The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คุณจะพบว่าการเป็นวีรบุรุษคือสิ่งที่ทำได้จริง ให้ความอิ่มใจ และแม้กระทั่งให้ความสนุกสนาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด การเป็นวีรบุรุษจะสร้างความสัมพันธ์ชนิดพิเศษให้กับลูกของคุณซึ่งจะเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตที่สมหวัง และอุดมสมบูรณ์แม้กระทั่งในโลกที่อันตรายและไม่เป็นมิตร พ่อแม่ที่แสนวิเศษจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า<br><br>รหัสสินค้า 9786163390943 ขนาด 14.5X21 ซม. ปกระดาษแข็งพิมพ์สี่สี เนื้อในพิมพ์สีเดียว 278 หน้า ราคาปกติ 295 บาท

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tbsbookshop, 2023-06-12 21:56:13

เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ

คุณจะพบว่าการเป็นวีรบุรุษคือสิ่งที่ทำได้จริง ให้ความอิ่มใจ และแม้กระทั่งให้ความสนุกสนาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด การเป็นวีรบุรุษจะสร้างความสัมพันธ์ชนิดพิเศษให้กับลูกของคุณซึ่งจะเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตที่สมหวัง และอุดมสมบูรณ์แม้กระทั่งในโลกที่อันตรายและไม่เป็นมิตร พ่อแม่ที่แสนวิเศษจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า<br><br>รหัสสินค้า 9786163390943 ขนาด 14.5X21 ซม. ปกระดาษแข็งพิมพ์สี่สี เนื้อในพิมพ์สีเดียว 278 หน้า ราคาปกติ 295 บาท

Keywords: เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ

cover A.indd 1 29/11/2560 13:06


C How To Be A Hero To Your Kids คุณไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่แสนวิเศษ เพื่อจะเป็นฮีโร่ให้ลูกของคุณ เขียนโดย จอร์ช แม็คโดเวลล์ และ ดิ๊ก เดย์ hero 00_A-J.indd 3 6/12/2560 13:58


D เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ How to Be a Hero to Your Kids สงวนลิขสิทธิ์ 2017 จอร์ช แม็คโดเวลล์ และ ดิ๊ก เดย์ ใช้โดยได้รับอนุญาต ข้ออ้างอิงพระคัมภีร์นำมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย Copyright Thai version © 2017 Thailand Bible Society by © 1991 Josh McDowell and Dick Day All rights reserved. เขียนโดย : จอร์ช แม็คโดเวลล์ และ ดิ๊ก เดย์ แปลโดย : ดร.ดานิเอล แสงวิชัย เรียบเรียงโดย : สมาคมพระคริสตธรรมไทย ISBN : 978-616-339-094-3 พิมพ์ครั้งที่ 1 : ธันวาคม 2017 จำนวนพิมพ์ : 1,000 เล่ม จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย 319/52-55 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2279-8341 โทรสาร 0-2616-0517 Published & distributed by Thailand Bible Society 319/52-55 Viphawadi-Rangsit Rd., Samsen Nai, Phayathai, Bangkok 10400, THAILAND Tel.(66)0-2279-8341 Fax.(66)0-2616-0517 http://www.thaibible.or.th, www.thaibible.net, e-mail:[email protected] hero 00_A-J.indd 4 6/12/2560 13:58


E แด่ลูกๆ ทั้งสี่คนของผมผู้เป็นความปีติยินดีให้กับคุณพ่อ ความชื่นบานให้กับ คุณแม่ และเป็นคำ พยานแห่งความรักและพระคุณของพระเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะลูก คงไม่มีหนังสือเล่มนี้ จอร์ช แม็คโดเวลล์ ด้วยความรักและการชื่นชมต่อ อาจารย์และนักศึกษาของผม พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าแต่องค์เดียวของผม ชาร์ล็อตต์ภรรยาคนเดียวของผม ลูกๆ ทั้งเก้าคนของผม ห้าคนเป็นลูกที่เกิดโดยสายเลือด หนึ่งคนเป็นลูกบุญธรรม สามคนเป็นลูกเขย/สะใภ้ หลานๆ อีกห้าคน (และกำลังจะเป็นหกคน) ของผม ดิ๊ก เดย์ hero 00_A-J.indd 5 6/12/2560 13:58


F hero 00_A-J.indd 6 6/12/2560 13:58


G สารบัญ บทนำ� H กิตติกรรมประกาศ I ภาคที่ 1 ต้องการด่วน วีรบุรุษที่มีแผนการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก 1 1. คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 4 2. อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 21 3. กฎระเบียบใช้การไม่ได้ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 33 ภาคที่ 2 การยอมรับ สิ่งที่สร้างความมั่นคงและการเห็นคุณค่าของตนเอง 47 4. ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 50 5. การยอมรับ ความหมายที่แท้จริงของสุภาษิต 22:6 65 6. การยอมรับเป็นการพูดว่า “ลูกคือคนพิเศษ” 80 ภาคที่ 3 การชื่นชม กุญแจที่ไขไปสู่ความรู้สึกเป็นคนสำ คัญ 97 7. จับตาดูเมื่อเขาทำสิ่งที่ถูกต้อง 100 8. วิธีการหลีกเลี่ยงการเพาะเลี้ยงคนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ 112 ภาคที่ 4 ความรักใคร่เอ็นดู ปราศจากสิ่งนี้ลูกๆ สามารถไปถึงความพินาศ 131 9. พลังที่ยอดเยี่ยมของการสวมกอดที่เรียบง่าย 134 10. สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถทำ เพื่อลูกของคุณ 151 ภาคที่ 5 การมีเวลาว่างให้ลูก หาเวลาเป็นวีรบุรุษ 167 11. ความรักสะกดด้วยคำ ว่า “เ-ว-ล-า” 170 12. วิธี “ทุ่มเทความสนใจ” ให้กับลูกของคุณ 184 ภาคที่ 6 ความรับผิดชอบและสิทธิอำ นาจ ขอบเขตช่วยสร้างวินัยส่วนตัวและความเด็ดขาดส่วนตัว 203 13. พ่อแม่ที่รับผิดชอบจะเลี้ยงลูกที่รับผิดชอบ 207 14. วิธีการที่จะไม่ทำ ให้ลูกประสาทเสีย หรือแย่กว่า 226 ข้อคิดส่งท้าย อย่าหยุดเป็นวีรบุรุษ 250 ภาคผนวก กล่องเครื่องมือของวีรบุรุษ 263 อ้างอิงท้ายเรื่อง 276 hero 00_A-J.indd 7 6/12/2560 13:58


H บทนำ ทั้งๆ ที่ผมกับดิ๊ก เดย์ร่วมกันเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่ผู้อ่านจะสังเกตว่าหนังสือ เล่มนี้ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งตลอดทั้งเล่ม เราเลือกทำ เช่นนี้เพราะว่าตัวอย่าง เปรียบเทียบจำนวนมากของเราเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเราเองและดูเป็นการ ง่ายกว่าที่จะใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งเพื่อจุดประสงค์ของการสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้น เรามักใช้คำ ว่า “เขา” หรือ “ของเขา” ในการอ้างอิงถึงบุคคลโดยทั่วไป แทนที่จะ ใช้คำ ว่า “เขาหรือเธอ” หรือ “ของเขาหรือของเธอ” เราทำ สิ่งนี้เพียงเพื่อความ สะดวกสบายและไม่มีเจตนาที่จะสร้างความไม่พอใจแต่ประการใด ดิ๊กสอนผมเกี่ยวกับแนวคิดส่วนใหญ่ที่กล่าวไว้ในหน้าต่างๆ เหล่านี้ และเขา เป็นผู้เขียนบทที่ 6 บทที่ 8 และบทที่ 14 ด้วยเช่นกัน ในขณะที่อบรมเลี้ยงดูลูก สิบคน หกคนเป็นลูกของดิ๊กกับชาร์ล็อตต์และสี่คนเป็นลูกของผมกับด็อตตี้ เรา เห็นว่าหลักการในแผนการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวกเกิดผลในครอบครัวของเราเอง ตอนนี้เราต้องการจะแบ่งปันแผนการนั้นกับคุณ ดิ๊กกับผมคิดเหมือนกันและมีเป้า หมายเดียวกัน นั่นคือ เพื่อช่วยคุณให้เป็นวีรบุรุษของลูกคุณและเพื่อช่วยตัวเราเอง ให้เป็นวีรบุรุษที่ดีขึ้น จอร์ช แม็คโดเวลล์ hero 00_A-J.indd 8 6/12/2560 13:58


I กิตติกรรมประกาศ หนังสือทุกเล่มล้วนเป็นโครงการร่วมที่ประกอบด้วยความพยายามของผู้คน หลากหลาย เราต้องการแสดงความขอบคุณบุคคลต่อไปนี้ที่ช่วยทำ ให้หนังสือเล่ม นี้กลายเป็นความจริง คุณเดฟ เบลลิสที่ให้คำแนะนำกับโครงการจัดทำ หนังสือเล่มนี้ผ่านความผกผัน มากมายและช่วยตกแต่งและหล่อหลอมให้ออกมาในรูปแบบที่เป็นอยู่ในเวลานี้และ ให้ความช่วยเหลือในการผลิตชุดวิดีโอควบคู่กับหนังสือเล่มนี้ คุณโจอี้พอลแห่งสำนักพิมพ์ Word Publishing สำ หรับคำ หนุนใจและการ เป็นผู้ชี้นำของท่านและการที่ท่านเชื่อว่าเราสามารถจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ได้ คุณเชอรีลิฟวิงสตันนีลลีย์สำ หรับตะลันต์ของเธอในการช่วยเป็นบรรณาธิการ ของหนังสือเล่มนี้และในการส่งเสริมให้หนังสือเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ผ่านขั้นตอน มากมาย จดหมายข่าว “Dads Only” ที่ให้ความรู้ความเข้าใจแก่เราทั้งสองในเรื่องการ อบรมเลี้ยงดูลูกที่ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อเรา และสุดท้าย เราขอขอบคุณฟริตช์ ริเดนัวร์เป็นพิเศษ ฟริตช์ที่รัก ขอบคุณมากที่ใช้ทักษะการเขียนที่พระเจ้าทรงมอบแก่คุณเพื่อนำ ต้นฉบับ บทสัมภาษณ์ และงานวิจัยของเรามาหล่อหลอมให้เป็น หนังสือที่มีพลังอำนาจและง่ายต่อการอ่าน ตะลันต์ของคุณในการใช้ ถ้อยคำ ความรู้ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณของการเป็น ผู้รับใช้ของคุณทำ ให้เรามีความชื่นชมยินดีในการทำ งานกับคุณ เรา เชื่อว่าลูกๆ จำนวนมากจะได้รับพระพรจากวีรบุรุษของเขาอันเป็น ความพยายามร่วมกันของเรา รัก จอร์ช & ดิ๊ก hero 00_A-J.indd 9 6/12/2560 13:58


J hero 00_A-J.indd 10 6/12/2560 13:58


1 ภาคที่ 1 ต้องการด่วน วีรบุรุษที่มีแผนการ อบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก hero 01_1-20.indd 1 29/11/2560 15:01


2 hero 01_1-20.indd 2 29/11/2560 15:01


3 คำ�ว่า “ฮีโร่” หรือ “วีรบุรุษ” กับคำ�ว่า “พ่อแม่” อาจฟังดูไม่ค่อยเข้ากันนัก พ่อ แม่ต้องทำ�หน้าที่แก้ไข ลงวินัย อบรมเลี้ยงดู และเช็ดปากเช็ดจมูกให้ลูกอย่างมาก จนการให้ฉายา “วีรบุรุษ” ดูจะไม่เข้ากันนัก หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นบนสมมุติฐานที่ ว่าพ่อแม่เป็นผู้ที่สมควรจะเป็นวีรบุรุษให้กับลูกของตนและเสนอแผนการที่จะช่วย พ่อแม่ให้สามารถทำ�สิ่งนี้ ในสามบทแรกเราจะเรียนเกี่ยวกับ • คำ�นิยามสำ�หรับคำ�ว่า “วีรบุรุษ” ที่ไปไกลกว่าภาพลักษณ์ของบุคคลผู้มีชื่อ เสียงและอธิบายถึงพ่อแม่ที่ต้องการเป็นแบบอย่างของการเอาใจใส่ดูแลลูก ของเขาหรือเธอ • ทำ�ไมเราจึงต้องการวีรบุรุษในบ้านของเราในเวลานี้มากกว่าที่ผ่านมา • เหตุใดครอบครัวนับล้านจึงยังคงติดกับดักอยู่ในวงจรของการใช้ชีวิตอย่าง ผิดปกติของภาวะพึ่งพิงกัน จากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง • เหตุผลสำ�คัญที่สุดสำ�หรับการเป็นวีรบุรุษให้กับลูกของคุณ • วิธีการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวกแบบ “6 A’s” จะให้แบบแผนในการสร้าง ครอบครัวที่เป็นสุขและราบรื่นอย่างไร • ทำ�ไมวีรบุรุษต้องไม่พยายามที่จะ “หลอกลูกของเขา” hero 01_1-20.indd 3 29/11/2560 15:01


4 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ เมื่อใดก็ตามที่ผมพูดกับกลุ่มพ่อแม่ในเรื่อง “วิธีเป็นวีรบุรุษให้ลูกของคุณ” ผม ได้รับการตอบรับที่หลากหลาย หนึ่งในการตอบรับเหล่านั้นมักฟังดูเหมือนคำ�พูดนี้ “ผมเหรอ วีรบุรุษของลูกผมเนี่ยนะ วีรบุรุษของเขาคือมาดอนน่าหรือบางที อาจเป็นเมล กิ๊บสัน ดาราภาพยนตร์และพวกคนดัง หรือพวกนักกีฬา ยกตัวอย่าง ลูกชายผมชอบไมเคิล จอร์แดนในฤดูหนาว โฮเซ คอนเซคโคในฤดูร้อน และโจ มอนทานาในฤดูใบไม้ร่วง ผมจะแข่งขันกับสิ่งนั้นได้ยังไง” คำ�ตอบของผมเป็นเหมือนเดิมอยู่เสมอ พ่อแม่ไม่จำ�เป็นต้องแข่งขัน เขาไม่ ต้องเป็นช้างเท้าหลังของพวกดารา เพราะตามคำ�นิยามของคำ�ว่าวีรบุรุษของผม นั้นพ่อแม่เป็นวีรบุรุษอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่เขาต้องทำ�คือการเริ่มทำ�ตัวเหมือนวีรบุรุษ เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ก็เพื่อแบ่งปันกับพ่อแม่ว่าการเป็นวีรบุรุษตัวจริงใน บ้านของคุณคืออะไรและเหตุใดจึงเป็นสิ่งสำ�คัญมากที่พ่อและแม่จะเป็นวีรบุรุษให้ กับลูกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ครอบครัวตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล คุณไม่ต้องมองไปไกลเพื่อให้รู้ว่ายุคสมัยนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะเป็นพ่อแม่ วัฒนธรรมที่เราต้องเลี้ยงดูลูกของเราให้เติบโตขึ้นมานี้ไม่ได้ “เป็นมิตรกับ ครอบครัว” เลย ทุกครอบครัวล้วนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลและหลาย ครอบครัวจมลึกอยู่ในปัญหา จากเด็กๆ ที่เกิดมาในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980s มีการคาดคะเนว่าเมื่อถึง เวลาที่เด็กเหล่านี้มีอายุครบสิบแปดปี 60% ของเด็กเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในบ้านที่มี คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 1 hero 01_1-20.indd 4 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 5 ผู้ปกครองอาศัยอยู่ด้วยเพียงคนเดียว เนื่องจากการหย่าร้างและการแยกทาง ไม่ใช่ เพราะความตาย ตามข้อมูลของสำ�นักสำ�มะโนประชากรระบุว่าหนึ่งครอบครัวใน ทุกสี่ครอบครัวในปัจจุบันมีผู้ปกครองเพียงคนเดียว ครอบครัวที่มีผู้ปกครองคน เดียวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 150 นับตั้งแต่ปี 19601 จำ�นวนของผู้หญิงที่เข้าร่วมกับการใช้แรงงานผ่านจุด 50 เปอร์เซ็นต์มานาน แล้ว รายงานจากสันนิบาตนครแห่งชาติระบุว่าภายในปี 1990 ร้อยละ 60 ของ ครอบครัวในสหรัฐอเมริกามีคุณแม่ที่ทำ�งานนอกบ้าน ในครอบครัวเหล่านี้มีเด็กที่ มีอายุต่ำ�กว่าหกขวบอยู่ถึง 10.4 ล้านคน2 ภรรยาที่ทำ�งานนอกบ้านทำ�ให้เกิดศัพท์คำ�ใหม่ขึ้นมา เช่น คำ�ว่า “คุณแม่มือ อาชีพ” และ “เด็กที่อยู่บ้านตามลำ�พัง” งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทำ�ขึ้นในเขตลอสแอง เจลิสกับซานดิเอโก้แสดงให้เห็นว่านักเรียนชั้นมัธยมปีที่สองที่ดูแลตนเองเป็นเวลา สิบเอ็ดชั่วโมงหรือมากกว่าต่อสัปดาห์มีความเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดที่เป็น อันตราย (เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล บุหรี่ และกัญชา) มากกว่าเด็กกลุ่มเดียวกัน ที่มีการควบคุมดูแลของผู้ปกครองบางรูปแบบถึงสองเท่า 3 และเด็กที่อยู่บ้านตามลำ�พังทำ�อะไรในขณะที่ดูแลตัวเองหลังกลับจากโรงเรียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งบันเทิงที่เขาชื่นชอบคือโทรทัศน์ แหล่งข้อมูลแห่งหนึ่ง ประมาณการว่าก่อนที่เด็กจะเรียนจบชั้นมัธยมปลายเขาคงจะใช้เวลา 18,000 ชั่วโมงดูโทรทัศน์เมื่อเทียบกับ 12,000 ชั่วโมงกับการปฏิสัมพันธ์กับหลักสูตรการ เรียน และในขณะที่ดูโทรทัศน์เป็นเวลา 18,000 ชั่วโมงนั้นเด็กคงจะเข้าร่วมในการ ฆาตกรรมทางอ้อม 18,000 ครั้ง4 ในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต โทรทัศน์กลายเป็นส่วนสำ�คัญอย่างมากของชีวิตเด็ก พอๆ กับลมหายใจ ในช่วงเวลาสามปี เด็กก่อนวัยเรียนโดยเฉลี่ยดูโทรทัศน์มากกว่า เวลาที่นักศึกษามหาวิทยาลัยใช้ในชั้นเรียนเป็นเวลาสี่ปี งานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่าเด็ก อายุห้าขวบโดยเฉลี่ยใช้เวลาเพียง 24 นาทีต่อสัปดาห์ในการปฏิสัมพันธ์กับพ่อของ เขา แต่กระนั้น เด็กคนเดียวกันใช้เวลา 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการดูโทรทัศน์5 hero 01_1-20.indd 5 29/11/2560 15:01


6 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ เรากำลังล้มเหลวในการสร้างคนให้เป็นคน ผมสามารถยกตัวเลขสถิติอย่างต่อเนื่องซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันต่างๆ ต่อครอบครัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ย้อนไปในปี 1970 ที่ ประชุมของทำ�เนียบขาวว่าด้วยเรื่องเด็กได้จัดพิมพ์ผลการวิจัยของที่ประชุมลงใน เอกสารชุดหนึ่งชื่อว่า รายงานต่อประธานาธิบดี ซึ่งเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ครอบครัวและเด็กๆ ของอเมริกาตกอยู่ในปัญหาที่ลึกและแพร่หลายมาก ความจริง สิ่งนี้คุกคามอนาคตของประเทศอย่างมาก รายงานยังเสนอแนะเช่นกันว่า ในฐานะของประเทศ เรากำ�ลังประสบกับ “การ เพิกเฉยต่อเด็กระดับชาติ” โดยพ่อแม่ของเขาซึ่งนำ�ไปสู่ความล้มเหลวใน กระบวนการสร้างคนให้เป็นคน ถ้ากระบวนการนี้ไม่ถูกยับยั้ง “...สิ่งนี้สามารถมี ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว นั่นคือ การขยายตัวอย่างรวดเร็วและแพร่หลายของความ เหินห่าง ความไม่แยแส สารเสพติด การทำ�ผิดกฎหมาย และความรุนแรงในหมู่ คนหนุ่มสาวและที่ยังไม่หนุ่มไม่สาวในทุกภาคส่วนของชีวิตของประเทศเรา เรา เผชิญหน้ากับอนาคตของสังคมที่โกรธเคืองเด็กและหวาดกลัวคนหนุ่มสาวของ ตน...สิ่งที่จำ�เป็นคือการเปลี่ยนแปลงในแบบแผนการดำ�เนินชีวิตของเราซึ่งจะนำ� ผู้คนกลับเข้ามาสู่ชีวิตของเด็กและนำ�เด็กกลับเข้ามาสู่ชีวิตของผู้คนอีกครั้งหนึ่ง”6 ที่ประชุมของทำ�เนียบขาวว่าด้วยเรื่องเด็กเผยแพร่ผลการวิจัยของตนเมื่อกว่า ยี่สิบปีที่แล้ว แต่สิ่งต่างๆ ดีขึ้นหรือไม่สำ�หรับครอบครัว จากสิ่งที่ผมสามารถมอง เห็น คำ�พยากรณ์ของ รายงานต่อประธานาธิบดี สำ�เร็จเป็นจริงอย่างมาก ในช่วง กลางทศวรรษ 1980 ผมพูดคุยกับดร.เฮนรีย์ แบรนด์ นักจิตวิทยาคริสเตียนผู้โด่ง ดัง ซึ่งบอกผมเกี่ยวกับงานของท่านในคณะกรรมการของมิชชันนารีหลายกลุ่มที่ ศึกษาผู้สมัครไปทำ�งานในพื้นที่พันธกิจ ท่านกล่าวว่า “เมื่อสิบปีก่อนเราเห็นผู้สมัคร ไปเป็นมิชชันนารีหนึ่งคนจากสามคนได้รับการยอมรับให้ไปทำ�พันธกิจ ทุกวันนี้มี ผู้สมัครเพียงหนึ่งคนจากสิบคนที่มีคุณสมบัติ” เมื่อผมถามดร.เฮนรีย์ว่าเหตุใดจึงมีความล้มเหลวเพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้สมัคร เป็นมิชชันนารี ท่านตอบว่าเหตุผลหลักสำ�หรับการปฏิเสธหลายครั้งเป็นเพราะ “ความไม่มั่นคงทางด้านอารมณ์และระหว่างบุคคลที่เกิดจากเบื้องหลังทาง ครอบครัวที่ไม่ดี” hero 01_1-20.indd 6 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 7 “ภาวะพึ่งพิง” กลายเป็นส่วนหนึ่งของคำ ศัพท์ของเราได้อย่างไร คำ�อธิบายของดร.เฮนรีย์ แบรนด์เกี่ยวกับเหตุผลที่ผู้สมัครเป็นมิชชันนารีหลาย คนสอบไม่ผ่านทำ�ให้คิดถึงคำ�ศัพท์เฉพาะกลุ่มใหม่ที่กำ�ลังมีการพูดต่อๆ กันไปใน หลายคริสตจักรในเวลานี้ นั่นคือ ครอบครัวที่ผิดปกติ ภาวะพึ่งพิง การให้อำนาจ และพ่อแม่ “เป็นพิษ” ดร.แฟร็งก์ มิเนิร์ชกับดร.พอล ไมเออร์ ผู้ก่อตั้งคลีนิคมิเนิร์ช-ไมเออร์กล่าว ว่า คำ�ว่า “ภาวะพึ่งพิง” [ความสัมพันธ์หรือพฤติกรรมของการช่วยเหลือในทางที่ ผิดโดยไม่ได้ตั้งใจจนกลายเป็นการส่งเสริมให้ผู้ติดสารเสพติดหรือผู้ติดสุราไม่ ยอมรับความจริงจนทำ�ให้การรักษาพฤติกรรมดังกล่าวไม่ได้ผลหรือล่าช้าออกไป -ผู้แปล] มีมาหลายทศวรรษแล้วและเกิดจากความพยายามที่จะช่วยเหลือผู้ติดสุรา และครอบครัวของเขา ผู้ติดสุราจะพึ่งพิงสุราของเขาและครอบครัวของผู้ติดสุราจะ พึ่งพิงการติดสุราของเขา (หรือเธอ) คนในครอบครัวของผู้ติดสุราอาจไม่ได้เสพ ติดสุรา แต่เขาเสพติดในแนวทางอื่น กลุ่มผู้ติดสุราเรื้อรังนิรนามใช้หลัก 12 ขั้นตอนของตนเพื่อบรรลุถึงความสำ�เร็จ อย่างมากในการช่วยเหลือผู้ติดสุรา แต่ในไม่ช้าเขาเรียนรู้ว่าครอบครัวของผู้ติดสุรา มักแตกแยกกันเพียงไม่กี่เดือนหลังจากผู้ติดสุราเลิกสุรา ครอบครัวได้ปรับวิถีชีวิต ของตนเพื่อทำ�ให้เข้ากับผู้ติดสุราและได้ให้อำ�นาจกับเขาหรือเธอในหลายแนวทาง เพื่อให้ดื่มสุราต่อไปแม้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกคือความพยายามอย่างสุจริตใจที่จะหยุดการ ติดสุรา ผลสรุป ผู้ติดสุราจะพึ่งพิงสุราและครอบครัวของเขาจะกลายเป็นผู้อยู่ใน ภาวะพึ่งพิงการติดสุราไปพร้อมๆ กับผู้ติดสุรา 7 เห็นได้ชัดเจนว่าสุราหรือสารเสพติดสามารถเป็นต้นเหตุของภาวะพึ่งพิง แต่ การย้ำ�คิดย้ำ�ทำ�ทุกประเภท (สิ่งของหรือพฤติกรรมที่เกินเลยทุกชนิด) สามารถ เป็นต้นเหตุของภาวะนี้ได้เช่นกัน มิเนิร์ชและไมเออร์เห็นว่าภาวะพึ่งพิงอาจเป็นการ เสพติดผู้คน เสพติดพฤติกรรม หรือเสพติดสิ่งต่างๆ เมื่อคนบางคนพยายามจะ ควบคุมความรู้ภายในของเขาด้วยการควบคุมผู้คน สิ่งของ หรือเหตุการณ์ ภายนอก8 ความหมายตามตัวอักษรของการพึ่งพิงคือ “พึ่งพิงกับ” ในหลายกรณีภาวะ พึ่งพิงของบุคคลมีต้นเหตุมาจากความสัมพันธ์ของเขากับพ่อแม่ของตนและวัยเด็ก hero 01_1-20.indd 7 29/11/2560 15:01


8 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ที่เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ทิ้งไว้ในชีวิตของเขา ผู้คนจำ�นวนเท่าไหร่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะพึ่งพิง สถิติบอกให้เราทราบ ว่าคนอเมริกัน 15 ล้านคนพึ่งพาสุราหรือสารเสพติดและผู้เสพติดเหล่านี้แต่ละคน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคนอื่นที่เกี่ยวข้องอีกอย่างน้อยสี่คน นั่นคือ คู่สมรส ลูก เพื่อนร่วมงาน สิ่งนี้หมายความว่ามีผู้อยู่ในภาวะพึ่งพิง 60 ล้านคนที่ประสบ ความทุกข์จากผลกระทบของสารเสพติดและปัญหาการดื่มสุราของคน 15 ล้านคน นอกเหนือจากการดื่มสุราและสารเสพติดแล้วเรามีคนอเมริกันอีกหลายล้าน คนที่กำ�ลังทำ�สงครามกับภาวะพึ่งพิงที่เกิดจากโรคบ้างาน โรคโกรธง่าย โรคติด เซ็กส์ โรคการกินผิดปกติ ภาวะที่ถูกบีบบังคับให้ใช้จ่ายเกินตัว และแม้กระทั่งวิธี การใช้ชีวิตที่หยุมหยิมหรือเข้มงวดจนเกินเหตุ มิเนิร์ชและไมเออร์ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อคนอเมริกันราวๆ หนึ่งร้อยล้านคนจากสองชั่วรุ่นประสบปัญหาเกี่ยวกับภาวะ พึ่งพิง เรากำ�ลังถูกโจมตีด้วยโรคระบาดในระดับที่น่าตกใจมาก ความทุกข์ใจ ความ สิ้นหวัง และชีวิตที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ9 ” พันธกิจของผมกับคนหนุ่มสาวและพ่อแม่ทำ�ให้ผมแทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่า มิเนิร์ชและไมเออร์พูดถูก ผู้คนที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงมีเป็นเรือนล้าน คนเหล่านี้หลาย คนติดกับดักของสารเสพติดและสุรา แต่หลายคนถูกหลอกหลอนด้วยเสียงจากวัย เด็กของตน ซึ่งเป็นเสียงที่พูดเชิงกล่าวหาว่า “พยายามเข้าไปเถอะ ถึงยังไงแกก็ ไม่มีวันทำ�สิ่งที่ถูกต้องได้หรอก” คนอื่นๆ รู้จักความรู้สึกที่กำ�เริบของการคิดว่าตัวเขาไม่สำ�คัญเพราะพ่อแม่ไม่มี เวลาให้เขา และหลายคนคุ้นเคยกับเสียงที่พูดว่า “พ่อจะรักลูก ถ้าลูกทำ�ตามที่พ่อ ต้องการ” มิเนิร์ชและไมเออร์เชื่อว่าผลกระทบของภาวะพึ่งพิงเป็นผลกระทบต่อ “หลาย ชั่วคน” กล่าวคือ ปัญหาของคนรุ่นหนึ่งจะถูกถ่ายทอดต่อไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง วงจร นี้จะดำ�เนินต่อไปเว้นแต่สิ่งนี้จะถูกทำ�ลาย โมเสสกล่าวถึงปัญหาเดียวกันเมื่อท่าน พูดเกี่ยวกับความบาปของบิดาที่ตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วและสี่ชั่วอายุคน (ดูอพยพ 34:7; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:8-10, 6:1-2) นี่เป็นการถอดความบทกวีที่โด่งดังของโดโรธีย์ โนล์ทเกี่ยวกับการเรียนรู้ของ เด็กกับสิ่งที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วย hero 01_1-20.indd 8 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 9 เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะเรียนรู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวโทษคนอื่น เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นศัตรูและความโกรธ เขาเรียนรู้ที่จะโกรธและวิธีการต่อสู้ เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับการเยาะเย้ย ภาพลักษณ์แห่งตนของเขาจะหดเหี่ยวไปเป็นความขี้อาย และความถ่อมใจที่ผิดๆ เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับความอัปยศและความกระดากอาย ความภูมิใจในตนเองของเขาจะค่อยๆ ซึมออกมาเป็นความรู้สึกผิด10 ผมเติบโตขึ้นในความหิวกระหายครอบครัวที่มีความรัก ศัพท์ดังเช่นคำ�ว่า “ครอบครัวที่ผิดปกติ” อาจเป็นคำ�ใหม่พอสมควร แต่ผมคุ้น เคยกับความเจ็บปวดที่เกิดจากความผิดปกตินั้นเป็นอย่างดี คุณพ่อขี้เมาของผม เป็นอะไรก็ได้ยกเว้นวีรบุรุษ คุณแม่ของผมทำ�อย่างดีที่สุดที่จะรักพี่ชายและพี่สาว ของผมรวมทั้งตัวผม แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้แต่งงานกันอย่างแท้จริง ทั้งสองไม่มี ความสัมพันธ์กัน อย่างดีที่สุดที่ทั้งสองท่านมีคือความเป็นอยู่ ผมไม่เคยเห็นพ่อ ของผมกอดคุณแม่ของผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับประสาอะไรกับการมีประสบการณ์ กับการสวมกอดของท่านที่ให้กับผม ผมจำ�ไม่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าคุณพ่อเคย พาผมไปในบางที่บางแห่งเพียงลำ�พังและใช้เวลากับผมเมื่อไหร่ ผมเติบโตขึ้นในฟาร์มโคนมขนาดหนึ่งร้อยห้าสิบเอเคอร์นอกเมืองเล็กๆ ในรัฐ มิชิแกน ทุกคนต่างก็รู้จักกันและกัน และแน่นอนทุกคนรู้เกี่ยวกับคุณพ่อของผม และการดื่มสุราของท่าน เพื่อนๆ ของผมที่เป็นวัยรุ่นพูดตลกเกี่ยวกับคุณพ่อและ ผมจะหัวเราะเยาะเขาเช่นกันซึ่งเป็นความพยายามที่จะปิดบังความปวดร้าวและ ความเจ็บใจ บางครั้งผมจะออกไปที่โรงนาและพบคุณแม่ของผมนอนอยู่ในมูลสัตว์ข้างหลัง วัวในสภาพที่ถูกทุบตีอย่างหนักจนเธอไม่สามารถลุกขึ้นได้ ผมเกลียดคุณพ่อของ ผมที่ปฏิบัติกับคุณแม่อย่างทารุณและเพื่อเป็นการแก้แค้นการปฏิบัติดังกล่าวผมจะ ทำ�ทุกสิ่งที่ผมทำ�ได้เพื่อฉีกหน้าหรือลงโทษพ่อ เมื่อพ่อเมาและขู่ที่จะทุบตีคุณแม่ hero 01_1-20.indd 9 29/11/2560 15:01


10 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ของผม หรือถ้าพ่ออยู่ในอาการเมาจนไม่รู้สึกตัวเมื่อเพื่อนๆ ของผมวางแผนที่จะ มาหาผมที่บ้าน ผมจะลากพ่อไปไว้ในโรงนา ผูกพ่อติดกับคอกสัตว์ และทิ้งท่านไว้ ที่นั่นเพื่อ “นอนให้หายเมา” เมื่อผมอายุมากขึ้น ตัวใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น ผมทำ�สิ่งนี้บ่อยครั้งมากขึ้น บางครั้งผมจะเดือดดาลมาก ผมจะมัดเท้าของพ่อด้วยเชือกที่มีปลายอีกข้างหนึ่ง เป็นบ่วงคล้องคอพ่อเอาไว้ ที่จริงผมหวังว่าพ่อจะรัดคอตัวเองจนหายใจไม่ออกใน ขณะที่พยายามดิ้นให้หลุดจากการถูกมัด ผมจำ�วันที่พ่อเมาสุราและอยู่ในอาการเกรี้ยวกราดอย่างมากได้ซึ่งผมพยายาม ที่จะทำ�ให้ท่านสร่างเมาด้วยการดันตัวของพ่อทั้งตัวลงไปในอ่างอาบน้ำ�ที่มีน้ำ�เต็ม อ่าง ในความพยายามนั้นผมพบว่าตัวผมเองกำ�ลังกดศีรษะของพ่อให้อยู่ใต้น้ำ� ถ้า ใครบางคนไม่ได้ยับยั้งผม (จนกระทั่งวันนี้ผมไม่แน่ใจว่าคนนั้นเป็นใคร) วันนั้นผม คงทำ�ให้พ่อจมน้ำ�ตายไปแล้ว ผมเติบโตขึ้นโดยไม่รู้จักวิธีการให้หรือการรับเอาความรักอย่างแท้จริง เมื่อผม เรียนจบชั้นมัธยมปลายและศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ผมโหยหาการมีประสบการณ์ กับครอบครัวที่มีความรักแท้ ที่จริงแนวคิดของหนังสือเล่มนี้เกิดมาแล้วเป็นเวลา หลายปีเมื่อผมเห็นแนวคิดของเรื่องนี้สำ�แดงออกมาในครอบครัวของผู้คนสองคน ที่กลายเป็นวีรบุรุษตลอดชีพของผม นั่นคือ ดิ๊ก เดย์ ผู้ร่วมเขียนหนังสือเล่มนี้ เป็น เพื่อนผู้ชายที่ใกล้ชิดที่สุดที่ผมเคยมีมา ถัดจากชอนลูกชายของผม ด็อตตี้ แม็คโด เวลล์เป็นภรรยาที่วิเศษที่สุดที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถมีได้และเป็นคุณแม่ที่ยอดเยี่ยม ให้กับลูกสี่คนของเรา ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของดิ๊ก ผมพบกับดิ๊กเมื่อเราทั้งสองเรียนอยู่ในโรงเรียนพระคริสตธรรมในระหว่างปี 1960s ดิ๊กอายุมากกว่าพวกเราทั้งหมดสองสามปี เขาแต่งงานและมีลูกสี่คนเหมือน ผม ดิ๊กเป็นผลผลิตของครอบครัวผู้ติดสุราและผิดปกติ เขามาเชื่อในพระคริสต์เมื่อ อายุยี่สิบกว่าปีและรู้สึกถึงการทรงเรียกเข้าสู่การรับใช้ เราพบกันในขณะที่กำ�ลังลง ทะเบียนเรียนในโรงเรียนพระคริสตธรรมและถูกชะตากันในทันที hero 01_1-20.indd 10 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 11 ในไม่ช้าผมก็กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวเดย์อีกคนหนึ่งโดยแท้ซึ่งผมมัก จะแวะไปคุยในช่วงเวลาที่น่าสนใจ อย่างเช่นเวลา 6.30 น.หรือหลังจากห้าทุ่ม เพื่อ พูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถรอได้ ดิ๊กเป็นคนใจเย็น ใจดี และมี ความรัก ซึ่งล้วนแต่เป็นคุณสมบัติที่ผมแทบไม่รู้จักเลยในขณะที่กำ�ลังเติบโตขึ้นมา ผมประทับใจในทันทีกับวิธีการที่ดิ๊กและชาร์ล็อตต์ปฏิบัติต่อลูกของเขาและต่อ กันและกัน เขา ยอมรับและชื่นชมลูกๆ ของเขาด้วยการให้กำ�ลังใจลูกและทำ�ให้เขา รู้สึกมีคุณค่าและมีความสำ�คัญอยู่เสมอ และเขารักลูกของเขาด้วยคำ�พูดและการ สัมผัสอย่างรักใคร่เอ็นดู พร้อมกับการสวมกอดกันมากมาย คุณอาจพูดได้ว่าผม เรียนรู้จักการสวมกอดจากการสนิทสนมกับครอบครัวเดย์ และทั้งสองคนว่างเสมอ เขามีเวลาให้กับลูกๆ อยู่เสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจผมมากเพราะพ่อของผมไม่เคย มีเวลาให้ผมเลย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือทั้งสองคนขอบใจลูกๆ ของเขาสำ�หรับสิ่งที่ลูก ทำ�รอบๆ บ้าน การนำ�ขยะไปทิ้ง การทำ�ความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามทั้ง สองคนไม่ลืมที่จะแสดงการชื่นชมลูกของเขาอยู่เสมอสำ�หรับสิ่งที่ลูกได้กระทำ� เมื่อ ผมมองย้อนกลับไปดูวัยเด็กของตนผมจำ�ได้ว่าพ่อของผมเคยสอนผมเกี่ยวกับวิธี การทำ�งาน ผมยกให้พ่อได้มากขนาดนั้น แต่การชื่นชมของพ่อกับสิ่งที่ผมทำ�นะ เหรอ ผมจำ�ได้ไม่มากนักว่ามีอยู่บ้างหรือไม่ ผมคลุกคลีอยู่กับครอบครัวเดย์และซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้โดยไม่มีวันพอ เพราะผมไม่เคยเห็นความรักแบบนี้ในครอบครัวของผมมากนัก จริงๆ จะว่าไปแล้ว ครอบครัวของดิ๊กกลายเป็นครอบครัวที่ผมไม่เคยมี พ่อแม่ของด็อตตี้คือวีรบุรุษตัวจริงของเธอ ต่อมาเมื่อผมกับดิ๊กเข้าร่วมทำ�งานกับองค์การแคมปัสครูเสด เราแยกทางกัน อยู่ชั่วระยะหนึ่ง ผมลงเอยกับการประกาศตามมหาวิทยาลัยและที่นั่นเองที่ผมพบ กับด็อตตี้ เมื่อเราเริ่มคบหากัน ผมรู้สึกสนใจอย่างมากกับการที่เธอพูดถึงครอบครัว ของเธออยู่เสมอและบอกว่าพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สาวมีความหมายมากเพียงใด สำ�หรับเธอ สองสามเดือนต่อมา ในช่วงวันหยุดคริสต์มาส ผมมีโอกาสพบกับ ครอบครัวของด็อตตี้และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้เห็นผู้คนที่มีคุณสมบัติเช่นเดียว hero 01_1-20.indd 11 29/11/2560 15:01


12 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ กับที่สำ�แดงออกมาให้เห็นอย่างงดงามโดยดิ๊กและชาร์ล็อตต์ เดย์ ด็อตตี้เติบโตขึ้นมากับพ่อแม่ที่ปลื้มใจในตัวเธออย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งคุณแม่ของเธอนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเข้าไปสู่โลกของลูกๆ ของเธอด้วย การมองดูชีวิตผ่านทางสายตาของพวกเขาและการกระโดดเข้าไปในความรู้สึก นึกคิดของลูกอย่างแท้จริงเพื่อจะเข้าใจมุมมองของเขา และผมประทับใจเป็นพิเศษกับวิธีการที่ด็อตตี้เชิดชูคุณพ่อของเธอ คุณพ่อเป็น คนธรรมดา ไม่โอ้อวด ที่จริงท่านเป็นคนพิถีพิถันมากไปเล็กน้อย แต่ไม่มีข้อสงสัย เลยว่าท่านคือวีรบุรุษของเธอ เมื่อผมใช้เวลาช่วงคริสต์มาสครั้งแรกกับด็อตตี้และครอบครัวของเธอ เป็นการ ยากที่จะพูดว่าอะไรคือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผมมากที่สุด การทำ�ความรู้จักกับ ด็อตตี้มากขึ้นหรือการทำ�ความรู้จักกับคุณพ่อของเธอ ผมได้เรียนรู้จากท่านตั้งแต่ แรกเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างถึงความหมายของการเป็นสามีและคุณพ่อที่มีความรัก ความรักและการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขมีให้เห็นอยู่เสมอ คุณพ่อให้กำ�ลังใจลูก ของตนด้วยการรับรองเขาและแสดงให้เขาเห็นว่าท่านห่วงใยอยู่เสมอ และเหมือนที่ดิ๊ก ชาร์ล็อตต์ และลูกๆ ของเขาทำ� ด็อตตี้ พ่อแม่ของเธอ และ พี่น้องชายหญิงของเธอต่างก็ใช้เวลาด้วยกัน เขาไม่ได้ทำ�สิ่งนี้ในรูปแบบที่ไร้เป้า หมายและไม่เป็นระเบียบโดยพยายามอย่างลุกลี้ลุกลนที่จะทำ�ตามตารางต่างๆ ซึ่ง อัดแน่นไปด้วยกิจกรรมมากมาย ที่จริงคนเหล่านี้ชอบที่จะอยู่ร่วมกันและไม่จำ�เป็น ต้องหาเวลาสำ�หรับสิ่งนี้ เพราะพวกเขาเพียงแค่ให้เวลาเนื่องจากต้องการทำ�สิ่งนั้น อะไรคือความหมายของคำว่า “วีรบุรุษ” เมื่อประมาณสองสามปีที่แล้ว นักจัดรายการวิทยุคนหนึ่งสำ�รวจความคิดเห็น ของวัยรุ่นเกือบสองร้อยคนในศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง รายชื่อของวีรบุรุษของวัยรุ่น เหล่านั้นที่มาเป็นอันดับแรกได้แก่ศิลปินระดับตำ�นานอย่าง ปริ้นซ์ ตามด้วย มาดอนนา และไมเคิล แจ็คสัน ไม่มีวัยรุ่นคนใดเลยตอบว่าพ่อหรือแม่ของเขาหรือ ของเธอคือวีรบุรุษ สิ่งนี้หมายความว่าพ่อและแม่ตกรอบไปแล้วใช่ไหม ไม่น่าจะ เป็นอย่างนั้น สิ่งนี้เพียงแค่หมายความว่าเด็กวัยรุ่นเกือบสองร้อยคนเทียบคำ�ว่า “วีรบุรุษ” กับนักร้องนักแสดงที่เขานิยมชมชอบ แต่วีรบุรุษตัวจริงไม่ใช่ภาพของ hero 01_1-20.indd 12 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 13 บุคคลที่น่าประทับใจบนจอโทรทัศน์หรือจอภาพยนตร์ วีรบุรุษตัวจริงไม่ได้เข้ามา เพื่อทำ�หน้าที่เพียงคืนเดียวในการแสดงคอนเสิร์ตเพลงร็อกหรือการแข่งขันกีฬา วีรบุรุษตัวจริงเข้ามาเพื่อลากยาวและคุณสามารถเห็นจุดอ่อนพร้อมๆ กับจุดแข็ง ของเขา ตามความเห็นของผม ครอบครัวของดิ๊กและครอบครัวของด็อตตี้มีลักษณะ ใกล้เคียงกับสิ่งที่วีรบุรุษตัวจริงเป็นและสิ่งที่วีรบุรุษตัวจริงทำ�มากกว่าแนวความคิด ยอดนิยมหรือความเข้าใจผิดส่วนใหญ่ที่คุณพบเห็นในปัจจุบัน ทั้งสองครอบครัว แสดงให้ผมเห็นอยู่เสมอว่าการเป็นวีรบุรุษตัวจริงหมายถึงอะไร ไม่ใช่เป็นแนวคิด ที่ฉูดฉาดผิวเผินของดาราหรือผู้มีชื่อเสียงซึ่งมักได้รับการเชิดชูในสื่อ แต่นี่เป็นแบบ อย่างที่ไว้ใจได้ของความหมายของการเป็นสามีและการเป็นพ่อที่แท้จริง แบบอย่าง ของการเป็นภรรยาและการเป็นแม่ที่แท้จริง คุณจะให้คำ�นิยามของคำ�ว่า “วีรบุรุษ” อย่างไร ถ้าคุณเปิดดูพจนานุกรม ฉบับ หนึ่งจะบอกคุณว่าวีรบุรุษคือ “ผู้มีชื่อเสียงเรื่องความกล้าหาญหรือมีความสูงส่งเรื่อง เป้าหมาย วีรบุรุษพร้อมที่จะเสี่ยงหรือสละชีวิตของตน” คำ�นิยามอีกคำ�หนึ่งกล่าว ว่าวีรบุรุษคือ “บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในบางเหตุการณ์ บางวงการ หรือบาง อุดมการณ์เนื่องจากเขาหรือเธอได้สร้างความสำ�เร็จหรือให้ความช่วยเหลือเป็น พิเศษ” คำ�นิยามที่สองนี่เองที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความคลั่งไคล้ดาราในปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่อธิบายว่าทำ�ไมพ่อแม่หลายคนจึงกลัวว่าเขาไม่สามารถเป็นวีรบุรุษ ของลูกๆ ของตนได้ เขามี “ความสามารถพิเศษ” ไม่เพียงพอ ผมเดาว่าคำ�นิยาม ของพจนานุกรมเหมาะสำ�หรับผู้เริ่มต้น แต่สำ�หรับผมคำ�นิยามเหล่านี้ไม่ได้เจาะลง ไปถึงประเด็นที่แท้จริงว่าวีรบุรุษตัวจริงนั้นมีลักษณะอย่างไร การที่คนบางคนจะเป็นวีรบุรุษของผม เขาหรือเธอคนนั้นต้องเป็นบุคคลที่ผม อยากเป็นเหมือนเขา วีรบุรุษจะไม่สามารถเป็นวีรบุรุษได้มากนักถ้าคุณไม่ต้องการ จะเอาอย่างบุคคลคนนั้น ทำ�ตัวเหมือนบุคคลคนนั้น และใช้ชีวิตเหมือนบุคคลคน นั้น hero 01_1-20.indd 13 29/11/2560 15:01


14 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ วีรบุรุษจะมีบางอย่างคล้ายกัน วีรบุรุษตัวจริงจะมีลักษณะพื้นฐานบางอย่างเหมือนกัน เขารู้ในสิ่งที่เขาเชื่อ และเขาปฏิบัติตามสิ่งนั้นไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เขาพร้อมที่จะสละเวลา ของตนเพื่อทำ�ให้ค่านิยมของเขามีชีวิตชีวาน่าสนใจและน่าตื่นเต้น วีรบุรุษไม่เอาแต่ พูด การใช้ชีวิตของเขาจะเป็นสิ่งยืนยันว่าเขาเป็นใครและเป็นคนแบบไหน วีรบุรุษไม่ใหญ่โตเกินกว่าที่จะก้มลงให้ความช่วยเหลือคนอื่น เขาไม่เคยคิดว่า เขาเป็นคนฉลาดมากจนตัวเองไม่ต้องการการสั่งสอน วีรบุรุษไม่เคยเอาจุดแข็งไป ปะปนกับความสุภาพอ่อนโยน แต่เขาสามารถแสดงให้เห็นทั้งสองอย่างเมื่อมีความ จำ�เป็นต้องแสดงอย่างหนึ่งอย่างใดออกมา วีรบุรุษแบ่งปันของขวัญของตนกับคน อื่นเสมอและเล่นตามกติกาเสมอ วีรบุรุษไม่เคยคุ้นชินกับความสำ�เร็จมากจนจำ� ไม่ได้ว่าความรู้สึกเมื่อล้มเหลวเป็นอย่างไร11 น่าเสียดายที่วีรบุรุษหรือวีรสตรีจำ�นวนมากในปัจจุบันขาดความเมตตา ขาด จริยธรรม ขาดค่านิยมเรื่องครอบครัว รวมทั้งขาดคุณสมบัติและลักษณะอื่นๆ มากมายที่อธิบายไว้เบื้องต้น โอ๊ะ! คนเหล่านี้อาจเก่งในสิ่งที่เขาทำ� เขาอาจมีชื่อ เสียงโด่งดังอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เขาอาจทำ�เงินได้มากมาย แต่จริงๆ แล้วชีวิตของเขา ไม่มีค่าคู่ควรเอาเป็นแบบอย่างเลย คำ นิยามใหม่ของคำว่า “วีรบุรุษ” ในหนังสือเล่มนี้ เราต้องการให้พ่อแม่รู้ว่าการเป็นวีรบุรุษของลูกหมายถึงการ แบ่งปันความเป็นจริงโดยไม่มีสิ่งหลอกลวง ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีของปลอม เรา ต้องการให้คำ�นิยามของคำ�ว่า “วีรบุรุษใหม่” ดังต่อไปนี้ วีรบุรุษ (he-ro) [น.] แม่หรือพ่อคนใดที่แสดงลักษณะของความเมตตา บุคคลิก ความเสมอต้นเสมอปลาย และความซื่อสัตย์ที่สมเหตุสมผลซึ่งเมื่อรวม กันแล้วจะทำ ให้เกิดแบบอย่างในเชิงบวก พระเยซูตรัสคำ�อุปมาเรื่องหนึ่งที่พูดอย่างมากเกี่ยวกับการเป็นแบบอย่างทั้งที่ ดีและไม่ดี พระองค์ตรัสว่า “คนตา​บอดจะนำ�ทางคนตา​บอดได้หรือ? ทั้งสองคนจะ ไม่ตกบ่อหรอกหรือ ศิษย์ย่อมไม่ใหญ่ไปกว่า​ครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอน อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเหมือนอย่างครู” (ลูกา 6:39-40) hero 01_1-20.indd 14 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 15 คำ�ตรัสของพระเยซูมีแรงจูงใจที่แท้จริงสำ�หรับความต้องการที่จะเป็นวีรบุรุษ ของลูกคุณ นี่ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะคุณต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเป็นคนสำ�คัญ เป็นที่ เคารพนับถือ หรือเป็นที่รัก สิ่งนี้ไม่ใช่เพราะว่าคุณต้องการหาความพอใจกับความ รู้สึกอันอบอุ่น การชื่นชม และความรู้สึกดีๆ เกี่ยวกับการเป็นยอดคุณพ่อหรือยอด คุณแม่ สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นประโยชน์ข้างเคียงที่ดีของการเป็นวีรบุรุษ แต่นั่นไม่ใช่ ส่วนสำ�คัญที่สุด คุณต้องการเป็นวีรบุรุษของลูกคุณ เพื่อเตรียมเขาให้พร้อมใช้ชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ ในโลกที่เจ็บปวดรวดร้าว ไม่เป็นมิตร และขัดสน คุณต้องการให้ลูกของคุณสามารถปฏิเสธสารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ก่อน แต่งงาน และแรงกดดันต่างๆ ที่โหมกระหน่ำ�เข้าใส่เขาโดยสื่อและกลุ่มเพื่อนในวัย เดียวกันหรือไม่ ถ้าใช่ จงเริ่มต้นในขณะที่เขายังเด็ก (หรือเริ่มต้นตอนนี้ไม่ว่าเขา จะอายุเท่าไหร่ก็ตาม) และพยายามที่จะเป็นวีรบุรุษของเขา ยิ่งคุณเป็นวีรบุรุษของ ลูกคุณมากขึ้นเท่าใด ลูกของคุณก็จะยิ่งฟังคุณและเจริญรอยตามค่านิยมของคุณ มากขึ้นเท่านั้น ลูกของคุณจะเป็นคนแบบไหน ขอให้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่หนึ่ง เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่คุณต้องการเป็นวีรบุรุษ ของลูกก็เพราะว่าเขาจะออกมาเหมือนคุณ ยอมรับเถอะ ความผูกพันระหว่างพ่อ แม่กับลูกเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนความสัมพันธ์อื่นใดบนแผ่นดินโลก ถ้าจะถอดความ (ลูกา 6:40) ก็น่าจะกล่าวได้ว่า “ลูกไม่ใหญ่กว่าพ่อแม่ แต่ลูกทุกคนที่ได้รับการ ฝึกสอนครบแล้ว ก็จะเป็นเหมือนพ่อแม่ของตน” เราอยากเห็นอะไรในลูกๆ ของเรา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขาเห็นในเรา เราก็จะ เห็นสิ่งนั้นในลูกของเรา ซึ่งรวมถึงแนวคิดของเขาในเรื่องพระเจ้า โรเบิร์ต แม็กกี จิม แครดด็อก และแพท สปริงเกิลกล่าวไว้ในหนังสือที่ดีเยี่ยมซึ่งเขาเขียนร่วมกัน ว่า hero 01_1-20.indd 15 29/11/2560 15:01


16 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ มุมมองของคุณในเรื่องพระเจ้า แนวคิดส่วนตัวของคุณ และ ความสามารถของคุณในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นจะถูก กำ หนดโดยความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อแม่ของคุณ ถ้าพ่อแม่ของ คุณเคยเป็น (และยังเป็น) คนที่มีความรักและให้การส่งเสริม ถ้าเป็น เช่นนั้นคุณก็อาจเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักและเข้มแข็ง คุณอาจเป็นคน ที่มั่นคงและมั่นใจและสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นได้โดย ง่าย อย่างไรก็ตาม ถ้าพ่อแม่ของคุณเป็นคนเกรี้ยวกราดและเรียก ร้องมากเกินควร คุณอาจเชื่อว่าพระเจ้าก็เป็นแบบนั้นเช่นกันและคุณ อาจคิดว่าคุณไม่มีวันที่จะทำ ให้พระองค์พอพระทัยได้... ไม่ว่าเขาจะ เป็นคนที่มีความรักหรือเย็นชา ปรานีหรือเกรี้ยวกราด ส่งเสริมหรือ ไม่แยแส พ่อแม่มีบทบาทสำคัญในการสร้างมุมมองของคุณในเรื่อง พระเจ้า มุมมองของคุณเกี่ยวกับตัวเอง และความสัมพันธ์ของคุณ กับคนอื่น ผลลัพธ์เป็นได้ทั้งน่าอัศจรรย์ใจและน่าสลดใจ12 เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ที่ลูกของคุณมีกับคุณผู้เป็นพ่อแม่ของเขา จะเป็นตัวกำ�หนดคุณภาพชีวิตที่เขาจะประสบเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ ถ้าท่านเป็นวีรบุรุษ ของเขา พระเจ้าจะเป็นยอดวีรบุรุษของเขา เขาจะมีความต้องการรับใช้พระองค์ เพราะความรัก ไม่ใช่ความกลัว เพราะความกตัญญู ไม่ใช่ความรู้สึกผิด ถ้าท่านมีลูกเล็กๆ จงจำ�ไว้ว่าท่านเป็นเหมือน “พระเจ้า” สำ�หรับเขา สิ่งใดที่ ท่านบอกเขา เขาจะเชื่อ ถ้าท่านบอกเขาว่าดวงจันทร์ถูกสร้างจากเนยแข็ง เขาจะ เชื่อท่าน ถ้าคำ�พูดและการกระทำ�ของท่านบอกให้เขารู้ว่าเขาเป็นคนพิเศษ เป็น ที่รักเพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าหรือเพราะสิ่งที่เขาทำ� จากนั้นเมื่อ เขาเติบโตขึ้นเขาจะต่อสู้กับการทดลองของการทำ�ตัวให้ดีพอเพื่อจะเป็นที่ยอมรับ และเขาจะค้นพบว่าความสำ�เร็จ สถานภาพ ความงดงาม และความมั่งคั่งส่วนตัว ไม่ทำ�ให้มีความสุขอย่างยั่งยืน จงจำ�ไว้ว่า ในไม่ช้าโลกก็จะนำ�เอาคำ�พูดโกหกอันร้ายกาจของซาตานมาให้กับ ชีวิตเยาว์วัยที่ไร้เดียงสาเช่นกันว่า “คุณจะมีค่าก็ต่อเมื่อคุณมีดีเทียบเท่ากับ มาตรฐานเรื่องความสำ�เร็จของสังคมเท่านั้น” แต่ถ้าคำ�สอนของคุณดังมากพอ เมื่อ hero 01_1-20.indd 16 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 17 ลูกของคุณได้ยินคำ�พูดโกหกนี้ ความทรงจำ�ในเรื่องความรักและการยอมรับอัน ล้ำ�ค่าจะเอ่อล้นออกมาจากส่วนในสุดของชีวิตเขาเพื่อเสริมกำ�ลังให้เขาพูดว่า “ไม่” ต่อการล่อลวงของซาตานและพูดว่า “ใช่” ต่อความเพียงพอของพระคริสต์ และสำ�หรับพ่อแม่ของลูกที่มีอายุมากขึ้น จงจำ�ไว้ว่า การเริ่มต้นทำ�สิ่งที่ถูก ต้องไม่มีคำ�ว่าสายเกินไป ในหนังสือเล่มนี้ วีรบุรุษตัวจริงคือแม่หรือพ่อที่ดำ�เนินชีวิตทุกวันด้วยหลักการ ที่พระเยซูทรงสอนด้วยพระองค์เอง ฟังดูเป็นสิ่งเรียบง่าย ใช่ไหมครับ แต่พ่อแม่ ทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียบง่ายเลย แทนที่จะอยู่ในการควบคุม (วิธีคิดแบบ “พ่อ หรือแม่รู้ดีที่สุด”) วันเวลาของเรามักกลายสภาพเป็นกิจกรรมที่สับสนวุ่นวายที่เรา ต้องตอบสนองซึ่งดูเหมือนจะตกเป็นฝ่ายรับอยู่เสมอ โดยไม่มีวันแน่ใจได้เลยว่าเรา จะตามทันหรือไม่ แผน “6 A’s” สำ หรับการเป็นวีรบุรุษ ผมรู้จักความรู้สึกและดิ๊กก็เช่นเดียวกัน แต่เราต้องการที่จะหยิบยื่นความช่วย เหลือบางอย่างซึ่งเป็นแผนการที่เราเรียกว่า “แผน 6 A’s สำ�หรับวิธีการอบรมเลี้ยง ดูลูกเชิงบวก” หลักการสำ�คัญ 6 ข้อประกอบด้วย การยอมรับ (Acceptance) การ ชื่นชม (Appreciation) ความรักใคร่เอ็นดู (Affection) การมีเวลาว่างให้ลูก (Availability) ความรับผิดชอบ (Accountability) และสิทธิอำ�นาจ (Authority) บทที่ 2 จะมุ่งให้ความสนใจกับภาพรวมของ “แผน 6 A’s” และส่วนที่เหลือ อยู่ของหนังสือเล่มนี้จะพัฒนาแผนแต่ละแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้ความเข้าใจ ด้านพระคัมภีร์และด้านการศึกษาในเชิงลึกกับท่าน รวมทั้งข้อเสนอ แนะภาคปฏิบัติ สำ�หรับการฝึกใช้หลักการแต่ละข้อในครอบครัวของท่าน “แผน 6 A’s” ให้คำ�แนะนำ�ทีละขั้นกับท่านเกี่ยวกับวิธีการเป็นวีรบุรุษของลูก ท่าน ใช่ครับ เป็นความจริงที่เด็กๆ หลงใหลและประทับใจนักร้องเพลงร็อกและ ดาราภาพยนตร์และผู้คนที่มีชื่อเสียงเด่นดังอื่นๆ แต่จากสิ่งที่ผมมองเห็นในขณะที่ ผมเดินทาง 150,000 ไมล์ต่อปีเพื่อบรรยายกับนักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษา มหาวิทยาลัยจำ�นวนมาก สิ่งที่คนเหล่านี้กำ�ลังมองหาอย่างแท้จริงคือความเป็น ผู้นำ� คุณลักษณะ ความซื่อสัตย์ และ (เหนือสิ่งอื่นใด) ความรัก hero 01_1-20.indd 17 29/11/2560 15:01


18 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ สถานที่เพียงแห่งเดียวที่เขาจะสามารถได้สิ่งที่เป็นของจริงคือจากคุณแม่และ คุณพ่อ ไม่ใช่จากมาดอนนาหรือจากวงดนตรี “นิวคิดส์ออนเดอะบล็อก” เด็กๆ รู้จัก ความแตกต่างระหว่างความสนใจที่แท้จริงกับความเป็นห่วงที่เสแสร้ง เขารู้โดย สัญชาตญาณว่าเขามีความสำ�คัญเพียงใดต่อผู้คนรอบข้างเขา เขารู้เมื่อเขาได้รับความรัก การยอมรับ และการชื่นชมอย่างแท้จริง เขารู้ว่า เขากำ�ลังได้รับการหยิบยื่นการเห็นคุณค่าของตนเองหรือความรู้สึกไร้คุณค่า เขารู้ ว่าเขาเป็นคนสำ�คัญหรือไร้ความสำ�คัญ เขาสามารถบอกได้เมื่อความรักใคร่เอ็นดู ออกมาจากจิตใจหรือสิ่งนั้นมาจากหน้าที่หรือเป็นเครื่องล่อใจ อย่างไรก็ตาม เขามองไม่เห็นความแตกต่างมากนักระหว่าง “เวลาที่มี คุณภาพ” กับ “เวลาที่เป็นปริมาณ” ทุกอย่างจะเหมือนกันหมดสำ�หรับลูก และเมื่อ พ่อแม่ไม่มีเวลาให้เขา คุณหลอกเขาไม่ได้ อย่าพยายามหลอกลูกของคุณ ผมไม่แน่ใจว่าผมหยิบเอาคำ�ขวัญที่เป็นหัวข้อของบทนี้มาจากไหน แต่คำ�ขวัญ นี้กลายเป็นหลักการชี้นำ�สำ�หรับผมกับครอบครัวของผม และผมแบ่งปันคำ�ขวัญนี้ ในทุกที่ทุกแห่งที่ผมไป คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ คุณจะเห็นคำ�ขวัญนี้อีกครั้งก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะจบลง ถ้าคุณไม่ได้รับสิ่งใด เลยจากหน้าต่างๆ ของหนังสือเล่มนี้ ผมภาวนาว่าคุณจะเข้าใจว่าลูกของคุณจะไม่ ถูกหลอก ไม่ถูกดูถูก หรือถูกมองข้าม คำ�พูดเพียงอย่างเดียวไม่พอ เขาต้องการ เห็นการกระทำ� เพื่อจะเป็นวีรบุรุษ พ่อแม่ไม่จำ�เป็นต้องสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ ต้องการความถ่อมใจ ความมุ่งมั่น และความพร้อมที่จะเรียนรู้ เมื่อลูกได้รับการ อบรมเลี้ยงดูด้วยการยอมรับ การชื่นชม ความรักใคร่เอ็นดู การมีเวลาว่างให้ลูก hero 01_1-20.indd 18 29/11/2560 15:01


คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณหลอกลูกของคุณไม่ได้ 19 ความรับผิดชอบ และสิทธิอำนาจที่มีความรัก สิ่งวิเศษหลายอย่างสามารถเกิดขึ้น เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับความอดกลั้นและการปฏิบัติที่เป็นธรรม เขาเรียนรู้ที่จะเป็นคนอดทนและยุติธรรมกับคนอื่น เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับการให้กำ�ลังใจ เขาเรียนรู้ที่จะเป็นคนมั่นใจและมั่นคง เมื่อเด็กใช้ชีวิตอยู่กับการยกย่องและการชมเชย เขาเรียนรู้จักการชื่นชม เมื่อเด็กมีชีวิตอยู่กับความเป็นธรรม เขาเรียนรู้จักความหมายของความยุติธรรม เมื่อเด็กมีชีวิตอยู่กับความมั่นคง เขาเรียนรู้จักการมีความเชื่อ เมื่อเด็กมีชีวิตอยู่กับการยินยอมพร้อมใจ เขาเรียนรู้ที่จะชอบตัวเอง เมื่อเด็กมีชีวิตอยู่กับการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข เขาเรียนรู้ที่จะค้นหาความรักในพระเจ้าและโลก13 “แผนการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก” นี้ทำ�ให้ประโยชน์เหล่านี้และประโยชน์อื่นๆ เกิดขึ้นได้ แผนนี้ไม่ใช่สูตรมหัศจรรย์ แผนนี้ไม่รับประกันความสำ�เร็จ แต่แผนนี้จะ ให้เข็มทิศสำ�หรับการนำ�ทางผ่านน่านน้ำ�ทุกรูปแบบไม่ว่าจะมีพายุแรงหรือราบรื่น ตอนนี้ขอให้เราพิจารณาดูแผนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดมากขึ้น hero 01_1-20.indd 19 29/11/2560 15:01


20 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ข้อคิดท้ายบท ไตร่ตรอง อภิปราย หรือลองใช้กับคุณ 1. คุณเคยคิดหรือไม่ว่าทำ�ไม (และอย่างไร) บทบาทการเป็นพ่อแม่ของคุณ จึงรวมถึงแนวคิดของการเป็นวีรบุรุษ เพราะเหตุใด 2. ในบทนี้จอร์ชให้คำ�นิยามของคำ�ว่า “วีรบุรุษ” ใหม่ด้วยการเน้นหนักไปที่คำ� ว่า “แบบอย่าง” สิ่งที่ลูกของคุณเห็นในตัวคุณ คุณก็จะเห็นในตัวเขาในอนาคต ข้อความนี้ส่งผลต่อความคิดของคุณเกี่ยวกับความรับผิดชอบของคุณในฐานะพ่อ แม่อย่างไร ลูกของคุณกำ�ลังเรียนรู้สิ่งใดเมื่อเขาเฝ้าดูคุณประพฤติตามค่านิยมของ คุณ (สิ่งที่คุณพูดว่าคุณเชื่อ) 3. หน้า 16 มีการอ้างอิงคำ�พูดจากผู้เขียนหนังสืออีกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับมุมมอง ของเด็กในเรื่องพระเจ้า ตัวเอง และคนอื่นจะถูกกำ�หนดโดยความสัมพันธ์ของเขา กับพ่อแม่ของเขาอย่างไร กลับไปอ่านคำ�พูดอ้างอิงนั้นซ้ำ�อีกและทำ�ให้คำ�พูดอ้างอิง นั้นเป็นพื้นฐานสำ�หรับการอธิษฐานในขณะที่คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด 4. “ลูกไม่ใหญ่กว่าพ่อแม่ แต่ลูกทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้ว ก็จะเป็น เหมือนพ่อแม่ของตน” คิดสักครู่หนึ่งเกี่ยวกับวิธีการที่ลูกของคุณจะเป็นเหมือนคุณ ให้บอกถึงลักษณะเชิงบวกสองหรือสามลักษณะในตัวคุณที่คุณต้องการจะส่งผ่าน ไปยังลูกของคุณและคิดถึงวิธีการที่คุณจะสามารถสำ�แดงแบบอย่างของลักษณะ เหล่านั้นในสัปดาห์นี้ hero 01_1-20.indd 20 29/11/2560 15:01


อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 21 มักจะกล่าวกันว่าการแต่งงานกับการอบรมเลี้ยงดูลูกเป็นความรับผิดชอบสอง อย่างที่ผู้คนแบกรับเอาโดยได้รับการฝึกอบรมเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีการฝึก อบรมเลย แท้ที่จริงการฝึกอบรมส่วนใหญ่ที่เขาได้รับเป็น “การปฏิบัติจริง” ที่มีการ ลองผิดลองถูกมากมาย น่าประหลาดที่บ่อยครั้งเรามักจะฝากความสัมพันธ์ที่มีค่าที่ สุดในชีวิตไว้กับโอกาส เราหวังว่าไม่ว่าด้วยวิธีใดความรักจะครอบครองเหนือทุก สิ่งและหวังว่า “ยังไงก็แล้วแต่ลูกๆ จะรู้ว่าเรารักเขา” และ “ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตาม สิ่งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง” ในความเป็นจริง เราได้รับการฝึกอบรมอย่างกว้างขวางในเรื่องการแต่งงาน และครอบครัวจากครูคนแรกของเรา ซึ่งได้แก่คุณแม่กับคุณพ่อ ปัญหาก็คือว่าคำ สั่งสอนที่เป็นแบบอย่างของท่านไม่ได้เป็นไปตามหลักการของพระเจ้าตลอดเวลา ถ้าสิ่งที่พวกวัยรุ่นทั่วทั้งประเทศกำ ลังบอกผมเป็นตัวบ่งชี้บางอย่าง วิธีการ “เลี้ยงดูลูกแบบไม่มีแผน” (ไปตายเอาดาบหน้า) ใช้ไม่ได้ผล ทั้งๆ ที่มีหนังสือ วิดีโอ ฟิล์ม และเครื่องมือ “ให้ข้อมูล” อย่างอื่นเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่การอบรมเลี้ยงดู ลูกยังคงเป็นความลี้ลับที่หลายครอบครัวล้มเหลวในการหาทางออก ดิ๊ก เดย์กับผมไม่ได้อ้างว่าเรารู้คำ ตอบให้กับครอบครัวที่ผิดปกติและภาวะ พึ่งพา แผนที่เรากำลังจะอธิบายในบทนี้ไม่ใช่สูตรที่เก๋ไก๋และ “ล้มเหลวไม่ได้” ถึง กระนั้น เราเชื่อว่าเราได้ค้นพบหลักการพื้นฐานบางอย่างของการอบรมเลี้ยงดูลูก ที่สามารถช่วยครอบครัวที่ผิดปกติให้ทำ ลายวงจรแง่ลบและช่วยครอบครัวที่กำ ลัง ทำ หน้าที่เป็นปกติดีเรียนรู้ที่จะพัฒนาวิธีการเชิงบวกและยำ เกรงพระเจ้ามากขึ้น อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 2 hero 02_21-32.indd 21 29/11/2560 15:12


22 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ เป้าหมายของเราการแทนที่การอบรมเลี้ยงดูลูกแบบเป็นพิษด้วยการอบรม เลี้ยงดูลูกแบบฟูมฟักและโอกาสสำ หรับการทำ สิ่งนี้ให้ประสบความสำ เร็จจะเป็น ของคุณมากขึ้นถ้าคุณใช้ “แผน 6 A’s ในการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก” แนวทาง หนึ่งในการมองดูแผน 6 A’s คือการมองดูแผนนี้เหมือนดูสูตรการทำอาหาร คุณเริ่มต้นด้วยการยอมรับ จากนั้นคุณเพิ่มการชื่นชมเข้าไป ปรุงรสชาติให้กับทั้งสองอย่างนี้ด้วยความรักใคร่เอ็นดูและการมีเวลาว่างให้ลูก ในปริมาณที่มาก จากนั้นเพิ่มความรับผิดชอบเข้าไป และส่งท้ายด้วยสิทธิอำนาจที่มีความรัก ทุกสิ่งที่เราพูดถึงในตลอดทั้งเล่มของหนังสือนี้จะอยู่บนพื้นฐานของแผน 6 A’s สำ หรับการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก จงนำ เอาแผนนี้แต่ละอย่างไปใช้ใน ครอบครัวของคุณและคุณมั่นใจได้เลยว่าคุณจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับลูกของ คุณ จงนำ เอาแผนทั้งหกอย่างนี้ไปใช้และคุณอาจกลายเป็นวีรบุรุษตัวจริงของลูก คุณ อย่างไรก็ตาม จงรู้ว่าคุณต้องใช้แผน 6 A’s ในลำดับที่ถูกต้อง พ่อแม่คริสเตียน ที่มีความตั้งใจดีบางคนคิดว่าเขาควรเริ่มต้นด้วยการแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของ เขา เขาอยากจะแน่ใจว่าลูกของเขามีสำนึกในความรับผิดชอบ และคำ โปรดนั้นคือ “ความรับผิดชอบ” พ่อแม่ที่ให้ความสนใจกับการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของตน เชื่อว่าสิ่งอื่นๆ เช่น การยอมรับ การชื่นชม ความรักใคร่เอ็นดู และการมีเวลาว่าง ให้ลูกจะเกิดขึ้นตามมาโดยปกติ เหมือนที่เราจะเห็นในบทที่ 3 ว่าเป็นเรื่องไม่ฉลาด เลยที่จะทึกทักเอาว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในลักษณะนั้น นอกจากนี้ การเริ่มต้นกับสิทธิ อำนาจของคุณก่อนเป็นสิ่งที่สวนทางกันอย่างชัดเจนกับวิธีการเป็นวีรบุรุษเชิงบวก ให้กับลูกคุณ ทำ ไมการยอมรับต้องมาก่อน เพื่อให้สามารถใช้แผน 6 A’s อย่างถูกต้องคุณต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับ เพราะสิ่งนี้เป็นรากฐานที่แท้จริงของความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกของคุณ เป้าหมาย สูงสุดที่ตั้งเป้าเอาไว้คือการยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไขซึ่งเป็นการสื่อความรักของคุณ hero 02_21-32.indd 22 29/11/2560 15:12


อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 23 ออกไปในรูปแบบที่ลูกของคุณจะรับรู้ได้ไม่ว่าเขาจะทำ หรือพูดสิ่งใดหรือไม่ว่าเขา จะล้มเหลวหรือทำสิ่งใดผิดพลาดมากเพียงใดก็ตาม คุณแม่และคุณพ่อก็ยังรักเขา อยู่ดีนั่นแหละ เมื่อลูกสัมผัสกับการยอมรับที่แท้จริงจากพ่อแม่ของเขา เขาจะรู้สึกมั่นคง เขา รู้ว่ามีคนเห็นคุณค่าของเขาและเขามีคุณค่าที่ไม่ได้ถูกกำ หนดโดยเงื่อนไขที่ว่าเขา ต้องทำตามความคาดหวังของพ่อแม่แค่ไหน แต่ด้วยความจริงเพียงอย่างเดียวที่ ว่าเขาเป็นอย่างที่เขาเป็นและเขาได้รับความรักในฐานะที่เป็นตัวเขาเองโดยลำ พัง พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเห็นตรงกันว่านี่คือเป้าหมายสูงสุดที่เขาตั้งเป้าไว้และหลาย คนเชื่อว่าเขากำลังไปถึงเป้าหมายของตน อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง เขามัก จะหยิบยื่นการยอมรับโดยเน้นผลงาน (มีเงื่อนไข) ให้กับลูกของตน พูดอีกอย่างก็คือ ตราบใดที่หนูน้อยจอห์นนี่และเจนนิเฟอร์เป็น “เด็กดี” (ทำ สิ่งที่ถูกต้อง) พ่อแม่ของเขาก็จะยอมรับเขา แต่ถ้าลูกทำผิด ล้มเหลว ส่งเสียงดัง หรือไม่มีเหตุผล การยอมรับนั้นก็จะหายไป อย่างน้อยก็ชั่วคราว พ่อแม่สามารถ ถอนการยอมรับของเขาอย่างแยบยลโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไป แต่เด็กสัมผัสกับสิ่งนั้น ในชั่วพักเดียว ประสบการณ์ของผมกับลูกๆ ของเราสี่คนบอกผมว่าการยอมรับอย่างไม่มี เงื่อนไขเป็นงานเต็มเวลา สิ่งนี้ไม่ใช่การ “ให้คำมั่นสัญญาว่าจะยอมรับ” และจาก นั้นสันนิษฐานว่าคุณกำลังสื่อการยอมรับเพราะคุณตั้งใจที่จะทำ เช่นนั้น ผมคว้าทุก โอกาสที่ผมทำ ได้เพื่อช่วยให้ลูกของผมรู้ว่าผมยอมรับเขาไม่ว่าเขาจะชนะหรือแพ้ ในปัญหาและการต่อสู้ของชีวิตประจำ วัน เขาเป็นมนุษย์เหมือนกับผมและเขามีวัน ที่ดีและวันที่ไม่สู้ดีนัก แต่การยอมรับของผมไม่เปลี่ยนแปลง การยอมรับเคธี นักฟุตบอลตัวน้อยของผม ด็อตตี้ภรรยาของผมกับผมกำลังมองหาแนวทางที่จะสำแดงการยอมรับอย่าง ไม่มีเงื่อนไขของเราต่อลูกของเราอยู่เสมอ บางครั้งผมสงสัยว่าเราสอบผ่านหรือ เปล่า แต่จากนั้นลูกของเราจะตั้งข้อสังเกตที่แสดงให้เราเห็นว่าลูกๆ รับเอาทุกอย่าง เข้าไป เขากำลังรับฟังและเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดมากกว่าที่เราคาดคิด hero 02_21-32.indd 23 29/11/2560 15:12


24 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ยกตัวอย่าง เมื่อเคธีลูกสาวของเราอายุเพียงหกขวบเธอเริ่มกลายเป็นดาราลูก หนังในระดับของเธอ หลังจากช่วงอุ่นเครื่องสำ หรับการแข่งขันแม็ตช์สำคัญที่สุด ของเธอแม็ตช์หนึ่งประจำฤดูกาล เธอก็วิ่งออกมาจากสนามและพูดว่า “พ่อคะ ถ้า หนูยิงได้หนึ่งประตู พ่อจะให้เงินหนูหนึ่งดอลล่าร์ไหม” “แน่นอนจ๊ะลูก” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม “ว้าว” เคธีอุทานออกมา สำ หรับเด็กอายุหกขวบ หนึ่งประตูต่อหนึ่งดอลล่าร์ ฟังดูเหมือนสัญญาหลายปีของนักฟุตบอลมืออาชีพทีเดียว “เดี๋ยวก่อนลูก” ผมพูดพร้อมกับจับตัวเธอไว้ก่อนที่เธอจะวิ่งลงสนามไปร่วม กับทีมของเธอ “แม้ลูกจะยิงประตูไม่ได้ พ่อก็จะให้ลูกหนึ่งดอลล่าร์อยู่ดี” “พ่อจะให้จริงเหรอคะ” “พ่อจะให้จริงๆ จ๊ะ” “ว้าว” เคธีอุทานออกมาอีกในขณะที่เธอเตรียมตัวจะวิ่งลงไปเริ่มต้นการแข่งขัน แต่ผมจับตัวเธอเอาไว้อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวก่อนลูก หนูรู้ไหมว่า ทำ ไม” ลูกสาววัยหกขวบของผมหยุดและหันกลับมา นับเป็นเวลาอย่างน้อยสามปีที่ ผมพยายามจะช่วยเธอให้เข้าใจว่าการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขคืออะไรและสิ่งเหล่า นั้นดูเหมือนจะไม่มีความหมายมากนัก แต่ในวินาทีนั้น เธอหันกลับมา มองดูที่ผม และพูดว่า “อืมม์คะ...ไม่สำคัญว่าหนูจะเล่นฟุตบอลหรือไม่ก็ตาม ถึงยังไงพ่อก็รัก หนู” ลูกสาวของผมไม่สามารถพูดสิ่งใดในวินาทีนั้นที่จะนำ ความชื่นใจมาให้ผม มากกว่านี้อีกแล้ว ผมจำ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไปว่าเคธียิงประตูได้หรือไม่ในการแข่งขันนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือเธอรู้ว่าถึงยังไงผมก็รักเธอ และนั่นคือสิ่งที่สำคัญ ที่สุด การชื่นชมคือการพูดว่า “ลูกเป็นคนสำ คัญ” ถ้าการยอมรับเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกของคุณ การชื่นชมก็ เป็นศิลามุมเอก การยอมรับลูกของคุณจะสร้างการเห็นคุณค่าของตนเองและความ รู้สึกมั่นคงให้กับเขาหรือเธอ การชื่นชมเพิ่มเติมความรู้สึกของความสำคัญซึ่งเป็น hero 02_21-32.indd 24 29/11/2560 15:12


อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 25 แนวคิดที่ว่า “เฮ้ ผมมีความสำคัญ พ่อกับแม่ชอบให้ผมอยู่ใกล้ๆ ทั้งสองท่านภูมิใจ ในตัวผม” เพื่อจะฝึกการชื่นชม จงเป็นสิ่งที่นักเขียนแมมมี แม็คคัลลาฟเรียกว่า “ผู้ค้นหา ด้านดี” แทนที่จะเข้าหาภารกิจของการเป็นผู้อบรมเลี้ยงดูลูกของคุณด้วยเป้าหมาย ของการปรับปรุงแก้ไข การลงโทษ และควบคุมให้ลูกของคุณอยู่ในร่องในรอย จง เน้นหนักไปยังอีกด้านหนึ่ง อันดับแรกจงมองหาเวลาและสถานที่ที่คุณจะสามารถ ยกย่อง ชมเชย และให้กำลังใจลูกของคุณอย่างจริงใจ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณล้มเลิกการลงโทษหรือการปรับปรุงแก้ไขเมื่อมี ความจำ เป็น แต่คุณปูทางไปสู่การลงโทษด้วยการช่วยให้ลูกรู้ว่าคุณมองเห็นและ ยอมรับสิ่งที่เขาหรือเธอทำ ถูกต้อง จากนั้นคุณสามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดหรือการ ประพฤติที่ไม่เหมาะสมในบรรยากาศเชิงบวก แทนที่จะมีความรู้สึกเป็นประจำ ว่า “สิ่งเดียวที่ผมเห็นคือสิ่งที่ลูกของผมทำผิด ผมตำ หนิเขาอยู่เสมอ” ดิ๊กกับผมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะพูดเกี่ยวกับการชื่นชมในบทที่ 7 และ 8 สำ หรับตอนนี้เราขอพูดในเรื่องการยอมรับในฐานะที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจัด เตรียมความรักให้กับกึ่งหนึ่งของสมการของการอบรมเลี้ยงดูลูก เราจะพูดถึง ขอบเขต ความรับผิดชอบและสิทธิอำนาจในภายหลัง อันดับแรก เราต้องพิจารณา ดูโดยสังเขปเกี่ยวกับวิธีการสำคัญสองวิธีที่จะแสดงให้ลูกของคุณรู้ว่าคุณยอมรับ และชื่นชมเขาอย่างแท้จริง ความรักใคร่เอ็นดูคือการพูดว่า “ลูกเป็นที่รัก” ดูเหมือนจะไม่จำ เป็นต้องเตือนพ่อแม่ให้รักใคร่เอ็นดูต่อลูกของตน แต่น่า เสียดายที่เด็กจำ นวนมากเติบโตขึ้นมาโดยปราศจากความรักใคร่เอ็นดูและผล สะท้อนของสิ่งนี้สามารถสัมผัสได้หลายปีต่อมา บ่อยครั้ง วัยรุ่นที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานกำ ลังมองหาความรักที่เขาไม่เคยได้รับเมื่อเขายัง เด็ก ผมยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นอยู่เสมอกับความเชื่อที่ว่าเด็กได้รับความรักใคร่ เอ็นดูไม่มากพอ เขาต้องได้ยินและสัมผัสกับความรักใคร่เอ็นดูจากคุณทุกวัน ใน ทางร่างกาย คุณควรสัมผัสเขาด้วยการสวมกอด การจุมพิต การตบไหล่เบาๆ และ hero 02_21-32.indd 25 29/11/2560 15:12


26 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ลูบหลังอย่างมากมาย ในทางคำ พูด คุณควรบอกเขาว่าคุณรักเขา เขาได้ยินคำนี้ ไม่เพียงพอ “พ่อรักลูกนะ” ในทางใดทางหนึ่งอย่างน้อยสี่หรือห้าครั้งต่อวัน1 เป็นความจริงที่ว่าเมื่อลูกอายุมากขึ้นและเรียนอยู่ในระดับประถมศึกษาตอน ปลายและมัธยมศึกษาตอนต้น เขาอาจเริ่มทำตัวราวกับว่าเขาไม่ต้องการหรือไม่ อยากได้ความรักใคร่เอ็นดูมากนัก อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่ผมเห็นมา เด็กที่อายุ มากขึ้นเหล่านี้ต้องการความรักใคร่เอ็นดูมากเหมือนเดิม หรือมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ซ้ำ ไป การค้นพบเวลา สถานที่ และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อแสดงความรักใคร่เอ็นดู กับเขาอาจเป็นปัญหา แต่อย่าเชื่อแม้แต่ชั่วขณะหนึ่งว่าเด็กเหล่านี้ไม่ต้องการความ รักใคร่เอ็นดู น่าเสียดายที่พ่อแม่จำนวนมากมักจะแสดงความรักใคร่เอ็นดูน้อยลงเมื่อลูก เติบโตขึ้น งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ผมเคยเห็นรายงานถึงการลดลงอย่างชัดเจนของความ รักใคร่เอ็นดูด้วยคำ พูดและด้วยการสัมผัสทางร่างกายจากพ่อและแม่เมื่อลูกเติบโต ขึ้น ร้อยละ 40 ของคุณแม่ให้การยืนยันด้วยคำ พูดในแต่ละวันอย่างเช่นคำ ว่า “แม่ รักลูก” กับลูกที่เรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 แต่เมื่อเด็กเหล่านี้เรียนอยู่ในชั้นมัธยม ปีที่ 3 มีคุณแม่เพียงร้อยละ 36 เท่านั้นที่ยังทำสิ่งนั้นอยู่ สำ หรับคุณพ่อร้อยละ 44 แสดงความรักใคร่เอ็นดูด้วยคำ พูดกับลูกที่เรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 แต่ตัวเลขนี้ ลดลงเหลือร้อยละ 36 เมื่อลูกเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 3 สำ หรับการแสดงความรักใคร่เอ็นดูด้วยการสัมผัสทางร่างกาย เช่น การ สวมกอด การจุมพิต การลูบหลัง และอื่นๆ ร้อยละ 68 ของคุณแม่แสดงความรัก ใคร่เอ็นดูด้วยวิธีนี้กับลูกที่เรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 แต่ตัวเลขนี้ลดลงเหลือ ร้อย ละ 44 เมื่อเด็กเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 3 ร้อยละ 50 ของคุณพ่อแสดงความรัก ใคร่เอ็นดูด้วยการสัมผัสทางร่างกายกับลูกที่เรียนอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5 และตัวเลข นี้ลดลงเหลือร้อยละ 26 เมื่อลูกเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 32 ไม่มีงานศึกษาวิจัยชิ้นใดสามารถเป็น “คำตอบสุดท้าย” ได้ แต่สถิติเหล่านี้ ชี้แนะอย่างชัดเจนว่ายิ่งลูกอายุมากขึ้นเท่าไหร่พ่อแม่ก็ยิ่งจะบอกหรือแสดงให้ลูกรู้ น้อยลงเท่านั้นในแต่ละวันว่าเขารักลูก คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไรสำ หรับเด็กเมื่อตอน ที่เขามีอายุสิบห้าปี สิบหกปี และสิบเจ็ดปี การคาดเดาที่ดีก็คือว่าเปอร์เซ็นต์คง ต้องลดลงต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ ไป hero 02_21-32.indd 26 29/11/2560 15:12


อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 27 เป็นเรื่องประหลาดอย่างมากที่ว่าเมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นและกำลังไขว่คว้าหา เอกลักษณ์ส่วนตัวด้วยการพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์และความภาคภูมิใจ ในตนเองอย่างถูกต้อง เขาหรือเธอค่อนข้างมีโอกาสที่จะได้รับความรักใคร่เอ็นดู จากพ่อแม่เพียงเล็กน้อย การพูดเพียงแค่ว่า “ลูกรู้ว่าผมรักเขา ผมไม่จำ เป็นต้องบอกเขาและแสดงให้ เขาเห็นตลอดเวลาหรอก” ไม่ใช่สิ่งที่เพียงพอ คุณจำ เป็นต้องบอกเขาและแสดงให้ เขาเห็นตลอดเวลา การแสดงความรักใคร่เอ็นดูกับลูกคือสิ่งที่ให้ความรู้สึกว่าเขา เป็นคนน่ารักกับเขาและความรู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักจะให้ความมั่นใจที่เขาต้องการ แก่เขาเพื่อจะสร้างความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์กับคนอื่นภายนอกครอบครัว ผมไม่ สามารถบอกคุณได้ว่ามีเด็กวัยรุ่นกี่คนที่ผมพูดคุยด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กวัยรุ่น หญิง ที่มีเรื่องมีราวทางเพศสัมพันธ์เนื่องจากพวกเธอพยายามที่จะพิสูจน์ว่าพวก เธอเป็นคนน่ารัก การมีเวลาว่างให้ลูกเป็นการพูดว่า “ลูกเป็นคนสำ คัญ” ในการกระทำ หลายอย่าง การมีเวลาว่างให้ลูกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของแผน 6 A’s สำ หรับวิธีการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก เพราะอะไร เป็นที่ชัดเจนว่าถ้าคุณไม่ อยู่ใกล้กับลูก คุณจะแสดงการยอมรับ การชื่นชม และความรักใคร่เอ็นดูกับลูกของ คุณได้อย่างไร คุณจะช่วยให้เขาเรียนรู้จักความรับผิดชอบอย่างไรและคุณจะใช้สิทธิ อำนาจที่มีความรักได้อย่างไร ในทุกวันนี้เมื่อพ่อแม่พยายามที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับตารางการ ทำ งานที่ยุ่งอยู่เสมอของเขาด้วยการพูดว่าเขาจะใช้ “เวลาที่มีคุณภาพ” กับลูกของ ตน สิ่งที่เขาต้องเผชิญก็คือว่าแม้เวลาที่มีคุณภาพจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแทนที่ เวลาที่เป็นปริมาณได้ ที่จริง การใช้เวลาในปริมาณที่มากกับลูกของคุณจะทำ ให้ เกิดช่วงเวลาที่มีคุณภาพขึ้น อย่านั่งลงกับลูกของคุณและพูดว่า “หวัดดีครับลูก ขอ ให้เรามาใช้เวลาห้านาทีที่มีคุณภาพด้วยกันก่อนที่พ่อจะรีบไปประชุมอีกนัดหนึ่ง” เนื่องจากผมเป็นคนที่คำนึงถึงเป้าหมายเป็นสำคัญและผมจะไม่พอใจเว้นแต่ ผมเข้าร่วมในโครงการขนาดใหญ่สักสี่หรือห้าโครงการในเวลาเดียวกัน ผมจึงต้อง เรียนรู้ว่าลูกของผมต้องมาก่อน ในบทท้ายๆ ผมจะแบ่งปันแนวคิดหลายอย่าง hero 02_21-32.indd 27 29/11/2560 15:12


28 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ สำ หรับสิ่งที่คุณสามารถทำกับลูกของคุณ บางสิ่งจะเรียบง่ายและบางสิ่งอาจดูแปลก ประหลาดหรืออาจดูพิกลด้วยซ้ำ ไป แต่ผมทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดและผมวางแผน ที่จะทำต่อไป ผมต้องการให้ลูกของผมรู้ว่าผมมีเวลาให้เขาอยู่เสมอ ซึ่งไม่มีคนใด กิจกรรมใด หรือสิ่งใดจะสำคัญต่อผมมากไปกว่าเขาและแม่ของเขา และเขาต้องรู้ ว่าพระเยซูคริสต์ผู้เป็นความรักครั้งแรกของผมคือรากฐานที่แท้จริงของความรัก ของผมที่มีต่อเขาและเขาเป็นความสำคัญอันดับแรกในชีวิตของผม ความรักเกิดความสมดุลด้วยขอบเขต การยอมรับ การชื่นชม ความรักใคร่เอ็นดู และการมีเวลาว่างให้ลูกล้วนเป็น ส่วนหนึ่งของความรักซึ่งเป็นกึ่งหนึ่งของสมการของการอบรมเลี้ยงดูลูก ในอีกด้าน หนึ่ง เราวางปัจจัยที่ทำ ให้เกิดความสมดุลเอาไว้ 2 ปัจจัย นั่นคือ ความรับผิดชอบ และสิทธิอำนาจที่มีความรักซึ่งเป็นขอบเขตหรือกฎระเบียบที่ครอบครัวนำมาใช้ เพื่อการดำ เนินชีวิต อย่างไรก็ตาม จงจำ ไว้ว่าความรักต้องมาก่อน ความรักคือสิ่ง ที่ทำ ให้กฎระเบียบเป็นที่พอใจและเป็นประโยชน์ เหมือนที่เราเห็นว่าการยอมรับจะสร้างความรู้สึกแห่งความมั่นคงให้ลูก การ ชื่นชมจะสร้างความรู้สึกของการเป็นคนสำ คัญให้เด็ก ความรับผิดชอบจะสร้าง ความรู้สึกของการรู้จักบังคับตนให้เขา เมื่อเราทำ ให้ลูกของเรารู้จักรับผิดชอบ เขา จะมีความรู้ว่าการเป็นคนรับผิดชอบนั้นหมายถึงอะไร การสอนและการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในครอบครัวของคุณคือช่อง ทางที่สมบูรณ์แบบสำ หรับการเป็นวีรบุรุษ การเป็นแบบอย่างที่ดีกับลูกของคุณ วีรบุรุษไม่เพียงแต่ทำ ให้ลูกของตนรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำ เท่านั้น แต่วีรบุรุษยัง พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อลูกของเขาด้วยเช่นกัน ดิ๊กกับผมบังคับตัวเราเองให้รับผิดชอบต่อลูกๆ ของเราด้วยการขอร้องลูกให้ ช่วยเราในการเป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดที่เราสามารถเป็นได้และด้วยการชี้ให้เราเห็นว่า จุดใดที่เราควรปรับปรุง ลูกๆ ของเรามีสิทธิ์บอกเราด้วยความเคารพเมื่อเราทำ หรือ พูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เราพูดว่าเราเชื่อหรือสิ่งที่เรากำ ลังพยายามจะสอนใน ครอบครัว hero 02_21-32.indd 28 29/11/2560 15:12


อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 29 เมื่อคุณบังคับตัวเองให้รับผิดชอบต่อลูกของคุณจงพร้อมที่จะแสดงความรับ ผิดชอบ ครั้งหนึ่ง พวกเรากำลังออกไปทานอาหารมื้อค่ำ ที่ร้านอาหารจานด่วนแห่ง หนึ่งและทุกคนคิดถึงร้านเดียวกันยกเว้นเคลลีลูกสาวคนโตของเรา เมื่อรู้ว่าเธอแพ้ คะแนนเสียง เคลลีวิพากษ์วิจารณ์ทางเลือกที่ทุกคนชื่นชอบด้วยการใช้คำคุณศัพท์ อย่างเช่นคำ ว่า “ขยะ” และ “บ่อไขมัน” เป็นต้น ผมตำ หนิเคลลีสำ หรับภาษาที่เธอเลือกและท่าทีที่ไม่พอใจของเธอและจากนั้น เราทุกคนยอมอะลุ้มอล่วยด้วยการตกลงให้ผู้ที่ต้องการทานอาหารที่ร้านแรกแวะ ลงที่ร้านนั้น จากนั้นด็อตตี้กับผมจะพาเคลลีไปยังร้านอาหารที่เธอชื่นชอบ หลังจากนั้นเราขับรถกลับไปยังร้านอาหารที่ชอน เคธี และเฮเธอร์เลือกและ เมื่อเราจอดรถ ผมพูดกึ่งตลก แต่กึ่งเห็นด้วยกับเคลลีว่า “อ้าว ทุกคนออกไปเก็บ ถุงขยะ” ชอน เคธี และเฮเธอร์ไม่ได้ยินคำ พูดของผมด้วยซ้ำ ไป เขาตื่นเต้นเกินไปกับ มันฝรั่งทอดและเบอร์เกอร์ซึ่งเขาวางแผนที่จะสั่ง แต่เมื่อเราถอยรถออกมาเพื่อมุ่ง หน้าไปยังร้านอาหารที่เคลลีเลือก เธอพูดว่า “พ่อคะ พ่อเพิ่งทำ ในสิ่งที่พ่อบอกกับ หนูว่ามันผิด การเรียกสถานที่แห่งหนึ่งว่าถังขยะหรือถุงขยะมันต่างกันตรงไหน” เคลลีจับผมได้คาหนังคาเขา และผมรู้ดี เราออกมาทานอาหารมื้อค่ำ แต่ผม กำลังจะกินคำ พูดของผมเองเป็นออร์เดิร์ฟ (อาหารเรียกน้ำย่อย) ผมกล้ำกลืนกับ สิ่งนั้นและขอบคุณเคลลีที่ชี้ให้ผมเห็นถึงความไม่คงเส้นคงวาและการขาดความเป็น แบบอย่างที่ดีของผม นั่นเป็นประสบการณ์ที่ทำ ให้ผมเจียมตนมาก แต่ในบางแง่ บางทีสิ่งนั้นคือบทเรียนที่ดีที่สุดที่ผมสามารถสอนเกี่ยวกับความหมายของการ แสดงความรับผิดชอบและการรู้จักบังคับตนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมลิ้นของ คุณ บางสิ่งบางอย่างที่ดิ๊กกับผมเน้นย้ำ ในการสัมมนากับพ่อแม่ก็คือการแสดง ความรับผิดชอบจะสอนเด็กในเรื่องการเชื่อฟังซึ่งช่วยเด็กให้พัฒนาวินัยส่วนตัว ถ้า ปราศจากสำนึกที่ดีในเรื่องความรับผิดชอบ เด็กจะไม่มีวินัยส่วนตัวเพื่อรับมือกับ สิทธิอำนาจ hero 02_21-32.indd 29 29/11/2560 15:12


30 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ สิทธิอำ นาจมีอยู่สองประเภท คำ ว่า “สิทธิอำนาจ” แย้มถึงการเป็นผู้นำ และนั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่เป็นคือ ผู้นำ ในบ้านของเขา เมื่ออ้างสิทธิอำนาจ พ่อแม่สามารถใช้หลายวิธีการ ซึ่งรวมถึงการ ใช้ความเด็ดขาดและการใช้ความสัมพันธ์ พ่อแม่ที่ใช้ความเด็ดขาดจะพูดว่า “พ่อมีอำนาจที่นี่ ลูกต้องทำตามแนวทาง ของพ่อ ไม่เช่นนั้น” พ่อแม่ที่ความเด็ดขาดหรือแบบเผด็จการจะดำ เนินชีวิตตาม ตัวบทกฎหมาย พ่อแม่ที่ใช้ความเด็ดขาดต้องควบคุม ครอบงำ และชักใย ลูกของ เขาจะเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่แสดงปฏิกิริยาไปตามการชักใย พ่อแม่ที่ใช้ความสัมพันธ์ (น่าไว้วางใจ) จะพูดว่า “พ่อต้องการสิ่งที่ดีที่สุด สำ หรับลูก ให้เรามาดูทางเลือกด้วยกัน... นี่คือสิ่งที่พ่อเชื่อว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นวิธีการใช้ชีวิตที่รับผิดชอบที่สุด” พ่อแม่ที่ใช้ความสัมพันธ์จะแสดงแบบอย่างแห่งเจตนาของตัวบทกฎหมายให้ เห็นอยู่เสมอ พ่อแม่ที่ใช้ความสัมพันธ์เป็นผู้นำ -ผู้รับใช้ซึ่งให้คำแนะนำ เป็นแม่ แบบ และเป็นตัวอย่างที่น่าไว้วางใจ ลูกของเขารู้ว่าเขามีขอบเขต แต่เขาก็รู้เช่น กันว่าเขามีเสรีภาพที่จะเลือกสิ่งที่ดีภายในขอบเขตเหล่านั้น สิทธิอำนาจที่มีความ รักจะทำ ให้เด็กมีสำนึกของความเด็ดขาดส่วนตัวซึ่งทำ ให้เขาสามารถเลือกสิ่งที่ถูก ต้องเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตน สิ่งที่ควรพูด และสิ่งที่ควรทำ ผมได้ใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบของสูตรการทำอาหารเพื่ออธิบายถึงแผน 6 A’s อีกแนวทางหนึ่งของการมองดูแผนสำ หรับการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวกคือการดู แผนผังในหน้า 31 ซึ่งบรรยายให้เห็นภาพของบ้านที่สมบูรณ์และเป็นปกติ ที่รากฐานคือการยอมรับและบนรากฐานนั้นเรามีการชื่นชม “ผนัง” แห่งความรัก ใคร่เอ็นดูและการมีเวลาว่างให้ลูกแสดงให้เห็นว่าการยอมรับและการชื่นชมถูกส่ง ต่อไปยังเด็กอย่างไร และชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของความรักจะค้ำขื่อและ หลังคาแห่งขอบเขต ความรับผิดชอบและสิทธิอำนาจในลักษณะไหน แผน 6 A’s สำ หรับการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวกคือพิมพ์เขียวสำ หรับการสร้าง ครอบครัวที่สมบูรณ์และทำ หน้าที่อย่างมั่นใจ เมื่อคุณเดินตามแผน 6 A’s ในลำดับ ที่ถูกต้อง คุณจะเป็นวีรบุรุษให้กับลูกคุณ ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจของคุณเอง แต่ เพื่อประโยชน์และผลประโยชน์สูงสุดของเขาเอง คุณจะเป็นแบบอย่างที่เขาต้องการ hero 02_21-32.indd 30 29/11/2560 15:12


อย่าคอยโอกาส แต่จงสร้างโอกาส 31 เพื่อทำ ให้เขามีความพร้อมสำ หรับการใช้ชีวิตในโลกที่อันตรายและเรียกร้องมาก เกินควร แต่เราต้องการจะพูดซ้ำอีกว่าแผน 6 A’s ต้องถูกนำ ไปใช้ในลำดับที่ถูกต้อง อย่าสร้างบ้านของคุณด้วยการเริ่มต้นกับหลังคา อย่าพยายามเพิ่มรากฐานในภาย หลัง ถ้าคุณทำ เช่นนั้นคุณจะได้ไม่ได้อะไรเลยนอกจากความวุ่นวายและความสับสน ในบทที่ 3 เราจะพิจารณาอย่างใกล้ชิดมากขึ้นว่าเหตุใดความรักต้องมาก่อน ขอบเขตอยู่ตลอดเวลา สิทธิอำ นาจ ใช้ด้วยความรักจะให้ขอบเขตสำ หรับการเลือกที่ถูกต้อง และสร้างสำนึกของความเด็ดขาดในตัวเอง แผน 6 A’s สำ หรับการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก การมีเวลาว่างให้ลูก การให้เวลากับลูกของคุณจะพัฒนา สำนึกของการเป็นคนสำคัญ ความรักใคร่เอ็นดู คำ พูดและการกระทำ ที่ห่วงใย จะสร้างความรู้สึกว่าตนเป็นที่รัก การชื่นชม การชมเชยและการยืนยันอย่างจริงใจจะพัฒนาสำนึกของความสำคัญ ความรับผิดชอบ ด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อลูกของคุณ คุณสอนเขาให้รู้จักรับผิดชอบ ซึ่งจะสร้างสำนึกของการมีวินัยส่วนตัวและการควบคุมตนเอง การยอมรับ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจะพัฒนาสำนึกของความมั่นคงและความภูมิใจในตนเอง ความรักคือโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนขอบเขต ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกคลุมป้องกันของครอบครัว hero 02_21-32.indd 31 29/11/2560 15:12


32 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ข้อคิดท้ายบท ไตร่ตรอง อภิปราย หรือลองใช้กับคุณ 1. การมีแผนสำ หรับการอบรมเลี้ยงดูลูกมีความสำคัญเพียงใด มาจนถึงจุดนี้ แผนของคุณคืออะไร 2. ในความเห็นของผู้เขียน การยอมรับต้องมาก่อนเมื่ออบรมเลี้ยงดูลูกของ คุณ ให้เอากระดาษออกมาแผ่นหนึ่งและเขียนด้วยคำ พูดของคุณเองว่าทำ ไมสิ่งนี้ จึงเป็นความจริง 3. คุณชื่นชมลูกของคุณมากแค่ไหน คุณค้นพบวิธีการอย่างเจาะจงที่จะชมเชย หรือให้กำลังใจลูกของคุณในแต่ละวันหรือยัง คำชมเชยของคุณมีจำนวนมากกว่า คำตำ หนิและการวิพากษ์วิจารณ์ของคุณหรือไม่ เมื่อลูกของคุณเติบโตขึ้น คุณเคย ถลำ เข้าไปสู่นิสัยปกติของการแสดงความรักใคร่เอ็นดูออกมาภายนอกน้อยลงหรือ ไม่ ถ้านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น จงพูดคุยกับคู่สมรสของคุณว่าคุณจะสามารถแสดงความ รักใคร่เอ็นดูในแนวทางที่คุณสบายใจและเป็นที่ยอมรับของลูกมากขึ้นอย่างไร 4. ในความเห็นของผู้เขียน อะไรคือวิธีการเพียงอย่างเดียวที่จะใช้ “เวลาที่มี คุณภาพ” กับลูกของคุณ คุณใช้เวลามากแค่ไหนที่ทำ ให้คุณสามารถจดจ่ออยู่กับ ลูกแต่ละคนและให้ความสนใจ ความใส่ใจ และความรักใคร่เอ็นดูของคุณอย่างเต็ม ที่กับเขาหรือเธอ คุณเคยวางแผนและนัดหมายกับลูกเป็นรายบุคคลหรือไม่ นี่คือ สิ่งที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ในเร็ววันหรือไม่ สัปดาห์นี้หละเป็นยังไง 5. แนวคิดของการแสดงความรับผิดชอบต่อลูกของคุณฟังดูเป็นยังไงสำ หรับ คุณ แนวคิดนี้ดูจะทำ ให้พ่อแม่อยู่ในฐานะที่อาจทำ ให้ลูกไม่แสดงความเคารพหรือ ไม่ หรือว่าแนวคิดนี้ดูจะเป็นวิธีการที่ดีในการเป็นแบบอย่างของการแสดงความรับ ผิดชอบต่อลูกของคุณ 6. ในความเห็นของผู้เขียน วิธีการสองอย่างของการใช้สิทธิอำนาจของพ่อแม่ ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือการใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดและกับการใช้อำนาจแบบ ตามใจ การใช้ความสัมพันธ์คือความสมดุลของทั้งสองวิธี วิธีการไหนที่ลูกของคุณ จะพูดว่าเป็นวิธีของคุณและเพราะอะไร hero 02_21-32.indd 32 29/11/2560 15:12


กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 33 กฎข้อที่ 1 สำ�หรับพ่อแม่ที่ต้องการเป็นวีรบุรุษของลูกของเขาคือการปฏิบัติ ตามกฎระเบียบโดยทั่วไปอย่างเฉลียวฉลาด กฎที่ปราศจากความสัมพันธ์จะนำ ไปสู่การกบฏ เด็กไม่ตอบสนองต่อกฎระเบียบ แต่เขาตอบสนองต่อความสัมพันธ์ เป็นความ จริงที่ว่าคุณสามารถทำ�ให้ลูกของคุณ “ประพฤติตัวดี” ด้วยการบังคับใช้กฎระเบียบ คุณสามารถควบคุมลูกของคุณได้ในจุดหนึ่งด้วยการจัดการอย่างเคร่งครัด แต่สิ่ง นั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับการตอบสนองอย่างเชื่อฟังและด้วยความรัก จากเขา สิ่งที่คุณได้รับคือปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาซึ่งถ้าดูจากพื้นผิวจะเป็นเหมือน การเชื่อฟัง แต่ภายใต้พื้นผิวนั้นคือความกลัว ความอึดอัดใจ และความโกรธเคือง เว้นแต่คุณจะสร้างความสัมพันธ์แห่งความรักและการยอมรับกับลูกของคุณ คุณเชื่อได้เลยว่าปัญหากำ�ลังรออยู่ข้างหน้า ที่จริง พระคัมภีร์เตือนพ่อแม่ไม่ให้ยั่ว ยุหรือยุแหย่ลูกของเขาให้โกรธ (ดูเอเฟซัส 6:4, โคโลสี 3:32) สิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ เหล่านี้กำ�ลังพูดก็คือกฎที่ปราศจากความสัมพันธ์จะเป็นสิ่งที่ยุแหย่หรือยั่วยุเด็กให้ มีพฤติกรรมในแง่ลบอยู่ตลอดเวลา ดิ๊กกับผมบรรยายกับพ่อแม่จำ�นวนมากทั่วประเทศและทั่วโลกในช่วงสิบห้าปี ที่ผ่าน ทุกแห่งที่เราไปเราจะพบกับครอบครัวจำ�นวนมากที่มีกบฏอยู่ในมือของตน ครอบครัวเหล่านี้จนปัญญาเพราะไม่รู้ว่าเขาสามรถทำ�สิ่งใดได้ เหมือนที่เราเห็นใน บทที่ 1 ว่าเป็นการง่ายที่จะโทษวัฒนธรรมที่เราอาศัยอยู่ มีหลายสิ่งที่น่าจะเป็นแพะ รับบาปได้ ถ้าเพียงแต่เด็กเหล่านี้ไม่ดูโทรทัศน์มากเกินไป ไม่ดูภาพยนตร์มากมาย กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 3 hero 03_33-46.indd 33 29/11/2560 15:13


34 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ หรือไม่ฟังเพลงร็อก เราไม่ได้ปฏิเสธว่าแรงกดดันเหล่านั้นสามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง กับครอบครัว ลูกของเรากำ�ลังเติบโตขึ้นในวัฒนธรรมที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับการช่วย เหลือครอบครัว ที่จริง ค่านิยมหลายอย่างในวัฒนธรรมของเราในปัจจุบันคือศัตรู ตัวฉกาจของชีวิตครอบครัว เราไม่สามารถโทษวัฒนธรรมสำ หรับความผิดพลาดของเรา จึงไม่ต้องสงสัยที่เราพบเห็นกบฏมากมายในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเด็กที่ถูกหมาง เมิน โกรธเคือง ถากถาง และโดดเดี่ยว แต่คุณพ่อคุณแม่ครับ โปรดรู้ว่าปัญหาที่แท้ จริงไม่ได้อยู่ที่วัฒนธรรม เราสามารถจะพยายามหาข้อแก้ตัวให้กับความอ่อนแอ ของเราด้วยการโทษวัฒนธรรม แต่ต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาอยู่ลึกลงไป อยู่ใน ความดูแลของเราและอยู่ในครอบครัวของเรา เมื่อพ่อแม่พยายามจะวางกฎระเบียบโดยไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับ ลูกของตนก่อน ผลลัพธ์ตามธรรมชาติจะเป็นการกบฏ บางครั้งจะเป็นการกบฏ ภายนอกที่มองเห็นได้ง่ายในการกระทำ�ของเด็ก แต่บ่อยครั้งมักเป็นการกบฏภายใน ที่เด็กดูเหมือนจะเชื่อฟังภายนอก แต่เขากำ�ลังเพาะเลี้ยงความคับแค้นใจและปัญหา ทางอารมณ์ทุกชนิดเอาไว้พร้อมกับการมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับตนเองและการ ไม่เคารพตนเอง เราเห็นหลักการ “กฎระเบียบที่ปราศจากความสัมพันธ์นำ�ไปสู่การกบฏ” ถูก ล่วงละเมิดในทุกวัฒนธรรมรอบโลก เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสบรรยายกับศิษยาภิบาลและคนงานคริสเตียนมากกว่าหกร้อยคนในประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากนั้น คนเหล่านั้นมากกว่าสองร้อยคนเข้าแถวรอพูดคุยกับผม ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งที่ผม รับมือในคืนนั้นแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่ในเรื่องราวของคุณพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็น ศิษยาภิบาล บอกกับผมว่าครอบครัวของเขาต่อต้านเขา ลูกของเขาสามคนอายุ 17 ปี 13 ปี และ10 ปีถูกจัดให้เป็น “เด็กที่แย่ที่สุดในโบสถ์” และก่อความไม่สงบ อยู่ตลอดเวลาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาอยากรู้ว่าเขาจะสามารถทำ�สิ่งใดได้บ้าง “ลืมกฎระเบียบไปได้เลย” ผมบอกเขา “อะไรนะ” เขากล่าวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “นั่นแหละคือสิ่งที่ผิด เด็กพวกนี้ไม่ hero 03_33-46.indd 34 29/11/2560 15:13


กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 35 เชื่อฟังกฎใดเลย เขาไม่คิดด้วยซ้ำ�ไปว่าเขาต้องเชื่อฟัง” “ผมรู้ในสิ่งที่คุณกำ�ลังพูด” ผมบอกเขา “แต่ผมขอย้ำ�ว่าให้เลิกการเน้นหนักไป ที่กฎระเบียบ จงนำ�แนวคิดบางอย่างที่ผมพูดถึงในคืนนี้ไปใช้และเริ่มสร้างความ สัมพันธ์ คุณไม่มีอะไรต้องเสียแล้วนี่” แนวคิดหลักเรื่องหนึ่งที่ผมแบ่งปันกับกลุ่มศิษยาภิบาลและคนงานคริสเตียน ชาวฟิลิปปินส์คือการใช้เวลามากขึ้นกับลูกของเขา เหมือนที่เราจะเห็นในบทท้ายๆ ว่าการพยายามที่จะให้ความแน่ใจกับลูกของคุณว่าคุณรักเขาหรือยอมรับเขาจะมี ประโยชน์น้อยมากถ้าท่านไม่มีเวลาว่างให้เขา ลูกของคุณจะมองเห็นการเสแสร้ง อย่างรวดเร็ว อย่าลืมว่า “คุณหลอกคนหลอกลวงได้ คุณหลอกคนโง่ได้ แต่คุณ หลอกลูกของคุณไม่ได้” “พ่อไม่เคยทำอะไรด้วยกันกับพวกเราเลย” เพื่อนของผมที่เป็นศิษยาภิบาลเรียนรู้หลักการข้อนั้นทันเวลาพอดี วันหนึ่งผม เจอกับคริสโดยบังเอิญและถามเขาว่าเขาเป็นยังไงบ้างในการทำ�งานกับคริสตจักร ขนาดใหญ่ของเขาซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ผมอยู่มากนัก “โอ้ ผมเดาว่าน่าจะโอเคนะ” เขาพูดค่อนข้างจะเลื่อนลอย “สิ่งต่างๆ กำ�ลังขับ เคลื่อนไปได้ดี” บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคำ�ตอบของคริสบอกผมว่าแท้ที่จริงสิ่งต่างๆ ไม่ได้โอ เคเลย “คริส จริงๆ แล้วทุกอย่างเป็นยังไงบ้าง คุณกำ�ลังใช้เวลากับภรรยาและกับลูก ของคุณหรือเปล่า” และจากนั้นเขาบอกความจริงกับผม เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ลูกสาววัยเจ็ด ขวบของเขากลับมาถึงบ้านและบอกเขาว่า “พ่อคะ หนูไม่เคยอยากเข้าไปในงาน รับใช้เลย” “ทำ�ไมเหรอจ๊ะที่รัก” เขาเอ่ยถาม “เป็นเพราะพ่อนั่นแหละ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดออกมาอย่างรุ่มร้อน “พ่อไม่เคย อยู่บ้านเลย พ่อไม่เคยทำ�อะไรด้วยกันกับพวกเราเลย” การพบกับคริสบนเส้นทางโดยบังเอิญในวันนั้นทำ�ให้ผมตัดสินใจขับรถไปคุย hero 03_33-46.indd 35 29/11/2560 15:13


36 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ กับเขาเป็นเวลาสามชั่วโมง เมื่อเราคุยกันเขาเอ่ยขึ้นว่าอีกไม่นานเขาคงจะเปลี่ยน งานใหม่ด้วยการรับตำ�แหน่งงานบริหารในคณะของเขาซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของ ประเทศ ถึงตอนนั้นเขาคงจะได้ใช้เวลากับลูกของเขา “ไม่ ไม่จริงหรอก” ผมบอกเขา “คุณต้องเริ่มต้นตอนนี้ สองคืนต่อสัปดาห์ที่ บ้านบวกกับการนัดหมายกับลูกสาวของคุณหลังจากเลิกเรียนหนึ่งชั่วโมงสำ�หรับ ลูกสาวแต่ละคนทุกสัปดาห์ คริส ถ้าคุณไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงเสียตอนนี้คุณจะไม่มี วันเปลี่ยนแปลง และถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณกำ�ลังจะสูญเสียครอบครัวของคุณ ไป และถ้าคุณไม่เปลี่ยน แปลง ลาออกจากงานรับใช้ซะ” คริสมองผมด้วยสีหน้าที่ตกใจ แต่ตกลงใจว่าเขาจะพยายาม ก่อนที่เราจะจาก กัน ผมได้สรุปแผนการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวกให้เขาฟังคร่าวๆ เช่นกัน แต่เน้นว่า แผนนี้จะมีประโยชน์น้อยมากเว้นแต่พ่อแม่จะอยู่พร้อมหน้าเพื่อใช้แผนนี้ สามเดือนต่อมา ผมกำ�ลังออกไปทำ�ธุระและพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าร่วมใน คริสจักรของคริส ผู้หญิงคนนั้นดิ่งมาที่ผมอย่างจริงจังและพูดพรั่งพรูออกมาว่า “ฉันไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดีสำ�หรับสิ่งที่คุณได้ทำ�ในคริสตจักรของเรา” “คุณหมายถึงอะไรครับ” ผมเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “ผมไม่ได้ไปเทศน์ที่นั่น มาหลายปีแล้ว” “...เกี่ยวกับการที่คริสได้กลับไปบ้านและประยุกต์ใช้ในสิ่งที่เราได้พูดถึง เมื่อ คริสเริ่มมีเวลาว่างให้กับครอบครัวของเขา คนในครอบครัวรู้สึกได้รับการยอมรับ การชื่นชม และความรัก เป็นครั้งแรกที่คริสเริ่มแสดงความรับผิดชอบต่อภรรยา และลูกของเขา และเพราะเหตุนี้คนหล่านั้นจึงตอบสนองต่อสิทธิอำ�นาจของเขาใน ฐานะผู้นำ�ครอบครัว ไม่ใช่เพราะเขาต้องตอบสนอง แต่เป็นเพราะเขาต้องการที่จะ ตอบสนอง เมื่อคริสฝึกใช้แผน 6 A’s สำ�หรับการอบรมเลี้ยงดูลูกเชิงบวก เขาเห็น ถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น คริสแบ่งปันสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านกับผู้คนในคริสต จักรของเขาและสิ่งนั้นทำ�ให้คริสตจักรของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อพ่อ แม่คนอื่นๆ เริ่มต้นทำ�สิ่งเดียวกัน hero 03_33-46.indd 36 29/11/2560 15:13


กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 37 สิ่งนี้ใช้ได้ผลกับเรา สิ่งนี้ก็จะใช้ได้ผลกับคุณ สิ่งที่ผมบอกกับคริสไม่ใช่เรื่องมายากลหรือไม่ใช่ความรู้เชิงลึกที่ส่งมาจาก สวรรค์ สิ่งนี้เป็นการรับรู้ทั่วไปตามหลักพระคัมภีร์ที่ทุกคนสามารถนำ�ไปฝึกฝนได้ ด็อตตี้กับผมรู้ว่าสิ่งนี้ใช้ได้ผลเพราะเราใช้กับลูกๆ ของเรามาแล้ว เมื่อหลายปีก่อนเราตัดสินใจว่าเราต้องการจะเลี้ยงดูลูกของเราให้เติบโตขึ้นใน เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในชนบทของรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ซานดิเอโกไปประมาณหนึ่งร้อยไมล์ติดกับป่าสงวนแห่งชาติคลีฟแลนด์ เนื่องจาก เมืองนี้เป็นชุมชนที่เล็กมากทุกคนจึงรู้จักกันหมดและคุณไม่สามารถซ่อนอะไรจาก เพื่อนบ้านของคุณได้มากนัก ตั้งแต่ต้นมาชุมชนนี้รู้ดีว่าด็อตตี้กับผมควบคุมลูกๆ ของเราอย่างเข้มงวดมาก เรามีกฎระเบียบและเราบังคับใช้กฎเหล่านั้น แต่หลังจากที่เราสื่อสารกับลูกและรับ ฟังความเห็นของเขาก่อน ยกตัวอย่าง เราประเมินอย่างต่อเนื่องว่าดนตรีแบบไหนที่เขาฟังตลอดจน คอนเสิร์ตและภาพยนตร์ประเภทใดที่เขาสามารถเข้าชม พ่อแม่คนอื่นๆ ในเมือง ให้ความไว้วางใจกับทางเลือกของเรา ลูกๆ ของเขาจะมาหาเขาและพูดว่า “พวก เราไปชมคอนเสิร์ตนั้นได้ไหมครับ/คะ” บ่อยครั้งเขาจะตอบว่า “ถ้าชอนหรือเคลลี แม็คโดเวลล์ไปได้ ลูกก็ไปได้” และจากนั้นลูกๆ ของเราจะมาหาเราและเคลลี (ยกตัวอย่าง) จะพูดว่า “พ่อ คะ เพื่อนๆ ของหนูพูดว่าเขาไปดูคอนเสิร์ตได้ถ้าหนูไปได้ หนูไปได้ไหมคะ” บางครั้งเราพูดว่าได้ แต่มากกว่าครึ่งหนึ่งเราต้องพูดว่าไม่ได้ สิ่งนั้นเพิ่มแรง กดดันให้เราอย่างมากเพราะเราไม่เพียงแต่กำ�ลังส่งผลกระทบต่อลูกของเราเอง แต่ ต่อเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เราอาจกลายเป็นพ่อแม่ที่ดูเหมือนเป็น “คนใจร้าย” ซึ่งไม่ต้องการให้เด็กๆ มีความสนุกสนาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากชอนลงทะเบียนในชั้นเรียนรวีฯ ชั้นใหม่ เราได้ยินคำ� พูดผ่านปากที่สองและปากที่สามว่าครูรวีฯ ของเขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรา โดย เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับตัวผม ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของนักเทศน์ฟื้นฟูคริสเตียน ที่เดินทางอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาให้กับลูกของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเธอซึ่ง เป็นลูกคนโต ผู้หญิงคนนี้เติบโตขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าทุกคนที่มี hero 03_33-46.indd 37 29/11/2560 15:13


38 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ส่วนในพันธกิจการประกาศที่ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา (เหมือนกับพันธกิจของ ผม) จะไม่สามารถมีความสัมพันธ์กับครอบครัวเป็นอย่างดีพอ แน่นอน เธอกำ�ลัง ฉายภาพปัญหาของเธอในช่วงที่เป็นเด็กหญิงคนหนึ่งมาที่เราและแม้เราจะเสียใจ กับท่าทีของเธอ แต่เราก็ไม่สามารถทำ�สิ่งใดได้มากนัก แต่คนที่ได้ทำ�บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้คือชอนลูกชายของเรา เมื่อผู้ หญิงคนนั้นเฝ้าดูชอนและได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับพ่อและแม่ของเขา (รวมทั้งน้องสาว ของเขา) ผู้หญิงคนนี้ตระหนักว่าสิ่งที่เธอพูดไปนั้นไม่ถูกต้อง ในที่สุดเธอมาหาด็ อตตี้กับผมเพื่อขอโทษและเราได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับเธอ เมื่อเกรด “ซี” คือเกรด “เอ” โดยแท้ สิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสร้างความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับลูกของ คุณก็คือว่าลูกของคุณจะรับเอาค่านิยมของคุณและ “ดำ�เนินชีวิตตามกฎระเบียบ” เพราะว่าค่านิยมของเขาคือค่านิยมของคุณ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว เคลลีได้เกรดซีในการ สอบวิชาประวัติศาสตร์ เนื่องจากเธอเป็นนักเรียนเกรดเอเธอจึงเสียใจอย่างมาก แต่เมื่อเธอบอกผมเกี่ยวกับสถานการณ์ ผมจึงรู้ว่าเธอเสียใจมากเพียงใดและเพราะ อะไร ดูเหมือนว่านักเรียนต่างชาติคนหนึ่งทำ�ข้อสอบในวิชาประวัติศาสตร์เดียวกัน เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ก่อนนักเรียนทั้งชั้นและเขาเก็บข้อสอบเอาไว้ นักเรียน คนนั้นแจกข้อสอบเหล่านั้นให้กับนักเรียนคนอื่นๆ หลายคนในชั้นและแจกให้กับ เคลลีด้วยเช่นกัน แต่เธอพูดว่าไม่เอา เธอต้องการที่ได้คะแนนมาด้วยตัวเธอเอง เคลลีอ่านหนังสือหนักมาก และหลังจากทำ�ข้อสอบเสร็จ เธอบอกผมว่า “พ่อ คะ นั่นเป็นข้อสอบที่ยากที่สุดที่หนูเคยเห็นมา หนูกลัวว่าหนูทำ�ได้ไม่ค่อยดีนัก” เมื่อเกรดออกมา (และใช่เลย) เคลลีได้เกรดซี แทนที่จะเป็นเกรดเอตามปกติ ของเธอ นักเรียนเกรดเออีกสามคนก็ทำ�ข้อสอบได้ไม่ดีพอๆ กับเคลลีและได้เกรด ซีหรือเกรดดี อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าแปลกก็คือนักเรียนเกรดซีสองคนได้เกรดเอใน การทำ�ข้อสอบ แน่นอน นักเรียนเกรดซีสองคนที่ได้เอเป็นนักเรียนกลุ่มที่ได้ข้อสอบ มาล่วงหน้า หนึ่งในนักเรียนเกรดซีเหล่านี้พลาดคำ�ตอบเพียงข้อเดียวในข้อสอบ ทั้งหมด hero 03_33-46.indd 38 29/11/2560 15:13


กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 39 แต่ในความคิดของด็อตตี้กับผม เกรดซีของเคลลีคือเกรดเอในความเห็นของ เรา เราภูมิใจในสิ่งที่เธอทำ�ด้วยตัวเธอเอง การได้เกรดซีอย่างสุจริตจากการทำ� ข้อสอบที่ยากที่สุดที่เธอเคยเห็นมาในชีวิตของเธอ และส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็ คือว่าเธอได้เกรดซีไม่ใช่เพราะเธอต้องการเชื่อฟังกฎระเบียบของเรา แต่เพราะเธอ ต้องการเชื่อฟังกฎระเบียบภายในของเธอเอง นั่นคือ การเป็นคนสุจริตและการได้ รับเกรดใดก็ได้ที่เธอได้มา การพูดว่า “ไม่” เป็นสิ่งที่ยาก แต่คุ้มค่า ครั้งหนึ่ง เคลลีเข้าร่วมในการงานเลี้ยงจบการศึกษาชั้นมัธยมปีที่สองที่บ้าน ของนักเรียนอีกคนหนึ่ง เมื่องานเลี้ยงในเย็นวันนั้นดำ�เนินต่อไป เราได้รับโทรศัพท์ จากเคลลีที่โทรมาบอกว่าเธอต้องการจะอยู่ค้างคืน ผมฟังคำ�ขอร้องของเธอและ จากนั้นถามเธอสองสามคำ�ถาม เคลลียอมรับว่าจะมีเด็กผู้ชายในงานเลี้ยง “ที่ยืด เยื้อ” นั้นและเธอไม่สามารถแน่ใจได้ว่าจะไม่มีการดื่มเหล้า เมื่อเธอบอกผมเกี่ยว กับรายชื่อของเด็กที่กำ�ลังวางแผนจะอยู่ต่อหลังเวลาสี่ทุ่ม ผมจำ�ชื่อของเด็กชายคน หนึ่งที่มีกิตติศัพท์ในเรื่องการสามารถจัดหาเครื่องดื่มแอลกอฮอลแม้เขาจะมีอายุ เพียง 14 ปีเหมือนเคลลี หลังจากรับฟังเคลลีแล้ว ผมตอบว่า “ไม่จ๊ะ เคลลี พ่อไม่คิดอย่างนั้น พ่อ ต้องการให้ลูกกลับบ้านเมื่องานเลี้ยงจบตอนสี่ทุ่ม” เคลลีโทรกลับมาสามครั้งในช่วงครึ่งชั่วโมงต่อมา ในจุดหนึ่งเธอเริ่มร้องไห้ และจากนั้นผมเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วกำ�ลังเกิดอะไรขึ้น เด็กผู้หญิงคนอื่นอีกสี่หรือห้า คนต้องการจะค้างคืนที่นั่นด้วยเช่นกัน แต่เขาต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ของเขา และทุกสิ่งขึ้นอยู่กับสิ่งที่พ่อของเคลลี แม็คโดเลล์พูด เห็นได้ชัดเจนว่าเคลลีกำ�ลังถูกกดดันจากกลุ่มเพื่อนของเธอที่อยู่ในวัยเดียวกัน เธอเริ่มบอกผมว่าไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงมากนัก พ่อแม่หลายคนอยู่ในบ้านและ มีเด็กอยู่ที่นั่นมากมาย ไม่มีใครจะอยู่เพียงลำ�พังกับใคร ผมสามารถบอกได้ว่าเคลลีกำ�ลังป้อนคำ�พูดที่เพื่อนๆ ของเธอกระซิบบอกเธอ อยู่เบื้องหลังให้กับผม และผมยึดตามคำ�ชี้ขาดเดิมของผม “เสียใจด้วยจ๊ะ เคลลี แต่ลูกต้องกลับมาบ้าน ถ้าลูกเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลายพ่ออาจพิจารณาเรื่องนี้ และ hero 03_33-46.indd 39 29/11/2560 15:13


40 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ จากนั้นพูดว่าไม่ แต่ลูกแค่กำ�ลังขึ้นชั้นมัธยมปีที่สามและพ่อกับแม่ไม่เชื่อว่าการมี งานเลี้ยงตลอดคืนร่วมกันระหว่างเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายเป็นสิ่งที่ฉลาดนักที่จะทำ�” ผมวางหูโทรศัพท์ลงพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้นอย่างชัดเจนของลูกสาวดังเข้า มาในหูผม ผมไม่ชอบทำ�ให้เธอผิดหวัง แต่ผมรู้ว่าผมต้องทำ�ในสิ่งที่ถูกต้อง ภาย หลัง เมื่อเคลลีกลับมาถึงบ้าน เธอปลุกเราและขอบคุณเราที่บอกเธอว่าเธอไม่ สามารถอยู่ค้างคืน “พ่อคะ” เธอพูด “จริงๆ แล้วหนูไม่อยากอยู่หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก ที่พ่อพูดว่าไม่และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ เริ่มกดดันหนู ขอบคุณที่ช่วยเอาหนูออกมา” บ่อยครั้ง เมื่อด็อตตี้หรือผมแสดงจุดยืนและต้องพูดคำ�ว่า “ไม่” ลูกของเราจะ ขอบคุณเราที่มีมาตรฐานและยึดมั่นอยู่กับมาตรฐานเหล่านั้น ดิ๊กมีประสบการณ์ แบบเดียวกัน ในคราวหนึ่ง โจนาธัน ลูกชายวัยสิบหกปีของเขาขออนุญาตจากเขา เพื่อไปร่วมในงานเลี้ยงที่ลือกันว่าจะมีการดื่มเหล้าในภายหลังในเย็นวันนั้น ดิ๊กบ อกโจนาธันว่า “ไม่นะ เจเจ พ่อไม่คิดเช่นนั้น พ่อไม่อยากอยู่ในฐานะของการผ่อน ปรนกับสิ่งนั้น” ภายหลังโจนาธันขอบคุณพ่อของเขาที่ตอบเขาว่า “ไม่” เมื่อพ่อแม่แสดงจุดยืนและยึดมั่นอยู่กับจุดยืนของเขา ผมเชื่อว่าการทำ�เช่นนี้ จะช่วยลูกของเขาในสองด้าน ด้านแรก สิ่งนี้จะช่วยลูกของเขารับมือกับแรงกดดัน จากเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะเขาสามารถพูดว่า “ฉันกลัวว่าพ่อแม่ของฉันจะไม่ อนุญาตให้ฉันไป” ด้านที่สอง (และเป็นสิ่งสำ�คัญกว่า) สิ่งนี้จะช่วยให้เด็กรู้ว่ามีค่า นิยมและกฎระเบียบบางอย่างที่เขาไม่สามารถเพิกเฉยหรือประนีประนอม ผมไม่อยากกล่าวอ้างแม้แต่วินาทีเดียวว่าลูกๆ ของเรายอมรับการตัดสินใจ ของเราอย่างนิ่มนวลหรืออย่างกระตือรือร้นอยู่เสมอ มีหลายครั้งที่เราไม่ได้รับคำ� ขอบคุณจากการพูดว่า “ไม่” แต่โดยภาพรวม ลูกของเราเชื่อฟังกฎระเบียบ ไม่ใช่ เพราะเขากลัวหรือไม่ใช่เพราะเขาพยายามแกล้งทำ�ว่าเชื่อฟังในขณะที่เขาเดือดดาล อยู่ภายใน ลูกของเราเชื่อฟังกฎระเบียบเนื่องจากความสัมพันธ์ที่เราสร้างกับเขา นับตั้งแต่เขาอยู่ในเปล hero 03_33-46.indd 40 29/11/2560 15:13


Click to View FlipBook Version