The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยโรงเรียนวัดกกม่วง ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตามหลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ing27342, 2022-09-21 02:31:47

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยโรงเรียนวัดกกม่วงฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๕

หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยโรงเรียนวัดกกม่วง ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตามหลักสูตรการจัดการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐

๘๕

สงค์ สาระการเรียนรู้

สาระท่ีควรเรียนรู้ ประสบการณ์สำคญั

ะและ - สังเกตอวยั วะตา่ งๆ ใน การคดิ รวบยอด การคิดเชิงเหตผุ ล การ
รา่ งกาย ของตนเอง ตดั สนิ ใจและแกป้ ญั หา
1. การสังเกตลกั ษณะ สว่ นประกอบ การ
มสัมพนั ธ์ - บอกถึงความแตกต่าง เปลีย่ นแปลงและความสมั พนั ธข์ องสงิ่ ตา่ งๆ โดย
สงั เกต ของส่งิ ต่างๆรอบตัวดว้ ย ใชป้ ระสาทสมั ผสั อย่างเหมาะสม
2. บอกและแสดงตำแหนง่ และระยะทางของส่งิ
การสัมผสั ตา่ งๆด้วยการกระทำ ภาพวาด ภาพถ่าย และ
รูปภาพ

รียบเทียบ - จับคสู่ ิ่งของทเี่ หมอื นกนั การคิดรวบยอด การคิดเชงิ เหตผุ ล การ

าม หรอื บอกลกั ษณะส่ิงของ ตดั สินใจและแก้ปัญหา

ะทส่ี ังเกต และประโยชนท์ ่ีใช้ 1. การเล่นกบั สอ่ื ต่างๆท่ีเป็นทรงกลม ทรง

ป - จบั คสู่ งิ่ ของทแี่ ตกตา่ ง สีเ่ หลี่ยมมมุ ฉาก ทรงกระบอก กรวย

กนั และบอกส่งิ ทแ่ี ตกตา่ ง 2. การจบั คู่ การเปรียบเทยี บ และการ

เรยี งลำดบั สง่ิ ตา่ งๆตามลักษณะความยาว/ความ

สงู นำ้ หนัก ปรมิ าตร

3. การคัดแยก การจัดกลมุ่ และการจำแนกสงิ่

ต่างๆ ตามลักษณะและรูปรา่ ง รปู ทรง

จดั กลมุ่ สง่ิ การจดั กล่มุ สง่ิ ของตา่ งๆ การคิดรวบยอด การคดิ เชงิ เหตผุ ล การ

งลักษณะ ตามลักษณะการใชง้ าน ตดั สินใจและแกป้ ัญหา

และประโยชน์การใชง้ าน 1. การคดั แยก การจดั กลมุ่ และการจำแนกสงิ่

การจำแนกสิ่งของตา่ งๆ ต่างๆ ตามลักษณะและรูปรา่ ง รปู ทรง

2. การคดั แยก การจดั กล่มุ และการจำแนกสงิ่

ตา่ งๆ ตามลักษณะรปู รา่ ง รูปทรง



พัฒนาการ มาตรฐาน ตัวบง่ ชี้ สภาพทพี่ งึ ประส
(๕-๖ ป)ี

10.1.4 เรยี งลำดับสิ่ง

หรอื เหตกุ ารณอ์ ยา่ งน

ลำดับ

ตัวบ่งชที้ ี่ 10.2 10.2.1 อธบิ ายเช่ือม

มีความสามารถในการ สาเหตุและผลทีเ่ กดิ ขึน้

คิดเชงิ เหตุผล เหตกุ ารณห์ รือการกระ

ตนเอง

10.2.2คาดคะเนส่ิงท
เกิดขน้ึ และมีส่วนรว่ มใ
ความเห็นจากข้อมูลอย
เหตผุ ล

ตัวบ่งชที้ ี่ 10.3 10.3.1 การตัดสินใจ
มีความสามารถในการ งา่ ยๆและยอมรบั ผลท
คดิ แกป้ ัญหา

๘๖

สงค์ สาระการเรยี นรู้

สาระท่คี วรเรียนรู้ ประสบการณส์ ำคญั

งของ - การเรียงลำดบั สงิ่ ของที่ การคดิ รวบยอด การคดิ เชิงเหตผุ ล การ

อ้ ย 5 มีจำนวนแตกต่างกนั ตัดสินใจและแก้ปัญหา

- เรียงลำดบั เหตกุ ารณ์ 1. การเปรยี บเทยี บและเรยี งลำดบั จำนวน

ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องและ สงิ่ ของต่างๆ

เข้าใจ 2. การบอกและแสดงอนั ดบั ทข่ี องสิ่งต่างๆ

มโยง - เชอ่ื มโยงเหตกุ ารณ์จาก การคิดรวบยอดการคดิ เชิงเหตผุ ล การ

นใน สถานการณ์ตา่ งๆ และ ตดั สินใจและแกป้ ญั หา

ะทำดว้ ย บอกสาเหตไุ ด้ 1. การบอกแลว้ เรยี งลำดับกิจกรรมหรือ

เหตกุ ารณ์ตามช่วงเวลา

2. การใช้ภาษาทางคณติ ศาสตรก์ บั เหคุการณ์ใน

ชีวิตประจำวนั

3. การอธบิ ายเช่ือมโยงสาเหตุและผลท่ีเกิดขึน้

ในเหตกุ ารณ์หรือการกระทำ

ท่อี าจจะ - คาดคะเนสงิ่ ที่จะเกดิ ขน้ึ การคิดรวบยอดการคดิ เชิงเหตผุ ล การ

ในการลง ไดค้ วามสัมพนั ธ์ ตดั สินใจและแก้ปัญหา

ย่างมี และบอกเหตุผลได้ 1. การคาดเดาหรอื การคาดคะเนสิ่งทอ่ี าจ

เกดิ ข้ึนอยา่ งมเี หตุผล

2. การใชภ้ าษาทางคณิตศาสตรก์ ับเหคุการณ์ใน

ชีวิตประจำวนั

จในเร่อื ง - ตัดสนิ ใจในเรือ่ งทีเ่ กิด การคดิ รวบยอด การคดิ เชงิ เหตผุ ล การ

ทเี่ กดิ ข้ึน ขึน้ กับตนเองและแก้ไข ตัดสนิ ใจและแกป้ ญั หา

ปัญหาอย่างมเี หตผุ ล 1. การตัดสนิ ใจและมสี ่วนร่วมแก้ปัญหา



พฒั นาการ มาตรฐาน ตัวบง่ ชี้ สภาพท่ีพงึ ประส
(๕-๖ ป)ี

10.3.2 ระบุปัญหาสร

ทางเลือกและเลือกวิธ

แก้ปญั หา

ด้าน มาตรฐานท่ี 11 ตวั บง่ ชี้ท่ี 11.1 11.1.1 สร้างผลงานศ
สติปญั ญา มจี ินตนาการและ ทำงานศลิ ปะตาม เพ่ือสอื่ สารความคดิ ค
ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการและ รู้สกึ ของตนเองโดยมกี

ความคดิ สร้างสรรค์ ดดั แปลงและแปลกให
เดิมหรือมีรายละเอยี ด

ตวั บ่งชที้ ี่ 11.2 11.2.1 แสดงท่า/เคล
แสดงทา่ ทาง ตามจนิ ตนาการอย่าง
เคลอื่ นไหวตาม สร้างสรรค์
จินตนาการอย่าง
สรา้ งสรรค์

๘๗

สงค์ สาระทคี่ วรเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
รา้ ง - ตัดสินใจในเรือ่ งทเี่ กดิ ประสบการณ์สำคญั
ธี ขน้ึ กับตนเองและมีการ
แกป้ ัญหา การคิดรวบยอด การคิดเชงิ เหตุผล การ
ศิลปะ ตัดสนิ ใจและแกป้ ัญหา
ความ - ผลงานศิลปะท่ีแสดง 1. การมีส่วนร่วมในการลงความเห็นจากข้อมูล
การ ความคิดสร้างสรรคแ์ ละ อยา่ งมีเหตผุ ล
หม่จาก ประสบการณ์ 2. การตดั สินใจและมสี ่วนรว่ มในกระบวนการ
ดเพม่ิ ขน้ึ - สรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปะ แกป้ ญั หา
ให้มคี วามแปลกใหมแ่ ละ จนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
ลอ่ื นไหว เปล่ียนแปลงจากเดิม 1. การรบั รู้และแสดงความคดิ ความร้สู ึกผ่านสื่อ
วสั ดุ ของเลน่ และชิน้ งาน
- การเคล่อื นไหวตาม 2. การสรา้ งสรรค์ช้นิ งานโดยใชร้ ูปรา่ ง รูปทรง
คำบรรยาย เพลง จากวสั ดทุ ่ีหลากหลาย
คำคลอ้ งจอง
- การเคลื่อนไหวตาม จินตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์
จนิ ตนาการ 1. แสดงความคดิ สรา้ งสรรคผ์ ่านภาษา ท่าทาง
การเคลอื่ นไหว และศิลปะ



พฒั นาการ มาตรฐาน ตัวบง่ ช้ี สภาพท่ีพงึ ประส
(๕-๖ ป)ี
ดา้ น มาตรฐานท่ี 12 ตัวบ่งชที้ ่ี 12.1
สตปิ ัญญา มเี จตคติทีด่ ตี ่อการ มเี จตคตทิ ่ีดีตอ่ การ 12.1.1 หยบิ หนังสอื ม
เรียนรู้ และมี เรียนรู้ และเขียนสื่อความคิด
ความสามารถใน ตนเองเป็นประจำอย่า
การแสวงหาความรู้ ต่อเน่อื ง

12.1.2 กระตอื รอื ร้น
เขา้ รว่ มกิจกรรมต้ังแต
จบ

ตัวบ่งช้ีที่ 12.2 12.2.1 ค้นหาคำตอบ
มีความสามารถในการ สงสัยตา่ งๆโดยใชว้ ิธกี
แสวงหาความรู้ หลากหลายด้วยตนเอ

12.2.2 ใชป้ ระโยคคำ
"เม่ือไร" "อยา่ งไร" ใน
คน้ หาคำตอบ

๘๘

สงค์ สาระการเรียนรู้

มาอา่ น สาระทีค่ วรเรียนรู้ ประสบการณ์สำคัญ
ดดว้ ย
าง เจตคติทีด่ ตี ่อการเรยี นรูแ้ ละการแสวงหา

นในการ - การดูหนังสือภาพ ความรู้
ต่ต้นจน
ตา่ งๆ หนงั สอื นิทาน การ 1. สำรวจสง่ิ ตา่ งๆและแหลง่ เรยี นรู้รอบตัว
บของข้อ
การที่ ฟังคำคลอ้ งจอง 2. การสบื เสาะหาความรู้เพ่ือค้นหาคำตอบของ
อง
ำถามวา่ - เข้าร่วมกจิ กรรมด้วย ข้อสงสัยตา่ งๆ
นการ
ความสขุ

- เขา้ ร่วมกจิ กรรมด้วย เจตคติท่ีดตี ่อการเรียนร้แู ละการแสวงหา

ความสุขและมีความสนใจ ความรู้

ต้งั แตต่ ้นจนจบ 1. สำรวจสิ่งตา่ งๆและแหลง่ เรยี นรู้รอบตวั

2. สบื เสาะหาความรเู้ พอ่ื ค้นหาคำตอบของข้อ

สงสัยตา่ งๆ

- สนทนาและถามข้อ เจตคตทิ ีด่ ตี ่อการเรยี นรแู้ ละการแสวงหา

สงสยั จากเรอ่ื งทอ่ี ยากรู้ ความรู้

1. สำรวจสิ่งตา่ งๆและแหลง่ เรียนรู้รอบตัว

- สนทนาและตั้งคำถาม เจตคตทิ ดี่ ตี อ่ การเรียนรูแ้ ละการแสวงหา

จากเรือ่ งท่สี งสัยและ ความรู้

ต้องการคำตอบ 1. สำรวจสิ่งตา่ งๆและแหล่งเรยี นรู้รอบตัว

2. การตั้งคำถามในเรอื่ งที่สนใจ

3. การสืบเสาะหาความรู้เพ่อื คน้ หาคำตอบของ

ขอ้ สงสัยตา่ งๆ

๘๙

การจดั ประสบการณ์สำหรับเดก็ ปฐมวัยอายุ 3-6 ปี

การจดั ประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวยั อายุ 3-6 ปีจะไม่จัดเป็นรายวิชาแต่จดั ในรูปของกจิ กรรมบรู ณา
การผา่ นการเลน่ เพ่ือใหเ้ ด็กเรียนรูจ้ ากประสบการณ์ตรงเกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จรยิ ธรรม รวมทั้งเกดิ
พฒั นาการทง้ั ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสตปิ ญั ญา โดยมหี ลกั การ

และแนวการจดั ประสบการณ์ ดงั นี้

1. หลักการจัดประสบการณ์

1.1 จัดประสบการณก์ ารเล่นและการเรียนรเู้ พอื่ พฒั นาเด็กโดยองค์รวมอย่างต่อเนื่อง
1.2 เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและบรบิ ทของ
สังคมทเ่ี ดก็ อาศัยอยู่
1.3 จัดให้เดก็ ไดร้ ับการพัฒนา โดยใหค้ วามสำคญั ทง้ั ดา้ นกระบวนการและผลผลิต
1.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่ง ของการจัด
ประสบการณ์
1.5ให้ผ้ปู กครองและชมุ ชนมสี ่วนรว่ ม ในการพัฒนาเด็ก

๒. แนวทางการจัดประสบการณ์

2.1 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการให้เหมาะกับอายุ วุฒิภาวะ และระดับ
พฒั นาการ เพอ่ื ให้เด็กทกุ คนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศักยภาพ
2.2 จดั ประสบการณ์ใหส้ อดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวยั น้ี คือ เด็กได้ลงมอื กระทำ เรียนรู้
ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้นทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วย
ตนเอง
2.3 จดั ประสบการณใ์ นรูปแบบบรู ณาการ ทง้ั ทักษะ และสาระการเรยี นรู้
2.4 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ
เรียนรู้ ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุขและเรียนรู้ในการทำกิจกรรม แบบร่วมมือในลักษณะต่าง ๆ
กัน
2.5 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อม ที่เอื้อต่อการ
เรียนรู้ ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุขและเรียนรู้ ในการทำกิจกรรม แบบร่วมมือในลักษณะต่าง ๆ
กัน
2.6 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย และอยู่ในวิถีชีวิต
ของเด็ก
2.7 จัดประสบการณ์ทสี่ ่งเสริมลักษณะนสิ ัยท่ีดี และทักษะการใชช้ ีวิตประจำวัน ตลอดจนสอดแทรก
คณุ ธรรม จริยธรรม ให้เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการจัด

3. การจดั กิจกรรมประจำวนั

กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลายรูปแบบเป็นการ
ช่วยให้ทั้งผู้สอนและเด็กทราบว่า ในแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร การจัดกิจกรรม
ประจำวนั มหี ลกั การจดั และขอบขา่ ยของกิจกรรมประจำวนั ตามตารางกจิ กรรมประจำวัน

๙๐

4. ขอบข่ายของกิจกรรมประจำวนั

การเลือกกิจกรรมทจี่ ะนำมาจัดในแต่ละวนั ต้องใหค้ รอบคลมุ ส่งิ ต่อไปน้ี
1.กิจกรรมส่งเสริมพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใหญ่ การ
เคล่ือนไหวและความคล่องแคลว่ ในการใช้อวัยวะตา่ ง ๆ จึงควรจดั กิจกรรมโดยใหเ้ ด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้งเล่น
เครือ่ งเล่นสนาม เคลือ่ นไหวรา่ งกายตามจังหวดั ดนตรี
2.กิจกรรมส่งเสริมพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก การ
ประสานสมั พนั ธ์ระหวา่ งมือและตาจึงควรจัดกิจกรรมใหเ้ ด็กได้เลน่ เคร่ืองเลน่ สมั ผสั เล่นเกมต่อภาพฝึกช่วยเหลือ
ตนเองในการแต่งกาย หยบิ จับชอ้ นสอ้ ม ใหอ้ ปุ กรณ์ ศลิ ปะ เช่น สเี ทยี น กรรไกร พ่กู นั ดนิ เหนียว ฯลฯ
3. การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เด็กมีความรูส้ ึกที่ดีต่อตนเองและ
ผอู้ ื่น มีความเชอื่ มนั่ กล้าแสดงออก มวี ินยั ในตนเอง รับผิดชอบ ซือ่ สัตย์ ประหยัด เมตตากรณุ า เออื้ เฟ้อื แบง่ ปัน
มมี ารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาทีน่ ับถอื
4. กิจกรรมพัฒนาสังคมนิสัย เพื่อให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับ
ผอู้ ื่นได้อยา่ งมีความสุขชว่ ยเหลือตนเอง ในการทำกจิ วตั รประจำวัน มีนสิ ยั รกั การทำงาน รู้จักระมัดระวังความ
ปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น จึงควรจัดให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เช่นรับประทาน
อาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่ายทำความสะอาดร่างกาย และทำงานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎ กติกา
ข้อตกลงของสว่ นรวม เก็บของเขา้ เมือ่ เล่นหรอื ทำงานเสรจ็
5. กิจกรรมส่งเสริมกระบวนการคิดและแก้ปัญหา เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความคิดรวบยอด สังเกต
จำแนก เปรยี บเทียบ จดั หมวดหมู่ เรยี งลำดับเหตุการณ์ แก้ปัญหา จึงควรจดั กิจกรรมใหเ้ ด็กได้สนทนาอภิปราย
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทดลองศึกษานอก
สถานทีป่ ระกอบอาหาร หรือจัดใหเ้ ด็กไดเ้ ลน่ เกมการศึกษาทเ่ี หมาะสมกับวยั อยา่ งหลากหลาย ฝกึ การแกป้ ัญหา
ในชวี ติ ประจำวันและในการทำกิจกรรมท้ังท่ีเป็นกลุ่มย่อย และกลุ่มใหญห่ รือรายบคุ คล
6. กิจกรรมส่งเสรมิ พฒั นาการทางการภาษา เพือ่ ให้เด็กไดม้ ีโอกาสใช้ภาษาส่ือสาร ถา่ ยทอดความรู้สึก
ความนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ จึงควรจัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความคิด
หลากหลายในสถานแวดล้อมทเี่ ออ้ื ตอ่ การเรียนรู้ มุ่งปลกู ฝงั ใหเ้ ด็กรักการอา่ นและ
บุคลาการที่แวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่
เหมาะกับเดก็ เปน็ สำคัญ
7. กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ไดถ้ า่ ยทอดอารมณค์ วามรสู้ กึ และเหน็ ความสวยงามของส่ิงต่าง ๆ รอบตัว โดยใช้กจิ กรรมศิลปะและ
ดนตรีเป็นสื่อใช้การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการในการประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ อย่างอิสระตามความคิด
ริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็ก เล่นบทบาทสมมุติในมุมต่าง ๆ ในห้องเรียน เล่นน้ำเล่นทราย เล่นก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ
เช่น แทง่ ไม้ รูปทรงตา่ ง ๆ ฯลฯ
8. กิจกรรมส่งเสริมสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมในชุมชนและสังคมมีความรู้
ความเข้าใจถึงกระบวนการส่งเสริมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นหนทางในการเรียนรู้และปฏิบัติตน
เก่ียวกบั การรว่ มกจิ กรรมการส่งเสริมการอนรุ ักษส์ ่ิงแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อปลกู ฝังจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อ
ส่งิ แวดล้อม เชน่ การรูจ้ กั บริโภคส่งิ แวดล้อมอยา่ งประหยดั การแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมและปัญหาของมนษุ ย์

๙๑

5. แนวทางการจัดประสบการณเ์ รียนรู้

โรงเรียนวดั กกมว่ ง จัดประสบการณก์ ารเรยี นรบู้ นความเช่ือทว่ี ่าเด็กจะเกิดการเรียนร้เู มื่อได้ลงมือปฏิบัติ
ด้วยตนเอง จึงยึดหลักการเรียนรู้แบบบูรณาการผ่านกิจกรรมการเล่น กิจกรรมประจำวันและกิจวัตรประจำ
วันที่เด็ก ๆ ปฏิบัติท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียนเดก็ ๆจะได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้เคลื่อนไหว
ได้สำรวจ เล่น สังเกต ทดลอง ลงมือ ปฏิบัติ และคิดแก้ปัญหา เด็ก ๆ จะได้ทำงานตามลำพังทำงานเป็น
กล่มุ ได้เรียนรูร้ ่วมกับผู้อน่ื โดยใช้ส่อื / แหลง่ เรยี นรทู้ ่ีมีความหลากหลาย ในบรรยากาศท่ีอบอุ่นมีการสอดแทรก
คุณธรรม จริยธรรม มารยาทไทยท่ีดีงามเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะที่ดีของเด็กไทยและเพื่อให้เด็กๆ สามารถ
นำไปปรับใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้อยา่ งมคี วามสุข

กจิ วตั รประจำวนั
- การเข้าแถว เคารพธงชาติ สวดมนต์
- การดืม่ นม / การเขา้ ห้องน้ำ
- การรับประทานอาหารกลางวัน
- การนอน / การดูแลเครอื่ งนอน
- การล้างหน้า / แปรงฟัน

กจิ กรรมหลกั 6 กจิ กรรม
- กจิ กรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
- กจิ กรรมสร้างสรรค์
- กิจกรรมเสรี
- กิจกรรมเสริมประสบการณ์
- กิจกรรมกลางแจ้ง
- กจิ กรรมเกมการศึกษา

กจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจังหวะ
กจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจงั หวะ เป็นกิจกรรมที่จดั ใหเ้ ด็กได้เคล่อื นไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่าง

อิสระตามจงั หวะโดยใช้เสยี งเพลง คำคล้องจอง เครอ่ื งเคาะจงั หวะและอุปกรณ์อืน่ ๆ มาประกอบการ
เคล่ือนไหว โดยใชเ้ สียงเพลง คำคล้องจอง เสยี งตบมือ เครอ่ื งเคาะจังหวะ เคาะไม้ เคาะเหล็ก รำมะนา
เพือ่ ส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้จงั หวะและควบคมุ การเคล่ือนไหวของตนเองได้
กจิ กรรมเคล่ือนไหวและจังหวะ ทัง้ กจิ กรรมการเคล่อื นรา่ งกายการเคลือ่ นไหวพืน้ ฐาน การฝกึ จังหวะ การ
เคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์
กจิ กรรมเสริมประสบการณ์

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เปน็ กจิ กรรมท่ีม่งุ เน้นใหเ้ ดก็ ได้พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ฝกึ การทำงานและ
อยรู่ ว่ มกนั เป็นกลมุ่ ทง้ั กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ กิจกรรมท่จี ดั มุ่งฝึกให้เดก็ ได้มโี อกาสฟัง พดู สังเกต คดิ
แกป้ ัญหาใช้เหตุผลและฝึกปฏบิ ตั ิเพ่อื ใหเ้ กดิ ความคิด รวบยอด เกีย่ วกับเรื่องทเี่ รียน โดยการจัดกิจกรรมด้วย
วิธีหลากหลาย เช่นสนทนา อภปิ ราย สาธติ ทดลอง เล่านทิ าน เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง ท่องคำ
คล้องจอง ศกึ ษานอกสถานที่ เชญิ วทิ ยากรใหค้ วามรู้

๙๒

กจิ กรรมสร้างสรรค์
กจิ กรรมสร้างสรรค์ เป็นกจิ กรรมทชี่ ่วยเด็กให้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สกึ ความคดิ ริเรมิ่

สรา้ งสรรค์ และจินตนาการโดยศิลปะต่าง ๆ เช่นการวาดภาพ ระบายสี การป้ัน การฉีก ตัด – ปะ การ
พิมพภ์ าพ การประดษิ ฐ์ การพบั ฯลฯ ทมี่ งุ่ พฒั นากระบวนการคดิ สร้างสรรค์ การรับรู้เกีย่ วกับความงาม
และสง่ เสริมกระตนุ้ ให้เด็กแต่ละคนได้แสดงออกตามความรู้สกึ และความสามารถของตนเองกิจกรรมเสรี
กิจกรรมเสรี

กจิ กรรมเสรีเปน็ กิจกรรมที่เปิดโอกาสใหเ้ ด็กเล่นอิสระตามมมุ การเลน่ หรือศนู ย์การเรยี นท่จี ัดไว้ภายใน
ห้องเรียน เช่นมุมบล็อก มุมหนังสือ มุมวทิ ยาศาสตร์ หรือมุมธรรมชาติ มุมบ้าน มมุ ร้านคา้ เด็กมีโอกาส
เลอื กเลน่ อย่างเสรตี ามความสนใจ และความต้องการของเด็กทั้งเน้นรายบุคคลและกลุ่มย่อยเพื่อพัฒนาเดก็ ให้
รู้จกั คิดวางแผนและมปี ฏิสัมพันธก์ ับเพื่อน ครู และสงิ่ แวดล้อม
กิจกรรมกลางแจ้ง

กจิ กรรมกลางแจ้ง เปน็ กจิ กรรมท่ีจดั ใหเ้ ด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรยี นเพ่ือออกกำลัง เคล่อื นไหว
ร่างกาย และแสดงออกอยา่ งอสิ ระโดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กเป็นหลัก กจิ กรรมท่ีควรจดั
เช่น เคร่ืองเล่นสนาม การเล่นนำ้ เลน่ ทราย การเล่นสมมติ เล่นอุปกรณ์กฬี า การเล่นเกม การละเล่น
เพือ่ พฒั นากลา้ มเนื้อใหญ่ กล้ามเนือ้ เลก็ ให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคลว่ ว่องไว
เกมการศึกษา

เกมการศึกษา เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคน
เดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มไดช้ ่วยใหเ้ ด็กร้จู ักสงั เกต คดิ หาเหตุผล และเกดิ ความคดิ รวบยอด เก่ียวกับสี รูปร่าง
จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่ ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัย 3 – 6 ปี
เช่นเกมจบั คู่ แยกประเภท จดั หมวดหมู่ เรียงลำดบั โดมโิ น ล๊อตโต
ภาพตัดตอ่ ต่อตามแบบ ฯลฯ
กจิ วัตรประจำวนั
กิจวตั รประจำวนั เป็นกจิ กรรมท่ีฝึกให้เด็กได้ใชท้ กั ษะเกย่ี วกับการช่วยเหลอื ตัวเองและพัฒนาลักษณะนสิ ัยทด่ี ี
งามใหเ้ ด็กฝึกปฏิบตั ติ นเองอย่างมีระบบซง้ึ เปน็ รากฐานของการเคารพ กฎ กตกิ า ระเบียบสงั คม จะช่วย
พฒั นาเดก็ ตามวัย ครบทุกทาง ตามความแตกต่างของเดก็ แต่ละคน

กิจกรรมจะเกิดขึ้นจากความเห็นของทุกคน ที่จะช่วยกันเพื่อส่วนรวมเช่น การเข้าแถว การวาง
รองเท้า การไปห้องน้ำ การเก็บทนี่ อน การเปลีย่ นชุดนอน การรับประทานอาหาร ฯลฯ

การสรา้ งบรรยากาศการเรยี นรู้

การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา มคี วามสำคัญต่อเดก็ เนือ่ งจากธรรมชาติของเด็กในวัยนี้สนใจที่
จะเรยี นรู้ ค้นควา้ ทดลอง และตอ้ งการสัมผัสกบั สิง่ แวดลอ้ มรอบๆตวั ดังนัน้ การจดั เตรียมสง่ิ แวดลอ้ มอยา่ ง
เหมาะสมตามความต้องการของเด็ก จึงมีความสำคญั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับพฤตกิ รรมและการเรียนรขู้ องเด็ก เด็ก
สามารถเรยี นรู้จากการเลน่ ทเี่ ปน็ ประสบการณ์ตรงทเ่ี กิดจากการรับรู้ด้วยประสาทสัมผสั ท้งั ห้าจึงจำเป็นต้องจดั
สงิ่ แวดล้อมในสถานศึกษาให้สอดคล้องกบั สภาพ และความต้องการของหลักสตู ร เพ่ือส่งผลใหบ้ รรลุจดุ หมาย
ในการพัฒนาเดก็

การจดั สภาพแวดล้อมคำนงึ ถึงสิ่งต่อไปนี้
๑. ความสะอาด ความปลอดภัย
๒. ความมอี ิสระอยา่ งมีขอบเขตในการเล่น

๙๓

๓. ความสะดวกในการทำกิจกรรม
๔. ความพรอ้ มของอาคารสถานที่ เช่น หอ้ งเรียน ห้องน้ำห้องส้วม สนามเดก็ เลน่ ฯลฯ
๕. ความเพยี งพอเหมาะสมในเร่อื งขนาด นำ้ หนัก จำนวน สีของส่ือและเครอื่ งเลน่
๖. บรรยากาศในการเรียนรู้ การจัดท่ีเล่นและมุมประสบการณ์ตา่ ง ๆ

สภาพแวดลอ้ มภายในห้องเรยี น

หลกั สำคัญในการจัดต้องคำนึงถงึ ความปลอดภยั ความสะอาด เป้าหมายการพัฒนาเด็ก ความเปน็
ระเบยี บ ความเป็นตัวของเด็กเอง ใหเ้ ด็กเกิดความร้สู กึ อบอุ่น ม่นั ใจ และมีความสขุ ซงึ่ อาจจดั แบง่ พ้ืนท่ีให้
เหมาะสมกบั การประกอบกิจกรรมตามหลักสูตร ดังนี้

๑. พ้ืนที่อำนวยความสะดวกเพ่อื เด็กและผสู้ อน
๑.๑ ทแี่ สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เป็นแผ่นป้าย หรอื ทแ่ี ขวนผลงาน
๑.๒ ทเี่ ก็บแฟ้มผลงานของเด็ก อาจจดั ทำเปน็ กล่องหรือจัดใสแ่ ฟ้มรายบุคคล
๑.๓ ทีเ่ ก็บเครื่องใช้สว่ นตวั ของเด็ก อาจทำเป็นช่องตามจำนวนเดก็
๑.๔ ทเี่ ก็บเคร่อื งใชข้ องผู้สอน เช่น อปุ กรณ์การสอน ของสว่ นตัวผสู้ อน ฯลฯ
๑.๕ ป้ายนเิ ทศตามหน่วยการสอนหรอื สิง่ ที่เดก็ สนใจ

๒. พืน้ ท่ีปฏบิ ตั กิ จิ กรรมและการเคล่ือนไหว ตอ้ งกำหนดใหช้ ดั เจน ควรมีพื้นทีท่ ี่เด็กสามารถจะทำงาน
ไดด้ ้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกนั ในกลมุ่ เล็ก หรือกลมุ่ ใหญ่ เดก็ สามารถเคลื่อนไหวไดอ้ ยา่ งอิสระจาก
กจิ กรรมหนึ่งไปยงั กิจกรรมหนึ่งโดยไมร่ บกวนผ้อู ืน่

๓. พ้นื ทจี่ ัดมุมเลน่ หรือมุมประสบการณ์ สามารถจดั ไดต้ ามความเหมาะสมขนึ้ อยู่กับสภาพของ
หอ้ งเรียน จดั แยกสว่ นทใ่ี ช้เสียงดังและเงยี บออกจากกนั เช่น มุมบล็อกอยหู่ ่างจากมุมหนังสอื
มมุ บทบาทสมมติอยู่ติดกบั มุมบลอ็ ก มมุ วทิ ยาศาสตร์อยูใ่ กล้มมุ ศิลปะฯ ลฯ ทส่ี ำคัญจะตอ้ งมีของเลน่ วสั ดุ
อปุ กรณ์ในมุมอย่างเพยี งพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเล่นอยา่ งเสรี มกั ถูกกำหนดไว้ในตารางกิจกรรม
ประจำวัน เพ่ือให้โอกาสเด็กได้เล่นอยา่ งเสรีประมาณวนั ละ ๖๐ นาทกี ารจดั มมุ เล่นต่างๆ ผสู้ อนควรคำนงึ ถึงสงิ่
ตอ่ ไปนี้

๓.๑ ในหอ้ งเรยี นควรมมี มุ เล่นอยา่ งน้อย ๓-๕ มมุ ทง้ั นี้ข้ึนอยู่กบั พื้นท่ีของห้อง
๓.๒ ควรไดม้ ีการผลัดเปลยี่ นสอ่ื ของเล่นตามมุมบ้าง ตามความสนใจของเด็ก
๓.๓ ควรจดั ใหม้ ปี ระสบการณ์ทีเ่ ดก็ ได้เรยี นรูไ้ ปแล้วปรากฏอยใู่ นมุมเล่น เช่น เดก็ เรยี นรเู้ รอื่ ง
ผีเสอื้ ผสู้ อนอาจจดั ให้มีการจำลองการเกดิ ผีเส้อื ล่องไว้ใหเ้ ด็กดูในมุมธรรมชาติศึกษาหรอื มุมวิทยาศาสตร์ ฯลฯ
๓.๔ ควรเปิดโอกาสใหเ้ ด็กมีส่วนร่วมในการจดั มมุ เล่น ทัง้ น้ีเพอื่ จูงใจให้เด็กรสู้ ึกเป็นเจา้ ของ
อยากเรียนรู้ อยากเข้าเล่น
๓.๕ ควรเสริมสรา้ งวนิ ยั ให้กบั เดก็ โดยมีข้อตกลงรว่ มกนั วา่ เมื่อเลน่ เสร็จแล้วจะต้องจดั เก็บ
อุปกรณ์ทกุ อยา่ งเขา้ ทใ่ี ห้เรียบร้อยสภาพแวดล้อมนอกห้องเรียน คอื การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาณาบริเวณ
รอบ ๆ สถานศึกษา รวมทัง้ จัดสนามเดก็ เลน่ พร้อมเคร่อื งเลน่ สนาม จดั ระวังรกั ษาความปลอดภยั ภายใน
บรเิ วณสถานศกึ ษาและบรเิ วณรอบนอกสถานศกึ ษา ดแู ลรักษาความสะอาด ปลูกตน้ ไมใ้ ห้ความรม่ รืน่ รอบๆ
บรเิ วณสถานศกึ ษา สงิ่ ตา่ งๆเหลา่ น้เี ปน็ ส่วนหน่งึ ทส่ี ่งผลต่อการเรยี นรู้และพฒั นาการของเดก็
บรเิ วณสนามเดก็ เล่น ต้องจดั ใหส้ อดคล้องกับหลักสตู ร ดังน้ี
สนามเดก็ เลน่ มีพื้นผิวหลายประเภท เช่น ดิน ทราย หญ้า พนื้ ท่สี ำหรบั เลน่ ของเลน่ ท่ีมลี ้อ รวมทั้งท่ี
ร่ม ทโี่ ล่งแจง้ พืน้ ดนิ สำหรับขุด ท่เี ล่นนำ้ บอ่ ทราย พร้อมอุปกรณ์ประกอบการเล่น เคร่ืองเล่นสนามสำหรับปนี
ป่าย ทรงตวั ฯลฯ ทัง้ นีต้ ้องไม่ติดกับบริเวณท่ีมีอันตราย ต้องหม่นั ตรวจตราเคร่อื งเล่นใหอ้ ยใู่ นสภาพแข็งแรง

๙๔

ปลอดภยั อยเู่ สมอ และหมั่นดูแลเรื่องความสะอาดทน่ี งั่ เล่นพกั ผ่อน จัดท่ีนั่งไว้ใตต้ ้นไม้มรี ม่ เงา อาจใช้
กจิ กรรมกลมุ่ ยอ่ ย ๆ หรือกจิ กรรมท่ีต้องการความสงบ หรืออาจจัดเป็นลานนทิ รรศการให้ความรู้แกเ่ ด็กและ
ผ้ปู กครองบริเวณธรรมชาติ ปลูกไม้ดอก ไมป้ ระดับ พืชผกั สวนครวั หากบริเวณสถานศึกษา มไี มม่ ากนัก อาจ
ปลูกพชื ในกระบะหรือกระถาง

ส่ือและแหลง่ เรียนรู้

1.ส่อื และแหล่งการเรยี นรูใ้ นโรงเรยี น

1.1สอื่ และแหล่งเรียนรู้ในห้องเรยี น
ส่ือจากมุมตา่ ง ๆ
- มุมบลอ็ ก ได้แก่ รปู ทรงเรขาคณติ พลาสติกสรา้ งสรรค์
- มุมบ้าน ได้แก่ เคร่ืองใช้ในบ้านทเี่ ปน็ ของจำลองเครอ่ื งครวั ท่เี ปน็ ของจำลอง
- มมุ เสริมสวย ได้แก่ กระจก หวี แป้ง
- มุมหนงั สอื ไดแ้ ก่ หนงั สือนิทาน หนังสือการต์ ูน หนังสอื ภาพ
- มุมเกมการศึกษา ได้แก่ เกมภาพตดั ต่อ เกมเรียงลำดับเหตุการณ์ เกมจบั คู่ภาพเหมือน
เกมโดมโิ น เกมพน้ื ฐานการบวก ฯลฯ
- มมุ หมอ ไดแ้ ก่ ชุดหฟู งั เข็มฉีดยา ปรอทวัดไข้
- มมุ เลา่ นทิ าน ไดแ้ ก่ ตุ๊กตาสัตว์ ตุ๊กตาเดก็ หญิง ตุ๊กตาเด็กชาย
- มุมส่อื สาร ได้แก่ โทรศัพท์ โทรทศั น์
- มมุ ศลิ ปะ ไดแ้ ก่ ดินนำ้ มนั สเี ทยี น พกู่ นั สีนำ้ กระดาษ ดินสอ กาว

1.2 สือ่ และแหล่งเรียนรูน้ อกห้องเรียน
- สนามเด็กเลน่ ได้แก่ ชิงชา้ ไม้หก กระดานล่นื ม้าหมุน กระบะทราย น้ำ
- หอ้ งสมดุ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ สารานกุ รม หนังสอื การต์ ูน นิทาน
- หอ้ งพยาบาล ได้แก่ ยาสามญั ประจำบ้าน เคร่ืองชั่ง น.น. ทว่ี ดั สว่ นสงู เตยี งนอน
- หอ้ งสหกรณ์ ไดแ้ ก่ ดนิ สอ ยางลบ สมดุ ไม้บรรทดั ฯลฯ
- ห้องวิทยาศาสตร์ ได้แก่ หนุ่ จำลอง แว่นขยาย แม่เหล็ก เข็มทิศ
- ห้องคอมพิวเตอร์ ไดแ้ ก่ คอมพวิ เตอร์ ปร้นิ เตอร์ โทรทศั น์ พดั ลม
- ห้องครวั โรงเรยี น ได้แก่ เตา หมอ้ กระทะ ตะหลวิ ช้อน ถาด ฯลฯ
- ศาลาพระพุทธรปู มพี ระพทุ ธรูปกระถางธปู -เทียน แจกนั ดอกไม้ ธปู -เทยี น
- เสาธง มี ธงชาติ
- ห้องนำ้ -ห้องส้วม มี ขัน นำ้ แปรงขดั ห้องน้ำ น้ำยาขัดห้องน้ำ สบู่

2.สื่อและแหล่งเรยี นรใู้ นชมุ ชน

2.1 ส่อื และแหล่งเรยี นร้ทู เี่ ปน็ บคุ คล เชน่ ผใู้ หญ่บ้าน ผ้ชู ่วยผู้ใหญ่บ้าน อบต. ตำรวจ
ชุมชน เจา้ หน้าที่อนามยั กำนัน พระ แม่ชี เกษตรตำบล ฯลฯ

2.2 สอื่ และแหล่งเรยี นรทู้ ่ีเปน็ สถานท่ี เชน่ สถานีอนามัย สถานีตำรวจ วดั สวน
สุขภาพ แหล่งนำ้ แหล่งภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ ฟารม์ ต่าง ๆ

๙๕

การจัดสภาพแวดลอ้ ม

การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย มีความสำคัญต่อเด็กเนื่องจากธรรมชาติของเด็กในวัยน้ี
สนใจที่จะเรียนรู้ ค้นคว้า ทดลอง และต้องการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ดังนั้นการจัดเรียงสิ่งแวดล้อม
อยา่ งเหมาะสมตามความต้องการของเด็ก จึงมีความสำคญั ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับพฤตกิ รรมและการเรียนรู้ของเดก็ เด็ก
สามารถเรียนรูจ้ ากการเลน่ ท่เี ป็นประสบการณต์ รงทเี่ กิดจากการรบั ร้ดู ว้ ยประสาทสัมผัสท้ังหา้ จึงจำเป็นต้องจัด
ส่งิ แวดลอ้ มในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของหลักสูตร เพ่ือสง่ เสรมิ ให้บรรลุจุดหมาย
ในการพฒั นาเด็ก
การจดั สภาพแวดล้อมจะต้องคำนึงถึงสง่ิ ต่อไปนี้

1. ความสะอาด ความปลอดภัย
2. ความมีอสิ ระอยา่ งมีขอบเขตในการเล่น
3. ความสะดวกในการทำกจิ กรรม
4. ความพรอ้ มของอาคารสถานที่ เชน่ ห้องเรยี น หอ้ งนำ้ ห้องสว้ ม สนามเดก็ เล่น ฯลฯ
5. ความเพียงพอเหมาะสมในเรื่องขนาด นำ้ หนัก สีของสื่อและเครื่องเลน่
6.บรรยากาศในการเรยี นรู้ การจัดท่ีเล่นและมุมประสบการณ์ต่าง ๆ

สภาพแวดลอ้ มภายในหอ้ งเรยี น

หลักสำคัญในการจดั ต้องคำนึงถึงความปลอดภยั ความสะอาด เป้าหมายการพัฒนาเด็ก ความเป็น
ระเบยี บ ความเป็นตัวของเด็กเอง ใหเ้ ด็กเกิดความรู้สกึ อบอุ่น มัน่ ใจ และมีความสุขซึ่งอาจจัดแบง่ พื้นท่ีให้
เหมาะสมกบั การประกอบกจิ กรรมตามหลกั สตู ร ดังน้ี

1.พื้นที่อำนวยความสะดวกเพื่อเด็กและผสู้ อน
1.1 ทีแ่ สดงผลงานของเด็ก อาจจดั เป็นแผ่นปา้ ย หรือที่แขวนผลงาน
1.2 ท่ีเก็บแฟ้มผลงานของเด็ก อาจจัดเปน็ กล่องหรือจัดใส่แฟม้ รายบุคคล
1.3 ท่ีเกบ็ เครือ่ งใช้ส่วนตวั ของเด็ก อาจทำเปน็ ชอ่ งตามจำนวนเด็ก
1.4 ท่ีเกบ็ เครอ่ื งใช้ของผู้สอน เชน่ อปุ กรณ์การสอน ของสว่ นตัวผูส้ อน ฯลฯ
1.5 ปา้ ยนิเทศตามหนว่ ยการสอนหรอื สง่ิ ท่เี ด็กสนใจ

2.พ้นื ท่ีปฏิบตั ิกจิ กรรมและการเคล่ือนไหว ต้องกำหนดใหช้ ัดเจน ควรมีพื้นท่ีซ่ึงเด็ก
สามารถจะทำงานได้ด้วยตนเอง และทำกิจกรรมด้วยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้
อย่างอสิ ระจากกิจกรรมหน่งึ ไปยังกจิ กรรมหนึ่งโดยไมร่ บกวนผู้อนื่

3.พื้นที่จัดมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพของ
หอ้ งเรยี น จัดแยกสว่ นท่ีใช้เสยี งดงั และเงียบออกจากกัน เชน่ มมุ บล็อกอย่หู ่างจากมมุ หนงั สือ มุมบทบาทสมมติ
อยู่ติดกับมุมบล็อก มุมวิทยาศาสตร์ใกล้มุมศิลปะ ฯลฯ ที่สำคัญจะต้องมีของเล่นวัสดุอุปกรณ์ในมุมอย่าง
เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเล่นอย่างเสรีมักถูกกำหนดไวใ้ นตารางกิจกรรมประจำวัน เพื่อให้
โอกาสเดก็ ไดเ้ ลน่ อย่างเสรปี ระมาณวนั ละ 60 นาที การจดั มุมเลน่ ตา่ ง ๆ ผู้สอนควรคำนึงถงึ สงิ่ ต่อไปนี้

3.1 ในห้องเรียนควรมีมมุ เล่นอยา่ งน้อย 3-5 มมุ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ ับพืน้ ทข่ี องหอ้ ง
3.2 ควรได้มกี ารผลัดเปลย่ี นส่อื ของเลน่ ตามมมุ บ้าง ตามความสนใจของเดก็
3.3 ควรจัดให้ประสบการณ์ที่เด็กได้เรียนรู้ไปแล้วปรากฏอยู่ในมุมเล่นเช่น เด็กเรียนรู้เรื่องผีเส้ือ
ผู้สอนอาจจัดให้มีการเลี้ยงหนอน หรือผีเสื้อสต๊าฟใส่กล่องไว้ให้เด็กดูในมุมธรรมชาติศึกษาหรือมุม
วทิ ยาศาสตร์ ฯลฯ

๙๖

3.4 ควรเปิดโอกาสใหเ้ ด็กมสี ่วนร่วมในการจดั มุมเล่น ทงั้ น้ีเพื่อจงู ใจให้เดก็ รู้สกึ เปน็ เจ้าของอยาก
เรยี นรู้ อยากเข้าเล่น

3.5 ควรสง่ เสริมวนิ ัยใหก้ บั เด็ก โดยมีข้อตกลงร่วมกันเมือ่ เลน่ เสรจ็ แลว้ จะต้องจัดเก็บอปุ กรณท์ กุ
อยา่ งเข้าที่ใหเ้ รียบร้อย

การประเมินพัฒนาการ

การประเมนิ พัฒนาการ หมายถงึ กระบวนการสังเกตพฤตกิ รรมของเดก็ ในขณะทำกจิ กรรมแลว้ จด
บันทกึ ลงในเครอื่ งมือผูส้ อนสรา้ งขึน้ หรอื กำหนดอย่างต่อเนอ่ื ง เพอื่ เปรียบเทยี บพฤติกรรมทเ่ี ดก็ แสดงออกในแต่
ละครงั้ เปน็ ข้อมลู ในการพัฒนากจิ กรรมให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ

การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย เป็นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติตาม
ตารางกิจกรรมประจำวันและครอบคลุมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
และสตปิ ญั ญา เพ่อื นำผลมาใชใ้ นการจัดกจิ กรรมหรอื ประสบการณ์พฒั นาเด็กให้เต็มตามศักยภาพของแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้ผู้สอนซึ่งเป็นผู้ที่จะทำหน้าที่ประเมินพัฒนาการเด็กจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนา
เด็ก 3-6 ปเี ปน็ อย่างดี และตอ้ งเข้าใจโครงสร้างของการประเมนิ อยา่ งละเอยี ดวา่ จะประเมนิ เมื่อไรอย่างไร ตอ้ ง
มีความสามารถในการเลือกเครื่องมือ และวิธีการที่จะใช้ได้อย่างถูกต้อง จึงจะทำให้ผลของการประเมินน้ัน
เทีย่ งตรงและเช่ือถือได้ การประเมินพฒั นาการอาจทำได้หลายวิธี แตว่ ธิ ีท่งี ่ายต่อการปฏิบัติและนิยมใช้กันมาก
คือ การสังเกต ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่องและบันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างสม่ำเสมอ อาจกล่าวได้ว่าผู้สอนหรือ
ผ้เู ก่ียวข้องกับเด็กตอ้ งคำนงึ ถึงเร่ืองต่าง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้

หลักการประเมนิ พัฒนาการของเดก็

1. ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกดา้ นและนำผลมาพัฒนาเดก็
2. ประเมินรายบคุ คลอยา่ งสมำ่ เสมอต่อเน่ืองตลอดปี
3. สภาพการประเมนิ ควรมลี ักษณะเชน่ เดียวกบั การปฏบิ ตั ิกิจกรรมประจำวนั
4. ประเมินอยา่ งเป็นระบบ มีการวางแผน เลอื กใช้เคร่ืองมือและจดบนั ทกึ ไว้เปน็ หลักฐาน
5. ประเมินตามสภาพจรงิ ดว้ ยวิธีการหลากหลายเหมาะกับเดก็ รวมทัง้ ใชแ้ หลง่ ขอ้ มลู หลาย ๆ ดา้ น ไม่
ควรใชก้ ารทดสอบ

ข้นั ตอนการประเมินพัฒนาการ

การประเมนิ พัฒนาการเด็กปฐมวัย จะต้องผ่านขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
1. ศึกษาและทำความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์

จิตใจ สังคม และสตปิ ญั ญา จงึ ทำให้ดำเนินการประเมนิ พัฒนาการได้อย่างถูกต้องและตรงตามความจรงิ
2. วางแผนเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับใช้การบันทึกและประเมินพัฒนาการ เช่น

แบบบันทึกพฤติกรรมเหมาะที่จะใช้บันทึกพฤติกรรมของเด็ก การบันทึกรายวัน เหมาะกับการบันทึกกิจกรรม
หรือประสบการณท์ ี่เกดิ ขึ้นในชน้ั เรยี นทุกวัน การบันทกึ การเลอื กของเด็กเหมาะสำหรับใชบ้ นั ทึกลักษณะเฉพาะ
หรือปฏิกิริยาทีเ่ ด็กมีต่อสิง่ ตา่ ง ๆ รอบตัว เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นหนา้ ท่ีของผูส้ อนทีจ่ ะเลือกใช้เครื่องมือประเมิน
พฒั นาการใหเ้ หมาะสม เพอื่ จะได้ผลของพัฒนาการที่ถกู ต้องตามต้องการ

3. ดำเนินการประเมินและบันทึกพัฒนาการ หลังจากที่ได้วางแผนและเลือกเครื่องมือที่ใช้ประเมิน
และบันทึกพัฒนาการแล้ว ก่อนจะลงมือประเมินและบันทึกจะต้องอ่านคู่มือหรือคำอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือ
น้นั ๆ อย่างละเอยี ด แลว้ จึงดำเนินตามข้นั ตอนทีป่ รากฏในเคร่ืองมอื และบันทกึ ลายลกั ษณ์อักษรตอ่ ไป

๙๗

4. ประเมินและสรุป การประเมินและสรุปนั้นต้องดูจากผลการประเมินหลาย ๆ ครั้ง มิใช่เพียงครั้ง
เดียว หรือนำผลจากการประเมินเพียงครั้งเดียวมาสรุป อาจทำให้ผิดพลาดได้ผลการประเมินดูได้จากผลท่ี
ปรากฏในเคร่ืองมือประเมนิ และบนั ทึกพฒั นาการ เช่น ประเมินการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กอายุ 3 ปี ปรากฏ
ว่ายังเดินขึ้นบันไดสลับเท้าไม่ได้ก็ต้องมาตีความว่างกำลังขาของเด็กยังมีไม่พอที่จะเดินสลับเท้าขึ้นบันได อาจ
สรุปได้ว่าพัฒนาการกล้ามเนื้อใหญ่ยังไม่แข็งแรง เหมาะสมกับวัยต้องจัดกิจกรรมพัฒนากล้ามเน้ือใหญ่ส่วนขา
ต่อไป

5. รายงานผล เม่อื ไดผ้ ลจากการประเมนิ และสรปุ พฒั นาการของเด็กแล้ว ผู้สอนจะตอ้ งตัดสินใจวา่ จะ
รายงานข้อมูลไปยังผู้ใด เพื่อจุดประสงค์อะไร และจะต้องใช้รูปแบบใดสำหรับรายงาน เช่น ต้องรายงาน
ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง เพื่อให้ทราบกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่สถานศึกษาจัดให้เด็กนั้น ส่งเสริม
พัฒนาการของเด็กแต่ละคนอย่างไร เป็นไปตามจุดประสงค์หรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนชว่ ยเหลือเด็กได้ตรงตาม
ความตอ้ งการตอ่ ไป โดยสถานศึกษาจะมีสมดุ รายงานประจำตวั เด็ก ผู้สอนใช้สมุดรายงานนน้ั เป็นเคร่ืองมือหรือ
แบบรายงานผู้ปกครองได้ และถ้าผู้สอนมีข้อเสนอแนะหรือจะขอความร่วมมือจากผู้ปกครองเกี่ยวกับการ
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กก็อาจจะเพิ่มเติมลงไปในสมุดรายงาน และต้องคำนึงไว้เสมอไม่ว่าจะใช้แบบรายงานใด
ข้อมูลควรมีความหมายเกิดประโยชน์แก่เด็กเป็นสำคัญการบันทึกข้อความลงในสมุดรายงาน ประจำตัวเด็ก
ผู้สอนควรใชภ้ าษาในทางสร้างสรรค์มากกวา่ ในทางลบ

6. การให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการประเมิน ผู้สอนต้องตระหนักว่าการทำงานร่วมกับผู้ปกครอง
เกี่ยวกับการพัฒนาเด็กเป็นเรือ่ งสำคัญมาก ผู้สอนควรยกย่องผู้ปกครองที่พยายามมสี ่วนรว่ มในการพัฒนาเด็ก
ผู้สอนจะต้องต้อนรับผู้ปกครองที่มาสถานศึกษา ขอบคุณสำหรับความร่วมมอื เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองเพอ่ื
รายงานเรื่องเด็ก พูดคยุ ด้วยตนเองหรอื ทางโทรศพั ท์ สง่ิ เหลา่ น้ีจะทำให้ผปู้ กครองรูส้ กึ ถงึ ความสำคัญของตนเอง
และต้องการท่ีจะมสี ว่ นรว่ มกบั ผ้สู อนในการพัฒนาเด็กของตน

การตดิ ต่อสัมพนั ธ์อนั ดกี ับผปู้ กครองควรจะเป็นการติดต่อส่ือสาร 2 ทาง คอื จากสถานศกึ ษาไปสู่บ้าน
และจากบา้ นมายงั สถานศกึ ษา กระตุน้ ให้ผู้ปกครองแสดงความคิดเห็นที่มีประโยชน์ตอ่ การจัดประสบการณ์
ใหแ้ ก่เด็ก เพราะผปู้ กครองจะให้ข้อมูลทถี่ ูกต้องเกย่ี วกับตวั เดก็ ซง่ึ ผสู้ อนสามารถนำไปใชเ้ ป็นพ้ืนฐานในการจดั
กิจกรรมท่เี หมาะสมเพ่ือพฒั นาเด็กทุกคนได้เปน็ อย่างดี สำหรับการตดิ ต่อกับผู้ปกครองอาจทำได้หลายวธิ ี เชน่
การตดิ ต่อด้วยวาจา ไดแ้ ก่ การสนทนาดว้ ยตนเอง ทางโทรศัพท์ การเยีย่ มบ้าน การประชมุ ผูป้ กครอง การ
ติดต่อดว้ ยวธิ ีอืน่ เชน่ ปา้ ยตดิ ประกาศ วารสาร ขา่ วสาร ต้รู บั ฟงั ความคดิ เหน็ เป็นตน้
นอกจากนี้อาจให้ผู้ปกครองอาสาสมัครมาช่วยงานผู้สอนในสถานศึกษา เช่น เล่านิทาน ร้องเพลงและอ่าน
หนังสือให้เด็กฟัง ช่วยในเวลาเด็กทำกิจกรรมเสรี ช่วยสังเกตเด็ก บันทึกพัฒนาการและอื่น ๆ อีกมากมายที่จะ
ก่อประโยชนแ์ ก่เด็ก ซึง่ สถานศึกษาควรเปดิ โอกาสให้ผ้ปู กครองมีส่วนร่วมในการทำงานกับผ้สู อนเปน็ อย่างยิ่ง
นอกจากน้ีอาจใหผ้ ปู้ กครองอาสาสมัครมาช่วยงานผ้สู อนในสถานศึกษา เช่น เล่านิทาน รอ้ งเพลงและอ่าน
หนังสอื ให้เดก็ ฟัง ช่วยในเวลาเดก็ ทำกจิ กรรมเสรี ชว่ ยสงั เกตเดก็ บันทึกพฒั นาการและอ่ืน ๆ อกี มากมายทีจ่ ะ
ก่อประโยชน์แก่เด็ก ซ่ึงสถานศึกษาควรเปดิ โอกาสใหผ้ ู้ปกครองมีสว่ นร่วมในการทำงานกับผสู้ อนเปน็ อยา่ งยิ่ง

การบริหารจดั การหลกั สูตร

การนำหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัยสกู่ ารปฏบิ ตั ใิ หเ้ กดิ ประสิทธิภาพตามจดุ หมายของ หลักสูตร
ผู้เก่ียวขอ้ งกบั การบริหารจัดการหลักสตู รในระบบสถานศกึ ษา ได้แก่ ผบู้ รหิ าร ผูส้ อน พ่อแม่ หรอื ผู้ปกครอง
และชุมชน มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพฒั นาคณุ ภาพของเด็ก

๙๘

๑. บทบาทผ้บู ริหารสถานศกึ ษาปฐมวยั

การจดั การศกึ ษาแก่เด็กปฐมวัยในระบบสถานศกึ ษาให้เกิดประสิทธผิ ลสงู สุด
ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาควรมีบทบาท ดงั น้ี

๑.๑ ศกึ ษาทำความเขา้ ใจหลักสตู รการศึกษาปฐมวัยและมีวสิ ยั ทศั นด์ า้ นการจดั การศึกษา
ปฐมวยั

๑.๒ คัดเลอื กบุคลากรท่ีทำงานกบั เด็ก เชน่ ผู้สอน พ่เี ลยี้ ง อยา่ งเหมาะสม โดยคำนึงถึง
คณุ สมบัติหลกั ของบุคลากรดังน้ี

๑.๒.๑ มวี ุฒิทางการศกึ ษาด้านการอนบุ าลศกึ ษา การศึกษาปฐมวัย หรอื ผ่านการอบรม
เกีย่ วกบั การจัดการศึกษาปฐมวยั

๑.๒.๒ มีความรักเด็ก จิตใจดี มีอารมณ์ขันและใจเยน็ ให้ความเปน็ กนั เองกับเดก็ อยา่ ง
เสมอภาค

๑.๒.๓ มีบุคลกิ ของความเปน็ ผู้สอน เขา้ ใจและยอมรบั ธรรมชาติของเด็กตามวัย

๑.๒.๔พดู จาสภุ าพเรียบรอ้ ย ชดั เจนเปน็ แบบอยา่ งได้
๑.๒.๕ มีความเปน็ ระเบยี บ สะอาด และร้จู ักประหยัด
๑.๒.๖ มีความอดทน ขยนั ซื่อสัตยใ์ นการปฏิบัติงานในหน้าท่แี ละ การปฏบิ ตั ิตอ่ เด็ก
๑.๒.๗ มีอารมณร์ ่วมกบั เด็ก ร้จู กั รับฟงั พิจารณาเร่ืองราวปัญหาตา่ งๆ ของเด็กและตัดสนิ

ปญั หาตา่ งๆอยา่ งมเี หตผุ ลด้วยความ เป็นธรรม
๑.๒.๘ มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตสมบูรณ์

๑.๓ สง่ เสริมการจัดบรกิ ารทางการศึกษาให้เด็กได้เข้าเรยี นอยา่ งท่วั ถึง และเสมอภาค และ
ปฏิบตั ิการรบั เดก็ ตามเกณฑ์ที่กำหนด

๑.๔ ส่งเสริมให้ผู้สอนและผู้ท่ีปฏบิ ตั ิงานกบั เด็กพฒั นาตนเองมคี วามรู้ก้าวหนา้ อยเู่ สมอ
๑.๕ เปน็ ผนู้ ำในการจดั ทำหลักสตู รสถานศึกษาโดยรว่ มให้ความเห็นชอบ กำหนดวสิ ยั ทัศน์
และคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ของเด็กทุกช่วงอายุ
๑.๖ สร้างความรว่ มมอื และประสานกับบุคลากรทุกฝา่ ยในการจัดทำหลกั สตู รสถานศกึ ษา
๑.๗ จดั ให้มขี อ้ มลู สารสนเทศเก่ยี วกบั ตวั เด็ก งานวชิ าการหลกั สูตร อยา่ งเป็นระบบและมี
การประชาสัมพันธห์ ลกั สูตรสถานศึกษา
๑.๘ สนบั สนนุ การจัดสภาพแวดล้อมตลอดจนสื่อ วัสดุ อุปกรณท์ ี่เอ้ืออำนวยต่อ
การเรียนรู้
๑.๙ นิเทศ กำกบั ติดตามการใช้หลักสูตร โดยจัดใหม้ ีระบบนิเทศภายในอย่างมีระบบ
๑.๑๐ กำกับตดิ ตามให้มีการประเมนิ คุณภาพภายในสถานศึกษาและนำผลจากการประเมินไปใชใ้ นการพฒั นา
คณุ ภาพเด็ก
๑.๑๑ กำกับ ตดิ ตาม ให้มกี ารประเมนิ การนำหลกั สูตรไปใช้ เพือ่ นำผลจากการประเมินมา
ปรับปรุงและพฒั นาสาระของหลักสูตรของสถานศึกษาให้สอดคล้องกบั ความต้องการของเดก็ บรบิ ทสังคมและ
ให้มคี วามทันสมยั

๒. บทบาทผสู้ อนปฐมวัย

การพัฒนาคุณภาพเดก็ โดยถือวา่ เดก็ มีความสำคญั ท่ีสุด กระบวนการจดั การศกึ ษาต้อง
สง่ เสริมใหเ้ ด็กสามารถพัฒนาตนตามธรรมชาติ สอดคล้องกับพฒั นาการและเต็มตามศกั ยภาพ ดงั น้นั ผสู้ อนจงึ

๙๙

มบี ทบาทสำคญั ยง่ิ ทจ่ี ะทำใหก้ ระบวนการจัดการเรียนรดู้ งั กลา่ วบรรลุผลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ผู้สอนจงึ ควรมี
บทบาท / หน้าที่ ดังนี้

๒.๑ บทบาทในฐานะผู้เสริมสรา้ งการเรยี นรู้
๒.๑.๑ จดั ประสบการณก์ ารเรียนรสู้ ำหรบั เด็กทเี่ ด็กกำหนดขน้ึ ด้วยตัวเด็กเองและผ้สู อน

กบั เด็กร่วมกันกำหนด โดยเสรมิ สร้างพัฒนาการเดก็ ใหค้ รอบคลุมทกุ ดา้ น
๒.๑.๒ ส่งเสริมใหเ้ ดก็ ใชข้ อ้ มูลแวดลอ้ ม ศกั ยภาพของตัวเดก็ และหลักทางวชิ าการในการ

ผลติ กระทำ หรือหาคำตอบในส่ิงท่เี ด็กเรียนรู้อย่างมีเหตผุ ล
๒.๑.๓ กระตุ้นให้เดก็ ร่วมคิด แกป้ ัญหา ค้นคว้าหาคำตอบดว้ ยตนเองด้วยวธิ กี ารศกึ ษาที่

นำไปส่กู ารใฝร่ ู้ และพฒั นาตนเอง
๒.๑.๔ จัดสภาพแวดล้อมและสรา้ งบรรยากาศการเรยี นท่ีสร้างเสรมิ ให้เดก็ ทำกจิ กรรมได้

เต็มศกั ยภาพและความแตกต่างของเด็กแต่ละบุคคล
๒.๑.๕ สอดแทรกการอบรมด้านจริยธรรมและค่านยิ มท่ีพึงประสงค์ในการจดั การเรียนรู้

และกิจกรรมตา่ งๆอย่างสมำ่ เสมอ
๒.๑.๖ ใชก้ ิจกรรมการเลน่ เปน็ สือ่ การเรียนรสู้ ำหรับเด็กให้เป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ
๒.๑.๗ ใชป้ ฏสิ ัมพันธ์ที่ดรี ะหวา่ งผู้สอนและเดก็ ในการดำเนินกิจกรรมการเรยี นการสอน

อย่างสม่ำเสมอ
๒.๑.๘ จัดการประเมินผลการเรยี นร้ทู ่สี อดคล้องกบั สภาพจริงและนำผลการประเมนิ มา

ปรับปรุงพัฒนาคุณภาพเด็กเต็มศักยภาพ
๒.๒ บทบาทในฐานะผูด้ แู ลเด็ก
๒.๒.๑ สังเกตและสง่ เสริมพัฒนาการเด็กทุกด้านท้ังทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ

สงั คม และ สติปัญญา
๒.๒.๒ ฝึกใหเ้ ด็กช่วยเหลือตนเองในชวี ติ ประจำวัน
๒.๒.๓ ฝกึ ใหเ้ ด็กมีความเชือ่ มั่น มีความภมู ใิ จในตนเองและกล้าแสดงออก
๒.๒.๔ ฝึกการเรยี นรหู้ นา้ ท่ี ความมีวนิ ยั และการมีนสิ ัยท่ีดี
๒.๒.๕ จำแนกพฤตกิ รรมเดก็ และสร้างเสริมลักษณะนสิ ัยและแก้ปัญหาเฉพาะบุคคล
๒.๒.๖ ประสานความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา บ้าน และชมุ ชน เพื่อให้เดก็ ได้พฒั นา

เตม็ ตามศักยภาพและมีมาตรฐานคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์
๒.๓ บทบาทในฐานะนักพฒั นาเทคโนโลยกี ารสอน
๒.๓.๑ นำนวัตกรรม เทคโนโลยที างการสอนมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกบั สภาพบริบท

สังคม ชุมชน และท้องถ่นิ
๒.๓.๒ ใชเ้ ทคโนโลยีและแหลง่ เรยี นรใู้ นชมุ ชนในการเสริมสร้างการเรียนรู้ใหแ้ กเ่ ด็
๒.๓.๓ จัดทำวิจัยในชั้นเรยี น เพื่อนำไปปรับปรงุ พฒั นาหลักสูตร / กระบวนการเรยี นรู้
และพัฒนาส่ือการเรียนรู้
๒.๓.๔ พัฒนาตนเองให้เปน็ บคุ คลแห่งการเรยี นรู้ มคี ุณลกั ษณะของผใู้ ฝร่ ู้มวี สิ ยั ทัศน์และ

ทันสมัยทันเหตุการณ์ในยุคของขอ้ มูลขา่ วสาร
๒.๔ บทบาทในฐานะผ้บู รหิ ารหลกั สูตร
๒.๔.๑ ทำหนา้ ท่ีวางแผนกำหนดหลักสตู ร หนว่ ยการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

การประเมนิ ผลการเรยี นรู้

๑๐๐

๒.๔.๒ จดั ทำแผนการจัดประสบการณ์ที่เนน้ เด็กเป็นสำคญั ให้เดก็ มีอสิ ระในการเรียนรู้
ทั้งกายและใจ เปดิ โอกาสใหเ้ ด็กเล่น/ทำงาน และเรยี นรู้ทงั้ รายบคุ คลและเปน็ กลุม่

๒.๔.๓ ประเมนิ ผลการใช้หลักสูตร เพอ่ื นำผลการประเมินมาปรับปรุงพฒั นาหลกั สูตรให้
ทนั สมัย สอดคล้องกับความต้องการของ ผูเ้ รยี น ชุมชน และท้องถิ่น

๓. บทบาทของพ่อแม่หรือผปู้ กครองเดก็ ปฐมวัย

การศึกษาระดับปฐมวยั เปน็ การศกึ ษาที่จัดใหแ้ ก่เด็กท่ีผ้สู อนและพ่อแม่หรือผูป้ กครองต้อง
สื่อสารกนั ตลอดเวลา เพอ่ื ความเขา้ ใจตรงกันและพร้อมร่วมมือกันในการจดั การศึกษาให้กับเดก็ ดงั นัน้ พ่อแม่
หรือผู้ปกครองควรมบี ทบาทหนา้ ท่ี ดงั นี้

๓.๑ มีส่วนรว่ มในการกำหนดแผนพัฒนาสถานศกึ ษาและให้ความเหน็ ชอบ
๓.๒ ส่งเสรมิ สนับสนนุ กจิ กรรมของสถานศึกษา และกจิ กรรมการเรยี นรเู้ พ่ือพัฒนาเด็กตาม
ศักยภาพ
๓.๓ เป็นเครือขา่ ยการเรยี นรู้ จัดบรรยากาศภายในบ้านใหเ้ ออ้ื ต่อการเรยี นรู้
๓.๔ สนับสนุนทรพั ยากรเพอื่ การศึกษาตามความเหมาะสมและจำเป็น
๓.๕ อบรมเลยี้ งดู เอาใจใส่ให้ความรกั ความอบอุ่น สง่ เสริมการเรียนรแู้ ละพฒั นาการด้าน
ต่าง ๆ ของเด็ก
๓.๖ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาพฤติกรรมที่ไม่พงึ ประสงคต์ ลอดจนส่งเสรมิ คุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์ โดยประสานความร่วมมือกบั ผ้สู อน ผู้เก่ยี วข้อง
๓.๗ เปน็ แบบอยา่ งท่ีดที ั้งในด้านการปฏิบัตติ นใหเ้ ป็นบุคคลแหง่ การเรียนรู้ และมี คุณธรรม
นำไปสูก่ ารพัฒนาใหเ้ ป็นสถาบนั แห่งการเรยี นรู้
๓.๘ มีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียนรขู้ องเด็กและในการประเมินการจดั การศกึ ษา
ของสถานศกึ ษา

๔. บทบาทของชุมชน

การปฏิรปู การศึกษา ตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ไดก้ ำหนดให้ชมุ ชนมี
บทบาทในการมสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษา โดยให้มีการประสานความรว่ มมือเพอ่ื ร่วมกนั พฒั นาผเู้ รียนตาม
ศักยภาพ ดงั นน้ั ชุมชนจงึ มีบทบาทในการจดั การศกึ ษาปฐมวยั ดงั น้ี

๔.๑ มีสว่ นร่วมในการบรหิ ารสถานศกึ ษา ในบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา สมาคม
ชมรมผู้ปกครอง

๔.๒ มีสว่ นรว่ มในการจัดทำแผนพฒั นาสถานศึกษาเพื่อเปน็ แนวทางในการดำเนินการของ
สถานศกึ ษา

๔.๓ เป็นศนู ยก์ ารเรียนรู้ เครอื ขา่ ยการเรียนรู้ ใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนร้แู ละมีประสบการณจ์ าก
สถานการณ์จริง

๔.๔ ใหก้ ารสนบั สนุนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ขู องสถานศกึ ษา
๔.๕ สง่ เสริมใหม้ กี ารระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจนวทิ ยากรภายนอก และภูมิ
ปญั ญาท้องถิ่น เพ่อื เสริมสร้างพัฒนาการของเดก็ ทุกด้าน รวมท้งั สืบสานจารตี ประเพณี ศิลปวัฒนธรรมของ
ทอ้ งถ่ินและของชาติ
๔.๖ ประสานงานกบั องคก์ รท้ังภาครัฐและเอกชน เพ่อื ใหส้ ถานศกึ ษาเป็นแหลง่ วิทยาการ
ของชมุ ชน และมสี ว่ นในการพัฒนาชุมชนและท้องถ่ิน

๑๐๑

๔.๗ มีส่วนรว่ มในการตรวจสอบ และประเมินผลการจดั การศึกษาของสถานศึกษา
ทำหน้าที่เสนอแนะในการพฒั นาการจดั การศกึ ษาของสถานศึกษา

การจดั การศึกษาระดบั ปฐมวยั ( เด็กอายุ ๓ – ๖ ปี ) สำหรับกลมุ่ เปา้ หมายเฉพาะ

การจดั การศึกษาสำหรบั กลุ่มเป้าหมายเฉพาะสามารถนำหลักสตู รการศึกษาปฐมวัยไปปรบั ใช้ได้ ทั้งใน
สว่ นของโคตรสร้างหลักสตู ร สาระการเรยี นรู้ การจัดประสบการณ์ และการประเมนิ พัฒนาการให้เหมาะสมกับ
สภาพ บริบท ความต้องการ และศักยภาพของเด็กแต่ละประเภทเพื่อพัฒนาให้เด็กมีคุณภาพตามมาตรฐาน
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ท่ีหลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั กำหนดโดยดำเนินการดงั น้ี

๑. เป้าหมายคุณภาพเด็ก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์
และสาระการเรยี นรู้ เปน็ เปา้ หมายและกรอบทิศทางเพ่ือให้ทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องใช้ในการพัฒนาเด็ก สถานศึกษา
หรือผู้จัดการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สามารถเลือกหรือปรับใช้ ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ใน
การพัฒนาเด็ก เพอื่ นำไปทำแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคลแต่ยังคงไวซ้ ึ่งคณุ ภาพพัฒนาการของเด็กทั้งด้าน
ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสตปิ ญั ญา

๒. การประเมินพัฒนาการ จะต้องคำนึงถึงปัจจัยความแตกต่างของเด็ก อาทิ เด็กที่พิการอาจต้องมี
การปรับการประเมนิ พัฒนาการทเี่ ออ้ื ต่อสภาพเด็ก ทง้ั วิธีการเครื่องมือท่ีใช้ หรอื กลุ่มเดก็ ที่มจี ุดเนน้ เฉพาะดา้ น

การเชือ่ มตอ่ ของการศึกษาระดับปฐมวยั กับระดบั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑

การเชอ่ื มต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกบั ระดบั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ มีความสำคญั อยา่ งย่ิง บคุ ลากร
ทกุ ฝา่ ยจะต้องให้ความสนใจต่อการช่วยลดชอ่ งวา่ งของความไมเ่ ขา้ ใจในการจัดการศึกษาทั้งสองระดบั ซ่งึ จะ
ส่งผลตอ่ การจดั การเรยี นการสอน ตัวเดก็ ครู พ่อแม่ ผปู้ กครอง และบุคลากรทางการศึกษาอนื่ ๆท้งั ระบบ การ
เช่ือมต่อของการศกึ ษาระดบั ปฐมวัยกบั ระดบั ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ จะประสบผลสำเรจ็ ได้ตอ้ งดำเนนิ การ
ดังตอ่ ไปนี้

๑. ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา
ผ้บู รหิ ารสถานศึกษาเป็นบคุ คลสำคัญท่ีมีบทบาทเปน็ ผู้นำในการเช่อื มต่อโดยเฉพาะระหวา่ งหลกั สตู ร
การศกึ ษาปฐมวัยในชว่ งอายุ ๓ – ๖ ปี กบั หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานในช้ันประถมศึกษาปที ่ี ๑
โดยตอ้ งศึกษาหลักสตู รทง้ั สองระดบั เพื่อทำความเข้าใจ จัดระบบการบรหิ ารงานดา้ นวชิ าการทีจ่ ะเอ้ือต่อการ
เชอ่ื มโยงการศึกษาโดยการจัดกิจกรรมเพื่อเชื่อมต่อการศกึ ษา ดังตวั อย่างกจิ กรรมต่อไปนี้

๑.๑ จดั ประชมครูระดบั ปฐมวัยและครรู ะดบั ประถมศึกษารว่ มกนั สรา้ งรอยเช่อื มตอ่ ของหลักสูตร
ทั้งสองระดบั ใหเ้ ปน็ แนวปฏิบัติของสถานศึกษาเพือ่ ครทู ั้งสองระดับจะไดเ้ ตรยี มการสอนให้สอดคล้องกบั เด็กวัย
นี้

๑.๒ จัดหารเอกสารด้านหลกั สูตรและเอกสารทางวิชาการของทงั้ สองระดบั มาไวใ้ หค้ รูและ
บุคลากรอนื่ ๆได้ศึกษาทำความเขา้ ใจ อย่างสะดวกและเพียงพอ

๑.๓ จัดกจิ กรรมใหค้ รูท้งั สองระดบั มโี อกาสแลกเปล่ียนเผยแพรค่ วามร้ใู หม่ๆ ที่ไดร้ ับจากการ
อบรม ดงู าน ซึ่งไม่ควรจัดใหเ้ ฉพาะครใู นระดับเดยี วกนั เท่านน้ั

๑.๔ จัดเอกสารเผยแพร่ตลอดจนกิจกรรมสัมพนั ธใ์ นรปู แบบตา่ งๆ ระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่
ผูป้ กครองและบุคลากรทางการศึกษาอยา่ งสม่ำเสมอ

๑๐๒

๑.๕ จดั ให้มีการพบปะ หรือการทำกิจกรรมรว่ มกับพ่อแม่ ผู้ปกครองอย่างสมำ่ เสมอต่อเนื่อง ใน
ระหวา่ งท่ีเดก็ อยใู่ นระดบั ปฐมวยั เพอื่ พ่อแม่ ผปู้ กครอง จะไดส้ ร้างความเขา้ ใจและสนับสนุนการเรยี น การสอน
ของบุตรหลานตนได้อยา่ งถูกต้อง

๑.๖ จดั กจิ กรรมใหค้ รทู ัง้ สองระดับได้ทำกจิ กรรมรว่ มกันกับพ่อแม่ ผูป้ กครองและเด็กในบาง
โอกาส

๑.๗ จัดกจิ กรรมปฐมนิเทศพ่อแม่ ผปู้ กครองอย่างน้อย ๒ ครั้ง คือ ก่อนเด็กเข้าเรียนระดับ
ปฐมวยั ศึกษาและก่อนเด็กจะเล่ือนขึน้ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ เพื่อให้พ่อแม่ ผปู้ กครองเข้าใจ การศึกษาท้ังสอง
ระดับและใหค้ วามรว่ มมือในการช่วยเดก็ ใหส้ ามารถปรับตัวเข้ากบั สภาพแวดล้อมใหม่ได้ดี

๒. ครรู ะดับปฐมวัย
ครรู ะดบั ปฐมวยั นอกจากจะตอ้ งศึกษาทำความเข้าใจหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั และจัดกจิ กรรม
พฒั นาเดก็ ของตนแลว้ ควรศึกษาหลกั สตู รการศึกษาข้ันพื้นฐาน การจัดการเรียนการสอนในชั้นประถมศึกษาปี
ท่ี ๑ และสรา้ งความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอ่นื ๆ รวมทั้งชว่ ยเหลอื เด็กในการปรับตวั กอ่ น
เลื่อนข้ึนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยครูอาจจดั กิจกรรมดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้

๒.๑ เก็บรวบรวมขอ้ มลู เกี่ยวกับตวั เด็กเป็นรายบคุ คลเพ่ือสง่ ตอ่ ครชู ้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ซ่ึงจะทำ
ใหค้ รูระดบั ประถมศึกษาสามารถใชข้ ้อมูลนน้ั ช่วยเหลอื เด็กในการปรบั ตัวเข้ากับการเรียนร้ใู หม่ตอ่ ไป

๒.๒ พูดคยุ กับเด็กถงึ ประสบการณท์ ด่ี ีๆ เกี่ยวกบั การจดั การเรยี นร้ใู นระดับชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๑
เพ่อื ใหเ้ ดก็ เกดิ เจตคตทิ ีด่ ีต่อการเรยี นรู้

๒.๓ จัดใหเ้ ด็กได้มโี อกาสทำความรู้จกั กบั ครตู ลอดจนสภาพแวดล้อม บรรยากาศของห้องเรียนชนั้
ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ทัง้ ท่ีอยู่ในสถานศกึ ษาเดียวกันหรือสถานศกึ ษาอ่นื

๓. ครรู ะดับประถมศกึ ษา
ครรู ะดบั ประถมศึกษาต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจในพฒั นาการเดก็ ปฐมวยั และมีเจตคติที่ดีต่อการจดั
ประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั เพ่อื นำมาเป็นข้อมูลในการพฒั นาจดั การเรียนรู้ในระดับช้ัน
ประถมศึกษาปที ี่ ๑ ของตนให้ตอ่ เนอื่ งกบั การพัฒนาเด็กในระดับปฐมวยั ดงั ตวั อยา่ ง ต่อไปนี้

๓.๑ จดั กิจกรรมให้เดก็ พ่อแม่ และผู้ปกครอง มโี อกาสได้ทำความรจู้ กั คนุ้ เคยกับครแู ละ
หอ้ งเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ กอ่ นเปดิ ภาคเรียน

๓.๒ จดั สภาพห้องเรียนให้ใกลเ้ คยี งกบั ห้องเรยี นระดับปฐมวัย โดยจัดให้มีมุมประสบการณ์
ภายในหอ้ งเพ่ือให้เดก็ ไดม้ โี อกาสทำกิจกรรมได้อยา่ งอสิ ระเช่น มมุ หนงั สือ มุมของเล่น มุมเกมการศึกษา เพื่อ
ชว่ ยให้เดก็ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้ปรับตัวและเรียนรูจ้ ากการปฏิบัตจิ รงิ

๓.๓ จัดกิจกรรมรว่ มกนั กับเด็กในการสร้างข้อตกลงเก่ียวกับการปฏบิ ัติตน
๓.๔ เผยแพรข่ ่าวสารด้านการเรยี นร้แู ละสร้างความสมั พันธ์ทดี่ ีกับเด็ก พ่อแม่ ผูป้ กครอง และ
ชมุ ชน
๔. พอ่ แม่ ผู้ปกครองและบคุ ลากรทางการศกึ ษา
พอ่ แม่ ผู้ปกครอง และบคุ ลากรทางการศกึ ษาต้องทำความเข้าใจหลกั สูตรของการศึกษาท้ังสองระดับ
และเข้าใจว่าถงึ แมเ้ ด็กจะอยู่ในระดับประถมศึกษาแล้วแตเ่ ดก็ ยังต้องการความรักความเอาใจใส่ การดูแลและ
การปฏิสัมพนั ธ์ที่ไม่ได้แตกตา่ งไปจากระดับปฐมวยั และควรให้ความรว่ มมือกบั ครแู ละสถานศกึ ษาในการช่วย
เตรียมตวั เด็ก เพ่ือใหเ้ ด็กสามารถปรับตวั ได้เรว็ ยง่ิ ขน้ึ

๑๐๓

การกำกับ ติดตาม ประเมนิ และรายงาน

การจัดสถานศึกษาปฐมวัยมีลักการสำคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและ
กระจายอำนาจการศึกษาลงไปยังท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็น
ผู้จัดการศึกษาในระดับนี้ ดังนั้น เพื่อให้ผลผลิตทางการศึกษาปฐมวัยมีคุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พงึ
ประสงค์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมจำเป็นต้องมีระบบการกำกับ ติดตาม ประเมิน
และรายงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา เห็น
ความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค ตลอดจนการให้ความร่วมมือช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน การวางแผน และ
ดำเนินงานการจัดการศึกษาปฐมวยั ให้มีคุณภาพอยา่ งแท้จริง

การกำกับ ติดตาม ประเมินและรายงานผลการจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ
บริหารการศึกษาและระบบการประกันคณุ ภาพที่ต้องดำเนนิ การอย่างต่อเนื่อง เพ่ือนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพ
และมาตรฐานการศกึ ษาปฐมวัย สร้างความมั่นใจให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยต้องมีการดำเนินการที่เปน็ ระบบเครือข่าย
ครอบคลุมทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกตั้งแต่ระดับชาติ เขตพื้นที่ทุกระดับละทุกอาชีพ การกำกับดูแล
ประเมินผลต้องมกี ารรายงานผลจากทกุ ระดับให้ทุกฝ่ายรวมทั้งประชาชนทวั่ ไปทราบ เพอ่ื นำข้อมูลจากรายงาน
ผลมาจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษาหรือสถานพฒั นาเดก็ ปฐมวัยต่อไป

๑๐๔

บรรณานกุ รม

สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย
พทุ ธศักราช 2560. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2561). คู่มอื หลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช 2560 (สำหรบั

เด็กอายุ 3 - 6 ปี) (พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ ุรสุ ภาลาดพ


Click to View FlipBook Version