (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าหากต้องการทราบข้อมูลเรื่องที่สนใจ นักเรียนมีวิธีการค้นหาข้อมูลได้อย่างไร และใช้ เครื่องมือใด (แนวคำตอบ ค้นหาจากอินเทอร์เน็ตโดยใช้google ค้นด้วยตำราหรือหนังสือ) ขั้นสอน (30 นาที) 1. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) หน้า 25 ในอดีตการค้นหาข้อมูลส่วน ใหญ่จะใช้วิธีการสืบค้นข้อมูลด้วยมือ เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ในหนังสือ เอกสาร ตำรา แต่ในยุคปัจจุบัน ชั่วโมงที่ 1
คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้นวิธีการสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์จึง เป็นที่นิยม 2. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) หน้า26 ข้อมูลที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตนั้น มีขนาดใหญ่ การสืบค้นจึงควรมีวิธีการหรือเครื่องมือเข้ามาช่วย เช่น กำหนดวัตถุประสงค์ของการสืบค้น ประเภทของข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้ อุปกรณ์และความรู้ที่ใช้ในการสืบค้น บริการอินเทอร์เน็ต เครื่องมือ หรือโปรแกรมสำหรับสืบค้น 3. ครูสนทนากับนักเรียนว่าอินเทอร์เน็ตที่มีทั้งประโยชน์และโทษ ครูถามคำถามว่า “นักเรียนคิดว่า อินเทอร์เน็ตให้ประโยชน์อย่างไรกับตัวนักเรียนบ้าง” (แนวคำตอบ ใช้ในการสืบค้นข้อมูลได้รวดเร็วประหยัดเวลา ใช้ติดต่อสารสารกับคนอื่น) 4. จากนั้นครูถามคำถามนักเรียนว่า “แล้วคิดว่าอินเทอร์เน็ตมีโทษกับตัวนักเรียนหรือไม่ อย่างไร” (แนวคำตอบ เล่นมากไปเสียการเรียน) 5. ครูอธิบายเพิ่มเติมในเนื้อหาประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ตจากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการ คำนวณ) หน้า 27 – 28 6. ครูให้นักเรียนดูแนวทางการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรมในหนังสือ หน้า 29 และสรุป แนวคิดเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตร่วมกัน 7. ครูยกตัวอย่างภาพเกี่ยวกับการโพสในโซเชียลเกี่ยวกับคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตให้ นักเรียนดู และให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่าข้อความที่โพสเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร ตัวอย่างข้อความที่โพสลงโซเชียล 8. ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดexersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 19 – 21 ข้อ 1 – 4 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ
ขั้นสอน (40 นาที) 9. ครูสอบถามนักเรียนว่าหากต้องการสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตสามารถใช้เครื่องมือใดได้บ้าง (แนวคำตอบ Google, bing, yahoo) 10. ครูอธิบายเครื่องมือสำหรับสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตจากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการ คำนวณ) หน้า 30 – 32 11. ครูให้นักเรียนจับคู่เพื่อทำกิจกรรม “คำไหนเร็วกว่ากัน” กิจกรรมนี้ต้องการให้นักเรียนกำหนดคำสำคัญ ของการสืบค้นข้อ และสามารถประเมินความน่าเชื่อถือข้องแหล่งข้อมูลได้ 12. ครูกำหนดให้นักเรียนแต่ละคู่ค้นหาคำตอบจากอินเทอร์เน็ตโดยมือถือ แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อป 13. ครูถามนักเรียนว่าจากการทำกิจกรรมเพื่อค้นหาข้อมูลให้ได้เร็วที่สุด นักเรียนได้แนวคิดอย่างไรบ้าง 14. ครูถามนักเรียนต่อว่าหากต้องการค้นหาข้อมูลที่สนใจ นักเรียนมีการวางแผน ขั้นตอน หรือเทคนิคอย่างไร บ้าง 15. ครูอธิบายความสำคัญ ขั้นตอนการสืบค้นข้อมูลเพบนอินเทอร์เน็ต และเทคนิคการสืบค้นด้วย Google.com จากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) หน้า 33 – 36 16. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 21 – 23 ข้อ 5 – 8 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ขั้นสรุป (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากนี้ไปหากต้องการสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตต้องมีขั้นตอนอย่างไร 2. ครูให้นักเรียนสรุปเทคนิคการค้นหาข้อมูลที่นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน 10. สื่อแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 2. แบบฝึกหัด (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 3. ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน ชั่วโมงที่ 2
11. การวัดและการประเมินผล 11.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรม จุดประสงค์ วิธีการประเมิน เครื่องมือการประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1. บอกขั้นตอนการ สืบค้นเพื่อหา แหล่งข้อมูลด้วย อินเทอร์เน็ตได้ (K) ตรวจแบบฝึกหัด Exersice หน้า 19 - 21 แบบฝึกหัด(วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล หน้า19 - 21 ตอบคำถามแบบฝึกหัด ได้ถูกต้อง 60% ขึ้นไป 2. ค้นหาข้อมูลได้ตรง ตามวัตถุประสงค์ (P) 1. ตรวจใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน 2. ตรวจแบบฝึกหัด Exersice หน้า 21 - 23 1. ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน 2. แบบฝึกหัด(วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล หน้า 21–23 3. แบบประเมิน แบบฝึกหัด 1. ค้นหาข้อมูลได้ตรง ตามวัตถุประสงค์ คุณภาพระดับพอใช้ขึ้น ไป 2. ตอบคำถาม แบบฝึกหัดได้ถูกต้อง 60% ขึ้นไป 3. ค้นหาข้อมูลที่มีความ น่าเชื่อถือ และมีคุณค่า สำหรับการนำไปใช้ ประโยชน์ได้ (P,A) ตรวจใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน ค้นหาข้อมูลที่มีความ น่าเชื่อถือ และมีคุณค่า สำหรับการนำไปใช้ ประโยชน์ได้ คุณภาพ ระดับพอใช้ขึ้นไป
11.2 การประเมินแบบฝึกหัด ประเด็นในการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน 3 2 1 1. ค้นหาข้อมูล สามารถกำหนดคำ สำคัญในการค้นหา ข้อมูลได้ตรงประเด็น และข้อมูลที่ได้ ครอบคลุมตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ สามารถกำหนดคำ สำคัญในการค้นหา ข้อมูลได้ตรงประเด็นเป็น ส่วนใหญ่ และข้อมูลที่ได้ ครอบคลุมตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ สามารถกำหนดคำ สำคัญในการค้นหา ข้อมูลได้เพียงบางส่วน และข้อมูลที่ได้ ครอบคลุมเพียงบางส่วน เช่นกัน 2. แหล่งที่มาของข้อมูล แหล่งที่มาของข้อมูลมา จากหลายแหล่ง และมี ความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง มีคุณค่าสำหรับการ นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง แหล่งที่มาของข้อมูลมา จากหลายแหล่ง และมี ความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง มีคุณค่าสำหรับการ นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นส่วนใหญ่ แหล่งที่มาของข้อมูลมา จากหลายแหล่ง และมี ความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง แต่ข้อมูลอาจจะไม่ สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้จริง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 5 – 6 ดี 3 – 4 พอใช้ น้อยกว่า 3 ปรับปรุง
ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน จุดประสงค์ 1. กำหนดคำสำคัญสำหรับการสืบค้นข้อมูลได้ 2. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นได้ ชื่อสมาชิก 1………………………………………………………………………………………………… 2………………………………………………………………………………………………… คำชี้แจง ครูให้นักเรียนจับคู่สืบค้นหาข้อมูลที่กำหนดให้ต่อไปนี้ โดยใช้อินเทอร์เน็ต 1. การป้องกันตัวเมื่อไปเที่ยวทะเลแล้วพลาดว่ายน้ำไปโดนแมงกะพรุนจะแก้ปัญหาอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา............................................................................................................... ............................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. เมื่อเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ จะเอาตัวรอดอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา.................................................................................................. ............................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. เมื่อผู้หญิงโดนคุกคามจากชายฉกรรจ์ ควรมีวิธีป้องกันตัวอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา.................................................................................................. ............................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. ถ้าเจอเหตุการณ์ที่มีคนเป็นลมชัก จะต้องทำอย่างไรเป็นอันดับแรก คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล........................................................................................................................ ข้อมูลที่ค้นหา............................................................................................................... ............................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. เมื่อเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ จะเอาตัวรอดอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล............................................................. ........................................................... ข้อมูลที่ค้นหา............................................................................................................... ............................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ใบงานที่ 2.1.1 เรื่อง คำไหนเร็วกว่ากัน จุดประสงค์ 1. กำหนดคำสำคัญสำหรับการสืบค้นข้อมูลได้ 2. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นได้ ชื่อสมาชิก 1………………………………………………………………………………………………… 2………………………………………………………………………………………………… คำชี้แจง ครูให้นักเรียนจับคู่สืบค้นหาข้อมูลที่กำหนดให้ต่อไปนี้ โดยใช้อินเทอร์เน็ต 1. การป้องกันตัวเมื่อไปเที่ยวทะเลแล้วพลาดว่ายน้ำไปโดนแมงกะพรุนจะแก้ปัญหาอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา.................................................................................................. ............................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. เมื่อเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ จะเอาตัวรอดอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล........................................................................................................................ ข้อมูลที่ค้นหา............................................................................................................... ............................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เฉลย
3. เมื่อผู้หญิงโดนคุกคามจากชายฉกรรจ์ ควรมีวิธีป้องกันตัวอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา....................................................................... ....................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. ถ้าเจอเหตุการณ์ที่มีคนเป็นลมชัก จะต้องทำอย่างไรเป็นอันดับแรก คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา................................................................. ............................................................................. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. เมื่อเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ จะเอาตัวรอดอย่างไร คำสำคัญในการค้นหาข้อมูล...................................................................................................... .................. ข้อมูลที่ค้นหา.................................................................................................. ............................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. แหล่งที่มาของข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
12. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 13. บันทึกผลหลังการสอน ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง .......
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เวลา 4 ชั่วโมง รายวิชา คอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1. ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้น ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 5. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ จัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ 6. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกหลักการการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ (K) 2. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ (P) 3. คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้เหตุผลวิบัติได้ (A) 3. สาระสำคัญ การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลที่ได้จากการ สืบค้นข้อมูลที่มีคุณค่า มีความน่าเชื่อถือ เป็นการพิจารณาเพื่อคัดเลือกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งจากการ ประเมินความน่าเชื่อถือจะทำให้เราได้ข้อมูลที่มีคุณค่า และนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม 4. สาระการเรียนรู้ 1. หลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล 2. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล 3. การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้PROMPT 4. เหตุผลวิบัติ 5. รูปแบบการสอน/วิธีการสอน 1. รูปแบบการสอนแบบการอภิปราย 2. วิธีการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม (Group Process–Based Instruction)
6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะ 4 Cs ทักษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration Skill) ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) 8. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์ สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 9. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นนำ (10 นาที) 1. ครูถามนักเรียนว่าข้อมูล ข่าวสารในอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมายหากเราต้องการนำเอาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ นักเรียนมีวิธีการในการคัดเลือกข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างไร (แนวคำตอบ ข้อมูลตรงกับวัตถุประสงค์การใช้งาน แหล่งข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ) ขั้นสอน (40 นาที) 1. ครูเปิดตัวอย่างข่าวให้นักเรียนดูจากนั้นให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ (มีตัวอย่างข่าว อยู่ท้ายแผนการสอนชั่วโมงที่ 1) 2. ครูถามนักเรียนว่านักเรียนใช้เกณฑ์ใดในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลบ้าง (แนวคำตอบ แหล่งที่มาของข่าวมีความน่าเชื่อถือ มีการระบุวันที่ในการเผยแพร่ อ้างอิงแหล่งที่มาของ ข้อมูล) ชั่วโมงที่ 1
3. ครูอธิบายเนื้อหาในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 37 – 40 เรื่อง หลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล จากนั้นครูอธิบายการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ แหล่งข้อมูล หน้า 41 – 42 4. ครูนำตัวอย่างชุดข้อมูลหรือข่าวให้นักเรียนดูเพิ่มเติม จากนั้นให้ทุกคนช่วยกันประเมินความน่าเชื่อถือ (ครู สามารถหาข่าวที่สนใจให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียนได้ทางอินเทอร์เน็ต หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆได้) 5. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 24-26 ข้อ1 – 4 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจ (ตัวอย่างข่าวในขั้นสอนข้อ1) แหล่งที่มา ไทยรัฐออนไลน์( https://www.thairath.co.th/news/foreign/1712348 )
ขั้นสอน (50 นาที) 6. ครูสนทนากับนักเรียนว่า คาบที่แล้วเราประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยหลักการการประเมินความ น่าเชื่อถือ และการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล นอกจาก 2 วิธีนี้แล้ว ยังสามารถประเมินความ น่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT 7. ครูอธิบายวิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT ในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 43 8. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 26 – 27 ข้อ 5 – 6 โดยใช้ PROMPT ในการวิเคราะห์และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล ขั้นสอน (50 นาที) 9. ครูถามคำถามทบทวนนักเรียนว่าจากคาบที่แล้วนักเรียนได้วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลอย่างไร บ้าง 10. ครูนำภาพตัวอย่างการโพสข้อความบนเฟซบุ๊กให้นักเรียนดู และร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลว่าจากตัวอย่าง ดังกล่าวนักเรียนมีความคิดเห็นอย่างไร (เป็นข่าวที่มีการใช้เหตุผลวิบัติ) ชั่วโมงที่ 2 ชั่วโมงที่ 3
(ตัวอย่างข่าวเหตุผลวิบัติ) แหล่งที่มา เพจข่าว หมายเหตุ ชื่อบุคคลเป็นนามสมมติ 11. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าการสรูปเหมารวม เป็นตรรกะวิบัติที่เรียกว่า Appeal to Igniranceการแสดงความ คิดเห็นต่างๆ บางเรื่องไม่มีใครทราบข้อมูลนั้น จนทำให้อ้างความไม่รู้เพื่อหาข้อเท็จจริงนั้น 12. จากนั้นครูอธิบายเนื้อหาเรื่องการใช้เหตุผลวิบัติ และยกตัวอย่างการใช้เหตุผลวิบัติ พร้อมผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากตัวอย่างในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 46-47 13. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4-5 คน และให้แต่ละกลุ่มหาตัวอย่างการใช้เหตุผลวิบัติบนอินเทอร์เน็ต เพื่อ วิเคราะห์ผลกระทบ หรือปัญหาที่อาจเกิดตามมาจากนั้นให้แต่ละกลุ่มเตรียมนำข้อมูลมาแบ่งปันหน้าชั้น เรียน (อาจเอกสารหรือPowerPoint มาประกอบ ) ในหัวข้อ “เหตุผลวิบัติ และผลกระทบที่เกิดขึ้น” พร้อม บันทึกลงในแบบฝึกหัดแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 28 ข้อ 7- 8 ขั้นสอน (40 นาที) 14. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากกิจกรรมที่ให้ไปเตรียมในการแบ่งปันข้อมูลจากคาบที่แล้ว นักเรียนเลือก ยกตัวอย่างเหตุผลวิบัติประเภทไหนบ้าง (แนวคำตอบ การละทิ้งข้อยกเว้น การสรุปเหมารวม การอ้างความไม่รู้ ) 15. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาแบ่งปันข้อมูลหน้าชั้นตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย จากนั้นให้นักเรียนกลุ่ม อื่น ๆ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของกลุ่มที่นำเสนอผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการใช้ เหตุผลวิบัติ ชั่วโมงที่ 4
ขั้นสรุป (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากคาบที่ผ่านมานักเรียนได้มุมมองในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไรบ้าง (แนวคำตอบ ข้อมูลที่เราอ่านอาจไม่ใช้ข้อมูลจริงทั้งหมดควรประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน ตัดสินใจเชื่อ ข่าวบางสำนักมีการเขียนข่าวโดยใช้เหตุผลวิบัติเราควรอ่านข่าวอย่างมีวิจารณญาณหรือคิดไต่ ตรองตามเนื้อหาที่ข่าวเขียนไปด้วย) 10. สื่อแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 2. แบบฝึกหัด (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 11. การวัดและการประเมินผล 11.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรม จุดประสงค์ วิธีการประเมิน เครื่องมือการประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1. บอกหลักการการ ประเมินความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลได้ (K) ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 24 – 26 แบบฝึกหัด (วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล หน้า 24–26 บอกหลักการการ ประเมินความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลได้ถูกต้อง 60% ขึ้นไป 2. ประเมินความ น่าเชื่อถือของข้อมูลได้ (P) ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 26 – 27 แบบฝึกหัด (วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล หน้า 26–27 สามารถประเมินความ น่าเชื่อถือของข้อมูลได้ ถูกต้อง 60% ขึ้นไป 3. คำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากการใช้เหตุผล วิบัติได้ (A) ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 28 แบบฝึกหัด (วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล หน้า 28 คำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นจากการใช้เหตุผล วิบัติได้
12. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 13. บันทึกผลหลังการสอน ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง .......
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง การรู้เท่าทันสื่อ เวลา 2 ชั่วโมง รายวิชา คอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1. ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้น ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 5. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ จัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ 6. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความหมายการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อได้ (K) 2. วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ และประเมินผลกระทบของข้อมูลจากข่าวสารที่ผิด เพื่อการใช้งานอย่างรู้เท่าทันได้ (P,A) 3. สาระสำคัญ การรู้เท่าทันสื่อเป็นลักษณะสมรรถนะที่ครอบคลุมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศผ่านสื่อ และเทคโนโลยีดิจิทัล การเลือก รับ วิเคราะห์ประเมินและนำ ข้อมูลที่ได้รับไปใช้ในทางสร้างสรรค์โดยองค์ประกอบการรู้เท่าทันสื่อ มีดังนี้ 1) ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ 2) ความเข้าใจการประเมินค่าสาระสนเทศเนื้อหาในสื่อ 3) การสร้าง การใช้ประโยชน์และการเฝ้าระวังสาระสนเทศและเนื้อหาในสื่อ 4) การสะท้อนคิด 4. สาระการเรียนรู้ 1. องค์ประกอบการรู้เท่าทันสื่อ 2. การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อ 3. การใช้สื่อและปัญหาที่พบในสื่อปัจจุบัน
4. ผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด 5. รูปแบบการสอน/วิธีการสอน 1. รูปแบบการสอนแบบการอภิปราย 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะ 4 Cs ทักษะการคิดวิจารณญาณ (Critical Thinking) ทักษะการทำงานร่วมกัน (Collaboration Skill) ทักษะการสื่อสาร (Communication Skill) ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) 8. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซื่อสัตย์ สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ 9. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ขั้นนำ (10 นาที) 1. ครูสอบถามนักเรียนว่าจากคาบที่แล้ว ข้อมูลที่เราพบในอินเทอร์เน็ต นอกจากการประเมินความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลก่อนนำไปใช้งานแล้วเรายังต้องคำนึงถึงด้านใดอีกบ้าง (แนวคำตอบ การกลั่นแกล้งคนอื่นด้วยสื่อออนไลน์ ลิขสิทธิ์ของข้อมูล) ขั้นสอน (40 นาที) 1. ครูถามนักเรียนว่าก่อนที่จะสามารถวิเคราะห์ และรู้เท่าทันสื่อได้ ควรมีพื้นฐานความรู้ ความสามารถด้าน ใดบ้าง (แนวคำตอบ การใช้คอมพิวเตอร์ ความสามารถในการค้นหาข้อมูลข่าวสาร) 2. ครูอธิบายองค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อจากหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 50-51 ชั่วโมงที่ 1
3. ครูอธิบายที่มาของความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล 8 ด้าน ในหนังสือเรียน วิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 52 4. ครูสุ่มนักเรียนยกตัวอย่างการรู้เท่าทันสื่อคนละด้าน พร้อมยกตัวอย่าง (แนวคำตอบ ด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัวและข้อมูล ยกตัวอย่าง ไม่เปิดเผยข้อมูลที่อยู่ให้กับบุคคลที่ ไม่รู้จัก ไม่โพสต์ข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนลง Facebook โดยเฉพาะที่อยู่และเลขประจำตัวประชาชน เป็นต้น) 5. ครูอธิบายหัวข้อ “การรู้เท่าทันสื่อ” ในหนังสือเรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 53 6. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด exersice ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 29 – 31 ข้อ 1 – 4 ขั้นสอน (40 นาที) 7. ครูถามทบทวนนักเรียนโดยการถามคำถามว่า ความสามารถในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลมีกี่ด้าน อะไรบ้าง (แนวคำตอบ การใช้อย่างปลอดภัย การป้องกันความเป็นส่วนตัว) 8. ครูถามนักเรียนว่าหากมีการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไม่รู้เท่าทัน จะส่งผลกระทบอะไรกับผู้อื่นบ้าง (แนวคำตอบ ข้อมูลที่เป็นเท็จ เกิดความไม่ปลอดภัยต่อข้อมูลส่วนบุคคล มีการละเมิดลิขสิทธิ์) 9. ครูอธิบายความสำคัญของการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างรู้เท่าทัน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากหนังสือหนังสือ เรียนวิชา เทคโนโลยี(วิทยาการคํานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน้า 55-57 เรื่องการใช้สื่อและปัญหาที่พบ ในสื่อปัจจุบัน และเรื่องผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด 10. จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด Activity ในแบบฝึกหัด เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) หน้า 32-33 วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูล และประเมินผลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากข้อมูลผิดพลาด ขั้นสรุป (10 นาที) 1. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างไม่รู้เท่าทันสื่อ 10. สื่อแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียน (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล 2. แบบฝึกหัด (วิทยาการคำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ชั่วโมงที่ 2
11. การวัดและการประเมินผล 11.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรม จุดประสงค์ วิธีการประเมิน เครื่องมือการประเมิน เกณฑ์การประเมิน 1. บอกความหมายการ รู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและ การรู้เท่าทันสื่อได้ (K) ตรวจแบบฝึกหัด Exercise หน้า 29 – 31 ข้อ 1 – 4 แบบฝึกหัด (วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูลหน้า 29 – 31 ข้อ 1 – 4 บอกความหมายการ รู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและ การรู้เท่าทันสื่อได้ ถูกต้อง 60% ขึ้นไป 2. วิเคราะห์ความ น่าเชื่อถือ และ ประเมินผลกระทบของ ข้อมูลจากข่าวสารที่ผิด เพื่อการใช้งานอย่างรู้เท่า ทันได้ (P,A) ตรวจแบบฝึกหัด Activity หน้า 32 แบบฝึกหัด (วิทยาการ คำนวณ) ม.3 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ความน่าเชื่อถือ ของข้อมูล หน้า 32 วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ และประเมินผลกระทบ ของข้อมูลจากข่าวสารที่ ผิด เพื่อการใช้งานอย่าง รู้เท่าทันได้ถูกต้อง 60% ขึ้นไป
11.2 แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเคารพธงชาติและร้องเพลงชาติได้ 1.2 เข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างความสามัคคีปรองดองและเป็นประโยชน์ ต่อโรงเรียน 1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตามหลักศาสนา 1.4 เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนจัดขึ้น 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว มีความตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้ 4.2 รู้จักจัดสรรเวลาให้เหมาะสม 4.3 เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดา-มารดา โดยไม่โต้แย้ง 4.4 ตั้งใจเรียน 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินและสิ่งของของโรงเรียนอย่างประหยัด 5.2 ใช้อุปกรณ์การเรียนอย่างประหยัดและรู้คุณค่า 5.3 ใช้จ่ายอย่างประหยัดและมีการเก็บออมเงิน 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 มีความตั้งใจและพยายามในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย 6.2 มีความอดทนและไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพื่อให้งานสำเร็จ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 รู้จักการดูแลรักษาทรัพย์สมบัติและสิ่งแวดล้อมของห้องเรียน และโรงเรียน ลงชื่อ..................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 51-60 ดีมาก 41-50 ดี 30-40 พอใช้ ต่ำกว่า 30 ปรับปรุง
12. ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 13. บันทึกผลหลังการสอน ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเด่นหรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง .......
เทคโนโลยีสารสนเทศ เวลา 7 ชั่วโมง 1. ผลการเรียนรู้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน และเป็น ระบบ 3. เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รักษาข้อมูลส่วนตัว และการสื่อสารเบื้องต้น ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ และนำเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 5. เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการ จัดการทักษะในการสื่อสาร ความสามารถในการตัดสินใจ 6. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ การซื้อสินค้า ซื้อซอฟต์แวร์ ค่าบริการสมาชิก ซื้อไอเท็ม 2) การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น ไม่สร้างข่าวลวง ไม่แชร์ข้อมูล โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง 3) กฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 4) การใช้ลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยชอบธรรม (fair use) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศโดยคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งาน เช่น การทำธุรกรรม ออนไลน์ การซื้อสินค้าออนไลน์ และการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีจิตสำนึก และจริยธรรมที่ดี คำนึงผลกระทบที่อาจส่งผลต่อผู้อื่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3