แบ่งเปน็ การประพาสในทวปี เอเชยี และประพาสทวีปยโุ รป
ซงึ่ เป็นดนิ แดนอาณานคิ มของอังกฤษและฮอลันดา รวม ๔ ครั้ง โดยเฉพาะการ
เสด็จประพาสชวา มจี ดุ มงุ่ หมายเพื่อรักษาพระองค์และทอดพระเนตรความเจริญของบา้ นเมือง ดงั น้ี
(๑) ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๑๓ เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา (๒) ครงั้ ท่ี ๒ พ.ศ. ๒๔๑๔ เสด็จประพาสอนิ เดีย
(๓) ครง้ั ที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๓๙ เสด็จประพาสชวา (๔) คร้งั ที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๔๕ เสด็จประพาสชวา
วนั ท่ี ๗ เมษายน ถงึ วนั ท่ี ๑๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ วันที่ ๒๗ มีนาคม ถงึ วนั ที่ ๑๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๐
วัตถปุ ระสงค์ : เพ่ือทอดพระเนตรความเจริญของประเทศ วตั ถปุ ระสงค์ : เพอ่ื รักษาพระอาการประชวรและปฏิบัติ
ในยโุ รป เพื่อแสวงหาพันธมิตรรวมทง้ั การเจรจากบั พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับฝรง่ั เศสซงึ่ คกุ คามไทยอยูต่ ง้ั แต่
ฝร่ังเศสที่กาลังคกุ คามไทยอย่างหนกั โดยเฉพาะใน วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ทรงใหส้ ัตยาบันหรือยอมรับ
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ สนธิสัญญากับฝร่ังเศส ฉบบั ร.ศ. ๑๒๕
ประเทศทเ่ี สดจ็ เยอื น : อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี ประเทศทเ่ี สดจ็ เยอื น : อติ าลี โมนาโก เยอรมนี
สวติ เซอร์แลนด์ รัสเซยี สวีเดน เดนมาร์ก อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ องั กฤษ เดนมารก์ เบลเยยี ม ฝรัง่ เศส และ
เบลเยียม เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝรง่ั เศส สเปน และ นอร์เวย์
โปรตเุ กส ผลจากการเสด็จประพาส : พระพลานามยั ดขี น้ึ ทรงนา
ผลจากการเสดจ็ ประพาส : ทรงสร้างสัมพนั ธไมตรีกับ ความเจริญด้านต่าง ๆ มาพัฒนาปรับปรงุ ประเทศ และ
รัสเซยี ในสมัยซาร์นิโคลสั ท่ี ๒ ทรงเจรจากับฝรงั่ เศสเพือ่ ทรงเจรจากับชาตติ ะวันตก
แก้ปัญหาระหวา่ งกัน รวมทง้ั ทรงนาความเจริญของยุโรป
มาใช้ปรับปรงุ ในบ้านเมือง
การเสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ ท่ี ๑ นับวา่ เปน็ พระมหากษัตริยใ์ นเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้พระองค์แรกทเ่ี สดจ็ ประพาสยโุ รป
และทรงแตง่ ตง้ั สมเด็จพระนางเสาวภาผ่องศรี พระอคั รราชเทวี ให้เป็นผู้สาเร็จราชการแทน พร้อมกบั ทรงสถาปนาเปน็ สมเดจ็
พระบรมราชนิ นี าถ
การเสด็จประพาสยโุ รปครง้ั ที่ ๒ ทรงแตง่ ตง้ั สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟา้ วชิราวุธ สยามมกฎุ ราชกุมาร เป็นผู้สาเร็จ
ราชการรักษาแทน และยงั ทรงมพี ระราชหัตถเลขาถงึ สมเดจ็ พระเจ้าลกู เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล โดยทรงพรรณนาสง่ิ ท่ไี ด้ทอดพระเนตร
และพระราชวินจิ ฉัยในเรอ่ื งต่าง ๆ เป็นเล่มช่ือ ไกลบา้ น ซง่ึ เป็นวรรณกรรมสาคญั
พระเจา้ ซารน์ ิโคลัสที่ ๒ แหง่ รัสเซีย สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผอ่ งศรี
พระบรมราชินีนาถ
กลุ่มกา้ วหนา้ ร.ศ. ๑๐๓ กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ เทศบาล
ขอให้กษตั รยิ อ์ ยู่ภายใตก้ ฎหมาย จะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย ใหป้ ระชาชนมสี ว่ นร่วมในทอ้ งถนิ่
รา่ งรฐั ธรรมนญู ๒ ฉบับ
เทยี นวรรณ (ก.ส.ร.กหุ ลาบ) ดสุ ิตธานี แต่ยังไมไ่ ดน้ ามาใช้
เสนอใหไ้ ทยเปลยี่ นเปน็ รัฐสภา เมอื งจาลองประชาธิปไตย
มีผูป้ กครองคือ “นคราภบิ าล”
คือระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ เป็นระบอบการปกครองท่ลี า้ สมัยไมส่ ามารถแกป้ ัญหาของประเทศชาติและประชาชนได้
อีกท้งั ยังเป็นกลไกท่เี ออ้ื ประโยชนแ์ ละอานาจแกก่ ลมุ่ พระราชวงศ์และขุนนางระดบั สงู ทาใหข้ ้าราชการระดบั ลา่ งและประชาชนไมพ่ อใจ
มนี กั เรียนไทยและข้าราชการรุ่นใหม่ได้ไปไปศกึ ษายังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้เห็นแบบอย่างความเจริญของบ้านเมือง
และไดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวความคิดของชาวตะวันตก จึงนาแนวคดิ ประชาธิปไตยเขา้ มาเผยแพร่ในเมอื งไทย
มีหนังสอื พมิ พ์ในประเทศไทยหลายฉบับเขยี นบทความวพิ ากษ์วจิ ารณต์ าหนขิ ้อบกพรอ่ งในการบริหารงานของรัฐบาลอยู่
เสมอ ๆ และยกยอ่ งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขณะทรี่ ฐั บาลสมยั น้ันใหเ้ สรภี าพแกห่ นงั สือพมิ พ์อย่างเต็มท่ีไม่ปิดก้ัน จึงทา
ใหป้ ระชาชนมคี วามคดิ เหน็ คล้อยตามหนงั สือพิมพ์
ภาวะเศรษฐกจิ ตกตา่ ท่ีเกิดข้นึ ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ ๖ และทวีความรนุ แรงยิง่ ขนึ้ ในสมัยรัชกาลที่ ๗
ช่วง พ.ศ. ๒๔๗๒-๒๔๗๔ ซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ ประเทศไทยอยา่ งร้ายแรง ราษฎรไดร้ ับความเดือดรอ้ นไปทวั่
รฐั บาลดาเนินการแกไ้ ขทกุ วถิ ที างเพ่อื ประหยัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศแต่ไมส่ าเรจ็
จึงกลายเป็นเหตอุ นั ชอบธรรมของคณะผกู้ อ่ การปฏิวัติล้มล้างระบอบการปกครองแบบเก่า
การปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ คอื การเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกลมุ่ บุคคลท่ชี อื่ “คณะราษฎร”
โดยเปลี่ยนจาก ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ >>มาเปน็ >> ระบอบประชาธปิ ไตย
คณะผกู้ ่อการปฏิวตั เิ ปลยี่ นแปลงการปกครอง มีสมาชิกผู้ก่อการรนุ่ แรก ๗ คน มีการประชุมวางแผนอย่างเปน็ ทางการ
คร้ังแรกทีก่ รงุ ปารีส ประเทศฝรงั่ เศส เมอื่ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙ ตอ่ มาจานวนสมาชิกเพมิ่ ขึน้ รวมเปน็ ๙๙ คน โดยมีบุคคล
สาคัญระดับหวั หนา้ ๓ คน ดังน้ี
พนั เอก พระยาพหลพลพยหุ เสนา นาวาตรี หลวงสนิ ธสุ์ งครามชยั หลวงประดษิ ฐม์ นธู รรม
หวั หนา้ ฝ่ายพลเรอื น
หวั หนา้ ฝ่ายทหารบก หัวหน้าฝา่ ยทหารเรือ
เช้าตรู่วันท่ี ๒๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรซ่ึงประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ และพลเรอื น ไดร้ วมตวั ชมุ นมุ
กนั ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีพนั เอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เปน็ ผอู้ ่านประกาศยึดอานาจการปกครองจาก
พระมหากษัตริย์ เพือ่ ให้มกี ารปกครองระบอบรฐั สภาซ่ึงมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุขและอยู่ภายใต้รัฐธรรมนญู
- คณะราษฎรปฏบิ ัติการอย่างรวดเร็ว โดยยึดกรมไปรษณยี ์เพื่อตดั การสือ่ สาร จับกุมพระบรมวงศานุวงศ์และ
ขุนนางชั้นผ้ใู หญเ่ ป็นตัวประกนั และตั้งคณะนายทหารเปน็ ผ้รู ักษาพระนคร เพื่อยดึ กมุ กาลังกองทพั ไม่ให้
เคล่อื นไหวตอ่ ตา้ น
- ขณะน้นั รชั กาลท่ี ๗ ทรงประทับอยทู่ ่พี ระราชวงั ไกลกังวล หัวหนิ เม่อื ทรงได้รับหนงั สอื กราบบงั คมทูลขอให้
ทรงสละพระราชอานาจและดารงฐานะเป็นพระมหากษัตรยิ อ์ ย่ภู ายใตร้ ัฐธรรมนูญ ก็ทรงตัดสินพระทยั สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
ยินยอมแต่โดยดี เจ้าฟา้ บริพตั รสุขุมพนั ธ์ุ
กรมพระนครสวรรคว์ รพินติ
หลกั เอกราช จะต้องรกั ษาความเปน็ เอกราชในทกุ ด้านของประเทศ
หลกั ความปลอดภยั จะรักษาสวัสดิภาพความปลอดภัย
ภายในประเทศ จะลดการประทุษร้ายต่อกัน
หลักเศรษฐกจิ จะบารุงความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจให้ราษฎร
ใหท้ ุกคนมีงานทา จดั ทาโครงการเศรษฐกิจ
หลักเสมอภาค ให้ราษฎรมสี ทิ ธเิ สมอภาคหรือเทา่ เทยี มกัน
หลกั เสรภี าพ ให้ราษฎรมเี สรภี าพและอสิ รภาพ
หลกั การศกึ ษา ให้ราษฎรได้รบั การศกึ ษาอยา่ งเต็มที่
ภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๗ ได้พระราชทานธรรมนูญการ
ปกครองแผน่ ดนิ ฉบับชว่ั คราว เมื่อวันท่ี ๒๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เพ่อื ใช้เป็นหลกั ในการปกครองประเทศ ถอื เป็นรัฐธรรมนูญ
ฉบับแรกของไทย ซึง่ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญการปกครองแผน่ ดิน ฉบบั ชวั่ คราว มีดังน้ี
พระยามโนปกรณน์ ิติธาดา - ฝ่ายนติ บิ ญั ญตั ิ (สภาผแู้ ทนราษฎร) มสี มาชิกจานวน ๗๐ คน มาจากการแตง่ ตัง้
โดยคณะผ้กู อ่ การฯ ทาหนา้ ท่รี ่างกฎหมายและตรวจสอบการทางานของฝา่ ยบริหาร
- ฝ่ายบรหิ าร (คณะรฐั มนตร)ี มาจากการเลอื กคณะบุคคลจากสภาผูแ้ ทนราษฎร
จานวน ๑๕ คน เรียกว่า คณะกรรมการราษฎร (คณะรฐั มนตรี)
มีพระยามโนปกรณน์ ติ ธิ าดา เปน็ ประธานคณะกรรมการราษฎร(นายกรัฐมนตรี)
- ฝา่ ยตลุ าการ (ศาล) ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจารณาคดีตามกฎหมาย
คณะกรรมการร่างรฐั ธรรมนูญฯ ฉบับถาวร เมื่อรา่ งเสรจ็ ไดน้ าข้ึนทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพ่ือให้
ทรงลงพระปรมาภิไธย เมือ่ วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ เรียกว่า รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รสยาม พทุ ธศักราช ๒๔๗๕
มสี าระสาคญั ดงั น้ี
- ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
โดยมีพระมากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข
- อานาจอธิปไตยเปน็ อานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ โดยมีสถาบนั หลกั
ทาหน้าที่ คอื รัฐสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหาร
และศาลเปน็ ฝา่ ยตลุ าการ
- สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร (สส.) มาจากการเลือกต้ัง
ปรีดเี สนอเค้าโครงเศรษฐกจิ พระยาพหลพลพยหุ เสนา พระองคเ์ จ้าบวรเดชใช้กาลงั รชั กาลท่ี ๗ ถูกกดดันว่า
(สมุดปกเหลือง) ซึง่ ถกู โจมตีวา่ กอ่ การรัฐประหาร และดงึ ทหารเข้าลม้ คณะราษฎร เก่ยี วขอ้ งกบั กบฏบวรเดช จน
เป็นสังคมนยิ ม จนปรดี ตี ้องลีภ้ ยั ปรดี กี ลบั เขา้ ประเทศ แต่ทาไมส่ าเร็จ รัชกาลท่ี ๗ สละราชสมบัติ
ออกนอกประเทศ
ในประวัติศาสตร์ไทยนบั ตงั้ แตส่ มยั โบราณถึงสมยั ปัจจุบนั สตรีไทยมีบทบาทในสงั คมไทยแตกตา่ งกนั ไปตามยคุ
สมยั เพราะสถานการณท์ างการเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรมทแี่ ตกต่างกัน ซึง่ พออธิบายได้ดงั น้ี
นับตัง้ แตส่ มัยสโุ ขทยั จนถึงสมัยรตั นโกสินทร์ตอนตน้ สตรไี ทยมหี น้าทีห่ ลกั ในการทางานบา้ นและทามาหากินเพ่ือ
จุนเจือครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนช้ันไพร่และทาส ในกรณีท่ีถึงเวลาต้องแต่งงาน ฐานะของความเป็นภรรยาจะถูก
แบง่ แยกประเภทออกไปเปน็ ๔ ลักษณะ ไดแ้ ก่
๑) ภรรยาพระราชทาน
๒) ภรรยากลางเมือง (บดิ ามารดาแตง่ ใหห้ รอื เปน็ ภรรยาหลวง)
๓) ภรรยากลางนอก (อนภุ รรยาทีส่ ามีไปขอหญิงมาเลยี้ งดู)
๔) ภรรยากลางทาสี (ภรรยาท่ชี ายไปขอไถต่ ัวมาเล้ยี งดู)
สาหรบั ทาสทเี่ ป็นหญงิ เม่ือบวชเป็นชี กฎหมายอนญุ าตให้หลดุ พน้ จากความเป็นทาสได้ ตง้ั แตอ่ ยธุ ยามีกาหนด
กฎเกณฑอ์ นญุ าตใหส้ ตรีไทยบวชเป็นชีไดเ้ มื่ออายลุ ่วงวัย ๕๐ ปี เพื่อปอ้ งกันข้อครหา ต้องโกนหัวโกนค้วิ และนงุ่ หม่ ขาว ถือศีล
ฟังธรรม สวดมนต์ทกุ วัน และเจรญิ ภาวนา บาเพ็ญตนใหเ้ ปน็ ประโยชน์แกผ่ ู้อ่ืนดว้ ยการใหท้ านอย่างเครง่ ครดั ดังน้นั สตรี
ไทยทีส่ ูงอายุและไม่มีภาระเลย้ี งดบู ตุ รธดิ า ส่วนหนง่ึ ก็จะบวชเป็นชี เพ่ือจะได้บุญกุศลและพน้ จากความเป็นทาสได้
สตรไี ทยเรมิ่ มีการเปลยี่ นแปลงการดาเนนิ ชวี ิตท่ีเปน็ อิสระมากข้ึน เพราะพระบรมราโชวาททางด้านความทันสมัย
ของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยนี้ สตรีไทยยังคงทางานในบ้านเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและออกไปทานา ทาไร่ ทาสวนของ
ตนเองและของมูลนาย แต่ได้รับการอนุญาตจากทางราชการให้มีอสิ ระมากกวา่ เดิม
ในสมยั รชั กาลที่ ๔-๕ เปิดโอกาสให้ผหู้ ญิงไดร้ บั การศกึ ษา และในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ผู้หญงิ พน้ จากความเป็นทาส
ทาใหผ้ หู้ ญิงสามารถพ่ึงตนเองไดใ้ นทางเศรษฐกิจ และเปน็ ประโยชนต์ ่อการสร้างสรรค์ความเจรญิ ใหก้ บั สังคม การปฏิรปู
ประเทศเขา้ สูค่ วามทนั สมัยในสมัยรชั กาลที่ ๕ ทาให้สถานภาพของผูห้ ญิงชนชั้นสงู และชนชั้นกลางดขี ึ้น เพราะโอกาสด้าน
การศึกษาเล่าเรยี น แตผ่ ู้หญงิ ชนช้นั ลา่ งกม็ สี ถานภาพทีด่ อ้ ยลง เพราะมโี อกาสทางดา้ นการศึกษาน้อยกวา่
หลงั การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ผู้หญงิ ไทยมสี ิทธอิ อกเสียงเลือกตั้งสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร
แตถ่ ึงกระน้นั ผู้หญงิ จานวนนอ้ ยมากที่เพงิ่ จะไดเ้ ขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในทางการเมือง มักถูกกีดกนั ทางการเมอื งทเี่ ปน็ ทางการ
นอกจากนี้ผู้หญิงยงั คงมสี ว่ นรว่ มในการใช้อานาจของรฐั นอ้ ยมาก ดังจะเห็นได้จากบทบาทในพรรคการเมอื งและการได้รบั
การเลือกต้งั ในรัฐบาลหรือในระบบราชการ ผู้หญงิ ยงั คงเป็นสว่ นนอ้ ยในแวดวงดงั กลา่ ว
ในสมยั สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ รฐั บาลได้มนี โยบายสร้างชาติและใหค้ วามสาคญั กบั สตรีไทย แตเ่ ดิมประเพณไี ทยถือ
วา่ ผู้หญงิ เปน็ ช้างเท้าหลัง อยู่กับเหยา้ เฝา้ กบั เรอื นเท่านั้น งานนอกบ้านหรือการประกอบอาชีพสว่ นใหญเ่ ปน็ เร่อื งของผชู้ าย
ดงั นั้น เพ่ือใหเ้ ข้าใจถงึ บทบาทของสตรี รัฐบาลจึงไดต้ งั้ วัฒนธรรมฝา่ ยหญงิ ขน้ึ โดยมวี ตั ถุประสงคจ์ ะยกฐานะของหญิงไทยให้
เท่าเทยี มกบั ผชู้ าย ทาให้ผูห้ ญงิ ได้มบี ทบาทในการเขา้ รบั ราชการบางตาแหนง่ มากข้นึ เพราะแต่เดิมได้มขี ้อบงั คบั ของข้าราชการ
พลเรือนห้ามแตง่ ต้งั สตรเี ข้ารบั ราชการบางตาแหนง่ รัฐบาลก็ให้มกี ารประกาศยกเลิก นอกจากตาแหนง่ ท่มี ลี ักษณะ ปรมิ าณ
หรอื คณุ ภาพของงานไมเ่ หมาะสมแกก่ ารแตง่ ตัง้ สตรเี ขา้ รบั ราชการ
ภายหลังทีไ่ ด้มีการประกาศใชแ้ ผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ เปน็ ตน้ มา ได้มีการมงุ่ พฒั นาด้าน
การศึกษา ทาใหส้ ตรไี ทยมีโอกาสในการทางานที่เทา่ เทียมกบั ผชู้ าย มีการแกไ้ ขกฎหมายให้สตรไี ดม้ ีสทิ ธเิ สมอภาคกบั ผู้ชายมาก
ข้ึนแต่ยงั ไมส่ มบรู ณ์ นโยบายทมี่ ่งุ เนน้ ใหส้ ตรไี ทยไดเ้ ข้าไปมีบทบาทในทางเศรษฐกจิ และการมีสว่ นร่วมในกระบวนการ
ตัดสินใจในระดบั ตา่ ง ๆ ทาใหเ้ กิดการขยายตวั ของบทบาทสตรใี นแง่มมุ ตา่ ง ๆ และสตรีไทยกลายเป็นส่วนประกอบท่สี าคัญ
ของแรงงานของประเทศแต่แรงงานสตรจี านวนมากกย็ ังทางานท่ีได้รบั ผลตอบแทนตา่ และมคี วามมั่นคงนอ้ ย
ในปจั จบุ ันสตรไี ทยจานวนมากตอ้ งออกไปทางานนอกบ้าน ขณะเดียวกนั ก็ตอ้ งแบกรับภาระงานบ้านทาใหเ้ กดิ
ความเครยี ด สตรไี ทยชนชัน้ ลา่ งในสังคมไทยต้องทางานทกุ อยา่ งเอง โดยไม่มีการจ้างคนอนื่ มาแทนเหมือนสตรที มี่ ฐี านะดี
กจิ กรรมยามว่างของฝ่ายใน
ตอนที่ ๑ ใหน้ ักเรียนเตมิ คาตอบลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง อาณาจักร......................
ศูนยก์ ลาง.......................
(๑) เทือกเขาอลั ไต หลกั ฐาน.........................
(๒) ตอนกลางของจนี
(๓) ตอนใตข้ องจนี อาณาจกั ร......................
(๔) คาบสมทุ รมลายู ศูนย์กลาง.......................
(๕) ดนิ แดนไทย หลกั ฐาน.........................
ตอนท่ี ๒ ให้นักเรยี นเติมคาตอบลงในช่องวา่ งใหถ้ กู ต้อง อาณาจกั ร......................
ศนู ย์กลาง.......................
อาณาจักร...................... หลักฐาน.........................
ศูนยก์ ลาง.......................
หลักฐาน.........................
อาณาจกั ร......................
ศนู ยก์ ลาง.......................
หลักฐาน.........................
อาณาจักร......................
ศูนย์กลาง.......................
หลกั ฐาน.........................
ตอนท่ี ๓ ใหน้ กั เรียนวิเคราะห์อิทธพิ ลของอาณาจกั รโบราณทีม่ ตี ่อสังคมไทยลงในแผนผัง และตอบคาถาม
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
จากแผนผัง ความเจริญด้านใดของอาณาจกั รโบราณที่มีอทิ ธพิ ลตอ่ สงั คมไทยมากท่สี ุด เพราะเหตุใด
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ตอนท่ี ๔ ใหน้ กั เรียนเตมิ ชื่อราชธานขี องไทยใหส้ ัมพันธ์กบั แผนทแี่ ละข้อความที่กาหนดให้
ราชธาน.ี ................... ราชธานี.................... ราชธานี.................... ราชธานี....................
๑. ราชธานีท่ีตั้งอยรู่ มิ แม่น้า _________________________________
_________________________________
๒. มแี ม่นา้ ไหลผ่านราชธานีถึง ๓ สาย คอื _________________________________
เจ้าพระยา ลพบรุ ี และป่าสกั _________________________________
_________________________________
๓. มชี ัยภูมทิ เี่ หมาะสมมากท่ีสดุ ซ่ึงเอ้ือต่อการ
ทาเกษตรกรรม
๔. ราชธานที เ่ี สยี เปรยี บในเรื่องการตั้งอยไู่ กล
เส้นทางการคา้ ทางน้า
๕. ลักษณะของการสถาปนาราชอาณาจกั รใหม่
ที่อาจเลือกราชธานีจากเมอื งทเี่ คยมอี ยกู่ อ่ นแล้ว
ตอนที่ ๕ ให้นักเรยี นอธิบายปจั จัยท่มี ีผลตอ่ การสถาปนาราชธานขี องไทยในแต่ละสมยั
________________________________ สโุ ขทยั ________________________________
________________________________ ________________________________
________________________________ ________________________________
________________________________ อยธุ ยา ________________________________
________________________________ ________________________________
________________________________ ________________________________
________________________________ ธนบุรี ________________________________
________________________________ ________________________________
________________________________ ________________________________
________________________________ รตั น- ________________________________
________________________________ โกสนิ ทร์ ________________________________
________________________________ ________________________________
ตอนที่ ๖ ใหน้ กั เรียนสรุปพัฒนาการด้านการเมอื งการปกครองของไทย ในรูปแบบของ Timeline
วาดเสน้ เวลา
(Timeline)
ตอนที่ ๗ ใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาขอ้ ความทีก่ าหนดให้ และนาไปเตมิ ในชอ่ งว่างให้ถกู ต้อง พร้อมอธบิ ายตามหวั ข้อ
ปฏิรูปการคมนาคม ตั้งหอรษั ฎากรพิพัฒน์
ตัง้ สขุ าภบิ าล ตงั้ ระบบเทศาภบิ าล
ปฏิรปู กฎหมายและการศาล เลกิ ระบบไพรแ่ ละทาส
แบง่ หน่วยราชการส่วนกลางออกเป็น ๑๒ กระทรวง ตง้ั สภาท่ีปรึกษา ๒ สภา
การปฏริ ูปประเทศระยะแรก (พ.ศ. ๒๔๑๖-๒๔๓๐) วัตถุประสงค์
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
การปฏริ ปู ประเทศระยะสอง (พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๕๓) วัตถุประสงค์
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
........................................................................ ........................................................................
ตอนที่ ๘ ให้นักเรยี นเติมชอื่ กระทรวง (พ.ศ. ๒๔๓๕) ลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ งตามบทบาท
........................................ ๑. บังคบั บญั ชาหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื และเมอื งลาวประเทศราช
........................................ ๒. บังคบั บัญชาหวั เมืองปกั ษใ์ ต้และเมืองมลายปู ระเทศราช
........................................ ๓. ดูแลเก่ยี วกับต่างประเทศโดยเฉพาะ
........................................ ๔. ดูแลพระราชวงั และกจิ การเก่ยี วกบั ต่างประเทศโดยเฉพาะ
........................................ ๕. ดูแลกิจการตารวจ นกั โทษ และบญั ชคี น
........................................ ๖. ดแู ลด้านการเพาะปลูก การค้าขาย ปา่ ไม้ และเหมอื งแร่
........................................ ๗. ดูแลด้านภาษีอากร และเงนิ รายรับราย-รายจ่ายของแผ่นดิน
........................................ ๘. บังคบั บญั ชาด้านการศาลทั่วราชอาณาจักร
........................................ ๙. ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหารเรอื
........................................ ๑๐. ดูแลกจิ การเกีย่ วกบั สงฆ์ โรงเรยี น และโรงพยาบาลท่วั ราชอาณาจกั ร
........................................ ๑๑. ดูแลการก่อสร้าง ขดุ คลอง ไปรษณยี ์ โทรเลข รถไฟ และการชา่ งทั่วไป
........................................ ๑๒. ดแู ลรกั ษาพระราชลัญจกร พระราชกาหนดกฎหมาย และหนังสือราชการ
ตอนท่ี ๙ ให้นกั เรยี นลาดีบปแี ละเหตกุ ารณ์ทางประวตั ิศาสตร์ใหส้ อดคล้องกนั
กบฏบวรเดช ประกาศใช้ พ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครองแผน่ ดนิ สยาม
ชัว่ คราว พ.ศ. ๒๔๗๕
๑๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๗๕
พ.ศ. ๒๔๕๔ เกดิ ภาวะเศรษฐกจิ ตกต่าท่วั โลก
พ.ศ. ๒๔๖๙
รชั กาลที่ ๖ ทรงจดั ต้งั ดุสิตธานี
๒๔ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ รัชกาลที่ ๖ เสดจ็ ขึ้นครองราชย์
๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๑๑
พ.ศ. ๒๔๕๓ รัชกาลที่ ๕ เสดจ็ ข้ึนครองราชย์ และเรม่ิ ปฏริ ปู ประเทศ
พ.ศ. ๒๔๖๑ เหตุการณ์ กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
พ.ศ. ๒๔๗๒
๒๗ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ก่อตั้งคณะราษฎร และเรมิ่ ประชมุ เปลีย่ นแปลงการปกครอง
๑๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๗๖ เปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระราชทานรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวร
ตอนที่ ๑๐ ให้นกั เรยี นอ่านขอ้ ความต่อไปน้ี แลว้ ตอบคาถามที่กาหนดให้
๑. จากภาพ คอื เหตกุ ารณ์ใด
ตอบ ........................................................................................................................................................
๒. เหตกุ ารณ์จากภาพเปน็ ผลสบื เนือ่ งมาจากเหตกุ ารณใ์ ด
ตอบ ........................................................................................................................................................
๓. ภายหลงั เหตกุ ารณด์ งั กลา่ ว ประเทศไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร
ตอบ ........................................................................................................................................................
๔. ประชาชนชาวไทยไดร้ บั ผลจากเหตกุ ารณด์ งั กลา่ วอยา่ งไร
ตอบ ........................................................................................................................................................
๕. จากพระราชหตั ถเลขาในพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีแนวพระราชดารเิ ก่ยี วกบั การปกครองอยา่ งไร
ตอบ ........................................................................................................................................................
คาชี้แจง ให้นักเรยี นโหลดโมเดลอนุสาวรียป์ ระชาธปิ ไตยตาม QR code ท่ใี ห้ แล้วประกอบโมเดลมาส่งครู
Scan QR CODE
ตอนที่ ๑๑ ใหน้ กั เรียนสรปุ บทบาทของสตรไี ทยจากหวั ขอ้ ท่ีกาหนดให้
ตอนท่ี ๑๒ ใหน้ กั เรยี นอธบิ ายบทบาทของสตรไี ทยในแตล่ ะสมยั และตอบคาถามท่ีกาหนดให้
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
............................................................... ...............................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ภาระงาน กาหนดวนั สง่ งาน
๑. แบ่งกลมุ่ นักเรยี นเพื่อสืบคน้ ประเด็นสาคญั ทางประวัตศิ าสตร์ตามหัวขอ้ ทีน่ ักเรียน
สนใจ และนาเสนอในรูปแบบของ Power Point และ แผน่ พับ
๒. แบ่งกลุ่มนักเรยี นประกอบโมเดลอนสุ าวรีย์ประชาธิปไตย
๑. แนวคิดเกย่ี วกบั ถน่ิ กาเนดิ ของชนชาตไิ ทย แนวคดิ ใดนา่ เชอ่ื ถอื และมหี ลกั ฐานสนบั สนนุ มากทส่ี ดุ จงอธบิ าย
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๒. อทิ ธพิ ลของอาณาจกั รโบราณในดนิ แดนไทยทมี่ ตี อ่ สงั คมไทยมอี ะไรบา้ ง จงอธบิ ายพอสงั เขป
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๓. จากการสถาปนาอาณาจกั รไทยในสมัยตา่ ง ๆ ปจั จัยใดทม่ี อี ทิ ธพิ ลมากทส่ี ดุ จงอธบิ าย
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๔. ผลของการปฏริ ปู ประเทศในสมัยรชั กาลที่ ๕ ต่อชาตไิ ทยเปน็ อยา่ งไร จงวเิ คราะห์
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๕. ตง้ั แตม่ กี ารเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จงถึงปจั จบุ นั นักเรียนคดิ วา่ ระบอบประชาธปิ ไตยเหมาะสม
กับประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตใุ ด และสิ่งใดทเ่ี ปน็ อปุ สรรคตอ่ ระบอบประชาธปิ ไตยในประเทศไทย
ประเด็น ๑ เหมาะสมหรอื ไม่ : ......................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ประเด็น ๒ อุปสรรค : .................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ส๔.๓ ม.๔-๖/๒ วิเคราะห์ความสาคญั ของสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ต่อชาติไทย
ส๔.๓ ม.๔-๖/๔ วิเคราะห์ผลงานของบคุ คลสาคญั ทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศท่มี สี ่วนสรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรม
ไทยและประวตั ิศาสตรไ์ ทย
ผังมโนทศั น์ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๓
หนว่ ยที่ ๓ บุคคลสาคญั ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
ส๔.๓ ม.๔-๖/๒ วเิ คราะหค์ วามสาคัญของสถาบันพระมหากษตั รยิ ์ตอ่ ชาตไิ ทย
ส๔.๓ ม.๔-๖/๔วิเคราะห์ผลงานของบคุ คลสาคัญทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศทม่ี สี ว่ นสรา้ งสรรค์วฒั นธรรมไทยและประวัติศาสตร์ไทย
คาชแี้ จง ให้นกั เรียนเลอื กคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งที่สุดเพยี งคาตอบเดยี ว
1. ฐานะของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยแตกตา่ งจากพระมหากษตั รยิ ใ์ น ๖. บทบาทสาคญั ของสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรีสรุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง
ยุโรปขอ้ ใดมากทส่ี ดุ บนุ นาค) คอื ขอ้ ใด
ก. ทรงเปน็ สมมตเิ ทพ ก. วางรากฐานกิจการทหารเรือ
ข. ทรงเป็นประมขุ ของรัฐ ข. วางรากฐานปฏิรูปการปกครองสว่ นกลาง
ค. ทรงเปน็ องค์อัครศาสนูปถมั ภก ค. ผสู้ าเร็จราชการแผ่นดนิ ขณะที่รชั กาลท่ี ๕ ทรงพระเยาว์
ง. ทรงสืบสันตติวงศ์ตามโบราณราชประเพณี ง.หวั หนา้ ผู้แทนคณะไทยในการเจรจากับฝรงั่ เศสและอังกฤษ
2. พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจของประชาชนชาวไทย ๗. ข้อใด ไม่ใช่ ความเจรญิ ทห่ี มอบรดั เลยน์ าเขา้ มาสเู่ มอื งไทย
เกดิ ประโยชนต์ อ่ ประเทศชาตดิ า้ นใด ก. ฉดี วคั ซนี ปอ้ งกันไข้ทรพิษ
ก. เศรษฐกิจก้าวหนา้ ข. การใชก้ ล้องถ่ายรปู และเทคนิคการชุบโลหะ
ข. ประชาธิปไตยเข้มแขง็ ค. ผา่ ตัดรักษาคนไขแ้ ละความรกู้ ารแพทย์สมยั ใหม่
ค. เอกลักษณค์ วามเปน็ ไทย ง. จัดทาหนังสอื พิมพฉ์ บบั แรกช่ือ บางกอกรีคอร์เดอร์
ง. ความสามัคคีของคนในชาติ
๘. พระยากลั ยาณไมตรี ทาคณุ ประโยชนต์ อ่ ประเทศในเรอ่ื งใด
3. คาเรยี กพระนามของพระมหากษตั รยิ ท์ แ่ี สดงถงึ การเปน็ จอมทพั ก. ร่างรฐั ธรรมนญู ฯ ฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕
หรือนกั รบผ้ยู งิ่ ใหญค่ อื ขอ้ ใด ข. เจรจาแกไ้ ขสนธสิ ญั ญาทไี่ ทยเสยี เปรยี บกับนานาประเทศ
ก. ธรรมราชา ค. วางรากฐานระบบกฎหมายและการศาลของไทยใหท้ นั สมยั
ข. พระเจา้ อยู่หวั ง. เจรจากับสหรฐั อเมริกาเพ่อื ไมใ่ หไ้ ทยเปน็ ฝ่ายแพ้สงครามโลก ๒
ค. พระมหากษตั รยิ ์
ง. พระเจา้ แผน่ ดิน ๙. ศาสตราจารย์ ศลิ ป์ พรี ะศรี เป็นผวู้ างรากฐานการศกึ ษาดา้ นใด
ก. ศลิ ปะสมัยใหม่
4. ฐานะของพระมหากษตั รยิ ส์ มยั อยธุ ยาเปลย่ี นแปลงไปจากสมยั ข. การอุดมศึกษา
สุโขทยั เพราะเหตใุ ด ค. วศิ วกรรมศาสตร์
ก. พนื้ ทอ่ี าณาจกั รขยายใหญข่ ึน้ ง. นาฏศลิ ป-์ ดนตรสี ากล
ข. การติดตอ่ คา้ ขายกบั ชาตติ ะวันตก
ค. รับวฒั นธรรมการปกครองจากเขมร ๑๐. ข้อใด ไมใ่ ช่ ผลงานของพระยารษั ฎานปุ ระดษิ ฐม์ หศิ รภกั ดี
ง. คติความเช่อื ในหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา ก. จดั ตัง้ โรงเรยี นในวัด
ข. ส่งเสริมการทาสวนยางพารา
5. พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคใ์ ดทเี่ รม่ิ ตน้ เปลยี่ นฐานะสสู่ มยั ใหม่ ค. สร้างถนนและพฒั นาทา่ เรอื
ก. รัชกาลที่ ๑ ง. หา้ มไม่ใหต้ ่างชาตเิ ข้ามาทาเหมืองแร่ดีบกุ
ข. รัชกาลท่ี ๒
ค. รชั กาลท่ี ๓
ง. รชั กาลท่ี ๔
สถานภาพของกษัตริย์ไทยในแต่ละสมยั มีพฒั นาการแตกต่างกนั ดงั นี้
(ปติ าธปิ ไตย) กษตั ริย์ใน ๓ รชั กาลแรกใชค้ าว่า พอ่ ขนุ ซง่ึ สะทอ้ นภาพการเป็นหวั หน้าครอบครัว มี
หนา้ ทด่ี แู ลเอาใจใส่บาบัดทกุ ข์บารุงสขุ ให้แกล่ ูกบ้าน ดังเชน่ พระราชกรณียกิจของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ทง้ั ทาสงคราม สง่ เสรมิ
การคา้ ส่ังสอนอบรมใหม้ ศี ีลธรรมจรรยา
(ราชาธปิ ไตย) ช่วงสุโขทัยตอนกลางเม่อื รัฐทางใต้คือ ศรอี โยธยา (อยุธยา) เจรญิ เขม้ แข็ง
กลายเป็นรฐั คู่แขง่ โดยที่กษัตรยิ ์อยธุ ยาใชค้ วามเปน็ เทพเจ้าชว่ ยเสริมบารมี กษัตริยส์ ุโขทยั จึงจาเป็นต้องสร้างภาพลักษณค์ วาม
ศกั ด์ิสิทธิ์ของเทพเจ้าด้วย เพอื่ คงความเป็นผู้นาของรัฐไทยในภมู ิภาคน้ีไว้ ดูไดจ้ ากคานาพระนามทีเ่ ปล่ยี นมาเป็น พญา และ พระ
เจ้า ความสมั พันธร์ ะหว่างกษตั รยิ ก์ ับประชาชนเปลี่ยนจาก “ลูกกับพ่อ” ไปเป็น “ขา้ กับเจา้ ”
พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) ไดพ้ ัฒนารปู แบบการปกครอง โดยนาพระพทุ ธศาสนามาเสรมิ
บทบาททางการเมืองของสุโขทยั สร้างภาพลักษณข์ องกษตั ริยใ์ ห้เปน็ ผู้ที่เป่ียมลน้ ดว้ ยคณุ ธรรม บรรลุถงึ ความเปน็ ธรรมราชา
และพทุ ธภูมิ ผู้ท่จี ะเปน็ ธรรมราชาไดน้ ั้นตอ้ งยึดม่ันในหลกั ยตุ ธิ รรม การใช้อานาจตอ้ งอยูบ่ นฐานของหลกั ธรรมคือ
ทศพิธราชธรรม อันเป็นเกณฑว์ ดั ความดีของกษัตริย์
๑.พอ่ ขนุ ศรอี ินทราทิตย์ ๖.พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลไิ ท)
๒.พอ่ ขุนบานเมือง ๓.พอ่ ขุนรามคาแหงฯ ๗.พระมหาธรรมราชาท่ี ๒
๕.พระยางว่ั นาถม ๔.พระยาเลอไท ๘.พระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสลอื ไท)
๙.พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล)
อทุ ยานประวัติศาสตร์สโุ ขทัย
สถานภาพของกษตั รยิ ์สมัยอยุธยาคอื พระเจา้ หรอื สมเดจ็ พระเจา้ แบบสมมตเิ ทพ โดยรบั อทิ ธิพลแนวคดิ มาจากอินดีย
ผ่านทางรัฐเขมรโบราณคือ เปน็ อวตารของเทพเจ้าสาคญั ในศาสนาฮินดู การเปน็ สมมติเทพของกษตั ริย์อยธุ ยาสามารถวเิ คราะห์
ได้จากพระนามของกษัตรยิ ์ทีม่ าจากทวยเทพ เช่น
(วษิ ณุ) ไดแ้ ก่ สมเด็จพระรามาธบิ ดี สมเด็จพระนารายณ์
ได้แก่ สมเดจ็ พระราเมศวร สมเด็จพระนเรศวร
ได้แก่ อินทราชา
พระนามท่ีแสดงความเปน็ กษตั รยิ ์ท่ยี ง่ิ ใหญ่ตามคตพิ ระพทุ ธศาสนา เช่น สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
การปกครองในสมัยน้ี กษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุขของรฐั และเป็นสญั ลักษณ์ทางการเมอื งของอาณาจักร จงึ มอี านาจสงู สดุ
และได้รับอภสิ ทิ ธ์ิเหนือปวงชนทั้งมวล แตข่ ณะเดียวกันต้องปกครองด้วยเมตตาธรรมเพอื่ ประโยชน์และเสถยี รภาพ
๑.พระเจ้าอทู่ อง ๒.สมเดจ็ พระราเมศวร ๕.สมเดจ็ พระรามราชาธริ าช พ่อ-ลูก
เครอื ญาติ
๓.ขนุ หลวงพะงว่ั ๔.พระเจ้าทองลนั ๖.สมเด็จพระนครินทราธริ าช ๗.เจา้ สามพระยา
๑๑.สมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ ๔ ๑๐.สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒ ๙.สมเด็จพระบรมราชาธริ าชท่ี ๓ ๘.สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
๑๒.สมเดจ็ พระรัษฎาธิราช ๑๓.สมเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช ๑๔.สมเดจ็ พระยอดฟา้ ๑๕.สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ
๑๙.สมเดจ็ พระเอกาทศรถ ๑๘.สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ๑๗.สมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าช ๑๖.สมเดจ็ พระมหนิ ทราธิราช
๒๐.สมเดจ็ พระศรเี สาวภาคย์ ๒๑.สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม ๒๒.สมเด็จพระเชษฐาธริ าช ๒๓.สมเด็จพระอาทิตยวงศ์
๒๔.สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ๒๕.สมเด็จเจ้าฟ้าชัย ๒๖.สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ๒๗.สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
๒๘.สมเด็จพระเพทราชา ๒๙.สมเดจ็ พระเจ้าเสอื ๓๐.สมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัวท้ายสระ ๓๑.สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั บรมโกศ
๓๓.สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ๓๒.สมเด็จพระเจ้าอุทมุ พร
อทุ ยานประวตั ิศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
สถานภาพของกษัตริย์ในสมัยนยี้ ังคงสบื ทอดหลักการและหลักเกณฑ์สมมติเทพของสมยั อยธุ ยา แตเ่ ปน็ ลกั ษณะของ
สัญลักษณม์ ากกวา่ ภาพลักษณค์ อื มีความเป็นมนุษย์ท่ีสัมผัสไดแ้ ละมีสภาวะอันหลากหลาย ดังนี้
เปน็ เจา้ ชีวิตของราษฎรทกุ คนที่อาศยั อยู่ในขอบ
ขัณฑสมี า กษัตริยม์ สี ทิ ธิลงโทษถงึ ขนั้ ประหารชวี ติ ตามโทษานโุ ทษหรอื อภยั โทษคงความมชี วี ิตแกผ่ ้ตู อ้ งโทษประหารได้ และจาก
การท่ีกษัตรยิ ์ไทยทรงเป็นองคเ์ อกอคั รศาสนูปถัมภก เป็นผูท้ ที่ รงไวซ้ ึ่งคุณธรรมจริยธรรมตามหลักทศพธิ ราชธรรมควบคูก่ ับการ
เป็นเจ้าชีวิตคอื เปน็ พระเจา้ อยูห่ ัวทม่ี พี ระมหากรุณาธิคุณเปยี่ มลน้ ดว้ ยบญุ ญาธิการเฉกเช่นพระพทุ ธเจา้ จึงเกิดคาที่ใชเ้ รยี กขาน
กษตั ริยว์ า่ พระพทุ ธเจา้ อยูห่ วั
เป็นเจ้าของพื้นทท่ี ั้งหมดในราชอาณาจักร มีสิทธิขาดท่จี ะพระราชทานใหห้ รือเรียกกลบั คนื
เม่ือใดกไ็ ด้ข้ึนอยูก่ บั สถานการณแ์ ละพฤติกรรมของบคุ คล เชน่ “การรบิ ราชบาตร” สาหรบั ผ้ตู ้องโทษกบฏ หรอื “การเวนคนื ” เมอื่
หลวงตอ้ งการนาที่ดินน้ันไปใช้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้กษตั รยิ ์จงึ มีภาระหน้าท่ใี นการดแู ลรักษาความสมบรู ณแ์ หง่ แผน่ ดนิ เช่น การ
ขุดลอกคูคลอง หรือจดั พระราชพธิ ีทเี่ กีย่ วข้องกบั กับทานบุ ารงุ ความอุดมสมบรู ณ์
เปน็ จอมทัพหรอื นกั รบผยู้ ง่ิ ใหญ่ ภารกจิ ของการเป็นพระมหากษตั ริย์ไมใ่ ช่เพียงแคก่ าร
ปกปอ้ งอาณาจกั ร แต่ยังรวมถึงการปราบปรามกบฏ โจรผรู้ า้ ย สามารถขยายอาณาเขตและแผ่พระบรมเดชานุภาพเป็นท่ียาเกรง
ในหมู่มวลประชาราษฎร์และเหนอื ชนชาติอนื่ ๆ ซึง่ อาจใชว้ ธิ กี ารทาศกึ สงครามและการเจริญสมั พนั ธไมตรี (การทตู )
เป็นคาเรยี กขานของสามัญชนในสมัยรตั นโกสินทร์ ส่วนสมยั อยธุ ยา ธนบรุ ีคงใชค้ าวา่ ขนุ หลวง ซึง่
สนั นษิ ฐานว่ามาจากการกร่อนคาจาก ราชการในหลวง คือเปน็ ราชการในกรมกองท่ีเปน็ ส่วนรวมการปกครองทัง้ ประเทศ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลยั พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อยูห่ ัว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ล
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู ัว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจา้ อยู่หวั
วัดอรณุ ราชวรารามราชวรมหาวหิ าร (วัดแจ้ง)
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอาณาจักรไทยต้องเผชิญกับภัย วัฒนธรรมไทยดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ด้านภาษา วรรณกรรม
คกุ คามจากอรริ าชศัตรูจากภายนอกพระมหากษัตริย์ไทย ศิลปกรรม นาฏศิลป์ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและ
มีหนา้ ท่ีเป็นผู้นากองทัพออกไปขับไล่ข้าศึกให้พ้นไปจาก ศาสนา เป็นต้น ล้วนได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจาก
ดินแดนขอบขัณฑสีมาของไทย แต่บางครั้งก็ไม่ได้ทา สถาบนั พระมหากษตั ริย์ วฒั นธรรมไทยบางอย่างเกดิ ข้ึน
สงครามสู้รบ แต่ทรงใช้นโยบายทางการทูตสร้างความ ในราชสานักและแพร่ขยายออกไปสู่ประชาชน ส่ิงใดท่ี
เป็นมติ รไมตรกี บั นานาประเทศ ชาติไทยจึงสามารถดารง พระมหากษัตรยิ ม์ ีบทบาทในการสรา้ งสรรค์ ประชาชนก็
รกั ษาเอกราชของชาตไิ ทยเอาไวไ้ ด้ จะน้อมนาว่าเป็นส่ิงมีคุณค่า และกลายเป็นมรดกท่ี
สาคญั ของชาติ
ในประวัติศาสตร์ไทยมีหลายคร้ังท่ีคนในชาติเกิดความ ศาสนาเป็นแหล่งความเชื่อที่สาคัญในสังคมไทยมาตั้งแต่
แตกแยก แก่งแย่งชิงดีกัน ซึ่งเป็นผลเสียอย่างร้ายแรงต่อ สมยั สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์
ความม่ันคงของชาติ แต่ทุกคร้ังเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ทรงเป็นพุทธมามกะและประชาชนส่วนใหญ่ก็นับถือ
ดังกล่าว สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีบทบาทสาคัญใน พระพทุ ธศาสนา แต่ถึงกระน้ันพระมหากษัตริย์ก็ยังทรง
การเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยให้เกิดการรวมตัวกัน เปน็ องคอ์ ัครศาสนปู ถัมภกทกุ ศาสนาในสังคมไทย
เปน็ น้าหนง่ึ ใจเดยี วกนั เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง
ทรงเปน็ ผู้นากองทพั
- สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกอบกูเ้ อกราชกรงุ ศรีอยุธยา คร้ังที่ ๑ จากพมา่ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๑๒๗
- สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ทรงกอบกูเ้ อกราชกรุงศรอี ยุธยา คร้งั ท่ี ๒ จากพม่า เม่อื ปี พ.ศ. ๒๓๑๐
ทรงดาเนินนโยบายทางการเมอื ง การปกครอง และการตา่ งประเทศ
- สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ทรงเจรญิ สัมพันธไมตรีทางการทูตกับพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ แห่งฝร่ังเศส เพื่อเป็น
การถว่ งดลุ อานาจจากฮอลันดา เพราะขณะนั้นฮอลันดากาลังข่มขคู่ ุกคามไทยโดยการสง่ เรือรบเข้ามาปิดปากแมน่ ้าเจา้ พระยา
- รัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ทรงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญทันสมัยอย่างชาติตะวันตก เพ่ือป้องกันไม่ให้ชาติ
มหาอานาจตะวันตกใชเ้ ป็นขอ้ อ้างเขา้ แทรกแซงและยึดครองเป็นอาณานิคม รวมท้ังยอมเสยี ดนิ แดนบางส่วน
พระมหากษตั ริย์ไทยทรงเปน็ พุทธมามกะ และทรงดารงฐานะเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก คือ ทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนาท่ี
ปวงชนชาวไทยนับถอื นบั ต้ังแต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยทรงทานบุ ารงุ พระพุทธศาสนา ดังน้ี
ทรงสร้างและบรู ณปฏสิ ังขรณ์วดั วาอารม
- รัชกาลท่ี ๓ ทรงสรา้ งและปฏสิ งั ขรณ์วัดวาอารามมากถึง ๕๓ วดั เชน่ วดั พระเชตุพนฯ วัดสุทศั น์ฯ วัดสระเกศ
ทรงปฏิบัติธรรมเพอื่ เป็นแบบอย่างท่ีดขี องประชาชน
- รชั กาลที่ ๔ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลา ๒๗ ปี ตัง้ แต่ยังทรงเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงเป็นผู้นาในการปฏิรูป
พระพทุ ธศาสนา เช่น วางระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ตั้งคณะสงฆน์ ิกายใหม่ คือ ธรรมยตุ กิ นกิ าย
ทรงเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ
- รัชกาลท่ี ๒ ได้ส่งสมณทูตไปลังกาเพ่ือสืบความเป็นไปของพระพุทธศาสนาในลังกา (ศรีลังกา) และทรงฟ้ืนฟู
ประเพณกี ารจดั งานวันวสิ าขบชู าขน้ึ มาอกี ครั้งในปี พ.ศ. ๒๓๖๐
ทรงสร้างสรรค์ศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ
- รัชกาลที่ ๒ เป็นยคุ ทองแหง่ วรรณคดีไทย ทรงพระราชนิพนธ์บทละครอเิ หนา รามเกยี รติ์ เสมาขนุ ชา้ งขนุ แผน
ทรงปรับปรุงวฒั นธรรมและประเพณีไทยทลี่ ้าสมัย
- รัชกาลที่ ๔ ให้ยกเลกิ ประเพณีหมอบคลานเวลาเข้าเฝ้า เปลย่ี นเปน็ การยืนหรอื นงั่ เก้าอแ้ี ทน และโปรดเกล้าฯ ให้
ขนุ นางสวมเสอ้ื เวลาเขา้ เฝ้า อนุญาตใหร้ าษฎรเข้าเฝ้ารอรับเสด็จได้ และเร่มิ ใหม้ เี คร่ืองราชอิสริยาภรณข์ น้ึ เปน็ ครั้งแรก
- รัชกาลท่ี ๕ ให้ปรับปรุงประเพณีการแต่งกายและทรงผม จากผมทรงมหาดไทยให้เป็นแบบรองทรงอย่างฝร่ัง
และสวมใสเ่ สื้อนอกแบบฝร่งั ทีเ่ รียกวา่ เสื้อราชประแตน
ทรงอปุ ถัมภศ์ ลิ ปนิ แขนงตา่ ง ๆ
- สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช มีกวเี อกในราชสานักทม่ี ชี อ่ื เสียงคือ ศรปี ราชญ์ พระมหาราชครู พระโหราธิบดี
- รชั กาลท่ี ๒ ทรงอุปถมั ภ์กวีในราชสานักหลายคน เช่น สนุ ทรภู่ (พระสุนทรโวหาร) พระยาตรัง พระเทพโมลี
ทรงยตุ ปิ ญั หาความขัดแย้งในสังคม
- รชั กาลท่ี ๙ ทรงยุติความขัดแยง้ ทางการเมืองเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ “พฤษภาทมิฬ” ด้วยการเรียกแกนนาทงั้ ๒ ฝั่ง
มาพูดคุยเจรจาเพอื่ หาข้อยตุ ิ
หนา้ ทหี่ ลักของกษตั ริย์คอื การเป็นประมุขของประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ควบคู่ไปพร้อมกัน
ท้งั ด้านการเมอื ง การปกครอง เศรษฐกิจ และสงั คม เพอ่ื เสถียรภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ความสงบสุขของประชาชน
และความเจรญิ รุง่ เรืองของอาณาจักร
ราชวงศพ์ ระร่วงเปน็ ราชวงศเ์ ดยี วที่ปกครองอาณาจักรสโุ ขทัย มกี ษตั รยิ ์ปกครองรวม ๙ พระองค์ ดังนี้
(พ.ศ. ๑๗๘๑-ไม่ปรากฏปี) ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมืองในการปราบขอมสบาด
โขลญลาพง และจงึ ได้สถาปนาอาณาจกั รสุโขทัยขน้ึ พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์พยายามรวบรวมเมืองต่าง ๆ ให้อยู่ในอานาจ ทาให้
อาณาเขตกวา้ งขวางขน้ึ และมีเสถียรภาพทางการเมอื งท่มี น่ั คง
(ไมร่ ากฎปี-พ.ศ. ๑๘๒๒) เปน็ พระราชโอรสองค์โตของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ปกครอง
สโุ ขทัยโดยมพี ระราชอนชุ าคือ พ่อขุนรามคาแหง เปน็ แม่ทัพคนสาคัญ
(พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๔๓) ข้ึนครองราชย์บ้านเมืองสงบและมีอาณาเขต
กวา้ งขวางแลว้ พระองค์จงึ ทรงดาเนนิ พระราโชบายเป็นมิตรกับอาณาจักรต่าง ๆ เช่น พ่อขุนมังรายแห่งล้านนา พ่อขุนงาเมือง
แหง่ พะเยา ซึ่งเปน็ พระสหายสนิท นอกจากนีย้ งั ไดส้ นบั สนุน มะกะโท พระราชบุตรเขยโดยพระราชทานนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว
เปน็ กษัตรยิ ์มอญท่ีเมอื งเมาะตะมะ แตพ่ ระราชกรณียกิจที่สาคญั คอื การประดษิ ฐ์ลายสอื ไทย
(พ.ศ. ๑๘๖๖-ไม่ปรากฏปี) พระราชโอรสองค์โตของพ่อขุนรามคาแหง ในสมัยนี้หัวเมือง
ต่าง ๆ ทีพ่ อ่ ขุนรามคาแหงได้ทรงขยายอานาจนัน้ เริ่มแยกตวั เปน็ อสิ ระ โดยเฉพาะเมอื งทางตอนใตค้ ือ กรุงอโยธยา (อยธุ ยา)
(พ.ศ. ๑๘๘๔-ไมป่ รากฏปี) พระอนุชาของพระยาเลอไทย ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยเกิด
ความแตกแยกแบ่งกนั เปน็ หลายพวก เม่ือพระยางว่ั นาถมุ สวรรคต จงึ เกดิ การชิงราชบัลลังกข์ ึน้
(พ.ศ. ๑๘๙๐-ไม่ปรากฏปี) ทรงปกครองโดยมุ่งทางธรร
มานภุ าพมากกว่าแสนยานภุ าพ ทรงทาไมตรีกบั ล้านนาด้วยการสง่ พระสุมณเถระไปเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาตามที่พระเจ้ากือนา
แห่งล้านนาทรงขอมา ในสมยั นีฐ้ านะทางการเมืองของสุโขทยั ดดู ีขน้ึ กวา่ เดิมมาก
(ไม่ปรากฏปี-พ.ศ. ๑๙๔๒) ในสมัยน้ีสุโขทัยถูกอาณาจักรอยุธยารุกราน
อย่างหนักและไม่อาจตา้ นทานไหว ทาใหต้ อ้ งยอมแพต้ กเปน็ ประเทศราชของอยุธยา
(พ.ศ. ๑๙๔๒-๑๙๖๒) ในสมัยนีส้ ุโขทยั เร่ิมเข้มแข็งแต่ยังคง
มฐี านะเปน็ ประเทศราชของอยุธยาอยู่ เมอ่ื พระมหาธรรมราชาท่ี ๓ สวรรคต ได้เกดิ การชงิ ราชสมบตั ิกนั ระหวา่ งพระราชโอรสคือ
พระยาบาลกบั พระยาราม ทาให้สมเดจ็ พระนครินทราธิราช กษัตริยอ์ ยธุ ยาต้องมาไกล่เกล่ียให้
(พ.ศ. ๑๙๖๒-๑๙๘๑) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พระ
รว่ งเน่อื งจากไม่มีพระราชโอรส เม่ือสวรรคตแลว้ สโุ ขทัยจงึ ถกู อยธุ ยารวมเขา้ เป็นอาณาจกั รเดยี วกัน
วดั มหาธาตุ จงั หวดั สโุ ขทยั
ภาพจาก https://blog.traveloka.com/th/
อาณาจักรอยธุ ยาปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชยห์ รือลัทธิเทวราชาคือ กษัตริย์เป็นสมมติเทพซ่ึงเป็นคติ
ความเชือ่ ของอนิ เดียทอี่ ยุธยารับมาจากเขมร โดยมีพระมหากษัตริย์ปกครอง ๕ ราชวงศ์ คอื ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
ราชวงศ์สุโขทยั ราชวงศป์ ราสาททอง และราชวงศบ์ ้านพลูหลวง รวมทัง้ สน้ิ ๓๓ พระองค์ดังนี้
(พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒) สถาปนากรุงศรอี ยุธยาเป็น
ราชธานีเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ในสมัยนไี้ ดท้ าสงครามชนะเขมรและได้เขมรมาเปน็ ประเทศราช และเริ่มขยายอานาจไปสุโขทยั
(พ.ศ. ๑๙๑๒) ข้ึนครองราชย์ครัง้ ท่ี ๑ ได้ไมน่ าน สมเดจ็ พระบรมราชา (พชี่ ายของ
แม่) ได้ยกทัพมาจากเมืองสพุ รรณบรุ ี จึงไดข้ นึ้ เสวยราชสมบัติแทน แล้วให้สมเดจ็ พระราเมศวรไปปกครองเมืองลพบุรี
(พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑) เป็นแม่ทัพคนสาคัญใน
สมัยพระเจ้าอทู่ อง มศี กั ดเ์ิ ปน็ พช่ี ายของมเหสพี ระเจ้าอ่ทู อง เปน็ ผยู้ กทัพไปทาสงครามชนะสโุ ขทัย และยกทัพไปตีชนะเขมรดว้ ย
(พ.ศ. ๑๙๓๑) พระราชโอรสของสมเดจ็ พระบรมราชาที่ ๑ ข้ึนครองราชย์ได้เพียง ๗ วัน ก็ถูก
สาเร็จโทษโดยสมเดจ็ พระราเมศวรทย่ี กทัพมาจากเมืองลพบรุ ี
(พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๘) ข้ึนครองราชย์คร้ังที่ ๒ ในสมัยนี้ตีได้อาณาจักรกัมพูชาและ
อาณาจกั รล้านนา
(พ.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒) โอรสของสมเด็จพระราเมศวร เม่ือขึ้นครองราชย์ได้ไม่
นานได้เกิดความขดั แยง้ กับขุนนางชน้ั ผู้ใหญ่ ทาใหข้ นุ นางผใู้ หญ่น้ันหนไี ปเมืองปทาคูจาม และภายหลงั ได้ยกไพร่พลเขา้ ยึดกรุงศรี
อยธุ ยาและเชญิ สมเด็จพระอินทราชา (เจา้ นครอินทร์) เจ้าเมืองสุพรรณบรุ ี (พระนัดดาของสมเด็จพระบรมราชาท่ี ๑) มาครอง
กรงุ ศรีอยุธยา และให้สมเดจ็ พระรามราชาไปครองเมืองปทาคูจาม
(พ.ศ. ๑๙๕๒-๑๙๖๗) ในสมัยนี้มีการเจริญ
สมั พนั ธไมตรีกับจีนทาใหม้ พี ่อคา้ ชาวจีนเข้ามาคา้ ขายมากขนึ้ สมเด็จพระนครินทราธิราชมีพระราชโอรส ๓ พระองค์ คอื เจา้ อา้ ย
พระยาครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้าย่ีพระยาครองเมืองแพรก และเจ้าสามพระยาครองเมืองชัยนาท เมื่อสมเด็จนครินทรา ธิราช
สวรรคตกไ็ ดเ้ กิดการแย่งชิงราชสมบัติกันของเจา้ อ้ายพระยากบั เจา้ ยี่พระยา แต่ปรากฏว่าถึงแกพ่ ิราลยั ทัง้ สองพระองค์
(พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑) พระราชโอรสองค์
ที่ ๓ ของสมเดจ็ พระนครินทราธิราช ในสมัยน้ีได้ส่งพระนครอินเจ้า พระโอรสไปตีเมืองนครของขอมและให้อยู่ปกครอง ส่วน
พระโอรสผู้มีตาแหนง่ อุปราชคือพระราเมศวรนั้นให้ไปปกครองเมืองพษิ ณุโลก ซง่ึ มีผลทาใหอ้ านาจของอาณาจักรสุโขทยั สน้ิ สดุ
(พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑) พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่
๒ ก่อนขน้ึ ครองราชย์ไดป้ ระทับอยทู่ ีพ่ ิษณโุ ลกเพ่อื ปกครองหัวเมอื งทางเหนอื ในสมยั นม้ี ีการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ และมี
การทาสงครามกับพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา ทาให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องเสด็จไปประทับที่พิษณุโลก
ตลอดรชั กาล
(พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๐๓๔) พระราชโอรสองค์โตของสมเด็จพระบรมไตร
โลกนาถ ครองราชยไ์ ด้เพยี ง ๓ ปีกเ็ สดจ็ สวรรคต
(พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒) พระอนชุ าของสมเด็จพระบรมราชาธริ าชท่ี ๓
ในสมัยน้ีมีการทาสารบญั ชีทหาร ทาพระราชพิธีถือนา้ พพิ ัฒนส์ ัตยาทกุ หัวเมอื ง ทาตาราพชิ ัยสงคราม สรา้ งมหาสถปู เจดีย์ ๒
องคท์ ีว่ ัดพระศรีสรรเพชญใ์ น พ.ศ. ๒๐๓๕ เพ่ือบรรจุพระบรมธาตุของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระบรม
ราชาธิราชท่ี ๓ และไดเ้ ปดิ สัมพนั ธก์ ับชาติตะวันตกเปน็ คร้งั แรกคือ โปรตเุ กส
(พ.ศ. ๒๐๗๒-๒๐๗๖) พระราชโอรส
ของสมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๒ ในสมยั น้ีมกี ารสร้างมหาสถปู เจดียข์ ้นึ อีกองค์หน่งึ เพอ่ื อทุ ศิ ถวายสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี ๒
(พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๗๗) พระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธริ าช
ที่ ๔ ขนึ้ ครองราชยเ์ ม่อื มพี ระชนมายุเพียง ๔-๕ พรรษา ครองราชยไ์ มน่ านกถ็ กู พระไชยราชายกทัพมาจากเมอื งพิษณุโลกเขา้
จับกุมและสาเรจ็ โทษ
(พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙) ในสมยั น้อี ยธุ ยาได้ทาสงครามกบั พม่าเปน็ ครง้ั
แรกใน พ.ศ. ๒๐๘๑ โดยครอบครวั มอญไดอ้ พยพหนีพมา่ มายังเมืองเชยี งกรานซ่งึ เปน็ เมอื งของอยธุ ยา ทาใหพ้ ระเจ้าตะเบ็งชเวต้ี
แห่งพม่าอา้ งเหตุผลในการทาสงคราม
(พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑) พระราชโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราชซึ่ง
ประสูตจิ ากท้าวศรสี ดุ าจันทร์พระสนมเอก ขึ้นครองราชย์เมือ่ มีพระชนมายุเพียง ๑๑ พรรษา ต่อมาท้าวศรีสดุ าจนั ทรแ์ ละขนุ ว
รวงศาธิราชไดร้ ว่ มมอื กันลอบปลงพระชนมส์ มเดจ็ พระเจา้ ยอดฟา้ และใหข้ นุ วรวงศาธิราชขึ้นครองราชย์แทน ทาใหเ้ กดิ การจราจล
ในอยุธยาโดยมีขุนนางกลุ่มหน่งึ รว่ มมือกันกาจดั ทา้ วศรสี ดุ าจนั ทรแ์ ละขนุ วรวงศาธิราช และไปเชญิ พระเธยี รราชาซงึ่ เป็นพระราช
โอรสของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ ๒ มาเป็นกษตั ริย์
(พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑) พระนามเดิมคือ
พระเธียรราชา มีมเหสีนามวา่ พระศรสี ุริโยทัย และได้สถาปนาขุนพิเรนทรเทพซ่งึ เป็นบคุ คลสาคญั ในการกาจดั ขุนวรวงศาธริ าช
ให้เปน็ พระมหาธรรมราชาครองเมอื งพิษณโุ ลกพร้อมยกพระวิสุทธิกษตั รพี ระธดิ าให้เป็นมเหสี ในสมัยน้ีอยุธยาได้ทาสงครามกบั
พม่า ๓ ครัง้ สงครามคร้งั แรกทาให้เสยี พระศรสี รุ โิ ยทัยซึง่ ปลอมตัวเป็นชายไปชว่ ยรบและถูกพระเจ้าแปรฟนั ด้วยพระแสงของา้ ว
สิ้นพระชนม์บนคอช้าง สงครามครง้ั ที่ ๒ เกดิ จากการท่พี มา่ มาขอชา้ งเผอื กจากอยธุ ยาแตอ่ ยธุ ยาปฏิเสธจงึ เป็นเหตใุ หท้ าสงคราม
ข้นึ ครัง้ นี้อยุธยาเจรจาของสงบศกึ และตอ้ งส่งพระราเมศวรพระราชโอรสองค์โตไปเปน็ องค์ประกนั สงครามครง้ั ที่ ๓ เป็นช่วงท่ี
สมเด็จพระมหาจักรพรรดทิ รงประชวรและสงครามได้ลากยาวไปจนกระท่งั เปน็ การเสียกรงุ ศรีอยธุ ยาครัง้ ที่ ๑
(พ.ศ. ๒๑๑๑-๒๑๑๒) พระราชโอรสองคท์ ีส่ องของสมเดจ็ พระมหา
จักรพรรดิ ในสมยั นีพ้ ม่าได้ยึดเมอื งพิษณโุ ลกซึ่งมพี ระมหาธรรมราชาปกครองอยู่ และไดเ้ ข้ายดึ ครองกรุงศรีอยธุ ยาได้สาเร็จใน
พ.ศ. ๒๑๑๒ พระเจา้ บเุ รงนองได้ราชาภิเษกพระมหาธรรมราชาขนึ้ เปน็ กษตั ริย์ และพระราชทานนาม สมเด็จพระเจ้าสรรเพชญ์
และกวาดต้อนชาวอยธุ ยากลับไปท่พี มา่ เป็นจานวนมากพร้อมกบั สมเดจ็ พระมหินทราธิราชดว้ ย
(พ.ศ. ๒๑๑๒-๒๑๓๓) ในสมัยนพ้ี ระนเรศวรพระราชโอรส
องค์โตของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าชซ่งึ ดารงตาแหนง่ พระมหาอุปราชาได้ประกาศอสิ รภาพจากพม่าใน พ.ศ. ๒๑๒๗ ที่
เมืองแครง ทรงทาสงครามขบั ไลพ่ มา่ ไปได้
(พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) ในสมัยนี้ไดท้ ายุทธหตั ถชี นะพระมหาอรุ าชา
แหง่ พมา่ และเปน็ กษัตริย์ไทยพระองคเ์ ดียวทที่ รงยกทัพไปโจมตพี ม่าได้เมอื งหงสาวดี และไดเ้ ขมรมาเป็นประเทศราช
(พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๕๓) พระอนชุ าของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ในสมยั นี้
แทบไม่มกี ารรกุ รานจากพมา่ ทาใหท้ รงไปสง่ เสรมิ สมั พันธไมตรกี บั ต่างชาตโิ ดยเฉพาะชาวยุโรป ดว้ ยการส่งทตู ไปฮอลนั ดาใน
พ.ศ. ๒๑๕๐ นับเปน็ ทตู ไทยคนแรกทเ่ี ดินทางไปยโุ รป
(พ.ศ. ๒๑๕๓) พระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ แตค่ รองราชยไ์ ด้
ไมน่ านก็ถกู พระศรีสิน พระอนุชาตา่ งพระชนนี ผู้ซงึ่ อยใู่ นสมณเพศได้สมณศักดเิ์ ปน็ พระพิมลธรรม จบั สาเร็จโทษด้วยทอ่ น
จนั ทน์ ณ วดั โคกพระยา พระพิมลธรรมขึน้ ครองราชยท์ รงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรม
(พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๗๑) ทรงสถาปนาอามาตยผ์ ้ทู าความดคี วามชอบมาก
ให้เปน็ เจา้ พระยากลาโหมสุริยวงศ์ ซง่ึ เป็นขุนนางที่มีอานาจมากและมบี ทบาทในภายหลงั ในสมยั นมี้ ีการค้นพบรอยพระพทุ ธ
บาทท่ีเมอื งสระบุรี ทรงพระนิพนธม์ หาชาตคิ าหลวง และสร้างพระไตรปฎิ กฉบบั สมบรู ณ์
(พ.ศ. ๒๑๗๑) พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ครองราชย์ได้
เพยี ง ๗ วัน กส็ าเรจ็ โทษพระศรสี นิ พระอนุชา ณ วดั โคกพระยา ดว้ ยขอ้ หากบฏ ตอ่ มาถกู ยยุ งว่าเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศค์ ดิ
ก่อการกบฏจึงสั่งจับกมุ แต่ไม่สาเร็จ และถกู เจ้าพระยากลาโหมสรุ ิยวงศส์ าเรจ็ โทษ
(พ.ศ. ๒๑๗๑) พระอนชุ าของสมเด็จพระเชษฐาธริ าช ข้นึ ครองราชย์เมื่อมี
พระชนมายุเพยี ง ๙ พรรษา ครองราชยไ์ ดเ้ พียง ๖ เดอื น กถ็ ูกเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศส์ าเรจ็ โทษ
(พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙) ปราบดาภิเษกตนเองขึน้ มาจากเจ้าพระยา
กลาโหมสุริยวงศ์ ในสมยั นไี้ ด้เขมรมาเป็นประเทศราช สร้างปราสาทพระนครหลวงและวดั ไชยวัฒนารามซึ่งเอาแบบมาจากเมือง
พระนครของเขมร ในขณะที่ทรงประชวรหนกั ได้มอบราชสมบตั ใิ หแ้ ก่ เจา้ ฟา้ ชยั พระโอรสท่ีประสูติจากพระสนม
(พ.ศ. ๒๑๙๙) ขนึ้ ครองราชย์ไม่กี่วนั ก็ถูก พระนารายณ์ พระโอรสของสมเดจ็ พระเจา้
ปราสาททองท่ปี ระสูติจากพระราชเทวี รว่ มมอื กับพระศรีสธุ รรมราชาผเู้ ป็นอา จับสาเร็จโทษ ณ วัดโคกพระยา
(พ.ศ. ๒๑๙๙) ครองราชยไ์ ด้เพียง ๒ เดอื น กเ็ กิดกรณีขดั แยง้ กบั พระ
นารายณ์ ทาใหเ้ พระนารายณ์ยึดอานาจและจบั สาเร็จโทษ เหตกุ ารณค์ รงั้ น้ที าใหข้ ุนนางทหารทัง้ สองฝา่ ยล้มตายจานวนมาก
เนื่องจากมีการนาปืนใหญเ่ ขา้ มายงิ ในเขตพระราชวังดว้ ย
(พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) ในสมัยนี้เปน็ ยุคทองของวรรณกรรมไทย
และยังมีการเจริญสมั พันธไมตรกี ับชาตติ ะวนั ตกอยา่ งกวา้ งขวางโดยเฉพาะฝร่งั เศส ซึง่ มกี ารสง่ คณะขุนนางไทยนาโดย พระยา
โกษาธบิ ดี (ปาน) เป็น๕ระทูตไปเข้าเฝา้ พระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ แห่งฝร่งั เศส และยังขนุ นางตา่ งชาตคิ นสาคัญคอื คอนสแตนติน
ฟอลคอน หรอื เจ้าพระยาวิไชเยนทร์ เม่ือสมเดจ็ พระนารายณ์ทรงประชวรหนักอยทู่ ลี่ พบรุ ี พระปีย์ พระโอรสบุญธรรมได้ถกู ขุน
หลวงสรศกั ดจิ์ ับไปประหารชีวติ และเจ้าฟา้ อภัยทศ (เจ้าฟ้าง่อย) พระอนชุ าก็ถูกจับไปสาเรจ็ โทษ
(พ.ศ. ๑๑๓๑-๒๒๔๖) ปราบดาภิเษกขน้ึ เปน็ กษัตรยิ ห์ ลังจากสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต ทรงสถาปนากรมหลวงโยธาทิพ พระขนษิ ฐาของสมเด็จพระนารายณ์เปน็ พระอัครมเหสีฝา่ ยขวา
และกรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาของสมเดจ็ พระนารายณ์เป็นพระอัครมเหสฝี า่ ยซา้ ย ปลายรัชสมัย ขุนหลวงสรศักดซ์ิ ึ่งเปน็
พระมหาอุปราชาได้จับเจา้ ฟา้ ขวญั โอรสท่ีประสูตจิ ากกรมหลวงโยธาทพิ ไปสาเรจ็ โทษ กรมหลวงโยธาเทพจึงใหพ้ ระโอรสคอื เจ้า
ฟา้ ตรสั น้อยเสด็จออกผนวช
(พ.ศ. ๒๒๔๖-๒๒๕๐) กอ่ นสมเด็จพระเพทราชา
จะเสด็จสวรรคต ทรงทราบว่าขุนหลวงสรศกั ด์ไิ ดจ้ บั เจา้ ฟา้ ขวัญสาเรจ็ โทษ จงึ พโิ รธมากและกล่าวมอบราชสมบัตใิ หแ้ กพ่ ระราช
นัดดาคือ เจ้าพระพชิ ยั สุรินทร์ แต่ด้วยความเกรงกลัวบารมขี องขุนหลวงสรศกั ดิ์ เจ้าพระพชิ ยั สรุ นิ ทรจ์ งึ ได้นาเครื่องเบญจราช
กกุธภัณฑไ์ ปมอบใหก้ ับขุนหลวงสรศักด์ิ ในสมยั นไ้ี ดเ้ กิดเหตุฟ้าผา่ ไฟลุกไหม้พระเศยี รมาจนถงึ พระศอของพระมงคลบพิตรจนพระ
เศยี รหัก ปลายรชั สมยั ทรงไมโ่ ปรดเจา้ ฟ้าเพชร จึงมอบราชสมบัตใิ หก้ บั เจ้าฟ้าพร แต่เจา้ ฟ้าพรเกรงว่าจะเกิดความยุง่ ยากขนึ้ จึง
มอบราชสมบตั ใิ หก้ ับเจา้ ฟา้ เพชร
(พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑) ในสมัยน้ีได้ส่งคณะสงฆ์ไปเจริญพุทธ
ศาสนาที่กรุงลังกา เกดิ วรรณกรรมสาคญั คอื กาพยเ์ ห่เรอื ซง่ึ เปน็ พระนพิ นธข์ องเจา้ ฟ้าธรรมาธิเบศร์ฯ (เจ้าฟ้ากุ้ง) กวีคนสาคัญ
ในสมัยอยธุ ยา นอกจากนีเ้ ช้อื พระวงศ์ของเขมรยังหนีมาพง่ึ พระบรมโพธสิ มภาร พวกมอญหนพี มา่ เข้ามาพ่ึงเชน่ กนั ปลายรัชสมัย
เจา้ ฟ้าธรรมาธิเบศร์ฯ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลตอ้ งโทษจากข้อกลา่ วหาว่าเป็นชู้กับเจ้าฟ้าสังวาล พระสนมองค์หนึ่ง จึงถูก
เฆีย่ นจนสิ้นชวี ติ ทง้ั คู่
(พ.ศ. ๒๓๐๑) พระราชโอรสของสมเด็จพระ
เจา้ อยูห่ วั บรมโกศ เมื่อขน้ึ ครองราชย์แล้ว สมเด็จพระเชษฐา เจ้าฟา้ เอกทัศน์ไดม้ าประทับอยู่ ณ พระที่นั่งสุริยาสอมรินทร์ตลอด
สมเด็จพระเจา้ อทุ ุมพรจึงยอมถวายราชสมบัตใิ ห้ แลว้ ทูลลาผนวช ณ วัดประดู่
(พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐) รัชกาลสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ในสมัยน้ีพระเจ้า
อลองพญาแหง่ พมา่ ได้นกทพั มาประชิดเมอื ง ทาใหเ้ จ้าฟ้าอทุ มุ พรต้องลาผนวชมาชว่ ยพระเชษฐารกั ษาพระนคร แต่เมื่อเหตุการณ์
คลค่ี ลายลง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศนม์ ที ่าทไี ม่ไวว้ างใจเจ้าฟา้ อทุ มุ พรอกี เจา้ ฟ้าอุทุมพรจงึ ลาผนวชเป็นครงั้ ที่ ๒ จนปลายรัชสมัยได้
เสยี กรงุ ศรีอยธุ ยาแกพ่ มา่ เปน็ ครงั้ ท่ี ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจา้ มังระได้กวาดตอ้ นผู้คนกลับไปท่พี ม่าเปน็ จานวนมาก
สมัยนม้ี กี ษัตรยิ ป์ กครองเพยี งพระองคเ์ ดยี ว ได้แก่
(พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๒๕) เป็นผกู้ อบก้กู รงุ ศรีอยธุ ยา ครั้งที่ ๒ จากพมา่ ในปี พ.ศ.
๒๓๑๐ และรวบรวมคนไทยท่ีกระจดั กระจายให้มาอยู่รวมกนั เป็นปึกแผ่นทก่ี รงุ ธนบุรี
ปกครองโดยราชวงศจ์ กั รี มกี ษัตรยิ ป์ กครองรวม ๑๐ พระองค์ ดังน้ี
(พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒)
สถาปนากรุงรัตนโกสนิ ทรเ์ ป็นราชธานี ทาสงครามขับไล่พมา่ หลายครงั้ ครง้ั สาคัญคือสงครามเก้าทัพ วางรากฐานการปกครอง
เช่น การตรากฎหมายตราสามดวง และยังสง่ เสรมิ ด้านศาสนาและศลิ ปวัฒนธรรมไทย
(พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗) พระราชโอรสใน
รัชกาลท่ี ๑ ทรงส่งเสรมิ ด้านศลิ ปวัฒนธรรมไทยจนไดช้ อื่ ว่าเป็น ยคุ ทองวรรณคดไี ทย
(พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) พระราชโอรสใน
รัชกาลท่ี ๒ เป็นสมัยท่ีไทยเลิกรบกับพม่า แต่ก็ต้องคอบระวังชาติตะวันตกที่จะเข้ามาคุกคามมากข้ึน มีการทาสงครามกับ
เวียดนามชือ่ วา่ สงครามอนั นมั สยามยทุ ธ ทรงมีความสามารถดา้ นการคา้ โดยการแต่งเรือสาเภาคา้ ขายกับจนี
(พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) พระราชโอรสใน
รัชกาลที่ ๒ เปน็ ผู้วางรากฐานการพฒั นาปรบั ปรงุ ประเทศ เพื่อไม่ให้ต้องตกเป็นอาณานิคมของมหาอานาจชาติตะวันตก เป็น
กษตั ริย์ไทยพระองคแ์ รกทพ่ี ดู ภาษาอังกฤษได้ ในสมยั นี้มีการสนธิสัญญาเบาวร์ งิ กบั องั กฤษ
(พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) พระราชโอรส
ในรชั กาลท่ี ๔ เปน็ สมยั ที่มีการพฒั นาปรับปรุงประเทศอย่างมากหลายอย่าง เช่น การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ การเลิก
ทาส เลกิ ไพร่ การรถไฟ ทาถนน เป็นตน้ และเป็นกษตั รยิ ์ไทยพระองค์แรกทท่ี รงเสดจ็ ประพาสทวีปยุโรป
(พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘) พระราชโอรสใน
รชั กาลท่ี ๕ เป็นผูก้ ่อตั้งกจิ การลกู เสือไทย ต้ังเมอื งจาลองประชาธปิ ไตยชอ่ื ดสุ ิตธานี กาหนดใช้ธงไตรรงค์ เป็นต้น
(พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗) พระราชโอรสใน
รัชกาลท่ี ๕ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุข
(พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๙) พระราช
นัดดาในรัชกาลที่ ๕
(พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๕๕๙)
พระอนชุ าในรัชกาลท่ี ๘ เปน็ ผู้ขบั เคลื่อนโครงการในพระราชดาริเพ่ือช่วยเหลือราษฎรทัว่ ประเทศ ๔,๐๐๐ กวา่ โครงการ
(พ.ศ. ๒๕๕๙-ปัจจุบัน) เป็นพระราช
โอรสในรัชกาลที่ ๙
พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอย่หู วั พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ ัว พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกลา้ เจ้าอยู่หวั
(พ.ศ. ๑๗๓๑-ไม่ปรากฎป)ี
❖ ปฐมกษตั รยิ ์แหง่ ราชวงศ์พระรว่ ง
❖ สถาปนากรงุ สโุ ขทยั เปน็ ราชธานี เมอื่ ปี พ.ศ. ๑๗๙๒
❖ ใช้การปกครองรปู แบบ ปิตรุ าชา (พอ่ ปกครองลูก)
❖ รวบรวมดินแดนหวั เมืองตา่ ง ๆ ก่อตงั้ เป็นอาณาจกั รสุโขทยั
ปติ รุ าชา : ผ้ปู กครองคอื พอ่ ขุน ซึง่ เปรียบเสมอื นพอ่ ทตี่ อ้ งดูแลคมุ้ ครองลกู
(พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๔๑)
❖ กษัตริยอ์ งคท์ ี่ ๓ แหง่ กรงุ สโุ ขทยั
❖ ขยายอาณาจักรสุโขทยั จนมอี าณาเขตกวา้ งขวางทีส่ ุด
❖ ประดิษฐต์ วั อกั ษรไทย (ลายสือไทย) เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖
❖ รับพระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท ลทั ธิลงั กาวงศ์ จากนครศรีธรรมราชมาประดิษฐานที่กรงุ สุโขทัย
❖ ไม่เก็บภาษผี า่ นด่าน (จังกอบ) เพือ่ ดงึ ดูดพ่อคา้ ในและต่างชาติ
❖ สร้างสรดี ภงค์หรอื ทานบพระรว่ ง และตระพัง เพื่อใหม้ นี า้ ใช้
❖ ยอมรบั ระบบบรรณาการ (จิม้ กอ้ ง) กบั จีน
❖ ตง้ั กระดงิ่ หนา้ ประตวู ัง เพ่ือใหป้ ระชาชนมารอ้ งทุกข์
❖ มีความสัมพันธท์ ีด่ ีกับล้านนาและพะเยา
สรดี ภงค์ : เขือ่ นดิน (คนั ดนิ ) สาหรบั ก้นั น้า สรา้ งขน้ึ เพอ่ื ชกั น้าไปใชใ้ นพระราชวังสโุ ขทยั
ตระพงั : สระน้า ขุดเปน็ สระสี่เหลย่ี มขนาดใหญ่ สาหรบั กกั เก็บนา้ ไว้ใชใ้ นฤดูแล้ง
จม้ิ ก้อง : การเจริญราชไมตรดี ้วยการถวายเครอื่ งราชบรรณาการ
(พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๑)
❖ กษตั ริยอ์ งคท์ ี่ ๖ แหง่ กรุงสโุ ขทยั
❖ ใชก้ ารปกครองแบบธรรมราชา
❖ ส่งสมณทตู ไปเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนายังเมืองใกลเ้ คียง
❖ นพิ นธ์ “ไตรภมู พิ ระร่วง”
ธรรมราชา : พระราชาผปู้ ฏิบัตธิ รรม หรอื กษัตริยผ์ มู้ ที ศพธิ ราชธรรม
ไตรภมู พิ ระรว่ ง : วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเลม่ แรกของไทย เพ่ือส่งั สอนให้ประชาชนรู้จักบาปบุญคุณ
โทษ
(พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒)
❖ ปฐมกษตั รยิ แ์ ห่งราชวงศอ์ ทู่ อง
❖ สถาปนากรงุ ศรีอยุธยาเปน็ ราชธานี เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๓
❖ วางรากฐานการปกครองอาณาจกั รอยุธยา อาทิ จตสุ ดมภ์ และลัทธิเทวราชา
จตุสดมภ์ : รูปแบบการปกครองในราชธานีซง่ึ รบั มาจากเขมร แบ่งเป็น ๔ ฝา่ ย ไดแ้ ก่ เวยี ง วัง คลงั นา
ลัทธิเทวราชา : คตคิ วามเชือ่ จากเขมร ดัดแปลงใหเ้ ข้ากบั ฐานะกษัตริย์แบบสโุ ขทยั (ธรรมราชา) ทาให้กษัตริย์
สมัยอยุธยาทรงเปน็ “สมมติเทพ” (เทพที่อวตารมาเกิดเป็นมนุษย์ มีพระราชอานาจสูงสุดในแผ่นดิน เป็นทั้ง
เจา้ ชีวติ และเจ้าแผน่ ดนิ ของประชาชน
(พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑)
❖ กษตั รยิ อ์ งคท์ ี่ ๘ แหง่ กรุงศรีอยุธยา
❖ แตง่ ตั้งอคั รเสนาบดี คอื สมุหนายก และสมุหกลาโหม
❖ ลดอานาจเจา้ นายเชอื้ พระวงศท์ ่ปี กครองเมอื งลกู หลวง โดยเปล่ยี นฐานะเมอื งลกู หลวงเปน็
เมอื งชั้นจตั วา และส่งขนุ นางไปปกครองแทน
❖ กาหนดฐานะหวั เมอื งเปน็ เมอื งช้ันเอก ชน้ั โท และช้ันตรี ตามขนาดและความสาคัญของเมอื ง
❖ ตรากฎมณเฑยี รบาล
❖ ตราพระกาหนดศักดินา
❖ รวมอาณาจกั รสุโขทัยเขา้ เป็นหนึง่ เดียวกบั อาณาจกั รอยุธยา
สมุหนายก : ดูแลฝา่ ยพลเรอื น สมุหกลาโหม : ดูแลฝา่ ยทหาร
กฎมณเฑยี รบาล : กฎระเบยี บภายในราชสานกั วา่ ด้วยการสืบราชสมบตั ิ
พระกาหนดศกั ดินา : การจัดระเบยี บบคุ คลในสงั คม โดยจัดลาดบั ช้ัน กาหนดสิทธแิ ละหน้าทข่ี องบคุ คล ตามศกั ดนิ าของแต่ละบคุ คล
(พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘)
❖ กษัตรยิ ์องค์ที่ ๑๘ แหง่ กรงุ ศรีอยธุ ยา
❖ ประกาศอสิ รภาพจากพมา่ ท่เี มอื งแครง เมอื่ พ.ศ. ๒๑๒๗
❖ ทาศกึ สงครามป้องกนั การรกุ รานของพม่าตลอดรชั สมัย
❖ ชนะในศึกยทุ ธหตั ถี เม่อื พ.ศ. ๒๑๓๕ ต่อพระมหาอปุ ราชา (พมา่ )
❖ ขยายอาณาจักรอยุธยาจนมอี าณาเขตกวา้ งขวางทส่ี ดุ ครอบคลมุ ดินแดนของอาณาจักร
ลา้ นนา ลา้ นชา้ ง และเขมร
กรงุ ศรอี ยธุ ยาเสียเอกราชแกพ่ ม่า คร้งั ที่ ๑ : ใน พ.ศ. ๒๑๑๒ และตกเป็นประเทศราชอยู่นาน ๑๕ ปี จน
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขณะนน้ั ดารงตาแหน่งพระมหาอุปราช ประกาศอิสรภาพ กอบกู้เอกราชให้แก่คน
ไทย
(พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑)
❖ กษัตริยอ์ งค์ท่ี ๒๗ แหง่ กรงุ ศรีอยธุ ยา
❖ สรา้ งสมั พันธก์ ับฝรัง่ เศส เพ่ือถว่ งดุลอานาจกบั ฮอลันดา
❖ ส่งคณะราชทตู ไปเจริญราชไมตรกี ับราชสานกั ฝร่ังเศส
❖ สง่ เสริมพ่อค้าตา่ งชาติใหเ้ ขา้ มาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา
เช่น โปรตเุ กส ฝร่ังเศส ฮอลนั ดา องั กฤษ จนี อินเดยี และอาหรบั
❖ ยุคทองของวรรณกรรมสมัยอยธุ ยา
ถ่วงดุลอานาจฮอลนั ดา : ใน พ.ศ. ๒๒๐๗ ฮอลันดาสง่ เรือรบมาปดิ ปากอา่ วไทย เพ่ือบงั คับให้ไทยทาสัญญา
ทางการค้าและด้านการศาลทฝ่ี า่ ยไทยเสยี เปรียบ
คณะราชทตู : หวั หน้าคณะราชทตู ไทย คือ ออกญาโกษาธบิ ดี (ปาน)
ยคุ ทองของวรรณกรรม : มพี ระศรีมโหสถ พระมหาราชครู และศรปี ราชญ์ ฯลฯ
(พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕)
❖ พระมหากษัตรยิ พ์ ระองค์เดยี วในสมัยกรุงธนบุรี
❖ กอบกเู้ อกราช หลงั กรงุ ศรอี ยุธยาเสยี เอกราชใหพ้ มา่ ครัง้ ที่ ๒
❖ สถาปนากรงุ ธนบรุ ีเปน็ ราชธานี เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๐
❖ รวบรวมคนไทยให้เปน็ ปึกแผน่ หลงั ทรงประกาศอิสรภาพ
❖ ซอื้ ข้าวสารจากพอ่ คา้ ต่างชาติเพอ่ื นามาแจกจ่ายให้ราษฎร และส่งเสรมิ ใหท้ านาปลี ะ ๒ ครง้ั
ส่งเสริมการค้าทางเรอื สาเภากบั พอ่ ค้าชาวจนี และชาตอิ นื่ ๆ
กอบกู้เอกราช : กรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชใหพ้ มา่ ครัง้ ที่ ๒ เมือ่ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ หลังจากนั้น
เพียง ๗ เดอื น พระยาตาก (สิน) ไดน้ ากอบกเู้ อกราชคนื มาได้สาเร็จ เมื่อเดอื นพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐
รวบรวมคนไทย : หลงั เสียกรุงศรีอยุธยา ครง้ั ที่ ๒ คนไทยแตกแยกเปน็ ชุมนุม
(พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒)
❖ ปฐมกษตั รยิ แ์ ห่งราชวงศ์จกั รี ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๕๒
❖ สถาปนากรงุ รตั นโกสินทรเ์ ป็นราชธานี เม่อื พ.ศ. ๒๓๒๕
❖ ทาสงครามขับไลพ่ ม่าตลอดรชั สมัย รวมทัง้ หมด ๗ คร้ัง สงครามครั้งใหญ่และสาคัญที่สดุ คือ
สงครามเกา้ ทัพ
❖ ชาระกฎหมายเดิมใหท้ นั สมยั เรียกวา่ กฎหมายตราสามดวง
❖ ชาระสังคายนาพระไตรปิฎก และออกกฎหมายปกครองสงฆ์
❖ พระราชนพิ นธ์บทละครรามเกยี รต์ิ และอเิ หนา
สงครามเก้าทพั : ใน พ.ศ. ๒๓๒๗ พมา่ ยกทพั มา ๙ ทัพ รวมไพร่พล ๑๔๔,๐๐๐ คน ในขณะทไ่ี ทยกาลงั เพยี ง
๗๐,๐๐๐ คนเศษ แตก่ ็สามารถขับไล่ทัพพมา่ ไปได้
กฎหมายตราสามดวง : ตราพระราชสีห์ (สมุหนายก) ตราพระคชสหี ์ (สมุหกลาโหม) และตราบัวแกว้ (โกษาธบิ ดี)
(พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗)
❖ รชั กาลที่ ๒ แหง่ กรงุ รัตนโกสินทร์ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗
❖ ยคุ ทองของวรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
❖ สร้างพระปรางค์วดั อรุณราชวราราม (วดั แจ้ง)
❖ แกะสลกั บานประตูวิหารวดั สุทศั นเทพวราราม
❖ พระราชนิพนธ์ทานองเพลงบหุ ลันลอยเลือน/บุหลนั ลอยฟ้า
❖ ทาสงครามกับพมา่ เพอ่ื ปอ้ งกันพระราชอาณาเขต พ.ศ. ๒๓๕๔
❖ ตรากฎหมายหา้ มซ้อื ขายและปลูกฝน่ิ และ พรบ.หา้ มสบู ฝิน่
❖ ออกพระราชกาหนดสักเลก
พระราชกาหนดสกั เลก : การเกณฑ์ไพร่เข้ารบั ราชการและเตรยี มพรอ้ มรบั ศึกสงคราม ทาใหก้ ารเกณฑ์แรงงานไพร่มปี ระสทิ ธิมากขึ้น และลดเวลา
รบั ราชการของไพร่จากปลี ะ ๔ เดือน เหลอื เพียงปลี ะ ๓ เดือน
(พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔)
❖ รัชกาลที่ ๓ แหง่ กรงุ รัตนโกสินทร์
❖ ส้ินสดุ สงครามกับพมา่ เนื่องจากพมา่ ถกู อังกฤษคุกคาม
❖ เกดิ กบฏเจา้ อนวุ งศแ์ ห่งเวียงจันทน์ พ.ศ. ๒๓๖๙ และกบฏในเขมร พ.ศ. ๒๓๗๖
และการจราจลแย่งชงิ อานาจในญวน พ.ศ. ๒๓๗๖ หรอื สงครามอนั นมั สยามยุทธ
❖ ดาเนนิ นโยบายปราบปรามฝ่ินอย่างเดด็ ขาด
❖ ปรับปรงุ การจดั เก็บภาษี โดยมตี าแหน่งเจา้ ภาษนี ายอากร
❖ ชานาญดา้ นการค้ากับตา่ งประเทศ (การคา้ ทางเรอื สาเภา)
❖ มีรายไดส้ งู จากการผูกขาดทางการคา้ โดย พระคลงั สนิ คา้
❖ ทาสนธิสญั ญาเบอร์นีกับอังกฤษ ใน พ.ศ. ๒๓๖๙
❖ นาศิลปะจนี มาผสมศิลปะไทย เรียกวา่ แบบพระราชนยิ ม
❖ สรา้ งพระปรางคว์ ัดอรณุ ฯ องค์กลางทสี่ งู และงดงาม
เจ้าภาษนี ายอากร : ให้เอกชนประมูลตาแหน่งเพอ่ื จดั เก็บภาษอี ากรประเภทต่าง ๆ สง่ ให้ทางราชการ
พระคลังสนิ ค้า : หน่วยงานของรัฐท่ที าหนา้ ทีผ่ กู ขาดทางการคา้ กับต่างชาติท่ีตอ้ งการสนิ ค้าไทย
(พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑)
❖ รัชกาลที่ ๔ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์
❖ เปน็ ช่วงเวลาท่บี ้านเมืองเร่มิ ปรบั ตัวเข้าสคู่ วามทันสมยั
❖ มกี ารทาสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในปี พ.ศ. ๒๓๙๘
❖ เปน็ กษตั รยิ ์ไทยพระองคแ์ รกท่พี ดู อ่าน เขียนภาษาองั กฤษได้
❖ คานวณวนั เกิดสรุ ิยุปราคาเต็มดวงที่ตาบลหวา้ กอ (ประจวบฯ)
❖ ก่อต้ังคณะสงฆ์ธรรมยตุ นิ กิ าย
❖ สง่ สมณทตู ไปเผยแพร่พระพทุ ธศาสนาท่ลี ังกา พ.ศ. ๒๓๙๕
❖ โปรดเกลา้ ฯ ให้ปฏสิ ังขรณอ์ งคพ์ ระเจดีย์ นครปฐม พ.ศ. ๒๓๙๖
(พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓)
❖ รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์
❖ ได้รับพระสมญั ญานามวา่ “พระปิยมหาราช”
❖ ปฏริ ปู ประเทศใหท้ ันสมยั ตามแบบชาตติ ะวนั ตก
❖ จัดตัง้ หอรษั ฎากรพพิ ฒั น์ พ.ศ. ๒๔๑๖ และพฒั นาเป็นกรมพระคลังมหาสมบตั ิ พ.ศ. ๒๔๑๘
❖ เริ่มนากิจการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ เชน่ รถไฟ ไฟฟา้ ประปา โทรเลข โทรศพั ท์
❖ เลกิ ทาสและยกเลกิ ระบบไพร่
❖ จัดตัง้ สภาอุณาโลมแดง และโรงพยาบาลวังหลัง (ศริ ริ าช)
❖ จัดตั้งโรงเรยี นหลวงทงั้ ในกรุงเทพฯ และตามหัวเมอื งตา่ ง ๆ
❖ ประพาสยุโรป ๒ คร้ัง เพ่อื เจรญิ สมั พนั ธไมตรีกบั ชาตยิ โุ รป
ปฏริ ปู การปกครอง : สว่ นกลาง ใหม้ ี ๑๒ กระทรวง , ส่วนภมู ิภาค ให้มีมณฑลเทศาภบิ าล ,ส่วนท้องถนิ่ ให้มีสุขาภบิ าล
กฎหมายและการศาล : แยกตลุ าการออกจากฝา่ ยบรหิ าร ยกเลิกการไต่สวนคดแี บบทรมาน และประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายอาญา
หอรษั ฎากรพพิ ฒั น์ : ทาหน้าทีร่ วบรวมเงินรายได้ของแผ่นดนิ ทกุ ชนิดใหร้ วมอยู่ทเี่ ดยี วกัน
กรมพระคลงั มหาสมบตั ิ : ทาหนา้ ท่ีเก็บภาษอี ากร จัดพิมพ์ธนบตั ร จัดทางบประมาณแผน่ ดนิ
โรงเรยี นหลวง : โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก (รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย) , โรงเรยี นวดั มหรรณพาราม
ประพาสยโุ รป : ดาเนินนโยบายเปน็ มิตรกบั มหาอานาจในยโุ รป เพอื่ รกั ษาเอกราชและอธปิ ไตยของชาติ
(พ.ศ. ๒๔๕๓-๒๔๖๘)
❖ รัชกาลท่ี ๖ แห่งกรงุ รตั นโกสินทร์
❖ เปลี่ยนช่อื เรยี กเมอื ง เปน็ จังหวัด เมือ่ พ.ศ. ๒๔๕๖
❖ จัดตงั้ เมืองจาลองประชาธิปไตย “ดสุ ติ ธานี”
❖ จัดตัง้ ธนาคารออมสิน จดั ต้ังกจิ การสหกรณ์ (สหกรณว์ ดั จันทร์)
❖ จัดต้ังจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย และตราพระราชบญั ญตั ปิ ระถมศึกษา (ภาคบังคับ)
❖ จดั ตั้งกองเสือปา่ ใน พ.ศ. ๒๔๕๔
❖ ตราพระราชบญั ญตั นิ ามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๕ และกาหนดใหม้ ีคานาหน้านาม นาย นาง นางสาว
❖ ใหม้ ธี งชาติไทยแบบใหม่ เรยี กวา่ ธงไตรรงค์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐
ดุสติ ธานี : จาลองประชาธิปไตย
วรรณกรรม : โคลงสยามานุสติ เวนิสวาณชิ ศกุนตลา ปลกุ ใจเสอื ป่า ยวิ แหง่ บุรพาทศิ เมอื งไทยจงต่ืนเถดิ
สงครามโลกครงั้ ท่ี ๑ : เขา้ รว่ มสงครามขา้ งฝ่ายสมั พันธมิตร ซ่ึงชนะสงคราม ทาใหไ้ ด้ปรับปรงุ สนธสิ ัญญาตา่ ง ๆ ทีไ่ ทยเสยี เปรียบ
❖ รัชกาลท่ี ๙ แห่งกรงุ รตั นโกสินทร์ ครองราชย์ พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๕๙
❖ ก่อตั้ง “ทนุ มหิดล” และ “ทุนอานนั ทมหิดล”
❖ ฟน้ื ฟพู ระราชพิธจี รดพระนังคลั แรกนาขวัญ พระราชพธิ เี สด็จดาเนินโดยกระบวนพยหุ ยาตราทาง
ชลมารค และสถลมารค
❖ ทรงมุ่งมั่นแกไ้ ขปัญหาความเดือนร้อนและความเป็นอยขู่ องราษฎรจนเกดิ เปน็ “โครงการอนั
เน่ืองมาจากพระราชดาริ” มากกวา่ ๔,๐๐๐ โครงการ
❖ ทรงประดิษฐ์ “กังหนั น้าชัยพฒั นา” จนได้รับสทิ ธบิ ัตร
พระราชโอรสในรชั กาลท่ี ๑ (พ.ศ. ๒๓๓๓-๒๓๙๖)
❖ ดารงตาแหน่งสมเดจ็ พระสงั ฆราช “สกลสังฆปรณิ ายก” ในสมยั รัชกาลที่ ๔
❖ เปน็ นกั ปราชญท์ ีล่ ้าลึกของยุคตน้ รตั นโกสินทร์ (ดา้ นอกั ษรศาสตร์)
❖ ทรงพระนิพนธ์เร่ืองปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ลิลิตตะเลงพ่าย
ลลิ ติ กระบวนพยหุ ยาตราพระกฐินสถลมารคและชลมารค
❖ ทรงคิดแบบพระพุทธรปู ปางตา่ ง ๆ เปน็ จานวน ๓๗ ปาง
❖ ถูกยกยอ่ งใหเ้ ปน็ รัตนกวขี องชาติ
พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๔๖๔)
❖ ดารงตาแหน่งสมเดจ็ พระสงั ฆราช “สกลสังฆปรณิ ายก” ในสมยั รัชกาลท่ี ๕
❖ รอบรูภ้ าษาบาลี สนั สกฤต องั กฤษ และฝร่ังเศส
❖ วางรากฐานการศึกษาพระพทุ ธศาสนาสมยั ใหม่ แนววเิ คราะห์
❖ วางรากฐานการจัดการศึกษาแผนใหม่ (ประถมศึกษา)
❖ ใหพ้ ระสงฆ์เปน็ ครสู อนใหค้ วามรู้วชิ าสามัญแกบ่ ุตรหลานราษฎรในท้องถ่ิน โดยเน้นการ
อ่านออกเขยี นได้ คิดเลขเป็น และอบรมสงั่ สอนหลกั ธรรม
❖ พระราชนิพนธ์หนังสือมากกว่า ๒๐๐ รายการ เช่น หลักสูตรนักธรรมช้ันตรี โท เอก
หลกั สตู รบาลไี วยากรณ์
พระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๑-๒๔๑๔) ตน้ ราชสกุล สนิทวงศ์
❖ นพิ นธต์ าราสรรพคุณยา เป็นตาราสมุนไพรเล่มแรกของไทย
❖ จารึกคาประพันธ์ (โคลงภาพฤาษีดดั ตน) ท่วี ดั พระเชตพุ นฯ
❖ ศกึ ษาวชิ าการแพทยส์ มัยใหม่จากหมอบรดั เลย์
❖ นาความรูก้ ารแพทยแ์ ผนใหม่มาสสู่ งั คมไทย
❖ นพิ นธต์ าราเรยี นภาษาไทยเล่มใหม่ชอ่ื จนิ ดามณี เลม่ ๒
❖ พระนิพนธ์ที่สาคญั คอื โคลงนริ าศพระประธม
❖ เปน็ ประธานในการเจรจาทาสนธสิ ัญญาเบาวร์ ิงกับอังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔
ฤาษีดัดตน : บรรยายการบาบดั โรคและการออกกาลงั กายในทา่ ตา่ ง ๆ จานวน ๕๐ รปู จารกึ บนแผ่นหนิ
การแพทยส์ มยั ใหม่ : อนุญาตใหม้ ีการผ่าตัดและทดลองปลกู ฝีปอ้ งกนั โรคฝดี าษหรือไข้ทรพษิ ใน พ.ศ. ๒๓๘๑
ผลงานดา้ นประวตั ิศาสตร์ : อาทิ จดหมายเหตุเร่งื ทพั เชยี งตุง พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ๑-๓
พระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๔ (พ.ศ. ๒๔๐๑-๒๔๖๖)
❖ มบี ทบาทสาคัญในการต้ังเสนาบดีสภา และรัฐมนตรีสภา
❖ เปน็ ผคู้ ิดคน้ ปฏิทินไทยทใี่ ชต้ ามสุรยิ คตเิ รียกว่า เทวประติทิน
❖ เป็นผู้ปฏบิ ัตริ าชการแทนพระองค์ สมยั รชั กาลท่ี ๖
❖ ดารงตาแหน่งเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ในยุคทีบ่ า้ นเมืองกาลังเผชิญภยั คุกคาม
จากลัทธจิ กั รวรรดินยิ ม
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ : ฝร่งั เศสสง่ เรอื รบ ๒ ลามาปดิ ปากอ่าวไทย เพอ่ื บีบบังคับให้ไทยยอมยกดินแดนฝั่ง
ซา้ ยแมน่ า้ โขง (ลาว) เป็นอาณานิคมของตน
พระราชโอรสในรชั กาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๔๐๖-๒๔๙๐)
❖ มีพระอจั ฉริยภาพทางดา้ นศลิ ปะและงานช่างแขนงตา่ ง ๆ
จิตรกรรม : ภาพมัจฉาชาดกประดบั ฝาผนังหอพระคนั ธารราษฎร์ (วัดพระแกว้ )
สถาปตั ยกรรม : พระอโุ บสถวดั เบญจมบพติ ร
ประติมากรรม : พระพทุ ธรปู ชื่อ พระนพิ พาน ประดิษฐานท่ีวัดราชาธิวาส รูปหล่อโลหะสัมฤทธิ์ แม่พระธรณี
บีบมวยผม ประดษิ ฐานท่ีทอ้ งสนามหลวง
วรรณกรรม : นิพนธ์สงั ขท์ อง อเิ หนา คาวี และสาสน์ สมเด็จ (Ft. กรมพระยาดารงฯ)
ดนตรี : นพิ นธ์เพลงเขมรไทรโยค เพลงมหาชัย เพลงมโหรี ฯลฯ
การละคร : ให้กาเนิดละครดกึ ดาบรรพ์ เป็นละครร้องคล้ายละครโอเปรา
พระราชโอรสในรชั กาลท่ี ๔ (พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๖๘)
❖ เป็นอธิบดกี รมศกึ ษาธกิ าร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ สมัยรัชกาลท่ี ๕
❖ นพิ นธห์ นงั สอื แบบเรยี น “เรยี นเรว็ ” และริเร่มิ โรงเรยี นหลวงท่ัวประเทศ
❖ ดารงตาแหนง่ เสนาบดกี ระทรวงมหาดไทยคนแรก (อยู่ ๒๓ ป)ี
❖ วางรากฐานการปกครองส่วนภูมิภาค “มณฑลเทศาภิบาล”
❖ เป็นผู้นาในการศึกษาประวตั ศิ าสตร์แผนใหม่ตามตะวนั ตก
❖ ไดร้ ับการยกย่องเป็น “บดิ าประวัติศาสตรไ์ ทย”
❖ นิพนธง์ านดา้ นประวตั ศิ าสตร์ โบราณคดี พระพุทธศาสนา และวรรณคดี กวา่ ๑,๐๕๐ เร่อื ง
การศกึ ษา : ปรับปรงุ การจดั การศึกษาใหท้ นั สมยั จดั ทาหลักสตู รท่เี น้นฝกึ คนเข้ารับราชการ
แบบเรยี นเรียนเร็ว : สอนให้เด็กอา่ นภาษาไทยได้คลอ่ งภายใน ๓ เดือน และขยายการศกึ ษาไปสู่สามัญชน
(พ.ศ. ๒๑๗๖-๒๒๔๓)
❖ ราชทตู ไทยในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
❖ หัวหนา้ คณะราชทูตไทยเดินทางไปเจรญิ ราชไมตรีกับราชสานกั ฝรง่ั เศส ใน พ.ศ. ๒๒๒๘
❖ เขา้ เฝา้ พระเจา้ หลยุ ส์ที่ ๑๔ ณ พระราชวงั แวร์ซาย เมอื่ วนั ท่ี ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๙
(พ.ศ. ๒๓๖๒-๒๔๑๐)
❖ เปน็ ล่ามหลวงประจาคณะราชทตู ไทยท่เี ดินทางไปเจรญิ ราชไมตรีกบั ราชสานกั องั กฤษ เมอ่ื
พ.ศ. ๒๔๐๐ สมยั รชั กาลท่ี ๔
❖ ดารงตาแหน่งอธิบดผี พู้ ิพากษาศาลตา่ งประเทศ พ.ศ. ๒๔๐๑
❖ เขยี นหนังสอื นิราศลอนดอน
นิราศลอนดอน : เป็นหนงั สอื ไทยเล่มแรกทม่ี กี ารซือ้ ขายลิขสทิ ธ์ิ
(พ.ศ. ๒๓๕๑-๒๔๒๕)
❖ ดารงตาแหน่งอัครเสนาบดีสมุหพระกลาโหม สมัยรัชกาลที่ ๔
❖ เปน็ ผู้สาเร็จราชการแผน่ ดนิ ในช่วงตน้ รชั กาลท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๖)
❖ เป็น ๑ ใน ๕ ตวั แทนฝ่ายไทยในการเจรจาสนธิสัญญาเบาว์รงิ
(พ.ศ. ๒๔๐๐-๒๔๕๖)
❖ เปน็ เจา้ เมอื งตรงั ใน พ.ศ. ๒๔๓๓
❖ ดารงตาแหน่งสมหุ เทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ใน พ.ศ. ๒๔๕๕
❖ เปน็ ผู้ริเริ่มนาพันธุ์ยางพารามาปลกู ในไทย
❖ อนุญาตให้บริษัทเหมืองแร่ตา่ งชาตเิ ข้ามาทาเหมอื งแร่ดีบกุ เพ่อื นารายได้มาใช้พัฒนาความ
เจริญของทอ้ งถ่ินมณฑลภเู กต็
❖ สร้างถนนขยายความเจรญิ ในพน้ื ท่ีตา่ ง ๆ ในมณฑลภูเก็ต
❖ จัดต้ังโรงเรียนในวัด สง่ บุตรหลานไปเรยี นอังกฤษทีป่ ีนัง
❖ รณรงค์ใหป้ ระชาชนชว่ ยกนั รักษาความสะอาดในท้องถิ่น
ชื่อเตม็ วา่ ซมิ ง เดอ ลา ลูแบร์ (พ.ศ. ๒๑๘๕-๒๒๗๒)
❖ เป็นหวั หน้าคณะราชทตู ฝรงั่ เศส เดนิ ทางมากรุงศรีอยธุ ยา
❖ มาเพอ่ื เจรจาเรอ่ื งศาสนาและการค้า
❖ ขณะที่อาศยั อย่กู รุงศรีอยุธยา ไดส้ งั เกตสิง่ ทีพ่ บเห็นและบันทึกเพือ่ กลบั ไปรายงานราชสานกั
ของพระเจ้าหลยุ สท์ ี่ ๑๔
❖ บันทกึ ของลาลแู บร์กลายเปน็ หลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ทมี่ คี ุณคา่ ตอ่ การศึกษาประวัติ
ศาสตรไ์ ทยสมยั อยุธยา
จดหมายเหตลุ าลูแบร์ : บันทกึ เร่ืองราวและสิ่งต่าง ๆ เกีย่ วกับอาณาจกั รอยธุ ยาในสมัยพระนารายณม์ หาราช
ชื่อเต็มวา่ ฌงั บัปติสต์ ปาลเลอกัวซ์ (พ.ศ. ๒๓๔๘-๒๔๐๕) ชาวฝรงั่ เศส
❖ เดินทางเข้ามาเผยแพร่ครสิ ต์ศาสนา ใน พ.ศ. ๒๓๗๒
❖ มคี วามรคู้ วามชานาญในการถา่ ยรปู และชบุ โลหะ
❖ เปน็ ผู้นา กลอ้ งถา่ ยรูป เขา้ มาในไทย ใน พ.ศ. ๒๓๘๘
❖ เขียนหนังสอื เร่อื งเลา่ กรุงสยาม
❖ เขียนหนงั สอื พจนานุกรม ๔ ภาษาเล่มแรกของไทยชื่อว่า สพั ะ พะจะนะ พาสา ไท
❖ นาพระราชสาส์นของรชั กาลท่ี ๔ ไปถวายสมเดจ็ พระสันตะปาปา (ปิอุสที่ ๙)
ณ สานกั วาตกิ ัน ใน พ.ศ. ๒๓๙๕
เรอื่ งเลา่ กรุงสยาม : เป็นหนังสืออธิบายเรอื่ งราวเก่ยี วกับเมอื งไทย เพอื่ ใหช้ นชาติยโุ รปมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ
ประเทศไทยอยา่ งถูกตอ้ ง
ชื่อเต็มวา่ ดร. แดน บีช บรัดเลย์ (พ.ศ. ๒๓๔๗-๒๔๑๖) ชาวอเมรกิ นั
❖ เดินทางมาเผยแพร่คริสตศ์ าสนา ใน พ.ศ. ๒๓๗๘
❖ เปน็ ผูน้ าวชิ าการแพทยแ์ ผนใหมม่ าเผยแพรใ่ นไทย
❖ เป็นผรู้ เิ ร่ิมกจิ การโรงพมิ พ์ในไทย
❖ เปน็ คนแรกทนี่ าแท่นพิมพภ์ าษาไทยเข้ามาในไทย พ.ศ. ๒๓๗๙
❖ เปน็ ผอู้ อกหนงั สือพิมพเ์ ลม่ แรก “Bangkok Recorder”
แพทย์แผนใหม่ : ผา่ ตัดรักษาคนไข้ และปลกู ฝีป้องกันโรคฝดี าษหรือไขท้ รพษิ
Bangkok Recorder : หนังสอื พิมพร์ ายปักษ์ เล่มแรกในไทย
โรงพิมพ์ : พิมพ์ประกาศห้ามสูบฝ่ิน พ.ศ. ๒๓๘๒ จานวน ๙,๐๐๐ ฉบับ พมิ พ์หนังสอื นิราศลอนดอน และสามก๊ก
(พ.ศ. ๒๔๒๘-๒๕๑๕) ชาวอเมริกนั
❖ เป็นผเู้ ช่ยี วชาญทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮารว์ าร์ด
❖ รับราชการในตาแหน่งท่ีปรกึ ษากระทรวงการตา่ งประเทศ
❖ เจรจาแกไ้ ขสนธสิ ญั ญาทฝี่ า่ ยไทยเสยี เปรียบ ใน พ.ศ. ๒๔๖๗
❖ เปน็ ผรู้ า่ งรฐั ธรรมนญู ฉบับแรก พ.ศ. ๒๔๖๙ แต่ไมไ่ ด้นาไปใช้
ชือ่ เดมิ ว่า คอรร์ าโด เฟโรจี (พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๕๐๕) ชาวอติ าลี
❖ เปน็ ผวู้ างรากฐานการศึกษาศลิ ปะสมัยใหมแ่ บบชาติตะวันตก
❖ เปน็ ผ้รู ว่ มก่อตงั้ โรงเรยี นประณีตศิลปกรรม ปัจจุบนั ยกฐานะเป็นมหาวทิ ยาลัยศิลปากร
และเปน็ คณบดคี นแรก
❖ คตธิ รรม “ศลิ ปะยนื ยาว ชวี ติ สัน้ ”
❖ ออกแบบ-ปั้นอนุสาวรยี ์และพระพทุ ธรปู
ประตมิ ากรรม :
พระบรมอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประดิษฐานทเี่ ชิงสะพานพุทธ
พระบรมราชานสุ าวรีย์สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช ประดิษฐานที่วงเวียนใหญ่
พระบรมราชานุสาวรียพ์ ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานบรเิ วณหน้าสวนลุมพนิ ี
อนุสาวรยี ท์ า้ วสรุ นารี จังหวัดนครราชสีมา
พระพุทธรูปปางลลี า พระศรีศากยทศพลญาณ ประดิษฐานที่พทุ ธมณฑล จงั หวดั นครปฐม
พระบรมราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ประดิษฐานทีอ่ นุสรณ์ดอนเจดยี ์ จังหวดั สุพรรณบรุ ี
อนุสาวรยี ์ชยั สมรภมู ิ
อนุสาวรีย์ประชาธปิ ไตย
ยูเนสโก ย่อมาจาก องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ (United Nations Education,
Scientific and Cultural Organization – UNESCO) ซงึ่ ไทยได้เขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ เมอื่ วนั ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๒
โดยองค์การยเู นสโกจะมีการพิจารณามอบรางวัลยกย่องให้บคุ คลสาคัญของประเทศสมาชิก
ฉลองวนั ประสตู คิ รบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวันประสตู ิครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๒๐๐ พรรษา
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ดั ตวิ งศ์ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
๒๑ มถิ นุ ายน ๒๕๐๕ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๖ ๒๔ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๑๑
ดา้ นวฒั นธรรม ดา้ นวฒั นธรรม
ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวันเกิดครบ ๒๐๐ พรรษา
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่)
๑ มกราคม ๒๕๒๔ ๒๖ มถิ ุนายน ๒๕๒๙
ด้านวฒั นธรรม ด้านวฒั นธรรม
ฉลองวนั เกดิ ครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั ประสตู ิครบ ๒๐๐ พรรษา ฉลองวันประสูติครบ ๑๐๐ พรรษา
พระยาอนมุ านราชธน สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื นราธปิ พงศป์ ระพนั ธ์
๑๔ ธนั วาคม ๒๕๓๑ ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๓๓ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๔
ด้านวฒั นธรรม ดา้ นวฒั นธรรม ด้านวฒั นธรรม
ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวันพระราชสมภพครบ ๕๐ พรรษา
สมเดจ็ พระมหติ ลาธเิ บศร์อดลุ ยเดชวกิ รมฯ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชฯ
๑ มกราคม ๒๕๓๕ ๙ มิถนุ ายน ๒๕๓๙
ด้านการศกึ ษา ด้านวฒั นธรรม
การแพทย์ การศึกษา
ฉลองวันพระราชสมภพครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวันเกิดครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๑๕๐ พรรษา
สมเดจ็ พระศรพี ชั รินทราบรมราชชนนี (หลวงประดษิ ฐม์ นธู รรม) ปรดี ี พนมยงค์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
๒๑ ตลุ าคม ๒๕๔๓
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๔๖
ดา้ นการศกึ ษา พฒั นามนษุ ย์ และส่ิงแวดลอ้ ม ดา้ นสนั ตภิ าพ เสรีภาพ ประชาธปิ ไตย ด้านการศกึ ษา วัฒนธรรม การพัฒนาสงั คม
ฉลองวันประสตู ิครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๒๐๐ พรรษา ฉลองวันเกดิ ครบ ๑๐๐ พรรษา
หม่อมหลวงปนิ่ มาลากลุ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กหุ ลาบ สายประดษิ ฐ์ (ศรบี รู พา)
๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๗
ด้านการศกึ ษา ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๘
วัฒนธรรม วัฒนธรรม ด้านนกั เขยี น
นกั หนงั สอื พมิ พ์
ฉลองวนั ชาตกาลครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวันประสตู ิครบ ๒๐๐ พรรษา
พุทธทาสภกิ ขุ พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงศาธริ าชสนทิ
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๑
ดา้ นการศกึ ษา ด้านวรรณกรรม
ศาสนา
วัฒนธรรม การแพทย์
ตา่ งประเทศ
ฉลองวันเกดิ ครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั ชาตกาลครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๑๕๐ พรรษา
ครูเออ้ื สนุ ทรสนาน หม่อมราชวงศค์ กึ ฤทธ์ิ ปราโมช สมเดจ็ พระศรสี วรินทริ าบรมราชเทวี พระพนั วสาอยั ยกิ าเจา้
๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔
ดา้ นวฒั นธรรม ดา้ นการศกึ ษา ๑๐ กันยายน ๒๕๕๕
ดนตรสี ากล วฒั นธรรม ด้านการศกึ ษา
สื่อสารมวลชน วฒั นธรรม
ฉลองวันเกดิ ครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๑๐๐ พรรษา
หมอ่ มหลวงบุญเหลอื เทพยสวุ รรณ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
๒๐ เมษายน ๒๕๕๗
๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ดา้ นการศกึ ษา วัฒนธรรม
ด้านการศกึ ษา สังคมศาสตร์
ภาษา สนั ตภิ าพ
ฉลองวนั พระราชสมภพครบ ๑๕๐ พรรษา ฉลองวันชาตกาลครบ ๑๐๐ พรรษา ฉลองวนั เกดิ ครบ ๑๐๐ พรรษา
สมเดจ็ พระศรสี วรินทริ าบรมราชเทวี พระพันวสาอยั ยกิ าเจา้ หม่อมงามจติ ต์ บุรฉตั ร ปว๋ ย อ้ึงภากรณ์
๗ มิถนุ ายน ๒๕๕๘
๑ มกราคม ๒๕๕๖ ด้านสงั คมสงเคราะห์ ๙ มนี าคม ๒๕๕๙
ด้านการศกึ ษา วัฒนธรรม ด้านการศกึ ษา
วัฒนธรรม สังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์
ฉลองวนั ชาตกาลครบ ๑๕๐ พรรษา ฉลองวนั เกิดครบ ๑๐๐ พรรษา
เจา้ พระยาพระเสดจ็ สเุ รนทราธบิ ดี (เปยี มาลากลุ ) กาพล วัชรพล
๑๖ เมษายน ๒๕๕๙ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒
ดา้ นการศกึ ษา วัฒนธรรม ดา้ นสอ่ื สารมวลชน การศกึ ษา
ตอนท่ี ๑ ให้นกั เรียนยกตวั อย่างเหตุการณ์ทถ่ี ือวา่ เป็นบทบาทของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ทมี่ ตี อ่ ชาตไิ ทย
มาดา้ นละ ๑ เหตุการณ์ และตอบคาถามต่อไปน้ี
ตัวอยา่ ง ด้านการดารงรักษาเอกราช : สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอสิ รภาพจากพม่า
๑. ด้านการดารงรกั ษาเอกราช : ....................................................................................................................
๒. ดา้ นการสร้างสรรคว์ ฒั นธรรมไทย : .........................................................................................................
๓. ด้านการเปน็ ศูนย์กลางของคนในชาติ : ......................................................................................................
๔. ด้านการทานบุ ารงุ ศาสนา : .....................................................................................................................
คาถาม นักเรยี นคดิ วา่ สถาบนั พระมหากษตั ริย์มีความสาคญั ต่อการพฒั นาชาตไิ ทยอยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ตอนท่ี ๒ ให้นักเรียนระบพุ ระนามพระมหากษัตริย์ไทยท่ีไดร้ บั พระราชสมญั ญานามว่า “มหาราช” ในแตล่ ะสมัยใน
ชอ่ งว่าง และตอบคาถาม
๑) ................................................................................................
๑) ................................................................................................
๒) ................................................................................................
๑) ................................................................................................
๑) ................................................................................................
๒) ................................................................................................
๓) ................................................................................................
คาถาม มหาราชพระองค์ใดทน่ี ักเรียนช่ืนชอบมากท่สี ุด เพราะเหตุใด
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ตอนที่ ๓ ใหน้ ักเรียนนาปี พ.ศ. ท่ีกาหนดให้ไปใส่หนา้ เหตกุ ารณ์สาคัญทางประวัติศาสตร์ทีส่ มั พนั ธ์กัน
๑๘๙๓ ๑๙๙๘ ๒๐๐๖ ๒๐๘๑ ๒๐๙๒
๒๑๑๒ ๒๑๒๗ ๒๑๓๕ ๒๒๐๗ ๒๒๒๙
พ.ศ. .................... สงครามครงั้ แรกระหว่างอยุธยากบั พม่า
พ.ศ. .................... ราชทตู ไทยเข้าเฝา้ พระเจ้าหลุยสท์ ่ี ๑๔ แหง่ ฝรง่ั เศส
พ.ศ. .................... สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงทาสงครามยุทธหตั ถีกับพระมหาอุปราชแหง่ กรุงหงสาวดี
พ.ศ. .................... สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงเรม่ิ ปฏริ ปู การปกครอง
พ.ศ. .................... สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) สถาปนาอาณาจกั รอยุธยา
พ.ศ. .................... ฮอลนั ดาสง่ เรอื รบมาปิดอ่าวไท
พ.ศ. .................... เสยี กรุงศรอี ยธุ ยา คร้ังที่ ๑
พ.ศ. .................... สมเดจ็ พระสรุ โิ ยทยั ทรงทายทุ ธหตั ถเี พอื่ ปกปอ้ งสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ
พ.ศ. .................... สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงทาสงครามประกาศอิรภาพทีเ่ มอื งแครง
พ.ศ. .................... อาณาจักรสโุ ขทยั ถกู ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึง่ ของอาณาจักรอยุธยา
ตอนที่ ๔ ให้นักเรยี นอา่ นพระราชกรณียกจิ ทีก่ าหนดให้ แล้วบอกวา่ เปน็ ของพระมหากษัตริย์พระองคใ์ ด
พระราชกรณียกจิ พระนามพระมหากษตั รยิ ์
สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช
๑. ผู้ขับไล่พม่าหลังเสยี กรุงศรีอยธุ ยา คร้งั ท่ี ๒ และทรงสถาปนากรงุ ธนบุรีเปน็ ราชธานี
๒. ทรงรับพระพุทธศาสนาลทั ธิลังกาวงศจ์ ากนครศรธี รรมราชมาประดิษฐานทสี่ โุ ขทัย พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช
๓. พระราชนิพนธ์แปลเรือ่ ง นายอินทรผ์ ู้ปิดทองหลงั พระ ติโต (Tito) รัชกาลท่ี ๙
๔.ทรงเจริญสมั พนั ธไมตรกี ับพระเจา้ หลุยส์ที่ ๑๔ แหง่ ฝรงั่ เศส
๕. ทรงเขา้ ร่วมพนั ธมิตรและสง่ ทหารเข้ารว่ มในสงครามโลกครั้งที่ ๑ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
๖. ทรงเช่ยี วชาญการค้าสาเภากับจีน และเก็บสะสมเงนิ ถงุ แดง รัชกาลท่ี ๖
๗. ผู้ประกาศอิสรภาพจากพมา่ และชนะในศึกยทุ ธหัตถใี น พ.ศ. ๒๑๓๕ รัชกาลท่ี ๓
๘. พระราชนพิ นธไ์ ตรภมู ิพระรว่ ง วา่ ดว้ ยเร่อื งนรก-สวรรค์
๙. ทรงวางรากฐานการปกครองในแบบจตุสดมภ์ และสมมตเิ ทพ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
๑๐. ผนู้ าการเปลี่ยนแปลงการแตง่ กายแบบตะวันตก เรียกวา่ ชุดราชปะแตน พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลไิ ทย)
พระเจ้าอูท่ อง
รชั กาลที่ ๕
ตอนท่ี ๕ ใหน้ กั เรยี นอ่านพระราชกรณียกจิ แล้วใส่เคร่ืองหมาย ✓ ในช่องวา่ งให้สมั พันธก์ ัน
พระราชกรณยี กจิ ร.๑ ร.๒ ร.๓ ร.๔
๑. ทรงให้ขุดคลองรอบเมือง เช่น คลองบางลาพู คลองโอ่งอ่าง เพื่อให้ประชาชนได้สัญจรไปมา ✓
สะดวก และเป็นท่ีแลน่ เรอื เลน่ สกั วาในฤดนู า้ หลาก
๒. ทรงเก็บเงินท่ีเหลือใช้จ่าบไว้ในถุงแดงเป็นจานวนมาก โดยมีพระราชประสงค์ให้เป็นทุน ✓
สารองไว้ใชส้ อยยามคับขนั
๓. ทรงมพี ระปรชี าสามารถในการพระราชนิพนธ์วรรณกรรมประเภทตา่ ง ๆ เชน่ บทละครเรื่อง ✓
อเิ หนา กาพยเ์ ห่ชมเคร่ืองคาวหวาน เปน็ ต้น
๔. ทรงนาวชิ าการและวิทยาการสมยั ใหม่มาใช้ เช่น การใช้เงินเหรียญ การตั้งโรงพิมพ์ ✓
๕. ทรงให้มีการลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับประเทศอังกฤษ เรียกว่า ✓
“สนธิสัญญาเบอรน์ ีย์” ✓
๖. ทรงริเริ่มส่ิงใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง เช่น ให้ขุนนางข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า
ทรงด่ืมน้าสาบานในพระราชพิธถี อื น้าพพิ ัฒนส์ ตั ยา
๗. ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ชาระกฎหมายที่มอี ยู่เดิมทง้ั หมดขน้ึ ใหม่ เรียกวา่ “กฎหมายตราสามดวง” ✓
๘. ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินในเอเชียพระองค์แรกที่ทรงใช้ภาษาอังกฤษได้ดี และเป็นกุญแจสู่ ✓
ความรูอ้ ื่น ๆ ของพระองค์ ✓
๙. ทรงมพี ระปรีชาสามารถทางด้านการปั้นและการแกะสลักหลายอย่าง โดยทรงแกะสลักบาน ✓
ประตูพระวหิ ารวดั สุทัศนฯ์
๑๐. ทรงมีพระปรีชาสามารถในการค้าขายกับต่างประเทศโดยเฉพาะจีน จนได้รับพระราช
สมญั ญาว่า “เจ้าสวั ”
ตอนที่ ๖ ให้นกั เรียนพจิ ารณาเหตุการณแ์ ละเตมิ คาตอบตามประเดน็ ท่ีกาหนดให้
๑. เขยี วทาธรุ กิจเลีย้ งปลาในกระชัง แต่ประสบปญั หาน้าเน่าเสียและปลาตายเป็นจานวนมาก
โครงการพระราชดาริทีใ่ ชใ้ นการแก้ปัญหา : ..................................................................................................
ผลต่อสังคมไทย : ......................................................................................................................................
๒. แก้วมีที่ดนิ ขนาดเลก็ จนตอ้ งเชา่ ทีด่ นิ ผู้อื่นในการทาเกษตรกรรม แตก่ ย็ งั ไม่เพยี งพอและมหี น้สี นิ มากมาย
โครงการพระราชดาริท่ใี ช้ในการแกป้ ญั หา : ..................................................................................................
ผลตอ่ สังคมไทย : ......................................................................................................................................
๓. สมนกึ เปน็ ชาวบ้านอาศยั อยใู่ นเขตพน้ื ที่สงู ซึ่งมปี ัญหานา้ ป่าไหลหลากและหน้าดนิ พงั ทลายอยูเ่ สมอ
โครงการพระราชดาริที่ใช้ในการแกป้ ัญหา : ..................................................................................................
ผลตอ่ สังคมไทย : ......................................................................................................................................
ตอนท่ี ๗ ใหน้ กั เรียนจบั คู่พระนามและเหตกุ ารณส์ าคญั ให้สอดคลอ้ งกนั
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงวงษาธริ าชสนทิ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ
๑. พระนพิ นธล์ ลิ ิตตะเลงพา่ ย :
.................................................................................................................................................................
๒. เป็นผ้คู ิดค้นปฏทิ นิ เทวะประติทนิ :
…………………………………………………...........................................................................................................
๓. ริเรม่ิ จดั ตั้งโรงเรียนหลวงทว่ั ประเทศ :
……………………………………………………........................................................................................................
๔. ทรงเรม่ิ การจัดการศกึ ษาในวดั แก่ประชาชน :
……………………………………………………………….............................................................................................
๕. ทรงแต่งหนงั สือจนิ ดามณีเล่ม ๒ :
………………………………………………..............................................................................................................
๖. ออกแบบสร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรฯ :
……………………………………………………………….............................................................................................
ตอนท่ี ๘ ให้นกั เรยี นให้นกั เรยี นจับคชู่ อื่ และฉายาของขนุ นางและชาวตา่ งประเทศตอ่ ไปนี้
ผู้สาเรจ็ ราชการฯ แทนรัชกาลท่ี ๕ ๏ ๏ พระยากัลยาณไมตรี
ราชทูตแหง่ กรุงศรอี ยธุ ยา ๏ ๏ หม่อมราโชทยั
๏ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ที่ปรกึ ษาด้านการตา่ งประเทศของไทย ๏ ๏ หมอบรัดเลย์
ผ้บู นั ทึกเรือ่ งราวกรุงศรอี ยุธยา ๏ ๏ ออกญาโกษาธบิ ดี (ปาน)
นกั พัฒนาแหง่ หัวเมอื งปักษใ์ ต้ ๏ ๏ บาทหลวงปาลเลอกวั ซ์
ผบู้ กุ เบกิ ศลิ ปะไทยสมัยใหม่ ๏ ๏ ศ.ศลิ ป์ พีระศรี
ล่ามหลวงแหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ๏ ๏ พระยารษั ฎานปุ ระดิษฐ์มหศิ รภักดี
๏ ลาลแู บร์
ผเู้ ผยแพร่ครสิ ตศ์ าสนาสกู่ รงุ สยาม ๏
ผบู้ กุ เบกิ ดา้ นการพิมพแ์ หง่ สยาม ๏
ตอนท่ี ๙ ให้นกั เรียนพิจารณาขอ้ ความ วงกลมลอ้ มรอบคาตอบท่ถี กู ต้องและนามาเตมิ ในชอ่ งว่าง
พ ร ระ ย รา กั ล ย รา ณ ไ ม ต รี ก
ค ง ล รา ลู แ บ ร์ ฟ อ ล ค อ น รา
จ ช่ ว ง บุ น น รา ค บ รั ด เ ล ย์
สั พ ระ พ ระ จ ระ น ระ พ รา ส รา ไ ท
บ นิ ร รา ศ ล อนด อน กขคป
ก รา ร ร ศิ ล ป์ พี ร ระ ศ รี ก ข ลู
พิ ม พ์ รา ห ม่ อ ม ร รา โ ช ทั ย ก
บ รา ง ก อ ก รี ค อ ร์ เ ด อ ร์ ฝี
อ อ ก ญ รา โ ก ษ รา ธิ บ ดี ป รา น
๑. เปน็ หนังสือพมิ พฉ์ บบั แรกของสยาม :
.................................................................................................................................................................
๒. พชื เศรษฐกิจท่ปี ลูกโดยคอซิมบี้ ณ ระนอง :
.................................................................................................................................................................
๓. พจนานุกรม ๔ ภาษาเลม่ แรกของไทย :
.................................................................................................................................................................
๔. ผูบ้ นั ทึกเร่ืองราวในสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช :
.................................................................................................................................................................
๕. ผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองค์ในสมยั รัชกาลท่ี ๕ :
.................................................................................................................................................................
๖. ล่ามหลวงประคณะทูตไทยไปเจริญสมั พนั ธไมตรีกับองั กฤษในสมยั รชั กาลที่ ๔ :
.................................................................................................................................................................
๗. หนงั สือเลม่ แรกทีถ่ ูกซอ้ื ขายลิขสทิ ธใ์ิ นประเทศไทย :
.................................................................................................................................................................
๘. หวั หน้าคณะทูตอยุธยาไปเจรญิ สมั พนั ธไมตรีกับฝรง่ั เศสในสมยั พระเจา้ หลยุ สท์ ่ี ๑๔ :
.................................................................................................................................................................
๙. เปน็ ผแู้ ทนรัฐบาลสยามในการเจรจาสนธิสญั ญาไทย-สหรัฐอเมรกิ า ใน พ.ศ. ๒๔๖๓ :
.................................................................................................................................................................
๑๐. เปน็ ผู้วางรากฐานให้แกว่ งการศลิ ปะไทยสมยั ใหม่ :
.................................................................................................................................................................
ตอนที่ ๑๐ ใหน้ ักเรยี นสืบคน้ ขอ้ มูลของบุคคลสาคัญที่นกั เรียนสนใจ แล้วนามาบนั ทกึ พร้อมตดิ รปู ภาพ
(ตดิ ภาพ ๗*๕ ซม.) ๑. ช่ือ....................................................................................................
ทีม่ าของข้อมูล.....................................................................................
๒. ประวัติโดยสังเขป................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
.............................................................................................................
๓. ผลงานสาคัญ.........................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๔. บทบาทสาคัญทีม่ ีตอ่ ประเทศไทย..............................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๕. แบบอยา่ งท่ีไดจ้ ากการสบื ค้นขอ้ มลู ของบคุ คลสาคัญ......................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
พระบรมมหาราชวงั
ภาพ https://travel.mthai.com
ภาระงาน กาหนดวันสง่ งาน
๑. แบ่งกลมุ่ นักเรียนจัดปา้ ยนเิ ทศเกี่ยวกบั บุคคลสาคญั ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทยท่ีสนใจ
๒. แบ่งกล่มุ นกั เรียนแสดงละครบทบาทสมมติตามลักษณะของบคุ คลสาคญั ใน
ประวตั ิศาสตร์ไทยที่ครกู าหนดให้
๑. นกั เรียนคดิ วา่ พระมหากษตั ริยไ์ ทยทรงมบี ทบาทสาคญั ในการพฒั นาชาตไิ ทยอยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๒. นักเรยี นไดแ้ ง่คดิ หรอื มมุ มองอะไรบา้ งจากการทไ่ี ดศ้ กึ ษาผลงานของบคุ คลสาคญั ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๓. นักเรยี นสามารถนาแบบอยา่ งความดขี องบคุ คลสาคญั ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทยไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ไดอ้ ยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๔. นกั เรยี นคดิ วา่ หากประเทศไทยไมม่ กี ษตั รยิ ห์ รอื บคุ คลสาคญั ตา่ ง ๆ ประเทศไทยทกุ วนั น้จี ะเปน็ อยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๕. ถ้าตอ้ งการเปน็ บคุ คลสาคญั ในประวตั ศิ าสตรไ์ ทย นกั เรยี นจะตอ้ งคดิ และปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ส๔.๓ ม.๔-๖/๓ วิเคราะห์ปจั จยั ที่สง่ เสรมิ การสรา้ งสรรคภ์ ูมิปญั ญาไทยและวฒั นธรรมไทย ซ่ึงมีผลตอ่
ส๔.๓ ม.๔-๖/๕ สังคมไทยในยคุ ปจั จบุ นั
วางแผนกาหนดแนวทางและการมีส่วนรว่ มการอนรุ กั ษภ์ มู ปิ ญั ญาไทยและวฒั นธรรมไทย
ผังมโนทศั น์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๔
หนว่ ยที่ ๔ ภมู ิปัญญาไทยกบั วฒั นธรรมไทย
ส๔.๓ ม.๔-๖/๓ วเิ คราะห์ปจั จยั ที่สง่ เสรมิ การสร้างสรรค์ภมู ิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย ซ่ึงมีผลตอ่ สังคมไทยในยคุ ปจั จบุ นั
ส๔.๓ ม.๔-๖/๕ วางแผนกาหนดแนวทางและการมสี ว่ นร่วมการอนรุ กั ษภ์ ูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทย
คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนเลอื กคาตอบที่ถูกต้องทสี่ ดุ เพียงคาตอบเดียว
๑. ขอ้ ใดเปน็ ลักษณะของภมู ปิ ญั ญาไทย ๖. วรรณกรรมเรอื่ งรามเกยี รตไิ์ ดร้ บั แบบอย่างมาจากวรรณกรรมเรอื่ ง
ก. เก่ียวข้องกบั ทอ้ งถน่ิ โดยเฉพาะ ใดของอนิ เดยี
ข. เปน็ ความร้คู วามสามารถและทักษะทใี่ ช้แกป้ ัญหาชวี ิต ก. อิเหนา
ค. เปน็ สิง่ ทมี่ ีอยแู่ ล้วในธรรมชาตแิ ลว้ นามาพฒั นา ข. จินดามณี
ง. เปน็ สิง่ ท่ไี ด้รบั อิทธิพลมาจากต่างชาติแลว้ นามาผสมกบั ไทย ค. มหากาพยร์ ามายณะ
ง. มหากาพยม์ หาภารตะ
๒. วฒั นธรรมทางวตั ถเุ กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งใด
ก. วิถีชวี ิตของหมคู่ ณะ ๗. แนวคดิ ทวี่ า่ กษตั รยิ เ์ ปน็ สมมตเิ ทพเปน็ แนวคดิ ทไี่ ทยรบั อทิ ธิพลมา
ข. ความเชอ่ื ทางศาสนา จากขอ้ ใด
ค. เครอื่ งมอื เครอ่ื งใช้ในการดาเนนิ ชวี ิต ก. ลัทธิขงจ๊ือ
ง. สัญลักษณท์ ใี่ ชส้ ือ่ ความหมายให้เข้าใจกัน ข. ศาสนาชนิ โต
ค. พระพทุ ธศาสนา
๓. ภูมปิ ญั ญาทเี่ ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะพน้ื ทใี่ ดพนื้ ทหี่ นงึ่ เรียกวา่ ง. ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู
ภูมิปญั ญาในขอ้ ใด
๘. รชั กาลที่ ๓ ทรงนาศลิ ปะจนี เขา้ มาผสมผสานในงานกอ่ สรา้ ง โดย
ก. ภูมิปญั ญาท้องถ่ิน เห็นตวั อยา่ งไดจ้ ากทใ่ี ด
ข. ภูมปิ ญั ญาชุมชน
ค. ภมู ิปัญญาหลวง ก. พระอโุ บสถวัดราชโอรสาราม
ง. ภูมิปัญญาชาติ ข. พระวิหารวัดสุทศั นเทพวราราม
ค. พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
๔. พธิ ีจรดพระนงั คลั แรกนาขวญั เกย่ี วขอ้ งกบั สาสนาใด ง. โลหะปราสาทวดั ราชนัดดาราม
ก. ศาสนาครสิ ต์
ข. ศาสนาอสิ ลาม ๙. ระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นยิ มทาให้สงั คมไทยเปน็ อยา่ งไร
ค. พระพุทธศาสนา ก. เป็นสังคมแห่งการแขง่ ขนั
ง. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ข. เป็นสงั คมทพ่ี ึ่งพาอาศัยกนั
ค. เป็นสงั คมท่ีชว่ ยเหลือเกอื้ กลู กัน
๕. ศิลปกรรมของไทยสว่ นใหญเ่ กย่ี วขอ้ งกบั เรอื่ งใด ง. ไม่มขี อ้ ถกู
ก. ศาสนา
ข. การศึกษา ๑๐. ผู้ทรงภมู ปิ ัญญา เป็นความหมายของบคุ คลตอ่ ไปนยี้ กเวน้ ขอ้ ใด
ค. วรรณกรรม ก. ปัญญาชน
ง. การเมอื งการปกครอง ข. คนดศี รีสงั คม
ค. ศลิ ปนิ แห่งชาติ
ง. ครูภมู ปิ ัญญาไทย
ภมู ปิ ญั ญา (Wisdom) หมายถงึ ความรูค้ วามสามารถท่ีบรรพบุรุษไดส้ ่ังสมมาจากการเรยี นรู้ คน้ ควา้ ทดลอง
ปฏิบตั ิจริง และพฒั นาปรบั ปรงุ จนสามารถรวบรวมความรนู้ ัน้ ๆ ใหเ้ ป็นระบบแบบแผน โดยยึดถอื ปฏบิ ัติถา่ ยทอดสบื ต่อกนั
มาไมข่ าดสาย เพ่อื พัฒนาวิถีชีวติ ให้สามารถอยู่รอดและสอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มทางภูมปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ วฒั นธรรม
ประเพณี ความเชอ่ื วิถีชีวติ ความเปน็ อยใู่ นสังคมหรือชุมชนหนง่ึ ๆ
ภมู ิปญั ญา คอื ความรู้ เพอ่ื ไว้ปรบั ตวั และ มกี ารสบื ทอดตอ่ กนั มา จนเปน็ มรดกทาง
ความสามารถ ดารงชวี ติ ใหอ้ ยรู่ อด ช้านาน ปญั ญาของมนษุ ย์
วฒั นธรรม (Culture) หมายถงึ วถิ กี ารดาเนนิ ชวี ิตของคนในสงั คม นบั ต้ังแตว่ ิธีกนิ วิธีอยู่ วิธแี ตง่ กาย วิธีทางาน
วธิ พี กั ผ่อน วธิ แี สดงอารมณ์ วธิ ีสือ่ ความ วธิ ีจราจรและขนส่ง วิธอี ยรู่ ่วมกนั เป็นหมู่คณะ เป็นตน้ และหลกั เกณฑ์การดาเนิน
ชวี ิต โดยแนวทางการแสดงออกถงึ วิถชี ีวิตน้นั อาจเริม่ มาจากกล่มุ คนท่ีทาเปน็ แบบอยา่ ง แล้วตอ่ มาคนสว่ นใหญ่ก็ปฏิบัตติ าม
สืบตอ่ กันมา วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลงไดต้ ามเงอื่ นไขและกาลเวลาเมอ่ื มีส่งิ ใหม่ ๆ เกดิ ข้ึนและตอบสนองความตอ้ งของสงั คม
ได้ดกี วา่ ซึ่งอาจทาให้ค่านิยมของสงั คมเปล่ยี นไปและในทส่ี ดุ อาจเลิกใชว้ ัฒนธรรมเดิม ดงั นน้ั การรักษาวัฒนธรรมเดมิ จึงตอ้ งมี
การปรบั ปรงุ หรือพัฒนาวฒั นธรรมให้เหมาะสมกับยคุ สมยั
วัฒนธรรม วถิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ เปล่ียนแปลงได้ วฒั นธรรมเดมิ ถกู เลิกใช้
ของคนในสงั คม เมอื่ มสี งิ่ ใหม่ ๆ วฒั นธรรมเดมิ ปรบั ปรงุ /พฒั นา
เกิดขนึ้
ภูมิปัญญาและวฒั นธรรมมที ่ีมาจากท้ังประสบการณ์ในพน้ื ที่ จากอทิ ธพิ ลภายนอก และท่ีผลติ ใหม่หรือผลิตซ้า
ด้วยจุดประสงคเ์ พ่อื ใชแ้ กป้ ัญหาหรอื ใหส้ ามารถปรบั ตวั สอดคล้องกบั ความจาเป็นและความเปลีย่ นแปลงตา่ ง ๆ จึงสามารถสรปุ
ถงึ บ่อเกดิ ของภมู ิปัญญาและวัฒนธรรมได้ ดงั นี้
ความจาเปน็ พน้ื ฐานในชวี ติ : เปน็ ความสามารถในการปรบั ตวั เช่น การสร้างทอ่ี ยู่ตามสภาพ
ภูมศิ าสตร์ การนาวัสดใุ กลต้ วั มาทาเครื่องหอ่ หมุ้ ร่างกาย
สาเหตขุ องการ ความเชอื่ /สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ : มาจากการท่มี นษุ ยไ์ มส่ ามารถอธบิ ายปรากฎการณ์ของธรรมชาตไิ ด้
เกดิ ภมู ปิ ญั ญา การประกอบอาชพี จงึ ทาใหย้ กปรากฎการณน์ ั้นเปน็ สง่ิ ศักด์สิ ิทธเิ์ หนอื ธรรมชาติ
และวฒั นธรรม อารมณส์ นุ ทรยี ์ : เร่มิ จากการเอาชีวิตรอดของมนษุ ย์ จึงตอ้ งมกี ารคดิ ค้นสรา้ งอาวธุ
เคร่อื งมอื เครอื่ งใชใ้ ห้มปี ระสทิ ธภิ าพเพ่ือขนึ้ ไปเรอ่ื ย ๆ ตามความจาเปน็
: เม่ือมนุษยม์ ีความเปน็ อยู่ทดี่ ขี ึ้น จึงเร่มิ มีการแสดงออกทางดา้ นศลิ ปะ
โดยอาจใชป้ ระกอบพธิ กี รรมหรือเล่าประสบการณต์ ่าง ๆ
อทิ ธพิ ลจากภายนอก : เปน็ การแลกเปลยี่ นถา่ ยทอดจากกล่มุ หน่งึ ไปสู่กลมุ่ หน่ึง ซึง่ มีสาเหตมุ า
จากการตดิ ต่อคา้ ขาย การอพยพโยกยา้ ย การสมรส การสงคราม
ภมู ิปญั ญาไทยแบง่ ได้ ๓ ประเภท ดังน้ี
๑) ภูมิปญั ญาชาวบา้ นหรือภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เปน็ ภมู ิปัญญาเฉพาะทอ้ งถิน่ หน่ึง ๆ ท่ีมีเอกลกั ษณ์เฉพาะตัว เชน่
การถนอมอาหาร การประกอบอาชีพ เปน็ ต้น
๒) ภมู ิปญั ญาชาติ เปน็ ความรทู้ ่ีเปน็ ท่ียอมรบั โดยท่ัวไป สามารถนาไปใช้แกป้ ญั หาไดใ้ นทุกท้องถน่ิ เช่น การปลกู
บ้านใตถ้ ุนสงู การทอผา้ ไหม การใชพ้ ชื สมุนไพร
๓) ภมู ิปญั ญาหลวง เป็นสง่ิ ท่มี ีวตั ถปุ ระสงค์เพ่อื เอกภาพความมัน่ คงแห่งกษัตริย์ สว่ นมากมักรับอิทธพิ ลมาจาก
พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เช่น ตาราพิชัยสงคราม ตาราขนบธรรมเนียมพระราชพิธี
ภมู ิปัญญาไทยสามารถจาแนกตามลักษณะไดเ้ ปน็ ๒ กลุ่มกวา้ ง ๆ คอื อาคารบา้ นเรอื น
คตคิ วามเชอ่ื อาหาร
โลกทศั นด์ า้ นจกั รวาล เครือ่ งมอื เครอื่ งใช้
โลกทศั นด์ า้ นพระพทุ ธฯ พาหนะ
ขอ้ หา้ มและขอ้ ปฏบิ ตั ิ งานฝมี อื
รูปเคารพ
คอื ความรอบรู้ที่เป็นเรื่องของความเชื่อ ค่านิยม ท่ถี า่ ยทอดจากคนรุ่นหนง่ึ ไปสู่คนอกี รุ่นหนงึ่ อาจมสี าเหตมุ าจาก
ประสบการณห์ รือเพ่ือป้องกนั ไม่ให้เกิดเหตรุ า้ ยแรง ภยั พิบัตติ ่าง ๆ ไดแ้ ก่
๑) คตคิ วามเชอ่ื เกีย่ วกบั ธรรมชาตแิ ละเหนือธรรมชาตแิ บบสงั คมเกษตร เชน่ ผฟี ้าพญาแถน (ฝน) แมโ่ พสพ (ขา้ ว)
๒) โลกทศั นด์ ้านจกั รวาล มาจากอทิ ธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดทู ีว่ า่ พระพรหมเป็นผูส้ รา้ งโลก
๓) โลกทศั นด์ า้ นพระพทุ ธศาสนา คอื ความเชือ่ ในเรือ่ งของบญุ กรรม การเวียนว่ายตายเกิด
๔) ขอ้ หา้ มและขอ้ ปฏบิ ตั ิ บญั ญตั ิถงึ ขอ้ ห้ามและขอ้ พึงกระทาในทกุ ช่วงชวี ิต ซึง่ หากไมป่ ฏบิ ัติตามจะเกิดผลรา้ ยแรง
คอื การนาคตคิ วามเชอื่ ซ่ึงเป็นนามธรรม มารงั สรรค์สง่ิ ทมี่ รี ูปรา่ งเพอ่ื เป็นแกนปฏบิ ัตใิ นการบูชา เช่น
๑) อาคารบา้ นเรอื น สร้างจากวสั ดุท่ีมีอยใู่ นทอ้ งถ่นิ สอดคลอ้ งกบั สภาพภมู ิประเทศ เชน่ เรอื นไทยยกใตถ้ ุนสูง
๒) อาหาร ท่สี าคัญคือ การผลติ ข้าวและนามาบรโิ ภค การถนอมอาหาร และการทาอาหารทเ่ี หมาะกับสภาพพน้ื ท่ี
๓) เครื่องมอื เครอ่ื งใช้ การนาวสั ดุในท้องถนิ่ มาแปรรปู เพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ เชน่ เครื่องจักสาน เครอ่ื งน่งุ หม่
๔) พาหนะ การหาเครื่องผอ่ นแรง เชน่ ม้า วัว ควาย การเทยี มเกวียน แพ เรือ ท่มี รี ูปทรงเฉพาะตามแต่ละพืน้ ท่ี
๕) งานฝมี อื มีความประณตี สวยงาม เชน่ การแกะสลัก งานปัน้ งานหล่อ ทอผ้า ร้อยพวงมาลัย เป็นต้น
๖) รปู เคารพ คอื สัญลักษณ์ศกั ด์ิสิทธ์ิทส่ี ร้างเพ่อื เคารพบูชาและประกอบพธิ ีกรรม