The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chaiyaphumculture, 2021-10-28 23:53:07

เสน่ห์อิสานเล่าขานเมืองชัยภูมิ

Book11

คำ�นำ�

จงั หวัดชยั ภูมเิ ปน็ จังหวดั ในภาคอีสานท่ีมเี รือ่ งราวและความเปน็ มาท่ียาวนาน
“เสน่ห์อสิ าน เลา่ ขานเมอื งชัยภูม”ิ เปน็ หนังสือทจ่ี ดั ท�ำ ขน้ึ เพือ่ ตอ้ งการบอกเล่าเร่อื งราว
ของจังหวัดชัยภูมิแก่ผู้มาเยือน ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ อารยธรรม
ศิลปวัฒนธรรม ภาษา จารีตประเพณี แหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร รวมทั้งข้อมูล
ที่นา่ สนใจมากมาย หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ “เสนห่ อ์ สิ าน เลา่ ขานเมอื งชยั ภมู ”ิ เลม่ น้ี จะเปน็
เข็มทิศทำ�ให้ผู้อ่านได้พบว่า “ชัยภูมิ” เป็นเมืองที่น่าสนใจ มีมนต์เสน่ห์ยิ่งนัก
ขอบคุณหัวหน้าส่วนราชการ คณะทำ�งานทุกท่าน ที่ร่วมมือร่วมใจจัดทำ�หนังสือเล่มนี้
จนสำ�เรจ็ ลลุ ่วงดว้ ยดี

(นายวิเชียร จันทรโณทัย)

ผู้ว่าราชการจังหวดั ชยั ภมู ิ

สารบัญ

คุยเฟือ่ งเมอื งพ่อแล ๓ - ๑๖
เกา่ แกต่ อนตงั้ เมอื ง ๑๗ - ๒๙
ร่งุ เรืองเรือ่ งตวั ตน ๓๐ - ๓๗
สบื คน้ วัฒนธรรม ประเพณี ๔๑ - ๕๒
บารมี พุทธธรรม ๕๓ - ๗๒
งามล้ำ�ธรรมชาติ ๗๓ - ๙๐
ดารดาษ นามนม้ี ที ่ีมา ๙๑ - ๑๐๗
ก้าวไปหาเมอื งน่าอยู่ ๑๐๘ - ๑๑๘
ไม่ไปไมร่ ู้ ต้องมาดูให้เหน็ กบั ตา ๑๑๙ - ๑๒๒
ภาคผนวก ๑๒๓ - ๑๒๖

เสน่ห์อิสาน เลา่ ขานเมืองชัยภูมิ

สรวงสวรรคส์ รรเสนห่ เ์ หอ่ ิสาน ขอเล่าขานเมืองชัยภูมิภูมิไสว
ภูเขยี วปา่ อดุ มสมบูรณํไพร น้�ำ ผดุ ใสข้นึ ชื่อคือทัพลาว
ชวนเชิญเพลนิ เจด็ ดาวเก้าตะวัน อัศจรรย์ฟ้าโอบดินมอหินขาว
ผาหวั นาคหินโขลงช้างสร้างเร่ืองราว นอนดูดาวอุ่นไอดนิ ถิ่นกลางไพร
ทงุ่ กระเจียวเขยี วบานตระการตา พรมผนื ปา่ ชูช่อกอไสว
สุดแผน่ ดินปา่ หินงามอร่ามไกล ตาดโตนใสไหลเย็นเปน็ ละออง
งามสายธารบา้ นโหล่นต้นน้ำ�ชี ปรงพนั ปี ปา่ โล่ใหญ่ ไปเทยี่ วทอ่ ง
อ่อมควั่ แกงหมำ�่ รสดมี ีให้ลอง ใครกนิ ต้องติดใจไปอีกนาน
สืบเรอื่ งราวหมี่คั่นขอนารี แต่เดมิ ชือ่ ขอกระหรี่ชนเลา่ ขาน
งานฝ้ายไหมเก่าแกแ่ ต่โบราณ สบื ตำ�นานทองแท้แม่บญุ มี
พระธาตชุ ัยภูมิภูมิงามเด่น ทุกคืนเพ็ญเจดิ จ�ำ รัสรัศมี
ใบเสมาพระใหญ่ทวารวด ี องคป์ รางค์กู่สง่าศรีคอื ศรีเมอื ง
ก้มกราบพระยาภักดชี มุ พล พระคณุ ท่านมากล้นชนลือเล่อื ง
พระผกู้ ่อบ้านและแปงเมือง ใหร้ งุ่ เรืองรม่ เย็นเปน็ ใบบุญ
มากราบไหวข้ อพร ณ ตอนใด กล็ ้วนไดด้ ง่ั ใจทา่ นเกอื้ หนนุ
อำ�นวยพรยศศกั ด์ิรกั เพม่ิ พนู ทรัพย์ไพบลู ย์ไหลหลัง่ ดัง่ บชู า
ชัยภูมเิ มืองน้ีดีน่าอยู่ เชญิ มาดูจะไดเ้ ห็นเพ็ญกฤษณา
ชัยภูมภิ ูมิพิพัฒน์ทศั นา ภมู ิใจมา ภมู ใิ จ ถ่ินชัยภูมิ


นางวิไล วรรณบษุ ปวชิ

คุยเฟื ่ องเมืองพ่อแล

คุยเฟื่องเมืองพ่อแล ช่างดีแท้หนอเมืองนี้
เรือ่ งราวล้วนมากมี คือศั กดิศ์ รีชัยภูมิ



ตราประจำ�จังหวัด

สัญลกั ษณ์ : เป็นรูปธงสามชาย
หมายถึง ธงสามเหลี่ยมมุมฉาก ปลายธงมี ๓ แฉก เปน็ ๓ ชาย ลดหลน่ั กนั เชอ่ื วา่ เปน็ ธงทน่ี �ำ มาซง่ึ สริ มิ งคล มกั ใชน้ �ำ รว้ิ กระบวนทพั เพอ่ื มงุ่ หวงั

ให้ไดร้ บั ชยั ชนะ สอดคลอ้ งกบั นามเมอื งทม่ี คี วามวา่ “ แผน่ ดนิ แห่งชยั ชนะ ”

คำ�ขวัญ

กำ�เนดิ แม่น้ำ�ช ี สดดุ พี ญาแลผกู้ ล้า
ปรางค์กเู่ ปน็ สง่า ลำ�้ คา่ พระธาตชุ ยั ภูมิ
สมบูรณ์ป่าเขาสรรพสัตว ์ เด่นชัดลายผ้าไหม
ดอกกระเจยี วงามลอื ไกล อารยธรรมไทยทวารวดี



ดอกไม้ประจ�ำ จงั หวดั ต้นไม้ประจำ�จังหวดั คอื ตน้ ข้เี หลก็ ๗
คอื ดอกกระเจียว ชอื่ พนั ธุ์ไม้ ข้ีเหลก็ บ้าน

ขนาดและทีต่ ัง้

จังหวัดชัยภูมิตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณใจกลางของประเทศ เส้นรุ้งที่ ๑๕ องศาเหนือเสน้ แวง
ที่ ๑๐๒ องศาตะวันออก สูงจากระดับนำ้�ทะเล ๖๓๑ ฟตุ ห่างจากกรุงเทพมหานครโดยทางรถยนต์ ๓๓๒ กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ
๑๒,๗๗๘.๒๘๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๗,๙๘๖,๔๒๙ ไร่ คิดเป็นร้อยละ ๗.๙ ของพื้นที่ทั้งหมดของภาค และร้อยละ ๒.๕ ของพืน้ ที่
ท้งั ประเทศ มีเนอ้ื ท่ีใหญ่เปน็ อันดบั ๓ ของภาค และใหญเ่ ป็นอนั ดบั ๗ ของประเทศ

อาณาเขตติดต่อจงั หวัดใกล้เคียง ดังนี้

ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกับ จังหวดั ขอนแกน่ และจังหวดั เพชรบูรณ์
ทิศตะวันออก ติดต่อกบั จังหวดั ขอนแกน่ และจงั หวดั นครราชสมี า
ทิศใต้ ติดตอ่ กบั จงั หวัดนครราชสีมา
ทิศตะวนั ตก ติดต่อกบั จังหวัดลพบรุ ี และจงั หวดั เพชรบรู ณ์



ลักษณะภูมิประเทศ

ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไป ประกอบด้วยป่าไม้และภูเขา ร้อยละ ๕๐ ของพ้ืนที่ นอกนนั้ เปน็ ทรี่ าบ และทร่ี าบล่มุ
ด้านตะวันตก มีเทือกเขาวางตัวแนวเหนือใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาเพชรบูรณ์ ภูเขียว ภูพังเหย บริเวณตอนกลางของพื้นที่มี
เทือกเขาวางตัวในแนวตะวนั ออก ตะวันตก คือ เทือกเขาภูแลนคา

สภาพภูมิอากาศ

จังหวัดชัยภูมิมีลักษณะอากาศร้อนชื้น อยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนมีฤดู ๓ ฤดู ได้แก่

ฤดูหนาว ประมาณเดือน พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์
ฤดูร้อน ประมาณเดือน มีนาคม – พฤษภาคม
ฤดูฝน ประมาณเดือน มิถุนายน – ตุลาคม



๑๐ มอหนิ ขาว

การปกครองและบริหารราชการ

จงั หวัดชยั ภมู ิ มรี ูปแบบการปกครองและการบริหารราชการ ๓ ส่วน ได้แก่
๑. ราชการบริหารส่วนกลาง มีส่วนราชการต้งั หน่วยงานปฏบิ ัติหนา้ ที่ในจงั หวัด ๔๖ หน่วย
๒. ราชการบรหิ ารสว่ นภูมภิ าค มีส่วนราชการส่วนภมู ิภาคประจ�ำ จงั หวัด จำ�นวน ๓๕ หน่วยงาน
แบง่ การปกครองออกเป็น ๑๖ อำ�เภอ ๑๒๓ ต�ำ บล ๑,๖๒๐ หมู่บ้าน ประกอบดว้ ย
(๑) อำ�เภอเมืองชยั ภูมิ (๒) อ�ำ เภอภูเขยี ว (๓) อำ�เภอจตั รุ ัส
(๔) อำ�เภอแก้งคร้อ (๕) อ�ำ เภอเกษตรสมบรู ณ์ (๖) อำ�เภอหนองบวั แดง
(๗) อำ�เภอคอนสาร (๘) อำ�เภอบา้ นเขว้า (๙) อำ�เภอคอนสวรรค์
(๑๐) อ�ำ เภอบ�ำ เหนจ็ ณรงค ์ (๑๑) อ�ำ เภอเทพสถติ (๑๒) อำ�เภอบา้ นแทน่
(๑๓) อำ�เภอหนองบัวระเหว (๑๔) อ�ำ เภอภักดชี ุมพล (๑๕) อ�ำ เภอเนนิ สงา่
(๑๖) อ�ำ เภอซบั ใหญ่
๓. องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ จำ�นวน ๑๔๓ แหง่ ประกอบด้วย
๓.๑ องคก์ ารบริหารส่วนจังหวดั จำ�นวน ๑ แหง่
๓.๒ เทศบาล จำ�นวน ๓๖ แห่ง
เทศบาลเมอื งจำ�นวน ๑ แหง่ เทศบาลต�ำ บลจ�ำ นวน ๓๕ แหง่
๓.๓ องค์การบรหิ ารส่วนต�ำ บลจำ�นวน ๑๐๖ แหง่
ประชากร

จงั หวดั ชยั ภมู ิ มปี ระชากรทง้ั สน้ิ ๑,๑๒๔,๙๒๔ คน แบง่ เปน็ ชาย ๕๕๖,๐๔๕ คน หญงิ ๕๖๘,๘๗๙ คน
มจี �ำ นวนบา้ นทง้ั สน้ิ ๔๐๐,๕๘๓ หลงั คาเรอื น และความหนาแนน่ ของประชากร โดยเฉลย่ี ทง้ั จงั หวดั ๘๘ คน
ตอ่ ตารางกโิ ลเมตร (ขอ้ มลู จากส�ำ นกั งานกลางทะเบยี นราษฎร์ กระทรวงมหาดไทย ณ วนั ท่ี ๓๑ ธนั วาคม ๒๕๖๓)

๑๑

การคมนาคม

จงั หวดั ชยั ภมู ิ มเี สน้ ทางคมนาคมตดิ ตอ่ กบั จงั หวดั ตา่ ง ๆ ทง้ั ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคกลาง และภาคเหนอื
ได้โดยสะดวกทัง้ ทางรถยนต์และทางรถไฟ ดังนี้
ถนนสายหลัก สามารถใชเ้ ดินทางโดยใชท้ างหลวงแผน่ ดินหมายเลข ๒๐๑ (สีค้วิ -ชัยภมู ิ-ชมุ แพ)
๒๐๒ (ชยั ภมู -ิ สดี า-บัวใหญ)่ ๒๐๕ (ชัยภูมิ-ลำ�สนธ-ิ ลำ�นารายณ)์ ๒๒๕ (ชยั ภมู -ิ นครสวรรค์)
รถประจำ�ทาง มีรถประจำ�ทางธรรมดา รถปรบั อากาศ และรถตู้ เชอ่ื มโยงทกุ ภมู ภิ าค

รถไฟ มรี ถไฟสายท่ีไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ-หนองคาย ผา่ นสถานีจัตุรัส
จังหวัดชยั ภูมสิ ามารถต่อรถยนต์โดยสารประจำ�ทางเขา้ สจู่ ังหวดั ชัยภูมิ ระยะทางประมาณ ๔๐ กิโลเมตร หรือไป
ลงที่สถานีบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาแล้วต่อรถยนต์โดยสารประจำ�ทางเข้าสู่ตัวจังหวัดชัยภูมิ
มีระยะทางประมาณ ๕๕ กโิ ลเมตร

๑๒

ทรัพยากรธรรมชาติและสิ ่งแวดล้อม

แหลง่ น้ำ�

เข่อื นจฬุ าภรณ์

ห้วยกุม่ ล�ำ ปะทาว ๑๓

ทรัพยากรป่ าไม้

เขตรักษาพันธ์สุ ัตวป์ ่าภเู ขียว ป่าต้นน�ำ้ ชี ทงุ่ กะมงั

นำ�้ ตกตาดโตน

๑๔

พลังงาน

ไฟฟา้ พลงั งานลม กงั หนั ลมอ�ำ เภอเทพสถิต ไฟฟ้าพลงั งานน้�ำ
โรงงานไฟฟา้ พลังงานน�้ำ จฬุ าภรณ์

๑๕

การประกอบอาชีพ

ด้านการเกษตร ด้านปศสุ ัตว์

ไร่ออ้ ย สวนส้มโอ โค-กระบอื

ไรม่ ันสำ�ปะหลงั สวนมะม่วง การเล้ียงปลาในกระชงั

๑๖

๑๗

ชัยภูมิ

ชัยภูมิเปน็ จังหวัดหน่งึ ในภาคอีสานตอนล่าง ต้งั อย่บู ริเวณชายขอบดา้ นตะวันตกของภาค เปน็ แหลง่ ก�ำ เนิดตน้ แม่น้ำ�ชี แม่น�ำ้ สำ�คัญที่หล่อเลี้ยง
ผู้คนใน ๘ จังหวัดภาคอีสาน อันประกอบด้วย ชัยภูมิ นครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อ�ำ นาจเจริญ และอบุ ลราชธานี
มีการค้นพบหลักฐานเคร่ืองมือเครื่องใช้ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อาทิ ขวานหิน เคร่ืองมือสำ�ริด เหล็ก มีภาพเขียนสี รูป
มนษุ ยก์ บั สัตวต์ ามผนงั ถ�้ำ ในเขตอ�ำ เภอคอนสารและอ�ำ เภอหนองบัวแดง จากหลกั ฐานดงั กล่าวแสดงใหเ้ ห็นว่าชยั ภูมเิ ปน็ ชมุ ชนโบราณท่มี คี วามเจรญิ มา
แต่ยุคกอ่ นประวัตศิ าสตร์

๑๘

ประวัติการสร้างเมืองทป่ี รากฏหลกั ฐานทางลายลักษณอ์ ักษรปรากฏชือ่ ชยั ภมู ิมายาวนานตง้ั แตส่ มยั สโุ ขทัย อยุธยาตอนตน้ ยคุ สมัยพระมหาธรรม
ราชา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ครั้งกรุงศรีอยุธยาปรากฏชัยภูมิเป็นเมืองร้าง สมัยกรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏหลักฐานว่ามกี ารถวาย
ช้างเผอื กส�ำ คญั ในสมยั รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือ พระอินทรไอยรา รัตนนาเคนทร์ คเชนทรบดินทร์ อินทรังสรรค์
อนันตคุณสมบูรณ์เลิศฟ้า และพระเทพกุญชร บวรศรีเศวต เอกชาติฉัททันต์ อนันตคุณสมบรู ณเ์ ลศิ ฟา้ สมยั รชั กาลท่ี ๒ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้
นภาลยั ปรากฏหลกั ฐานการอพยพมาของชาวลาวและเจา้ พอ่ พญาแล สมัยรัชกาลท่ี ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยูห่ ัว ไดพ้ ระราชทานบรรดาศกั ด์ิให้
พระยาภกั ดีชุมพล (แล) เป็นเจ้าเมืองคนแรก หลังจากนน้ั มผี คู้ รองเมอื งชยั ภมู ใิ นนามพระยาภกั ดชี มุ พลหลายทา่ น ดงั น้ี พระยาภกั ดชี มุ พล (เกต)ุ พระยาภกั ดี
ชมุ พล (เบย้ี ว) พระยาภกั ดชี มุ พล (ท)ี พระยาภักดชี ุมพล (บุญจนั ทร์) และพระยาภักดชี ุมพล (บญุ แสง) ต่อมาไดเ้ ปลี่ยนเปน็ ผูว้ า่ ราชการจงั หวัดตามการ
เปล่ยี นแปลงปรบั ปรงุ บริหารงานปกครองทอ้ งถน่ิ ในสมัยรชั กาลที่ ๕ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทีก่ ำ�หนดให้เมอื งชยั ภูมิแยกออกมาจาก
มณฑลอิสาน ซึ่งแต่เดิมขึ้นตรงต่อเมืองนครราชสีมา เมืองสำ�คัญที่มีผู้ครองเมือง คือ เมืองเกษตรสมบูรณ์ เมืองสี่มุมหรือเมืองจัตุรัส
เมืองภเู ขยี ว เมืองคอนสาร เมอื งบำ�เหน็จณรงค์ กป็ รบั เปลีย่ นมาเป็นอ�ำ เภอตัง้ แตน่ ้นั มา

๑๙

ชาวชัยภูมิมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย รักความสงบ เป็นสังคมเกษตรกรรม มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

มีแนวทางการด�ำ เนนิ ชีวิตโดยยดึ แบบอย่างการปฏบิ ตั ติ ามพุทธศาสนามีรอ่ งรอยปรากฏท่สี �ำ คญั คอื วัดกดุ โง้ง มีใบเสมาขนาดใหญ่

ที่แกะสลักเรอื่ งราวชาดก ของพระพทุ ธเจ้า อยู่อยา่ งเด่นชดั งดงามในสภาพทีส่ มบูรณ์ และมีหลกั ฐานปรางคก์ ่อู นั แสดงถึง

ศลิ ปวัฒนธรรมขอมโบราณ สมัยพระเจ้าชัยวรมนั ท่ี ๗

กว่าจะมาถึงเมืองชัยภูมิอันสงบร่มเย็นในวันนี้ ย่อมมีรากเหง้าที่งดงามหยั่งรากแห่งความดีงาม บนความอดทน เสียสละซ่อื สัตย์ สุจริต

สร้างบ้านแปงเมอื งไว้ใหล้ กู หลาน ซ่ึงถา้ จะเล่าไปกจ็ ะมที ั้งชาวบา้ น ครวั เกวียน ชา่ งฝีมือพน้ื บา้ น หลอมรวมกันเปน็ หน่งึ ตลอดมา

เมอื งชยั ภมู ไิ ดช้ อื่ วา่ เปน็ เมอื งผกู้ ลา้ พญาแล เพราะทา่ นเปน็ ผนู้ �ำ ทเ่ี ขม้ แขง็ เกง่ กลา้ มฝี มี อื และมคี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ ราชวงศจ์ กั รี นอกจากน้ันยงั

ไดร้ ับความรว่ มมอื จากหวั เมอื งต่าง ๆ ดงั นี้

พระยาภกั ดีชมุ พล (แล) เจ้าเมอื งชยั ภูมิ

พระไกรสงิ หนาท เจา้ เมืองเกษตรสมบรู ณ์

พระฤทธฦิ าชยั (พล) เจ้าเมอื งบำ�เหน็จณรงค์

พระนรินทร์สงคราม (ทองค�ำ ) เจ้าเมอื งจตั รุ สั (เมอื งสี่มุม)

หลวงพิชติ สงคราม (ปหู่ มนื่ อร่ามคำ�แหง) เจ้าเมอื งคอนสาร
๒๐

เจ้าพ่อผู้กอ่ เมือง

เจา้ พอ่ ก่อเมอื งเรา เดิมน้นั เล่าชอ่ื พ่อแล
เปน็ คนลาวโดยแท้ ยา้ ยมาแต่เมืองเวยี งจนั ทน์
เปน็ นกั รบผูด้ ี ตำ�แหนง่ มีในเขตขัณฑ์
เพือ่ นพ้องพร้อมใจกัน มงุ่ หนา้ พลนั เข้าพงพี
ท่องข้ามลำ�นำ้�โขง มาเชือ่ มโยงลำ�น้ำ�ชี
ปลูกบ้านแปงเมอื งดี เชื่อมไมตรสี รา้ งบ้านเรอื น
ไทยลาวเรารกั กนั ผูกสัมพนั ธ์ดจุ ดาวเดือน
เจ้าพ่อคอยย้ำ�เตือน เมอื งไทยเหมอื นบา้ นเกิดมา
บ้านเกิดอยู่เวยี งจันทน ์ เรอื นนอนนน้ั ไทยแท้หนา
ภักดอี งค์ราชา สยามมินทรถ์ นิ่ เมืองนอน
เจา้ พอ่ ผู้ศกั ดิ์สิทธ ์ิ เทวฤทธ์อิ ดศิ ร
กราบไหวแ้ ละขอพร ได้สมหวังดงั ตง้ั ใจ
ปกบ้านและคุ้มเมอื ง มลังเรอื งเลอื่ งลอื ไกล
ชัยภูมภิ ูมิถิน่ ไทย ค้�ำ ผนื ชยั ใหม้ ่ันคง

๒๑

พระไกรสิงหนาท เจ้าเมืองเกษตรสมบูรณ์

พระไกรสิงหนาท เจ้าเมอื งเกษตรสมบูรณค์ นแรก เปน็ คนเชื้อชาติลาว เป็นหลานเจา้
อนวุ งศเ์ วยี งจนั ทน์ เปน็ หนง่ึ ในควาญชา้ งทอ่ี พยพมาตง้ั หมบู่ า้ นทบ่ี า้ นลาด (อ�ำ เภอภเู ขยี วปจั จบุ นั )
เมื่อคร้ังเหตกุ ารณ์สงครามระหวา่ งกรุงธนบุรี กับกรุงศรีสตั นาคนหุต
พุทธศักราช ๒๓๒๕ รัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดเกล้าให้ยกหมู่บ้านลาดเป็นเมือง
พระราชทานนามใหว้ า่ “เมอื งภูเขียว” และโปรดเกล้าฯให้นามควาญชา้ ง ๒ คนท่ีมีสว่ นร่วม
ในการทำ�สงคราม ท่านหนึ่งทรงตั้งให้เป็น พระภิรมย์ไกรภักดิ์ และอีกท่านหนึ่ง คือ
ขุนไกรสิงหนาท
พุทธศักราช ๒๓๓๗ ขุนไกรสิงหนาท ได้จับช้างรูปงามลักษณะถูกถ้วนตามตำ�รับ
คชลักษณ์ที่ป่าภูเขียวได้นำ�ทูลเกล้าถวายแต่พระเจ้ากรุงสยาม ขุนไกรสิงหนาทได้รับ
พระราชทานปูนบ�ำ เหน็จความชอบใหเ้ ปน็ พระไกรสิงหนาทและให้ครองเมืองเกษตรสมบรู ณ์
ทา่ นพระไกรสงิ หนาทเปน็ ผมู้ คี วามสามารถปกครองบา้ นเมอื งใหร้ ม่ เยน็ เปน็ สขุ มคี วามซอื่ สตั ย์
และมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีเสมอมาเฉกเช่นเดียวกับเจ้าพ่อพญาแล
เป็นตน้ สกุล ฦาชา

๒๒

พระฤทธิฦาชัย (พล) เจ้าเมืองบำ�เหน็จณรงค์

พระฤทธฦิ าชัย (พล) เป็นกัลยาณมติ รทด่ี คี นหนง่ึ ของพระยาภกั ดชี ุมพล (แล)
เมื่อครั้งมีตำ�แหน่งเป็นขุนพล เป็นผู้มีความรู้ดีจึงได้รับการแต่งตั้งไปเป็นผู้ดูแล
กรมการเมอื งขขุ นั ธ์ สามารถพดู ภาษาลาวไดด้ ี ขุนพลและขนุ ภักดชี ุมพล อนั หมายถึงเจา้ พอ่
พญาแลจะไปมาหาสู่กัน ณ ดา่ นชวนเปน็ ประจ�ำ และพกั ค้างแรมอยหู่ ลายวัน ทัง้ สองท่านมี
ความสามารถในการคลอ้ งช้าง จึงออกคล้องช้างในป่าแถบรอยต่อภาคอสี านกับภาคกลาง
อยู่เนือง ๆ
เหตกุ ารณ์ในศกึ กบฏเจ้าอนุวงศ์ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจา้ อยู่
หัวรัชกาลที่ ๓ ว่าขุนพลได้มีส่วนช่วยเหลือในการศึกสงครามเช่นเดียวกับเจ้าพ่อพญาแล
พระองคจ์ งึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มพระราชทานบ�ำ เหนจ็ ความชอบใหข้ นุ พล
นายด่านชวนเปน็ ที่ “พระฤทธิฦาชัย” ยกฐานะด่านบ้านชวนข้ึนเป็น “เมอื งบำ�เหนจ็ ณรงค”์
แต่งตัง้ ให้พระฤทธิฦาชัยครองเมอื งบ�ำ เหนจ็ ณรงค์ตง้ั แต่นนั้ มา

๒๓

พระนรินทร์สงคราม (ทองคำ�) เจ้าเมืองจัตุรัส (เมืองสี่มุม)

พระนรนิ ทรส์ งคราม นามเดิม ทองคำ� บรรพบุรุษเป็นคนลาวเวยี งจนั ทน์เช่นเดยี วกับ
ทา่ นเจ้าพ่อพญาแล เปน็ เจ้าเมอื ง คนแรกของเมอื งสีม่ มุ ซง่ึ เปน็ ช่ือเดมิ ของเมอื งจตั ุรัส

ท่านเป็นผู้มีความรู้ความสามารถทางโหราศาสตร์เป็นอย่างดีและมีคาถา
ประจ�ำ ตวั อยู่ยงคงกระพนั ชาตรี ชาวบ้านให้ความเคารพนับถอื มาก ยกย่องท่านว่า อาจารย์คำ�

ในเหตกุ ารณก์ บฏเจ้าอนุวงศ์ พระนรินทร์สงครามไดต้ อ่ สอู้ ยา่ งอาจหาญเชน่ เดยี วกบั
เจ้าพ่อพญาแลแต่เพ่ือรักษาครัวเรือนของชาวบ้าน ท่านจึงยอมตายในฐานะหัวหน้าแม่ทัพ
ยอมใหถ้ ูกจับประหาร และการประหารท่านก็ใช้วิธแี บบโบราณ คอื ต้องใช้ช้างแทง ทา่ นจงึ
จะสิ้นชวี ิต
เจ้านายในสยามครั้งนั้นเห็นความเสียสละของท่านที่มีต่อลูกบ้านชาวเมืองสี่มุม
จงึ ปนู บ�ำ เหน็จให้เป็นพระนรินทร์สงคราม ชาวบา้ นชาวเมืองสร้างรปู สักการะบชู าไว้เปน็ การ
รำ�ลึกถงึ คุณงามความดี ใหท้ ่านไดป้ กปกั ษ์รักษาดแู ลบา้ นเมืองสบื มาช้านาน

๒๔

หลวงพิชิตสงคราม (ป่ ูหมืน่ อรา่ มก�ำ แหง) เจ้าเมืองคอนสาร

คอนสารเปน็ เมืองเก่าแกต่ ั้งแตส่ มัยรัตนโกสินทรต์ อนต้น มีเรอื่ งเลา่ ว่า มนี ายภูมี
ชาวเมืองนครไทย เมืองพิษณุโลก ได้น�ำ พรรคพวกมาเท่ยี วป่าและลา่ สัตว์ตลอดทง้ั อาหารจาก
ปา่ นานาชนดิ ทา่ นเห็นว่าบรเิ วณนมี้ คี วามอดุ มสมบูรณ์ จงึ ไดต้ ัง้ ถ่นิ ฐานพรอ้ มน�ำ ครัวเรอื นผู้
ร่วมเดินทางมาตง้ั บา้ นแปงเมอื งขึน้ และตง้ั ตนเปน็ หวั หนา้ หมบู่ า้ นนน้ั ความอุดมสมบูรณข์ อง
ปา่ คอนสาร มผี ง้ึ งาชา้ งและวัตถุท�ำ ดินประสิว เนอ่ื งจากมีถ�ำ้ และภูเขามากมาย ทา่ นจึงได้นำ�
งาช้าง นำ�้ ผง้ึ และดนิ ประสิวขนึ้ ถวายเปน็ เคร่อื งบรรณาการต่อพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอด
ฟา้ จฬุ าโลก จึงได้รบั พระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ต้งั ให้เป็น “หมื่นอร่ามกำ�แหง” ตำ�แหน่งนาย
หมวดมหี น้าทีร่ ักษาปา่ ผงึ้ และมูลค้างคาวในเทือกเขาสูง

หลงั จากปกครองบา้ นเมืองให้รม่ เยน็ เป็นสุข หมื่นอร่ามกำ�แหงได้เลือ่ นยศเป็น
“หลวงพิชิตสงคราม” เป็นเจา้ เมอื งคอนสารคนแรก เมือ่ มีการเปล่ียนแปลงการปกครอง
เมอื งคอนสารถกู ยบุ มาเปน็ ต�ำ บลหนงึ่ ของอำ�เภอ ภเู ขียว และได้รบั การแตง่ ตงั้ เป็นกงิ่ อำ�เภอ
คอนสาร เมื่อ พุทธศักราช ๒๕๐๑ และได้ยกฐานะเป็น อำ�เภอคอนสาร
เมื่อ พทุ ธศักราช ๒๕๐๓

หมื่นอรา่ มกำ�แหง ซึง่ ตอ่ มาไดร้ ับการแตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ หลวงพชิ ิตสงครามนนั้ นอกจาก
จะเป็นเจ้าเมอื งคนแรกแล้ว ท่านยังเปน็ ผู้มีเมตตา เป่ียมด้วยคุณธรรม ปกครองลกู บ้าน
ด้วยความรกั ช่วยเหลอื ดูแลในยามเจ็บปว่ ย ทา่ นจึงได้รบั การเคารพบชู า จนชาวบา้ นไดส้ รา้ ง
อนุสาวรยี ข์ องทา่ นไว้กราบไหว้ บูชาและขอพร

๒๕

ป่ ูด้วง

ปดู่ ้วงเป็นชาวบา้ นอำ�เภอขุขนั ธุ์ จงั หวดั ศรสี ะเกษ เม่ือแต่งงานแลว้ มีบตุ รด้วยกนั
๒ คน ต่อมาอพยพจากบ้านเดมิ มาตงั้ บ้านเรอื นอย่ทู ีบ่ ้านตาดโตน ต�ำ บลนาฝาย อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั ชยั ภมู ิ มีฐานะมั่นคง มั่งมี
เมอ่ื คร้งั เจ้าพอ่ พญาแลเป็นเจ้าเมืองชยั ภมู ิ ได้อาศัย ป่ดู ้วงนเ้ี ป็นครบู าอาจารย์
ประสทิ ธิป์ ระสาทวิชา เวทมนตร์ คาถาวชิ าอาคมให้จนเจ้าพอ่ พญาแลมคี วามเชย่ี วชาญ
ประกอบกบั ท่านเจา้ พ่อพญาแลเปน็ ผมู้ ีอ�ำ นาจวาสนาสามารถเรยี นส�ำ เร็จวชิ าอาคมอยู่ยง
คงกระพันชาตรี ฟนั ไม่เข้ายิงไมอ่ อกเมื่อคร้ังเหตกุ ารณ์กบฏเจา้ อนุวงศ์ ปู่ด้วงพาครอบครัวข้ึน
ไปอย่กู ลางขนุ เขาภูแลนคาซึ่งเปน็ ทต่ี งั้ ของบ้านเก่าย่าดีในปัจจบุ นั
ปูด่ ้วงสามารถเรยี กสตั วป์ า่ ใหม้ าเป็นบริวารได้จนได้รับขนานนามจากชาวบ้านวา่ เจา้ ปู่
แหง่ ขุนเขา ทา่ นสามารถรักษาผ้มู อี าการเจ็บป่วยด้วยมนต์คาถา จนเปน็ ทนี่ บั ถอื ของชาวบา้ น
มีรปู สักการะของปู่ด้วงไว้สักการะบูชาถึง ๓ แห่งดว้ ยกัน คือ ชอ่ งสามหมอ น้ำ�ตกตาดโตน
และ บ้านเก่ายา่ ดี เชอื่ กนั ว่าใครไดก้ ราบไหว้ ขอพรแลว้ ได้สมหวงั ดงั ต้งั ใจทุกคน

๒๖

ย่าดี

ยา่ ดี เกดิ ทบ่ี า้ นโสกคลอง อ�ำ เภอเกษตรสมบรู ณ์ จงั หวดั ชยั ภมู ิ แตง่ งานแลว้ มลี กู ๑ คนได้
ย้ายจากบ้านเดิมมาอยบู่ า้ นตาดโตน ย่าดเี กิดคนละชว่ งเวลากบั ปู่ด้วง หลังจากป่ดู ้วงไดเ้ สีย
ชีวิตแลว้ ประมาณ ๒๐ ปี จึงมเี รอื่ งยา่ ดปี รากฏขึ้นดงั น้ี

ย่าดอี ยูก่ บั สามแี ละลูกหลานท่ีบา้ นตาดโตน อยรู่ ่วมสขุ รว่ มทกุ ขเ์ รื่อยมาจนแกเ่ ฒ่า
เมอื่ ายุมากขึ้นย่าดีเกิดล้มป่วยเป็นไขล้ ม้ หมอนนอนเสอื่ ลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ เป็นเวลาแรมปี
ยาชนดิ ใดก็ชว่ ยไม่ไดห้ มอยาตา่ งๆ ก็ไม่สามารถรกั ษาได้ คืนหนึง่ ย่าดฝี นั ไปว่าปู่ดว้ งไดเ้ ขา้ ฝัน
และถามว่า ตอ้ งการหายหรือไม่ ยา่ ดตี อบว่าตอ้ งการหาย เพราะยังไมไ่ ด้สร้างบุญสร้างกศุ ล
พอเพียง ตอ้ งการอยู่ท�ำ บญุ ท�ำ กุศลเสยี กอ่ น ปูด่ ้วงเลยบอกว่า ถ้าต้องการหายใหเ้ ข้าปา่ ไป
จำ�ศีลภาวนาทบ่ี า้ นกลางปา่ ซ่ึงเป็นบรเิ วณท่ปี ูด่ ว้ งเคยอยู่จำ�ศีลภาวนามากอ่ นแล้วจะหายป่วย

ยา่ ดีเลา่ ใหญ้ าตพิ ี่น้องฟังพร้อมกับบอกใหพ้ าไปท่ีปู่ดว้ งเคยจำ�ศลี ญาตพิ นี่ อ้ งจงึ ท�ำ
เปลหามไป พอไปถงึ ชายปา่ ย่าดกี ็มีเรยี่ วแรงลกุ ข้ึนเดนิ ไปเองได้อย่างนา่ อศั จรรย์

จากนน้ั ยา่ ดีไดอ้ ยปู่ ฏิบัติธรรมตามแนวทางของปดู่ ้วง และยา่ ดกี ็สามารถดแู ลรกั ษาผู้
ป่วยต่างๆ ได้เช่นเดียวกบั ปู่ด้วง ชาวบ้านเก่ายา่ ดีจงึ ได้จดั ท�ำ รปู เคารพของยา่ ดีไว้คูก่ บั ปดู่ ว้ งไว้
ที่บ้านเก่าย่าดตี ัง้ แตน่ ้นั มา

๒๗

ท้าวบุญมี

ท้าวบุญมีหรือแม่บุญมี เป็นผู้ดีหลวงที่ติดตามเจ้าพ่อพญาแลมาจาก
เวียงจันทน์ ท่านมฝี มี อื ในการปลูกหม่อนเลย้ี งไหม ทอผ้า จึงกอ่ ให้เกิดการทอ
ผ้าของหญิงชาวชัยภูมิอย่างมากมายและมีลวดลายสวยงาม ผ้าฝ้ายใน
ครัวเรอื น และผ้าท่ีนำ�ไปเปน็ เครอ่ื งบรรณาการต่อราชส�ำ นักเสมอมา

ศาลเจ้าพ่อพญาแล

ชาวจังหวัดชัยภูมิมีความเช่ือและความศรัทธาต่อเจ้าพ่อพญาแล
คผวกู้ า่อมสซรอื่ ้าสงตัเมยือแ์ งลชะัยมภคี ูมวิแามลจะงเปรกั็นภเจกั ้าดเตีมอ่อื บงา้คนนเแมรอื กงขไอดงส้ จรังา้ หงวเมดั อื ชงัยชภยั ูมภิ มู ทแิ ่าลนะเปพน็ฒั ผนมู้ าี
บ(เ้จา้านพเ่อมพือญงใาหแล้เจ) รไิดญ้เสรุีย่งชเีวริตืองปขรึ้ะนชเาปช็นนลผำู้�เลด่ือับมใตสศ่อรมัทาธพารไดะ้ปยลาูกภสักรด้างีชศุมาพลล
วเพันยีพงธุ ตแารกณขอบงรเเิ ดวือณนใต๖ต้ น้ ขมอะงขทากุ มปใีหชญาว่ เบร้ายี นกไวดา่ ้พ“าศกานั ลนเำ�จขา้ อพงอ่ สพกั ญกาาแรละ”มาคเซรน้ัน่ ถไหงึ ว้
ศาลขนึ้ แตใน่ศปาลี พเจทุ า้ ธพศอ่ กั พรญาชาแ๒ล๔ห๙ล๔งั นป้มี รีพะนื้ ชทา่ีชไมน่เผพูเ้ ียลงอื่ พมอใสรศอรงทัรับธาปไรดะ้รช่วามชกนนั ทสี่ไรปา้ ง
สกั การะบูชคาร้นั เมื่อ พุทธศกั ราช ๒๕๑๑ พ่อค้าประชาชนชาวจังหวัดชัยภูมิ
ไหดลร้ งั ว่ ใมหมกน่ั คบรรอจิ บาอคาเคงนิารสหมลทงั บเกตา่ าเมพกอื่ �ำปลรงัะศดรษิ ทั ฐธานารสปู รหา้ ลงอ่ อขาอคงาทรา่ศนาไลวเภ้ จาา้ ยพใอ่นพใหญเ้ ปาน็แทลี่
ศเคาาลรเพจ้าสพักอ่กหารละังบนชูี้ไดาขช้ อ�ำ รงุดชาทวรจุดังโหทวรัดมชผัย้จูภดั ูมกิ ตารลปอกดครระอยงะศเวาลลาเจ๕้า๓พ่อปพี อญาาคแาลร
เแจลา้ ะพผอ่ ตู้พรญวาจแตลรหาลสงั อเกดา่สแ่อลงะศสารลา้ เงจอ้าาพค่อาพรหญลางั แใหลมไท่ ดดม้ แมี ทตนิใโหดร้ยื้อกถ�ำ หอนนดอวาาคงาศรลิ ศาาฤลกษ์
๒๘ สอาามคาารรถศราอลงเจร้าับพป่อรพะชญาาชแนลที่มในาสวกัันกพาฤรหะัสรบปู ดหีลท่อี่ ๑เห๙มสือินงหเจาา้ คพม่อพ๒ญ๕า๖แ๔ลเไพดม้ื่อาใหก้ขึ้น

พระตำ�หนักเขียว

พระตำ�หนักเขียว เดิมเป็นบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ
ต่อมาปี ๒๔๙๘ ได้จดั ใหเ้ ปน็ พระตำ�หนักท่ีประทับแรมของพระบาทสมเดจ็
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
และสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง
เมือ่ วนั ท่ี ๔-๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เม่ือครง้ั เสดจ็ พระราชดำ�เนินเยย่ี มราษฎร
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ระหว่างวันที่ ๒-๒๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๙๘
พระต�ำ หนกั เขยี ว ตง้ั อยภู่ ายในบรเิ วณจวนผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ชยั ภมู ิ
ปัจจุบันมีการปรับปรุงซ่อมแซม โดยด้านบนจัดเป็นสถานที่แสดงภาพ
ประวตั ิศาสตร์เคร่อื งใช้สว่ นพระองค์เมอ่ื ครง้ั เสดจ็ ฯ เยือนจงั หวดั ชัยภูมิ
และเปน็ ห้องทท่ี รงงาน หอ้ งเสวยสธุ ารส และหอ้ งพระบรรทม ด้านล่าง
พระตำ�หนกั ให้เป็นทแี่ หลง่ เรยี นร้ดู า้ นศลิ ปวัฒนธรรมพื้นบา้ นจงั หวดั ชยั ภมู ิ
ดา้ นการทอผ้าไหม โดยรวบรวมเอกสารลวดลายผ้าไหมชยั ภูมทิ ่ีมลี ายผ้าเปน็
เอกลกั ษณ์ของจังหวดั ไว้จำ�นวน ๑๕๐ ลาย ซ่งึ ไดจ้ ัดแสดง และบันทึกไว้ใน
แฟ้มประวตั ิ ณ พระตำ�หนกั แหง่ น้ี

๒๙

รุง่ เรืองเรือ่ งตัวตน

อตั ลักษณ์ทีช่ ดั เจน และโดดเด่นตามวิถี
ตวั ตนเร่อื งดดี ี บง่ บอกชสี้ ่งิ ดีงาม

แม้จะเป็นชาวอสี าน แตช่ าวชัยภมู มิ คี วามเปน็ ตัวตนท่ีเดน่ ชดั มากแตก
ตา่ งจากชาวอสี านหลายอย่างคือ ภาษา การแตง่ กาย อาหาร ดนตรี ศิลปะการ
แสดงประจำ�ถิ่นและมอี ัตลักษณ์ทางธรรมชาตทิ ี่สวยงาม รอการมาเยอื นของ
ผคู้ น มปี ระเพณที ง่ี ดงามตามวถิ ขี องชาวชยั ภูม

๓๐

ภาษาในเมืองชัยภูมิ

มีท้ังหมด ๔ ประเภท

ภาษาพื้นเมอื งของชาวชยั ภมู ิส่วนใหญเ่ ป็นภาษาลาว มีสำ�เนียงแตกต่างกันไป ภาษาท่ีใช้ในจังหวดั ชัยภูมิ
แบง่ ออกเปน็ ๔ กลุ่มดงั น้ี
๑) กลุ่มลาวเวียงจันทน์ ใช้ภาษาลาวสำ�เนียงเวียงจันทน์ เป็นกลุ่มชนที่มีมากที่สุดในจังหวัด
เนือ่ งจาก ในอดีตบรรพบรุ ุษของชาวชยั ภมู ิส่วนใหญ่ สบื เชื้อสายมาจากนครเวียงจนั ทน์ โดยพบการใชภ้ าษา
สำ�เนียงเวียงจันทน์ในทุกอำ�เภอ ปัจจุบันภาษาสำ�เนียงเวียงจันทน์เปลี่ยนสำ�เนียงไปมีการปะปนสำ�เนียง
ทั้งจากโคราช ภาษาไทย และภาษาลา้ นนา ทำ�ใหม้ สี �ำ เนยี งที่แตกตา่ งออกไปจากเดิม

๒) กลมุ่ ลาวหลวงพระบาง หรอื กล่มุ ไทเลย ใชภ้ าษาลาวสำ�เนียงหลวงพระบางซ่ึงเป็นภาษาเดยี วกัน
ที่ใช้มากในแถบจังหวัดเลย คนชัยภูมิที่มีพื้นภูมิอยู่ด้านบนของจังหวัด ก็จะพูดสำ�เนียงไทเลย ภาษานี้เป็น
ภาษาหลักท่ีใช้ในอำ�เภอคอนสาร และมปี ะปนในแถบอำ�เภอหนองบวั แดง อ�ำ เภอภักดชี ุมพล อำ�เภอภูเขยี ว
อำ�เภอเกษตรสมบรู ณ์

๓) กลมุ่ ไทโคราช ใชภ้ าษาไทยโคราช ใช้ในพน้ื ทส่ี ว่ นลา่ งของจงั หวดั ทม่ี เี ขตตดิ ตอ่ กบั จงั หวดั นครราชสมี า
เช่น อำ�เภอจัตุรัส อำ�เภอเทพสถิต อำ�เภอบำ�เหน็จณรงค์ อำ�เภอเนินสง่า อำ�เภอซับใหญ่ และบางส่วน
ในแถบอำ�เภอเมือง เช่น ตำ�บลบ้านค่าย และในอำ�เภอคอนสวรรค์ ที่บ้านโนนพันชาติ ตำ�บลโนนสะอาด

๔) กลุ่มชาติพันธุ์มอญญัฮกุร เป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัด ใช้ภาษาญัฮกุร ซึ่งเป็นภาษามอญ
โบราณ จัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลมอญ-เขมร คำ�ศัพท์หลายคำ�ใกล้เคียงกับภาษาเขมรและภาษากูย
โดยกลุ่มชาวมอญญัฮกุร นั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เก่าแก่ และเป็นมอญโบราณกลุ่มสุดท้าย ซึ่งหากเทียบกับ
จังหวัดอื่นที่มีกลุ่มชาติพันธุ์นี้ในประเทศไทย ที่จังหวัดชัยภูมิถือว่ามีชนกลุ่มนี้อาศัยอยู่มากที่สุด โดยพบได้ที่
บา้ นน�ำ้ ลาด บา้ นสะพานหนิ บา้ นสะพานยาว อ�ำ เภอเทพสถติ นอกจากนย้ี งั มที บ่ี า้ นวงั ก�ำ แพง ในอ�ำ เภอบา้ นเขวา้
ที่บ้านท่าโป่ง บา้ นห้วยแย้ ในอำ�เภอหนองบัวระเหว

๓๑

ผ้าไหมมัดหมี่ ลายขอกะหรี่

“ลายหมค่ี น่ั ขอนาร”ี ชอื่ เดมิ คอื “ลายขอกะหร”่ี เปน็ ลวดลายเอกลกั ษณท์ ง่ี ดงาม
ผา้ ไหมมดั หมข่ี องชยั ภมู มิ มี ากทอ่ี �ำ เภอบา้ นเขวา้ แกง้ ครอ้ คอนสวรรค์ สบื สานงานฝมี อื การ
ทอผา้ ของผหู้ ญงิ ชาวชยั ภมู ิ มาตง้ั แตส่ มยั แมบ่ ญุ มจี นในปจั จบุ นั ผา้ ไหมเมอื งชยั ภมู มิ ชี อ่ื เสยี ง
เมอ่ื ครง้ั สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ทรงสง่
เสรมิ งานปลกู หมอ่ น เลย้ี งไหม พระองคท์ า่ นไดท้ รงทอดพระเนตรงานผา้ ไหมของชยั ภมู ิ
และทรงชน่ื ชมวา่ สวยงามมาก ไดม้ พี ระราชด�ำ รใิ หอ้ นรุ กั ษล์ ายดงั กลา่ วไวจ้ งึ ไดเ้ ปน็ ลายผา้
ไหมประจ�ำ จงั หวดั ชยั ภมู ิ

เสื ้อไทคอนสาร

อำ�เภอคอนสาร

วถิ ีชวี ิตของชาวคอนสาร ผกู พันอยกู่ บั การทอผา้ ท้ังผา้ ไหมและ ผา้ ฝ้าย ลายผ้า
ของท่นี ่ีมีลักษณะพเิ ศษ เรยี กว่า ลายดอกแก้ว แต่เดิมการทอผ้าขิด นัน้ ใชท้ อเพอ่ื ทำ�
หมอน ต่อมา นางไพรัตน เลิศคอนสาร เป็นผู้มีฝีมือ ในการตัดเย็บและทอผ้า
ไดป้ รับเปลีย่ นจากการทำ�หมอนเพยี งอย่างเดียว มาเปน็ การนำ�ผา้ ขดิ ลายดอกแก้ว
มาตกแตง่ เปน็ เสอ้ื สวมใส่ ทัง้ ชายและหญงิ สวยงามแปลกตา แกผ่ พู้ บเห็นเปน็ เสน่ห์
ชวนมอง จึงมกี ารสวมใส่กนั อย่างพรอ้ มเพรียงจนเป็นเอกลักษณข์ องชาวคอนสาร
ในปัจจุบนั

เสอ้ื ไทคอนสารเป็นเส้อื ทีท่ ำ�มาจากผ้าฝ้ายสขี าวตกแต่งลายขดิ ดอกแกว้ มีลกั ษณะ
คลา้ ยเสือ้ มอ่ ฮอ่ ม ใส่ได้ทุกโอกาส มีผา้ ขดิ ตกแต่งในส่วนตา่ งๆ ของเสื้อตามต้องการ
ซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณ์ของชาวอ�ำ เภอคอนสาร

๓๒

อาหาร
“หม�ำ่ ”

“หม�่ำ ”เปน็ อาหารพืน้ บา้ นทมี่ มี าแต่โบราณ ถือเปน็ ความภมู ใิ จสุดยอดของดขี องฝาก
ชาวชัยภูมิ การท�ำ หม่ำ�เปน็ การอนุรกั ษ์ภมู ิปัญญาไทยดา้ นอาหาร การท�ำ หม่ำ� ในสมัย
กอ่ นเกดิ จากชาวบ้านแถบภเู ขาขึ้นไปลา่ สตั วเ์ ป็นอาหาร ซง่ึ แต่เดมิ ยังไมเ่ ปน็ เขตหวง
ห้าม เม่อื ได้เน้อื สตั ว์ต่างๆ ก็จะน�ำ เอากระเพาะของสัตว์นั้นๆ เปน็ ภาชนะใส่เนือ้ และ
สตั วต์ า่ งๆ ผสมเกลอื ห่อเปน็ กอ้ นๆ ลงมาจากภเู ขาสงู ใหค้ รอบครวั ได้ใชเ้ ปน็ อาหาร
ในหอ่ ท่ีเป็นส่วนผสมของตบั สตั วจ์ ะเรียกว่า “หม่ำ�”

“หม่ำ�” ในเมอื งชัยภูมริ สชาตดิ ี มีอยูท่ วั่ ไปผู้คนนิยมรับประทาน และเป็น
สินค้าท่ีสรา้ งรายได้ใหก้ บั จังหวดั ชยั ภมู ิ

“ปลาส้มไรก้ า้ งบงึ ละหาน”

“ปลาสม้ ไรก้ า้ ง” ตน้ ต�ำ รบั ส่วนใหญ่ท�ำ จากปลาตะเพียน วธิ กี ารทำ�ให้เปรีย้ ว
หรือมีรสชาตทิ เ่ี รยี กวา่ ปลาสม้ คอื หลงั จากที่น�ำ ปลาตะเพยี นมาแยกก้างออกแลว้
ล้างน้ำ�ให้สะอาด ทำ�รสชาติให้เปรี้ยวด้วยการใช้น้ำ�หมักเอนไซม์จากน้ำ�สับปะรด
การหมักใช้เวลาไมเ่ กิน ๔ ช่วั โมง และปลาทน่ี �ำ มาหมักตอ้ งเปน็ ปลาทีส่ ด ผ่านการ
ทำ�ความสะอาดอย่างดี ปลอดสารพิษทำ�ให้ปลาที่นำ�มาทำ�ปลาส้มไม่เน่าเสียง่าย
ทเ่ี รยี กวา่ ปลาสม้ ไรก้ า้ ง เพราะกอ่ นท�ำ การหมกั จะแยกกา้ งปลาออกกอ่ น จงึ เปน็ ทม่ี า
ของปลาสม้ ไรก้ า้ ง

การทอด คือชุบด้วยแปง้ ขา้ วเจา้ ก่อนเพราะจะชว่ ยท�ำ ใหร้ สชาติปลาออกมาก
กรอบนอกนมุ่ ในมีรสชาตเิ ปรยี้ ว หวาน ปลาสม้ ไร้กา้ งของเมอื งชยั ภูมิ เป็นทีข่ ้ึนชอ่ื ว่า
มีรสชาตอิ รอ่ ยถูกปากทุกคน

๓๓

“ควั่ เน้อื คัว่ ปลา” “ขนมเส่นแกงไก่”

ในสมัยโบราณทอ้ งที่อำ�เภอคอนสารมปี ่าไม้และสัตวป์ า่ อดุ มสมบูรณ์ เวลาออกไป ขนมจนี ชาวชัยภมู ิ เรียกวา่ “ขนมเส่น” รับประทานกบั น้ำ�ยาต่างๆ นำ้�ยาปลาร้า
ลา่ เนอ้ื ไดต้ วั ใหญๆ่ ท�ำ อาหารกนิ อยา่ งไรก็ไมห่ มด มีเนื้อสตั ว์เหลืออยู่ เพราะไมม่ ีทซี่ ือ้ นำ้�ยาไก่ นำ�้ ยานำ�้ พริก (คนชยั ภมู ิ เรยี กวา่ นำ้�ยาหวาน) น�ำ้ ยาไก่ ป็นนำ้�ยากะทพิ น้ื บ้าน
ขาย เหมอื นปจั จบุ นั และไม่มีตเู้ ย็นเกบ็ อาหาร ชาวบา้ นจึงทำ�เน้อื ยา่ งปลาย่างเก็บไว้ ทค่ี นชัยภมู ินิยมรบั ประทานกับขนมจนี ในน�ำ้ ยาไก่ มที ัง้ เนื้อไก่สับหยาบ นอ่ งไก่ ปีกไก่
มากมาย ครั้งหนึ่งพ่อเมืองประกาศในงานทำ�บุญประจำ�ปีให้ชาวบ้านจัดหุง เครอื่ งในไก่ และเลือดไก่ มเี คร่อื งเคยี ง เป็นผักพนื้ บา้ น คือ ใบสะระแหน่ ถ่ัวงอก
หาอาหารมาให้ร่วมกนั รับประทาน และมกี ารคัดสรรว่าอาหารอนั ใดทีจ่ ะนำ�มาคกู่ ับ ถว่ั ฟักยาว
กับงานบญุ ประจ�ำ ปี มชี าวบา้ นน�ำ เนอื้ ยา่ งปลายา่ งท่ี ทำ�เกบ็ ไว้มาปรงุ อาหาร วธิ กี าร
ท�ำ โดยใชม้ ะพรา้ วขาวแกจ่ ดั ขดู และเคย่ี วให้ แตกมนั ใส่ หอม กระเทยี ม ใบมะกรดู ขา่
ตะไคร้ ขมน้ิ เป็นสว่ นผสมทส่ี �ำ คัญในการปรุงรสใหอ้ รอ่ ย จากนน้ั น�ำ เน้อื สตั วท์ ยี่ ่างไว้
ใสล่ งไปคั่วต่อจนหอมและได้ที่ ยกลงมารบั ประทาน

คว่ั เนอ้ื คว่ั ปลาเปน็ วธิ กี ารถนอมอาหารทเ่ี กา่ แกเ่ ปน็ ภมู ปิ ญั ญาของชาวอ�ำ เภอคอนสาร
ที่ร่วมกันอนุรกั ษ์ไว้

“ทอดมนั ปลากราย”

ทอดมนั ปลากรายเป็นทอดมนั ทีม่ คี ณุ ค่าทางอาหารทีข่ ้ึนช่ือวา่ เปน็ ท้ังอาหารทอี่ รอ่ ย
ถูกปากเหนียวนุ่มเพราะทำ�จากเนื้อปลากรายล้วนๆ เป็นของฝากก็ถูกใจ
ของจังหวัดชัยภูมิ คือ ทอดมันปลากราย ยี่ห้อ 3 จ เป็นของฝากที่ขึ้นชื่อ
ของอ�ำ เภอจัตรุ สั จงั หวดั ชยั ภูมิ
๓๔

ดนตรี

วงแคนใหญ่

วงแคนทมี่ ีขนาดแคนใหญ่และวงแคนยาวแห่งบา้ นขเ้ี หล็กใหญ่ อำ�เภอเมอื งชยั ภูมิ
เปน็ วงแคนวงเดยี วท่หี าไดย้ ากแปลกจากแคนทว่ั ไป เพราะลักษณะของแคนคือแคน
หนึ่งตัว อาจมี ๒ เต้า ๓ เต้า และมีตัวแคนยาวสูงมากบางครั้งสามารถแสดง
การเป่าแคนจากคน ๓ คน ใน ๓ เต้าของแคนหนึ่งลำ�จงึ นบั เป็นความแปลกใหม่
สร้างสรรค์ ของช่างฝีมือดา้ นแคนของคนชัยภมู ิโดยแท้

๓๕

ศิ ลปะการแสดง

ศิลปะการแสดงของชัยภูมิที่ขึ้นช่ือ คือ หมอลำ�กลอนทำ�นองชัยภูมิ ช่ือเรียกในท้องถิ่น “หมอลำ�กลอนวาดชัยภูมิ”เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นศิลปะการ
แสดงพื้นบ้านที่เป็นวัฒนธรรม ที่มีการแสดงอยู่ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิทั้ง ๑๖ อำ�เภอ และต่างจังหวัดที่มีคนช่ืนชอบมากที่สุด คือ “กลอนเกี้ยวกระดูกแตก ”
โดยเฉพาะในภาคอีสานที่รับฟังทำ�นองลำ�ชัยภูมิ ในขณะนี้ยังมีนักแสดงหมอลำ�กลอนทำ�นองชัยภูมิเหลืออยู่ จำ�นวน ๕ คน ซึ่งมีภูมิลำ�เนาอยู่ในพื้นที่
ต�ำ บลในเมอื ง อ�ำ เภอเมอื งชยั ภมู ิ , ต�ำ บลบา้ นเพชร อ�ำ เภอภเู ขยี ว และต�ำ บลหนองสงั ข์ อ�ำ เภอแกง้ ครอ้ เปน็ ลกั ษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้าน
ศิลปะการแสดงหมอล�ำ กลอนวาทชัยภูมิ เปน็ การล�ำ ท่ีใชบ้ ทกลอนโตต้ อบกันระหว่างหมอล�ำ ฝ่ายชายและหมอล�ำ ฝ่ายหญิง ใชล้ �ำ โตต้ อบกนั บทกลอนทห่ี มอล�ำ ใช้
ล�ำ (ขบั ล�ำ ) เรยี กวา่ “กลอนล�ำ ” มเี นอ้ื หาสาระ เกย่ี วกบั วถิ ชี วี ติ ทกุ ดา้ น ดา้ นศลี ธรรม ประเพณี ประวตั ศิ าสตร์ นทิ านพน้ื บา้ นวัฒนธรรมท้องถิ่น การชมธรรมชาติ
กลอนลำ�เนื้อหาจริยธรรม คุณธรรม คำ�สอนโบราณ ชาวอีสาน คติโลกคติธรรม โดยกลอนลำ�ทำ�นองชัยภูมิ โดยเฉพาะการ “ ลำ�ทางสั้น ” จะมีโครงสร้าง
ของกลอนที่ไม่เหมือนจังหวัดใด ในภาคอีสานอีก ๑๙ จังหวัดและในประเทศไทย เพราะโครงสร้างของกลอนลำ�ทำ�นองชยั ภมู ิ จะมี จ�ำ นวนคำ�และหรือ
พยางค์ ต้งั แต่ ๙ พยางค์ไปจนถึง ๑๕ พยางค์ ในแต่ละวรรคของกลอนลำ�

หมอล�ำ กลอนทำ�นองชยั ภมู ิ

๓๖

“รำ�เจย หรอื ร�ำ เจ้ย”

ร�ำ เจย หรอื ร�ำ เจย้ เปน็ ประเพณีการรอ้ งประกอบร�ำ ในการ
เชดิ บั้งไฟ หน่ึงปมี ีครั้งเดียว ถอื เป็นการแสดงประกอบประเพณจี ดุ บัง้ ไฟ
เป็นการแสดงฟ้อนรำ� และร้องกลอน มีดนตรีประกอบการแสดงคือ
โทน ๑ ใบ สำ�หรับตปี ระกอบจงั หวะการรำ�เจย้ บ้ังไฟในหมบู่ า้ นขีเ้ หล็กใหญ่
น้จี ะมีเฉพาะ คมุ้ เทา่ น้ัน คือคมุ้ ที่อยู่ใกล้หนองนำ�้ สตรีรา่ ยรำ�กนั อย่าง
สนกุ สนาน เป็นการรักษาสืบทอดประเพณดี ง้ั เดิมของชุมชนไวอ้ ย่างเหนยี ว
แนน่ เปน็ ศลิ ปะการแสดงพนื้ บา้ นเกา่ แกด่ ้งั เดิม สบื สานต่อเน่อื งมายาวนาน
มีมาแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ ทงั้ ชุดเสอ้ื ผา้ เลบ็ ฟ้อน หมวก เครื่องแตง่ กายกลุ่ม
ร�ำ เจย้ จะใส่เสอ้ื คอกลม แขนกระบอกย้อมคราม สวมซน่ิ ไหมนอ้ ยแบบ
ตอ่ ตีน มลี ายขิด สวมเลบ็ ฟอ้ น มหี มวกสานดว้ ยไม้ไผ่ มีตระกร้าไม้ไผ่เล็กๆ
ผูกกับเอว มกี ระดงิ่ ประกอบเวลาก้าวเดิน กจ็ ะได้ยินเสียงกุ้งกร๊งิ ไพเราะ
สะท้อนการแต่งกายระหว่างชาตพิ นั ธุ์กลมุ่ ลาวเวียงหรอื ลาวหลวงพระบาง
การร�ำ เจย้ บัง้ ไฟทบ่ี ้านขี้เหล็กใหญ่ ชยั ภมู ิ แตกตา่ งจากที่อืน่ คอื เล็บยาว
ท่ีใชฟ้ อ้ นสานดว้ ยไม้ไผ่ ปัจจุบนั ใชก้ ระดาษ แตม่ ผี ูเ้ ฒา่ คนหน่ึงยงั สานเลบ็
ฟ้อนได้ คอื คุณตาสงคราม กอ้ นมณี

๓๗

อัตลักษณ์ทางธรรมชาติ

ทงุ่ ดอกกระเจยี ว

ดอกกระเจยี ว หรือ บวั สวรรค์
เปน็ ดอกไม้ทส่ี วยงามมีกา้ นดอกยาว ขึ้นเองตามธรรมชาติ สวยสะพรั่งงดงาม
อยา่ งพรอ้ มเพรยี งกนั ท�ำ ใหป้ า่ เตง็ เรง็ และหญา้ เพก็ ในอทุ ยานแหง่ ชาตปิ า่ หนิ งาม
ที่แห้งแลง้ กลบั มามชี ีวติ ชีวาขน้ึ มาทันที เปรียบเสมือนราชินี แห่งมวลดอกไม้
บนขุนเขาแห่งนี้ เม่ือถึงช่วงฤดูฝนตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ถึงสิงหาคม
ของทกุ ปี กระเจยี วดอกสีชมพูอมม่วง นบั พนั นับหมนื่ ชชู อ่ อวดสายตาผู้คนที่
เดนิ ทางมาทอ่ งเที่ยวเย่ียมชม

๓๘

มอหนิ ขาว

มอหินขาว (เสาหินมหศั จรรยล์ า้ นปี) ตัง้ อย่ทู ีบ่ า้ นวังค�ำ แคน หมู่ที่ ๙ ต�ำ บลท่าหนิ โงม อ�ำ เภอเมืองชยั ภมู ิ
จังหวัดชัยภมู ิ เป็นแหลง่ ท่องเทีย่ วทางธรรมชาติ ทีม่ ีทิวทศั นส์ วยงามสามารถเทย่ี วชมไดต้ ลอดปมี อหินขาว
เปน็ ทต่ี ง้ั ของเสาหนิ ขนาดใหญจ่ �ำ นวนหลายแทง่ และกลมุ่ หนิ อกี จ�ำ นวนมากบนเทอื กเขาภแู ลนคาลกั ษณะของ
หนิ แตล่ ะแทง่ มสี ขี าวเกดิ จากกระบวนการเปลย่ี นแปลงของเปลอื กโลก การผพุ งั การกดั เซาะในยคุ จแู รสสกิ
ถึง ครีเทเซยี ส (Jurassic- Cretaceous) อายุ ๑๗๕-๑๘๕ ลา้ นปี จนปรากฏเป็นรูปรา่ งเดน่ ทางธรณวี ทิ ยามี
เพียงแห่งเดียวในทวีปเอเชียอยู่สูงจากระดับน้ำ�ทะเล ประมาณ ๖๐๐ เมตร มีจุดชมวิวผาหัวนาค
กลุ่มหินโขลงชา้ ง แปลกตารอต้อนรับผมู้ าชม

๓๙

อุทยานแหง่ ชาติตาดโตน

อุทยานแห่งชาติตาดโตนอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ ๒๑ กิโลเมตร อยู่ในท้องที่ บ้านตาดโตน ตำ�บล
นาฝายอ�ำ เภอเมอื งชยั ภมู ิ ตามทางหลวงจงั หวดั หมายเลข ๒๐๕๑(ชยั ภมู -ิ ตาดโตน)

บริเวณน้ำ�ตกตาดโตนจะมีน้ำ�ไหลเต็มที่สวยงามโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน มีลานหินที่กว้างใหญ่น้ำ�ตกไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ พื้นที่
โดยทั่วไปปกคลุมด้วยปา่ ดงดิบแล้งและปา่ เต็งรงั ธรรมชาติบริเวณเหนือน้ำ�ตกเป็นลานหินกว้างเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเล่นน้ำ�
และชมวิวในธรรมชาติ บริเวณด้านล่างน้ำ�ตกมธี รรมชาติทีส่ วยงาม ประกอบไปด้วย แอง่ นำ�้ ล�ำ ธาร โขดหนิ และพนั ธ์ุไม้นานาพันธุ์
ขึ้นอย่างหนาแน่น ทำ�ให้บรรยากาศร่มร่ืนเหมาะแก่การพักผอ่ นหยอ่ นใจสูดอากาศบรสิ ทุ ธิ์

๔๐

สื บค้น วัฒนธรรม ประเพณี

๔๑

ภมู ใิ จในแผน่ ดิน ศาสตร์และศิลป์ในถ่นิ น้ี งานบุญเดือนสี่ประเพณีไทคอนสาร
วฒั นธรรมประเพณี ภูมดิ ีดีท่ภี ูมิใจ
แรมสิบห้าค่�ำ เดอื นส่ี ประเพณีไทคอนสาร
ชยั ภูมิ เปน็ จังหวดั ท่มี ีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม วัฒนธรรมทยี่ าวนาน ร่วมสบื สานใหส้ บื ไป

ประเพณมี กี ารผสมผสานระหว่างความเชอ่ื ดงั้ เดมิ ประวตั ศิ าสตร์ของจังหวัด ประเพณบี ญุ เดอื นส่ีไทคอนสารเป็นประเพณี
กับหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาทำ�ให้การสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี ของชาวอ�ำ เภอคอนสาร จงั หวดั ชยั ภมู ิ ทส่ี บื ทอด
และประเพณีบุญตามฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ของชาวอีสานยังมีการถือปฏิบัติกัน มาแต่สมยั โบราณ ชาวอำ�เภอคอนสารถือว่า
อยู่อย่างเหนียวแนน่ เชน่ งานฉลองอนุสาวรีย์เจา้ พอ่ พญาแล งานแหเ่ ทยี นเข้า เป็นประเพณสี ำ�คัญที่ปฏิบัติสืบต่อกนั มามี
พรรษางานบุญบั้งไฟ งานบุญข้าวจี่ งานบุญเผวด ประเพณีรำ�ผีฟ้า เป็นต้น เอกลกั ษณ์โดดเดน่ มีการแตง่ กายพ้นื เมอื ง
ทงั้ นี้ จังหวัดชัยภูมิ มวี ัฒนธรรมประเพณี ดนตรีและการละเล่นพ้ืนบา้ นตลอด ท่ีแสดงออกถึงความเปน็ เอกลักษณ์ของชาว
จนกลุ่มชาติพนั ธท์ุ มี่ คี วามโดดเดน่ นา่ สนใจ ไทคอนสาร มีการจดั ขบวนแห่ การละเลน่ พื้น
บา้ น การแข่งขันสะบ้า การประกวดอาหารพ้ืน
๔๒ บา้ นค่ัวเนอ้ื ค่ัวปลา ข้าวตอกขา้ วเฮยี งโดยได้
กำ�หนดจดั งานส่งเสริมประเพณีท้องถ่นิ เทศกาล
ท่องเท่ยี วบุญเดอื นส่ปี ระเพณีไทคอนสารในวัน
แรม ๑๕ ค่ำ�เดือน ๔ ของทุกปี
ณ ลานวัดเจดีย์ บา้ นนาเขนิ ตำ�บลคอนสาร
อ�ำ เภอคอนสาร และสนามหน้าที่ว่าการอำ�เภอ
คอนสาร จังหวัดชัยภูมิเพื่อสืบสาน
ส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟูและเผยแพร่งาน
ประเพณี ศลิ ปะ วฒั นธรรมอนั ดงี ามของทอ้ ง
ถิน่ ให้คงอยูส่ บื ไป

ประเพณีแหบ่ ายศรีบุญเดือน ๖ สักการะเจ้าพ่อพญาแล ๔๓

งานบุญเดอื นหกทกุ ปี มาแหบ่ ายศรบี ูชาเจ้าพอ่
ประเพณีลูกหลานสานตอ่ โอ โอ่ ละหนอ มาร่วมงานบุญ

ประเพณแี หบ่ ายศรีบญุ เดอื น ๖ สักการะเจา้ พอ่ พญาแล เปน็ ประเพณี พิธีกรรม และความเช่อื
ของชาวชยั ภูมทิ ถี่ ือปฏบิ ตั แิ ละสบื ทอดกันมา จัดขน้ึ ในวนั จันทร์แรกของเดอื น ๖ ของทกุ ปี เปน็ เวลา
๙ วัน ๙ คืน ณ บริเวณศาลเจา้ พ่อพญาแล ชุมชนหนองปลาเฒ่า ต�ำ บลในเมอื ง อ�ำ เภอเมืองชยั ภมู ิ
จังหวัดชัยภูมิ เพื่อแสดงออกถึงความกตัญญู และรำ�ลึกถึงคุณงามความดีของเจ้าพ่อพญาแล
เจ้าเมืองคนแรกผู้ก่อตั้งเมืองชัยภูมิ โดยเฉพาะในวันที่ ๓ ของการจัดงานจะมีการจัดขบวนแห่
บายศรีเข้าเมืองโดยประชาชนในจังหวัดชัยภูมิจะจัดทำ�บายศรีขนาดใหญ่ประณีตและสวยงาม
จำ�นวนมากมาร่วมแหบ่ ายศรีเพ่อื ถวายเจ้าพ่อพญาแล อกี ทัง้ มีขบวนศลิ ปวัฒนธรรมของทอ้ งถ่นิ ให้
นักท่องเที่ยวได้ชม และมีประชาชนที่มีศรัทธาต่อเจ้าพ่อพญาแลทั่วสารทิศมาร่วมแห่บายศรีเป็น
จำ�นวนมาก โดยตลอดระยะเวลาจัดงานจะมีกิจกรรมทางวัฒนธรรม และมหรสพสมโภชตลอด
๙ วัน ๙ คืน

ประเพณีแหน่ าคโหด

แห่นาคโหดโจษขาน คือต�ำ นานลูกผชู้ าย
ผ่านด่านที่โหดรา้ ย พร้อมใจกายทดแทนคณุ

ประเพณแี หน่ าคโหด เปน็ ประเพณบี วชหมู่ หรืออปุ สมบทหมู่ ของชาวบ้านโนนเสลา-โนทัน
ต�ำ บลหนองตมู อำ�เภอภูเขยี ว จงั หวดั ชยั ภมู ิ เป็นการบวชนาคท่ีแตกตา่ งจากที่อื่น คือก่อนจะถงึ
เดือน ๖ ผู้ชายในหมู่บ้าน ที่มีอายุครบ ๒๐ ปี จะต้องเข้านาคพร้อมกัน และเม่ือถึงวันที่จะบวช
นาคจะต้องนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ที่มีคานหาม และมีคนหาม โดยการแห่นาคนั้น นาคจะถูกแห่ ถูกเซิ้ง
ถูกเขย่า ถูกโยน แห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้านตามเสียงจังหวัดของกลองยาวและดนตรี ซึ่งมีทั้งความ
สนุกสนาน และเป็นการฝึกความอดทนของนาค ชาวบ้านเชื่อว่าการแห่นาคแบบนี้ เปรียบได้กับ
มารดาของนาค ทีค่ ลอดบุตรและกำ�ลังอย่ไู ฟว่ามารดาของนาคนน้ั จะตอ้ งอดทนตอ่ ความรอ้ นของไฟ
ซึง่ จะตอ้ งน่งั อยบู่ นแคร่ท่ีมีไฟลกุ อยูข่ ้างๆ ตวั ตลอดเวลา เปน็ ระยะเวลาหลายเดือน ดงั น้ัน จากการ
ที่ชาวหมู่บ้านโนนเสลามีการอุปสมบทหมู่และมีการแห่นาคที่มีความแปลกแตกต่างจากที่อื่น
ท�ำ ใหผ้ ทู้ พ่ี บเหน็ ประเพณอี ปุ สมบทหมขู่ องหมบู่ า้ นโนนเสลา จงึ เรยี กประเพณนี ว้ี า่ “ประเพณแี หน่ าคโหด”
๔๔ มาจนถงึ ปัจจุบัน

ประเพณีแหผ่ ีสุ่ม บุญเดือนสิบ

เดอื นสบิ แห่ผสี มุ่ เดินดุม่ ดมุ่ ตามคุ้มบา้ น
อุทิศบญุ สุนทาน เพอ่ื สง่ ผา่ นผู้ล่วงลับ

เมื่อถงึ วันเสาร์และวันอาทิตยท์ ี่ ๒ ของเดือนกันยายนของทุกปี ชาวบา้ นเสยี้ วนอ้ ย ต�ำ บลบ้านเลา่ อำ�เภอเมืองชยั ภมู ิ จังหวดั ชัยภูมิ จะมีการจดั งานบุญประเพณบี ุญ
เดอื นสิบแห่ผีสุ่ม เปน็ ประจำ�ทุกปี นอกจากการทำ�บญุ อุทิศสว่ นกุศลใหก้ ับญาติผูล้ ว่ งลับแลว้ ที่นจี่ ะมกี ารละเล่นทีส่ นกุ สนาน เรยี กว่า “แห่ผีสมุ่ ” โดยมคี วามเชื่อในวนั ดัง
กล่าวจะมผี ีไม่มีญาติ ไม่มีพน่ี อ้ งมาทำ�บญุ ให้ ทำ�ให้ผเี หล่าน้นั อยากได้สว่ นบุญส่วนกุศล จงึ ใชว้ ิธีเอาสมุ่ (สุม่ จบั ปลา สุ่มไก่) มาคุมหวั ตวั เองเพอ่ื ไม่ให้ใครเห็น แลว้ ไปหากอง
บุญเศษของเหลือจากผีตนอน่ื เพื่อใหต้ นไมต่ อ้ งหิวโหย และหลดุ พ้นให้ได้ไปชาตภิ พที่ดี จึงทำ�ให้เกิดการละเลน่ แหผ่ สี ่มุ ข้นึ เพ่อื เป็นการท�ำ บญุ ให้กับผีไมม่ ญี าติ มกี ิจกรรม
ทำ�บุญตักบาตร การประกวดและสาธิตทางวัฒนธรรม และแห่ผีสุ่มไปตามเส้นทางในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงโดยจะมีชาวบ้านนำ�ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ผีสุ่ม
ผทู้ เ่ี ล่นเปน็ ผสี มุ่ จะมีการแต่งกาย ที่เป็นอตั ลกั ษณ์ คอื สวมหวั ดว้ ยสุ่มทตี่ กแตง่ หน้าเปน็ นกเค้าแมว หรอื นกฮกู สวมชดุ ผา้ พนื้ ถน่ิ เช่น ผ้าไหม หรือผา้ ฝ้าย ถือตะกรา้ ไม้ไผ่
ที่ตกแต่งให้สวยงาม

๔๕

ประเพณีบุญกระธูป

ถงึ วันออกพรรษา ถวายบชู าสัมมาพุทธ
หอมสมุนไพรเมือ่ จดุ บญุ กระธปู ประเพณี

ประเพณบี ุญกระธูป อำ�เภอหนองบัวแดง จงั หวัดชยั ภมู ิ เป็นประเพณีท่ถี ือปฏิบตั ิในชว่ งออกพรรษาของทุกปี ชาวพุทธจะถวายการสักการะองค์พระสัมมา สมั พทุ ธเจ้า
ทจี่ ะเสดจ็ ลงจากสวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์ ในกาลนช้ี าวบา้ นจะร่วมแรงร่วมใจกนั สรา้ งตน้ กระธูปเพ่ือถวายเป็นพุทธบูชา โดยทำ�จากขยุ มะพร้าว ใบอ้ม ใบเนียม นำ�มาผสมกนั แล้ว
ห่อด้วยกระดาษให้ได้รูปทรงยาวเหมือนธูป นำ�กระดาษสีมาประดับตกแต่งลวดลายให้สวยงาม แล้วนำ�ธูปที่ได้มาประกอบติดกับโครงไม้ ความสูงประมาณ ๓-๕ เมตร
รูปทรงคล้ายฉัตร น�ำ ไปแหแ่ ละจดุ ไฟบชู าตามวัดตา่ ง ๆ ปัจจบุ ันชาวอำ�เภอหนองบวั แดง ไดร้ ่วมกนั อนุรกั ษ์ สบื สาน และต่อยอดบุญกระธปู ใหเ้ ปน็ ประเพณสี ง่ เสรมิ การ
ทอ่ งเทีย่ ว ทกุ ตำ�บลในอ�ำ เภอหนองบวั แดง จะตกแต่งต้นกระธูปขนาดใหญ่ มลี วดลายสวยงาม น�ำ มารวมกนั ณ บรเิ วณหน้าท่วี ่าการอ�ำ เภอหนองบัวแดง จงั หวดั ชยั ภมู ิ
โดยมขี บวนแหก่ ระธปู การประกวดกระธปู กิจกรรมการประกวดแขง่ ขนั ต่าง ๆ และมมี หรสพให้ชมภายในงาน

๔๖

ประเพณีตีคลีไฟ

เมื่อลมหนาวโบกมา ไม่รอช้าตีคลีไฟ
หนองเขอ่ื งจดั งานใหญ่ เชิญชวนไปทศั นา

ประเพณีตีคลีไฟ เกิดขึ้นจากกีฬาโบราณ การละเลน่ พนื้ บ้านของชาวบ้านหนองเขอ่ื ง ต�ำ บลกดุ ต้มุ อ�ำ เภอเมืองชยั ภมู ิ จังหวดั ชัยภมู ิ การตีคลีไฟถือเป็นการออก
ก�ำ ลงั กายในชว่ งหนา้ หนาวของผูช้ าย สมัยกอ่ นมักจะเล่นกันในชว่ งบ่ายถงึ คำ่�หลงั จากกลับจากไรน่ า ระหว่างทางอากาศหนาวจึงหาวธิ อี อกก�ำ ลงั กายใหค้ ลายหนาว ดว้ ยการ
เลน่ ตคี ลี โดยใช้ไมง้ ิว้ (นุ่น) มาทำ�ลกู คลี และน�ำ เหงา้ ไม้ไผ่ท่มี ลี ักษณะงอเป็นตะขอมาท�ำ เป็นไมท้ ่ตี ี แตแ่ รกเร่ิมจากการ “ตีคลีโหลน๋ ” ไม่ได้จุดไฟท่ลี กู คลี ผทู้ ่ีตลี กู คลอี อก
ไปได้ไกลกว่าจะเปน็ ผู้ชนะ ตอ่ มาจึงพฒั นาเป็นการแข่งขันแบบทีม มีการนำ�ลกู คลีไปเผาไฟ และนำ�มาตีใหเ้ ขา้ ประตูลกั ษณะคล้ายกีฬาฮอกก้ี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้มกี ารส่ง
เสรมิ การเลน่ คลีไฟอยา่ งจริงจัง จงึ ไดจ้ ัดให้เปน็ ประเพณตี ีคลีไฟขนึ้ จนถึงปจั จุบนั กำ�หนดจัดงานในช่วงเดอื นธันวาคมของทกุ ปี ในงานจะน�ำ การเล่นตคี ลีไฟมาจัดแสดงและ
แขง่ ขันจัดแสดงแสงสีเสียงต�ำ นานตคี ลีไฟและสาธติ ทางด้านวฒั นธรรม

๔๗

ดนตรี และการละเลน่ พืน้ บ้าน

กลองกง่ิ หรือกลองเส็ง

กลองกงิ่ หรอื กลองเส็ง ดังตะเบ็งเมื่อเสง็ กลอง
บรรเลงท่วงทำ�นอง เดาะวางกลองซอ้ งส่งเสยี ง

กลองกิง่ เป็นเครอ่ื งดนตรีพน้ื บา้ นที่สอดแทรกอยู่ในกจิ กรรมทางสงั คมของคนชยั ภมู มิ าเป็นเวลายาวนานแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาดา้ นศิลปวัฒนธรรม
ที่ชาวบา้ นได้สรา้ งสรรค์ ทั้งวธิ กี ารทำ�กลอง การเดาะกลอง และการเสง็ กลอง ชาวชัยภูมไิ ดม้ กี ารนำ�กลองกิ่งมาใช้ในโอกาสต่างๆ เชน่ เพ่อื การผ่อนคลาย
ความตึงเครียด เพ่ือสร้างบรรยากาศในการประกอบพิธีกรรมให้ดูศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสื่ออารมณ์ความรู้สึกสนุกสนานในงานบุญหรืองานฉลองต่างๆ หรือเพ่ือ
การประชันแข่งขันที่แสดงให้เห็นถึงความมีพละกำ�ลังของผู้เล่น เสริมสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชุมชน กลองกิ่ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทตีด้วยไม้
มีหน้าสองหน้าคือ หน้าน้อย และหน้าใหญ่ มีการบรรเลง ๒ ลักษณะ ได้แก่ การเดาะ เป็นการตีกลองทั้ง ๒ หน้า ให้เป็นท้วงทำ�นองต่างๆ และการเส็ง
เปน็ การตกี ลองเพื่อใหเ้ กิดเสยี งดงั มากท่ีสดุ นิยมแข่งขนั กันทง้ั แบบเดยี วและแบบทมี โดยผูต้ ีได้เสยี งดงั ท่ีสดุ จะเปน็ ผู้ชนะ
๔๘

แคน

สุดสะแนนแคนเปา่ รวมวงเขา้ สนกุ สนาน
เครอื่ งดนตรมี ีเนน่ิ นาน คู่อีสานบา้ นของเฮา

แคน เปน็ เครือ่ งดนตรพี นื้ บา้ นภาคอสี านท่เี ก่าแกม่ มี าแต่โบราณเปน็ เครือ่ งดนตรที ี่ใชป้ ากเปา่ ใหเ้ ปน็ เพลง ท่วงทำ�นองของแคนทีถ่ ูกเป่าออกมานนั้ เรียกวา่ ลายแคน
สามารถแยกระดับเสยี งได้ ๒ กลุ่ม ได้แก่ ทางยาว คือการบรรเลงประกอบการลำ�ที่มีท่วงทำ�นองเช่ืองช้า และทางสั้นคือ การบรรเลงประกอบการล�ำ ทม่ี ที ว่ งท�ำ นอง
กระชับ สนกุ สนาน การบรรเลงดนตรีทุกอย่างของชาวชยั ภมู ิใช้แคนเปน็ หลัก ถือเปน็ เอกลักษณ์ทางดนตรีของชาวชัยภมู อิ ย่างหนงึ่ ในอดตี หนุ่มๆนิยมเปา่ แคนไปคยุ สาว
หรือ งานบญุ ประเพณีต่างๆ กจ็ ะนิยมเปา่ แคนเป็นเคร่อื งดนตรปี ระกอบ ปจั จบุ นั การเปา่ แคนจะบรรเลงประกอบล�ำ และประกอบฟ้อนในงานที่มีการจา้ งในรูปแบบอื่น ๆ

๔๙

พิณ หรือ อีเต็ง

พณิ หรืออีเตง็ เปลง่ เสียง พลวิ้ สำ�เนยี งเสียงเครอ่ื งสาย
ออกมาฟอ้ นงามตามลาย ตับเต่าส่ายหลายบทเพลง

อเี ต็ง เปน็ ภาษาโบราณท้องถ่นิ ทช่ี าวชัยภมู ิ ใชเ้ รยี ก “พิณ” ค�ำ ว่า “อ”ี
คือคำ�ทชี่ าวอสี านมกั ใชเ้ รียกนำ�หนา้ คนหรอื สรรพนามสิ่งของ เชน่ เดียวกับคำ�วา่
อีพ่อ อแี ม่ หรอื อีโต้ ส่วนคำ�ว่า “เตง” หรอื “เต่ง” มีความหมายถึงการถกู ทบั
“อีเต็ง” จึงเปน็ คำ�ทค่ี นชยั ภูมิใชเ้ รียกเครอ่ื งดนตรีประเภทสายทมี่ ีลกั ษณะการ
เล่นท่ีตอ้ งวางทบั ที่ตน้ ขา
เครอื่ งดนตรี “อีเต็ง” ในอดตี จะมกี ารบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอนื่ ๆ
เช่น แคน กลองโทน กลองหาง ในงานเทศกาลบุญประเพณีท้องถิ่น และใน
พิธีกรรมทางความเชื่อ เช่น การรำ�บวงสรวงแม่ศรีเมือง สันนิษฐานได้ว่า
มีมาแต่สมัยเจ้าพ่อพญาแล ที่ใช้เป็นเคร่ืองดนตรีที่บรรเลงในงานพิธีกรรม
และงานร่ืนเริงตามประเพณีท้องถิ่น ลายเพลงโบราณที่เป็นเอกลักษณ์ของ
จังหวัดชัยภูมิ เช่น ลายแมงตับเต่า ลายแห่แม่ศรีเมือง ซึ่งเป็นท่วงทำ�นองที่มี
ตัวโนต๊ กระโดด ไปมา นา่ จะเปน็ การเล่นอีเต็งตามจงั หวะการกระโดดของร่าง
ทรงในพิธีกรรม ทางความเชื่อโบราณ อีกทั้งจังหวัดชัยภูมิยังมีศิลปินพื้นบ้าน
ที่ได้คิดค้นสร้างเครื่องดนตรี โดยการนำ�พิณพื้นบ้านมาผสมกับกีต้าร์ร่วมสมัย
กลายเป็นเครอ่ื งดนตรี

๕๐


Click to View FlipBook Version