๔๒ ๓.๒ ประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิตและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต ผ่านค า บอกเล่าของนักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ ๓.๒.๑ ภาวะแห่งจิตที่สงบ จิตสงบ คือผลทั่วไปของการฝึกฝนอบรมจิต พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) กล่าวว่า เมื่อ ฝึกฝนอบรมจิต (ภาวนา) ไปเรื่อย จะมีอาการเคลิ้มเหมือนง่วงนอน อาการนี้แสดงถึงจิตก าลังก้าวสู่ ความสงบ...จากนั้นจิตจะสว่างขึ้น..ระหว่างที่จิตก าหนดลมหายใจโดยไม่ขาดระยะ อาจมีอาการตัวสั่น กายเบาเหมือนจะลอย ตัวสูงใหญ่หรือเล็ก ให้ก าหนดรู้ที่จิตและลมหายใจเท่านั้น จนกว่าจิตจะสงบ ละเอียดทีละน้อย ลมหายจะจางหายไป จากนั้นลมหายใจจะหายขาด จากนั้นกายจะหายไป จิตจะ สงบนิ่ง เด่น มีความสว่างไสว เหลือเพียงจิตดวงเดียวล้วน สว่างไสว นี้เรียกว่า “อัปปนาสมาธิ” คือจิต สงบสู่สภาวะเดิมของจิตที่ยังไม่ส่งกระแสสู่การรับรู้ภายนอก...เป็นจิตใสสะอาดบริสุทธิ์” ๑๑๗ ข้อความนี้ จะท าให้เห็นถึงภาวะแห่งจิตใน ๓ ช่วงที่สืบต่อก่อนพัฒนาไปสู่จิตสงบ จิตที่สงบจะคือจิตที่สว่างและ รับรู้เพียงจิตล้วน ๆ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ได้อธิบายถึงแนวทางในการฝึกจิตโดยใช้สติตามดูลมหายใจ เมื่อฝึกไประยะหนึ่งลมหายใจจะเบา และลมหายใจไม่มี จากนั้นจิตจะเบา กายเบา เหลือเพียงการรับรู้ อันเดียว เรียกว่า “จิตเปลี่ยนไปสู่ความสงบ”...ผู้รู้คือ “จิต” ความรู้สึกติดตามดูจิตเรียกว่า “สติ”...๑๑๘ ขณะที่พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ได้กล่าวถึงประสบการณ์ในการแก้ปัญหาจิตที่เสื่อม ด้วยการตั้งจิตใหม่โดยให้จับค าบริกรรมด้วยสติตลอดเวลา จะไม่ให้เผลอตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ให้สติกับค าบริกรรมติดแน่นและปล่อยจิตให้ปลอดจากความกังวลเรื่องความเสื่อมและความเจริญของ จิต แต่จะไม่ปล่อยสติที่มีต่อค าบริกรรม ไม่นานจะมองเห็นความละเอียดของจิต ค าบริกรรมและจิตจะ เป็นอันเดียวกัน จากนั้นค าบริกรรมจะหายไป สิ่งที่มีคือจิตลอยเด่นอย่างละเอียดลออ จากนั้นให้ตั้งสติ ไว้ที่จิตนั้น เรียกว่า “ธรรมชาติที่รู้ด้วยสติ” เมื่อถึงจุดหนึ่งจิตจะคลี่คลาย จิตจึงถอย จะปรากฏค า บริกรรม จะพบว่า เวลาที่จิตละเอียดจะเหลือแต่การรู้ล้วน ๆ จะไม่มีค าบริกรรม จิตแบบปลอดจากค า บริกรรมคือจิตที่สงบ เมื่อฝึกจนช านาญอย่างจริงจัง จิตที่สงบจะไม่เสื่อม...ความแน่นหนามั่นคงจะแน่น จิต+ชีวิตทั่วไป เคลิ้ม สว่าง
๔๓ หนาตามล าดับจนจิตเป็นสมาธิ...ความสงบกับสมาธิไม่เหมือนกัน ความสงบคือจิตสงบลงไป/รวมลงไป หนหนึ่งแล้วถอนขึ้น เรียกว่า “สงบเป็นครั้งคราว” เมื่อสงบลงไปและถอนขึ้นหลายครั้งหลายหนคือ การสร้างความมั่นคงภายในตัว จนกระทั่งจิตแน่นหนามั่นคงจากความสงบที่สั่งสมก าลังติดต่อกันจึง กลายเป็นสมาธิแบบแน่นหนามั่นคง จึงเรียกว่า “จิตเป็นสมาธิ” (โดยสรุป) ฐานของจิตคือความสงบที่ แน่นหนามั่นคงคือสมาธิ๑๑๙ จากประสบการณ์ฝึกฝนอบรมจิตของพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) และ พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) ท าให้เห็นถึงภาวะที่จิตสงบจากการเปลี่ยน สภาพจิตแบบทั่วไปสู่จิตที่สว่าง อันเป็นสภาวะ/ความมีความเป็นที่ต่างสภาพกัน คุณลักษณะของจิตที่ สงบคือจิตที่สว่างตามแนวคิดของพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) และเป็นสภาวะเดียวกันกับจิต มั่นคง/สมาธิ หรือจิตอิ่มอารมณ์ อันมีที่มาจากจิตสงบแบบชั่วคราวสู่ความมั่นคงแน่นหนา ตามแนวคิด ของพระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) จะคือ จิตดวงเดียวล้วน สว่างไสว คือ “อัปปนาสมาธิ” ตามที่พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ได้อธิบายไว้ ๓.๒.๒ การเข้าใจความจริงของชีวิต การมองเห็นความจริงของสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏคือร่างกายที่สวยงาม แต่ความจริง เบื้องหลังความสวยงามที่ปรากฏคือความสกปรกที่ปิดไว้ด้วยสิ่งอื่น อย่างที่พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน) กล่าวว่า “...ร่างกายเรานี้คือป่าช้าผีดิบ ส้วม ฐาน...มีผิวหนังปิดไว้ หลอกลวงทั้งตัวเรา และผู้อื่น หลอกลวงโลก...เมื่อแยกผิวหนังออกไปอีก ผิวหนังมีเหงื่อไคลไม่สะอาด เมื่อหยั่งเข้าไปจะ เห็นเนื้อ ยิ่งสกปรก...จากนั้นจะถอนความรักความชัง ราคะตัณหาออกได้ การที่เป็นราคะตัณหาเพราะ หลงต่อความสวยงาม เพราะรัก ชอบใจ ก าหนัดยินดี แต่เมื่อเห็นเป็นป่าช้าผีดิบก็จะถอนตัวออก...เมื่อ เข้าถึงอสุภะจะพบว่า จิตนี้เองเป็นผู้สร้างความสวยงามและความไม่สวยงามขึ้น จากนั้นจิตจะปล่อย ราคะตัณหา” ๑๒๐ สอดคล้องกับที่พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) กล่าวว่า “ร่างกายนี้จะอยู่ได้สักกี่วัน วันคืนล่วงไป ชีวิตเหมือนผีหลอก ร่างกายของคน-สัตว์...มีสภาพเหมือนผีหลอก...เกิดมาเป็นเด็ก โตที ละน้อย หลอกให้เห็นว่าโตขึ้น ... เมื่อร่างกายสมบูรณ์มีความเป็นหนุ่มสาว...ปรารถนากัน...อยากเคล้า เคลียร์อยู่เป็นคู่สามีภรรยา..จะคือหลอกว่าเขาสวย ดี น่ารัก สะอาด สดใส ร่างกายใครดี สวย สะอาด มีที่ไหน ใครบ้างไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ าเลือด น้ าเหลือง น้ าหนอง เสลด น้ าลาย...ถ้าร่างกายมีก็ แสดงว่าร่างกายสกปรก ท าไมจึงต้องไปหลงรักสิ่งที่มีสภาพสกปรก..ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรก หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ มีความเสื่อมไปตามสภาพทุกวัน ไม่ช้าก็ตาย...” ๑๒๑ พระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทาจาโร) ยกกรณี “ผม” ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายว่า...ร่างกายของเรา..ถ้าไม่มีหนังห่อหุ้ม ก็อยู่ ไม่ได้ หนังหล่อเลี้ยงให้ผมขนไหลออกมาให้ดู ธาตุแท้ไม่ใช่ของสวยงาม เป็นปฏิกูล...ถ้าร่างกายตาย เมื่อใด ผมก็จะเพิ่มความสกปรก เหม็นสาบเหม็นคาว แม้เวลาที่เขาจัดด้วยดอกไม้ ธาตุแท้ภายในหรือ
๔๔ ในโลงเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ๑๒๒ ท่านยังกล่าวถึงความจริงของชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือ “ความตาย” ดังข้อความว่า “ความจริงแล้ว ร่างกายของมนุษย์ตายไปทุกวัน คืน เดือน ปี...ผมที่หงอก ก็ตาย ฟันในปากก็ตาย...เราตายทุกลมหายใจ...นั่งก็ตายได้ นอนก็ตายได้ เด็กก็ตายได้ หนุ่มก็ตายได้ คนแก่ยิ่งตายเร็ว...” ๑๒๓ ขณะที่ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เปรียบเทียบบ้านเหมือนร่างกาย ผู้อยู่ อาศัยเหมือนจิตใจว่า “กายของเราเหมือนบ้านที่อยู่อาศัย บ้านไม่รู้สึกสุขไม่รู้สึกทุกข์ ... ไม่ได้ต่อว่าใคร เพราะไม่รู้เรื่องอะไร แต่เราที่คิดว่าเป็นเจ้าของบ้าน คิดว่าบ้านนี้เป็นของเรา เมื่อมีอะไรผุพัง ก็เสียใจ เสียดาย เพราะยึดว่าเราเป็นเจ้าของ ใจก็ยึดว่าร่างกายนี้เป็นบ้านของตัว ยึดกระทั่งเป็นตัวของตัวเอง เมื่อยึดลึกลงไปก็ถอนไม่ขึ้น” ท่านยังเล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ตายว่า อาตมเคยตายเล่นๆหลายที แล้ว ขณะที่ตายลงไปนั้น ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่มักกลัวก่อนตาย เช่นขณะภาวนา เมื่อจิตสงบลงไป ลม หายใจละเอียด หายใจแผ่ว ร่างกายและลมหายใจท าท่าจะหายไป นี่คือเริ่มถึงจุดแห่งความตาย เมื่อ ลมหายใจหายขาด ร่างกายหายไปในความรู้สึก จิตจะปรากฏตัวลอยเด่นอยู่ ไม่มีรูปไม่มีร่าง ท่ามกลาง ความเวิ้งว้าง เราจะรู้ได้ทันทีว่าเราตายแล้ว...ความจุติหรือความเคลื่อนคือความตาย...” ๑๒๔ “...จิตมีสติ ก าหนดรู้ความเป็นไปจนกระทั่งมีความรู้สึกเป็นปกติ สมาธิยังอ่อน จิตจะบอกตัวเองว่า นี่คือการตาย ตายแล้วขึ้นอืด น้ าเหลืองไหล เน่าเปื่อยผุพัง ทุกอย่างสลายตัวเป็นดินน้ าลมไฟ ไหนเล่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มีที่ไหน...” ๑๒๕ จากข้อความที่ยกอ้างนี้ ท าให้เห็นถึงความจริงของชีวิตใน ๒ ลักษณะเด่น ๆ คือ (๑) ร่างกายนี้ ไม่ได้สวยงามเหมือนที่ตามองเห็น เพราะมีหนังปกปิดอยู่ เมื่อเพิกหนังออกหรือผ่าร่างกายออกเราจะ พบอวัยวะต่าง ๆ ตลอดถึงเลือด น้ าเหลือง ฯลฯ ที่เนื้อหนังปกปิดอยู่ (๒) ร่างกายนี้ไม่พ้นความตาย ความตายมี ๒ ลักษณะคือ การตายขณะมีชีวิต เช่น ผมที่ตายไปมีผมใหม่มาแทน หนังที่ตายไปมีหนัง ใหม่มาแทน ฟันที่หักไป เป็นต้น และกายตายโดยที่จิตหลุดออกจากร่าง ร่างกายเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ ความรู้สึก พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การตายแบบหลังนั้น จิตจะไปเกิดเป็น อะไรจะขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนสร้าง ท่านยังได้เล่าถึงประสบการณ์การตายของพระภิกษุไข้รูปหนึ่งที่ท่าน เฝ้าอยู่ มีชื่อเดียวกันกับโยมที่มาเฝ้าด้วยคือชื่อค า ปรากฎว่า โยมที่มาเฝ้าด้วยได้ตายไปและกลับฟื้น ขึ้นมาใหม่ พร้อมกับเล่าประสบการณ์ที่พบขณะตายว่ามีการน าวิญญาณผิดตัวไปที่นรกและพบยมบาล แต่คนที่จะตายจริงคือพระภิกษุค า ไม่ใช่นายค า วันต่อมาเมื่อถึงเวลาบ่ายสี่โมง พระภิกษุค าใจขาดตาย ทันที๑๒๖ ทั้งนี้เพื่อให้เห็นว่า ความตายไม่ใช่สิ่งผิดปกติ หากแต่เป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้น การระลึกถึงความตายเป็นสิ่งที่ควรมี เพื่อจะไม่ลุ่มหลงในความมีชีวิต ๓.๒.๓ สิ่งที่ปรากฏจากการปรุงแต่งของจิต ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตอันเกิดจากการปรุงแต่งของจิตมีหลายแบบ อย่างที่พระธรรม โกศาจารย์ (องอาจ ฐิตธมฺโม) เล่าไว้ว่า “...จิตมันเงียบ สงบ ไม่วุ่นวาย ท าให้มองเห็นเป็นนิมิตขึ้นมา
๔๕ เห็นดวงดาวระยิบระยับ กลุ่มดาวพราวแสง เห็นเป็นก้อนเป็นปุยนุ่น เห็นทั้งหมด แล้วก็หลงคือเพลิน ไปกับอารมณ์นั้น...” ๑๒๗ ขณะที่ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่า “...เมื่อจิตสงบนิ่ง ในสมาธิ แนวแน่ (อัปปนาสมาธิ) จิตสามารถให้เกิดความรู้ความเห็นในภูมิรู้ภูมิธรรมได้...หากจิตเคยพิจารณา วิปัสสนากรรมฐาน อสุภกรรมฐาน หรือธาตุกรรมฐาน เมื่อจิตสงบนิ่งแล้วจะมีลักษณะคล้ายจิตถอนตัว ออกจากร่างและส่งกระแสรับรู้ร่างกาย เห็นกายในลักษณะต่าง ๆ ... จากนั้นจิตจะสงบนิ่งเฉย สว่าง เด่นอยู่ จากนั้นกายจะมีการแสดงในลักษณะต่าง ๆ ...กายจะมีอาการขึ้นอึด น้ าเหลืองไหล เนื้อหนัง หลุดออก เหลือแต่โครงกระดูก จากนั้นโครงกระดูกจะแหลกละเอียด และหายไปในที่สุดเหลือแต่ความ ว่าง...” ๑๒๘ อาจจ าแนกออกเป็นกลุ่มๆ ได้ดังนี้ กลุ่ม “ธรรมชาติแวดล้อมภายในจิต” กลุ่มนี้เทียบกับสภาวะแวดล้อมเช่น สายฟ้า ดวงดาว อย่าง ดาวพราวแสงระยิบระยับ ตามที่พระธรรมโกศาจารย์ (องอาจ ฐิตธมฺโม) กล่าวถึง ขณะที่พระ พรหมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) กล่าวว่า “...บางครั้งจะเห็นนิมิต เห็นปราสาท ราชวัง เห็นเปรต อสุรกาย บ้าน ถนน เห็นอากาศ ดวงเดือนดวงดาว..” ๑๒๙ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ได้เล่า เกี่ยวกับการเห็นธรรมชาติแวดล้อมที่มากกว่าที่ตามองเห็น อันมาจากการฝึกฝนอบรมจิตคือ เมื่อจิตมี พลังพอสมควร...จิตจะก าหนดรู้อากาส (อากาสานัญจายตนะ) จิตลอยอยู่ท่ามกลางความว่าง จากนั้น จิตจะหาตัวรู้ ก าหนดวิญญาณ (วิญญาณัญจายตนะ) จิตจะก าหนดรู้เอง จากนั้นจะปฏิวัติตัวไปเอง จนกว่าตัวรู้ (วิญญาณ) จะละเอียด (สัญญาเวทยิตนิโรธ) จากนั้นจิตจะขยับจากโลกีย์สู่โลกุตตร จิตจะ เบ่งบานสว่างไสว สามารถมองทะลุอเวจีมหานคร จนถึงพรหมโลก โดยรอบขอบเขตจักรวาล เห็น ต้นไม้ ภูเขา แผ่นดิน ท้องฟ้า อากาศ ไม่มีอะไรจะปิดบังจิตได้ เห็นคน สัตว์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ในขณะจิตเดียว โดยไม่มีสมมติบัญญัติ มีเฉพาะตัวรู้กับสิ่งที่ถูกรู้๑๓๐ พระราช พรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าว่า ในคราวที่ไปเดินธุดงค์กับหลวงพ่อจง ขณะนั่งภาวนา รับรู้ได้ว่ามีคน แต่งตัวเป็นทหารแบกปืนมาเป็นร้อยคน แยกเป็น ๒ ฝ่ายคือฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ มาปะทะกัน ได้ยิน เสียงปืนขนาดหนัก ต่อมาภาพนั้นก็หายไป มีภาพคนเจ็บ คนตาย บางคนหูขาด แขนขาด ตาทะลุ เดิน มาขอส่วนบุญ หลังจากแผ่ส่วนบุญแล้ว คนเหล่านั้นก็เปลี่ยนสภาพเป็นอื่น๑๓๑ กลุ่ม “ปรากฎการณ์ของการเปลี่ยนสภาพของร่างกายภายในจิต” อย่างการเปลี่ยนสภาพของ ร่างกาย ตามที่พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) กล่าวถึง การมองเห็นคนแก่ คนตาย ๑๓๒มองเห็น ร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง และร่างกายที่สลายตัวไป๑๓๓ โดยท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่ออายุ ๒๒ ปี ป่วยเป็น วรรณโรค จึงแก้ปัญหาด้วยการพิจารณาอาการ ๓๒ ตามข้อแนะน าของอาจารย์ฝั่น เมื่อพิจารณาที่ ปอดและเพ่งมองด้วยจิตไปที่ปอดอย่างไม่ลดละ จิตจะค่อยๆละเอียด มองเห็นร่างกายตนเองนอนแผ่ อยู่และจิตลอยสว่างเหนือร่างกายและมองดูร่างกาย ร่างกายขึ้นอืด น้ าเหลืองไหล เนื้อหนังผุพัง ค่อยๆ หลุด เหลือแต่โครงกระดูก จากนั้น โครงกระดูกหลุดออกจากกัน หักเป็นท่อนๆ และแหลกละเอียด
๔๖ แหลกลงบนพื้นดินเป็นผงหายไปกับแผ่นดิน จากนั้นพื้นดินก็หายไปเหลือแต่จิต สักพักหนึ่ง ปรากฏ เป็นแผ่นดิน มีผงกระดูก กลายเป็นท่อน เป็นร่าง มีเนื้อหนัง และเป็นชีวิต ปรากฏการณ์กลับไปกลับมา ปรากฏการณ์นี้ ตระหนักได้ว่า นี่คือความตาย จากนั้นจิตที่ลอยเด่นลงกลับมาปะทะหน้าอกจึงค่อยๆมี ความรู้สึกทางร่างกาย๑๓๔ ๓.๒.๔ อ านาจพิเศษเฉพาะจากพลังแห่งจิต การฝึกฝนอบรมจิตนั้น นอกจากจิตจะมีพลังในการปรุงแต่งให้สภาพภายในจิตมีลักษณะต่างๆ แล้ว ยังส่งผลให้เกิดพลังแห่งจิตอันน าไปสู่สภาพต่าง ๆ ภายนอกจิตด้วย อาจจัดเป็นกลุ่มๆดังต่อไปนี้ กลุ่ม “พลังแห่งจิตสู่ความอิ่มใจและความไหวของกาย” พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่า ว่า เมื่อจิตแน่วแน่ต่ออารมณ์ที่วิตกถึง จะมีความซึมซาบ และเกิดความอิ่มใจ จากนั้น กายจะเบา จิต จะเบา บางคนที่มีความอิ่มใจอย่างแรง ตัวจะสั่นโยก น้ าตาไหล ขนพอง” ๑๓๕ สอดคล้องกับที่พระราช พรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าว่า ระยะแรกที่ก าหนดจิต เกิดขนลุกขนชัน จิตใจมีความสุขสดชื่น ต่อมา น้ าตาไหล แม้จะไม่อยู่ในสมาธิ น้ าตาก็ไหลหากมีการพูดถึงสิ่งดีงาม...ต่อมาร่างกายโยกไปโยกมาจาก โยกแบบเบาๆไปจนถึงศีรษะจะถึงพื้น มีความรู้สึกอิ่มเอิบ ต่อมาร่างกายดิ้น บางครั้งรับรู้ว่ากายลอยขึ้น จากพื้น จากนั้นผ่านไป มีความรู้สึกซาบซ่าน ตัวเบา ใจสบาย มีความสุข...” ๑๓๖ ขณะที่หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ เล่าว่า ช่วงเวลาฝึกจิต แม้ช่วงเวลาฟังธรรมที่อาจารย์แสดงให้ฟัง ร่างกายขนลุกขนพอง น้ ามูก น้ าตาไหล มือสั่น๑๓๗ หลวงปู่สรวง สิริปุญฺโญ เล่าให้ฟังว่า ช่วงอธิษฐานจิตอดข้าว และอดข้าวได้ ๒๘ วัน ขณะพักอยู่ที่กุฏิ จิตของท่านออกจากร่างและได้ไปกินอาหารทิพย์บนสวรรค์ จากความหิว กลายเป็นความอิ่มเอิบ เมื่อกลับมาสู่ร่าง ร่างกายไม่ได้อิดโรย ไม่ได้โศกเศร้า ไม่หิว มีก าลังเหมือนกิน ข้าวทุกวัน แตกต่างจากก่อนนั้น๑๓๘ พระสินทรัพย์ จรณธัมโม อธิบายว่า เวลาเข้าสมาธิ บางครั้งจะตัว ยืด ตัวหด ตัวยาวก็มี บางครั้งตัวเล็ก๑๓๙ กลุ่ม “ความสามารถในการรักษาโรค” พระสุธรรมคณาจารย์ (เหรียญ วรลาโภ) เล่าให้ฟังว่า “ครั้งหนึ่งมีอาการไข้...จับไข้...และเป็นไข้อยู่ตลอดเวลา จึงตั้งใจว่า หากอาการไข้ไม่หาย จะไม่ออก จากสมาธิ จึงนั่งเพ่งภายใน แรกๆรู้หนาว ต่อมามีอาการร้อนในล าไส้ จึงเพ่งดูความร้อน จากนั้นไอแห่ง ความร้อนก็พุ่งออกจากทุกรูขุมขน จนจีวรไหวไปไหวมา จากนั้นเหงื่อออกทุกขุมขน ความร้อนจึงเริ่ม เบาลง ความเย็นจึงปรากฏ จีวรเปียกไปด้วยเหงื่อ ไข้สร่าง จึงออกจากสมาธิ ตั้งแต่วันนั้นไม่จับไข้เลย ต่อมามีตุ่มหัวด าๆเกิดที่เอว ไม่สามารถรัดเอวได้ เจ็ดวันจึงหาย โดยไม่ได้กินยา หากแต่ใช้การภาวนา ...”๑๔๐ การรักษาโรคได้ด้วยอบรมจิตนี้ ได้รับการยืนยันโดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ในคราว ที่ท่านป่วยเป็นวรรณโรค ท่านแก้ปัญหาด้วยการพิจารณาอาการ ๓๒ ผลจากหลังจากวันนั้น ต่อมาท่าน เริ่มอาเจียนเป็นเลือด มีน้ าหนองออกและมีกลิ่นเหม็นเน่า จากนั้นเลือดที่อาเจียนค่อยๆจาง และไม่มี
๔๗ เลือด น้ าหนองหายไป ร่างกายค่อยๆดีขึ้น และไม่มีอาการวรรณโรคอีกเลย๑๔๑ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) เล่าว่า ในคราวที่เกิดอุบัติเหตุ ตาหูไม่รับรู้แล้ว คอหัก คอพับ แต่หนังดึงไว้ สมองไม่ รู้สึก หายใจทางจมูกและปากไม่ได้เพราะเลือดเต็มคอ จึงหายใจทางสะดืออันเป็นผลการฝึกฝนอบรม จิตยุบ-พอง๑๔๒ กรณีของพระธรรมสิงหปุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) นี้ จะคือผลของการฝึกจิตที่มากกว่า การรักษาโรคหากแต่คือการรักษาชีวิต นอกจากนั้น เพราะผลของการฝึกฝนอบรมจิต ยังสามารถดึง เอาองค์ความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคมารักษาโรคต่างๆได้๑๔๓ กลุ่ม “ความสามารถในการรู้ความคิดของคนอื่น” กรณีของหลวงปู่ค าสิงห์ ผู้มีสติปัญญาดี และหลวงปู่ขุน ผู้มีสติปัญญาไม่ดี ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน เข้าป่าปฏิบัติธรรม หลวงปู่ขุนเข้าถึงธรรมก่อน และสามารถรู้ความคิดของคนอื่น อาจารย์สมภพ โชติปญฺโญ เล่าว่า หลวงปู่ขุน สามารถรู้ความคิดของ หลวงปู่สิงห์ อย่างกรณีหลวงปู่สิงห์ไปบิณฑบาตแล้วเห็นผู้หญิงจากนั้นจึงน ามาคิดระหว่างนั่งภาวนา หลวงปู่ขุนรับรู้จึงมาเตือนหลวงปู่สิงห์ ต่อมาหลวงปู่แยกกันอยู่ต่างหมู่บ้านกัน อาจารย์สมภพยังเล่าอีก ว่า ในคราวที่ท่านไปอยู่กับหลวงปู่สิงห์ หลวงปู่สิงห์พูดถึงหลวงปู่ขุนให้อาจารย์สมภพฟัง ยังไม่ทันสว่าง หลวงปู่ขุน ซึ่งหูไม่ได้ยิน ก็มาถึงพร้อมด้วยจีวรเปียกชื้นด้วยน้ าค้างและเตือนว่า ไม่รู้จักหลับจักนอนกัน หรือไง พูดถึงแต่คนอื่นมันมีประโยชน์อะไร๑๔๔ กลุ่ม “ความสามารถในการถอดจิตออกจากร่างกาย” หลวงปู่สรวง สิริปุญฺโญ เล่าถึงช่วงหนึ่ง ของชีวิตจากการปฏิบัติธรรมและชวนญาติโยมร่วมปฏิบัติเมื่อครั้งพรรษาที่ ๗-๘ และมีคนกลั่นแกล้ง แจ้งบ้านเมืองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ทางราชการให้สันติบาลคนหนึ่งเฝ้าคอยดู หากท่านออกไปจากวัดให้ สามารถเก็บได้เลย ท่านเห็นว่า เมื่อท่านไม่ได้มีความผิดใด ขณะที่ทางบ้านเมืองมองท่านว่าเป็นศัตรู จึง เห็นว่าอย่าอยู่เลยดีกว่า จึงกราบครูบาอาจารย์อธิษฐานจิตตายด้วยการอดอาหาร และหากได้เกิดใหม่ จะได้สร้างบุญบารมีต่อไป ท่านอดอาหารจนถึง ๒๘ วันแต่ยังไม่ตาย ทั้งที่คิดถึงแต่เรื่องความตาย ตลอดเวลา ท่านรู้สึกเหมือนมีดเฉือนหัวใจเมื่อเห็นสันติบาลคนนั้น จึงให้สันติบาลออกจากวัด แต่ สันติบาลไม่ออก ท่านจึงเดินเข้าใส่พร้อมที่จะตายโดยไม่กลัวตาย สันติบาลใช้มีดปลายปืนยันท่านไว้ ท่านก็ยังค่อยๆเดินยันสันติบาลออกจากวัดไปไกล เมื่อท่านกลับเข้าไปที่วัดอีกครั้ง และนั่งที่กุฏิไม่นาน ได้ยินเสียงคนเตือนเกี่ยวกับการท ากิจวัตร ท่านจึงออกจากกุฏิไปดู แต่ไม่พบใคร เมื่อแหงนมองดวง อาทิตย์ เกิดหน้ามืด จึงกลับไปล้มนอนที่กุฏิ ลมหายใจค่อยๆช้าลง และรับรู้ถึงจิตค่อยๆหลุดออก เมื่อ จิตหลุดออกจากร่างกลายเป็นกายทิพย์มีความเบา รู้สึกดีใจ ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีการหิวใด ๆ จากนั้นมองเห็นครูบาอาจารย์ผ่านมาและชวนให้ไปเที่ยวเมืองสวรรค์ ท่านรับปากและเดินทางตามหลัง ครูบาอาจารย์ขึ้นไปบนอากาศ มองเห็นเทพบุตรเทพธิดามีแต่คนสวยงามบนสวรรค์แต่ละชั้นจนสุดที่ ชั้น ๖ และได้กินอาหารทิพย์ รู้สึกอิ่มใจไม่มีความเศร้าโศกใด ๆ เมื่อเดินชมบนสวรรค์เหลียวมาดูโลก มนุษย์ มองเห็นเมืองนรกมีขุมของพระเณรอยู่ด้วย เห็นราวเหล็กเท่าราวตาลมีจีวรพาดสุดลูกหูลูกตา บางขุมสัตว์นรกตัวแดงเป็นถ่านไฟ มีขุมที่มีต้นงิ้ว จะมีสัตว์นรกอยู่จ านวนมากกว่าขุมอื่น ๆ ส่วนสัตว์
๔๘ นรกบางตนอยู่แบบทรมานสลบแล้วฟื้นสลบแล้วฟื้น สัตว์นรกมีหัวเหมือนสัตว์ที่เขาเคยฆ่าส่วนตัวจะ เป็นเหมือนมนุษย์ ช่วงที่อยู่บนสวรรค์นั้นรับรู้ได้ว่าสัตว์นรกแต่ละตนท ากรรมใดไว้ ในเมืองสวรรค์จะมี ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มองเห็นวิมานหลังหนึ่ง จึงสงสัยว่าท าไมไม่มีใครอาศัย ทราบจากเทพบุตรว่า เจ้าของวิมานลงไปเที่ยวเมืองมนุษย์ จากนั้นจึงชี้ไปที่มนุษย์ที่เป็นเจ้าของวิมานที่อยู่เมืองมนุษย์ เมื่อ มองลงไปก็เห็นว่าคนๆนั้นเป็นคนรู้จักกัน เป็นอดีตก านันชื่อว่า “พรหม”อยู่เมืองนครพนม แม่บ้านของ ก านันชื่อว่าบุญมา๑๔๕ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าประสบการณ์ว่า “ในบางครั้งเมื่อนั่งภาวนา จิตสงบนิ่ง สามารถส่งกระแสจิตไปที่ต่าง ๆ ได้ แต่ร่างกายไม่ได้ไปด้วย เมื่อเราส่งกระแสจิตไปดู แม้แต่ ในบ้านคน ก็มองเห็นได้หมดว่าคนนอนกันอย่างไร มีอะไรอยู่ในบ้านบ้าง” ๑๔๖ การถอดจิตออกจากร่าง นี้ สอดคล้องกับที่พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าไว้ว่า เมื่อจิตถึงที่สุด... มันไปของมันเอง ไม่มี การบังคับ ไปในสถานที่ต่าง ๆ...สวรรค์บ้าง พรหมโลกบ้าง นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง ดินแดน มนุษย์บ้าง เมื่อไปถึงที่นั้น หากพบใครก็ถามชื่อเขา ถามเขาว่าก่อนจะตายนั้นอยู่ที่ไหน ชื่อ-นามสกุล ลูก สามีภรรยาชื่ออะไร ท าไมจึงมาอยู่ที่นี่ ท าอะไรจึงตกนรก ท าอะไรจึงขึ้นสวรรค์... ๑๔๗ ขณะที่หลวง ตาสินทรัพย์ จรณธัมโม เล่าว่า ครั้งหนึ่งอยู่ในถ้ ากลางวัน เอนนอนเพราะความเหนื่อย เพราะท าความ เพียรมาหลายวันหลายคืน มีการย้วยออกไปสองคน ไม่ได้อยู่ในขณะท าสมาธิ ขณะลืมตาอยู่นี้ คนหนึ่ง ยืนอีกคนหนึ่งเอน คนที่ยืนเหาะไปไหนก็ได้ ไปสวรรค์ ลงมาเข้าก้อนหินบ้าง ต้นไม้บ้าง จึงกลับมาทับ ร่างเข้าที่เดิม สิ่งที่แปลกคือ จิตที่ออกไปนั้นรู้อะไร เราที่นอนก็จะรู้แบบนั้น จิตที่ออกไปเข้าไปไหนก็ได้ หากเข้าไปที่ไก่ก็เป็นไก่ เข้าไปที่ต้นไม้ก็เป็นต้นไม้...๑๔๘ กลุ่ม “ความสามารถในการแสดงฤทธิ์” พระพรหมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร) กล่าวว่า คน ที่ส าเร็จสมาธิชั้นสูงทางโลกีย์...สามารถเหาะเหินได้ รู้จักจิตใจคน บังคับจิตใจคนได้ รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ได้ เรียกว่า “ฤทธิ์”เกิดจากอุปจารสมาธิ๑๔๙ ขณะที่พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าว่า สมัยที่ออก ธุดงค์กับหลวงพ่อปาน ไปพบหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงสอนให้เดินด้วยจิตภาวนาที่ชื่อวาโยกสิณ สามารถย่นระยะทางจากจังหวัดก าแพงเพชรถึงสุวรรณวิหารภายในเวลา ๑๐ นาที๑๕๐นอกจากนั้นท่าน ยังเล่าอีกว่า เมื่อครั้งไปธุดงค์เดี่ยวทางอิสาน คืนหนึ่งขณะที่นอนพักอยู่ภายในถ้ า เห็นคนมายืนหน้าถ้ า ตัวเล็กคล้ายเด็ก ๔-๕ คน ต่อมาเด็กเหล่านี้ก็ค่อยๆโตขึ้นจนสะดืออยู่ระนาบเดียวกับเพดานถ้ า ไม่นาน ก็หดตัวลงเป็นคนปกติ จากนั้นค่อยๆกลายเป็นสุนัขและขยายเป็นสุนัขตัวใหญ่นั่งแยกเขี้ยวอยู่ที่ปากถ้ า ไม่นานสุนัขนั้นก็หัวเราะและกลายร่างเป็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง และหลวงพ่อโหน่ง๑๕๑ กลุ่ม “ความสามารถในการรับรู้ล่วงหน้า” พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่า สมัยที่ยัง เป็นสามเณรเรียนหนังสือ ได้ฝึกฝนอบรมจิตไปด้วย โดยยึดเอาตัวอาจารย์ที่สอนหนังสือเป็นตัวตรึงจิต เมื่อฝึกฝนโดยไม่ขาดระยะประมาณ ๗ วัน เมื่ออาจารย์อธิบายเนื้อหา จิตของเราจะสามารถคาดการณ์ ล่วงหน้าได้ว่า ต่อจากนั้นอาจารย์จะพูดอะไรต่อไป นอกจากนั้น ในการสอบความรู้สามารถรู้ล่วงหน้า
๔๙ ทั้งหมดว่าข้อสอบจะออกอะไร เราจึงสามารถเตรียมตัวได้ และในวันสอบ ความรู้จะออกมาแบบพรั่ง พรู๑๕๒ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับความสามารถในการรู้ล่วงหน้า อย่างท่าน เล่าว่า “เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ เคยพยากรณ์ไว้แล้วว่าประเทศไทยมีน้ ามันมหาศาล ทั้งแก๊สและน้ ามัน แต่ ก็ถูกคนอื่นหาว่าบ้า ก็เลยท าตัวนิ่งๆ...” ๑๕๓ กลุ่ม “ความสามารถในการท าสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นอย่างใจคิด” พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) กล่าวว่า”...เมื่อท าสมาธิได้ดีแล้ว เกิดมีอิทธิฤทธิ์ สามารถท าเครื่องรางของขลังได้วิเศษ สามารถรู้จิตใจ ของคน บางทีขณะภาวนาสามารถนึกให้ใครเป็นอย่างไรก็ได้...แต่มันไม่ถูกทาง” ๑๕๔ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าว่า “ถ้าเราตั้งจิตอธิษฐานไว้ สิ่งที่เราอธิษฐานจะเป็นอย่างที่จิตคิด” ท่านยังเล่าอีกว่า อาจารย์ของท่านคือหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจง สามารถแปลงเป็นเสือได้ ท่านจึงถามหลวงพ่อปาน ว่า ท่านเป็นเสือได้อย่างไร หลวงพ่อปานตอบว่า ฉันจะเป็นเสือ ฉันจะเป็นแมว ฉันจะเป็นอะไร มัน เรื่องของฉัน..."๑๕๕ เอกสารเรื่องเดียวกัน พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าว่า เมื่อคราวที่ไปหา หลวงพ่อโหน่ง ตอนหนึ่งหลวงพ่อโหน่ง กล่าวสอนเรื่องการที่สิ่งต่าง ๆ จะเป็นอย่างใจคิดได้ เพียงแต่ ต้องท าจิตให้บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดกวนใจ ตัดสิ่งผูกใจ (สังโยชน์) ได้ และอารมณ์ใจต้องแจ่มใส (ทิพย์)๑๕๖ กลุ่ม “ความสามารถในการมองเห็น” การมองเห็นในที่นี่จะหมายถึงการมองเห็นในขณะ หลับตาแต่สิ่งที่เห็น/ปรากฏเสมือนการมองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น การมองเห็นนรกสวรรค์ เห็นเทวดา เห็นวิมาน๑๕๗ เป็นต้น พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าให้ฟังว่า เราสามารถฝึกฝนอบรมจิตและ มองเห็นนรกสวรรค์ได้ ขณะเดียวกัน อาจพบเจอพูดคุยกับคนที่ตายไปแล้วได้ด้วย๑๕๘ นอกจากนั้น ยัง สามารถใช้พลังของจิตในการดูโรคในร่างกายได้ ท่านยังเล่าอีกว่า มีพระรูปหนึ่งเจ็บปวด รักษาเท่าไรก็ ไม่หาย อาจารย์จัน เขมปตฺโต จึงเรียกพระรูปนั้นมา และนั่งเพ่งร่างกายของพระรูปนี้ แล้วบอกว่า เบ็ด อยู่ในท้อง ควรให้หมอเอาออกให้ จึงจะหาย พระรูปนั้นจึงไปโรงพยาบาลให้หมอผ่าตัดเอาเบ็ดออกมา อาการปวดท้องจึงหาย นอกจากนั้น มีอีกเรื่องคุณหมอคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้ฝึกสมาธิตามที่อาจารย์ ให้ฝึกมา แม้จะรู้สึกว่ายังไม่ได้สมาธิ แต่เมื่อตรวจโรค จับเครื่องฟังแนบหู จิตปะทะร่างคนไข้ จิตจะ รายงานออกมาถึงโรคที่คนไข้เป็นและยาที่ควรให้แก่คนไข้ และเมื่อตรวจดูแล้วพบว่าสิ่งที่จิตรายงาน กับการตรวจโรคด้วยเครื่องมือนั้นตรงกัน๑๕๙ หลวงพ่อสรวง ปริสุทฺโธ เล่าถึงกรณีศิษย์คนหนึ่งบวชได้ ๑๐ พรรษา สามารถฝึกฝนอบรมจิตและสามารถล่วงรู้อดีตชาติของตนเองที่เคยเป็นกษัตริย์เมืองหนึ่ง มาก่อน และสามารถขุดไหสมบัติขึ้นมาได้ ๑ ไห๑๖๐ สอดคล้องกับที่พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) พบว่า ครั้งหนึ่งเคยเกิดเป็นเจ้าเมืองบ้าง เป็นเศรษฐีบ้าง เป็นลูกคนยากจนบ้าง๑๖๑ ขณะที่พระโสภณวิ สุทธิคุณ (บุญเพ็ง กปฺปโก) เล่าว่า บุคคลผู้ฝึกจิตสามารถเห็นเทวดาที่มารักษาได้ด้วยตาคือจิต ๑๖๒ นอกจากมองเห็นในขณะหลับตาแล้ว ยังสามารถเห็นสิ่งที่ตาเปล่าทั่วไปมองเห็นไม่ได้ด้วย อย่างหลวง ตาสินทรัพย์ จรณธัมฺโม เล่าว่า ขณะนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ปากถ้ าในเวลากลางวัน เห็นเทวดาเหาะมา จากนั้น
๕๐ เขาก็บีบคอ แทบจะหายใจไม่ออก จากนั้นจึงเหาะหนีไป เทวดาตัวใหญ่ ด า ใส่ผ้าสีแดง ไม่ใส่เสื้อ กล้าม เป็นมัด ปกติถ้านั่งหลับตาก็คงไม่เชื่อ แต่นี่มองเห็นด้วยตาเปล่า๑๖๓ กลุ่ม “สิ่งมีชีวิตต่างภพตามรักษา” พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ ได้ไปสร้างวัดใหม่กิโลสอง ใกล้หมู่บ้านอ าเภอวารินช าราบ โดยโยมเจ้าของที่ดินยกที่ดินให้สร้าง วันที่สี่ ของการไปสร้างวัด คืนนั้นหลังจากไหว้พระสวดมนต์ นอนก าหนดจิต ช่วงจิตเคลิ้ม แต่ร่างกายยังมี ความรู้สึกรับรู้ถึงลมที่พัดแผ่วมา ขณะนั้น มีกลุ่มแสงชนิดหนึ่งแล่นมาสัมผัสใบหน้า เหมือนถูกผ่ามือตบ อย่างแรง ได้ยินเสียงดังฉาดในหู และรู้สึกเจ็บ จึงลุกขึ้นมารู้สึกเจ็บใบหน้าเหมือนกับคนตบจริง ๆ คืน นั้นจึงไม่ยอมนอน จึงเดินจงกรมและฝึกฝนอบรมจิตตลอดทั้งคืน คณะเดินจงกรม ได้ยินเสียงเหมือนมี การโยนก้อนหินอยู่รอบๆตลอดทั้งคืน จวบจนตีสาม จะนั่งสมาธิ มีแสงสีเขียวอ่อนๆ โตขนาดลูก มะพร้าววนอยู่รอบกรดพระอีกรูปหนึ่ง ไม่นานวิ่งตรงมาที่หลวงพ่อ พอได้ระยะแสงนั้นก็ตกวูบหายไป จากนั้นบริเวณนั้น หากจะตัดไม้ ถางหญ้า จะมีกลิ่นเหม็นคลุ้งตลอดเวลา ช่วงแรกก็หาหนทางไม่ได้ว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งการภาวนา ต่อมาขณะนอนก าหนดจิตตภาวนา ได้ฝันถึงการสวด พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และกรณียเมตตสูตร จากนั้นจึงสวดบทดังกล่าว แผ่เมตตาทุกวัน แต่พวก เหล่านั้นก็ไม่หนี แต่ต่อมาเขากลับมาเป็นมิตร ช่วยรักษาวัด หากชาวบ้านมาขโมยของ เขาจะตามไป บีบคอถึงบ้าน จนชาวบ้านหาว่าหลวงพ่อเป็นผีปอบไปกินคน ตัวหนึ่งชื่อนายด่าง เป็นผีของเจ้าบ้านวัด หนองป่าพงของหลวงพ่อชา เดิมชื่อเพียฟาน ที่ชื่อว่าด่างเพราะเมื่อปรากฏตัว บนหน้าอกจะเป็นจุดด่าง ขาว อีกตัวหนึ่งชื่อว่า บน เป็นลูกของข้าราชการกรมทาง ถูกลูกชายเจ้าของที่ฆ่าตาย ทั้งสองตัวเป็น เพื่อนกัน เวลานี้ช่วยพระรักษาวัด ชอบเข้าไปสิงคนที่รังแกวัด๑๖๔ ขณะที่พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เล่าว่า ในคราวที่ไปธุดงค์ในป่าภาคอิสานและภาคตะวันออก ได้ปักกรดในป่าดงดิบ มีช้างโขลง หนึ่งยืนมองไกลประมาณ ๒๐๐ เมตร ช้างตัวใหญ่ชูงวงขึ้นและคุกเข่าลง จากนั้นก็น าไปที่หนองน้ า/บ่อ น้ าและคอยรักษารอบบ่อให้ท่านได้อาบน้ าอย่างสบายใจ๑๖๕ ๓.๒.๕ ที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งทุกข์คือเป้าหมายสูงสุดของการฝึกฝนอบรมจิต จะพบว่า มีนักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ ได้ท าที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว ดังตัวอย่างข้อความต่อไปนี้ “กิเลสประเภทหยาบ ฆ่าด้วยสติปัญญาประเภทผาดโผนโจนทยาน กิเลส ประเภทกลาง ฆ่าด้วยสติปัญญาอัตโนมัติแบบกลาง ๆ กิเลสอย่างละเอียดฆ่ากันได้ ด้วยมหาสติมหาปัญญา สุดท้ายมหาสติมหาปัญญาเป็นผู้เผาไหม้กิเลสโดยประการ ทั้งปวงภายในจิต ไม่มีสิ่งใดเหลือ อวิชชา..เป็นตัวส าคัญ ให้เกิดภพชาติในวัฏฏ สงสาร...ได้ขาดสะบั้นจากใจ ในคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัด
๕๑ ดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มตรง รวม ๙ ปีเต็ม ...จากที่อวิชชาบีบบังคับหัวใจมา หลายกัปกัลป์ ได้ขาดสะบั้นจากใจ ใจดีดจากอวิชชาถอนตัวขึ้นมาประหนึ่งฟ้าดิน ถล่มสะเทือนสะท้ายไปหมดในความรู้สึก กายไหว เกิดความอัศจรรย์ไม่เคยพบ เคยเห็นได้เกิดอัศจรรย์สะเทือนสะท้านไปหมดในคืนวันนั้น...นี่คือเวลาของการเผา ศพกิเลส...ให้มุดมอดจากหัวใจในคืนวันนั้น ครองธรรมอัศจรรย์ตั้งแต่บัดนั้นจนถึง บัดนี้ ความทุกข์ที่เคยบีบบังคับหัวใจเพราะอ านาจกิเลสค่อยขาดลงไปตามล าดับ จนถึงกิเลสคืออวิชชาที่เป็นจอมสมุทัยได้ขาดสะบั้นจากใจแล้ว...ธรรมสุดยอดได้ ประกาศก้องขึ้นแล้วในจิตดวงนี้...ทุกข์ประเภทต่าง ๆ ที่เคยบีบบังคับจิตใจมาได้ ขาดสะบั้นลงขณะเดียวกันกับอวิชชาผู้ก่อทุกข์นั้นขาดลงไป ตั้งแต่บัดนั้นมา ความ ทุกข์ไม่เคยปรากฏภายในจิตใจแม้เท่าเม็ดหินเม็ดทราย ครองแต่บรมสุขอันเป็นสุข ธรรมชาติ...อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของหลวงตาบัว นตฺถิ ตานิปุ นพฺพโว ต่อไปนี้หลวงตาไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว...ประจักษ์อยู่ในหัวใจมาเป็น เวลา ๔๙ ปีนี้แล้ว” ๑๖๖ “นิพพานไม่ใช่อัตตา และนิพพานไมใช่อนัตตา” หากแต่นิพพานคือการดับ กิเลส...สิ่งที่อยู่เหนือการดับคือสัจธรรมที่ไม่มีสมมติบัญญัติ และใช้ค าว่า “นิพพาน” เป็นชื่อสภาวะนั้น๑๖๗ ...หลังจากนั้น ๘ ปีจึงเข้ามาบวชใหม่ ฝึกจิตด้วยการผสานการบริกรรมพุท โธกับลมหายใจ (อาณาปานสติ) ทั้งวันทั้งคืน พบว่ามีพลังงานเกิดขึ้น เริ่มแน่น หน้าอก หัวตึง หน้าชา ข้างหลังเหมือนมีแผ่นอะไรยึกยัก มีความร้อนขึ้นข้างใน จึง ดูลมไปเรื่อย ๆ บางครั้งแน่นอึดอัดเหมือนจะตาย จึงปล่อยไม่หายใจและตามดูลม เกิดความรู้สึกโล่งเหมือนอยู่ในอากาศที่เย็น จากนั้นมาจึงเรียนรู้อาณาปานสติ จากนั้นมาเห็นผู้หญิงก็เป็นปกติ...ตัดกระแสอารมณ์ได้...ไม่อยากเป็นผัวใครอีกแล้ว รวมแสวงหาเพื่อการเรียนรู้แล้วเกือบ ๓๐ ปี แต่ใช้การดูลม (อาณาปานสติ) ๔ เดือน...ทุกอย่างก็ดับสนิทไปหมดเลย ไม่ว่าอารมณ์กามราคะหรือความคิดถึง นี่คือ เราสังเกตความก้าวหน้า เราพ้นจากทุกข์ตัวนี้ได้ ... ตลอดเวลา ๑๐ ปีมานี้ไม่เห็น กิเลสตัวนี้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ออกมาอีกเลย ก็เลยสบาย๑๖๘ ชุดข้อความที่ยกอ้างมานี้ ข้อความแรกเป็นข้อความที่พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺ โน) ได้กล่าวไว้ ชุดข้อความนี้มีค าอธิบายที่โดดเด่นชัดเจนในการถึงที่สุดแห่งทุกข์และไม่ต้องกลับมา เกิดในภาวะแห่งมนุษย์อีกต่อไป ส่วนข้อความสอง พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ได้กล่าวถึงปัญหา
๕๒ เรื่องนิพพานที่มีการถกเถียงกันในสังคม ท่านได้อธิบายถึงนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ในฐานะค าที่ใช้ แทนสภาวะเท่านั้น ทั้งสองข้อความที่ยกตัวอย่างมา แสดงถึงที่สุดแห่งทุกข์ ส่วนชุดข้อความสุดท้าย คือสิ่งบ่งชี้ความสิ้นทุกข์จากทุกข์ที่เกิดเพราะความก าหนัดยินดี (กามราคะ) ๓.๓ ประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิตและปรากฎการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิตผ่านค า บอกเล่าของนักการศึกษา/ผู้ก าลังเรียนรู้ ประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิตและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต ในหัวข้อ ย่อยนี้จะเป็นการกล่าวถึงประสบการณ์และปรากฏการณ์ผ่านค าบอกเล่าของนักปฏิบัติที่อยู่ในช่วง ก าลังเรียนรู้ตามครูบาอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว หัวข้อย่อยนี้จะผสมผสานระหว่างการสื่อสาร ผ่านสื่อออนไลน์ที่เป็นสื่อสาธารณะและจากการสัมภาษณ์แบบโดมิโน/การแนะน า หัวข้อย่อยนี้แบ่งย่อยลงไปเป็น ๓ ส่วนคือ (๑) ประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิต จะ หมายถึง ประสบการณ์บางอย่างทีเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติหลังการฝึกปฏิบัติแล้ว (๒) ปรากฏการณ์ในขณะ ฝึกฝนอบรมจิต จะหมายถึง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกฝนอบรมจิต (๓) ท่าที/ทัศนะส่วน บุคคลที่มีต่อการฝึกฝนอบรมจิต ๓.๓.๑ ประสบการณ์พิเศษจากการฝึกฝนอบรมจิต การรับรู้/เปลี่ยนแปลงต่ออารมณ์แบบฉับพลัน ค าว่า “อารมณ์” หมายถึง สิ่งที่ถูกรับรู้/ หน่วงเหนียวจิตไว้ หลังจากฝึกฝนอบรมจิต นักการศึกษาจ านวนหนึ่งพบว่า จิตที่ไม่ดี (อกุศลจิต) ที่ เกิดขึ้นจากการรับรู้อารมณ์/สถานการณ์บางอย่าง จะถูกปรับเปลี่ยนโดยฉับพลัน โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้น ได้อย่างไร การเกิดขึ้นดังกล่าวนี้ เป็นประสบการณ์หลังจากได้ฝึกฝนอบรมจิตและมีความแตกต่างจาก ก่อนการฝึกฝนอบรมจิต อย่างที่คุณเพชร ไกรศรี พัฒนะ ได้สะท้อนคิดว่า หลังจากเข้าคอร์สฝึกฝน อบรมจิตครั้งที่ ๓ และกลับไปบ้าน ด้วยความที่เป็นคนรักหมา จึงเอาขนมไปให้หมาที่เลี้ยงไว้ เจ้าฟูฟู กระโจนเข้ามางับขนมที่กระเป๋ากางเกง แล้วดึงไถลตัวลงจากขา เล็บและฟันของเจ้าฟูฟูขูดที่ขาเจ็บ มากเหมือนเอาอะไรมากรีดเนื้อ ใจหนึ่งคิดว่า จะเอาคืนเจ้าฟูฟูให้เจ็บเหมือนที่เจ้าฟูฟูท าให้เพชรเจ็บ แต่เมื่อยกขาจะก้าวตาม ชั่ววินาที ความรู้สึกโกรธก็หาย ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายแบบนั้น อีก เคสคือกรณีเจ้าตุ๋นตุ๋นไม่สบายและรู้ว่าใกล้จะตาย ตุ๋นตุ๋นวิ่งไปที่กอกล้วยเพื่อหาที่ตาย ใครจะเข้าไป ช่วยก็ไม่ยอม แต่เพชรได้เข้าไปและเรียกเจ้าตุ๋นตุ๋น เจ้าตุ๋นตุ๋นส่งเสียงและยื่นขาหน้ามาจับมือเพชร เพชรน้ าตาไหลพรากเพราะเสียใจสะเทือนใจมากส าหรับคนรักหมา เมื่อน้าบอกให้ออกมา ทันทีที่เพชร หันหน้าจะกลับหลัง ความรู้สึกเสียใจสะเทือนใจก็หายไปแบบฉับพลัน ทั้งที่เสียใจน้ าตาอาบแก้ม จึงไม่ รู้เหมือนกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร...อีกอันหนึ่งคือ จากที่อยู่บ้านแล้วค่อนข้างมีรายละเอียด หลังจากผ่าน
๕๓ การฝึกฝนอบรมจิตแล้วรู้สึกว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้น๑๖๙ ขณะที่เกศฤดี บุญรัตน์ เล่าว่า หลังจากการฝึกฝน อบรมจิตแล้วมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น การเห็นความคิดและอารมณ์ของตัวเอง และ สามารถจับความคิดและอารมณ์ได้ ปกติแล้วเป็นคนใจร้อน โกรธง่าย ปากไว หลังจากกลับไปบ้าน จะ มีความนิ่งมาก หลังจากนั้นจะกลับสู่อารมณ์เดิม แต่มีความทันและยับยั้งตัวเองได้ดีกว่าก่อนการเข้า ฝึกฝนอบรมจิต คือสามารถหยุดคิด มีการไตร่ตรองก่อนแสดงออกมากขึ้นและมีการวางความคิดในการ เข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะไม่จมกับเรื่องนั้นนาน๑๗๐ คุณแม่ศรีเรือน พัทรชนม์ ให้ข้อมูลว่า จากฝึกจิต ภาวนาตามระยะเวลาที่เหมาะสมมาหลายปี มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ จากเดิมมักมองสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น และตัดสินเขาว่าไม่ดี ต่อมามองเห็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีของเขา และมองเห็นตัวเองว่า เราก็มีทั้งดีและไม่ ดี อันที่ไม่ดีก็ค่อยๆจัดการไปเรื่อย ๆ พอมีสิ่งไม่ดีเข้ามาก็จะรู้ทันทีว่ามีสิ่งไม่ดีเข้ามา จึงพยายามลด ขนาดมันลงได้ คนรอบข้างเขาก็สะท้อนให้ฟังว่าเรานิ่งขึ้น ใจเย็นลง จากที่ร้อน โผงผาง ก็ลดลง เหมือนกับเราเห็นเนื้อตัวของเรา พอเราคัดไปเรื่อย ๆ ความสะอาดมันก็มีมากขึ้น สิ่งที่ต้องต่อสู้มากสุด คือความโกรธ๑๗๑ การละวางตัวตน ธนาวุฒิ (เอ๋/นิ้วกลม) เฮ้งสวัสดิ์สะท้อนว่า สิ่งที่ได้รับมากที่สุด คือความ เป็นตัวตนลดลงมาก จากที่ไม่เคยไหว้นอบน้อมแบบนี้มาก่อน แต่เจ็ดวันที่เข้ากิจกรรม ที่อาจเป็น กิจกรรมเล็ก ๆ แต่เมื่อบวกรวมกับค าสอนและการปฏิบัติ รวมตัวกันให้เราละวางตัวตน ไม่คิดว่าตัวเอง ส าคัญ ให้เกียรติและเคารพคนอื่น เป็นเจ็ดวันที่ไหว้และกราบมากที่สุด คิดว่า ถ้าสามารถกลับบ้านแล้ว ลดตัวตน ลดความอยากเป็น-อยากมี เปลือกทั้งหลายลง ก็คงจะตัวเบาขึ้น๑๗๒ จิตนิ่ง เป็นภาวะทางจิตที่ไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอันเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างการ รับรู้ที่มีต่ออารมณ์ที่เข้ามากระทบ โดยปกติ คนทั่วไปจะมีจิตที่โอนอ่อนไปตามกระแสของสิ่งที่เข้ามา กระทบทั้งความถูกใจและไม่ถูกใจ ความกลัว/ความวิตกต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น การมองไม่เห็นความโกรธ ที่เกิดขึ้น เป็นต้น แต่หลังจากฝึกฝนอบรมจิตในระดับหนึ่ง จะสามารถเท่าทันต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ความกลัว ถูกคลี่คลาย ดังที่ แมงลัก ธีรารัตน์ สะท้อนคิดว่า หลังจากฝึกฝนอบรมจิต พบว่า รู้ทันความโกรธของ ตนเอง จากเมื่อก่อนไม่เคยรู้ตัวขณะโกรธ เห็นความคิดที่ก าลังก่อตัวและสามารถดับความคิดลงได้ จิต นิ่งมาก จากเดิมมักจะตกใจง่ายๆ แต่หลังจากฝึกฝนอบรมจิตไม่ได้ตกใจต่อสถานการณ์ง่ายๆ เห็น ความทุกข์ที่เกิดจากความคิด จิตสงบเฉยจากความกลัว มีความพร้อมจะสู้ต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น๑๗๓ สอดคล้องกับที่แม่ชียุพิน เล่าว่า เมื่อคราวไปปฏิบัติที่แพร่ ๖ เดือน ได้ฝึกความอดทน ปกติแม่ชีจะเป็น โมโหง่าย ใครว่าอะไร หากไม่ถูกต้องก็จะเถียงทันที คราวหนึ่งไม่เถียงเลย ใจก็ไม่หวั่นไหว นิ่ง ไม่ กระเพื่อมเลย๑๗๔
๕๔ หายกลัว ความกลัวคืออาการที่เกิดจากการปรุงแต่งทางความคิด เช่น กลัวงู กลัวผี กลัวคน กลัวความมืด กลัวความสูง แม่ชียุพิน เล่าว่า ปกติจะกลัวผี กลัวงู กลัวตุ๊กแก หลังจากฝึกฝนอบรมจิต ได้ระยะหนึ่ง เกิดรับรู้ทุกขณะ จนกระทั่งน้ าตาไหลออกมาเอง ความกลัวก็หายไป โดยทดสอบจากการ ไปขับไล่ตุ๊กแกโดยลืมความกลัวไปว่าครั้งหนึ่งเคยกลัวตุ๊กแก๑๗๕ สอดคล้องกับที่แม่ชีถนอมศรี แข่งขัน สะท้อนว่า เมื่อก่อนกลัวผีแบบบอกไม่ถูก แต่หลังจากได้พิจารณาซากศพ โดยเริ่มจากการนอน ให้ พิจารณาเป็นซากศพ ตั้งแต่ศพตายใหม่ๆ...๑๗๖ การมองเห็นความเป็นจริงของชีวิต แมงลัก ธีรารัตน์ สะท้อนคิดว่า ขอบคุณจุดด าๆที่เกิดที่ ปอด ท าให้มองเห็นตัวเอง เห็นการยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ขณะที่จิตเริ่มรับได้แล้วว่า “ร่างกายมีความ เสื่อม” เดิมนั้นไหว้พระสวดมนต์มักต้องการให้มีอายุยืน แต่เมื่อเจอเหตุการณ์นี้ เราไม่จ าเป็นต้องอายุ ยืน ถ้าอายุยืนแล้วต้องทุกข์ ต้องยืดมั่นถือมั่นแบบนี้๑๗๗ เสียงที่ได้ยิน พระมหาสมศักดิ์ กิจฺจสาโร เล่าให้ฟังว่า หลังจากฝึกฝนอบรมจิตที่เขาชนไก่ กลับมาจ าพรรษาที่วัด มีประสบการณ์ที่พอจะเล่าได้ดังนี้ (๑) คืนหนึ่งขณะที่ก าลังหลับ ประมาณ ตี หนึ่ง เสียงโทรศัพท์ดัง เมื่อลุกขึ้นไปรับ เสียงก็เงียบไม่มีการตอบรับ จึงคิดว่ามีคนโทรมาหยอกเล่น ไม่ นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังอีก เมื่อทักไปก็ไม่มีคนตอบกลับมา จึงวางโทรศัพท์ลงและตั้งท่ารอ หากเสียง โทรศัพท์ดังอีกจะรับทันที จากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดัง ได้ยินเสียงต้นสายเรียก “พี่หลวงงงงงงงงงงงงงงง งงงงงงงงงง” แบบเยือกเย็น โหยหวน ท าเอาขนแขนลุกชัน จึงรีบถอดปลั๊กโทรศัพท์ออก เพราะกลัวว่า จะมีเสียงนั้นมาอีก ตอนเช้านั่งใคร่ครวญว่า เสียงที่ได้ยินคือเสียงใคร เสียงนี้คล้ายเสียงโยมที่สวีเดน ที่ เคยคุยธรรมกันมาก่อนแต่ไม่เคยเห็นหน้ากัน จึงโทรไปสอบถาม ทราบว่า ช่วงเวลานั้นแกก าลังเป็นลม และอุทานในใจว่า “หลวงพี่ช่วยด้วย” เพราะปากขยับไม่ได้ จากนั้นจีวรก็หล่นลงมา จึงจับชายจีวร และฟื้นขึ้น” เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีเสียงเข้ามาทางโทรศัพท์ โดยที่โยมผู้หญิงไม่ได้โทรศัพท์มา จึง สงสัยอยู่เหมือนกันว่า เกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายเดือนต่อมาทราบว่า โยมผู้หญิง เสียชีวิตแล้วที่ออสเตรีย (๒) วันหนึ่งขณะปลูกถั่วฝักยาวอยู่ริมรั้ว ได้ยินเสียงปู่เขียวเรียกว่า “ท่านหา มาดูพ่อหลวงทีตะ (หน่อยสิ) เจ็บคอ” จึงถามในใจว่า “เป็นไรหลาว (เป็นอะไรอีก)” ได้ยินว่า “มาแล ตะ (มาดูสิ)” จึงเดินไปที่รูปปั้นพ่อหลวงเขียว พบว่า คอของรูปปั้นร้าว จึงคิดในใจว่า “เดี๋ยวรักษาให้” จึงจัดการซ่อมคอรูปปั้นที่ร้าว และถามท่านว่า “ฉายาอะไร” ท่านบอกว่า “สุขิโต” ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ยิน เสียงเรียกอีก๑๗๘ อิษฎาณิศ ตันติชุติ เล่าว่า ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างการเปลี่ยนจากการฝึกฝนอบรมจิตแบบพุทโธ ไปสู่แบบสัมมาอรหัง นั้น ก่อนจะมีคนจะตาย จะได้ยินเสียงนก แต่คนอื่นไม่ได้ยิน ครั้งหนึ่งเพื่อนชวน ไปบ้านของญาติที่มีต าหนักร่างทรง เมื่อเราก้มกราบและเงยขึ้น เราก็หัวเราะและบอกเลขเขา เหมือนกับว่าเราพูดไปแต่ก็งงว่าเราพูดไปได้อย่างไร มีความรู้สึกข าแต่ไม่ข า คือเราไม่ข าแต่ไม่รู้ใครข า
๕๕ ปากยิ้ม หัวเราะ และพูดออกไป แต่ที่พูดออกไปไม่ใช่เสียงเรา เป็นความรู้สึกตัวแบบมึน ๆ เคลิ้ม ๆ ต่อมาเลขที่บอกนั้นออกตรงจริง ต่อมามีความฝันแปลกเรื่อย ๆ ช่วงนั้นเมื่อนั่งสมาธิจิตนิ่งมาก เมื่อสั่ง ตัวเองว่าไม่ได้ยิน ก็จะไม่ได้ยินตามสั่ง ใครเรียกก็ไม่ได้ยิน ช่วงนั้นนั่งสมาธินานมาก ไม่รู้สึกปวดเจ็บเลย และมีความสุขสงบ เยือกเย็นกับภาวะนั้น แต่เมื่อพยายามเปลี่ยนจากแบบพุทโธมาสัมมาอรหังนั้นรู้สึก จะยากมาก เพราะเราต้องการภาวะเดิม เมื่อมาสัมมาอรหังแล้วเกิดความเครียด แต่ก็บอกตัวเองว่า ต้องได้สิ ลูกแก้วของเราต้องใสให้ได้ ต้องไปให้ได้๑๗๙ ๓.๓.๒ ปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต การมองเห็นตัวเอง เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกฝนอบรมจิต จะคือการที่มีร่าง แยกออกจากอีกร่างหนึ่ง และร่างที่แยกออกจากร่างต้นฉบับสามารถรับรู้ร่วมกัน ชียุพิน แพรทอง เล่า ว่า ช่วงที่ทุกข์มาก ๆ และหาทางพ้นจากทุกข์ ได้ศึกษาจากหนังสือต่าง ๆ และปฏิบัติด้วยตนเอง ทั้ง การเดินภาวนาและนั่งภาวนา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ระหว่างที่นอน จิตก็ถอดออกจากร่างไปยืนอยู่ที่หัวนอน เมื่อตกใจจิตที่ออกไปก็จะกลับเข้าร่าง๑๘๐ นอกจากนั้น จะมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับการ กระท า อย่างที่แม่ชีมะปร่างสะท้อนว่า หลังจากฝีกอบรมจิตมาถึงพรรษาที่สอง มองเห็นกรรมในอดีต ของตัวเองทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี ลูกที่มาเกิดก็อาศัยท้องมาเกิดเท่านั้น จึงปฏิบัติต่อไปเรื่อย ๆ๑๘๑ ความรู้สึกที่ละเอียด เป็นปรากฏการณ์ที่สามารถรับรู้สิ่งที่เข้ามากระทบที่ละเอียดขึ้น ธนาวุฒิ (เอ๋/นิ้วกลม) เฮ้งสวัสดิ์ สะท้อนคิดว่า ช่วงที่พยายามแก้ปัญหาเรื่องความง่วงในขณะเดิน ด้วยการเร่ง เดินแบบเร็ว พบว่า เมื่อง่วงหายไป จะมีความรู้สึกที่ชัดขึ้นตามจุดเล็ก ๆ ต่าง ๆ ของร่างกาย แม้แต่ใบ ไผ่หล่น เราก็เห็น...ช่วงท้ายของการเดินกลับไปกลับมา (จงกรม) มีความรู้สึกสบายมาก ๆ๑๘๒ การเชื่อมโยงกับความเป็นจริงของชีวิต เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นภายในความคิด/จิตที่ มองเห็นความเป็นจริงบางอย่างของชีวิต นรมนต์ อินทรานนท์ สะท้อนคิดว่า เห็นใบไม้ร่วง ก็สามารถ พรรณนาเป็นธรรมว่า ชีวิตคนยังไงก็ต้องตกเป็นใบไม้” เห็นผีเสื้อมาเกาะ ก็มีความคิดว่า “ผีเสื้อนั้นอีก ไม่นานก็ตายแล้ว๑๘๓ คุณหญิงสะท้อนคิดว่า มองเห็นตัวเองในฐานะหุ่นเชิดมาทั้งชีวิต เชิดด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ ที่ท าให้รู้สึกหดหู่คือ คนที่เชิดเราอยู่เป็นคนที่เรารักทั้งหมด๑๘๔ คติธรรม จะสอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิตที่แตกต่าง จะคือการผุดคิด/ความตระหนักรู้ ที่เป็นก าลังใจให้โน้มเอียงไปในทางชีวิตที่ดี อย่างที่คุณหญิงสะท้อนคิดออกมาว่า จากการเข้าฝึกฝน อบรมจิต ช่วงหนึ่งเกิดความปีติจนน้ าตาไหล ตัวลอยบนทางที่เดินกลับไปกลับมา (จงกรม) ช่วงหนึ่งเงย หน้ามองที่ต้นไผ่ พบว่ากิ่งไผ่โน้มลงมาและคุยกับเราว่า ไผ่มีประโยชน์นะ ใช้ได้ทุกส่วน หน่อก็กินได้ ต้น ก็ท าบ้านเรือนได้ เคยไปที่รัฐฉานไหม ไผ่ถูกสานเป็นพระพุทธรูปให้คนกราบไหว้ได้ แล้วคุณล่ะ จากนั้น
๕๖ ก็น้อมมาที่ตัวเองว่า อ๋อ ถ้าเราอยากเป็นไผ่ ไผ่จะมีคุณสมบัติคือโตไว ไม่หักง่าย น้อมไปตามลม ดังนั้น ถ้าเราอยากเรียนรู้ธรรม เราต้องท าตัวเหมือนไผ่ ต้องเชื่อฟังครูบาอาจารย์ อย่าดื้อ กินยาให้ตรงเวลา ถ้าเราอยากเป็นไผ่แบบไหนเราก็เลือกเอา วันนั้นเกิดปีติทั้งวัน เดินตัวลอยทั้งวัน อาการที่ปวดมาก ๆ บริเวณขาและทั่วร่างหายไป ไม่รู้หายไปไหน” ๑๘๕ คุณแม่ศรีเรือน พัทรชนม์ สะท้อนว่า ช่วงเช้า พบว่า หญ้าริมรั้วมักรก จึงท าให้โล่ง ปกติคนที่ผ่านไปมามักจะโยนขยะมาทิ้งที่ริมรั้ว ถ้าริมรั้วรกก็จะมองไม่ เห็นขยะ ตัวเราเต็มไปด้วยขยะ ถ้าตัดให้โล่งก็จะพบขยะทันที ขยะนอกและขยะในมีลักษณะเหมือนกัน อย่างอารมณ์ ถ้าเราเดือดพุ่งพล่าน ถ้ามีสิ่งอื่นใดมากระทบ เราจะมองไม่เห็น แต่ถ้าเรามีอารมณ์นิ่ง ก็ จะจับได้ง่าย๑๘๖ อาการอื่น ๆ เฉพาะบุคคล ธนาวุฒิ (เอ๋/นิ้วกลม) เฮ้งสวัสดิ์ สะท้อนคิดว่า...บางช่วงรู้สึกเศร้า บางช่วงขนลุก น้ าตาเอ่อ ในการเดินครั้งสุดท้าย มีอาการขนลุก หนาว ปวดที่ฝ่าเท้า๑๘๗ อาการแบบนี้ อาจารย์ประมวล ยั่งยืน เล่าให้ฟังว่า ขณะที่นั่งฝึกฝนอบรมจิต จะมีน้ ามูกไหลออกเยอะมากจนเสื้อ เปียก และจะเป็นแบบนั้นอยู่เรื่อย ๆ๑๘๘ นรมนต์ อินทรานนท์ สะท้อนว่า มองเห็นของกินที่สวยงาม กลายเป็นของเสียเน่าเหม็น มองเห็นตัวเองว่าอยู่ในหลุมด าคือกิเลส เกิดความรู้สึกสงสารตัวเอง จึง ร้องไห้๑๘๙ แม่ชีหม่องเล่าว่า เมื่อจับความรู้สึกได้อัตโนมัติ น้ าตาไหล รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างขยับใต้ ใบหน้า ใจเต้นดังตึกๆ ไม่มีความปวด มีความรู้สึกตัวตลอดเวลา๑๙๐ แม่ชีมะปราง เล่าว่า เราสามารถ ล่วงรู้ได้ก่อนว่าใครจะมา และคนๆนั้นก็มาจริง จะเกิดอะไรขึ้นในวัดก็จะมาปรากฏภาพให้เห็นก่อน แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วจิตใจสบาย บางครั้งมีแสงสว่างขึ้นทั้งกุฏิ ไม่นอนตลอด ๖ เดือนได้ สามารถเดินตามซี่โครงของตัวเองได้ สามารถย่อตัวให้เล็กได้ เวลาเดินแล้วไม่เหนื่อยเพราะ เข้าฌานขณะเดิน๑๙๑ จากการสัมภาษณ์บุคคล มีข้อมูลที่น่าพิจารณาดังต่อไปนี้ พระครูประยุตอัครธรรม (รัตน์ อคฺคธมฺโม) เล่าว่า ช่วงการฝึกฝนอบรมจิตในวันที่ ๑-๓ จะมี อาการเจ็บปวดร่างกาย (ทุกขเวทนา) จากนั้นจะค่อยๆผ่อนคลาย เมื่อถึงวันที่ ๗ ของการอบรม มีภาพ ยักษ์มีเขี้ยว ถือตะบอง และมาร มากันเป็นแถว มาปรากฏตัวให้เห็น จากนั้นเห็นภาพแม่ชี ถัดจากนั้น เห็นภาพผู้หญิงหน้าตาดีร่างกายเปลือยเปล่า ปรากฏจากที่ไกลแล้วค่อยๆใกล้เข้ามา เมื่ออยู่ใกล้ ร่างกายผู้หญิงคนนั้นจะค่อยแก่ตัวลง เป็นภาพชัดยิ่งกว่าภาพที่แสดงออกทางหน้าจอโทรทัศน์ เหมือน ภาพฝัน แต่ไม่ใช่ฝันเพราะเรารู้ตัวอยู่ บางครั้งจะปรากฏขึ้นขณะที่ก าลังเดิน ครั้งหนึ่งปรากฏภาพใน อดีตของเราที่เราลืมไปแล้ว นุ่งกางเกงยืน เก็บเกี่ยวข้าว เห็นภาพคนที่เราเคยรู้จักกันในอดีต เห็นสัตว์ เลี้ยงที่เราเคยเลี้ยงในอดีต เป็นภาพแจ้งชัดแบบอยู่กลางวัน บางครั้งเห็นเรายืนบนภูเขาบ้าง เห็นยืน หน้าถ้ าบ้าง เห็นพระพุทธรูปโบราณองค์ใหญ่บ้าง ต่อมาขณะที่นอนอยู่คืนหนึ่ง มีเลือดออกเต็มปาก
๕๗ ประมาณจอก/แก้วหนึ่ง และขี้หูหลุดออกมา ถัดจากนั้นรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น ต่อมาขณะนั่งฝึกฝนอบรมจิต มีช่วงอาการมืดแต่รับรู้ได้/เห็นข้างในร่างกายมีหัวใจเต้นอยู่เสียงดังตึ๊กๆ จากนั้นมีการตัดการรับรู้ แม้แต่พัดลมที่เคยเสียงดังออดแอดก็ไม่ได้ยิน ลมหายใจของเพื่อนๆที่เคยได้ยินก็ไม่ได้ยิน ไม่มีการรับรู้ ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ทั้งที่มีคนอื่นร่วมฝึกฝนอบรมจิตอยู่ด้วย เมื่อมีความรู้สึกกลัวเกิดขึ้นข้างใน จึงค่อยๆ คลายตัวออกจากสภาพการไม่รับรู้แบบนั้น (จิตดิ่ง) เป็นการรับรู้ปกติ๑๙๒ คุณเกศฤดี บุญรัตน์ ให้ข้อมูลว่า ปกติจะฝึกจิตภาวนาแบบการเคลื่อนไหว เพราะสามารถ ประยุกต์ได้กับกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจ าวัน อย่างการน าไปประยุกต์กับการวิ่งออกก าลังกาย บางครั้งเราโฟกัสกับก้าวแต่ละก้าว ทั้งที่หอบแต่ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อย จะเป็นอะไรที่สบายมาก แม้จะ วิ่งเร็วขึ้น แต่มีความสดชื่น มันเกิดขึ้นไม่นาน บางครั้งผสานกับการดูลมหายใจ โดยก าหนดหายใจเข้าออกผสานกับการก้าวเท้า มันสามารถวิ่งไปต่อได้โดยไม่เหนื่อย แบบอยากไป แต่มันอยู่ไม่นาน นอกจากนั้น จะชอบการสวดมนต์บางบทและบางครั้งเราจะอยู่ในโลกของการสวดมนต์๑๙๓ คุณแม่ศรีเรือน พัทรชนม์ ให้ข้อมูลว่า ช่วงฝึกฝนอบรมจิตด้วยตนเองที่บ้าน จากการหาความรู้ ด้วยการอ่านหนังสือ ครั้งหนึ่ง ใช้บริกรรมว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ แล้วรู้สึกตัวเองลอยขึ้น ลอย ๆ จนติด เพดาน รู้สึกตกใจ อุทานในใจว่า “โอ้ย ตายแล้ว” จึงตั้งสติใหม่ จนมีความรู้สึกว่าไม่ลอยแล้ว หลังจาก ตกใจครั้งนี้แล้วก็ห่างจากการฝึกฝนอบรมจิตมาพอสมควร และอีกครั้งหนึ่ง นั่งภาวนากลางวัน แล้ว สมาธิเข้าไปลึก ภายในมีแสงเรืองเหมือนมีแสงจันทร์ จิตส่งไปที่เพื่อนคนหนึ่งอยู่อ าเภอสะเดา มีภาพ ผู้หญิงใส่เสื้อสีขาว กระโปรงสีน้ าเงิน เห็นผู้ชายใส่ชุดสีกากี แต่ไม่รู้จักหน้าคน เป็นภาพฟางๆเหมือนอยู่ กลางแสงจันทร์ ต่อมาไปฝึกสติปัฏฐานแบบยุบ-พองที่วัดอัมพวัน สายหลวงพ่อจรัญ วัดลัฏฐิวนาราม โดยคุณแม่สิริ กรินชัย และอาณาปานสติที่สวนโมกข์นานาชาติ แต่ไม่พบอาการแบบนั้น ส่วนช่วงมี อาการเหมือนเมาบก เท้าที่เหยียบอยู่เหมือนมันสโลว์โมชั่น และรับรู้กลิ่นต่าง ๆ เร็วเกิน ไปจ่ายตลาดก็ เหม็นแบบอยากอาเจียน บางทีจะกินข้าวมันไก่ พอเข้าไปในร้านก็เหม็นแบบจะอ๊วก๑๙๔ พระอาจารย์จันทโชติ จนฺทโชโต เล่าว่า จากประสบการณ์การฝึกกสิณประมาณ ๔ ปีกว่า โดยเฉพาะกสิณไฟ เมื่อหลับตาแล้วจะเห็นแสงกลมแดงเรื่อ เราสามารถบังคับให้หดเหลือเท่าปลายเข็ม ก็ได้ หรือขยายให้ใหญ่ก็ได้ ครั้งหนึ่งขณะกินตังเมและนั่งแปลหนังสือ เสียงหลังคาลั่นเหมือนมีอะไรมา ขย่ม จึงเกิดความสงสัยขึ้นว่า หากเป็นผีก็ขอให้ไปเสีย หากเป็นเจ้าที่หรือเทวดาที่เก่งจริงก็ลองดู จึง จ้องไปที่หลังคาที่สั่นสะท้านกระเทือนทั้งกุฏิ อีกใจหนึ่งคิดว่าเป็นอุปาทาน จึงคิดท้าทายอีกครั้ง เสียง หลังคาก็ลั่นสะท้านอีกเหมือนเดิม ๓-๔ รอบ จึงเห็นว่า ไม่ได้การณ์แล้ว และอยากรู้ จึงลุกขึ้นพาด สังฆาฏิ จุดธูปเทียน บูชาพระ นั่งสมาธิ นั่งไปแล้วรู้สึกกลัวว่าจะกระโดดหน้าต่าง จึงลุกขึ้นไปปิด หน้าต่างไว้ก่อน ก่อนปิดก็ดูกุฏิอื่น ๆ ทุกอย่างเงียบสงัด เหมือนอีกมิติหนึ่ง แสงสลัวนวลเหมือนแสง
๕๘ นีออนแต่ดูสิ่งอื่น ๆ ได้ชัด กลับมานั่งสมาธิแล้วกลัว จึงนอนท าสมาธิ ตอนเช้าเข้าไปถามอาจารย์รัน๒ ใน โบสถ์ ยังไม่ทันเล่าเรื่อง อาจารย์รันบอกให้ตรวจสอบตัวเองว่าท าความผิดอะไรบ้างหรือไม่ พบว่า ใส่ อังสะตัวเดียวและกินตังเม อาจารย์รันจึงบอกว่า “คุณมันจิตละเอียดแล้ว เทวดารัก เขามาเตือนว่า ประพฤติเสียสมณสารูป จึงโหนตามเสาจากต้นโน้นไปต้นนี้ เขามาบอกแล้วเขาติดตามดูแลคุณอยู่ เขา รักษาอยู่ จิตคุณละเอียดแล้ว ต้องท าให้ละเอียดยิ่งๆขึ้น หากจิตหยาบเขาจะไม่สนใจ” ต่อมาสึกออกไป หลับตาก็เห็น ขนาดเมากินเหล้าอยู่กับเมีย นั่งเพ่งโทรทัศน์ เพราะแสงแรง ส่วนเรื่องราวในโทรทัศน์นั้น ไม่รู้เรื่อง เพ่งโทรทัศน์แล้วหลับตา นิมิตจะปรากฏเลย ดวงจิตจะใส ดึงจากหน้าผากเข้าทางจมูกแล้ว ออกทางหน้าผากได้ เป็นการเล่นกสิณ นอกจากนั้น เราสามารถมองเห็นหากเราอยากเห็น อย่างนอน คว่ าหลับตา มีเมียนอนอยู่ข้างๆ ก็มองเห็นสวน (บ้านสวน) เห็นลูกสาวนอนอยู่อีกห้องหนึ่ง ทั้งที่เราอยู่ ห้องหนึ่ง ทั้งที่อยู่ในเวลากลางคืน มองเห็นทั้งหมดเป็นภาพจริง ๆ เหมือนไฟฉายส่อง/ภาพสลัวแบบติด ไฟนีออน บางทีมองเห็นท้ายทอย ทั้งที่ลองเอามือปิดท้ายทอยไว้ก็มองเห็น และไม่น่าจะใช่การถอดจิต เพราะเห็นอยู่ตรงที่ก าลังหลับตา เมื่อคิดจะดูตัวเองก็จะเห็นตัวเอง ครั้งหนึ่งไปนอนที่ขน า ช่วงเดือน เพ็ญ แสงจันทร์ส่งทางช่องเข้ามา จึงเพ่งดวงจันทร์ เห็นแสงสว่างแล้วหลับไป ตื่นเช้าเมียเล่าให้ฟังด้วย ความกลัวแต่ไม่กล้าปลุกว่า “เห็นแสงสว่างเท่ากระด้ง สว่างอยู่ในมุ้งตลอดคืน” เมื่อตื่นขึ้นแสงนั้นก็ หายไป บางครั้งอยู่บ้าน แล้วเดินไปหาเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านบอกว่า “อาว เมื่อเดี๋ยวมาครั้งหนึ่งแล้วนี่” แต่ก็บอกเขาว่า “เพิ่งมาเนี่ยแหละ เพิ่งมาจากบ้านไม่ได้ออกไปไหนก่อน” เขาก็บอกว่า “นี่ไง เขียนเลข บอกเบอร์ให้เขาอยู่ แต่ถามอะไรก็ไม่พูด” คนที่บอกนี่เป็นคนที่ชาวบ้านเชื่อถือด้วยไม่ใช่คนทั่วไป ต่อมาเลขที่บอกนั้นก็ออกตรงจริง โดยส่วนตัวก็ยังดื่มเหล้าใช้ชีวิตแบบชาวบ้าน แต่ไม่ได้ทิ้งเรื่องการฝึก เรื่องเหล่านี้ อย่างเมื่อก่อนนั้น เวลาจะเดินไปไหนและหากจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เมื่อเราผ่านเสาไฟ จะมีเสียงหวีดเหมือนเตือนให้รู้ อย่างเขาดักยิงก็จะรู้เลย เมื่อครั้งที่บวชอยู่ ครั้งหนึ่งไปสวดศพถูกยิง ตายที่วัดดอนแค ก็เห็นคนตายมานั่งฟังสวดด้วย และได้กลิ่นเหม็นมาก คนอื่น ๆ ได้กลิ่นแต่ไม่เห็นตัว เมื่อครั้งไปธุดงค์ที่วัดลิงค์ จังหวัดพัทลุง นั่งสมาธิก็ปรากฏเลข (หวย) ขณะหลับตา อย่างวัดถ้ าเขาเงิน ก็มีเลขมาปรากฏทุกงวดเหมือนกัน แต่ไม่เคยซื้อและต่อต้านพวกนี้ เมื่อชาวบ้านมาขอ ก็บอกว่าฝัน อย่าไปเชื่ออะไรเลย เมื่อเลขออกก็ตรงจริง ปกติเรื่องเหล่านี้ไม่เคยเชื่อ เพราะไม่ได้เชื่ออะไรง่ายๆ ออก แนวต่อต้านด้วยซ้ า แต่เมื่อพบว่าจริง เดี๋ยวนี้ก็เลยเชื่อ นอกจากนั้นที่เคยเห็นในขณะนั่งสมาธิคือ นั่ง เป็นกระดูก แล้วท าลายไป จากนั้นค่อยๆเกิดขึ้นใหม่ มีเนื้อ มีเลือด มีหนังหุ้มเหมือนเดิม เป็นภาพที่ เกิดขึ้นมาเอง มีกลิ่นเหม็นจริง๑๙๕ ๒ พระภิกษุสายปฏิบัติอธิษฐานจิตไม่พูด และฝึกจิตภาวนาอยู่ในโบสถ์ เป็นพระภิกษุเคร่งครัดตาม แนวทางหลวงปู่สงฆ์ จันฺทสโร แห่งวัดศาลาลอย / วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ต าบลบางลึก อ าเภอเมืองชุมพร
๕๙ พระมหาสมศักดิ์ กิจฺจสาโร เล่าให้ฟังว่า การไปฝึกฝนอบรมจิตที่เขาชนไก่คืนที่สาม ได้ยินเสียง ม้าควบดังกรึบๆ ๆ อยู่ข้างๆ เกี่ยวกับความปวด เมื่อก่อนไม่เชื่อเหมือนกันว่า “สุดเวทนาจะไม่มี เวทนา” แต่พบว่า สุดเวทนาจะไม่มีเวทนาจริง ๆ จากที่นั่งกดอยู่ ก็ดีดออกจากเวทนา เมื่อหมดเวทนา ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนแต่สติรับรู้สมบูรณ์ รับรู้ลมหายใจ แต่ลมหายใจสั้นเหมือนขนแมวหนึ่งเส้นตัดออก จากกันเป็นชิ้นเล็ก ๆ เมื่อลมหายใจละเอียด จะนิ่งมาก ในภาวะไม่มีตัวตนนั้น จะมีสุข เป็นสุขจากไม่มี เวทนา (เจ็บปวด เมื่อย ฯลฯ) ต่อมาอยากให้เกิดอีก ก็ไม่เกิด ทั้งที่นั่งกดเวทนาจนตัวสั่น ที่เล่า ประสบการณ์นี้ให้ฟังเพื่อจะบอกว่า มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ ในภาวะที่ไม่มีตัวตนนั้น เมื่อได้ยินเสียงปืนที่เขา ซ้อมยิงที่เขาชนไก่ จิตจะบอกเองว่า ได้ยินหนอ โดยไม่มีการคิดต่อไปว่าเสียงปืนอะไร เป็นการไม่ได้ ปรุงแต่งตามเสียงนั้น เหมือนเสียงรถมอเตอร์ไซค์มา จิตจะบอกเองว่าได้ยินหนอ โดยไม่ได้คิดว่าใครขับ ได้ยินคือได้ยินเท่านั้น คราวนี้เกิดปัญหาว่า ขณะที่นั่งในภาวะไม่มีตัวตนนั้น ถึงเวลาฉันเพล (กินข้าว เที่ยง) ได้ยินเสียงสัญญาณระฆัง แต่ออกจากภาวะนั้นไม่ได้ ส่วนความหิวไม่มี และอยากอยู่ในภาวะนั้น นาน ๆ ต่อมาอาจารย์ที่ดูแลอยู่เหมือนกับว่าเขารู้ว่าเราติดอยู่ในอารมณ์นั้น เข้ามาบีบมือบน จิตเราก็ รับรู้ว่า “มือ” จากที่ไม่มีความรู้สึกก็ค่อย ๆ รับรู้ความมีตัวมีตนทีละน้อย จึงสามารถออกจากภาวะนั้น ได้ ส่วนเทวดาอะไรเหล่านั้นไม่เคยเห็น แต่ได้ยินช่วงท าวัตรตี ๕ ได้ยินเสียงบนสวรรค์ เสียงหวุ่ง ๆ เหมือนอยู่ในไห เมื่อจิตจับเราจะรู้ว่าใครหรืออะไร หากคลื่นตรง เสียงนี้จะมาเอง แต่ถ้าเราอยากให้มา มันจะไม่มา๑๙๖ พระครูศรีธรรมโชติ (พงษ์มิตร ธมฺมโชโต) เล่าให้ฟังว่า จากได้ไปเข้าคอร์ส ๔๕ วัน ช่วงปลาย เหลืออีกประมาณ ๑๐ วัน เวลาที่เราก าหนดนั้น ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ก าหนด ก าหนดแล้วสนุก เดินกลับไปมา ไม่มีอาการเซ ไม่ง่วง หลับตาก็เดินได้ เพราะเราก าหนดตรงตามอาการได้จริง ทุกอย่าง เป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนที่จะเกิดอาการแบบนี้ มันจะมีอาการร้อนทั้งสองข้าง เหมือนก าลังอังเตา ไฟ แล้วขนก็ลุกชันจากหน้าแข้งขึ้นไปตัวและศีรษะ เหมือนเส้นผมตั้งตรงแบบฉับพลัน นอกจากนั้น เรา ยังสามารถก าหนดจิตได้ก่อนนอนว่าจะลุกขึ้นเวลาเท่าไร เมื่อถึงเวลาก็จะตื่นตรงตามเวลาที่ก าหนด ก่อนนอนนั้น และเมื่อตื่นก็จะสดชื่น กระปรี้กระเปร่า๑๙๗ อิษฎาณิศ ตันติชุติ เล่าให้ฟังว่า ช่วงการฝึกฝนอบรมจิตแบบก าหนดที่ลมหายใจและบริกรรม ว่าพุทโธนั้น พบสิ่งที่ประหลาดใจบางอย่างเช่น ระหว่างบริกรรมพุทโธนั้น พุทโธจะแผ่วเบาและเหมือน อยู่ไกล ๆ จากนั้นมีความสว่างโล่ง เยือกเย็น กว้าง และใส จากนั้นได้ยินเสียง ได้กลิ่น แต่ก่อนที่จะ อบรมจิต จะมีการสวดมนต์ก่อน จะได้ยินเสียงสวดมนต์ที่ไพเราะมาก ๆ ตามเรา แต่ไม่ใช่เสียงเรา จึงมี ความรู้สึกว่า มันวิเศษมากเลย ส่วนช่วงแรกเข้าคอร์สอบรมแบบมโนมยิทธิ ได้ปฏิบัติตามที่เขาก าหนด โดยการจูงจิตเกี่ยวกับการเห็นวิมานในจิตและกราบพระพุทธเจ้าที่จุฬามณี ช่วงนั้นเห็นวิมานเป็นสีทอง และพบพระพุทธเจ้าที่เป็นกายเนื้อ ผิวละเอียดสวยงามแวววาวแต่ไม่ใช่ผิวแบบคน แต่เป็นการเห็น แบบฉับพลัน แบบอธิบายไม่ถูก ในโลกที่ขาวโพรน สถานที่นั่นนุ่ม จากนั้นจึงบอกท่านว่า ขอกราบ
๖๐ พระพุทธเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานครั้งนี้ส าเร็จ จึงขอกราบและออกจากสมาธิเลย เป็นความ ไวมากจนไม่สามารถบรรยายลักษณะได้ แต่รับรู้ว่านั้นคือพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นฐานที่ ๓ ของการ ฝึก ให้ส่งจิตไปที่กระป๋องยาฆ่าแมลง สิ่งที่เห็นคือร่างผู้ชายที่ไม่ใช่คนยืนอยู่ข้างกระป๋องและก าลังยก กระป๋องขึ้นมากิน หลังจากเปลี่ยนจากสมถะเป็นวิปัสสนาโดยเริ่มจากวัดภัททันตะ ต้องแก้ปัญหาความ ขัดแย้งในตนพอควร แต่เมื่อแก้ปัญหาได้แล้วก็สามารถฝึกปฏิบัติได้ดี อย่างไรก็ตาม มีอาการบางอย่าง ที่เกิดขึ้นคือ เมื่อตอนเดินหลับตาเดิน มองเห็นเท้าลีบข้างหนึ่ง บางครั้งเห็นผู้หญิงแคระ แล้ว เปลี่ยนเป็นผู้ชายถือไม้เท้าสกปรก ทุกก้าวที่เดิน ช่วงท าวัตรเช้ามีการกราบเบญจางคประดิษฐ์ มองเห็น มือที่ไม่ใช่มือตัวเอง เป็นมือหงิกงอเหมือนคนแก่ หนังย่น เมื่อกราบเสร็จแล้วหมุนตัวไปด้านหลังเป็น กระจกสะท้อนศีรษะขาว ตัวเล็ก จึงสั่นไปทังตัว การเห็นแบบนี้ไม่ได้เห็นแค่ครั้งเดียว ๑๙๘ อาจารย์โสภณ เล่าให้ฟังว่า ปกติจะใช้บริกรรมแบบพุทโธผสานลมหายใจเข้าออก และการนับ จ านวนเลขแต่ละค ารบผสานลมหายใจเข้าออก พบว่า ถ้าเราพวงอยู่กับความเจ็บปวดของร่างกาย เรา ก็จะเจ็บ แต่ถ้าเราจดจ่อกับการนับเลขผสานลมหายใจ ความเจ็บนั้นก็จะไม่มี มีอยู่ครั้งหนึ่งใช้การนั่ง นับเลข หายใจเข้าออกนับ ๑ หายใจเข้าออกนับ ๒ ฯลฯ เพลินจนลืมเวลาที่ก าหนดไว้ ที่เคยปวดเมื่อย ร่างกาย ก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อยใด ๆ เลย ต่อมาเราอยากได้แบบนี้อีก แต่ไม่เคยได้อีกเลย๑๙๙ พระต๋อย (นามสมมติ) เล่าให้ฟังว่า ได้ฝึกฝนอบรมจิตมาตั้งแต่บวชเป็นสามเณร โดยจะนั่ง ก าหนดด้วยค าว่า พุทโธ ทุกวันๆละประมาณ ๑ ชั่วโมง เกี่ยวกับประสบการณ์พิเศษนั้น เคยนั่งแล้วมี แสงสว่างโล่ง โดยเริ่มจากแสงสว่างเล็ก ๆ แล้วโพลงขึ้น จากนั้นจะรู้สึกมีความสุข แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าคือ อะไร เท่าที่รับรู้คือมีความสุขมาก การนั่งนั้นจะต้องสู้ทนกับความปวดร่างกาย เมื่อถึงที่สุดแล้วความ ปวดจะหายไป ในช่วงนั้น มีบางอย่างเกิดขึ้นด้วย คือ การรับรู้กับความจริงจะตรงกัน เช่น ขณะนั่ง อบรมจิต เราเห็นภาพคนหนึ่ง และเรารับรู้ว่า เขาจะมาหาเราเวลาเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นตามที่เราเคย รับรู้ คนๆนั้นมาหาเราจริง หากจะมีคลาดเคลื่อนก็ไม่เกิน ๔-๕ นาที ช่วงบวชพระที่วัดถ้ าขวัญเมือง ได้ เข้าอยู่กรรม ๑ ปี โดยไม่พบใคร ๆ ปฏิบัติตนด้วยการนั่งกรรมฐาน วันละ ๘ ชั่วโมง โดยใช้การบริกรรม เกสา โลมา ฯ (ตจปัญจกกรรมฐาน/มูลกรรมฐาน) ผ่านไป ๑ เดือน ถ่ายท้องมีกลิ่นเหม็นมาก สกปรก โสโครก กลิ่นติดผ้าถึงขนาดต้องต้มผ้าจีวรผ้าสบง มีอาเจียนวันละ ๓ รอบ สองเดือนเต็มๆ ครูบา อาจารย์บอกว่านั่นคือการถ่ายธรรม เป็นการถ่ายของเสียในร่างกายออก มีร้องไห้น้ าตาไหล สะท้อนใน ตนว่า “ไม่น่าเชื่อว่านี่คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ เมื่อปฏิบัติแล้วได้ผลจริง ๆ” ผ่านเข้าเดือนที่ ๓ ผิวพรรณดีมาก ชาวบ้านที่มาเห็นต่างชื่นชมน าสิ่งของมาให้เยอะแยะทั้งจีวร อาหาร และของใช้ อย่าง เหลือเฟื้อ จนอาจารย์ต้องบอกห้ามชาวบ้านเข้าไปยุ่ง เพราะพระก าลังเข้าปริวาส เราต้องรู้ตัวไม่ให้ ความอยากได้เข้ามาครอบง า โดยใช้ค าว่า “ละ” หรือ “ตัด” เมื่อคราวใกล้จะออกจากปริวาส สัปดาห์ สุดท้าย ขณะนั่งกรรมฐาน ปรากฎเหมือนได้ดูคลิบโป๊ มีผู้หญิงกับผู้ชายมานั่งเอา (เพศสัมพันธ์) กันต่อ หน้าเลย เราก็ขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ช่วยตัวเอง แต่เรารู้ว่านี่คือการถูกทดสอบ นอกจากนั้น ภาพผู้หญิงแต่
๖๑ ละคนที่เราเคยมีอะไรกันก็ปรากฏขึ้นมาในนิมิต เป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนเราดูคลิบโป๊/เหมือนดูทีวี แต่ปรากฏในขณะที่เราหลับตานั่งกรรมฐาน ท าให้เราอยากมีอะไรกับใคร แต่เมื่อเราใช้ค าว่า “ละ” ภาพนั้นก็จะดับ ถ้าไม่ดับ เราต้องบังสุกุลตาย “อนิจจา วต สังขาราฯลฯ” ประมาณ ๑๐-๒๐ ครั้ง กว่า ภาพนั้นจะดับ ปัจจุบันนี้ มองตรงนั้นเป็นเรื่องขยะแขยง/เหม็นเขียวไปเลย หากจะเกิดอารมณ์ทางเพศ ก็ใช้ค าว่า “ละ” แล้วความต้องการจะหมดไป ได้ข้อสรุปว่า ไม่มีอะไรบังคับจิตได้ นอกจากสติเท่านั้น เกี่ยวกับเรื่องผลของบาปกรรมนั้นเคยนั่งสมาธิแล้วทนต่อความเจ็บ ปวดจนน้ าตาไหลพราก เหงื่อ แตกพลัก จนได้ยินกระดูกขาลั่นเปรี๊ยะๆ เราเข้าใจว่ากระดูกแตก ภาพนิมิตปรากฏในขณะนั้นเป็นตอน ที่เราท านาสมัยเด็ก เราไปส่องกบ เมื่อได้กบมาไม่มีถุงใส่ จึงจับกบมาหักขา เมื่อกระดูกแตกจึงไปไหน ไม่ได้ เกิดความตระหนักว่า นี่ขนาดเราอยู่บนโลกมนุษย์ยังขนาดนี้ หากเราตกนรกจะขนาดไหน อีก กรณีคือ จับแมงปอมา ๕ ตัว แล้วน าหญ้าคาเสียบก้น ให้มันบินลาก ปรากฏว่า เป็นริดสีดวงมา ๕ ปี ปัจจุบันหายแล้ว อีกอันหนี่งคือเอาหนังสติ๊กรัดลูกอันฑะของหมา ๓ ตัว จนขาด อีกตัวเลือดออกเยอะ มาก เราก็ดีใจ ปัจจุบันมีผลบางอย่างกับตัวเอง ๒๐๐ ๓.๓.๓ ท่าที/ทัศนะที่มีต่อการฝึกฝนอบรมจิต พระครูประยุตอัครธรรม (รัตน์ อคฺคธมฺโม) ให้การสัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันจะใช้การก าหนด “รู้” ยืน เดิน นั่ง นอน ให้รู้อย่างมีสติอยู่ ในอิริยาบถทั่วไป แต่หากอยู่คนเดียวจะนั่งดูลม ก่อนนั้น/หลายปี ก่อนจะก าหนด (บริกรรม) ด้วย “พุทโธ” โดยหายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” รับรู้ตามลมเข้าออก ต่อมาเปลี่ยนจากการก าหนดแบบพุทโธ มาก าหนดการพองขึ้นและยุบลงของหน้าท้อง ก าหนดตามจริง ในใจว่า พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ ถูกหนอฯลฯ โดยไม่ต้องตามก าหนดลมแบบพุทโธ เป็นการเปลี่ยน จากแบบสมถะ เป็น วิปัสสนา ที่สามารถรู้ได้ทุกอิริยาบถ๒๐๑ คุณเกศฤดี บุญรัตน์ ให้ข้อมูลว่า เคยศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนอบรมจิต ๒ แบบคือ แบบ ตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก โดยไม่มีการใช้ค าก าหนดลม และแบบการเคลื่อนไหว โดยส่วนตัวไม่ถนัด แบบตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก จึงมักใช้แบบการเคลื่อนไหวเป็นหลัก เพราะแบบการเคลื่อนไหวนั้น เรา สามารถน ามาปรับกับการใช้ชีวิตประจ าวันได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เราวิ่งออกก าลังกาย ส่วนแบบตามรู้ ลมนั้นต้องอยู่นิ่งๆเพราะมีความละเอียดกว่า แต่บางครั้งในการวิ่งก็ผสมผสานทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน มี ผลที่เหมือนกันคือ “ไม่เหนื่อย”ในการวิ่ง โดยส่วนตัวมองว่าการฝึกฝนอบรมจิตมีประโยชน์ในการเติม เต็มสิ่งที่เราท าอยู่แล้ว แต่ไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องความหลุดพ้น และไม่ใช่เรื่องพิศดาร๒๐๒ คุณศรีเรือน พัทรชนม์ ให้ข้อมูลว่า การฝึกฝนอบรมจิตนั้นได้เรียนรู้ผ่านวิถีผู้นับถือพุทธศาสนา เริ่มต้นจากสมัยเด็ก ทวดเข้าวัดรักษาศีล ๘ ในวันพระ จึงได้มีโอกาสไปถือศีล ๘ ด้วย ช่วงที่เรียนอยู่ โรงเรียนที่อ าเภอเทพา ได้เข้าร่วมโครงการฝึกฝนอบรมสามวันสองคืน นั่งสมาธิบ้าง จงกรมบ้าง ฟัง ธรรมบ้าง ค าภาวนาที่ใช้คือพุทโธ ต่อมา ปี ๒๕๓๑ ซื้อบ้านอยู่หมู่บ้านไทยสมุทร มีคนทางอีสานมา
๖๒ อาศัยอยู่แถวนั้น ในวันพระ เขาจะไปนอนวัด อยู่วัดและปฏิบัติธรรม เขานั่งสมาธินิ่งมาก ต่างจากตน เดี๋ยวพลิก เดี๋ยวพลิก ยอมรับว่ารู้สึกละอายใจ แต่ด้วยความเป็นคนชอบอ่านหนังสือ จึงเริ่มศึกษา หนังสือหลายๆเล่ม ของท่านพุทธทาสบ้าง โลกทิพย์บ้าง โลกลี้ลับบ้าง พุทธธรรมบ้าง แรกๆจะสนใจ เรื่องอิทธิฤทธิ์ และชื่นชมครูบาอาจารย์ที่เขาเก่งๆ เช่น หลวงพ่อทวดเอาเท้าจุ่มน้ าทะเลแล้วน้ าจืด ด้านการปฏิบัติจะฝึกเองที่บ้าน ใช้การบริกรรมว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ หลังจากตกใจกับความรู้สึกตัว ลอย จึงหยุดไปนานแต่ไม่ได้หยุดขาด ขณะเดียวกันก็อ่านหนังสือเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ต่อมา ปี ๒๕๔๑ ได้ มีโอกาสปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน ๓ วัน ขณะที่หลวงพ่อจรัญยังมีชีวิตอยู่ เป็นการฝึกสติปัฏฐาน แบบ ยุบ-พอง และซื้อหนังสือมักกะลีผลกับสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของหลวงพ่อจรัญมาอ่าน ในปี เดียวกัน ได้เข้าอบรมที่วัดลัฏฐิวนาราม ในโครงการคุณแม่สิริ กรินชัย ๘ วัน ๗ คืน ใช้แบบยุบ-พอง เหมือนกัน เป็นคอร์สหนัก และทรมานสุด เพราะอยู่ในกติกาตามก าหนดเวลาทั้งหมด เช่น เดินสี่สิบห้า นาที นั่งสี่สิบห้านาที แล้วขยับไปเรื่อย ๆ เท่า ๆ กัน อย่างไรก็ตาม พบว่า ไม่ถนัดแบบยุบ-พอง จึงใช้ ยุบ-พองบ้าง พุทโธ บ้าง ปัจจุบันมาเรียนรู้เรื่องอานาปานสติ เป็นการดูลมหายใจเข้าออก ตามแนวที่ ท่านพุทธทาสสอน ท างานไปก็ดูลมหายใจไปด้วย ก้าวเดินก็รู้ว่าก้าวเดิน พระอาจารย์จันทโชติ จนฺทโชโต เล่าให้ฟังถึงการฝึกกสิณตั้งแต่บวชแรกๆ ต่อมาฝึกสติปัฏฐาน แบบยุบ-พอง ส่วนปัจจุบันจะใช้การดูลมหายใจเป็นหลัก บางครั้งใช้ดูพอง-ยุบ โดยไม่ได้บริกรรมอะไร เพราะถ้าบริกรรม จะไม่ได้พิจารณาอื่น ถ้าไม่บริกรรมเราจะได้ดูอาการของลมด้วย หลายอย่างที่ เกิดขึ้น เช่น สัญญาณเตือนว่าจะมีอันตราย การใช้นิมิตทีเกิดจากการเพ่งไฟช่วยบ าบัดความหนาว การ ได้เห็นเลขปรากฏและเลขดังกล่าวตรงกับที่หวยออกจริง การท านิมิตแล้วขยายออกปรากฏภาพคนที่ เราอยากเห็น อย่างเห็นหน้าบ้าน เดิมทีเดียวไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ปัจจุบันเชื่อแล้วว่าสามารถท าให้ เกิดขึ้นได้ ๒๐๓ พระมหาสมศักดิ์ กิจฺจสาโร เล่าให้ฟังว่า ก่อนนั้นเคยฝึกฝนอบรมจิตด้วยการบริกรรมพุทโธ โดย ผสานกับลมหายใจเข้า-ออก แต่เป็นการฝึกแบบประปรายเฉพาะช่วงปริวาส เมื่อเรียนปริญญาตรี จึงได้ฝึกสติปัฏฐานแบบยุบ-พอง มีข้อสังเกตว่า การมีสติสมบูรณ์นั้น สติต้องมีตลอด หากสัปหงกแสดง ว่าไม่มีสติ จะต้องรู้ทุกขณะลมหายใจ เป็นการจับอารมณ์ได้ทัน ข้อดีของการฝึกฝนอบรมจิตแบบยุบพองคือ มีการสับเปลี่ยนอิริยาบถได้ จากที่เข้าคอร์สอบรมที่เขาชนไก่ พบปรากฎการณ์บางอย่าง หลังจากนั้นก็พบประสบการณ์บางอย่างอีก เมื่อเทียบระหว่างบริกรรมพุทโธ กับ ยุบ-พอง นั้น บริกรรม พุทโธ ด้อยกว่า ยุบ-พอง เพราะพุทโธเป็นสมถะ และได้สมาธิช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง การ บริกรรมพุทโธ น่าจะเหมาะกับฆราวาส ส่วนสติปัฏฐานแบบยุบ-พอง น่าจะเหมาะกับพระ อย่างการ เดินนี้จะเป็นอัตโนมัติ ไม่มีการหลอกตัวเอง ถ้าเดิน ๓๐ นาที นั่งก็ ๓๐ นาทีเท่ากัน เป็นการก าหนด โดยอัตโนมัติ ถ้าพูดถึงข้อดี วิปัสสนาไม่มีข้อเสีย เรื่องเหล่านี้ไม่เคยเชื่อมาก่อน ปัจจุบันเชื่อว่า “ถ้าท า ต้องได้” คิดว่าถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งสมาธิก็คงไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า และถ้าท าแต่สมถะก็ไม่ต่างจาก
๖๓ ฤาษี แต่เพราะวิปัสสนานั้นส าคัญ เป็นสิ่งยืนยันความเป็นเอกอัครบุคคล และคิดว่าเป็นเรื่องเฉพาะ บุคคล อย่างที่พุทธทาสแปลในบทสวดมนต์อันหนึ่งคือ อันผู้ศึกษาพึงรู้ได้ด้วยตนเอง๒๐๔ พระครูศรีธรรมโชติ (พงษ์มิตร ธมฺมโชโต) ให้ความเห็นว่า อาการที่เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิต นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่และเกิดจากผลของการปฏิบัติ เราจะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะเราปฏิบัติแล้วเรารู้ด้วย ตนเองผ่านการปฏิบัติ แต่ก็อธิบายให้ใครไม่ได้ เมื่อก่อนนี้มีคนบอกก็ไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์๒๐๕ อิษฎาณิศ ตันติชุติ เล่าให้ฟังว่า ประสบการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิตนั้นเริ่มจาก ๗ ขวบ ด้วย การก าหนดลมหายใจและบริกรรมพุทโธ โดยแม่พาไปเรียนรู้จากวัดมหาธาตุ ต่อมาเมื่อเรียน ม.๒ เพื่อนพาไปเรียนรู้ที่วัดปากน้ าภาษีเจริญ จึงเริ่มต้นสัมมา-อรหัง โดยการให้ดูลูกแก้วก่อน แล้วก าหนด ลูกแก้วให้อยู่กลางกาย วิธีการหายใจจะเหมือนบริกรรมพุทโธ ที่แตกต่างคือการก าหนดลูกแก้วให้อยู่ ตามฐานต่าง ๆ ของร่างกาย เริ่มจากหน้าผาก สู่กลางกายเหนือสะดือ จากนั้นแม่ชวนไปเรียนรู้ตาม แนวหลวงพ่อฤาษีลิงด า และเป็นช่วงวิกฤตของครอบครัวคือพ่อเสียชีวิต การเริ่มต้นแบบมโนมยิทธินั้น เริ่มจากฐานที่ ๑ คือก าหนดจิตให้ว่าง จากนั้นสมมติวิมานในจิตเพื่อการไปกราบพระพุทธเจ้าที่จุฬามณี เพื่อผ่านแล้วก็สู่ฐานที่ ๒ การให้เห็นวิมาน ของสวยงามที่มีความสดใสชัดเจนขึ้นเพื่อจะให้จิตมีความ ละเอียดขึ้น จากนั้นจึงเข้าสู่ ฐานที่ ๓ เป็นการให้เห็นสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่สวยงาม คือการเห็นวิญญาณ ด้วยการให้ตั้งจิตไปที่กระป๋องยาฆ่าแมลง จากนั้นไปฝึกเองโดยรวมสิ่งต่าง ๆ เข้ากับลูกแล้วในร่าง แล้ว เกิดเหตุบางอย่าง ต้องให้พระธุดงค์แก้ไขให้ จากนั้นจึงหยุดการเรียนรู้แบบนั้นไปนาน ต่อมาเมื่อได้ เรียนที่ ม.มจร. จึงได้ฝึกฝนอบรมจิตแบบสติปัฏฐานยุบ-พอง ที่วัดภัททันตะ แต่ต้องต่อสู้กับการปฏิเสธ แนวยุบพองอยู่นาน เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุประหลาดอีก ต่อเมื่อวันที่ ๓ เจ้าอาวาสขึ้นเทศน์ให้เห็น โทษของสมถะและประโยชน์ของวิปัสสนา ใจจึงเริ่มเปิดและยอมรับ จึงตัดสินใจสู้ตัวเองโดยเริ่มจากเข้า ไปหาแม่ชีมหายานแล้วบอกปัญหาให้ทราบ แม่ชีแก้ปัญหาให้ด้วยการผูกเชือกเหนือสะดือ แล้วท าให้ เป็นปม แล้วบอกให้รับรู้แค่เพียงการสัมผัสที่ปมเชือกเท่านั้น เมื่อฝึกปฏิบัติตามที่แม่ชีแนะน า จึง สามารถปฏิบัติได้และเดินเวียนกลับไปมาได้ดี จากการฝึกฝนอบรมจิตทั้งแบบสมถะและวิปัสสนา มี ความคิดว่าวิปัสสนามีความส าคัญ แต่ต้องมีครูบาอาจารย์คอยดูแล เมื่อเราได้สมถะเราอาจสั่งบังคับให้ สิ่งต่าง ๆ เป็นได้อย่างที่จิตคิด แต่เมื่อคลายแล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม แตกต่างจากวิปัสสนาที่เราอยู่ ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่เข้ามากระทบไม่อาจท าให้จิตไหวได้ เพราะเรา “รู้” ทัน ตามจริง แต่เอาเข้าจริงทั้งสองอย่างมีประโยชน์ทั้งคู่หากเราบาลานซ์ได้๒๐๖ อาจารย์ ดร.โสภณ บัวจันทร์ เล่าให้ฟังว่า ประสบการณ์ของการฝึกฝนอบรมจิตนั้นเริ่มเมื่อ สมัยเรียนปริญญาตรีที่ภูเขาหลงจังหวัดสงขลา และพุทธมณฑลจังหวัดนครปฐม จากนั้นได้เข้าอบรม ตามแนวทางของหลวงพ่อพระธรรมสิงหบุราจารญ์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ประมาณ ๓-๔ ครั้ง และมีที่จังหวัด จันทบุรีอีกแห่งหนึ่ง ทั้งที่สมัครใจและเป็นเกณฑ์บังคับของมหาวิทยาลัย รูปแบบการฝึกฝนอบรมจิตจะ เป็นการเดิน การนั่ง การสวดมนต์ และฟังบรรยาย ตั้งแต่เช้าตรู่ค่ า ปกติจะใช้บริกรรมแบบพุทโธผสาน
๖๔ ลมหายใจเข้าออก และการนับจ านวนเลขแต่ละค ารบผสานลมหายใจเข้าออก และเพิ่มค ารบละ ๑ หน่วย เช่น ค ารบ ๑ = ๑ ๒ ๕ ๔ ๕ , ค ารบ ๒ = ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ , ค ารบ ๓ = ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ไป เรื่อย ๆ ข้อดีของวิธีการนี้คือความง่าย และสอดคล้องกับตัวเองที่สอนเกี่ยวกับตัวเลขภาษาบาลี (สังขยา) ขณะเดียวกันได้มีการประยุกต์ภาษาบาลีแทนเลขไทย จึงเป็นการทบทวนความรู้ไปในตัว การ ใช้วิธีการแบบนี้เป็นความชอบส่วนตัว และคิดว่า ถ้าไม่ชอบและท าจะเกิดอารมณ์จิต/จิตนิ่งได้ช้า แต่ ถ้าเราน าสิ่งที่สอดคล้องกับอุปนิสัยมาใช้ก็จะเกิดสมาธิได้ง่าย นอกจากนั้น มีข้อสังเกตว่า สรีระของแต่ ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจไม่ต้องมีที่รองนั่งก็สามารถนั่งได้ดี แต่บางคนอาจต้องมีที่รองนั่ง เพื่อให้กระดูกสันหลังตรง ถ้าเราสามารถท าให้สรีระเหมาะเจาะพอดี เราก็จะนั่งได้นานและได้ สภาวธรรมเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่า การฝึกฝนอบรมจิตนั้นสามารถมาใช้ให้เป็น ประโยชน์ในการแก้ปัญหาตนเองได้และการปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคม๒๐๗ พระต๋อย (นามสมมติ) เล่าให้ฟังว่า สมัยบวชเป็นสามเณรได้ฝึกฝนอบรมจิตด้วยการบริกรรม ว่า “พุทโธ ๆ” ต่อมา เมื่อบวชพระที่วัดถ้ าขวัญเมือง จะใช้มูลกรรมฐานคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ และเวียนกลับเป็น ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา โดยไม่เกี่ยวกับการหายใจเข้าออก จากที่ได้รับผล จากการฝึกฝนอบรมจิตท าให้ตระหนักว่า เออ นะ เรานี้โง่จริง ๆ เจอพุทธศาสนามาตั้งนาน แต่เราไป ท าอะไรอยู่ ไม่ปฏิบัติ ปัจจุบันไม่มีความสงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าเสนอมาแล้ว๒๐๘ ๓.๔ การทดลองฝึกฝนอบรมจิตและทัศนะของผู้วิจัย เนื้อหาในส่วนนี้จะเรียกว่า “การวิจัยในตน” ก็น่าจะไม่เกินค าเรียกนั้น โดยการน าชีวิตเป็น พื้นที่การเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมามากที่สุด แน่นอนว่า ประสบการณ์ในการเรียนรู้ของแต่ละคนมี อย่างแตกต่างกัน หากไม่บันทึกไว้ จ านวนหนึ่งจะหายไปท่ามกลางกาลเวลา ดังนั้น งานในส่วนนี้จะใช้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book)/หนังสือไฟฟ้าที่พิมพ์มาจากสมุดบันทึกเป็นหลัก และเรื่องเล่าในส่วน ที่เป็นประสบการณ์แห่งความทรงจ าที่ยังคงเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม เนื้อหาส่วนนี้จะมีความเป็นอัตนัย มาก จึงจ าเป็นต้องแยกออกระหว่างสิ่งที่ปรากฏกับผู้มองออกจากกัน ถึงอย่างนั้น การวิจัยในตนก็คง ปฏิเสธความเป็นอัตนัยไม่ได้ ไม่ต่างจากการวิจัยอื่น ๆ ที่แยกไม่ออกอย่างเด็ดขาดจากความเป็นอัตนัย โดยเฉพาะในส่วนของทัศนะของผู้วิจัย ๓.๔.๑ ประสบการณ์การฝึกฝนอบรมจิต ผู้วิจัยมีประสบการณ์ในการฝึกฝนอบรมจิตมาแบบประปราย ส่วนหนึ่งไม่ได้ถูกใส่ข้อมูลให้เชื่อ ว่าการฝึกฝนอบรมจิตแบบนั่งสมาธิคือสิ่งที่ดีและส าคัญที่สุด ทัศนะแบบนี้จะถูกใส่เข้าไปในบริบทของ นักปฏิบัติ/นักบวชสายปฏิบัติ/ชาวบ้านที่คุ้นเคยกับพระป่า/พระสายปฏิบัติเท่านั้น ส่วนบริบทอื่น ๆ จะ
๖๕ ขึ้นอยู่กับวิถีของแต่ชุมชนทางศาสนา สิ่งที่ผู้วิจัยถูกใส่ข้อมูลเข้ามาคือทัศนะว่าการเรียนคือสิ่งส าคัญ ทั้งสายสามัญและปริยัติธรรม แต่ไม่ได้หมายความถึงการจะทิ้งวิธีวิทยาการปฏิบัติไป วิธีวิทยาการ ปฏิบัติจะถูกท าให้กลายเป็นส่วนประกอบใน ๒ แบบคือ (๑) การบูรณาการร่วมกับการเรียน เช่น การ เอาใจจดจ่ออยู่กับเนื้อหา การท าการชงชากาแฟแบบไม่สะเพร่า การค่อยๆเดินแบบนิ่ง มีสติกับการนั่ง ตัวตรง เป็นต้น (๒) การเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับการด ารงชีวิตประจ าวัน เช่น การสวด มนต์ การฝึกฝนอบรมจิต เป็นต้น แบบหลังนี้จะไม่เป็นที่ชอบใจของเหล่าผู้ถูกท าให้เชื่อว่าการเรียนคือ สิ่งส าคัญ การปฏิบัติแบบที่สองจ านวนหนึ่งจึงกลายเป็นส่วนที่จ าต้องท าเพราะเกณฑ์บังคับ เช่น จ าเป็นต้องนั่งหลับตาภาวนา หากไม่หลับตาภาวนาพี่เลี้ยงจะท าโทษด้วยสายตาและกลายเป็นแกะด า จ าเป็นต้องภาวนาหากไม่ภาวนาแล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปจะทรมานใจมากกว่าการภาวนาไปเรื่อย ๆ เป็นต้น ประสบการณ์ฝึกฝนอบรมจิตที่พอจะน ามาพิจารณาได้มีดังนี้ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ ได้มีโอกาสบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเป็นเวลา ๑ เดือน ระหว่างนี้ นอกจากเรียนหนังสือตามหลักสูตรที่ฝ่ายการอบรมก าหนดให้แล้ว จะมีการเรียนรู้ด้านการปฏิบัติทั้ง การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ และการเดิน (จงกรม) เป็นแถวยาว หลังจากนั้นจนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ จนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๓๕ จะมีการสวดมนต์และนั่งสมาธิ ประมาณการไม่เกินวันละ ๑ ชั่วโมง ผ่าน ไปถึงปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ จะเข้าคอร์สฝึกฝนอบรมจิตปีละประมาณ ๗ วัน จากปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ จนถึงปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ เข้าคอร์สฝึกฝนอบรม ณ สวนเวฬุวัน พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็น เวลา ๗ วัน ต่อจากช่วงนั้น จะมีการสวดมนต์บ้างตามวันส าคัญทางพุทธศาสนา และเข้าคอร์สฝึกฝน อบรมจิตเป็นเวลา ๑ เดือน เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๓ ที่วัดภัททันตอาสภาราม อ าเภอบ้านบึง จังหวัด ชลบุรี ปีถัดมาเข้าคอร์สฝึกฝนอบรมจิตที่สถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยา เป็นเวลา ๗ วัน จากนั้นล่วงมาจนถึงปัจจุบันคือปี ๒๕๖๕ จะฝึกฝนอบรมจิตด้วยตนเองตามที่ใจเอื้อต่อ การรับรู้ว่าถึงเวลาต้องฝึกฝนอบรมจิต จึงเป็นการฝึกฝนอบรมจิตที่ไม่ติดต่อและ/หรือบางช่วงเวลา เท่านั้น หากเทียบวัน ๓๖๕/๓๖๖ วัน/ปี การฝึกอบรมจิตไม่ถึงครึ่งหนึ่งของการมีชีวิต ๓.๔.๒ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ขณะฝึกฝนอบรมจิต ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๒๙-๒๕๓๙ วันหนึ่งช่วงหน้าร้อน หลังจากท าความสะอาดลานวัดแล้ว อาบน้ า ความร้อนจากร่างกายไม่ได้ทุเลาลง แต่จ าต้องไปสวดมนต์เย็น ขณะที่ก าลังสวดมนต์เย็น ร่วมกันกับเพื่อนๆ ร่างกายยังคงร้อนเหงื่อซึม ได้มองไปที่เปลวเทียน และบริกรรมภาวนาว่า “พุทโธ” ตามแบบที่ส านักเรียนสอน สักครู่หนึ่งมีความรู้สึกเป็นอันเดียวกับเปลวเทียนและไม่รับรู้สิ่งอื่น ๆ รอบ กาย สักครู่รับรู้ตัวเองว่าร่างกายเย็นวาบ จากที่ร้อนกลายเป็นเย็นแบบฉับพลัน จากเหงื่อซึมกายเป็น แห้งเบาสบาย
๖๖ ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ เข้าคอร์สฝึกฝนอบรมจิตที่สวนเวฬุวัน/สวนไผ่ พุทธมณฑล ร่วมกับ ผู้เข้าอบรมจากหลายจังหวัด เป็นการฝึกฝนอบรมแบบเข้มระดับหนึ่ง ใช้การนั่งบริกรรมว่า ยุบหนอพองหนอ สลับกับการเดิน คราวหนึ่ง มีแสงเหมือนสายฟ้าแลบแปล๊บใหญ่ ระหว่างที่ก าลังนั่งบริกรรม แบบยุบพอง หัวใจเต้นแรงเพราะตกใจจึงเปิดตา จ านวนไม่น้อยที่เกิดอาการให้ต้องต่อสู้คือการ สับประหงก จะมีลักษณะวูบแล้วมืดเมื่อได้สติก็เริ่มปฏิบัติใหม่ เข้าใจด้วยตนเองว่าน่าจะเป็นการง่วง นอน อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาของการอบรมนั้น ไม่พบการฟุบจากความรู้สึกที่เข้าใจว่าง่วงนั้น ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๔๓ เข้าคอร์สอบรมจิตที่แคมป์สน อ าเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ พบ อาการร่างกายโยกโคลง และรู้สึกสบายเมื่อพบอาการนั้น ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ เข้าฝึกฝนอบรมจิตที่วัดภัททันตอาสภาราม เป็นการอบรมแบบเข้ม ตั้งแต่เวลา ๐๓.๓๐-๒๒.๐๐ น. ระหว่างอบรมเสร็จสิ้นในแต่ละวัน ได้บันทึกด้วยลายมือถึง ปรากฏการณ์ระหว่างการฝึกฝนอบรมจิต ต่อไปนี้คืออาการที่จดบันทึกได้จากคอร์สฝึกฝนอบรม ดังกล่าว๒๐๙ การต่อสู้ต่อความเข้าใจว่าง่วง อาการที่พบคือ ระหว่างนั่งภาวนา/บริกรรมยุบหนอ-พอง หนอ จ านวนไม่น้อยที่สัปประหงก จะคือภาวะของการลืมภายนอก/มืดเหมือนดับความรู้สึกและได้สติ ในช่วงระยะเวลาที่เร็วมาก จึงต้องต่อสู้อาการดังกล่าวนั้นหลายวัน เมื่อทบทวนว่า ที่ผ่านมาพยายาม ต่อสู้แล้วแต่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ถูกใจ เพราะยังคงมีอาการดังกล่าวนั้นซ้ า จึงปล่อยให้วูบ และสับประหงกไปเรื่อย ๆ ขณะที่วูบและสับประหงกนั้น ได้ใช้ใจรับรู้/ดูการสับประหงกไปเรื่อยจน ศีรษะจรดพื้น พบว่า เมื่อศีรษะจรดพื้นอาการดังกล่าวก็หายไป เพราะคงสับประหงกต่อไปไม่ได้ แต่สิ่ง ที่แปลกคือมีการเปลี่ยนแปลงจากความมืดกลายเป็นสว่างโล่งสดใสทั้งที่นั่งศีรษะจรดพื้นอยู่อย่างนั้น รับรู้ถึงการนั่งแบบนั้นตลอดเวลาโดยไม่ได้หลับ ก่อนนั้นระหว่างเดินกลับไปมา (จงกรม) ก็มีอาการที่ เข้าใจว่าง่วงจนเดิมแทบไม่ได้เพราะง่วง ต่อเมื่อเปลี่ยนจากการต่อสู้เป็นการรับรู้ตามที่พบและปล่อยให้ ร่างกายเป็นไปตามที่จะเป็น อาการง่วงดังกล่าวจึงหายไป อาการอุ่นบนศีรษะและการยุบ-พองเป็นไปตามจังหวะ เกิดขึ้นในวันที่ ๓ ของการฝึกฝน อบรมจิต มีอาการคล้ายดวงไฟลอยอยู่บนศีรษะ มีแสงสว่างเรืองๆ มีอาการอุ่น ๆ บนศีรษะและใบหน้า ในภาวะนั้นไม่มีการรับรู้ภายนอก รับรู้อาการยุบ-พองของท้องเป็นไปตามจังหวะและเหมือนกับอยู่ใน โลกของการยุบ-พองเท่านั้น พื้นเคลื่อน ขารับน้ าหนักไม่ไหว เกิดขึ้นในวันที่ ๖ ของการฝึกฝนอบรมจิต ระหว่างเดิน กลับไปมา (จงกรม) พบว่า พื้นหินขัดที่ใช้เหยียบเดินมีการเคลื่อนตัวห่างเท้าออกไปประมาณ ๒ ฟุต เคลื่อนตัวไปมา ส่วนที่ขามีความรู้สึกเบี้ยวเหมือนพระปางลีลา ขาเหมือนจะรับน้ าหนักไม่ไหวและไม่นิ่ง
๖๗ เหมือนก่อน ถัดจากนั้นวันที่ ๘ ของการฝึกฝนอบรมจิต มีอาการเหือนไม่มีขา/ไม่มีเท้าตั้งแต่หัวเข่าถึง ปลายเท้า ถัดจากนั้นวันที่ ๙ การเดินเหมือนมีพลังหนืดให้เกิดความเพลินกับการเดิน การโยกตัว วันที่ ๑๐ ของการฝึกฝนอบรมจิต ขณะนั่งในช่วงบ่าย ร่างกายมีการโยกไปมา แม้ จะพยายามหยุดก็หยุดไม่ได้ หัวใจเริ่มเต้นแรง ยุบ-พอง จากแรงเป็นเบาลึก ยาว ปรากฏดัง “บุก-บัก บุก-บัก” คล้ายกระทะบุ๋มเข้าออก การโยกโคลงของร่างกายจากเบาเป็นแรงและช้าลง ช่วงค่ าของวัน เดียวกัน มีอาการคล้ายมดไต่ตามงบหน้า ขา แขน อาการนี้เกิดประปรายช่วงเดิน แต่ชัดในช่วงนั่ง หายปวดหลัง ก่อนนั้นจะมีโรคประจ าตัวอย่างหนึ่งคือปวดที่สะบัก แต่ในวันที่ ๑๓ ของการ ฝึกฝนอบรมจิต พบว่า มีลมอัดแน่นที่หน้าท้องเคลื่อนตัวไปทางซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ราวนมบ้าง แล้วอัด แน่นทางด้านหลัง อาการปวดที่สะบักกลายเป็นเย็นวาบ จากนั้นไม่ปรากฏอาการปวดนั้นเหมือนก่อนๆ นอกจากมีปรากฏการณ์ขณะฝึกฝนอบรมจิตตามที่เรียบเรียงมานั้น การเข้าคอร์สฝึกฝนอบรม จิตครั้งนี้ยังพบว่าอาการคือ ความรู้สึกว่าไม่มีร่างกาย ความรู้สึกชาแม้ลองหยิกดูก็ไม่รู้สึกเจ็บ อาการวูบ วาบภายใน ร่างกายหมุนไปตามการหายใจเข้า-ออก มีขนลุกที่แขนบ้างหน้าอกบ้าง มีจุดเจ็บเล็ก ๆ ปรากฏทั่วร่างกายเหมือนถูกเข็มจิ้มจึ๊ก ๆ เป็นต้น ผ่านจากการเข้าคอร์สดังกล่าว ได้น าวิธีการที่ฝึกฝนอบรมจิตมาใช้ที่บ้านและก่อนเข้า ปฏิบัติงาน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ไม่ได้ติดต่อเหมือนเข้าคอร์ส จากที่บันทึกไว้ มีการค้นพบ การเกิด-ดับของเสียง การเปลี่ยนภาวะหนึ่งสู่อีกภาวะหนึ่งที่แตกต่างกัน ความรู้สึกสดชื่นหลังออกจาก การฝึกฝนอบรมจิต การภาวนากลายเป็นที่หลบความเครียด ขณะนั่งภาวนาบางครั้งมีอาการหนาวถึง ขั้วหัวใจทั้งที่อากาศภายนอกไม่ได้หนาวขนาดนั้น สามารถจับกิเลสบางตัวได้โดยเฉพาะความโกรธ และความสามารถในการดูแลความโกรธ สิ่งที่พบหลังการฝึกฝนอบรมจิตคือ สามารถท าใจได้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และปล่อยสิ่งที่เกิดขึ้นให้ เป็นไปตามธรรมชาติ ความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตนเอง ความสามารถในการฟังเรื่องทุกข์ ใจของคนอื่นได้แบบยาวนาน และสามารถเคลียร์ความเครียดดังกล่าวออกจากสมองไปได้ เป็นต้น ๓.๔.๔ ท่าทีต่อประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิตที่พบ ก่อนนั้นเคยสนใจในความพิเศษ/แปลกขององค์ความรู้บางอย่าง เช่น การเสกใบไม้ให้เป็นต่อ แตน ความเป็นมงคลของว่าน คาถาอาคม เป็นต้น แต่เป็นเพียงความสนใจในช่วงเวลาเล็ก ๆ ช่วงหนึ่ง เท่านั้น เมื่อทดลองแล้วไม่พบความพิเศษตามค าบอกเล่าจึงวางความสนใจลง และบอกกับตัวเองว่า เราอาจทดลองยังไม่ถึงที่สุดขององค์ความรู้นั้น ที่สุดขององค์ความรู้นั้นอาจไม่เหมาะกับเรา หากองค์
๖๘ ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เราอาจไม่เหมาะต่อการรักษาองค์ความรู้นั้นไว้ได้ เป็นต้น จึงไม่ได้มีความ เข้มข้นต่อความอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งนัก ส าหรับการฝึกฝนอบรมจิต แม้ก่อนนั้นจะมีความอยากรู้เกี่ยวกับการสะกดจิตและ/หรือการ ควบคุมจิตเพื่อสนองความต้องการ แต่ดูเหมือนการฝึกฝนอบรมจิตตามที่พุทธศาสนาน ามาให้ทดลอง เรียนรู้นั้น ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความต้องการ หากแต่เป็นการสวนทางจะคือการสลายความต้องการ ออกไป ทั้งความต้องการแบบผลักออกและความต้องการแบบน าเข้า เพื่อเป้าหมายเดียวคือ “ความไม่ มีแห่งทุกข์” ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นแม้จะเป็นความแปลก พิเศษ หรือแตกต่างจากสภาพปกติ แต่สิ่งนั้นเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง ดูได้ ชื่นชมได้ แต่อย่าติดใจ พุทธทาสภิกขุ มีทัศนะต่อความพิเศษที่ เกิดขึ้นนี้ว่า “ของเด็กเล่น” ๒๑๐ นั่นแสดงว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกฝนอบรมจิต ไม่ใช่ จุดหมายของการฝึกฝนอบรมจิต การได้เข้าฝึกฝนอบรมจิตทั้งแบบบริกรรมภาวนาเพื่อให้จิตสงบ (สมถกรรมฐาน) โดยใช้ค าว่า “พุทโธ” เป็นตัวตรึงจิต/การรับรู้ไว้ เดิมทีไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการสิ้นไปแห่งทุกข์ หากแต่ต้องการพลัง อ านาจจากการควบคุมจิตได้เพื่อสนองความต้องการเช่น การล่องหน การสะกดจิตคน เป็นต้น ที่เป็น ความต้องการแบบเด็ก ต่อเมื่อได้เข้าเรียนรู้จิตตภาวนาเพื่อการเข้าใจโลกและชีวิต/อุบายเรืองปัญญา (วิปัสสนากรรมฐาน) โดยการก าหนดยุบ-พองของผนังท้อง ความคิดเรื่องการใช้อ านาจจิตจากความ พิเศษของการฝึกฝนอบรมจิตที่เกิดขึ้นก็เปลี่ยนไป แต่ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระให้น่าเหยียบย่ า ปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิตมีประโยชน์อย่างน้อยคือ ความเพลิดเพลินให้มี ก าลังใจในการฝึกฝนอบรมจิตต่อไป และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ การเกิดการเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรเป็นได้ อย่างที่ใจอยากให้เป็นเสมอไป เพราะเราจะพบว่า ปรากฏการณ์พิเศษขณะฝึกฝนอบรมจิตที่เราพบ แล้วและเพลินเพลินไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากเราอยากให้เกิดอีก เขาจะไม่เกิดตามที่เราอยากให้เกิด เมื่อ เชื่อมโยงสิ่งที่พบจากประสบการณ์การฝึกฝนอบรมจิตสู่ปรากฏการณ์รอบตัวท่ามกลางสังคม จะเกิด ความเข้าใจว่า “เราไม่สามารถจะแบกโลกและท าให้โลกเป็นอย่างที่เราคิดได้เสมอไป” ผลที่ตามมาคือ การวางสิ่งต่าง ๆ ที่ท าให้เกิดทุกข์ลง จากการได้เข้าเรียนรู้จิตตภาวนาเพื่อการเข้าใจโลกและชีวิต/ อุบายเรืองปัญญา แม้ไม่ได้มีจุดหมายเพื่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุดขององค์ความรู้ด้านนั้น แต่พบว่า เราสามารถเปลี่ยนความเครียดให้เป็นความโปร่งโล่งเบาสบายได้ นอกจากนั้น ยังเป็นข้อสงสัยส่วนตัว คือ ดูเหมือนสิ่งดี ๆ จะเข้ามาในชีวิตมากกว่าก่อนนั้น สิ่งดี ๆ ที่เข้ามาเหล่านี้เกิดจากจิตที่สามารถ เปลี่ยนสภาพได้หรือเกิดจากแรงดึงดูดของจิตผ่านการฝึกฝนอบรมมา ข้อสันนิษฐานที่ไม่แน่ใจนี้ คงต้อง รอการวิจัยค้นหาความจริงกันต่อไป
๖๙ ๓.๕ ถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา จากการศึกษาแนวคิดส าคัญของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์จากการฝึกฝนอบรมจิต ตลอดถึงการวิเคราะห์ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิตจากกรณีศึกษา อาจมีค าถามตามมาคือ เมื่อมองภาพรวมประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต จากกรณีศึกษา พบสาระส าคัญของสิ่งที่มีอยู่นั้นอย่างไร และ จะอธิบายผ่านแนวคิดส าคัญได้เพียงใด ในหัวข้อย่อยนี้จะพิจารณาเพื่อไข ๒ ข้อกังขาดังกล่าว ๓.๕.๑ ประสบการณ์พิเศษฯจากการฝึกฝนอบรมจิตผ่านมุมมองแนวคิดส าคัญ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิตจากกรณีศึกษานั้นจะพบสมาธิทั้ง ๓ แบบ โดยเฉพาะสมาธิแบบกึ่งความสงบนิ่ง/จวนจะสงบนิ่ง (อุปจารสมาธิ) และ สมาธิแบบแนบ แน่น/สงบนิ่ง (อัปปนาสมาธิ) และเมื่อผนวกเข้ากับปัญญา มีการเห็นลักษณะที่เป็นจริงของชีวิต ๓ ประการ (ไตรลักษณ์) คือ ความไม่มีตัวตนของชีวิต (อนัตตตา) ความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต (อนิจจตา) และ ความเป็นทุกข์ของชีวิต (ทุกขตา) ที่ลึกล้ ากว่านั้นคือ ความสามารถในการท าอาสวะให้หมดสิ้นไป ได้ของนักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ อาจพิจารณาผ่านข้อความนี้เพิ่มเติม หลังจากลงมาจากเขา แม่ลูกคู่หนึ่งอยากถวายน้ า ลูกสาวใส่เสื้อสายเดี่ยว กระโปรงสั้น ขณะกราบนมล้นออกมา ทันทีที่เห็น สัญญาเก่าเกิดพรึบเดียว... ขนาดว่าตัวเองเจ๋งแล้ว เจอของจริงเท่านั้น ร้องไห้เลย สามสี่ปีที่ปฏิบัติบนเขา หายไปเลย ต้องกลับไปอดข้าวเดินจงกรมใหม่ สมถก็ไม่ได้ สมาธิก็เข้าไม่ได้...นี่คือ บทสดสอบถึงจิตที่ไม่ส ารวม จึงต้องเริ่มต้นใหม่อีกสามสี่ปี และออกจากป่ามาสู้ ใหม่ แต่ก็แพ้อีก จึงพบว่า ความสงบหรือสมถที่ไม่มีปัญญานั้นช่วยไม่ได้เลย เกิด ความฟุ้งซ่านถึงกับร้องไห้จึงต้องสึกไปก่อน หลังจากนั้น ๘ ปีจึงเข้ามาบวชใหม่ ฝึก จิตด้วยการผสานการบริกรรมพุทโธกับลมหายใจ (อาณาปานสติ) ทั้งวันทั้งคืน พบว่ามีพลังงานเกิดขึ้น เริ่มแน่นหน้าอก หัวตึง หน้าชา ข้างหลังเหมือนมีแผ่น อะไรยึกยัก มีความร้อนขึ้นข้างใน จึงดูลมไปเรื่อย ๆ บางครั้งแน่นอึดอัดเหมือนจะ ตาย จึงปล่อยไม่หายใจและตามดูลม เกิดความรู้สึกโล่งเหมือนอยู่ในอากาศที่เย็น จากนั้นมาจึงเรียนรู้อาณาปานสติ จากนั้นมาเห็นผู้หญิงก็เป็นปกติ...ตัดกระแส อารมณ์ได้...ไม่อยากเป็นผัวใครอีกแล้ว รวมแสวงหาเพื่อการเรียนรู้แล้วเกือบ ๓๐ ปี แต่ใช้การดูลม (อาณาปานสติ) ๔ เดือน...ทุกอย่างก็ดับสนิทไปหมดเลย ไม่ว่า อารมณ์กามราคะหรือความคิดถึง นี่คือเราสังเกตความก้าวหน้า เราพ้นจากทุกข์
๗๐ ตัวนี้ได้ ... ตลอดเวลา ๑๐ ปีมานี้ไม่เห็นกิเลสตัวนี้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ออกมาอีก เลย ก็เลยสบาย๒๑๑ เมื่อพิจารณาความสามารถ/คุณสมบัติพิเศษเฉพาะที่แตกต่างจากบุคลิกของคน ทั่วไปในหลายลักษณะ ดังต่อไปนี้ ความสามารถในการเข้าถึงองค์ความรู้ที่พิเศษจากคนทั่วไป ความสามารถดังกล่าวนี้จัดอยู่ ในหมวด “วิชชา” และ “อภิญญา” เช่น การรู้อดีตชาติของบุคคล การล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า การได้ยินเรื่องราวแม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น สูงสุดคือการท าไวรัสทางจิต (กิเลส/อาสวะ) ให้หมด สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อาจพิจารณาผ่านข้อความนี้เพิ่มเติม เรามาบวช มาตัดภพตัดชาติ จนไม่มีชาติ การระลึกชาติหนหลังได้นั้น ไม่ใช่ การระลึก แต่เป็นสิ่งทีเกิดขึ้นเอง เห็นเอง ใครจะมีเจตนาไประลึกมัน มันน้อมไป ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ มันเห็นจริง แต่เห็นแล้วเกิดความเบื่อหน่าย...หลวงตาก็ระลึกได้ ๔๐-๕๐ ชาติ เพียงเสี้ยววินาที รู้เลยว่า คนนี้เคยเป็นอะไรมา แต่พูดไม่ได้ เพราะ พูดแล้วจะไปยึดติด มันอันตราย...บางทีแม่เรายังเป็นเด็กอยู่เลย เห็นแล้วเราก็พูด ไม่ได้ พ่อเรานี้เยอะแยะเลย มาบวชอยู่กะเราก็มี อายุน้อยกว่าเราก็มี แต่เราพูด ไม่ได้...เพราะมันจะเกิดการยึดขึ้นมาอีก ปฏิบัติถูกขนาดไหน ถ้าไปยึดมันก็ผิด เพราะธรรมะจริง ๆ คือการปล่อย การท าลายความยึดติดหรืออุปาทาน๒๑๒ ความสามารถในการท าให้จิตสงบ ผ่องใส อิ่มใจ และสงบนิ่ง ความสามารถดังกล่าวนี้อยู่ใน หมวด “ฌาน” อันบุคคลผู้มีความเพียรพยายามในการรวมความสนใจไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่ง/เพ่ง แล้วจะ เกิดความสงบ อิ่มใจ สดชื่น สงบนิ่ง และอยู่ในฐานะว่างจากเครื่องพันธนาการของการติดยึด ภาวะ แห่งสุขและสงบนิ่งนี้ เป็นขั้นพื้นฐานทั่วไปของเหล่านักฝึกฝนอบรมจิต การรู้จักทุกข์และความไม่ใช่ของแห่งตน ในเนื้อหาว่าด้วยเรื่องความจริงชั้นยอด/ความจริง อันประเสริฐ (อริยสัจ) โดยรวมจะเป็นการกล่าวถึงทุกข์และความไม่มีแห่งทุกข์ หากมีค าถามว่า “พระพุทธเจ้ารู้อะไร” ค าตอบในกลุ่มผู้สนใจเนื้อหาแบบพุทธจะคือ “รู้อริยสัจ” ดังนั้น การมองเห็น ทุกข์ในลักษณะต่างแบบจะเป็นแนวทางของการรู้จักทุกข์ในแง่มุมของอริยสัจ เมื่อพิจารณาผ่านเนื้อหา ว่าด้วยเรื่องลักษณะ ๓ แบบ (ไตรลักษณ์) อันกล่าวถึงร่างกายและจิตใจ/รูปนามที่มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตนของเรา๒๑๓ จะพบว่า การฝึกฝนอบรมจิตของเหล่านักปฏิบัติสามารถเข้าถึง การรู้จักทุกข์และความไม่ใช่ของแห่งตนได้ อาจพิจารณาผ่านข้อความนี้
๗๑ “...จิตจะเรียนรู้สภาพทุกข์ อาการของทุกข์ เหตุของทุกข์ จนแจ่มแจ้งใน ทุกข์ทุกแง่มุม โดยอาศัยสติ สติที่ตั้งมั่นละเอียดลออ เราจะเห็นกรรมทุกอย่าง แค่ ความคิดนิดเดียว ใจจะสั่นสะท้าน รักเขา ก็จะตาย เกลียดก็จะตาย เจตนาจะหยั่ง ลงในอะไรไม่ได้เลย แต่ตรงนี้คือการเรียนรู้...จะเป็นการเรียนรู้ออกจากการมีการ เป็น และการทิ้ง ไม่ใช่เรา จะเป็นสภาพให้เราเห็นจริง...๒๑๔ ความดับกิเลส เป็นคุณลักษณะชั้นสูง หลังการฝึกฝนอบรมมาอย่างเข้มข้น ไม่มีสิ่งใดจะท าให้ ความก าหนัดยินดี (ราคะ) ความคิดประทุษร้าย (โทสะ) และความหลง (โมหะ) กระเพื่อมขึ้นได้อีก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความสงบเย็น (นิพพาน) จะคือ ความสงบจากกิเลสอย่างมั่นคง จะพบว่า มีนัก ปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์สามารถเข้าถึงภาวะดังกล่าวนี้ได้ แต่ภาวะดังกล่าวนี้จะรู้ได้เฉพาะคนที่มีภาวะ เดียวกันและการพิจารณาผ่านการแสดงออกแล้วน าเอาประสบการณ์อื่นที่ระบุถึงความสงบเย็นมา เทียบเคียง ๓.๕.๒ ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบ คือ (๑) ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ (สภาวธรรม) ทั้งที่เกิดขึ้นกับจิตและร่างกาย (๒) ความมีอยู่ของผลที่เกิดขึ้นหลังการฝึกฝนอบรมจิต ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ (สภาวธรรม) แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือ ความมีอยู่จริง เช่น การล่วงรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต การมองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นแต่มีสิ่งนั้น จริง โดยมากภาพที่ปรากฏผ่านการรับรู้อย่างมีสติจะเป็นภาพฉายเหมือนตานอกมองเห็น และ ความมี อยู่แต่ไม่จริง เช่น การมองเห็นร่างกายเน่าเปื่อยแล้วตายแต่ร่างกายจริงไม่ได้ตาย การมองเห็นเทวดา นางฟ้า แต่เทวดานางฟ้าที่เห็นนั้นไม่มีจริง เป็นต้น แม้จะเป็นภาพฉายปรากฏให้รับรู้เหมือนเกิดขึ้นจริง แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกายสัมผัส อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ (สภาวธรรม) ของ แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน การเกิดขึ้นของสิ่งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นก าลังใจในการฝึกฝนอบรมจิตต่อไป อีก ส่วนหนึ่งเพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งทีเกิดขึ้นบนฐาน “เกิด-ดับ” ตามธรรมชาติโดยเราไม่ สามารถบังคับได้ เบื้องหลังปรากฏการณ์คือการปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ความมีอยู่ของผลที่เกิดขึ้นหลังการฝึกฝนอบรมจิต จ าแนกเป็น ๓ แบบคือ (๑) ลักษณะทางจิต จิตมีความสงบ วางความทุกข์ลงได้ เฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การใช้ก าลังทางจิตเพื่อประโยชน์บาง ประการ (๒) ร่างกายมีความผ่อนคลาย ส ารอกโรคบางชนิด/โรคบางชนิดหยุดการเจริญเติบโต ใบหน้า ผ่องใส (๓) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับรู้ต่อสิ่งที่ถูกรู้มีลักษณะเป็นความงาม คล่องตัว โชคดี เป็นต้น
๗๒ อย่างไรก็ตาม จะพบว่า ความมีอยู่ของผลที่เกิดขึ้นหลังการฝึกฝนอบรมจิตจะค่อยๆหายหรือคลายไป เมื่อการฝึกฝนอบรมจิตไม่ได้ถูกสานต่อ
๗๓ บทที่ ๔ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต มีข้อสังเกตว่า ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่ง นั้นมีอยู่และจริง (๒) สิ่งนั้นมีอยู่แต่ไม่จริง ปัญหาของสิ่งที่ปรากฏขณะฝึกฝนอบรมจิตและหลังฝึกฝน อบรมจิตคือ จะตรวจสอบความมีอยู่จริงเพื่อคัดกรองออกจากความมีอยู่แต่ไม่จริงได้อย่างไร เนื้อหาส่วนนี้จะเริ่มต้นด้วยการพิจารณาความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต และตามด้วยแนวทางในการตรวจสอบความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต อันจะ เป็นประโยชน์ต่อข้อกังขาเรื่องความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิตและการไม่หลงกับ สิ่งที่มีอยู่แต่ไม่จริงและมีอยู่จริงแต่ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงส าหรับการฝึกฝนอบรมจิตต่อไป ๔.๑ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต ตอนท้ายของบทที่ผ่านมา มีข้อสังเกตถึงความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ ในขณะฝึกฝนอบรมจิต ๒ ลักษณะคือ (๑) มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับผู้ฝึกฝนอบรมจิตทั้งด้านร่างกายและ จิตใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาวะไม่ปกติ เช่น ความรู้สึกว่าร่างกายพอง/หนาขึ้น ความรู้สึกว่าไม่มีตัวตนใน โลกอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างจากโลกภายนอก เป็นต้น (๒) มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้ฝึกฝนอบรม จิตหลังจบคอร์ส/เสร็จสิ้นหลักสูตรระยะนั้น ๆ และบางอย่างดังกล่าวนี้มีผลในทางบวก เช่น เคยโกรธ ใครแบบง่ายๆ จบคอร์สแล้ว ก็ไม่โกรธง่าย เคยเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น มีความคิด ต่อเรื่องต่าง ๆ น้อยลง มีความรู้สึกนิ่งเฉยต่อสิ่งที่สัมผัส เป็นต้น กลุ่มผู้ฝึกฝนอบรมจิตจะมองว่า สิ่งที่ เกิดขึ้นดังกล่าวนั้นคือผลของการฝึกฝนอบรมจิต อย่างไรก็ตาม บางสิ่งที่เกิดขึ้นต่อผู้ฝึกฝนอบรมจิตโดยเฉพาะในขณะฝึกฝนอบรมจิต จ านวน หนึ่งแม้เราจะพบว่าจริง เหตุเพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและ/หรือภาพเสียงปรากฏต่อ ตนเองอย่างชัดเจนเหมือนการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยตาเนื้อ แต่ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏให้รับรู้ นั้นจะมีสถานการณ์จริงรองรับเสมอไป ผู้ฝึกฝนอบรมจิตจ านวนหนึ่งที่เข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นทั้งหมด นั้นจริง อาจจะกลายเป็นผู้หลงต่อความไม่จริง จึงไม่สามารถพัฒนาคุณภาพจิตให้ขยับสูงขึ้น ดังนั้น จึง มีข้อสังเกตว่า ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่งนั้นมีอยู่ และจริง (๒) สิ่งนั้นมีอยู่แต่อาจไม่จริง และสิ่งที่มีอยู่จะจริงหรือไม่จริงนั้นจะมี ๒ ลักษณะคือ (๑) สิ่งที่ ปรากฏเป็นมโนภาพ และ (๒) สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพ/ข้อเท็จจริง ๔.๑.๑ สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและเป็นสิ่งมีอยู่แต่อาจไม่จริง
๗๔ ค าว่า “มโนภาพ” แปลตามศัพท์ว่า “ภาพทางใจ” คือความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่กระทบทาง ประสาทสัมผัส ความจ าเดิม (สัญญา) และการแต่งเติมความคิด สู่ความน่าจะเป็นของสิ่งที่รับรู้ทาง กายภาพ กลายเป็นภาพที่ถูกความคิดสร้างขึ้นภายในใจ ครูบาฉ่าย เล่าว่า “เมื่อก่อน ขณะที่นั่งภาวนา อยู่ในป่า/ถ้ าลมผาคนเดียว ประมาณทุ่มหนึ่ง ได้ยินเสียง “ฮือ ๆ ๆ” เกิดความคิดว่า เราอยู่ในป่า ไม่มี ใครเลยนอกจากตัวเรา ดังนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากผี และเสียงที่ได้ยินก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ความคิดว่า ต้องเป็นผีแน่ ๆ และเป็นผีผู้หญิงแก่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่เมื่อรวบรวมความกล้าเปิดตาขึ้นก็ไม่ เห็นสิ่งที่คิดเอาไว้ แต่สิ่งที่ตามมาคือเสียงนั้นเงียบไปพร้อมกับที่ลืมตา ความคิดปรุงแต่งขึ้นอีกว่า ผีหาย ตัวไป จนพบว่า แท้จริงแล้วเป็นเสียงนก...” ๒๑๕ ครูบาฉ่ายเรียกสิ่งนี้ว่า “การปรุงแต่งสิ่งที่ได้ยิน” โดย มโนภาพจะมาในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว ภาพ เรื่องราวต่าง ๆ เป็นต้น พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิ โย) แสดงความเห็นว่า เจตคติและความคิดเกิดพร้อมกันในขณะจิตเดียว สัมพันธ์กันแบบใกล้ชิด เรื่อง ที่จะคิดมีอย่างหลากหลายทั้งเรื่องบุญ บาป กุศล อกุศล อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น...ความคิดเป็น เรื่องที่จิตสร้างปรุงแต่งขึ้นมา...” ๒๑๖ “...เมื่อจิตออกไปตามแสงสว่าง จะเกิดภาพนิมิต อาจเห็นภาพคน สัตว์ ภูตผีปีศาจ...เมื่อสมาธิถอนภาพนิมิตก็จะหายไป...แท้จริงภาพนิมิตที่มองเห็นนั้นเป็นจิตปรุงแต่ง ขึ้นมาเอง การปรุงแต่งนี้เกิดจากความอยากเห็น...กรณีสมาธิไม่ถอน เห็นเทวดา เห็นความสวยงามของ เทวดา ตามเทวดาไปบนสวรรค์ เมื่อนึกถึงสวรรค์ก็จะเป็นการได้เที่ยวสวรรค์ หากนึกถึงนรกก็จะได้ไป เที่ยวนรก... ๒๑๗ อย่างไรก็ตาม พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ได้สรุปในตอนท้ายจากการทดลองด้วย ตนเองว่า “...นิมิตภาพต่าง ๆ นั้นอย่าส าคัญมั่นหมายว่าจริง เป็นแต่เพียงนิมิตหลอกลวงเท่านั้น...ขอ ยืนยันว่าภาพนิมิตต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ใช่ของจริง เป็นมโนภาพที่เราสร้างขึ้นเอง... ” ๒๑๘ อาจพิจารณา ผ่านเรื่องเล่าต่อไปนี้ อาจารย์ทอง อโสโก...ท่านนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิเล็ก ๆ ในส านักของอาจารย์ มั่น เข้าไปปิดประตูลงกลอนอย่างดี เมื่อภาวนาแล้วจิตสงบนิ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างๆ พูดให้ฟัง “หลวงพี่ จะมาทนทุกข์ทรมานท าไม สึกไปอยู่ด้วยกันจะได้ มีความสุข” ขณะที่ท่านยังมีสติอยู่ จึงก าหนดรู้จิตไปเรื่อย แต่เสียงนั้นก็คอย รบกวนอยู่ตลอด สุดท้าย หญิงสาวในนิมิตก็บอกว่า “เมื่อมาคุยด้วยก็ไม่คุยด้วย ไม่ พูดก็อย่าพูด” จึงลุกขึ้นเดินออกไป อาจารย์ทองมองเห็นผู้หญิงเดินออกไปทาง ประตู จนลับตา จากนั้น สมาธิก็แตกเกิดความคิดว่า “พูดกับเขาซะก็ดีนะ” จากนั้นจึงลุกขึ้นจากที่นั่งสมาธิ ถอดกลอนประตูออกไป วิ่งวนหารอบกุฏิ อาจารย์ มั่นเห็นอย่างนั้นจึงกล่าวทักขึ้นว่า “ทองเอ้ย วัวหาย เห็นแล้วหรือยัง” ท่านจึงได้ สติขึ้นมา๒๑๙
๗๕ ข้อมูลที่อ้างถึงนี้ บ่งชี้ว่า มีสิ่งที่ปรากฏเสมือนจริงทางจิต สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ในแบบ มโนภาพแต่ไม่ใช่ความจริง หากแต่เป็นเรื่องราวที่จิตปรุงแปรแต่งเติมขึ้นมา ๔.๑.๒ สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และเป็นสิ่งมีอยู่จริง สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หมายถึง มีสถานการณ์/เหตุการณ์รองรับ เรื่องราวที่เกิดภายในใจ แบ่งออกเป็น ๒ แบบคือ (๑) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและมีเหตุการณ์จริง รองรับแต่อาจคลาดเคลื่อนบ้าง (๒) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและมีเหตุการณ์จริงรองรับแบบไม่ คลาดเคลื่อน อาจพิจารณาผ่านเรื่องเล่าต่อไปนี้ เมื่อได้โอกาส เราก็เลยแย้งท่านว่า “อาจารย์ยังไม่ถึงมรรคผลนิพพานหรอก ...อาจารย์ยังมีกรรมเยอะ ไปไม่ได้หรอก โดยเฉพาะมีกรรมกับเด็กผู้หญิง ๕ คน เป็นอย่างน้อย” เมื่อหลวงตาพูดจบ ท่านก็เลยโพล่งออกมาเลย ทั้งที่หลวงตาไม่ เคยรู้เรื่องนี้นะ แต่หลวงตาพูดไป ท่านก็เล่าออกมาเลยว่า “ท่านมีเด็กผู้หญิงอยู่ที กุฏิห้าคนทั้ง ป.๖ ม.๑ และ ม.๒ ...ท่านกอดเด็กพวกนี้เพื่อทดสอบว่ามีอารมณ์ กามหรือไม่” ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่ามีเด็กผู้หญิงโดนพรากผู้เยาว์ ๕-๖ คน สิ่งที่ หลวงตาเห็นคือ หลวงตาเห็นท่านนั่งฉัน (กิน) เนื้อมนุษย์ในความฝัน หลวงตาไม่ ใช้ค าว่านิมิตดีกว่า จึงคิดว่า “พระอะไรกินเนื้อมนุษย์ ไม่ใช่พระแล้ว” การที่พูดว่า ท่านมีกรรมกับเด็กผู้หญิง ๕ คน เป็นการพูดออกมาเอง มันก็ตรง แกก็รับตามนั้น ...ถ้าท่านไม่ยอมรับ หลวงตานี่พังเลยนะ...” ๒๒๐ “หลวงตาสินทรัพย์ไปนอนคุยด้วยที่ทุ่งแสงธรรม บอกว่าต่อไปจะมีคนมา อยู่กับผมเยอะ พระจะเยอะ และผมเกี่ยวข้องกับคนเยอะ ทั้งโยม ทั้งพระ ทั้งแม่ชี จะเยอะ ท่านพูดว่า ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เห็นทุกอย่าง เห็นแม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่ สามารถมองได้ด้วยตาหยาบ ท่านยังบอกอีกว่า ก่อนนอนจะเห็นเทวดาสลอนรอบ ขอบเตียง...ไอ้เราไม่เห็นก็ไม่เชื่อ ได้แต่แย้งว่า มันจะใช่เหรอ..เกี่ยวกับกุฏิเยอะ หลวงตา (หน่อย) ยังเคยค้านเลยว่า จะท ากุฏิเยอะๆไปท าไม เดี๋ยวไฟก็ไหม้หมด จะท าให้ปลวกกินหรือไง พระก็มีไม่กี่รูป ๔-๕ องค์ เทียวเข้าเทียวออก...แต่รู้ว่า ท่าน (หลวงตาสินทรัพย์) ก าลังเยอะ ครูบาอาจารย์ก็พูดถึงเรื่องนี้ และรู้ว่าสิ่งที่ ท่านพูดนั้นเป็นธรรม ที่ไม่เชื่อคือไม่เชื่อสิ่งที่เรามองไม่เห็น นอกจากนั้น อนาคต เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราก็ไม่อยากเชื่อ...ต่อมาประมาณ ๓ ปีที่อยู่บ่อน้ าพระอินทร์ ปีแรกที่ท่านขึ้นไปอยู่บ่อน้ าพระอินทร์มีพระสิบกว่ารูป ต่อมาพระเยอะขึ้น โยม
๗๖ เยอะขึ้น แล้วก็เป็นจริง ท่าน (หลวงตาสินทรัพย์) ยังถามอีกว่า “เชื่อหรือยัง” จึง ตอบท่านว่า “เบิดค าสิเว่า”...เดิมทีหลวงตาสินทรัพย์ ตัวด าเมี่ยมเลย ผอมด า แต่ ท่าน (หลวงตาสินทรัพย์) บอกว่า ผมจะตัวอ้วนๆ ขาว เนียน เราได้แต่คิดว่า จะ เป็นไปได้ไหม ตัวนี้ด ายังกะ....จริง ๆ คือรู้แหละว่าท่านมีธรรมแน่ ๆ บรรลุอย่างไร ก็ไม่รู้แหละ ... แต่ที่ผ่านมาสิ่งที่ท่านเป็นคือการที่ท่านพูดตรงไปตรางมา และพูด แล้วจริงตามนั้น เราเชื่อตรงนี้อยู่คือ หลวงตาสินนั้นมีของจริง แต่ท่านเวลามองคน จะไม่ดูหน้าแต่จะดูข้างใน และพยากรณ์ออกมา และพูดถูกต้อง...๒๒๑ จากข้อความที่ยกมานี้ท าให้มองเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและมีความเป็นจริง/เรื่องราว/ สถานการณ์จริงรองรับ บางเรื่องปรากฏขึ้นโดยไม่ได้อยากที่จะรู้เช่น การล่วงรู้ถึงการยังไม่ถึงคุณธรรม ชั้นสูง การล่วงรู้ถึงความลับที่คนหนึ่งกระท าต่อคนหนึ่ง อย่างกรรมร่วมกันกับเด็กผู้หญิง ๕ คน การ ล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าอย่างการมีพระและชาวบ้านมาอาศัยอยู่จ านวนมาก ลักษณะทางกายภาพ ที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ เป็นต้น ๔.๑.๓ สิ่งที่ปรากฏในแง่ข้อเท็จจริง/กายภาพ อาจเป็นสิ่งมีอยู่จริง สิ่งที่ปรากฏในแง่ข้อเท็จจริง/กายภาพ และอาจเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง จะคือการที่มีบางสิ่งมา กระทบกับประสาทสัมผัสทางกาย เช่น ได้ยินเสียง ได้มองเห็น เป็นต้น และสิ่งนั้นอาจมีอยู่จริงหรือไม่ จริงก็ได้ หากแต่สัมผัสได้ที่ไม่ใช่มโนภาพ การที่บุคคลมองเห็นว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง จะบอกได้อย่างไรว่าสิ่ง นั้นไม่จริงทั้งที่ตามองเห็นอยู่ แต่จะยืนยันว่าสิ่งนั้นจริงก็ไม่ได้ เพราะเป็นไปได้ที่สิ่งนั้นไม่จริงและเป็นไป ได้ว่าสิ่งที่ตามองเห็นไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับสิ่งที่เข้าใจ สิ่งที่พอจะบอกได้คือ มีสิ่งที่ปรากฏทางกายภาพใน แบบนั้น ๆ อยู่ อย่างสิ่งที่ปรากฏต่อผู้รับรู้คือ นรก สวรรค์ เทวดา เป็นต้น ขอให้พิจารณาผ่านข้อความ ต่อไปนี้ เมื่อปี ๒๕๔๔ หลวงตาเคยเหาะได้ แต่เป็นการเหาะอีกร่างหนึ่ง ไปดูสวรรค์ ๒ ชั้น ชั้นแรกมีแต่เสพกาม ชั้นที่สองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ร่างหนึ่งไปได้ ทุกที ร่างกายเนื้ออยู่กับที่แต่รู้ทั้งหมดที่ร่างเหาะนั้นรู้...หลวงตาเคยโดนเทวดา กลั่นแกล้ง ขณะที่นั่งสูบบุหรี่ที่หน้าผาในเวลากลางวัน เขาเหาะมาบีบคอ เขาไม่ พูดอะไรเลย เมื่อเราบอกว่า “ถ้ากูตายมึงบาปนะ” เขาก็เลยเหาะหนีหายไป เรา จึงนั่งร้องไห้ ร้องไห้เพราะเชื่อเรื่องบุญบาป...เป็นการเห็นด้วยตาเนื้อ แต่เล่าให้ฟัง มากไม่ได้เพราะเกรงว่าจะเป็นสัญญาส าหรับผู้ก าลังฝึกอยู่ ... เคยเจอเหล่าเทพภูมิ เป็นปะขาวออกมาจากซอกหินด้วย๒๒๒ บางครั้งมาถึง ๕ ตัว จับหลวงตาขึงพืด ๔
๗๗ ตัวจับแขนขา อีกตัวบีบไข่เรา...แกล้งหยอกล้อเราสารพัด แต่เราไม่สนใจหรอก ... ๒๒๓ ข้อสังเกตร่างกายคนกับร่างกายผีนั้นต่างกัน แต่รูปทรงนั้นเหมือนกัน ความหนา/บางคนละอย่าง ร่างกายคนเป็นร่างทึบ บังดวงไฟจะไม่เห็นดวงไฟ ถ้า ร่างกายผีบังดวงไฟจะมองทะลุเห็นดวงไฟ...อาตมเคยเห็นมาแล้วจึงน ามาเล่าสู่กัน ฟัง๒๒๔ เมื่อปี ๒๕๐๑ มีคนศรัทธามอบที่ดินให้ ที่ดินนั้นเป็นที่มีผีสิง จึงน าพระเณร ไปอยู่ได้ ๓ วันก็มีผีมาตบหน้า หลังจากนั่งสมาธิภาวนาจะจ าวัตร ก าลังเคลิ้ม มองเห็นกลุ่มควันวิ่งมาจากทิศตะวันตกแล้วมาสัมผัสใบหน้าเหมือนฝ่ามือตบ แต่ สงสัยว่าฝันหรือเปล่า ถ้าฝันท าไมจึงเจ็บ เพื่อพิสูจน์จึงตัดสินใจไม่จ าวัตรด้วยการ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ได้ยินเสียงตกตูมๆ แต่ไปดูแล้วไม่พบอะไร จนถึงตีสาม ไปนั่ง สมาธิมองเห็นแสงขนาดตะเกียงเจ้าพายุ สองแสงวิ่งวนไล่กันอยู่...แสงแสงวิ่งมาหา อาตมา จึงนึกว่า ถ้าแน่จริงก็มาชนฉันให้ตาย ให้ฉันส าเร็จพระนิพพาน เมื่อแสงนั้น มาใกล้ประมาณ ๕ วาก็ตกลงกับพื้น...” ๒๒๕ จากข้อความที่น ามานั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส ของเหล่านักฝึกฝนอบรมจิตที่มักบอกเล่ากัน การจะบอกว่าสิ่งที่สัมผัสได้ไม่มีจริง ก็ยากที่ปฏิเสธเพราะ ผู้สัมผัสได้ ได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสของตนที่ไม่ใช่มโนภาพ แต่การจะบอกว่าสิ่งที่สัมผัสได้นั้นมีจริง ก็ยากที่จะพูดได้แบบทั่วไป เพราะถ้ามีจริง คนทั่วไปก็ต้องสัมผัสได้ด้วย จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงส าหรับคน ที่สัมผัสได้ และจะยังไม่จริงต่อบุคคลที่สัมผัสไม่ได้ ๔.๑.๔ สิ่งที่ปรากฏในแง่ข้อเท็จจริง/ทางกายภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง จะหมายถึง มีบางสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้ทาง ประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏนั้นมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งรองรับ สิ่งที่ปรากฎนั้น อย่างที่หลวงตาสิ้นคิดเล่าว่า “นั่งลืมตาเพ่งมองไปที่ผนังหิน มีตัวเลขไหลที่ผนังถ้ า จึง จ าไว้ เมื่อใกล้วันหวยออก จึงลงจากถ้ าไปคุยกับเพื่อนพระเสียงดังให้โยมได้ยิน แม่ชีที่ได้ยินจึงไปเล่าให้ ชาวบ้านฟัง ปรากฏว่า หวยออกตรงทั้งบนล่าง...มีครั้งหนึ่งคุณ....สองผัวเมีย มานอนวัด เราบอกไปว่า ๑๔ ข้างล่าง เขาไปแทง ๘ หมื่นบาทเจ้าหนึ่ง วันที่ ๑๖ ตอนบ่ายมีรถตู้มา ๓ คัน เขาซื้อของมาถวาย ... ๒๒๖ ขณะที่ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าให้ฟังถึง กรณี พระรูปหนึ่งเจ็บท้องไม่หาย อาจารย์ จันท์ เขมปัตโต เรียกมาพบและตรวจสอบด้วยการเพ่งไปที่ท้องและบอกว่า “มีเบ็ดอยู่ในท้อง ติดอยู่ที่
๗๘ ผนังกะเพาะ” เมื่อพระรูปนี้ไปผ่าตัดพบว่า มีเบ็ดอยู่ในกะเพาะจริง ๒๒๗ จากข้อความที่ยกมานี้อาจ จัดเป็นสัดส่วนได้ดังนี้ สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพ สถานการณ์รองรับสิ่งที่มีอยู่จริง มองเห็นเลข (หวย) เลขออกตรงในวันหวยออก ปวดท้อง ผ่าตัดพบเบ็ดอยู่ในกะเพาะ จะพบว่า สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่หรือมีเหตุการณ์รองรับข้อเท็จจริงนั้น จะ มีลักษณะการล่วงรู้อนาคตที่อาจเกิดขึ้นจริง และเมื่อถึงวาระดังกล่าว จะมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงอัน เป็นสิ่งพิสูจน์ค าพยากรณ์ จากกรณีดังกล่าวนี้จะคือการยืนยันถึง“อนาคตมีอยู่” หมายถึง มี สถานการณ์รองรับข้อเท็จจริงที่สามารถล่วงรู้ก่อนได้ ๔.๒ การตรวจสอบความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต การตรวจสอบความมีอยู่ในปรัชญาศาสนา โดยทั่วไปจะใช้ใน ๒ แบบคือ (๑) การใช้เหตุผล สนับสนุนหรือหักล้างความมีอยู่ ทัศนะนี้เรียกว่า “เหตุผลนิยม (Rationalism)” และ (๒) การใช้ ประสบการณ์เพื่อตรวจสอบความมีอยู่ ทัศนะนี้เรียกว่า “ประสบการณ์นิยม (Empiricism) ทัศนะแบบเหตุผลนิยมจะใช้การอนุมานแบบนีรนัย (Deduction) เป็นส าคัญ ทัศนะนี้เห็นว่า ความรู้เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนประสบการณ์และ/หรือความรู้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่ก าเนิด ส่วนทัศนะแบบ ประสบการณ์นิยม จะให้ความส าคัญกับการอนุมานแบบอุปนัย (Induction) ทัศนะนี้เห็นว่า ความรู้ ทั้งหมดมีที่มาจากประสบการณ์ โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งที่น่าสังเกตส าหรับความรู้ ๒ แบบคือ ทัศนะแบบเหตุผลนิยม ยอมรับความมีอยู่ของความรู้ ในแบบที่จะมีมนุษย์อยู่หรือไม่ก็ตาม ความรู้เป็นสิ่งที่มีอยู่ และเป็นไปได้ที่จะมีอยู่ก่อนมีมนุษย์ ส่วน ทัศนะแบบประสบการณ์นิยม จะไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ถ้ายังไม่สามารถท าให้มนุษย์รู้ นั่นแสดงว่า ทัศนะแบบเหตุผลนิยม ยอมรับความรู้ภายนอกประสบการณ์ ขณะที่ทัศนะแบบประสบการณ์นิยมจะ ยอมรับว่าสิ่งใดเป็นความรู้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นสัมพันธ์กับมนุษย์ ไม่ใช่แยกอยู่ต่างหาก กรณียอมรับทั้งสอง ทัศนะ จะเท่ากับการยอมรับว่า ความรู้มีสองแบบคือ ความรู้ที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ที่มนุษย์จะ เข้าถึง และความรู้ที่ผ่านการทดสอบจากประสบการณ์ของมนุษย์แล้ว ดูเหมือนว่า ความรู้ที่เกิดจากการฝึกฝนอบรมจิต จะมีในบุคคลก็ต่อเมื่อบุคคลได้ฝึกปฏิบัติผ่าน ประสบการณ์ที่มากกว่าประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ถ้าสิ่งที่มีอยู่จริงคือสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิตอันเป็นมิติของความรู้สึกจะไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง จากข้อมูลที่ ผ่านมาจะพบว่า มีสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิตและสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่สิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่มี
๗๙ อยู่จริงเมื่อพิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ถ้าระบุว่า สิ่งที่พิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ไม่ได้ จะ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง ดังนั้น ความสงบเย็นและ/หรือหมดกิเลสจะไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง เพราะเป็นมิติของจิต กับการรับรู้/สติและความรู้สึกตัว (สติสัมปชัญญะ) ถ้าความสงบเย็นไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง แสดงว่า เป้าหมายสูงสุดของการฝึกฝนอบรมจิตไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง การปฏิบัติเพื่อฝึกฝนอบรมจิตสู่ความสงบ เย็นจึงเป็นการสูญเปล่า ข้อสังเกตนี้เรียกร้องอีกทัศนะหนึ่งเพื่อการพิสูจน์ความมีอยู่จริง คือ “ญาณ ทัศนะ” ในงานทางปรัชญาอาจเรียกว่า “อัชฌัติกญาณ (Intuitionism)” ที่มีลักษณะค่อนไปทางอัต วิสัย (Subjective) และมีลักษณะแบบภววิสัย (Objective) อยู่ด้วย อันหมายถึง ลักษณะบางอย่าง ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการให้เป็น หากแต่มีความเป็นอย่างที่เป็นตามเหตุปัจจัยสัมพันธ์ที่อิสระจาก เจตจ านงค์ แต่รับรู้ได้ด้วยตน/จิต ทั้งนี้เพื่อจะชี้ว่า มีสิ่งที่มีอยู่จริงและอยู่นอกวงของประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และเป็นประสบการณ์ที่ตรวจสอบได้ด้วยคุณสมบัติทางจิต ๔.๒.๑ การตรวจสอบด้วยประสบการณ์ ประสบการณ์คือสิ่งส าคัญของวิถีผู้ฝึกฝนอบรมจิต เหมือนกับการได้ชิมรสแกงที่ลิ้นรับรู้รสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ได้ชัดเจนกว่าการฟังตามเขาว่า วัฒนธรรมของผู้ฝึกฝนอบรมจิตจึงมุ่งเน้นการ ปฏิบัติเพื่อรับรู้ประสบการณ์จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อย่างกรณีความเชื่อเรื่องผี พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วส าหรับผู้ที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นผี แล้วไม่เชื่อว่าผีมีจริง ส่วนผู้ที่เคยเห็นผีแล้วเชื่อว่าผีมีจริงก็เป็นสิ่งถูกต้องแล้ว โดยท่าน (พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เชื่อ ว่าผีมีจริง เพราะเคยโดนผีตบมาแล้ว๒๒๘ ความเชื่อดังกล่าวนี้ผ่านการตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัส ๒ อย่างคือ การเห็นด้วยตาเนื้อ และใบหน้าที่รับสัมผัส ส าหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิตในขณะหลับตา แม้จะปรากฏเรื่องราว ตัวตน บุคคล เสียง สี แสง เฉกเช่นเดียวกับโลกที่ตาเนื้อมองเห็น ผู้ฝึกฝนอบรมจิตอาจก าหนดในใจว่า “ไม่จริง” และ “ต้องตรวจสอบ” เป็นเบื้องต้น เพราะสิ่งที่ปรากฎอาจเป็นนิมิตในแง่มโนภาพที่เกิดขึ้น จากการท างานของจิต แต่ไม่มีสถานการณ์จริงรองรับก็ได้ จากการศึกษา เราจะพบมโนภาพใน ๒ แบบ คือ (๑) มโนภาพที่มีสถานการณ์จริงรองรับ (๒) มโนภาพที่ไม่มีสถานการณ์จริงรองรับ ทั้ง ๒ แบบชี้ ชวนให้พิสูจน์ด้วยประสบการณ์ จากที่กล่าวมาจะพบประสบการณ์ใน ๒ แบบคือ (๑) ประสบการณ์ภายนอกที่อาศัยประสาท สัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย และ (๒) ประสบการณ์ภายใน เป็นเรื่องของการรับรู้ทางจิต ทั้ง ๒ แบบ มีท่าทีที่จะจริงหรือไม่จริงได้เหมือนกัน อย่างกรณีประสาทหลอน มีความสามารถในการดึง ดาวบนท้องฟ้ามาอยู่ฝ่ามือได้๒๒๙ ทั้งที่มองเห็นสิ่งนั้นจริง แต่ไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง การตรวจสอบความจริงของเรื่องราวที่เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นภายใน ในขณะฝึกฝนอบรม จิต จ าเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ภายนอกทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แม้ว่าประสาทสัมผัสทั้ง ๕ อาจ
๘๐ รับรู้สิ่งที่ไม่จริงได้ก็ตาม แต่เครื่องมือดังกล่าวน่าเชื่อถือได้มากกว่าการคิดแบบทึกทักหรือเชื่อสิ่งที่ ปรากฏในขณะฝึกฝนอบรมจิตโดยไม่ได้ตรวจสอบใดเลย อย่างกรณีการปรากฏขึ้นของร่างภายที่เปลี่ยน สภาพไปสู่การตายและสลายตัว๒๓๐ การเห็นผู้หญิงมาชวนให้สึก๒๓๑ ช่างหลับตาในขณะฝึกฝนอบรมจิต แต่เมื่อเราตรวจสอบด้วยการลืมตาขึ้น จะพบว่า ร่างกายไม่ได้ตายจริงอย่างที่ปรากฏในขณะหลับตา และไม่มีผู้หญิงที่มาชวนให้สึกจริง พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิตในขณะหลับตา เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้ฝึกฝนอบรมจิตและเป็นการ ท างานของจิตแต่ไม่ใช่ความจริง๒๓๒สอดคล้องกับที่หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม กล่าวว่า “...จิตสร้าง มโนภาพมาหลอกหลอนตัวเอง เรียกว่า “นิมิต” มีทั้งเสียง ภาพ การรู้การเห็น...เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบ ต้องระวัง...จิตมันจะสร้างความสงสัย สร้างผีขึ้นมาหลอก สร้างโน้นสร้างนี้เข้ามาหลอก ปรุงแต่ง เรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา...” ๒๓๓ อย่างไรก็ตาม จ านวนหนึ่งของสิ่งที่ปรากฎทางประสาทสัมผัสในช่วง ระยะเวลาของการฝึกฝนอบรมจิตก็ไม่ใช่ความจริง ทั้งที่มองเห็นว่าจริง ได้ยินเสียงชัดเจนว่าจริง แต่สิ่ง นั้นไม่จริง ประสบการณ์ที่ส าคัญคือประสบการณ์จากของคนอื่นที่ผ่านประสบการณ์มาก่อน (ปรโตโฆ สะ)๒๓๔ แล้วตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยประสาทสัมผัส ๔.๒.๒ การตรวจสอบด้วยเหตุผล ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิต ทั้งภาพ เสียง การรู้เห็นจะเกิดขึ้นกับบางคนที่จิต เข้าสู่ความสงบในระดับหนึ่งเท่านั้น บางคนไม่พบปรากฏการณ์ดังกล่าว จึงไม่เชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้น ในขณะฝึกฝนอบรมจิตจากค าบอกเล่าของคนหนึ่งจะมีอยู่จริง และแม้จะไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ หมายความว่าเชื่อ/ยอมรับตามค าบอกเล่านั้น ในเมื่อประสบการณ์ไม่สามารถจะเข้าถึงภาวะเช่นนั้นได้ การตรึกตรองตามเหตุตามผลจึงส าคัญเพื่อจะตรวจสอบความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏ การตรวจสอบด้วยเหตุผลอาจกระท าได้โดยการพิจารณาข้อความเดียวกันอันมีที่มาจากแหล่ง ความรู้มากกว่าหนึ่งแหล่ง เมื่อข้อความเหล่านั้นตรงกัน ก็อาจพิจารณาได้ว่าจริง อย่างกรณีความเชื่อ เรื่องผีมีจริงหรือไม่ จากการสัมภาษณ์ผู้ฝึกฝนอบรมจิตจ านวน ๘ คน ทุกคนมีประสบการณ์เรื่องผี ตรงกัน ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบจากคัมภีร์พบว่า เนื้อหาในคัมภีร์มีการกล่าวถึงเรื่องผี กรณี ความสามารถในการล่วงรู้อนาคต พบว่า พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เคยทดลองด้วยตนเองใน การทายสิ่งที่ที่ครูจะพูดล าดับถัดไปได้ถูกต้องแม่นย า ขณะที่หลวงตาสิ้นคิด (สินทรัพย์ จรณธัมโม) สามารถทายได้ว่าหวยงวดหน้าออกเลขอะไร และเมื่องวดนั้นมาถึง ปรากฏว่าเลขที่ออกตรงตามที่ ทักทายไว้ กรณีเลขหวยนี้สอดคล้องกับค าให้การสัมภาษณ์ของพระอาจารย์จันทโชติ จันทโชโต นอกจากนั้น กรณี พระรูปหนึ่งฝึกฝนอบรมจิตในป่าดงดิบ ขณะนั่งบ าเพ็ญจิตเห็นคนตัดไม้สามคน จึง ตรวจสอบด้วยการชวนเพื่อนไปพิสูจน์ พบว่าสิ่งที่นั่งเห็นจากที่ไกลมีสถานการณ์จริงรองรับตรงกับที่ เห็นทั้งหมด๒๓๕ พระต๋อย ระบุว่า เมื่อจิตสงบเราสามารถจะรู้ได้ว่าใครจะมาหาเราในวันรุ่งขึ้น ตรงตาม
๘๑ เวลา คลาดเคลื่อนไม่เกิน ๕ นาที เมื่อน าข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณา อาจสรุปได้ว่า มีความเป็นไปได้ที่สิ่ง ที่ปรากฏจะเกิดขึ้นจริง และอาจสรุปได้ว่า อนาคตเป็นสิ่งมีอยู่และเราสามารถรับรู้ก่อนที่สถานการณ์ ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ นอกจากกรณีดังกล่าว ยังมีกรณีอื่นอีกเช่น ความเชื่อเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ ฯลฯ ที่เกินวิสัยคนทั่วไปจะรับรู้ได้ ๔.๒.๓ การตรวจสอบด้วยญาณทัศนะ ญาณทัศนะ คือ ความสามารถในการหยั่งรู้ความจริง ตั้งแต่การเห็นความเกิด-ดับของรูปนาม เห็นความแตกสลายของรูปนาม เห็นความน่ากลัวของรูปนาม เห็นโทษของรูปนาม เห็นความน่าเบื่อ หน่าย เห็นความควรที่จะพ้นไปจากรูปนาม เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตัวของรูปนาม เห็นความเป็นกลางของสิ่งที่ปรุงแต่งกันตั้งขึ้น และเห็นความจริงที่หมดจด (อริยสัจ) รวมเรียกว่า ความรู้จากการเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ)๒๓๖ ชั้นสูงสุดคือ ปรีชาหยั่งรู้สิ่งทั้งปวง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต เรียกว่า สัพพัญญุตญาณ การตรวจสอบด้วยญาณทัศนะจะเป็นเรื่องทางจิตล้วน แตกต่างจากการตรวจสอบด้วย ประสบการณ์และการตรวจสอบด้วยเหตุผลที่ใช้ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ การ ตรวจสอบด้วยญาณทัศนะค่อนข้างมีความเป็นปัจเจก คือการรับรู้ได้เฉพาะตน สิ่งที่ปรากฏในขณะ ฝึกฝนอบรมจิตสูงสุดไม่ใช่การโยกโคลงของร่าง ไม่ใช่การท านายเลขหวยได้ ไม่ใช่การเห็นเทวดา นรก สวรรค์ หากแต่ความหมดสิ้นไปของกิเลส ๓ ตัวหลักคือ โลภ โกรธ หลง ขอให้พิจารณาข้อความต่อไปนี้ กาลามชนทั้งหลาย ท่านอย่าได้อย่าได้เชื่อถือตามค าที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ เชื่อถือประเพณีนิยมที่ประพฤติสืบต่อกันมา อย่าได้เชื่อถือข่าวคราวที่ว่าตามกัน อย่าได้เชื่อถือเพราะตรงกับต ารา อย่าได้เชื่อถือเพราะคิดเดาเอาเอาเอง อย่าได้ เชื่อถือเพราะการคาดคะเน อย่าได้เชื่อถือเพราะสอดคล้องกับตรรกะ อย่าได้ เชื่อถือเพราะตรงกับความคิดเห็นที่ตนเชื่อถืออยู่ อย่าได้เชื่อถือเพราะผู้พูดเป็นคน น่าเชื่อถือ อย่าได้เชื่อถือเพราะเขาเป็นครูของเรา เมื่อไรก็ตาม ท่านรู้ได้ด้วย ตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งดีงาม (กุศล) ผู้รู้ธรรมสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ประพฤติปฏิบัติอย่างดีแล้วจะก่อเกิดประโยชน์เกื้อกูลและความสุข เมื่อนั้นท่าน จึงควรเชื่อถือต่อธรรมเหล่านั้น...กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ปราศจาก ความโลภ ไม่มีพยาบาท ไม่หลง มีความรู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ มั่นคง มีใจเมตตา แผ่ไปทั่วทิศ...ทั่วสัตว์ทุกเหล่าทุกสถาน ด้วยใจเมตตาที่ไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณไม่ได้ ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน มีความกรุณา ชื่นชม (มุทิตา) การวางใจ (อุเบกขา) แผ่ไปทั่วทิศ ... กาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น มี
๘๒ จิตไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน ไม่เศร้าหมอง มีความผ่องใส จะได้รับความอุ่นใจใน ปัจจุบัน หากปรโลกมีจริง ผลแห่งการท าดี จะส่งสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้าปรโลกไม่มี จริง ผลแห่งความดีส่งสู่การไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน ไม่ทุกข์ เป็นสุขรักษาตนอยู่ใน ปัจจุบัน ได้พิจารณาเห็นตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์...๒๓๗ ข้อความที่ยกอ้างมานี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า อย่าได้เชื่อว่าสิ่งใดจริงจนกว่าจะเกิดความรู้ผ่านการ ทดลองด้วยตนเอง ส่งผลเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุข เป็นไปเพื่อความไม่โลภ ไม่พยาบาท เบียดเบียน ไม่หลง มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มีความปรารถนาดี ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน จิตใจผ่องใส และ/หรือ สอดคล้องกับธรรมและมีธรรมเป็นที่ระลึก การตรวจสอบความมีอยู่จริงด้วยญาณทัศนะนั้น อาจต้องใช้เวลาและการฝึกฝนอบรมจิตใน ระดับหนึ่ง กว่าจะพบเครื่องมือดังกล่าวนี้ และเครื่องมือดังกล่าวนี้น่าจะคือเครื่องมือที่ส าคัญที่สุดของ การมีชีวิตทางศาสนาในการตรวจสอบระดับกิเลสของแต่ละคน ๔.๓ ข้อสังเกตบางประการและความตระหนักรู้ในตน จากการวิเคราะห์ความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต ผู้ศึกษามีข้อสังเกต บางประการที่พอจะเรียบเรียงได้ดังต่อไปนี้ ๔.๓.๑ เป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิต หลายคนเข้าสู่พื้นที่ทางศาสนาด้วยการฝึกฝนอบรมจิตเพราะเรื่องเล่าทางศาสนาทั้งในคัมภีร์ ทางศาสนาและประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตมา จนกลายเป็นบุคคลพิเศษใน ความหมายว่ามีความสามารถแตกต่างจากบุคคลอื่นผู้ไม่สามารถจะมีความสามารถแบบนั้นได้ เช่น ความสามารถในการถอดจิต ความสามารถในการล่วงรู้ความคิดของคนอื่น ความสามารถในการ ท านายอนาคตได้ เป็นต้น และความสามารถเหล่านั้นตรวจสอบได้ว่าจริง โดยผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จริงรองรับความสามารถนั้น หลวงตาสิ้นคิด (พระสินทรัพย์ จรณธัมโม) เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “กองเชียร์” โดยให้เหตุผลว่า การที่เราพบเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งด้วยตาเนื้อและการรู้เห็นภายในขณะหลับตาจะท าให้เรา มีก าลังใจในการฝึกฝนอบรมจิต อย่างไรก็ตาม จ านวนหนึ่งของกองเชียร์ไม่อาจเข้าไปยึดได้ว่าเป็นที่พึ่ง มิฉะนั้นจะท าให้ผู้เข้า ไปยึดเข้าใจว่า สิ่งที่พบคือเป้าหมายของการฝึกฝนอบรมจิต แท้จริง เป้าหมายของการฝึกฝนอบรมจิต ไม่ใช่ความสามารถพิเศษเหล่านั้น หากแต่เป็นจิตบริสุทธิ์ (จิตประภัสสร) หลุดจากเครื่องพันธนาการ แห่งจิต หากใครจะได้ความสามารถพิเศษให้ถือว่าเป็นผลพลอยได้
๘๓ เป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิต ขอให้พิจารณาข้อความสุดท้ายในมหาสติปัฏฐาน สูตรดังต่อไปนี้ “...ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย (ภิกขุ) หนทางเดียวนี้ที่เป็นไปเพื่อความ บริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อผ่านพ้นความเศร้าโศกเสียใจ เพื่อความดับไปแห่งทุกข์ ระทม เพื่อการเข้าถึงธรรมที่ควรแก่การเรียนรู้ (ญาย) เพื่อการท าให้แจ้งชัดถึง ความสงบเย็น (นิพพาน) หนทางเดียวนี้คือการใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) ...” ๒๓๘ จากข้อความที่ยกอ้าง จะเห็นเป้าหมาย ๓ แบบคือ (๑) เพื่อความบริสุทธิ์สะอาด (๒) เพื่อ หมดทุกข์ โดยไม่ต้องพบความเศร้าโศกเสียใจอีกต่อไป และ (๓) เข้าถึงธรรมที่ควรเข้าถึง ปลายสุดคือ ความสงบเย็น (นิพพาน) ความบริสุทธิ์สะอาดในความหมายของการฝึกฝนอบรมจิตคือความบริสุทธิ์จากกิเลสที่ท าให้ จิตใจเศร้าหมอง ที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) และ รูป เสียง กลิ่น รส อารมณ์ทางใจ (อายตนะภายนอก) เมื่อแต่ละคู่ของ G1 สัมผัส G2 จะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนี้คือ (๑) พึงพอใจ/มี ความสุข (สุขเวทนา) (๒) ไม่พึงพอใจ/ทุกข์ใจ (ทุกขเวทนา) (๓) ระบุไม่ได้ว่าพอใจหรือไม่พอใจ (อทุก ขมสุขเวทนา) ส่งทอดไปสู่การก าหนดหมายรู้/ทรงจ า (สัญญา) ใน ๖ แบบ (A-F) การจะดูว่าทรงจ า อะไรไว้ พระพุทธเจ้าตอบว่าให้ดูที่การพูด เพราะสิ่งที่พูดคือผลของความทรงจ าอันมาจากความรู้สึกอีก ทีหนึ่ง๒๓๙ จากนั้นจะมีการปรุงแปร (สังขาร) ไปต่าง ๆ นานาอันสัมพันธ์กันระหว่างความทรงจ าเดิม ความทรงจ าปัจจุบันและความทรงจ าข้างหน้า (สัญญา อตีตานาคตปัจจุปันนา.. ๒๔๐) จากนั้นจะเกิด ความรู้แจ้งต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ (อารมณ์) ที่แตกต่างกัน ๖ แบบ (A-F) คือ การรับรู้ทางตา (จักขุ วิญญาณ) โดยมีรูปที่ตามองเห็นเป็นสิ่งที่กระทบต่อตา การรับรู้ทางหู (โสตวิญญาณ) โดยมีเสียงที่หูรับ ฟังเป็นสิ่งที่กระทบต่อหู การรับรู้ทางจมูก (ฆานวิญญาณ) โดยมีกลิ่นที่จมูกสูดดมเป็นสิ่งที่กระทบต่อ จมูก การรับรู้ทางลิ้น (ชิวหาวิญญาณ) โดยมีรสชาติของสิ่งที่ลิ้นรับสัมผัสกระทบต่อลิ้น การรับรู้ทาง G1A ตา G2A รูป/ภาพ/สิ่งที่ตามองเห็น G1B หู G2B เสียง/สิ่งที่หูได้ยิน G1C จมูก G2C กลิ่น/สิ่งที่จมูกสูดดม G1D ลิ้น G2D รสชาติ/สิ่งที่ลิ้นรับรู้ G1E กาย G2E สิ่งที่สัมผัสกาย G1F ใจ G2F สิ่งที่ใจรับรู้/สัมผัสได้
๘๔ กาย (กายวิญญาณ) โดยมีสิ่งที่กายสัมผัสเป็นสิ่งที่กระทบต่อกาย และ การรับรู้ทางใจ (มโนวิญญาณ) โดยมีสิ่งที่ใจรับรู้ได้มากระทบต่อใจ อนึ่ง การที่ G1 สัมผัส G2 แล้วเกิดความรู้สึก (เวทนา) อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนั้น หาก ติดใจ เพลิดเพลิน และพูดถึงความรู้สึกนั้นอยู่ จะคือการยังมีความก าหนดยินดี ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ (ราคานุสัย) หากมีความเศร้าโศก ล าบากใจ ร้องไห้ฟูมฟาย จะคือการยังมีความขุ่นข้องหมองใจ ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ (ปฏิฆานุสัย) หากไม่รู้ถึงการเกิดขึ้นและดับไป คุณและโทษ ตลอดถึงการไม่รู้ ถึงการหลุดออกจากความรู้สึกตามความเป็นจริง จะคือการยังมีความไม่รู้ ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ (อวิชชานุสัย)๒๔๑ เมื่อจัดกลุ่มของความรู้สึกจากการสัมผัสที่สัมพันธ์กับตะกอนความรู้สึกและสิ่งที่ท าให้ จิตใจเศร้าหมอง (กิเลส) จะได้ดังนี้ แนวคิดเรื่อง “วังวน (วัฏฏะ)” ระบุถึง ๓ เส้าที่เป็นอนุกรมแห่งทุกข์คือ ความเศร้าหมอง แห่งจิต (กิเลส) การกระท า (กรรม) ผลของการ กระท า (วิบาก) พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) อธิบายว่า กิเลสเป็นเหตุให้ท ากรรม เมื่อ ท ากรรมก็ได้รับวิบากคือผลของกรรมนั้น อันเป็น ปัจจัยให้เกิดกิเลสแล้วท ากรรมหมุนเวียนต่อไป อีก๒๔๓ การที่จะตัดวงจรนี้ได้ จะคือการเข้าไปยุติ อนุกรมแห่งทุกข์ พลิกกลับสู่การไม่กระท าด้วย กิเลส จึงไม่มีผลของกรรมที่มาจากกิเลส การ เคลียร์กิเลสออกจากจิตจะเท่ากับการท าให้จิต บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส เมื่อจิตหมดจดจากกิเลส จึงไม่ต้องรับผลคือความทุกข์จากการกระท าที่มา ความรู้สึก (เวทนา) ความหมองนอนเนื่อง (อนุสัย) ความเศร้าหมองแห่งจิต (กิเลส) ความไม่บริสุทธิ์สะอาดแห่ ง จิต๒๔๒ ความพึงพอใจ (สุขเวทนา) ความก าหนัดยินดี (ราคานุสัย) ความก าหนัดยินดี (ราคะ) / อยากได้ (โลภะ) ไม่พึงพอใจ (ทุกขเวทนา) ความขุ่นข้องหมองใจ (ปฏิฆานุสัย) โกรธ (โทสะ) / ประทุษร้ายใจ ระบุไม่ได้ฯ (อทุกขมฯ) ความไม่รู้ (อวิชชานุสัย) ความเขลา (โมหะ) ไม่รู้ตามจริง กรรม วิบาก กิเลส ไม่มีกรรม ที่มาจาก กิเลส ไม่มีวิบากจาก การกระท าที่มี กิเลส ไม่มีกิเลส
๘๕ จากกิเลส ตอบโจทย์เป้าหมาย ๓ แบบข้างต้นที่สามารถสรุปลงในเป้าหมายเดียวคือ “ความไม่มีแห่ง ทุกข์” ๔.๓.๒ แนวทางสู่เป้าหมายที่แท้จริง จากข้อความในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ยกอ้างข้างต้นที่ระบุว่า “หนทางเดียวที่เป็นไปเพื่อความ บริสุทธิ์...คือการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน)” ด้วยการตามดูกายในกาย (กาเย กายานุปัสสี)...ตามดู ความรู้สึกในความรู้สึก (เวทนาสุ เวทนานุปัสสี)... ตามดูจิตในจิต (จิตฺเต จิตฺตานุปัสสี) ...และตามดู ธรรมในธรรม (ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี) มีความเพียร รู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชาโน/สัมปชัญญะ) มีสติ ก าจัด การเพ่งเล็งอยากได้ (อภิชฌา) และหัวใจที่เลวร้าย (โทมนัสส) ออกไป๒๔๔ การดูกายในกายจะคือ การก าหนดรู้การหายใจตามจริง รับรู้อย่างชัดเจนถึงการเดิน ยืน นั่ง นอนตามจริง ท าความรู้สึกตัวต่ออิริยาบถทุกอย่าง พิจารณากายตั้งแต่พื้นเท้าจรดปลายผม ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ หุ้มด้วยหนัง พิจารณาองค์ประกอบของกายที่มาจากธาตุพื้นฐานทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน เช่น เนื้อหนัง ธาตุน้ า เช่น เลือด ธาตุไฟ คืออุณหภูมิภายในกาย ธาตุลม เช่น ผลตามช่องท้อง พิจารณาเห็นร่างกายที่ตายแล้วฯลฯ เห็นความคงอยู่และเสื่อมสภาพของกาย ด ารงสติไว้ตรงหน้า/ตั้ง สติไว้ที่ปัจจุบัน (ปจฺจุปฏฺฐิตา) ว่า “มีกายอยู่” ตราบเท่าที่ยังรู้ได้และระลึกถึงได้เท่านั้น (ญาณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย) การดูความรู้สึกในความรู้สึก คือการรู้ชัดถึง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ตามที่เกิดขึ้นจริง เห็น ความตั้งอยู่และเสื่อมไปของความรู้สึก ก าหนดสติไว้ตรงหน้า ว่า “มีความรู้สึก (เวทนา) อยู่” ตราบ เท่าที่ยังรู้ได้และระลึกถึงได้เท่านั้น การดูจิตในจิต คือ การรับรู้ถึงความก าหนัดยินดี (ราคะ) ใจประทุษร้าย (โทสะ) ความลุ่มหลง ไม่รู้ตามจริง (โมหะ) ที่มีอยู่ตามจริง รับรู้ถึงจิตที่หดหู่ ฟุ้งซ่าน สภาพจิตที่แตกต่าง จิตมีสมาธิ จิตหลุด พ้น พิจารณาเห็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและเสื่อมไปในจิต ก าหนดสติไว้ตรงหน้าว่า “จิตมีอยู่” ตราบ เท่าที่ยังรับรู้ได้ และอาศัยจิตไว้เพื่อการระลึกถึงได้เท่านั้น การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ การพิจารณาเห็นตัวฉุดดึงจิตที่คอยขวางกั้นไม่ให้ท าสิ่งดี งาม (นิวรณ์) โดย รู้ชัดถึงความมีอยู่ ความไม่มีอยู่ หนทางที่จะเกิด การก าจัด การท าไม่ให้เกิดขึ้นอีก ของความพึงพอใจต่อสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนา (กามฉันทะ) ความคิดร้ายท าลายกัน (พยาบาท) ความหด หู่ซึมเศร้า (ถีนมิทธะ) ความฟุ้งซ่านร าคาญใจ (อุทธัจจกุกกุจจะ) และความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) พิจารณาเห็นความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ในรูป ความรู้สึก (เวทนา) ความจ าได้ (สัญญา) ความปรุง แปร (สังขาร) และ การรู้ชัด (วิญญาณ) ทั้งความเกิดขึ้นและดับไป พิจารณาเห็นกิเลสที่ผูกพัดใจคนไว้ อย่างเหนียวแน่น (สังโยชน์) ทั้งแบบละเอียดและแบบหยาบ พิจารณาเห็นองค์ธรรมแห่งการบรรลุถึง ความรู้ (โพชฌงค์) คือ สติ การค้นหาธรรม (ธัมมวิจยะ) ความเพียร ความอิ่มใจ ความสงบกายใจ ความ
๘๖ มีใจตั้งมั่น (สมาธิ) และความวางใจเป็นกลาง (อุเบกขา) ตลอดถึงการพิจารณาความจริงชั้นยอด (อริยสัจ) ทั้งภายในภายนอก ความเกิดขึ้นและเสื่อมสลายแห่งธรรม ก าหนดสติไว้ตรงหน้าว่า “มีธรรม อยู่” ตราบเท่าที่รับรู้ได้ และอาศัยธรรมไว้เพียงการระลึกถึงเท่านั้น๒๔๕ โดยรวม แนวทางสู่เป้าหมายที่แท้จริงจะคือ การมีสติว่า “มีกายอยู่” “มีความรู้สึกอยู่” “มีจิต อยู่” และ “มีธรรมอยู่” เป็นการรับรู้ตามจริงที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ทั้งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อม สลายไปของกายคือลมหายใจ อวัยวะน้อยใหญ่ คุณสมบัติที่ละเอียด (ธาตุ) ตลอดถึงการรู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) ต่ออิริยาบททั้งหมด ของความรู้สึก สภาพจิต และสภาพธรรมทั้งไม่ดีและดีอันจะน าไปสู่ เป้าหมายสุดท้าย กาย ความรู้สึก จิต และธรรม ตลอดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย ความรู้สึก จิต และธรรม จะมีไว้เพื่อการรับรู้และการระลึกถึงเท่านั้น ๔.๓.๓ ความตระหนักรู้ในตนผ่านแนวคิดการฝึกฝนอบรมจิต เมื่อเป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิตคือความไม่มีแห่งทุกข์ โดยอาศัยเครื่องมือที่ ส าคัญคือสติ (สติปัฏฐาน) และสิ่งที่สติก าหนดรู้คือ กาย ความรู้สึก (เวทนา) จิต และธรรม สิ่งต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต แม้จะมีความพิเศษล้ าความสามารถจากคนทั่วไป ที่อาจตรวจสอบได้ ระดับหนึ่งว่าจริง โดยมีสถานการณ์รองรับ แต่สิ่งเหล่านั้นคงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้และระลึกถึง ว่า “มีอยู่”เท่านั้น ไม่ใช่เนื้อตัวของเป้าหมายที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์พิเศษและ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต เราอาจมีท่าทีดังต่อไปนี้ ความหลากหลายของแนวทางในการฝึกฝนอบรมจิต โดยแต่ละแนวทางมีสิ่งที่ปรากฎจาก การฝึกฝนอบรมจิตที่แตกต่างกัน ความหลากหลายของแนวทางจะเหมาะกับบุคลิกคนที่มีอย่าง แตกต่างกัน เช่น การพิจารณาถึงความไม่งามของร่างกาย จะเหมาะกับผู้มีความรักสวยรักงาม การ ก าหนดลมหายใจเข้าออกจะเหมาะกับคนที่มักคิด แต่ฐานส าคัญของการฝึกฝนอบรมจิตคือ “สติและ ความรู้สึกตัว” สิ่งที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต เป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่ระดับพื้น ๆ รับรู้ได้ด้วยตน อันจะเป็น ก าลังใจส าหรับตนในการฝึกฝนอบรมจิตให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ระดับพื้น ๆ นี้จะเกิดขึ้นและเสื่อมไป ถ้า อยากให้เกิดขึ้นอีก จะไม่เกิดขึ้น ระดับกลางที่จะเป็นประโยชน์ในการต่อยอดการเรียนรู้สู่คุณธรรม ชั้นสูงต่อไป ระดับกลางของผู้ฝึกฝนอบรมจิตบางคนอาจได้รับคุณสมบัติพิเศษที่ล้ าบุคคลทั่วไป และ ระดับสูง อันเป็นประโยชน์ที่แท้จริงส าหรับการฝึกฝนอบรมจิต ความเป็นไปเองของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต มีข้อสังเกตว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจาก การฝึกฝนอบรมจิต คือ ความเป็นเช่นนั้น (ตถตา) ของสิ่งที่ปรากฏ เป็นเพียงปรากฏการณ์ให้รับรู้
๘๗ เท่านั้น การฝึกฝนอบรมจิตเรียกร้องการมองตามเหตุปัจจัยไม่ใช่การแสวงหาความมีอยู่และความไม่มี จะจริงหรือไม่จริงไม่ใช่สิ่งส าคัญเท่าความเป็นอย่างที่เป็น เมื่อพัฒนาจิตไปถึงจุดที่หวนกลับมามีกิเลส ไม่ได้ ทุกอย่างจะมีและเป็นเองโดยอัตโนมัติ แนวทางในการฝึกฝนอบรมจิตต้องลงมือปฏิบัติเท่านั้น เป็นการลงมือปฏิบัติด้วยความเพียร และมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ บางคนต้องยอมสละชีวิตเข้าแลก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะท าได้ แต่ไม่ได้ยาก เกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะลงมือท า อย่างน้อย ผู้ปฏิบัติตามแนวทางที่บรรพชนได้ทดลองปฏิบัติและวาง แนวทางไว้ จ านวนหนึ่งและไม่น้อยมีเหตุผลเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า จบการศึกษาด้านจิตอย่างแท้จริง มโนทัศน์เรื่อง ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ) มีความเป็นไปได้ที่ มโนทัศน์นี้มุ่งการฝึกฝนอบรมจิต จากการศึกษาเรียนรู้เรื่องนี้ จะพบว่า ผู้ฝึกฝนอบรมจิตต้องอาศัย ความพยายามแห่งตนตั้งแต่ต้นจนจบการศึกษา และมีบางคนที่เรียนไม่จบ องค์ความรู้นี้มีข้อมูลให้ตระหนักได้ว่า กายกับจิตแยกออกจากกัน ในการฝึกฝนอบรมจิต กาย เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ส่วนผู้รู้คือจิต ในความเป็นตัวตนแห่งจิตจะมีการเคลื่อนไหวใน ๒ แบบ แบบ แรกคือ “การคิด” การคิดนั้นเกิดขึ้นอย่างมีเหตุปัจจัย แบบที่สองคือ “ตัวรู้” น ามาท าหน้าที่ในการ รับรู้กายและความคิดและสิ่งที่เนื่องด้วยกายและความคิด องค์ความรู้ว่าด้วยการฝึกฝนอบรมจิต เป็นองค์ความรู้หนึ่ง ในหลากหลายองค์ความรู้ที่ปรากฏ อยู่บนโลกใบนี้ ความรู้อื่น ๆ อาจช่วยให้ความเป็นอยู่สะดวกขึ้น มีความเป็นอยู่ทางกายภาพที่ดีขึ้น แต่ การฝึกฝนอบรมจิตไม่ใช่เพื่อความสะดวกหรือการมีกายภาพที่ดีขึ้น หากแต่คือ “การอยู่อย่างไม่ทุกข์” ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อย่างที่สามารถจะดูแลตนได้หากเทียบกับระบบการศึกษาทางโลกที่ให้ ความส าคัญกับกายภาพ การศึกษาด้านจิตอาจเรียกว่า “จิตตปัญญาศึกษา” เพราะเป็นการฝึกฝน อบรมจิตส่งผลเป็นปัญญาในการเข้าไปรับรู้ความเป็นจริงของโลกที่พัวพันยุ่งเหยิงจากการกระท าของ สิ่งมีชีวิตเอง ขณะเดียวกัน สามารถตัดวงจรการพัวพันที่ท าให้เกิดความทุกข์ได้ โดยที่องค์ความรู้แขนง อื่นยังไม่ได้รับการพัฒนามาถึงจุดนี้
๘๘ บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย ความตระหนักรู้ในตนและข้อเสนอเพื่อการพัฒนา ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ปรากฎการณ์ในสังคมพุทธศาสนาไทยปัจจุบันคือความสนใจต่อการฝึกฝนอบรมจิตที่เหล่าผู้ สืบทอดพัฒนาเทคนิคไปมากกว่า ๑ แบบ จนสับสนว่า ถ้าเราสนใจการฝึกฝนอบรมจิต แบบใดคือแบบ ที่มีแก่นค าสอนในคัมภีร์หลักของพุทธศาสนารองรับมากที่สุด ตลอดถึงความเชื่อแบบง่าย โดยเฉพาะ ความเชื่อเกี่ยวกับคุณพิเศษในตนที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต ที่ชาวพุทธผู้สนใจการฝึกฝนอบรม จิตเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงโดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และที่หนักกว่านั้นคือการหลงคิด ว่าคุณพิเศษที่เกิดขึ้นนั้นคือเป้าหมายแท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิต จึงน่าสนใจว่า แนวทางที่เป็น แกนกลางของการฝึกฝนอบรมจิตตามแนวคิดในพุทธศาสนาคืออะไร เนื้อหาในพุทธศาสนามีการ กล่าวถึงคุณพิเศษที่เกิดขึ้นจากการกระบวนการพัฒนาจิตไว้อย่างไรหรือไม่ ที่ผ่านมามีเหล่าผู้ทดลอง ปฏิบัติตามแนวคิดการพัฒนาจิตของพุทธศาสนาไว้ คุณพิเศษที่เหล่าผู้ปฏิบิตถ่ายทอดผ่านค าบอกเล่ามี รายละเอียดอย่างไร และเนื้อหาพุทธศาสนารับรองรายละเอียดเหล่านั้นหรือไม่อย่างไร จึงก าหนด วัตถุประสงค์ของการวิจัยไว้ ๓ ประการคือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่องการฝึกฝนอบรมจิต และ ประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตที่มีอยู่ในเนื้อหาพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษา ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตตามค าบอกเล่าของนักปฏิบัติ นักการศึกษาและการทดลองปฏิบัติและ (๓) เพื่อวิเคราะห์ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต โดยตีกรอบการศึกษาในเชิงเนื้อหาจากเอกสารและสื่อที่ เผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งคัมภีร์หลักของพุทธศาสนา หนังสือ ปาฐกถา ค าบอกเล่า และค าสัมภาษณ์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา อาศัยเครื่องมือการวิเคราะห์เนื้อหาที่ใช้ในปรัชญาทั่วไปและบูรณา การร่วมกับแนวคิดแบบจิตตปัญญาศึกษา โดยคาดหวังว่า ผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อ การสร้างองค์ความรู้ในงานวิชาการด้านจิตศึกษา จิตตปัญญาศึกษา พุทธศาสนศึกษา ที่ส าคัญยิ่งคือ ประโยชน์ต่อผู้เตรียมความพร้อมในการฝึกฝนอบรมจิตและการประยุกต์ใช้ที่หลากหลาย จากการศึกษาพบว่า รูปแบบของการฝึกฝนอบรมจิตมี ๒ คือ (๑) การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อให้ จิตสงบ และ (๒) การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง ทั้ง ๒ แบบต่างอิงอาศัยกัน พุทธศาสนา เห็นว่า จิตคือองค์ประกอบหนึ่งของชีวิต จิตเดิมแท้เป็นจิตบริสุทธิ์ ต่อเมื่อจิตตกไปสู่อารมณ์ที่ปรารถนา จึงกลายเป็นจิตเศร้าหมอง (กิเลส) ดิ้นรนสู่อารมณ์ความต้องการ (ตัณหา) และประสบทุกข์เพราะการ ยึดติดอย่างไม่รู้จบ พุทธศาสนามองว่า หากปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ จะต้องพัฒนาจิตเพื่อการไม่เพิ่ม ความเศร้าหมองและการกะเทาะความเศร้าหมองให้หลุดออกจากจิต จึงเสนอแนวทางการพัฒนาจิต
๘๙ ด้วยเทคนิคการตรึงจิต ๔๐ อย่าง ที่ให้ความส าคัญกับ “การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อให้จิตสงบ” เช่น ตรึง จิตไว้กับสี ตรึงจิตไว้กับอาหารที่กิน ตรึงจิตไว้กับสิ่งไม่มีรูป เป็นต้น ส่วนผู้ต้องการความไม่มีแห่งทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนาจิตที่มากกว่าความสงบระงับทุกข์แบบชั่วคราวคือ “การฝึกฝน อบรมจิตให้เกิดความรู้แจ้ง” พระพุทธศาสนาเสนอเทคนิคการใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) ในการ พัฒนาจิต ด้วยการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของกาย (กายานุปัสสนา) ความรู้สึก (เวทนานุปัสสนา) จิต (จิตตานุปัสสนา) และธรรม (ธรรมานุปัสสนา) ตามที่เกิดขึ้นจริงและเป็นปัจจุบันที่สุด พระพุทธเจ้าทรง รับรองว่า การฝึกอบรมจิตด้วยเทคนิคนี้นานสุด ๗ ปี เร็วสุดคือ ๗ วัน รับรองผลอย่างน้อยคือ กรณียัง มีความยึดมั่นหลงเหลืออยู่บ้าง จะไม่หวนกลับมามีกิเลสที่ท าให้จิตเศร้าหมองอีก (อนาคามี) สูงสุดคือ ห่างไกลจากกิเลส (อรหันต์) และทรงยืนยันว่า หนทางเดียวนี้เท่านั้นที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต ดับทุกข์ และท าความสงบจากกิเลส (นิพพาน) ทางนี้คือเทคนิคการใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) ใน พัฒนาจิต๒๔๖ เราจะพบว่า เคล็ดลับที่ส าคัญของเทคนิคนี้คือ การระลึกรู้ว่า “มีกายอยู่...มีความรู้สึกอยู่ (เวทนา)...มีจิตอยู่ และมีธรรมอยู่” และอาศัย ๔ อย่างนี้ไว้เพียงเพื่อการระลึกรู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในพุทธศาสนาระบุว่า การพัฒนาจิตจะเกิดประสบการณ์อันเป็น คุณสมบัติพิเศษ ๓ อย่าง ทั้งนี้แล้วแต่เหตุปัจจัยสัมพันธ์ที่ท าให้เกิดคุณสมบัตินั้นคือ (๑) ความสุขจาก ความสงบ เช่น ความร่าเริง ความอิ่มเอิบ (ปีติ) แบบชั่วขณะก็มี แบบแผ่ซ่านทั่วสรรพางค์กายก็มี แบบ โลดโผนก็มี เป็นต้น (๒) คุณธรรมทั่วไป/สามัญ (โลกียธรรม) เช่น การระลึกชาติได้ มีฤทธิ์ หูทิพย์ รับรู้ ความคิดของคนอื่น เป็นต้น (๓) คุณธรรมชั้นสูง (โลกุตรธรรม) จะคือการถอดถอนความยึดมั่นในตน ออกได้ ไม่มีความลังเลสงสัยธรรม สูงสุดคือการตัดกิเลสและกองทุกข์ทั้งหมดได้๒๔๗ คุณสมบัติพิเศษนี้ ได้รับการยืนยันจากนักปฏิบัติชั้นครูอาจารย์อย่าง พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสัมปันโน) และหลวงตาสิ้นคิด (สินทรัพย์ จรณธัมโม) เป็นต้น ว่าเป็นปรากฎการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นได้จริง จากค าบอกเล่าของเหล่านักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่า การที่จิตจะเกิดความสงบและตั้งมั่น (สมาธิ) จะเกิดอาการคล้ายง่วงนอนก่อน จากนั้นจะผ่านจุดมืด และจิตสว่างโพลงขึ้น เมื่อจิตสงบ ลมหลายใจจะจางหาย จิตจะสงบนิ่งลอยเด่นสว่างไสวเพียงดวงเดียว ล้วน ภาวะนี้เรียกว่า สมาธิแบบแน่วแน่มั่นคง (อัปปนาสมาธิ) พระธรรมวิสุทธิมงคลเล่าว่า เมื่อจิตสงบ ระงับจุดหนึ่งจะมองเห็นร่างกายเหมือนป่าช้าผีดิบ ส้วม ฐาน มีผิวหนังปกปิดไว้ เมื่อเพิกผิวหนังออกจะ เห็นเนื้อ และสิ่งสกปรกอื่นตามล าดับ เข้าถึงอสุภะ จะถอนความรัก ความชัง ตัณหาออกเสียได้ ขณะที่ พระธรรมโกศาจารย์ (องอาจ ฐิตธัมโม) เล่าว่า เมื่อจิตเงียบ สงบ ไม่วุ่นวาย จะเกิดนิมิตเห็นดวงดาว ระยิบระยับ พราวแสง เป็นปุยนุ่น อาจหลงเพลินไปกับอารมณ์นั้น พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่าหากจิตแน่วแน่ต่ออารมณ์ ตัวจะโยก น้ าตาไหล ขนพอง สอดล้องกับที่หลวงพ่อสรวง ปริสุทโธ ระบุว่า ช่วงเวลาฝึกจิต ร่างกายขนลุกขนพอง น้ ามูกน้ าตาไหล มือสั่น พระสินทรัพย์ จรณธัมโมเล่าว่า
๙๐ บางครั้งตัวยืด ตัวหด ตัวยาว ตัวเล็ก สุดท้ายได้รับการยืนยันจากค าบอกเล่าของเหล่านักปฏิบัติชั้นครู อาจารย์ว่า เมื่อฝึกฝนอบรมจิตไปถึงจุดสุดท้ายก็จะสามารถตัดกระแสอารมณ์ ชะล้างจิตให้หมดสิ้น ทุกข์ กิเลสดับสนิท ครอบครองบรมสุขอันเป็นสุขธรรมชาติได้๒๔๘ ส่วนนักการศึกษา และการทดลองปฏิบัติ จะพบประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์คือ อารมณ์ที่เปลี่ยนไป อย่างการคิดเล็กคิดน้อยกลายเป็นนิ่งสงบ การละวางตัวตนลงได้บ้าง จิตนิ่งขึ้น หายกลัว มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต ได้ยินเสียงที่ห่างไกล รับรู้ลางบอกเหตุ มองเห็นตัวเองหลุด เป็น ๒ ร่าง เข้าถึงความธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งรอบตัวและความจริงของชีวิต อิ่มเอิบ น้ าตาไหล ล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า เห็นภาพอดีตของตัวเองที่ลืมไปแล้ว มีสมาธิไม่เหนื่อยกับการได้วิ่งออก ก าลังกาย รู้สึกร่างกายลอยติดเพดาน รู้เลขหวยล่วงหน้าและออกตรงตามที่เห็น ย่อขยายนิมิตได้ เกิด แสงสว่างดวงกลม มองเห็นทะลุทะลวงผาผนัง เห็นวิมานสีทอง เพลิดเพลินจนลืมความปวดเมื่อย เห็น ภาพเปลือย รู้ล่วงหน้าและรู้ที่ไกล พบการยุบ-พอง เป็นจังหวะ ตัวโยกโคลงฯลฯ มีข้อสังเกตจากสิ่งที่ปรากฏขณะฝึกอบรมจิตว่า ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝน อบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่งนั้นมีอยู่และจริง (๒) สิ่งนั้นมีอยู่แต่อาจไม่จริง และสิ่งที่มีอยู่จะ จริงหรือไม่จริงนั้นจะมี ๒ ลักษณะคือ (๑) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และ (๒) สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพ/ ข้อเท็จจริง เราอาจตรวจสอบสิ่งที่ปรากฏขณะฝึกฝนอบรมจิตเพื่อการไม่หลงต่อสิ่งที่มีอยู่แต่ไม่จริงและ มีอยู่จริงแต่ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงส าหรับการฝึกฝนอบรมจิต ได้ใน ๓ แบบคือ (๑) การตรวจสอบด้วย ประสบการณ์ เช่น การเปิดตาเนื้อดูเพื่อจะตรวจสอบว่าภาพ เสียง การเคลื่อนไหวที่ปรากฏขณะ หลับตานั้นมีสถานการณ์จริงรองรับหรือไม่ การรอสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเพื่อจะตรวจสอบว่าการล่วงรู้ อนาคตสอดคล้องกับสถานการณ์นั้นจริงหรือไม่ เป็นต้น (๒) การตรวจสอบด้วยเหตุผล เป็นการใช้ แนวคิดแบบสามเส้า อย่างกรณี มองเห็นตัวเลขหวยและพบว่าหวยออกตรงตามที่เคยมองเห็น ถ้านัก ปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ ก. คือเส้าที่ ๑ ยืนยันว่าจริง สอดคล้องกับ อาจารย์ ข. คือเส้าที่สอง ยืนยันว่า จริง และสอดคล้องกับ อาจารย์ ค. คือเส้าที่สาม ยืนยันว่าจริง อาจได้ข้อสรุปว่า มีความเป็นไปได้ที่ อนาคตมีอยู่จริงแบบแน่นอน เหตุเพราะได้รับการยืนยันว่าจริงมากกว่า ๑ เส้า (๓) การตรวจสอบด้วย ญาณทัศนะ ความสามารถนี้เป็นเรื่องเฉพาะตน แต่ก็สามารถจะยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่ หากน าแนวคิด แบบ ๓ เส้ามาพิจารณาคือ ถ้าตรวจสอบด้วยประสบการณ์แล้วพบว่าจริง ตรวจสอบด้วยเหตุผลแล้วว่า มีความน่าจะเป็นว่าจริง และตรวจสอบด้วยญาณทัศนะแล้วพบว่า ตรงกัน จึงสรุปว่า มีความเป็นไปได้ ว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผ่านหลักความเชื่อ ๑๐ ประการ ที่พระพุทธเจ้า เสนอแนวทางต่อชาวกาลามะเพื่อแสดงท่าที่ต่อความรู้ที่ได้รับ จะพบว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าวางแนวไว้คือ การรู้ได้ด้วยตนเอง๒๔๙ จะคือประสบการณ์ทางจิตคือญาณทัศนะ แม้จะมีความเป็นอัตนัย แต่สิ่งที่น่า คิดคือ การตรวจสอบได้ว่า “สิ่งที่ปรากฏขณะฝึกอบรมจิตมีความจริง” มีประโยชน์เกื้อกูลต่อตนผู้ เข้าถึง ไม่ใช่ผู้อื่นที่เข้าไม่ถึง จึงต้องยอมรับถึงความเป็นอัตนัยโดยปริยาย
๙๑ ๕.๒ ความตระหนักรู้ในตน ถ้ารับรู้ได้ว่า ทุกข์คือปัญหาส าคัญของชีวิต สิ่งที่ควรจะท าคือการจัดการเพื่อไม่ให้ทุกข์เกิด และ/หรือทุกข์จบสิ้นไป มีข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาจิตที่พุทธศาสนาระบุว่า หนทางนี้หนทางเดียว เท่านั้นที่จะท าให้ทุกข์จบสิ้นได้ หนทางนั้นคือ การใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) ในการฝึกฝนอบรมจิต เคล็ดลับส าคัญของการฝึกฝนอบรมจิตตามหลักการใช้สติเป็นฐานคือ การระลึกรู้กายที่มีอยู่ตามจริงว่า “มีกายอยู่” การระลึกรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามจริงว่า “มีความรู้สึกอยู่ (เวทนา)” “...มีจิตอยู่” และ “...มีธรรมอยู่” และใช้ กาย ความรู้สึก จิต และธรรมไว้เพียงเพื่อการระลึกรู้เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นจะเป็น ผลพลอยได้คือ ความอิ่มเอิบ (ปีติ) ความเพลิดเพลิน เป็นต้น ผลสามัญ (โลกิยธรรม) คือการล่วงรู้ อนาคต การมองเห็นแบบทะลุทะลวง เป็นต้น เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย สิ่งเหล่ายังตกอยู่ในกฎความจริง ๓ ประการ (ไตรลักษณ์) คือ ไม่ยั่งยืน (อนิจจตา) (ทนอยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ (ทุกขตา) และไม่มีตัวตน (อนัตตตา) แต่ผลชั้นสูง (โลกุตรธรรม) คือ การตัดกิเลสและกองทุกข์ทั้ง ปวงออกไปได้ต่างหากคือผลปลายสุดที่ควรตรวจสอบและพัฒนาจิตไปให้ถึง ดังนั้น ในทางกลับกัน ถ้า ไม่ทุกข์ ก็ยากที่จะมองเห็นทุกข์ เมื่อมองไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่รู้จักทุกข์ เมื่อไม่รู้จักทุกข์ หนทางเพื่อการตัด กองทุกข์ทั้งหมดก็ไม่มีประโยชน์...จิตนี้มักตกไปสู่อารมณ์ที่ชอบ เพราะการปรุงแปร (สังขาร) ของจิตไม่ รู้จบ จึงยากจะรู้จักทุกข์ ส าหรับผู้รู้จักทุกข์และพยายามหาทางเพื่อจบสิ้นทุกข์ด้วยการฝึกฝนอบรมจิตตามแนวการใช้ สติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) มีข้อควรตระหนักต่อปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะฝึกอบรมจิตคือ มีสติ ตรวจสอบให้ดีต่อสิ่งที่ปรากฏ เพื่อจะได้ไม่หลงไปตามการปรุงแต่งของจิต เคล็ดลับที่ส าคัญคือ สิ่งที่ ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ๕.๓ ข้อเสนอเพื่อการพัฒนา ๕.๓.๑ การพัฒนาองค์ความรู้สู่ชั้นเรียนและสังคม สถานการณ์การเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่ปะทะต่อระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ส่วนหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อสภาวะทางจิตของบุคคล ข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตคนไทย ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุขระบุว่า ในจ านวนผู้รับการประเมิน ๔,๐๑๗,๒๕๓ คน พบว่า ร้อยละ ๖.๘๑ มี ความเครียดสูงระดับมากถึงมากที่สุด ร้อยละ ๘.๑๓ มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ร้อยละ ๔.๔๘ มี ความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย และร้อยละ ๔.๒๑ มีภาวะหมดไฟ๒๕๐ กรมสุขภาพจิต ยังระบุอีกว่า ผู้ป่วย โรคซึมเศร้ามีความพยายามจะฆ่าตัวตาย ๖ คน/ชั่วโมง๒๕๑ จาการส ารวจของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามโครงการส ารวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย พบว่า นิสิตนักศึกษามีความเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น และมีความคิดอยากฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ ๔ ๒๕๒