รายงานการวิจัย เรื่อง จิตตภาวนา: ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต Meditation: Special Experiences and Phenomenon of mental development ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนตรี เพชรนาจักร งานศูนย์จิตตปัญญาศึกษา (H19) สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ๒๕๖๖
หัวข้อวิจัย จิตตภาวนา: ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ชื่อผู้วิจัย นายมนตรี เพชรนาจักร หน่วยงาน ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปีพุทธศักราช ๒๕๖๖ บทคัดย่อ เทคนิคการพัฒนาจิตมากกว่า ๑ แบบ ส่งผลเป็นความไม่แน่ใจในการเลือกเทคนิคที่มีแนวคิด ทางพุทธศาสนาเป็นแกนกลางมากที่สุด นอกจากนั้น ความเชื่อที่ว่า “ขณะฝึกฝนอบรมจิตจะมี ปรากฏการณ์พิเศษบางอย่างเกิดขึ้น” ยังไม่มีการตรวจสอบข้อมูลในเชิงข้อเท็จจริง จึงน่าศึกษาและ ตรวจสอบรายละเอียดนั้น ก าหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยออกเป็น ๓ ข้อคือ (๑) เพื่อศึกษาและ ทบทวนแนวคิดเรื่องการพัฒนาจิต และประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตที่มีอยู่ใน เนื้อหาพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม จิตตามค าบอกเล่าของนักปฏิบัติ นักการศึกษาและการทดลองปฏิบัติและ (๓) เพื่อวิเคราะห์ความมี อยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต จากการศึกษาพบว่า รูปแบบของการพัฒนาจิตในพุทธศาสนามี ๒ คือ (๑) การฝึกฝนอบรมจิต เพื่อให้จิตสงบ และ (๒) การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อให้เกิดความรู้ กรณีต้องการความรู้ มีหนทางเดียวคือ การใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) เพื่อการฝึกฝนอบรมจิต ด้วยเคล็ดลับ “การระลึกรู้ถึงความมีอยู่ของ กาย ความรู้สึก ความคิด และธรรม ตามจริงที่เป็นปัจจุบัน” เมื่อพัฒนาจิตได้ในระดับหนึ่งจะเกิด คุณสมบัติพิเศษ ๓ อย่างคือ (๑) ความสุขจากความสงบ (๒) คุณธรรมทั่วไป และ (๓) คุณธรรมชั้นสูง สุดท้ายคือการตัดกิเลสและกองทุกข์ทั้งหมดได้ คุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากนักปฏิบัติ ชั้นครู/อาจารย์ว่า “มีอยู่” อย่างไรก็ตาม ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่งนั้นมีอยู่และจริง (๒) สิ่งนั้นมีอยู่แต่อาจไม่จริง และสิ่งที่มีอยู่จะจริงหรือไม่จริงนั้นจะ มี ๒ ลักษณะคือ (๑) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และ (๒) สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพ/ข้อเท็จจริง การ ตรวจสอบสิ่งที่ปรากฏว่ามีอยู่และจริง อาจตรวจสอบได้ด้วยทฤษฎี ๓ เส้า คือ การตรวจสอบด้วย ประสบการณ์ การตรวจสอบด้วยเหตุผล และการตรวจสอบด้วยญาณทัศนะ จะคือ “การรู้ได้ด้วย ตนเอง” ที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะในพุทธศาสนา จากข้อมูลทั้งหมด อาจเกิดความตระหนักรู้ในตนได้ ว่า หากต้องการจบสิ้นทุกข์ในชีวิต ต้องใช้สติเป็นฐานการฝึกฝนอบรมจิต และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น แม้จะจริงและยืนยันได้ แต่ควรมีท่าทีได้เพียง “รับรู้ความมีอยู่ของสิ่งนั้น” เท่านั้น ค าส าคัญ: พุทธศาสนา, จิตตภาวนา, ประสบการณ์ทางจิต
ข Research Title Meditation: special experiences and phenomena from mental training. Author Mr. Montree Phetnachak Faculty Peace Studies Institute Year 2023 abstract There are many mind development techniques, but which technique is the most relevant to the concept of Buddhism? Another is the belief that “During that spiritual practice, an extraordinary phenomenon will occur.” There is no factual verification of the information. Therefore, it is worth studying and examining these details. There are 3 objectives of the study: ( 1 ) to study the concept of mental development and special experiences arising from spiritual training in Buddhist content ( 2 ) to study special experiences and phenomena arising from mental training as told by practitioners Educators and self- practice experiments and ( 3 ) to analyze the existence of special experiences and phenomena arising from spiritual training. The study found that there are two forms of mental development in Buddhism content: (1) mental training to attain mental stillness and (2) mental training to achieve enlightenment. And, it shows that the use of mindfulness (satipatthana) was the basis for mental training. It is the only way to enlightenment with the important secret of using mindfulness as a base for mental training consists of conscious self-awareness of the present existence of the body, feelings, thoughts, and states of being ( dharma) . When the mind has been trained to a certain extent, three special qualities will arise: (1) peace of mind, (2) general virtue, and (3) high virtue. The end of noble virtue is to cut off all defilements and piles of suffering. These special qualities have been confirmed by the master practitioners that “These qualities are things that exist.” However, the existence of things that appear from mind training can be found in two ways: (1) that exists and is real; (2) that exists but may not be true. and found that what exists is true or not true, there are 2 types: (1) what appears in the mind; and (2) what appears physically/fact. Verification of what appears to exist and is true It can be
ค examined with the theory of "three pillars", i.e., examination by experience, reasoning, and examination by intuition, which is "self-knowing" that is unique in Buddhism. In the dimension of contemplative education will have the awareness that the use of mindfulness as the basis for cultivating the mind is the end of suffering in life. Although things that happen during mental training are true and verifiable, they should only be able to “be Known the existence of that thing”. Keywords: Buddhism, meditation, spiritual experience
กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่อง จิตตภาวนา: ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกอบรมจิต เป็น งานวิจัยสืบเนื่องจากการขับเคลื่อนแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี ของศูนย์จิตตปัญญาศึกษา สถาบันสันติ ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก่อนที่สถาบันสันติศึกษาจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างเป็นฝ่ายงาน จิตตปัญญาศึกษา ในภายหลัง ผู้วิจัยมีความพยายามที่จะขอทุนสนับสนุนการวิจัยจากแหล่งทุนสนับสนุน แต่ดูเหมือนไม่ สอดคล้องกับความต้องการของแหล่งทุน สุดท้ายจึงด าเนินการวิจัยด้วยทุนของตนเอง ที่ต้องใช้จ่าย หลักคือค่าน้ ามันรถในการเดินทางไปสัมภาษณ์บุคคลตัวอย่างที่ปรากฏขึ้นในมโนภาพและการแนะน า ของผู้มีอุปการคุณ บางคนที่เข้าพบเป็นการใช้จ่ายค่าน้ ามันที่สูญเปล่า เพราะไม่มีการนัดล่วงหน้า แต่ ไม่ใช่สิ่งส าคัญกว่าการได้เดินทางไปพบด้วยตนเองแล้ว การด าเนินการวิจัยด้วยทุนของตนเองมีข้อดีคือ การไม่ถูกจ ากัดด้วยเวลา ส่งผลให้การด าเนินการวิจัยไปแบบเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนจะสอดคล้องกับงาน ด้านจิตตปัญญาศึกษา ที่ต้องรอเวลาในการเข้าถึงองค์ความรู้ นอกจากนั้น ยังอิสระในการแอบท า บางอย่างแบบนอกลู่นอกทางรูปแบบการวิจัยที่ก าหนดไว้แบบตายตัว ข้อเสียคือ เมื่อเวลาเคลื่อนตัวไป เรื่อย ความคิดก็เปลี่ยนไปเรื่อย ส่งผลต่อการเรียบเรียงแล้วขย าทิ้งซ้ าแล้วซ้ าอีก แต่สุดท้ายเมื่อตัดสินใจ มั่นคงในการเลือกแนวทาง ความเลิศหรูที่ก าหนดไว้เหลือเพียงการท าไปตามที่พอจะท าได้ ในวันที่หยิบ งานวิจัยนี้ขึ้นมาปัดฝุ่นและเขียนต่อในแต่ละช่วงของเวลา จะก าหนดใจไว้ว่า ท าได้เท่านี้คือเสร็จเท่านี้ ความคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากข้อเขียนในหนังสือเล่มหนึ่งของพุทธทาสภิกขุ ดังนั้น งานวิจัยนี้ก็คงจะได้เท่าที่เห็น แต่มีการต่อยอดชัดเจนในการเปิดเป็นรายวิชาให้ นักศึกษาเลือกเรียน และการใส่สาระของเนื้อหาจากการวิจัยเข้าในกิจกรรมอบรมครูจิตศึกษา ถ้าถาม ว่า พอใจกับงานวิจัยนี้เพียงใด ค าตอบคือ ยังไม่เป็นที่พอใจ โดยเฉพาะความพยายามในการน าเสนอ ภาษาคัมภีร์ให้เป็นภาษาทั่วไป และความต้องการท าดรรชนีค าเพิ่มเป็น ๔ ช่อง ประกอบด้วย ศัพท์ เฉพาะ การแปลโดยยึดศัพท์ การแปลถือความ และการแปลงเป็นภาษาทั่วไป แม้จะไม่ใช่วัตถุประสงค์ ของงานวิจัยชิ้นนี้ก็ตาม นอกจากนั้นที่ยังค้างคาอยู่ในใจคือ หากผู้วิจัยมีประสบการณ์การฝึกฝนอบรม จิต ได้รับผลตั้งแต่ต้นจนถึงผลสูงสุด การเรียบเรียงเนื้อหาน่าจะได้อรรถรสมากกว่าฟังและเรียนรู้จาก ค าบอกเล่า ขอขอบคุณ คุณเพ็ญนภา พัทรชนม์ อดีตอาจารย์และคณะท างานศูนย์จิตตปัญญาศึกษา สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้ร่วมวางแผนงานและขับเคลื่อนงานจิตตปัญญา ศึกษามาตั้งแต่ต้น ท่านแนะน าบุคคลตัวอย่างในการให้สัมภาษณ์ และร่วมท าหลักสูตรจิตศึกษาส าหรับ ครู: การบูรณาการจริยธรรมเสริมบทเรียน ขอขอบคุณผู้ให้ค าสัมภาษณ์ทุกท่าน ตลอดถึงข้อมูลต่าง ๆ
ง ผ่านการเล่าเรื่อง ปาฐกถาและการสะท้อนคิดผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อผ่านยูทูป (YouTube) ให้ ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าหนึ่งพันกิโล อนึ่ง ความคลาดเคลื่อนอันใด เกิดขึ้นจากการเข้าไม่ถึงธรรมของผู้วิจัย หากจะมีอยู่ ขอพระ ธรรมจงงดซึ่งโทษล่วงเกินจากความไม่รู้นั้น ประโยชน์เกื้อกูลอื่นใดที่เกิดขึ้นจากการศึกษาวิจัยนี้ขอ มอบให้นักการศึกษาด้านจิตศึกษาทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ก าลังเตรียมความพร้อมในการฝึกฝนอบรมจิต ได้ใช้สอยให้สอดคล้องกับประโยชน์เกื้อกูลแห่งตนต่อไป มนตรี เพชรนาจักร มีนาคม ๒๕๖๖
สารบัญ บทคัดย่อ ก abstract ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ จ บทที่ ๑ บทน า ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๒ ๑.๓ ปัญหาการวิจัย ๒ ๑.๔ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๓ ๑.๕ ขอบเขตของการวิจัย ๓ ๑.๖ การด าเนินการวิจัย ๔ ๑.๗ สิ่งที่คาดว่าจะได้รับ ๗ ๑.๘ นิยามศัพท์เฉพาะ ๘ บทที่ ๒ การพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) และประสบการณ์พิเศษในพุทธศาสนา ๙ ๒.๑ แนวคิดเรื่องจิตตภาวนา ๙ ๒.๒ จิตและการพัฒนา ๑๐ ๒.๓ แนวคิดเรื่อง ที่ตั้งแห่งสติ (สติปัฏฐาน) และการพัฒนาจิต ๑๖ ๒.๔ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ๓๐ บทที่ ๓ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ๓๕ ๓.๑ แนวคิดส าคัญของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ๓๕ ๓.๒ ประสบการณ์พิเศษฯผ่านค าบอกเล่าของนักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ ๔๒ ๓.๓ ประสบการณ์พิเศษฯผ่านค าบอกเล่าของนักการศึกษา/ผู้ก าลังเรียนรู้ ๕๒ ๓.๔ การทดลองฝึกฝนอบรมจิตและทัศนะของผู้วิจัย ๖๔ ๓.๕ ถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา ๖๙
ฉ บทที่ ๔ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต ๗๓ ๔.๑ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต ๗๓ ๔.๒ การตรวจสอบความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต ๗๘ ๔.๓ ข้อสังเกตบางประการและความตระหนักรู้ในตน ๘๒ บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย ความตระหนักรู้ในตนและข้อเสนอเพื่อการพัฒนา ๘๘ ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๘๘ ๕.๒ ความตระหนักรู้ในตน ๙๑ ๕.๓ ข้อเสนอเพื่อการพัฒนา ๙๑ บรรณานุกรม ๙๔ เอกสารที่ใช้ในการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล ๑๐๔ เอกสารอ้างอิงบทที่ ๒ ๑๐๔ เอกสารอ้างอิงบทที่ ๓ ๑๐๘ เอกสารอ้างอิงบทที่ ๔ ๑๑๔ เอกสารอ้างอิงบทที่ ๕ ๑๑๖
บทที่ ๑ บทน า ๑.๑ ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา สิ่งที่ปรากฏในสังคมพุทธศาสนาไทยปัจจุบันคือ “ความเชื่อแบบง่าย” และการสละสิ่งต่าง ๆ บูชาความเชื่อ โดยไม่มีการลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง กรณีตัวอย่างที่พอจะสังเกตได้อย่างการ บนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ความเชื่อเรื่องไอ้ไข่ ความเชื่อเรื่องพญานาค ความเชื่อเรื่อง วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษฯลฯ การเช่าบูชาวัตถุที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองเพื่อความเป็น สิริมงคล เช่น พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ จตุคามรามเทพ ผ้ายันต์ฯลฯ การยึดมั่นต่อสิ่งอื่นมากกว่าพระ รัตนตรัยที่เคยปฏิญาณตนไว้ เช่น ความเชื่อในความพิเศษของครูบาอาจารย์ของตน ความเชื่อเรื่องการ สร้างที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับทิศฯลฯ เป็นต้น ปรากฏการณ์ทางสังคมเกี่ยวกับความเชื่อและวิถีของชาวไทยพุทธเหล่านี้ โดยรวมคือการฝาก ชีวิตไว้กับสิ่งอื่นมากกว่าความเชื่อมั่นว่าตนเท่านั้นสามารถข้ามผ่านความทุกข์ทั้งหมดได้ด้วยความเพียร พยายามของตน หากพิจารณาผ่านค าสอนทางพุทธศาสนาที่ระบุว่า “ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งของตน (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ)” แนวคิดแบบ “การฝากชีวิตไว้กับพลังอ านาจอื่น” อาจไม่สอดคล้องกับวิถีที่ พุทธศาสนาเสนอไว้ ที่ยิ่งไปกว่านั้น หากค าว่า “พุทธ” ที่หมายถึง “ผู้รู้” กรณี ชาวพุทธไทยที่กล่าวถึง ข้างต้น ผู้ไม่เคยตั้งค าถามว่า “สิ่งที่เชื่อนั้น มีอยู่จริงหรือไม่?” ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์สิ่งนั้นไปสู่ “ความรู้” ใน สิ่งที่สงสัย การไม่พิสูจน์และ/หรือไม่หาข้อมูลสนับสนุนความมีอยู่ของสิ่งที่เชื่อ จึงไม่ต่างจากความเชื่อ แบบลอยๆที่ไร้น้ าหนักจะให้เชื่อได้ว่า “ความรู้นั้นมีอยู่” จิตตภาวนาคือชุดความรู้หนึ่งในสังคมพุทธศาสนาไทยที่เชื่อว่า สามารถท าให้ผู้ฝึกฝนตนในมิติ จิต ไปสู่ “ความรู้แจ้ง (enlightenment)”ได้ หากแต่ความรู้นี้จะเกิดผ่านการปฏิบัติ มีค าที่ใช้เรียก หลายค าคือ “การปฏิบัติธรรม” “การฝึกอบรมจิต” “กรรมฐาน” “การฝึกจิต” “การพัฒนาจิต” “การ ฝึกฝนจิต”และ “ภาวนา”/“จิตตภาวนา” เป็นที่น่าสังเกตว่า ชุดความรู้ “จิตตภาวนา” นั้น เหล่าผู้พยายามปฏิบัติและไม่เคยปฏิบัติมี ความเชื่อว่า ผลของจิตตภาวนาจะช่วยให้บุคคลแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งหลายทั้งที่ มองเห็นและมองไม่เห็น หากได้ท าบุญกับนักปฏิบัติอย่างพระสายปฏิบัติจะท าให้ประสบสิ่งที่ปรารถนา ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อใครปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่งแล้วจะพบความสามารถพิเศษบางประการ เช่น ความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างโลกที่เราอาศัยอยู่กับโลกอื่น ความสามารถในการรับรู้อดีตและ อนาคต ความสามารถในการสื่อสารกับจิตของผู้ที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เป็นต้น ตลอดถึงประสบการณ์ พิเศษอื่นที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติ เหล่านี้มีการบอกเล่าส่งต่อเฉพาะในกลุ่มผู้สนใจการฝึกอบรมจิต
๒ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกอบรมจิตนั้น เป็นเพียงค าบอกเล่าในกลุ่ม เฉพาะและเกิดขึ้นกับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น อันเชิญชวนให้สงสัยว่า มีรายละเอียดอย่างไร เป็นเพียง มายาภาพที่สมองจ าลองขึ้นหรือมีข้อเท็จจริงรองรับสิ่งที่ปรากฏ นอกจากนั้น หากมีค าถามจากผู้ไม่เคย ปฏิบัติแต่มีความสนใจต่อสิ่งทีเกิดขึ้นจากการฝึกอบรมจิตว่า “ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏระหว่างการ ฝึกอบรมจิต จะยืนยันด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่การปฏิบัติเพียงวิธีเดียวได้หรือไม่ ค าถามเหล่านี้ มีความน่าสนใจในการคลี่คลายสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล (ปัจจัตตัง) ให้กระจ่าง อย่างน้อยเป็นการตอบรับต่อข้อสงสัยที่เกิดขึ้นและตอบค าถามถึงความเชื่ออย่างมีข้อมูลรองรับ อันจะ ช่วยยกระดับความเชื่ออย่างมีที่ไปที่มา และน าไปสู่สังคมวิชาการศาสนาที่พิสูจน์ได้ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑.๒.๑ เพื่อศึกษาและทบทวนแนวคิดเรื่องการพัฒนาจิต และประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น จากการฝึกฝนอบรมจิตที่มีอยู่ในเนื้อหาพุทธศาสนา ๑.๒.๒ เพื่อศึกษาประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตตาม ค าบอกเล่าของนักปฏิบัติ นักการศึกษาและการทดลองปฏิบัติ ๑.๒.๓ เพื่อวิเคราะห์ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการ ฝึกฝนอบรมจิต ๑.๓ ปัญหาการวิจัย ๑.๓.๑ การฝึกฝนอบรมจิตและประสบการณ์พิเศษในเนื้อหาพุทธศาสนา มีรายละเอียด อย่างไร ๑.๓.๒ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ขณะฝึกฝนอบรมจิตผ่านค าบอกเล่าของเหล่า นักปฏิบัติ มีรายละเอียดอย่างไร ๑.๓.๓ ประสบการณ์พิเศษจากฝึกฝนอบรมจิต มีลักษณะของความมีอยู่อย่างไร ๑.๓.๔ เกิดการเรียนรู้และความตระหนักรู้ในตนอย่างไร
๓ ๑.๔ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๑.๕ ขอบเขตของการวิจัย เนื้อหาหลักของพุทธศาสนา รวมอยู่ในตะกร้า ๓ ใบ รวมหลักเรียกว่า “พระไตรปิฎก” นับได้ จ านวน ๘๔,๐๐๐ หมวด (ธรรมขันธ์) แบ่งเป็น ๓ ส่วนคือ ส่วนที่เป็นข้อปฏิบัติ เรียกว่า “วินัย” เนื้อหา จะกล่าวถึงข้อปฏิบัติของนักบวชในพุทธศาสนา จ านวน ๒๑,๐๐๐ หมวด ส่วนที่ควรเรียนรู้เรียกว่า “สูตร” เนื้อหาจะกล่าวถึงหลักธรรมทั้งที่เป็นพระวจนะโดยตรงของพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก แต่ โดยมากเป็นค าสอนของพระพุทธเจ้าจ านวน ๒๑,๐๐๐ หมวด และส่วนที่เป็นธรรมที่ละเอียดเรียกว่า “อภิธรรม” เนื้อหาจะกล่าวถึงข้อธรรมเชิงลึกคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน จ านวน ๔๒,๐๐๐ หมวด ที่ บันทึกเป็นภาษาบาลีและมีการแปลเป็นภาษาไทยจ านวน ๔๕ เล่ม มีคัมภีร์ชั้นรองเรียกว่า “อรรถ กถา” เพื่ออธิบายเนื้อหาในพระไตรปิฎกจ านวน ๒๓ คัมภีร์ และค าอธิบายขยาย (ฎีกา) ค าอธิบาย ขยายเพิ่ม (อนุฎีกา) ฯลฯ งานที่แต่งขึ้นโดยบุรพาจารย์ (ปกรณ์พิเศษ) หลักภาษาศาสตร์เพื่อการศึกษา วรรณกรรมพุทธศาสนา (สัททาวิเสส) อีกจ านวนหนึ่ง นอกจากนั้นมี ต ารา หนังสือ งานวิจัย ปาฐกถา/ เทศน์ เรื่องเล่า ของเหล่าพุทธบริษัทผู้ใฝ่ใจต่อการศึกษาพุทธศาสนาจัดท าเผยแพร่ทั้งเอกสารและสื่อ ออนไลน์มีกลุ่มผู้นับถือ (นิกาย) หลัก ๒ กลุ่มใหญ่คือ (๑) กลุ่มผู้ยึดถือแนวปฏิบัติของพระเถระรุ่นก่อน หน้านั้นและแนวทางตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก เรียกว่า นิกายเถรวาท/หีนยาน/นิกายฝ่ายใต้(๒) กลุ่มผู้ยึดถือแนวปฏิบัติตามพระไตรปิฎกและประยุกต์วิถีพุทธศาสนาให้สอดคล้องกับบริบท เรียกกลุ่ม นี้ว่า นิกายมหายาน/โพธิสัตวยาน/นิกายฝ่ายเหนือ ในงานวิจัยนี้คัดเลือกศึกษาเฉพาะเนื้อหาที่ว่าด้วย แนวทางในการฝึกฝนอบรมจิต (จิตต ภาวนา) และประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิต ที่มีอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเป็น หลัก ทั้งที่ใช้ภาษาบาลีและภาษาไทยประกอบกัน และข้อมูลที่เรียบเรียงในรูปแบบต ารา หนังสือ ศึกษา -เนื้อหาพุทธศาสนา -ค าบอกเล่าของ เหล่านักปฏิบัติ -การทดลอง ฝึกอบรมจิต วิเคราะห์ ประสบการณ์พิเศษ และปรากฏการณ์ จากการฝึกอบรม จิต การเรียนรู้ ข้อเท็จจริงของประสบการณ์ พิเศษและปรากฏการณ์จาก การฝึกอบรมจิตฯ และความ ตระหนักรู้ในตน
๔ งานวิจัย โดยเฉพาะปาฐกถา/เทศน์และเรื่องเล่า ที่จัดท าเผยแพร่ต่อสาธารณะในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะรูปแบบออนไลน์ และค าให้การสัมภาษณ์จากผู้มีประสบการณ์ในการฝึกอบรมจิต โดยใช้ การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) บูรณาการร่วมกับวิธีการศึกษาด้านจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) ที่ให้ความส าคัญกับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์อย่างใคร่ครวญ เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ในตน ๑.๖ การด าเนินการวิจัย ๑.๖.๑ ขั้นตอนการด าเนินการวิจัยและวิธีการเรียบเรียง ก าหนดโครงสร้างเนื้อหางออกเป็น ๓ ส่วนคือ จิตตภาวนาและประสบการณ์พิเศษในพุทธ ศาสนา ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการจากการฝึกอบรมจิต และความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจาก การฝึกอบรมจิต จิตตภาวนาและประสบการณ์พิเศษในพุทธศาสนา จะเป็นการศึกษาข้อมูลผ่านคัมภีร์หลักใน พุทธศาสนา ตลอดถึงอรรถกถา ต ารา หนังสือ ปาฐกถาของนักปราชญ์ในพุทธศาสนา จัดแบ่งออกเป็น ๒ ชุดคือ แนวทางในการพัฒนาจิต และประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาจิต โดยให้น้ าหนัก ต่อเนื้อหาในคัมภีร์เป็นส าคัญ การเรียบเรียงเนื้อหา มีความพยายามในการถอดภาษาจากภาษาคัมภีร์เป็นภาษาทั่วไป และ จะใส่ศัพท์เฉพาะก ากับไว้ในวงเล็บ ทั้งนี้ มุ่งหวังว่าจะขยายประโยชน์ทางการศึกษาด้านจิตศึกษา ส าหรับผู้ไม่สันทัดภาษาเชิงคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม มีความจ าเป็นต้องรักษารูปศัพท์เดิมไว้ ในกรณีที่ไม่ สามารถหาภาษาทั่วไปมาแทนได้ จะใช้โครงสร้างการแปลดังนี้ จิตตภาวนาและ ประสบการณ์พิเศษใน พุทธศาสนา ประสบการณ์พิเศษและ ปรากฏการณ์จากการ ฝึกอบรมจิต ความมีอยู่ของสิ่งที่ ปรากฏจากการฝึกอบรม จิต ภาษาคัมภีร์ ภาษาทั่วไป ภาษาบาลี ภาษาไทย แปลรักษารูปศัพท์/พยัญชนะ แปลรักษาความ แสวงหาภาษาทั่วไป
๕ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการจากการฝึกอบรมจิต จะเป็นการศึกษาข้อมูลผ่านค าบอก เล่าจากถ้อยค าของเหล่านักปฏิบัติ แต่จะน าเนื้อหาพื้นฐานที่ส าคัญอันสัมพันธ์กับประสบการณ์พิเศษ และปรากฏการจากการฝึกฝนอบรมจิตของเหล่านักปฏิบัติมาตั้งก่อนจะวิเคราะห์เนื้อหาจากถ้อยค า ของเหล่านักปฏิบัติและถอดบทเรียนการเรียนรู้ในตน จึงมีเนื้อหา ๓ ชุดคือ เนื้อหาเชิงคัมภีร์ว่าด้วย แนวคิดส าคัญของประสบการณ์พิเศษฯ เนื้อหาจากถ้อยค าของนักปฏิบัติแบ่งออกเป็น นักปฏิบัติชั้นครู นักการศึกษา/ผู้ก าลังเรียนรู้ และประสบการณ์การทดลองปฏิบัติของผู้วิจัย และถอดบทเรียนจาก กรณีศึกษา ส่วนนี้จะให้น้ าหนักกับประสบการณ์พิเศษและปรากฏการจากการฝึกอบรมจิตจากนัก ปฏิบัติอนึ่ง การถอดบทเรียนจะใช้โครงสร้างดังนี้ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต จะเป็นการวิเคราะห์ถึงความมีอยู่ของสิ่งที่ ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต กรณีที่มีอยู่จริง บุคคลอาจตรวจสอบได้มากกว่า ๑ วิธีหรือไม่ ใน ตอนท้ายของเนื้อหาจะเป็นข้อสังเกตและความตระหนักรู้ในตน จากนั้นจะเป็นถอดสาระส าคัญของเนื้อหาทั้ง ๓ ส่วน ให้เหลือเนื้อหาใน ๑ ชุด เพื่อตอบ วัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ก าหนดไว้ทั้ง ๓ ข้อ เนื้อหาเชิงคัมภีร์ ประสบการณ์จากการฝึกอบรมจิต ข้อค้นพบ เชิงอ้างอิง ประสบการณ์พิเศษที่มี อยู่จากการฝึกอบรมจิต จิตตภาวนาและ ประสบการณ์พิเศษใน พุทธศาสนา ประสบการณ์พิเศษและ ปรากฏการณ์จากการ ฝึกอบรมจิต ความมีอยู่จริงของสิ่งที่ ปรากฏจากการฝึกอบรม จิต
๖ การเรียบเรียงเนื้อหา จะแบ่งออกเป็น ๕ บท มี ๓ ส่วนคือ (๑) ส่วนที่เป็นบทน า จะเป็น กล่าวถึงโครงสร้างของการวิจัยเรื่อง “จิตตภาวนา: ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการ ฝึกอบรมจิต” เริ่มตั้งแต่เหตุผลในการท าวิจัย วิธีการด าเนินการวิจัย ผลที่คาดว่าจะได้รับ จนถึงนิยาม ศัพท์ที่ใช้ในงานวิจัยนี้ (๒) ส่วนรายละเอียดของเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนตามเนื้อหาที่แบ่ง สัดส่วนไว้ และ (๓) ส่วนสรุปและข้อเสนอแนะ อย่างไรก็ตาม จะมีการจัดท าแยกอีกฉบับหนึ่งเพื่อการ ตีพิมพ์ ฉบับนี้คือการถอดบทเรียนอันเป็นสาระส าคัญจากเนื้อหาทั้ง ๓ ส่วน มาเรียบเรียงให้ตอบโจทย์ วัตถุประสงค์ทั้ง ๓ รวมเป็น ๑ หน่วยองค์ความรู้ ๑.๖.๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา อุปกรณ์ที่เอื้อต่อการวิจัยจะเป็น คัมภีร์ ต ารา งานวิจัย หนังสือ ค าสอน ปาฐกถา ค าบรรยาย การสอบทานความรู้ที่ผลิตผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งงานสิ่งพิมพ์และ สื่ออิเลกทรอนิกส์ โดยเฉพาะเนื้อหาที่แพร่หลายและเข้าถึงไม่ยากในเวลานี้คือ ยูทูป (YouTube) และ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่เป็นข้อมูลสัมภาษณ์ ผู้วิจัยได้ออกแบบ สัมภาษณ์จ านวน ๑ ชุด เพื่อวางกรอบกว้างๆในการสัมภาษณ์เชิงลึก ประกอบด้วย ๓ หัวข้อคือ (๑) แนวทางในการฝึกอบรมจิต (๒) ประสบการณ์พิเศษจากการฝึกอบรมจิตและปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะฝึกอบรมจิต (๓) ความคิดเห็นที่มีต่อประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกอบรมจิต ส่วนกลุ่มตัวอย่างในการให้การสัมภาษณ์จะเป็นกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงผ่านข้อเสนอของบุคคล และ กลุ่มตัวอย่างที่เข้ามาแบบบังเอิญระหว่างการท าวิจัย/ความประจวบเหมาะของโอกาส ก าหนดที่ ๘ คน บันทึกเสียงด้วยโทรศัพท์ และถอดเป็นข้อความพิมพ์ลงในกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ก่อนสกัดมาเฉพาะ เนื้อหาที่ส าคัญ ในการวิเคราะเนื้อหาจะให้ความส าคัญกับเครื่องมือทางปรัชญา ๒ แบบคือ การใช้ เหตุผลแบบนิรนัย (Deduction) และ การใช้เหตุผลแบบอุนัย (Induction) ในส่วนของการถอด บทเรียน จะใช้โครงสร้างคือ ส่วนภาษาและการเรียบเรียงเนื้อหา ผู้วิจัยจะพยายามแปลภาษา/แปลศัพท์ที่เป็นศัพท์เฉพาะ ทางศาสนาให้เป็นภาษาทั่วไป โดยมีวิธีการดังนี้คือ ศัพท์เฉพาะทางศาสนา → ศึกษารากศัพท์ ที่มา สาระส าคัญ/เนื้อหา การจ าลองตน/การพินิจอย่างใคร่ครวญเพื่อ สร้างประสบการณ์/เทียบเคียงประสบการณ์ ความ ตระหนักรู้
๗ ของศัพท์ ไวยากรณ์ และความหมาย → เทียบเคียงความหมายจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น พจนานุกรม → แปลโดยถือเอาความหมาย/แปลโดยอรรถ → แปลงเป็นภาษาทั่วไป เหตุผลของการพยายามใช้ภาษาทั่วไปคือ (๑) ภาษาศาสนาเป็นภาษาที่ใช้ในวัฒนธรรมทาง ศาสนานั้น ๆ และดูเหมือนแต่ละศาสนาจะพยายามใช้ศัพท์ทางศาสนาเป็นเครื่องมือในการผดุงความ เป็นศาสนาแบบเดิม ในระบบการศึกษาใหม่ สังคมขยายตัวกว้างขึ้น จ านวนหนึ่งของคนผู้ใฝ่เรียนรู้ ไม่ ได้มาจากวัฒนธรรมทางศาสนา จึงยากต่อการท าความเข้าใจภาษาที่ศาสนาใช้อยู่ (๒) ภาษาเป็นสิ่ง ส าคัญในการสื่อสาร แต่ภาษาก็ไม่สามารถจะบอกทั้งหมดของสิ่งที่ก าลังกล่าวถึง ถ้าภาษาที่ใช้มีความ ยากและ/หรือต้องแปลซ้ า อาจส่งผลต่อความยากในการท าความเข้าใจสาระส าคัญของเนื้อหา อย่างไร ก็ตาม กรณียากต่อการจะแปลงเป็นภาษาทั่วไป จะยังคงใช้ศัพท์เฉพาะทางศาสนา การอ้างอิงจะใช้อ้างอิงแบบฟุตโน้ต (Footnote) ใน ๒ แบบคือ (๑) กรณีอ้างอิงท้ายหน้า หน้ากระดาษ จะเป็นการเสริมค าอธิบายเพิ่ม (๒) กรณีอ้างอิงท้ายเนื้อหา/ท้ายเรื่อง/ท้ายบท จะเป็น การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล เหตุผลที่ใช้การอ้างอิงแบบนี้ เพื่อเลี่ยงความสะดุดในการอ่านเนื้อหาที่ มีการอ้างอิงคั่นในเนื้อหา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ประสงค์จะตรวจสอบแหล่งที่มา สามารถตรวจสอบได้จาก อ้างอิงท้ายเนื้อหา๑ ๑.๗ สิ่งที่คาดว่าจะได้รับ ๑.๗.๑ องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) และความมีอยู่ของประสบการณ์ พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตอย่างมีที่ไปที่มา ๑.๗.๒ องค์ความรู้ที่ใช้ในการเตรียมความพร้อมในการฝึกฝนอบรมจิตและระหว่างการฝึกฝน อบรมจิตส าหรับผู้สนใจในศาสตร์การพัฒนาจิต/จิตตศึกษา/จิตศึกษา โดยไม่หลงอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ระหว่างการพัฒนาจิต จะคือ ความรู้ที่กระตุ้นเตือนผู้พัฒนาจิตไม่ให้ประมาทในการฝึกอบรมจิตสู่ เป้าหมายที่แท้จริง ๑.๗.๓ เอกสารอ้างอิงเชิงวิชาการของประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิต ๑ เดิมทีเดียว ผู้วิจัยจัดพิมพ์ทีละบทแบบแยกไฟล์ การอ้างอิงจะอยู่หน้าสุดท้ายของบท ต่อเมื่อมีการรวมทั้ง ๕ บทเป็นไฟล์เดียวกัน การอ้างอิงจึงไปรวมอยู่ที่หน้าสุดท้ายของบทที่ ๕ และมีเส้นขีดให้รกสายตา ผู้วิจัยพยายาม ค้นคว้าเพื่อแก้ปัญหานี้แต่ไม่สามารถจะท าได้ จึงปล่อยให้รูปแบบเป็นไปตามที่โปรแกรมพิมพ์ก าหนดไว้
๘ ๑.๘ นิยามศัพท์เฉพาะ ในงานวิจัยเรื่อง จิตตภาวนา: ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกอบรมจิต มี ศัพท์จ านวนหนึ่งที่น ามาใช้กับงานวิจัยเรื่องนี้มีความหมายที่อาจเหมือนและแตกต่างจากเอกสารอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อก าหนดความหมายเฉพาะในงานวิจัยนี้ จึงขอนิยามศัพท์ดังต่อไปนี้ จิตตภาวนา หมายถึง การพัฒนาจิต / การฝึกฝนอบรมจิต จะใช้ค าว่า “การพัฒนาจิต” ในกรณีทั่วไปแบบกว้าง จะใช้ “การฝึกฝนอบรมจิต” ในกรณีบ่งชี้ถึงการปฏิบัติของ บุคคล และจะรักษาค าว่า จิตตภาวนา ในกรณีรวมแนวปฏิบัติ หลักการ วิธีการ องค์ความรู้ เข้าด้วยกัน ประสบการณ์พิเศษ หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต (จิตตภาวนา) เช่น ความสดชื่น การล่วงรู้ความคิดของผู้อื่น การสื่อสารกับคนที่ตายไปแล้ว ความน้อยลงของกิเลส เป็นต้น อันมีลักษณะแตกต่างจากบุคคลทั่วไป ปรากฏการณ์ขณะฝึกฝนอบรมจิต หมายถึง สิ่งที่ปรากฏขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิต ปรากฏการณ์ ดังกล่าวนี้เป็นปรากฏการณ์ที่แตกต่างจากสภาพปกติทั่วไป เช่น พื้นที่ใช้เดิน มีความเรียบเป็นปกติ แต่ ผู้เดินรับรู้ว่าพื้นไม่เรียบ ความรู้สึกว่าร่างลอยขึ้นทั้งที่ร่างยังอยู่ที่เดิม เป็นต้น นักปฏิบัติ หมายถึง บุคคลที่เคยผ่านฝึกฝนอบรมจิตมาก่อน ทั้งในแง่ของความ มุ่งมั่นเพื่อไปสู่เป้าหมายสุดท้าย การปฏิบัติชั่วคราว และการทดลองปฏิบัติ เป็นค าที่ใช้แบบรวมๆ ส าหรับผู้ฝึกฝนอบรมจิต ข้อความ หมายถึง เนื้อหาหนึ่งๆ ใจความหนึ่งๆ หรือชุดข้อมูลหนึ่งๆ นักบวช หมายถึง ภิกษุในพุทธศาสนา/พระในพุทธศาสนา ค านี้ใช้ใน ความหมายกลางไม่ใช่ความหมายแบบเฉพาะ และปลอดจากความรู้สึกลบหรือบวก ภาษาศาสนา หมายถึง ภาษาที่ใช้ผ่านศัพท์เฉพาะที่ใช้ในวัฒนธรรมศาสนานั้น ๆ และยากต่อการเข้าใจของคนที่อยู่ต่างวัฒนธรรม ในงานวิจัยนี้คือ ภาษาทางพุทธศาสนา ศัพท์เฉพาะทางศาสนา หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เฉพาะในศาสนานั้น ๆ แต่จะไม่มีใช้ในศาสนาที่ ต่างกัน กรณีมีใช้ในศาสนาที่ต่างกัน จะมีความหมายที่ไม่สมมาตรกัน
๙ บทที่ ๒ การพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) และประสบการณ์พิเศษในพุทธศาสนา บทนี้จะเริ่มต้นด้วยการท าความเข้าใจเนื้อหาการฝึกฝนอบรมตน (ภาวนา) ในฐานะองค์ความรู้ ด้านการพัฒนาตน โดยเฉพาะ การอบรมจิต (จิตตภาวนา) ที่มีความส าคัญไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาตน ในด้านอื่น ๆ จากนั้นจะพิจารณาถึงประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์อันเกิดจากการพัฒนาจิตที่มี การกล่าวถึงในเนื้อหาทางพุทธศาสนา เอกสารหลักที่น ามาใช้จะคือพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์ส าคัญ ทางพุทธศาสนา อรรถกถา ค าอธิบายและทัศนะของเหล่าผู้ศึกษาและนักปฏิบัติรุ่นถัดมาที่มีการบันทึก ในรูปแบบสื่อเพื่อการเผยแพร่ต่อสาธารณะทั้งเอกสารและข้อความเสียง ทั้งนี้เพื่อจะพิจารณาว่า การ พัฒนาตนโดยเฉพาะการพัฒนาจิตในเนื้อหาทางพุทธศาสนามีลักษณะอย่างไร? และ เนื้อหาทางพุทธ ศาสนาระบุถึงประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกจิตไว้อย่างไร? ๒.๑ แนวคิดเรื่องจิตตภาวนา พุทธศาสนาระบุถึงการฝึกฝนอบรมตนด้วยศัพท์ “ภาวนา” ศัพท์นี้ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)๑ แปลไว้ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ว่า “การเจริญ, การท าให้เป็นให้มีขึ้น, การ บ าเพ็ญ” ศัพท์ภาษาอังกฤษที่น ามาใช้คือ “Cultivation, training, development” ๒ ค าว่า “ภาวนา” ในภาษาไทยจะมีภาพของการวิงวอน การอธิษฐานจิต การหลับตาอยู่นิ่งๆ เพื่อให้ส าเร็จผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ภาษาอังกฤษที่ใช้ในแง่นี้คือ “Pray” จะคือความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้กระท ากับผลที่คาดหวัง ภาวนา (development) ที่พุทธศาสนากล่าวถึงมีอยู่ ๔ อย่างคือ การพัฒนากาย (กาย ภาวนา) การพัฒนาศีล (สีลภาวนา) การพัฒนาจิต (จิตภาวนา) และการพัฒนาปัญญา (ปัญญาภาวนา)๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อธิบายว่า การพัฒนากายคือการฝึกอบรมกาย ให้รู้จักเกี่ยวข้องกับ สิ่งภายนอกทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และมีท่าทีต่อสิ่งนั้นในทางที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่โทษ ให้ความดี งามเกิดขึ้น โดยรวมคือการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical development) การพัฒนาศีลคือการฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่ก่อความเดือดร้อน เสียหายและการอยู่กับผู้อื่นอย่างเกื้อกูลกัน การพัฒนาจิตคือการอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง มีคุณธรรม เช่น ความเมตตากรุณา ความอดทน ฯลฯ เจริญงอกงาม มีจิตใจเบิกบานผ่องใส และการพัฒนาปัญญา คือการอบรมปัญญา เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ตามจริง เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกและชีวิต แก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นด้วยปัญญา จัดการตนให้ปลอดจากความทุกข์๔
๑๐ จากค าอธิบายนี้ จะเห็นถึง “การกระท า” ที่มากกว่าการอธิษฐานจิต และเห็นการกระท าที่ เกิดจากความสามารถในตนมากกว่าการร้องขอความส าเร็จ และความส าเร็จมีที่มาจากความพยายาม แห่งตน พุทธศาสนาเห็นว่า “ตน” ที่หมายถึง “ชีวิต” ประกอบจาก ๒ ส่วนคือ ร่างกาย (รูปและสิ่ง สัมพันธ์กับรูป) และจิตใจ (นามและสิ่งที่ที่ประกอบเข้ากับนาม) หมวดความรู้ชุดนี้เรียกว่า “ขันธ์” มี อยู่ ๕ ประการคือ ร่างกาย (รูป) ความรู้สึก (เวทนา) ความจ า (สัญญา) ความคิดปรุงแต่ง (สังขาร) และ ความชัดเจนต่อสิ่งที่สัมผัส (วิญญาณ) โดยจัดรูปเป็นรูป และจัดส่วนที่เหลือเป็นนาม เรียกรวมกันว่า “รูปนาม” หากมองจากภาวนาที่กล่าวถึง การพัฒนากายต้องอาศัยเครื่องมือคือศีลเป็นตัวหลักและอาศัย ปัญญาในการหาทางเพื่อให้กายอยู่ในกรอบของศีล และการพัฒนาจิตต้องอาศัยเครื่องมือคือปัญญา เป็นตัวหลักและอาศัยศีลเพื่อรักษาใจให้รับรู้ว่ามีความบริสุทธิ์และกายกับจิตเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา ร่วมกันและต่างฝ่ายต่างอิงกันและกัน สอดคล้องกับที่ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้ความเห็น ว่า การท างานของจิตใจอาศัยระบบของร่างกาย และภาวะจิตใจมีความสัมพันธ์ส่งผลต่อกันกับระบบ ของร่างกาย๕ ๒.๒ จิตและการพัฒนา ๒.๒.๑ ความส าคัญของการพัฒนาจิต พุทธศาสนาเห็นว่า จิตเดิมแท้นั้นสวยงาม/เปล่งปลั่ง (ปภสฺสรมิท ภิกฺขเว จิตฺต ...) แต่การที่จิต เศร้าหมองก็เพราะสิ่งเศร้าหมองครอบง า (อุปกิเลส)๖ สิ่งเศร้าหมองทางจิตประกอบด้วย ความอยากได้ (โลภะ) การคิดร้าย (พยาบาทะ) ความโกรธเคือง (โกธะ) การผูกใจโกรธ (อุปนาหะ) การลบหลู่ (มักขะ) การยกตนเทียบ (ปลาสะ) ริษยา (อิสสา) ตระหนี่ (มัจฉริยะ) หลอกลวง (มายา) โอ้อวด (สาเถยยะ) ดื้อ รั้น (ถัมภะ) มุ่งเอาชนะ (สารัมภะ) ถือตน (มานะ) ลุ่มหลง (มทะ) และเลินเล่อ/เผลอสติ (ปมาทะ) ๗ โดยสรุปจะมีอยู่ ๓ ส่วนคือ ความอยากได้ (โลภะ) การคิดประทุษร้าย (โทสะ) และความหลง (โมหะ)๘ ชีวิต/ตน ขันธ์ รูปนาม ร่างกาย รูป รูป จิตใจ ความรู้สึก ความจ า การปรุงแต่ง ความชัดเจนต่อสิ่งที่สัมผัส นาม
๑๑ อันเป็นรากเหง้าของพฤติกรรมที่ไม่ดี (อกุศลมูล) ที่แนวคิดทางพุทธศาสนามองว่า คือต้นตอของความ เสื่อมจากสิ่งดีงาม ดังนั้นจึงจะต้องมีการจัดการสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) เหล่านั้น เพื่อให้จิตไปสู่จิตเดิมแท้ ที่งามประกายและเป็นความสุขแบบยั่งยืน วิธีการจัดการจิตเรียกว่า “จิตตภาวนา” พุทธทาสภิกขุ ให้ความเห็นว่า จิตตภาวนา แปลว่า การท าให้จิตเจริญ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิภาวนา แปลว่า การท าให้เกิดคุณค่าด้วยอ านาจของสมาธิ เมื่อพิจารณาแบบแยก ในส่วนจิตจะ เป็นเรื่องของความสงบ (สมถะ) และในส่วนปัญญาจะเป็นเรื่องของการเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) โดยรวมคือ การท าให้เกิดคุณประโยชน์ด้วยการท าจิตให้เป็นสมาธิ๙ ทัศนะนี้สอดคล้องกับที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวไว้ว่า การมีจิตยึดกับสิ่งที่ดีที่สุด ระลึกถึงพระรัตนตรัย อยู่กับบุญกุศล เป็นการใช้ วิธีการในระดับจิตใจ เรียกว่า ระดับสมถะ และการมีจิตที่มีปัญญา สว่างแจ้ง รู้เข้าใจมองเห็นความจริง แล้ววางไว้หมด ไม่ยึดเลย คือระดับสติปัญญา เรียกว่า วิปัสสนา๑๐ อย่างไรก็ตาม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ยังชี้ให้เห็นว่า สภาพจิตที่ผ่านกระบวนการพัฒนาไปสู่จิตใจที่ดีงามนั้น ควรเริ่มจาก (๑) คุณภาพจิต คือ คุณธรรม เช่น ความเมตตา กรุณา เห็นใจ เอื้อเฟื้อ กตัญญู เป็นต้น (๒) สมรรถภาพจิต คือ ความเพียรพยายาม ความเข้มแข็ง อดทน ใฝ่รู้ รับผิดชอบ มีสติ การยับยั้งชั่งใจ สมาธิฯลฯ อันเป็น คุณสมบัติที่ส าคัญของจิตใจ และ (๓) สุขภาพจิต คือสภาพจิตที่ดี เช่น ความอิ่มใจ ปลื้มใจ ร่าเริง สดใส สงบเย็น ผ่อนคลาย ฯลฯ๑๑ ในคัมภีร์พุทธศาสนา ได้ระบุความส าคัญของการพัฒนาจิตไว้จ านวนหนึ่ง เช่น ธรรมชาติของ จิตคือดิ้นรน จิตที่ฝึกดีแล้วน าความสุขมาให้(ผนฺทน จปล จิตฺต ...จิตฺต ทนฺต สุขาวห ), ปัญญาจะไม่ บริบูรณ์ต่อผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น (อนวสฺสุตจิตฺตสฺส...ปญฺญา น ปริปูรติ)๑๒ เป็นต้น จาก ๒ ตัวอย่างนี้ จะเห็น ถึงเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนาจิตคือความสุข และปัญญาที่จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาจิต เป็นอย่างดีแล้ว คัมภีร์พุทธศาสนาได้ระบุถึงความสุข ๑๐ ส่วน/ชั้น เริ่มตั้งแต่ความสุขอันมีที่มาจากประสาท สัมผัสทั้ง ๕ (กามคุณ ๕) ความสุขที่เกิดจากการเพียรเพ่งเพื่อการฝึกฝนจิตให้นิ่งมั่นคง (ฌาน) ความสุขเกิดจากการฝึกฝนจิตขั้นสูง จิตประณีต สงบ (สมบัติ) จนถึงภาวะแห่งการดับความรู้สึกและ การหมายรู้ (เวทนาและสัญญา / สัญญาเวทยิตนิโรธสมาปัตติสุข)๑๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺ โต) ได้ย่อความสุขลง ๓ ระดับคือ (๑) ความสุขเนื่องด้วยกาม (๒) ความสุขเนื่องด้วยฌานมี ๒ ส่วนคือ สุขในภาวะที่จิตสงบนิ่งจากการเพ่งรูป (รูปฌาน) และสุขในภาวะที่จิตสงบนิ่งจากการเพ่งสิ่งไม่มีรูป (อรูปฌาน) (๓) ความสุขเนื่องด้วยนิโรธสมาบัติ๑๔ ขณะที่พระมหาวิเชียร สุธีโร ได้ศึกษาเรื่องความสุข ในทัศนะของพระพุทธศาสนา ได้ย่อความสุขเหลือ ๓ ส่วนเช่นกันคือ (๑) ความสุขเนื่องด้วยกาม (กาม สุข) (๒) ความสุขเนื่องด้วยฌาน (ฌานสุข) และ (๓) สุขเนื่องด้วยนิพพาน (นิพพานสุข)๑๕ และสามารถ สรุปเหลือความสุขใน ๒ แบบเท่านั้นคือ (๑) ความสุขที่สัมพันธ์ทางกายภาพ (กายิกสุข/อามิสสุข) (๒) ความสุขอันเกิดจากการฝึกจิต (เจตสิกสุข/นิรามิสสุข) การจะให้ความสุขเกิดขึ้น โดยเฉพาะความสุข
๑๒ เนื่องด้วยการเพียรเพ่งเพื่อการฝึกฝนจิตให้นิ่งมั่นคง (ฌาน) และความสุขคือ ความสงบเย็น (นิพพาน) / การเข้าถึงความดับ (นิโรธสมาบัติ) พุทธศาสนามองว่า ปัญญาคือสิ่งส าคัญ อาจพิจารณาผ่านข้อความ ต่อไปนี้ ...ฌานจะไม่มีแก่ผู้ไร้ปัญญา ปัญญาจะไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแหละอยู่ใกล้นิพพาน (...นตฺถิ ฌาน อปญฺญสฺส ปญฺญา นตฺถิ อฌายโต ยมฺหิ ฌานญฺจ ปญฺญา จ ส เว นิพฺพานสนฺติเก.)๑๖ ในปัญญา ๓ แบบที่พุทธศาสนาระบุไว้คือ (๑) ปัญญาที่เกิดการการคิด (จินตามยปัญญา) (๒) ปัญญาที่เกิดจากการฟัง (จินตามยปัญญา) และ (๓) ปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝนอบรม (ภาวนามย ปัญญา)๑๗ ปัญญาที่ส าเร็จมาจากการฝึกอบรมคือปัญญาที่สัมพันธ์กับความสุขที่เกิดจากการเพียรเพ่ง เพื่อการฝึกฝนจิตให้นิ่งมั่นคง (ฌาน) ๒.๒.๒ รูปแบบการพัฒนาจิต จากเนื้อหาข้างต้น จะมองเห็นระบบคิดที่ว่าจิตที่กวัดแกว่ง ไม่นิ่ง มีพลังที่จะสร้างสิ่งดีงาม ให้แก่ตนเองและสังคมไม่เท่ากับจิตที่นิ่ง ตั้งมั่ง มุ่งมั่น และจ านวนหนึ่งของจิตที่กวัดแกว่งคือจิตที่ถูก ครอบง าจากรากเง่าที่ไม่ดี (อกุศลมูล) จึงมองว่า จิตแบบนี้เป็นจิตที่มีปัญหา ดังนั้น ต้องหาแนวทางใน การขจัดคราบความไม่สะอาดที่เกาะกุมจิตไว้ให้ออกไปเพื่อให้เหลือจิตดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ รูปแบบอันเป็นแนวทางในการพัฒนาจิตที่พุทธศาสนาเสนอและนักปฏิบัติทางศาสนานิยม เรียกว่า “กัมมัฏฐาน” โดยรวมจะคือการการฝึกให้จิตนิ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งและการมีสติและความ รู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) อย่างเท่าทันต่อสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้ ศัพท์ว่า “กัมมัฏฐาน” เป็นภาษาบาลีอักษรไทย หากเขียนเป็นภาษาสันสกฤตอักษรไทยจะได้ ศัพท์ว่า “กรรมฐาน” แปลว่า ที่ตั้งแห่งการงาน/ฐานที่มั่นของการกระท า/ฐานะแห่งงานที่จะท า ศัพท์ ที่ใช้ทั่วไปในการสื่อสารด้วยภาษาไทยเช่น การพัฒนาจิต การปฏิบัติธรรม การฝึกจิต เป็นต้น ปัญหาที่ น่าพิจารณาคือ อะไรคือที่ตั้ง อะไรคือการงาน ที่ตั้งกับการงานมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ค าว่า “ที่ตั้ง” ตรงกับศัพท์ว่า “ฐาน” ในที่นี่หมายถึง “สิ่งอันเป็นแรงจูงใจ (อารมณ์)” ของ การฝึกจิต ส่วนค าว่า “การงาน” ตรงกับศัพท์ว่า “กัมมะ” หมายถึง การที่จิตเข้าไปใส่ใจกับสิ่งอันเป็น แรงจูงใจ ที่ตั้งกับการงาน จึงมีความสัมพันธ์กันในฐานะการฝึกฝนจิตหรือการฝึกสมาธิต้องอาศัยสิ่ง เหนี่ยวรั้งใจ/อารมณ์ของที่จิตจะจับไว้การฝึกฝนอบรมจิตคือการงานของจิต
๑๓ พุทธศาสนาแบ่งการพัฒนาจิตที่เรียกว่า “กัมมัฏฐาน” ออกเป็น ๒ ส่วนคือ (๑) การพัฒนาจิต ระดับความสงบใจ (สมถกัมมัฏฐาน) และ (๒) การพัฒนาจิตเพื่อการรู้ชัด/ให้เกิดปัญญา (วิปัสสนา กัมมัฏฐาน)๑๘ เนื้อหาในพุทธศาสนาระบุว่า การพัฒนาจิตระดับความสงบใจ คือ พื้นฐานสู่การพัฒนาจิตเพื่อ การรู้ชัด/ให้เกิดปัญญา (วิปัสสนา) อย่างไรก็ตาม จะพบว่า ในการพัฒนาจิตตามแบบกัมมัฏฐานนั้น ไม่ จ าเป็นต้องมีฐานอย่าง “การพัฒนาจิตระดับความสงบใจ (สมถกัมมัฏฐาน)” ก่อนได้ เช่น กลุ่มผู้มีจิต บริสุทธิ์จากกิเลส ประเภท พัฒนาจิตด้วยปัญญาล้วน (สุกขวิปัสสกะ/พระอรหันต์สุกขวิปัสสกะ)๑๙ หรือผู้ไกลจากกิเลส (อรหันต์) ที่ผ่านการบ าเพ็ญวิปัสสนาล้วน สิ่งที่น่าพิจารณาเพื่อความเข้าใจเพิ่มเติมคือ ค าว่า “วิปัสสนา” กับ “ภาวนา” มีความแตกต่าง หรือเหมือนกันอย่างไร เมื่อแปลตามศัพท์ ค าว่า “วิปัสสนา” แปลว่า การเห็นแจ้งชัด หมายถึง เห็น ชัดเจนในสัดส่วนของชีวิต (ขันธ์ ๕) ตามความเป็นจริงบนพื้นฐานของลักษณะที่เป็นจริง ๓ ประการ (ไตรลักษณ์)๒๐ ส่วนค าว่า “ภาวนา” แปลว่า การท าให้เจริญขึ้น หมายถึง การฝึกอบรมตนเพื่อให้เกิด ความเจริญงอกงาม ในพุทธศาสนาคือความเจริญงอกงามทั้งส่วนที่เป็นจิตและส่วนที่เป็นปัญญา๒๑ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความเหมือนกัน ทั้งวิปัสสนาและภาวนา ครอบคลุมความเจริญงอกงามใน การพัฒนาตนให้สูงขึ้น ขณะที่วิปัสสนาจะระบุตรงไปที่การพัฒนาปัญญา ส่วนภาวนานั้น ให้ ความหมายกว้างๆทั้งจิตและปัญญา แต่ทั้งสองคือการพัฒนาจิต/ตนให้เจริญงอกงาม รูปแบบการพัฒนาจิตมี ๔๐ แบบ แบ่งเป็น ๗ กลุ่มคือ (๑) วัตถุจูงใจ (กสิณ) ๑๐ อย่าง (๒) ความไม่สวยงามของศพ/ความเป็นจริงของศพ (อสุภะ) ๑๐ อย่าง (๓) สิ่งที่ควรระลึก (อนุสติ) ๑๐ อย่าง (๔) การแผ่ความรู้สึกดีรอบด้าน/การแผ่ความดีแบบหาประมาณไม่ได้ (อัปปมัญญา) ๔ อย่าง (๕) การพิจารณาความเป็นสิ่งปฏิกูลในอาหาร (อาหาเร ปฏิกูลสัญญา) ที่หลากหลาย (๖) การพิจารณาเห็น ความเป็นธาตุดั้งเดิมของร่างกาย (ธาตุววัฏฐาน) และ (๗) การพิจารณาเห็นสิ่งไร้รูป (อรูป) ๔ อย่าง๒๒ มีรายละเอียดดังนี้ วัตถุจูงใจ (กสิณ) ประกอบด้วย (๑) ดิน (ปฐวีกสิณ) (๒) น้ า (อาโปกสิณ) (๓) ไฟ (อาโปกสิณ) (๔) ลม (วาโยกสิณ) (๕) สีเขียว (นีลกสิณ) (๖) สีเหลือง (ปีตกสิณ) (๗) สีแดง (โลหิตกสิณ) (๘) สีขาว (โอทาตกสิณ) (๙) แสงสว่าง (อาโลกกสิณ) และ (๑) ความว่างเปล่า (อากาสกสิณ) ความไม่สวยงามของศพ/ความเป็นจริงของศพ (อสุภะ) ประกอบด้วย (๑) ร่างของศพที่ขึ้นอืด (อุทธุมาตกะ) (๒) ศพเขียวคล้ า (วินีลกะ) (๓) ศพมีน้ าเหลืองไหลออก (วิปุพพกะ) (๔) อวัยวะของศพที่ ตัดขาดออกจากกัน (วิจฉิททกะ) (๕) ศพที่ถูกสัตว์กัดแทะ (วิกขายิตกะ) (๖) ศพที่มีอวัยวะเรี่ยราด กระจาย (วิกขิตตกะ) (๗) ศพที่ถูกสับฟันแยกเป็นท่อนใหญ่น้อยออกจากกัน (หตวิกขิตตกะ) (๘) ศพที่ มีเลือดอาบทั่วตัว (โลหิตกะ) (๙) ศพที่มีแต่หนอนยั้วเยี้ย (ปุฬุวกะ) และ (๑๐) ศพที่เหลือแต่โครง กระดูก (อัฏฐิกะ)
๑๔ สิ่งที่ควรระลึก (อนุสติ) ประกอบด้วย (๑) การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสติ) (๒) การระลึกถึงคุณของพระธรรม (ธัมมานุสติ) (๓) การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ (สังฆานุสติ) (๔) การ ระลึกถึงศีลธรรมที่เคยถือสัตย์รักษาปฏิบัติ (สีลานุสติ) (๕) การระลึกถึงความเสียสละเพื่อประโยชน์ ต่าง ๆ (จาคานุสติ) (๖) การระลึกถึงเทวดา (เทวตานุสติ) (๗) การระลึกถึงความตาย (มรณานุสติ) (๘) สติรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในร่างกาย (กายคตาสติ) (๙) สติรับรู้ลมหายใจ (อานาปานสติ) และ (๑๐) การระลึก ถึงความสงบที่เคยได้รับ (อุปสมานุสติ) การแผ่ความรู้สึกดีรอบด้าน/การแผ่ความดีแบบหาประมาณไม่ได้ (อัปปมัญญา) ประกอบด้วย (๑) แผ่ความรักและปรารถนาดี (เมตตา) (๒) มองเห็นความทุกข์ยากของทุกชีวิตและมีจิตคิดเอื้อเฟื้อ (กรุณา) (๓) ชื่นชมยินดีต่อทุกชีวิตที่สามารถประคองตนเองจากทุกข์ทั้งหลายได้ (มุทิตา) (๔) มองเห็น ความเป็นไปของชีวิตตามที่ควรเป็น พร้อมจะช่วยเหลือตามฐานะเมื่อได้รับการร้องขอ โดยไม่ แทรกแซง (อุเบกขา) การพิจารณาความเป็นของปฏิกูลในอาหาร (อาหาเร ปฏิกูลสัญญา) ที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ การแสวงหาอาหารบริโภคแต่พอประทังชีวิต/พอประมาณ มองเห็นความไม่สวยงามของอาหารที่เคี้ยว ผสมอยู่ในปาก กลืนลงไปในท้อง เปลี่ยนเป็นกากใยที่ถ่ายออกมา การพิจารณาเห็นความเป็นธาตุดั้งเดิมของร่างกาย (ธาตุววัฏฐาน) ประกอบด้วย (๑) ธาตุดิน (ปฐวีธาตุ) เช่น ผม ขน ฟัน เล็บ หนัง (๒) ธาตุน้ า (อาโปธาตุ) เช่น หนอง เลือด ไขข้อ ปัสสาวะ (๓) ธาตุลม (วาโยธาตุ) เช่น ลมในกระเพาะ ลมหายใจ ลมในล้ าไส้ และ (๔) ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) คืออุณหภูมิ ในร่างกาย การพิจารณาเห็นสิ่งไร้รูป (อรูป) ประกอบด้วย (๑) การก าหนดรู้อากาศ/ช่องว่างเป็นแรงจูงใจ/ อารมณ์ (อากาสานัญจายตนะ) (๒) การก าหนดรู้วิญญาณเป็นแรงจูงใจ/อารมณ์ (วิญญาณัญจายตนะ) (๓) การก าหนดรู้ความไม่มีอะไรเลยเป็นแรงจูงใจ/อารมณ์ (อากิญจัญญายตนะ) และ (๔) การก าหนด ความเป็นอย่างนั้น/ภาวะที่หมายรู้ (สัญญา) ก็ไม่ใช่ ไม่มีการหมายรู้ (สัญญา) ก็ไม่ใช่ เป็นแรงจูงใจ/ อารมณ์ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ)๒๓ ๒.๒.๓ รูปแบบการพัฒนาจิตและความสัมพันธ์กับบุคลิกแห่งตน พุทธศาสนามองว่า ความเป็นบุคคลอันมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน ท าให้แต่ละคนได้รับโอกาสใน การเข้าถึงองค์ความรู้เพื่อการบรรลุความบริสุทธิ์แตกต่างกัน ความแตกต่างกันนั้นจัดออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ (๑) กลุ่มที่สะสมฐานความรู้เพื่อการบรรลุความบริสุทธิ์ไว้เล็กน้อย กลุ่มนี้ต้องเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติไม่ น้อย เปรียบคนกลุ่มนี้คือดอกบัวเหล่าแรกที่เติบโตในน้ า ยังจมอยู่ในน้ า ต้องใช้เวลาในการเติบโตสัก ระยะหนึ่ง (๒) กลุ่มที่สะสมฐานความรู้เพื่อการบรรลุความบริสุทธิ์ไว้จ านวนหนึ่ง กลุ่มนี้เพียงได้ฟัง ความรู้และค าอธิบายเล็กน้อยก็เข้าใจได้ เปรียบคนกลุ่มนี้คือดอกบัวเหล่าที่สอง ที่ยังไม่พ้นจากน้ า/มีน้ า
๑๕ ปริ่มอยู่ และ (๓) กลุ่มที่มีการสะสมฐานความรู้เพื่อการบรรลุความบริสุทธิ์ไว้มาก กลุ่มนี้เพียงได้ฟัง ความรู้ก็จะเข้าใจในทันที เปรียบคนกลุ่มนี้คือดอกบัวเหล่าที่สาม ผ่านพ้นจากน้ าแล้ว เพียงรอคอย แสงแดดส่องก็บานเบ่งในทันที๒๔ เมื่อละลายความแตกต่างด้านองค์ความรู้ของแต่ละบุคคลออกไป และพิจารณาถึงนิสัยใจคอ ของแต่ละคน พุทธศาสนามองว่า สามารถแบ่งออกไปเป็น ๖ กลุ่มใหญ่ๆ คือ (๑) กลุ่มที่นิสัยใจคอหนัก ไปทางรักสวยรักงาม (ราคจริต) (๒) กลุ่มที่มีนิสัยใจคอหนักไปทางฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย (โทสจริต) (๓) กลุ่มที่มีนิสัยใจคอหนักไปทางง่วงเหงาเศร้าซึม หลงๆ ลืมๆ งมงาย (โมหจริต) (๔) กลุ่มที่มีนิสัยใจคอ หนักไปทางเชื่อง่าย มีศรัทธาเลื่อมใสง่าย (สัทธาจริต) (๕) กลุ่มที่มีนิสัยใจคอไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าจะ เชื่ออะไรต้องผ่านการพิสูจน์ทดลอง มีเหตุมีผลให้พอที่จะเชื่อได้เท่านั้น (พุทธิจริต) และ (๖) กลุ่มที่มี ความคิดฟุ้งซ่าน (วิตกจริต) นิสัยใจคอเหล่านี้เหมือนกับโรคที่ต้องรักษาให้หาย ผู้ที่จะ พัฒนาจิตให้สอดคล้องกับบุคลิก แห่งตนจึงต้องเลือกรูปแบบการพัฒนาจิตให้สอดคล้องกับนิสัยใจคอ ดังนี้ นิสัย รูปแบบที่เหมาะ รักสวยรักงาม พิจารณาความไม่สวยงามของศพ (อสุภะ) สติรับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั่วร่างกาย (กายคตาสติ) ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย การแผ่ความรู้สึกดีรอบด้าน/การแผ่ความดีแบบหา ประมาณไม่ได้ (อัปปมัญญา) วัตถุจูงใจ (กสิณ) ง่วงเหงาเศร้าซึม หลงๆ ลืมๆ งมงาย สติรับรู้ลมหายใจ (อานาปานสติ) เชื่อง่าย มีศรัทธาเลื่อมใสง่าย (๑) การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า (พุทธานุสติ) (๒) การระลึกถึงคุณของพระธรรม (ธัมมานุสติ) (๓) การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ (สังฆานุสติ) (๔) การ ระลึกถึงศีลธรรมที่เคยถือสัตย์รักษาปฏิบัติ (สีลานุ สติ) (๕) การระลึกถึงความเสียสละเพื่อประโยชน์ที่ แตกต่างกันไป (จาคานุสติ) (๖) การระลึกถึงเทวดา (เทวตานุสติ) ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ได้ทั่วไป ความคิดฟุ้งซ่าน สติรับรู้ลมหายใจ (อานาปานสติ) วัตถุจูงใจ (กสิณ)๒๕
๑๖ รูปแบบนอกนั้น สามารถศึกษาเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ให้ตรวจสอบ ผ่านผลที่เกิดขึ้นและความรู้สึกที่สอดคล้องกับรูปแบบที่เลือก อย่างไรก็ตาม พุทธทาสภิกขุ ได้เสนอทัศนะเกี่ยวกับการคัดเลือกสถานที่ที่เหมาะกับบุคลิก แห่งตนไว้ว่า มักก าหนัด (ราคจริต) ให้ใช้ของปอน/เก่าๆแก้ มักโกรธ (โทสจริต) ให้ใช้ของเรียบร้อย สวยงามแก้ มักมืดมัว (โมหจริต) ให้ใช้สภาพของโล่งโถงสว่างไสวแก้ มักเชื่อดายไป (สัทธาจริต) ใช้ ความมีหลักเกณฑ์มีระเรียบแน่นอนแก้ มักหนักไปในทางความรู้ (พุทธิจริต) ใช้ความฉลาดของตัวเอง แก้ และวิตกจริต ใช้สภาพของสิ่งแวดล้อมที่ไม่ท าให้เกิดความนึกคิดแก้๒๖ ๒.๒ แนวคิดเรื่อง ที่ตั้งแห่งสติ (สติปัฏฐาน) และการพัฒนาจิต ในสิ่งที่ควรระลึก (อนุสสติ) ๑๐ อย่างข้างต้น มีสิ่งที่ควรระลึก (อนุสสติ) ๒ อย่างที่ส านัก ปฏิบัติธรรมในประเทศไทยสอนเพื่อการเรียนรู้และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ (๑) สติรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในร่างกาย (กายคตาสติ) และ (๒) สติรับรู้ลมหายใจ (อานาปานสติ) ทั้ง ๒ อย่างนี้คือการใช้สติเป็น ที่ตั้งในการจูงจิตสัมพันธ์กับสิ่งที่กระทบจิต (อารมณ์) ศัพท์ทางพุทธศาสนาที่ใช้เรียกรูปแบบนี้คือ “สติ ปัฏฐาน” ค าว่า “สติปัฏฐาน” แปลว่า การมีสติเป็นที่ตั้ง มาจากศัพท์ว่า สติ+ปัฏฐาน หมายถึง การ พัฒนาจิตโดยใช้สติเพื่อรับรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย โดยไม่เข้าไป ยึดติดกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ๒๗ มีอยู่ ๔ ลักษณะคือ การดูกายในกาย (กายานุปัสสนา) การดู ความรู้สึก (เวทนา) ในความรู้สึก (เวทนานุปัสสนา) การดูจิตในจิต (จิตตานุปัสสนา) และการดูธรรม ในธรรม (ธรรมานุปัสสนา) ๒๘ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า การมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) คือเพชรเม็ดงาม/แก้วอันประเสริฐ อย่างหนึ่งในพุทธศาสนา และเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่ผู้ใดพบเห็นแล้วต่างต้องพากันชื่นชมยินดี๒๙ เพราะหาก ใครพัฒนาได้จนสุดทาง/ถึงที่สุด ย่อมก้าวถึงเป้าหมายอย่างน้อยคือ ผู้ไม่หวนกลับมาสู่ชีวิตที่ระคนด้วย ความปรารถนา (กาม) ใด ๆ อีก (พระอนาคามี)๓๐ ในกลุ่มค าสอนขนาดเล็ก (ขุททกนิกาย) พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) เหมือนโล่๓๑ส าหรับป้องกันอันตรายที่จะ เข้ามาท าลายตนให้ห่างไกลจากธรรมที่ดีงามอย่างรอบด้าน จึงกล่าวได้ว่า การมีสติเป็นฐาน (สติปัฏ ฐาน) นั้น มีคุณต่อการพัฒนาตนให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ การมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ได้รับการกล่าวถึงไว้ในเนื้อหาของพุทธศาสนาจ านวนหนึ่ง โดยเฉพาะในคัมภีร์สุตตันตปิฎก จากนั้นมีการอธิบายให้ละเอียดยิ่งขึ้นโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใน หนังสือทางแห่งความบริสุทธิ์/วิสุทธิมรรค แต่งโดยพระพุทธโฆสาจารย์ จึงจะได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่อง ที่ตั้งแต่งสติ (สติปัฏฐาน) จากแหล่งข้อมูลทั้งสองนั้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาเรียนรู้
๑๗ ๒.๓.๑ สติปัฏฐานในสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสแนวคิดเกี่ยวกับที่ตั้งแห่งสติ (สติปัฏฐาน) ไว้โดยตรงเป็นชุดข้อมูล (สูตร) ขนาดใหญ่เรียกว่า “มหาสติปัฏฐานสูตร” ปรากฏในกลุ่มค าสอนขนาดยาว (ทีฆนิกาย) ตั้งแต่ข้อที่ ๓๗๒-๔๐๕ ของคัมภีร์สุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๐ สถานที่ที่ทรงตรัสเรื่องนี้คือกัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ๓๒ เริ่มต้นด้วยเนื้อหาแรกคือ๓๓ ผู้เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลาย (ภิกขุ/ภิกษุ) ทางนี้เป็นทาง เดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของสรรพชีวิต (สัตว์) เพื่อผ่านพ้นความโศกเศร้า และ ความคร่ าครวญ (ปริเทวะ) เพื่อดับทุกข์และระทมตรมตรอม (โทมนัส) เพื่อเข้าถึง ธรรมที่ควรแก่การเข้าถึง (ญายธรรม) เพื่อท าให้แจ้งพระนิพพาน ทางนี้คือการมี สติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ๔ ประการ สติปัฏฐาน ๔ ประการ มีอะไรบ้าง ผู้เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลายในธรรมวินัยนี้(๑) พิจารณา เห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ ก าจัด ความอยาก (อภิชฌา) และ ใจที่ทุกข์ระทม (โทมนัส) ในโลกได้(๒) พิจารณาเห็น ความรู้สึก (เวทนา) ในความรู้สึก (เวทนา) ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีความ รู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ ก าจัดความอยาก (อภิชฌา) และ ใจที่ทุกข์ ระทม (โทมนัส) ในโลกได้ (๓) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีความ รู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ ก าจัดความอยาก (อภิชฌา) และ ใจที่ทุกข์ ระทม (โทมนัส) ในโลกได้(๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความ เพียร มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ ก าจัดความอยาก (อภิชฌา) และ ใจที่ทุกข์ระทม (โทมนัส) ในโลกได้ ในตอนจบเนื้อหา พระพุทธเจ้าทรงยืนยันข้อความที่พระองค์ได้กล่าวไปแล้วนั้นว่า ผู้เห็นภัยใน การเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์ของสรรพชีวิต (สัตว์) เพื่อผ่าน พ้นความโศกเศร้า (โสกะ) และความคร่ าครวญ (ปริเทวะ) เพื่อดับทุกข์และระทมตรมตรอม (โทมนัส) เพื่อบรรลุธรรมที่ควรแก่การบรรลุ (ญายธรรม) เพื่อท าให้แจ้งพระนิพพาน ทางนี้คือการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ๔ ประการ เราอาศัยทางเดียวนี้แล้วจึงกล่าวค าดังพรรณนามาฉะนี้๓๔
๑๘ จากบทเริ่มต้นและบทสุดท้ายคือการยืนยันให้ผู้ฟังมั่นใจว่า ทางแห่งการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏ ฐาน) ๔ อย่างนี้คือทางเพื่อการบรรลุเป้าหมายสุดท้ายในพุทธศาสนา เพื่อการก าจัดทุกข์ทั้งหลายทั้ง มวล จะไม่มีทางอื่นนอกจากทางนี้ต่อไปนี้จะเป็นส่วนเนื้อหา กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การตามดูกายโดยมีสติเป็นที่ตั้ง แบ่งออกเป็น ๑๔ หมวด ประกอบด้วย หมวดลมหายใจเข้าออก (อาณาปานสติ) ๑ หมวด หมวดอิริยาบถ ๑ หมวด หมวดการ รู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) ๑ หมวด หมวดพิจารณาสิ่งปฏิกูล ๑ หมวด หมวดพิจารณาความเป็นธาตุ ๑ หมวด และหมวดพิจารณาซากศพในป่าช้า ๙ หมวด ดังนี้ หมวดลมหายใจเข้าออก (อาณาปานปัพพะ) ๓๕ ก าหนดให้ผู้ปฏิบัติธรรม ไปสู่ที่สงบ เช่น ป่าไม้ โคนไม้ เรือนว่าง แล้วนั่งตั้งกายตรง/คู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ด ารงสติไว้เฉพาะหน้า มีสติขณะหายใจเข้าออก ก าหนดรู้ชัดถึงรายละเอียดของการหายใจ เมื่อหายใจเข้ายาวรู้ว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจเข้า สั้น รู้ว่าหายใจเข้าสั้น ก าหนดรู้กองลมทั้งปวงทั้งขณะหายใจเข้าและหายใจออก หมวดอิริยาบถ (อิริยาปถปัพพะ) ๓๖ ก าหนดให้ผู้ปฏิบัติธรรมเดิน ยืน นั่ง หรือนอน รู้ชัดว่า เรา ยืน เดิน นั่ง หรือนอน เมื่อด ารงกายอยู่โดยอาการใด ๆ ย่อมรู้ชัดกายที่ด ารงอยู่โดยอาการนั้น ๆ หมวดการรับรู้ทั่วพร้อม (สัมปชัญญปัพพะ) ก าหนดให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้ท าความรู้สึกตัวในการ ก้าวไป ถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองผ้าพาด (สังฆาฏิ) บาตร และจีวร [ส าหรับชาวบ้าน คือผ้า อาภรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น] การฉัน การดื่ม การเคียว การลิ้ม การถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ๓๗ หมวดพิจารณาสิ่งปฏิกูล (ปฏิกูลมนสิการปัพพะ) ก าหนดให้ผู้ปฏิบัติธรรมพิจารณาเห็นกาย ตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นไปเบื้องบน ปลายผมลงมาเบื้องล่าง มีผิวหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สะอาด ชนิดต่าง ๆ ว่า ในกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัง หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ล าไส้ใหญ่ ล าไส้เล็ก อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ าตา เปลว มัน น้ าลาย น้ ามูก ไขข้อ มูตร๓๘ หมวดการก าหนดรู้ไว้ในใจถึงความเป็นธาตุ (ธาตุมนสิการปัพพะ) ก าหนดให้พิจารณาเห็นกาย ตามที่ตั้งอยู่ ด ารงอยู่ในความเป็นธาตุว่า ในกายนี้มีธาตุดิน ธาตุน้ า ธาตุไฟ ธาตุลม๓๙ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้า (นวสีวถิกาปัพพะ) หมวดที่ ๑ เมื่อเห็นซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่า ช้านาน ๑ วันบ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง ศพนั้นขึ้นอืดอยู่ เขียวคล้ า มีน้ าเหลืองเยิ้ม ให้ผู้ปฏิบัติธรรมน า ร่างศพนั้นเปรียบเทียบกับกายตนว่า แม้กายของตนจะไม่พ้นสภาพอย่างนั้น มีลักษณะเช่นนั้น ไม่พ้น ความเป็นซากศพแบบนั้นไปได้๔๐ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๒ ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งถูกกาจิกกิน นกตะกรุมจิกกิน แร้งทึ้งกิน สุนัขกัดกิน สุนัขจิ้งจอกกัดกิน หรือสัตว์เล็กๆ หลาย
๑๙ ชนิดกัดกินอยู่ แม้ฉันใด พึงน ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึงกายนี้ก็มีสภาพอย่างนั้น มี ลักษณะอย่างนั้นไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ฉันนั้น๔๑ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๓ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นโครงกระดูกยังมีเนื้อและเลือด มีเอ็นรึงรัดอยู่ แม้ฉันใด พึงน ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า แม้กายเรานี้ก็มีสภาพอย่างนั้น มีลักษณะอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้ ฉันนั้น๔๒ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๔ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นโครงกระดูกไม่มีเนื้อ แต่ยังมีเลือดเปื้อนเปรอะ มีเอ็นรึงรัดอยู่ แม้ฉันใด พึงน ากายนี้เข้าไป เปรียบเทียบให้เห็นว่า กายเรานี้ก็มีสภาพอย่างนั้น มีลักษณะแบบนั้น ไม่พ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้๔๓ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๕ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นโครงกระดูกไม่มีเลือดและเนื้อ แต่ยังมีเอ็นรึงรัดอยู่ เมื่อนั้นให้น ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึงกายนี้ก็มีสภาพอย่างนั้น มีลักษณะอย่างนั้น ไม่พ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้๔๔ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๖ ผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็น โครงกระดูกไม่มีเอ็นรึงรัดแล้ว กระจุยกระจายไปในทิศใหญ่ คือ กระดูกมือ กระดูกเท้า กระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกสะเอว กระดูกหลัง กระดูกซี่โครง กระดูกหน้าอก กระดูกแขน กระดูกไหล่ กระดูก คอ กระดูกฟัน กะโหลกศีรษะ อยู่ต่างทิศต่างทาง เมื่อนั้นให้น ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึง กายนี้ก็มีสภาพอย่างนั้น มีลักษณะอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้๔๕ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๗ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นท่อนกระดูกสีขาว เหมือนสีของสังข์ เมื่อนั้นให้น ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึงกายนี้ก็มี สภาพอย่างนั้น มีลักษณะอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้๔๖ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๘ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นท่อนกระดูกกองอยู่ด้วยกันเกินกว่า ๑ ปี เมื่อนั้นน ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึงกายนี้ก็มี สภาพอย่างนั้น มีลักษณะอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้๔๗ หมวดพิจารณาซากศพในป่าช้าหมวดที่ ๙ เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมเห็นซากศพอันเขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นกระดูกผุป่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อนั้นน ากายนี้เข้าไปเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึงกายนี้ก็มีสภาพ อย่างนั้น มีลักษณะอย่างนั้น ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนั้นไปได้๔๘ ในตอนท้ายของทุกหมวดพระพุทธเจ้าตรัสว่า ด้วยการพิจารณาเห็นเช่นนั้น ผู้เห็นความน่า กลัวในการเวียนเกิดเวียนตาย (ภิกษุ) พิจารณาเห็นกายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดใน กายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็น เหตุดับในกายอยู่ หรือว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “กายมีอยู่” ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณ เจริญ สติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก๔๙
๒๐ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการตามดูความรู้สึก (เวทนา) โดยมีสติเป็นที่ตั้ง ค าว่า เวทนา แปลว่า ความรู้สึก ในข้อนี้ ให้ผู้ฝึกอบรมจิตเห็นความรู้สึกในความรู้สึก ได้แก่ เมื่อก าลังมีความรู้สึกสุข (สุขเวทนา) ทุกข์ (ทุกขเวทนา) และไม่ได้รู้สึกว่าสุขหรือทุกข์ อิงอาศัยวัตถุ (อามิส) บ้าง ไม่มีวัตถุบ้าง ก็ รู้ชัดว่า ก าลังมีสุขอิงอาศัยวัตถุและไม่มีวัตถุอยู่ ก าลังรู้สึกทุกข์อาศัยวัตถุและไม่มีวัตถุอยู่ ไม่ได้รู้สึกว่า สุขหรือทุกข์อิงอาศัยวัตถุและไม่อิงอาศัยวัตถุอยู่ ทั้งนี้เพื่อพิจารณาเห็นความรู้สึกในความรู้สึกทั้ง ภายในอยู่บ้าง ภายนอกบ้าง ทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในกายอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดและธรรมเป็นเหตุดับ ในความรู้สึกอยู่ หรือ มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “ความรู้สึกมีอยู่” ก็เพียงเพื่อ พัฒนาองค์ความรู้ (ญาณ) และพัฒนาสติเท่านั้น และเพื่อการไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก๕๐ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การตามเห็นจิตโดยมีสติเป็นที่ตั้ง ในข้อนี้ ให้ผู้ฝึกฝนอบรมจิตรู้ ภาวะทางจิตตามจริง รู้ชัดถึงจิตที่มีความก าหนัดยินดี(ราคะ) ไม่มีความก าหนัดยินดีก าลังมีโทสะ ไม่มี โทสะ ก าลังมีความลุ่มหลง (โมหะ) ไม่มีความลุ่มหลง หดหู่ ฟุ้งซ่าน มีจิตอื่นยิ่งกว่า ไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า เป็นสมาธิ ไม่เป็นสมาธิ หลุดพ้นแล้ว ยังไม่หลุดพ้น ทั้งนี้เพื่อพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในอยู่ พิจารณา เห็นจิตในจิตภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็น เหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในกายอยู่ พิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดและ ธรรมเป็นเหตุดับในจิตอยู่ หรือ มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “จิตมีอยู่” ก็เพียงเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ (ญาณ) และสติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและทิฏฐิ) อยู่ และการไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก๕๑ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ การตามพิจารณาเห็นธรรมโดยมีสติเป็นที่ตั้ง คือ พิจารณาเห็น (๑) ความข้องขัดไม่ให้บรรลุความดี (นิวรณ์) (๒) สัดส่วนของชีวิต (ขันธ์) (๓) จุดเชื่อมต่อของการรับรู้ (อายตนะ) (๔) องค์ความรู้ (โพชฌงค์) ๗ และ (๕) ความจริงชั้นยอด (อริยสัจ)๕๒ ดังรายละเอียดคือ ความข้องขัดไม่ให้บรรลุความดี (นิวรณ์) ได้แก่ ความพอใจในกาม (กามฉันทะ) ความคิดร้าย (พยาบาท) ความหดหู่เซื่องซึม (ถีนมิทธะ) ความฟุ้งซ่านร้อนใจ (อุทธัจจกุกกุจจะ) ความลังเลสังสัย (วิจิกิจฉา) ให้รู้ชัดถึงความมีอยู่ในจิต ไม่มีอยู่ในจิต รู้ชัดถึงเหตุของการเกิด เหตุของการละ วิธีหรือเหตุ ที่จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก สัดส่วนของชีวิต (ขันธ์) คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นถึงลักษณะ ความเกิด ความดับของสิ่งเหล่านี้ จุดเชื่อมต่อการรับรู้(อายตนะ) แบ่งเป็น ภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (โผฏฐัพพะ) และสิ่งที่กระทบ (อารมณ์) ทางใจ โดยรู้ชัดถึงสิ่งดังกล่าว กิเลสเครื่องผูกรัด (สังโยชน์) อาศัยสิ่งใดเกิดขึ้น ให้รู้ชัดสิ่งนั้น (สังโยชน์) รู้ชัดเหตุแห่งการเกิด เหตุของ การละ วิธีการหรือเหตุที่จะไม่ให้กิเลสเครื่องผูกรัด (สังโยชน์) เกิดขึ้นอีก
๒๑ องค์ความรู้ (โพชฌงค์) คือ ความระลึกได้ (สติ) การใคร่ครวญธรรม (ธรรมวิจยะ) ความ พากเพียร (วิริยะ) ความอิ่มใจ (ปีติ) ความสงบจากกิเลส (ปัสสัทธิ) ความมีจิตตั้งมั่น (สมาธิ) และความ มีจิตเป็นกลาง (อุเบกขา) มีอยู่ ไม่มีอยู่ ก็รู้ชัดถึงความมีอยู่และไม่มีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น รู้ชัดถึงสาเหตุ ของการเกิดขึ้น สาเหตุของความเจริญบริบูรณ์ของสิ่งเหล่านั้นด้วย ความจริงชั้นยอด (อริสัจ) คือ ทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ (ทุกขสมุทัย) ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธ) และแนวทางที่น าไปสู่ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ค าว่า ทุกข์ได้แก่ การเกิด (ชาติ) ชรา การตาย (มรณะ) ความโศกเศร้า (โศก) ความพิไรร าพัน (ปริเทวะ) เจ็บปวดกาย (ทุกข์กาย) เจ็บปวดใจ (ทุกข์ใจ) ความคับแค้น การประสบสิ่งไม่เป็นที่รัก พลาดพรากสิ่งเป็นที่รัก ไม่ได้สิ่งที่ ต้องการ การยึดมั่นในชีวิต (ขันธ์ ๕) สาเหตุของการเกิดทุกข์ (ทุกขสมุทัย) ได้แก่ ความอยาก (ตัณหา) ๓ คือ ความอยากตามที่ต้องการ/อยากได้สิ่งสนองความต้องการทางกาย (กามตัณหา) ความอยากมี/ อยากเป็น (ภวตัณหา) และความไม่อยากมีไม่อยากเป็น (วิภวตัณหา) ความดับทุกข์(ทุกขนิโรธ) คือ ความดับกิเลสไม่เหลือ ความปล่อยวาง ความพ้น ความไม่ติด และ แนวทางที่น าไปสู่ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ได้แก่แนวทางที่ประเสริฐ (อริยมรรค) ๘ อย่าง ประกอบด้วย ความคิดเห็นที่ ถูกต้อง ความใคร่ครวญที่ถูกต้อง การพูดคุยที่ถูกต้อง พฤติกรรมทางกายที่ถูกต้อง การประกอบอาชีพ ที่ถูกต้อง ความเพียรพยายามที่ถูกต้อง การระลึกที่ถูกต้อง และการมีจิตตั้งมั่นที่ถูกต้อง ในตอนสุดท้ายพระพุทธเจ้าทรงตรัสซ้ าเพื่อสรุปว่า เมื่อพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ภายในอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายทั้ง ภายในและภายนอก เห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในธรรมทั้งหลาย เห็นธรรมเป็นเหตุดับในธรรมทั้งหลาย เห็นธรรมทั้งเป็นเหตุเกิดและเหตุดับในธรรมทั้งหลาย หรือว่า มีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า ธรรมมีอยู่ เพียงเพื่ออาศัยการพัฒนาความรู้ภายใน (ญาณ) และการพัฒนาสติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลก๕๓ ๒.๓.๒ แนวคิดการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ในหนังสือวิสุทธิมรรค แม้ว่าพระพุทธโฆสาจารย์จะรจนาโดยใช้การศึกษา ๓ อย่าง (ไตรสิกขา) คือ การศึกษาเรื่องข้อ ปฏิบัติ (ศีลศึกษา) การศึกษาเรื่องความตั้งมั่นของจิต (สมาธิศึกษา) และการศึกษาด้านความรู้แจ้งชัด ตามจริง (ปัญญาศึกษา) เป็นกรอบใหญ่ในการอธิบายปัญหาพยากรณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้คือ “ผู้ เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตาย (ภิกษุ) ผู้เป็นคนฉลาด มีความเพียร มีปัญญาบริหารตน ตั้งอยู่ในศีล แล้ว อบรมจิตและปัญญาอยู่ นั้นพึงถางชัฏนี้ได้” ๕๔ ถึงอย่างนั้น มิได้แสดงหัวข้อการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติ ปัฏฐาน) ไว้แบบตรง ๆ เหมือนในคัมภีร์สุตตันตปิฎก ในกลุ่มค าสอนขนาดยาว (ทีฆนิกาย) อย่างไรก็ ตาม เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาโดยเฉพาะเนื้อหาว่าด้วยสมาธิ (สมาธินิเทศ) ออกมา จะมีรายละเอียดที่วิจิตร พิสดารและอยู่ในกรอบของแนวคิดเรื่องการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการตามเห็น
๒๒ กายโดยมีสติเป็นที่ตั้ง (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) ส่วนการตามเห็นเวทนาโดยมีสติเป็นที่ตั้ง (เวทนา นุปัสสนาสติปัฏฐาน) การตามเห็นจิตโดยมีสติเป็นที่ตั้ง (จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน) และการตามเห็น ธรรมโดยมีสติเป็นที่ตั้ง (ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน) นั้น จะไม่โดดเด่นเท่า ดังนั้น ในหัวข้อย่อยเรื่องนี้ จึงขอเสนอเฉพาะลักษณะของการตามเห็นกายโดยมีสติเป็นที่ตั้ง (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) เท่านั้น ในคัมภีร์สุตตันตปิฎก ได้เสนอเนื้อหาว่าด้วยการตามเห็นกายด้วยสติเป็นที่ตั้ง (กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน) หมายถึง การตามเห็นกายด้วยการก าหนดลมหายใจเข้าออก พิจารณาอิริยาบถ รู้ตัวทุก การเคลื่อนไหว พิจารณาเห็นความเป็นปฏิกูลของร่างกาย เห็นความเป็นธาตุพื้นฐานของกาย และเมื่อ ร่างกายสูญสิ้นให้พิจารณาความเป็นซากศพของกายเริ่มจากตาย ๑ วันไปจนถึงกระดูกท่อนใหญ่น้อยผุ กร่อนป่นเป็นเถ้าธุลี พระพุทธโฆสาจารย์ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการตามเห็นกายโดยมีสติเป็นที่ตั้ง เริ่มต้นจาก สติอันเป็นไปในกาย (กายคตาสติ) ล้อตามเนื้อหาในคัมภีร์สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ท่านเริ่มต้นด้วยการอ้างพุทธพจน์คือ “ผู้เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลาย ธรรมหนึ่ง เดียวที่บุคคลขยันท าให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อความสลดสังเวช...เพื่อประโยชน์...เพื่อความร่าเริงจาก ปลอดกิเลสที่รัดรึง (โยคะ)...เพื่อการระลึกได้และความรู้สึกตัว (สติสัมปชัญญะ)...รู้จริงในสิ่งที่ได้รู้ (ญาณทัสสนะ)...อยู่ส าราญในธรรมที่เกิดเฉพาะหน้า (ทิฏฐธรรม)...ท าให้แจ้งถึงความรู้ (วิชชา) อิสรภาพ (วิมุตติ) และความหลุดพ้น ธรรมนั้นคือสติเป็นไปในกาย (กายคตาสติ)...” ๕๕ โดยสรุปต้องการให้เห็นว่า ในหมวดธรรม (บรรพ) ๑๔ ประการ ของการตามเห็นกายโดยมีสติ เป็นที่ตั้ง (กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน) นั้น การพิจารณาอิริยาบถ การรู้ตัวทุกการเคลื่อนไหว การ พิจารณาความเป็นธาตุของกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงการอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความแจ้งชัด (วิปัสสนา) ส่วนการพิจารณาซากศพ (นวสีวัตถิกบรรพ/สิวัฏฐิกบรรพ) ตรัสเพื่อให้เห็นความจริงของ ชีวิต ตลอดถึงการไตร่ตรองถึงโทษ (อาทีนวานุปัสสนา) พระพุทธโฆสาจารย์แยกออกเป็นหัวข้อ การ พิจารณาความไม่งาม (อสุภกรรมฐาน)๕๖ เหมือนกับ จัดหมวดการก าหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานา ปานบรรพ) ไว้ส่วนหนึ่งเรียกว่า อานาปานสติกรรมฐาน สิ่งที่ท่านต้องการเน้นในสติที่เป็นไปในกาย (กายคตาสติ) คือ อาการ ๓๒ ประการของร่างกาย (ทวัตติงสาการกรรมฐาน) อันเป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าระบุถึงการท าไว้ในใจด้วยความเป็นของ ปฏิกูล (ปฏิกูลมนสิการปัพพะ) นอกจากนั้นท่านได้ขยายแนวคิดเรื่องการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ออกไปอีกเป็น การตามระลึก (อนุสสติ) การระลึกถึงความตาย (มรณสติ) ธรรมสู่ความเป็นผู้ประเสริฐ (พรหมวิหาร) และ การพิจารณาความเป็นของปฏิกูลในอาหาร (อาหาเรปฏิกูลสัญญา) โดยมุ่งหวังว่า นี้ คือทางแห่งความบริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องสมบูรณ์พร้อมด้วยศีล สมาธิ และปัญญา๕๗
๒๓ ๒.๓.๓ แนวคิดการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ในทัศนะของพระสงฆ์ไทย การศึกษาด้านจิตตภาวนาคือการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ของพระสงฆ์ไทยจะมีที่มาหลักๆ คือ (๑) คัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา (๒) หนังสือวิสุทธิมรรค อันเป็นแบบเรียนปริยัติธรรมแผนก บาลีชั้นประโยค ๘ (และ ๙) (๓) ประสบการณ์การฝึกปฏิบัติของคณาจารย์ทั้งฝ่ายพระป่า (อรัญญวาสี) และพระเมือง (คามวาสี) ผู้สนใจด้านการปฏิบัติเป็นหลักและเรียนรู้มาจากอาจารย์ในรุ่นก่อนๆ (ปุรพา จารย์) แนวคิดการใช้สติเป็นที่ตั้ง ในสังคมไทยที่โดดเด่น เช่น (๑) สายภาวนา “พุทโธ” เป็นสายที่สืบ ทอดมาจากโบราณ ผู้มีชื่อเสียงในด้านนี้คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (๒) สายก าหนดลมหายใจเข้าออก ผู้มี ชื่อเสียงในด้านนี้คือ เงื่อม อินฺทปญฺโญ/พุทธทาสภิกขุ (๓) สายยุบ-พอง ผู้มีชื่อเสียงในด้านนี้คือ พระ ธรรมธีรราชมหามุนี (พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ) ผู้ศึกษาเรียนรู้มาจากพระโสภณมหาเถระ (มหา สีสยาดอ)/สยาดอภัททันตวิโรจนะ (มหาคันถวาจกบัณฑิต-มหากัมมัฏฐานาจริยะ) (๔) สายรูปนาม ผู้มี ชื่อเสียงด้านนี้คือ อาจารย์แนบ มหานีรานนท์ผู้ศึกษาเรียนรู้มาจากภัททันตะวิลาสะ พระภิกษุชาว พม่า (๕) สายสัมมาอรหัง ผู้มีชื่อเสียงด้านนี้คือพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ าภาษีเจริญ๕๘ (๖) สายเคลื่อนไหว ผู้มีชื่อเสียงต้นแบบในการเผยแผ่ด้านนี้คือ หลวงพ่อเทียน อาจารสุโภ ๕๙ (๗) สาย มโนมยิทธิ ผู้เป็นต้นแบบสายนี้คือ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) วัดท่าซุง และสายอื่นๆอีก เช่น สายมูลกรรมฐาน สายโกเอ็นกา เป็นต้น โดยรวมของสติปัฏฐานทุกสายคือการฝึกฝนอบรมจิต พุทธทาสภิกขุ เห็นว่า การก าหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) มีมาตั้งแต่โบราณและถือเป็น เรื่องปกติ เมื่อฝึกฝนได้แล้วจะท าให้เกิดความสงบกาย สงบใจ มีร่างกาย ระบบประสาท จิตใจที่ดี ลักษณะของการก าหนดที่ลมหายใจจะอยู่ที่ว่า การระลึกหรือก าหนดอะไรก็ตามทุกลมหายใจเข้าออก ...พระพุทธเจ้าทรงปรับปรุงอานาปานสติถึงขั้นสูงสุดคือการดับทุกข์...แบ่งออกเป็น ๔ หมวดๆ ละ ๔ ขั้น รวมเป็น ๑๖ ขั้น...จุดมุ่งหมายของอานาปานสติเพื่อความสะอาดจากกิเลส สว่างจากความโง่ (อวิชชา) สงบจากความทุกข์ สูงสุดคือนิพพาน๖๐ อานาปานสติ ๑๖ ขั้น ประกอบด้วย๖๑ (๑) เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดเจนว่าหายใจเข้ายาว (ทีฆ วา อสฺสสนฺโต ทีฆ อสฺสามีติ ปชานาติ) เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดเจนว่าหายใจออกยาว (ทีฆ วา ปสฺสสนฺโต ทีฆ ปสฺสสามีติ ปชานาติ) (๒) เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดเจนว่าหายใจเข้าสั้น (รสฺส วา อสฺสสนฺโต รสฺส อสฺสสามีติ ปชานาติ) เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดเจนว่าหายใจออกสั้น (รสฺส วา ปสฺสสนฺโต รสฺส ปสฺสสามีติ ปชานาติ)
๒๔ (๓) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รับรู้พร้อมทั่วสรรพางกาย แล้วหายใจเข้า (สพฺพกายปฏิส เวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ฉันจะรับรู้พร้อมทั่วสรรพางกาย แล้วหายใจออก (สพฺพกายปฏิส เวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๔) ศึกษาเรียนรู้ถึงความระงับสิ่งประกอบกาย/สิ่งปรุงแต่งกายแล้วหายใจเข้า (ปสฺสมฺภย กายสงฺขาร อสฺสสิสฺสามีติ) ศึกษาเรียนรู้ถึงความระงับสิ่งประกอบกาย/สิ่งปรุงแต่งกายแล้วหายใจออก (สิกฺขติ ปสฺสมฺภย กายสงฺขาร ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๕) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รับรู้พร้อมทั่วถึงความอิ่มใจ (ปีติ) แล้วหายใจเข้า (ปีติปฏิส เวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รับรู้พร้อมทั่วถึงความอิ่มใจแล้วหายใจออก (ปีติปฏิส เวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๖) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รับรู้ทั่วถึงความสุขแล้วหายใจเข้า (สุขปฏิส เวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รับรู้ทั่วถึงความสุขแล้วหายใจออก (สุขปฏิส เวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๗) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รู้ทั่วถึงสิ่งประกอบจิต/ปรุงแต่งจิตแล้วหายใจเข้า (จิตฺตสงฺขารปฏิส เวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รู้ทั่วถึงสิ่งประกอบจิต แล้วหายใจออก (จิตฺตสงฺขารปฏิส เวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๘) ศึกษาเรียนรู้ถึงความระงับสิ่งประกอบจิต/สิ่งปรุงแต่งจิตแล้วหายใจเข้า (ปสฺสมฺภย จิตฺตสงฺขาร อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ถึงความระงับสิ่งประกอบจิตแล้วหายใจออก (ปสฺสมฺภย จิตฺตสงฺขาร ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๙) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รู้ทั่วถึงจิตแล้วหายใจเข้า (จิตฺตปฏิส เวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รู้ทั่วถึงจิตแล้วหายใจออก (จิตฺตปฏิส เวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๐) ศึกษาเรียนรู้ถึงจิตร่าเริงแล้วหายใจเข้า (อภิปฺปโมทย จิตฺต อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้จิตร่าเริงแล้วหายใจออก
๒๕ (อภิปฺปโมทย จิตฺต ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๑) ศึกษาเรียนรู้ถึงจิตที่ตั้งมั่นแล้วหายใจเข้า (สมาทห จิตฺต อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ถึงจิตที่ตั้งมั่นแล้วหายใจออก (สมาทห จิตฺต ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๒) ศึกษาเรียนรู้ถึงจิตที่ปล่อยวางแล้วหายใจเข้า (วิโมจย จิตฺต อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ถึงจิตที่ปล่อยวางแล้วหายใจออก (วิโมจย จิตฺต ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๓) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รู้ชัดเจนในความไม่เที่ยงแท้แล้วหายใจเข้า (อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้รู้ชัดเจนในความไม่เที่ยงแท้แล้วหายใจออก (อนิจฺจานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๔) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้มองเห็นความหมดสิ้นความก าหนัดยินดีแล้วหายใจเข้า (วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้มองเห็นความหมดสิ้นความก าหนัดยินดีแล้วหายใจออก (วิราคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๕) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้มองเห็นความดับกิเลสแล้วหายใจเข้า (นิโรธานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้มองเห็นความดับกิเลสแล้วหายใจออก (นิโรธานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) (๑๖) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้มองเห็นความไม่ติดข้อง/การสลัดทิ้งแล้วหายใจเข้า (ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) ศึกษาเรียนรู้ว่า ได้มองเห็นความไม่ติดข้องแล้วหายใจออก (ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ) การก าหนดลมหายใจยาว การก าหนดลมหายใจสั้น การก าหนดลมหายใจทั้งหมด การระดับ สิ่งปรุงแต่งกาย/กายสังขาร จัดเป็น การตามเห็นกาย (กายานุปัสสนา) การก าหนดความอิ่มใจ การ ก าหนดสุข การก าหนดสิ่งปรุงแต่งจิต (จิตตสังขาร) และการระงับจิตสังขาร จัดเป็น การตามเห็น เวทนา (เวทนานุปัสสนา) การรู้ชัดจิต การท าจิตให้ปราโมทย์ การท าให้จิตตั้งมั่น และจิตปล่อยวาง จัดเป็น การตามเห็นจิต (จิตตานุปัสสนา) การมองเห็นความไม่เที่ยง การเห็นความจางคลาย การเห็น
๒๖ ความดับไม่เหลือ และการเห็นการสลัดออกหรือการสลัดคืนสิ่งนั้น จัดเป็น การตามเห็นธรรม (ธัมมา นุปัสสนา)๖๒ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) แสดงความเห็นไว้ว่า การภาวนาในหลายแบบคือ ยุบหนอพองหนอ, สัมมา อรหัง, พุทโธ ฯลฯ ถ้ายึดหลักใดมาบริกรรม ก็ให้จริงจังกับสิ่งนั้น เช่น ถ้าเลือกภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปจนกระทั่งจิตบริกรรมภาวนาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ท า ก็ท่องพุทโธไว้ทุกลมหายใจก็ยังได้...ทุกแบบถูกต้องและใช้การได้ทั้งนั้น เพียงขอให้จริงจัง แต่ แบบดังกล่าวจะใช้การไม่ได้ก็ต่อเมื่อมีความไม่แน่ใจ...การท าสมาธิในชีวิตประจ าวันมีหลักการ ๓ แบบ คือ (๑) ให้พยายามฝึกหัดท าสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ท า พูด คิด ทุกลมหายใจ (๒) หลับตาภาวนาบริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนกระทั่งรู้สึกว่าใจท่องพุทโธ เอง ก็ปล่อยให้ใจท่องไปอย่างนั้น เพื่อให้ใจสงบ (๓) เมื่อคิดเรื่องอะไร ให้ใช้การคิดนั้นเป็นการพิจารณา กรรมฐาน โดยการท าสติตามรู้๖๓ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อ้างถึงพุทธพจน์ในข้อการตามดูกาย (กายานุปัสส นา) ที่ว่า “กาเยกายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วินยโลเก อภิชฺฌาโทมนสฺส ” และอธิบาย แนวปฏิบัติว่า ตามดูรู้ทันกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ก าจัดความติดใจอยากได้ (อภิชฌา) ความขัดเคืองไม่สมใจ (โทมนัส) อันนี้คือตัวหลักส าคัญ...ในสติปัฏฐานนั้น ตัวหลักปฏิบัติคือ อาตาปี (ความเพียร) สมฺปชาโน (ความรู้ตัว) สติมา (ระลึกได้) ที่ควรจะท าความเข้าใจ และ วินยโลเก อภิชฺฌา โทมนสฺส ที่เป็นตัวก ากับข้อปฏิบัติทั้งสี่หัวข้อ (กาย เวทนา จิต ธรรม)๖๔ จากทัศนะของพระสงฆ์ไทย ๓ รูปที่ยกมานั้น พอจะมองเห็นว่า (๑) การพัฒนาจิต (จิตต ภาวนา) อันมีสติเป็นที่ตั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากแต่เป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจ าวัน (๒) การพัฒนา จิต (จิตตภาวนา) อันมีสติเป็นที่ตั้งมีแนวทางต่างแบบกัน แต่ทั้งหมดน าไปสู่ความสุขสงบได้ และ สามารถขยับการฝึกฝนอบรมจิตให้สูงต่อยอดกันได้ (๓) หลักการส าคัญของการพัฒนาจิต (จิตต ภาวนา) อันมีสติเป็นฐานคือ ความเพียรพยายามอย่างจริงจัง ความรู้สึกตัว (สัมปชัญญะ) และการ ระลึกได้ (สติ) รวมความคือ การขับเคลื่อนการฝึกฝนอบรมจิตด้วยการระลึก (สติ) และความรู้สึกตัวทั่ว พร้อม (สัมปชัญญะ) ด้วยความเพียรพยายามไม่ขาดตอนในทุกการเคลื่อนไหว ๒.๓.๔ ขั้นตอนการพัฒนาจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าทรงแนะน าให้ภิกษุเข้าสู่ป่า โคนไม้ เรือนว่าง นั่งสมาธิ ตั้ง กายตรง ด ารงสติมั่น มีสติ๖๕ พระพุทธโฆสาจารย์ ได้ขยายไว้ในหมวดศีล (สีลนิเทศ) เพื่อให้เห็นว่า ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ ต้องช าระศีลให้บริสุทธิ์ก่อน เพราะศีลคือมูลเหตุแห่งสมบัติทั้งปวง โดยเฉพาะ สมบัติคือความสงบระงับที่เรียกว่านิพพาน๖๖ ท่านแนะน าไว้ในหมวดองค์คุณเพื่อก าจัดกิเลส (ธุดงค์- ธุดงคนิเทศ) อีกว่า “เมื่อผู้ลงมือปฏิบัติตั้งใจรักษาศีลแล้ว ควรรักษาองค์ประกอบสนับสนุนการขจัด
๒๗ กิเลส (ธุดงค์) ด้วย ทั้งนี้เพื่อการสนับสนุนศีล เพื่อความสันโดษ มักน้อย ความสงัด ไม่สั่งสม ปรารภ ความเพียร ความเลี้ยงง่าย เป็นต้น๖๗ องค์ประกอบสนับสนุนการขจัดกิเลส (ธุดงค์) ที่ท่านเสนอไว้ ๑๓ ประการคือ การนุ่งห่มผ้าเก่า (บังสุกุล) เป็นกิจวัตร ถือครองผ้า ๓ ผืน (ไตรจีวร) เป็นกิจวัตร เลี้ยงชีวิต ด้วยการอาหารที่ชาวบ้านมอบให้มา (บิณฑบาต) เป็นกิจวัตร จาริกตามล าดับเรือนเป็นกิจวัตร บริโภค อาหารมื้อเดียวเป็นกิจวัตร บริโภคอาหารตามที่ได้/อาหารบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ไม่รับอาหาร หลังจากบริโคอาหารแล้วเป็นกิจวัตร อยู่ป่าเป็นกิจวัตร อยู่โคนไม้เป็นกิจวัตร อยู่ในที่แจ้งเป็นกิจวัตร อยู่ในป่าช้าเป็นกิจวัตร อยู่ในเรือน/ห้อง (เสนาสนะ) ตามที่ได้รับเป็นกิจวัตร และมุ่งนั่งบ าเพ็ญเป็น กิจวัตร๖๘ จากนั้นให้ตัดความกังวล (ปลิโพธ) ๑๐ อย่างออกไปเสีย ประกอบด้วย ความกังวลในที่อยู่ ตระกูล ลาภ หมู่คณะ การงาน การเดินทาง ญาติ อาพาธ การเล่าเรียน และฤทธิ์๖๙ จากนั้นจึงเข้าไป หาผู้ให้แนวทางในการฝึกฝนอบรมจิต เลือกแนวทางที่เหมาะกับตนเอง ทิ้งที่อยู่ที่ไม่เหมาะ ตัดความ กังวลทุกประเภท ตั้งใจฝึกฝนอบรมจิต (ภาวนา) โดยไม่ให้บกพร่อง๗๐ พุทธทาสภิกขุ มีความเห็นว่า ผู้จะพัฒนาจิตด้วยการก าหนดที่ลมหายใจ (อานาปานสติ) นั้น ควรเริ่มต้นจาก (๑) ความชัดเจนในอุปมาของแนวทางของการฝึกฝนอบรมจิตก่อนคือ “คนมีปัญญา ยืนหยัดมั่นคงอยู่บนแผ่นดิน ฉวยอาวุธที่คมด้วยมือ ลับที่หินแล้ว มีความเพียรถางป่ารกให้เตียนไป ได้” ๗๑ ท่านได้อธิบายว่า ค าว่า “ปัญญา” ในที่นี้คือ ปัญญาที่ติดตัว เรียกว่า สหชาตปญฺญา (intellect) และปัญญาที่แท้จริงโดยสมบูรณ์เรียกว่า “วิปัสสนาปัญญา (Intuitive wisdom) ค าว่า “แผ่นดิน” หมายถึง ศีล ค าว่า “อาวุธที่คม” หมายถึง ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ ตามแนวปัญญาระดับโลกๆ (โลกิยปัญญา) ลับให้คมด้วยปัญญาชั้นสูง (โลกุตตรปัญญา) คือกรรมฐาน ค าว่า “จับด้วยมือ” หมายถึง ปัญญาส่วนที่รู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ต้องท า (ปาริหาริกปัญญา) ค าว่า “หิน” หมายถึง สมาธิ ค าว่า “มีความเพียร” หมายถึง ความพอใจในสิ่งที่ท า ความเข้มแข็ง การเอาใจใส่จด จ่อสิ่งนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และการพินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา (อิทธิบาท) “ถางป่ารก” หมายถึง ถาง กิเลสที่มีอยู่ในสันดานของสัตว์๗๒ (๒) ตัดความกังวล (ปลิโพธิ ๑๐) ออกไป (๓) เลือกสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสม (๔) การเตรียมความพร้อมทั้งความรู้/หลักวิชาและแนวทางปฏิบัติ๗๓ ๒.๓.๕ ผลของการปฏิบัติตามแนวคิดการใช้สติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐานกรรมฐาน) พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงผล (อานิสงส์) ของการปฏิบัติตามแนวในการฝึกฝนอบรมจิตว่าด้วย การมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐานกรรมฐาน) ไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตรข้อ ๔๐๔-๔๐๕ ไว้ดังนี้ ผู้เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลาย บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วย การมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๗ ปี พึงหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่าง คือ
๒๘ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีความยึดมั่น (อุปาทาน) เหลืออยู่ ก็จักเป็น อนาคามี ๗ ปีนั้น ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๖ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๖ ปี นั้นยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๕ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๕ ปี นั้นยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๔ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๔ ปี นั้นยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๓ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๓ ปีนั้น ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๒ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๒ ปีนั้น ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๑ ปี พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๑ ปีนั้น ให้ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๗ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๗ เดือนนั้น ก็ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๖ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๖ เดือนนั้น จงยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ๕ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี
๒๙ ๕ เดือนนั้น ให้ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๔ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๔ เดือนนั้น ให้ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๓ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๓ เดือนนั้น ให้ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๒ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๒ เดือนนั้น ให้ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๑ เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ๑ เดือนนั้น ให้ยกไว้ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ครึ่ง เดือน พึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี อุปาทานเหลืออยู่ก็จักเป็นอนาคามี ผู้เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลาย (ภิกษุ) ครึ่งเดือนนั้น ให้ยกไว้ ก่อน บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการมีสติเป็นที่ตั้ง ตลอด ๗ วัน พึงหวังได้ผล อย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ อรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จัก เป็นอนาคามี๗๔ ผู้เห็นภัยในการเวียนเกิดเวียนตายทั้งหลาย (ภิกษุ) ทางนี้คือทางเดียว เพื่อ ความบริสุทธิ์ของสรรพชีวิต (สัตว์) เพื่อล่วงความโศก (โสกะ) และความคร่ าครวญ (ปริเทวะ) เพื่อดับทุกข์และความเศร้า (โทมนัส) เพื่อบรรลุธรรมที่ควรบรรลุ (ญาย ธรรม) เพื่อท าให้แจ้งนิพพาน ทางนี้ คือการมีสติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) เราอาศัย ทางเดียวนี้มาก่อนแล้ว๗๕ จากข้อมูลนี้ท าให้เห็นว่า การพัฒนาจิตตามแนวคิดการมีสติเป็นที่ตั้งนั้น ส่งผลต่อการบรรลุ เป้าหมายสูงสุดคือความเป็นเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส (อรหันต์) ดับทุกข์ ล่วงโศก เข้าถึงนิพพาน การ พัฒนาจิตตามแนวคิดการมีสติเป็นที่ตั้งแบบสมบูรณ์ยาวนานสุดเพียง ๗ ปี สั้นสุดคือ ๗ วัน โดยไม่ บกพร่อง สามารถที่คาดหวังผลดังกล่าวนั้นได้อย่างแน่นอน พระราชปริยัติกวี, ศ.ดร. (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ) ระบุถึงผลที่จะได้รับจากการฝึกอบรมจิตเป็น ๒ ส่วนคือ (๑) ผลทั่วไป/อานิสงส์ทั่วไป และ (๒) ผลเฉพาะ/อานิสงส์เฉพาะ
๓๐ ผลทั่วไป (๑) ท าให้จิตใจผ่อนคลาย ยับยั้งความกลัดกลุ้ม ใจสงบมีความสุข (๒) ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพในการท างาน การเรียน และกิจทุกอย่าง อันเนื่องจากจิตที่เป็นสมาธิส่งผลต่อความ รอบคอบในการท า (๓) ส่งผลต่อสุขภาพภาย แก้ไขโรคได้ส่วนผลเฉพาะที่จะได้รับคือพระอรหันต์ อย่างน้อยคือพระอนาคามีตามที่เนื้อหาทางพุทธศาสนาระบุไว้๗๖ หนังสือชื่อทางแห่งความหลุดพ้น (วิมุตติมรรค) ระบุถึงผลของสมาธิที่เกิดจากการฝึกฝนอบรม จิต ๔ อย่างคือ (๑) อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน (๒) รับรู้อารมณ์อย่างใคร่ครวญ (๓) ได้ความรู้ชนิดพิเศษ ระดับโลกีย์ คือ มีอิทธิฤทธิ์ หูทิพย์ รู้ใจคนอื่น ระลึกชาติดได้ ตาทิพย์ และ (๔) บรรลุถึงมรรคผล๗๗ งานวิจัยเรื่อง วิเคราะห์ผลการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานด้วย สัญญาณคลื่นสมองระบบวิทยาศาสตร์ และงานวิจัยเรื่อง ผลของพุทธนวัตกรรมต่อสัญญาคลื่นสมองใน พระภิกษุจังหวัดเชียงใหม่ คือตัวอย่างของงานวิจัยที่น าเอาเครื่องมืองทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ผลของ การพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) ที่มีต่อชีวิต พบว่า การพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) มีผลต่อการลดความ ตื่นเต้น ลดความเครียด การควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิกับงาน การเพิ่มภาวะความสงบนิ่ง ความคิด สร้างสรรค์ การซ่อมแซมสมอง การท างานของสมองสอดคล้องกับความคิดเชิงลึกซึ้ง๗๘ ๒.๔ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงผลของฝึกฝนอบรมจิตคือ (๑) การพัฒนาจิตที่ส่งผลต่อร่างกายและ กิจกรรมที่สัมพันธ์กับกาย (๒) การพัฒนาจิตที่ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจที่สัมพันธ์กับคุณธรรมตาม ระดับชั้นตั้งแต่ชั้นสามัญจนถึงชั้นสูงสุด ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต คือความชัดเจนที่เกิดจากการ ฝึกฝนอบรมจิตในรูปแบบของประสบการณ์ตรง โดยที่ประสบการณ์และปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะมีได้ ก็ต่อเมื่อได้ฝึกฝนอบรมจิต อันมีลักษณะแตกต่างจากการใช้ชีวิตแบบปกติของคนทั่วไป ประสบการณ์ และปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาของการฝึกฝนอบรมจิตก็ได้ หรือเกิดขึ้นหลัง ยุติการฝึกฝนอบรมจิตก็ได้ และผลของการฝึกฝนอบรมจิตคือประสบการณ์พิเศษที่เราไม่อาจพบได้จาก การใช้ชีวิตแบบทั่วไป นอกจากแนวทางการ ฝึกฝนอบรมจิต ภาษาศาสนาเรียกสิ่งนี้ว่า สภาวธรรม ในข้อย่อย ๒.๒.๑ ได้กล่าวถึงฐานคิดส าคัญส าหรับความจ าเป็นในการพัฒนาจิตคือการที่จิต ถูกครอบง า/ได้รับประสบการณ์ที่ไม่เอื้อต่อการมีจิตใจที่ดี ส่งผลให้จิตเดิมแท้ที่มีลักษณะเปล่งปลั่ง กลายเป็นจิตเศร้าหมอง ทัศนะทางพุทธศาสนามองว่า หากบุคคลต้องการสกัดความเศร้าหมองออก เพื่อเข้าสู่จิตที่บริสุทธิ์ บุคคลต้องลงมือปฏิบัติ พระพุทธเจ้ายืนยันไว้ในกลุ่มธรรมว่าด้วยการมีสติเป็น ที่ตั้ง (สติปัฏฐานสูตร) ว่า หากลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ยาวสุดคือ ๗ ปี สั้นสุดคือ ๑ สัปดาห์ จะ สามารถจัดการกับกิเลสที่เรื้อรังครอบง าจิตใจอยู่นั้นได้ อย่างน้อยคือ เข้าถึงคุณธรรมชั้นอนาคามี และ สูงสุดคือไกลจากกิเลส (อรหันต์) ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป จากข้อมูลนี้ ท าให้เห็นว่า ประสบการณ์พิเศษ
๓๑ และปรากฏการณ์จากการฝึกอบรมจิตตามที่ระบุคือสภาวะแห่งอนาคามีและอรหันต์ ที่เป็นคุณธรรม ชั้นสูงและส าคัญมากของการฝึกฝนอบรมจิต ส่วนนอกนั้นอาจเป็นเพียงข้อปลีกย่อยหรือชั้นสภาวะ ปลีกย่อยที่ควรก้าวออกไปสู่คุณธรรมชั้นสูง เมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จาการฝึกอบรมจิตจากข้อมูลที่ระบุมา นั้น อาจจัดเป็น ๓ ชั้นคือ (๑) ประสบการณ์ ปรากฏการณ์ปลีกย่อย และผลพลอยได้ (๒) ประสบการณ์ ปรากฏการณ์ของคุณธรรมชั้นสามัญ (โลกียธรรม) (๓) ประสบการณ์ ปรากฏการณ์ของคุณธรรมชั้นสูง (โกุตตรธรรม) ๒.๔.๑ ประสบการณ์ ปรากฏการณ์ปลีกย่อย และผลพลอยได้ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงความสุข ๒ แบบคือ สุข ทางกายและสุขทางใจ พระองค์เห็นว่า สุขทางใจดีกว่าสุขทางกาย ในสุข ๒ แบบคือ สุขที่เกิดจากการ ฝึกอบรมจิต/เพ่ง (ฌาน) ที่ยังมีความความอิ่มเอิบ (ปิติ) และสุขที่เกิดจากการอบรมจิต/เพ่ง (ฌาน) ที่ ไม่มีความอิ่มเอิบ พระองค์เห็นว่า สุขที่เกิดจากการอบรมจิต/เพ่ง (ฌาน) ที่ไม่มีความอิ่มเอิบดีกว่าสุขที่ เกิดจากการฝึกอบรมจิต/เพ่ง (ฌาน) ที่ยังมีความความอิ่มเอิบ (ปิติ)...สุขที่เกิดจากความวางเฉยดีกว่า สุขที่เกิดจากการเข้าไปยินดี สุขจากสมาธิดีกว่าสุขไม่มีสมาธิ...สุขที่ไม่ต้องอาศัย (อารมณ์) รูป ดีกว่าสุข ที่ต้องอาศัยรูป๗๙ การน าข้อมูลอ้างอิงมานี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นถึง การฝึกอบรมจิตจะพบประสบการณ์ที่ เรียกว่า สุขทางใจที่มีความอิ่มเอิบ แต่สุขทางใจที่มีความอิ่มเอิบนั้น ยังไม่ใช่ค าตอบที่แท้จริงของการ ฝึกอบรมจิต โดยจะเห็นชั้นของความสุขที่เริ่มจาก สุขที่มีความอิ่มเอิบ (ปีติ) → สุขที่มีความไม่อิ่มเอิบ (ปีติ) → สุขที่เกิดจากการเข้าไปยินดี → สุขจากความวางเฉย → สุขที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งมั่น/สมาธิ → สุขจากสมาธิ → สุขที่ยังเกาะเกี่ยวรูป → สุขที่ไม่ต้องเกาะเกี่ยวรูป เนื้อหาในพุทธศาสนา ระบุถึงความอิ่มเอิบ (ปีติ) ที่เกิดจากการฝึกอบรมจิต ๕ อย่างคือ (๑) ความอิ่มเอิบเล็กน้อย (ขุททกปีติ) (๒) ความอิ่มเอิบชั่วขณะ (ขณิกาปีติ) (๓) ความอิ่มเอิบเป็นระลอก (โอกกันติกาปีติ) (๔) ความอิ่มเอิบแบบโลดโผน (โอกกันติกาปีติ) (๕) ความอิ่มเอิบแบบแผ่ซ่านทั่ว สรรพางค์กาย๘๐ หนังสือทางแห่งความบริสุทธิ์ (วิสุทธิมรรค) อธิบายว่า ความอิ่มเอิบแบบเล็กน้อยคือ อาการขนลุกชันเบาๆ ไม่นานก็หายไป ความอิ่มเอิบชั่วขณะ มีการเกิดขึ้นหลายครั้ง เหมือนฟ้าแลบ แปลบปลาบ ความอิ่มเอิบเป็นระลอก จะมีการกระทบกายแล้วหายไป แล้วเกิดขึ้นอีกและหายไป เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ความอิ่มเอิบแบบโลดโผน มีพลังมาก ท าให้กายลอยจากพื้นขึ้นบนอากาศได้๘๑ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ยืนยันว่า วัณโรคที่หายไปเกิดจากการฝึกอบรมจิต ดัง ข้อความต่อไปนี้
๓๒ อาตมภาพยืนยัน รับรองได้ว่า วัณโรคของอาตมาที่เป็นนั้นหายจาก ภาวนา เพราะความรู้สภาวะที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นในจิตในใจ...อีกตัวอย่างหนึ่ง มี พระรูปหนึ่งเจ็บปวดในท้องไม่หาย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย อยู่มาวันหนึ่งท่าน อาจารย์จันทร์ เขมปัตโต ได้จับพระรูปนั้นมานั่งข้างหน้า และนั่งเพ่งดูร่างพระรูป นั้น แล้วท่านก็บอกว่า มันจะไม่เจ็บไม่ปวดได้อย่างไร คุณกินเบ็ดไปตั้งคัน มันเกาะ อยู่ที่ผนังกระเพาะ ไปให้หมอเอาออกให้แล้วจะหาย พระรูปนั้นจึงเข้าโรงพยาบาล หมอเอกซเรย์ ผ่าเอาเบ็ดออก โรคจึงหาย... คุณหมอที่เป็นลูกศิษย์อาตมภาพอยู่ที่ นครราชสีมาก็เคยเล่าให้ฟังว่า การท าสมาธิภาวนาพุทโธ ตามที่หลวงพ่อบอกนั้น จิตไม่เคยสงบ สว่าง เป็นสมาธิสักที แต่ว่ามันแปลกอย่างหนึ่ง เวลาตรวจโรค พอ จับเครื่องฟังสวมหู จิตวูบปะทะร่างคนไข้ แล้วรายงานออกมาได้ว่า เขาเป็นโรค อย่างนั้น ควรให้ยาอย่างนั้น และเมื่อไปตรวจจริง ๆ มันก็ถูกต้อง...๘๒ การฝึกฝนอบรมจิตรักษาโรคตามที่พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ระบุถึงนี้ สอดคล้องกับ ข้อมูลที่นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ กล่าวว่า เมื่อไรก็ตามที่รับรู้ความเปลี่ยนแปลงทุกชนิดที่อายตนะ ของเรารายงานเข้ามาด้วยใจที่เป็นกลาง...เมื่อนั้นก็ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดเลย มีคนไข้จ านวนมากที่ท า อย่างนี้ เป็นมะเร็งตับก้อนใหญ่ คนไข้ที่ฝึกสติรักษาโรค ยาพาราเซตมอลเม็ดเดียวก็ไม่กิน อย่าว่าแต่ มอฟีนเลย๘๓ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ระบุว่า ผู้ฝึกอบรมจิต/ฝึกสมาธิ/เจริญภาวนา จะ ยอมรับในการกระท าและผลของการกระท าและยินดีที่จะรับกรรรม การใช้หนี้ตามกฎแห่งการกระท า และสามารถตัดเวรตัดกรรมด้วยอโหสิกรรมต่อกันได้...ทางโลกได้แก่โลกิยปัญญา มีความรู้ ความ เฉลียว ความฉลาด ความสามารถ และปฏิบัติชอบ เมื่อพัฒนาจิตไปเรื่อย ๆ จะเกิดปัญญาทางธรรมคือ ฆ่าความโกรธได้จริง ก าจัดความชั่วออกไปจากตัวได้ทันที๘๔ นอกจากนั้น สามารถที่จะรับรู้ผลของการ กระท าในอดีตอย่างน้อย ๖๐ เปอร์เซ็นต์ การฝึกอบรมจิตจะช่วยบรรเทากรรมจากอดีตได้๘๕ หนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ระบุถึง เครื่องหมาย (นิมิต) ส าหรับให้จิต ก าหนด ๓ อย่าง๘๖คือ (๑) เครื่องหมายที่ใช้ก าหนดในการฝึกฝนจิต (บริกรรมนิมิต) เช่น ดิน อากาศ เป็นต้น (๒) เครื่องหมายติดตา (อุคคหนิมิต) เช่น วงของสีที่เกิดขึ้นขณะหลับตา วงของดวงจันทร์ เปลว ไฟ เป็นต้น และ (๓) เครื่องหมาย/ภาพ/เรื่องราวที่ปรากฏคล้ายเรื่องจริง (ปฏิภาคนิมิต) เช่น การเห็น ตาลปัตรทองค า ผ้าสีแดง๘๗ เป็นต้น พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ได้ยกตัวอย่างว่า เมื่อจิตสงบ บางครั้งจะเห็นภาพนิมิตต่าง ๆ เป็นคน สัตว์ เทวดา พระอินทร์ พระพรหม พระพุทธเจ้า โดยที่ จิตส านึกรายงานมาอย่างนั้น๘๘ ภาพนิมิตนี้ปรากฏเสมือนมีอยู่จริง พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ยัง ได้เล่าให้ฟังอีกว่า เคยตายเล่นๆหลายครั้ง ช่วงนั่งสมาธิภาวนา เมื่อจิตสงบ ลมหายใจละเอียด หายใจ
๓๓ แผ่ว ร่างกายค่อยๆหายไป ลมหายใจท าท่าจะหายไป นั่นคือก าลังถึงจุดแห่งความตาย...พอลมหายใจ หายขาด ร่างกายหายไปในความรู้สึก จิตจะปรากฏเด่น ลอยเด่นเฉพาะตัวไม่มีรูปร่าง มีความสว่างไสว ลอยเด่นท่ามกลางความเวิ้งว้าง จะรู้ทันทีว่าตายแล้ว...เพราะปล่อยวางความรู้สึกว่ามีกาย พอจิตสงบ ลงสู่สมาธิ คืออาการแห่งจุติหรือความเคลื่อนคือการตาย...เมื่อจุติจากร่างมนุษย์ไปจะเป็นอะไรแล้วแต่ บุญกรรม...ถ้าจิตนั้นทรงสมาธิทรงฌานจะไปเกิดเป็นพระพรหม...ถ้าอยู่ในสมาธินาน ๆ จิตส่งกระแสไป ข้างนอก บางครั้งจะไปเที่ยวคุยกับผี เทวดา เปรต เที่ยวนรกคุยกับยมบาล...๘๙ ขณะที่ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงด า) ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ในการ ฝึกอบรมจิตว่า มองเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นต่างภพ อาศัยข้าวประทังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตอื่น การได้เดินทางไปสู่ สถานการณ์ในอดีต การรู้ว่าตนเคยเกิดเป็นนักรบและอื่นๆก่อนจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ความสามารถใน การถอดจิตด้วยพลังแห่งการฝึกอบรมจิตไปสู่ภพอื่น การได้พบสิ่งมีชีวิตแปลง ความสามารถในการรับรู้ ถึงสภาพจิตของบุคคลอื่น๙๐ ๒.๔.๒ ประสบการณ์และปรากฏการณ์ของคุณธรรมชั้นสามัญ (โลกียธรรม) การฝึกอบรมจิตอย่างไม่ขาดสาย ระดับกลางๆ ที่แม้จะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของการฝึกอบรม จิต แต่เมื่อบุคคลฝึกอบรมจิตในระดับหนึ่งแล้วจะมีประสบการณ์ ปรากฏการณ์ของคุณธรรมชั้นสามัญ คือ (๑) คุณพิเศษที่เข้าถึงได้ (สมาบัติ/อนุปุพพวิหารธรรม)๙๑ อันมี ความนิ่งสงบ (อุเบกขา) หนึ่งเดียว (เอกัคคตา)๙๒ เป็นต้น (๒) องค์ความรู้ (วิชชา/ญาณ) ด้าน การระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) การรู้วาระการเคลื่อนย้ายและการเกิดของสิ่งมีชีวิต (จุตูปปาตญาณ) หยั่งรู้ (ญาณ) เหตุการณ์ในอดีต (อตีตังสญาณ) อนาคต (อนาคตังสญาณ) และปัจจุบัน (ปัจจุปันนังสญาณ)๙๓ รู้ความรู้สึกนึกคิดของคน อื่น (เจโตปริยญาณ) หูทิพย์ (ทิพพโสต) มีฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) และสามารถแสดงออกเมื่อไรก็ได้ (อิทธิวิธี) หนังสือทางแห่งความบริสุทธิ์ (วิสุทธิมรรค) ระบุ ไว้ ๑๐ อย่างคือ การอธิษฐานได้ดังใจเช่น การท าซ้ ากายได้หลายร่าง (อธิฏฐานาอิทธิ) แสดงฤทธิ์ได้หลากหลาย (วิกุพพนาอิทธิ) เช่น แปลงร่าง เป็นเด็ก แปลงร่างเป็นนาค ฤทธิ์ที่ส าเร็จได้ด้วยใจ (มโนมยาอิทธิ) เช่น เนรมิตให้เกิดสิ่งอื่นๆ ฤทธิ์ที่มี ญาณปกป้อง (ญาณวิปฺผาราอิทธิ) คือคุณวิเศษที่เกิดจากญาณ เช่นมีพลังในการป้องกันตนเอง ฤทธิ์ที่มี สมาธิปกป้อง (สมาธิวิปผาราอิทธิ) เช่นความไม่รู้สึกเจ็บปวดจากการถูกตี เป็นต้น ฤทธิ์ของพระอริยะ (อริยาอิทธิ) ที่ปลอดจากภาษาและความเข้าใจของคนทั่วไป เช่น ความวางเฉยต่อสิ่งที่สัมผัส ฤทธิ์ที่ เกิดจากผลกรรม (กรรมวิปากชาอิทธิ) ได้แก่ธรรมชาติที่เกิดเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เช่นการเหาะไป ทางอากาศของสัตว์บางชนิดเช่นเทวดา ยักษ์บางจ าพวก ฤทธิ์ของผู้มีบุญ (ปุญญวโตอิทธิ) ได้แก่สิ่ง พิเศษที่เกิดเฉพาะคนเช่น การเกิดมาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บจนกระทั่งตายไป การมีอาหารหรือทรัพย์สิน เล็กน้อยแต่สามารถเลี้ยงคนได้จ านวนมาก ฤทธิ์ที่ส าเร็จจากวิชชา (วิชชามยาอิทธิ) เช่น ฤทธิ์ของเหล่า วิทยาธรที่สามารถแสดงช้างกลางอากาศได้ และฤทธิ์ที่หมายถึงความส าเร็จเพราะความเพียรท าในสิ่ง
๓๔ นั้น ๆ (ตัตถ ตัตถ สัมมา ปโยคปัจจยา อิชฌนัฏเฐน อิทธิ)๙๔ (๓) องค์ความรู้ที่เกิดเฉพาะจากการ ฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้ง (วิปัสสนาญาณ) คือการเห็นความเกิด-ดับของสรรพสิ่ง (อุทยัพพยา นุปัสสนาญาณ) การเห็นความสลาย (ภังคานุปัสสนาญาณ) การมองเห็นโทษ (อาทีนวานุปัสสนาญาณ) การหยั่งรู้ทางไปสู่ความหลุดพ้น (มัคคญาณ)๙๕ เป็นต้น ๒.๔.๓ ประสบการณ์และปรากฏการณ์ของคุณธรรมชั้นสูง (โลกุตตรธรรม) การฝึกอบรมจิตจนถึงที่สุด จะมีประสบการณ์และปรากฏการณ์ทางคุณธรรมชั้นสูง ๙ อย่าง ดังนี้(๑) สัมผัสกระแสที่จะน าไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือความสงบเย็น (โสดาปัตติมรรค) ในชั้นนี้สามารถ สลัดเครื่องตรึงบุคคล (สังโยชน์) ให้เวียนเกิดเวียนตาย (วัฏฏสงสาร) ในวังวนแห่งทุกข์ ออกได้ ๓ ตัว คือ การยึดมั่นในตัวตน ของตน (สักกายทิฏฐิ) ความลังเลสงสัยในธรรม (วิจิกิจฉา) และ ความยึดมั่นใน ศีลพรต (๒) สัมผัสผลของการเข้าถึงกระแสความสงบเย็น (โสดาปัตติผล) (๓) นอกจากได้คุณธรรม ข้างต้นคือ การไม่ยึดมั่นในตัวตนของตน การไม่ลังเลสงสัย การไม่ยึดมั่นในศีลพรตแล้ว ยังท าความ ก าหนัดยินดีในสิ่งน่าสัมผัสยินดี (กามราคะ) และความคับแค้น หงุดหงิดทางใจ (ปฏิฆะ) ให้เบาบางลง จะอยู่ในชั้นของผู้มีกิเลส (กามภูมิ) อีกสักครั้งหนึ่ง (สกทาคามิมรรค) (๔) สัมผัสผลของการละความยึด มั่นในตัวตนของตน ความลังเลสงสัย ความยึดมั่นในศีลพรตแล้ว และท าความก าหนัดยินดีในสิ่งน่า สัมผัสยินดี (กามราคะ) และความคับแค้น หงุดหงิดทางใจ (ปฏิฆะ) ให้เบาบางลง (สกทาคามิผล) (๕) สามารถละเครื่องผูกมัดใจเบื้องต่ า (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ ได้เด็ดขาด คือ สลัดทิ้งความยึดมั่นใน ตัวตนของตน ความลังเลสงสัย ความยึดมั่นในศีลพรตแล้ว ความก าหนัดยินดีในสิ่งน่าสัมผัสยินดี (กาม ราคะ) และความคับแค้น หงุดหงิดทางใจ (ปฏิฆะ) ออกเสียได้อย่างหมดจด เป็นผู้ไม่หวนกลับไปอยู่ใน ชีวิตที่ให้ความส าคัญกับความปรารถนาอีกแล้ว(อนาคามิมรรค) (๖) สัมผัสผลของการละเครื่องผูกมัด ใจเบื้องต่ า (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ ได้เด็ดขาด (อนาคามิผล) (๗) สามารถละเครื่องผูกมัดใจเบื้อง ต่ า (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ และเครื่องผูกมัดใจเบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) ที่ละเอียดยิบย่อยได้ เด็ดขาด อีก ๕ อย่างคือ ความติดใจในรูปธรรม (รูปราคะ) ความคิดใจในอรูปธรรม (อรูปราคะ) ความ ถือตน (มานะ) ความฟุ้งซ่าน (อัทธัจจะ) และความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสที่เคยซ่อนสุม ในจิตใจได้แบบเบ็ดเสร็จ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ (อรหัตตมรรค) (๘) สัมผัสผลของการละเครื่องผูกมัดใจเบื้อง ต่ า (โอรัมภาคิยสังโยชน์) และเบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) ได้แบบเบ็ดเสร็จ (อรหัตตผล) และ (๙) ดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งหมด เข้าสู่ความสงบเย็น (นิพพาน)๙๖
๓๕ บทที่ ๓ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ตอนท้ายของบทที่ผ่านมาได้กล่าวถึงประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝน อบรมจิตของนักปฏิบัติไว้เพียงน้อยนิดโดยยังไม่ได้ลงรายละเอียด บทนี้จะได้วิเคราะห์ประสบการณ์ พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมที่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น เนื้อหาที่น ามาวิเคราะห์จะเป็น ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิตผ่านค าบอกเล่าของนักปฏิบัติชั้นครู/ อาจารย์ เช่น พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร/หลวงพ่อฤาษีลิงด า) พระราชสังวรยาน (พุธ ฐานิโย) พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) เป็นต้น ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝน อบรมจิตผ่านค าบอกเล่าของนักการศึกษา/ผู้ก าลังเรียนรู้ที่สื่อผ่านสื่อสาธารณะและค าให้การสัมภาษณ์ ตลอดถึงการทดลองฝึกฝนอบรมจิต อนึ่ง ในการน าประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิตผ่านค าบอกเล่า ของนักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ และประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิตผ่านค า บอกเล่าของนักการศึกษา/ผู้ก าลังเรียนรู้จะให้ความส าคัญต่อข้อมูลที่สื่อสารผ่านสื่อสาธารณะแล้ว เหตุผลเพราะ การเผยแพร่สาระเหล่านั้นต่อสาธารณะแล้ว มีนัยของจิตสาธารณะที่ไม่ได้สงวนไว้ในตัว นอกจากนั้นจะเป็นการร่วมสนับสนุนประโยชน์สาธารณะผ่านการเผยแพร่ไปในตัว ส่วนสาระจากการ สัมภาษณ์นั้น จะขออนุญาตเผยแพร่เป็นข้อเขียน กรณีที่เจ้าของข้อมูลต้องการปกปิดสถานะของตน จะใช้ “ชื่อแทน” แทนชื่อผู้ให้การสัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม ในบทนี้จะเริ่มต้นด้วยแนวคิดส าคัญของประสบการณ์พิเศษและปรากฎการณ์ จากการฝึกฝนอบรมจิตก่อน เพื่อเป็นฐานคิดที่ส าคัญของประสบการณ์พิเศษฯ จากนั้นจะวิเคราะห์ถึง ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิตผ่านค าบอกเล่าของนักปฏิบัติชั้นครู/ อาจารย์ ค าบอกเล่าของนักการศึกษา/ผู้ก าลังเรียนรู้ และการทดลองฝึกฝนอบรมจิตตามล าดับ ๓.๑ แนวคิดส าคัญของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ๓.๑.๑ แนวคิดเรื่องสมาธิและปัญญา เป้าหมายทั่วไปของการฝึกฝนอบรมจิตจะคือสมาธิและปัญญา เมื่อพิจารณาผ่านแนวคิดเรื่อง การศึกษา ๓ อย่าง (ไตรสิกขา) สมาธิและปัญญาจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
๓๖ สมาธิ (Concentration) แปลว่า ความตั้งมั่นแห่งจิต/ภาวะที่จิตสงบนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว๙๗ ส่วนปัญญา (Knowledge; Understanding) แปลว่า ความรอบรู้๙๘ โดยทั่วไป ผู้ศึกษาแนวคิดในพุทธ ศาสนาจะเข้าใจว่า ปัญญาจะเกิดหลังสมาธิ ฐานความคิดดังกล่าวมาจากแนวคิดเรื่องการศึกษา ๓ อย่าง (ไตรสิกขา) คือ ศีล สมาธิและปัญญา แต่หากศึกษาผ่านแนวคิดเรื่องเส้นทางแห่งความดีงาม/ ทางอันประเสริฐ (อริยมรรค) จะพบว่า สมาธิ อยู่ล าดับสุดท้ายคือ ความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ/ Right Understanding) การคิดที่ถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ/Right Thought) การพูดที่ถูกต้อง (สัมมาวาจา /Right Speech) พฤติกรรมที่ถูกต้อง (สัมมากัมมันตะ/Right Action) การเลี้ยงชีวิตที่ ถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ/Right Livelihood) ความพยายามที่ถูกต้อง (สัมมาวายามะ/Right Effort) การ ระลึกที่ถูกต้อง (สัมมาสติ/Right Mindfulness) และ ความตั้งมั่นแห่งจิตที่ถูกต้อง (สัมมาสมาธิ/ Right Concentration) โดยท่านจัด ๒ ส่วนแรก เป็น “ปัญญา” และจัด ๓ ส่วนหลังเป็น “สมาธิ” ๙๙ อาจท าให้เกิดความคิดว่า ก่อนหรือหลังอาจไม่ส าคัญเท่ากับความสามารถในการบูรณาการทุกส่วนใน ช่วงเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ทั้ง ๓ ส่วนตามแนวคิดเรื่องการศึกษา ๓ อย่าง (ไตรสิกขา) จะเชื่อมโยง ระหว่างกันอย่างพอดีขณะฝึกฝนอบรมตน และทั้ง ๘ ส่วนตามแนวคิดเรื่องเส้นทางแห่งความดี (อริยมรรค) ควรเชื่อมโยงระหว่างกันอย่างพอดีแล้วจะส่งผลให้เกิดคุณค่าที่พึงประสงค์ที่ขยับความลึก ล้ าไปจนถึงความสงบเย็นอย่างยั่งยืน (นิพพาน) อันเป็นประสบการณ์และปรากฏการณ์สุดท้ายของการ ฝึกฝนอบรมจิต สมาธิในเนื้อหาที่พุทธศาสนาจัดไว้มีทั้งสมาธิพื้นฐานและสมาธิชั้นสูง/ลึกล้ า ดังต่อไปนี้ สมาธิแห่งธรรม (ธรรมสมาธิ) ๕ ประการ ประกอบด้วย ความชื่นบาน (ปราโมทย์) ความอิ่ม เอิบใจ (ปีติ) ความสงบ (ปัสสัทธิ) ความสุข (สุข) และความมั่นคงแห่งจิต (สมาธิ)๑๐๐ พระพรหมคุณา ภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เห็นว่า สมาธิแห่งธรรมนี้คือก าลังส าคัญที่จะน าไปสู่สมาธิขั้นสูงขึ้น๑๐๑ ชั้นของสมาธิจะมีอยู่ ๓ คือ สมาธิแบบชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) สมาธิแบบกึ่งความสงบนิ่ง/จวน จะสงบนิ่ง (อุปจารสมาธิ) และ สมาธิแบบแนบแน่นไม่หวั่นไหว/สงบนิ่ง (อัปปนาสมาธิ) ส่วนสมาธิชั้นสูง/ลึกล้ าจะเป็นสมาธิที่ผสานกับปัญญาเชิงลึกคือ สมาธิผ่านการพิจารณาเห็น ความว่าง (สุญญตสมาธิ/สุญญตวิโมกข์) สมาธิผ่านการเห็นความไม่มีเครื่องหมาย/นิมิต (อนิมิตตสมาธิ/ อนิมิตตวิโมกข์) และสมาธิผ่านการพิจารณาเห็นความไม่น่าปรารถนา (อัปปณิหิตสมาธิ/อัปปณิหิต วิโมกข์)๑๐๒ โดยรวมคือสมาธิผนวกเข้ากับปัญญาในการพิจารณาเห็นลักษณะที่เป็นจริงของชีวิต ๓ ประการ (ไตรลักษณ์) คือ ความไม่มีตัวตนของสรรพสิ่ง (อนัตตตา) ความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต (อนิจจ ตา) และ ความเป็นทุกข์ของชีวิต (ทุกขตา)๑๐๓ ปัญญาในเนื้อหาพุทธศาสนามี ๓ ระดับคือ ความรู้ที่เกิดจากการคิด (จินตามยปัญญา) ความรู้ ที่เกิดจากการฟัง (สุตมยปัญญา) และความรู้ที่เกิดจากการฝึกฝนอบรม (ภาวนามยปัญญา) ๑๐๔ วิภังค ปกรณ์ ระบุว่า ความรู้ที่ไม่ได้ผ่านการฟังหรือเรียนรู้จากใคร ๆ แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการสะสมผ่าน
๓๗ การกระท าในอดีต (กัมมัสสกตาญาณ) หรือความรู้ที่ผุดเกิดปรารภความจริง (สัจจานุโลมิกญาณ) เห็น ความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต (นามรูป) เรียกว่าความรู้ที่เกิดจากการคิด (จินตามยปัญญา) ข้อมูลที่เกิดขึ้น จากเรียนรู้/ฟังจากคนอื่นเกี่ยวกับความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต (นามรูป) เรียกว่า ความรู้เกิดจากการฟัง (สุตตมยปัญญา) ส่วนปัญญาของผู้เข้าถึงคุณวิเศษที่บุคคลควรเข้าถึง (สมาบัติ) เรียกว่า ความรู้ที่เกิด จากการฝึกฝนอบรม (ภาวนามยปัญญา)๑๐๕ ปัญญาของผู้เข้าถึงคุณวิเศษนี้เองคือปัญญาในชั้นของสมาธิแบบแนบแน่น/สงบนิ่ง (อัปปนา สมาธิ) แบ่งเป็น สมาธิแบบทั่วไป (โลกิยสมาธิ) และสมาธิชั้นสูง/ละเอียดลึกซึ้ง (โลกุตตรสมาธิ) ๓.๑.๒ แนวคิดเรื่องวิชชาและอภิญญา๑๐๖ วิชชา (Knowledge) แปลว่า ความรู้ที่วิเศษ แบ่งเป็น วิชชา ๓ ๑๐๗ คือ ปรีชาหยั่งรู้อดีต (ปุพ เพนิวาสานุสสติญาณ/reminiscence of past lives) ปรีชาหยั่งรู้การเคลื่อนย้ายและการเกิดของ สิ่ง มี ชี วิ ตทั้งห ล า ย (จุ ตูปป า ต ญ า ณ/knowledge of the decease and rebirth of beings; clairvoyance) และ ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปของสิ่งเคลือบจิตไม่ให้บรรลุความดี (อาสวะ) /ปรีชาหยั่งรู้ ความสิ้นอาสวะ (อาสวักขยญาณ/knowledge of the destruction of mental intoxication) และ วิชชา ๘ คือ ความรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งต่อลักษณะที่เป็นจริงของสรรพสิ่ง (วิปัสสนาญาณ) ฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) การแสดงฤทธิ์ได้ (อิทธิวิธา) หูทิพย์ (ทิพพโสต) ก าหนดรู้ความคิดของคนอื่น (เจโตปริย ญาณ) ระลึกอดีตได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติ) ตาทิพย์ (ทิพพจักษุ) และปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นอาสวะ (อาส วักขยญาณ)๑๐๘ อภิญญา (super knowledge; ultra-conscious insight) แปลว่า ความรู้ชั้นยอด/ยิ่งยวด มี ๖ ประการคือ ความสามารถในการแสดงฤทธิ์ (อิทธิวิธา) หูทิพย์ (ทิพพโสต) ปรีชาหยั่งรู้ใจคนอื่น/ ความคิดคนอื่น (เจโตปริยญาณ) ระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติ) ตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) และปรีชาใน การท าอาสวะให้สิ้น (อาสวักขยญาณ)๑๐๙ เมื่อน าวิชชาและอภิญญามาเทียบเคียง จะได้ดังนี้ วิชชา 8 อภิญญา 6 วิชชา 3 ชั้นของความรู้ วิปัสสนาญาณ ความรู้พิเศษ มโนมยิทธิ อิทธิวิธา อิทธิวิธา ทิพพโสต ทิพพโสต เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติ ปุพเพนิวาสานุสสติ ปุพเพนิวาสานุสสติ
๓๘ ทิพพจักษุ ทิพพจักขุ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณ ความรู้พิเศษชั้นสูง ๓.๑.๓ ฌานสมาบัติ ค าว่า “ฌานสมาบัติ” เป็นการเรียกควบระหว่างค าว่า “ฌาน” ที่แปลว่า “การเพ่ง” หรือ การ รวมความสนใจไว้ที่จุดใดจุดหนึ่ง และค าว่า “สมาบัติ” ที่แปลว่า “คุณวิเศษที่เข้าถึงได้”/“สภาวะ พิเศษที่บุคคลเข้าถึงพร้อม” ฌานจะเป็นหน่วยย่อยของสมาบัติ ขณะเดียวกันจะมีหน่วยของฌานย่อยลงไปอีก อย่างไรก็ ตาม บางแห่งจะเรียกรวมกันว่า “ฌาน” ขณะที่บางแห่งจะเรียกรวมกันว่า “สมาบัติ” ภาษาที่สื่อสาร ระหว่างผู้ศึกษาจะเรียกรวมกันว่า “ฌานสมาบัติ” สมาบัติ มีอยู่ ๒ ส่วนๆ ละ ๔ รวมกันเป็น ๘ คือ รูปฌาน ๔ และ อรูปฌาน ๔ ขณะเดียวกัน ฌานจะมีอยู่ ๘ ประกอบด้วย ๒ ส่วนๆละ ๔ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ เช่นเดียวกัน รูปฌาน๑๑๐ หมายถึง การเพ่ง/การรวมความสนใจไว้ที่ธรรมที่ปรากฏรูป ประกอบด้วย (๑) การเพ่งที่ ๑ (ปฐมฌาน) จะมีภาวะที่จิตสงบปลอดจากความไม่ดี (อกุศลธรรม) และสิ่งน่า ใคร่น่าปรารถนา (กาม) ระงับลง แต่ยังคงมีการตรึกตรอง (วิตก) การใคร่ครวญ (วิจารณ์) ความอิ่มใจ (ปิติ) และความสุขที่เกิดจากความสงบอยู่ (๒) การเพ่งที่ ๒ (ทุติยฌาน) จะมีภาวะที่จิตผ่องใส ยุติการตรึกตรองและใคร่ครวญ แต่ยังคงมี ความอิ่มใจ และความสุขแห่งจิตที่ตั้งมั่น (สมาธิ/เอกัคคตา) อยู่ (๓) การเพ่งที่ ๓ (ตติยฌาน) ล าดับแห่งความอิ่มใจบางลง ส่งผลต่อภาวะจิตนิ่งอย่างรับรู้ได้ (อุเบกขา) มีสติและการรู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) (๔) การเพ่งที่ ๔ (จตุตถฌาน) ปลอดทุกข์และสุข ดับความดีใจ (โสมนัส) และเสียใจที่ผ่านมา ลงได้ (โทมนัส) จิตสงบนิ่ง (เอกัคคตา) และสติเต็มก าลัง/สติบริสุทธิ์ อรูปฌาน๑๑๑ หมายถึง การเพ่งความไร้รูปเป็นอุปกรณ์จูงจิต (อารมณ์) ประกอบด้วย (๑) การก าหนดอากาศหรือช่องว่างอันไม่มีที่สุดเป็นตัวเชื่อมโยงจิต (อากาสานัญจายตนะ) โดยเริ่มจากการออกจากการให้ความส าคัญต่อรูป (รูปสัญญา) การดับความมั่นหมายที่จะ ให้หม่นหมอง (ปฏิฆสัญญา) และการไม่ใส่ใจต่อความไม่จ าเป็นต้องหมายมั่นต่อความไม่มี ตัวตน (นานัตตสัญญา) แล้วใส่ใจต่ออากาศ/ความไร้รูปที่แผ่กว้าง (อนันตะ)
๓๙ (๒) การก าหนดวิญญาณแผ่กว้างไม่มีสิ้นสุดเป็นตัวรองรับความมีอยู่แห่งจิต (วิญญาณัญจายต นะ) อันเป็นล าดับถัดจากการผ่านช่วงการเชื่อมโยงจิตต่ออากาศ (๓) การก าหนดภาวะที่ไม่มีอะไรเลยเป็นตัวรองรับความมีอยู่แห่งจิต (อากิญจัญญาจตนะ) (๔) การก าหนดภาวะที่มีการหมายรู้ได้ (สัญญา) ก็ไม่ใช่ ไม่มีที่หมายรู้ (สัญญา) ก็ไม่ใช่ เป็นตัว รองรับความมีอยู่แห่งจิต (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) ๓.๑.๔ โลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรม หมายถึง ธรรมที่พ้นไปจากวิถีแบบโลกๆ มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องกว่าวิถีแบบ โลกๆ โดยวิถีแบบโลกๆไม่อาจครอบง าได้อีก และตัดขาดจากวิถีแบบโลกๆได้แล้ว๑๑๒ มี ๙ ประการ ประกอบด้วย มรรค ๔ ผล ๔ และ นิพพาน มรรค ในที่นี้จะหมายถึง ทางของบุคคลผู้ประเสริฐและบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสแล้ว/ทางของ บุคคลชั้นยอด (อริยบุคคล) ประกอบด้วย (๑) ทางของผู้แรกถึงกระแสแห่งความสงบเย็น (นิพพาน) / ทางน าไปสู่ความเป็นพระ โสดาบัน (โสตาปัตติมรรค) (๒) ทางของผู้จะกลับมาเกิดในภพที่ยังพัวพันกับสิ่งน่าใคร่ (กามภพ) อีกครั้งเดียว (สกทาคามิมรรค) (๓) ทางของผู้ไม่หวนกลับมาเกิดในภพที่ยังพัวพันผ่านความต้องการอีก (สกทาคามิมรรค) (๔) ทางสู่ความเป็นอรหันต์ (อรหัตตมรรค) ผล ในที่นี้จะหมายถึง ผลอันเกิดจากการละสิ่งที่ท าให้จิตใจเศร้าหมอง (กิเลส) ของบุคคลชั้น ยอด (อริยบุคคล) ประกอบด้วย (๑) ผลแห่งผู้เข้าถึงกระแสความสงบเย็น (โสดาปัตติผล) (๒) ผลแห่งผู้จะหวนกลับมาสู่ภพที่พัวพันสิ่งน่าใครอีกครั้งเดียว (สกทาคามิผล) (๓) ผลแห่งผู้ไม่หวนกลับมาสู่ภพที่พัวพันผ่านความต้องการอีกแล้ว (อนาคามิผล) (๔) ผลคือความเป็นอรหันต์ / ผู้หมดสิ้นสิ่งที่ท าให้จิตใจเศร้าหมองได้อย่างสิ้นเชิง (อรหัตตผล)๑๑๓ อนึ่ง มรรค ๔ และ ผล ๔ นี้ สัมพันธ์กับสิ่งที่ท าให้จิตใจเศร้าหมอง (กิเลส) อันผูกมัดจิตใจของ สิ่งมีชีวิต (สัตว์) ไม่ให้พ้นจากทุกข์ เรียกว่า “สังโยชน์” มี ๑๐ ประกอบด้วย (๑) ความเห็นว่าตัวตนของ ตน / ความเข้าใจว่าตัวตนของตน (สักกายทิฏฐิ) (๒) ความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) (๓) ความยึดมั่นในศีล
๔๐ และวัตรปฏิบัติ (สีลัพพตปรามาส) โดยขาดมิติของสมาธิและปัญญา (๔) ความชื่นชมยินดีในสิ่งน่าใคร่ น่าปรารถนา (กามราคะ) (๕) ความหงุดหงิดขัดเคือง (ปฏิฆะ) (๖) ความชื่นชมยินดีในอารมณ์มีรูป/รูป ฌาน (รูปราคะ) (๗) ความชื่นชมยินดีในอารมณ์ไร้รูป/อรูปฌาน (อรูปราคะ) (๘) ความถือตัวถือตน (มานะ) (๙) ความซุ้งซ่าน (อุทธัจจะ) (๑๐) ความไม่รู้ สิ่งที่ท าให้จิตใจเศร้าหมองอันผูกจิตใจสิ่งมีชีวิตไว้กับทุกข์นี้ ท่านแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลพัตตปรามาส กามฉันทะ/กามราคะ และพยาบาท/ปฏิฆะ จัดเป็นชนิดหยาบ/ เบื้องต่ า ส่วนที่เหลือจัดเป็นชนิดละเอียด/เบื้องสูง๑๑๔ โสดาปัตติมรรค สามารถละ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา และสีลพัตตปรามาส ได้ สกทาคามิมรรค สามารถละ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา และสีลพัตตปรามาส ได้ และท า ความ ก าหนดยินดี (ราคะ) ความโกรธเคือง (โทสะ) และความหลงเลินเล่อ (โมหะ) ให้เบาบางได้ อนาคามิมรรค สามารถละสิ่งที่ท าให้จิตใจเศร้าหมองอันผูกจิตใจสิ่งมีชีวิตไว้กับทุกข์ (สังโยชน์) ชนิดหยาบได้ อรหัตตมรรค สามารถละสิ่งที่ท าให้จิตใจเศร้าหมองอันผูกจิตใจสิ่งมีชีวิตไว้กับทุกข์ทั้งชนิด หยาบและละเอียดให้หมดลงได้ นิพพาน แปลว่า ความดับสนิท จะมีอยู่ ๒ ลักษณะคือ (๑) ความสิ้นความก าหนัดยินดี (ราคะ) ความคิดประทุษร้าย (โทสะ) ความเขลา/หลง (โมหะ) แต่ยังรับรู้สุขและทุกข์อยู่๑๑๕ (๒) ดับสิ่งที่ท าให้ จิตใจเศร้าหมอง (กิเลส) อย่างสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดท าให้กระเพื่อมได้อีก มีความสงบเย็น๑๑๖ จัดท าเป็นแผนผังเชิงสัมพันธ์ได้ดังนี้
ผล ทาง บุคคลที่ ๔ บุคคลที่ ๓ ผู้ไม่หวนกลับมาเกิดใน กามภพอีก (พระอนาคามี) ผู้หมดสิ้นสิ่งที่ท าให้จิตใจ เศร้าหมอง (พระอรหันต์) อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล และ ละความชื่นชมยินดี ในสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนา ความหงุดหงิดขัดเคือง ชนิดหยาบ ๕ ชนิดละเอียด ๕ และ ละยินดีในรูป อรูป ความถือตน ความซุ้งซ่าน ความไม่รู้ บุคคลชั้นยอด (อริยบุคคล)
๔๑ ผู้เข้าถึงกระแสความสงบ เย็น/นิพพาน (พระโสดาบัน) ผู้จะกลับมาเกิดในกามภพ อีกครั้ง (พระสกทาคามี) บุคคลที่ ๒ บุคคลที่ ๑ สังโยชน์ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล ละหลงตัวตน - ลังเลสงสัย - ยึดมั่นศีลพรต และท าราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง บุคคลทั่วไป (ปุถุชน)