เรมิ่ จากการเลอื กทาเลท่ีต้องอยู่ใกล้แหล่งน้าเพราะเป็นแหล่งอาหารและเป็นเส้นทางคมนาคม โดยสมัยก่อนบริเวณ
หน้าบ้านจะอยู่ทางด้านที่ติดกับแม่น้าลาคลอง แต่ในยุคปัจจุบันหน้าบ้านจะเปลี่ยนมาอยู่ด้านท่ีติดกับถนน เพราะเส้นทาง
คมนาคมไดเ้ ปลยี่ นจากแม่น้าลาคลองมาเป็นถนนนั่นเอง ส่วนตวั เรอื นบ้านแบบไทยน้นั แบ่งได้ ๒ ประเภท ดงั น้ี
เปน็ เรือนท่ีสร้างจากวัสดทุ หี่ าไดง้ ่ายตามทอ้ งถิ่นทว่ั ไทย เชน่ ไมไ้ ผ่ หวาย ใบตองตงึ
ใบจาก ฝมี ือการสร้างไมใ่ คร่ประณตี นกั ใชไ้ ม้ไผ่หรือหวายผูกรดั ส่วนต่าง ๆ เขา้ เปน็
ตวั เรอื น แล้วจงึ ใชใ้ บตองตงึ หรอื ใบจากมามงุ หลงั คา เช่น กระตอ๊ บ เพิง เถียงนา หรือ
หา้ งนา โดยในสมยั ก่อนมกั เป็นทอ่ี ยูข่ องชนช้ันไพรห่ รือทาส
เรียกอีกช่อื วา่ เรือนฝากระดาน/ฝาปะกน เปน็ เรือนทีพ่ ฒั นามาจากเรือนเครื่องผูก
แต่ใชไ้ ม้จริงหรอื ไมเ้ น้ือแข็งทมี่ คี วามมนั่ คงแข็งแรงในการสรา้ งเสาเรอื น สว่ นฝาเรือน
เปน็ ไม้ประดิษฐเ์ ปน็ แผงเรยี กว่า แผงปะกน ผูท้ ี่สามารถครอบครองเรือนเครอื่ งสบั ได้
มักเปน็ ผมู้ ีฐานะดี หรือมตี าแหนง่ ทางสงั คม เช่น ขนุ นาง เจ้านาย
ข้าวเปน็ อาหารหลักของคนไทยและมคี วามสาคัญเชือ่ มโยงไปถงึ ความเชอื่ และขนบธรรมเนียมประเพณี
๑. พธิ ีกรรมเกี่ยวกับการปลกู ข้าว เชน่ พระราชพธิ ีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีแรกนา พิธีเล้ียงตาแฮก
พิธแี ฮกนา พิธีทาขวัญข้าว พธิ ไี ลน่ า้ พธิ ีรับขวญั ขา้ ว พธิ ีเผาซังข้าว (ธานยเทาะห์)
๒. ความเช่อื เรื่องบูชาแม่โพสพ ไดแ้ ก่ พธิ ที าขวัญข้าว และพิธีรบั ขวัญข้าว
๓. ประเพณเี ก่ียวกับการขอฝน เช่น แห่นางแมว แหป่ ลา แห่พระเจา้ ฝนแสนหา่ บญุ บ้งั ไฟ เตา้ นางแมว
วฒั นธรรมการบรโิ ภคที่สาคญั คอื งานขันโตก วัฒนธรรมการบริโภคทสี่ าคญั คอื สตั วเ์ ล็ก ปลา
อาหาร : นา้ พริกออ่ ง น้าพรกิ หนุม่ ไส้อ่ัว แกงฮังเล อาหาร : ลาบก้อย-พลา่ ปลาร้าสับ สม้ ตา อาหารญวน
ขนมจีนน้าเงี้ยว ขา้ วซอย แคบหมู นา้ ปู๋ ถ่ัวเน่า ข้าวค่ัว ปลาจ่อม มะกอก สม้ มะขาม ข้าวค่วั
วฒั นธรรมการบริโภคที่สาคัญคอื ข้าว ปลา ผกั วัฒนธรรมการบรโิ ภคต่างกันตามคา่ นยิ มแตล่ ะกลมุ่
อาหาร : นา้ พรกิ กะปิ ต้มยา แกงเลยี ง แกงเขยี วหวาน อาหาร : แกงเหลือง แกงไตปลา คัว่ กลิง้ ข้าวยา ไกท่ อด
แกงเผด็ แกงมัสมน่ั แกงกะหร่ี ก๋วยเตย๋ี ว
ผ้าไทยเป็นมรดกทางภมู ิปัญญาทีเ่ ปีย่ มด้วยศลิ ป์ในการถ่ายทอดสืบตอ่ กันมาซึง่ มีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์
ประจากลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ และนอกจากนผ้ี า้ ยังเปน็ สง่ิ แสดงชนช้นั ฐานะของผู้ใส่ได้อกี ดว้ ย โดยผา้ จาแนกตามเทคนคิ การผลิตได้ ดังนี้
๑. ทอขดั ท่สี าคัญคือ ผา้ ขาวม้า กลุ่มคนท่ีใชเ้ ทคนคิ น้คี อื ไทยวน ไทลื้อ ไททรงดา ผไู้ ทย กูย
๒. มัดหม่ี เปน็ เทคนคิ การทอผ้าท่มี ีมานาน กลุม่ คนทีใ่ ชเ้ ทคนิคน้คี อื ผไู้ ทย กยู ลัวะ กะเหรยี่ ง ไทคร่งั ไทพวน ไทลอ้ื
๓. ขดิ เปน็ การสรา้ งลวดลายขณะทอผ้าบนก่ี กล่มุ คนทใ่ี ช้เทคนิคนค้ี ือ ผไู้ ทย กูย ไทคร่ัง ไทยวน ไทล้ือ
๔. จก เป็นการทอลวดลายสาหรบั เปน็ เชิงซิน่ (ตนี ซิน่ ) นิยมใช้ไหมทอเปน็ แพรวา กลุ่มคนทีใ่ ชเ้ ทคนคิ นีค้ อื ไทยวน
๕. ยก เทคนคิ คลา้ ยการขิดและสอดเสน้ ด้ายพเิ ศษ เกิดเปน็ ผ้ายกทอง ยกเงิน และยกมกุ
๖. เกาะ/ล้วง เป็นเทคนคิ ทอผ้าของกลมุ่ ไทลือ้ เช่น ผ้าลายน้าไหลของจงั หวัดน่าน
๗. การควบเส้น เช่น ผา้ หางกระรอก กลุ่มคนทใี่ ชเ้ ทคนิคนคี้ ือ ผไู้ ทย กยู ไทยวน
สีแดง ได้จาก คร่งั รากยอ ดอกคาฝอย สีม่วง ไดจ้ าก ผลหว้าสุก
สีเหลอื ง ได้จาก แก่นขนนุ แก่นแกแล ขมิ้น สีชมพู ไดจ้ าก เปลือกตน้ ฝาง-ต้นมหากาฬ
สีน้าเงนิ ได้จาก ต้นคราม ตน้ หอ้ ม สีสม้ ไดจ้ าก เมล็ดคาแสด ก้านดอกกรรณิการ์
สดี า ได้จาก ผลมะเกลือ ผลกระจาย เปลอื กต้นสมอ สนี ้าตาล ได้จาก เปลือกไมโ้ กงกาง
สีเขียว ได้จาก ใบหูกวาง รากมะพูด เปลือกกะหูด
ความรดู้ า้ นการแพทยข์ องไทยมพี ื้นฐานมาจากแพทย์ของอินเดีย นอกจากนี้ยังมีผสมผสานความเชื่อทางไสยศาสตร์
ศาสนาท่ีมอี ยูใ่ นชวี ติ ของชาวไทยด้วย เชน่ การราผฟี า้ หรอื ข้อหา้ มตา่ ง ๆ สาหรับหญิงตงั้ ครรภ์จนถงึ คลอด
เป็นหลกั ฐานทางโบราณคดสี มัยทวารวดี ใช้เปน็ ทบ่ี ดยาหรอื ธญั พืช
เป็นสถานทส่ี าหรับรักษาอาการเจบ็ ปว่ ย สร้างข้ึนในสมยั พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗
ในสมัยสโุ ขทยั เปน็ การบวงสรวงเซ่นสังเวยตอ่ ภูตผปี ีศาจเพือ่ สะเดาะเคราะหแ์ ทนผูป้ ่วย
มีจารึกความรดู้ า้ นหมอนวด ฤาษดี ดั ตน วธิ ีการและตารายาไทย ไว้ทวี่ ัดพระเชตพุ นฯ (วัดโพธ์ิ)
ใหต้ รวจสอบและบันทึกยาตารบั หลวง คอื ตาราพระโอสถ และตาราในโรงพระโอสถ
ช่วงปลาย แพทย์แผนตะวนั ตกเรมิ่ เข้ามาในไทย
(๑) รักษาโรคเกยี่ วกบั ระบบทางเดนิ อาหาร ได้แก่ ท้องอดื คลนื่ ไสอ้ าเจยี น ปวดทอ้ ง ท้องเสีย โรคกระเพาะ ริดสีดวง
สมนุ ไพรทใ่ี ช้ เช่น ขา่ ขิง ตะไคร้ พรกิ ไทย แตงกวา พริกขห้ี นู มะพรา้ ว ฟกั ลาไย ทับทมิ มะขามป้อม
(๒) รักษาโรคเกย่ี วกบั ระบบทางเดนิ หายใจ ไดแ้ ก่ เจบ็ คอ หลอดลมอกั เสบ ไอกรน ไขห้ วดั
สมนุ ไพรทใ่ี ช้ เชน่ ทบั ทมิ ทานตะวัน มะเขอื ยาว โหระพา ขงิ สม้ โอ ตะไคร้ มะขามป้อม
(๓) รักษาโรคเกยี่ วกบั ทางเดนิ ปัสสาวะและระบบสบื พนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ ขบั ปสั สาวะ นิ่ว อัณฑะอกั เสบ ไส้เลอ่ื น ปวดท้องน้อย
สมนุ ไพรทใ่ี ช้ เช่น ขิง ขา่ พริกไทย กระเจี๊ยบแดง แตงกวา ทานตะวัน ทบั ทมิ ฟัก มะพร้าว ลาไย
(๔) รกั ษาแผลและโรคผวิ หนงั ได้แก่ บาดแผลสด แผลบวมอกั เสบ แผลไฟไหม้ น้าร้อนลวก ผ่นื คัน กลากเกล้ือน เทา้ เปอื่ ย
สมนุ ไพรทีใ่ ช้ เชน่ ขิง ทับทมิ ทานตะวนั มะขามปอ้ ม ลาไย มะเขือยาว พริกไทย โหระพา ฟัก ผกั บงุ้ ทะเล เดือย
(๕) แก้ปวด ได้แก่ ปวดฟัน ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเอว
สมุนไพรที่ใช้ เช่น ข่า ขงิ เดือย มะขามปอ้ ม ฟกั พรกิ ขหี้ นู ตะไคร้ ผักบุ้งทะเล มะเขือยาว
ในสมัยสุโขทัยมีผลงานดา้ นภูมิปญั ญาไทยหลายอย่างท่แี สดงถงึ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของคนไทย เช่น
เน่ืองจากสภาพของดนิ แดนสโุ ขทัยสว่ นใหญเ่ ป็นดนิ ทรายทไี่ มอ่ ้มุ น้า ทาใหเ้ กดิ ปัญหา
การขาดแคลนน้าในการเพาะปลูก ชาวสุโขทยั จึงมกี ารสร้างระบบชลประทานเพอื่ เกบ็ น้าไว้ใช้
๑. สรดี ภงค์/ทานบพระรว่ ง เปน็ แนวคนั ดินเป็นอ่างเก็บนา้ ขนาดใหญ่คลา้ ยเขื่อน
๒. ตระพงั เปน็ สระเก็บน้า
ศิลาแลงเป็นดนิ ทจ่ี ะกลายสภาพเปน็ หนิ สแี ดงทม่ี ีสภาพแข็งและมีลักษณะพรุน โดย
ชาวสุโขทัยรจู้ กั สกดั เอาศิลาแลงเป็นแผ่น ๆ มาเรยี งซ้อนกนั เป็นผนังของสถานทีหรือบางคร้ังก็
นามาปนั้ เปน็ พระพทุ ธรปู
ชาวสโุ ขทัยมีใชด้ ินเหนยี วและดนิ ขาวมาปน้ั เปน็ เครอ่ื งปน้ั ดินเผา แล้วนายางไม้บาง
ชนดิ มาผลิตเปน็ น้ายาเคลือบภาชนะใหด้ ูสวยงาม จากนนั้ นาเขา้ เตาเผาท่ีสามารถระบายความ
ร้อนไดค้ อื เตาทเุ รยี ง ออกมาเป็นภาชนะทสี่ วยงามและขน้ึ ช่อื ของสโุ ขทัยเรียกวา่ เคร่ืองสงั คโลก
โดยนยิ มเผาในฤดฝู นเพราะความช้นื ทาให้เครอื่ งเคลอื บมสี เี ขยี วไขก่ าสวยงาม
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ได้นาหลักสอนในพระพุทธศาสนามาเป็น
เคร่ืองมือในการปลูกฝังศีลธรรมของคนในสังคมคือวรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง เป็น
เร่ืองราวเก่ยี วกับนรก สวรรค์ ซง่ึ นามาสอนให้คนยึดทาแตค่ วามดแี ละเกรงกลวั ต่อการทาบาป
พ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงดัดแปลงตัวหนังสือขอม มอญ และน่าจะมีการรับ
อิทธิพลมาจากลังกาและอนิ เดยี ดว้ ย จนเกิดออกมาเป็น “ลายสือไทย” ซ่ึงเป็นตัวอักษรของคน
ไทย โดยมวี ิวัฒนาการตามยคุ สมัยต่อมาจนกลายเป็นภาษาไทยทีใ่ ชก้ ันในปัจจุบัน
สงั คมไทยในสมยั อยธุ ยามีความเชือ่ วา่ พระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นเทพเจ้าตามคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูซ่ึง
รับมาจากเขมร (เขมรรับมาจากอนิ เดีย) โดยไทยเรียกว่าสมมตเิ ทพ คอื พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปรยี บเสมอื นองคพ์ ระศวิ ะหรอื พระ
วิษณุที่อวตารลงมาเกิดเพ่ือคุ้มครองมนุษย์ ดังนั้นเพ่ือความศักดิ์สิทธ์ิดังกล่าวจึงต้องมีวิธีการและกฎเกณฑ์เพ่ือแสดงให้เห็นว่า
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพเจา้ จรงิ เชน่ การประทบั สูงกว่าคนอื่นและไมป่ ระทับร่วมกบั บคุ คลทวั่ ไป การสร้างพระราชวังเป็นท่ี
ประทับและมพี ธิ กี รรมต่าง ๆ การใช้คาราชาศัพท์ และการบงั คบั ใช้กฎมณเฑียรบาล เป็นต้น
ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เพ่ือไม่ให้ผู้คนกระจัดกระจายกันออกไปจึงต้องมีการวางระบบไพร่และศักดินา
โดยไพร่ทุกคนจะต้องมีสังกัดกรมกองหรือข้ึนต้นกับพระมหากษัตริย์ เพื่อใช้เป็นแรงงานในการพัฒนาชาติบ้านเมือง และเป็น
กาลังพลเวลามศี ึกสงคราม โดยมขี ุนนางผทู้ าหน้าท่ีบันทึกบัญชีไพร่คือ พระสรุ ัสวดี
เน่ืองจากการขาดแคลนข้าวของธนบุรใี นขณะนั้นเป็นปญั หาสาคญั ของไทย
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงได้แก้ปญั หาด้วยวธิ ีการดงั นี้
๑. ซือ้ ขา้ วจากพ่อคา้ ชาวจนี มาแจกจ่ายใหร้ าษฎรแม้วา่ จะมรี าคาสูงกต็ าม
๒. ให้มกี ารทานาเพ่ิมเป็นปีละ ๒ คร้ังคอื นาปี และนาปรัง
มกี ารวาดภาพเกี่ยวกบั ไตรภมู ิหรอื โลกทัง้ สาม ได้แก่ สวรรค์ภูมิ มนุษยภูมิ และนรก
ภูมิ เรียกวา่ สมุดภาพไตรภมู ิ เพ่ือปลกู ฝงั ให้คนไทยเกิดความเชอ่ื ในเรอ่ื งของบาปบุญคุณโทษ
สมัยรัชกาลท่ี ๓ ทรงนยิ มศลิ ปะจีน ทาใหม้ ีการเปล่ียนรูปแบบของโบสถว์ หิ ารเปน็ แบบจีน เรยี กวา่ แบบพระราชนิยม
ดังเช่น วดั ราชโอรสาราม
สมัยรชั กาลที่ ๕ รปู แบบสถาปตั ยกรรมเปลยี่ นมานิยมแบบตะวนั ตก มกี ารสรา้ งตกึ แถว บา้ น วงั ทเ่ี ป็นแบบตะวันตก
ทง้ั หลงั เช่น พระที่น่ังอนนั ตสมาคม และมกี ารนาศิลปะไทยมาประยกุ ต์เขา้ กบั แบบตะวันตก เชน่ พระทน่ี ่งั จกั รีมหาปราสาท
วฒั นธรรมอนิ เดยี เผยแพรเ่ ข้าสู่อาณาจักรต่าง ๆ ในดินแดนสวุ รรณภูมิ ต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๘ เป็นต้นมา โดยเกิด
จากการตดิ ตอ่ ค้าขายและการตั้งถิ่นฐานของพวกพ่อค้าชาวอนิ เดีย วัฒนธรรมอนิ เดยี จึงมอี ทิ ธพิ ลตอ่ สงั คมไทยมาก ดงั น้ี
แนวคิดกษตั ริย์เป็นเทวราชหรือสมมติเทพ มฐี านะสูงเหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
ซึง่ มีรากฐานมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
แนวคดิ กษตั รยิ เ์ ปน็ จกั รพรรดิราช กษัตริย์มอี านาจและบุญบารมอี นั ย่ิงใหญ่ ซ่งึ มี
รากฐานมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีการประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เพ่ือ
แสดงถงึ อานาจและความย่ิงใหญข่ องกษตั ริย์ เชน่ พระราชพิธบี รมราชาภิเษก และ
พระราชพิธีถอื น้าพิพฒั นส์ ตั ยา เปน็ ตน้
กฎหมายพระมนูธรรมศาสตร์ เป็นรากฐานของกฎหมายไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา
เป็นตน้ มา เช่น กฎหมายตราสามดวง สมยั รัชกาลท่ี ๑ เป้นต้น
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาหลกั ของคนไทยมาต้ังแต่สมัยสุโขทยั โดยยอมรับนับ
ถือพระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท ลทั ธิลังกาวงศ์ ซง่ึ รับผา่ นมาจากลังกาและมอญ
ศาสนาพรามหณ์-ฮนิ ดู เข้าสูส่ งั คมไทยในสมัยโบราณโดยพ่อค้าอินเดีย ปรากฏ
หลกั ฐานเป็นสิง่ ก่อสร้างท่ีเรียกว่า เทวาลัย หรือเทวสถานในชุมชนท่ีชาวอนิ เดียอยู่
ภาษา พ่อขุนรามคาแหงมหาราชประดิษฐ์ตัวอักษรไทย เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ โดย
ทรงดัดแปลงจากตัวอักษรขอม ซ่ึงได้รับแบบอย่างจากตัวอักษรคฤนถ์ของอินเดีย
ใต้ นอกจากน้ีคนไทยยงั นาภาษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤตมาใชจ้ นถงึ ปจั จบุ ัน
วรรณกรรม วรรณกรรมของอนิ เดยี มีอิทธพิ ลตอ่ งานวรรณกรรมไทยต้ังแต่สมัย
อยธุ ยาเปน็ ตน้ มา เชน่ มหากาพย์รามายณะของอนิ เดยี (รามเกียรต์ิ)
สถาปตั ยกรรม เปน็ สิง่ ก่อสรา้ งทางพระพุทธศาสนาซ่ึงได้รบั อิทธิพลจาก
อนิ เดยี เช่น สถปู เจดยี ์ และวหิ าร
ประตมิ ากรรม พระพทุ ธรปู ของไทยไดร้ ับอิทธิพลมาจากศลิ ปะอินเดยี และลงั กา
สว่ นเทวรูปของพราหมณ์-ฮนิ ดู ได้รบั แบบอยา่ งมาจากศิลปะอนิ เดยี และเขมร
จิตรกรรม ไดร้ ับอทิ ธิพลจากพระพุทธศาสนาและวรรณกรรมของอินเดยี เกอื บ
ทัง้ สนิ้ เช่น รามเกียรติ และชาดกในพระพทุ ธศาสนา
นาฏกรรม คนไทยนารปู แบบการแสดงมหรสพของอินเดยี ทีเ่ รยี กว่า “กถกั ฬ”ิ มา
ดัดแปลงและพฒั นาจนกลายเป็นเอกลักษณข์ องไทย โดยนยิ มเล่นเรื่องรามายณะ
วัฒนธรรมจีนมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ดินแดนสวุ รรณภมู มิ าชา้ นาน โดยแผ่ขยายเข้ามายงั ประเทศไทยดว้ ยวิธีทางการทูตและการ
ตดิ ตอ่ คา้ ขาย และซึมซับเข้าส่วู ิถีการดาเนินชวี ิตของคนไทยในทสี่ ดุ ดงั น้ี
ในอดีต คนจีนท่เี ข้ามาอาศยั อยู่ในเมืองไทยไดน้ าขนบธรรมเนียมประเพณแี ละ
พธิ ีกรรมทางศาสนาของตนเขา้ มาเผยแพร่ ซ่งึ คนไทยเชอื้ สายจีนร่นุ หลงั ๆ ได้
ปฏบิ ตั ิสืบทอดกันมาจนถงึ ปัจจุบัน และกลายเปน็ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมใน
สงั คมไทย ไดแ้ ก่ ไหวเ้ จ้า ไหว้พระจันทร์ เชงเม้ง กินเจ ฯลฯ
ภาษา คาในภาษาจีนถกู นามาใชใ้ นภาษาไทย เชน่ ก๋วยเต๋ยี ว อ้ังยี่ เซ้ง เซยี น
แซยิด ย่ีหอ้ จบั ฉา่ ย เจง๊ ฯลฯ
วรรณกรรมจีน ที่นามาแปลเป็นภาษาไทยและได้รับความนิยม เช่น สามก๊ก
ฉบับเจา้ พระยาพระคลัง (หน) และ ไซอว๋ิ
วัฒนธรรมด้านอาหารการกินของจนี ทไี่ ด้รบั ความนยิ มแพรห่ ลายจนกลายเป็นวิถี
ชวี ติ หรือวัฒนธรรมของคนไทย คอื การรับประทานกว๋ ยเตย๋ี ว ปาทอ่ งโก๋ ขนมจีบ
ซาลาเปา ขนมเป๊ยี ะ ฯลฯ
สมัยรัชกาลท่ี ๓ ทรงนาศิลปะจีนเข้ามาผสมผสานในงานก่อสร้างวัดวาอาราม
โดยเฉพาะโบสถ์วหิ าร เรียกวา่ แบบพระราชนิยม ดังตัวอย่างพระอุโบสถวัดราช
โอรสฯ โดยไม่ใชช้ ่อฟา้ ใบระกา และหางหงส์ แต่นาเคร่ืองปั้นดินเผาและถ้วยชาม
จีนมาประดับแทน
ชาติตะวันตกชาติแรกท่ีเข้ามาติดต่อกับไทยสมัยอยุธยาคือโปรตุเกส เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระ
รามาธิบดีท่ี ๒ กษัตรยิ อ์ งคท์ ่ี ๑๐ แห่งกรงุ ศรีอยุธยา โดยมวี ัตถปุ ระสงค์เพ่อื การค้าและเผยแพร่คริสต์ศาสนา หลังจากน้ันก็มี
ชาตอิ ืน่ ๆ เข้ามา เชน่ สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส
ความรทู้ างดาราศาสตร์ บาทหลวงชาวฝรงั่ เศสนาเขา้ มาเผยแพร่ตัง้ แตร่ ชั สมยั
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ต่อมารัชกาลที่ ๔ ทรงสนพระทัยศึกษาอยา่ งจรงิ จัง
การแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั หมอบรดั เลย์และหมอเฮาส์นาวทิ ยาการด้านการแพทย์
แผนใหมเ่ ขา้ มาใชใ้ นประเทศไทยในสมยั รัชกาลท่ี ๓ เชน่ การผา่ ตดั การทาคลอด
และการปลกู ฝีป้องกันโรคฝดี าษหรือไข้ทรพิษ
การพมิ พแ์ ละโรงพมิ พ์แบบตะวนั ตก หมอบรดั เลย์นาแทน่ พิมพ์จากตา่ งประเทศเข้า
มาเมอื งไทยในสมยั รชั กาลท่ี ๓ เพอื่ พิมพ์หนงั สอื เผยแผ่ศาสนาและรับจา้ งพิมพ์
ประกาศและหนังสือของราชการ และเผยแพร่ความรใู้ หม่ ๆ ให้การศกึ ษา
มชิ ชันนารชี าวอเมรกิ นั ไดน้ าการศกึ ษาในระบบโรงเรยี นเขา้ มาเผยแพร่ มีการ
จัดต้งั โรงเรยี นเอกชนในสมยั รัชกาลที่ ๕ หลายแหง่ เช่น โรงเรียนกรุงเทพคริส
เตียน เปิดสอนวิชาสามัญควบคู่กบั การเผยแพร่คริสต์ศาสนา ซงึ่ เป็นแบบอย่างให้
ทางราชการจัดต้งั โรงเรยี นหลวงสาหรับราษฎรในเวลาต่อมา
การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยของไทยในปจั จบุ นั เปน็ ประชาธปิ ไตยระบบ
รัฐสภา โดยมพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุขและอยู่ภายใต้รฐั ธรรมนูญ ซง่ึ ไทย
ได้รับรูปแบบการปกครองมาจากอังกฤษ ชาติตะวนั ตกอื่น ๆ ที่มีอทิ ธพิ ลต่อ
แนวคิดประชาธปิ ไตยของไทย คือ สหรฐั อเมริกา และฝรงั่ เศส
การทาสนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ กบั องั กฤษ พ.ศ. ๒๓๙๘ สมัยรัชกาลท่ี ๔ ทาใหร้ ะบบ
เศรษฐกิจของไทยเปลย่ี นจากการผลติ แบบยังชพี ซ่ึงผลิตพอกินพอใชใ้ นครอบครัว
หรือชุมชน ไปเปน็ ผลติ เพอื่ การคา้ หรือเพ่อื การสง่ ออก (โดยเฉพาะขา้ ว) มกี ารผลติ
และการคา้ แบบเสรี และมรี ะบบการเงนิ และการธนาคารแบบชาติตะวนั ตก
ภายหลังการทาสญั ญาเบาว์รงิ ในสมยั รชั กาลที่ ๔ สงั คมไทยเริม่ กา้ วเข้าสรู่ ะบบ
เศรษฐกจิ แบบทุนนิยม และเม่ือมกี ารใชแ้ ผนพฒั นาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑
(พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๐๙) เป็นตน้ มาจนถงึ ปัจจุบัน โดยมุ่งพัฒนาการผลติ
ภาคอตุ สาหกรรมและเน้นการผลิตเพอ่ื การสง่ ออก ระบบเศรษฐกจิ ของไทยจึงกา้ ว
สู่ระบบทุนนยิ มตามแบบชาติตะวนั ตกโดยสมบรู ณ์
ภมู ปิ ัญญาไทยเปน็ สิง่ ทบ่ี รรพบรุ ษุ ได้ชว่ ยกันสร้างสรรคแ์ ละสบื ทอดกนั มาอย่างต่อเนอ่ื งจากอดตี จนถงึ ปัจจุบัน เป็น
ความภาคภูมิใจและเกียรติภูมิของคนไทย ทาให้เกิดความรักชาติบ้านเมือง เราจึงควรช่วยกันอนุรักษ์ให้เป็นมรดกของชาติ
สืบไป โดยมวี ธิ ีการดังน้ี
รณรงค์/ประชาสัมพนั ธใ์ ห้คนไทยหันมาสนใจ ศกึ ษาความรู้ ความคิด
ความเชือ่ ที่ทรงคณุ คา่ น้ี เพอื่ สืบสานใหค้ งอยู่ค่ชู าตไิ ทยตลอดไป
ยกย่องครูภูมิปัญญาไทย ศิลปินแห่งชาติ ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้าน
วัฒนธรรม คนดีศรีสังคม เพื่อเป็นขวัญและกาลงั ใจให้ผู้ทรงภูมิปัญญา
เหล่านพี้ รอ้ มที่จะเผยแพร่และถา่ ยทอดภมู ปิ ัญญาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ซ่งึ เป็น
การรกั ษาไว้ซึ่งเอกลักษณข์ องชาติ
เพ่ือเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาของชุมชน หรือเป็นศูนย์กลาง
แลกเปลย่ี นความรู้ ถา่ ยทอดภมู ิปญั ญาของผทู้ รงภูมปิ ัญญา
เพอ่ื เป็นศนู ย์กลางในการประสานงานและเผยแพร่ข้อมูลในระดับชาติ
จะทาให้มกี ารศกึ ษาอย่างจริงจัง
เพอ่ื ส่งเสริมให้มีการพฒั นาและสรา้ งสรรคภ์ ูมิปญั ญาอย่างต่อเน่ืองและ
ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
ภมู ิปัญญาไทยเป็นมรดกทางปัญญา จึงควรมีการคุ้มครองลิขสิทธ์ิภูมิ
ปัญญาไทย เพอ่ื ให้เป็นมรดกของท้องถนิ่ และประเทศชาติตอ่ ไป
ตอนที่ ๑ ใหน้ กั เรียนนาหมายเลขจากขอ้ ความท่กี าหนดใหด้ า้ นบน เตมิ ไปในช่องวา่ งให้สมั พันธ์กัน
๑๒๓
ความจาเปน็ พน้ื ฐานในชวี ติ ความเชอื่ /สงิ่ เหนอื ธรรมชาติ การประกอบอาชพี
๔ ๕
อารมณส์ นุ ทรยี ์ อิทธพิ ลจากภายนอก
.......... ๑. เทวรปู พระนารายณ์และพระศวิ ะสาริด ศลิ ปะสุโขทัย ได้รับอทิ ธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดขู อง
อินเดยี ผ่านทางเขมร
.......... ๒. การนาวัสดธุ รรมชาตมิ าทาเครอ่ื งห่อหุ้มร่างกาย ปกปอ้ งอากาศร้อนหนาวและรอยขดี ข่วนตา่ ง ๆ
.......... ๓. การวาดลวดลายลงบนเครอ่ื งมอื เครือ่ งใชใ้ หม้ ีสสี ันสวยงาม
.......... ๔. ชาวสโุ ขทัยสร้างระบบชลประทาน กักเกบ็ น้าไว้ใชเ้ พือ่ แก้ปญั หาการขาดแคลนน้าในฤดแู ล้ง
.......... ๕. การสร้างทีอ่ ยอู่ าศัยของประชากรในเขตรอ้ น มกั จะสร้างบา้ นแบบยกพ้นื สงู และมหี น้าตา่ งหลายบาน
เพื่อใหอ้ ากาศถ่ายเทได้สะดวก
.......... ๖. การประดษิ ฐ์เคร่ืองดนตรีพน้ื บา้ น เช่น ซงึ สะลอ้ พณิ แคน เป็นตน้
.......... ๗. ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยมี ีความเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งไม่หยุดย้ัง แต่ความเช่ือเกยี่ วกับ
การบูชาพระแมโ่ พสพและประเพณีการทาขวัญขา้ วยงั อยู่กับสังคมไทย
.......... ๘. ลายสอื ไทยหรอื อักษรไทยของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชในสมัยสุโขทยั ไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากภาษา
มอญและเขมร
.......... ๙. การนาสมนุ ไพรธรรมชาตมิ าทายารกั ษาโรคและการบันทึกตาราการแพทยแ์ ผนไทย
.......... ๑๐. การเคลอื บถาชนะใหด้ ูสวยงามจนกลายเป็นสินค้าทส่ี าคัญของสุโขทัยคอื เครอื่ งสังคโลก
ตอนท่ี ๒ ใหน้ กั เรียนวเิ คราะห์สภาพภมู ศิ าสตร์ของประเทศไทยทมี่ ตี ่ออิทธพิ ลวัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาไทย
สภาพภูมศิ าสตร์ สภาพภูมศิ าสตร์
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
ลักษณะวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย ลกั ษณะวฒั นธรรมและภูมิปัญญาไทย
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
สภาพภูมิศาสตร์ สภาพภมู ิศาสตร์
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
ลกั ษณะวัฒนธรรมและภมู ิปญั ญาไทย ลกั ษณะวัฒนธรรมและภมู ปิ ัญญาไทย
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
................................................................ ................................................................
ใหน้ ักเรยี นอธบิ ายสภาพทางภูมศิ าสตรใ์ นทอ้ งถ่ินของนกั เรียน และยกตวั อย่างวัฒนธรรมหรอื ภมู ปิ ญั ญาท่ีเกิดจาก
สภาพดังกล่าว
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ตอนท่ี ๓ ให้นักเรยี นอ่านขอ้ ความ แลว้ ตอบคาถามท่ีกาหนดให้
จารึกวดั โพธิ์ : มรดกความทรงจาโลก
“วดั โพธ”์ิ หรอื “วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม” พระอารามหลวงชั้นเอก เปน็ วัดโบราณเกา่ แกท่ ่ี
ราษฎรสรา้ งขึน้ มาต้งั แตส่ มัยอยธุ ยา ต่อมาในสมัยรชั กาลที่ ๓ เรมิ่ มีการ “จารกึ วดั โพธ”์ิ ข้ึน โดย
ทรงมีพระราชประสงคใ์ ห้พระอารามแห่งนเี้ ปน็ “มหาวทิ ยาลัย” สาหรบั ประชาชนท่วั ไป พระองคจ์ ึง
ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหน้ าเอาองคค์ วามรูจ้ ากปราชญ์ของไทยและสรรพศิลปะวทิ ยาการต่าง
ๆ เช่น ตาราการแพทย์ โบราณคดี เป็นตน้ มาจารึกลงบนแผ่นหนิ ออ่ น ประดบั ไว้ตามผนัง เสา
ระเบียงภายในวดั ซึ่งทรงหวังใหย้ ง่ั ยนื และเผยแพร่ใหป้ ระชาชนไดศ้ ึกษาเรยี นรู้ ใน พ.ศ. ๒๕๕๔
ยเู นสโกได้ประกาศขึ้นทะเบยี นจารึกวดั โพธ์ิ ๑,๔๔๐ ช้นิ เปน็ มรดกความทรงจาแหง่ โลก
๑. จารึกวัดโพธจ์ิ ัดเปน็ ภมู ิปญั ญาท่ีมคี วามสาคญั ตอ่ ชาติไทยอยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๒. เพราะเหตุใดยเู นสโกจงึ ขน้ึ ทะเบยี นจารกึ วัดโพธเิ์ ป็นมรดกความทรงจาแหง่ โลก
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๓. การทจี่ ารกึ วดั โพธ์ไิ ด้ขึน้ ทะเบียนเปน็ มรดกความทรงจาแหง่ โลก ส่งผลดตี ่อประเทศไทยอยา่ ง
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๔. รชั กาลที่ ๓ ทรงมพี ระราชประสงค์ใดในการให้จารกึ สรรพวชิ าตา่ ง ๆ ไวท้ ว่ี ดั โพธิ์
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๕. นักเรียนจะมสี ่วนร่วมในการอนรุ กั ษแ์ ละสืบสานภมู ปิ ญั ญาไทยจากจารึกวัดโพธ์ไิ ด้อย่างไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ตอนท่ี ๔ ใหน้ กั เรียนหาชอื่ ประเพณีต่าง ๆ ในตาราง แลว้ นาไปเขียนดา้ นลา่ งพรอ้ มอธบิ ายลกั ษณะ
ก ป ร ะ ยุ ท ธ จ น ท บ โ อ ช า ส แ
ผี ต า โ ข น บุ ญ ข้ า ว บ๊ิ ก ป้ อ ม ห่
า ง ไ ท ย ต ชั ก พ ร ะ โ ข น ห พ น
ด า ว วิ ษ ณุ เ อ้ ส ว า ย า ง ด ร า
ด น อ ยี่ ส า ร ท เ ดื อ น สิ บ ว่ิ ะ ง
ไ ห ล เ รื อ ไ ฟ บ ล า บั ปู อ ง พ แ
ฟ แ ธ ป็ ห งุ่ ย ญ รี ร บั ว น น ค แ ม
ล า ก ง ฉ บุ ญ บ้ั ง ไ ฟ ช ว น ว ม้ ว
อ อ นื พ ร ะ ฐ ค พ ล จ ห บ อ า ว จ้
ง ชั ป อ ย ส่ า ง ล อ ง ว ง ม ย ว า
๑) ...........................................................................................................................................................
๒) ...........................................................................................................................................................
๓) ...........................................................................................................................................................
๔) ...........................................................................................................................................................
๕) ...........................................................................................................................................................
๖) ...........................................................................................................................................................
๗) ...........................................................................................................................................................
๘) ...........................................................................................................................................................
๙) ...........................................................................................................................................................
๑๐) .........................................................................................................................................................
ตอนที่ ๕ ให้นักเรยี นยกตัวอยา่ งวัฒนธรรมอนิ เดยี และจีนที่มอี ทิ ธพิ ลต่องสังคมไทยลงในกรอบ
การเมอื งการปกครอง ศาสนา ภาษาและวรรณกรรม ศลิ ปกรรม
ความเชอ่ื ทางศาสนา ภาษาและวรรณกรรม อาหารการกนิ ศลิ ปกรรม
ตอนที่ ๖ ใหน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งวฒั นธรรมตะวันตกทมี่ ีอทิ ธพิ ลต่อสังคมไทยลงในกรอบ และตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
๑. ชาติตะวนั ตกชาติแรกทเ่ี ขา้ มาตดิ ต่อกับอยุธยา คือ............................. เม่อื พ.ศ. ..........................
๒. จุดประสงคข์ องชาติตะวนั ตกท่เี ข้ามาในอาณาจักรไทย คือ.............................................................................
๓. ในสมยั อยธุ ยา สินค้าทชี่ าวตะวันตกต้องการมาก คอื ....................................................................................
๔. เรียงลาดับชาติตะวนั ตกทเี่ ข้ามาในอาณาจกั รไทย ได้แก่................................................................................
ตอนท่ี ๗ ใหน้ ักเรียนศึกษาคน้ คว้าขา่ วหรอื บทความเก่ียวกบั ภมู ปิ ัญญามา ๑ เรือ่ ง วิเคราะห์ปจั จยั ทส่ี ง่ เสรมิ การ
สรา้ งสรรค์ภูมปิ ัญญาและวฒั นธรรมไทย และผลที่เกดิ ข้ึนตอ่ สังคมไทย ลงในแบบบันทกึ
๑. ข่าวหรอื บทความนี้ กลา่ วถึงภมู ปิ ัญญาไทยเรอื่ งใด
.................................................................................................................................................................
๒.นักเรียนคิดว่าภูมปิ ญั ญาและวัฒนธรรมไทยดังกล่าวถกู สรา้ งสรรค์ข้นึ ดว้ ยวัตถปุ ระสงค์ใด
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๓. ภมู ิปญั ญาดงั กล่าวมีคณุ ค่าต่อสงั คมไทยในปจั จบุ ันอยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๔. หากไมม่ ภี ูมิปัญญาและวัฒนธรรมนี้ สงั คมไทยจะเป็นอย่างไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๕. นักเรียนจะมแี นวทางในการอนรุ กั ษภ์ มู ปิ ญั ญาดังกล่าวได้อยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ภาระงาน กาหนดวันสง่ งาน
๑. แบง่ กลุม่ นักเรยี นศกึ ษาคน้ คว้าประวตั ิโบราณสถานทข่ี ึ้นทะเบยี นโดยกรมศลิ ปากร
กลุ่มละ ๑ แห่ง นามาจดั ป้ายนิเทศ
๒. ให้นักเรยี นรวบรวมผลงานภมู ปิ ัญญาไทยคนละ ๑ อยา่ ง พร้อมบอกทม่ี า
ลักษณะสาคัญ การนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ทาลงในกระดาษรอ้ ย
ปอนด์ขนาด A4
๑. วัฒนธรรมกบั ภมู ปิ ัญญาเกย่ี วขอ้ งกนั อยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๒. จงยกตวั อยา่ งวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทยในอดตี ทส่ี ามารถนามาปรับใชแ้ กป้ ญั หาในสงั คมไทยปจั จบุ นั ไดด้ มี า
หนงึ่ ตวั อยา่ ง
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
๓. วัฒนธรรมจนี หลายอยา่ งกลายเปน็ สว่ นหน่ึงของสงั คมไทยจนแยกไมอ่ อก จงยกตวั อยา่ งวฒั นธรรมจนี ๓ อยา่ ง
พรอ้ มอธบิ ายวา่ วฒั นธรรมนก้ี ลมกลนื ไปในสงั คมไทยไดอ้ ยา่ งไร
๓.๑ ...................................................................................................................................................
๓.๒ ...................................................................................................................................................
๓.๓ ...................................................................................................................................................
๔. จงยกตวั อยา่ งอทิ ธพิ ลของวฒั นธรรมตะวนั ตกทมี่ ปี ระโยชนต์ อ่ สงั คมไทยมา ๓ ประการ พร้อมอธบิ ายเหตผุ ล
๔.๑ ...................................................................................................................................................
๔.๒ ...................................................................................................................................................
๔.๓ ...................................................................................................................................................
๕. นักเรยี นจะมสี ว่ นร่วมในการอนรุ ักษว์ ฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาไทยไดอ้ ยา่ งไร
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
ณรงค์ พวงพศิ , วฒุ ิชัย มลู ศิลป์. (๒๕๕๗). หนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔-๖.
กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ บรษิ ทั อักษรเจริญทศั น์ อจท จากัด.
ธรี ะ นชุ เปยี่ ม. (๒๕๕๘). หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐาน ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย เล่มที่ ๑ ม.๔-๖. กรงุ เทพฯ : แม็คเอด็ ดูเคชั่น.
ประสทิ ธิ์ เอ้ือตระกูลวิทย์. (๒๕๕๘). หนงั สอื เรยี นรายวชิ นื้ ฐาน ประวัตศิ าสตรไ์ ทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๔-๖. กรุงเทพฯ :
สานักพมิ พ์เอมพันธ์.
ไพฑูรย์ มกี ุศล และคณะ. (๒๕๕๗). หนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ม.๔-๖. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์
วฒั นาพาณชิ .
วงเดือน นาราสจั จ,์ ชมพูนุท นาคีรักษ์, และมติ รชยั กลุ แสงเจริญ. (๒๕๖๐). หนังสอื เรยี นรายวชิ าพน้ื ฐาน เลม่ ๑
ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย : เวลาและยคุ สมยั ทางประวตั ศิ าสตร์ ประเดน็ วภิ าค บุคคลสาคญั และภมู ปิ ญั ญาไทย. กรงุ เทพฯ :
สานักพมิ พ์ บริษัทพฒั นาคุณภาพ.
วทิ ยา ปานะบตุ ร. (๒๕๕๘). คมู่ อื เตรยี มสอบรายวชิ าพน้ื ฐาน ประวัตศิ าสตร์ ม.๔-๖. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ พ.ศ.
พัฒนา จากดั .
สุดใจ พงศ์กล่า. (๒๕๕๕). เอกสารประกอบการสอน สาระที่ ๔ : ประวตั ศิ าสตร์ ตอนที่ ๓ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย. กรุงเทพฯ
: โรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร (ฝา่ ยมัธยม).