กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 41 พระคัมภีร์ให้กฎเกณฑ์มากมาย ถ้าคุณจะจดจำ�เพียงสิ่งเดียวจากหนังสือเล่มนี้ จงจำ ไว้ว่ากฎระเบียบที่ ปราศจากความสัมพันธ์จะนำ ไปสู่การกบฏ เด็กไม่ตอบสนองต่อกฎระเบียบ แต่เขา ตอบสนองต่อความสัมพันธ์ “แต่ว่า... จอร์ช” พ่อแม่หลายคนบอกผม “ผมต้องการยึดตามหลักพระคัมภีร์ นะ พระคัมภีร์วางกฎเกณฑ์ไว้มากมาย ดูพระบัญญัติสิบประการซิ” ผมเห็นด้วย แต่จากนั้นผมจะชี้ให้เห็นว่าแม้กระทั่งการประทานพระบัญญัติสิบ ประการก็เกิดขึ้นในบริบทของความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงมีกับประชากรของ พระองค์ พระเจ้าทรงทราบว่าพระบัญญัติเพียงอย่างเดียวคงหนักหนาเกินไปสำ�หรับ ทุกคนที่จะแบกรับ สิ่งที่จะช่วยคนอิสราเอลให้รอดไม่ใช่อยู่ที่ว่าเขาเชื่อฟังพระ บัญญัติสิบประการได้ดีเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเขากับองค์พระผู้ เป็นเจ้า เมื่อคนอิสราเอลยืนอยู่บนเขตแดนของคานาอันโดยพร้อมที่จะเข้าไปและยึด ครองแผ่นดินนั้น โมเสสกล่าวกับคนเหล่านั้นและทำ�ให้เขาหวนคิดถึงวันเวลาที่เขา ยั่วยุพระพิโรธองค์พระผู้เป็นเจ้าในขณะที่โมเสสอยู่บนภูเขาซีนายเพื่อรับแผ่นศิลา ที่บรรจุพระบัญญัติสิบประการ โมเสสเตือนคนเหล่านั้นให้ระลึกถึงการที่เขาตัดสิน ใจเลี้ยงฉลองกันในขณะที่ท่านไม่อยู่ การที่เขาขอร้องให้อาโรนสร้างรูปวัวทองคำ� ขึ้น และการเต้นรำ�รอบรูปวัวทองคำ�นั้นพร้อมกับกินและดื่มสุรากันอย่างมึนเมา เมื่อท่านลงมาเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โมเสสก็โยนแผ่นศิลาที่บรรจุพระบัญญัติ สิบประการและใช้เวลาสามสิบวันอธิษฐานทั้งกลางวันและกลางคืนทูลวิงวอนเพื่อ ประชาชนของท่านที่เป็นกบฏเหล่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับคำ�ร้องทูลของโมเสสและทรงระงับการลงโทษ ตรง กันข้าม พระองค์ทรงบัญชาให้โมเสสสกัดศิลาอีกสองแผ่นเหมือนสองแผ่นแรกและ จากนั้นให้นำ�ศิลาสองแผ่นนั้นขึ้นไปบนภูเขาซึ่งที่นั่นพระองค์จะทรงจารึกพระ บัญญัติสิบประการแบบเดียวกับที่พระองค์ทรงบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ลงบนแผ่นศิลา เหล่านั้น เมื่อสรุปเรื่องราวของท่าน โมเสสกล่าวว่า “และบัดนี้ คนอิสราเอล พระยาห์ เวห์พระเจ้าของท่านมีพระประสงค์อะไรจากท่าน นอกจากให้ยำเกรงพระยาห์เวห์ hero 03_33-46.indd 41 29/11/2560 15:13
42 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ พระเจ้าของท่าน ให้ดำ เนินตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน และให้รักษาพระบัญญัติของ พระยาห์เวห์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อ ประโยชน์ของท่าน” (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-13) แม้คนอิสราเอลจะดื้อรั้นสักเพียงใดก็ตาม พระเจ้าทรงปฏิบัติกับเขาเหมือน บิดาที่มีความรักอยู่เสมอด้วยการทำ�ทุกสิ่ง “เพื่อประโยชน์ของเขา” พระเจ้าทรง ประทานพระบัญญัติสิบประการแก่เขาเพื่อให้เป็นสิ่งป้องกันและเป็นพระพร ไม่ใช่ เพื่อให้เป็นภาระ แม้พระบัญญัติจะดีพร้อม (สดุดี 19:7) พระบัญญัติก็เป็นครู (กา ลาเทีย 3:24) เพื่อแสดงให้คนหนึ่งเห็นถึงความบกพร่องของเขา แต่กระนั้น ความ รักก็สามารถช่วยให้คนหนึ่งต้องการจะรักษาพระบัญญัติ (โรม 13:10) พ่อแม่หลายคนเชื่อว่าเขาวางระเบียบกฎเกณฑ์เอาไว้สำ�หรับลูกของตนโดย เฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่น “เพื่อประโยชน์ของเขา” แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือปัจจัยด้าน ความสัมพันธ์ การบอกกับลูกของคุณว่า “พ่อทำ�สิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของลูก” จะไม่ เพียงพอถ้าเขาไม่ค่อยจะเห็นหรือได้ยินท่านแสดงการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ออกมาซึ่งจะทำ�ให้เขารู้สึกมั่นคง การชื่นชมที่จะทำ�ให้เขารู้สึกมีความสำ�คัญ ความ รักใคร่เอ็นดูที่จะทำ�ให้เขารู้สึกเป็นคนน่ารัก และถ้าท่านไม่มีเวลาว่างให้เขาและ ทำ�ให้ลูกของท่านรู้สึกว่าตนเป็นคนสำ�คัญ ท่านไม่สามารถคาดหวังให้ยินดีต้อนรับ กฎระเบียบของท่านอย่างเต็มอกเต็มใจ ตรงกันข้าม ปกติท่านสามารถคาดหวัง ความกระด้างกระเดื่องบางรูปแบบ มีพ่อแม่หลายคนมาหาผมเมื่อลูกของเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่นและอยู่ในปัญหาเรื่อง สารเสพติด การมีแรงกระตุ้นทางเพศ การตั้งครรภ์ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการก่อ อาชญากรรม ซึ่งเป็นเรื่องราวสยองขวัญทุกรูปแบบที่คุณสามารถคิดออก จิตใจ ของเขากำ�ลังแตกสลายและเขาถามว่า “เราจะทำ�อะไรได้” บ่อยครั้งผมได้แต่หวังว่าผมน่าจะพูดกับเขาก่อนที่ลูกของเขาเกิดมาหรืออย่าง เมื่อเด็กเหล่านั้นยังเล็กมาก นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มสร้างความสัมพันธ์ซึ่ง จะนำ�ไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในภายหลัง เมื่อเด็กอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็ยังไม่สายจนเกินไป แต่ เป็นสิ่งที่ยากมากกว่า การสร้างความสัมพันธ์อาจใช้เวลาถึงสี่หรือห้าปี ในขณะ เดียวกันวัยรุ่นของคุณกำ�ลังประสบกับช่วงเวลาที่ปั่นป่วนที่สุดของชีวิตเขาหรือเธอ hero 03_33-46.indd 42 29/11/2560 15:13
กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 43 แต่กระนั้น ความสัมพันธ์ยังเป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้ จงจำ�ไว้ว่า ไม่สายเกินไป ที่จะเริ่มสร้างความสัมพันธ์ เปาโลรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเด็กด้วยเช่นกัน นักวิชาการเห็นต่างกันในประเด็นที่ว่าอัครทูตเปาโลแต่งงานหรือไม่ แต่ท่าน รู้อย่างแน่นอนเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูลูก ในโคโลสี 3:20 เปาโลพูดบางสิ่งบางอย่าง ที่พ่อแม่ทุกคนรักอย่างสุดซึ้ง “บุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนในทุกเรื่อง เพราะสิ่งนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า” แต่อะไรคือสิ่งที่เป็นแรงจูงใจ ให้บุตรเชื่อฟังพ่อแม่ของเขา ในข้อต่อมาเปาโลกล่าวเพิ่มเติมว่า “บิดาทั้งหลายก็ อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ท้อใจ” (ข้อ 21) คุณเคยถูกยั่วยุไหม คุณคิดว่าการยั่วยุเป็นเพียงอารมณ์ของผู้ใหญ่เท่านั้นหรือ การยั่วยุหมายถึง “การทำ�ให้โกรธหรือหงุดหงิดมาก การตำ�หนิความอดทนของใคร บางคน การตอแย การทำ�ให้ขุ่นเคือง” และผลลัพธ์คืออะไร เด็กอาจท้อใจ พูดอีก อย่างก็คือ เขาบอกกับตนเองว่า “จะมีประโยชน์อะไร ไม่ว่าผมจะทำ�อะไร สิ่งนั้นก็ ไม่มีวันดีพอ ถ้าพ่อแม่ของผมคิดว่าผมแย่มาก ผมก็น่าจะทำ�ตัวแบบนั้นซะเลย” ถ้าเช่นนั้นคุณจะป้องกันไม่ให้ลูกถูกยั่วยุได้อย่างไร คุณจะโยนกฎระเบียบทุก อย่างทิ้งไปและยอมให้เด็กประพฤติตัวป่าเถื่อนยังงั้นหรือ ไม่ใช่ การทำ�เช่นนั้นอาจ เป็นการยั่วยุมากขึ้นด้วยซ้ำ�ไปเพราะหลังจากนั้นเด็กจะคิดว่าคุณไม่แคร์ เปาโลมี คำ�ตอบในเอเฟซัสบทที่ 6 ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์คู่ขนานกับสิ่งที่ท่านกล่าวไว้ในโคโล สี ตรงนี้ท่านบอกลูกให้เชื่อฟังพ่อแม่ของตนเพราะเป็นสิ่งถูกต้องที่จะทำ�และท่าน กล่าวเพิ่มเติมว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า (นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มี พระสัญญากำ�กับด้วย) เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนยาวบนแผ่นดินโลก” จากนั้นท่านกล่าวต่อไปว่า “ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่าน ให้เกิดโทสะ แต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักของ องค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 6:1-4)* *ดูเอเฟซัส 6:1-4 และวิธีการเป็นพ่อแม่ที่ใช้ความสัมพันธ์เพิ่มเติมในบทที่ 14 hero 03_33-46.indd 43 29/11/2560 15:13
44 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ กฎระเบียบเพียงลำ�พังไม่พอ คุณจะลงเอยด้วยการทำ�หน้าที่เป็นตำ�รวจเมื่อ ลูกของคุณมีปฏิกิริยาในทางลบที่หลากหลาย แต่เมื่อคุณให้การยอมรับและการ ชื่นชมอย่างมีความรัก แสดงออกด้วยความรักใคร่เอ็นดูและการมีเวลาว่างให้ลูกใน ปริมาณที่มาก ลูกของคุณจะตอบสนองต่อกฎระเบียบในเชิงบวก ถ้านำ�มาใส่ในรูป ของสมการก็จะอยู่ในลักษณะนี้: กฎระเบียบ - ความสัมพันธ์ = ความกระด้างกระเดื่อง กฎระเบียบ + ความสัมพันธ์ = การตอบสนอง สิ่งที่พ่อแม่ต้องการรู้อยู่ตลอดเวลาก็คือ “ผมจะมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับลูก ของผมได้อย่างไร เมื่อผมพูดว่าไม่ ลูกจะไม่เห็นว่าผมเป็นวีรบุรุษ แต่เห็นว่าผม เป็นภูตผีปีศาจ ผมทำ�ผิดตรงไหน” แทนที่จะกังวลอยู่กับว่าเราสามารถทำ�สิ่งที่ผิดพลาดได้อย่างไรในฐานะพ่อแม่ ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าเราจะสามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร ในอีกสองสามบท ข้างหน้าเราจะตีแผ่ความหมายของการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้าปราศจากการ ยอมรับของคุณ ภาพลักษณ์แห่งตนของลูกคุณจะหดหายไปและความภูมิใจใน ตนเองของเขาจะเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณสามารถทำ�อะไรเพื่อช่วยให้ลูก ของคุณรู้โดยไม่มีข้อสงสัยว่าคุณรักเขาไม่ว่าเขาจะทำ�สิ่งใดก็ตาม เพื่อเริ่มต้น เรา ต้องกลับไปสู่แหล่งกำ�เนิดของการยอมรับ ซึ่งได้แก่พระเจ้าเอง hero 03_33-46.indd 44 29/11/2560 15:13
กฎระเบียบใช้การไม่ได้ ถ้าปราศจากความสัมพันธ์ 45 ข้อคิดท้ายบท ไตร่ตรอง อภิปราย หรือลองใช้กับคุณ 1. จงใช้เวลาสักสองสามนาทีเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคุณกับลูกของ คุณ ให้จัดอันดับความสัมพันธ์ของคุณกับลูกแต่ละคนในอัตรา 1 ถึง 10 โดย 10 ถือว่าดีที่สุด อย่าประหลาดใจถ้าคุณได้ตัวเลขที่ต่างกันสำ�หรับลูกแต่ละคน ให้คิด ว่าทำ�ไมสิ่งนั้นจึงเป็นความจริง ลูกของคุณบางคนบ่นเกี่ยวกับกฎระเบียบอยู่เป็น ประจำ�หรือไม่ คุณมีความยาก ลำ�บากในการทำ�ให้ลูกของคุณบางคนเชื่อฟังและ ร่วมมือหรือไม่ ต่อไปให้คิดถึงความสัมพันธ์ของคุณกับลูกคนที่ “สอนยาก” จริงๆ แล้วอะไรคือต้นเหตุ 2. ในหน้าที่ 34 จอร์ชแนะนำ�ศิษยาภิบาลชาวฟิลิปปินส์และคุณพ่อของลูกที่ ดื้อรั้นสามคนว่าเขาควร “ลืมเรื่องกฎระเบียบ” คุณคิดว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร จริงๆ แล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเน้นหนักกับความสัมพันธ์และให้กฎระเบียบมาทีหลัง 3. ในหน้าที่ 35 จอร์ชให้คำ�แนะนำ�กับคริส ศิษยาภิบาลที่มีลูกสาวตัวเล็กซึ่ง บอกเขาว่าเธอจะไม่มีวันเข้าสู่งานรับใช้เพราะเขาไม่เคยอยู่บ้านและไม่เคยทำ�อะไร ด้วยกันกับเธอหรือคนทั้งครอบครัวเลย ใบสั่งยาของจอร์ชคือ สองคืนต่อสัปดาห์ที่ บ้าน นัดหมายกับลูกของเขาหลังจากเลิกเรียน หนึ่งชั่วโมงสำ�หรับแต่ละคนทุก สัปดาห์ ให้ประเมินตารางของคุณเอง คุณใช้เวลาบางคืนที่บ้านกับครอบครัวด้วย การใช้เวลาพูดคุยกับเขา เล่นเกมกับเขา เล่นมวยปล้ำ�กับเขา และทำ�กิจกรรมอื่นๆ กับเขาหรือไม่ คุณมีนัดกี่ครั้งกับลูกของคุณในเดือนที่ผ่านมา 4. เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณพบกับสถานการณ์กับลูกของคุณและตัดสินใจว่าคุณ ต้องพูดว่าไม่ คุณฟังเสียงของลูกคุณและจากนั้นให้เหตุผลของคุณหรือเปล่า หรือ ว่าคุณเป็นคนใช้อำ�นาจมากกว่า 5. คุณกำ�ลังทำ�บางสิ่งบางอย่างที่ยั่วยุหรือยุแหย่ลูกของคุณอยู่เป็นประจำ�หรือ ไม่ ทำ�ไมไม่นั่งลงและคุยกับลูกของคุณเพื่อดูว่าเขาหรือเธอมีอะไรจะพูด hero 03_33-46.indd 45 29/11/2560 15:13
46 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ hero 03_33-46.indd 46 29/11/2560 15:13
47 ภาคที่ 2 การยอมรับ สิ่งที่สร้างความมั่นคง และการเห็นคุณค่าของตนเอง hero 04_47-64.indd 47 29/11/2560 15:02
48 hero 04_47-64.indd 48 29/11/2560 15:02
49 รากฐานของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบคือการยอมรับ ความสัมพันธ์ของเรากับ พระเจ้าอยู่บนพื้นฐานแห่งพระคุณของพระองค์ การยอมรับเราในสภาพที่เราเป็น อยู่อย่างไม่มีเงื่อนไขของพระองค์ เราไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อทำ ให้พระเจ้ารักเรา เรามาหาพระองค์ในความเชื่อที่เรียบง่ายโดยไว้วางใจว่าพระองค์ทรงรักและทรง ยอมรับเรา ลูกของคุณมาหาคุณในแนวทางเดียวกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรักลูก ของคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข ทำ ไมเด็กจึงต้องการการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขและ เกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาไม่ได้รับสิ่งนั้น การยอมรับมีบทบาทอย่างไรในการสร้างภาพ ลักษณ์แห่งตนและการนับถือตนเองของเด็ก ในตอนต่อไปนี้เราจะเรียนรู้จักคำ ตอบต่อคำถามเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น... • คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนไหนที่คุณกำ ลังบอกลูกของคุณอย่างมีนัยว่าเขา หรือเธอต้องดำ เนินชีวิตบนพื้นฐานของการทำตามความคาดหวังของคุณ • ที่ไหนในพระคัมภีร์ที่พูดถึงความเป็นเอกลักษณ์ของบุคคลและคุณจะปฏิบัติ กับลูกของคุณในฐานะที่เขาหรือเธอเป็นเอกบุคคลได้อย่างไร • ทำ ไม “การอบรมเลี้ยงดูลูกแบบมาตรฐาน” จึงใช้ไม่ได้ผล • ที่ไหนในพระคัมภีร์ที่มีการสอนและการแนะนำแนวคิดเรื่อง “ความภูมิใจใน ตัวเอง” และ “ภาพลักษณ์แห่งตน” • พระคัมภีร์ให้คำนิยามของ “ความภูมิใจในตัวเองอย่างถูกต้อง” ว่าอย่างไร • ทำ ไมเด็กบางคนจึงมีความคิดว่า “ผมไม่มีค่ามากนัก บางทีผมอาจไม่มีค่า อะไรเลย” • คุณจะสอนเด็กให้คิดว่า “ผมถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า... ผมมีค่า พระเจ้าไม่ได้สร้างขยะ” ได้อย่างไร • ตัวอย่างภาคปฏิบัติของวิธีการสื่อการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข • ทำ ไมการยอมรับจึงเป็นเรื่องของการตัดสินใจเลือกอยู่เสมอและคุณจะเลือก ทำสิ่งนั้นทุกวันได้อย่างไร hero 04_47-64.indd 49 29/11/2560 15:02
50 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ คุณรักลูกของคุณเพราะสิ่งที่เขาทำ หรือเพราะความเป็นตัวเขา จงใช้เวลาของคุณในการตอบคำถาม ถ้าคุณคิดถึงคำถามนี้สักเล็กน้อย คำ ตอบอาจไม่ง่ายอย่างที่มองในตอนแรก หลายอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเข้าใจและสิ่ง ที่คุณเชื่อระหว่างการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขกับการยอมรับอย่างมีเงื่อนไข การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นตัวของลูกคุณ เขาเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าพร้อมกับคุณค่าที่ถูกสร้างไว้ใน ตัวโดยพระผู้สร้างของเขา เด็กที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยการยอมรับอย่างไม่มี เงื่อนไขมีโอกาสมากกว่าในเรื่องความรู้สึกที่ดีถึงคุณค่าของตนเอง เขามีโอกาส มากกว่าที่จะรู้สึกมั่นคงในความสัมพันธ์ของเขากับพ่อแม่ของตน ปกติเขาจะตอบ สนองเป็นอย่างดีต่อสิทธิอำนาจที่มีความรัก การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขสำคัญ เพียงใด? การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นสิ่งสำ คัญที่สุดเพราะสิ่งนี้จะพัฒนา ความมั่นคงซึ่งทำ ให้เด็กพร้อมที่จะเป็นคน เปราะบางและโปร่งใสอันเป็นการเปิดความไว้วางใจ ระหว่างคุณกับลูกของคุณให้กว้างขวางมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง การยอมรับอย่างมีเงื่อนไขให้ความสำคัญกับสิ่งที่เด็กทำ ถ้า เด็กเชื่อฟัง สัมฤทธิ์ผล หรือทำตามที่คาดเอาไว้ เขาจะได้รับการยอมรับ แต่ถ้าการ ปฏิบัติของเขาไม่ถึงมาตรฐานของพ่อแม่ เขาจะรู้สึกขาดความมั่นใจ ถูกปฏิเสธ ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 4 hero 04_47-64.indd 50 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 51 ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง และไม่มีความภูมิใจในตัวเอง ความพร้อมที่จะเป็นคน เปราะบางและโปร่งใสจางหายไปพร้อมกับความไว้วางใจระหว่างคุณสองคน การขาดความมั่นใจมาในหีบห่อแตกต่างกัน ในการเดินทางของผม ผมจะพบกับเด็กวัยรุ่นและนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ เสมอซึ่งคนเหล่านี้เคยรู้จักเฉพาะการยอมรับอย่างมีเงื่อนไขหรือบางทีอาจรู้จักการ ยอมรับเพียงเล็กน้อย มาร์กรู้ว่าเขาไม่มีวันสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้เพราะเมื่อครั้งที่เขาเรียนอยู่ ในระดับประถมศึกษาครูของเขาคนหนึ่งบอกเขาว่าเขาเป็นคนไร้สมอง และที่เลว ร้ายกว่านั้น พ่อแม่ของเขาบอกเขาตลอดเวลาว่า “ลูกเป็นคนขี้เกียจ คนอย่างลูก จะไม่มีวันเจริญก้าวหน้า” ลอรีเติบโตขึ้นกับการล้อเลียนอย่างไร้เมตตาของเพื่อนที่โรงเรียนเกี่ยวกับขา ที่เล็กเรียวของเธอ เสียงร้องตะโกนว่า “ยายขานก” และ “เธอควรใส่สกีในตอนอาบ น้ำ ” ตามรังควานเธอแม้กระทั่งตอนที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ทุกวันนี้เธอเรียน อยู่ในมหาวิทยาลัยปีที่สาม และลอรียังคงผอมเพรียวในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นของ เธอกำลังต่อสู้กับปัญหาเรื่องน้ำ หนักตัว ถึงกระนั้น เธอยังคงรู้สึกเสียใจกับ “ขาที่ ผอมบาง” ของเธอและหลีกเลี่ยงการปรากฏตัวในชุดว่ายน้ำ เจฟฟ์ดูเหมือนกับเป็นคนที่แน่ใจในตัวเองและมั่นใจ เขามาเป็นอันดับหนึ่งของ ชั้นเรียน และเขาเป็นผู้เล่นตัวจริงในทีมฟุตบอล ปรัชญาของเจฟฟ์คือ “คุณต้องมี ผลงาน ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะว่าคุณไม่มีค่ามากนัก” ในคนบางคน (ดังเช่น มาร์กกับลอรี) ความภูมิใจในตัวเองต่ำ เป็นสิ่งที่มอง เห็นได้ง่ายเพราะเขายอมรับถึงการขาดความมั่นใจและการมีความเห็นในแง่ลบ เกี่ยวกับตนเองอย่างเปิดเผย คนอื่น (ดังเช่น เจฟฟ์) พยายามซ่อนภาพลักษณ์ที่ ต่ำต้อยของตนเอาไว้ด้วยท่าทีที่แข็งขันและมั่นใจมาก แต่ลึกลงไปคนเหล่านี้ขาด ความมั่นใจและไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน “ไม่แน่ใจเรื่องอะไร” คุณอาจถาม ไม่แน่ใจว่าเขาได้รับการยอมรับ ไม่แน่ใจว่า เขามีคุณค่าและมีราคาในตัวเขาเองโดยลำ พัง ตรงกันข้าม เขาใช้ชีวิตไปวันๆ อยู่ บนความคาดหวังของคนอื่นโดยเชื่อว่าเขาต้องพิสูจน์กับคนอื่นและกับตัวเองว่าเขา hero 04_47-64.indd 51 29/11/2560 15:02
52 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ มีคุณค่าและมีความสำคัญ เขาเชื่อว่าเขาต้องทำ งานเพื่อแลกกับการยอมรับที่เขาอาจได้รับจากคนอื่น เขาไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อว่าเขามีสิทธิ์โดยกำ เนิดที่มนุษย์ทุกคนซึ่งถูกสร้างตามพระ ฉายาของพระเจ้ามีร่วมกัน นั่นคือ การได้รับความรักและการยอมรับเพราะความ เป็นตัวเขาไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตาของเขา หรือไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เขามี น่าเสียดาย ผมพบคนหนุ่มสาวจำนวนมากตกอยู่ในกับดักของความคาดหวัง ของพ่อแม่ของเขาและของผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างคนอื่นๆ เขาไม่เข้าใจว่าความรัก อย่างไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้านั้นให้คุณค่ากับมนุษย์ทุกคน “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่า ที่ พระองค์ทรงห่วงใยเขา” ผู้เขียนสดุดีประพันธ์ไว้ “พระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่า พระองค์แต่หน่อยเดียว และทรงสวมศักดิ์ศรีกับความมีอำนาจให้เขา” (สดุดี 8:4-5) ความภูมิใจในตนเองถูกหลักพระคัมภีร์หรือไม่ ที่น่าแปลกก็คือ ผมมักพบเจอกับผู้คนที่สงสัยว่าความภูมิใจในตนเองเป็น แนวคิดที่ถูกต้องตามหลักของพระคัมภีร์หรือไม่ หลังจากผมเสร็จสิ้นการบรรยาย ในงานสัมมนาของพ่อแม่ ผมมักจะถูกท้าทายจากคุณแม่หรือคุณพ่อผู้ที่บอกผมว่า เขารู้สึกงุ่นง่านใจกับแนวคิดของผมในเรื่องความภูมิใจในตนเอง อาจเป็นไปได้ว่า เขาเคยอ่านหนังสือที่ขายดีที่สุดในปัจจุบันที่ว่าความภูมิใจในตนเองเป็นแนวคิดของ ลัทธิ “นิวเอจ” (New Age) ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดเลยกับเรื่องของพระเจ้าหรือ พระคัมภีร์ จากการอ่านของเขา คนเหล่านี้มั่นใจว่าการปรารถนาความภูมิใจใน ตนเองเป็นความบาปเพราะสิ่งนี้ทำ ให้คุณทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวคุณเอง เมื่อ ใดก็ตามที่ผมถูกท้าทายด้วยวิธีนี้ ผมจะตอบด้วยการพูดในทำนองนี้ว่า “ผมชื่นชม กับความพร้อมของคุณที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ผมจะเห็นด้วยว่าผู้คนสามารถ ยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางและสาละวนอยู่กับผลประโยชน์ของตน แต่ผมไม่เห็น ด้วยว่าภาพลักษณ์แห่งตนและความภูมิใจในตนเองเป็นความบาป ที่จริงผมเชื่อว่า ความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องภาพลักษณ์แห่งตนและความภูมิใจในตนเองนี่ แหละคือสิ่งที่ป้องกันคุณจากการเป็นคนเห็นแก่ตัวและยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง” hero 04_47-64.indd 52 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 53 เมื่อเราอภิปรายเกี่ยวกับภาพลักษณ์แห่งตนและความภูมิใจในตนเอง ปกติผม จะแนะนำ ให้อ่านหนังสือเล่มต่างๆ ซึ่งรวมถึงหนังสือของผมเรื่อง การสร้างภาพ ลักษณ์แห่งตนของคุณ (Tyndale, Living Books, 1988) และหนังสือเล่มเยี่ยมที่ เขียนโดย Maurice Wagner เรื่อง ความรู้สึกของการเป็นใครบางคน (Zondervan, 1975) ขอให้เราให้คำ นิยามของ “ภาพลักษณ์แห่งตน” กับ “ความภูมิใจในตนเอง เราทุกคนล้วนมีภาพในสมองเกี่ยวกับตัวเราเองที่เป็นภาพลักษณ์แห่งตนของ เรา นอกจากนี้ งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าเรามีแนวโน้มที่จะทำตัวอย่างสอดประสานกัน กับสิ่งใดก็ตามที่ภาพถ่ายตนเองแสดงให้เราเห็น ในฐานะที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยม ปลายและนักศึกษามหาวิทยาลัยผมทำ เช่นนั้น เนื่องจากความยุ่งยากมากมายที่ เกิดขึ้นที่บ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณพ่อของผมบวกกับการต่อสู้ของผมกับ นักการศึกษาผู้ที่ไม่ยอมรับการเป็นคนถนัดมือซ้ายของผมและผู้ที่มองว่าผมไม่มี อะไรดีไปกว่านักเรียนเกรดดี ภาพลักษณ์แห่งตนของผมจึงอยู่ในจุดที่ต่ำสุด ผมมี ความรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเองน้อยมาก (หรือแทบจะไม่มีเลย) การเข้ามามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์และการเรียนรู้ถึงการยอมรับของ พระเจ้าที่มีต่อตัวผมต่างหากที่ทำ ให้ผมสามารถมีความรู้สึกที่สมบูรณ์เกี่ยวกับ คุณค่าของตัวผมเอง ผู้คนที่เห็นคุณค่าของตนเองสามารถยอมรับตน เองเพราะ เขารู้ว่าพระเจ้าทรงปีติยินดีในเขาและทรงยอมรับเขา คนที่เห็นคุณค่าของตนเอง อย่างสมบูรณ์เชื่อว่า “ผมเป็นคนน่ารัก มีค่าคู่ควร เป็นส่วนที่เก่งและเป็นฝีพระหัตถ์ แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า ใช่ ผมเป็นคนบาป แต่ผมก็ได้รับการไถ่ไว้โดยพระเจ้า พระองค์ทรงยกโทษบาปแก่ผมและตอนนี้ผมสามารถเป็นทุกอย่างที่พระองค์ทรง ต้องการให้ผมเป็น” ผู้คนที่มีความรู้สึกแห่งการเห็นคุณค่าของตนเองอย่างสมบูรณ์จะรู้สึกว่าตน สำคัญ เขาเชื่อว่าเขามีความ สำคัญ และเชื่อว่าโลกนี้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่มากขึ้น เพราะมีเขาอยู่บนโลก คนที่เห็นคุณค่าของตนอย่างสมบูรณ์สามารถมีปฏิสัมพันธ์ กับคนอื่นและชื่นชมคุณค่าของคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน คนนี้สามารถฉายแสงแห่ง hero 04_47-64.indd 53 29/11/2560 15:02
54 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ความหวัง การชื่นชมยินดี และความไว้วางใจออกไป สิ่งเหล่านี้ฟังดูคุ้นหูอย่างน่า ประหลาดใจ เหมือนกับสิ่งที่พระคัมภีร์เรียกว่าผลของพระวิญญาณ (กาลาเทีย 5:21-22) ในอีกด้านหนึ่ง คนที่มีความรู้สึกแห่งการเห็นคุณค่าของตนเองต่ำ จะตกเป็น ทาสของความคิดเห็นของคนอื่น เมื่อคุณขาดการเห็นคุณค่าของตนเอง คุณจะไม่มี อิสระที่จะเป็นตัวของคุณเอง นักศึกษาคนหนึ่งที่ดูเป็นคนที่มั่นคงมากเขียนจดหมายถึงผมและสารภาพว่า “ผมคิดเกี่ยวกับตัวเองว่าเป็นเหมือนไก่งวง ผมกลัวสิ่งที่ผู้คนคิดเกี่ยวกับตัวผมมาก เป็นการยากที่ผมจะยอมรับตัวเอง ผมยังไม่กล้าสบตากับผู้คนหรือคลุกคลีกับคน เหล่านั้น ผมรู้สึกเป็นเหมือนขยะ ความกลัวของผมในเรื่องการถูกปฏิเสธจากคน อื่นรุนแรงมาก”1 พระคัมภีร์ไม่ได้สอนให้เราดูถูกตัวเอง คริสเตียนที่รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการยอมรับว่าเขามีภาพลักษณ์แห่งตนหรือ คุณค่าของตนเองดูจะยืนกรานต่อสู้กับแนวคิดที่ว่าเขาสามารถรักหรือยอมรับตัว เองได้ ตรงกันข้าม คนเหล่านี้เชื่อว่าเขาเป็นตัวหนอนที่ไร้ความสำคัญ เป็นคน บาปที่ไร้ค่าซึ่งคู่ควรกับไฟนรกเท่านั้น ประหลาดแท้ที่ว่าคนเหล่านี้มักจะอ้างอิงข้อ พระคัมภีร์ดังเช่น โรม 12:3 “อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดอย่าง สุขุมสมกับขนาดความเชื่อที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน” เขาเชื่อว่าพระคัมภีร์ข้อนี้ บอกเขาไม่ให้เขาคิดเกี่ยวกับตัวเองสูงส่งนัก และว่าเขาควรดูถูกตัวเอง แต่พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับการดูถูกตัวคุณเอง สิ่งที่พระคัมภีร์ ข้อนี้พูดก็คือว่าเราควรคิดเกี่ยวกับตัวเองสูงส่งในฐานะการทรงสร้างของพระเจ้า แต่ไม่ให้สูงเกินกว่าสิ่งที่เราเป็นอย่างแท้จริง เปาโลกำลังพูดว่าเราควรอยู่กับความ เป็นจริงและใช้การวินิจฉัยอย่างสุขุมรอบคอบ พระคัมภีร์ข้อนี้ให้พื้นฐานสำ หรับคำ นิยามที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ hero 04_47-64.indd 54 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 55 ภาพลักษณ์แห่งตนที่สมบูรณ์ “การมองเห็นตัวคุณเองเหมือนที่พระเจ้ามองเห็นคุณ ไม่มากกว่านี้และไม่น้อยกว่านี้” สิ่งนี้หมายความว่าเราไม่เพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าเราเป็นคนบาป แต่ในเวลา เดียวกันเราไม่จมปลักอยู่กับความจริงข้อนั้นจนเป็นการบดบังคำ ประกาศอย่าง ชัดเจนของพระคัมภีร์ที่ว่าเราถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เราจึง มีคุณค่าที่ถูกสร้างไว้ในตัวอย่างยิ่งใหญ่ ผมเรียนรู้ตั้งแต่แรกว่าคนถนัดมือซ้ายไม่เป็นที่ยอมรับ เมื่อผมเติบโตขึ้นมาผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการถูกสร้างตามพระฉายาของ พระเจ้า และการมีคุณค่าอยู่ภายใน ผมไม่รู้เลยว่าพระองค์ทรงยอมรับผมและผม ใช้พลังงานอย่างมากในการพยายามที่จะทำ ให้ทุกคนที่ฟังผมยอมรับผมหรือทำตัว ให้ “เป็นที่ยอมรับ” ผมเกิดมาเป็นคนถนัดมือซ้ายโดยธรรมชาติและในช่วงที่เรียน อยู่ในชั้นประถมครูของผมพยายามบังคับให้ผมเปลี่ยนไปทำ ทุกสิ่งทุกอย่างด้วย มือขวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีครูอยู่คนหนึ่งที่เฝ้ามองผมพร้อมกับถือไม้บรรทัดไว้ ในมือและตีมือซ้ายของผมถ้าผมพยายามทำสิ่งใดด้วยมือข้างนั้น “คิดซิจอร์ช” เธอตะคอกใส่ผม “ใช้มือขวาของเธอซิ” ผมใช้เวลาไม่นานนักที่จะเชื่อว่าคนถนัดมือซ้ายต่ำต้อยกว่าคนถนัดมือขวา และข้อสรุปที่มีเหตุผลก็คือผมเป็นคนมีปมด้อยเช่นกัน ผมรู้สึกประหม่าและขาดความมั่นใจอย่างมากจนผมเริ่มเกิดอาการพูดติดอ่าง ตอนนี้ภาพลักษณ์แห่งตนที่ต่ำ ต้อยและการไม่มีความภูมิใจในตนเองของผมถูก ผสมรวมเข้ากับการพูดตะกุกตะกักของผม เป็นการยากสำ หรับผมที่จะทำ สิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดหน้า ห้องเรียน การบ้านชิ้นหนึ่งกำ หนดให้เรากล่าวสุนทรพจน์แห่งเมืองเกตตีสเบิร์ก ผม ท่องสุนทรพจน์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่บ้าน และพูดได้โดยไม่สะดุดในขณะที่กำลัง ทำความสะอาดคอกวัว แต่ที่หน้าห้องเรียนผมยืนแข็งทื่อ ผมเริ่มพูดตะกุกตะกัก ไม่สามารถเริ่มได้แม้กระทั่งบรรทัดแรก และในที่สุดผมก็วิ่งออกไปจากห้องเรียน ด้วยความอับอาย hero 04_47-64.indd 55 29/11/2560 15:02
56 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ผมเรียนรู้ที่จะเกลียดคุณพ่อของผมที่ติดเหล้าเช่นกัน ในขณะที่โรงเรียนได้ให้ประสบการณ์มากมายซึ่งกัดกร่อนความภูมิใจในตัวเอง ของผม แต่สิ่งที่สร้างความเสียหายอันเลวร้ายที่สุดอยู่ที่บ้าน ผมแน่ใจในความ รักของคุณแม่อยู่เสมอ แต่ความสัมพันธ์อันเลวร้ายของผมกับคุณพ่อที่ติดเหล้า เกือบทำลายผม เมื่อผมอายุครบสิบสี่ปี ความเกลียดชังของผมที่มีต่อการดื่มเหล้า ของคุณพ่อได้เปลี่ยน ไปเป็นความเกลียดชังตัวคุณพ่อซึ่งมีแต่เพิ่มมากขึ้นเมื่อผม เรียนอยู่ในระดับมัธยมปลาย ภาพหนึ่งที่เดือดดาลอยู่ตลอดกาลในความทรงจำ ของผมคือวันที่ชั้นเรียนปี สุดท้ายของเราลงมติให้จัดปิกนิกส่งท้ายปีที่ฟาร์มของเรา พวกเรากำลังสนุกสนาน จนกระทั่งคุณพ่อของผมขับรถเลี้ยวเข้ามายังถนนส่วนบุคคลที่เราจัดงานอยู่ รถ กระบะคันเก่าของพ่อวิ่งส่ายไปส่ายมาพร้อมกับทำ ให้เกิดฝุ่นคลุ้งกระจายในขณะที่ เขาเกือบชนเข้ากับต้นไม้ รั้ว และสุนัขของเรา พ่อของผมจอดรถกระบะ ออกมาจากรถ และเดินโซเซไปที่บ้านในสภาพที่ เกือบล้มลงอยู่หลายครั้ง เมื่อเพื่อนๆ ของผมเห็นว่าพ่อเมาอีกแล้ว เขาก็หัวเราะ และล้อเลียน ผมต้องวิ่งไปที่โรงนาและอยู่ที่นั่นชั่วขณะหนึ่งเพราะผมรู้สึกอายเกิน กว่าที่จะสู้หน้าเพื่อนๆ ได้ คุณแม่ของผมเสียชีวิตเพราะหัวใจสลาย สองเดือนก่อนวันจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายของผม ผมกลับมาถึงบ้านใน ราวเที่ยงคืนหลังจากไปเที่ยวกับเพื่อนหญิงและพบว่าแม่ของผมกำลังร้องไห้อย่าง ขมขื่นใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับแม่ เกิดอะไรขึ้นครับแม่” ผมร้องถามโดยคิดในใจว่า บางทีพ่อของผมคงทำ ร้ายแม่อีก หลังจากหลายนาทีผ่านไป ในที่สุดแม่ก็รวบรวม สติได้ดีพอที่จะพูด “มันมากเกินไป... แม่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น “พ่อ ของลูก... การดื่มเหล้าของเขา... การกระทำ ทารุณ...” “ผมรู้ครับแม่” เป็นคำ พูดอย่างเดียวที่ผมทำ ได้ในตอนนั้น “แม่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” เธอร้องไห้ “แม่...แม่หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ hero 04_47-64.indd 56 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 57 ต่อไป แม่ต้องการที่จะรอจนกระทั่งลูกดูแลตัวเองได้หลังจากจบการศึกษาเดือน หน้า...” เสียงร้องสะอึกสะอื้นมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ “จากนั้นแม่แค่อยากจะตาย” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ของผมพูดแบบนี้ แต่ครั้งนี้มีบางสิ่งแตกต่างออกไป เกือบ ดูเหมือนว่าแม่กำลังทำนายการเสียชีวิตของเธอเอง แม่กำลังพูดเปรยถึงการฆ่าตัว ตายหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ แต่อารมณ์ที่ปะทุออกมาของแม่ทำ ให้ผมกลัว สองเดือนต่อมาผมจบจากชั้นมัธยมปลาย และในวันศุกร์ถัดมาแม่ของผมก็ เสียชีวิต คนๆ หนึ่งสามารถเสียชีวิตเพราะหัวใจสลายได้หรือ ในแง่กายภาพ ผม เดาว่าคำตอบคือไม่ได้ แต่ในแง่จิตใจและอารมณ์ คำตอบคือได้อย่างแน่นอน แม่ ของผมเสียชีวิตแล้ว ความภูมิใจในตัวเองและภาพลักษณ์แห่งตนของแม่ถูกฉีกขาด ออกเป็นชิ้นๆ ด้วยการปฏิบัติของพ่อของผม เมื่อแม่ของผมเสียชีวิต ผมสูญเสีย แหล่งของความมั่นคงและเสถียรภาพที่แท้จริงแหล่งสุดท้ายของผมไป ไม่ว่าผมจะ ไปไหนหรือผมจะกลับบ้านสายหรือดึกเพียงใดก็ตาม แม่ของผมจะอยู่ที่นั่นเสมอ ด้วยการรอคอยผม พูดคุยกับผม และให้ความสนใจในชีวิตของผม ตอนนี้เธอจาก ไปแล้วและผมอยู่เพียงลำ พัง ผมเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยในสภาพล้มละลายฝ่ายวิญญาณ ในช่วงพิธีศพ ผมจ้องมองไปที่พ่อของผม ดวงตาของผมคุกรุ่นไปด้วยความ เกลียดชัง ผมรังเกียจพ่อมากและในที่สุดผมอาจทำบางสิ่งที่รุนแรงถ้าผมไม่ออก จากบ้านเพื่อไปมหาวิทยาลัย ผมเลือกมหาวิทยาลัยทางโลกขนาดเล็กและเดินทาง ไปถึงมหาวิทยาลัยในสภาพล้มละลายทางอารมณ์และวิญญาณจิต ผมโหยหาความ รักอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้ ผมต้องการเป็นที่ยอมรับจากคนอื่น อย่างมาก แต่ผมเข้าตาจนมากขึ้นเกี่ยวกับความต้องการให้สามารถยอมรับตัวเอง และที่จะเอาชนะความรู้สึกเกลียดชังตัวเองของผม ผมต้องการสิ่งต่างๆ ที่คนหนุ่มสาวทุกคนมองหาอย่างเช่น ความมั่นคง ความ มั่นใจ สันติสุขในความคิดและจิตใจ และ ใช่เลย ผมต้องการความสุข ผมทำ โครงการหนึ่งในความพยายามที่จะค้นหาความสุข และในช่วงที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ผมพยายามทำ ให้ความเป็นตัวเองหายไปในการเป็นผู้นำคนสำคัญในมหาวิทยาลัย ผมได้รับเลือกให้เป็นประธานของนักศึกษาปีหนึ่งและไม่นานก็เข้าร่วมในการตัดสิน hero 04_47-64.indd 57 29/11/2560 15:02
58 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ใจที่น่าตื่นเต้นต่างๆ เช่น นักพูดคนใดที่จะได้รับเชิญมาพูดที่มหาวิทยาลัยและงาน ปาร์ตี้แบบไหนที่ควรจัดขึ้นด้วยเงินของนักศึกษา เป็นต้น กิจวัตรประจำวันของผมเปลี่ยนสภาพเป็นงานที่จำ เจของชั้นเรียนจากวันจันทร์ ถึงวันศุกร์โดยความสุขของผมวนเวียนอยู่ในช่วงสามคืน ได้แก่ คืนวันศุกร์ คืนวัน เสาร์ และคืนวันอาทิตย์ เมื่อหลายสัปดาห์ผ่านไป ผมเริ่มสังเกตเห็นนักศึกษากลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง (ประมาณแปดคนทั้งหมด) ที่ดูเหมือนจะใช้เวลาอย่างมากกับคณาจารย์สองคน ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้น แต่มีบางสิ่งแตกต่างเกี่ยวกับคนเหล่านั้น เขา รู้ในสิ่งที่เขาเชื่อและเหตุผลที่เชื่อ) และผมชื่นชมคุณลักษณะเช่นนั้นในทุกคนอยู่ เสมอ เขาดูเป็นคนที่มีการรับรู้ในเรื่องทิศทางด้วยเช่นกันซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดแคลน อย่างน่าเศร้าในผู้คนส่วนใหญ่ที่ผมกำ ลังคบหาอยู่ สิ่งที่ผิดปกติมากที่สุดก็คือคน เหล่านั้นมักพูดเกี่ยวกับความรักและพยายามมากเป็นพิเศษที่จะช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในมหาวิทยาลัยทางโลก ผมต้องการจะรู้ว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่จูงใจคนเหล่านี้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเป็น เพื่อนกับเขา เขาท้าทายให้ผมตรวจสอบสิ่งที่เขาเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์บนพื้น ฐานทางปัญญา การศึกษาของผมใช้เวลาเกือบสองปี แต่เมื่อผมเรียนเสร็จ ผมก็ไม่ใช่คนขี้ สงสัยที่ไม่สนใจว่าจะมีพระเจ้าหรือไม่อีกต่อไป หลักฐานที่ผมค้นพบทำ ให้ผมเชื่อ มั่นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าพระองค์ทรงเป็น นั่นคือ พระบุตรของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของโลก เมื่อเผชิญหน้ากับหลักฐานดัง กล่าว ผมเริ่มปล้ำสู้กับสิ่งท้าทายต่อไปมาคือ การเป็นคริสเตียน เช่นเดียวกับ ซี.เอส. ลิวอิส ผมถูกลากเข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยการเตะถีบและเสียงกรีดร้อง และในที่สุดผมก็มอบถวายชีวิตของผมให้กับพระเยซูคริสต์ และเมื่อระยะเวลาหนึ่งผ่านไป พระคริสต์ทรงเปลี่ยนชีวิตของผม นับเป็นครั้ง แรกที่ผมรู้สึกถึงความมั่นคง การเห็นคุณค่าของตนเองและสันติสุขอย่างแท้จริง เพราะพระเยซูทรงรับเอาการลงโทษเพราะความบาปของผม ผมจึงรู้ว่าพระเจ้าทรง ยอมรับผมอย่างที่ผมเป็น ผมไม่สามารถกระทำสิ่งใดเพื่อจะแลกกับการยอมรับของ พระองค์ พระองค์ทรงประทานความรอดแก่ผมเพราะความเชื่อของผมเท่านั้น ไม่มี hero 04_47-64.indd 58 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 59 สิ่งใดอีก การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าเป็นความจริงที่ใหญ่โตมโหฬารซึ่ง มักถูกมองข้ามอยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับมาร์ก ลิซา และเจฟฟ์ที่กล่าวถึงก่อนหน้า นี้ในบทนี้ ผู้คนรู้สึกกังวลในเรื่องรูปร่างหน้าตาของเขาหรือการขาดความสามารถ ตะลันต์ หรือทรัพย์สมบัติของตน เขาใช้ชีวิตไปกับการพยายามให้ได้รับการยอมรับ โดยไม่รู้ว่าเขาได้รับการยอมรับจากพระเจ้าแล้ว โดยคุณงามความดีของพระเยซู คริสต์เท่านั้นพระเจ้าทรงยอมรับคุณและผมและลูกๆ ของเราอย่างที่เราเป็นอยู่โดย ปราศจากเงื่อนไข นั่นคือความหมายของยอห์นเมื่อท่านเขียนว่า “ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของ พระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา” (1 ยอห์น 4:10) เมื่อความจริงของพระคัมภีร์ซึมลึกลงไปในจิตวิญญาณของผม ผมค่อยๆ เรียน รู้ว่าเป็นความผิดพลาดที่จะคิดว่าผมต้องเป็นคนดีพร้อมเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ผม ต้องทำตามมาตรฐานบางอย่าง และผมต้องทำ ให้ทุกคนประทับใจ ในที่สุด ไม่ใช่ เรื่องสำคัญอีกต่อไปที่ผมเป็นคนถนัดมือซ้ายหรือที่ผมพูดตะกุกตะกักในสมัยที่เป็น เด็กและยังคงพูดตะกุกตะกักบ้างในบางโอกาสเมื่อผมรู้สึกประหม่า เงื่อนไขในแง่ ลบทั้งหมดดังกล่าวค่อยๆ หลอมละลายไปพร้อมๆ กับความปรารถนาของผมที่จะ ปกปิดความบกพร่องและความอ่อนแอของตนด้วยเช่นกัน ผมสามารถยอมรับว่า ผมไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ แต่น่าประหลาดใจที่ผมเข้าใจเช่นกันว่าผมเป็นคน “สมบูรณ์แบบในพระเยซูคริสต์” และนั่นคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง พระเจ้าทรงเปลี่ยนคุณพ่อของผมด้วยเช่นกัน ผ่านทางความเชื่อที่ผมเพิ่งค้นพบ ผมเรียนรู้ว่าการยอมรับของพระเจ้า สามารถเติมช่องว่างที่ผมรู้สึกมาตลอดชีวิตเพราะคุณพ่อของผมไม่ยอมรับผม แต่ พระเจ้าไม่ได้หยุดแค่นั้น พระองค์ทรงส่ง “รางวัลพิเศษ” เล็กๆ น้อยๆ ควบคู่มา ด้วยเช่นกัน หลังจากเป็นคริสเตียน ผมพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับคุณพ่อ แต่ ผมไม่มีความคืบหน้ามากนัก จากนั้นวันหนึ่ง ในขณะที่ขับรถอยู่คนเดียว ผมหยุด รถตรงทางข้ามรางรถไฟและถูกชนท้ายโดยคนที่เมาแล้วขับ ซึ่งขับมาด้วยความเร็ว hero 04_47-64.indd 59 29/11/2560 15:02
60 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ มากกว่าสี่สิบไมล์ต่อชั่วโมง ผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยขาสองข้าง แขนข้าง หนึ่ง และคอของผมถูกดึงถ่วงน้ำ หนักเอาไว้เนื่องจากกระดูกหัก ในที่สุด เมื่อผม กลับมาบ้าน คุณพ่อของผมซึ่งสร่างเมาอย่างสิ้นเชิงเป็นครั้งแรก เดินมาที่ห้องของ ผมและพูดว่า “พ่อแปลกใจเหลือเกินว่าลูกสามารถรักคนอย่างพ่อลงคอได้อย่างไร” “พ่อครับ” ผมพูด “หกเดือนที่แล้วผมรังเกียจพ่อมาก แต่พระคริสต์ทรงเปลี่ยน ชีวิตของผม” จากนั้นผมแบ่งปันสิ่งที่ผมค้นพบเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์กับท่าน พ่อของผมไม่โต้แย้ง เขาเพียงแต่ฟังอยู่เงียบๆ จากนั้นและที่นั่นพ่ออธิษฐาน กับผมและผมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ผมกำ ลังได้ยิน “พระเจ้า ถ้าพระองค์เป็น พระเจ้าจริงและถ้าพระคริสต์เป็นบุตรของพระองค์ และถ้าพระองค์สามารถทำ ใน ชีวิตของผมเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงทำ ในชีวิตของลูกชายผม ผมต้องการให้ พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของผม” สองสามเดือนต่อมาผมสามารถกลับไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย และผมย้าย มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐมิชิแกนซึ่งไม่ไกลจากฟาร์มของพ่อผม พ่อ ของผมไม่เคยแต่งงานใหม่หลังจากแม่ของผมเสียชีวิต แต่ท่านมีนัดเที่ยวกับเพื่อน หญิงบ้างในบางโอกาส บางครั้งพ่อจะมาหาผมที่มหาวิทยาลัยและเราจะนัดเที่ยว กับเพื่อนหญิงด้วยกัน หลังจากหลายปีของความโศกเศร้าเสียใจและความทุกข์เวทนา พ่อของผมกับ ผมใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุขอยู่สิบสี่เดือนก่อนที่อาการหัวใจวายจะนำ พ่อกลับ บ้าน ช่วงเวลาสิบสี่เดือนเหล่านั้นสอนผมว่าไม่สายเกินไปที่จะชดเชยวันเวลาที่สูญ เสียไป ไม่สายเกินไปที่จะเริ่มยอมรับซึ่งกันและกัน สิ่งที่ผมมีประสบการณ์กับคุณ พ่อของผมในช่วงปีสุดท้ายของท่านบนโลกนี้ไม่เคยหยุดสร้างแรงจูงใจให้ผมมีความ สัมพันธ์ที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำ ได้กับลูกๆ ของผม เด็กที่ได้รับการยอมรับจะยอมรับตนเอง ผมใช้เวลาบอกกับคุณเกี่ยวกับการต่อสู้ของผมกับการขาดภาพลักษณ์ที่ดีแห่ง ตนและความภูมิใจในตัวเองอย่างถูกต้องเพื่อยกตัวอย่างให้เห็นว่าการที่เด็กรู้สึกได้ รับการยอมรับนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพียงใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เป็นแบบอย่าง ดังเช่นพ่อแม่หรือครูของเขา ถ้าสิ่งเดียวที่เด็กได้ยินคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นผิด hero 04_47-64.indd 60 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 61 เด็กจะสรุปโดยธรรมชาติว่า “ผมไม่มีค่ามากนัก บางทีผมอาจไม่มีค่าสำ หรับสิ่งใด เลย” เพราะความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับจากคนที่สำคัญที่สุดต่อเขา เด็กมักปฏิเสธ ที่จะยอมรับตัวเขาเองซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าของการมีภาพลักษณ์แห่งตนต่ำ และ การขาดความภูมิใจในตนเอง ในภาพที่อยู่ตรงกันข้ามคือเด็กที่รู้สึกว่าตนเป็นคนพิเศษเพราะพ่อแม่ของเขา ทำ ให้เขาหรือเธอรู้สึกแบบนั้น พ่อแม่ของด็อตตี้มีความสามารถพิเศษสำ หรับเรื่อง นี้ ท่านสองคนสามารถทำ ให้ลูกทั้งสามคนของท่านแต่ละคนรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิเศษ แต่ไม่มีใครเคยรู้สึกว่าคนหนึ่งคนใดจะพิเศษกว่าคนอื่น ด็อตตี้บอกผมอยู่บ่อยครั้ง ว่าเธอคงรู้สึกอึดอัดใจและเคืองใจอย่างมากถ้าด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดเธอคิดว่าเธอเป็น ลูกคนโปรดหรือน้องชายของเธอหรือน้องสาวของเธอเป็นลูกคนโปรด แม้พ่อแม่ของด็อตตี้รักลูกๆ ของตนเท่าเทียมกัน แต่เขาก็มีวิธีการง่ายๆ ที่จะ ยอมรับบุคลิกเฉพาะตัวของลูกแต่ละคน คุณพ่อของด็อตตี้จะพูดกับเธอว่า “หนูเป็น ลูกสาวคนโตคนโปรดของพ่อ” จากนั้นท่านจะพูดกับแซลลีน้องสาวของเธอที่อ่อน กว่าเธอเจ็ดปีว่า “หนูเป็นลูกสาวคนเล็กคนโปรดของพ่อ” และจากนั้นท่านจะพูด กับสตีฟน้องชายของเธอว่า “หนูเป็นลูกชายคนโปรดของพ่อ” ด็อตตี้นำ เอาวิธีการปฏิบัติแบบนั้นมาใช้กับลูกๆ ของเรา เคลลีเป็น “ลูกสาว คนโตคนโปรด” ของเธอ ชอนเป็น “ลูกชายคนโปรด” ของเธอ เคธีเป็น “ลูกสาวผม สีทองคนโปรด” ของเธอ และเฮเธอร์เป็น “ลูกสาวตาดำคนโปรด” ของเธอ นี่เป็นวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียบง่าย แต่เป็นสิ่งที่ใช้ได้ผล ยกตัวอย่าง ชอน รู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว แต่เขายังชอบที่จะได้ยินคำ ว่าเขาเป็น “ลูกชายคนโปรดของเรา” ประเด็นก็คือว่ามีวิธีการมากมายที่จะทำ ให้ลูกแต่ละคน รู้สึกพิเศษและคุณต้องพัฒนาเทคนิคที่ใช้ได้ผลที่สุดกับลูกของคุณ ด็อตตี้ติดต่อกันทางจดหมายกับเพื่อนคนหนึ่งที่มีลูกชายสองคนอายุไล่เลี่ยกัน ผู้หญิงคนนี้เขียนเกี่ยวกับลูกชายคนหนึ่งอย่างอิ่มเอิบใจโดยเรียกลูกชายคนนี้ว่าเป็น ความภูมิใจและความชื่นบานของเธอ แต่เธอแทบจะไม่เอ่ยถึงลูกชายอีกคนหนึ่ง นี่เป็นความลำ เอียงอย่างชัดเจน และเราได้แต่สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กชาย คนนั้นที่ไม่ใช่ลูกคนโปรดของเธอ hero 04_47-64.indd 61 29/11/2560 15:02
62 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ในหนังสือเรื่อง ซ่อนหรือหา ของดร.เจมส์ ด็อบสันชี้ให้เห็นว่าการแพร่ระบาด ของความรู้สึกเป็นปมด้อยได้ลุกลามเข้าไปในผู้คนจำ นวนมากในอเมริกาใน ศตวรรษที่ยี่สิบ แต่ท่านเชื่อว่าการแพร่ระบาดนี้สามารถหยุดได้โดยพ่อแม่ที่เห็น พ้องอย่างสิ้นเชิงกับข้อเสนอที่ว่าลูกทุกคนถูกสร้างให้มีคุณค่าเท่าเทียมกันและต้อง ได้รับสิทธิ์ของการให้ความเคารพและศักดิ์ศรีเป็นส่วนตัว ผมเชื่อว่าดร.ด็อบสันกำลังพูดในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ ภารกิจของพ่อแม่ทุก คนคือการสร้างความรู้สึกที่ถูกต้องในเรื่องคุณค่าแห่งตนให้กับเขาเป็นส่วนตัวและ พ่อแม่ทุกคนที่ทำ เช่นนั้นจะกลายเป็นวีรบุรุษให้กับลูกๆ ของเขาในความหมายที่ ถูกต้องที่สุดของคำนี้ hero 04_47-64.indd 62 29/11/2560 15:02
ถ้าคุณยอมรับเขา เขาจะยอมรับตนเอง 63 ข้อคิดท้ายบท ไตร่ตรอง อภิปราย หรือลองใช้กับคุณ 1. ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ คุณจะสามารถสร้างความภูมิใจในตัวเองให้กับลูกของ คุณอย่างเฉพาะเจาะจงได้อย่างไร จุดเริ่มต้นจุดหนึ่งคือการพูดคุยกับลูกของคุณ อย่างเป็นกันเองเกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ • เราถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:26-27) • พระเจ้าทรงมอบพระประสงค์พิเศษแก่เราเพื่อครอบครอง (บริหารจัดการ) แผ่นดินโลก (ปฐมกาล 1:28) • เราถูกสร้างให้ “ต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แต่หน่อยเดียว” (สดุดี 8:5) • ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม 3:23) แต่ พระเจ้าทรง ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายเพื่อความบาปของเรา (ยอห์น 3:16) • เราแต่ละคนมีศักยภาพที่จะเป็นบุตรของพระเจ้าโดยการเชื่อในพระนามของ พระเยซูคริสต์ (ยอห์น 1:12-13) • พระเจ้าทรงไถ่ (ทรงซื้อ) เราด้วยราคาแพงที่สุดที่พระองค์ทรงสามารถจ่าย ได้ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์บนกางเขน (1 โครินธ์ 6:20, 1 เปโตร 1:18-19) • เพราะเราได้รับการไถ่ ทูตสวรรค์จึงเฝ้าดูแลเรา (ฮีบรู 1:14, สดุดี 91:11- 12) • พระเยซูทรงกำ ลังจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้เราด้วยพระองค์เองซึ่งเป็นที่ที่เรา สามารถอยู่กับพระองค์เสมอไป (ยอห์น 14:1-3) บางทีตัวคุณเองอาจยังไม่ได้มีประสบการณ์กับความเป็นจริงของความจริงใน พระคัมภีร์เหล่านี้ จงคิดถึงความจริงเหล่านี้ อธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พูด คุยกับศิษยาภิบาลหรือเพื่อนคริสเตียนที่คุณสามารถไว้วางใจ เมื่อความจริงเหล่า นี้เป็นจริงมากขึ้นสำ หรับคุณ คุณสามารถแบ่งปันสิ่งเหล่านี้กับลูกของคุณด้วยความ มั่นใจและความกระตือรือร้น มีแนวทางใดที่ดีกว่านี้ที่จะเริ่มสอนเขาเกี่ยวกับการ ยอมรับ มีแนวทางใดที่ดีกว่านี้ที่จะช่วยเขาให้รู้ว่าเขาได้รับการยอมรับจากพระเจ้า และพระเยซูคริสต์แล้วและรู้ว่าคุณยอมรับเขาด้วยเช่นกัน hero 04_47-64.indd 63 29/11/2560 15:02
64 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ผมเสนอให้คุณหาซื้อหนังสือเรื่อง การสร้างภาพลักษณ์แห่งตนของคุณ ด้วย เช่นกัน ซึ่งมีจำ หน่ายในรูปปกอ่อนผ่านสำนักพิมพ์ Tyndale House Publishers (Living Books Edition) จงอ่าน ศึกษา และทำแบบฝึกหัด “โครงสร้างพื้นฐาน” ให้ครบถ้วน การเรียนรู้วิธีการมีทัศนะที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์เกี่ยวกับตัวคุณ เองจะช่วยให้คุณถ่ายทอดความจริงเหล่านี้ไปยังลูกของคุณได้ง่ายขึ้น 2. การพูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับความจริงของพระคัมภีร์สามารถช่วยให้ เขาเริ่มรู้สึกได้รับการยอมรับ แต่ถ้าจะให้ความจริงเหล่านี้มีชีวิต ลูกๆ ของคุณต้อง เห็นการสาธิตให้เห็นเป็นประจำ โดยคุณแม่และคุณพ่อ พ่อแม่คริสเตียนบางคนทำ สิ่งผิดพลาดที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (บ่อยครั้งผ่านความไม่ระมัดระวังหรือโดย ปริยาย) ของการสอนพระคัมภีร์ให้ลูกของเขาแต่ไม่ได้เป็นแบบอย่างในสิ่งที่พระ คัมภีร์หมายถึง ผลลัพธ์ก็คือลูกของเขาเติบโตขึ้นด้วยการเรียนรู้ “แนวคิดที่ได้รับ การยอมรับ” เขาเรียนรู้จักถ้อยคำและวลีที่ถูกต้องทุกอย่าง แต่เห็นสิ่งเหล่านี้เกิด ขึ้นจริงเพียงน้อยนิดในชีวิตของผู้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาซึ่งก็คือพ่อแม่ ทำ ไมไม่หยุดเสียตอนนี้และสำ รวจครอบครัวของคุณเองตามความเป็นจริง ลูกของคุณแค่ได้ยินเรื่องราวในพระคัมภีร์และรับทราบถึงกฎระเบียบหรือว่าเขา กำลังมีประสบการณ์กับความจริงของพระคัมภีร์เพราะพ่อแม่ของเขาปฏิบัติกับเขา แต่ละคนตามสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้ จงพูดคุยกับคู่สมรสของคุณว่าคุณทั้งสองคน เป็นแบบอย่างของความจริงในพระคัมภีร์ได้ดีเพียงใดต่อหน้าลูกๆ ของคุณ จาก นั้น จงใช้เวลาอธิษฐานร่วมกันเพื่อขอสติปัญญาที่จะทำ ให้ดีขึ้น hero 04_47-64.indd 64 29/11/2560 15:02
อ้างอิงท้ายเรื่อง 277 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมซุปเปอร์โบวล์ บทกวีของเขาได้รับกล่าวถึงโดยดอริส ลี แม็ค คอยในหนังสือของเธอเรื่อง Megatraits: Twelve Traits of Successful People (พลาโน, เท็กซัส: สำนักพิมพ์เวิร์ดแวร์, 1988) 12. โรเบิร์ต เอส. แม็คกี, จิม แครดด็อกค์, แพ็ท สปริงเกิล The Parent Factor (ฮุส ตัน: สำนักพิมพ์ราฟา, 1989) หน้า 9 13“Children Learn What They Live,” โดย โดโรธี ลอว์ โนล์ท บทที่ 2 1. จอร์ช แม็คโดเวลล์, How to Help Your Child Say No to Sexual Pressure, (เวโก: สำนักพิมพ์เวิร์ดบุ๊คส์, 1987) หน้า 51 2. สถิติจาก Junior High Ministry, พฤษภาคม-สิงหาคม 1988 1989 อ้างอิงใน The Josh McDowell Research and Statistical Digest, หน้า 104 บทที่ 4 1. จอร์ช แม็คโดเวลล์, Building Your Self-Image, (วีทตัน: สำนักพิมพ์ลิฟวิ่งบุ๊คส์, ฉบับปกอ่อน 1988) หน้า 25 บทที่ 5 1. ชาร์ลส์ คาลด์เวลล์ ไรลี, บรรณาธิการ, Ryrie Study Bible (ชิคาโก: สำนักพิมพ์ มูดี้เพรส, 1976), หน้า 968 2. สำ หรับคำอภิปรายฉบับสมบูรณ์เรื่อง “eight ages of man” ดูเอริค เอช. เอริคสัน Childhood and Society, ฉบับแก้ไขและขยายใหม่ครั้งที่สอง (นิวยอร์ค: สำ นักพิมพ์ ดับบลิว.ดับบลิว.นอร์ตันแอนด์คอมพานี, 1964) หน้า 247-273 3. “I am Loved” เนื้อร้องโดยวิลเลี่ยม เจ. ไกเธอร์ ดนตรีโดยวิลเลี่ยม เจ. ไกเธอร์ © สงวนลิขสิทธิ์ 1978 โดยวิลเลี่ยม เจ. ไกเธอร์ ได้รับการสงวนลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ ใช้โดย ได้รับอนุญาต บทที่ 6 1. ดร.เจมส์ ด็อบสัน, Hide or Seek (โอลด์ แท็บแปน: บริษัทเฟลมมิ่ง เอช. เรเวลล์, 1974) ดูหน้า 23 เป็นต้นไป 2. ดูสเทเฟน ดี. เอียร์, Defeating the Dragons of the World (ดาวเนอร์สโกรฟ อินเตอร์วาซิตี้คริสเตียนเฟลโลชิฟ, 1987) หน้า 24 3. เรื่องเดียวกัน บทที่ 7 1. เคนเนท บลันชาร์ดและสเปนเซอร์ จอห์นสัน, The One-Minute Manager (นิวยอร์ค: เบิร์คลีย์บุ๊ค, 1983) บทที่ 8 1. สำ หรับการอภิปรายที่เป็นเลิศเรื่องลักษณะของคนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ ให้ hero 15_250-278.indd 277 29/11/2560 15:19
278 เป็นฮีโร่ให้ลูกคุณ ดูหนังสือของเดวิด สตูฟ Living With a Perfectionist (แนชวิลล์: โอลิเวอร์เนลสัน, 1987) 2. สถิติการตีโฮมรันของโรเจอร์ มาริสประสบความสำ เร็จในช่วงตารางเวลาที่ยาวกว่า ตารางเวลาที่เบ็บ รูธตีลูกที่หกสิบของเขา 3. เอริคสัน, Childhood and Society, หน้า 258-261 บทที่ 9 1. ดูหนังสือของแม็คโดเวลล์ How to Help Your Child Say “No” to Sexual Pres- sure, หน้า 28 2. “Condoms Sought in School,” ซานดิเอโกยูเนียน, พฤหัสบดี, 15 มีนาคม, 1990, หน้า C-4 อ้างอิงใน The Josh McDowell Research Almanac and Statistical Digest, หน้า 1 3. จอร์ช แม็คโดเวลล์, ดิ๊ก เดย์, Why Wait? (ซานเบอร์นาร์ดิโน: สำนักพิมพ์เฮียร์ส ไลฟ์, 1987) สำ หรับรายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับเหตุผลที่เยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ให้ดูภาคที่ 2 หน้า 71-185 4. “Summary of Findings: Young Adolescents and Their Parents.” สถาบันเซิร์ช เมนิอาโปลิส รัฐมินิโซตา 1984 หน้า 1D 5. เอช. นอร์แมน ไรท์ Always Daddy’s Girl (เวนทูรา: รีกัลบุ๊คส์ 1989) หน้า 10 6. ดูเอริคสัน, Childhood and Society, หน้า 261-263 7. ดูเอริคสัน, Childhood and Society, หน้า 263-266 8. เดโบรา ฟิลลิปส์, Sexual Confidence (บอสตัน: ฮาวห์ตัน มิฟฟลิน, 1980) หน้า 121 บทที่ 10 1. โรล์ฟ การ์บอร์ก, The Family Blessing (ดาลัส: เวิร์ดพับบลิสชิ่ง 1990) บทที่ 11 1. ดูหนังสือของแม็คโดเวลล์ How to Help Your Child Say “No” to Sexual Pres- sure, หน้า 19 2. แอนโทนี คาเซล, Tracking Tomorrow’s Friends (แคนซัสซิตี้: แอนดรูว์ แม็คมีล และปาร์เกอร์, 1986) สิ่งพิมพ์นี้เป็นหนังสือที่รวบรวมขึ้นโดยกาเน็ตนิวมีเดียเซอร์วิส USA Today, และนำ เสนอการรวบรวมงานวิจัยและผลการสำ รวจความคิดเห็นที่ทำการโดย USA Today ในหัวข้อและประเด็นต่างๆ หนังสือเล่มนี้ไม่มีการจัดพิมพ์แล้ว บทที่ 14 1. ดูเจนนิเฟอร์ วอร์เรน “Malnourished Girl Found Locked in Closet; Parents eld,” The Los Angeles Times, 25 ตุลาคม 1990 หน้า A3 2. ดูหนังสือของดร.เจมส์ ด็อบสัน Dare to Discipline (วีทตัน: สำนักพิมพ์ทินเดล, 1970), คำนำ หน้า 1-4 hero 15_250-278.indd 278 29/11/2560 15:19
สิ่งเดียวที่คุณต้องการคือความรัก แรงจูงใจ และแผนที่ใช้การได้ มาค้นดูว่า “สูตร” ที่ อยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์หกประการของจอร์ช แม็คโดเวลล์กับดิ๊ก เดย์สำ หรับการอบรม เลี้ยงดูลูกเชิงบวกจะเปลี่ยนคุณให้เป็นวีรบุรุษตัวจริงให้ลูกของคุณอย่างไร วิธีการเป็นวีรบุรุษ ให้ลูกของคุณ จะทำ ให้คุณเรียนรู้จักวิธีการแสดงความเห็นอกเห็นใจ คุณลักษณะ และความ เสมอต้นเสมอปลายที่ล้วนก่อให้เกิดการเป็นแบบอย่างเชิงบวก คุณจะพบว่าการเป็นวีรบุรุษคือสิ่งที่ทำ ได้จริง ให้ความอิ่มใจ และแม้กระทั่งให้ความ สนุกสนาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด การเป็นวีรบุรุษจะสร้างความสัมพันธ์ชนิดพิเศษให้กับลูกของ คุณซึ่งจะเตรียมเขาให้พร้อมสำ หรับการดำ เนินชีวิตที่สมหวังและอุดมสมบูรณ์แม้กระทั่งในโลก ที่อันตรายและไม่เป็นมิตร พ่อแม่ที่แสนวิเศษจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า จอร์ช แม็คโดเวลล์ เป็นนักพูดและนักเขียนซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับสากลและเป็นตัวแทน ขององค์การแคมพัสครูเสด ที่เดินทางออกไปทั่วโลก ท่านจบการศึกษาจากวิทยาลัยวีทตัน และสถาบันศาสนศาสตร์ทัลบ็อต ท่านเขียนหนังสือมากกว่าสามสิบห้าเล่มและปรากฏตัวใน ภาพยนตร์ วีดีโอ และละครชุดทางโทรทัศน์จำนวนมาก ดิ๊ก เดย์ เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการแต่งงาน ครอบครัวและเด็กรับใบอนุญาตและเป็น ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการศูนย์จูเลียนในเมืองจูเลียน รัฐแคลิฟอร์เนีย ท่านให้คำบรรยายใน ระดับสากล เป็นผู้ร่วมเขียนหนังสือกับจอร์ช แม็คโดเวลล์และปรากฏตัวในภาพยนตร์ วีดีโอ และละครชุดทางโทรทัศน์จำนวนมากร่วมกับจอร์ช คุณไม่ต้องเป็นพ่อแม่ที่แสนวิเศษ เพื่อจะเป็นฮีโร่ให้ลูกของคุณ สมาคมพระคริสตธรรมไทย 319/52-55 ถ.วิภาวดีรังสิต สามเสนใน พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2279-8341 โทรสาร 0-2616-0517 http://www.thaibible.or.th, www.thaibible.net e-mail:[email protected] ราคา 295 บาท ISBN : 978-616-339-094-3 cover A.indd 3 29/11/2560 13:06