๑๓๘ การรู้อดีตชาติของบุคคล การล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า การได้ยิน เรื่องราวแม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น สูงสุดคือการทำไวรัสทางจิต (กิเลส/อาสวะ) ให้หมดสิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อาจพิจารณาผ่าน ข้อความนี้เพิ่มเติม เรามาบวช มาตัดภพตัดชาติ จนไม่มีชาติ การ ระลึกชาติหนหลังได้นั้น ไม่ใช่การระลึก แต่เป็นสิ่งที เกิดขึ้นเอง เห็นเอง ใครจะมีเจตนาไประลึกมัน มัน น้อมไปไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ มันเห็นจริง แต่เห็นแล้วเกิด ความเบื่อหน่าย...หลวงตาก็ระลึกได้ ๔๐-๕๐ ชาติ เพียงเสี้ยววินาที รู้เลยว่า คนนี้เคยเป็นอะไรมา แต่พูด ไม่ได้ เพราะพูดแล้วจะไปยึดติด มันอันตราย...บางที แม่เรายังเป็นเด็กอยู่เลย เห็นแล้วเราก็พูดไม่ได้ พ่อเรา นี้เยอะแยะเลย มาบวชอยู่กะเราก็มี อายุน้อยกว่าเรา ก็มี แต่เราพูดไม่ได้...เพราะมันจะเกิดการยึดขึ้นมาอีก ปฏิบัติถูกขนาดไหน ถ้าไปยึดมันก็ผิด เพราะธรรมะ จริง ๆ คือการปล่อย การทำลายความยึดติดหรือ อุปาทาน๒๑๒ ความสามารถในการทำให้จิตสงบ ผ่องใส อิ่มใจ และสงบนิ่ง ความสามารถดังกล่าวนี้อยู่ในหมวด “ฌาน” อันบุคคลผู้มีความเพียร พยายามในการรวมความสนใจไว้ ณ จุดใดจุดหนึ่ง/เพ่ง แล้วจะเกิดความ
๑๓๙ สงบ อิ่มใจ สดชื่น สงบนิ่ง และอยู่ในฐานะว่างจากเครื่องพันธนาการของ การติดยึด ภาวะแห่งสุขและสงบนิ่งนี้ เป็นขั้นพื้นฐานทั่วไปของเหล่านัก ฝึกฝนอบรมจิต การรู้จักทุกข์และความไม่ใช่ของแห่งตน ในเนื้อหาว่าด้วยเรื่อง ความจริงชั้นยอด/ความจริงอันประเสริฐ (อริยสัจ) โดยรวมจะเป็นการ กล่าวถึงทุกข์และความไม่มีแห่งทุกข์ หากมีคำถามว่า “พระพุทธเจ้ารู้ อะไร” คำตอบในกลุ่มผู้สนใจเนื้อหาแบบพุทธคือ “รู้อริยสัจ” ดังนั้น การมองเห็นทุกข์ในลักษณะต่างแบบจะเป็นแนวทางของการรู้จักทุกข์ใน แง่มุมของอริยสัจ เมื่อพิจารณาผ่านเนื้อหาว่าด้วยเรื่องลักษณะ ๓ แบบ (ไตรลักษณ์) อันกล่าวถึงร่างกายและจิตใจ/รูปนามที่มีลักษณะไม่เที่ยง เป็นทุกข์และไม่ใช่ตัวตนของเรา๒๑๓ จะพบว่า การฝึกฝนอบรมจิตของ เหล่านักปฏิบัติสามารถเข้าถึงการรู้จักทุกข์และความไม่ใช่ของแห่งตนได้ อาจพิจารณาผ่านข้อความนี้ “...จิตจะเรียนรู้สภาพทุกข์ อาการของทุกข์ เหตุของทุกข์ จนแจ่มแจ้งในทุกข์ทุกแง่มุม โดยอาศัย สติ สติที่ตั้งมั่นละเอียดลออ เราจะเห็นกรรมทุกอย่าง แค่ความคิดนิดเดียว ใจจะสั่นสะท้าน รักเขา ก็จะตาย เกลียดก็จะตาย เจตนาจะหยั่งลงในอะไรไม่ได้เลย แต่ ตรงนี้คือการเรียนรู้...จะเป็นการเรียนรู้ออกจากการมี
๑๔๐ การเป็น และการทิ้ง ไม่ใช่เรา จะเป็นสภาพให้เราเห็น จริง...๒๑๔ ความดับกิเลส เป็นคุณลักษณะชั้นสูง หลังการฝึกฝนอบรมมา อย่างเข้มข้น ไม่มีสิ่งใดจะทำให้ความกำหนัดยินดี (ราคะ) ความคิด ประทุษร้าย (โทสะ) และความหลง (โมหะ) กระเพื่อมขึ้นได้อีก เรียกอีก อย่างหนึ่งว่า ความสงบเย็น (นิพพาน) คือ ความสงบจากกิเลสอย่าง มั่นคง จะพบว่า มีนักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์สามารถเข้าถึงภาวะดังกล่าว นี้ได้ แต่ภาวะดังกล่าวนี้จะรู้ได้เฉพาะคนที่มีภาวะเดียวกันและการ พิจารณาผ่านการแสดงออกแล้วนำเอาประสบการณ์อื่นที่ระบุถึงความ สงบเย็นมาเทียบเคียง ๓.๕.๒ ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ ในขณะฝึกฝนอบรมจิต ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะ ฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่ เกิดขึ้นตามสภาพ (สภาวธรรม) ทั้งที่เกิดขึ้นกับจิตและร่างกาย (๒) ความ มีอยู่ของผลที่เกิดขึ้นหลังการฝึกฝนอบรมจิต ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ (สภาวธรรม) แบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือ ความมีอยู่จริง เช่น การล่วงรู้สถานการณ์ที่ เกิดขึ้นจริงในอนาคต การมองเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นแต่มีสิ่งนั้นจริง โดยมาก ภาพที่ปรากฏผ่านการรับรู้อย่างมีสติจะเป็นภาพฉายเหมือนตานอก
๑๔๑ มองเห็น และ ความมีอยู่แต่ไม่จริง เช่น การมองเห็นร่างกายเน่าเปื่อย แล้วตายแต่ร่างกายจริงไม่ได้ตาย การมองเห็นเทวดา นางฟ้า แต่เทวดา นางฟ้าที่เห็นนั้นไม่มีจริง เป็นต้น แม้จะเป็นภาพฉายปรากฏให้รับรู้ เหมือนเกิดขึ้นจริง แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกายสัมผัส อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ความมีอยู่ของปรากฏการณ์ที่ เกิดขึ้นตามสภาพ (สภาวธรรม) ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน การ เกิดขึ้นของสิ่งนี้ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกฝนอบรมจิตต่อไป อีก ส่วนหนึ่งเพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของสิ่งทีเกิดขึ้นบนฐาน “เกิด-ดับ” ตามธรรมชาติโดยเราไม่สามารถบังคับได้ เบื้องหลังปรากฏการณ์คือการ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ความมีอยู่ของผลที่เกิดขึ้นหลังการฝึกฝนอบรมจิต จำแนกเป็น ๓ แบบคือ (๑) ลักษณะทางจิต จิตมีความสงบ วางความทุกข์ลงได้ เฉย ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การใช้กำลังทางจิตเพื่อประโยชน์บางประการ (๒) ร่างกายมีความผ่อนคลาย สำรอกโรคบางชนิด/โรคบางชนิดหยุดการ เจริญเติบโต ใบหน้าผ่องใส (๓) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับรู้ต่อสิ่งที่ถูกรู้มี ลักษณะเป็นความงาม คล่องตัว โชคดี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จะพบว่า ความมีอยู่ของผลที่เกิดขึ้นหลังการฝึกฝนอบรมจิตจะค่อยๆหายหรือ คลายไปเมื่อการฝึกฝนอบรมจิตไม่ได้ถูกสานต่อ
๑๔๒ บทที่ ๔ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต มีข้อสังเกตว่า ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรม จิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่งนั้นมีอยู่และจริง (๒) สิ่งนั้นมีอยู่แต่ไม่ จริง ปัญหาของสิ่งที่ปรากฏขณะฝึกฝนอบรมจิตและหลังฝึกฝนอบรมจิต คือ จะตรวจสอบความมีอยู่จริงเพื่อคัดกรองออกจากความมีอยู่แต่ไม่จริง ได้อย่างไร เนื้อหาส่วนนี้จะเริ่มต้นด้วยการพิจารณาความมีอยู่ของสิ่งที่ ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต และตามด้วยแนวทางในการตรวจสอบ ความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต อันจะเป็น ประโยชน์ต่อข้อกังขาเรื่องความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝน อบรมจิตและการไม่หลงกับสิ่งที่มีอยู่แต่ไม่จริงและมีอยู่จริงแต่ไม่ใช่ เป้าหมายที่แท้จริงสำหรับการฝึกฝนอบรมจิตต่อไป ๔.๑ ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต ตอนท้ายของบทที่ผ่านมา มีข้อสังเกตถึงความมีอยู่ของ ประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ในขณะฝึกฝนอบรมจิต ๒ ลักษณะ คือ (๑) มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับผู้ฝึกฝนอบรมจิตทั้งด้านร่างกายและจิตใจ สิ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นภาวะไม่ปกติ เช่น ความรู้สึกว่าร่างกายพอง/หนาขึ้น ความรู้สึกว่าไม่มีตัวตนในโลกอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างจากโลกภายนอก
๑๔๓ เป็นต้น (๒) มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้ฝึกฝนอบรมจิตหลังจบ คอร์ส/เสร็จสิ้นหลักสูตรระยะนั้น ๆ และบางอย่างดังกล่าวนี้มีผลใน ทางบวก เช่น เคยโกรธใครแบบง่ายๆ จบคอร์สแล้ว ก็ไม่โกรธง่าย เคย เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น มีความคิดต่อเรื่องต่าง ๆ น้อยลง มีความรู้สึกนิ่งเฉยต่อสิ่งที่สัมผัส เป็นต้น กลุ่มผู้ฝึกฝนอบรมจิต จะมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้นคือผลของการฝึกฝนอบรมจิต อย่างไรก็ตาม บางสิ่งที่เกิดขึ้นต่อผู้ฝึกฝนอบรมจิตโดยเฉพาะ ในขณะฝึกฝนอบรมจิต จำนวนหนึ่งแม้เราจะพบว่าจริง เหตุเพราะ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและ/หรือภาพเสียงปรากฏต่อตนเอง อย่างชัดเจนเหมือนการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยตาเนื้อ แต่ไม่ได้ หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏให้รับรู้นั้นจะมีสถานการณ์จริงรองรับเสมอไป ผู้ฝึกฝนอบรมจิตจำนวนหนึ่งที่เข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดนั้นจริง อาจจะกลายเป็นผู้หลงต่อความไม่จริง จึงไม่สามารถพัฒนาคุณภาพจิต ให้ขยับสูงขึ้น ดังนั้น จึงมีข้อสังเกตว่า ความมีอยู่ของสิ่งที่ปรากฏจากการ ฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่งนั้นมีอยู่และจริง (๒) สิ่งนั้นมี อยู่แต่อาจไม่จริง และสิ่งที่มีอยู่จะจริงหรือไม่จริงนั้นจะมี ๒ ลักษณะคือ (๑) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และ (๒) สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพ/ ข้อเท็จจริง
๑๔๔ ๔.๑.๑ สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและเป็นสิ่งมีอยู่แต่อาจไม่จริง คำว่า “มโนภาพ” แปลตามศัพท์ว่า “ภาพทางใจ” คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่กระทบทางประสาทสัมผัส ความจำเดิม (สัญญา) และการแต่งเติมความคิด (สังขาร) สู่ความน่าจะเป็นของสิ่งที่ รับรู้ทางกายภาพ กลายเป็นภาพที่ถูกความคิดสร้างขึ้นภายในใจ ครูบา ฉ่าย เล่าว่า “เมื่อก่อน ขณะที่นั่งภาวนาอยู่ในป่า/ถ้ำลมผาคนเดียว ประมาณทุ่มหนึ่ง ได้ยินเสียง “ฮือ ๆ ๆ” เกิดความคิดว่า เราอยู่ในป่า ไม่ มีใครเลยนอกจากตัวเรา ดังนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากผี และเสียงที่ ได้ยินก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ความคิดว่า ต้องเป็นผีแน่ ๆ และเป็นผี ผู้หญิงแก่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่เมื่อรวบรวมความกล้าเปิดตาขึ้นก็ไม่เห็นสิ่งที่ คิดเอาไว้ แต่สิ่งที่ตามมาคือเสียงนั้นเงียบไปพร้อมกับที่ลืมตา ความคิด ปรุงแต่งขึ้นอีกว่า ผีหายตัวไป จนพบว่า แท้จริงแล้วเป็นเสียงนก...” ๒๑๕ ครูบาฉ่ายเรียกสิ่งนี้ว่า “การปรุงแต่งสิ่งที่ได้ยิน” โดยมโนภาพจะมาใน รูปแบบภาพเคลื่อนไหว ภาพ เรื่องราวต่าง ๆ เป็นต้น พระราชสังวร ญาณ (พุธ ฐานิโย) แสดงความเห็นว่า เจตคติและความคิดเกิดพร้อมกัน ในขณะจิตเดียว สัมพันธ์กันแบบใกล้ชิด เรื่องที่จะคิดมีอย่างหลากหลาย ทั้งเรื่องบุญ บาป กุศล อกุศล อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น...ความคิด เป็นเรื่องที่จิตสร้างปรุงแต่งขึ้นมา...”๒๑๖ “...เมื่อจิตออกไปตามแสงสว่าง จะเกิดภาพนิมิต อาจเห็นภาพคน สัตว์ ภูตผีปีศาจ...เมื่อสมาธิถอนภาพ นิมิตก็จะหายไป...แท้จริงภาพนิมิตที่มองเห็นนั้นเป็นจิตปรุงแต่งขึ้นมา เอง การปรุงแต่งนี้เกิดจากความอยากเห็น...กรณีสมาธิไม่ถอน เห็น
๑๔๕ เทวดา เห็นความสวยงามของเทวดา ตามเทวดาไปบนสวรรค์ เมื่อนึกถึง สวรรค์ก็จะเป็นการได้เที่ยวสวรรค์ หากนึกถึงนรกก็จะได้ไปเที่ยวนรก... ๒๑๗ อย่างไรก็ตาม พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ได้สรุปในตอนท้าย จากการทดลองด้วยตนเองว่า “...นิมิตภาพต่าง ๆ นั้นอย่าสำคัญมั่น หมายว่าจริง เป็นแต่เพียงนิมิตหลอกลวงเท่านั้น...ขอยืนยันว่าภาพนิมิต ต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ใช่ของจริง เป็นมโนภาพที่เราสร้างขึ้นเอง... ” ๒๑๘ พิจารณาผ่านเรื่องเล่าต่อไปนี้ อาจารย์ทอง อโสโก...ท่านนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ เล็ก ๆ ในสำนักของอาจารย์มั่น เข้าไปปิดประตูลง กลอนอย่างดี เมื่อภาวนาแล้วจิตสงบนิ่ง มีหญิงสาวคน หนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พูดให้ฟัง “หลวงพี่ จะมาทนทุกข์ ทรมานทำไม สึกไปอยู่ด้วยกันจะได้มีความสุข” ขณะที่ท่านยังมีสติอยู่ จึงกำหนดรู้จิตไปเรื่อย แต่เสียง นั้นก็คอยรบกวนอยู่ตลอด สุดท้าย หญิงสาวในนิมิตก็ บอกว่า “เมื่อมาคุยด้วยก็ไม่คุยด้วย ไม่พูดก็อย่าพูด” จึงลุกขึ้นเดินออกไป อาจารย์ทองมองเห็นผู้หญิงเดิน ออกไปทางประตู จนลับตา จากนั้น สมาธิก็แตกเกิด ความคิดว่า “พูดกับเขาซะก็ดีนะ” จากนั้นจึงลุกขึ้น จากที่นั่งสมาธิ ถอดกลอนประตูออกไป วิ่งวนหารอบ กุฏิ อาจารย์มั่นเห็นอย่างนั้นจึงกล่าวทักขึ้นว่า “ทอง เอ้ย วัวหาย เห็นแล้วหรือยัง” ท่านจึงได้สติขึ้นมา๒๑๙
๑๔๖ ข้อมูลที่อ้างถึงนี้ บ่งชี้ว่า มีสิ่งที่ปรากฏเสมือนจริงทางจิต สิ่งที่ ปรากฏนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ในแบบมโนภาพแต่ไม่ใช่ความจริง หากแต่เป็น เรื่องราวที่จิตปรุงแปรแต่งเติมขึ้นมา ๔.๑.๒ สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และเป็นสิ่งมีอยู่จริง สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หมายถึง มี สถานการณ์/เหตุการณ์รองรับ เรื่องราวที่เกิดภายในใจ แบ่งออกเป็น ๒ แบบคือ (๑) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและมีเหตุการณ์จริงรองรับแต่อาจ คลาดเคลื่อนบ้าง (๒) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพและมีเหตุการณ์จริง รองรับแบบไม่คลาดเคลื่อน อาจพิจารณาผ่านเรื่องเล่าต่อไปนี้ เมื่อได้โอกาส เราก็เลยแย้งท่านว่า “อาจารย์ยัง ไม่ถึงมรรคผลนิพพานหรอก ...อาจารย์ยังมีกรรมเยอะ ไปไม่ได้หรอก โดยเฉพาะมีกรรมกับเด็กผู้หญิง ๕ คน เป็นอย่างน้อย” เมื่อหลวงตาพูดจบ ท่านก็เลยโพล่ง ออกมาเลย ทั้งที่หลวงตาไม่เคยรู้เรื่องนี้นะ แต่หลวง ตาพูดไป ท่านก็เล่าออกมาเลยว่า “ท่านมีเด็กผู้หญิง อยู่ทีกุฏิห้าคนทั้ง ป.๖ ม.๑ และ ม.๒ ...ท่านกอดเด็ก พวกนี้เพื่อทดสอบว่ามีอารมณ์กามหรือไม่” ถามว่ารู้ ได้อย่างไรว่ามีเด็กผู้หญิงโดนพรากผู้เยาว์ ๕-๖ คน สิ่ง ที่หลวงตาเห็นคือ หลวงตาเห็นท่านนั่งฉัน (กิน) เนื้อ มนุษย์ในความฝัน หลวงตาไม่ใช้คำว่านิมิตดีกว่า จึง
๑๔๗ คิดว่า “พระอะไรกินเนื้อมนุษย์ ไม่ใช่พระแล้ว” การที่ พูดว่า ท่านมีกรรมกับเด็กผู้หญิง ๕ คน เป็นการพูด ออกมาเอง มันก็ตรง แกก็รับตามนั้น...ถ้าท่านไม่ ยอมรับ หลวงตานี่พังเลยนะ...”๒๒๐ “หลวงตาสินทรัพย์ไปนอนคุยด้วยที่ทุ่งแสง ธรรม บอกว่าต่อไปจะมีคนมาอยู่กับผมเยอะ พระจะ เยอะ และผมเกี่ยวข้องกับคนเยอะ ทั้งโยม ทั้งพระ ทั้ง แม่ชีจะเยอะ ท่านพูดว่า ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เห็นทุกอย่าง เห็นแม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่สามารถมองได้ด้วยตาหยาบ ท่านยังบอกอีกว่า ก่อนนอนจะเห็นเทวดาสลอนรอบ ขอบเตียง...ไอ้เราไม่เห็นก็ไม่เชื่อ ได้แต่แย้งว่า มันจะ ใช่เหรอ..เกี่ยวกับกุฏิเยอะ หลวงตา (หน่อย) ยังเคย ค้านเลยว่า จะทำกุฏิเยอะๆไปทำไม เดี๋ยวไฟก็ไหม้ หมด จะทำให้ปลวกกินหรือไง พระก็มีไม่กี่รูป ๔-๕ องค์ เทียวเข้าเทียวออก...แต่รู้ว่าท่าน (หลวงตา สินทรัพย์) กำลังเยอะ ครูบาอาจารย์ก็พูดถึงเรื่องนี้ และรู้ว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นธรรม ที่ไม่เชื่อคือไม่เชื่อ สิ่งที่เรามองไม่เห็น นอกจากนั้น อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่ แน่นอน เราก็ไม่อยากเชื่อ...ต่อมาประมาณ ๓ ปีที่อยู่ บ่อน้ำพระอินทร์ ปีแรกที่ท่านขึ้นไปอยู่บ่อน้ำพระ อินทร์มีพระสิบกว่ารูป ต่อมาพระเยอะขึ้น โยมเยอะ
๑๔๘ ขึ้น แล้วก็เป็นจริง ท่าน (หลวงตาสินทรัพย์) ยังถาม อีกว่า “เชื่อหรือยัง” จึงตอบท่านว่า “เบิดคำสิเว่า”... เดิมทีหลวงตาสินทรัพย์ ตัวดำเมี่ยมเลย ผอมดำ แต่ ท่าน (หลวงตาสินทรัพย์) บอกว่า ผมจะตัวอ้วนๆ ขาว เนียน เราได้แต่คิดว่า จะเป็นไปได้ไหม ตัวนี้ดำยังกะ ....จริง ๆ คือรู้แหละว่าท่านมีธรรมแน่ ๆ บรรลุอย่างไร ก็ไม่รู้แหละ ... แต่ที่ผ่านมาสิ่งที่ท่านเป็นคือการที่ท่าน พูดตรงไปตรางมา และพูดแล้วจริงตามนั้น เราเชื่อ ตรงนี้อยู่คือ หลวงตาสินนั้นมีของจริง แต่ท่านเวลา มองคนจะไม่ดูหน้าแต่จะดูข้างใน และพยากรณ์ ออกมา และพูดถูกต้อง...๒๒๑ จากข้อความที่ยกมานี้ทำให้มองเห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และมีความเป็นจริง/เรื่องราว/สถานการณ์จริงรองรับ บางเรื่องปรากฏ ขึ้นโดยไม่ได้อยากที่จะรู้เช่น การล่วงรู้ถึงการยังไม่ถึงคุณธรรมชั้นสูง การ ล่วงรู้ถึงความลับที่คนหนึ่งกระทำต่อคนหนึ่ง อย่างกรรมร่วมกันกับ เด็กผู้หญิง ๕ คน การล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าอย่างการมีพระและ ชาวบ้านมาอาศัยอยู่จำนวนมาก ลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากที่ เป็นอยู่ เป็นต้น
๑๔๙ ๔.๑.๓ สิ่งที่ปรากฏในแง่ข้อเท็จจริง/กายภาพ อาจเป็นสิ่งมีอยู่ จริง สิ่งที่ปรากฏในแง่ข้อเท็จจริง/กายภาพ และอาจเป็นสิ่งที่มีอยู่ จริง คือการที่มีบางสิ่งมากระทบกับประสาทสัมผัสทางกาย เช่น ได้ยิน เสียง ได้มองเห็น เป็นต้น และสิ่งนั้นอาจมีอยู่จริงหรือไม่จริงก็ได้ หากแต่ สัมผัสได้ที่ไม่ใช่มโนภาพ การที่บุคคลมองเห็นว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง จะบอก ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นไม่จริงทั้งที่ตามองเห็นอยู่ แต่จะยืนยันว่าสิ่งนั้นจริงก็ ไม่ได้ เพราะเป็นไปได้ที่สิ่งนั้นไม่จริงและเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ตามองเห็นไม่ใช่ สิ่งเดียวกันกับสิ่งที่เข้าใจ สิ่งที่พอจะบอกได้คือ มีสิ่งที่ปรากฏทาง กายภาพในแบบนั้น ๆ อยู่ อย่างสิ่งที่ปรากฏต่อผู้รับรู้คือ นรก สวรรค์ เทวดา เป็นต้น ขอให้พิจารณาผ่านข้อความต่อไปนี้ เมื่อปี ๒๕๔๔ หลวงตาเคยเหาะได้ แต่เป็นการ เหาะอีกร่างหนึ่ง ไปดูสวรรค์ ๒ ชั้น ชั้นแรกมีแต่เสพ กาม ชั้นที่สองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ร่างหนึ่ง ไปได้ทุกที ร่างกายเนื้ออยู่กับที่แต่รู้ทั้งหมดที่ร่างเหาะ นั้นรู้...หลวงตาเคยโดนเทวดากลั่นแกล้ง ขณะที่นั่งสูบ บุหรี่ที่หน้าผาในเวลากลางวัน เขาเหาะมาบีบคอ เขา ไม่พูดอะไรเลย เมื่อเราบอกว่า “ถ้ากูตายมึงบาปนะ” เขาก็เลยเหาะหนีหายไป เราจึงนั่งร้องไห้ ร้องไห้ เพราะเชื่อเรื่องบุญบาป...เป็นการเห็นด้วยตาเนื้อ แต่
๑๕๐ เล่าให้ฟังมากไม่ได้เพราะเกรงว่าจะเป็นสัญญาสำหรับ ผู้กำลังฝึกอยู่ ... เคยเจอเหล่าเทพภูมิเป็นปะขาว ออกมาจากซอกหินด้วย๒๒๒ บางครั้งมาถึง ๕ ตัว จับ หลวงตาขึงพืด ๔ ตัวจับแขนขา อีกตัวบีบไข่เรา... แกล้งหยอกล้อเราสารพัด แต่เราไม่สนใจหรอก...๒๒๓ ข้อสังเกตร่างกายคนกับร่างกายผีนั้นต่างกัน แต่รูปทรงนั้นเหมือนกัน ความหนา/บางคนละอย่าง ร่างกายคนเป็นร่างทึบ บังดวงไฟจะไม่เห็นดวงไฟ ถ้า ร่างกายผีบังดวงไฟจะมองทะลุเห็นดวงไฟ...อาตมเคย เห็นมาแล้วจึงนำมาเล่าสู่กันฟัง๒๒๔ เมื่อปี ๒๕๐๑ มี คนศรัทธามอบที่ดินให้ ที่ดินนั้นเป็นที่มีผีสิง จึงนำพระ เณรไปอยู่ได้ ๓ วันก็มีผีมาตบหน้า หลังจากนั่งสมาธิ ภาวนาจะจำวัตร กำลังเคลิ้ม มองเห็นกลุ่มควันวิ่งมา จากทิศตะวันตกแล้วมาสัมผัสใบหน้าเหมือนฝ่ามือตบ แต่สงสัยว่าฝันหรือเปล่า ถ้าฝันทำไมจึงเจ็บ เพื่อพิสูจน์ จึงตัดสินใจไม่จำวัตรด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ได้ ยินเสียงตกตูมๆ แต่ไปดูแล้วไม่พบอะไร จนถึงตีสาม ไปนั่งสมาธิมองเห็นแสงขนาดตะเกียงเจ้าพายุ สอง แสงวิ่งวนไล่กันอยู่...แสงแสงวิ่งมาหาอาตมา จึงนึกว่า ถ้าแน่จริงก็มาชนฉันให้ตาย ให้ฉันสำเร็จพระนิพพาน เมื่อแสงนั้นมาใกล้ประมาณ ๕ วาก็ตกลงกับพื้น...”๒๒๕
๑๕๑ จากข้อความที่นำมานั้น เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสของเหล่านักฝึกฝนอบรมจิตที่มักบอกเล่ากัน การจะบอกว่าสิ่งที่สัมผัสได้ไม่มีจริง ก็ยากที่ปฏิเสธเพราะผู้สัมผัสได้ ได้ สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสของตนที่ไม่ใช่มโนภาพ แต่การจะบอกว่าสิ่งที่ สัมผัสได้นั้นมีจริง ก็ยากที่จะพูดได้แบบทั่วไป เพราะถ้ามีจริง คนทั่วไปก็ ต้องสัมผัสได้ด้วย จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงสำหรับคนที่สัมผัสได้ และจะยังไม่ จริงต่อบุคคลที่สัมผัสไม่ได้ ๔.๑.๔ สิ่งที่ปรากฏในแง่ข้อเท็จจริง/ทางกายภาพและเป็นสิ่งที่ มีอยู่จริง สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง จะหมายถึง มี บางสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้ทางประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏ นั้นมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งรองรับสิ่งที่ปรากฎ นั้น อย่างที่หลวงตาสินทรัพย์เล่าว่า “นั่งลืมตาเพ่งมองไปที่ผนังหิน มี ตัวเลขไหลที่ผนังถ้ำ จึงจำไว้ เมื่อใกล้วันหวยออก จึงลงจากถ้ำไปคุยกับ เพื่อนพระเสียงดังให้โยมได้ยิน แม่ชีที่ได้ยินจึงไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง ปรากฏว่า หวยออกตรงทั้งบนล่าง...มีครั้งหนึ่งคุณ....สองผัวเมีย มานอน วัด เราบอกไปว่า ๑๔ ข้างล่าง เขาไปแทง ๘ หมื่นบาทเจ้าหนึ่ง วันที่ ๑๖ ตอนบ่ายมีรถตู้มา ๓ คัน เขาซื้อของมาถวาย...๒๒๖ ขณะที่ พระราชสังวร ญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าให้ฟังถึง กรณี พระรูปหนึ่งเจ็บท้องไม่หาย อาจารย์จันท์ เขมปัตโต เรียกมาพบและตรวจสอบด้วยการเพ่งไปที่ท้อง
๑๕๒ และบอกว่า “มีเบ็ดอยู่ในท้อง ติดอยู่ที่ผนังกะเพาะ” เมื่อพระรูปนี้ไป ผ่าตัดพบว่า มีเบ็ดอยู่ในกะเพาะจริง ๒๒๗ จากข้อความที่ยกมานี้จัดเป็น สัดส่วนได้ดังนี้ สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพ สถานการณ์รองรับสิ่งที่มีอยู่จริง มองเห็นเลข (หวย) เลขออกตรงในวันหวยออก ปวดท้อง ผ่าตัดพบเบ็ดอยู่ในกะเพาะ จะพบว่า สิ่งที่ปรากฏทางกายภาพและเป็นสิ่งที่มีอยู่หรือมี เหตุการณ์รองรับข้อเท็จจริงนั้น จะมีลักษณะการล่วงรู้อนาคตที่อาจ เกิดขึ้นจริง และเมื่อถึงวาระดังกล่าว จะมีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงอัน เป็นสิ่งพิสูจน์คำพยากรณ์ จากกรณีดังกล่าวนี้คือการยืนยันถึง“อนาคตมี อยู่” หมายถึง มีสถานการณ์รองรับข้อเท็จจริงที่สามารถล่วงรู้ก่อนได้ ๔.๒ การตรวจสอบความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝน อบรมจิต การตรวจสอบความมีอยู่ในปรัชญาศาสนา โดยทั่วไปจะใช้ใน ๒ แบบคือ (๑) การใช้เหตุผลสนับสนุนหรือหักล้างความมีอยู่ ทัศนะนี้ เรียกว่า “เหตุผลนิยม (Rationalism)” และ (๒) การใช้ประสบการณ์ เพื่อตรวจสอบความมีอยู่ ทัศนะนี้เรียกว่า “ประสบการณ์นิยม (Empiricism)
๑๕๓ ทัศนะแบบเหตุผลนิยมจะใช้การอนุมานแบบนีรนัย (Deduction) เป็นสำคัญ ทัศนะนี้เห็นว่า ความรู้เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อน ประสบการณ์และ/หรือความรู้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนทัศนะ แบบประสบการณ์นิยม จะให้ความสำคัญกับการอนุมานแบบอุปนัย (Induction) ทัศนะนี้เห็นว่า ความรู้ทั้งหมดมีที่มาจากประสบการณ์ โดย ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งที่น่าสังเกตสำหรับความรู้ ๒ แบบคือ ทัศนะแบบเหตุผลนิยม ยอมรับความมีอยู่ของความรู้ ในแบบที่จะมีมนุษย์อยู่หรือไม่ก็ตาม ความรู้เป็นสิ่งที่มีอยู่ และเป็นไปได้ที่จะมีอยู่ก่อนมีมนุษย์ ส่วนทัศนะ แบบประสบการณ์นิยม จะไม่ยอมรับว่าเป็นความรู้ถ้ายังไม่สามารถทำให้ มนุษย์รู้ นั่นแสดงว่า ทัศนะแบบเหตุผลนิยม ยอมรับความรู้ภายนอก ประสบการณ์ ขณะที่ทัศนะแบบประสบการณ์นิยมจะยอมรับว่าสิ่งใด เป็นความรู้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นสัมพันธ์กับมนุษย์ ไม่ใช่แยกอยู่ต่างหาก กรณี ยอมรับทั้งสองทัศนะ จะเท่ากับการยอมรับว่า ความรู้มีสองแบบคือ ความรู้ที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ที่มนุษย์จะเข้าถึง และความรู้ที่ผ่าน การทดสอบจากประสบการณ์ของมนุษย์แล้ว ดูเหมือนว่า ความรู้ที่เกิดจากการฝึกฝนอบรมจิต จะมีในบุคคล ก็ต่อเมื่อบุคคลได้ฝึกปฏิบัติผ่านประสบการณ์ที่มากกว่าประสาทสัมผัส ทั้ง ๕ ถ้าสิ่งที่มีอยู่จริงคือสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิตอันเป็นมิติของความรู้สึกจะไม่ใช่สิ่งที่ มีอยู่จริง จากข้อมูลที่ผ่านมาจะพบว่า มีสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรม
๑๕๔ จิตและสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่สิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงเมื่อพิสูจน์ด้วย ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ถ้าระบุว่า สิ่งที่พิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ไม่ได้ จะไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง ดังนั้น ความสงบเย็นและ/หรือหมดกิเลสจะ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง เพราะเป็นมิติของจิตกับการรับรู้/สติและความรู้สึกตัว (สติสัมปชัญญะ) ถ้าความสงบเย็นไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง แสดงว่า เป้าหมาย สูงสุดของการฝึกฝนอบรมจิตไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง การปฏิบัติเพื่อฝึกฝน อบรมจิตสู่ความสงบเย็นจึงเป็นการสูญเปล่า ข้อสังเกตนี้เรียกร้องอีก ทัศนะหนึ่งเพื่อการพิสูจน์ความมีอยู่จริง คือ “ญาณทัศนะ” ในงานทาง ปรัชญาอาจเรียกว่า “อัชฌัติกญาณ (Intuitionism)” ที่มีลักษณะค่อน ไปทางอัตวิสัย (Subjective) และมีลักษณะแบบภววิสัย (Objective) อยู่ด้วย อันหมายถึง ลักษณะบางอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการให้ เป็น หากแต่มีความเป็นอย่างที่เป็นตามเหตุปัจจัยสัมพันธ์ที่อิสระจาก เจตจำนงค์ แต่รับรู้ได้ด้วยตน/จิต ทั้งนี้เพื่อจะชี้ว่า มีสิ่งที่มีอยู่จริงและอยู่ นอกวงของประสาทสัมผัสทั้ง ๕ และเป็นประสบการณ์ที่ตรวจสอบได้ ด้วยคุณสมบัติทางจิต ๔.๒.๑ การตรวจสอบด้วยประสบการณ์ ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญของวิถีผู้ฝึกฝนอบรมจิต เหมือนกับ การได้ชิมรสแกงที่ลิ้นรับรู้รสชาติเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ได้ชัดเจนกว่า การฟังตามเขาว่า วัฒนธรรมของผู้ฝึกฝนอบรมจิตจึงมุ่งเน้นการปฏิบัติ เพื่อรับรู้ประสบการณ์จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อย่างกรณีความเชื่อเรื่องผี
๑๕๕ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สำหรับผู้ที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยเห็นผี แล้วไม่เชื่อว่าผีมีจริง ส่วนผู้ที่เคยเห็นผี แล้วเชื่อว่าผีมีจริงก็เป็นสิ่งถูกต้องแล้ว โดยท่าน (พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เชื่อว่าผีมีจริง เพราะเคยโดนผีตบหน้ามาแล้ว๒๒๘ ความเชื่อ ดังกล่าวนี้ผ่านการตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัส ๒ อย่างคือ การเห็น ด้วยตาเนื้อ และใบหน้าที่รับสัมผัส สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิตในขณะ หลับตา แม้จะปรากฏเรื่องราว ตัวตน บุคคล เสียง สี แสง เฉก เช่นเดียวกับโลกที่ตาเนื้อมองเห็น ผู้ฝึกฝนอบรมจิตอาจกำหนดในใจว่า “ไม่จริง” และ “ต้องตรวจสอบ” เป็นเบื้องต้น เพราะสิ่งที่ปรากฎอาจ เป็นนิมิตในแง่มโนภาพที่เกิดขึ้นจากการทำงานของจิต แต่ไม่มี สถานการณ์จริงรองรับก็ได้ จากการศึกษา เราจะพบมโนภาพใน ๒ แบบ คือ (๑) มโนภาพที่มีสถานการณ์จริงรองรับ (๒) มโนภาพที่ไม่มี สถานการณ์จริงรองรับ ทั้ง ๒ แบบชี้ชวนให้พิสูจน์ด้วยประสบการณ์ จากที่กล่าวมาจะพบประสบการณ์ใน ๒ แบบคือ (๑) ประสบการณ์ภายนอกที่อาศัยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย และ (๒) ประสบการณ์ภายใน เป็นเรื่องของการรับรู้ทางจิต ทั้ง ๒ แบบ มีท่าทีที่จะจริงหรือไม่จริงได้เหมือนกัน อย่างกรณีประสาท หลอน มีความสามารถในการดึงดาวบนท้องฟ้ามาอยู่ฝ่ามือได้๒๒๙ ทั้งที่ มองเห็นสิ่งนั้นจริง แต่ไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง
๑๕๖ การตรวจสอบความจริงของเรื่องราวที่เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้น ภายใน ในขณะฝึกฝนอบรมจิต จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ภายนอก ทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แม้ว่าประสาทสัมผัสทั้ง ๕ อาจรับรู้สิ่งที่ไม่จริง ได้ก็ตาม แต่เครื่องมือดังกล่าวน่าเชื่อถือได้มากกว่าการคิดแบบทึกทัก หรือเชื่อสิ่งที่ปรากฏในขณะฝึกฝนอบรมจิตโดยไม่ได้ตรวจสอบใดเลย อย่างกรณีการปรากฏขึ้นของร่างภายที่เปลี่ยนสภาพไปสู่การตายและ สลายตัว๒๓๐ การเห็นผู้หญิงมาชวนให้สึก๒๓๑ ช่วงหลับตาในขณะฝึกฝน อบรมจิต แต่เมื่อเราตรวจสอบด้วยการลืมตาขึ้น จะพบว่า ร่างกายไม่ได้ ตายจริงอย่างที่ปรากฏในขณะหลับตา และไม่มีผู้หญิงที่มาชวนให้สึกจริง พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิตในขณะหลับตา เกิดขึ้นจากความต้องการ ของผู้ฝึกฝนอบรมจิตและเป็นการทำงานของจิตแต่ไม่ใช่ความจริง ๒๓๒ สอดคล้องกับที่หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม กล่าวว่า “...จิตสร้างมโน ภาพมาหลอกหลอนตัวเอง เรียกว่า “นิมิต” มีทั้งเสียง ภาพ การรู้การ เห็น...เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบต้องระวัง...จิตมันจะสร้างความสงสัย สร้างผี ขึ้นมาหลอก สร้างโน้นสร้างนี้เข้ามาหลอก ปรุงแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้น มา...”๒๓๓ อย่างไรก็ตาม จำนวนหนึ่งของสิ่งที่ปรากฎทางประสาทสัมผัส ในช่วงระยะเวลาของการฝึกฝนอบรมจิตก็ไม่ใช่ความจริง ทั้งที่มองเห็น ว่าจริง ได้ยินเสียงชัดเจนว่าจริง แต่สิ่งนั้นไม่จริง ประสบการณ์ที่สำคัญ คือประสบการณ์จากของคนอื่นที่ผ่านประสบการณ์มาก่อน (ปรโตโฆ สะ)๒๓๔ แล้วตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยประสาทสัมผัส
๑๕๗ ๔.๒.๒ การตรวจสอบด้วยเหตุผล ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นขณะฝึกฝนอบรมจิต ทั้งภาพ เสียง การรู้ เห็นจะเกิดขึ้นกับบางคนที่จิตเข้าสู่ความสงบในระดับหนึ่งเท่านั้น บางคน ไม่พบปรากฏการณ์ดังกล่าว จึงไม่เชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นในขณะฝึกฝน อบรมจิตจากคำบอกเล่าของคนหนึ่งจะมีอยู่จริง และแม้จะไม่ปฏิเสธแต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเชื่อ/ยอมรับตามคำบอกเล่านั้น ในเมื่อ ประสบการณ์ไม่สามารถจะเข้าถึงภาวะเช่นนั้นได้ การตรึกตรองตามเหตุ ตามผลจึงสำคัญเพื่อจะตรวจสอบความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏ การตรวจสอบด้วยเหตุผลอาจกระทำได้โดยการพิจารณา ข้อความเดียวกันอันมีที่มาจากแหล่งความรู้มากกว่าหนึ่งแหล่ง เมื่อ ข้อความเหล่านั้นตรงกัน ก็อาจพิจารณาได้ว่าจริง อย่างกรณีความเชื่อ เรื่องผีมีจริงหรือไม่ จากการสัมภาษณ์ผู้ฝึกฝนอบรมจิตจำนวน ๘ คน ทุก คนมีประสบการณ์เรื่องผีตรงกัน ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบจากคัมภีร์ พบว่า เนื้อหาในคัมภีร์มีการกล่าวถึงเรื่องผี กรณีความสามารถในการ ล่วงรู้อนาคต พบว่า พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เคยทดลองด้วย ตนเองในการทายสิ่งที่ที่ครูจะพูดลำดับถัดไปได้ถูกต้องแม่นยำ ขณะที่ หลวงตาสินทรัพย์ จรณธัมโม สามารถทายได้ว่าหวยงวดหน้าออกเลข อะไร และเมื่องวดนั้นมาถึง ปรากฏว่าเลขที่ออกตรงตามที่ทักทายไว้ กรณีเลขหวยนี้สอดคล้องกับคำให้การสัมภาษณ์ของพระอาจารย์จันท โชติ จันทโชโต นอกจากนั้น กรณี พระรูปหนึ่งฝึกฝนอบรมจิตในป่าดง ดิบ ขณะนั่งบำเพ็ญจิตเห็นคนตัดไม้สามคน จึงตรวจสอบด้วยการชวน
๑๕๘ เพื่อนไปพิสูจน์ พบว่าสิ่งที่นั่งเห็นจากที่ไกลมีสถานการณ์จริงรองรับตรง กับที่เห็นทั้งหมด๒๓๕ พระต๋อย ระบุว่า เมื่อจิตสงบเราสามารถจะรู้ได้ว่า ใครจะมาหาเราในวันรุ่งขึ้น ตรงตามเวลา คลาดเคลื่อนไม่เกิน ๕ นาที เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาพิจารณา สรุปได้ว่า มีความเป็นไปได้ที่สิ่งที่ ปรากฏจะเกิดขึ้นจริง และสรุปได้ว่า อนาคตเป็นสิ่งมีอยู่และเราสามารถ รับรู้ก่อนที่สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ นอกจากกรณีดังกล่าว ยังมี กรณีอื่นอีกเช่น ความเชื่อเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ ฯลฯ ที่เกินวิสัยคน ทั่วไปจะรับรู้ได้ ๔.๒.๓ การตรวจสอบด้วยญาณทัศนะ ญาณทัศนะ คือ ความสามารถในการหยั่งรู้ความจริง ตั้งแต่การ เห็นความเกิด-ดับของรูปนาม เห็นความแตกสลายของรูปนาม เห็นความ น่ากลัวของรูปนาม เห็นโทษของรูปนาม เห็นความน่าเบื่อหน่าย เห็น ความควรที่จะพ้นไปจากรูปนาม เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัว ตัวของรูปนาม เห็นความเป็นกลางของสิ่งที่ปรุงแต่งกันตั้งขึ้น และเห็น ความจริงที่หมดจด (อริยสัจ) รวมเรียกว่า ความรู้จากการเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ)๒๓๖ ชั้นสูงสุดคือ ปรีชาหยั่งรู้สิ่งทั้งปวง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เรียกว่า สัพพัญญุตญาณ การตรวจสอบด้วยญาณทัศนะจะเป็นเรื่องทางจิตล้วน แตกต่าง จากการตรวจสอบด้วยประสบการณ์และการตรวจสอบด้วยเหตุผลที่ใช้ ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ การตรวจสอบด้วยญาณ
๑๕๙ ทัศนะค่อนข้างมีความเป็นปัจเจก คือการรับรู้ได้เฉพาะตน สิ่งที่ปรากฏ ในขณะฝึกฝนอบรมจิตสูงสุดไม่ใช่การโยกโคลงของร่าง ไม่ใช่การทำนาย เลขหวยได้ ไม่ใช่การเห็นเทวดา นรก สวรรค์ หากแต่ความหมดสิ้นไป ของกิเลส ๓ ตัวหลักคือ โลภ โกรธ หลง ขอให้พิจารณาข้อความต่อไปนี้ กาลามชนทั้งหลาย ท่านอย่าได้อย่าได้เชื่อถือ ตามคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้เชื่อถือประเพณีนิยมที่ ประพฤติสืบต่อกันมา อย่าได้เชื่อถือข่าวคราวที่ว่าตาม กัน อย่าได้เชื่อถือเพราะตรงกับตำรา อย่าได้เชื่อถือ เพราะคิดเดาเอาเอาเอง อย่าได้เชื่อถือเพราะการ คาดคะเน อย่าได้เชื่อถือเพราะสอดคล้องกับตรรกะ อย่าได้เชื่อถือเพราะตรงกับความคิดเห็นที่ตนเชื่อถือ อยู่ อย่าได้เชื่อถือเพราะผู้พูดเป็นคนน่าเชื่อถือ อย่าได้ เชื่อถือเพราะเขาเป็นครูของเรา เมื่อไรก็ตาม ท่านรู้ได้ ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งดีงาม (กุศล) ผู้รู้ ธรรมสรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ประพฤติปฏิบัติอย่างดี แล้วจะก่อเกิดประโยชน์เกื้อกูลและความสุข เมื่อนั้น ท่านจึงควรเชื่อถือต่อธรรมเหล่านั้น...กาลามชน ทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ปราศจากความโลภ ไม่มี พยาบาท ไม่หลง มีความรู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติมั่นคง มีใจเมตตา แผ่ไปทั่วทิศ... ทั่วสัตว์ทุกเหล่าทุกสถาน ด้วยใจเมตตาที่ไพบูลย์ ถึง
๑๖๐ ความเป็นใหญ่ หาประมาณไม่ได้ ไม่มีเวร ไม่ เบียดเบียน มีความกรุณา ชื่นชม (มุทิตา) การวางใจ (อุเบกขา) แผ่ไปทั่วทิศ ... กาลามชนทั้งหลาย อริย สาวกนั้น มีจิตไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน ไม่เศร้าหมอง มี ความผ่องใส จะได้รับความอุ่นใจในปัจจุบัน หาก ปรโลกมีจริง ผลแห่งการทำดี จะส่งสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้าปรโลกไม่มีจริง ผลแห่งความดีส่งสู่การไม่มีเวร ไม่ เบียดเบียน ไม่ทุกข์ เป็นสุขรักษาตนอยู่ในปัจจุบัน ได้ พิจารณาเห็นตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์...๒๓๗ ข้อความที่ยกอ้างมานี้ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า อย่าได้เชื่อว่าสิ่งใดจริง จนกว่าจะเกิดความรู้ผ่านการทดลองด้วยตนเอง ส่งผลเป็นประโยชน์ เกื้อกูลและความสุข เป็นไปเพื่อความไม่โลภ ไม่พยาบาทเบียดเบียน ไม่ หลง มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มีความปรารถนาดี ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียน จิตใจผ่องใส และ/หรือ สอดคล้องกับธรรมและมีธรรมเป็นที่ระลึก การตรวจสอบความมีอยู่จริงด้วยญาณทัศนะนั้น ต้องใช้เวลา และการฝึกฝนอบรมจิตในระดับหนึ่ง กว่าจะพบเครื่องมือดังกล่าวนี้ และ เครื่องมือดังกล่าวนี้น่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของการมีชีวิตทาง ศาสนาในการตรวจสอบระดับกิเลสของแต่ละคน
๑๖๑ ๔.๓ ข้อสังเกตบางประการและความตระหนักรู้ในตน จากการวิเคราะห์ความมีอยู่จริงของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝน อบรมจิต ผู้ศึกษามีข้อสังเกตบางประการที่พอจะเรียบเรียงได้ดังต่อไปนี้ ๔.๓.๑ เป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิต หลายคนเข้าสู่พื้นที่ทางศาสนาด้วยการฝึกฝนอบรมจิตเพราะ เรื่องเล่าทางศาสนาทั้งในคัมภีร์ทางศาสนาและประสบการณ์เฉพาะ บุคคลที่ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตมา จนกลายเป็นบุคคลพิเศษใน ความหมายว่ามีความสามารถแตกต่างจากบุคคลอื่นผู้ไม่สามารถจะมี ความสามารถแบบนั้นได้ เช่น ความสามารถใ นการถอดจิต ความสามารถในการล่วงรู้ความคิดของคนอื่น ความสามารถในการ ทำนายอนาคตได้ เป็นต้น และความสามารถเหล่านั้นตรวจสอบได้ว่าจริง โดยผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงรองรับความสามารถนั้น หลวงตา สินทรัพย์ จรณธัมโม เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “กองเชียร์” โดยให้เหตุผลว่า การที่เราพบเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งด้วยตาเนื้อและการรู้เห็นภายในขณะ หลับตาจะทำให้เรามีกำลังใจในการฝึกฝนอบรมจิต อย่างไรก็ตาม จำนวนหนึ่งของกองเชียร์ไม่อาจเข้าไปยึดได้ว่า เป็นที่พึ่ง มิฉะนั้นจะทำให้ผู้เข้าไปยึดเข้าใจว่า สิ่งที่พบคือเป้าหมายของ การฝึกฝนอบรมจิต แท้จริง เป้าหมายของการฝึกฝนอบรมจิตไม่ใช่ ความสามารถพิเศษเหล่านั้น หากแต่เป็นจิตบริสุทธิ์ (จิตประภัสสร) หลุด
๑๖๒ จากเครื่องพันธนาการแห่งจิต หากใครจะได้ความสามารถพิเศษให้ถือว่า เป็นผลพลอยได้ เป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิต ขอให้พิจารณา ข้อความสุดท้ายในมหาสติปัฏฐานสูตรดังต่อไปนี้ “...ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏทั้งหลาย (ภิกขเว) หนทางเดียวนี้ที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อผ่านพ้นความเศร้าโศกเสียใจ เพื่อความดับไปแห่ง ทุกข์ระทม เพื่อการเข้าถึงธรรมที่ควรแก่การเรียนรู้ (ญาย) เพื่อการทำให้แจ้งชัดถึงความสงบเย็น (นิพพาน) หนทางเดียวนี้คือการใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏ ฐาน) ...” ๒๓๘ จากข้อความที่ยกอ้าง จะเห็นเป้าหมาย ๓ แบบคือ (๑) เพื่อ ความบริสุทธิ์สะอาด (๒) เพื่อหมดทุกข์ โดยไม่ต้องพบความเศร้าโศก เสียใจอีกต่อไป และ (๓) เข้าถึงธรรมที่ควรเข้าถึง ปลายสุดคือความ สงบเย็น (นิพพาน) ความบริสุทธิ์สะอาดในความหมายของการฝึกฝนอบรมจิตคือ ความบริสุทธิ์จากกิเลสที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ที่เกิดจากความสัมพันธ์ ระหว่างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) และ รูป เสียง กลิ่น รส อารมณ์ทางใจ (อายตนะภายนอก) ดูแผนภาพประกอบ
๑๖๓ เมื่อแต่ละคู่ของ G1 สัมผัส G2 จะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนี้คือ (๑) พึงพอใจ/มีความสุข (สุขเวทนา) (๒) ไม่พึงพอใจ/ทุกข์ใจ (ทุกขเวทนา) (๓) ระบุไม่ได้ว่าพอใจหรือไม่พอใจ (อทุกขมสุขเวทนา) ส่ง ทอดไปสู่การกำหนดหมายรู้/ทรงจำ (สัญญา) ใน ๖ แบบ (A-F) การจะดู ว่าทรงจำอะไรไว้ พระพุทธเจ้าตอบว่าให้ดูที่การพูด เพราะสิ่งที่พูดคือผล ของความทรงจำอันมาจากความรู้สึกอีกทีหนึ่ง๒๓๙ จากนั้นจะมีการปรุง แปร (สังขาร) ไปต่าง ๆ นานาอันสัมพันธ์กันระหว่างความทรงจำเดิม ความทรงจำปัจจุบันและความทรงจำข้างหน้า (สัญญา อตีตานาคตปัจจุ ปันนา..๒๔๐) จากนั้นจะเกิดความรู้แจ้งต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ (อารมณ์) ที่ แตกต่างกัน ๖ แบบ (A-F) คือ การรับรู้ทางตา (จักขุวิญญาณ) โดยมีรูปที่ ตามองเห็นเป็นสิ่งที่กระทบต่อตา การรับรู้ทางหู (โสตวิญญาณ) โดยมี เสียงที่หูรับฟังเป็นสิ่งที่กระทบต่อหู การรับรู้ทางจมูก (ฆานวิญญาณ) โดยมีกลิ่นที่จมูกสูดดมเป็นสิ่งที่กระทบต่อจมูก การรับรู้ทางลิ้น (ชิวหา วิญญาณ) โดยมีรสชาติของสิ่งที่ลิ้นรับสัมผัสกระทบต่อลิ้น การรับรู้ทาง G1A ตา G2A รูป/ภาพ/สิ่งที่ตามองเห็น G1B หู G2B เสียง/สิ่งที่หูได้ยิน G1C จมูก G2C กลิ่น/สิ่งที่จมูกสูดดม G1D ลิ้น G2D รสชาติ/สิ่งที่ลิ้นรับรู้ G1E กาย G2E สิ่งที่สัมผัสกาย G1F ใจ G2F สิ่งที่ใจรับรู้/สัมผัสได้
๑๖๔ กาย (กายวิญญาณ) โดยมีสิ่งที่กายสัมผัสเป็นสิ่งที่กระทบต่อกาย และ การรับรู้ทางใจ (มโนวิญญาณ) โดยมีสิ่งที่ใจรับรู้ได้มากระทบต่อใจ อนึ่ง การที่ G1 สัมผัส G2 แล้วเกิดความรู้สึก (เวทนา) อย่างใด อย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนั้น หากติดใจ เพลิดเพลิน และพูดถึงความรู้สึกนั้น อยู่ จะเป็นการยังมีความกำหนดยินดี ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ (ราคา นุสัย) หากมีความเศร้าโศก ลำบากใจ ร้องไห้ฟูมฟาย จะเป็นการยังมี ความขุ่นข้องหมองใจ ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ (ปฏิฆานุสัย) หากไม่รู้ถึง การเกิดขึ้นและดับไป คุณและโทษ ตลอดถึงการไม่รู้ถึงการหลุดออกจาก ความรู้สึกตามความเป็นจริง จะเป็นการยังมีความไม่รู้ ตกตะกอนนอน เนื่องอยู่ (อวิชชานุสัย)๒๔๑ เมื่อจัดกลุ่มของความรู้สึกจากการสัมผัสที่ สัมพันธ์กับตะกอนความรู้สึกและสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง (กิเลส) จะ ได้ดังนี้ ความรู้สึก (เวทนา) ความหมองนอน เนื่อง (อนุสัย) ความเศร้าหมอง แห่งจิต (กิเลส) ความไม่บริสุทธิ์ สะอาดแห่งจิต๒๔๒ ความพึงพอใจ (สุข เวทนา) ความกำหนัดยินดี (ราคานุสัย) ความกำหนัดยินดี (ราคะ) / อยากได้ (โลภะ) ไม่พึงพอใจ (ทุกขเวทนา) ความขุ่นข้องหมอง ใจ (ปฏิฆานุสัย) โ ก ร ธ ( โ ท ส ะ ) / ประทุษร้ายใจ
๑๖๕ แนวคิดเรื่อง “วังวน (วัฏฏะ)” ระบุถึง ๓ เส้าที่เป็นอนุกรมแห่ง ทุกข์คือ ความเศร้าหมองแห่งจิต (กิเลส) การกระทำ (กรรม) ผลของการ กระทำ (วิบาก) พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) อธิบายว่า กิเลส เป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำ กรรมก็ได้รับวิบากคือผล ของกรรมนั้น อันเป็นปัจจัย ให้เกิดกิเลสแล้วทำกรรม หมุนเวียนต่อไปอีก๒๔๓ การ ที่จะตัดวงจรนี้ได้ จะเป็น การเข้าไปยุติอนุกรมแห่ง ทุกข์ พลิกกลับสู่การไม่ กระทำด้วยกิเลส จึงไม่มีผล ของกรรมที่มาจากกิเลส การเคลียร์กิเลสออกจากจิต จะเท่ากับการทำให้จิต บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส เมื่อจิตหมดจดจากกิเลสจึงไม่ต้องรับผลคือ ความทุกข์จากการกระทำที่มาจากกิเลส ตอบโจทย์เป้าหมาย ๓ แบบ ข้างต้นที่สามารถสรุปลงในเป้าหมายเดียวคือ “ความไม่มีแห่งทุกข์” ระบุไม่ได้ฯ (อทุกขมฯ) ความไม่รู้ (อวิชชา นุสัย) ความเขลา (โมหะ) ไม่รู้ตามจริง กรรม วิบาก กิเลส ไม่มี กรรม ที่มาจาก กิเลส ไม่มีวิบากจาก การกระทําที่มี กิเลส ไม่มีกิเลส
๑๖๖ ๔.๓.๒ แนวทางสู่เป้าหมายที่แท้จริง จากข้อความในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ยกอ้างข้างต้นที่ระบุว่า “หนทางเดียวที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์...คือการมีสติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏ ฐาน)” ด้วยการตามดูกายในกาย (กาเย กายานุปัสสี)...ตามดูความรู้สึก ในความรู้สึก (เวทนาสุ เวทนานุปัสสี)... ตามดูจิตในจิต (จิตฺเต จิตฺตานุปัส สี) ...และตามดูธรรมในธรรม (ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี) มีความเพียร รู้ตัวทั่ว พร้อม (สัมปชาโน/สัมปชัญญะ) มีสติ กำจัดการเพ่งเล็งอยากได้ (อภิชฌา) และหัวใจที่เลวร้าย (โทมนัสส) ออกไป๒๔๔ การดูกายในกายคือ การกำหนดรู้การหายใจตามจริง รับรู้อย่าง ชัดเจนถึงการเดิน ยืน นั่ง นอนตามจริง ทำความรู้สึกตัวต่ออิริยาบถทุก อย่าง พิจารณากายตั้งแต่พื้นเท้าจรดปลายผม ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ หุ้มด้วยหนัง พิจารณาองค์ประกอบของกายที่มาจากธาตุพื้นฐานทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน เช่น เนื้อหนัง ธาตุน้ำ เช่น เลือด ธาตุไฟ คืออุณหภูมิภายใน กาย ธาตุลม เช่น ผลตามช่องท้อง พิจารณาเห็นร่างกายที่ตายแล้วฯลฯ เห็นความคงอยู่และเสื่อมสภาพของกาย ดำรงสติไว้ตรงหน้า/ตั้งสติไว้ที่ ปัจจุบัน (ปจฺจุปฏฺฐิตา) ว่า “มีกายอยู่” ตราบเท่าที่ยังรู้ได้และระลึกถึงได้ เท่านั้น (ญาณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย) การดูความรู้สึกในความรู้สึก คือการรู้ชัดถึง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ ทุกข์ ตามที่เกิดขึ้นจริง เห็นความตั้งอยู่และเสื่อมไปของความรู้สึก กำหนดสติไว้ตรงหน้า ว่า “มีความรู้สึก (เวทนา) อยู่” ตราบเท่าที่ยังรู้ได้ และระลึกถึงได้เท่านั้น
๑๖๗ การดูจิตในจิต คือ การรับรู้ถึงความกำหนัดยินดี (ราคะ) ใจ ประทุษร้าย (โทสะ) ความลุ่มหลงไม่รู้ตามจริง (โมหะ) ที่มีอยู่ตามจริง รับรู้ถึงจิตที่หดหู่ ฟุ้งซ่าน สภาพจิตที่แตกต่าง จิตมีสมาธิ จิตหลุดพ้น พิจารณาเห็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและเสื่อมไปในจิต กำหนดสติไว้ ตรงหน้าว่า “จิตมีอยู่” ตราบเท่าที่ยังรับรู้ได้ และอาศัยจิตไว้เพื่อการ ระลึกถึงได้เท่านั้น การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ การพิจารณาเห็นตัวฉุดดึง จิตที่คอยขวางกั้นไม่ให้ทำสิ่งดีงาม (นิวรณ์) โดย รู้ชัดถึงความมีอยู่ ความ ไม่มีอยู่ หนทางที่จะเกิด การกำจัด การทำไม่ให้เกิดขึ้นอีก ของความพึง พอใจต่อสิ่งน่าใคร่น่าปรารถนา (กามฉันทะ) ความคิดร้ายทำลายกัน (พยาบาท) ความหดหู่ซึมเศร้า (ถีนมิทธะ) ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ (อุทธัจจกุกกุจจะ) และความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) พิจารณาเห็นความ ยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ในรูป ความรู้สึก (เวทนา) ความจำได้ (สัญญา) ความปรุงแปร (สังขาร) และ การรู้ชัด (วิญญาณ) ทั้งความเกิดขึ้นและ ดับไป พิจารณาเห็นกิเลสที่ผูกพัดใจคนไว้อย่างเหนียวแน่น (สังโยชน์) ทั้ง แบบละเอียดและแบบหยาบ พิจารณาเห็นองค์ธรรมแห่งการบรรลุถึง ความรู้ (โพชฌงค์) คือ สติ การค้นหาธรรม (ธัมมวิจยะ) ความเพียร ความอิ่มใจ ความสงบกายใจ ความมีใจตั้งมั่น (สมาธิ) และความวางใจ เป็นกลาง (อุเบกขา) ตลอดถึงการพิจารณาความจริงชั้นยอด (อริยสัจ) ทั้งภายในภายนอก ความเกิดขึ้นและเสื่อมสลายแห่งธรรม กำหนดสติไว้
๑๖๘ ตรงหน้าว่า “มีธรรมอยู่” ตราบเท่าที่รับรู้ได้ และอาศัยธรรมไว้เพียงการ ระลึกถึงเท่านั้น๒๔๕ โดยรวม แนวทางสู่เป้าหมายที่แท้จริงคือ การมีสติว่า “มีกาย อยู่” “มีความรู้สึกอยู่” “มีจิตอยู่” และ “มีธรรมอยู่” เป็นการรับรู้ตาม จริงที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ทั้งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปของ กายคือลมหายใจ อวัยวะน้อยใหญ่ คุณสมบัติที่ละเอียด (ธาตุ) ตลอดถึง การรู้ตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) ต่ออิริยาบททั้งหมด ของความรู้สึก สภาพจิต และสภาพธรรมทั้งไม่ดีและดีอันจะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย กาย ความรู้สึก จิต และธรรม ตลอดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย ความรู้สึก จิต และธรรม จะมีไว้เพื่อการรับรู้และการระลึกถึงเท่านั้น ๔.๓.๓ ความตระหนักรู้ในตนผ่านแนวคิดการฝึกฝนอบรมจิต เมื่อเป้าหมายที่แท้จริงของการฝึกฝนอบรมจิตคือความไม่มีแห่ง ทุกข์ โดยอาศัยเครื่องมือที่สำคัญคือสติ (สติปัฏฐาน) และสิ่งที่สติกำหนด รู้คือ กาย ความรู้สึก (เวทนา) จิต และธรรม สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการ ฝึกฝนอบรมจิต แม้จะมีความพิเศษล้ำความสามารถจากคนทั่วไป ที่อาจ ตรวจสอบได้ระดับหนึ่งว่าจริง โดยมีสถานการณ์รองรับ แต่สิ่งเหล่านั้น คงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้รับรู้และระลึกถึงว่า “มีอยู่”เท่านั้น ไม่ใช่เนื้อ ตัวของเป้าหมายที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์พิเศษและ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต เราอาจมีท่าทีดังต่อไปนี้
๑๖๙ ความหลากหลายของแนวทางในการฝึกฝนอบรมจิต โดยแต่ ละแนวทางมีสิ่งที่ปรากฎจากการฝึกฝนอบรมจิตที่แตกต่างกัน ความ หลากหลายของแนวทางจะเหมาะกับบุคลิกคนที่มีอย่างแตกต่างกัน เช่น การพิจารณาถึงความไม่งามของร่างกาย จะเหมาะกับผู้มีความรักสวยรัก งาม การกำหนดลมหายใจเข้าออกจะเหมาะกับคนที่มักคิด แต่ฐาน สำคัญของการฝึกฝนอบรมจิตคือ “สติและความรู้สึกตัว” สิ่งที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต เป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่ระดับ พื้น ๆ รับรู้ได้ด้วยตน อันจะเป็นกำลังใจสำหรับตนในการฝึกฝนอบรมจิต ให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ระดับพื้น ๆ นี้จะเกิดขึ้นและเสื่อมไป ถ้าอยากให้ เกิดขึ้นอีก จะไม่เกิดขึ้น ระดับกลางที่จะเป็นประโยชน์ในการต่อยอดการ เรียนรู้สู่คุณธรรมชั้นสูงต่อไป ระดับกลางของผู้ฝึกฝนอบรมจิตบางคน อาจได้รับคุณสมบัติพิเศษที่ล้ำบุคคลทั่วไป และระดับสูง อันเป็น ประโยชน์ที่แท้จริงสำหรับการฝึกฝนอบรมจิต ความเป็นไปเองของสิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต มี ข้อสังเกตว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิต คือ ความเป็น เช่นนั้น (ตถตา) ของสิ่งที่ปรากฏ เป็นเพียงปรากฏการณ์ให้รับรู้เท่านั้น การฝึกฝนอบรมจิตเรียกร้องการมองตามเหตุปัจจัยไม่ใช่การแสวงหา ความมีอยู่และความไม่มี จะจริงหรือไม่จริงไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าความเป็น อย่างที่เป็น เมื่อพัฒนาจิตไปถึงจุดที่หวนกลับมามีกิเลสไม่ได้ ทุกอย่างจะ มีและเป็นเองโดยอัตโนมัติ
๑๗๐ แนวทางในการฝึกฝนอบรมจิตต้องลงมือปฏิบัติเท่านั้น เป็น การลงมือปฏิบัติด้วยความเพียรและมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ บางคนต้อง ยอมสละชีวิตเข้าแลก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำได้ แต่ไม่ได้ยากเกิน กว่ามนุษย์คนหนึ่งจะลงมือทำ อย่างน้อย ผู้ปฏิบัติตามแนวทางที่บรรพ ชนได้ทดลองปฏิบัติและวางแนวทางไว้ จำนวนหนึ่งและไม่น้อยมีเหตุผล เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า จบการศึกษาด้านจิตอย่างแท้จริง มโนทัศน์เรื่อง ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน (อตฺตา หิ อตฺต โน นาโถ) มีความเป็นไปได้ที่มโนทัศน์นี้มุ่งการฝึกฝนอบรมจิต จาก การศึกษาเรียนรู้เรื่องนี้ จะพบว่า ผู้ฝึกฝนอบรมจิตต้องอาศัยความ พยายามแห่งตนตั้งแต่ต้นจนจบการศึกษา และมีบางคนที่เรียนไม่จบ องค์ความรู้นี้มีข้อมูลให้ตระหนักได้ว่า กายกับจิตแยกออกจาก กัน ในการฝึกฝนอบรมจิต กายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ส่วนผู้รู้คือจิต ในความเป็นตัวตนแห่งจิตจะมีการเคลื่อนไหวใน ๒ แบบ แบบแรกคือ “การคิด” การคิดนั้นเกิดขึ้นอย่างมีเหตุปัจจัย แบบที่สองคือ “ตัวรู้” นำมาทำหน้าที่ในการรับรู้กายและความคิดและสิ่งที่เนื่องด้วยกายและ ความคิด องค์ความรู้ว่าด้วยการฝึกฝนอบรมจิต เป็นองค์ความรู้หนึ่ง ใน หลากหลายองค์ความรู้ที่ปรากฏอยู่บนโลกใบนี้ ความรู้อื่น ๆ อาจช่วยให้ ความเป็นอยู่สะดวกขึ้น มีความเป็นอยู่ทางกายภาพที่ดีขึ้น แต่การฝึกฝน อบรมจิตไม่ใช่เพื่อความสะดวกหรือการมีกายภาพที่ดีขึ้น หากแต่คือ
๑๗๑ “การอยู่อย่างไม่ทุกข์” ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อย่างที่สามารถจะ ดูแลตนได้หากเทียบกับระบบการศึกษาทางโลกที่ให้ความสำคัญกับ กายภาพ การศึกษาด้านจิตอาจเรียกว่า “จิตตปัญญาศึกษา” เพราะเป็น การฝึกฝนอบรมจิตส่งผลเป็นปัญญาในการเข้าไปรับรู้ความเป็นจริงของ โลกที่พัวพันยุ่งเหยิงจากการกระทำของสิ่งมีชีวิตเอง ขณะเดียวกัน สามารถตัดวงจรการพัวพันที่ทำให้เกิดความทุกข์ได้ โดยที่องค์ความรู้ แขนงอื่นยังไม่ได้รับการพัฒนามาถึงจุดนี้
๑๗๒ บทที่ ๕ สรุปผลการวิจัย ความตระหนักรู้ในตนและข้อเสนอเพื่อการ พัฒนา ๕.๑ สรุปผลการวิจัย ปรากฎการณ์ในสังคมพุทธศาสนาไทยปัจจุบันคือความสนใจต่อ การฝึกฝนอบรมจิตที่เหล่าผู้สืบทอดพัฒนาเทคนิคไปมากกว่า ๑ แบบ จนสับสนว่า ถ้าเราสนใจการฝึกฝนอบรมจิต แบบใดคือแบบที่มีแก่นคำ สอนในคัมภีร์หลักของพุทธศาสนารองรับมากที่สุด ตลอดถึงความเชื่อ แบบง่าย โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับคุณพิเศษในตนที่เกิดขึ้นจากการ ฝึกฝนอบรมจิต ที่ชาวพุทธผู้สนใจการฝึกฝนอบรมจิตเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ จริงโดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และที่หนักกว่านั้นคือการ หลงคิดว่าคุณพิเศษที่เกิดขึ้นนั้นคือเป้าหมายแท้จริงของการฝึกฝนอบรม จิต จึงน่าสนใจว่า แนวทางที่เป็นแกนกลางของการฝึกฝนอบรมจิตตาม แนวคิดในพุทธศาสนาคืออะไร เนื้อหาในพุทธศาสนามีการกล่าวถึงคุณ พิเศษที่เกิดขึ้นจากการกระบวนการพัฒนาจิตไว้อย่างไรหรือไม่ ที่ผ่านมา มีเหล่าผู้ทดลองปฏิบัติตามแนวคิดการพัฒนาจิตของพุทธศาสนาไว้ คุณ พิเศษที่เหล่าผู้ปฏิบิตถ่ายทอดผ่านคำบอกเล่ามีรายละเอียดอย่างไร และ เนื้อหาพุทธศาสนารับรองรายละเอียดเหล่านั้นหรือไม่อย่างไร จึงกำหนด วัตถุประสงค์ของการวิจัยไว้ ๓ ประการคือ (๑) เพื่อศึกษาแนวคิดเรื่อง การฝึกฝนอบรมจิต และประสบการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝน
๑๗๓ อบรมจิตที่มีอยู่ในเนื้อหาพุทธศาสนา (๒) เพื่อศึกษาประสบการณ์พิเศษ และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตตามคำบอกเล่าของ นักปฏิบัติ นักการศึกษาและการทดลองปฏิบัติและ (๓) เพื่อวิเคราะห์ ความมีอยู่ของประสบการณ์พิเศษและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการ ฝึกฝนอบรมจิต โดยตีกรอบการศึกษาในเชิงเนื้อหาจากเอกสารและสื่อที่ เผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งคัมภีร์หลักของพุทธศาสนา หนังสือ ปาฐกถา คำบอกเล่า และคำสัมภาษณ์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา อาศัย เครื่องมือการวิเคราะห์เนื้อหาที่ใช้ในปรัชญาทั่วไปและบูรณาการร่วมกับ แนวคิดแบบจิตตปัญญาศึกษา โดยคาดหวังว่า ผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัย จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างองค์ความรู้ในงานวิชาการด้านจิตศึกษา จิตตปัญญาศึกษา พุทธศาสนศึกษา ที่สำคัญยิ่งคือประโยชน์ต่อผู้เตรียม ความพร้อมในการฝึกฝนอบรมจิตและการประยุกต์ใช้ที่หลากหลาย จากการศึกษาพบว่า รูปแบบของการฝึกฝนอบรมจิตมี ๒ คือ (๑) การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อให้จิตสงบ และ (๒) การฝึกฝนอบรมจิต เพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง ทั้ง ๒ แบบต่างอิงอาศัยกัน พุทธศาสนาเห็นว่า จิต คือองค์ประกอบหนึ่งของชีวิต จิตเดิมแท้เป็นจิตบริสุทธิ์ ต่อเมื่อจิตตก ไปสู่อารมณ์ที่ปรารถนา จึงกลายเป็นจิตเศร้าหมอง (กิเลส) ดิ้นรนสู่ อารมณ์ความต้องการ (ตัณหา) และประสบทุกข์เพราะการยึดติดอย่าง ไม่รู้จบ พุทธศาสนามองว่า หากปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ จะต้องพัฒนา จิตเพื่อการไม่เพิ่มความเศร้าหมองและการกะเทาะความเศร้าหมองให้ หลุดออกจากจิต จึงเสนอแนวทางการพัฒนาจิต ด้วยเทคนิคการตรึงจิต
๑๗๔ ๔๐ อย่าง ที่ให้ความสำคัญกับ “การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อให้จิตสงบ” เช่น ตรึงจิตไว้กับสี ตรึงจิตไว้กับอาหารที่กิน ตรึงจิตไว้กับสิ่งไม่มีรูป เป็น ต้น ส่วนผู้ต้องการความไม่มีแห่งทุกข์อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการ พัฒนาจิตที่มากกว่าความสงบระงับทุกข์แบบชั่วคราวคือ “การฝึกฝน อบรมจิตให้เกิดความรู้แจ้ง” พระพุทธศาสนาเสนอเทคนิคการใช้สติเป็น ฐาน (สติปัฏฐาน) ในการพัฒนาจิต ด้วยการรับรู้การเปลี่ยนแปลงของ กาย (กายานุปัสสนา) ความรู้สึก (เวทนานุปัสสนา) จิต (จิตตานุปัสสนา) และธรรม (ธรรมานุปัสสนา) ตามที่เกิดขึ้นจริงและเป็นปัจจุบันที่สุด พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า การฝึกอบรมจิตด้วยเทคนิคนี้นานสุด ๗ ปี เร็วสุดคือ ๗ วัน รับรองผลอย่างน้อยคือ กรณียังมีความยึดมั่นหลงเหลือ อยู่บ้าง จะไม่หวนกลับมามีกิเลสที่ทำให้จิตเศร้าหมองอีก (อนาคามี) สูงสุดคือห่างไกลจากกิเลส (อรหันต์) และทรงยืนยันว่า หนทางเดียวนี้ เท่านั้นที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต ดับทุกข์ และทำความสงบจาก กิเลส (นิพพาน) ทางนี้คือเทคนิคการใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) ใน พัฒนาจิต๒๔๖ เราจะพบว่า เคล็ดลับที่สำคัญของเทคนิคนี้คือ การระลึกรู้ ว่า “มีกายอยู่...มีความรู้สึกอยู่ (เวทนา)...มีจิตอยู่ และมีธรรมอยู่” และ อาศัย ๔ อย่างนี้ไว้เพียงเพื่อการระลึกรู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในพุทธศาสนาระบุว่า การพัฒนาจิตจะ เกิดประสบการณ์อันเป็นคุณสมบัติพิเศษ ๓ อย่าง ทั้งนี้แล้วแต่เหตุปัจจัย สัมพันธ์ที่ทำให้เกิดคุณสมบัตินั้นคือ (๑) ความสุขจากความสงบ เช่น ความร่าเริง ความอิ่มเอิบ (ปีติ) แบบชั่วขณะก็มี แบบแผ่ซ่านทั่ว
๑๗๕ สรรพางค์กายก็มี แบบโลดโผนก็มี เป็นต้น (๒) คุณธรรมทั่วไป/สามัญ (โลกียธรรม) เช่น การระลึกชาติได้ มีฤทธิ์ หูทิพย์ รับรู้ความคิดของคน อื่น เป็นต้น (๓) คุณธรรมชั้นสูง (โลกุตรธรรม) จะคือการถอดถอนความ ยึดมั่นในตนออกได้ ไม่มีความลังเลสงสัยธรรม สูงสุดคือการตัดกิเลสและ กองทุกข์ทั้งหมดได้๒๔๗ คุณสมบัติพิเศษนี้ ได้รับการยืนยันจากนักปฏิบัติ ชั้นครูอาจารย์อย่าง พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสัมปันโน) และหลวงตา สิ้นคิด (สินทรัพย์ จรณธัมโม) เป็นต้น ว่าเป็นปรากฎการณ์พิเศษที่ เกิดขึ้นได้จริง จากคำบอกเล่าของเหล่านักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ พระราช สังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่า การที่จิตจะเกิดความสงบและตั้งมั่น (สมาธิ) จะเกิดอาการคล้ายง่วงนอนก่อน จากนั้นจะผ่านจุดมืดและจิต สว่างโพลงขึ้น เมื่อจิตสงบ ลมหลายใจจะจางหาย จิตจะสงบนิ่งลอยเด่น สว่างไสวเพียงดวงเดียวล้วน ภาวะนี้เรียกว่า สมาธิแบบแน่วแน่มั่นคง (อัปปนาสมาธิ) พระธรรมวิสุทธิมงคลเล่าว่า เมื่อจิตสงบระงับจุดหนึ่งจะ มองเห็นร่างกายเหมือนป่าช้าผีดิบ ส้วม ฐาน มีผิวหนังปกปิดไว้ เมื่อเพิก ผิวหนังออกจะเห็นเนื้อ และสิ่งสกปรกอื่นตามลำดับ เข้าถึงอสุภะ จะ ถอนความรัก ความชัง ตัณหาออกเสียได้ ขณะที่พระธรรมโกศาจารย์ (องอาจ ฐิตธัมโม) เล่าว่า เมื่อจิตเงียบ สงบ ไม่วุ่นวาย จะเกิดนิมิตเห็น ดวงดาวระยิบระยับ พราวแสง เป็นปุยนุ่น อาจหลงเพลินไปกับอารมณ์ นั้น พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เล่าว่าหากจิตแน่วแน่ต่ออารมณ์
๑๗๖ ตัวจะโยก น้ำตาไหล ขนพอง สอดล้องกับที่หลวงพ่อสรวง ปริสุทโธ ระบุ ว่า ช่วงเวลาฝึกจิต ร่างกายขนลุกขนพอง น้ำมูกน้ำตาไหล มือสั่น หลวง ตาสินทรัพย์ จรณธัมโมเล่าว่า บางครั้งตัวยืด ตัวหด ตัวยาว ตัวเล็ก สุดท้ายได้รับการยืนยันจากคำบอกเล่าของเหล่านักปฏิบัติชั้นครูอาจารย์ ว่า เมื่อฝึกฝนอบรมจิตไปถึงจุดสุดท้ายก็จะสามารถตัดกระแสอารมณ์ ชะล้างจิตให้หมดสิ้นทุกข์ กิเลสดับสนิท ครอบครองบรมสุขอันเป็นสุข ธรรมชาติได้๒๔๘ ส่วนนักการศึกษา และการทดลองปฏิบัติ จะพบประสบการณ์ พิเศษและปรากฏการณ์คือ อารมณ์ที่เปลี่ยนไป อย่างการคิดเล็กคิดน้อย กลายเป็นนิ่งสงบ การละวางตัวตนลงได้บ้าง จิตนิ่งขึ้น หายกลัว มองเห็น ความเป็นจริงของชีวิต ได้ยินเสียงที่ห่างไกล รับรู้ลางบอกเหตุ มองเห็น ตัวเองหลุดเป็น ๒ ร่าง เข้าถึงความธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งรอบตัว และความจริงของชีวิต อิ่มเอิบ น้ำตาไหล ล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า เห็นภาพอดีตของตัวเองที่ลืมไปแล้ว มีสมาธิไม่เหนื่อยกับการได้วิ่งออก กำลังกาย รู้สึกร่างกายลอยติดเพดาน รู้เลขหวยล่วงหน้าและออกตรง ตามที่เห็น ย่อขยายนิมิตได้ เกิดแสงสว่างดวงกลม มองเห็นทะลุทะลวง ผนัง เห็นวิมานสีทอง เพลิดเพลินจนลืมความปวดเมื่อย เห็นภาพเปลือย รู้ล่วงหน้าและรู้ที่ไกล พบการยุบ-พอง เป็นจังหวะ ตัวโยกโคลงฯลฯ มีข้อสังเกตจากสิ่งที่ปรากฏขณะฝึกอบรมจิตว่า ความมีอยู่ของ สิ่งที่ปรากฏจากการฝึกฝนอบรมจิต จะพบใน ๒ แบบคือ (๑) สิ่งนั้นมีอยู่ และจริง (๒) สิ่งนั้นมีอยู่แต่อาจไม่จริง และสิ่งที่มีอยู่จะจริงหรือไม่จริงนั้น
๑๗๗ จะมี ๒ ลักษณะคือ (๑) สิ่งที่ปรากฏเป็นมโนภาพ และ (๒) สิ่งที่ปรากฏ ทางกายภาพ/ข้อเท็จจริง เราอาจตรวจสอบสิ่งที่ปรากฏขณะฝึกฝนอบรม จิตเพื่อการไม่หลงต่อสิ่งที่มีอยู่แต่ไม่จริงและมีอยู่จริงแต่ไม่ใช่เป้าหมายที่ แท้จริงสำหรับการฝึกฝนอบรมจิต ได้ใน ๓ แบบคือ (๑) การตรวจสอบ ด้วยประสบการณ์ เช่น การเปิดตาเนื้อดูเพื่อจะตรวจสอบว่าภาพ เสียง การเคลื่อนไหวที่ปรากฏขณะหลับตานั้นมีสถานการณ์จริงรองรับหรือไม่ การรอสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเพื่อจะตรวจสอบว่าการล่วงรู้อนาคต สอดคล้องกับสถานการณ์นั้นจริงหรือไม่ เป็นต้น (๒) การตรวจสอบด้วย เหตุผล เป็นการใช้แนวคิดแบบสามเส้า อย่างกรณี มองเห็นตัวเลขหวย และพบว่าหวยออกตรงตามที่เคยมองเห็น ถ้านักปฏิบัติชั้นครู/อาจารย์ ก. คือเส้าที่ ๑ ยืนยันว่าจริง สอดคล้องกับ อาจารย์ ข. คือเส้าที่สอง ยืนยันว่าจริง และสอดคล้องกับ อาจารย์ ค. คือเส้าที่สาม ยืนยันว่าจริง อาจได้ข้อสรุปว่า มีความเป็นไปได้ที่อนาคตมีอยู่จริงแบบแน่นอน เหตุ เพราะได้รับการยืนยันว่าจริงมากกว่า ๑ เส้า (๓) การตรวจสอบด้วย ญาณทัศนะ ความสามารถนี้เป็นเรื่องเฉพาะตน แต่ก็สามารถจะยืนยันได้ ว่าจริงหรือไม่ หากนำแนวคิดแบบ ๓ เส้ามาพิจารณาคือ ถ้าตรวจสอบ ด้วยประสบการณ์แล้วพบว่าจริง ตรวจสอบด้วยเหตุผลแล้วว่ามีความ น่าจะเป็นว่าจริง และตรวจสอบด้วยญาณทัศนะแล้วพบว่า ตรงกัน จึง สรุปว่า มีความเป็นไปได้ว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อ พิจารณาผ่านหลักความเชื่อ ๑๐ ประการ ที่พระพุทธเจ้าเสนอแนวทาง ต่อชาวกาลามะเพื่อแสดงท่าที่ต่อความรู้ที่ได้รับ จะพบว่า สิ่งที่
๑๗๘ พระพุทธเจ้าวางแนวไว้คือ การรู้ได้ด้วยตนเอง๒๔๙ เป็นประสบการณ์ทาง จิตคือญาณทัศนะ แม้จะมีความเป็นอัตนัย แต่สิ่งที่น่าคิดคือ การ ตรวจสอบได้ว่า “สิ่งที่ปรากฏขณะฝึกอบรมจิตมีความเป็นจริง” มี ประโยชน์เกื้อกูลต่อตนผู้เข้าถึง ไม่ใช่ผู้อื่นที่เข้าไม่ถึง จึงต้องยอมรับถึง ความเป็นอัตนัยโดยปริยาย ๕.๒ ความตระหนักรู้ในตน ถ้ารับรู้ได้ว่า ทุกข์คือปัญหาสำคัญของชีวิต สิ่งที่ควรจะทำคือ การจัดการเพื่อไม่ให้ทุกข์เกิดและ/หรือทุกข์จบสิ้นไป มีข้อมูลเกี่ยวกับ การพัฒนาจิตที่พุทธศาสนาระบุว่า หนทางนี้หนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำ ให้ทุกข์จบสิ้นได้ หนทางนั้นคือ การใช้สติเป็นฐาน (สติปัฏฐาน) ในการ ฝึกฝนอบรมจิต เคล็ดลับสำคัญของการฝึกฝนอบรมจิตตามหลักการใช้ สติเป็นฐานคือ การระลึกรู้กายที่มีอยู่ตามจริงว่า “มีกายอยู่” การระลึกรู้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามจริงว่า “มีความรู้สึกอยู่ (เวทนา)” “...มีจิตอยู่” และ “...มีธรรมอยู่” และใช้ กาย ความรู้สึก จิต และธรรมไว้เพียงเพื่อ การระลึกรู้เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นผลพลอยได้คือ ความอิ่มเอิบ (ปีติ) ความเพลิดเพลิน เป็นต้น ผลสามัญ (โลกิยธรรม) คือการล่วงรู้อนาคต การมองเห็นแบบทะลุทะลวง เป็นต้น เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ควร ยึดว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย สิ่งเหล่ายังตกอยู่ในกฎความจริง ๓ ประการ (ไตร ลักษณ์) คือ ไม่ยั่งยืน (อนิจจตา) ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขตา) และ ไม่มีตัวตน (อนัตตตา) แต่ผลชั้นสูง (โลกุตรธรรม) คือ การตัดกิเลสและ
๑๗๙ กองทุกข์ทั้งปวงออกไปได้ต่างหากคือผลปลายสุดที่ควรตรวจสอบและ พัฒนาจิตไปให้ถึง ดังนั้น ในทางกลับกัน ถ้าไม่ทุกข์ ก็ยากที่จะมองเห็น ทุกข์ เมื่อมองไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่รู้จักทุกข์ เมื่อไม่รู้จักทุกข์ หนทางเพื่อการ ตัดกองทุกข์ทั้งหมดก็ไม่มีประโยชน์...จิตนี้มักตกไปสู่อารมณ์ที่ชอบ เพราะการปรุงแปร (สังขาร) ของจิตไม่รู้จบ จึงยากจะรู้จักทุกข์ สำหรับผู้รู้จักทุกข์และพยายามหาทางเพื่อจบสิ้นทุกข์ด้วยการ ฝึกฝนอบรมจิตตามแนวการใช้สติเป็นที่ตั้ง (สติปัฏฐาน) มีข้อควร ตระหนักต่อปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะฝึกอบรมจิตคือ มีสติ ตรวจสอบให้ดีต่อสิ่งที่ปรากฏ เพื่อจะได้ไม่หลงไปตามการปรุงแต่งของ จิต เคล็ดลับที่สำคัญคือ สิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ๕.๓ ข้อเสนอเพื่อการพัฒนา ๕.๓.๑ การพัฒนาองค์ความรู้สู่ชั้นเรียนและสังคม สถานการณ์การเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่ปะทะต่อระดับคุณภาพ ชีวิตของคนในสังคม ส่วนหนึ่งส่งผลกระทบต่อสภาวะทางจิตของบุคคล ข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตคนไทย ของกรมสุขภาพจิต กระทรวง สาธารณะสุขระบุว่า ในจำนวนผู้รับการประเมิน ๔,๐๑๗,๒๕๓ คน พบว่า ร้อยละ ๖.๘๑ มีความเครียดสูงระดับมากถึงมากที่สุด ร้อยละ ๘.๑๓ มีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า ร้อยละ ๔.๔๘ มีความเสี่ยงที่จะฆ่า ตัวตาย และร้อยละ ๔.๒๑ มีภาวะหมดไฟ๒๕๐ กรมสุขภาพจิต ยังระบุอีก ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีความพยายามจะฆ่าตัวตาย ๖ คน/ชั่วโมง ๒๕๑ จากการสำรวจของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตาม
๑๘๐ โครงการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยไทย พบว่า นิสิตนักศึกษามีความเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น และมีความคิด อยากฆ่าตัวตายสูงถึงร้อยละ ๔๒๕๒ มีข้อค้นพบจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนียว่า ผู้ ฝึกสมาธิจะมีอารมณ์ตอบโต้น้อยลง ควบคุมอารมณ์ดีขึ้น...และพบว่า การทำสมาธิสามารถรักษาโรคได้ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ๒๕๓ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พรเพ็ญ อารีกิจ และ อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย จากงานวิจัยเรื่อง ผลของโปรแกรมการบำบัดทางความคิดและ พฤติกรรมร่วมกับการเจริญสติต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า พบว่า เมื่อสิ้นสุดการทดลองภาวะซึมเศร้าของกลุ่มทดลองที่ได้รับ โปรแกรมการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมร่วมกับการเจริญสติน้อย กว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05๒๕๔ และอังคณา พึ่งตำบล จากงานวิจัยเรื่อง แนวทางการใช้ วิปัสสนากรรมฐานบำบัดโรคซึมเศร้า พบว่า หลังปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ มี ความหวังในชีวิต มีส่วนร่วมในการเข้าร่วมกิจกรรม๒๕๕ งานวิจัยนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกฝนอบรมจิตผ่านเครื่องมือคือ สติและความรู้สึกตัว ผสมผสานแนวคิดแบบจิตตปัญญาศึกษา อันมี ประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพจิต ที่เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาวะองค์รวม โดยการจัดเป็นวิชาเพื่อการเรียนรู้แบบผ่อนคลายให้นักศึกษาได้ศึกษา เรียนรู้และนำไปประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิตในหลากหลายรูปแบบได้
๑๘๑ ๕.๓.๒ การพัฒนาต่อยอดงานวิจัย งานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาเชิงเนื้อหา แม้จะเป็นการสัมภาษณ์เชิง ลึกและมีกลุ่มตัวอย่างให้ข้อมูลมาระดับหนึ่ง แต่น่าจะยังไม่มีเพียงพอต่อ การตอบรับทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับองค์ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี จึงอาจพัฒนาต่อยอดเพื่อต่อองค์ความรู้เชิงบูรณาการคือ การตรวจสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการสร้างเครื่องมือที่ สามารถจับภาพความคิด ตลอดถึงตรวจจับพลังงานคลื่นที่เป็นรูป จิตภาวนา: ประสบการณ์พิเศษ และปรากฏการณ์ จากการฝึกฝนอบรม จิต จิตตปัญญาศึกษา (Contemplative education) หลักสูตร/วิชา จิตศึกษาสำหรับครู วิชา/ชุดวิชา 24 บอดี้&มายด์
๑๘๒ ละเอียด แน่นอนว่า ข้อเสนอนี้เหมือนจะเพ้อฝันและไกลเกินกว่าจะทำ ได้ แต่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งก็มาจากความเพ้อฝัน และ มนุษย์ก็นึกไม่ถึงว่าจะทำได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พอจะทำได้ใน เวลานี้แบบใกล้คือ (๑) ดรรชนีชี้วัดระดับกิเลส เพื่อแก้ปัญหาว่า นัก ปฏิบัติใด อยู่ชั้นไหนของคุณธรรมแล้ว ทั้งนี้เพื่อความเชื่ออย่างมี ผลการวิจัยรองรับ และจัดการความหลง (โมหะ) ที่ยากต่อการจะรู้ตัว ด้วยตัวเอง (๒) วิเคราะห์ความตระหนักรู้ต่อชีวิตและสรรพสิ่งของผู้เรียน ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเป็นฐานบูรณา การร่วมกับจิตตภาวนาในพุทธศาสนา
๑๘๓ บรรณานุกรม คัมภีร์หลักทางศาสนา มหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๒๕). สฺยามรฏฺฐเตปิฎกํ ๒๕๒๕. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย. -----------------. (๒๕๒๕). พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล. นครปฐม: มหามกุฏราชวิทยาลัย. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (๒๕๓๙). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย. หนังสือและสื่อออนไลน์ กรมสุขภาพจิต. (๒๕๖๖). ข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตคนไทย. ใน https://checkin.dmh.go.th/ dashboards. เมื่อ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๖. -----------------. (๒๕๔๘). คู่มือคลายเครียดด้วยตนเอง. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหาร ผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์. -----------------. (๒๕๕๘). เครียด...คลายเครียด. กรุงเทพฯ: สำนักงาน กิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกใน พระบรมราชูปถัมภ์.
๑๘๔ เกษียร ภังคานนท์, รศ.นพ.. (๒๕๓๙). ทำไมเราต้องหายใจ. ใน นิตยสาร หมอชาวบ้าน. เข้าถึงได้ใน https://www.doctor.or.th/article/detail/4154. เมื่อ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๕. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์และนภนาท อนุพงศ์พัฒน์. (๒๕๖๐). สุขภาพ ทางปัญญา: จิตวิญญาณ ศาสนา และความเป็นมนุษย์. กรุงเทพฯ: บริษัท โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์ จำกัด. ครูบาฉ่าย. ครูบาฉ่ายเจอหลวงตาครั้งแรก. ใน https://www.youtube.com/watch?v= SH48MlSRuqk. เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖. -----------------. พระสิ้นคิด Live สนทนาธรรม. ใน https://www.youtube. com/watch?v= ntCAyNCKA_w. เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕. ชยามนต์ สมณา, (๒๕๖๕). จิตตภาวนา...ประสบการณ์และการเรียนรู้. ใน https://online.anyflip. com/qyeax/txwr/mobile/. เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๖๕. ฐาวรี ขันสำโรง ประภาเพ็ญ สุวรรณ และคณะ. (๒๕๖๓). ผลของพุทธ นวัตกรรมต่อสัญญาณคลื่นสมองในพระภิกษุจังหวัด เชียงใหม่. ใน วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา ปีที่ ๑๑ ฉบับ ที่ ๑ มากราคม-มิถุนายน ๒๕๖๓.
๑๘๕ ถนอมศรี แข่งขัน. บรรยายธรรมระหว่างฝึกปฏิบัติที่ป่าช้า. ใน https://www.youtube.com/ watch?v=WCPNi93H84s. เมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕. เทียน จิตฺตสุโภ. (๒๕๕๑). เปิดประตูธรรม.นครศรีธรรมราช: เม็ดทราย. -----------------. (๒๕๕๐). คนแบกโลก. กรุงเทพฯ: นำทองการพิมพ์ จำกัด. ทีปภาวันธรรมสถาน. (๒๕๖๓). พุทธทาสทันตานุสรณ์. กรุงเทพฯ: ธรรมสภา. ไทยโพสน์. (๒๕๖๖). ผลสำรวจ ๑๕ มหา’ลัย พบ ภาวะเครียดและ ซึมเศร้า ปัญหาเร่งด่วนอันดับหนึ่งนักศึกษาไทย. ใน https://www.thaipost.net/newsupdate/310021/. เมือ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๖. ธนาวุฒิ เฮ้งสวัสดิ์. รายงานการปฏิบัติธรรม ใน วัดป่าโสมนัส. ใน https://www.youtube.com/ watch?v=ZOpv4gpV2i0. เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕. นรมนต์ อินทรานนท์. รายงานการปฏิบัติธรรม ใน วัดป่าโสมนัส. ใน https://www.youtube. com/watch?v= ZOpv4gpV2i0. เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕. นาทีที่ ๒๖.๒๕.
๑๘๖ นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์. (๒๕๖๐). การฝึกสติรักษาโรค. ใน https://www.youtube.com/watch?v=xm 2OE2ypNFw. เมื่อ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๔. ประเวศ วะสี. (๒๕๕๕). จิตตภาวนากับการเปลี่ยนแปลงชั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ. พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปิยะดี ประเสริฐสม ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ และคณะ. (๒๕๕๙). วิเคราะห์ ผลการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติ ปัฏฐานด้วยสัญญาณคลื่นสมองระบบวิทยาศาสตร์. ใน https://crs. mahidol.ac.th/thai/activity_ news_05-13-59.htm. เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔. พรเพ็ญ อารีกิจ และ อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย. (๒๕๕๕). ผลของ โปรแกรมการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรมร่วมกับ การเจริญสติต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต. ฉบับที่ ๓ (กันยายน-ธันวาคม). กรุงเทพฯ: สมาคมพยาบาลจิต เวชแห่งประเทศไทย. พระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร). เราต้องตาย. ใน https://www.youtube.com/watch?v= o8BMyOHp234. เมื่อ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๕.
๑๘๗ พระธรรมโกศาจารย์ (องอาจ ฐิตธมฺโม). (๒๕๖๓). เล่าให้ลูกหลานฟัง. ใน พระธรรมโกศาจารย์ (องอาจ ฐิตธมฺโม). สัมภาษณ์ โดยศิษยานุศิษย์. นครปฐม: สาละพิมพการ. หน้า ๖๔. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (๒๕๓๘). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ ประมวลศัพท์ กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย. -----------------. (ป.อ.ปยุตฺโต). (๒๕๔๑). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับ ประมวลธรรม. กรุงเทพฯ: บริษัท สหธรรมิก จำกัด. พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺโน). (๒๕๕๙). วิธีฝึกจิตให้เป็น สมาธิ. ใน https://www.youtube.com/ watch?v=SUJTRiFGd_I. เมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๕. -----------------.หลวงตามหาบัว พูดถึงหลวงปู่มั่น. ใน https://www.youtube.com/watch?v=YfWVkA0I S9A. เมื่อ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕. พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม). (๒๕๖๑). ผลแห่งกรรม. เข้าถึง ได้ใน https://www.youtube.com/ watch?v=cskgYFfORpc. เมื่อ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๔. -----------------. (๒๕๖๔). วิธีแก้กรรมทำให้ชีวิตราบรื่นและร่ำรวย. ใน https://www.youtube.com/watch?v=608TL5YY CeM. เมื่อ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๔.