The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียน ประวัติศาสตร์ไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Maethee Tangsiripattana, 2020-04-25 15:07:10

เอกสารประกอบการเรียน ประวัติศาสตร์ไทย

เอกสารประกอบการเรียน ประวัติศาสตร์ไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

เอกสารประกอบการเรยี นรู้

ประวัติศาสตรไ์ ทย

ระดั บช้ันมัธยมศึ กษาตอนปลาย

เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาประวัติศาสตร์ไทย สาระประวัติศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้
สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเล่มน้ี จัดทาขึ้นตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ๒๕๕๑ โดยมีเป้าหมายให้ครูและนักเรียนใช้เป็นส่ือในการเรียนรู้ เพ่ือให้
นักเรยี นไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพของตนเองอย่างเตม็ ที่

การจัดทาเอกสารประกอบการเรยี นฉบับนจี้ ดั ทาขน้ึ จากการประมวลความรู้จากหนังสือต่าง ๆ และ
แหล่งเรยี นรู้ทห่ี ลากหลายแล้วนามาพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบท่ีเป็นระบบ เพ่ือให้ครูผู้สอนได้ใช้เป็นแนวทาง
ในการจัดประสบการณแ์ ละทกั ษะการเรยี นรแู้ กน่ กั เรียนให้สอดคล้องตามตัวชีว้ ัดของหลกั สูตร มีกิจกรรมและ
คาถามทเ่ี นน้ ใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เน้นให้ผู้เรียนพัฒนาพฤติกรรมด้านความรู้ เจตคติ คุณธรรม
ค่านิยมและทักษะกระบวนการ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และได้เรียนรู้ด้วยการ
ปฏิบัติจริงด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล และมีการวัดประเมินผลด้วยวิธีการที่หลากหลาย
อนั จะทาใหผ้ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมของผู้เรียนสูงขึ้น
โดยเอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้ ประกอบด้วย ๔ หนว่ ยการเรียนรู้ ดังนี้

หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๑ เวลา ยคุ สมัย และวิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๒ ประเดน็ สาคญั ทางประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี ๓ บคุ คลสาคัญทางประวัติศาสตร์ไทย
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๔ ภูมิปญั ญาไทยและวัฒนธรรมไทย
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียน
การสอนและจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างสมบูรณ์ พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนให้มี
ประสทิ ธิภาพมากยิง่ ขน้ึ และเพื่อเปน็ พ้ืนฐานในการศึกษาเรอื่ งอื่น ๆ ต่อไป

เมธี ตงั้ สริ ิพฒั นา
เรียบเรยี ง

เร่ือง หนา้

คานา ก
สารบญั ข
ข้นั ตอนการใชเ้ อกสารประกอบการเรียน ง
คาอธิบายรายวชิ า ๑ จ
โครงสร้างรายวชิ า ๑ ฉ
คาอธบิ ายรายวิชา ๒ ช
โครงสรา้ งรายวิชา ๒ ซ
หน่วยการเรียนท่ี ๑ เวลา ยคุ สมยั และวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๑

แบบทดสอบก่อนเรยี น ๓
ความหมายของประวัตศิ าสตร์ / ความสาคญั ของเวลา ๔
ศักราช ๖
การแบ่งยคุ สมัยทางประวัติศาสตร์ ๘
วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ ๙
หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ๑๒
ตัวอยา่ งโครงงานทางประวตั ิศาสตร์ ๑๓
แบบฝึกหัด ๒๑
หนว่ ยการเรียนที่ ๒ ประเดน็ สาคญั ทางประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๒๒
แบบทดสอบก่อนเรียน ๒๓
แนวคิดเกย่ี วกับความเปน็ มาของชนชาติไทย ๒๖
อาณาจกั รโบราณในดนิ แดนไทย ๒๙
อิทธพิ ลของอาณาจักรโบราณทีม่ ตี อ่ สังคมไทย ๓๐
ปจั จยั ทีม่ ีผลต่อการสถาปนาอาณาจกั รไทย ๓๑
อาณาจกั รสุโขทัย ๓๒
อาณาจักรอยุธยา ๓๓
อาณาจักรธนบรุ ี ๓๔
การปฏิรปู การปกครองบ้านเมือง ๓๘
การเลิกทาส เลกิ ไพร่ ๔๐
การเสดจ็ ประพาสในและตา่ งประเทศ ๔๒
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ๔๕
บทบาทของสตรีไทย ๔๗
แบบฝกึ หัด

เรือ่ ง หนา้

หนว่ ยการเรียนท่ี ๓ บุคคลสาคญั ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๕๕
แบบทดสอบก่อนเรียน ๕๖
สถานภาพของพระมหากษัตรยิ ์ ๕๗
บทบาทและความสาคัญของสถาบันพระมหากษตั ริย์ ๖๐
พระมหากษตั รยิ ไ์ ทย ๖๒
พระมหากษัตรยิ ท์ มี่ ีบทบาทในประวัตศิ าสตร์ไทย ๖๘
พระบรมวงศานุวงศ์ทมี่ ีบทบาทในประวัติศาสตรไ์ ทย ๗๓
ขุนนางไทยและชาวตา่ งท่มี ีบทบาทในประวัติศาสตรไ์ ทย ๗๕
บคุ คลสาคญั ของไทยทอี่ งคก์ ารยเู นสโกยกย่อง ๗๘
แบบฝกึ หัด ๘๐
๘๗
หนว่ ยการเรียนท่ี ๔ ภูมิปญั ญาไทยและวัฒนธรรมไทย ๘๘
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ๘๙
ความหมายของภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย / สาเหตุการเกดิ ๙๐
ประเภทของภมู ิปญั ญาไทย / ลักษณะของภมู ิปัญญาไทย ๙๑
ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยที่สาคัญ ๙๕
อทิ ธพิ ลวฒั นธรรมตะวนั ออกทมี่ ตี อ่ สงั คมไทย ๙๗
อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกทม่ี ตี อ่ สงั คมไทย ๙๘
การอนุรกั ษภ์ มู ิปัญญาและวฒั นธรรมไทย ๙๙
แบบฝึกหดั ๑๐๖

บรรณานกุ รม



รหสั วชิ า ส๓๑๑๐๓ รายวิชา ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๑ กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษาฯ

ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๔ ภาคเรยี นท่ี ๑ เวลา ๒๐ ช่วั โมง จานวน ๐.๕ หนว่ ยกติ

ศกึ ษา วิเคราะหเ์ ก่ียวกับความสาคญั ของเวลาและยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์ท่แี สดงถงึ การเปลี่ยนแปลง
ของมนษุ ยชาติ ตัวอยา่ งการใช้เวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตรท์ ีป่ รากฎในหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ไทย
ศึกษาวิเคราะหค์ วามหมาย คุณค่า และใช้วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ตามลาดบั ข้ันตอนอย่างเป็นระบบในการ
สบื ค้นเรอื่ งราวที่ตนสนใจ เข้าใจประโยชน์และคณุ ค่าของวิธีการทางประวตั ิศาสตร์ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ท่ีมี
ข้อมูลสารสนเทศทหี่ ลากหลาย จดั ทาผลการศึกษาหรอื โครงงานทางประวัติศาสตร์ และสร้างองค์ความรู้ใหม่
ทางประวัติศาสตร์ ศึกษาวิเคราะห์ประเด็นและแนวคิดสาคัญของประวัติศาสตร์ไทย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับ
ความเปน็ มาของชนชาตไิ ทย อาณาจกั รโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพลที่มีต่อสังคมไทย ปัจจัยที่มีผลต่อ
การสถาปนาและพัฒนาการของอาณาจักรไทยในช่วงเวลาต่าง ๆ สาเหตุและผลของการปฏิรูปประเทศใน
สมัยรชั กาลที่ 5 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ และบทบาทของสตรไี ทยในประวัติศาสตร์ไทย

โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การบูรณาการแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง ทักษะการใชแ้ ละรเู้ ทา่ ทนั เทคโนโลยี

เพอ่ื ใหเ้ กิดความร้คู วามเข้าใจถงึ ลักษณะเฉพาะของสังคมท่มี คี วามสัมพนั ธเ์ ชื่อมโยงหรือมีผลกระทบที่มี
การเปล่ยี นแปลงหรือมีพฒั นาการในแตล่ ะช่วงเวลาและพ้ืนที่ท่ีแตกต่างกัน เพื่อฝึกฝนทักษะตามวิธีการทาง
ประวตั ศิ าสตรใ์ นการศึกษาวิเคราะหข์ ้อมลู อยา่ งเปน็ ระบบ และสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่าง
มปี ระสทิ ธภิ าพ

รหสั ตัวช้วี ดั ม.๔-๖/๑ , ม.๔-๖/๒
ส ๔.๑ ม.๔-๖/๑
ส ๔.๓

รวม ๓ ตวั ช้ีวัด

รหสั วิชา ส๓๑๑๐๓ รายวชิ า ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๑
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ ภาคเรยี นท่ี ๑
เวลา ๒๐ ชัว่ โมง จานวน ๐.๕ หนว่ ยกติ

หนว่ ยท่ี ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เวลา นา้ หนกั
ตัวชวี้ ดั (คาบ) (คะแนน)
๑ เวลาและยุคสมยั
และวธิ ีการทาง ส ๔.๑ การศึกษาเกี่ยวกับเวลาแ ละยุคสมัยทาง ๓ ๒๐
ประวัติศาสตร์ไทย
ม.๔-๖/๑ ประวัติศาสตร์ไทย ทาให้เข้าใจและสามารถเรียบ

เรยี งลาดบั ของเหตุการณ์สาคัญท่ีเกิดข้ึนได้ว่าเกิดขึ้น

เมื่อใด ท่ีไหน เหตุการณ์ใดเกิดก่อนเกิดหลัง แต่ละ

เหตุการณ์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และสามารถ

นาไปใช้ในการวิเคราะห์เหตุการณใ์ นสงั คมมนษุ ยไ์ ด้

ส ๔.๑ การศึกษาวิธีการทางประวัติศาสตร์ทาให้ได้ ๓ ๒๐
ม.๔-๖/๒ เร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ท่ีถูกต้องและน่าเช่ือถือ
๑๐
โดยมีกระบวนการฝึกฝนทกั ษะดา้ นต่าง อาทิ ทักษะ ๓๐
การสบื คน้ ทักษะการตรวจสอบ ประเมินค่า ทักษะ
การคิดวิเคราะห์บนพ้ืนฐานข้อเท็จจริง ทักษะการ ๒๐
วนิ จิ ฉัยแยกแยะข้อเท็จจริง ทกั ษะในการเขียนความ ๑๐๐
เรียง และทักษะในการนาเสนออย่างมีเหตุผล

๒ วเิ คราะห์ประเด็น สอบกลางภาค ๑
สาคัญทาง ส ๔.๓ ประเด็นสาคัญทางประวัติศาสตร์ไทยท่ีเกิดข้ึน ๑๒
ประวตั ิศาสตรไ์ ทย ม.๔-๖/๑ ต่าง ๆ อาทิ แนวคิดความเป็นมาของชนชาติไทย

อาณาจักรโบราณในดินแดนไทย การปฏิรูป
บ้านเมืองในสมัยรัชกาลท่ี 5 การเปล่ียนแปลงการ
ปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้น เหล่านี้ล้วนมี
ความสาคัญให้เรียนรู้และวิเคราะห์ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
เกิดข้ึนเพราะเหตุใด และส่งผลอย่างไรต่อสังคมและ
ประเทศโดยรวม

สอบปลายภาค ๑
รวม ๒๐

รหสั วิชา ส๓๑๑๐๔ รายวิชา ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๒ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษาฯ

ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๔ ภาคเรยี นที่ ๒ เวลา ๒๐ ชว่ั โมง จานวน ๐.๕ หน่วยกติ

ศกึ ษา วิเคราะห์ บทบาทของสถาบันพระมหากษตั รยิ ใ์ นการพัฒนาชาติไทยในด้านต่าง ๆ อิทธิพล
ของวฒั นธรรมตะวันตกและตะวนั ออกทีม่ ีตอ่ สังคมไทย ผลงานของบคุ คลสาคัญทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่
มีส่วนสร้างสรรค์วัฒนธรรมไทยและประวัติศาสตร์ไทย ปัจจัยที่ส่งเสริมความสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและ
วัฒนธรรมไทยที่มีผลต่อสังคมไทยในปัจจุบัน สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและ
วัฒนธรรมไทย การกาหนดแนวทางและการมสี ว่ นรว่ มอนุรกั ษ์ภมู ิปัญญาและวัฒนธรรมไทย

โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ กระบวนการคิด กระบวนการสืบค้นข้อมูล กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม
กระบวนการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การบูรณาการแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพยี ง ทกั ษะการใช้และรเู้ ทา่ ทนั เทคโนโลยี

เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณและคิดอย่างมี
ระบบ มีความสามารถในการตัดสินใจ ตระหนักในความสาคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย เห็น
คณุ คา่ และเกดิ ความรกั ความภาคภมู ิใจในความเป็นไทย

รหสั ตวั ชว้ี ัด
ส ๔.๓ ม.๔-๖/๒ , ม. ๔-๖/๓ , ม. ๔-๖/๔ , ม. ๔-๖/๕

รวม ๔ ตวั ชีว้ ัด

รหสั วชิ า ส๓๑๑๐๔ รายวชิ า ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ๒
ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๔ ภาคเรยี นที่ ๒
เวลา ๒๐ ช่วั โมง จานวน ๐.๕ หน่วยกติ

หน่วยท่ี ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เวลา นา้ หนกั
ตัวชว้ี ัด (คาบ) (คะแนน)

๓ บคุ คลสาคญั ใน ส ๔.๓ ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง ส ถ า บั น ๙ ๔๐

ประวัติศาสตรไ์ ทย ม.๔-๖/๒ พระมหากษัตริย์ต่อชาติไทย บุคคลสาคัญท่ีมีส่วน

ส ๔.๓ สร้างสรรคว์ ัฒนธรรมไทยและประวตั ศิ าสตร์ไทย มี
ม.๔-๖/๔ ท้งั ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ชาวไทยทุกคนควร
ศึกษาผลงาน ยกย่อง และนาไปเป็นแบบอย่างใน

การปฏิบัติตน

สอบกลางภาค ๑ ๑๐
๓๐
๔ วัฒนธรรมไทยและ ส ๔.๓ วถิ ีการดารงชวี ติ และภูมิปญั ญาของคนไทยในแต่ละ ๙

ภมู ิปญั ญาไทย ม.๔-๖/๓ ยุคสมัย มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับ

ส ๔.๓ สภาพแวดลอ้ ม ซึง่ มีผลตอ่ การสร้างสรรคภ์ ูมปิ ญั ญา
ม.๔-๖/๕ ไทยและวฒั นธรรมไทยจึงมีความจาเป็นท่ีชาวไทย
จะต้องรว่ มมือกนั อนรุ ักษ์ภูมิปญั ญาและวฒั นธรรม

ไทย

สอบปลายภาค ๑ ๒๐
รวม ๒๐ ๑๐๐

เรยี นรู้อดีต
เพ่ือเข้าใจปจั จบุ ัน
และสรา้ งสรรค์อนาคต

ส๔.๑ ม.๔-๖/๑ ตระหนักถงึ ความสาคญั ของเวลาและยคุ สมัยทางประวตั ศิ าสตร์ท่ีแสดงถึงการเปล่ยี นแปลงของมนษุ ยชาติ
ส๔.๑ ม.๔-๖/๒ สรา้ งองคค์ วามรใู้ หม่ทาประวตั ศิ าสตร์ โดยใช้วิธกี ารทางประวัตศิ าสตร์อย่างเป็นระบบ

ผงั มโนทศั น์ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๑

หน่วยที่ ๑ เวลา ยคุ สมยั และวิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์

ส๔.๑ ม.๔-๖/๑ ตระหนกั ถึงความสาคญั ของเวลาและยุคสมยั ทางประวัตศิ าสตร์ท่แี สดงถึงการเปลี่ยนแปลงของมนษุ ยชาติ
ส๔.๑ ม.๔-๖/๒ สรา้ งองคค์ วามรู้ใหมท่ าประวตั ศิ าสตร์ โดยใช้วธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์อยา่ งเปน็ ระบบ

คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบท่ถี กู ตอ้ งที่สดุ เพียงคาตอบเดยี ว

๑. การคน้ พบจารกึ ปราสาทเขานอ้ ย จังหวัดสระแกว้ ๖. เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ้ งใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตรใ์ นการศกึ ษา
ระบุ ม.ศ. ๕๙๙ สาคญั กบั ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยอยา่ งไร ก. เข้าใจขัน้ ตอนในการศึกษาประวตั ศิ าสตรง์ า่ ย
ก. เป็นจดุ เริ่มต้นของการใชศ้ กั ราชในเมืองไทย ข. หาความจริงจากขอ้ เทจ็ จรงิ ทางประวตั ิศาสตร์
ข. เรมิ่ สมยั ประวตั ิศาสตรบ์ นแผน่ ดินไทย ค. หาจดุ ประสงค์ของผสู้ ร้างหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์
ค. เปน็ หลกั ฐานเกย่ี วกับชนชาติไทยที่เกา่ แกท่ ี่สดุ ง. สรุปเหตกุ ารณ์ในประวัติศาสตรว์ า่ จริงเทจ็ ได้รวดเร็ว
ง. แสดงถงึ ความเจริญรงุ่ เรืองของดนิ แดนไทยในอดีต
๗. การกาหนดหวั เรอ่ื งทดี่ คี วรทาอยา่ งไร
๒. เหตุการณใ์ นประวตั ศิ าสตรใ์ ดเกิดขนึ้ เปน็ ลาดบั แรก ก. กาหนดประเดน็ ช่วงเวลา และพืน้ ท่ีทีจ่ ะศึกษาใหช้ ัดเจน
ก. ฝรั่งเศสนาเรอื มาปดิ ปากอ่าวไทยเม่อื ร.ศ. ๑๑๒ ข. กาหนดหัวเรอื่ งอยา่ งกวา้ ง ๆ จะไดศ้ กึ ษาไดห้ ลายประเด็น
ข. พระยาตากยกทัพตคี ่ายพม่าเม่อื จลุ ศักราช ๑๑๒๙ ค. กาหนดหัวเรือ่ งท่ีไม่เคยมีใครทา และมีหลกั ฐานนอ้ ย
ค. การประดิษฐอ์ ักษรไทยเมือ่ ปมี หาศกั ราช ๑๒๐๕ ง. กาหนดหัวเรื่องทีม่ คี นศึกษาอยู่แล้วจากบทความต่าง ๆ
ง. ศกั ราช ๘๐๐ มะเมยี ศก สมเดจ็ ...เสวยราชสมบัติ
๘. ขอ้ ใดเปน็ หลกั ฐานชน้ั ตน้
๓. สมัยอยธุ ยาหากเทยี บกบั ประวตั ศิ าสตรต์ ะวนั ตกจะตรงกบั ... ก. สารานุกรมเรื่อง “การเลิกทาสในสมัย ร. ๕”
ก. ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ ข. ปรญิ ญานพิ นธ์เรอ่ื ง “การปฏิรูปการทหารในสมยั ร.๕”
ข. ประวตั ิศาสตร์สมยั กลาง ค. บทความวจิ ยั ในวารสารประวัติศาสตร์
ค. ประวตั ศิ าสตร์สมัยใหม่ ง. ภาพถ่าย “วดั เบญจมบพิตร” เม่อื แรกสร้างในสมยั ร.๕
ง. ประวัตศิ าสตรร์ ่วมสมยั
๙. “ในนา้ มปี ลา ในนามขี า้ ว” หมายความวา่ สโุ ขทยั มคี วามอดุ มสมบรู ณ์
๔. เหตใุ ดสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตรจ์ งึ ตอ้ งศกึ ษาจากเครอ่ื งมอื ดี ขอ้ ความนจ้ี ดั อยใู่ นขน้ั ตอนใด
เคร่ืองใชข้ องมนษุ ย์เทา่ นนั้
ก. การกาหนดประเด็น
ก. ยังไมม่ ีการจดบันทึก ข. การรวบรวมหลกั ฐาน
ข. วเิ คราะห์ตคี วามงา่ ย ค. การประเมินคุณค่า
ค. ค้นหาไดง้ ่ายพบเหน็ ไดท้ ่วั ไป ง. การตคี วาม
ง. ให้ข้อมูลทเี่ ปน็ จรงิ แมนยา
๑๐. การศกึ ษาเหตกุ ารณท์ มี่ ผี ลกระทบในปจั จบุ นั มผี ลดีอยา่ งไร
๕. “แผน่ ดนิ สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช” ก. ทราบที่มาของเหตุการณใ์ นปจั จุบัน
จากขอ้ ความสามารถแปลความไดต้ ามขอ้ ใด ข. ใช้อดีตเป็นบทเรียนของปจั จุบัน
ค. ชว่ ยคลายความขดั แยง้ ทเ่ี กดิ ข้ึนในอดีต
ก. ทีด่ ินของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ง. แสดงความสมั พันธ์ของเหตกุ ารณใ์ นประวัติศาสตร์
ข. รชั สมัยของสมเด็จพระนารายณม์ หาราช
ค. ดินแดนท่ีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชปกครอง
ง. บรเิ วณทีส่ มเด็จพระนารายณ์มหาราชยกทัพไปถงึ

คาวา่ “ประวัตศิ าสตร์” บัญญตั ิโดยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อย่หู ัว รัชกาลที่ ๖ เพ่ือใช้แทนคาว่า History
ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง การศกึ ษาเรอ่ื งราวหรือประสบการณ์ของมนุษย์ในอดีตจากหลักฐานต่าง ๆ ซงึ่ ครอบคลมุ ทุก
เรื่องทกุ ด้านทีม่ นษุ ยไ์ ดท้ า ได้คดิ ไดส้ รา้ งสรรค์ และการกระทานั้นส่งผลตอ่ มนุษยท์ ั้งในอดีตและปัจจบุ ัน

เฮโรโดตสั (Herodotus ๕๐๐ B.C.) สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ซอื หม่า เชยี น (Sima Qian ๑๔๐-๘๗ B.C.)
นักประวตั ศิ าสตรช์ าวกรีก (พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๘๖) นกั บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตร์ในสมยั ราชวงศ์ฮนั่
ผู้เขยี น “The Hisories” พระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๔ ผ้วู างรากฐานกิจการ ผู้เขยี นพงศาวดาร “ส่ือจ้ี”
บันทกึ สงครามกรีก-เปอรเ์ ซยี พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ และพระนพิ นธ์ตาราดา้ น บนั ทึกประวตั ิศาสตร์จีนกวา่ ๓,๐๐๐ ปี
ประวตั ศิ าสตร์และโบราณคดเี ป็นจานวนมาก

เวลาในประวัติศาสตร์ คอื อดีตที่มีความเกย่ี วข้องหรอื เช่อื มโยงถงึ ปัจจุบนั ซ่ึงปรากฏในหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์
ชว่ ยใหผ้ ศู้ กึ ษาเขา้ ใจเหตกุ ารณ์ในอดีตแล้ว ยังมีความสาคัญ ดังน้ี

นกั ประวตั ศิ าสตร์อาศยั “ศักราช” ทีป่ รากฏ ประวัตศิ าสตร์บอกพฒั นาการของชนชาติ
อยูใ่ นหลักฐานมาเรยี งลาดับเหตุการณท์ ี่ หรือสง่ิ ตา่ ง ๆ บอกรากฐานท่ีมาของสง่ิ นน้ั
เกิดข้ึน เพ่อื ใชส้ บื สาวได้วา่ เหตุการณ์ใด ซ่ึงเป็นสง่ิ ท่ีเชื่อมโยงอดตี จนถึงปจั จุบันของ
เกิดขึ้นก่อน-หลัง ชาตนิ ัน้ ได้

ขอ้ มลู ทพี่ บในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ การศกึ ษาในลักษณะนี้ต้องเปรยี บเทียบ
ชว่ ยให้ผศู้ กึ ษามองเห็นความต่อเนอ่ื งของ กบั ดนิ แดนทอ่ี ยูร่ ่วมสมัยกัน เชน่
เหตกุ ารณจ์ ากชว่ งเวลาหนง่ึ ไปยงั อกี - สมัยธนบรุ ี (ค.ศ. ๑๗๖๗-๑๗๘๒)
ช่วงเวลาหน่ึง และสามารถเขา้ ใจภาพรวม เป็นชว่ งเดียวกับเหตกุ ารณก์ ารปฏวิ ัติ
ของเหตุการณไ์ ด้ อเมริกา (ค.ศ. ๑๗๗๖)

ศกั ราช (era) หมายถงึ อายุเวลาทต่ี งั้ ขน้ึ อยา่ งเปน็ ทางการ โดยยดึ ถอื เอาเหตกุ ารณ์สาคัญเหตกุ ารณใ์ ดเหตกุ ารณ์
หนึ่งเป็นจดุ เริ่มตน้ แลว้ นับเวลาเป็นปีเรยี งตามลาดบั ตดิ ต่อกนั มา

๕๐๐ ๑๐๐๐ ๑๕๐๐ ๒๐๐๐ ๒๕๐๐

ใช้อักษรย่อวา่ เป็นศกั ราชที่นิยมใช้ในหมพู่ ุทธศาสนกิ ชน ซ่งึ มวี ธิ กี ารนบั ๒ แบบ ได้แก่

แบบไทย >> เริ่มนับเมอ่ื พระพทุ ธเจ้าปรินพิ พานไปแล้วครบ ๑ ปี (ใช้ในไทย ลาว กมั พูชา)

แบบลงั กา >> เริม่ นบั ทันทีหลงั จากพระพทุ ธเจา้ ปรนิ ิพพาน (ใช้ในศรีลงั กา อินเดยี พมา่ )

สันนิษฐานว่าเข้ามาดินแดนไทยในสมยั ท่พี ระเจ้าอโศกมหาราชสง่ พระเถระเขา้ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แต่ปรากฏหลักฐานการใช้ในสมยั ของสมเด็จพระนารายณม์ หาราช และใช้อย่างเปน็ ทางการในสมยั รัชกาลท่ี ๖

ใชอ้ ักษรยอ่ วา่ หรือ ย่อมาจาก Anno Domini แปลวา่ ปแี หง่ พระผู้เป็นเจ้า

สว่ นปีกอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ใช้คาว่า ยอ่ มาจาก Before Christ

ครสิ ต์ศักราชถือเปน็ ศักราชสากล โดยเรม่ิ นบั ในปีท่พี ระเยซูประสตู ิ ซงึ่ ตรงกบั พ.ศ. ๕๔๔

ใช้อกั ษรย่อว่า โดยคาว่า “ฮิจเราะห”์ (อาหรบั ) แปลว่า การอพยพ

ฮจิ เราะหศ์ ักราชเป็นศักราชของผู้นบั ถอื ศาสนาอิสลาม โดยเรมิ่ นบั ในปที ีน่ บีมูฮัมหมดั พาชาวมสุ ลิม

อพยพจากนครเมกกะไปยงั นครเมดินา **เป็นศกั ราชทน่ี ับแบบจันทรคติ

ใชอ้ กั ษรยอ่ ว่า ผกู้ ่อต้งั คือ พระเจา้ กนิษกะ แหง่ ราชวงศ์กุษาณะของอนิ เดีย
ไทยรบั มหาศักราชมาจากเขมร (เขมรรบั มาจากอินเดีย) โดยนิยมใช้ในการคานวณทางโหราศาสตร์

และใชร้ ะบุเวลาในจารกึ ตานานชว่ งก่อนสุโขทัยและสมัยสโุ ขทัยซึง่ มหาศักราชมกั บอกแค่ตวั เลขและตอ่ ทา้ ยด้วย
ปนี ักษัตร เช่น

“๑๒๐๕ ศก ปีมะแม พอ่ ขนุ รามคาแหง หาใครใ่ จในใจ แลใสล่ ายสือไทยน้ี ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขนุ ผนู้ น้ั ใสไ่ ว้”

๑ เอก ๖ ฉ

ใช้อกั ษรยอ่ วา่ ผู้ก่อตัง้ คือ กษตั ริย์พม่าสมยั กอ่ นพกุ าม ในปี พ.ศ. ๑๑๘๒ ๒ โท ๗ สปั ต
๓ ตรี ๘ อัฐ
ไทยใช้จุลศกั ราชในการคานวณทางโหราศาสตร์ ใช้บอกปีในจารึก ตานาน ๔ จตั วา ๙ นพ
จดหมายเหตุ พงศาวดาร และเอกสารราชการ ตงั้ แต่สมัยสโุ ขทัยจนถึงสมัยรชั กาลที่ ๕ โดย ๕ เบญจ ๑๐ สัมฤทธิ
จุลศักราชมกั บอกปนี กั ษัตรควบคู่กนั และนิยมบอกด้วยว่าเป็นศกั ราชท่ลี งท้ายดว้ ยเลขอะไร
เช่น

“ศกั ราช ๗๑๒ ขาลศก วัน ๖ ฯ ๕ ค่า เวลารงุ่ แล้ว ๓ นาฬกิ า ๙ บาท แรกสถาปนากรงุ พระนครศรอี ยุธยา”

ใช้อักษรย่อว่า ผู้กอ่ ต้งั คอื พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั (รชั กาลที่ ๕)
โดยใหเ้ รมิ่ นับปี ร.ศ.๑ ในปีทสี่ ถาปนากรงุ รัตนโกสินทร์ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ไทยประกาศ

ใช้รัตนโกสนิ ทรศกเม่ือวันท่ี ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๐๘ จนถึง ร.ศ. ๑๓๑

“ไกลบ้าน พระราชหตั ถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ถึงสมเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอ
เจ้าฟ้านภิ านภดล เมอ่ื เสดจ็ ไปประพาสยุโรป ร.ศ. ๑๒๖”

ค.ศ. ม.ศ. ฮ.ศ. จ.ศ. ร.ศ.
๕๔๓ ๒๓๒๔
๖๒๑ จานวนปที ีห่ า่ งจาก พ.ศ.

๑๑๒๒ ๑๑๘๑

จิตรกรรมฝาผนงั เร่อื งมโหสถ ศลิ ปะในสมัยรัชกาลท่ี ๓

การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยนั้นใช้หลักเกณฑ์เดียวกับเกณฑ์การแบ่งยุคสมัย
ทางประวัติศาสตร์สากล คือ กาหนดให้สมัยประวัติศาสตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักประดิษฐ์
ตัวอักษรขึน้ มาใช้ โดยในดนิ แดนไทยพบหลกั ฐานลายลกั ษณอ์ กั ษรท่ีเกา่ แก่ท่สี ุด คือ จารึกปราสาท
เขาน้อย ท่ีจังหวดั สระแก้ว ซึง่ เปน็ อกั ษรปลั ลวะของอินเดียโบราณ

ดังนนั้ การแบง่ ยคุ สมัยทางประวตั ศิ าสตรไ์ ทยจึงแบ่งได้เปน็ ๒ ยุคสมัยใหญ่ ๆ คอื
๑. สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ชว่ งที่มนุษยย์ ังไม่มกี ารใช้ตัวอักษร
๒. สมัยประวตั ศิ าสตร์ เป็นชว่ งทม่ี นุษย์มีการใช้ตวั อักษรแลว้

ค้นพบการใช้ตวั อกั ษร สมยั ประวตั ศิ าสตร์

สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์

- มีอายปุ ระมาณ ๗๐๐,๐๐๐ – ๑๐,๐๐๐ ปีมาแลว้ - มอี ายปุ ระมาณ ๑๐,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีมาแลว้
- อยู่รวมกนั เปน็ ครอบครวั ขนาดเล็ก อาศัยอยู่ในถา้ หรอื เพงิ ผา - ต้ังหลักแหล่งถาวรบริเวณใกลแ้ มน่ ้า เพาะปลกู และเล้ียงสัตว์
ทาเคร่ืองป้ันดนิ เผา ฝงั ศพ แลกเปล่ียนค้าขาย
เร่รอ่ นตามฝงู สัตว์ เกบ็ พืชผลธรรมชาติ - คน้ พบเครอ่ื งมอื หนิ ขัด ภาชนะเครอ่ื งปน้ั ดินเผา หลุมฝงั ศพ
- คน้ พบเครื่องมือหนิ กรวดกะเทาะทาขนึ้ อยา่ งหยาบ ๆ เคร่ืองประดับจากกระดูกสัตว์
- แหลง่ โบราณคดที ่พี บ ไดแ้ ก่ บ้านเก่า (กาญจนบุรี)
สาหรบั สับ ตัด ขุด บา้ นเชยี ง (อดุ รธานี) บ้านโนนนกทา (ขอนแก่น)
- แหลง่ โบราณคดที ่พี บ ไดแ้ ก่ บา้ นแม่ทะ (ลาปาง)

ผาบ้งุ (เชียงใหม่) บา้ นเกา่ (กาญจนบุรี)

-อายุประมาณ ๔,๐๐๐ - ๒,๕๐๐ ปมี าแลว้ - มีอายปุ ระมาณ ๒,๕๐๐ - ๑,๕๐๐ ปมี าแล้ว
- อาศัยอยเู่ ป็นชุมชนใหญข่ ึ้น ร้จู กั ถลุงแรแ่ ละนาแรม่ าผสม - อยูร่ วมกันเป็นเมือง รจู้ กั การถลงุ เหลก็ และนามาใชป้ ระโยชน์
ทาโลหะสาริด (ทองแดง+ดบี ุก) มพี ิธีกรรมตามความเชือ่ มีการตดิ ตอ่ ค้าขายกับต่างแดน
- ค้นพบเครอ่ื งมอื เครื่องใช้ทาจากสารดิ และเครอื่ งประดบั - คน้ พบเครื่องมอื เครอ่ื งใชท้ าจากเหล็กซ่งึ แข็งแกรง่ มากกวา่ สาริด
- แหล่งโบราณคดที ่พี บ ไดแ้ ก่ บา้ นโคกพลบั (ราชบุรี) - แหลง่ โบราณคดีทีพ่ บ ได้แก่ บ้านเชียง (อดุ รธานี)
บ้านเชียงและบ้านนาดี (อดุ รธานี) บ้านใหม่ชยั มงคล (นครสวรรค์) บ้านดอนตาเพชร (เพชรบรุ ี)

- อาณาจักรทีเ่ ก่าแกท่ ีส่ ดุ คอื อาณาจักรทวารวดี และอาณาจักรอนื่ ๆ เช่น ละโว้ ตามพรลงิ ค์ และศรีวิชยั
- เร่มิ เม่อื พอ่ ขุนศรอี นิ ทราทติ ย์สถาปนากรุงสุโขทยั เปน็ ราชธานีเมอ่ื พ.ศ. ๑๗๙๒ จนสุโขทัยเส่ือมอานาจเมือ่ พ.ศ. ๒๐๐๖
- เริม่ เมอื่ สมเดจ็ พระรามาธิบดที ี่ ๑ กอ่ ตง้ั อาณาจกั รอยธุ ยาเมอื่ พ.ศ. ๑๘๙๓ จนเสยี เอกราชใหพ้ ม่าเมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๐
- สมัยสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช เป็นชว่ งฟน้ื ฟปู ระเทศ สร้างความม่ันคงเป็นปกึ แผ่นใหอ้ าณาจกั รและฟื้นฟเู ศรษฐกจิ
- เรม่ิ ตั้งแต่รชั กาลที่ ๑ สถาปนากรุงรัตนโกสนิ ทรเ์ มื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ จนถึงปัจจบุ นั

วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ หมายถึง กระบวนการศกึ ษาเรอื่ งราวของสงั คมมนษุ ยใ์ นอดตี จากรอ่ งรอยหลกั ฐาน โดย
ใช้เหตผุ ลในการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู หลกั ฐานอยา่ งเปน็ ระบบ

เปน็ การทาให้เหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในประวัตศิ าสตร์มีความน่าเช่อื ถอื มีความถกู ตอ้ งเปน็ ความจรงิ หรือใกลเ้ คยี งความ
เป็นจริงมากท่สี ุด เพราะได้มีการศึกษาอยา่ งเป็นระบบ โดยมที ้ังหมด ๕ ข้นั ตอน ดงั น้ี

ใช้การต้ังคาถามเพือ่ กาหนดขอบเขตของการศึกษา
คาถามทีใ่ ช้ เช่น อะไร (What) , เม่ือไหร่ (When) , ที่ไหน (Where) , ทาไม (Why) , อย่างไร (How)

เป็นข้นั ท่ีต้องหาหลักฐานทกุ ประเภทท่เี กยี่ วขอ้ งกบั หัวขอ้ และคาถามทก่ี าหนด โดยพยายามรวบรวมข้อมลู ให้ไดม้ าก
ทีส่ ดุ เท่าที่จะทาได้ เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูลจากหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ทีเ่ กี่ยวข้องให้ครอบคลุมมากที่สุด

ภายนอก เปน็ การตรวจสอบเพื่อใหท้ ราบว่าหลกั ฐานน้นั เป็นของจรงิ หรือของปลอม เปน็ หลกั ฐานประเภทใด
(อายขุ องหลกั ฐาน / ใครเปน็ ผสู้ รา้ งขน้ึ / จดุ มุง่ หมายในการสรา้ ง)

ภายใน เป็นการประเมนิ คณุ คา่ ของหลักฐานโดยพจิ ารณาว่ามคี วามนา่ เชื่อถอื เพยี งใด ดังน้ี
(เทยี บเคยี งกบั หลกั ฐานอนื่ / การสรา้ งมอี คตหิ รอื ไม)่

เป็นข้นั ตอนทสี่ าคญั มากเพราะเปน็ การรวบรวมหลกั ฐานทผ่ี ่านการวิพากษแ์ ลว้ มาประมวลเปน็ เรอื่ งราว พร้อม
อธบิ ายว่าขอ้ เท็จจริงเหลา่ นั้นสาคญั และมคี วามสมั พนั ธ์อย่างไร มีเหตุผลสอดคลอ้ งต่อเนอ่ื งกนั อยา่ งไร ผศู้ ึกษาต้อง
พยายามลาดับเหตกุ ารณด์ ว้ ยเส้นเวลาเพอื่ สงั เกตการเปล่ียนแปลงตามมิติของเวลา

เป็นขนั้ ตอนสุดท้ายโดยนาเสนอในหลายรปู แบบ เช่น บทความ รายงาน โครงงาน การจดั นทิ รรศการ การอภิปราย
ซง่ึ ถือเป็นการแสดงขอ้ เท็จจรงิ ทผี่ า่ นข้นั ตอนตา่ ง ๆ ตามวิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์มาแล้ว จาเปน็ ตอ้ งอาศัยศิลปะและ
ทักษะทางภาษาเป็นสาคญั เพ่อื ให้สาธารณชนรับฟังและวพิ ากษผ์ ลงานที่นาเสนอ

หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ หมายถงึ รอ่ งรอยการกระทาของมนษุ ยห์ รอื รอ่ งรอยของอดตี

สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ชน้ั ตน้ (ปฐมภมู )ิ
สมยั ประวตั ศิ าสตร์ ไม่ใชล่ ายลกั ษณอ์ กั ษร ชั้นรอง (ทตุ ยิ ภมู )ิ

การจาแนกประเภทของหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ทาได้หลายลักษณะแล้วแต่ว่าจะใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ เช่น

เกณฑ์การจาแนก ประเภทของหลกั ฐาน ความหมาย
ยคุ สมยั
ลักษณะ หลักฐานสมยั กอ่ น คือ ร่องรอยการกระทาของมนุษย์ตงั้ แตช่ ่วงสมัยท่ียังไม่มีตัวอกั ษรใช้

ความสาคญั ประวตั ศิ าสตร์ เช่น โครงกระดูก เมล็ดพืช เครอ่ื งมือเคร่อื งใช้ตา่ ง ๆ

คือ รอ่ งรอยการกระทาของมนุษย์ในสมัยทรี่ ู้จกั การใช้ตัวอักษรแล้ว

หลักฐานสมยั ประวตั ศิ าสตร์ เช่น จารึก ตานาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ และรวมถึงสิ่งท่ไี ม่เปน็

ลายลกั ษณอ์ ักษรดว้ ย เชน่ รปู เคารพ ซากโบราณสถาน

หลกั ฐานทเี่ ปน็ ลายลกั ษณ์ คือ หลักฐานจาพวกจารกึ ในแผ่นศิลา แผ่นโลหะ ใบงาน รวมถึง
อักษร ตวั เขยี นตวั พมิ พใ์ นแผ่นกระดาษหรอื วัสดอุ นื่ เชน่ จารกึ ตานาน
พงศาวดาร หนังสอื พิมพ์ หนังสอื ประวัตศิ าสตร์

หลักฐานทไ่ี มเ่ ปน็ ลายลกั ษณ์ คอื หลกั ฐานทเี่ ป็นโบราณสถาน โบราณวตั ถุ ศลิ ปกรรม คาบอกเลา่

อักษร ทั้งของสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรแ์ ละสมัยประวตั ิศาสตร์

คือ หลกั ฐานที่บันทกึ ไว้โดยผทู้ ี่เกี่ยวข้องในเหตุการณห์ รอื รเู้ หน็

หลกั ฐานชนั้ ตน้ (ปฐมภมู )ิ เหตุการณ์นัน้ ด้วยตนเอง (ร่วมสมยั ) รวมทั้งโบราณสถาน

โบราณวัตถุท่สี รา้ งข้ึนในยุคสมยั น้ัน เชน่ จารกึ ตานาน

หลกั ฐานชน้ั รอง (ทตุ ยิ ภมู )ิ คือ หลกั ฐานท่ผี ูบ้ นั ทึกรับทราบเหตุการณม์ าจากคาบอกเล่าหรือ
ข้อเขียนของผอู้ ื่นอีกต่อหนง่ึ

หลกั ฐาน ลกั ษณะของหลกั ฐาน

❖ เป็นการสลักตัวอักษรลงบนแผ่นหิน (ศิลาจารึก) หรือจารลงบนแผ่นทองคา (จารึกลานทอง) หรือ

จารึก (จาร) จารจงบนใบลาน (หนงั สือใบลาน)
❖ ศลิ าจารกึ เก่าแก่ที่สุดในดนิ แดนประเทศไทย จารึกดว้ ยอกั ษรปัลลวะของอินเดียโบราณ พบที่ปราสาท

เขานอ้ ย อาเภออรัญประเทศ จังหวดั สระแกว้

❖ เปน็ การจดบนั ทึกเรือ่ งราวของพระมหากษัตริย์ โดยเขียนลงสมุดไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น

พงศาวดาร พระราชพงศาวดารกรุงเกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ฯ เปน็ พงศาวดารเก่าแก่ท่ีสุดที่พบ เขียนในสมัยสมเด็จ

พระนารายณม์ หาราช

❖ เป็นเรื่องท่ีเล่าสืบต่อกันมาด้วยวาจา ต่อมาได้นามาจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง

ตานาน เร่ืองราวจงึ มักมีความผดิ เพ้ยี นไปจากเดมิ เชน่ ตานานสิงหนวัติ ตานานจามเทวีวงศ์ ตานานพระแก้ว

มรกต

❖ เป็นบนั ทกึ คลา้ ยกบั พงศาวดาร แตจ่ ะบนั ทึกครงั้ ละเหตุการณ์เดยี วและเปน็ บนั ทกึ ร่วมสมัย คือ ผู้เขียน

จดหมายเหตุ จะจดบนั ทกึ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ในชว่ งเวลาที่เกดิ เหตุการณ์น้ัน ๆ โดยบอกวันเดือนปีที่เกิดเหตุการณ์และ

สอดแทรกความคิดเหน็ ของตนลงไป

❖ เปน็ เอกสารเกย่ี วกบั การบรหิ ารราชการแผ่นดินหรือการปกครอง

หนังสอื ใบบอก คอื รายงานจากหวั เมอื งมายงั สว่ นกลาง

ราชการ สารตรา คือ หนงั สือของเสนาบดีไปถงึ เจ้าเมอื ง

ศภุ อกั ษร คอื หนังสือจากเจา้ เมืองประเทศราช

❖ เป็นบันทึกเหตุการณ์ในอดีตท่ีผู้บันทึกมีส่วนเก่ียวข้องหรือร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย จึงถือเป็น

เอกสารสว่ นบคุ คล หลักฐานชน้ั ต้น เชน่ ความทรงจาของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ บันทึกพระยาทรงสุรเดช

ไกลบ้าน

วรรณกรรม ❖ งานเขยี นวรรณกรรมในอดีตจะให้ความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับสภาพบ้านเมืองในยุคสมัยนั้น ๆ ท้ังใน

ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง ทาให้มองเหน็ สภาพชีวิตความเป็นอยูข่ องผูค้ นในสมัยโบราณ

กฎหมาย ❖ เป็นเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การปกครอง รวมถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม และจารีต

หนังสอื พมิ พ์ ประเพณขี องบ้านเมอื งในอดีต
วารสาร ❖ จัดเป็นหลกั ฐานประเภทลายลกั ษณ์อกั ษรซึง่ มเี น้ือหาหลากหลายที่เกี่ยวกบั เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ และความ

ชีวประวตั ิ เคล่ือนไหวทีเ่ กดิ ขึ้นในบา้ นเมอื ง
❖ เป็นหนังสอื ทเี่ ล่าถงึ ประวตั ิชีวประวตั แิ ละผลงานของบุคคล ตลอดจนเหตุการณ์และความเปล่ียนแปลง
งานเขยี นและ
งานวจิ ยั ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของบุคคลน้นั
❖ เป็นผลงานทางประวัติศาสตร์ที่ได้จากการวิเคราะห์ตีความหลักฐานอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการทาง

ประวัตศิ าสตร์ ทาให้เกดิ แนวคดิ ขอ้ คดิ เหน็ ใหม่ ๆ

(พระราชวงั เดมิ ธนบรุ )ี
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบถวัดอมั พวันเจตยิ าราม จังหวัดสมทุ รสงคราม

หลักฐาน ลกั ษณะของหลกั ฐาน

หลกั ฐานทาง คอื รอ่ งรอยท่ีเป็นวตั ถุท่เี กีย่ วขอ้ งกับมนษุ ย์ในอดีต เปน็ สิง่ ทมี่ นษุ ยโ์ บราณสร้างหรือทง้ิ ไว้ ได้แก่
โบราณคดี (๑) หลักฐานทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น เบ้าดินเผาพบท่ีบ้านนาดี หม้อสามขาพบท่ี
บา้ นเกา่ หนิ ทุบเปลือกไม้พบท่ีถา้ เบ้อื ง
(๒) หลักฐานทางโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ เช่น ตะเกียงโรมันสาริดพบที่เมืองโบราณพงตึก
ประตมิ ากรรมดินเผาภกิ ษุ ๓ รูปถือบาตรพบทีเ่ มอื งอู่ทอง

หลกั ฐานทางดา้ น สถาปัตยกรรม เช่น พระบรมธาตไุ ชยา ประติมากรรม เชน่ พระพุทธชินราช
จติ รกรรม เชน่ จติ รกรรมฝาผนัง เตมียชาดกกมุ าร
ศิลปกรรม

หลกั ฐานทางดา้ น เปน็ ศิลปะท่ีถา่ ยทอดตอ่ ๆ กันมาจากอดตี
นาฏศลิ ป์ ดนตรี และ
เพลงพ้นื บา้ น

เป็นหลกั ฐานท่ีถ่ายทอดด้วยคาพูดสืบต่อกันมา เช่น นิทาน สุภาษิต ปริศนาคาทาย ขนบธรรมเนียม
หลกั ฐานประเภทคา ชีวประวัตขิ องบคุ คลสาคญั ประวัติสถานที่ เรื่องราวของเหตุการณต์ ่าง ๆ หลักฐานนี้เหมาะสาหรับใช้ใน
บอกเลา่
การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ทอ้ งถิน่

หลักฐานประเภทโสต ได้แก่ ภาพถ่าย ฟิล์มสไลด์ แถบบันทึกเสียง แถบวิดีทัศน์ ภาพยนตร์ แผนท่ี แผนผัง โปสเตอร์
ทศั น์ ไมโครฟิล์ม สอ่ื คอมพิวเตอร์

จิตรกรรมโคลงภาพพระราชพงศาวดารตอน “สงครามยุทธหัตถรี ะหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเดจ็ พระมหาอปุ ราชา”
เขียนโดย หลวงพศิ ณุกรรม (เล็ก) ในสมัยรชั กาลท่ี ๕ (ภาพจากหนงั สือ “จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสานัก เลม่ ๒”)

โครงงานทางประวัติศาสตร์ หมายถงึ กิจกรรมการเรยี นรทู้ เ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดส้ บื คน้ เรอ่ื งราวในอดตี ในสงั คมมนษุ ยใ์ น
พน้ื ทใ่ี ดพ้นื ทห่ี นงึ่ ช่วงเวลาใดชว่ งเวลาหนึ่ง ตามความสนใจและตามศกั ยภาพของตน โดยใชว้ ิธีการทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงมขี ัน้ ตอน
ดังน้ี

คาถามทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษา
- สนธสิ ัญญาเบาวร์ ิงคอื อะไร และทาไมรฐั บาลไทยในสมยั รชั กาลท่ี 4 จงึ ตอ้ งทาสนธิสัญญาเบาวร์ ิงกับอังกฤษและประเทศอน่ื
- สนธสิ ญั ญาเบาว์ริงกอ่ ให้เกิดผลกระทบที่สาคัญอย่างไร
- วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เกิดข้ึนท่ีไหน และเก่ียวข้องกับสนธสิ ญั ญาเบาว์ริงอย่างไร
- รัฐบาลไทยแก้ไขปัญหาสทิ ธิสภาพนอกอาณาเขตอย่างไร

ตวั อย่างหลักฐานทเี่ กี่ยวขอ้ ง
- พระราชหตั ถเลขารชั กาลท่ี ๕ และพระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๕
- งานวจิ ยั เรอื่ ง การตา่ งประเทศกบั เอกราชและอธปิ ไตยของไทย (ตงั้ แตส่ มยั รชั กาลที่ ๕ ถึงสน้ิ สมยั จอมพล ป. พิบลู สงคราม
- ปรญิ ญานิพนธ์เรอ่ื ง สทิ ธิสภพานอกอาณาเขตกบั ประเทศมหาอานาจในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ วั
- ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม ของเซอร์จอห์น เบาวร์ งิ

ประเมนิ ภายนอก - หลกั ฐานช้ันต้นมคี วามนา่ เช่ือถอื มากที่สุด หรอื หากเปน็ หลักฐานช้นั รองท่ีน่าเช่ือถอื เช่น ผลงานวจิ ยั
ปริญญานพิ นธ์ทางประวัติศาสตร์

ประเมนิ ภายใน - ประเมนิ ความน่าเชอื่ ถือของหลักฐานจากการเทยี บเคยี งและอา้ งอิงข้อมลู ร่วมกบั หลกั ฐานชน้ิ อื่น

ผศู้ กึ ษานาหลกั ฐานมาเชื่อมโยงใหเ้ หน็ ภาพรวมของข้อมลู เช่น นาสาระของสนธิสญั ญาเบาว์รงิ ไปเช่ือมโยงกบั พระราชดารขิ อง
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมกล้าเจ้าอยูห่ วั ในการปฏิรูปการปกครอง เพ่ือตอบคาถามวา่ ทาไมไทยจงึ ตอ้ งปฏิรปู ประเทศ

นาเสนอข้อมูลจากการศกึ ษามาเรยี บเรียงเปน็ องคค์ วามรเู้ รอ่ื ง สนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ ตามกรอบประเดน็ ศกึ ษาของโครงงาน ดังนี้
1) มลู เหตขุ องการทาสนธิสัญญาเบาว์ริง
2) ผลที่เกิดจากการทาสนธิสญั ญาเบาว์ริง
3) การแก้ปญั หาทีเ่ กดิ จากสนธสิ ญั ญาเบาว์รงิ
4) ผลกระทบทเี่ กดิ จากการแก้ปัญหาทเี่ กดิ จากสนธิสัญญาเบาวร์ งิ : การเสียดนิ แดน
5) สรปุ -วิเคราะห์ผลของสนธสิ ัญญาเบาวร์ งิ ในภาพรวม

ตอนท่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นเติมเหตกุ ารณท์ ี่เปน็ จุดเริม่ ต้นของศักราชตอ่ ไปนี้ลงในช่องวา่ งให้ถกู ต้อง

๑๑๘๑ ปี

๕๐๐ ๑๐๐๐ ๑๕๐๐ ๒๐๐๐ ๒๕๐๐ พุทธศกั ราช
๖๒๑ ปี ๒๓๒๔ ปี

ตอนที่ ๒ ให้นักเรียนเขยี นชอ่ื ศักราชขา้ งหนา้ ข้อความท่เี กี่ยวขอ้ ง

____________________ ๑. พระเจา้ กนิษกะ กษตั รยิ ์ผู้ครองแควน้ คนั ธาระของอนิ เดยี
____________________ ๒. กษัตริย์พมา่ สมยั อาณาจักรพกุ าม
____________________ ๓. ศักราชท่เี ลกิ ใช้ในตน้ รัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั
____________________ ๔. เร่ิมนบั ศักราชท่ี ๑ เมอื่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพานไปแลว้ ๑ ปี
____________________ ๕. พบมากในศลิ จารกึ สโุ ขทยั และศลิ าจารกึ ของไทยรุ่นเกา่ ๆ
____________________ ๖. พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั มพี ระราชดารใิ ห้บญั ญตั ิขนึ้
____________________ ๗. เริม่ นับศักราชท่ี ๑ ในปที ่สี ถาปนากรงุ รัตนโกสินทร์
____________________ ๘. เรม่ิ ใชใ้ นสมัยสมเด็จพระนารายณม์ หาราชแห่งอาณาจกั รกรงุ ศรอี ยธุ ยา
____________________ ๙. พบมากในศลิ จารกึ และพงศาวดารของล้านนา สุโขทยั อยุธยา
____________________ ๑๐. ใช้กนั อยา่ งแพรห่ ลายตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๕๕ ในสมัยรชั กาลท่ี ๖ เปน็ ตน้ มา

ตอนท่ี ๓ ใหน้ ักเรียนขีดเสน้ โยงข้อความท่สี มั พนั ธ์กันให้ถูกต้อง (ตามตวั อยา่ ง)

พุทธศกั ราช ๐ พระเจ้าสูริยวกิ รม อพยพ
รัตนโกสินทร์ศก ๕๔๓ นบมี ูฮัมหมัด ปรนิ ิพพาน
๖๒๑ พระเยซู
จุลศักราช ๑๑๒๒ พระเจ้ากนิษกะ ประสูติ
มหาศักราช ๑๑๘๑ รัชกาลท่ี ๕ อินเดยี
ฮิจเราะหศ์ กั ราช ๒๓๒๔ พระพทุ ธเจ้า พกุ าม
คริสตศ์ ักราช สถาปนากรงุ

ตอนท่ี ๔ ใหน้ ักเรยี นเทียบศักราชจากข้อความท่ีกาหนดให้ลงในตาราง

๑. จุลศกั ราช ๖๘๖ ชวดศก แรกสถาปนาพระพทุ ธเจ้าพแนงเชงิ พ.ศ. ม.ศ. จ.ศ. ร.ศ.

๑๘๖๗ ๑๒๔๖ ๖๘๖ -
-
๒. เสวยราชในเมอื งศรสี ัชนาไลย สโุ ขทยั ได้ย่สี บิ สอง เข้าศักราช ๑๙๐๔ ๑๒๘๓ ๗๒๓ -
๑๒๘๓ ปฉี ลู จงึ ใหไ้ ปอัญเชญิ มหาสามีสงั ฆราช ๒๐๐๗ ๑๓๘๖ ๘๒๖ -
๒๓๑๐ ๑๖๘๙ ๑๑๒๙ ๑๕๑
๓. ศกั ราช ๘๒๖ วอกศก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้าสร้างพระ ๒๔๗๕ ๑๘๕๔ ๑๒๙๔ -
วหิ ารวัดจุฬามณี ๒๒๕๐ ๑๖๒๙ ๑๐๖๙ -
๑๘๙๓ ๑๒๗๒ ๗๑๒ ๑๑๒
๔. พระยาตาก (สิน) ยกตีทพั พมา่ ทคี่ ่ายโพธิ์สามต้นแตก เมอ่ื จุล ๑๒๕
ศักราช ๑๑๒๙ ปกี ุน
-
๕. พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญ
ฉบบั ถาวรเมอ่ื พุทธศกั ราช ๒๔๗๕

๖. ชอื่ เมืองธนบุรีนั้นเหน็ จะใชช้ ื่อเดิมต้งั แตเ่ ม่ือแรกสรา้ งปรากฏใน
พระราชกาหนดเกา่ ซง่ึ ตราไว้เมื่อปีกุน จลุ ศักราช ๑๐๖๙

๗. ศักราช ๗๑๒ ขาลศก... แรกสถาปนากรงุ พระนครศรีอยุธยา

๘. ฝร่งั เศสนาเรือมาปิดปากแม่นา้ เจา้ พระยาเมือ่ รตั นโกสินทร์ศก ๒๔๓๖ ๑๘๑๕ ๑๒๕๕
๑๑๒ ๒๔๔๙ ๑๘๒๘ ๑๒๖๘
๒๐๑๔ ๑๓๙๓ ๘๓๓
๙. เมอ่ื วนั ที่ ๒๓ มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๕ ซงึ่ ทาให้ไทยต้อง
เสยี เมอื งพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณใหฝ้ ร่งั เศส

๑๐. กว่าฝร่งั เศสจะถอนกาลงั ออกไปกต็ ่อเมือ่ มีการทาสญั ญา เมื่อปี
เถาะ จลุ ศักราช ๘๓๓ เปน็ ชา้ งเผือกตัวแรกทป่ี รากฏวา่ ได้ในครงั้
กรุงศรีอยธุ ยาเป็นราชธานี

ตอนท่ี ๕ ใหน้ กั เรียนสรปุ พฒั นาการของมนุษย์ในยคุ สมัยก่อนประวตั ิศาสตรล์ งในแผนผงั ทีก่ าหนด

ยคุ สมยั ลักษณะการดารงชวี ติ หลักฐานทพี่ บ
ยุคหินเกา่
ยุคโลหะ ยุคหิน
๗๐๐,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐

ยคุ หนิ ใหม่

๑๐,๐๐๐ - ๔,๐๐๐

ยคุ สาริด

๔,๐๐๐ - ๒,๕๐๐

ยคุ เหลก็

๒,๕๐๐ - ๑,๕๐๐

ตอนที่ ๖ ใหน้ กั เรยี นระบุตาแหน่งท่ีมีการพบชมุ ชนมนุษย์ยุคสมัยกอ่ นประวตั ศิ าสตร์ (ตามตวั อยา่ ง)

ผาบงุ้ , เชยี งใหม่
(ยุคหนิ เกา่ )

บ้านแม่ทะ, ลาปาง บ้านเชยี ง, อดุ รธานี
(ยุคหนิ เกา่ ) (ยุคหนิ ใหม,่ สารดิ ,เหลก็ )

บา้ นเกา่ , กาญจนบรุ ี บ้านโนนทา, ขอนแก่น
(ยุคหนิ เกา่ ,หนิ ใหม)่ (ยุคหนิ ใหม)่

บา้ นโคกพลับ, ราชบรุ ี บ้านใหม่ชยั มงคล, นครสวรรค์
(ยุคสารดิ ) (ยคุ เหลก็ )

บา้ นดอนตาเพชร, เพชรบรุ ี
(ยุคเหลก็ )

ตอนท่ี ๗ ให้นักเรียนวิเคราะหข์ ้อมลู ท่กี าหนดใหว้ ่าอยูใ่ นข้ันตอนใดของวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์

_____ ๑. ทศพลอธิบายเรือ่ งทีจ่ ะศึกษาอย่างมีระบบและมีความสอดคลอ้ งต่อเนอ่ื งเป็นเหตเุ ปน็ ผล
_____ ๒. จารกุ ติ ต์ิสืบค้นข้อมูลจากหลกั ฐานทางประวัติศาสตรป์ ระเภทหลักฐานชัน้ ต้นและชัน้ รอง
_____ ๓. ประภาพรรณนาขอ้ มลู ทั้งหลายมาตีความวา่ มขี อ้ เท็จจรงิ ใดท่ซี อ่ นเรน้ อาพรางหรอื ไม่
_____ ๔. บุรนิ ทรวรวิทยก์ าหนดแนวทางในการคน้ หาเรื่องราวทเ่ี กิดข้นึ ในอดีต
_____ ๕. ยคุ ลธรตรวจสอบและประเมนิ ค่าความน่าเชอื่ ถอื ของหลักฐาน
_____ ๖. สายผลต้องการทราบว่ารัชกาลท่ี ๑ ทรงฟน้ื ฟูบ้านเมอื งในด้านใดบา้ ง
_____ ๗. เมธสี ัมภาษณป์ า้ บีเกี่ยวกับการทาตกุ๊ ตาชาววังท่ี ต.บางเสด็จ อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง
_____ ๘. วนั ธินเี ขยี นรายงานเหตผุ ลการยา้ ยราชธานีของสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช
_____ ๙. กษมาวิเคราะห์ว่า พระราชพงศาวดารกรงุ รัตนโกสินทร์ มีจุดหมายแฝงคอื ยกยอ่ งรัชกาลที่ ๑
_____ ๑๐. วิระสาฐป์ ระเมินจดหมายเหตุว่าเป็นหลักฐานทนี่ า่ เช่อื ถือ เพราะเปน็ เอกสารสว่ นบคุ คล

ตอนท่ี ๘ ให้นักเรยี นพจิ ารณาภาพ แล้วนาวิธีการทางประวัติศาสตรม์ าใชใ้ นการศึกษาประเดน็ ตามภาพ

(ประเด็นคาถามท่จี ะตง้ั ได้แก่)

- ....................................................................................................

(หลกั ฐานหรือแหล่งข้อมูลที่จะใช้หาขอ้ มลู ได้ เช่น)

อนสุ าวรีย์ประชาธิปไตย - ....................................................................................................
...................................................................................................

(จากหลักฐานท่ีหามาได้ หลกั ฐานช้นิ ใดมคี วามนา่ เช่ือถอื นา่ นาไปใชม้ ากทส่ี ุด เพราะเหตุใด)

- ...........................................................................................................................................................

(ตอบคาถามท่ไี ด้ตง้ั ประเด็นไว้ในขน้ั แรก)

- ...........................................................................................................................................................

(บอกวิธีนาเสนอผลการศึกษาท่ีนา่ สนใจและเหมาะกับเร่อื งน้ี)

- ...........................................................................................................................................................

ตอนที่ ๙ ให้นักเรยี นอธบิ ายความหมายของคาสาคัญทางประวัติศาสตรท์ ่ีกาหนดให้

ตอนที่ ๑๐ ใหน้ ักเรยี นเตมิ อักษรลงในชอ่ งวา่ งใหไ้ ดค้ าตอบทส่ี มบูรณ์ ต
ร์
๑. พระราชหัตถเลขาในรัชกาลท่ี ๕ เมื่อคร้งั เสดจ็ ไปประพาสยุโรป คร้ังท่ี ๒

ไ ก ล บ้ รา น

๒. พระราชนิพนธข์ องพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) เก่ียวกบั นรก-สวรรค์

ไ ต ร ภู มิ พ ร ระ ร่ ว ง

๓. ตานานการสร้างเมืองหรภิ ญุ ไชย

จ รา ม เ ท วี ว ง ศ์

๔. เขียนข้ึนโดยชาวฮอลนั ดา กล่าวถึงเหตุการณ์ปลายสมัยพระเจ้าทรงธรรมจนถงึ สมยั พระเจ้าปราสาททอง

จ ด ห ม รา ย เ ห ตุ วั น ว ลิ

๕. เขียนขน้ึ โดยชาวฝรงั่ เศส ในสมัยสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช

จ ด ห ม รา ย เ ห ตุ ล รา ลู แ บ

ตอนที่ ๑๑ ให้นักเรยี นประเมินความน่าเชอื่ ถือของหลักฐานทางประวตั ิศาสตรต์ ามหัวข้อทีก่ าหนดให้

ภมู ิหลังของผู้บนั ทกึ : .......................................................................................................................
จดุ ม่งุ หมาย : ..................................................................................................................................
ความนา่ เชอ่ื ถอื : .............................................................................................................................
คณุ ค่าทางประวัตศิ าสตร์ : ................................................................................................................

ตอนท่ี ๑๒ ให้นักเรียนวเิ คราะหบ์ ทความต่อไปน้ี แล้วตอบคาถามท่ีกาหนด

เรือ่ ง สาเหตกุ ารปฏริ ูปประเทศในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
“...แตบ่ ดั นี้ ข้างฝา่ ยทิศตะวนั ตกโดยโอบขึ้นไปเหนอื เมื่อเหล่านั้นตกเป็นขององั กฤษ ขา้ งฝา่ ยตะวนั ออก
โอบข้ึนไปเหนือตกเป็นของฝรั่งเศส...การซ่ึงจะรักษามิให้มีอันตรายทั้งภายในภายนอกได้ มีอยู่สาม
ประการ คอื พูดจากันโดยทางไมตรีอย่างหน่ึง มีกาลังพอที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
อย่างหนึ่ง การปกครองให้เสมอกันอย่างหน่ึง ถ้าจะรักษาโดยทางไมตรีไม่มีกาลังพอท่ีจะรักษาความ
สงบเรียบร้อยของบ้านเมอื งได้ การเจรจาโดยทางไมตรกี จ็ ะไมส่ าเร็จไปได้เสมอ... เพราะฉะนั้นการท่ีจะ
ปกครองรักษาบ้านเมืองให้แข็งแรงเรียบร้อยและบารุงประโยชน์ในทางหากินค้าขายของราษฎร
พลเมือง จึงเปนหวั ใจเปนยอดของความตงั้ มั่นแห่งพระราชอาณาเขตรนี้...”

(เอกสารราชการมณฑลนครศรธี รรมราช... หนา้ 3)
๑. จากบทความ เหตุการณ์นเี้ กดิ ขน้ึ ชว่ ง พ.ศ. ใด
.................................................................................................................................................................
๒. เหตุการณ์จากบทความ เกิดขนึ้ เพราะสาเหตใุ ด
.................................................................................................................................................................
๓. ผลทเ่ี กดิ ขนึ้ จากเหตกุ ารณน์ ี้ คือส่ิงใด
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................

ตอนที่ ๙ให้นกั เรยี นศึกษาประวัติโรงเรียนของตนเอง โดยใชว้ ิธีการทางประวัติศาสตรใ์ นการสืบคน้ ตามหัวข้อ
พรอ้ มนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบ Timeline

หวั ขอ้ ประวตั โิ รงเรยี น......................................................................................................

หลกั ฐาน การประเมนิ หลกั ฐาน

วิเคราะห/์ ตคี วาม : ......................................................................................................................................
......................................................................................................................................
......................................................................................................................................

ภาระงาน กาหนดวนั สง่ งาน

๑. แบ่งกลุม่ นักเรียนจัดทาโครงงานประวัติศาสตร์และกาหนดหัวเร่อื งท่ีสนใจ
โดยใชว้ ิธกี ารทางประวัตศิ าสตรม์ าประยกุ ตใ์ ช้ในการศึกษา และจดั ทาเป็นเลม่
รายงาน

๒. แบ่งกลมุ่ นักเรยี นจดั ทาบตั รคา (ขนาด ๑๐*๑๔ ซม.) เกย่ี วกับหลักฐานทาง
ประวัตศิ าสตรท์ คี่ ้นพบในประเทศไทย พรอ้ มทง้ั แสดงขอ้ มูลความสาคัญของ
หลักฐานท่มี ีตอ่ การศึกษาประวัตศิ าสตรไ์ ทย จานวน ๒๐ บัตรคา

๑. เวลาและการแบง่ ยคุ สมัยในประวตั ศิ าสตรม์ คี วามสาคญั และมปี ระโยชน์อยา่ งไรตอ่ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๒. สมัยประวตั ศิ าสตรใ์ นประเทศไทย ถ้าแบง่ ตามราชธานจี ะแบง่ เปน็ สมยั อะไรบา้ ง
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๓. หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรม์ คี วามสาคัญตอ่ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งไรบา้ ง จงอธบิ าย
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๔. จงยกตวั อยา่ งหลกั ฐานลายลกั ษณอ์ กั ษรทใ่ี หข้ อ้ มลู เกย่ี วประวตั ศิ าสตรไ์ ทยมา ๓ ตัวอยา่ ง และอธบิ ายมาพอเขา้ ใจ

๔.๑ ....................................................................................................................................................
๔.๒ ....................................................................................................................................................
๔.๓ ....................................................................................................................................................
๕. เม่อื มีการตคี วามทางประวตั ศิ าสตร์เรือ่ งใดเรอ่ื งหนึง่ ไวแ้ ลว้ ผ้อู ่นื จะสามารถตคี วามเร่ืองนนั้ เปน็ อยา่ งอนื่ ไดห้ รอื ไม่
เพราะเหตใุ ด
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................

ส๔.๓ ม.๔-๖/๑ วิเคราะห์ประเด็นสาคัญของประวัติศาสตรไ์ ทย

ผงั มโนทศั น์ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๒

หนว่ ยท่ี ๒ ประเดน็ สาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์

ส๔.๓ ม.๔-๖/๑ วเิ คราะหป์ ระเด็นสาคัญของประวตั ศิ าสตร์ไทย

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งท่สี ดุ เพยี งคาตอบเดยี ว ๖. เพราะเหตใุ ดการเลิกระบบไพรจ่ งึ สาคญั กวา่ การเลิกทาส
ก. คนไทยสว่ นใหญ่เป็นไพร่
๑. การศกึ ษาเรอ่ื งถนิ่ กาเนดิ ของชนชาตไิ ทย สาคญั อยา่ งไร ข. ทาให้มที หารประจาการ
ก. จะไดร้ ูว้ ่าชาติใดเคยเป็นศัตรูกับไทยมาก่อน ค. ทาใหอ้ านาจขนุ นางลดลง
ข. จะได้ใชเ้ ป็นขอ้ โต้แย้งและประเด็นถกเถยี งในระดบั ชาติ ง. ปอ้ งกันการแทรกแซงของตา่ งชาติ
ค. จะได้ทราบว่าชาตใิ ดมคี วามสมั พนั ธ์กบั ไทยมากทีส่ ดุ
ง. จะได้รูว้ า่ ไทยเปน็ ชาตทิ ่ีเก่าแก่และมีวัฒนธรรมยาวนาน

๒. อาณาจกั รโบราณมอี ิทธพิ ลตอ่ ไทยในเรอ่ื งใดมากทสี่ ดุ ๗. ข้อใดเปน็ สาเหตสุ าคญั แรกทน่ี าไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงการปกครอง
ก. การเมอื งการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕
ข. การเปลีย่ นแปลงทางสงั คม ก. ปญั หาเศรษฐกจิ ตกต่า
ค. ศาสนา วัฒนธรรม ศลิ ปกรรม ข. การได้รบั การศกึ ษาแบบตะวันตก
ง. อิทธิพลดา้ นวิถชี วี ติ ความเป็นอยู่ ค. การปลดข้าราชการออกจากตาแหน่ง
ง. ความไม่พอใจการบรหิ ารประเทศ
๓. ปัจจัยในสถาปนากรงุ ธนบรุ แี ละกรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ หมอื นกนั
อยา่ งไร ๘. ข้อใดคอื บทบาทสาคญั ของทา้ วเทพกระษตั รี ท้าวศรสี นุ ทร
ก. สร้างเมอื งหลวงที่มีแม่นา้ ผ่ากลางเมอื ง ก. ทาสงครามปกปอ้ งบา้ นเมือง
ข. ทาสงครามกอบกูอ้ ิสรภาพจากพม่า ข. แต่งตาราการเรือนสาหรับสตรีไทย
ค. มีไพร่พลจานวนมากทาให้สรา้ งเมอื งไดร้ วดเรว็ ค. แต่งตาราสอบขนบธรรมเนียมของสตรีไทย
ง. เกดิ ความวนุ่ วายทางการเมอื งภายในอาณาจกั รกอ่ นหนา้ ง. ชว่ ยเหลือคนในหัวเมอื งจากปญั หาทุพภกิ ขภัย

๔. ข้อใดคอื จดุ ประสงคข์ องการปฏริ ปู การปกครองในสมยั ร.๕ ๙. วฒั นธรรมตะวนั ออกมผี ลตอ่ สงั คมไทยในเรอื่ งใดมากทสี่ ดุ
ก. เพ่ือความมัน่ คงและจดั ระเบียบการบริหาร ก. การศกึ ษาและวถิ ีชีวิต
ข. เพ่ือแสดงวา่ สยามเป็นชาติทย่ี ง่ิ ใหญ่ ข. ศาสนาและเทคโนโลยี
ค. เพอื่ สร้างความมน่ั คงและพัฒนาทางเศรษฐกจิ ค. อาหารการกนิ และวถิ ชี ีวติ
ง. เพอ่ื ใหไ้ ด้รบั การยอมรับจากชาติตะวนั ตก ง. ศาสนาและวถิ ชี ีวิต

๕. การปฏริ ปู การปกครองสว่ นภมู ภิ าคและสว่ นทอ้ งถนิ่ ในสมยั ๑๐. ข้อใดเปน็ ปจั จยั ทที่ าใหเ้ ศรษฐกจิ ไทยเปล่ียนจากการผลติ เพอ่ื ยงั
ร.๕ สอดคล้องกบั หลกั การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ในขอ้ ใด ชพี มาเปน็ ระบบการคา้ เสรี
ก. รวมอานาจ และกระจายอานาจ ก. การมรี ัฐธรรมนูญ
ข. แบง่ อานาจ และรวมอานาจ ข. การดาเนนิ นโยบายของผู้นาประเทศ
ค. กระจายอานาจ และถว่ งดุลอานาจ ค. การทาสนธิสัญญาเบาว์รงิ
ง. ถ่วงดุลอานาจ และแบง่ อานาจ ง. ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่

ผ้สู นบั สนนุ >> ดร.วิลเลยี ม คลิฟตนั ดอดด์ / ขนุ วจิ ิตรมาตรา

แนวคดิ : ชนชาตไิ ทยมาจากเทอื กเขาอลั ไต
ชนชาติไทยมีเชือ้ สายมองโกล เปน็ ชาตทิ ี่เก่าแก่และเจรญิ มาก่อนจนี
>> ๑,๗๐๐ ปกี อ่ นพทุ ธศกั ราช อพยพมายังแม่นา้ ฮวงโหและได้ตั้งอาณาจักรอ้ายลาว (ต้ามงุ ) ข้ึน ๒ แห่ง

คือ นครลงุ และนครปา ตอ่ มาจงึ ไดต้ ง้ั นครเงย้ี วอกี แห่ง
>> ๑,๑๐๐ ปกี ่อนพทุ ธศักราช ถูกจีนรกุ รานจงึ อพยพลงใตไ้ ปต้ังอาณาจักรน่านเจ้าขนึ้ ทม่ี ณฑลยนู นาน
>> ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ถูกจนี ราชวงศ์หยวนตแี ตก จงึ อพยพมาตงั้ รฐั ไทยทางภาคเหนือของไทย

หลกั ฐานสนบั สนนุ การวเิ คราะห์ / สงั คเคราะหห์ ลกั ฐาน
ศ.เฉินหลว่ีฟา่ น แยง้ วา่ อัลไต เปน็ ภาษาทเู จ แปลวา่ ทองคา
หลักฐานดา้ นภาษาศาสตร์ วเิ คราะห์ช่ืออลั ไต วา่ อัล คือ อะ เพราะเทือกเขาอัลไตอดุ มไปด้วยแร่ทองคา
เลอ ซึ่งภาษาไทยโบราณแปลวา่ แผน่ ดิน และ ไต คือ ไท
ในภาษาไทย หรือชอ่ื เมืองลงุ ปา เงยี้ ว และอาณาจักรน่าน สภาพภูมปิ ระเทศและภมู ิอากาศของเทอื กอลั ไตเป็นทงุ่ หญา้
เจา้ ก็เปน็ คาในภาษาไทย เหมาะแกก่ ารเลีย้ งสตั ว์ และยงั พบภาพเขียนสบี ริเวณหน้าผา
ของเทอื กเขาอัลไต ซ่งึ ไม่สอดคลอ้ งวิถชี วี ิตคนไทยทถี่ นัดการ
หลักฐานเอกสารจนี พบวา่ ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี เพาะปลกู และอยใู่ นพื้นท่ลี ุ่มแม่นา้
มคี วามคลา้ ยคลงึ ระหวา่ งกลมุ่ คนไทยกับกลุ่มคนจนี

เทอื กเขาอลั ไต (มองโกเลยี ) ในปจั จบุ นั

ผู้สนบั สนนุ >> ศ.แตเรยี ง เดอ ลาคเู ปอรี / สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ / หลวงวจิ ติ รวาทการ (กมิ เหลยี ง วัฒนปฤดา)
/พระบรหิ ารเทพธานี / พระยาอนมุ านราชธน (ยง เสถียรโกเศศ)

แนวคดิ : ชนชาตไิ ทยมาจากตอนกลางของจนี (มณฑลเสฉวน)
ถ่ินเดมิ ของชนชาติไทยอยตู่ อนกลางของจีน (มณฑลเสฉวน) ประมาณ ๒,๗๕๐ ปีก่อนพทุ ธศกั ราช
>> พ.ศ. ๑๑๐๐ ชนชาตไิ ทยถูกจีนรกุ รานจงึ อพยพลงใต้สมู่ ณฑลยูนนาน ไปต้งั อาณาจกั รน่านเจา้
>> พ.ศ. ๑๘๐๐ น่านเจา้ ถูกจีนเข้ายึดครอง ชนชาติไทยจึงตอ้ งอพยพลงมายังดนิ แดนไทย

ขับไลช่ นพืน้ เมือง (มอญ เขมร) ออกไป แล้วตงั้ อาณาจักรของคนไทยข้นึ

หลกั ฐานสนบั สนนุ การวเิ คราะห์ / สังคเคราะหห์ ลกั ฐาน
การอ้างความคล้ายคลึงด้านภาษา มีเหตผุ ลนอ้ ยเกินไป
หลกั ฐานทางภาษาศาสตร์ พบว่ามคี วามคล้ายคลงึ กนั ทางดา้ น
ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณเี ปน็ วฒั นธรรมทสี่ ามารถถา่ ยทอด
ระหวา่ งกล่มุ ชนได้
หลกั ฐานด้านมานษุ ยวทิ ยา พบว่าขนบธรรมเนียมประเพณีมี พบหลักฐานโบราณคดีอายุ ๓,๐๐๐ ปมี าแล้ว เป็น
ความคลา้ ยกัน ประติมากรรมสารดิ จานวนมาก ซึ่งมรี ปู ร่างแตกต่างจากชน
ชาตไิ ทย
หลักฐานเอกสารจนี พบว่าชนชาติทป่ี รากฏในเอกสารจนี นา่ จะ
เป็นชนชาติไทย

ผสู้ นบั สนนุ >> อารช์ ิบอลด์ รอสส์ คอลคนู / เอช อาร์ เดวสี ์ / วิลเฮลม์ เครดเนอร์ / ศ.วลิ เลียม เจ เกนีย์ / ศ.เจียงอ้ิงเหลียง
/ ศ.เฉินหลวฟ่ี ่าน / ศ.ขจร สขุ พานิช / ศ.ประเสริฐ ณ นคร

แนวคดิ : ชนชาตไิ ทยมาจากตอนใตข้ องจนี
ชนชาติไทยก่อต้ังอาณาจกั รเทียน (แถน) ขน้ึ ในมณฑลยนู นาน
>> พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓ ชนชาตไิ ทยได้สถาปนาอาณาจักรใหม่ข้นึ คอื อาณาจักรน่านเจา้
>> พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ถูกจนี ราชวงศห์ ยวนรกุ ราน จึงตอ้ งอพยพลงใต้และได้แยกย้ายไปตัง้ ถิ่นฐานใน

บรเิ วณรัฐอสั สมั ของอนิ เดยี และเชียงแสนในดินแดนไทย

หลักฐานสนบั สนนุ การวเิ คราะห์ / สังคเคราะหห์ ลกั ฐาน

หลกั ฐานทางภาษาศาสตร์ พบวา่ เปน็ กลุม่ ชนทพี่ ูดภาษาตระกลู กลมุ่ คนทใี่ ช้ภาษาตระกลู ไท ตั้งถ่ินฐานอยู่ต้ังแต่ตอนใตข้ องจีน

ไทคล้ายกัน ภาคเหนอื ของเวียดนาม ไทย ลาว พมา่ รฐั อสั สมั

หลกั ฐานด้านมานษุ ยวทิ ยา พบว่าการตัง้ ถนิ่ ฐาน วถิ ีการ จากหลักฐานโบราณคดี ประวัตศิ าสตร์ นริ กุ ติศาสตรท์ ่ี
ดารงชวี ติ ขนบธรรมเนยี มประเพณคี ล้ายคลงึ กนั สนบั สนนุ ทาให้แนวคดิ น้เี ปน็ ทยี่ อมรับมากที่สดุ

มณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของจนี

ผู้สนบั สนนุ >> ดร.ควอริตช์ เวลส์ / ศ.นพ.สดุ แสงวเิ ชยี ร / ศ.ชิน อยูด่ ี / ศรีศักร วัลลโิ ภดม / สุจิตต์ วงษเ์ ทศ

แนวคดิ : ชนชาตไิ ทยมาจากคาบสมทุ รมลายู
ถ่นิ เดมิ ของชนชาตไิ ทยอยบู่ ริเวณคาบสมทุ รมลายแู ละหมู่เกาะอินโดนเี ซยี
>> ต่อมาได้อพยพข้นึ ไปทางเหนือจนถงึ ตอนใต้ของจนี
>> ตอ่ มาจงึ อพยพกลบั ลงมาส่ดู นิ แดนไทยในปัจจบุ นั อกี ครงั้

หลกั ฐานสนบั สนนุ การวเิ คราะห์ / สังคเคราะหห์ ลกั ฐาน

หลกั ฐานทางโบราณคดี พบกะโหลกศีรษะท่ีพงตึก ศ.มจ.สภุ ทั รดิศ ดิศกุล คัดค้านวา่ โครงกระดูกมนษุ ย์แบง่ ได้ ๓
(กาญจนบุรี) มอี ายุราว พ.ศ. ๕๐๐ ซง่ึ มีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั แบบคอื คนผวิ ขาว คนผิวดา และคนผิวเหลอื ง ทาใหก้ าร
กะโหลกของคนไทยในปจั จบุ นั สรุปวา่ เป็นโครงกระดกู คนไทย ยงั ดูน้อยไป

- ขุดพบโครงกระดกู ยคุ หนิ ใหม่ทบี่ ้านเกา่ (กาญจนบุรี) จากหลักฐานทางโบราณคดีทีค่ น้ พบ แสดงใหเ้ ห็นร่องรอย
- คน้ พบเครื่องมือเครอื่ งใช้และโครงกระดกู ยคุ หนิ เกา่ ชุมชนของมนุษย์

ผู้สนบั สนนุ >> รธู เบเนดกิ ต์ / นพ.สมศักด์ิ พนั ธ์ุสมบญุ

แนวคดิ : ชนชาตไิ ทยอยใู่ นดนิ แดนปจั จบุ นั
ชนชาตไิ ทยอาจตั้งหลักแหล่งอย่ใู นประเทศไทยมานานแลว้ จากการขดุ พบโครงกระดูกมนุษยใ์ นยคุ หินใหมซ่ ึ่งมอี ายุเกอื บ
๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว

หลกั ฐานสนบั สนนุ การวเิ คราะห์ / สังคเคราะหห์ ลกั ฐาน

หลกั ฐานด้านพนั ธุศาสตร์ พบว่า ความถข่ี องกลู่มเลือดของคน หมเู่ ลอื ดของกลุ่มชนไทดาและไทผู้ มีหมเู่ ลอื ดใกลเ้ คียงกบั คน
ไทยคล้ายคลงึ กบั ของคนอนิ โดนเี ซียมากกวา่ จนี จนี ในขณะที่คนมาเลเซียมหี มเู่ ลอื ดใกลเ้ คียงกบั คนเขมร

ไม่มีหลักฐานทางภาษาศาสตรแ์ ละประวัตศิ าสตรส์ นับสนนุ
และยังขดั กบั หลักท่วี ่า วฒั นธรรมย่อมเคลื่อนย้ายจากต้นน้า
ทางเหนือลงไปทางใต้

แหลง่ โบราณคดใี หญส่ ดุ ในภูมภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
แหล่งโบราณคดบี ้านโนนวัด จังหวดั นครราชสีมา อายกุ ว่า ๖,๐๐๐ ปี

หริภุญชยั (๑๓-๑๙)
โยนกเชยี งแสน (๑๒-๑๖)

หริ ญั นครเงนิ ยาง (๑๖-๑๙)
ล้านนา (๑๙-๒๕)
ทวารวดี (๑๒-๑๖)
ละโว้ (๑๒-๑๘)

เจนละ/อศิ านปรุ ะ (๑๑-๑๙)
โคตรบูรณ์ (๑๒-๑๖)
ลังกาสกุ ะ (๖-๑๘)
ตามพรลงิ ค์ (๗-๑๙)
ศรวี ชิ ยั (๑๓-๑๘)

(พุทธศตวรรษที่ ๖-๑๘)
- ศนู ยก์ ลางอยทู่ ี่เมอื งโบราณยะรัง จังหวัดปตั ตานี
- พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ เคยเป็นรฐั บรรณาการของอาณาจกั รศรีวิชัย
- ถูกแทนทีด่ ้วยอาณาจกั รปตั ตานี เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๐๖
- หลักฐานท่ีพบ ได้แก่ ซากเมืองทมี่ ีคนู ้าคันดินลอ้ มรอบ สถปู ดนิ เผา

(พทุ ธศตวรรษท่ี ๗-๑๙)
- จีนเรียกว่า โปลิง หรือ ตันมาลิง
- ศนู ยก์ ลางอยู่ที่เมอื งนครศรีธรรมราช (ลิกอร์)
- เป็นแหลง่ รวมวฒั นธรรมจากภายนอกคอื อนิ เดียกบั ลังกา
- นบั ถอื ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน ต่อมารับศาสนา

พทุ ธนกิ ายเถรวาทแบบลงั กาวงศจ์ นกลายเปน็ ศูนยก์ ลางในการเผยแผ่
- ตกอยูภ่ ายใต้อิทธิพลของอาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรอยุธยาตามลาดับ
- หลักฐานทพี่ บ ไดแ้ ก่ พระบรมธาตเุ จดยี ์ วัดมหาธาตุ จารกึ วัดเวียง

พระโพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวร และศิวลงึ ค์

(พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘)
- จนี เรียกว่า ซานโฟชิ
- ศนู ยก์ ลางอยู่ท่ีเมอื งไชยา สุราษฎรธ์ านี หรือปาเล็มบงั เกาะสุมาตรา
- เจริญรุ่งเรอื งขน้ึ จากการเป็นเส้นทางการคา้ ระหว่างจนี อินเดีย อาหรับ
- เส่อื มอานาจลงจากการถกู อาณาจกั รโจฬะ (อนิ เดียใต้) เข้าโจมตี
- หลกั ฐานท่พี บ ได้แก่ รปู หลอ่ สารดิ พระโพธสิ ัตวอ์ วโลกเิ ตศวร

เจดยี พ์ ระบรมธาตุไชยา ศิลาจารกึ วดั เสมาเมือง

(พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑-๑๙)
- ศูนย์กลางอยูท่ ่ีเมืองพระนคร (เสียมเรยี บ, กมั พูชา)
- พทุ ธศตวรรษท่ี 13 แยกเป็น 2 ส่วน คอื เจนละบก และเจนละนา้
- พระเจ้าชัยวรมันท่ี 2 (พ.ศ. 1345-1393) กษตั รยิ ผ์ ูร้ วมชาตเิ ขมร

และสร้างความเขม้ แข็ง และสร้างนครวัด
- พระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี 7 (พ.ศ. 1724-1758) สรา้ งความย่ิงใหญ่ให้

อาณาจักรเจรญิ รุง่ เรืองสูงสดุ และสร้างนครธม
- ปกครองแบบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ (สมมติเทพ) ซึ่งรับมาจากอนิ เดยี
- นบั ถือศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน ซ่งึ รับมาจากอนิ เดยี
- หลกั ฐานสาคญั ไดแ้ ก่ ปราสาทหินนครวัด ปราสาทหนิ พมิ าย ปราสาทหนิ พนมรุ้ง ปราสาทหนิ เมอื งตา่

ปราสาทเมอื งสงิ ห์ พระปรางค์สามยอด เปน็ ต้น

(พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖)
- ศนู ย์กลางอยู่ท่ีนครพนม ครอบคลมุ พ้นื ที่ส่วนใหญข่ องภาคอีสาน
- ประวตั คิ วามเปน็ มาถูกเล่าถงึ ในตานานอุรงั คธาตุ มกี ารบูชาพญานาค
- เปลย่ี นมานบั ถอื ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทซงึ่ รับมาจากทวารวดี

รับแบบแผนการปกครองจากอนิ เดยี และรบั ศิลปวฒั นธรรมจากเขมร
- ถูกอาณาจักรอิศานปรุ ะที่เข้มแขง็ กว่าเข้ามาปกครองแทนที่
- หลกั ฐานทพ่ี บ ได้แก่ เจดยี ์พระธาตพุ นม

(พุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๖)
- จีนเรียกว่า โตโลโปต้ี
- ศนู ยก์ ลางอาจอยทู่ ี่เมืองนครชัยศรี เมอื งอทู่ อง เมืองละโว้
- นับถอื ศาสนาพทุ ธนิกายเถรวาท รับแบบแผนการปกครองจากอินเดยี
- ชาวทวารวดีนา่ จะเปน็ ชาวมอญ จากการพบจารึกมอญหลายหลกั
- เส่ือมอานาจจากการถูกเขมรแผ่อานาจเข้ามาในภาคกลางของไทย
- หลกั ฐานท่พี บ ไดแ้ ก่ ธรรมจกั รกบั กวางหมอบ จารกึ คาถา เย ธมฺมา

เหรียญเงนิ จารกึ ว่า “ศรที วารวติ ศวรปณุ ยะ”

(พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘)
- จนี เรยี กวา่ หลงหู
- ศูนยก์ ลางอย่ทู ี่เมืองลพบรุ ี
- รบั วัฒนธรรมจากเขมร คือ การขุดสระนา้ บารายภายในเมอื ง

การสรา้ งศาสนสถานไว้ท่ีศนู ยก์ ลางเมืองและมีประธานเป็นปรางค์
- นับถือศาสนาพทุ ธนิกายเถรวาท และอาจเป็นชาวมอญจากการพบ

จารกึ ภาษามอญโบราณ และตานานจามเทววี งศ์ท่ีเรยี กชาวละโว้ว่าชาวรามัญ
- หลกั ฐานทพ่ี บ ได้แก่ ปรางคส์ ามยอด เทวรูปศลิ า

(พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๖)
- ปรากฏเร่ืองราวอยู่ในตานานสิงหนวัติวา่ พระเจ้าสิงหนวัตสิ ร้างเมอื ง
ช่ือนาคพันธส์ งิ หนวัตนิ คร (เชยี งราย) เมื่อพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒
- ต่อมาเมอื งเปลยี่ นชื่อเป็น เมอื งโยนกนครธานศี รีนครชา้ งแส่น และ
ภายหลงั เรียกว่า เชียงแสน
- พทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ เกดิ แผน่ ดนิ ไหวและอทุ กภยั ครั้งใหญ่เขา้ ถล่มเมอื ง
ทาใหเ้ มืองจมลงเป็นหนองนา้ ขนาดใหญ่ ผคู้ นที่เหลอื อพยพไปตงั้ เมืองไตรตรงึ ษ์ (อยู่ในกาแพงเพชร)

(พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๙)
- จนี เรียกวา่ หนหี่ วงั กก๊ (เมอื งทผี่ หู้ ญงิ ปกครอง)
- ศนู ย์กลางอยู่ท่ีเมอื งลาพนู
- ปรากฏเร่ืองราวอยใู่ นตานานทางเหนือ เชน่ จามเทวีวงศ์ มลู ศาสนา
- ชินกาลมาลปี กรณ์ กลา่ วว่า ฤาษีวาสุเทพเปน็ ผู้สร้างเมอื งหรภิ ุญชัย
แล้วเชิญพระนางจามเทวีวงศจ์ ากละโวม้ าเป็นผู้ครอเมอื ง
- หริภุญชยั ถกู พระมังรายแห่งล้านนาเข้าตีและยึดครอง
- หลกั ฐานทพี่ บ ได้แก่ พระบรมธาตหุ รภิ ญุ ชยั และพระเจดีย์กู่กุด

(พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖-๑๙)
- ตานานพ้ืนเมอื งเชยี งแสนระบวุ ่า ปู่เจ้าลาวจง/ป่เู จา้ ลาวจก หวั หน้ากลมุ่
คนบนดอยตงุ นาบรวิ ารมาสรา้ งเมอื งเงินยาง และตั้งราชวงศล์ วจักราช
- ขยายอานาจทางการเมืองดว้ ยการส่งโอรสไปสร้างเมอื งใหม่ และใหโ้ อรส
อภเิ ษกกับธดิ าของรัฐอ่ืน เพอื่ ความสมั พนั ธแ์ บบเครือญาติ
- กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๒๕ คอื พระยามังราย สรา้ งเมืองเชียงราย สรา้ งเมืองฝาง
ยึดเมืองลาพูน สรา้ งเมืองหลวงใหมค่ อื เวยี งกมุ กาม

(พุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๕)
- พระยามังราย กษัตรยิ ์องค์ท่ี ๒๕ แห่งแควน้ หิรญั นครเงนิ ยาง ได้สรา้ ง
เมืองนพบรุ ีศรีนครพิงค์เชยี งใหม่เป็นราชธานขี องอาณาจักรล้านนา
- มกี ารตรากฎหมายมังรายศาสตร์เพ่อื ใชค้ วบคมุ สงั คม
- เจรญิ สูงสุดในสมัยพระเจา้ ติโลกราช กษัตริย์องค์ท่ี ๙ ขยายอิทธิพลแข่ง
กับอาณาจกั รอยุธยา
- สังคายนาพระไตรปฎิ ก อัญเชญิ พระแก้วมรกตจากลาปางมาเชียงใหม่
- ปลายสมยั ตกเปน็ เมอื งประเทศราชของพม่ากบั ไทยสลบั กัน
- จนกระท่งั ถูกรวมเป็นสว่ นหน่งึ ของไทยในสมัย ร.๕ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๒

พราหมณ์-ฮินดู มากอ่ นศาสนาพทุ ธและฝังรากลึกในหมู่คน ภาษา ศิลาจารึกโบราณมักพบเป็นตัวอักษรปัลลวะ

พ้ืนเมอื ง ต่อมาได้มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความเชื่อและวัฒนธรรมไทย (อินเดยี ใต้) ซ่งึ เปน็ รากฐานของอักษรขอม มอญ และไทย
ศาสนาพทุ ธ สมัยสุโขทยั ได้รับนบั ถอื ศาสนาพุทธนกิ ายลงั กา กฎหมาย พระมนูธรรมศาสตรเ์ ปน็ กฎหมายโบราณของ
วงศ์ (เถรวาท) มาจากนครศรธี รรมราช ซึ่งมีอทิ ธิพลตอ่ งาน อินเดียตามคตขิ องพราหมณ์-ฮินดู
ศิลปะและสถาปัตยกรรม

การปกครองแบบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ (สมมตเิ ทพ) ซึ่ง สถาปัตยกรรม มีการสร้างเจดีย์ต่าง ๆ เช่น เจดีย์ทรงกลม
ไดร้ บั รูปแบบมาจากอารยธรรมอินเดยี ตอ่ มาไดถ้ ่ายทอด
อย่างชดั เจนในสมยั อยธุ ยา แบบลังกา เจดีย์ทรงแปดเหล่ียม เจดยี ์ทรงศรีวชิ ัย
ประตมิ ากรรม: ได้แก่ พระพทุ ธรปู เทวรูป เชน่ ธรรมจักรกับ
กวางหมอบ รูปหลอ่ โลหะสาริดพระโพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวร

>> มคี วามเจรญิ หลายด้าน เช่น ด้านการปกครองทมี่ ีกฎหมายที่เรยี กว่า
มังรายศาสตร์ และด้านภาษา เช่น อักษรธรรมลา้ นนา

>> รบั อทิ ธพิ ลจากอนิ เดยี นบั ถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
มีความเช่ือพื้นเมอื งเก่ียวกบั การนับถอื พญานาค

>> รบั อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท ศลิ ปวัฒนธรรม
และแบบแผนการปกครองจากอินเดยี เกิดการผสมผสานจนเปน็
อารยธรรมทวารวดี แลว้ แพร่หลายไปยังทอ่ี น่ื ๆ

>> นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาทลทั ธิ
ลังกาวงศแ์ ละเป็นศูนยก์ ลางสาคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในไทย

(พ.ศ. ๑๗๙๒-๒๐๐๖)

ปัจจัยทางภมู ศิ าสตร์
ไมไ่ ดต้ ง้ั อยรู่ ิมแมน่ า้ แต่อยู่ห่างจากแม่น้ายม ๑๒กิโลเมตร ฤดูแล้งจึง

มักขาดแคลนน้าในการเพาะปลูกและอุปโภคบริโภค จึงต้องขุดสระน้า
(ตระพัง) และขุดคลองสง่ นา้ (ทานบพระร่วง)
ปัจจัยทางการเมอื งและประวตั ศิ าสตร์

ก่อนต้ังกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สุโขทัยเป็นเมืองที่มีความเจริญมา
ก่อน และมีพฒั นาการทางการเมอื งอย่างยาวนาน

(พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐)

ปจั จยั ทางภูมิศาสตร์
ต้ังอยู่บริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้า มีแม่น้าล้อมรอบ ๓ สาย ได้แก่

เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้าท่ีสาคัญ และต้ังอยู่ไม่
ไกลจากอ่าวไทย จึงเป็นเมืองทา่ ค้าขายกับต่างชาติ
ปจั จยั ทางการเมืองและประวัตศิ าสตร์

เคยเป็นทต่ี ัง้ ชมุ ชนทม่ี ีความเจริญมากอ่ น เป็นเมืองขนาดใหญ่และมี
ผู้คนมาก จึงเหมาะท่จี ะสถาปนาเป็นราชธานี

(พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕)

ปจั จัยทางภูมิศาสตร์
ตง้ั อยู่ริมแม่นา้ เจา้ พระยาและอยู่ใกล้ทะเลจึงติดต่อค้าขายกับต่างชาติ

ไดส้ ะดวก เมอ่ื เกิดศกึ สงครามและถึงคราวคับขันก็สามารถถอนกาลังหนีไป
ต้งั หลักที่เมืองจันทบุรีหรอื หวั เมอื งชายทะเลภาคตะวนั ออกไดโ้ ดยงา่ ย
ปัจจัยทางการเมอื งและประวตั ิศาสตร์

เปน็ ชมุ ชนเกา่ ทีม่ ีความเจริญมาก่อน และมีปอ้ มปราการท่ีสร้างใน
สมัยอยธุ ยา ๒ ปอ้ ม จงึ มคี วามพร้อมในการป้องกันประเทศ

(พ.ศ. ๒๓๒๕-ปจั จุบนั )

ปจั จยั ทางภูมิศาสตร์
ตง้ั อยู่รมิ ฝงั่ แม่นา้ เจา้ พระยาฝง่ั ตะวันออก มีการขดุ คลองระบายน้าเพ่ือ

ป้องกันน้าท่วมไว้รอบกรุง และใช้เป็นเส้นทางสัญจรทางน้าได้ดี อยู่ใกล้
อ่าวไทยจงึ สะดวกในการติดต่อค้าขายกบั ตา่ งประเทศ
ปัจจัยทางการเมืองและประวัติศาสตร์

สรา้ งโดยการจาลองรปู แบบความย่งิ ใหญ่จากกรงุ ศรอี ยธุ ยา เพอ่ื สรา้ ง
ขวัญกาลังใจใหป้ ระชาชนเกิดความรู้สกึ วา่ สบื ทอดมาจากกรุงศรีอยุธยา

เดิมสุโขทัยเป็นชุมชนทางการค้าตั้งอยู่ใกล้แม่น้ายม แม่น้าปิง และแม่น้า
น่าน โดยเป็นเส้นทางการค้าระหว่างเมืองเมาะตะมะ (มอญ) ดินแดนล้านนา
หลวงพระบาง และขอม และปรากฏชื่อผ้นู าอยู่ในศิลาจารึกหลักท่ี ๒ (วัดศรีชุม)
ช่ือ พ่อขุนศรีนาวนาถม

ต่อมาพอ่ ขุนศรีนาวนาถมส้ินพระชนม์ ได้มีขนุ นางขอมช่อื ขอมสบาดโขลญ
ลาพงเขา้ มายดึ อานาจ แตอ่ ย่ไู ด้ไมน่ านก็ถูกพอ่ ขนุ บางกลางหาวกับพ่อขนุ ผาเมอื ง
ขับไล่ไป และไดส้ ถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขน้ึ เปน็ กษัตริยค์ รองเมืองสุโขทัย มี
พระนามวา่ พอ่ ขนุ ศรอี ินทราทติ ย์

สโุ ขทยั มรี ปู แบบการปกครองอยู่ ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่

๑) ปติ ุลาธิปไตย หรือ “พ่อปกครองลูก” โดยผู้นาเปรียบเสมือนพ่อท่ีคอย

ดแู ลชว่ ยเหลือลกู ๆ อย่างใกลช้ ดิ เช่น มีการตัง้ กระด่งิ หนา้ ประตวู ัง

๒) ธรรมราชา โดยผนู้ าเป็นผู้ทรงธรรมหรอื ปกครองโดยธรรม ซึง่ ธรรมใน

ท่นี ้ีกค็ ือ “ทศพธิ ราชธรรม” นั่นเอง

น่ าน หลวงพระบาง
แพร่ เวียงจันทน์

สุโขทยั แบ่งการปกครองหวั เมืองออกเปน็ ๔ ชั้น ดังน้ี

๑) ราชธานี เปน็ ศนู ย์กลางทางอานาจ ปกครองโดยพระมหากษตั ริย์

๒) หัวเมอื งชนั้ ใน เป็นเมอื งสาคญั ใกลร้ าชธานี ได้แก่ สองแคว ศรีสชั นาลัย ศรีสัชนาลัย
สระหลวง และนครชุม ปกครองโดยเจา้ นายเช้อื พระวงศ์ช้ันสงู
หงสาวดี
๓) หัวเมืองชนั้ นอก เปน็ เมืองท่อี ย่หู ่างไกลออกไป ปกครองโดยขนุ นาง เมาะตะมะ
๔) หวั เมอื งประเทศราช เป็นเมืองของชนชาติอ่ืนท่ยี ึดครองได้ โดยให้
เจ้านายเชอื้ พระวงศ์พนื้ เมอื งเปน็ ผปู้ กครองตามเดมิ ทวาย

นครชมุ สโุ ขทัย สองแคว

บางพาน หัวเมืองชน้ั ใน
เชยี งทอง

สระหลวง

หัวเมอื งชั้นนอก

พระบาง

หัวเมืองประเทศราช

สุโขทยั มรี ะบบเศรษฐกจิ แบบเสรนี ิยม ประชาชนประกอบอาชีพได้อย่างอสิ รเสรี โดยมอี าชีพท่ีสาคญั ดงั นี้
เกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญป่ ระกอบอาชพี ด้านการเพาะปลกู และเลี้ยงสตั ว์ ทาให้สุโขทยั มรี ะบบชลประทานของตนเอง เชน่
สรีดภงค์หรือทานบพระร่วง (เข่อื นดนิ ) ตระพงั (สระน้า)
หัตถกรรม สินคา้ ท่สี าคญั คือ งานจักสานและเครอ่ื งสงั คโลก โดยเฉพาะเครื่องสงั คโลกซงึ่ เป็นสนิ คา้ ขึ้นช่อื ของสุโขทยั
การคา้ ขาย สโุ ขทัยมีการคา้ ขายภายในในรูปแบบของตลาดที่เรียกว่า “ปสาน” และถนนที่เป็นเสน้ ทางการค้าคือ “ถนนพระรว่ ง”

สโุ ขทยั เปน็ สังคมของผนู้ ับถอื พระพุทธศาสนา มจี านวนประชาชนไมม่ าก มชี วี ติ ความเป็นอยู่เรยี บง่าย โดยแบ่งได้ ๒ ชนช้ัน ดังน้ี
๑) ชนชน้ั ปกครอง ได้แก่ กษตั ริย์ เชือ้ พระวงศ์ ขุนนาง และพระสงฆ์
๒) ชนชนั้ ทถี่ กู ปกครอง ไดแ้ ก่ ไพร่ และทาส

สุโขทยั ตกเป็นเมอื งขึน้ ของอาณาจกั รอยุธยาในสมัยของพระมหาธรรมราชาท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๙๒๑)
และถูกผนวกเขา้ เป็นส่วนหนง่ึ ของอาณาจกั รอยธุ ยา หลังพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) สนิ้ พระชนม์ ในปี พ.ศ. ๒๐๐๖

เชื่อวา่ อาณาจกั รอยุธยาเกิดจากความสมั พันธ์อนั ดีของแคว้นละโว้ (ลพบุรี)
กับแคว้นสุพรรณภมู ิ (สพุ รรณบรุ )ี โดยมสี มเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่
ทอง) เป็นผูส้ ถาปนาเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๓

อยธุ ยาเป็นเมอื งท่ีมีแมน่ ้าลอ้ มรอบ ๓ ด้าน ได้แก่ แม่น้าเจ้าพระยา ป่าสัก
และลพบรุ ี ซึ่งเปน็ ชยั ภูมทิ ี่ดีในการป้องกนั ประเทศและการคา้

สภาพการเมืองการปกครองของอยุธยา สรปุ ได้ ๒ ช่วง ดังน้ี
๑) สมัยกอ่ นปฏริ ปู นาคตคิ วามเชอ่ื แบบ “สมมติเทพ” ของอินเดียมาใช้ แบ่ง
ระเบยี บการปกครองในราชธานีเป็นแบบ “จตุสดมภ”์ โดยแบ่งเป็น ๔ กรม คือ
เวยี ง วงั คลัง และนา ส่วนการปกครองหวั เมืองมีความเหมือนสุโขทยั
๒) สมัยปฏริ ูปการปกครอง (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) สรปุ ได้ ๒ สิ่ง

๒.๑ ดึงอานาจเข้าสู่ส่วนกลาง ด้วยการยกเลิกหัวเมืองชั้นใน และแบ่ง
ฐานะของหวั เมอื งออกเปน็ ชัน้ จัตวา ตรี โท และเอก โดยมผี ู้ปกครอง คอื ผูร้ ัง้

๒.๒ แยกหน่วยราชการเป็นฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือน เพ่ือให้ถ่วงดุล
อานาจกัน พรอ้ มแต่งตั้งขนุ นางตาแหนง่ อัครเสนาบดีเป็นผู้ควบคมุ ดูแล ไดแ้ ก่

สมุหกลาโหม ควบคมุ ฝา่ ยทหาร และ สมหุ นายก ควบคุมฝ่ายพลเรือน เปล่ยี นชอ่ื กรมในจตสุ ดมภ์
ต่อมาในสมยั สมเด็จพระเพทราชา พบวา่ รปู แบบการปกครองนใี้ หอ้ านาจสมุหกลาโหม กรมเวยี ง >> นครบาล
กรมวัง >> ธรรมาธกิ รณ์
มากกว่าสมุหนายก จนทาให้สมุหกลาโหมแยง่ ชิงราชสมบัตไิ ด้ จึงให้เปลีย่ นเป็น กรมคลัง >> โกษาธิบดี
สมหุ นายก ควบคมุ หัวเมืองฝา่ ยเหนอื กรมนา >> เกษตราธกิ าร
สมหุ นายก ควบคุมหวั เมืองฝา่ ยใต้

พื้นฐานทางเศรษฐกิจขนึ้ อยู่กบั การเกษตรและการคา้ การผลิตเปน็ แบบยังชีพ โดยสรปุ สาระสาคญั ไดด้ ังน้ี
เกษตรกรรม ผลผลิตข้าวเปน็ รายไดห้ ลกั ซ่ึงประชาชนตอ้ งจา่ ยข้าวเปลอื กให้ฉางหลวงทุกปี เรยี กวา่ ภาษีหางขา้ ว
การคา้ ผกู ขาดโดยพระคลงั สนิ คา้ ซง่ึ เปน็ คนกลางในการจัดการการค้ากบั ตา่ งชาติ
การเกบ็ ภาษี แบ่งเปน็ จังกอบ (ภาษผี า่ นดา่ น) ฤชา (ธรรมเนยี มติดตอ่ ราชการ) อากร (ภาษีจากสินคา้ ) ส่วย (คา่ คุ้มครอง)

อยุธยาเปน็ สงั คมเจ้าขุนมูลนายและมกี ารแบง่ ชนชั้น โดยมรี ะบบทางสังคม ๒ ระบบ และ ๒ ชนชนั้ ไดแ้ ก่
ระบบไพร่ เปน็ ระบบท่ีรฐั ใชค้ วบคุมกาลังคน เพือ่ นาแรงงานของประชาชนมาใชป้ ระโยชนต์ อ่ ทางราชการ เชน่ ขดุ คลอง สรา้ งวดั
หรือทาสงคราม เปน็ ต้น ซึ่งผคู้ นในสมัยอยุธยาจะตอ้ งมีสังกดั ขุนนาง จะอยลู่ อย ๆ เปน็ อสิ ระไม่ได้
ระบบศกั ดนิ า เป็นการจาแนกฐานะทางสงั คมซง่ึ จะกาหนดฐานะ สทิ ธิ หนา้ ท่ี และความรับผิดชอบของคนในสงั คม
๑) ชนชนั้ ปกครอง ได้แก่ กษตั รยิ ์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง (พระยา พระ หลวง ขุน หมนื่ พนั ) และพระสงฆ์
๒) ชนชน้ั ถกู ปกครอง ได้แก่ ไพร่ (ไพร่หลวง ไพร่ส่วย ไพรส่ ม) และทาวอีก ๗ ชนดิ

อยธุ ยาเสียเอกราชคร้งั ท่ี ๑ ใหแ้ ก่พมา่ ในปี พ.ศ. ๒๑๑๒ สมยั สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช
อยธุ ยาเสียเอกราชครั้งท่ี ๑ ใหแ้ กพ่ ม่าในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ และเป็นการสิ้นสดุ สมยั อาณาจักรอยธุ ยา

พระยาตาก (สิน) ขับไล่กองทหารพม่าออกจากดินแดนไทยและกอบกู้เอก
ราชได้สาเร็จภายในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ หลังเสียอยุธยาเพียง ๗ เดือน และได้
ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นกษัตริย์ พระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๔ หรือ
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช ครองราชย์เปน็ เวลา ๑๕ ปี

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกทาลายจน
เสียหายหนกั ยากทีจ่ ะบรู ณะ ท้ังข้าศึกรู้สภาพภูมิประเทศดีแล้วยากที่จะป้องกัน
จงึ ทรงเลือกกรงุ ธนบุรเี ปน็ ราชธานดี ว้ ยเหตุผล ดงั นี้

๑) เปน็ เมอื งขนาดเล็ก เหมาะสมกบั ไพร่พลท่ีมีอยใู่ นขณะนนั้
๒) มีป้อมปราการสมัยอยธุ ยา ๒ ป้อม ใชป้ ้องกันทัพเรือข้าศกึ ได้
๓) มชี ัยภมู ิทด่ี ี ข้าศกึ ไมค่ ุ้นเคย และสามารถถอนกาลังออกทางทะเลได้
๔) เป็นหนา้ ด่านควบคุมการเดินเรอื ในอา่ วไทย
๕) อยใู่ กลป้ ากแม่น้า สะดวกตอ่ การคา้ ขาย
๖) มดี นิ ดีนา้ ดี เปน็ แหล่งเกษตรกรรมทอี่ ดุ มสมบูรณ์

ชุมนุมคนไทยที่ตง้ั ตัวเปน็ อิสระภายหลังการเสยี กรุงศรอี ยุธยาครง้ั ท่ี ๒ มที งั้ หมด ๕ ชมุ นมุ ซึง่ ชุมนมุ ทเี่ ขม้ แข็งท่ีสดุ คอื ชุมนมุ ของ
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ทรงดาเนินการปราบชมุ นุมเจ้าพระยาพษิ ณุโลก ชมุ นุมเจา้ พมิ าย ชุมนมุ เจ้านครศรีธรรมราช และ
ชุมนุมเจา้ พระฝาง ตามลาดบั โดยใช้เวลา ๓ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๑-๒๓๑๓)

เกิดกบฏพระยาสรรค์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๔ ซงึ่ ไดน้ ากาลังทหารยดึ พระราชวังเดมิ ที่กรงุ ธนบุรแี ละบังคบั ให้สมเด็จพระ
เจา้ ตากสินมหาราชทรงผนวช

ฝ่ายสมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ แม่ทพั ใหญข่ องกรุงธนบรุ ซี ่งึ ขณะนัน้ ไปราชการสงครามท่เี ขมร เมื่อทราบข่าวจงึ นากองทพั
กลับมาแก้ไขสถานการณ์ และจบั พระยาสรรคก์ ับพวกประหารชวี ิต

ทปี่ ระชมุ เหลา่ ขนุ นางลงความเหน็ ใหส้ าเรจ็ โทษสมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช และอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริยศ์ ึกข้ึน
ครองราชยเ์ ป็นปฐมกษัตริยแ์ หง่ ราชวงศ์จกั รี เม่อื วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นอนั สิ้นสุดสมยั กรงุ ธนบุรี

การตคี ่ายโพธส์ิ ามตน้ ของพระเจ้ากรุงธนบรุ ี : ๖ พ.ย. ๒๓๑๐ วนั ก้ชู าติ

รชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) เปน็ ชว่ งเวลาท่บี า้ นเมอื งมี
การเปลีย่ นแปลงคร้ังใหญ่ เป็นการปรบั ตวั ใหท้ นั สมยั เยยี่ งอารยประเทศโดยเฉพาะด้านการเมอื งการปกครอง

พ.ศ. ๒๔๑๗ พ.ศ. ๒๔๓๐
พ.ศ. ๒๔๑๓ พ.ศ. ๒๔๑๖ ต้งั ๒ สภาทีป่ รกึ ษา พ.ศ. ๒๔๒๕ ตงั้ กรมศึกษาธิการ
ตั้งกรมมหาดเลก็ ต้งั หอรัษฎากรพิพฒั น์ , เรมิ่ ต้นเลกิ ทาส เริ่มต้นเลกิ ไพร่ ยกเลกิ จตสุ ดมภ์

พ.ศ. ๒๔๑๑
ข้ึนครองราชย์

พ.ศ. ๒๔๓๕ พ.ศ. ๒๔๓๖ พ.ศ. ๒๔๓๗ พ.ศ. ๒๔๔๐ พ.ศ. ๒๔๔๘ พ.ศ. ๒๔๕๓
ตง้ั ๑๒ กระทรวง เปดิ ใช้รถไฟสายแรก ตั้งมณฑลเทศาภบิ าล ตง้ั สขุ าภบิ าล เลิกไพรส่ าเร็จ เสดจ็ สวรรคต

ปฏิรูปกฎหมาย เลกิ ทาสสาเร็จ

เป็นปัจจัยท่ีสาคัญที่สุดเพราะ ช่วงต้นสมัยรัชกาลท่ี ๕ อานาจ รัชกาลท่ี ๕ ทรงศึกษาความ
ความตระหนักถึงภัยคุกคามจากการ ส่วนใหญ่ตกอยภู่ ายใต้ขุนนางตระกลู เป็นไปของบ้านเมืองท้ังในประเทศ
แสวงหาอาณานคิ มของชาติตะวันตก บุนนาค บรรดาขุนนางและเจ้านาย แ ล ะ ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ใ ก ล้ เ คี ย ง ที่ เ ป็ น
ท า ใ ห้ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ต้ อ ง ย อ ม เ สี ย ต่างมีบทบาทในผลประโยชน์ทาง อาณานิคมของประเทศตะวันตก
ผลประโยชน์ส่วนน้อยเพ่ือรักษาเอก เศรษ ฐกิจ ดังน้ันพร ะองค์ทร ง ได้แก่ ชวา สงิ คโปร์ พมา่ และอินเดีย
ราชของชาตไิ ว้ และในขณะเดยี วกันก็ ตระหนักว่าการปฏิรูปประเทศจะ ท า ใ ห้ ท ร ง เ ห็ น ค ว า ม เ จ ริ ญ ท่ี ช า ติ
ต้องเร่งปฏิรูปบ้านเมืองให้ทันสมัย เป็นไปได้ยากเนื่องจากคงได้รับการ ตะวันตกสร้างให้แก่อาณานิคมของ
ตามแบบตะวันตก เพื่อไม่ให้ชาติ ขั ด ข ว า ง จ า ก ค น รุ่ น เ ก่ า ท่ี เ สี ย ตน นับเป็นแรงบันดาลที่ทาให้ทรง
ตะวนั ตกใช้เป็นข้ออ้างว่าไทยยังเป็น ประโยชน์ จึงต้องพยายามดึงพระ ต้องการปรับปรุงประเทศเพ่ือต้ังรับ
ประเทศล้าหลังป่าเถ่ือน แล้วถือ ร า ช อ า น า จ ก ลั บ ม า สู่ ส ถ า บั น การคุกคามของจักรวรรดิตะวันตก
โอกาสยึดครองได้ พระมหากษัตริย์ ด้วยการปฏริ ปู ประเทศให้เจรญิ ข้ึน

ต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ทรงได้รบั การจดั ใหเ้ ป็น ๑ ในผู้นาของ ๑๖ ชาตทิ ่จี ะช้นี าโลก

กระจายอานาจ แบ่งอานาจ รวมอานาจรชั กาลที่ ๕ ทรงขนึ้ ครองราชยใ์ นปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ขณะทรงมพี ระชนม์ ๑๕ พรรษา โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาศรีสรุ ยิ วงศ์ (ช่วง บนุ นาค) เปน็ ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ อานาจการปกครองในต้นรัชกาลจงึ เปน็ ของตระกูลบุนนาค

ในปี พ.ศ. ๒๔๑๗ รชั กาลท่ี ๕ ทรงมพี ระชนม์ ๒๑ พรรษา และบรรลุนิติภาวะแล้วจึงทรงดาเนินการปฏิรูปการ
ปกครอง เพ่ือเพ่ิมพระราชอานาจของพระองค์และทาให้การปฏริ ูปความเจริญของประเทศในด้านตา่ ง ๆ ดาเนนิ ไปไดเ้ ร็วขึ้น

(Council of State)
ประกอบดว้ ยขุนนาง ๑๒ คน ทาหน้าทใ่ี ห้ปรกึ ษาเก่ียวกับการบริหารราชการแผน่ ดิน

(Privy Council)
ประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศแ์ ละขนุ นาง ๔๙ คน ทาหน้าท่ีให้คาปรกึ ษาสว่ นพระองค์

รชั กาลที่ ๕ ทรงเร่ิมปฏิรูประเบียบการบริหารราชการแผ่นดินของไทยให้ทันสมัยและเหมาะสมกับยุคสมัย ต้ังแต่
พ.ศ. ๒๔๓๐ เป็นต้นมา โดยผ้มู ีบทบาทสาคญั ทีช่ ่วยในการปฏิรปู ฯ ครัง้ น้ีให้สาเร็จ คอื สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ

- พ.ศ. ๒๔๓๐ ยกเลกิ ตาแหนง่ อคั รเสนาบดี ๒ ตาแหนง่ และยกเลกิ ระบบจตุสดมภ์
- พ.ศ. ๒๔๓๕ ตั้งกระทรวง ๑๒ กระทรวง โดยมีขุนนางตาแหน่ง เสนาบดี เป็นผดู้ ูแลงานในกระทรวงของตนเอง

บงั คบั บญั ชาหัวเมอื งฝ่ายเหนอื และเมืองลาว
บงั คบั บญั ชาหวั เมืองปักษใ์ ต้ และเมอื งมลายู
ดแู ลเก่ียวกบั ต่างประเทศ
ดแู ลพระราชวังและกรมใกล้เคียงกบั ราชการในพระองค์
ดแู ลความสงบภายใน (ตารวจ) บัญชีพล (สรุ ัสวดี) นักโทษ (ราชทณั ฑ์)
ดูแลด้านการเพาะปลูก การค้า ปา่ ไม้ และเหมืองแร่
ดูแลดา้ นภาษอี ากรและเงินรายรับรายจ่ายของแผ่นดนิ (หอรัษฎากรพพิ ฒั น์)
ดูแลการศาล ชาระคดีแพง่ -อาญาทว่ั ราชอาณาจักร
ดแู ลทหารบก ทหารเรือ
ดแู ลกิจการเกีย่ วกบั พระสงฆ์ ศาสนา การศกึ ษา โรงเรียน และโรงพยาบาล
ดูแลการกอ่ สร้าง ขดุ คลอง ไปรษณยี ์ โทรเลข รถไฟ และการชา่ ง
ดแู ลรักษาพระราชลญั จกร พระราชกาหนดกฎหมาย หนังสือราชการ

โดยยกเลิกการจัดเมอื งเปน็ ชนั้ เอก โท ตรี จัตวา และรวมหวั เมอื งหลายเมอื งเข้าเป็นหนึ่งมณฑล มผี ปู้ กครองเรยี กว่า
สมุหเทศาภบิ าล ซ่ึงข้นึ ตรงตอ่ กระทรวงมหาดไทย โดยมีรูปแบบ ดังนี้

: อานาจการปกครองมีศูนย์รวมอยทู่ ส่ี ถาบันกษัตริย์
: ดูแลโดย “เสนาบด”ี (คนแรกคือ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ)
: ดแู ลโดย “สมหุ เทศาภบิ าล”
: ดแู ลโดย “เจา้ เมอื ง”
: ดแู ลโดย “นายอาเภอ”
: ดแู ลโดย “กานนั ”
: ดูแลโดย “ผ้ใู หญบ่ า้ น”

เพื่อใหร้ าษฎรรูจ้ ักการปกครองตนเอง (การเลือกผ้ใู หญบ่ ้านและกานัน) และมีส่วนร่วมในการพัฒนาความเจริญ
ในทอ้ งถิน่ ของตน (การเกบ็ ภาษมี าพฒั นาท้องถน่ิ ตนเอง)

- พ.ศ. ๒๔๔๐ จดั ตงั้ สขุ าภิบาลกรงุ เทพฯ
- พ.ศ. ๒๔๔๘ จัดตง้ั สุขาภบิ าลท่าฉลอม ตาบลท่าฉลอม เมืองสมทุ รสาคร

เปล่ียนช่ือมาจากสภาท่ีปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อให้เป็นท่ีประชุมปรึกษา
เกี่ยวกบั การตรากฎหมายต่าง ๆ ในการปกครอง

เปลี่ยนชื่อมาจากสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ทาหน้าท่ีเป็นสภาท่ีปรึกษาส่วน
พระองคเ์ กี่ยวกบั การบริหารราชการแผน่ ดนิ

เปน็ ทปี่ ระชุมของเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ เปรียบได้กับการประชุมคณะรัฐมนตรี
ในปจั จบุ ัน

หลงั จากตงั้ กระทรวงยุตธิ รรมขน้ึ ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ แล้วจงึ ใหโ้ อนกิจการศาลทง้ั หมดมาข้ึนกบั
กระทรวงยตุ ธิ รรม ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ เรม่ิ ปฏิรูประบบกฎหมายโดยการตงั้ คณะกรรมการ
ตรวจชาระและร่างกฎหมาย และในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ประกาศใชก้ ฎหมายลกั ษณะอาญาซง่ึ เปน็
ประมวลกฎหมายฉบบั แรก

กรมหลวงราชบรุ ดี เิ รกฤทธ์ิ (บดิ าแหง่ กฎหมายไทย)

- พ.ศ. ๒๔๑๔ จัดต้ังโรงเรียนหลวง ชื่อว่า โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก (โรงเรียนพระตาหนักสวนกุหลาบ)
สาหรับบุตรหลานเข้านายและขนุ นาง

- พ.ศ. ๒๔๒๗ จัดต้ังโรงเรียนสาหรับราษฎรสามัญชน คือ โรงเรียนวดั มหรรณพาราม กรุงเทพฯ
- พ.ศ. ๒๔๓๐ จดั ตง้ั กรมศึกษาธกิ าร เพือ่ ดูแลจดั การศึกษาของชาติ เชน่ จดั ทาหลักสูตรการเรียนการสอน จัดทา
หนังสือเรียน และควบคมุ การสอบไล่ เปน็ ต้น ตอ่ มายกฐานะเป็นกระทรวงธรรมการ เม่อื พ.ศ. ๒๔๓๕

(๑) ยกเลกิ ประเพณีหมอบคลานเวลาเขา้ เฝ้าของเจา้ นายและขุนนาง

(๒) ยกเลิกผมทรงมหาดไทยของขา้ ราชการชายในราชสานกั สมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ามหาวชริ ณุ หศิ
(๓) ยกเลิกการนุง่ โจงกระเบนของข้าราชการฝา่ ยทหารทกุ กรมกอง

(๔) ยกเลกิ ตาแหน่งพระมหาอุปราชและตาแหน่งวงั หนา้ และสถาปนาตาแหนง่ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชสยาม

มกุฎราชกมุ าร เป็นองคร์ ชั ทายาทแทน

- จัดต้ังหอรษั ฎากรพพิ ฒั น์ (พ.ศ. ๒๔๑๖) เพื่อรวบรวมเงินภาษีอากรต่าง ๆ ของแผ่นดินมาไว้ที่เดียว ป้องกันไม่ให้
เกิดการทจุ ริตรว่ั ไหล ตอ่ มาไดย้ กฐานะขึ้นเปน็ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๓๕
- จดั ทางบประมาณรายจา่ ยของแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๔๓๙) เปน็ การแสดงรายรบั -รายจา่ ยของแผ่นดินประจาปี เพื่อให้
การใช้จ่ายเงินหลวงในการพัฒนาประเทศรัดกมุ ขนึ้
- จัดต้ังพระคลงั ขา้ งท่ี เพ่ือรกั ษาพระราชทรพั ย์สว่ นพระองค์ เปน็ การแยกเงินรายได้ของแผน่ ดินออกจากเงนิ ส่วนพระองค์

- จดั ระบบเงนิ ตราใหม่ โดยยกเลิกระบบเงนิ พดด้วง (เฟื้อง ซีก เสีย้ ว อฐั และโสฬส) และได้กาหนดหน่วยเงินตรา
ใหม่ คอื บาท และสตางค์
- จดั พิมพ์ธนบัตร ในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ธนบัตรราคาตา่ สุดคอื ๕ บาท และราคาสูงสุดคือ ๑,๐๐๐ บาท

โสฬส อัฐ เสยี้ ว ซีก เฟ้ือง สลึง มะยง บาท

- ธนาคารแหง่ แรกในประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ องั กฤษได้เข้ามาตงั้ ธนาคารฮ่องกงเซยี่ งไฮ้
- ธนาคารแหง่ แรกของไทย พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหทัย เสนาบดีกระทรวง
พระคลงั มหาสมบตั ิ ไดต้ งั้ บคุ คลัภย์ขึน้ ทาหน้าทเ่ี หมอื นธนาคาร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๔๐
ได้เปลี่ยนชือ่ เป็นแบงกส์ ยามกัมมาจล แลว้ จงึ เปลย่ี นเปน็ ชอ่ื ธนาคารไทยพาณิชย์

- การสรา้ งถนนและรถราง เพือ่ ใช้เปน็ เสน้ ทางคมนาคมสาหรบั การขนส่ง โดยสรา้ งถนน
สายแรกคอื ถนนเจรญิ กรงุ ในปี พ.ศ. ๒๔๐๕ แลว้ จึงได้สร้างถนนอืน่ ตามมา
เชน่ ถนนเยาวราช ถนนราชดาเนิน ถนนดนิ สอ ถนนราชดาริ เปน็ ต้น
- การสรา้ งระบบรถไฟ ในระยะแรกใหส้ ัมปทานแกต่ า่ งชาติดาเนนิ งานสรา้ งทางรถไฟสายกรงุ เทพฯ-สมทุ รปราการ
ซ่งึ เปดิ ใชใ้ นเดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๔๓๖ นบั เป็นเส้นทางสายแรกทเ่ี ปิดใช้ในประเทศไทย ส่วนกจิ การของรฐั บาล
ไทยนัน้ นนั้ คอื เสน้ ทางระหวา่ งกรงุ เทพฯ-นครราชสีมา ซงึ่ เปดิ ใชช้ ว่ งแรกถงึ แคอ่ ยุธยาในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ และเปิด
ใชท้ ั้งหมดในปี พ.ศ. ๒๔๔๓
- การตงั้ กรมไปรษณยี แ์ ละโทรเลข เพือ่ ทาการรบั สง่ ไปรษณยี ์ พสั ดุ ธนาณัตติ ดิ ต่อกับ
หวั เมืองตา่ ง ๆและกบั ตา่ งประเทศ และเพื่อรับผิดชอบงานดา้ นโทรเลข ทาใหว้ ิถีชวี ิต
คนไทยเปลยี่ นไปจากเดมิ สามารถติดตอ่ กบั คนต่างถน่ิ ไดส้ ะดวก

รชั กาลที่ ๕ เสดจ็ เยีย่ มพระราชโอรสและนกั เรยี นทนุ ที่องั กฤษ

ในสมยั รัชกาลที่ 5 มกี ารเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งสงั คมระดบั พ้ืนฐานท่ีสาคัญ 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลง
สถานะของไพร่ให้เป็นพลเมอื ง และการปลดปล่อยลูกทาสซง่ึ นาไปสูก่ ารเลิกทาส

ไพร่ คอื สามญั ชนทวั่ ไปทไี่ มใ่ ชท่ าส (ศกั ดินา ๑๐-๒๕ ไร่) ในยามปกตไิ พรจ่ ะถูกเกณฑ์แรงงานมาชว่ ยราชการใน
ชว่ งเวลาหนง่ึ ของทกุ ปี เรียกว่า การเขา้ เดือน งานทไ่ี พร่ทาใหท้ างราชการ เชน่ ขุดคลอง สรา้ งกาแพง ทาถนน กอ่ สร้างและ
ซ่อมแซมวัดหรือวงั เมอ่ื ออกเดอื นก็ต้องรับใช้มูลนายของตน และเมอื่ เกิดศกึ สงครามไพร่ทุกคนจะถูกเกณฑ์เขา้ กองทพั อยูใ่ น
บงั คบั บัญชาของมลู นาย

พ.ศ. ๒๔๒๕ ออกกฎหมายรับสมัครทหารอาสาสมคั รจานวนมากหลายกอง แบ่งเป็นกองทหารมา้
กองทหารดบั เพลิง กองทหารชา่ ง เปน็ ต้น ซึง่ ถือเป็นขัน้ แรกของการเปลีย่ นแปลงไพร่มาเปน็
พลเมอื ง และมีการเริ่มจัดตงั้ ระบบทหารเกณฑข์ ึ้นในประเทศไทย

พ.ศ. ๒๔๓๐ การออกกฎหมายระบวุ ่า ถา้ เจ้านายหรอื ขนุ นางผใู้ หญ่ส้นิ พระชนม์หรอื ถงึ แกก่ รรมกใ็ ห้โอนไพรส่ ม
ในกรมกองของเจา้ นายขุนนางนัน้ ๆ มาเป็นไพรห่ ลวงให้หมด

พ.ศ. ๒๔๓๙ ออกประกาศใหไ้ พร่เสียคา่ ราชการปีละ ๖ บาท เพอ่ื ท่ไี ม่ต้องมาถูกเกณฑแ์ รงงาน
พ.ศ. ๒๔๔๒ กาหนดอายุชายฉกรรจเ์ พ่อื สักเลกขนึ้ ทะเบียนเปน็ ไพรห่ ลวงเมื่ออายุ ๑๘ ปี และปลดชราอายุ ๖๐

ปีทว่ั ประเทศ
พ.ศ. ๒๔๔๘ ประกาศใช้ “พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะเกณฑท์ หาร ร.ศ. ๑๒๔”

กาหนดให้ไพร่อายุ ๑๘ ปี เข้ามารบั การคัดเลอื กเปน็ ทหารทกุ คน คนท่ไี ด้รบั การคดั เลอื กจะตอ้ งเข้า
เปน็ ทหารในกองประจาการเป็นเวลา ๒ ปี หลังจากนั้นใหป้ ลดไปอยูใ่ นกองหนุน
พ.ศ. ๒๔๖๘ เปลี่ยนอายทุ หารเกณฑจ์ าก ๑๘ ปี เป็น ๒๐ ปี และเปน็ การยกเลกิ ระบบไพร่ โดยการเปลยี่ น
ประชากรสว่ นใหญ่ของประเทศจากไพร่มาเป็นพลเมอื ง
การยกเลกิ ระบบไพร่ ทาใหเ้ ศรษฐกจิ ไทยขยายตวั อยา่ งรวดเรว็ อานาจของพระมหากษัตริย์มมี ากขนึ้ สามารถเกบ็ ภาษีและ
ผลประโยชน์เขา้ รฐั ไดโ้ ดยตรง เพราะไมต่ ้องผา่ นมอื ขุนนาง

รูปจติ รกรรมในพระที่น่งั อนันตสมาคม

ทาส คอื บุคคลทไ่ี ม่มอี ิสระในแรงงานและชีวติ ของตนเอง (ศกั ดิน ๕ ไร่) เป็นเสมือนสงิ่ ของของนายทาส
โดยทาสแบง่ เปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ได้ดงั น้ี

ทาสเชลย คือ ทาสท่ไี ดม้ าจากการชนะสงคราม
ทาสในเรือนเบีย้ คือ ทาสทเ่ี กิดจากพอ่ แม่ท่เี ปน็ ทาส
ทาสสินไถ่ คอื ทาสท่โี ดนขายหรือขายตวั เอง เพราะความยากจน
ทาสได้มาแตบ่ ิดามารดา คอื ทาสที่เปน็ มรดกมอบใหแ้ ก่ลูกหลาน
ทาสท่เี ลีย้ งไว้เมอื่ เกิดทุพภิกขภัย คอื ทาสท่ีช่วยไว้จากความอดอยาก
ทาสที่ช่วยมาจากทณั ฑโทษ คือ ทาสท่ีไดม้ ากจากการจ่ายค่าปรบั แทน
ทาสท่านให้ คือ ทาสทไี่ ด้รบั มาจากผู้อืน่

พ.ศ. ๒๔๑๗ ออก “พระราชบญั ญตั พิ ิกดั กระเษยี รอายลุ กู ทาสลกู ไท”
ให้ลูกทาสท่เี กดิ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ (ปีที่เสวยราชย์) ใหม้ ีขนั้ ตอนการลดคา่ ตวั ทุกคนโดยจะมี
คา่ ตวั สูงสดุ เตม็ ที่เม่ืออายุ ๘ ขวบ หลังจากนน้ั ค่าตวั จะลดลงทกุ ปี จนกระทั่งมีอายุ ๒๑ ปเี ตม็ แล้ว
ทุกคนจะหมดค่าตัวเป็นอสิ ระทนั ที

พ.ศ. ๒๔๔๓ ออก “พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะทาสในมณฑล”
พ.ศ. ๒๔๔๗ ออก “พระราชบญั ญตั ลิ ดคา่ ตวั ทาสมณฑลบรู พา”
พ.ศ. ๒๔๔๘ ออก “พระราชบญั ญตั ทิ าส ร.ศ. ๑๒๔” ให้ทาสทุกคนเปน็ อิสระ และหา้ มซอื้ ขายทาสอกี

การปลดปลอ่ ยทาส ทาใหร้ าษฎรส่วนใหญ่ได้รบั อิสระและเสรอี ย่างทไี่ ม่เคยมมี าก่อนแล้ว ยังเกดิ ผลสอดคลอ้ งกับสภาพการเมืองการ
ปกครองทก่ี าลงั พัฒนาไปสรู่ ปู แบบใหม่ดว้ ย

ประพาสสงิ คโปรแ์ ละชวา ประพาสชวา ประพาสชวา ประพาสตน้ ประพาสตน้

ประพาสอินเดีย ประพาสยุโรป ประพาสต้น ประพาสยโุ รป

แบง่ ได้ ๒ ลักษณะ ดงั นี้

เป็นการเสด็จอย่างเป็นทางการ ขา้ ราชการและราษฎรมาคอย คือ การเสดจ็ สว่ นพระองค์อย่างสามญั ชน โดยไมแ่ สดง
รับเสด็จ มหี มายกาหนดการในการปฏบิ ัติพระราชกรณยี กิจ พระองค์ว่าเป็นใคร ไม่มีการเตรียมรบั เสด็จ และไม่มี
อยา่ งชดั เจน โดยมจี ุดมุง่ หมายเพือ่ ทรงตรวจงานราชการ หนงั สอื ราชการสั่งการใหต้ ้อนรับ โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพ่อื
ผลจากการเสด็จประพาสหัวเมอื ง สาราญพระอริ ยิ าบถ
- ทรงเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร สภาพ สาเหตขุ องการเสด็จประพาสตน้
บ้านเมืองของหัวเมอื งตา่ ง ๆ และโปรดเกลา้ ฯ ให้ทาง ทรงพระประชวรจากการปฏิบัติพระราชภารกิจจึงทรงมี
ราชการแก้ไขปัญหาและพัฒนาใหด้ ีขึน้ พระราชประสงค์ทจี่ ะเสด็จไปพกั ผ่อนเปน็ การส่วนพระองค์
- เกิดผลดตี อ่ การศึกษาประวัติศาสตรแ์ ละโบราณคดี ตามท่ีแพทยถ์ วายคาแนะนา
เอาใจใสด่ แู ลแหลง่ โบราณสถาน และเก็บรวบรวม ผลจากการเสด็จประพาสตน้
โบราณวัตถมุ าจดั แสดงไวใ้ นพพิ ิธภณั ฑ์ของเมอื ง ทรงหายจากอาการประชวร และทรงเห็นปัญหาความ
เดือดร้อนของราษฎร

บางปะอิน (เรอื ) นนทบรุ ี (เรอื ) ราชบรุ ี (รถไฟ) เพชรบุรี
น.เจา้ พระยา คลองบางกอกใหญ่ , คลองดาเนินสะดวก

ประทับแรม (เรือ) สมทุ รสงคราม (เรือ) ตลาดเมืองราชบุรี (เรอื มาด ๔ แจว)
เพชรบุรี ปากอ่าวแมก่ ลอง (รถไฟ) นครปฐม คลองอัมพวา
(เรือเ ็ปด) ราชบุรี
น.ท่า ีจนสมุทรสาคร (เรือ) นครชัยศรี ประทับแรม
ท่โี พธาราม
(เรอื ) สุพรรณบุรี (เรือ) บางปะอิน (รถไฟ) กทม.


Click to View FlipBook Version