45
การตกแต่งภายในมณฑปปราสาทศิลปะพม่าวดั พระแก้วดอนเต้าสชุ าดาราม
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมอื งลำ� ปาง จงั หวดั ล�ำปาง
46
การตกแตง่ เพดานศลิ ปะพม่าในเจาง์ (จอง) วัดม่อนป่ยู กั ษ์
การตกแตง่ ภายในมณฑปปราสาทศิลปะพมา่ วดั พระแกว้ ดอนเตา้ สชุ าดาราม
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จังหวดั ล�ำปาง
47
จิตรกรรมฝาฝนังวดั ม่อนปยู่ กั ษร์ ปู
ปลาอานนท์หนุนปราสาทพระอนิ ทร์
พระประธานศิลปะพมา่
วหิ ารวัดมอ่ นปยู่ ักษ์
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองล�ำปาง จงั หวดั ล�ำปาง
48
ความเปน็ มา ปญั หาและอุปสรรค
การอนุรักษภ์ าพจติ รกรรมฝาผนงั
โดย ดร.บญุ เติม ปงิ วงค์
จติ รกรรมฝาผนงั จดั เปน็ ทรพั ยากรทางวฒั นธรรมทท่ี รงคณุ คา่ ทางสนุ ทรยี ภาพและทางศาสนา
อกี ทง้ั ยงั เปน็ หลกั ฐานสำ� คญั ทชี่ ว่ ยบนั ทกึ เหตกุ ารณต์ า่ งๆไวใ้ นลกั ษณะของงานจติ รกรรมหรอื ภาพเขยี น
โดยบอกเล่าถึงความเป็นมาของบ้านเมือง สังคม วิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆท่ีปรากฏอยู่
ในอดีต คุณค่าในการศึกษาจิตรกรรมฝาผนังอาจเทียบเท่ากับการค้นคว้าเอกสารทางลายลักษณ์
อกั ษรอนื่ ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ จดหมายเหตุ จารึก และ พงศาวดารต�ำนานตา่ งๆ ฯลฯ แต่คุณประโยชน์
ทเี่ หนอื กวา่ ของงานจติ รกรรมซงึ่ นอกจากเพอื่ การประดบั ตกแตง่ พน้ื ทดี่ ว้ ยงานศลิ ปะ และการสงั่ สอน
ผู้มาสักการบูชาผ่านภาพเร่ืองราวพุทธประวัติท่ีสอดแทรกข้อคิดและหลักธรรมแล้ว ก็คือการท่ี
ผู้ศึกษาสามารถเห็นภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตซ่ึงหลักฐานทางเอกสารไม่สามารถสร้างความ
กระจ่างเช่นน้ไี ด้
จากการศกึ ษาโครงสรา้ งของภาพจติ รกรรมจะพบวา่ การวาดภาพจติ รกรรมประกอบ ดว้ ยชนั้
ต่างๆอยา่ งน้อยทส่ี ุด ๓ ชัน้ คอื
๑. ชน้ั วตั ถุรองภาพ ( support ) มกี ารใช้วัสดหุ ลายประเภท เช่น ผ้า กระดาษ โลหะ หนัง
หิน ไม้ หรือ ฝาผนังปูน เปน็ ต้น
๒. ชน้ั รองพืน้ ( ground ) วสั ดรุ ับรองภาพ เช่น ไม้ หรอื ผา้ มักมีพนื้ ผิวไม่เรียบ จึงทำ� ให้
ไมเ่ หมาะสำ� หรบั การเขยี นภาพ ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งเตรยี มพนื้ ผวิ ใหเ้ รยี บดว้ ยการเตรยี มชน้ั รองพนื้ โดยนำ�
ดนิ สอพองผสมกาว เช่น กาวมะขามนำ� มาทาบนวสั ดรุ องรบั ภาพ ทง้ิ จนแห้งแล้วขดั ให้เรยี บ ช้ันรอง
พนื้ นอี้ าจจะมกี ารเตรยี มหลายชน้ั จนกวา่ พน้ื ผวิ วสั ดรุ องรบั ภาพจะเรยี บเมอื่ เรยี บรอ้ ยแลว้ จงึ เขยี นภาพ
ลงบนวัสดุรองรับภาพได้
๓.ชนั้ สีประกอบดว้ ยรงควตั ถุ(pigment)ผสมกบั สารทท่ี ำ� หนา้ ทยี่ ดึ สใี หต้ ดิ กบั วตั ถรุ องรบั ภาพ
สที ใ่ี ชส้ ามารถแบ่งได้เปน็ ๒ ประเภท คือ
๓.๑ สที เ่ี ปน็ สารประกอบอินทรยี ์ ได้มาจากส่ิงมชี วี ติ ทงั้ จากพืช และ สตั ว์ เชน่ รงใหส้ ี
เหลอื ง อนิ ดิโกบลใู หส้ ีน�ำ้ เงนิ ดรากอนบลัดใหส้ ีแดง สารสีเหลืองท่สี กัดจากปสั สาวะวัวทีเ่ ลย้ี งด้วย
ใบมะมว่ งในอนิ เดยี เปน็ ต้น
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จังหวดั ล�ำปาง
49
๓.๒ สีท่ีเป็นสารประกอบอนินทรีย์ มักจะได้จากสารประกอบออกโซด์ ซัลไฟด์ และ
คารบ์ อนเนตของโลหะ เช่น สีขาวได้มาจากออกไซดข์ องสงั กะสี สีแดงไดม้ าจากซัลไฟดข์ องปรอท
สเี ขียวไดม้ าจากสนิมของทองแดง เป็นตน้
สารตัวยึด ( Binder )
๑. สารตัวยึดประเภทกาวท่ีได้จากสัตว์ ได้แก่กาวที่ท�ำจากหนังสัตว์ กระดูกสัตว์ เป็นต้น
สว่ นมากทำ� มาจากหนงั ควายวธิ กี ารคอื นำ� หนงั ควายมาเคย่ี วจะไดก้ าวขน้ หนดื สนี ำ�้ ตาลเปน็ สารประกอบ
ประเภทเจลลาติน ใช้ประสมกับรงควัตถุต่างๆ จะได้สีท่ีน�ำมาเขียนภาพจิตรกรรม มีการใช้อย่าง
แพรห่ ลายในยุโรป จนี และ ญ่ปี ุน่
๒. สารตัวยึดประเภทยางไม้ ไดแ้ ก่ กาวกระถนิ กมั แอระบคิ ยางมะขวิด เป็นต้น
๓. สารตวั ยดึ ประเภทโปรตนี จากสตั ว์ เชน่ ไข่ นำ�้ นม โดยจะใชท้ ง้ั ไขข่ าว และ ไขแ่ ดง เนอื่ งจาก
ในไข่มีสารประกอบโปรตีนที่เรียกว่า อะบูมินซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเกาะยึดท่ีดี บางคร้ัง
พบว่ามกี ารใช้ไขข่ องปลาแซลมอนมาทำ� เปน็ สารตวั ยดึ ด้วย
๔. สารตวั ยดึ ประเภทนำ�้ มนั ไดแ้ กน่ ำ้� มนั ตงั อวิ้ และ นำ�้ มนั ลนิ สดี โดยนำ� นำ้� มนั เหลา่ นม้ี าผสมกบั
รงควัตถุ(สี)วาดภาพ เมื่อแห้งน้�ำมันจะท�ำหน้าท่ีเป็นสายยึดสีให้ติดกับวัสดุรองภาพ นอกจาก
น�ำ้ มันแลว้ บางครงั้ พบวา่ มีการใชข้ ีผ้ ึง้ เป็นสารตัวยดึ ดว้ ยเชน่ กนั
กรรมวธิ กี ารเขียนภาพจติ รกรรมฝาผนังนั้นมีดว้ ยกัน ๓ รูปแบบ คือ
๑. การเขียนบนปูนเปียก เป็นวิธีท่ีใช้สีผสมน้�ำแล้ววาดลงบนปูนปลาสเตอร์ที่ปาดไว้บางๆ
ขณะที่ปนู ช้นื พอปูนแหง้ จะมีปฏกิ ริ ยิ าทางเคมีกบั อากาศท�ำใหส้ ีติดผนังอย่างถาวร
๒. การเขียนบนปูนแห้ง ช่างจะผสมสีกับสารที่ท�ำให้ติดผนัง เช่น ไข่ กาว หรือ น้�ำมัน
วิธกี ารเขยี นแบบนีจ้ ะเสร็จเร็ว และ แกไ้ ขภาพไดง้ ่าย
๓. การเขียนแบบปนู ช้ืน วธิ นี จี้ ะวาดรูปบนผนังปูนที่ใกลแ้ ห้ง เพ่อื ให้สีซึมไปในปนู เล็กนอ้ ย
โดยสว่ นใหญ่จติ รกรรมฝาผนังของไทยมกั จะเป็นแบบ “ ปูนแหง้ ” และข้นั ตอนการทำ� ให้
สีคงสภาพได้ถาวรน้ันอยู่ที่ภูมิปัญญาของคนโบราณท่ีสืบสานกันมาจากรุ่นสู่รุ่นไม่มีการบันทึกไว้
แน่นอน เพียงส่งต่อด้วยการปฏิบัติ พอจะสรุปคร่าวๆได้ว่า เร่ิมจากการหมักปูนขาวและเปล่ียน
ถา่ ยน�้ำหลายครง้ั เพือ่ ลดความเคม็ นาน ใช้เวลาประมาณ ๓ เดอื น แล้วจึงน�ำมาผสมกบั สว่ นผสม
ทท่ี ำ� ใหป้ นู มคี วามเหนยี ว สว่ นผสมนจี้ ะทำ� ใหป้ นู ฉาบมคี วามแขง็ และเหนยี วเมอ่ื แหง้ สนทิ หลงั จากนน้ั
ชโลมล้างด้วยน�้ำต้มใบขี้เหล็กเพื่อลดความเป็นด่างอีกคร้ังหน่ึง ก่อนเขียนภาพช่างจะทารองพื้น
โดยใช้ดินสอพองบดละเอียดที่หมักไว้ในน้�ำทิ้งไว้ให้พอหมาดๆ แล้วจึงน�ำมาผสมกับกาวท่ีได้จาก
นำ�้ ตม้ มะขามแลว้ นำ� ไปฉาบผนงั สว่ นสที ใี่ ชน้ ำ� มาจากแรธ่ าตตุ า่ งๆ มาละลายนำ้� ผสมกบั กาวธรรมชาติ
เชน่ ยางมะขวดิ เปน็ ต้น
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองล�ำปาง จังหวัดล�ำปาง
50
เนอ่ื งจากจติ รกรรมฝาผนงั เปน็ โบราณวตั ถทุ ปี่ ระกอบดว้ ยสารประกอบอนิ ทรยี ์ และ อนนิ ทรยี ์
อยดู่ ้วยกัน สารอนิ ทรยี ์จึงเป็นอาหารของส่ิงมีชีวิต เช่นแมลง และ จุลนิ ทรีย์ เช่น เชือ้ รา นอกจาก
จะท�ำอันตรายต่อวัตถุรองรับภาพแล้ว ยังท�ำให้เกิดคราบสกปรกบนภาพอีกด้วย การดูแลรักษา
ตอ้ งใหค้ วาม ส�ำคญั ตอ่ การควบคุมอณุ หภมู ิ ความช้ืนสมั พทั ธ์ และ แสงสว่าง การเสือ่ มสภาพของ
ภาพจติ รกรรมไมว่ า่ จะเรมิ่ เกดิ ขน้ึ จากชนั้ ใดในภาพกจ็ ะสง่ ผลกระทบไปยงั ชน้ั ขา้ งเคยี งและลามไปทวั่
ทั้งภาพ จงึ ควรหม่นั ตรวจ สอบดแู ลภาพจติ รกรรมอย่เู สมอ
ปัญหาและสาเหตทุ ่ที ำ� ใหจ้ ิตรกรรมฝาผนังเส่ือมสภาพ
๑. การวาดภาพด้วยสีธรรมชาติบนผนังปูนแห้งท�ำให้ผลงานเปราะบางและเส่ือมสภาพไป
ตามกาลเวลา รวมท้ังสภาพอากาศทีร่ อ้ นช้นื ทำ� ใหภ้ าพเสียหายไดง้ ่าย
๒. ภาพจิตรกรรมเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติเน่ืองจากการบ�ำรุงรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน
เพราะขาดแคลนงบประมาณ ช่างที่ดูแลขาดความเชี่ยวชาญและอนรุ ักษไ์ มถ่ ูกต้อง
๓. สภาพความชืน้ ภายในอาคาร หลังคารัว่ น้�ำท่วม ทำ� ใหจ้ ติ รกรรมฝาผนงั เสยี หาย
๔. เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของสตั ว์ เชน่ คา้ งคาว นกพริ าบ มด ปลวก ฯลฯ หรอื เปน็ ทางเดนิ ของสตั ว์
๕. เป็นสถานท่ีเพื่อประโยชน์ใช้สอยอื่น เช่น ที่พักอาศัย รวมทั้งการเดินสายไฟ
บนภาพจติ รกรรม หรือ นำ� นาฬิกา ปฏทิ ิน ไปแขวนทับ
๖. การท�ำความสะอาดผนงั โดยใชผ้ า้ ชบุ น�้ำเช็ดถูเพ่ือกำ� จดั ฝนุ่
๗. มีบุคคลใช้ปากกา ดินสอ เขียนชื่อบนงานจิตรกรรม รวมท้ังการขูด หรือ ขีด เป็นชื่อ
บนภาพจิตรกรรม
๘. การถูกท�ำลายโดยการทบุ ทงิ้ เพ่ือสรา้ งอาคารใหม่บนสถานท่เี ดิม
แนวทางในการอนุรกั ษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
การวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วยสีธรรมชาติบนผนังปูนแห้งของศิลปินไทย ซ่ึงต่างจาก
เทคนคิ การวาดภาพบนผนงั ปนู เปยี กของศลิ ปินยโุ รปนน้ั เปน็ สาเหตสุ �ำคญั ทที่ �ำใหจ้ ิตรกรรมฝาผนงั
ของไทยเปราะบาง และเส่ือมสภาพ ประกอบกับสภาพอากาศท่ีร้อนชื้นของประเทศไทย
ทำ� ใหจ้ ิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทยเสอ่ื มสภาพเรว็ ขึ้น การบ�ำรุงรักษาทีด่ ้อยมาตรฐานเนือ่ งจาก
ขาดแคลนงบประมาณประกอบกบั การขาดความเชยี่ วชาญในการบำ� รงุ รกั ษา เปน็ ปจั จยั ประการถดั มา
ท่ที ำ� ให้ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ของไทยมีอายไุ ม่คงทน และเน่อื งจากผ้ทู ีเ่ กี่ยวข้องขาดความตระหนัก
ถงึ คณุ คา่ ทางศลิ ปวฒั นธรรมและประวตั ศิ าสตรข์ องมรดกศลิ ปเ์ หลา่ น้ีเปน็ เหตใุ หภ้ าพจติ รกรรมฝาผนงั
ของไทยหลายแห่ง เมือ่ กว่า ๒๐ ปีที่แล้วต้องสญู หายไป เสมอื นหนง่ึ เปน็ การท�ำลายส่วนหนึ่งของ
มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคณุ ค่าของชาติใหห้ มดส้นิ ไปโดยไมส่ ามารถพลิกฟ้นื คืนกลับมาไดอ้ กี
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปาง จังหวัดล�ำปาง
51
การอนรุ กั ษภ์ าพจติ รกรรมฝาผนงั ทม่ี ปี ระสทิ ธผิ ลตอ้ งมกี ารผนวกเอาองคค์ วามรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยีเข้ามาใช้ด้วย ส�ำหรับการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทยท่ีด�ำเนินการ
โดยงานอนรุ กั ษจ์ ิตรกรรมฝาผนงั กรมศิลปากรน้นั การด�ำเนนิ งานแบ่งเป็น ๒ ข้ันตอน คือ
ขน้ั ตอนเตรยี มการทำ� การสำ� รวจเกบ็ ขอ้ มลู และหลกั ฐาน กจิ กรรมการจดั ทำ� ลำ� ดบั ความเรง่ ดว่ น
ในการอนุรักษ์ ศึกษาคุณค่าและความส�ำคัญและเทคนิคของจิตรกรรม วิเคราะห์ปัญหาจนรู้วิธี
แก้ปัญหาทเี่ ปน็ สาเหตุใหภ้ าพจิตรกรรมเสือ่ มสภาพ
ขนั้ ตอนปฏบิ ตั กิ ารลงมอื อนรุ กั ษภ์ าพจติ รกรรมใหก้ ลบั มามสี ภาพดแี ละคงความสวยงามดงั เดมิ
ตามหลักวิชาการสมัยใหม่โดยใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาผสมผสาน
กับความรแู้ ละเทคโนโลยีของช่างไทยโบราณ
จากการลงพื้นที่ภาคสนามของคณะท�ำงานรวบรวมองค์ความรู้จิตรกรรมฝาผนังในเขต
อ�ำเภอเมืองล�ำปาง ได้ข้อมูลจากเจ้าอาวาส ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้านว่า อุปสรรคและปัญหาท่ีท�ำให้
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั เสอื่ มสภาพโดยสรปุ แลว้ เกดิ จากสาเหตทุ ไี่ ดก้ ลา่ วมาในเบอ้ื งตน้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
เกิดจากฝีมอื มนุษยเ์ อง จึงอาจจะกล่าวไดว้ า่ “ มนษุ ยเ์ ป็นท้งั ผ้สู ร้างและผู้ทำ� ลาย ”
ความเสียหายของจิตรกรรมฝาผนังวิหารวดั สุชาดาราม อำ� เภอเมืองลำ� ปาง จงั หวัดล�ำปาง
ความเสียหายของจติ รกรรมฝาผนังวหิ ารวดั อมุ ลอง อ�ำเภอเถนิ จงั หวดั ลำ� ปาง
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมอื งล�ำปาง จังหวัดล�ำปาง
52
ความเสียหายของจติ รกรรมฝาผนังวหิ าร
วัดช้างเผือก อำ� เภอเมอื งล�ำปาง
จังหวดั ล�ำปาง
ความเสยี หายของจิตรกรรมฝาผนังวหิ าร
วัดนาแสง่ อำ� เภอเกาะคา จังหวดั ล�ำปาง
ความเสยี หายของจิตรกรรมฝาผนงั วหิ าร
วดั แสงเมืองมา อ�ำเภอเมืองลำ� ปาง
จงั หวดั ล�ำปาง
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งลำ� ปาง จังหวดั ล�ำปาง
53
จติ รกรรมบนผวิ กาย
โดย นางกาญจนา ประชาพิพฒั น์ ณ ล�ำปาง
การสกั บนผวิ กายของผคู้ นเปน็ คา่ นยิ มทแ่ี พรห่ ลายในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทง้ั บนผนื
แผน่ ดนิ ใหญ่ และ แถบหม่เู กาะ คนพน้ื เมอื งบนผืนแผ่นดนิ ใหญ่แถบพม่า ไทย ลาว เขมร รวมถึง
ตอนใต้ของจีน เช่น ชาวพม่า ไทใหญ่ ชาวกะฉิ่น ชาวชิน ชาวกะเหร่ียง ไทยวน หรือ คนเมือง
ไทลอ้ื อาจรวมถงึ ชาตพิ นั ธล์ุ วั ะ และชาตพิ นั ธอ์ุ นื่ ทมี่ หี ลากหลายในยา่ นนนี้ ยิ มสกั บนผวิ กายทง้ั หญงิ
และชาย การสักนเี้ รยี กกันในแถบลา้ นนาวา่ “สกั หมกึ ” จดุ ประสงคห์ ลักเพ่อื ความคงกระพนั ชาตรี
ป้องกันภัยอันตราย เพ่ือความสวยงาม หรือ เป็นขนบธรรมเนียมของกลุ่มชาติพันธุ์น้ันๆ รวมถึง
การแสดงความเขม้ แขง็ อดทนตอ่ ความเจ็บปวด เปน็ ตน้
หนังสือ “ท้องถ่ินสยาม ยุคพระพุทธเจ้าหลวง” เป็นหนังสือที่เขียนโดย Carl Bock
นกั ธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ ช่ือภาษาอังกฤษคอื Temples and Elephants งานเขียนของเขา
เป็นงานเขียนประเภทบันทึกประสบการณ์การเดินทางท่ีดีที่สุดเล่มหน่ึง ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์
เปน็ ภาษาเยอรมนั และแปลเปน็ ภาษาองั กฤษ เอกสารฉบบั นขี้ องคารล์ บอ็ ค ไดน้ ำ� ไปใชเ้ ปน็ เอกสาร
อา้ งองิ จากมหาวทิ ยาลยั ตา่ งๆ ในยโุ รปและอเมรกิ า เพราะเปน็ บนั ทกึ ทม่ี ภี าพลายเสน้ กวา่ ๑๐๐ รปู
คาร์ลบ็อกได้เดินทางมาในกรุงสยามยุคแผ่นดินของรัชกาลที่ ๕ และได้ขออนุญาตเข้ามาศึกษา
ภูมศิ าสตร์เมอื่ ปี ค.ศ.๑๘๘๓ (พ.ศ.๒๔๒๖)
คารล์ บอ็ คไดม้ โี อกาสเขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจา้ หลวง ตอ่ มาไดเ้ ดนิ ทางผา่ นไปยงั พระทนี่ งั่ บางปะอนิ
คาร์ลบ็อคเล่าว่า เป็นพระราชวังท่ีมีสถาปัตยกรรมแบบไทยที่ยอดเยี่ยม เช่น พระท่ีนั่งไอศวรรย์
ทพิ อาสน์ที่บางประอิน และวัดทเี่ มอื งละคร (ล�ำปาง)
เม่ือเดินทางมาถึงเมืองระแหงเข้าเขตเมืองละคร (ล�ำปาง) เขาเดินทางโดยนั่งบนหลังช้าง
อากาศเมืองละกอนกลางวันร้อนมาก ตลอดทางเป็นป่าไม้สัก และกองหินแกรนิตก้อนโตๆ
กระจัดกระจายทั่วไป แต่อุณหภูมิกลางคืนต�่ำมาก มีน้�ำค้างตกแรงจนทุกส่ิงทุกอย่างเปียกชุ่ม
ไปหมด เข้าเขตตัวเมืองมีการปลูกต้นยาสูบกันมากตามสองฝั่งแม่น้�ำ เม่ือเข้าถึงเขตของ
เจ้าตั๋มหมู่บ้านใกล้เขตเมืองละคร บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ในหมู่บ้านเลี้ยงช้าง วัว ควาย
ไว้ใช้งานเป็นฝูงๆ มีน้�ำอุดมสมบูรณ์ ผู้คนดูร�่ำรวยและขยันขันแข็ง ส่วนมากปลูกฝ้าย สินค้าของ
คนในหม่บู า้ น คอื ฝา้ ย ยางไม้ เปลอื กไมเ้ มืองละครมีปอ้ มปราการล้อมรอบ โดยป้อมมีความหนา
ประมาณ ๖ – ๘ ฟุต เขาได้เข้าไปพักในศาลา ซึ่งเป็นเรือนไม้เก่าๆ เพื่อรอเวลาท่ีจะได้พบกับ
เจา้ หลวง เมอื่ พบกบั เจา้ หลวงลำ� ปาง แลว้ คารล์ บอ็ คไดร้ บั การเชอ้ื เชญิ ใหไ้ ปนง่ั สนทนาและทานอาหาร
เขาชมว่าเครื่องเงินของล�ำปางน้ันสวยงาม ละเอียด ประณตี มาก และชาวละกอนมีฝมี อื ในการทำ�
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จังหวดั ลำ� ปาง
54
อับหมาก ขนั ตมุ้ หู กำ� ไล สายสรอ้ ย ปน่ิ ฯลฯ และมฝี ีมือในการทำ� เครือ่ งเขนิ ที่ท�ำจากการนำ� ไม้ไผ่
จกั เปน็ เสน้ เลก็ ๆ สานเปน็ รปู ภาชนะขนึ้ รปู ใหส้ วยงามกอ่ น แลว้ เคลอื บดว้ ยนำ�้ มนั ขดั เงาสดี ำ� ทเ่ี รยี ก
วา่ “รกั ” ซำ้� กนั หลายๆครงั้ พอน�้ำรกั แห้ง เขาจะขดั ผิวด้วยซังขา้ ว (แกลบ) และน้ำ� แลว้ จงึ เขยี นรปู
ดอกไม้หรอื ลวดลายต่างๆ พอเสรจ็ ก็จะทาสแี ดงหรอื สีน�้ำตาลอกี ครงั้
คาร์ลบ็อคเล่าว่าท่ีเมืองละครน้ีเขาได้น่ังช้างออกไปส�ำรวจวัดและช่ืนชมวัดหลวงของล�ำปาง
ท่ีงดงามใหญ่โต เป็นที่รวมของคนท่ีมาสักการะบูชาและฟังเทศน์ วิหารสร้างเปิดโล่งไม่มีก�ำแพง
เว้นแต่ด้านหลังสุดท่ีมีแท่นบูชา พ้ืนสร้างด้วยอิฐฉาบปูนสูงข้ึนมาเหนือพื้นดินราวหนึ่งฟุตคร่ึง
มีเสาไม้สักต้นมหึมาลงรักจนหนาและทาสีแดงไว้ คอยรับน้�ำหนักของหลังคา หลังคาวัดแบ่งเป็น
สามตอนด้วยกัน ตอนแต่ละตอนสูงกว่ากันตามล�ำดับและแต่ละตอนใช้หลังคาสามชั้นมุงด้วย
กระเบอื้ งเลก็ ๆ หนา้ จว่ั นน้ั แกะสลกั อยา่ งละเอยี ด ดว้ ยลวดลายคลา้ ยงู ปดิ ทองจนหนา ฝงั ดว้ ยกระจก
สีฟา้ เขยี ว แดง ขาว นับจ�ำนวนไมถ่ ว้ น ซ่งึ เมื่อกระทบแสงแดดแล้วยง่ิ สวยงามเปน็ ที่สุด ยอดของ
หลงั คาแตล่ ะยอดมชี อ่ ฟา้ แหลมสงู ขนึ้ ไป ตามชายคาตรงทางเขา้ กแ็ กะเปน็ ลวดลายอยา่ งละเอยี ดลออ
ตรงทางเขา้ ดา้ นขวามฉี ากระบายสเี ปน็ ภาพพทุ ธประวตั ิ ภายในวหิ ารไมม่ เี กา้ อห้ี รอื ทนี่ งั่ พระภกิ ษสุ งฆ์
และอุบาสกอุบาสิกาจะนั่งกับพื้น ตรงกลางมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นปูนปิดทองจนหนา
พระเนตรฝังด้วยเปลือกมุก ห่มจีวรพาดพระอุระและมีฉัตรซ่ึงเป็นเครื่องหมายของความสูงศักด์ิ
สูงสงา่ อยูเ่ หนือพระเศียร
คารล์ บอ็ คเลา่ วา่ ตอนไปวดั หลวงไดพ้ บอาจารยส์ กั หมกึ ทา่ นหนง่ึ เปน็ ชาวพนื้ เมอื งกำ� ลงั นง่ั สกั ให้
ชายหนุม่ คนหนึง่ ทน่ี อนทนให้สกั อยไู่ ด้ทั้งๆท่ีคงเจบ็ ปวดมาก ตามธรรมเนียมของผชู้ ายทน่ี น่ี ยิ มสัก
ร่างกาย ตงั้ แต่ใต้สะดอื ลงมาเลก็ นอ้ ยจนถึงหัวเขา่ ซงึ่ ไมเ่ หมือนกบั เพือ่ นบา้ นคือ พวกพมา่ หรอื เงย้ี ว
กลา่ วคอื คนทางเหนอื ไมไ่ ดส้ กั เพอ่ื เปน็ เครอ่ื งหมายแสดงยศถาบรรดาศกั ด์ิ แตส่ กั เพอื่ ความสวยงาม
และเพ่อื รักษาธรรมเนียมของตนไวม้ ากกว่า
รูปทเ่ี ลือกสกั มกั เปน็ รูปแบบเดยี วกนั หมดไม่ว่าจะเปน็ ใคร ใช้สเี พียงสีเดียวคือ สีดำ� ลวดลาย
ที่ใชส้ กั มใี หเ้ ลือกตามความประสงคข์ องผมู้ าสกั
สที ใี่ ชส้ ักท�ำมาจากควันของน�ำ้ มันหมูจุดไฟ เขมา่ ท่ีได้ก็เกบ็ เอาไว้ในหมอ้ ดิน แลว้ นำ� มาผสม
กับน้�ำดขี องววั ป่า หมหี รอื หมู ผสมน้�ำเล็กนอ้ ย ให้ไดส้ ว่ นถูกตอ้ ง พอเอาถเู ขา้ ไปเพียงคร้งั เดยี วกล็ บ
สีนีไ้ ม่ออก เครื่องมอื ทใ่ี ชส้ ักมี ๒ ชนิด ชนดิ แรกเปน็ เหล็กแผน่ แบนๆ จักเปน็ ซ่ๆี แหลมๆ คลา้ ยกับ
คราดของคนเก่ยี วขา้ ว ใชส้ �ำหรบั ร่างลวดลายหยาบๆ หรอื ท่มิ ให้เป็นจดุ ๆ
อกี ชนดิ หน่งึ เป็นเหล็กแหลมทำ� ด้วยเหล็กท้ังแทง่ ตรงปลายจะแหลมมาก ข้างในเป็นรูกลวง
ตามยาวเพ่ือจะได้ใส่สี เขาใช้เหล็กแหลมนี้ท่ิม จิ้มให้เป็นลวดลายต่างๆ ใต้ผิวหนัง ลวดลายท่ีสัก
กไ็ ม่เปลย่ี นแปลงเป็นอย่างอืน่ จ�ำกัดอย่แู ตร่ ปู สัตว์ เช่น ค้างคาว หมู แร้ง นก หรือสัตวร์ า้ ยทเี่ ด่น
ในบรรดาสัตวร์ ้ายทงั้ หลาย คือ ราชสีหใ์ นนิยาย
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองลำ� ปาง จังหวัดลำ� ปาง
55
คารล์ บอค (Carl.Bock) ผ้เู ขยี นเร่อื ง
TEMPLES and ELEPHANTS
วิหารวดั หลวงกลางเวยี ง เม่อื พ.ศ.๒๕๒๔
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปาง จังหวดั ลำ� ปาง
56
นายคาร์ลบ็อคได้กล่าวว่าได้สอบถามอาจารย์สักลายของเมืองละคร (ล�ำปาง) ให้สเก็ตซ์
ลวดลายที่ผู้คนชอบใช้ลายสักกัน ครูสักได้ให้ดูไม้กระดานบางๆ แผ่นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวๆ
ตามขอบแต่ละด้าน ใช้กรอบหุ้มไว้ และใช้รักทาเสียหนาทั้งสองด้าน จนผิวหนังเรียบและขึ้นมัน
ใช้แทนกระดานชนวน หรือกระดานส�ำหรับวาดรูป แกเร่ิมวาดรูปสัตว์ต่างๆ ที่จ�ำได้ต่อๆ
กันไปในกระดานนี้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งสัตว์ประหลาดรูปต่างๆ แปลกๆ ซ่ึงต่อมาได้ขอให้ครูสัก
วาดลงในกระดานใหม่ ค�ำอธิบายรปู ภาพมีรูปท่ีอยใู่ นรอยสกั คอื นกยูง รอบเอวมสี ัตวใ์ หญ่ ๔ ตัว
และบริเวณต้นขาและนอ่ งมีดง้ น้ี
๑. หนู ๙. ราชสหี ์
๒. เมฆหรือลม ๑๐. นกกาบบวั
๒. นกกระจาบ ๑๑. สงิ โต
๔. นกแร้ง ๑๒. เสือ
๕. สงิ โต ๑๓. เก้ง
๖. ค้างคาว ๑๔. ชา้ ง
๗. เหน็ (ชะมดชนิดหนง่ึ ) ๑๕. ลงิ
๘. เต้น ๑๖. หนุมาน
วนั หนง่ึ ๆ ครสู กั จะสกั กนั วนั ละ ๒ ครงั้ จงึ จะไดค้ รบรปู สตั ว์ ตอ้ งลงรอบแรกกอ่ น คอื สกั ครา่ วๆ
เพื่อกันผิดพลาด จะแทงให้เป็นลวดลายอย่างละเอียด แล้วจึงทาน�้ำมันเข้าไปให้ท่ัวภายหลัง
จึงเตมิ ต่อจากนนั้ จงึ เตมิ เสน้ หยกั ในชอ่ งว่างระหว่างลวดลายนนั้ ๆ
ลายสกั รูปสงิ ห์ ลายสกั บนผวิ กายของคนล�ำปาง
ปี พ.ศ. ๒๔๒๔
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมอื งล�ำปาง จงั หวัดล�ำปาง
57
เส้นทางสเู่ มืองละคร (ล�ำปาง)
คาร์ลบ็อคยังบรรยายไว้ว่า ละครเป็นเมืองกว้างมีต้นสักหนาแน่น มีช้างจ�ำนวนมาก และ
ยังมีแรธ่ าตุ คือมีเหมืองแรเ่ หล็ก และสินแร่ก�ำมะถันจำ� นวนมาก ซง่ึ เขาแน่ใจวา่ ภูเขาเขตใกล้เคยี ง
จะตอ้ งเต็มไปดว้ ยทองแดง ชาวเมืองละครเปน็ ช่างโลหะทม่ี ีฝีมือและสามารถทำ� ปืนไวใ้ ชเ้ อง
นอกจากช้างป่าทมี่ ีจ�ำนวนมากยังมีโรงเล้ยี งช้างอยูใ่ นตัวเมืองหลายแหง่
(คดั จากบนั ทกึ การเดนิ ทางของคารบ์ อ็ ค ตพี มิ พใ์ นนติ ยสารศลิ ปวฒั นธรรมฉบบั พเิ ศษ “มหาอำ� นาจ
ยโุ รปต้องการเขมอื บ ..ทอ้ งถ่ินสยามพระพทุ ธเจ้าหลวง” แปลโดย เสฐยี ร พนั ธรงั ษ,ี อมั พร ทีขะระ
เรียบเรยี งจาก Temples and Elephants by Carl Bock)
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จงั หวดั ลำ� ปาง
58
ทศชาตชิ าดก (พระเจา้ สบิ ชาต)ิ
โดย ทองดี ปิงใจ
เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว ถึงพุทธศตวรรษท่ี ๓ รัชสมัยพระเจ้า
อโศกมหาราชพระมหากษตั รยิ ท์ ท่ี รงปกครองอนิ เดยี สมยั นน้ั พระองคท์ รงเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา
ทรงจดั ใหม้ กี ารทำ� สงั คายนาพระไตรปฎิ กครง้ั ที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๓๖ ณ วดั อโศการาม นครปาฏลบี ตุ ร
แคว้นมคธ(ปัจจุบนั คอื เมืองปตั นะ รฐั พหิ าร) ทรงอาราธนาพระโมคคลั ลบี ุตรติสสเถระเป็นประธาน
และหลงั จากนนั้ พระโมคคลั ลบี ตุ รไดจ้ ดั คณะธรรมทตู ออกเปน็ ๙ สาย เพอ่ื ไปเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนา
ในดินแดนต่างๆ คณะที่ ๘ มีพระโสณะเถระและพระอุตตระเถระเป็นหัวหน้า เข้ามาเผยแพร่
ในสวุ รรณภมู พิ มา่ ไทย ลาว เขมร เวยี ดนาม มาเลยเ์ ซยี และสงิ คโปร์ พระพทุ ธศาสนาในสมยั ลา้ นนานน้ั
ไดม้ พี ระสงฆไ์ ปศึกษาพระไตรปิฎกทส่ี โุ ขทยั ในรัชสมยั พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ พญาลไิ ทย ซ่งึ ก่อน
หนา้ นนั้ สมยั พอ่ ขนุ รามคำ� แหงไดน้ มิ นตพ์ ระสงฆน์ กิ ายเถรวาทจากเมอื งนครศรธี รรมราชมาทส่ี โุ ขทยั
และพระญาลิไทย ได้พระราชนิพนธ์ ไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา) การเข้ามาของเรื่อง
ไตรภมู พิ ระรว่ ง,และพระเจา้ สบิ ชาติ คงเขา้ มาพรอ้ มกบั พระสมุ นะเถระ (รายละเอยี ดใน มงคล ถกู นกึ ,
วิถจี าวหละกอน,วนิดาการพมิ พ์,๒๕๕๙)
การศึกษาในล้านนานัน้ มีการเรียนทวี่ ดั ตอนแรกพอ่ แม่ ผ้ปู กครองจะพาลกู หลานไปอยู่ที่วัด
เพ่อื เปน็ ขะยม(เด็กวดั ) การศึกษาที่วัด มี ๓ ระดับ คือ ๑. ครสู อนขะยม คอื ตุ๊หนาน ๒. ครูสอน
สามเณร คือ ตุ๊บาลก๋า หรือพระครูใบฎีกา (เทียบเท่าระดับมัธยม) ๓. ครูสอนระดับพระภิกษุ
คอื ตหุ๊ ลวง ไดแ้ กเ่ จา้ อาวาส นอกจากนย้ี งั มฆี ราวาส ผทู้ รงความรู้ คอื นอ้ ย(ผสู้ กึ ออกมาจากสามเณร)
และ หนาน (ผสู้ กึ ออกมาจากพระภกิ ษ)ุ ผผู้ า่ นการบวชเรยี นมาแลว้ สอนวชิ าสามญั ทางโลก การศกึ ษา
ในล้านนามีการเปล่ียนแปลงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพ่ือให้การศึกษาสร้างเอกภาพความม่ันคง
และเพอ่ื ปอ้ งกนั การคกุ คามจากจกั วรรดนิ ยิ มตะวนั ตก ชว่ งเวลานน้ั องั กฤษเขา้ ยดึ ครองพมา่ องั กฤษ
รบกับจนี ในสงครามฝ่ิน และบงั คับให้จีนเปิดเมืองทา่ และต้องยกฮอ่ งกงให้อังกฤษ (วิบูลย์ ทานุชิต
การปฏริ ปู การศกึ ษาในมณฑลพายพั ,วทิ ยานพิ นธ,์ ๒๕๒๘) ในงานวจิ ยั ของวบิ ลู ยอ์ าศยั หลกั ฐานทาง
ประวตั ิศาสตรว์ ิเคราะห์ แต่มงี านหลายเลม่ โดยเฉพาะงานวจิ ัย วิทยานิพนข์ องสำ� นักประวตั ศิ าสตร์
มช. ผมอ่านงานของ ศ. สรสั วดี อ๋องสกลุ ประวัติศาสตร์ล้านนาตงั้ แต่หน้าแรก ถงึ หน้า ๔๕๐ หน้า
๔๕๑ ขอชน่ื ชมว่าเขยี นไดล้ ะเอียดเจาะลึกแตต่ ิดใจที่ใชค้ �ำวา่ “รัฐไทยใหม”่ หรอื ค�ำวา่ “สญั ลกั ษณ์
อ�ำนาจใหม่” และที่ใช้ภาษาของนักประวัติศาสตร์แนว คาร์ล มาร์กซ์ Karl Marx ใช้กันมาก
อ้างว่า รัชกาลท่ี ๕ “ ปฏบิ ัติการทำ� ลายลา้ งสัญลกั ษณ์แห่งอ�ำนาจทอ้ งถน่ิ ” (อา้ งแลว้ หน้า ๔๕๑)
ซึ่งเป็นการใชท้ ฤษฎีทางสังคมวทิ ยาเพียงทฤษฎีเดยี วมองประวัติศาสตร์ท�ำใหเ้ กิดอคติ ในการเขยี น
ประวัตศิ าสตรต์ ามอำ� เภอใจมิได้เขยี นตามหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จังหวดั ล�ำปาง
59
ในอดีตการศึกษาอบรมเพอื่ ให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เปน็ พลเมอื งดี ละช่ัว กระท�ำดี มีเมตตา
ต่อผู้อ่ืน รักชาติบ้านเมือง มีความกตัญญูกตเวทิตาต่อผู้มีพระคุณ และเป็นการสอนให้ผู้ปกครอง
บา้ นเมอื งมธี รรมะในการบรหิ ารปกครองเปน็ การสอนผา่ นผรู้ ู้ครูอาจารย์พระภกิ ษุหากจะนำ� หลกั ธรรม
คำ� สอนของพระพทุ ธเจ้าสอนโดยตรง อาจท�ำใหผ้ ู้เรยี นไมเ่ ขา้ ใจหรือเข้าใจยาก ดงั น้ัน พระพุทธเจ้า
จงึ ทรงสอนผา่ นชาดก ชว่ งใน ๒-๓ ทศวรรษทผ่ี า่ นมาในแวดวงการศกึ ษาทางตะวนั ตก ไดห้ นั กลบั มา
ใชก้ ารสอนเดก็ เลก็ ผา่ นนทิ าน ซง่ึ ทางสงั คมตะวนั ออกพระพทุ ธเจา้ ทรงใชว้ ธิ นี ม้ี านานกวา่ สองพนั ปี
คือ สอนธรรมะผ่านชาดกแสดงวา่ พระพุทธเจา้ ทรงเข้าใจจติ วทิ ยาอยา่ งลกึ ซ้งึ รู้จริง รู้แจง้
ปัญหาอาชญกรรมฆาตกรเกดิ จาก ๒ ประการ คือ กรรมพนั ธุ์ และส่ิงแวดลอ้ ม ในบทความ
น้ีจะขอน�ำเสนอเน้นเร่ืองส่ิงแวดล้อม การเล้ียงดูของพ่อแม่ ผู้ปกครอง โดยคนโบราณเข้าใจและ
สงั่ สอนกนั ตอ่ มาคอื “ไมอ้ อ่ นดดั งา่ ย ไมแ้ กด่ ดั ยาก” การเลย้ี งดู ตามงานคน้ ควา้ ของ อลั เฟรด แอดเลอร์
(Alfred Adler) เชน่ ลกู คนแรก จะมบี คุ ลกิ ภาพ มคี วามรบั ผดิ ชอบสงู เชอื่ มน่ั ในตนเอง ชอบชว่ ยเหลอื
ผู้อื่น ลูกคนกลางมีความทะเยอทะยานสูง อดทนด้ือรั้น โดยมีความคิดว่าพ่อแม่รักพี่และน้อง
มากกว่าตนเอง ลูกคนสุดท้องมักจะได้รับการตามใจจากพ่อแม่พ่ีๆ มีลักษณะเป็นคนเอาแต่ใจ
ตนเอง ชอบขอความชว่ ยเหลือ ไมร่ ู้จกั โต (อา้ งใน เตมิ ศักด์ิ คทวณชิ จติ วทิ ยาทวั่ ไป ๒๔๒ -๒๔๓)
การเลย้ี งดแู บบตามใจ (Spoiled child) เดก็ จะเปน็ คนทข่ี าดเหตผุ ล เอาแตใ่ จตนเอง ไมค่ ดิ ตอบแทน
ผู้อื่นและสงั คม เดก็ ทีถ่ ูกเลี้ยงแบบทอดท้ิง (Neglected child) เชน่ เกิดจากพ่อแม่แยกทางกัน หรอื
ครอบครวั ยากจน บคุ คลกิ เปน็ คนตอ่ ตา้ นสงั คม ชอบวางอำ� นาจขม่ ขู่ ปรบั ตวั ยาก (อา้ งแลว้ เรอื่ งเดมิ )
ส่วนแนวทางแก้ไข งานของ ซกี มุนด์ ฟรอยด์ และอีริค อีรคิ สันไดเ้ สนอแนวทางดังนี้ วยั แรกเกดิ ถึง
๑ ขวบ ตอ้ งเอาใจใส่
ขั้นตอนท่ี ๑ การพัฒนาเช่น เด็กมีความสุขข้ันใด ขั้นปาก ข้ันทวาร ขั้นอวัยวะเพศ
ตอนตน้ ขนั้ อวยั ะเพศตอนปลาย เชน่ หากเดก็ หยา่ นมไว จะมบี คุ ลกิ เชน่ การตดิ สรุ า ตดิ บหุ ร่ี ยาเสพตดิ
ของขบเค้ียว(หนว่ ยงานที่ท�ำงานด้านสุขภาพต้องรณณงค์ให้มาก)
ขนั้ ตอนที่ ๒ อายุ ๑-๓ ขวบวธิ กี าร สรา้ งความนา่ เชอื่ ถอื ใหก้ บั เดก็ ใหเ้ อาชนะความขลาดกลวั
และให้ได้สัมผสั ความสำ� เรจ็ จากการต้งั ใจ
ข้นั ตอนที่ ๓ อายุ ๓-๖ ขวบ รู้จักริเรม่ิ สร้างสรรค์และข่มใจ (เชน่ เดก็ อาจหยิบของเลน่ เพอ่ื น
ดนิ สอ ยางลบกลับบ้าน พอ่ แม่ ผปู้ กครองตอ้ งให้นำ� ไปคืนเพือ่ น)
ขนั้ ตอนท่ี ๔ อายุ ๖-๑๒ ขวบ ฝึกความขยนั เอาชนะความรสู้ กึ ผิด สัมผัสกบั ความสำ� เรจ็
จากความสามารถของตน
ขั้นตอนท่ี ๕ อายุ ๑๒-๑๘ ปี สร้างอัตลกั ษณแ์ ละปอ้ งกันการสบั สนในบทบาทของตนเอง
(พฒั นาการทางเพศ) สัมผัสความสำ� เรจ็ จากความซือ่ สตั ย์
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมืองล�ำปาง จงั หวัดล�ำปาง
60
ขน้ั ตอนท่ี ๖ อายุ ๑๘-๒๕ ปี ใชค้ วามใกลช้ ดิ ผกู พนั มาหลกี เลย่ี งความอา้ งวา้ ง สมั ผสั ความรกั
ที่เกิดขนึ้
ข้ันตอนที่ ๗ อายุ ๒๕-๕๐ ปถี า่ ยทอดและอบรมคนรนุ่ หลัง สัมผัสถงึ ความเอาใจใสข่ องคน
รอบขา้ ง(ตอนน้ีมโี ฆษณาเลกิ เหล้ากลายเปน็ เด็กสอนผู้ใหญ)่
ขน้ั ตอนท่ี ๘ บน้ั ปลายชวี ติ หลกี เลยี่ งความผดิ หวงั และโกรธเกลยี ด สมั ผสั ถงึ สตปิ ญั ญาทเี่ กดิ ขน้ึ
ตอ้ งรู้จักปลง( เหยา เหยา เขยี น ธนาพร สงั ขวฒุ ชิ ัยกลุ แปล คุณเป็นคนปกติหรือไม่, อมรนิ ทร์
ฮาวท,ู ๒๕๖๐)
ผู้เขียนเห็นว่าเราต้องการพัฒนาไปไกลในอนาคต เราต้องศึกษาอดีตย้อนหลังอย่างลึกซ่ึง
ทั้งความส�ำเร็จและความล้มเหลว เพื่อมิให้ผิดพลาดในอนาคต ปี ๒๕๖๓ ข่าวกรณี ผอ.โรงเรียน
ปล้นร้านทองและฆ่าคน สิงหาคม ๒๕๖๔ ข่าวกรณี ผกก.ต�ำรวจใช้ถุงพลาสติกคุมหัวผู้ต้องหา
จนเสยี ชวี ติ ลว้ นเกดิ จากหลกั สตู รพฒั นาคนเกง่ แตข่ าดคณุ ธรรมถงึ เวลาทสี่ งั คมไทยตอ้ งยอ้ นศกึ ษาอดตี
จึงเป็นแนวคิดในการศึกษาจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่างๆ นอกจากชาดกพระเจ้าสิบชาติแล้ว
ยงั มพี ระสงฆช์ าวเชยี งใหม(่ ลา้ นนา) แตง่ หนงั สอื ปญั ญาสชาดกจำ� นวน ๕๐ ผกู (๕๐ เรอ่ื ง) และพมา่ เอง
ก็มีการน�ำไปเทศน์ให้ชาวบ้านฟัง พม่าเรียกว่า “เชียงใหม่ปัณณาส” ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ทรงมี
พระราชวิจารณ์ ว่า เป็นการสอนให้เห็นตัว(ละคร)ดี และ ตัว(ละคร)ช่ัว คือสอนเรื่องท�ำดีได้ดี
ท�ำชัว่ ได้ช่วั และภายหลงั มกี ารเผยแพรไ่ ปยังภาคอ่นื ๆ เชน่ เรอ่ื งสมทุ รโฆส พระสุธนนางมโนราห์
สังขท์ อง พระรถเสน และเรื่องคาวี (สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ, ปัญญาสชาดก, ไม่ทราบ
ปที ่ีพิมพ์)
นอกจากปัญญาสชาดกยังมี ชาดกท่มี กี ารแต่งขยายคอื ชาดก ๕๐๐ เรื่อง กล่าวคือในทาง
ทฤษฎีคติชนวิทยา วิธีวิทยาในการวิเคราะห์ต�ำนาน-นิทานพื้นบ้าน(ชาดก)น้ัน ขอยกตัวอย่างเร่ือง
สังข์ทองซ่ึงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเน้ือหาในชาดก น�ำเน้ือเรื่องบางตอนไปแต่งเป็นชาดกเรื่องใหม่
จาก ๕๐ เรอ่ื ง เปน็ ๕๐๐เรอื่ ง แตง่ พฤตกิ รรมตวั ละครใหมใ่ นโครงสรา้ งเดมิ (วชั ราภรณ์ ๒๕๔๖ อา้ งใน
ทฤษฎีคติชนวิทยาฯ ศิริพร ณ ถลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๔๘) และเมื่อ ๓ ทศวรรษ
ที่ผา่ นมา กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการไดม้ กี ารจดั พมิ พ์ นทิ านชาดก แจกตามโรงเรยี นตา่ งๆ
ท่วั ประเทศ เม่ือปี ๒๕๓๕ เลม่ ๑ ถึง เลม่ ๓ เชน่ เล่ม ๑ เรือ่ งกวางป่า โจรเรยี กค่าไถ่ นกกระจาบ
๒ ฝูง ฯลฯ ส่วนเล่มอื่นมเี รอื่ ง กาละโมบ มา้ ขากะเผลก พ่อค้าเร่ ฯลฯ ผูเ้ รยี บเรียงคือ นายจำ� รสั
ดวงธสิ าร ในแตล่ ะเรอื่ งลว้ นใหค้ ตสิ อนใจ และเปน็ การสอนทด่ี ยี งิ่ มอี ปุ กรณก์ ารสอนมภี าพประกอบ
ในแวดวงวิชาการทางตะวันตก ได้ให้ความสนใจแนวคิด ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เป็นแนวคิด
คำ� สอน แนวทางปฏบิ ตั ทิ ท่ี ำ� ใหส้ งั คมโลกลดความขดั แยง้ สรา้ งสนั ตสิ ขุ สรา้ งความสงบสขุ ลดปญั หา
เชน่ ความกา้ วรา้ ว ความรนุ แรง ปญั หาความเครยี ดซงึ่ เปน็ บอ่ เกดิ การทำ� รา้ ยผอู้ น่ื การทำ� รา้ ยตนเอง
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งลำ� ปาง จงั หวัดลำ� ปาง
61
ซึมเศร้า เป็นต้น “ ความเมตตากรุณากับใคร(หรือต่อตนเอง)อย่างง่ายๆน้ี จะไปกระตุ้นรากฐาน
ของระบบประสาททเี่ กย่ี วขอ้ งเพอ่ื อนุ่ เครอื่ งใหพ้ รอ้ มทจ่ี ะทำ� ใหบ้ คุ คลมอบความเมตตาใหก้ บั ตนเองได้
(การยอมรับว่าตนเองผิดพลาดได้ คนอ่ืนก็ผิดพลาดได้ ต้องรู้จักการให้อภัย) รากฐานของระบบ
ประสาทที่เกี่ยวข้อง กม็ ีสารออกซิโตซิน สมองสว่ นอินซลุ า ซ่งึ คอยส�ำรวจสภาพภายในของร่างกาย
และคอรเ์ ทกซก์ ลบี หนา้ ผากสว่ นหนา้ (ดร.รคิ แฮนสนั และนพ.รชิ ารด์ เมนดอิ สั เขยี น ดร.ณชั ร สยาม
วาลาแปล Buddha’s Brain สมองแหง่ พทุ ธะ อมรนิ ทรธ์ รรมะ ,๒๕๕๘) และมอี กี ๒เลม่ ทนี่ ำ� แนวคดิ
คำ� สอนของพระพทุ ธเจ้าไปศึกษาคน้ ควา้ ปฏบิ ัตจิ นเกิดมรรคเกิดผล ตวั อย่างการใหอ้ ภยั คอื ชาดก
เรื่องพระเวสสันดร และเรื่องแนวทางสร้างความส�ำเร็จในหน้าท่ีการงานตามแนวพระพุทธเจ้า
คอื เรอื่ ง Just One Thing ทำ� ทลี ะอยา่ ง (ดร.รคิ แฮนสนั เขยี น ดร.ณชั ร สยามวาลาแปล) สว่ นเรอื่ งการ
พฒั นาตนเอง การมองโลกในแง่ดี คดิ ทางบวก ชวี ติ ก็จะมแี ตส่ ุข สมองคดิ ดี ใจเปน็ สุข (Hardwiring
Happiness สมองสร้างสุข เขียนโดย ดร.รคิ แฮนสัน แปลโดยดร. ณชั ร สยามวาลา แปล)”
ปญั หาสงั คมนบั วนั มมี ากขนึ้ เพราะระบบการศกึ ษาเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามเจรญิ ดา้ นสตปิ ญั ญา
(ไอคิว)แตม่ ิได้เน้นจริยศกึ ษา (อีคิว) ล่าสุดปลายเดอื นกันยายน พ.ศ.๒๕๖๔ นักเรียน ม.๖ นำ� เงินท่ี
ไดจ้ ากประกันชีวิตพอ่ ไปเล่นการพนันแชร(์ ออนไลน)์ แลว้ ถกู โกงแกป้ ญั หาโดยการไปปลน้ ร้านทอง
ด้วยมีดถูกจับได้ ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนอ้างว่า นักเรียนคนนี้เรียนเก่ง(เป็นคนดี) ดังน้ันนักเรียนก่อ
อาชญากรรม มสี าเหตจุ ากการมีปญั ญาแตข่ าดสติ ( เหยา เหยา เขยี น, ธนาพร สังขวฒุ ชิ ัยกลุ , แปล
คณุ เปน็ คนปกตหิ รอื ไม)่ ดงั นนั้ การศกึ ษาตอ้ งเนน้ ใหผ้ เู้ รยี นเปน็ คนเกง่ คนดี รจู้ กั การควบคมุ ตนเอง
มสี ติ รจู้ กั หาทรพั ย์ รจู้ กั รกั ษาทรพั ย์ ไมโ่ ลภ รจู้ กั พอเพยี ง ตามพระราชดำ� รขิ องพระเจา้ อยหู่ วั รชั กาล
ที่ ๙ (คณุ ธรรมน�ำความรู้ เศรษฐกิจพอเพียง)
ในชาดกพระเจา้ สบิ ชาตเิ ปน็ ชาดกทใี่ หข้ อ้ คดิ ทงั้ แกป่ ระชาชนทว่ั ไปรวมถงึ ผบู้ รหิ ารบา้ นเมอื ง
ทอี่ าจจะนำ� ไปใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การดำ� เนนิ ชวี ติ ใหเ้ ปน็ ปกตสิ ขุ ตอ่ ไปนเี้ ปน็ การสรปุ ยอ่ เนอ้ื เรอ่ื ง
ของชาดกพระเจ้าสิบชาติ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจยังจ�ำได้ บางท่านอาจลืมไปแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่า
ชาดกพระเจา้ สิบชาตเิ ป็นอกาลิโกคอื ไม่ลา้ สมัยทั้งปจั จุบันและอนาคต
พระเจ้าสิบชาติหรือการบ�ำเพ็ญทศบารมีของพระโพธิสัตว์ก่อนการตรัสรู้เป็นสมเด็จ
พระสมั มาสมั พุทธเจา้ มีดงั ต่อไปน้ี
พระเจา้ สบิ ชาติ หรือ ทศบารมี
พระชาติท่ี ๑ พระเตมีย์ แปลว่า ผู้ท่ีท�ำให้เกิดความชุ่มฉ�่ำ พระโอรสของพระเจ้ากาสี
และพระนางจนั ทาเทวีพระเตมยี ก์ มุ ารเกดิ ระลกึ ชาตไิ ดว้ า่ ในอดตี ชาตพิ ระองคเ์ ปน็ กษตั รยิ ์ครองราชสมบตั ิ
๒๐ ปี พระองคต์ ดั สนิ ประหารชวี ติ คนทำ� ผดิ มากมาย เพราะบางคนอาจไมม่ คี วามผดิ จรงิ ครน้ั ตายไป
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จงั หวัดลำ� ปาง
62
พระองคต์ กนรกไป ๘๐,๐๐๐ ปี เมอ่ื เกดิ เปน็ มนษุ ยอ์ กี ครงั้ จงึ ไมต่ อ้ งการเปน็ กษตั รยิ อ์ กี พระองคท์ รง
แกลง้ เปน็ เดก็ พกิ ารงอ่ ยเปลย้ี หหู นวกเปน็ ใบ้ บรรดาโหรหลวงไดท้ ำ� นายวา่ พระเตมยี เ์ ปน็ ตวั เสนยี ด
จญั ไร หากเลย้ี งตอ่ ไป จะเกดิ อาเพศ ๓ อยา่ งคอื ๑. พระเจา้ กาสตี อ้ งสวรรคต ๒. พระนางจนั ทาเทวี
ตอ้ งสวรรคต๓.ราชบลั ลงั คจ์ ะถกู โคน่ ดงั นนั้ มที างออกทางเดยี วคอื ใหน้ ำ� พระเตมยี ไ์ ปฝงั ทงั้ เปน็ ตอ่ มาเมอื่
พระเตมีย์ มีอายุ ๑๖ ปี มีการรกั ษา ทดสอบหลายอย่าง พระเตมยี ไ์ ม่พดู จาใดๆ พระเจ้ากาสมี ีรับสง่ั
ให้นายสุนันทะสารถีน�ำพระเตมีย์ไปฝังท้ังเป็น เมื่อรถม้าออกจากเมืองถึงป่าทึบ พระเตมีย์เดินลง
จากรถม้า นายสุนันทะเห็นเช่นนั้นได้ทราบว่าพระเตมีย์มิได้เป็นใบ้ พิการง่อยเปล้ีย จึงอัญเชิญ
พระเตมยี ก์ ลบั วงั พระเตมยี บ์ อกกบั นายสนุ นั ทะวา่ จะขอบวชปฏบิ ตั ธิ รรมเปน็ ฤาษอี ยใู่ นปา่ นายสนุ นั ทะ
ไปกราบทูลพระเจ้ากาสแี ละพระนางจันทาเทวีให้ทราบ ทง้ั สองพระองค์ทรงออกบวชดว้ ย
พระชาติที่ ๒ พระมหาชนก เป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าอริฎฐชนกแห่งเมืองมิถิลา
พระมารดาไมป่ รากฎพระนาม พระบดิ าสวรรคตต้งั แตพ่ ระมหาชนกยงั อยู่ในพระครรภ์ พระมารดา
พระบดิ าทำ� สงครามกบั พระเจา้ โปลชนกพระอนชุ า และพา่ ยแพใ้ นสงคราม พระมารดาลภ้ี ยั สงคราม
ไปยงั เมอื งกาฬจมั ปาก์ เมอื่ ประสตู ิ นำ� เอาชอื่ พระเจา้ ปมู่ าตงั้ ชอ่ื พระโอรสวา่ “มหาชนก” ตอนวยั เดก็
มหาชนกถูกเพ่ือนๆล้อเลียนว่า “ลูกก�ำพร้า” พระมารดาทรงเล่าความจริงให้พระมหาชนกทราบ
คร้ันพระองค์พระชนมายุ ๑๖ ปี ได้ทูลขอพระมารดาเดินทางไปเมืองมิถิลา เพ่ือแก้แค้นแทน
พระบดิ า และขอทนุ จากพระมารดาไปค้าขายเพื่อน�ำเงนิ มาซอื้ อาวธุ สะสมไว้ พระมารดาห้ามเร่อื ง
แก้แคน้ แตป่ ระทานทรัพยใ์ หไ้ ปค้าขาย ในวนั ทพี่ ระมหาชนกจัดซือ้ สนิ ค้าลงเรือเตรียมออกเดินทาง
ทางเมืองมิถิลาเกิดเหตุการณ์ คือ พระเจ้าโปลชนกประชวรหนัก เม่ือขบวนเรือของมหาชนก
จากเมอื งจมั ปากแ์ ลน่ ออกจากทา่ ไดเ้ พยี ง ๓ วนั เกดิ ลมพายกุ ลางทะเล เรอื อบั ปางกลางทะเล ลกู เรอื
บางคนตกใจจมนำ�้ บางคนถกู ฉลามกดั สว่ นพระมหาชนกกอ่ นทเี่ รอื จะอบั ปางพระองคท์ รงคลกุ นำ้� ตาล
กรวดกบั เนยใสเสวยจนอม่ิ แลว้ เอาผา้ เนอื้ เกลยี้ งมา ๒ ผนื ชบุ นำ�้ มนั ทรงนงุ่ ผนื หนงึ่ คาดบนั้ เอวผนื หนงึ่
พระองค์ปีนข้ึนเสากระโดงเรือ แล้วกระโดดไปไกลจากที่เรืออับปาง ท�ำให้พระมหาชนกรอดพ้น
จากฉลาม และวนั นัน้ ทีเ่ มอื งมิถิลาพระเจา้ โปลชนกสวรรคต พระมหาชนกว่ายนำ้� อยูก่ ลางทะเลได้
๗ วัน
ฝ่ายนางมณีเมขลาผู้มีหน้าท่ีตรวจดูทะเลเห็นพระมหาชนกก�ำลังว่ายน้�ำอยู่ จึงได้ถามว่า
มีจุดหมายใด พระมหาชนกได้เล่าความจริงให้นางมณีเมขลาฟัง และนางมณีเมขลาได้ช่วยเหลือ
อุ้มพระมหาชนกไปยังเมอื งมิถลิ า และวางลงท่ีแทน่ ศลิ า ณ เมืองมิถลิ า พระเจ้าโปลชนกมพี ระธิดา
พระนาม “สีวล”ี หลงั การสวรรคตของพระโปลชนก เหล่าอ�ำมาตยป์ ระกาศหาชายทท่ี �ำใหเ้ จ้าหญิง
สีวลี โปรดปราน โดยวิธีท�ำรถเส่ียงคู่ให้เจ้าหญิง มีม้าอัสดรสีขาว ๔ ตัวเทียมรถ ปรากฎว่ารถม้า
มาหยดุ ตอ่ หนา้ พระมหาชนก พระมหาชนกขน้ึ รถมา้ เขา้ วงั และอภเิ ษกสมรสกบั พระนางสวี ลี ตอ่ มา
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมืองลำ� ปาง จงั หวัดลำ� ปาง
63
ไดส้ ง่ คนไปรบั พระมารดาๆประทานโอวาทใหพ้ ระมหาชนกปกครองแผน่ ดนิ โดยธรรม พระมหาชนก
มีพระราชโอรสพระนามว่า “ทีฆาวุ” ต่อมาพระมหาชนกเสด็จไปพระอุทยานทอดพระเนตรเห็น
ตน้ มะมว่ ง ๒ ตน้ ตน้ แรกมผี ลดก ตน้ ทส่ี องไมม่ ผี ล ตน้ ทม่ี ผี ลดกผคู้ นจะมาเกบ็ ผลไปกนิ และหกั กงิ่ กา้ น
ส่วนต้นไม่มีผลไม่ถูกหักกิ่งก้านแต่อย่างใด พระมหาชนกทรงเปรียบเทียบความเป็นกษัตริย์เสมือน
มะม่วงต้นที่มีผลดก ส่วนการสละราชสมบัติเปรียบเสมือนการออกบวช ข้อคิดจากชาดกเรื่อง
พระมหาชนก คอื “ความเพยี รนำ� เปน็ สคู่ วามสำ� เรจ็ นน้ั ตอ้ งเปน็ ความเพยี รทป่ี ระกอบดว้ ย ความรกั
ความเข้าใจ และมุ่งมั่นตอ่ งานอยา่ งแท้จริง”
ในอดตี รชั สมยั พระบรมไตรโลกนาถทรงพระราชนพิ นธ์ เรอ่ื ง มหาชาตคิ ำ� หลวง (พระเวสสนั ดร
ชาดก) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระราชนพิ นธ์เร่อื ง พระมหาชนก
พระชาติที่ ๓ พระสุวรรณสาม พระสุวรรณสามเป็นบุตรของฤาษีซ่ึงก่อนบวชชื่อ
นายทกุ ลุ ะ และนางปารกิ า ทัง้ ค่ชู วนกนั ออกบวชในป่าหมิ พานต์ ต่อมาพระอนิ ทร์เล็งเห็นวา่ ตอ่ ไป
ทงั้ สองตอ้ งตาบอด แนะนำ� ใหฤ้ าษที กุ ลุ ะเอามอื ลบู ทอ้ งฤาษณี ปี ารกิ า พรอ้ มตง้ั จติ อธษิ ฐานขอใหไ้ ดล้ กู
(ถ้าเป็นสมัยปี ๒๕๖๔คือการโคลนน่ิง)ฤาษีทั้งสองเห็นว่าท�ำอย่างน้ันไม่ผิดศีลธรรมจึงท�ำตาม
พระอินทร์แนะน�ำ เมื่อคลอดลูกออกมาเป็นชายมีผิวพรรณสวยเหลืองเหมือนทองค�ำจึงตั้งชื่อว่า
“สวุ รรณสาม” ครน้ั อายไุ ด้ ๑๖ ปี สวุ รรณสามคดิ วา่ ถงึ เวลาตอ้ งใหพ้ อ่ กบั แมไ่ ดพ้ กั ตนเองจะไดท้ ำ� หนา้ ที่
หาของปา่ มาเลยี้ งพอ่ กบั แม่ จงึ สะกดรอยตามทางจนชำ� นาญทาง เยน็ วนั หนงึ่ พอ่ กบั แมห่ ลบฝนทหี่ ลงั
จอมปลวก ถงึ คราวเคราะหม์ ีงเู หา่ ตัวหน่ึงอาศยั หลังจอมปลวก เห็นฤาษีมาหลบฝน งเู หา่ พน่ พษิ ใส่
จนตาของทงั้ สองบอดสนทิ เมอื่ ทราบวา่ ตาบอดกลบั อาศรมไมถ่ กู ฝา่ ยสวุ รรณสามเมอื่ เหน็ พอ่ กบั แมย่ งั
ไมก่ ลบั ตามเวลา จงึ ออกตามหาตามทางทพี่ อ่ แมเ่ คยเดนิ เขา้ ปา่ และเมอ่ื พบทราบวา่ พอ่ กบั แมต่ าบอด
กเ็ สยี ใจรอ้ งไหแ้ ละหวั เราะสลบั กนั ไป พอ่ กบั แมส่ งสยั จงึ ถามวา่ ทำ� ไมหวั เราะ สวุ รรณสามตอบพอ่ กบั
แมว่ ่า “ท่หี วั เราะเพราะดีใจว่าจะไดเ้ ล้ยี งดพู อ่ กับแมเ่ ป็นการตอบแทน” จากนน้ั สวุ รรณสามพาพอ่
กบั แมก่ ลบั อาศรม จดั การผกู เชอื กใหพ้ อ่ กบั แมส่ ามารถไปทำ� ธรุ ะสว่ นตวั ได้ ภาระทงั้ หลายสวุ รรสาม
ทำ� แทนพอ่ กบั แม่ทั้งหมด หาผลไม้ ตักน�ำ้ เตรยี มให้พอ่ กบั แม่
พระเจา้ ปลิ ยกั ษเ์ จา้ เมอื งพาราณสชี อบเสดจ็ ประพาสปา่ ลา่ เนอื้ ในปา่ หมิ พานต์ ขณะทเี่ สดจ็ ถงึ
แม่น�้ำมิคสัมมตา เห็นสุวรรณสามพร้อมมีฝูงสัตว์ห้อมล้อม มีความสงสัยว่าสุวรรณสามเป็นใคร
เปน็ เทวดาหรอื นาค พระเจ้าปิลยักษ์จงึ ยงิ ธนูใส่ สุวรรณสามโดนลูกธนลู ม้ ลง เลอื ดไหล ฝูงสัตวต์ ่าง
วงิ่ หนเี อาตวั รอด สวุ รรณสามรอ้ งถามวา่ ยงิ เราทำ� ไม พระเจา้ ปลิ ยกั ษต์ อบ “ยงิ เพราะทา่ นทำ� ใหส้ ตั ว์
แตกต่นื ” สวุ รรณสามตอบว่า “ไม่จริงเราอยปู่ ่าคนุ้ เคยกบั สตั วเ์ หลา่ น้ดี ี” พระเจ้าปิลยักษ์ตอบใหม่
“ทยี่ งิ เพราะอยากรจู้ กั ” จากนนั้ สวุ รรณสามเลา่ ความจรงิ ใหพ้ ระเจา้ ปลิ ยกั ษท์ ราบ สวุ รรณสามรอ้ งไห้
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมอื งล�ำปาง จงั หวดั ล�ำปาง
64
ครำ่� ครวญถงึ พอ่ กับแม่ พระเจา้ ปลิ ยักษร์ บั ปากสวุ รรณสามว่า จะสละราชสมบัตมิ าเลย้ี งดูพ่อกบั แม่
ของสุวรรณสาม สวุ รรณสามทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิน้ ชวี ติ ฝ่ายเทพธิดาชอื่ “สุนทร”ี มหี นา้ ที่ดแู ล
สุวรรณสาม ได้ลงมาใหข้ อ้ คดิ กบั พระเจ้าปลิ ยักษว์ ่าต้องเล้ียงดพู อ่ แมส่ วุ รรณสามอยา่ งดีจงึ จะได้ไป
สวรรค์ จากนน้ั พระเจา้ ปลิ ยกั ษไ์ ปแจง้ ขา่ วกบั ฤาษที กุ ลุ ะกบั ฤาษณี ปี ารกิ า และทง้ั พอ่ กบั แมต่ อ้ งการ
มาดศู พลกู ชายและตงั้ สตั ยาธษิ ฐานขอใหล้ กู ชายฟน้ื ขน้ึ มาฝา่ ยเทพธดิ าสนุ ทรจี งึ ดลบนั ดาลใหส้ วุ รรณสาม
ฟื้นขึ้นมา และพร้อมกับให้พ่อกับแม่สุวรรณสามตาสว่างมองเห็นเหมือนเดิม สุวรรณสามได้ให้
ขอ้ คดิ กบั พระเจา้ ปลิ ยกั ษว์ า่ ทตี่ นเองฟน้ื ขนึ้ มาเพราะเลยี้ งดบู ดิ ามารดาใหม้ คี วามสขุ คนทเ่ี ลยี้ งดบู ดิ า
มารดาให้มคี วามสุข เทวดายอ่ มรกั ษาคุม้ ครอง ตายไปจะไดเ้ กดิ ในสวรรค์ สวุ รรณสามกลา่ วต่อว่า
พระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นกษัตริย์ เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ย่อมเป็นที่พึ่งของคนจ�ำนวนมาก
ข้าพระองค์ขอให้ท่านจงท�ำดีในพระชนก พระชนนี พระมเหษี พระโอรส พระธิดา มิตรอ�ำมาตย์
สตั วพ์ าหนะ ไพรพ่ ล ชาวเมอื ง จงบำ� รงุ สมณพราหมณ์ จงมเี มตตาในสตั วน์ านาชนดิ และประพฤตกิ าย
สจุ รติ วจสิ ุจริต มโนสจุ ริตอย่เู สมอ เพราะเมอื่ ทำ� ไดอ้ ย่างนี้ พระองค์จกั ไดไ้ ปเกิดในสวรรค.์
พระชาตทิ ่ี ๔ พระเนมิราช
พระเนมิราชเป็นกษัตริย์ในราชวงค์เมฆเทวะ สืบเชื้อสายมานานถึง ๘๔,๐๐๐ พระองค์
เมอ่ื ขน้ึ ครองราชยพ์ ระเนมริ าชโปรดใหม้ กี ารสรา้ งโรงทานทปี่ ระตเู มอื ง ๔ แหง่ และโรงทานกลางเมอื ง
อกี ๑ แหง่ พระองคส์ ละพระราชทรพั ยบ์ ำ� เพญ็ ทานทกุ วนั ทรงรกั ษาศลี ๕ เปน็ นติ ย์ ทรงแสดงธรรม
ใหก้ บั ประชาชน พระเนมริ าชมคี วามสงสยั ในพระราชกรณยี กจิ ทรงสอบถามพระอนิ ทร์ ๆ ตรสั ตอบ
“การให้ทานส่งผลไดเ้ กดิ บนสวรรค์ การรกั ษาศีลสง่ ผลใหเ้ กดิ ในพรหมโลก แต่ต้องทำ� ทงั้ สองอย่าง
ควบคู่กัน” ข้างฝ่ายเทวดาอยากให้พระเนมิราชไปแสดงธรรมที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเนมิราช
ตอบรบั คำ� เชญิ ของเทวดา เทวดามารบั พระเนมริ าช แตพ่ ระองคข์ อแวะไปชมนรกกอ่ น พระเนมริ าช
ได้ชมนรก ๑๕ ขมุ คอื ๑. เวตรณีนรก ๒.นรกสนุ ัข ๓. นรกทองแดง ๔. นรกถา่ นหนิ ๕. นรกหม้อ
ทองแดง ๖. นรกโซท่ องแดง ๗. นรกแมน่ ้�ำแกลบ ๘. นรกแหลนหลาว ๙. นรกทุบตี ๑๐. นรกคูถ
๑๑. นรกน้�ำเลอื ดน้�ำหนอง ๑๒. นรกเบ็ด ๑๓. นรกภูเขาเหล็กแดง ๑๔.นรกบอ่ ไฟ ๑๕ นรกสัตว์
น่าเกลียด ในเอกสารบางต�ำรามีการกลา่ วถงึ นรก มีทัง้ หมด ๔๕๗ ขมุ มหานรกมี ๘ ขมุ อุสสทนรก
มี ๑๒๘ ขมุ ยมโลกนรกมี ๓๒๐ ขมุ โลกันต์นรกมี ๑ ขมุ (เอกสารพิมพแ์ จกวันครบรอบ ๖๖ ปี
หลวงปู่หลวง กตปุญโญ วัดป่าส�ำราญนิวาส เกาะคา ล�ำปาง ๒๕๓๐) จากน้ันพระเนมิราช
ได้เยีย่ มชมสวรรค์ ไปเยีย่ มชมวมิ านของเทพธดิ าวารุณี ในการเยีย่ มชมสวรรค์ พระอินทร์ ตรัสชวน
พระเนมิราชอยู่บนสวรรค์ พระเนิมิราชทรงตอบว่า “ส่ิงท่ีได้มาเพราะผู้อ่ืนย่อมเป็นเสมือนของ
ทย่ี มื เขามา วมิ านนพี้ ระองคไ์ ดม้ าดว้ ยบญุ ของพระองคเ์ องหมอ่ มฉนั ไมม่ สี ทิ ธ์ิ หมอ่ นฉนั จะมสี ทิ ธก์ิ แ็ ต่
เฉพาะส่ิงที่หม่อมฉันได้มาด้วยบุญของหม่อมฉันเท่าน้ัน หม่อมฉันจะกลับไปโลกมนุษย์เพื่อท�ำบุญ
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จงั หวดั ล�ำปาง
65
กุศลให้มาก” และพระเนมิราชได้ตรัสขอบคุณพระอินทร์ ท่ีพาพระองค์เย่ียมชมนรก-สวรรค์
ชาวเมอื งมถิ ลิ าตา่ งแตกตนื่ โกลาหลทไี่ ดเ้ หน็ มาตลเี ทพบตุ รขบั เวชยนั ตราชรถกลบั มาสง่ พระเนมริ าชดว้ ย
ความสวสั ดภิ าพ เม่ือมาถึงเมอื งมถิ ลิ า พระเนมิราชทรงเล่าเร่อื ง นรก-สวรรค์ ใหข้ า้ ราชบริพารและ
ชาวเมอื งฟงั เมอ่ื ทกุ คนไดฟ้ งั แลว้ ทกุ คนมจี ติ ยดึ มนั่ ในการกระทำ� ความดี ฝา่ ยพระเจา้ เนมริ าชเสวยราช
โดยผาสุกสืบมา จนกระท้ังล่วงเข้าวัยชรา นายภูษามาลาถอนพระเกศาหงอกให้ทอดพระเนตร
พระองคส์ ลดพระทยั ในความไมเ่ ทยี่ งแทข้ องสงั ขาร พระเนมริ าชทรงอภเิ ษกพระราชโอรสใหค้ รองราช
สมบัติสืบต่อแล้วเสด็จออกบวช ประทับอยู่ในอุทยานสวนมะม่วง เจริญพรหมวิหาร ๔ จนส�ำเร็จ
ณานสมาบัติ สน้ิ อายแุ ลว้ ได้ไปเกดิ อยู่ในพรหมโลก พรหมปาริสชั ชาปฐมฌานภูมิ พรหมโลกชั้นท่ี ๑
(อ้างแลว้ เอกสารวัดปา่ ส�ำราญ) อา้ งองิ จากจากชาดกเรือ่ งไตรภมู พิ ระร่วง (พระญาลิไทย พระมหา
กษัตริย์องคท์ ่ี ๖ แหง่ กรงุ สุโขทัย ครองราชย์ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๑ ได้ทรงพระราชนิพนธ์
เรอ่ื งไตรภูมิพระรว่ ง)
พระชาตทิ ่ี ๕ พระมโหสถ
พระมโหสถ เปน็ ลกู ของบดิ า เศรษฐี “สริ วิ ฒั กะ” มารดาคอื นางสมุ นาเทวี ตอนคลอดออกมา
ถอื ยาอยู่ในกำ� มือ จงึ ได้ชอ่ื วา่ “มโหสถ” หมายถึง ผมู้ ียาขนานเอก พระพทุ ธเจ้าครง้ั เสวยพระชาติ
เปน็ พระมโหสถ ทรงใชป้ ญั ญาแกไ้ ขปญั ญาตา่ งๆ ทำ� ใหต้ นเองและผอู้ นื่ พน้ จากความยากจน กลา่ วคอื
บิดาคือท่านเศรษฐีสิริวัฒกะ. เป็นโรคปวดศีรษะมานาน ๖ ปี เม่ือมโหสถเกิดมาพร้อมยา บิดา
ได้น�ำยาไปฝนทาหน้าผาก โรคปวดหัวเร้ือรังหายทันที มโหสถมีความสามารถในการตัดสินความ
ชาวบ้านวัวหายเจ้าของตามไปเจอโจรท่ีลักวัวไป โจรก็อ้างว่าเป็นวัวของตน เม่ือเจ้าของวัวกับโจร
ลักวัวมาถึง ศาลาท่มี โหสถอาศัยอยู่ มโหสถสอบสวนโจรว่าตอนเช้าวัวกินอะไร โจรตอบว่า “ให้ววั
กินแป้งคลุกงาและนมสด” มโหสถถามเจา้ ของววั ว่า ตอนเช้าใหว้ วั กินอะไร เจา้ ของตอบว่า “ให้ววั
กินหญ้าอย่างเดียว” มโหสถให้วัวกินน�้ำประยงค์โขลก วัวส�ำรอกของท่ีกินเข้าไปออกมาปรากฎว่า
เป็นหญ้าอย่างเดียว มโหสถประกาศให้กับชาวบ้านท่ีมุงดูการพิสูจน์ว่า วัวเป็นของชายท่ีตอบว่า
ใหว้ วั กนิ หญา้ อยา่ งเดยี ว อกี คดหี นง่ึ มหี ญงิ สองคนอา้ งวา่ ตนเองเปน็ แมแ่ ยง่ เดก็ กนั มโหสถใชว้ ธิ ใี หห้ ญงิ
ทั้งสองคนหน่ึงดึงแขนเด็กและอีกคนดึงขาเด็ก ดึงจนเด็กร้องไห้ หญิงท่ีดึงขาเด็กปล่อยมือทันที
เมอ่ื เดก็ รอ้ งมโหสถตดั สนิ วา่ หญงิ ทปี่ ลอ่ ยมอื ทนั ทที เ่ี ดก็ รอ้ งคอื แมข่ องเดก็ เพราะคนทเี่ ปน็ แมย่ อ่ มสงสารลกู
เม่ือเห็นลูกเจ็บปวด ความสามารถของมโหสถทราบถึงพระเจ้าวิเทหราช ๆ ทรงเรียกมโหสถ
เขา้ รบั ราชการ พระเจา้ วเิ ทหราช ทรงตง้ั ปญั หาเพอื่ ทดสอบปโุ รหติ (ทปี่ รกึ ษาของพระองค)์ ปโุ รหติ มี ๔ คน
ปัญหาคือ “ทรัพย์กับปัญญาอย่างไหนประเสริฐกว่ากัน” ปุโรหิต ตอบว่า ทรัพย์ประเสริฐกว่า
ฝ่ายมโหสถตอบว่า “ปญั ญาประเสริฐกว่า คนไม่มปี ัญญาเมอื่ มที รพั ยแ์ ต่ใช้ไม่เป็น ประมาทมัวเมา
ในอบายมขุ ในทสี่ ดุ ทรพั ยก์ ห็ มดไป คนมปี ญั ญาจะรจู้ กั หาทรพั ยไ์ ดเ้ พม่ิ ขน้ึ พระเจา้ วเิ ทหราชตดั สนิ ให้
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งลำ� ปาง จังหวดั ลำ� ปาง
66
มโหสถชนะ ปโุ รหติ ไม่พอใจโกรธ และใส่ความวา่ มโหสถเป็นกบฏ มโหสถเหน็ ว่าคงต้องถูกประหาร
ชวี ติ แน่ จงึ หนไี ปเปน็ ชา่ งปน้ั หมอ้ ความทราบถงึ เทวดา เทวดาไดเ้ ขา้ พบพระเจา้ วเิ ทหราช ถามปญั หาวา่
“ใครเอย่ ยง่ิ ตอ่ ยยง่ิ ตยี งิ่ เปน็ ทร่ี กั ” ปโุ รหติ ทง้ั ๔ คนตอบไมไ่ ด้ เทวดาแนะนำ� ใหไ้ ปตามมโหสถมาตอบ
เสนาบดีไปตามมโหสถท่ีบ้านคนปั้นหม้อ มโหสถเข้าเฝ้าพระเจ้าวิเทหราช พระเจ้าวิเทหราช
เหน็ สภาพมโหสถแลว้ คดิ วา่ คงไมม่ คี วามคดิ กบฏ เทวดาถามปญั หา มโหสถตอบวา่ “ คนทย่ี ง่ิ ตอ่ ยตี
ยิ่งเป็นที่รัก คือ เด็กท่ีก�ำลังดื่มนมมารดา ขณะด่ืมนมก็เอามือเท้าต่อยตีหน้าอกมารดา มารดาก็
เหน็ ว่านา่ รกั ”
ในประเทศพมา่ นยิ มเทศนช์ าดกเรอื่ ง พระมโหสถเปน็ หลกั ในขณะทใี่ นประเทศไทยนยิ มเทศน์
มหาชาติคำ� หลวง หรือพระเวสสันดรชาดก หลกั ฐานที่เหน็ คอื งานเขียนของ เมอื ง ทิน อุง นกั เขยี น
ชาวพม่า เขียนหนังสือแบบแนวคิดของพระมโหสถมาดัดแปลงเป็นเรื่อง “เจ้าหญิงผู้พิพากษา”
เจา้ หญงิ ผพู้ พิ ากษาทรงมพี ระปรชี าสามารถทางกฎหมายและการตดั สนิ คดเี ปน็ เลศิ ” ( เมอื ง ทนิ องุ
เขยี น, ครี ีบูน แปล ๒๕๔๙) และจากเอกสาร หนังสอื นิทานพน้ื บ้าน เขมร ชดุ ตัดสินคดีความ
รศ.ประยรู ทรงศิลป์,แปล, สวรี ียาสาส์น ๒๕๔๕) แสดงว่า เขมร หรอื กมั พชู า มกี ารเทศนช์ าดกเรอื่ ง
พระมโหสถ แบบเดียวกบั พม่า
เร่อื งทเ่ี ปน็ ข้อคดิ ก็คือสงั คมไทยในอดตี เน้นการสอนเรอ่ื ง มหาชาตคิ ำ� หลวง (พระเวสสนั ดร)
แต่พม่าเน้นการสอนเรื่องมโหสถ ตอนท้ายเร่ืองมโหสถ เป็นการสอนต�ำราพิชัยสงครามอาจเป็น
สาเหตหุ นง่ึ ทวี่ า่ ทำ� ไม พมา่ มกี ารวางแผนการรบเตรยี มการรบอยเู่ สมอทจ่ี ะเขา้ ตแี ละยดึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา
จนไทยเราสมยั อยธุ ยาเสยี กรงุ ครง้ั สดุ ทา้ ยปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กเ็ พราะการเทศนข์ องพระสงฆใ์ นพมา่ เรอื่ ง
พระเจ้าสิบชาติ เน้นการเทศน์เรื่องพระมโหสถ ผู้อ่านหากมีเวลาลองอ่านต�ำราพิชัยสงครามฉบับ
พระมโหสถ (พระเจา้ สบิ ชาติ , พระมโหสถ,ธรรมสภา, บรรจบ บรรณรจุ ,ิ ๑๓ วางแผนรบ ไมม่ บี อกหนา้ )
พระชาตทิ ่ี ๖ พระภูรทิ ัต
พระภูริทัตเป็นพระราชโอรสของ พระฐตรฐกับพระนางสมุททชา กษัตริย์แห่งนาคพิภพ
มพี ระราชโอรส ๔ พระองค์ คอื ๑ พระสทุ สั สกมุ าร ๒ ทตั ตกมุ าร ๓. สโุ ภคกมุ าร และ ๔ พระอรฎิ ฐกมุ าร
พระฐตรฐ ไปเข้าเฝ้าทา้ ววริ ปู กั ษ์ราชาของพวกนาค และเฝา้ พระอินทรๆ์ ตัง้ ชื่อใหว้ ่า ภรู ิทัตตกุมาร
แปลวา่ กุมารผู้มีปัญญากวา้ งขวางดุจแผน่ ดิน พระภรู ทิ ัต อยากเกดิ ในสวรรค์ ทา่ นทราบมาบา้ งว่า
หากอยากเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ต้องรักษาศีล บ�ำเพ็ญภาวนา พระภูริทัตจึงขออนุญาต
จากพระบิดาพระมารดาไปในโลกมนษุ ย์ พระภมู ทิ ัตได้รักษาศีล และอธษิ ฐานจิตไวม้ ่ันวา่ หนัง เอน็
กระดกู เลือด ของเรา หากใครตอ้ งการจงเอาไปเถิด
ตอ่ มามพี ราน ๒ พอ่ ลูกไดส้ อบถามพระภูริทัต และขอลงไปเท่ียวเมืองนาคพภิ พ นาน ๑ ปี
ครั้นกลับมายังโลกมนุษย์พบกับพราหมณ์คนหนึ่งได้เรียนมนต์หรือวิชาจับงูมาจากฤาษี เรียกว่า
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งลำ� ปาง จังหวัดลำ� ปาง
67
มนต์อาลัมพายน์ (ช่ือมนต์นี้คล้ายชื่อ เมืองล�ำปางสมัยแรก อาลัมพางค์) โดยฤาษีมีลูกแก้ววิเศษ
แกว้ สารพัดนกึ พราหมณต์ ้องการจับพญานาค โดยมีเงือ่ นไขกับพรานสองพ่อลูกวา่ หากบอกท่ีอยู่
ของพระภูริทัตและจับได้จะมอบแก้วสารพัดนึกให้ พรานผู้พ่อตอบตกลง ลูกนายพรานไม่พอใจ
ท่ีเห็นบิดาเป็นคนอกตัญญูจึงขอแยกทางไปบวชเป็นฤาษี พรานผู้พ่อพาพราหมณ์อาลัมพายน์
ไปยังท่ีอยู่ของพระภูริทัต พระภูริทัตยอมให้พราหมณ์จับตัวไปทรมาน เม่ือพราหมณ์อาลัมพายน์
จับตัวพระภูริทัตได้ ก็มอบแก้วสารพัดนึกให้พรานผู้พ่อ แต่แก้วตกลงน�้ำจมไปเมืองนาค
ฝ่ายพรหมณ์อาลัมพายน์ได้น�ำตัวพระภูริทัตไปแสดงตามงานต่างๆเก็บเงิน พระภูริทัตคิดว่า
เมือ่ พราหมณ์อาลัมพายนไ์ ด้เงินมากแลว้ คงจะปล่อยตัว
ฝา่ ยพระบดิ าพระมารดาของพระภรู ทิ ตั เหน็ วา่ พระภรู ทิ ตั ไมไ่ ดเ้ ขา้ เฝา้ นานหลายเดอื น จงึ สง่
พชี่ ายและน้องชายไปตามหาพระภูริทตั ไปพบทเี่ มอื งพาราณสี พระสุทัสนกมุ ารปลอมตวั เปน็ ฤาษี
และได้ท้ากับพราหมณ์อาลัมพายน์ว่าน�ำพญานาคไม่มีพิษมาแสดงหลอกประชาชน พราหมณ์
อาลัมพายน์จึงท้าพระสุทัสสนออกมาสู้กับพญานาคภูริทัต ฝ่ายพระสุทัสสนเรียกนางนาคอัจจมุขี
ออกมาคายพิษไว้ ๓ หยดซ่ึงเป็นพษิ ทรี่ า้ ยแรง พษิ ของนางนาคอจั จมุขีหากตกลงในน้ำ� สัตว์ทุกชนดิ
จะตาย พระสทุ สั สนขอพรใหเ้ จา้ พาราณสขี ดุ บอ่ ๓ บอ่ จากนนั้ พระสทุ สั สนใสพ่ ษิ ของนางนาคอจั จมุ ขุ ี
ลงในบ่อแรกเกิดไฟลุกไหม้ ลามไปบ่อที่ ๒ และถึงบ่อท่ี ๓ เป็นบ่อโคลนไฟดับ แต่พิษของ
นางนาคกระเดน็ ไปถกู พราหมณอ์ าลัมพายน์กลายเป็นโรคเร้อื น จงึ ยอมปลอ่ ยพระภูรทิ ตั เป็นอสิ ระ
และพระสทุ สั สนกเ็ ลา่ ความจรงิ ใหพ้ ระเจา้ กรงุ พาราณสฟี งั พระเจา้ กรงุ พาราณสที ราบแลว้ จงึ บอกวา่
พระมารดาคือ พระนางสมุททชาคือน้องสาวของพระองค์เอง และพระสุทัสสนกับพระภูริทัต
กราบลาลุงไปรายงานพระมารดา ฝา่ ยพระสุโภกมุ ารผู้เปน็ น้องไดน้ �ำตวั พราหมณอ์ าลมั พายน์ไปยงั
นาคพิภพ และมกี ารสอบสวนต่อหน้าพระบดิ าพระมารดา ฝา่ ยพระภูรทิ ัตได้อธบิ ายวา่ “พราหมณ์
มไิ ดว้ เิ ศษกวา่ คนวรรณะอนื่ เลย ยงั มคี วามโลภ เหมอื นคนทวั่ ไป มกี เิ ลส หมกมนุ่ อยใู่ นกามคณุ เปน็ นติ ย์
แตพ่ วกพราหมณ์กลบั มาถอื ตนว่าวเิ ศษกว่าวรรณะอื่นๆ ฉะน้นั พวกพราหมณ์จึงเป็นคนล้ิน ๒ แฉก
เช่ือถือไม่ได้” ดังนั้นโดยหลักการและพระพุทธศาสนาพยายามจะสอนว่า ทุกคนเกิดมาเสมอกัน
(และเรื่องคนไทยเห็นและเข้าใจบทบาของพราหมณ์มากคือ พระเวสสนั ดรชาดก)
พระชาติท่ี ๗ พระจนั ทกมุ าร
พระจันทกุมารเปน็ พระราชโอรสของพระเจา้ เอกราชแห่งเมืองปปุ ผวดี พระบิดาทรงแต่งตัง้
ให้ด�ำรงต�ำแหน่งมหาอุปราช ในเมืองนี้ปุโรหิตช่ือ “กัณฑหาละ” เคยท�ำหน้าที่ถวายรายงานให้
พระเจา้ เอกราชในการตดั สนิ ความตา่ งๆ และตอ่ มามคี วามโลภถวายรายงานใหต้ ดั สนิ แบบผดิ เปน็ ถกู
ถูกเป็นผิด ต่อมามีผู้เสียหายไปถวายฎีกาต่อพระจันทกุมาร พระองค์ทรงวินิจฉัยให้ร้ือฟื้นคดีใหม่
ผลการพิจารณาพระองค์ตดั สนิ ใหผ้ เู้ สยี หายเป็นฝ่ายชนะคดี ประชาชนทราบต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จังหวัดลำ� ปาง
68
พระเจ้าเอกราชทรงทราบจึงปลด “กัณฑหาละ” ออกจากต�ำแหน่ง ทรงแต่งพระจันทรกุมาร
ทำ� หนา้ ทแี่ ทน ฝา่ ยกณั ฑหาละเจบ็ แคน้ พระจนั ทรกมุ ารและคดิ หาทางแกแ้ คน้ ตอ่ มาพระเจา้ เอกราช
ฝันเหน็ สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ และอยากไปสวรรค(์ ความอยาก ความโลภเข้าครอบง�ำ จนทำ� ให้ขาดสติ
ย้ังคิด)ฝ่ายกัณฑหาละเห็นเป็นโอกาส จึงแนะน�ำพระเจ้าเอกราชว่า ต้องท�ำการบูชายัญ โดยการ
ฆา่ พระมเหสี พระราชโอรส พระราชธดิ า พระเจา้ เอกราชทรงเหน็ ดว้ ย ขอ้ เสนอแรกของกณั ฑหาละ
ประชาชนมิได้สนใจ แต่ข้อเสนอพ่วงท้ายคือ ให้น�ำเศรษฐีของเมืองท้ัง ๔ คนไปฆ่าบูชายัญด้วย
คือ ๑. ปุณณมุขะ ๒. ภัททิยะ ๓. สิงคาละ และ ๔. วัทธะ ประชาชนชาวเมืองเร่ิมคัดค้าน
เพราะเศรษฐที ั้ง ๔ คน เปน็ คนทใ่ี จบญุ ชอบชว่ ยเหลือประชาชนท่ีตกทกุ ข์ ลำ� บาก ความทราบถงึ
พระบิดา พระมารดาของพระเจา้ เอกราช ได้ไปห้ามพระเจา้ เอกราช เพราะการฆ่าเพ่อื บูชายัญนั้น
จะทำ� ใหต้ กนรก และทรงแนะนำ� ใหพ้ ระเจา้ เอกราช ใหท้ าน รกั ษาศลี มเี มตตาตอ่ ประชาชนจงึ จะได้
ไปสวรรค์แตพ่ ระเจา้ เอกราชมไิ ดฟ้ งั คำ� ตกั เตอื นแตอ่ ยา่ งใดพระจนั ทรกมุ ารทรงกราบทลู มใิ หป้ ระหารใคร
และให้ทุกคนยอมเป็นทาสของปุโรหิตกัณฑหาละแทน พระเจ้าเอกราชก็ไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย
พระจนั ทรกุมารทรงคดั ค้านถึง ๔ ครง้ั ชาวเมืองตา่ งรอ้ งไห้กันทั่วเมอื ง พญานกบอกกบั นกแรง้ ว่า
“นกเอ๋ย หากพวกเจ้าต้องการกินเน้ือคน สัตว์ ก็ขอให้บินไปทางทิศตะวันออกของเมืองปุปผวดี
นี้เถิด วันนี้พระเจ้าเอกราชผู้โง่เขลาจะจัดให้มีพิธีการฆ่าอย่างขนานใหญ่ คนและสัตว์จ�ำนวนมาก
ตอ้ งตายถวายชีวิตใหพ้ ระเจ้าแผน่ ดนิ ไดอ้ าศยั ไปลงนรก” พระนางจนั ทามเหสขี องพระจนั ทรกมุ าร
ขอใหป้ ระหารพระนางแทน แต่พระเจา้ เอกราชไมท่ รงรับฟัง
ความทราบถึงพระอินทร์ ต้องเหาะลงมาดู และส่งเสียงตวาดจากเบื้องบนว่า “อย่านะ
อยา่ แตะต้องพระเจา้ จันทกุมารผูเ้ ป็นทร่ี กั ของข้า ถ้าเจา้ ขดั ขืนค�ำสั่งข้าๆจะตหี วั ให้แหลกละเอียด”
พระอนิ ทรถ์ อื ตะบองเหล็กกวัดแกวง่ อย่กู ลางอากาศทรงมองปโุ รหิตกณั ฑหาละ ดว้ ยสายพระเนตร
แขง็ กรา้ ว พลางหนั มาทางพระเจา้ เอกราชแลว้ ตรสั สำ� ทบั วา่ “ทา่ นเองเปน็ ถงึ พระเจา้ แผน่ ดนิ แตช่ ว่ั ชา้
และโง่เง่าหลงเชื่อค�ำยุแหย่ถึงจะยอมฆ่าลูกฆ่าเมียของตนเองด้วยหวังจะได้ไปสวรรค์ แต่ไม่มีทาง
ได้ไปหรอก นอกจากตอ้ งไปนรกเท่าน้ัน”
พระเจ้าเอกราชตกพระทัยกลัวสุดขีด รับสั่งให้ปล่อยพระจันทกุมารและทุกคนรวมถึงสัตว์
ทั้งหลายด้วย เม่ือพระอินทร์มาช่วย ประชาชนพลเมือง ได้โอกาสเข้าไปทุบตีปุโรหิตกัณฑหาละ
จนตาย และหมายจะท�ำร้ายพระเจา้ เอกราชดว้ ย พระเจา้ จนั ทรกมุ ารทรงเหน็ เข้าไปหา้ มอ้อนวอน
ขอชีวิตพระบิดาประชาชนพลเมืองยอมยกให้ แต่ไม่ยอมรับพระเจ้าเอกราชเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ของพวกตนอีกต่อไป พวกเขาพร้อมกันเนรเทศให้พระเจ้าเอกราชไปอยู่ในหมู่บ้านคนจัณฑาล
(คนไม่มีวรรณะ) และพร้อมใจกันอภิเษกพระจันทกุมารเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และเมืองปุปผวดี
กลับเข้าสภู่ าวะปรกตอิ ีกครั้ง มีความสงบสุข ร่มเยน็
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จังหวัดล�ำปาง
69
พระชาติท่ี ๘.พระนารทพรหม
ณ เมืองมถิ ลิ า แควน้ วเิ ทหะ มพี ระมหากษตั รยิ ส์ บื ต่อกบั มาหลายรัชกาลจนมาถงึ รชั กาลของ
พระเจา้ องั คตริ าชๆ มพี ระธดิ าพระนาม “รจุ า” และพระเจา้ องั คตริ าช มอี ำ� มายตอ์ ยู่ ๓ ทา่ น คอื ๑. วชิ ยั
อำ� มาตย์ ๒. สุมานอำ� มาตย์ และ ๓. อลาตอำ� มาตย์ วชิ ัยอำ� มาตยถ์ วายรายงานใหพ้ ระเจ้าอังคตริ าช
ไปศึกษาวิชากับคุณาชีวกะ เพราะคุณาชีวกะเป็นอาจารย์ของพราหมณ์ทั้งหลาย เม่ือไปที่อยู่ของ
คณุ าชวี กะพระเจา้ องั คตริ าชไดถ้ ามคณุ าชวี กะวา่ “คนเราจะทำ� อยา่ งไรจงึ จะไดไ้ ปสวรรค์และทำ� อยา่ งไรจงึ
จะไปนรก”คณุ าชวี กะไดต้ อบคำ� ถามพระเจา้ องั คตริ าชวา่ “บญุ บาปไมม่ ีโลกนโี้ ลกหนา้ ๑.โลกหนา้ ไมม่ ี
๒. บญุ คุณบดิ า มารดา ไมม่ ี ๓. สตั ว์และคนเสมอกัน ๔. ใครจะไดด้ ีได้ชัว่ ก็ได้เอง ๕. คนใหท้ านคอื
คนโง่ คนรับทานคอื คนฉลาด” เม่อื พระเจ้า องั คติราชไดฟ้ งั กเ็ ช่ือ เลกิ ท�ำดี เลิกใหท้ าน ใช้ชีวิตอยา่ ง
สขุ ส�ำราญ แสวงหาความสขุ จากกามคณุ อยา่ งเต็มท่ี ไมส่ นใจบริหารบา้ นเมืองประชาชนเดอื ดร้อน
ไปทั่ว มีการรื้อโรงทาน ฝ่ายพระธิดาพระนางรุจาทราบเรื่อง ได้กล่าวแนะน�ำว่า “ข้าแต่พระบิดา
เมือ่ ก่อนทา่ นฉลาดหลักแหลม แต่บดั น้ไี ฉนเปน็ คนหลงผิด บุคคลคบคนเช่นไร ยอ่ มเปน็ คนเชน่ น้ัน
คบคนดกี ็ดีดว้ ย คบคนชว่ั กช็ ัว่ ด้วย หากครูอาจารยเ์ ลว ลูกศิษยก์ จ็ ะเลวตาม ลูกศรอาบยาพษิ กจ็ ะ
ท�ำให้แล่งเปื้อนยาพิษไปด้วย ใบไม้ห่อปลาเน่าย่อมมีกลิ่นเหม็นไปด้วย ใบไม้ห่อของหอมย่อมมี
กลิ่นหอมไปด้วย พระเจา้ อังคติราชฟงั แล้วเฉยๆ ความทราบถึงพระพรหมชอ่ื “นารทะ” จงึ ไดเ้ สดจ็
มายงั เมอื งมถิ ลิ า เพื่อมาสนทนากบั พระเจา้ อังคติราช พระเจา้ อังคตริ าช ได้สอบถามวา่ “หากโลก
หน้ามีจริง ขอให้ข้าพเจ้ายืมเงินสักก้อนหน่ึง แล้วจะไปคืนโลกหน้า” พระนารทพรหมกล่าว
“ขอถวายพระพร หากพระองค์มีศีลรักษาสัตย์ได้เงินไปแล้วจะไปท�ำประโยชน์ อาตมายินดีให้ยืม
แตน่ อ่ี าตมารดู้ วี า่ พระองคไ์ มม่ ศี ลี ไมร่ กั ษาสตั ยช์ ว่ั ชา้ เลวทรามตายจากชาตนิ แ้ี ลว้ กต็ อ้ งตกนรก ใครเลา่
จะไปทวงเงนิ จากคนทตี่ กนรก”
พระเจา้ อังคตริ าชไดฟ้ ังดวงตามมองเห็นธรรม และตอ่ มาไดร้ ักษาศีล ใหท้ าน ปกครองบ้าน
เมืองดว้ ยธรรม และต่อมา เมอื งมถิ ิลาแคว้นวิเทหะก็กลับมาสงบสุขเหมือนเดมิ ข้อคิดชาดกเร่อื งน้ี
“ไมค่ วรคบและเชอื่ คนพาล ควรคบแตน่ กั ปราชญท์ เ่ี ป็นคนดมี ีศลี ธรรม”
พระชาติที่ ๙ พระวธิ รู บัณฑติ
พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ แห่งเมืองอินทปัตย์ ได้พบสหายเก่า คือ พระอินทร์ พญาครุฑ
พญานาค ทง้ั สอ่ี า้ งวา่ ตนเองรกั ษาศลี ดกี วา่ กนั ทงั้ สต่ี กลงกนั ไมไ่ ด้ พระเจา้ ธนญั ชยั โกรพั ยะ มบี ณั ฑติ
ประจำ� ราชสำ� นกั ชอื่ ”วธิ รู ะ” คนทวั่ ไปเรยี กวา่ วธิ รู บณั ฑติ มหี นา้ ทถี่ วายความรดู้ า้ นตา่ งๆกบั พระเจา้
แผน่ ดนิ พระเจา้ ธนญั ชยั โกรพั ยะ เรยี ก วธิ รู บณั ฑติ มาตดั สนิ วธิ รู บณั ฑติ ไดฟ้ งั เรอ่ื งราวแลว้ กว็ นิ จิ ฉยั
ดงั น”ี้ ขอเดชะ ทกุ พระองคร์ กั ษาศลี ไดด้ เี หมอื นกนั คณุ ธรรมทที่ กุ พระองคไ์ ดท้ ำ� มานนั้ หากมพี รอ้ ม
อยใู่ นบุคคลใด กเ็ ป็นเหมอื นกำ� เกวยี นทรี่ วมมัน่ อยูใ่ นดมุ เกวยี น จะทำ� ให้สงบบาปได้” กษัตรยิ ท์ ้ัง ๔
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จงั หวัดล�ำปาง
70
ทรงพอพระทัย ฝ่ายพญานาค เม่ือกลับถึงนาคพิภพแล้วได้เล่าเรื่องให้นางวิมลา อัครมเหสีฟัง
นางวิมลาอยากฟังธรรมของวิธูรบัณฑิต จึงวางแผนบอกพระสวามีว่า ไม่ค่อยสบายอยากได้หัวใจ
วธิ รู บณั ฑติ พญานาคมลี กู สาวชอื่ “อริ นั ทต”ี ลกู สาวพญานาคอาสาไปยงั โลกมนษุ ย์ และประกาศวา่
คนธรรพ์ รากษส นาค ครุฑ มนุษย์ กินนร ผใู้ ดสามารถน�ำหวั ใจ วิธรู บัณฑิตมาถวายพระมารดา
ของข้าพเจา้ ได้ ข้าพเจา้ ยินดยี อมเปน็ ภรรยาผู้นน้ั
ปณุ ณกยกั ษไ์ ดย้ นิ ประกาศ ประสงคจ์ ะไดน้ างอริ นั ทตมี าเปน็ ภรรยาจงึ ทา้ เลน่ สกากบั พระเจา้
ธนัญชัยโกรัพยะโดยมีวิธูรบัณฑิตเป็นเดิมพัน ฝ่ายปุณณกยักษ์ชนะ พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะจึงให้
วธิ รู บณั ฑติ มาตดั สนิ อกี ครง้ั หนงึ่ วธิ รู บณั กฑ็ ติ ตดั สนิ ใหป้ ณุ ณกยกั ษช์ นะอกี กอ่ นทว่ี ธิ รู บณั ฑติ ตอ้ งจากไป
พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะขอฟังธรรมจากวิธูรบัณฑิต โดยทรงตั้งปัญหาผู้ครองเรือนต้องประพฤติ
อยา่ งไร วธิ รู บณั ฑติ ถวายวสิ ชั นาวา่ ตอ้ งรกั ษาศลี เวน้ อบายมขุ ไมก่ ระดา้ งทะนงตน มเี มตตาใหท้ านคน
ทท่ี กุ ขย์ าก ไมเ่ กยี จครา้ น จากนนั้ วธิ รู บณั ฑติ กลบั บา้ นพบลกู เมยี สอนเรอื่ งการรบั ราชการดว้ ยความ
ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ และออกเดนิ ทางไปกบั ปณุ ณกยกั ษๆ์ หาทางทำ� รา้ ยวธิ รู บณั ฑติ และในทสี่ ดุ ปณุ ณกยกั ษ์
สารภาพว่าต้องการฆ่าวิธูรบัณฑิตเพ่ือควักหัวใจ วิธูรบัณฑิตจึงแจ้งว่านางวิมลาต้องการฟังธรรม
มิใช้ต้องการหัวใจ จากน้ันวิธูรบัณฑิตได้พบและแสดงธรรมให้นางวิมลาฟังว่า “นางวิมลาต้องมี
จิตเมตตากรุณาต่อพวกนาคบริวาร พญานาคและนางวิมลายอมยกอิรันทตีให้กับปุณณกยักษ์ตาม
ท่ีตกลงกัน ปุณณกยักษ์ขอบคุณวิธูรบัณฑิต และมอบดวงแก้วมณีให้ จากน้ันปุณณกยักษ์พา
วธิ รู บณั ฑติ กลบั มาสง่ ถงึ เมอื งอนิ ทปตั ย์ ขอ้ คดิ จากชาดกเรอื่ งนคี้ อื ผมู้ สี จั จะตอ่ ตนเองและผอู้ นื่ เปน็ คนดี
เมอื่ ประสบภยั ย่อมพน้ ภยั
พระชาติท่ี ๑๐ พระเวสสนั ดรชาดก
พระโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดรเพ่ือบ�ำเพ็ญบารมีซ่ึงเป็นบารมีสุดท้าย
ทจ่ี ะยงั ใหบ้ ารมีทง้ั ๑๐ เต็มบรบิ ูรณ์อนั จะส่งผลให้ไดต้ รสั รเู้ ปน็ สมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ในชาติ
ถัดมา ด้วยเหตุน้ีเร่ืองพระเวสสันดรชาดกจึงนิยมวาดเป็นจิตรกรรมฝาผนังมาตั้งแต่โบราณ
และสบื เนอื่ งจากเลขานกุ ารคณะอนกุ รรมการเมอื งเกา่ ลำ� ปางไดด้ ำ� รแิ ละหารอื กบั คณะอนกุ รรมการ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าล�ำปาง ว่าต้องการท�ำงานเก็บหลักฐาน
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปางและ จากการส�ำรวจตามวัดต่างๆ พอสรุปได้
คือ มีภาพพุทธประวัติ ภาพพระเจ้าสิบชาติ และภาพมหาชาติค�ำหลวง หรือที่เรารู้จักกันคือ
ภาพมหาเวสสันดรชาดก จากการสืบจากหลักฐานของลา้ นนา ไมป่ รากฏว่า ใครคอื ผแู้ แตง่ แต่งขน้ึ
สมัยใด แต่จากการศึกษาหลักฐานของอาณาจักรอยุธยา มีหลักฐานว่าแต่งขึ้นในรัชสมัยพระบรม
ไตรโลกนาถ ผู้เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) เมื่อ
พระราชบิดาสวรรคต ปี พ.ศ. ๑๙๙๑ พระราเมศวรขน้ึ ครองราชสมบัตกิ รุงศรอี ยธุ ยา ในพระนาม
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองล�ำปาง จงั หวดั ลำ� ปาง
71
“สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ” พระองค์ทรงปฏิรูปการปกครอง เดิมระบบบริหารมีเสนาบดี
เวียง วัง คลัง นา(เรียกว่า จตุสดมภ์) พระบรมไตรโลกนาถทรงแบ่งการปกครอง เป็นฝ่ายทหาร
ขึ้นกับสมุหพระกลาโหม ฝ่ายพลเรือนข้ึนกับสมุหนายก เมืองหลวงคือ อยุธยา หัวเมืองช้ันใน
พระมหากษัตริย์ ทรงว่าราชการโดยตรง ส่วนหัวเมืองช้ันนอกให้เจ้านายหรือข้าหลวงไปปกครอง
หัวเมืองประเทศราช มีการปกครองแบบเดิมแต่ต้องได้รับการรับรองจากราชส�ำนักอยุธยา
และมีพระราชกรณียกิจอีกประการหน่ึงคือ พระบรมไตรโลกนาถทรงมีความสนพระทัย
ในพระพุทธศาสนาและพระราชนิพนธ์มหาชาติค�ำหลวง หรือ พระเวสสันดรชาดก
(มหาชาตคิ ำ� หลวง ,๒๕๑๖) ทรงพระราชนพิ นธเ์ รอื่ งมหาชาตคิ ำ� หลวงเสรจ็ ในปี พ.ศ. ๒๐๒๕ พรอ้ มการ
สรา้ งพระพทุ ธรปู พระโพธสิ ตั ว์ ๕๕๐ พระชาติ (พระราชพงศาวดารฉบบั พระพนรตั น์ วดั พระเชตพุ น,
บรรณาคาร ๒๕๑๕) พระบรมไตรโลกนาถโปรดใหม้ กี ารละเลน่ มหรสพเฉลมิ ฉลอง มกี ารถวายทรพั ย์
แดพ่ ระสงฆ์ มอบใหพ้ ราหมณแ์ ละวณพิ ก การทปี่ ระชาชนเมอ่ื วา่ งจากสงคราม มกี ารเขา้ วดั ฟงั ธรรมนน้ั
มงี านการศกึ ษาคน้ ควา้ ของชาวตะวนั ตกสรปุ วา่ เมอื่ คนมคี วามตง้ั ใจมสี มาธกิ บั การฟงั ธรรมะ จติ ใจสงบ
สมองจะพัฒนาดีข้ึน โดยเฉพาะการท�ำสมาธิ มีจิตเมตตา รู้จักการให้อภัย ทาน ปิยะวาจาฯลฯ
( รายละเอยี ดใน สมองแหง่ พทุ ธะ )มหาชาตคิ ำ� หลวง หรอื พระเวสสนั ดร เปน็ ชาดกทม่ี งุ่ ใหผ้ ปู้ กครอง
ประชาชน เสยี สละ ใหท้ าน รกั ษาศลี ขจดั ความโลภ เพราะความโลภจงึ เกดิ การรบกนั ระหวา่ งเจา้ อา้ ย
เจ้าย่ี และในสงั คมยุคปจั จบุ นั มีปญั หามากมายเช่น คนท่ีถูกกิเลสครอบงำ� ด้วย โลภะ โทสะ โมหะ
โดยเฉพาะ โลภะ ตวั อยา่ ง ความโลภทไ่ี มร่ จู้ กั พอของนางเฮต็ ตี กรนี ผหู้ ญงิ ทรี่ วยทส่ี ดุ ในโลกศตวรรษที่
๑๙ มีคติประจ�ำใจว่าซือ้ ถกู ขายแพง เธอหาเงนิ ได้นับล้านๆดอลล่าร์ จากการท�ำธุรกจิ ทว่ี อลลส์ ตรที
อเมรกิ า แตเ่ ธอไม่ยอมใช้เงนิ สกั แดงเดียว เธอเสยี ชีวิตขณะตอ่ ราคานมในตลาด(อศั จรรย์จิตมนุษย์
น. ๑๙๕) เกดิ ภาวะความเครียด เครียดแบบกา้ วร้าว ตวั อยา่ ง พระเจ้าอิวานจอมโหด อาชญากรใน
สังคมศตวรษที่ ๑๖ กษตั รยิ แ์ ห่งรัสเซยี (อัศจรรยจ์ ิตมนุษย์ น.๑๖๓) เครยี ดแบบซึมเศร้า การหลงใน
อบายมขุ การพนนั ส่ิงเสพติด
การเข้ามาเผยแพร่ เร่ืองของ พระเวสสันดรชาดก น่าจะเข้ามาช่วง หลังสงครามระหว่าง
พระเจ้าติโลกราชตีหัวเมืองสุโขทัย สงครามเริ่ม พ.ศ. ๑๙๙๔ ยึดเมืองสองแคว(พิษณุโลก)ได้
และ พ.ศ. ๒๐๐๐ หมน่ื ดง้ นคร ไดร้ บั แตง่ ตง้ั จากพระเจา้ ตโิ ลกราช ครองเมอื งลำ� ปาง และเมอื งเชลยี ง
(ศรีสัชชนาลัย) ตอนท่ีหม่ืนด้งนคร ครองเมืองเชลียงซึ่งเดิมเป็นเมืองท่ีข้ึนกับอยุธยา เป็นไปได้ว่า
หม่ืนดง้ นคร ไดน้ �ำประเพณกี ารเทศน์ การสวดมหาชาตคิ ำ� หลวง พระเวสสันดรชาดก เข้ามาเผยแผ่
ในอาณาจกั รลา้ นนา ลำ� ปาง รวมถงึ เชยี งใหมด่ ว้ ย ตอ่ มาหมน่ื ดง้ นครถกู กลา่ วหาวา่ คดิ กบฏ ถกู พระเจา้
ตโิ ลกราชสง่ั ประหารชวี ติ (ธนโชติ เกยี รตณิ ภทั ร์ , ฉากมรณกรรมหมนื่ ดง้ นคร ศลี ปวฒั นธรรม มยิ .๖๔)
พระเวสสันดรชาดก ในหลักฐานจารึกนครชุม ซ่ึงเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ สมัยนั้นเรียกว่า
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมอื งลำ� ปาง จงั หวัดล�ำปาง
72
มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ พระเวสสันดรชาดก นับเป็นชาติท่ีย่ิงใหญ่ของพระโพธิสัตว์ ท่ีได้เสวยเป็น
พระเวสสนั ดร แสดงถงึ การบ�ำเพ็ญเพยี รบารมคี รบ ๑๐ บารมี พระเวสสันดรชาดก เปน็ ชาตสิ ุดทา้ ย
ในทศชาติ ก่อนจะเสด็จเปน็ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ (พระเวสสนั ดร ผู้ย่งิ ด้วยทานบารมี บเี วล
พบั ลซิ ซง่ิ , ๒๕๕๙) หลกั ฐานทยี่ นื ยนั อกี ชน้ิ หนง่ึ คอื ในหนงั สอื จนิ ดามณี “ ในปขี าลจตั วาศก จลุ ศกั ราช
ได้๘๔๔(พ.ศ.๒๐๒๕) สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ใหช้ มุ นมุ พระสงฆ์ และนกั ปราชญราชบณั ฑติ ทง้ั ปวง
ผูกมหาชาติค�ำหลวง ๑๓ กัณฑ์ เป็นค�ำสวดหลวง” (จินดามณี ฉบับความแปลก ฉบับพระเจ้า
บรมโกศ, กรมศลิ ปากร, ๒๕๖๑ น.๑๓๓)
พระเวสสันดรชาดก มี ๑๓ กัณฑ์ คือ ๑. ทศพร ๒. หมิ พานต์ ๓. ทานกณั ฑ์ ๔. วนประเวศน์
๕. ชชู กกัณฑ์ ๖. จลุ พนกณั ฑ์ ๗. มหาพนกัณฑ์ ๘. กุมารกัณฑ์ ๙. มทั รีกณั ฑ์ ๑๐. สกั กบรรพกัณฑ์
๑๑. มหาราชกณั ฑ์ ๑๒. ฉขตั ยิ บรรพกณั ฑ์ ๑๓. นครกณั ฑ์ เนอ้ื เรอื่ งโดยยอ่ มดี งั นี้ พระเจา้ กรงุ สญชยั
มเี อกอัครมเหสี คอื พระนางผุสดี พระอินทรใ์ ห้พรแกพ่ ระนางผสุ ดี ๑๐ ประการ และพระนางผสุ ดี
ประสูติ พระโอรสพระนาม เวสสันดร หมายถึง ประสูติท่ามกลางการค้าขาย ในวันเดียวกัน
นางช้างในโรงช้างได้ตกลูกเป็นช้างเผือกช่ือ ปัจจัยนาเคนทร์ พระเวสสันดร ทรงอภิเษกสมรส
กบั พระนางมทั รีตอ่ มาพระเวสสนั ดรไดค้ รองเมอื งสพี ีมพี ระโอรสพระนามวา่ ชาลีมพี ระราชธดิ าคอื กณั หา
ชว่ งตอ่ มาทแ่ี ควน้ กลงิ คราษฎรเ์ กดิ ทพุ ภกิ ขภยั ขา้ วยาก หมากแพง ฝนฟา้ ไมต่ กตามฤดกู าล พระเจา้
กลงิ คราษฎร์ ทราบว่า ท่ีแคว้นสีพี พระเวสสนั ดรมชี ้างปัจจัยนาเคนทร์ ท�ำใหฝ้ นตกต้องตามฤดกู าล
กษัตริย์แหง่ แคว้นกลิงคราษฎร์มรี บั สัง่ ให้พราหมณ์ไปขอช้างปจั จัยนาเคนทร์ จากพระเวสสนั ดร ๆ
พระราชทานชา้ งปจั จยั นาเคนทรใ์ ห้ ชาวเมอื งแควน้ สพี ไี มพ่ อใจ จงึ เนรเทศพระเวสสนั ดรออกจากเมอื ง
พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรีและชาลี กัณหา เสด็จออกจากเมืองสีพี เดินทางสู่
เขาวงกตเดนิ ทางผา่ นเมอื งเจตราชเจา้ เมอื งแนะนำ� ทางแกพ่ ระเวสสนั ดรและมอบหมายพรานเจตบตุ ร
เป็นผู้น�ำทางและดูและปกป้อง พระเวสสันดร พระนางมัทรี ชาลีและกัณหา ฝ่ายเทวดาคือ
พระเวสสกุ รรมเนรมติ พระอาศรมใหพ้ ระเวสสนั ดร พระเวสสนั ดร ดำ� รงตนเปน็ นกั บวชอยใู่ นเขาวงกต
กณั ฑช์ ชู กๆเปน็ พราหมณม์ อี าชพี ขอทาน เมอื่ เกบ็ เงนิ ทข่ี อไดม้ าก นำ� ไปฝากใหเ้ พอ่ื นเกบ็ เพอ่ื น
เปน็ พอ่ ของนางอมติ ดา พอ่ ของอมติ ดานำ� เงนิ ของชชู กไปใชห้ มด เมอ่ื ชชู กมาทวงเงนิ ทฝ่ี ากกบั เพอื่ นคนื
เพื่อนไม่มีเงินคนื จงึ ยกนางอมติ ดาให้ชชู ก นางอมิตดารับใช้ชูชกไปตกั น�้ำท�ำงานบ้านปรนนบิ ัตชิ ชู ก
เป็นอย่างดี ภรรยาชาวบ้านเห็นจึงรังแกนางอมิตดา นางอมิตดาทราบข่าว (เทวดามาบอกในฝัน)
วา่ พระเวสสนั ดรมจี ติ ใจเสยี สละ นางอมติ ดาจงึ บอกชชู กใหไ้ ปขอชาลกี บั กณั หามาเปน็ เดก็ รบั ใชใ้ นบา้ น
ชูชกตัดสินใจเดินทางไปยังเขาวงกต เมื่อถึงเขาวงกตพบกับพรานเจตบุตรๆซ่ึงได้รับค�ำส่ังจาก
พระเจ้าเจตราชให้ดแู ลพระเวสสันดร พรานเจตบตุ รเล้ียงสนุ ัขจ�ำนวนมาก สุนัขเหน็ ชชู กและไล่กัด
ภาพจติ กรรมจะมภี าพชชู กหนสี นุ ขั ขนึ้ ไปอยบู่ นตน้ ไม้ ชชู กใชเ้ ลห่ เ์ หลย่ี มอา้ งวา่ ไดร้ บั พระราชโองการ
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จงั หวดั ลำ� ปาง
73
จากพระเจ้ากรุงสญชัยมาทูลเชิญพระเวสสันดรให้เสด็จกลับเมือง พรานเจตบุตรหลงเชื่อบอกทาง
ไปเขาวงกตให้ชูชก และต่อมาชูชกพบกับโยคี โยคีได้สอบถามชูชก ชูชกอ้างมาเพ่ือเย่ียมเยือน
พระเวสสนั ดรเทา่ นนั้ เมอื่ ชชู กไปถงึ อาศรมของพระเวสสนั ดรแลว้ ชชู กตอ้ งรอใหพ้ ระนางมทั รอี อกไป
เก็บผลไม้ก่อน และเม่ือพระนางมัทรีออกไปเก็บผลไม้ ชูชกเข้าไปกราบทูลขอ ชาลีและกัญหา
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั จะมภี าพ ชาลกี ณั หาไปซอ่ นตวั ในสระนำ้� ทม่ี ใี บบวั บงั เมอ่ื พระเวสสนั ดรยกชาลี
กัณหาให้ชูชกไปแล้ว พระนางมัทรีกลับมาอาศรมไม่พบลูกจึงทูลถามพระเวสสันดรๆ ทรงตอบว่า
เราได้ยกชาลกี ัณหาให้พราหมณ์เฒา่ ไปแล้ว
เมื่อท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ทราบว่าพระเวสสันดรทรงสละลูก ชาลี กัณหาไปแล้ว
พระอินทร์จึงทรงแปลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่าไปขอพระนางมัทรี เม่ือพระเวสสันดรทรงมอบ
พระนางมทั รใี ห้ ทา้ วสกั กเทวราชสารภาพวา่ ตนเองมใิ ชพ่ ราหมรเ์ ฒา่ แตเ่ ปน็ พระสธุ มั บดี และถวาย
พระนางมทั รีกลับคืน และพระเวสสันดรทรงขอพรจากท้าวสักกเทวราช ๘ ประการคือ
๑. ขอใหพ้ ระบดิ าพระราชทานอภยั โทษ และเสดจ็ ออกมารบั พระองคก์ ลบั พระนคร (ตน้ ฉบบั
เขียนไว้ สมเด็จอคั เรศบดิ ร ฤาให้อ่อนเคลอ่ื นคลายโกรธ ปรดี ปิ ราโมทยอ์ อกมารับข้าบาทแล)
๒. เมื่อพระองคก์ ลับเมอื งสพี ี ขอใหไ้ ดป้ ลดปลอ่ ยนักโทษท่ีถูกจบั กุมคุมขงั ให้เป็นอสิ ระ
๓. ขอใหพ้ ระองคด์ แู ลทกุ ขส์ ขุ ประชาราษฎรทย่ี ากจน ใหอ้ ยดู่ มี สี ขุ (ในตน้ ฉบบั เขยี นวา่ เปรม
ประชาศุขสานต์ิ)
๔.ขอใหย้ นิ ดเี ฉพาะภรยิ าตน ไม่หลุ่มหลงในหญงิ อื่น (อันวา่ เสาวภาพเมียชายอ่ืน อย่าไดห้ ัน
หื่นมิจฉา)
๕. ขอให้พระโอรสผู้สืบราชสกุลมีพระชนมายุยืนยาว ทรงไว้ซ่ึงอ�ำนาจและทศพิธราชธรรม
(ในตน้ ฉบบั เขียนไว้ อนั ว่ากุมาร..ชาล.ี .จงทีฆายสุ ืบสงสาร ..ภูวดล มารกระมลแมน่ เทศธรรม ทศพิ
ธราชธรรม)
๖. เม่ือเสด็จกลับสู่พระนคร ขอให้มีฝนแก้วทิพย์เจ็ดประการตกลงมาจากฟากฟ้าประทาน
บารมี แจกยาจกมิให้ขาดแคลน (ต้นฉบับเขียนไว้ พลาหกกรหัดถ์แก้วเจ็ดประการเทียรบันดาล
ตกซ่าซ่)ู
๗. ขอใหม้ ีพระราชทรพั ย์บรจิ าคทานได้มริ ู้สิน้ และขอใหย้ ินดีในการบริจาคทานนนั้ อย่าได้
เกิดความอาลัยเสียดาย (สิ่งทรัพย์ซึ่งเราจ�ำแนกแก่ยาจก อย่ารู้บกเสียแล ..ตน๖ทานท�ำเสร็จแล้ว
อย่าสอดแคล้วร้อนเดอื ด)
๘. เมอื่ เสดจ็ สวรรคตขอใหไ้ ดไ้ ปสสู่ วรรค์ และเมอ่ื กลบั ชาตมิ าเกดิ ยงั โลกมนษุ ย์ กข็ อใหต้ รสั รู้
เป็นพระพุทธเจ้า (ต้นฉบับเขียนไว้ ตนเราคร้ันปลดเปลื้องปลิด จะจุติจิตรจากโลกามนุษย์แล..
จงครรไลเมอื เมอื งฟา้ ดลวเิ สศ....เฉพาะลงมาเกดิ เมอื งคนเมอ่ื สำ� ฤทธสิ รรเพชญส์ พั พญั ญู ฟเู ฟอ่ื งธรรม
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองล�ำปาง จงั หวัดลำ� ปาง
74
แกฝ่ งู สัตว์...อนั วา่ พระศาสดามหาบรมไตรภพนารถ)
กณั ฑ์ กมุ าร จะมภี าพจติ รกรรมฝาผนงั ภาพชชู ก มดั ลากจงู สองกมุ ารไปตามถนน และใชไ้ ม้
เฆ่ียนตอี ย่างน่าเวทนา ตกค�่ำ เทวดา นางฟ้าเหน็ ชูชกกระท�ำตอ่ ชาลีและกัณหาร้สู กึ สงสารจึงแปลง
กายเป็น พระเวสสันดรและพระนางมัทรี มาดแู ลสองกุมารให้อาหารกลอ่ มใหห้ ลบั นอน
ตอนหนึ่งในเร่ืองพระเวสสันดรชาดก ในหนงั สือแบบเรียนจนิ ดามณียกตัวอยา่ งล�ำนำ� ๑๑
ครั้นเชา้ ก็หวิ้ เชา้ ชายปา่ เตา้ ไปตามชาย
ลกู ไม้จึงครน้ั งาย จ�ำงายราชอดยนื
เป็นใดจงึ มาค�่ำ อยู่จรหลำ�่ ตอ่ กลางคนื
เห็นกนู ้โี หดหื่น มาดแู คลนน้ีเพื่อใด (มหาชาติค�ำหลวง อา้ งแลว้ น.๒๔๖)
ในคืนก่อนท่ีชูชกจะพาพระกุมารชาลีและพระกุมารีกัณหาเข้ามาในเมืองสีพี พระเจ้า
กรุงสญชัยทรงพระสุบินว่า มีบุรุษร่างใหญ่น�ำดอกบัวมาถวาย พระองค์ปรึกษาโหร โหรท�ำนายว่า
ราชวงค์ที่พลัดพรากจากกันจะเสด็จคืนวัง ขณะท่ีพระเจ้ากรุงสญชัยว่าราชการอยู่ พราหมณ์ชูชก
จูงสองกมุ ารเข้าเมอื งมา พระองค์ให้ทหารพาชูชก กับพระกุมารเขา้ เฝา้ ตรัสถามพราหมณเ์ ฒา่ วา่
ทา่ นได้ ๒ กมุ ารมาได้อยา่ งไร พราหมณเ์ ฒ่าตอบวา่ “ได้สองกุมารจากพระเวสสันดรโดยชอบ มไิ ด้
ลักพาแต่ประการใดพระพุทธเจ้าข้า” พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสเรียก พระกุมารทั้ง ๒ เข้ามาหาปู่
พระชาลตี อบ “ขา้ เปน็ ทาสของพราหมณ์ เขา้ ไปหาเสดจ็ ปมู่ ไิ ด้ พระบดิ าตคี า่ ตวั ขา้ พระองคไ์ ว้ ทองคำ�
พนั ตำ� ลงึ สว่ นนอ้ งกณั หา พระบดิ าตคี า่ ไว้ ทองคำ� รอ้ ยตำ� ลงึ ” พระเจา้ กรงุ สญชยั ใหน้ ำ� พระราชทรพั ย์
มาไถต่ วั พระกุมารท้ังสอง ตัวอยา่ ง
เมอ่ื น้นนพระบาทไท้ จอมจกั ร
จะไถห่ ลานรักสนอง ช่วงไช้
ทองพนนสิ่งสนิ ชกั ประสาท
แลสงิ่ แลรอ้ ยให้ แกเ่ ถ้าชชู ก โสดแล ฯ
(มหาชาตคิ �ำหลวง อา้ งแล้ว หนา้ ๒๙๓)
พรอ้ มกนั นน้ั ใหเ้ จา้ หนา้ ทใี่ นวงั จดั ขา้ วปลาอาหารมาเลย้ี งพราหมณเ์ ฒา่ ชชู กมมู มามกนิ อาหาร
จนท้องแตกตาย ภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงภาพนี้ (คนไทยทางภาคเหนือนับแต่อดีต จะสอน
ลกู หลานใหร้ ับประทานอาหารแต่พอดี หากรับประทานมากเกินเรยี กวา่ กินเหมือนพราหมณ)์
พระเจ้ากรงุ สญชยั ได้สอบถาม พระชาลี และพระกัณหา ถงึ ความเปน็ อยขู่ องพระเวสสนั ดร
และพระนางมทั รี และพระองคไ์ ดท้ บทวนเรอ่ื งทผ่ี า่ นวา่ การทขี่ บั ไล่ พระเวสสนั ดร เปน็ การกระทำ� ที่
ไม่ถูกต้อง ดังนน้ั พระเจ้ากรุงสญชยั จึงมี พระราชโองการอภยั โทษแกพ่ ระเวสสนั ดร และได้เตรียม
การรับพระเวสสันดร และพระนางมทั รกี ลบั เมอื ง และตอ่ มาเจ้าเมืองกลิงคราษฎร์ ไดน้ ำ� ช้างเผอื ก
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งลำ� ปาง จังหวดั ลำ� ปาง
75
ปัจจยั นาเคนทร์มาถวายคืนแก่พระเจ้ากรงุ สญชยั
พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี ชาลี กัณหา เสด็จไปยังเขาวงกตป่าหิมพานต์ เพื่อรับ
พระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับเมือง เม่ือพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี ชาลี กัณหา
พระเวสสนั ดร และพระนางมทั รี ไดพ้ บกนั รวมทงั้ ขา้ ราชการ เจา้ นาย ไพรฟ่ า้ ราษฎรษด์ ว้ ยความดใี จ
เกิดความปิติจนมีอาการสลบ ความทราบถึงพระอินทร์จึงบันดาลให้เกิดฝนโบกขรพรรษตกลงมา
กษตั ริย์ทง้ั หกจึงฟ้ืนจากสลบไดส้ ติ ประชาชนจึงอญั เชญิ พระเวสสนั ดรกลับสู่เมอื งสพี ี
ท�ำไมในรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ จึงมีการปฏิรูปการปกครอง และมีการ
ปฏิรูปสังคมเน้นการส่งเสริมพระพุทธศาสนา เหตุเพราะว่า พระมารดา และพระราชเทวี
เป็นเจ้าหญิงราชวงค์พระร่วงที่เน้นการปกครองแบบพุทธธรรมราชา เหตุการณ์แย่งชิงบัลลังก์
ระหว่างเจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาเป็นเหตุท่ีมาของการปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบรม
ไตรโลกนาถ โดยทส่ี มยั ตน้ ของอยธุ ยานน้ั ศาสนาและราชประเพณสี ว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งของพราหมณ์
ตามหลกั ศาสนาฮนิ ดู พราหมณเ์ ปน็ ชนชนั้ สงู รองลงมาคอื วรรณะกษตั รยิ ์ และวรรณะแพศย์ สดุ ทา้ ย
คือ วรรณะศูทร พราหมณ์มีอิทธิพลในราชส�ำนักอาณาจักรอยุธยา และยังมีหลักฐาน “.....จึงเจ้า
พระญาศรธี รรมโศกราชประดษิ ฐานพระอศิ วรเจา้ นี้ ไวใ้ หค้ รองสตั วส์ ต่ี นี สองตนี ในเมอื งกำ� แพงเพชร
และช่วยเลิกพระพุทธศาสนาและไสยศาสตร์และพระเทพกรรมมิให้หม่นให้หมอง.....” (ประชุม
จดหมายเหตสุ มยั อยธุ ยา ภาค ๑ สำ� นกั นายรฐั มนตรี ๒๕๑๐ หนา้ ๒๙) ดงั นน้ั เมอื่ พระบรมไตรโลกนาถ
มีพระราชนิพนธ์ เรื่องมหาชาติค�ำหลวง (พระเวสสันดรชาดก) สร้างตัวละคร พราหมณ์ชูชก
ขอทานพราหมณช์ ูชกมีเมียสาว (นางสาวอมิตดา) หรอื ตอนสดุ ท้ายพราหมณช์ ชู กตะกละตะกลาม
กนิ อาหารจนทอ้ งแตกตาย เทา่ กับลดคณุ ค่าพราหมณ์ จากคนวรรณะสูงเป็นคนธรรมดาในสายตา
คนไทยชาวพุทธ อีกเร่ืองท่ีขอน�ำหลักฐานชื่อเมืองล�ำปาง ในอดีตเมืองต่างๆเช่น เมืองลูกหลวง
เมอื งหลานหลวงหวั เมอื งชนั้ ในหวั เมอื งชน้ั นอกเมอื งประเทศราชในกฏมณเทยี รบาลกฎหมายตราสามดวง
บันทกึ ไว้ “ฝา่ ยกระษตั รแตไ่ ดถ้ วายดอกไม้ทองเงนิ ทังน้นั ๒๐ เมือง คอื เมืองนครหลวง(กัมพชู า)
เมืองศรีสัตนาคณหุต เมืองเชียงใหม่ เมืองตองอู เมืองเชียงไร เมืองเชียงกราน เมืองเชียงแสน
เมอื งเชยี งรงุ้ เมอื งเชยี งราย เมอื งเขมราช เมอื งแพร่ เมอื งนา่ น” (ประมวลกฎหมายรชั กาลท่ี ๑ เลม่ ๑
ม.ธรรมศาสตร์ ๒๕๒๙ หนา้ ๕๘-๕๙)
จากหลักฐานในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชกุศลเทศมหาชาติ เทศนาส�ำหรับแผ่นดิน
เปน็ ราชกุลนิจสมัย เดิมมี ๓๓ กณั ฑ์ ซง่ึ มกี ารก�ำหนดเครอ่ื งกัณฑค์ ล้ายบริวารกฐนิ คอื ผา้ ไตรแพร
เงนิ ๑๐ ตำ� ลงึ เทศนาเดอื น ๑๒ เดมิ เคยเทศมหาชาติ ๒ จบ ๒๖ กณั ฑ์ อรยิ สจั ๔ กณั ฑ์ เดอื นสบิ สอง
๓ กณั ฑ์ รวมเปน็ เทศนาวิเศษส�ำหรับแผ่นดนิ ๓๓ กณั ฑ์ ในรชั กาลท่ี ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ในเดอื นสิบเอด็
วนั ขึน้ ๑๔ ค่ำ� ๑๕ ค่�ำมีมหาชาติ แรม ๑ มอี ริยสจั ครบท้งั ๓๓ กัณฑ์ เม่ือเทศนาจบแลว้ เสด็จลงลอย
พระประทีป(พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีสิบสองเดือน
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมอื งลำ� ปาง จังหวัดล�ำปาง
76
,บรรณคาร ๒๕๑๓ หนา้ ๗๑)
สรปุ ประเพณกี ารเทศนม์ หาชาติ ลำ� ปางบางแหง่ เรยี กวา่ ตง้ั ธรรมหลวง และคตคิ วามเชอื่ ทว่ี า่
ผูใ้ ดไดฟ้ ังพระธรรมเทศนา เรอื่ งพระเวสสนั ดรชาดก ครบ ๑๓ กัณฑ์ เมือ่ ถึงแกก่ รรมไปจะได้ไปสู่
พระนพิ พาน และเหตทุ ตี่ อ้ งมจี ติ รกรรมฝาผนงั ในพระวหิ ารตามวดั ตา่ งๆ สนั นษิ ฐานวา่ คงเปน็ เรอื่ งของ
การเรียนรู้ท่ี ว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น และในสมัยก่อนโรงเรียนเป็นโรงเรียนวัด พระสงฆ์
เป็นครูสอนนักเรียน และเรื่องมหาเวสสันดรเน้นเรื่องการเสียสละ(ทาน) ลด โลภ โกรธ หลง
ผนู้ ำ� ตอ้ งมที ศพธิ ราชธรรม บา้ นเมอื งใดปกครองดว้ ย ธรรมาภบิ าล บา้ นเมอื งนนั้ สงบสขุ รม่ เยน็ แนวคดิ
ของพระเวสสนั ดรนา่ จะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ชาวลำ� ปางดว้ ย ตวั อยา่ งการเสยี สละของหลวงพอ่ เกษม เขมโก
มนี กั ประวัติศาสตรบ์ างท่านสนั นษิ ฐานวา่ หลวงพอ่ เกษม เขมโก ทา่ นบวชบำ� เพญ็ เพียรเพือ่ ลบล้าง
ค�ำสาปเรือ่ งเจ้าเมืองลำ� ปางในอดีตสั่งประหารนางสุชาดา ตามต�ำนาน ซ่งึ อาจเป็นเพียงเรอ่ื งเล่าใน
ต�ำนาน(เกสรบัว อุบลสรรค์, เจ้าแมส่ ชุ าดา เร่ืองเลา่ ต�ำนานและคำ� สาป) ตามความเห็นของผเู้ ขยี น
เช่อื วา่ หลวงพอ่ เกษมฯไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากพระเวสสนั ดรมากกว่า เพราะคนล�ำปาง มแี นวคิดเสียสละ
เชน่ จงั หวดั ใกลเ้ คยี งตอ้ งการธนาคารชาตภิ าคเหนอื ตอ้ งการกองบงั คบั การตำ� รวจภาคเหนอื ตอ้ งการ
สถานโี ทรทัศน์ คนล�ำปางกย็ อมเสยี สละแบบพระเวสสันดร
บรรณานกุ รม
กรมวชิ าการ, จำ� รสั ดวงธสิ าร, เรยี บเรยี ง,นทิ านชาดก, เลม่ ๑,เลม่ ๓ กรงุ เทพ, ๒๕๓๔,๒๕๓๕
กรมวชิ าการ, ประเทศของเรา, กรงุ เทพ, ๒๕๓๕
กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ,สมเด็จ, ปญั ญาสชาดก, ไม่ทราบปที ีพ่ ิมพ์
กรมศลิ ปากร, จนิ ดามณี, กรุงเทพ, ๒๕๖๑
กวินทร์ เรียบเรียงเนอ้ื หา, พระเวสสันดร ,บีเวล,กรงุ เทพ,๒๕๕๙
กิตตกิ ร มที รัพยแ์ ละคณะแปล, เกศนิ ี สุธาวรางกลุ ,บรรณาธกิ าร, อศั จรรยจ์ ิตมนุษย,์
รีดเดอร์ ไดเจสท์ ๒๕๔๓
เกสรบวั อบุ ลสวรรค์ , “เจ้าแม่สชุ าดา” เรือ่ งเล่า ต�ำนาน และค�ำสาปเมือง, เมืองโบราณ,
ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๖๓
จอหน์ เอช อารโ์ นลด์ เขยี น, ไชยยนั ต์ รัชชกลู แปล, ประวัตศิ าสตร์ของประวตั ิศาสตร,์
ศนู ยม์ านษุ ยวิทยาสิรนิ ธร,๒๕๔๙
เจ้าสามพระยากบั การขยายอำ� นาจของอยุธยา, อีคิวพลัส, กรงุ เทพ.
พระบรมไตรโลกนาถ มหาชาคคิ �ำหลวง , คลังวทิ ยา, พมิ พ์คร้งั ที่ ๖ ๒๕๑๖
พระบรมไตรโลกนาถ, การปฏริ ูปการปกครองแผน่ ดิน, อคี ิวพลัส,กรุงเทพ
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งลำ� ปาง จังหวัดลำ� ปาง
77
เตมิ ศกั ดิ์ คทวณิช,ดร,จิตวิทยาทวั่ ไป,กรงุ เทพ,๒๕๔๖.
ทองดี ปงิ ใจ, พทุ ธศาสนากบั การเปลย่ี นแปลงในอาณาจกั รอยธุ ยา, วทิ ยานพิ นธ์ ม.ศลิ ปากร,
๒๕๓๑
ธนโชติ เกียรตณิ ภัทร, ฉากมรณกรรมของหมน่ื ดง้ นคร ในยวนพา่ ยโคลงด้นั ,ศิลปวฒั นธรรม,
๒๕๖๔
ธมั ม์ ศริ ิพรมรินทร,์ เล่าเรอื่ งพงศาวดารอยธุ ยา,สกายบคุ .
ธมั มวโรภกิ ข,ุ อมตะนิทานชาดก ๕๐๐ เรื่อง, เก็ทไอเดีย,กรุงเทพ,๒๕๕๙.
บรรจบ บรรณรุจี,พระเจ้าสิบชาติ, ธรรมสภา, กรงเทพมหานคร,๒๕๔๗.
ประยรู ทรงศลิ ป์ แปล, นทิ านพ้ืนบา้ นเขมร, สุวรี ิยาสานส์ กรุงเทพล๒๕๔๕.
พระญาลไิ ทย, ไตรภูมพิ ระรว่ ง, ศลิ ปาบรรณคาร, พิมพ์ครงั้ ท่ี ๘ ,๒๕๑๓
พระบรมไตรโลกนาถ, มหาชาตคิ �ำหลวง, คลังวทิ ยา, พิมพ์คร้งั ท๖่ี ,๒๕๑๖
พระบรมไตรโลกนาถ,การปฏิรปู การปกครองแผน่ ดนิ , อคี ิวพลัส, กรงุ เทพ.
มงคล ถกู นึก, วถิ ีจาวละกอน, สำ� นักงานจังหวัดลำ� ปาง,๒๕๕๙
เมอื ง ทนิ ออ่ ง เขยี น,คิรีบูน,แปล, เจา้ หญงิ ผพู้ พิ ากษา, สนพ. ครี ีบูน,๒๕๓๗
ริค แฮน สนั ,ดร.เขียน. ณชั ร สยามวาลา,ดร,แปล, สมองสร้างสุข,อัมรนิ ทร์ธรรมะ,กรุงเทพ,
๒๕๖๑
รคิ แฮน สนั ,ดร.เขยี น. ณัชร สยามวาลา,ดร,แปล,ทำ� ทลี ะอยา่ ง, อมั รินทร์ธรรมะ,กรุงเทพ,
๒๕๕๘.
ริค แฮน สนั ,ดร.และนพ.ริชารด์ เมนดอิ สั ,เขยี น, ณัชร สยามวาลา,แปล.สมองแห่งพทุ ธะ,
อัมรนิ ทรธ์ รรมะ,กรุงเทพ พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๕,๒๕๕๘.
เหยา เหยา,เขียน, ธนาพร สังขวฒุ ิชยั คกลุ ,แปล, คุณเปน็ คนปกติหรอื ไม่,อัมรินทร์พรน้ิ ตงิ้ ,
กรงุ เทพ,๒๕๖๐
วบิ ลู ย์ ทานชุ ติ , การปฏริ ปกู ารศกึ ษาในมณฑลพายพั , วยิ านพิ นธม์ หาบณั ฑติ ,ม.ศรนี ครนิ ทรฯ์ ,
๒๕๒๘.
สรสั วดี อ่องสกลุ ,ศ. ประวตั ิศาสตรล์ ้านนา, อมรินทร์ พมิ พค์ รั้งที่ ๑๐ ,๒๕๕๗.
สมเดจพระพนรัตน,์ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรอี ยุธยา, บรรณาคาร, ๒๕๑๕
สกุ ฤกษ์ บุญทอง, ประวัติศาสตรช์ าตไิ ทย สโุ ขทยั , สกายบกุ๊ ส,์ ปทมุ ธานี ,๒๕๕๗
ศริ วพร ณ ถลาง,ทฤษฎคี ติชนวทิ ยา. จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๘.
เอกรนิ ทร์ สม่ี หาศาล,และคณะ, คณุ ธรรมน�ำความรู้ เศรษฐกจิ พอเพียง, อกั ษรเจริญทัศน์,
๒๕๔๔.
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองลำ� ปาง จังหวัดลำ� ปาง
78
จติ รกรรมฝาผนัง
ในเขตอำ� เภอเมืองล�ำปาง
โดย มงคล ถกู นกึ
กอ่ นทจี่ ะนำ� เสนอเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั จติ รกรรมฝาผนงั วดั ในเขตอำ� เภอเมอื งลำ� ปางทผ่ี เู้ ขยี นและ
คณะซง่ึ ประกอบดว้ ยอนกุ รรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นคณะกรรมการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาเมอื งเกา่ ลำ� ปาง
ได้ท�ำการศกึ ษา จากการลงพื้นท่ภี าคสนามทำ� การส�ำรวจ ถา่ ยภาพ ศึกษาวิเคราะห์ รวบรวมองค์
ความรู้เกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังวัดในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปางจ�ำนวน ๘ วัด อันได้แก่ จิตรกรรม
ฝาผนงั ในวหิ าร(หรอื อโุ บสถ) วดั ชา่ งแตม้ วดั สชุ าดาราม วดั นางเหลยี ว วดั นำ้� ลอ้ ม วดั เกาะวาลกุ าราม
วัดแสงเมอื งมา วดั ชา้ งเผอื ก และ วัดม่อนปู่ยกั ษ์น้นั ในล�ำดบั แรกผเู้ ขียนขอน�ำเสนอความรู้พน้ื ฐาน
เกย่ี วกบั ความเป็นมาของจิตรกรรมฝาผนังในดินแดนล้านนาพอสงั เขปดงั น้ี
จติ รกรรมลา้ นนา
ในดินแดนล้านนามีจิตรกรรมปรากฏอยู่มากแห่ง ภาพจิตรกรรมล้านนาได้รับอิทธิพลจาก
คตธิ รรมจากพทุ ธศาสนาเถรวาทแบบลงั กาวงศซ์ งึ่ แพรข่ ยายมาจากสโุ ขทยั สลู่ า้ นนา คตนิ ยิ มชนั้ เดมิ
นยิ มเรอ่ื งทเี่ ปน็ นทิ านชาดก ดงั ปรากฏทว่ี ดั ศรชี มุ เมืองสุโขทยั เก่าทม่ี จี ติ รกรรมรอยเสน้ บนแผน่ ศิลา
อายุประมาณ พ.ศ.๑๘๐๐๑ จิตรกรรมท่ีเก่าแก่มากที่สุดของล้านนาคือจิตรกรรมท่ีฝาผนังห้อง
ใตเ้ จดยี ว์ ดั อโุ มงคเ์ ชงิ ดอยสเุ ทพ จงั หวดั เชยี งใหม่ อายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐ เปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั อดตี
พระพทุ ธเจา้ เกย่ี วข้องกับศลิ ปะสโุ ขทัย และ อยธุ ยาตอนตน้ จิตรกรรมส�ำคัญสมัยตอ่ มาอายรุ าว
พทุ ธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ เปน็ ภาพเขยี นบนแผน่ ผา้ ทเี่ รยี กวา่ พระบฏสำ� หรบั เคารพบชู าอยใู่ นกรเุ จดยี ์
วัดดอกเงิน อำ� เภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ เขียนเปน็ ภาพพุทธประวัติตอนเสดจ็ จากดาวดึงส์ ปจั จบุ นั
อยูท่ ี่หอศิลป์ ถนนเจ้าฟ้า กรงุ เทพฯ๒
ภาพจิตรกรรมอดีตพุทธเจ้าพบท่ีแผงคอสองในวิหารพระพุทธ วัดพระธาตุล�ำปางหลวง
สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ เป็นภาพอดีตพระพุทธเจ้า ๒๗ องค์ แบ่งเป็น
๓ ลักษณะ คือแสดงปางมารวิชัยสองข้างมีฉัตรและพัดประกอบ แสดงปางมารวิชัยด้านหลัง
เขียนประภามณฑลรูปเปลวเพลิง และแสดงปางมารวิชัยด้านขวาเขียนรูปฉัตร๓ เม่ือรวมกับ
พระประธานเปน็ ๒๘ องคต์ ามคตคิ วามเชอื่ เรอ่ื งอดตี พทุ ธซงึ่ นยิ มเขยี นภาพในเชยี งใหมร่ าวศตวรรษที่
๒๐ ท้ังนด้ี า้ นหลังพระประธานเขียนอดีตพุทธไว้ ๓ องค์คืออดีตพทุ ธในภัทรกัป ได้แกพ่ ระกกุสนั ธะ
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปาง จงั หวดั ลำ� ปาง
79
พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ ส่วนพระประธานคือ พระโคตมะพุทธเจ้า อดีตพุทธะท่ีเหลืออีก
๒๔ องค์เขียนบนแผงไม้คอสอง ดา้ นละ๑๒ องค์ ตกแต่งภายในวหิ ารดว้ ยรปู เทวดาประคองอัญชลี
นัง่ เรยี งเปน็ แถว๔
จิตรกรรมรอยเสน้ บนแผน่ ศลิ า อายปุ ระมาณ พ.ศ.๑๘๐๐
วัดศรีชุม สุโขทยั เรอ่ื งโภชาชานยิ ชาดก
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมอื งล�ำปาง จงั หวัดล�ำปาง
80
จิตรกรรมรอยเสน้ ศิลา อายุประมาณ พ.ศ.๑๘๐๐ วดั ศรชี มุ สโุ ขทยั เร่อื ง ลกั ขณาชาดก
เร่ืองปุณณปาติกชาดก
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จังหวดั ล�ำปาง
81
จิตรกรรมฝาผนังหอ้ งใต้เจดีย์วัดอุโมงค์
เชยี งใหม่ อายุราวพทุ ธศตวรรษท๒่ี ๐
ภาพเขียนบนแผ่นผ้า หรอื พระบฏ
กรเุ จดียว์ ัดดอกเงนิ อำ� เภอฮอด จงั หวดั
เชยี งใหม่ อายุพทุ ธศตวรรษท่๒ี ๑-๒๒
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จงั หวัดล�ำปาง
82
ภาพจติ รกรรมอดตี พุทธเจ้า ๓ องค์เบือ้ งหลังพระประธาน วิหารพระพทุ ธ
วัดพระธาตุลำ� ปางหลวง จงั หวัดลำ� ปาง อายรุ าวตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๑
ภาพจติ รกรรมอดตี พทุ ธเจ้าบนเเผงคอสอง วิหารพระพุทธ
วดั พระธาตลุ �ำปางหลวง จงั หวดั ลำ� ปาง อายุราวตน้ พทุ ธศตวรรษท่๒ี ๑
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมอื งลำ� ปาง จังหวัดล�ำปาง
83
จิตรกรรมทีม่ อี ายุรองลงมาคือจติ รกรรมฝาผนงั ท่ีเขียนบนแผ่นไมแ้ ผงคอสองทีว่ ิหารน้ำ� แตม้
วัดพระธาตุล�ำปางหลวง อ�ำเภอเกาะคา จังหวัดล�ำปาง อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓
เปน็ นทิ านชาดก ดา้ นทศิ เหนอื เลา่ เรอื่ งประวตั พิ ระอนิ ทร(์ มฆะมาณพ) ดา้ นทศิ ใตเ้ ลา่ เรอ่ื งโฆสกะเศรษฐี
และนางสามาวดี ทงั้ สองเรอ่ื งเปน็ นิทานในอรรถคาถาหมวดอปั ปมาทะวรรค มีอกั ษรธรรมล้านนา
ก�ำกบั อยู่ทวั่ ไป๕
จติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนาราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ เปน็ ตน้ ไปเรม่ิ ปรากฏจติ รกรรมอทิ ธพิ ล
รตั นโกสนิ ทรแ์ ละตะวนั ตกเขา้ มาปะปน แตย่ งั ยดึ การแสดงออกแบบประเพณที อ้ งถนิ่ จติ รกรรมลา้ นนา
สมัยรตั นโกสนิ ทร์ส่วนใหญ่ยงั คงเขยี นเรื่องจากปญั ญาสชาดก (ชาดก ๕๐ เรือ่ ง) เช่น ท่วี หิ ารลายคำ�
วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ ท่ีวัดภูมินทร์ และวัดหนองบัว จังหวัดน่าน ส่วนท่ีวัดสบลี จังหวัดล�ำปาง
เขียนภาพเรื่องเวสสันดรชาดก และชาดกนอกนิบาตฝีมือช่างพ้ืนบ้านสอดแทรกภาพในวิถีชีวิต
ประจำ� วนั สีท่ใี ชใ้ นจติ รกรรมรุ่นเกา่ เป็นสีจากธรรมชาติ คอื สฝี นุ่ ประสมกาวยางไม้ หรอื กาวจาก
หนังสัตว๖์
จิตรกรรมฝาผนังตระกูลช่างล้านนา สร้างข้ึนตามเง่ือนไขทางสังคมและวัฒนธรรมล้านนา
ท่ีมีลักษณะเฉพาะตัวของกลุ่มชนในสังคมท่ีบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก ซึ่งจะแตกต่างจากสังคมท่ี
บรโิ ภคข้าวจา้ วเป็นอาหารหลักแบบท้องถ่ินภาคกลาง
จติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนาสว่ นใหญจ่ ะพบเขยี นในวหิ ารมากกวา่ อโุ บสถ ( ยกเวน้ ในระยะหลงั ที่
นยิ มแปลงพระวหิ ารใหเ้ ปน็ อโุ บสถจงึ ปรากฏภาพจติ รกรรมฝาผนงั ในอาคารซง่ึ แตเ่ ดมิ เคยเปน็ วหิ าร
มากอ่ นกลายมาเปน็ ภาพจติ รกรรมในอโุ บสถในปจั จบุ นั ซง่ึ มอี ยมู่ ากแหง่ ) ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทพ่ี บ
ในพระวิหารนนั้ สว่ นมากมักจะปรากฏในวัดท่เี ปน็ ศูนย์กลางของชุมชน๗
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ในลา้ นนาชน้ั หลงั ตงั้ แต่ พ.ศ.๒๓๐๐ ลงมา ไมค่ อ่ ยพบเรอ่ื งนทิ านชาดก
ส่วนมากมักจะเป็น เวสสันดรชาดก ทศชาติชาดก พุทธประวตั ิ หรอื ปัญญาสชาดก๘
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตภาคเหนอื ตอนบน ๘ จงั หวดั คอื จงั หวดั ลำ� ปาง ลำ� พนู เชยี งใหม่ แพร่
น่าน พะเยา เชียงราย และ แมฮ่ อ่ งสอน ซงึ่ โดยภาพรวมคือกล่มุ จงั หวดั ท่ีเคยเป็นสว่ น ประกอบของ
อาณาจักรลา้ นนาโบราณ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งจงั หวัดทม่ี ภี าพจิตรกรรมฝาผนังในวัดทม่ี อี ายุระหวา่ ง
พุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๕ ท่สี ว่ นใหญ่จะกระจายอย่ใู นเขตจงั หวดั เชียงใหม่ ล�ำปาง นา่ น๙ จากการ
ศกึ ษาของรองศาสตราจารยส์ น สมี าตรงั ทใ่ี ชจ้ ติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนาเปน็ ขอ้ มลู ศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์
สังคมลา้ นนา นำ� เสนอในวารสารเมอื งโบราณ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๕๒๘ น้ัน ไดแ้ กจ่ ิตรกรรมฝาผนงั วิหาร
น�้ำแต้มวัดพระธาตุล�ำปางหลวง จังหวัดล�ำปางอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒- ๒๓ จิตรกรรม
ฝาผนังวหิ ารลายค�ำ วัดพระสิงห์ จงั หวดั เชียงใหม่ อายุประมาณต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ จติ รกรรม
ฝาผนงั ในวหิ ารวดั บวกครกหลวง จงั หวัดเชยี งใหม่อายุประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ จิตรกรรม
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จงั หวัดล�ำปาง
84
ฝาผนงั ในวิหารวดั ป่าแดด จงั หวัดเชียงใหม่ อายุประมาณตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๒๕ จิตรกรรมฝาผนัง
วดั ทา่ ขา้ ม จงั หวดั เชยี งใหม่ อายปุ ระมาณกลางพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๒๕ จติ รกรรมฝาผนงั ในวหิ ารจตรุ มขุ
วดั ภมู ินทร์ จังหวัดน่าน อายปุ ระมาณต้นพุทธสตวรรษที่ ๒๕ จติ รกรรมฝาผนังในวหิ ารวดั หนองบัว
จงั หวดั นา่ น อายปุ ระมาณตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ จติ รกรรมฝาผนงั ในวหิ ารวดั เสาหนิ จงั หวดั เชยี งใหม่
อายุประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ จิตรกรรมฝาผนังวัดเวียง(อ�ำเภอเถิน) จังหวัดล�ำปาง อายุ
ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ จติ รกรรมฝาผนงั ในระเบยี งคด วดั พระธาตดุ อยสเุ ทพ จงั หวดั เชยี งใหม่
อายุปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕๑๐
จติ รกรรมบนผนงั ไม้คอสอง วิหารนา้ํ แตม้ วดั พระธาตลุ �ำปางหลวง
จงั หวดั ลำ� ปาง อายุประมาณพทุ ธศตวรรษท๒่ี ๒-๒๓
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จังหวดั ล�ำปาง
85
จติ รกรรมบนแผงคอสอง วิหารวัดสบลี อำ� เภอเมอื งปาน จงั หวัดล�ำปาง
เขยี นภาพเวสสันดรชาดกและชาดกนอกนิบาตฝมี ือชา่ งพ้ืนบา้ น ใชส้ จี าก
ธรรมชาติ คอื สีฝุ่นผสมกาวยางไม้ หรอื กาวจากหนังสัตว์
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมอื งลำ� ปาง จังหวัดลำ� ปาง
86
ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทพี่ บในวดั ในถน่ิ ลา้ นนาลว้ นแลว้ แตน่ ำ� เสนอและถา่ ยทอดเกยี่ วกบั ความเชอื่
ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวเหนือในอดีต แม้จะมีหลักฐานว่ามีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง
มาต้ังแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ( ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ) แต่ตัวอย่างจิตรกรรมฝาผนังใน
ยคุ นนั้ กลบั ไมห่ ลงเหลอื หรอื มเี หลอื อยนู่ อ้ ยมาก ภาพจติ รกรรมฝาผนงั สว่ นใหญใ่ นภาคเหนอื ตอนบน
ท่ียังคงอยู่ในปัจจุบันจึงมีอายุไม่เกิน ๑๕๐ ปี๑๑ สาเหตุท่ีภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยในทุกภาค
มกั จะมอี ายไุ มน่ านนนั้ อาจจะเนอื่ งมาจากมฝี นตกชกุ ความชนื้ มกั จะซมึ ขนึ้ สผู่ นงั ทำ� ใหภ้ าพหลดุ รว่ ง
นอกจากนีว้ สั ดุท่ีใชเ้ ขียนภาพ ตลอดจนการเตรยี มพืน้ กม็ ีส่วนสำ� คัญ ดังจะเห็นได้วา่ ภาพจติ รกรรม
ฝาผนงั สมัยอยุธยามกี ารเตรียมวสั ดอุ ย่างประณีตจงึ คงทนกวา่ ภาพในสมยั รตั นโกสินทร๑์ ๒
ลักษณะเดน่ ของจิตรกรรมฝาผนังลา้ นนาคอื การบอกเล่าเรือ่ งราวอยา่ งเรียบงา่ ยตามความ
เป็นจริง ผนวกกับกลิ่นอายของความเป็นท้องถ่ินอย่างเข้มข้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกัน
ของชาติพันธุ์อันหลากหลายในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นส่วนผสมท่ีได้รับอิทธิพลจากพม่า
ไทใหญ่ ลาว ไทลอ้ื และ สยาม
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ( ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๒๔ – ๒๕ ) ชุมชนชาวไทใหญ่ และไทล้ือ
ขนาดใหญ่ จากรัฐฉานและสิบสองปันนาได้อพยพมาต้ังถ่ินฐานในภาคเหนือของประเทศไทย
ขณะเดยี วกนั พอ่ คา้ ชาวจนี ฮอ่ ไดน้ ำ� สนิ คา้ เชน่ ชา ยาสมนุ ไพร ผกั ดอง สงิ่ ของเครอื่ งใช้ เขา้ มาจำ� หนา่ ย
และเวลาเดยี วกนั นน้ั ชาวจนี ทม่ี าจากทางใตไ้ ดเ้ ดนิ ทางขน้ึ มาเรมิ่ ธรุ กจิ ทางเหนอื รวมทงั้ ชาวตะวนั ตก
ทเี่ ขา้ มาสมั ปทานปา่ ไม้ รวมถงึ กล่มุ มิชชันนารีที่เขา้ มาเผยแพรศ่ าสนา สร้างโรงเรยี น โรงพยาบาล
โบสถ์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ได้ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนังล้านนาในช่วงเวลา
ดังกลา่ ว
นอกจากความหลากหลายทางวฒั นธรรมทปี่ รากฏในจติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนาแลว้ จติ รกรลา้ นนา
ยังได้สอดแทรกขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆของท้องถ่ินในภาพจิตรกรรม เช่น การเกี้ยวพาราสี
ความเปน็ อยใู่ นชวี ติ ประจำ� วนั การทำ� สงคราม การละเลน่ ของเดก็ นาฏศลิ ป์ ดนตรี ขนบธรรมเนยี ม
ในพธิ กี รรมตา่ งๆ เชน่ การปลงศพ การจดั ขบวนแห่ งานบญุ งานเลย้ี ง เปน็ ตน้ ซง่ึ จะตา่ งจากจติ รกรรม
ในภาคกลางโดยเฉพาะกรุงเทพฯทม่ี ขี อ้ กำ� หนดทางราชสำ� นกั อย่างเครง่ ครัด๑๓
ภาพจิตรกรรมในจงั หวดั ล�ำปาง
ภาพจติ รกรรมทพี่ บในเขตจงั หวดั ลำ� ปาง ประกอบดว้ ย ศลิ ปะการวาดรปู ระบายสใี นลกั ษณะ
จติ รกรรมฝาผนงั ในวหิ าร หรอื อโุ บสถ จติ รกรรมบนหบี พระธรรม ตพู้ ระธรรม ธรรมาสน์ บานประตู
บานหน้าตา่ ง แผงคอสอง และจิตรกรรมบนแผน่ ผ้าทเ่ี รียกว่าภาพพระบฏเป็นต้น๑๔ ภาพจติ รกรรม
ฝาผนังที่เก่าแก่ที่สุดคือ จิตรกรรมอดีตพุทธเจ้าที่พบบนแผงคอสองในวิหารพระพุทธ และภาพ
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จังหวดั ลำ� ปาง
87
อดีตพทุ ธเจา้ ๓ องคเ์ บือ้ งหลงั พระประธานในวิหารพระพุทธวดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง ซึ่งมีอายุราว
พทุ ธศตวรรษท่ี๒๑จติ รกรรมทม่ี อี ายรุ องลงมาคอื จติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารนำ�้ แตม้ วดั พระธาตลุ ำ� ปางหลวง
เขียนบนแผ่นไม้บนแผงคอสองของวิหาร เป็นเร่ืองเก่ียวกับมฆะมาณพท่ีบ�ำเพ็ญบุญจนได้เป็น
ท้าวสักกะ หรือ พระอินทร์ เร่ืองโฆสกะเศรษฐี และอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องพระนางสามาวดีซึ่งเป็น
นิทานธรรมบท เรื่องเหล่าน้ีเป็นนิทานอธิบายพระสูตรในพระไตรปิฎกท่ีพระพุทธโฆสาจารย์
แปลจากภาษาสิงหฬเป็นภาษาบาลีเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ สันนิษฐานว่าแพร่หลายเข้ามา
พรอ้ มกบั การเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนานกิ ายลงั กาวงศป์ ระมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ – ๒๐ นกั วชิ าการ
สันนิษฐานว่าจากรูปแบบศิลปะและ ตัวอักษรธรรมล้านนาท่ีอธิบายภาพ สามารถสรุปได้ว่า
ภาพเขยี นในวหิ ารนำ้� แตม้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะพกุ ามชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี๒๒-๒๓๑๕ความนา่ สนใจของ
ภาพจิตรกรรมดงั กล่าว เทยี บไดก้ บั จิตรกรรมฝาผนังทถ่ี ำ้� Tilawkaguru เมอื งสกาย ประเทศพม่า
นอกจากนใ้ี นวหิ ารนำ้� แตม้ ยงั มจี ติ รกรรมดา้ นหลงั พระประธานตกแตง่ ลายทองภาพโพธพิ์ ฤกษ์ ๓ ตน้
ตน้ กลางเปน็ ประธาน ขนาบดว้ ยตน้ ทล่ี ดหลนั่ กนั มกี งิ่ กา้ นสาขางดงาม มพี ระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทร์
เหนอื ตน้ โพธ์ิซา้ ยขวาแทรกด้วยภาพนกร่อน ต�่ำลงมาเป็นภาพเทวดาอัญชลี ดา้ นขา้ งเขียนรูปหมอ้
ปูรณฆฏะ ภาพโพธ์ิพฤกษ์นี้น่าจะได้แบบอย่างมาจากเมืองพุกาม ดังปรากฏภาพดังกล่าว
ในศาสนสถาน Nanda Ma Nya hpaya ท่ีมีอายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙
การประดบั ตกแต่งผนงั ดา้ นหลงั พระประธานในลักษณะดังกล่าว ยังพบในกลมุ่ วิหารล�ำปาง
ทส่ี รา้ งขน้ึ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓-๒๔ ไดแ้ ก่ วดั ไหลห่ นิ วดั ปงยางคก(วหิ ารจามเทว)ี วดั คะตกึ เชยี งมนั่ ๑๖
เปน็ ตน้ สว่ นภาพโพธพ์ิ ฤกษร์ ปู ทรงคลา้ ยรศั มเี บอื้ งหลงั พระเศยี รพระประธานในวหิ ารวดั แสงเมอื งมา
นน้ั วาดขึ้นประมาณกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕
นอกจากนยี้ งั ปรากฏลายคำ� ตรงฐานเสาวหิ ารพระพทุ ธ กบั ลายคำ� ตรงเสาวหิ ารนำ้� แตม้ รวมทง้ั
ลายค�ำตรงประตูวิหารพระพุทธวัดพระธาตุล�ำปางหลวง ที่นักวิชาการบางท่านเช่ือว่าควรจะเป็น
การสรา้ งข้นึ ร่วมสมัยกนั ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒-๒๓๑๗
จิตรกรรมที่มีอายุรองลงมาคือจิตรกรรมในวิหารวัดไหล่หินหลวงเป็นจิตรกรรมท่ีสร้างขึ้น
พร้อมกับการก่อสร้างพระวิหาร โดยครูบามหาป่าเกสระปัญโญ เม่ือ พ.ศ.๒๒๒๖ ตามจารึก ลป.
๒๓๑๘
จิตรกรรมลายค�ำวิหารโบราณวัดปงยางคก(วิหารจามเทวี)ประกอบด้วยจิตรกรรมลายค�ำ
บนผนังด้านหลังพระประธาน เป็นภาพโพธ์ิพฤกษ์สามต้น ประกอบกับภาพเทวดาถือฉัตร และมี
ชอ่ ดอกไมป้ ระดบั สองขา้ งโขงพระประธาน นอกจากนยี้ งั มลี ายคำ� ตามผนงั เสา ขอ่ื คาน ของพระวหิ าร
ท้ังหมด โดยเฉพาะอย่างย่ิงภาพลายหม้อดอก หรือ ปูรณฆฏะ บนแผงคอสองของพระวิหาร
โบราณวัดปงยางคก ถือได้ว่าเป็นรูปปูรณฆฏะที่งดงามย่ิง จิตรกรรมลายค�ำท้ังหมดสร้างขึ้น
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปาง จงั หวัดลำ� ปาง
88
พรอ้ มกบั พระวหิ ารหลงั นี้ โดยนกั วชิ าการเชอ่ื วา่ จะอยใู่ นระหวา่ งปี พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๐๒ ซงึ่ เปน็ ชว่ งเวลา
ทีเ่ จา้ พระญาสุลวะลือไชยสงครามเปน็ เจ้านครลำ� ปาง๑๙
จิตรกรรมในจังหวัดล�ำปางท่ีมีการส�ำรวจแล้วน้ัน จิตรกรรมท่ีสร้างข้ึนระหว่างช่วงปี
พ.ศ.๒๓๐๐- ๒๔๐๐ พบนอ้ ยมาก แตก่ ลบั พบจติ รกรรมทม่ี อี ายใุ นชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ ( ระหวา่ ง
พ.ศ.๒๔๐๐ – ๒๕๐๐ ) เป็นจ�ำนวนมาก๒๐
จิตรกรรมฝาผนงั วิหารน้าํ แตม้ วดั พระธาตลุ �ำปางหลวง อ�ำเภอเกาะคา
จงั หวัดล�ำปาง ผนังดา้ นทิศเหนอื
เรอ่ื งมฆะมาณพ บ�ำเพ็ญกุศลจนได้ไปเกิดเป็นพระอนิ ทร์
จิตรกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปาง จังหวัดลำ� ปาง
89
ผนังด้านทศิ ใต้ วิหารนำ้� แตม้ วัดพระธาตลุ �ำปางหลวง เรอ่ื งโฆสกะเศรษฐี
ทไี่ ด้รบั วิบากจากกรรมชั่วท่ไี ด้กระท�ำในอดตี และเมอื่ วิบากจากกศุ ล
กรรมให้ผลกก็ ลายเปน็ มหาเศรษฐีสร้างโฆสติ ารามถวายพระพทุ ธเจ้า
ลายทองภาพโพธิ์พฤกษ์ ๓ ต้น ต้นกลาง
เปน็ ประธาน มีพระอาทิตยแ์ ละพระจันทร์เหนอื
ต้นซา้ ยขวา แทรกด้วยภาพนกรอ่ นและเทวดา
อญั ชลี ภาพโพธ์พิ ฤกษ์นไี้ ด้แบบอย่างมาจากพุกาม
ช่วงพทุ ธศตวรรษท่๒ี ๒-๒๓
จติ รกรรมฝาผนังในเขตอำ� เภอเมืองลำ� ปาง จงั หวดั ล�ำปาง
90
ภาพโพธิ์พฤกษต์ กแต่งฝาผนัง
ดา้ นหลงั พระประธาน วหิ ารวดั ไหลห่ นิ
อายุประมาณพทุ ธศตวรรษท่๒ี ๓-๒๔
การตกแตง่ เบือ้ งหลงั พระประธาน
ด้วยโพธิ์พฤกษ์ อายปุ ระมาณ
พุทธศตวรรษท๒่ี ๓-๒๔
วิหารจามเทวี วัดปงยางคก
อำ� เภอห้างฉตั ร จงั หวดั ล�ำปาง
การตกแตง่ ฝาหนงั เบอ้ื งหลัง
พระประธานดว้ ยโพธ์พิ ฤกษ์ อโุ บสถ
วดั คะตกึ เชียงมน่ั อ�ำเภอเมอื งล�ำปาง
จังหวัดลำ� ปาง อายปุ ระมาณ
พุทธศตวรรษที๒่ ๓-๒๔
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอำ� เภอเมืองลำ� ปาง จังหวัดล�ำปาง
91
โพธพิ์ ฤกษร์ ูปทรงคลา้ ยรศั มหี ลงั พระเศยี ร ลายค�ำตรงเสาวิหารพระพุทธ
พระประธานในวิหารวัดแสงเมืองมา วดั พระธาตุล�ำปางหลวง อำ� เภอเกาะคา
จงั หวัดล�ำปาง อาจจะสรา้ งรว่ มสมัย
วาดข้นึ ประมาณกลางพุทธศตวรรษท่ี๒๕ กบั ลายค�ำเสาวหิ ารนาํ้ แตม้ วดั เดียวกัน
ประมาณ พทุ ธศตวรรษท๒่ี ๒-๒๓
จิตรกรรมในวหิ ารวดั ไหล่หิน อำ� เภอเกาะคา จงั หวดั ลำ� ปาง สร้างขน้ึ พร้อมกับวหิ าร
โดยครูบามหาปา่ เกสระปญั โญ เมื่อ พ.ศ.๒๒๒๖
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จงั หวัดล�ำปาง
92
จิตรกรรมลายคำ� หม้อดอกปรู ณฆฎะ บนแผงคอสองวหิ ารโบราณวัดปงยางคก(วิหารจาม
เทวี) อำ� เภอเกาะคา จงั หวดั ล�ำปาง เป็นรปู ปรู ณฆฎะทงี่ ดงามย่ิง ลายคำ� ในวิหารนส้ี รา้ ง
พรอ้ มกับพระวหิ าร ระหวา่ งปีพ.ศ.๒๒๗๕- พ.ศ.๒๓๐๒ ซง่ึ เป็นชว่ งเวลาที่
เจ้าพระญาสลุ วะลือไชยสงคราม (พอ่ เจ้าทิพยช์ ้าง) เปน็ เจา้ นครล�ำปาง
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมืองลำ� ปาง จังหวดั ล�ำปาง
93
ส�ำหรับจิตรกรรมประเภทตุงคร่าวพระบฏในจังหวัดล�ำปางนั้นจากการส�ำรวจโดยวิทยาลัย
อนิ เตอร์เทคลำ� ปาง ร่วมกับศนู ยโ์ บราณคดีภาคเหนือ และ คณะวจิ ติ รศิลป์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่
ในช่วงปี ๒๕๕๐-๒๕๕๘ ไดท้ ำ� การสำ� รวจและอนุรักษ์งานจิตรกรรมภาพพระบฏ จำ� นวน ๑๒ วัด
คือ วดั ปงสนกุ เหนือ อำ� เภอเมอื ง ๕๙ ผืนส้ัน ( พ.ศ.๒๕๕๐ ) วัดนาคตหลวง อ�ำเภอแม่ทะ๑ ผืนยาว
( พ.ศ. ๒๕๕๑ )วดั บา้ นสัก อ�ำเภอเมือง ๒๕ ผนื สน้ั ( พ.ศ. ๒๕๕๒ ) วัดศรดี อนมลู (ทงุ่ ฮ้าง) อ�ำเภอ
แจ้ห่ม ๒ ผืนยาว(เครือ) (พ.ศ. ๒๕๕๓) วัดท่งุ ผงึ้ อำ� เภอแจห้ ม่ ๒๓ ผืนสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๓) วัดทุ่งคา
อำ� เภอแจห้ ม่ ๒๘ ผนื สน้ั (พ.ศ. ๒๕๕๓) วดั ปา่ แขม อำ� เภอวงั เหนอื ๑๔ ผนื สนั้ (พ.ศ. ๒๕๕๓) วดั สบลี
อ�ำเภอเมืองปาน ๑๒ ผืนสน้ั (พ.ศ. ๒๕๕๓) วดั บ้านเอือ้ ม อำ� เภอเมอื ง ๓๕ ผืนส้ัน (พ.ศ. ๒๕๕๔)
วดั ล�ำปางกลางตะวันออก ๓๒ ผืนสนั้ ( พ.ศ. ๒๕๕๔) วัดทุง่ ม่านเหนือ อ�ำเภอเมือง ๑๔ ผืนสัน้
(พ.ศ. ๒๕๕๘) วัดวอแก้ว อ�ำเภอห้างฉตั ร ๒๕ ผืนสน้ั (ยังไมไ่ ดท้ ำ� การอนรุ ักษ)์
จติ รกรรมภาพพระบฏทสี่ ำ� รวจแล้วนี้ มอี ายุระหวา่ ง ๑๐๐-๒๐๐ ป๒ี ๑
จติ รกรรมบนตงุ ครา่ ว (พระบฏ) วัดนาคตหลวง อำ� เภอแม่ทะจงั หวดั ลำ� ปาง มีบนั ทกึ ท้ายตงุ
ระบวุ ่า
“ จฬุ สกั ราชได้ ๑๒๖๑ ตวั ระสะ ๑๑๘ กรุ ฉนำ� กมั โพชชะขรอมพไิ สยสระเดฌเขา้ มาในคมิ หนั ตะ
วิสาขาปุณณมี ฆริสวิทขะไถง ไทยภาสาว่าปลีกัดไคล เดือน ๘ เพง เมงวัน ๒ ไทยเต่าใจ้
หมายมภี ยาสวี ไิ ชเปนเคลา้ ภรยิ าชอ่ื วา่ ยา่ เพงและลกู เตา้ ทงั มวรไดส้ า้ งยงั ผา้ คา่ วเวสสนั ตะระหอื้ เปนทาน
ไว้กบั สาสนาตราบต่อเท้า ๕๐๐๐ ภะวสั สา อารหตั ตะพะละ มคั คะญาณะ เมตตยั ยะ พุทธสนั ติเต
อนาคเต กาเลนจิ จัง นายคำ� มา บา้ นปล่าทนั เป็นเลกขะกาน ผรู้ สิ สนาแตม้ ”๒๒
ตุงคร่าว หรือ ภาพพระบฏวัดนาคตหลวง เรื่องเวสสันดรชาดกนี้ สร้างเมื่อ จ.ศ.๑๒๖๑
ตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๒ มีพระญาศรีวิไชย เป็นเจ้าศรัทธา พร้อมด้วยบุตรภรรยา วาดโดยนายค�ำมา
บ้านปา่ ตัน
จิตรกรรมฝาผนังบนแผงคอสอง วหิ ารหลวงวดั พระธาตุล�ำปางหลวง จากการศึกษารูปแบบ
ศิลปะและลักษณะเหตุการณ์ทางสังคมที่ปรากฏในภาพพบว่าน่าจะมีอายุไล่เล่ียกับภาพพระบฏ
วัดนาคตหลวง๒๓
จิตรกรรมฝาผนังวดั สบลี ต�ำบลแจซ้ อ้ น อ�ำเภอเมืองปาน จังหวดั ล�ำปาง จากค�ำบอกเล่าของ
นายคำ� หล้า อ่อนน้อม และ นายสม บุตรปะสะ กล่าววา่ วหิ ารวัดสบลีสรา้ งเสรจ็ และ ฉลองเมอื่
จ.ศ.๑๒๖๑ ( พ.ศ.๒๔๔๒ ) จิตรกรรมภายในวิหารวดั สบลเี ขยี นเรอื่ งบัวระวงศ์หงส์อำ� มาตยซ์ ึ่งเป็น
นิทานพืน้ บ้าน ( ภาคกลางเรียกว่า วรวงศ์ อีสานเรยี กว่า วงยะมาด ) โดยสล่าคำ� ตาล จติ รกรชาว
ไทยใหญ่ จิตรกรรมฝาผนงั วัดสบลีนา่ จะเขียนข้นึ ในปที ่ีใกลเ้ คียงกับการสร้างวหิ ารเสรจ็ (จติ รกรรม
ฝาผนังวิหารวัดสบลี ได้รับการอนุรักษ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ โดยกลุ่มงานอนุรักษ์จิตรกรรม
ประตมิ ากรรม กองโบราณคดี กรมศลิ ปากร )๒๔
จติ รกรรมฝาผนงั ในเขตอ�ำเภอเมอื งล�ำปาง จังหวัดลำ� ปาง
94
ภาพจิตรกรรมฝาผนังบนแผงคอสองวิหารวัดสชุ าดาราม อำ� เภอเมอื งล�ำปาง ระบุวา่ วาดเมื่อ
พ.ศ.๒๔๖๕ โดยนายปวน สุวรรณสงิ ห๒์ ๕
ส่วนภาพจติ รกรรมฝาผนงั บนแผงคอสอง อโุ บสถวัดแสงเมอื งมา อำ� เภอเมอื งลำ� ปาง คงจะ
วาดประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ ๒๖
จติ รกรรมฝาผนงั วดั อมุ ลอง อำ� เภอเถิน จังหวดั ลำ� ปาง วาดโดยนายปวน สุวรรณสงิ ห์ ฝีมือ
ประณตี มาก สันนิษฐานว่าวาดประมาณกลางพทุ ธศตวรรษที่ ๒๕ เช่นเดยี วกัน๒๗
จติ รกรรมฝาผนงั วดั นาแสง่ อำ� เภอเกาะคา จงั หวดั ลำ� ปาง วาดบนแผงคอสอง และ ผนงั ดา้ นหลงั
และด้านหน้าพระประธาน เป็นเรอ่ื งราวในเวสสนั ดรชาดก ไตรภมู ิ และจักรวาล ภาพนรกสวรรค์
ลักษณะท่ีทรงคุณค่าของจิตรกรรมฝาผนังวัดนาแส่งคือการสอดแทรกเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่
ทางสงั คม การแตง่ กาย สถาปตั ยกรรม การประกอบอาชพี ของผคู้ นในสงั คมขณะนนั้ จากการสมั ภาษณ์
พระครูรัตนประภากร ( ครบู าคำ� ปัน ปภากโร ) เจ้าอาวาสในขณะน้ัน ( พ.ศ.๒๕๔๒ ) ทำ� ให้ทราบว่า
จติ รกรผ้วู าดภาพ คอื สลา่ นอ้ ยซาว เดิมเป็นคนบา้ นวงั แควง้ ใกลก้ บั บา้ นย่าเปา้ อ�ำเภอเมืองล�ำปาง
ภายหลังต้ังถ่ินฐานที่บ้านแม่หลง เขียนภาพจิตรกรรมวัดนาแส่งจากจินตนาการท่ีมีผู้อ่านเร่ืองใน
ชาดกให้ฟัง ( สล่าน้อยซาวยังได้วาดภาพจิตรกรรมในศาลาน�้ำแต้ม หน้าวัดพระธาตุล�ำปางหลวง
อกี ด้วย ) โดยสล่านอ้ ยซาวใชพ้ ูก่ นั ทที ำ� จากเปลือกไม้ อายขุ องภาพจติ รกรรมเมือ่ นบั ถงึ ประมาณปี
พ.ศ.๒๕๔๒ อายุประมาณ ๘๐ ปี ดังน้นั จติ รกรรมฝาผนงั วัดนาแสง่ น่าจะวาดระหวา่ งปี พ.ศ.๒๔๖๐
– ๒๔๖๕๒๘ อย่างไรก็ดขี อ้ มลู จากหนังสอื อนสุ รณ์งานฌาปนกิจศพพอ่ กองแก้ว แสงแก้ว บนั ทึกตาม
ประวัติศาสตร์ค�ำบอกเล่าของพ่อกองแก้ว แสงแก้ว ชาวตำ� บลนาแส่ง อำ� เภอเกาะคา จงั หวดั ล�ำปาง
ซง่ึ เกดิ ในปีทสี่ ร้างวัดนาแสง คือ พ.ศ.๒๔๔๓ กลา่ วว่า สล่านอ้ ยซาว ชาวสบจาง วาดภาพจิตรกรรม
ฝาผนงั วดั นาแสง่ เม่ือพอ่ กองแก้วอายไุ ด้ ๘ ขวบ ( เม่ือคำ� นวณแลว้ จะเปน็ ดงั นี้ คอื เกดิ พ.ศ.๒๔๔๓
อายุ ๘ ขวบมกี ารวาดภาพจติ รกรรม ดงั นนั้ ภาพจติ รกรรมฝาผนงั วดั นาแสง่ วาดเมอ่ื ปี พ.ศ.๒๔๕๑ )๒๙
ภาพจิตรกรรมตุงครา่ วธรรม หรอื ตุงค่าวเวสสนั ตะระ ( ภาพพระบฏ )วัดปงสนุกเหนือ ซ่ึงมี
ทงั้ หมด ๕๙ ภาพ เขยี นบนผนื ผา้ ๒๕ ภาพ เขยี นบนกระดาษสา ๓๔ ภาพ ไมร่ ะบชุ อ่ื เจา้ ศรทั ธา และ
ผู้วาด สันนิษฐานว่าเขียนขึ้น หลังปี พ.ศ.๒๔๕๕ หลังยุคสมัยของครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนี
เปน็ เจา้ อาวาสวดั ปงสนกุ เหนอื นา่ จะมอี ายรุ ะหวา่ ง ๙๐ – ๑๐๐ ปี ( นบั ถงึ ปปี จั จบุ นั คอื พ.ศ.๒๕๖๔ )๓๐
จิตรกรรมฝาผนังในเขตอ�ำเภอเมืองล�ำปาง จังหวัดลำ� ปาง