เกียรติ พระองคท์ รงอย่ใู นฐานะตาแหน่งกษัตริย์ อนั บ่งบอกถึง
ความมีเกียรติสูงสุด เสด็จไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมาน้อมเกล้าน้อม
กระหม่อมสยบยอมต่อพระราชอานาจ จนทาให้ขัตติยะมานะของ
พระองค์เบ่งบานจนมองไม่เห็นคุณค่าความเป็ นคนของผู้อ่ืนก็มีอยู่
บ่อยครง้ั
เร่ืองท่ีจะนาเสนอต่อไปนี้ ก็เป็นอีกตัวอย่างท่ีบ่งบอกว่า พระ
เจา้ ปเสนทิโกศลทรงติดใจในรสชาติของกามารมณ์ จนเกือบตอ้ งพราก
เมียคนอ่นื ยงั ดที ่ไี ดเ้ ปรต ทุ สะ นะ โส โผลม่ าเตอื นสติไวไ้ ดท้ นั มิเชน่ นนั้
แลว้ คงจะหลงทาผดิ เตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนตอ่ ไหนกไ็ มร่ ู้
ป๊ิ งรักทางหน้าต่าง
ครั้งหน่ึง พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปในงานมหรสพ ทรง
ชา้ งเผือกเวียนประทกั ษิณไปรอบ ๆ พระนครเพ่ือแสดงพระราชานภุ าพให้
เป็นท่ีประจักษ์แก่อาณาประชาราษฎร์ ขบวนเสด็จเต็มไปด้วยความ
ยงิ่ ใหญ่อลงั การสมพระเกียรติ สองขา้ งทางท่ีพระองคเ์ สด็จผ่านเนืองแน่น
ไปด้วยประชาชนท่ีพากันหล่ังไหลมาชมพระบารมี ทรงโบกพระหัตถ์
ทกั ทายประชาชนดว้ ยพระพกั ตรท์ ่ียิม้ แยม้ แจ่มใส สายพระเนตรสาดสอ่ ง
มองดปู ระชาชนท่ีมาเฝา้ รบั เสด็จในท่ีต่าง ๆ ทนั ใดนนั้ ก็ไดท้ อดพระเนตร
๑๔๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เห็นสาวสวยนางหน่ึงท่ีกาลงั จอ้ งมองดูขบวนเสด็จผ่านทางหนา้ ต่างบาน
หน่ึงบนปราสาท ๗ ชั้น ความสวยงามของนางสรา้ งความตกตะลึงแก่
พระราชาย่ิงนกั จนตอ้ งหยดุ ขบวนเสดจ็ จอ้ งมองดเู ธอ เหล่าขา้ ราชบริพาร
ก็หนั ไปมองดเู ช่นกัน หญิงสาวพอทราบว่าถกู มองมา ดว้ ยความกลวั ต่อ
พระราชอาญา จึงปิดหนา้ ต่างหลบหนีไปขา้ งใน การหลบหนีไปของนาง
ปรากฏแก่พระราชาประหน่ึงพระจันทร์ถูกปิ ดบังด้วยกลีบเมฆ ส่ิง
สวยๆงามๆ ไดห้ ายวบั ไปกบั ตา
พระองคท์ รงมพี ระหฤทยั หลงรกั ในหญิงสาวนนั้ ทนั ที ทงั้ ๆ ท่ยี งั ไม่
ทรงทราบดว้ ยซา้ ไปว่านางเป็นใครมาจากไหน มีสามีมีลูกแล้วหรือยัง
ขณะนนั้ พระราชาทรงมึนงงประหนึ่งตอ้ งมนตส์ ะกด ใจละลายคลา้ ยกบั
พลดั ตกลงจากคอชา้ ง พอทรงไดส้ ติ ก็รีบกระทาประทกั ษิณพระนครต่อ
แลว้ เสดจ็ เขา้ ไปภายในพระราชวงั ตรสั กะอามาตยค์ นสนทิ นายหนง่ึ วา่
“เจา้ เหน็ ปราสาทท่เี ราหยดุ แลดใู นท่โี นน้ ไหม”
อามาตย์ “เห็น พระเจา้ ขา้
พระราชา “เจา้ ไดเ้ ห็นหญิงสาวนางหนึ่งท่ปี ราสาทนนั้ ไหม”
อามาตย์ “ไดเ้ ห็น พระเจา้ ขา้ ”
พระราชา “ไปสบื ดสู วิ ่า นางมสี ามีแลว้ หรือยงั ”
ชาดกวา่ ดว้ ยเรื่องผๆี | ๑๔๖
อามาตยไ์ ดท้ าตามรบั ส่งั นนั้ ไปสืบเสาะดจู นทราบว่า นางมีสามี
แลว้ จึงมากราบทลู ใหพ้ ระราชาทรงทราบ
เพราะมีเมยี สวย ความซวยจึงมาเยือน
ด้วยอานาจความรักปักทรวงอก
ตกไปในเหวลึกยากหย่งั ถงึ
ความผิดชอบช่ัวดไี ม่คานึง
ขอให้ถึงใจข้าเป็ นเพียงพอ
ราชาผหู้ ลงใหลในกามารมณ์ รูส้ กึ ผิดหวงั ยิ่งนกั เม่ือทราบว่าหญิง
สาวนั้นมีสามีแล้ว แต่เม่ือถูกอานาจกามราคะเข้าครอบงาจิต ก็ไม่
สามารถหักหา้ มใจตัดขาดจากหญิงสวยนนั้ ได้ จึงตอ้ งคิดหาวิธีท่ีจะนา
นางมาเชยชมใหไ้ ด้ เขา้ ทานองท่ีว่า ไมไ่ ดด้ ว้ ยเลห่ ก์ เ็ อาดว้ ยกล ไมไ่ ดด้ ว้ ย
มนตก์ ็ตอ้ งเอาดว้ ยคาถา
แตก่ ารท่จี ะตรสั ส่งั ใหม้ หาดเล็กไปจบั ตวั หญิงสาวมาแลว้ บงั คับให้
เป็นนางสนมเลย แมจ้ ะสามารถทาได้ ก็อาจถกู ตาหนิติติงจากประชาชน
ราชาท่ีไม่ไดร้ บั ความศรทั ธาจากประชาชนก็อยู่ลาบากเช่นกัน มันตอ้ ง
แนบเนียนมีเล่หเ์ พทุบายมากกว่านีห้ น่อย จึงตรสั รับส่งั ใหม้ หาดเล็กไป
เรียกสามีของหญิงสาวนนั้ มาเขา้ เฝา้
๑๔๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
หนุ่มยากจนชาวบา้ นธรรมดาคนหนึ่ง แต่เผอิญว่ามีเมียสวย พอ
ทราบว่า พระราชารบั ส่งั ใหเ้ ขา้ เฝ้า ก็รูส้ กึ สงั หรณใ์ จว่า ความซวยกาลงั จะ
มาเยือนตนแลว้ แมไ้ ม่อยากไป แต่ก็ไม่อาจฝืนพระราชอานาจได้ ตอ้ งไป
เขา้ เฝา้ ดว้ ยความจาใจ พอมาถึง พระราชาตรสั รบั ส่งั กบั เขาวา่
“ขา้ จะใหเ้ จา้ มาทางานในราชสานกั คอยบารุงดแู ลขา้ ”
ชายหนุ่มทูลบ่ายเบ่ียงเพ่ือเอาตัวรอดว่า “ตอนนี้ ขา้ พระองคก์ ็
บารุงพระองคโ์ ดยทางออ้ ม ดว้ ยการทางานถวายส่วย(ภาษี)แก่พระองค์
เป็นประจาอยแู่ ลว้ พระเจา้ ขา้ ”
พระราชาตรสั ว่า “ขา้ ไม่มีความตอ้ งการดว้ ยส่วยของเจา้ ตงั้ แต่
วนั นเี้ ป็นตน้ ไป เจา้ จงมาบารุงขา้ ” ไดท้ รงแต่งตงั้ ชายหนมุ่ เป็นเสวกในราช
สานกั และรบั ส่งั ใหพ้ ระราชทานโล่และอาวธุ แก่เขา ชายหนมุ่ แมไ้ ม่อยาก
รบั แตก่ ็ไม่อาจขดั พระราชบญั ชาได้
ตาแหน่ง “เสวก” ท่ีชายหนุ่มได้รบั นั้น ไม่มีงานประจาตายตัว
แลว้ แต่จะมีพระบญั ชาใหท้ าอะไร เป็นตาแหน่งท่ีแย่ยิ่งกว่าพวกทาสและ
กรรมกรเสียอีก เพราะคนเหล่านนั้ เม่ือเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยยังมีขอ้ อ่างเพ่ือการ
พกั ผอ่ นบา้ ง แตต่ าแหน่งเสวกจะอา้ งเช่นนนั้ ไม่ไดเ้ ลย รบั ส่งั อะไรมา ตอ้ ง
ทาตามเทา่ นนั้
ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผีๆ | ๑๔๘
การท่ีพระราชาทรงแต่งตงั้ เขาไวใ้ นตาแหน่งนีก้ ็ดว้ ยวตั ถุประสงค์
ว่า จะแกล้งใหเ้ ขามีความผิดบางอย่างแล้วลงโทษด้วยการฆ่าทิง้ เสีย
จากนนั้ ก็รบิ เอาภรรยาเขามาเชยชม อย่างนแี้ นบเนียนดีนกั แล
ฝ่ายชายหน่มุ เองก็รูเ้ ทา่ ทนั พระราชา จึงไม่ประมาทในการทางาน
ทุกอย่าง จนพระราชาไม่ไดโ้ อกาสท่ีจะแกลง้ เล่นงานเขาเลย แต่เม่ือถูก
กามราคะรุมเรา้ หนักเข้า พระราชาก็ไม่อาจทนฝืนความต้องการทาง
อารมณ์ท่ีลุกโชนประหน่ึงไฟลามทุ่งได้ จึงคิดจะแกลง้ ใหเ้ ขาทางานสุด
แสนยาก ชนิดท่ีว่าคนธรรมดาท่วั ไปยากนกั ท่ีจะทาใหส้ าเร็จได้ ตรสั เรียก
เขามาแลว้ รบั ส่งั ว่า
“จากท่ีน่ีไปประมาณ ๕ โยชน์ มีของ ๓ ส่ิง คือ ดอกโกมทุ ดอก
อุบล และดินสีอรุณ อยู่ในแม่นา้ ช่ือโนน้ เจา้ จงไปนาของเหล่านนั้ มาให้
ทนั เวลาอาบนา้ เย็นของขา้ ในวนั พรุง่ นี้ ถา้ เจา้ กลบั มาไม่ทนั เวลา ขา้ จะลง
อาญาแก่เจา้ ”
ชายหน่มุ ฟังพระบญั ชาจบลงเท่านนั้ แหล่ะ ใจหายวาบตกไปอย่ทู ่ี
ตาตมุ่ เลยทนั ที เพราะมนั แทบเป็นไปไมไ่ ดเ้ ลยท่ีเขาจะไปหาส่ิงของ ๓ ส่งิ
ในระยะทางไกลตงั้ ๕ โยชนแ์ ลว้ กลบั มาใหท้ นั เวลาสรงนา้ ของพระราชา
ในเวลาตอนเย็นของวนั พรุ่งนี้ คิดในใจว่า “สงสยั เราคงจะชะตาขาดแน่
๑๔๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เลย” แต่ดว้ ยวิญญาณของนกั ต่อสู้ การท่ีจะยอมแพท้ งั้ ๆ ท่ีไม่ไดล้ งมือสู้
เลย มันก็กระไรอยู่ เขาจึงรีบกลับไปบ้านเพ่ือเตรียมเสบียงไปกินใน
ระหว่างทาง แต่ดว้ ยเกรงว่าจะไม่ทันเวลา เขาจึงใชก้ ระบวยตกั ขา้ วท่ียงั
ไม่สกุ ดีเลยเทลงไปในกระเชา้ ควา้ กบั ขา้ วไดส้ องสามอย่างเท่าท่ีจะหาได้
ถือเดนิ ทางออกไป ขา้ วไดส้ กุ ในระหวา่ งทางน่นั เอง
เดินไปไดพ้ ักใหญ่ ทอ้ งก็เร่ิมหิว ชายหนุ่มจึงหยุดพกั ทานอาหาร
เขาแบ่งอาหารท่ีเตรียมมาออกเป็นสองส่วน กินตอนนนั้ ส่วนหน่ึง กะเก็บ
ไวก้ ินครง้ั ต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง พอกินเสร็จก็เดินทางต่อไป ใกลจ้ ะถึงท่ี
หมายอยู่แล้ว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนเดินมาตามทางคนหน่ึง
ทา่ ทางกาลงั หิวโซ ดว้ ยความสงสาร เขาจงึ ไดใ้ หอ้ าหารท่เี ก็บไวห้ นอ่ ยหน่ึง
นนั้ แก่คนเดนิ ทางกิน เม่ือไปถงึ แมน่ า้ อนั เป็นท่หี มาย เขาไดน้ าขา้ วเหลือท่ี
ติดกระเช้ากามือหนึ่งโปรยลงไปในแม่น้า บ้วนปากให้สะอาดแล้ว
ประกาศขนึ้ ดว้ ยเสยี งอนั ดงั ๓ ครง้ั ว่า
“ขา้ แต่พญานาค พญาครุฑ และเทวดาทงั้ หลาย ผูส้ ิงสถิตอยู่ใน
บริเวณแม่น้าแห่งนี้ ขอท่านทงั้ หลายจงฟังคาของขา้ พเจา้ พระราชา
ทรงปรารถนาจะลงอาญาแก่ขา้ พเจา้ จึงทรงส่งั บงั คบั ขา้ พเจา้ ใหน้ าดอก
โกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณมาให้ ก็ผลบุญอนั ใด ที่เกิดจากการที่
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๕๐
ขา้ พเจา้ ใหอ้ าหารแก่คนเดนิ ทางก็ดี ทเี่ กิดจากการทีข่ า้ พเจา้ ใหอ้ าหารแก่
ปลาทงั้ หลายในน้านีก้ ็ดี ขา้ พเจา้ ขอใหส้ ่วนบุญนนั้ แก่ท่านทงั้ หลาย ขอ
ท่านทงั้ หลายจงนาดอกโกมุท ดอกอุบล และดินสีอรุณมาใหแ้ ก่ขา้ พเจา้
ดว้ ยเถดิ ”
ด้วยคาสัจอธิษฐานท่ีประกาศออกมาด้วยเจตนาบริสุทธิ์และ
ความเช่ือม่นั ศรทั ธาอันเต็มกาลงั ส่งผลใหพ้ ญานาคท่ีสถิตอยู่ในบริเวณ
นนั้ ไดย้ ินและรูส้ ึกเห็นใจเขามากท่ีถูกกล่นั แกลง้ อย่างไม่เป็นธรรม จึงให้
ความช่วยเหลือนาดอกโกมุท ดอกอบุ ล และดินสีอรุณ มาใหแ้ ก่เขาตาม
ตอ้ งการ
ฝ่ายพระราชา แมจ้ ะทรงม่นั ใจว่างานท่ีใหช้ ายหน่มุ ไปทานนั้ ยังไง
ไมม่ ีทางท่จี ะสาเรจ็ ได้ แตก่ ท็ รงเกรงว่า ชายหน่มุ อาจใชเ้ วทมนตค์ าถาหรือ
อุบายอะไรสักอย่างท่ีมนุษย์มีกันได้และสามารถนาสิ่งของเหล่านั้นมา
ทันเวลา จะทาให้แผนการท่ีจะริบภรรยาเขามาเชยชมไม่สาเร็จ เพ่ือ
ป้องกันเหตุท่ีไม่คาดฝันจะเกิดขึน้ วันนัน้ จึงทรงรบั ส่งั ใหป้ ิดประตูเมือง
ตั้งแต่หัววัน ก่อนเวลาปิดปกติตัง้ หลายช่ัวโมง แถมยังยึดลูกกุญแจเปิด
ประตูเมืองไปไว้ท่ีพระองค์เองอีกต่างหาก งานนี้เรียกว่า ปิ ดประตู
ความสาเรจ็ ของชายหนมุ่ ไปเลยทเี ดียว
๑๕๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ฝ่ายชายหน่มุ เม่ือไดส้ ิ่งของตามตอ้ งการ ก็รีบเดินทางกลบั มายงั
พระนคร กง่ึ เดนิ กึ่งวิ่ง จนมาทนั เวลาก่อนปิดประตเู มอื งตามปกติ แตว่ นั นี้
ไม่เหมือนทุกวัน เพราะประตูเมืองไดป้ ิดเร็วก่อนกาหนด เขาพยายาม
เรียกยามประตขู อรอ้ งใหเ้ ปิดประตู แต่ก็ถูกยามบอกปฏิเสธ จนเขาตอ้ ง
อา้ งว่า
“ข้าเป็นราชทูต จะนาสิ่งของสาคัญไปถวายพระราชา จงเปิด
ประตใู หข้ า้ เด๋ียวน”ี้
ยามประตไู ดช้ ีแ้ จงแกเ่ ขาวา่
“ไม่วา่ จะยงั ไง ขา้ กเ็ ปิดประตใู หท้ ่านไมไ่ ดห้ รอก เพราะลกู กญุ แจ
อย่กู บั พระราชาท่พี ระราชวงั โน่น”
เม่ือทราบแน่ชดั ว่า ยงั ไงก็ไม่สามารถเขา้ ไปในพระนครนาส่ิงของ
ไปถวายแด่พระราชาได้ ชายหนุ่มถึงกับขาอ่อนคอพับปลงตกต่อชะตา
ชีวิตของตนเอง คดิ วา่
“เห็นทีว่า คราวนี้ เราคงชะตาขาดถูกประหารแน่ ๆ จะทายงั ไงดี
หนอกบั ชวี ิตท่เี หลอื อย่”ู
ชาดกวา่ ดว้ ยเรื่องผีๆ | ๑๕๒
เม่ือไม่มีทางออก เขาจึงหยิบก้อนดินขึน้ มาแล้วโยนไปท่ีธรณี
ประตขู า้ งบน และแขวนดอกไมไ้ วท้ ่ีธรณีประตู แลว้ ตะโกนรอ้ งขึน้ ๓ ครงั้
เพ่อื ใหค้ นทงั้ หลายบรเิ วณนนั้ ไดท้ ราบความจรงิ ว่า
“ชาวเมืองผเู้ จริญทงั้ หลายเอ๋ย ขอท่านทงั้ หลายจงเป็นพยานรบั รู้
ไว้ด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ทากิจตามรับส่ังของพระราชาสาเร็จแล้ว แต่
พระราชาทรงตอ้ งการจะใหข้ า้ พเจา้ ฉิบหาย ดว้ ยเหตอุ นั ไม่สมควร”
จากนนั้ เขากเ็ ดนิ โซซดั โซเซไปเร่ือย ๆ แบบไรจ้ ดุ หมาย จนกระท่งั
พระอาทิตยก์ าลงั จะอสั ดง คิดในใจว่า “คืนนี้ เราจะไปนอนท่ีไหนดีหนอ”
นึกขนึ้ ไดว้ ่า “ตอนนี้ ไม่มที ่ไี หนเป็นท่พี ง่ึ ดเี ทา่ กบั วดั อีกแลว้ หลวงพอ่ หลวง
พ่ีคงเมตตาให้ท่ีนอนและอาหารแก่เราบ้างแหละ” ในคืนนัน้ เขาไดไ้ ป
อาศยั วดั บรเิ วณนนั้ เป็นท่หี ลบั นอน
เปรต ทุ สะ นะ โส โผล่มาเตอื นพระราชา อยา่ ทาผดิ ศีล
(นะจ๊ะ)
พระราชาฝันหวานวมิ านน้อย
จะล่องลอยมาหาพาสุขี
จากหญงิ มีผัวแล้วแจ๋วเข้าที
ไฟราคีร้อนรุ่มสุมพระทัย
๑๕๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ฝ่ายพระราชาทรงนอนฝันหวานถงึ วิมานในอากาศวา่
“พรุง่ นีแ้ ลว้ สินะ ความฝันเราจะเป็นจริงเสียที อดั อนั้ ตนั ใจมานาน
แทบคล่งั ”
ดว้ ยความเร่ารอ้ นแห่งกามราคะท่ีลกุ โชนอย่ภู ายในใจ คนื นนั้ แม้
จะล่วงเขา้ สู่มัชฌิมยามแห่งราตรีแลว้ พระองคก์ ็ยังบรรทมไม่หลับเลย
ทรงเฝา้ คิดคานึงอย่แู ต่ว่า
“พอสว่างป๊ บุ เราจะส่งั ใหฆ้ ่าชายหน่มุ แลว้ นาภรรยาสุดสวยของ
มนั มาเชยชมทนั ท”ี
กลางดึกของคืนนั้นเอง เปรต ๔ ตน ซ่ึงเม่ือคร้ังอดีต สมัย
พระพุทธเจา้ พระนามว่ากัสสปะ เกิดเป็นบุตรของเศรษฐีมีทรพั ยส์ ินเงิน
ทองมากมาย ร่วมกนั ตงั้ แก๊งเพ่ือความสนุกสุดเหว่ียงใหเ้ พียงพอในชาตินี้
เพราะมีความคดิ ว่า
“พ่อแม่ของพวกเราสะสมทรพั ยส์ ินเงินทองไวใ้ หม้ ากมาย กินสิบ
ชาติก็คงไม่หมด เม่ือตอนยงั มีชีวิตอย่นู ่ีแหละ เราควรใชช้ ีวิตใหค้ มุ้ ค่า ใช้
จา่ ยเงนิ ท่มี อี ย่แู สวงหาความสขุ ใหเ้ ตม็ ท่”ี
เร่ืองทาบุญทากุศลไม่ไดอ้ ยู่ในหัวสมองของพวกเขาเลย เพราะ
เห็นว่าเป็นเรื่องงมงายไรส้ าระ ทาไปก็ไม่มีผลประโยชนอ์ ะไรตอบแทน มี
ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผีๆ | ๑๕๔
แต่จะทาใหส้ ิน้ เปลืองเงินทองและเสียเวลาไปเปล่าๆ สเู้ อาเงินท่ีมีอยู่ไป
ซือ้ ความสุขมาใส่ตนเองดีกว่า ฉะนั้น ในแต่ละวัน พวกเขาจึงใชจ้ ่าย
ทรพั ยท์ ่ีมีอยู่เพ่ือกิน เพ่ือเท่ียว เพ่ือความสนุกสนานเพลิดเพลิน สรุ าย่ีหอ้
ไหนดี กบั แกลม้ ท่ีไหนรสเดด็ อาหารท่ไี หนอรอ่ ย พวกเขาเท่ยี วตระเวนไป
เสพเสวยกนั ทุกท่ี เพ่ือใหช้ ีวีมีรสชาติมากกว่านนั้ เพ่ือนในกล่มุ คนหนึ่ง
เสนอว่า
“กนิ สรุ ามนั ตอ้ งเคลา้ กบั นารีสิ มนั ถึงจะฟินสดุ ๆ”
เพ่ือนคนอ่ืน ๆ ไม่ขัดขอ้ งอยู่แลว้ สิ่งไหนท่ีทาแลว้ จะมีความสขุ
ได้ ขอใหบ้ อกมา เดยี่ วจดั ให้ เม่อื เสพติดหนกั เขา้ พวกเขาไดใ้ ชจ้ ่ายทรพั ย์
เพ่ือซื้อความสุขทางกามารมณ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา โดยไม่
คานึงถึงว่า เธอจะเป็นลูกเขาเมียใคร ใครจะเดือดรอ้ นก็ช่างมัน พอใจ
หญิงคนไหนก็ซือ้ ตัวมาปรนเปรอความสขุ ชนิดท่ีว่าจ่ายไม่อนั้ ถา้ ผหู้ ญิง
คนไหนไม่ยินยอม บางครง้ั ถึงขนาดบงั คับขืนใจก็มี ชีวิตของพวกเขาจึง
วนเวียนอย่กู บั อบายมขุ สิ่งเสพติดของมนึ เมาต่าง ๆ อย่างโงหวั ไม่ขึน้ ลา้ ง
ผลาญทรพั ยส์ ินท่ีบิดามารดาส่งั สมไวใ้ ห้สิน้ เปลืองไปในทางท่ีช่ัวชา้ เลว
ทราม ผดิ ศลี ขอ้ ๕ และขอ้ ๓ อยเู่ ป็นประจา ดว้ ยบาปกรรมท่ที าไวน้ ี้ ทา
๑๕๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ใหห้ ลงั จากตายไป พวกเขาทงั้ ๔ ไดไ้ ปบงั เกิดในอเวจีมหานรก เสวยผล
กรรมช่วั ท่ที าไวต้ ลอดพทุ ธันดรหนึ่ง มีความทกุ ขท์ รมานอยา่ งแสนสาหสั
กาลเวลาลว่ งเลยมาถงึ พทุ ธกปั นี้ พวกเขาแมจ้ ะสิน้ กรรมแลว้ แต่
เศษวบิ ากของกรรมช่วั ท่ที าไวย้ งั คงหลงเหลอื อยู่ ไดจ้ ตุ จิ ากมหานรกอเวจี
มาบงั เกิดเป็นเปรตในโลหกุมภีนรก เปรตทงั้ ๔ ตนนีถ้ กู ไฟไหมเ้ กรียมใน
โลหกุมภีนรกนนั้ กลิง้ เกลือกกระเสือกกระสนไปมาอยู่ มีสภาพคลา้ ยกับ
ขา้ วสารท่ีเขาหุงไวใ้ นหมอ้ ท่ีกาลงั เดือดพล่านผุดขึน้ ผุดลง พวกเขาจมลง
ไป ณ พืน้ ภายใต้ ๓ หม่ืนปีแลว้ ก็ลอยขึน้ มาถึงขอบปากหมอ้ นรกใชเ้ วลา
อกี ๓ หม่ืนปี
ในช่วงเวลาท่ีพวกเขาลอยขึน้ มาถึงขอบปากของโลหกุมภีนรก
น่นั เอง ต่างกไ็ ดโ้ ผลศ่ ีรษะขนึ้ มาและมองเหน็ หนา้ ของกนั และกนั แต่ละตน
มีสภาพอิดโรย หม่นหมอง ผอมโซ ไม่มีเร่ียวแรง ท่าทางไดร้ บั ความทุกข์
ทรมานอย่างแสนสาหัส พวกเขาตอ้ งการจะปรบั ทุกขร์ ะหว่างกัน ทั้ง ๔
ตน จึงเปล่งคาถาออกมาตนละคาถา แต่ไม่สามารถจะกล่าวให้เต็ม
ประโยคไดเ้ น่ืองจากสภาพร่างกายอิดโรยและกาลงั ในการเปล่งเสียงไม่
เพียงพอ จงึ เปลง่ ไดเ้ ฉพาะคาขนึ้ ตน้ ของคาถาเทา่ นนั้ ว่า...
ชาดกวา่ ดว้ ยเรอื่ งผีๆ | ๑๕๖
เปรตตนที่ ๑ เปล่งได้เฉพาะคาวา่ ทุ...............
เปรตตนท่ี ๒ เปลง่ ได้เฉพาะคาวา่ สะ...............
เปรตตนที่ ๓ เปล่งไดเ้ ฉพาะคาว่า นะ..............
เปรตตนที่ ๔ เปลง่ ได้เฉพาะคาว่า โส...............
พอกล่าวเสร็จ เปรตทัง้ ๔ ตนนั้น ก็จมดิ่งลงไปสู่เบือ้ งล่างของ
โลหกมุ ภนี รกอีกครง้ั
เสียงโหยหวนอันน่าสะพรึงกลวั ของเปรตทั้ง ๔ ตน ท่ีเปล่งเสียง
กรีดรอ้ งออกมาท่ามกลางบรรยากาศยามราตรีอนั เงยี บสงดั ไดก้ อ้ งกงั วาน
ไปท่วั บรเิ วณนนั้ ทาใหพ้ ระราชาซ่งึ ยงั บรรทมไม่หลบั ดว้ ยอานาจกามราคะ
ทรงไดย้ ินเสียงนนั้ อย่างชัดเจน ทรงสะดงุ้ ตกพระทัยผุดลุกขึน้ ประทับน่ัง
โดยอตั โนมัติ ทรงหวาดหว่นั พร่นั พรงึ เกรงกลวั ต่อเสียงโหยหวนนนั้ ยิ่งนกั
จนกระท่งั พระเสโทไหลออกจากพระวรกายโดยไม่รูส้ ึกพระองคเ์ ลย(เหง่ือ
แตกพล่กั ๆ) ทรงคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ดว้ ยความวิตกกงั วลว่า “เสียงนีน้ ่าจะ
เป็นลางสงั หรณบ์ อกเหตรุ า้ ย อนั ตรายจะมีแก่เรา แก่พระมเหสี หรือแก่
ราชวงศข์ องเราหรือไงหนอ” ทรงผุดลุกผุดน่งั ดว้ ยความกระวนกระวาย
พระทัย ความกาหนัดไดม้ ลายหายสิน้ ไปถูกแทนท่ีดว้ ยความหวาดกลัว
คืนนนั้ ทงั้ คนื ไม่ไดบ้ รรทมหลบั เลย
๑๕๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
พอรุง่ เชา้ ทรงรีบรบั ส่งั ใหม้ หาดเล็กเรียกปโุ รหิตประจาราชสานกั
มาเขา้ เฝ้าทันที เม่ือปุโรหิตมาถึง ไดท้ รงเล่าเรื่องเม่ือคืนใหฟ้ ังแลว้ ตรสั
ถามว่า “ท่านอาจารย์ จะเกดิ เหตไุ ม่ดีกบั เรา พระมเหสี หรอื ราชวงศข์ อง
เราใช่ไหม”
ปโุ รหิตเจา้ เลห่ พ์ อฟังเร่ืองราวท่พี ระราชาตรสั เล่าใหฟ้ ังเสรจ็ ทงั้ ๆ
ท่ตี นเองไม่ไดร้ ูต้ น้ สายปลายเหตทุ ่มี าท่ไี ปหรือวิธีแกป้ ัญหาท่เี กิดขึน้ นนั้ เลย
แต่การท่จี ะกราบทลู วา่ “ขา้ พระองค์ ไมท่ ราบ พระเจา้ ขา้ ” ก็เกรงว่าจะเสีย
ช่ือหมอดใู หญ่ประจาราชสานกั ความเช่ือม่นั ศรทั ธารวมทงั้ ผลประโยชนท์ ่ี
เคยไดร้ บั ก็คงจะลดลงไปเป็นแน่ เขาสงั เกตดลู กั ษณะอาการของพระราชา
ท่ที รงดหู วาดหว่นั กระวนกระวายพระทยั ต่อเหตกุ ารณท์ ่เี กิดขึน้ ครงั้ นีย้ ิ่งนกั
จึงคิดหาวิธีแก้ไขใหม้ ันดูเป็นเรื่องใหญ่อลังการสอดคลอ้ งกับลักษณะ
อาการหวาดหว่นั ของพระราชา กราบทลู ว่า
“ขอเดชะพระอาญามิพน้ เกลา้ เหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึน้ นี้ จะเป็นลาง
รา้ ยสาหรบั ชีวิตของพระองค์ พระเจา้ ขา้ ”
พระราชาทรงหวาดหว่นั พระทยั เป็นทนุ เดิมอย่แู ลว้ พอไดฟ้ ังหมอ
ดูใหญ่ประจาราชสานักกราบทูลเช่นนั้น ย่ิงตกพระทัยมากขึน้ เป็นเท่า
ทวคี ณู รบี ตรสั ถามว่า “พอมีวิธีแกไ้ ขไหม ทา่ นอาจารย”์
ชาดกวา่ ดว้ ยเรอื่ งผๆี | ๑๕๘
ปโุ รหิต “มีสิ พระเจา้ ขา้ ขา้ พระองคจ์ บไตรเวท ย่อมรูว้ ิธีแกไ้ ข
ปัญหาทกุ เร่อื ง” หมอดใู หญ่ไดท้ ี จงึ พดู สรา้ งราคาใหก้ บั ตวั เอง
พระราชา “ทายงั ไงหรอื ทา่ นอาจารย”์
ปโุ รหติ “พระองคต์ อ้ งบชู ายญั ดว้ ยชวี ติ สตั วอ์ ย่างละ ๑๐๐ พระเจา้ ขา้ ”
พระราชา “ขนาดนนั้ เชยี วหรอื ”
ปโุ รหิต “พระเจา้ ขา้ ”
พระราชา “มอี ะไรบา้ งละ่ ”
ปโุ รหิต “ขอเดชะ พระองคต์ อ้ งบชู ายญั ดว้ ยส่ิงมีชวี ิตเหลา่ นคี้ ือ ชา้ ง ๑๐๐,
มา้ ๑๐๐, โคอสุ ภะ ๑๐๐, แม่โคนม ๑๐๐, แพะ ๑๐๐, แกะ ๑๐๐, ไก่
๑๐๐, สกุ ร ๑๐๐, ชาย ๑๐๐, หญิง ๑๐๐”
พระราชา “มากมายขนาดนเี้ ชียวรึ ท่านอาจารย”์
ปโุ รหติ “พระเจา้ ขา้ ”
การท่ีปโุ รหิตใหจ้ บั สตั วท์ ่ีกินไม่ได้ เช่น ชา้ ง มา้ และคน เขา้ ไปใน
สิ่งของท่ีตอ้ งนาไปบชู ายญั ดว้ ย ก็เพราะเหตผุ ลท่ีว่า ถา้ หากใหน้ าเฉพาะ
สิง่ ของท่ีกนิ ไดม้ าบชู ายญั ก็อาจจะไมแ่ นบเนยี น คนทงั้ หลายอาจจะเพง่ เลง็
จบั ผิดมาท่ีตนไดว้ ่าเป็นพวกเห็นแก่กิน เพราะส่ิงของท่ีใชบ้ ุชายญั ทงั้ หมด
เม่อื ทาพิธีเสรจ็ แลว้ กค็ งไมพ่ น้ จะตกเป็นของปุโรหิตน่นั เอง
๑๕๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ฝ่ ายพระราชา เม่ือทรงไดส้ ดับส่ิงของต่าง ๆ ท่ีจะตอ้ งนามาบูชา
ยญั ตามท่ีปโุ รหิตกราบทลู สตั วม์ ชี วี ิตอ่นื ๆ ก็พอหาไดอ้ ยหู่ รอก แตก่ ารท่ี
จะใชม้ นุษยม์ าบูชายญั ดว้ ยน่ีสิ เป็นปัญหาใหญ่ จะเอายงั ไงดี ในท่ีสุด
ความเห็นแก่ตวั ไม่เขา้ ใครออกใคร ทรงครุ่นคิดทบทวนไปมาสกั ครู่แลว้
ก็ตกลงพระทยั ไดว้ ่า
“เอาวะ เป็นไงเป็นกนั ชีวิตคนอ่ืนช่างหวั มนั เอาชีวิตเราใหร้ อด
ก่อนดีกวา่ ”
เม่ือทรงดาริเช่นนี้ จึงตรสั ส่งั ใหม้ หาดเล็กไปจัดหาสิ่งของทงั้ หมด
ตามท่ีปโุ รหติ าจารยแ์ นะ เพ่อื นามาบชู ายญั ใหต้ นเองมีชีวติ รอด
พระนางมลั ลกิ าชว่ ยชวี ติ สัตวใ์ ห้รอดพ้นจากการถูกฆ่า
มหาดเล็กได้ทาตามพระราชบัญชานั้น พากันไปกวาดต้อน
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ นามาสู่แดนพิธีบูชายัญ เหล่าญาติพ่ีน้องของคนท่ีถูก
มหาดเล็กจบั ตวั มา ตา่ งแสดงความไมพ่ อใจสง่ เสียงรอ้ งเอะอะโวยวายต่อ
การกระทาอนั ป่ าเถื่อนไรค้ วามยุติธรรมในครง้ั นี้ คนไม่ไดท้ าความผดิ อะไร
เลย ทาไมตอ้ งถูกจบั ตัวมาดว้ ย มีการฉุดกระชากลากถูยือ้ แย่งตัวกนั กบั
มหาดเล็ก แต่ก็ถูกมหาดเล็กทารา้ ยจนไม่สามารถตา้ นทานกาลงั ได้ พา
กนั รอ้ งใหค้ ร่าครวญติดตามมาจนถึงพระราชวงั เสียงอื้ออึงปนเปื้อนหยด
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผๆี | ๑๖๐
นา้ ตาของผกู้ าลงั จะถูกพรากจากบุคคลผเู้ ป็นท่ีรกั ดงั กึกกอ้ งไปท่วั บริเวณ
นนั้ ประหนึ่งวา่ แผ่นดนิ จะถลม่ ถลาย
ขณะนั้นเอง พระนางมัลลิการาชเทวี มเหสีองคโ์ ปรดของพระ
เจา้ ปเสนทิโกศล ทรงไดย้ ินเสียงอือ้ อึงนนั้ ดว้ ยความสงสยั จึงรีบเสด็จเขา้
ไปเฝ้าพระราชา พอมาถึง ทอดพระเนตรเห็นลกั ษณะอาการของพระราชา
ดูไม่ค่อยดีเลย จึงทูลถามว่า “เสด็จพ่ีเพคะ ทาไมวันนี้ พระองคด์ วู ิตก
กงั วลยงั ไงชอบกล พระวรกายก็ดอู ิดโรยซบู ซีดไป ทรงมีเรื่องอะไรไม่สบาย
พระทยั หรือเปลา่ เพค่ะ”
พระราชา “มัลลิกา น่ีเธอไม่รูเ้ ลยหรือว่า ตอนนีอ้ สรพิษเลื้อยมาอยู่ใกลห้ ู
ของเราแลว้ ”
พระนางมลั ลกิ า “มเี หตกุ ารณอ์ ะไรเกดิ ขนึ้ กบั พระองคห์ รอื เพคะ”
พระราชา “เมือคนื นี้ เรานอนไม่หลบั ทงั้ คนื เลย เพราะไดย้ นิ เสียงประหลาด
น่าสะพรงึ กลวั ว่า ทุ..... สะ..... นะ..... โส..... จึงถามเรื่องนีก้ บั ปโุ รหิต
ไดร้ บั คาตอบว่า น่ีเป็นลางบอกเหตุรา้ ยว่าจะมีอันตรายต่อชีวิตเรา เขา
แนะนาว่าตอ้ งบชู ายญั ดว้ ยชีวิตสตั วอ์ ย่างละ ๑๐๐ จึงจะแกเ้ หตรุ า้ ยนีไ้ ด้
เราคิดว่า ชีวิตของเราน่ีแหล่ะสาคัญท่ีสุด จึงส่ังให้มหาดเล็กจับสัตว์
ทงั้ หลายมาเพ่ือบชู ายญั อย่างท่ีเหน็ น่แี หละ่ ”
๑๖๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
พระนางมัลลิกาพอไดส้ ดบั เรื่องนั้น เพราะความท่ีนางเป็นหญิง
ฉลาดมีไหวพริบและเป็นมเหสีท่ีพระเจา้ ปเสนทิโกศลโปรดปรานท่ีสดุ จึง
กราบทลู อย่างตรงไปตรงมาวา่
“พระองคท์ รงโง่เขลาย่ิงนัก คงจะเสวยพระกระยาหารมากไป
กระมงั จงึ ทาใหไ้ ดย้ ินเสียงอะไรแปลกๆ เช่นนนั้ พระองคท์ รงเป็นกษัตริย์
ผูย้ ิ่งใหญ่ปกครองถึง ๒ แว่นแควน้ ก็จริง แต่พระสติปัญญาของพระองค์
ช่างทรงโงเ่ ขลาย่ิงนกั ”
พระราชา แมจ้ ะรูส้ ึกไม่พอพระทยั กับคาพดู ของพระนางมลั ลิกา
อย่บู า้ ง แต่เพราะพระนางเป็นมเหสีท่ีทรงโปรดปรานพิเศษจึงไม่ไดค้ ิดติด
ใจอะไรไปมากกว่านนั้ ตรสั ถามพระนางว่า “ทาไมเธอพดู อย่างนั้นหละ
นอ้ งมลั ลิกา”
พระนางมลั ลิกา “พระองคท์ รงไตร่ตรองดูสิเพคะว่า การทาให้
ชีวิตของตนยืนยาวดว้ ยการประหตั ประหารชีวิตของสตั วอ์ ่ืน พระองคท์ รง
เคยเห็นท่ีไหน ทาไมพระองคต์ อ้ งเช่ือถือและทาตามถอ้ ยคาของปุโรหิตผู้
โง่เขลาดว้ ย ทรงรูพ้ ระองคไ์ หมว่า การทาเช่นนีเ้ ป็นการสรา้ งความทุกข์
ความเดือดรอ้ นแก่ประชาชน พระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผทู้ รงมี
พระปัญญาเป็นเลิศ ทรงเป็นท่พี ่งึ ของเทวดาและมนษุ ยท์ งั้ หลาย ประทบั
ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผีๆ | ๑๖๒
อย่ใู นท่ีไม่ไกลจากนี้ ทาไมไม่เสด็จเขา้ ไปเฝ้าเพ่ือทูลถามวิธีแกป้ ัญหากับ
พระองคห์ ละเพคะ”
พระราชาผูย้ ่ิงใหญ่ แต่ตอนนีถ้ ูกมรณภัยคุกคาม ความทระนง
องอาจแบบชายชาติขัตติยะไม่หลงเหลืออยู่เลย ในพระทัยเต็มไปดว้ ย
ความหวาดหว่ันวิตกกังวล ใครแนะนาอะไรก็ต้องเช่ือไวก้ ่อน ย่ิงไดค้ น
ใกลช้ ิดอย่างพระนางมลั ลิกาแนะนา มีหรือพระองคจ์ ะไม่เช่ือ เป็นอนั ว่า
สตั วต์ า่ ง ๆ ท่ถี กู จบั ตวั มาเพ่ือบชู ายญั ใหช้ ะลอการฆ่าไวก้ ่อน ทรงน่งั ยาน
เบาเสด็จไปเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ พรอ้ มกับพระนางมัลลิกา พอเสด็จไปถึง
ยังทรงอยู่ในอาการหวาดผวา พูดอะไรไม่ออก แม้พระศาสดาจะตรัส
ทักทาย ก็ยังทรงน่ิงเฉยอยู่ หน้าท่ีกราบทูลเรื่องราวใหพ้ ระศาสดาทรง
ทราบจงึ ตกเป็นของพระนางมลั ลกิ า
พระนางไดก้ ราบทลู ว่า “ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จรญิ กลางดกึ เม่ือคืนนี้
พระราชาไดส้ ดับเสียงประหลาดน่าสะพรงึ กลวั ไม่สบายพระทยั มาก จึง
ตรสั บอกเร่ืองนีใ้ หป้ โุ รหิตทราบ ปโุ รหิตทลู แนะนาว่า น่ีเป็นลางรา้ ยว่าจะ
เป็นอันตรายต่อชีวิตของพระองค์ ตอ้ งจับสตั ว์มีชีวิตมาอย่างละ ๑๐๐
แลว้ กรีดเลือดในลาคอของสัตว์เหล่านั้นบูชายัญ จึงจะสามารถกาจัด
อันตรายแห่งชีวิตได้ พระราชาทรงเช่ือตามนั้น จึงให้จับสัตว์มาเป็น
๑๖๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
จานวนมาก หม่อมฉันเห็นว่าเป็นการกระทาท่ีไม่สมควร จึงได้นา
พระราชามาเขา้ เฝา้ พระองคเ์ พราะสาเหตนุ ”ี้
พระพทุ ธองคต์ รสั ถามพระราชาวา่ “เป็นอย่างนนั้ หรอื มหาบพติ ร”
พระราชา กราบทลู ว่า “อยา่ งนนั้ พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “พระองค์ ทรงสดบั เสียงอยา่ งไร”
พระราชา ตอนนี้ รูส้ ึกสบายพระทยั ขึน้ บา้ งแลว้ ไดก้ ราบทูลเรื่องราวให้
ทรงทราบทงั้ หมด
พระพุทธเจา้ เม่ือไดท้ รงสดบั เรื่องราวท่ีพระราชากราบทูล ดว้ ย
อานาจแห่งพระพทุ ธญาณเคร่ืองหย่งั รูอ้ นั ไมม่ ีท่ีสิน้ สดุ จึงไดท้ รงประจกั ษ์
แจง้ ท่ีมาท่ีไปของเร่ืองราวนั้นทั้งหมด ตรสั แก่พระราชาว่า “มหาบพิตร
พระองค์อย่าทรงหวาดหว่ันพร่ันพรึงพระทัยเลย น่ันไม่เป็นอันตราย
สาหรบั ชีวิตของพระองค์หรอก น่ันเป็นเสียงของสัตว์นรกท่ีต้องการจะ
ระบายผลกรรมช่ัวท่ีตนไดร้ บั ใหเ้ ป็นท่ีประจักษ์แจง้ จึงไดเ้ ปล่งเสียงนนั้
ออกมา”
พระราชา “สตั วเ์ หลา่ นนั้ ไดท้ ากรรมอะไรไวห้ รือ พระเจา้ ขา้ ”
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๖๔
ประโยคเต็มของคาวา่ ท.ุ .... สะ..... นะ..... โส....
พระพทุ ธเจา้ ครนั้ ตรสั เล่าบุรพกรรมของสตั วเ์ ปรตเหล่านนั้ ตามท่ี
กล่าวแลว้ จากนัน้ ไดต้ รสั เฉลยประโยคเต็มท่ีเปรตทัง้ ๔ ตอ้ งการจะ
เปลง่ แก่พระราชาวา่ :-
๑. ประโยคเต็มของคาวา่ ทุ.........
เปรตท่เี ปลง่ คาว่า ท.ุ ... ตอ้ งการจะเปลง่ ประโยคเตม็ ๆ ว่า
ทุชชีวติ ะมะชวี ิมหา เยสนั โน นะ ทะทามะหะ เส
วิชชะมาเนสุ โภเคสุ ทปี ัง นากมั หะ อัตตะโน ฯ
“เม่อื มโี ภคะมากหลาย พวกเราไมไ่ ดถ้ วายทาน
ไมไ่ ดท้ าท่พี ่งึ สาหรบั ตนเลย จึงมีชีวติ อย่สู ดุ แสนลาบากทรมาน”
๒. ประโยคเตม็ ของคาว่า สะ..........
เปรตท่เี ปลง่ คาว่า สะ.... ตอ้ งการจะเปลง่ ประโยคเตม็ ๆ ว่า
สัฏฐีวสั สะสะหสั สานิ ปะรปิ ณุ ณานิ สพั พะโส
นิระเย ปัจจะมานานัง กะทา อันโต ภะวิสสะติ ฯ
“พวกเราหมกไหมอ้ ยใู่ นนรกครบถว้ น ๖ หม่ืนปีแลว้
เม่อื ไร ท่สี ิน้ สดุ (ของการเสวยผลกรรม) จึงจกั ปรากฏ”
๓. ประโยคเตม็ ของคาว่า นะ.....
๑๖๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เปรตท่เี ปลง่ คาว่า นะ..... ตอ้ งการจะเปลง่ ประโยคเตม็ ๆ วา่
นัตถิ อันโต กโุ ต อันโต นะ อันโต ปะฏิทสิ สะติ
ตะทา หิ ปะกะตัง ปาปัง มะมะ ตยุ หัญจะ มาริสา ฯ
“เพ่อื นทงั้ หลายเอ๋ย เพราะกรรมช่วั ท่เี ราและท่านทาไวใ้ นครงั้ นนั้
จงึ ไม่มที ่สี ิน้ สดุ ท่สี นิ้ สดุ จกั มีแต่ท่ไี หน ท่สี ิน้ สดุ จกั ไม่ปรากฏเลย”
๔. ประโยคเต็มของคาว่า โส.........
เปรตท่เี ปลง่ คาวา่ โส..... ตอ้ งการจะเปลง่ ประโยคเตม็ ๆ ว่า
โสหัง นูนะ อิโต คันตะวา โยนิง ลัทธานะ มานุสงิ
วะทัญญู สีละสัมปันโน กาหามิ กุสะลัง พะหงุ ฯ
“(ถา้ )เรานนั้ ไปพน้ จากท่นี ่ไี ดก้ าเนิดเป็นมนษุ ยแ์ ลว้
ก็จกั เป็นผรู้ ูถ้ อ้ ยคา(ของนกั ปราชญ)์ สมบรู ณด์ ว้ ยศีล
สรา้ งบญุ กศุ ลใหม้ ากเป็นแน่”
เม่ือพระพุทธเจา้ ตรสั เล่าบุพกรรมและคาถาเต็มประโยคท่ีเปรต
เหล่านั้นตอ้ งการจะเปล่งออกมาจบลง พระราชาเกิดความสลดสงั เวช
พระทยั อยา่ งมาก ทรงดารวิ ่า
“โอ! การละเมิดภรรยาผอู้ ่นื ช่างเป็นกรรมหนกั จรงิ ๆ บตุ รเศรษฐี
ทงั้ ๔ คน ไดเ้ สวยผลกรรมช่วั ในอเวจมี หานรกสิน้ พทุ ธนั ดรหนึ่งแลว้ ยงั จตุ ิ
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๖๖
จากนนั้ มาบงั เกดิ เป็นเปรตทนทุกขท์ รมานในโลหกมุ ภนี รกอีกตงั้ ๖ หม่ืนปี
จนบดั นี้ ก็ยังไม่พน้ เวรพน้ กรรมเลย แมเ้ ราเองมีใจเสน่หาในภรรยาของ
ผู้อ่ืน ทาให้นอนไม่หลับทั้งคืนเลย เกือบทาผิดพลาดไปแล้วไหมล่ะ
ต่อไปนี้ เราจกั ไมข่ อผกู ความพอใจในภรรยาของชายอ่นื อีกแลว้ ”
ทา้ วเธอไดก้ ราบทูลพระพุทธเจา้ ว่า “ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ ขา้
พระองคเ์ พิ่งทราบว่า ราตรีหนง่ึ ชา่ งยาวนานเสียจรงิ ในวนั นนี้ ่เี อง”
ช่างเป็นเรื่องท่ีบงั เอิญจริง ๆ เพราะวดั ท่ีชายหน่มุ ผมู้ ีภรรยาสวย
เขา้ ไปขออาศัยนอนพักผ่อนนัน้ ก็คือวัดพระเชตวัน อันเป็นวัดเดียวกับท่ี
พระราชาเสด็จเขา้ ไปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ น่นั เอง และในขณะนนั้ เขาก็อยู่ท่ี
บรเิ วณนนั้ พอดี จงึ ไดย้ ินเรื่องราวทงั้ หมดท่สี นทนากนั ระหว่างพระพทุ ธเจา้
กบั พระราชา คิดในใจว่า “ตอนนี้ เป็นโอกาสเหมาะของเราแลว้ ท่ีจะพดู
ใหต้ นเองมีชวี ิตรอด” จงึ ไดก้ ราบทลู พระพทุ ธเจา้ ว่า “ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ
พระราชาเพิ่งทรงทราบว่าราตรีหน่ึงยาวนานในวันนีเ้ อง แต่ขา้ พระองค์
ทราบว่าโยชนห์ นง่ึ ยาวไกล ตงั้ แต่เม่ือวานแลว้ ”
พระพทุ ธเจา้ ทรงเปรยี บเทยี บถอ้ ยคาของทงั้ สองคนแลว้ ตรสั วา่
๑๖๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
“ราตรีหน่ึงสาหรบั บางคนเป็นเวลายาวนาน โยชนห์ น่ึงสาหรบั
บางคนกเ็ ป็นระยะทางยาวไกล สว่ นสงสารสาหรบั พวกคนพาลเป็นสภาพ
ยืดยาว”
พรอ้ มกบั ตรสั พระคาถาขยายความว่า
พระคาถาว่าด้วยสิ่งยาวนาน-ยาวไกล-ยืดยาว
ทฆี า ชาคะระโต รตั ติ ทฆี งั สนั ตสั สะ โยชะนงั
ทโี ฆ พาลานะ สงั สาโร สทั ธมั มงั อวิชานะตงั ฯ
ราตรีของผตู้ ่นื อย่(ู นอนไม่หลบั )ยาวนาน โยชนข์ องคนเม่ือยลา้
ยาวไกล สงสารของพวกคนพาลผไู้ มร่ ูพ้ ระสทั ธรรมยืดยาว
เม่ือพระพุทธเจา้ แสดงธรรมจบลง ชายหนุ่มภรรยาสวยนั้น ได้
บรรลธุ รรมเป็นอริยบุคคลชนั้ โสดาบนั พระธรรมเทศนามีประโยชนแ์ ก่ชน
ทั้งหลายท่ีอยู่บริเวณนนั้ ต่างไดบ้ รรลุธรรมในระดับต่าง ๆ ตามภูมิแห่ง
สตปิ ัญญาของตน ๆ
ฝ่ ายพระเจา้ ปเสนทิโกศล ทรงมีความซาบซึง้ ในพระธรรมย่ิงนัก
ทรงเห็นว่าส่ิงท่ีพระองคท์ าลงไปนนั้ เป็นการเบียดเบียนรงั แกผูอ้ ่ืน ถวาย
บงั คมลาพระพุทธเจา้ แลว้ เสด็จกลบั ไปยังพระราชวงั รบั ส่งั ใหป้ ล่อยคน
และสตั วท์ งั้ หลายท่ถี กู จบั ตวั มา คืนอิสรภาพใหต้ ามเดมิ
ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผีๆ | ๑๖๘
พระนางมัลลกิ าไดร้ ับการแซ่ซ้องสรรเสริญไปท่ัว
จากเหตกุ ารณใ์ นครงั้ นี้ ผคู้ นทงั้ หลายทงั้ ชายและหญิงท่ีไดร้ บั การ
ปล่อยตัวจากเคร่ืองจองจา คร้ันเอาน้าลูบศีรษะแล้วรีบกลับไปยัง
บา้ นเรือนของตน ต่างพากันกล่าวสรรเสริญคุณของพระนางมัลลิกาว่า
“เพราะพระนางมลั ลิกานีแ้ ทๆ้ จึงทาใหพ้ วกเรามีชีวิตรอดกลบั มาได้ ขอ
พระนางมลั ลิการาชเทวีผเู้ ป็นแม่เจา้ ของเราทงั้ หลาย จงทรงพระเจริญย่ิง
ยืนนานเทอญ”
ข่าวคราวนีไ้ ดร้ บั การกล่าวขานไปท่ัวเมือง ประชาชนทั้งหลาย
ต่างแซ่ซอ้ งสรรเสริญคุณความดีของพระนางมลั ลิกากนั ทงั้ นนั้ แมแ้ ต่ใน
วงการพระภิกษุสงฆเ์ อง เม่ือไดร้ บั ฟังข่าวคราวนี้ ก็ประชมุ ปรกึ ษาสนทนา
กนั วา่ “ช่างนา่ ช่นื ชมจรงิ ๆ พระนางมลั ลิกานที้ รงฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนกั
ทรงอาศยั พระปัญญาของพระนาง สามารถช่วยเหลือคนและสตั วจ์ านวน
มากใหร้ อดชวี ติ ได้ นเี้ ป็นชวี ิตทานอนั ย่งิ ใหญ่นกั ”
พระพทุ ธเจา้ เสด็จมายงั ท่ีภิกษุประชุมกนั ทรงทราบเร่ืองท่ีภิกษุ
ทงั้ หลายสนทนากนั แลว้ ตรสั ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย ไม่ใช่แต่ในชาติปัจจบุ นั
นี้เท่านั้น ท่ีพระนางมัลลิกาอาศัยสติปัญญาของตนช่วยเหลือผู้คน
ทั้งหลาย แมแ้ ต่ในอดีตชาติ พระนางก็เคยใชส้ ติปัญญาช่วยเหลือผูค้ น
๑๖๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ทงั้ หลายใหร้ อดชีวิตมาแลว้ เชน่ กนั ” และไดท้ รงนาเรื่องอดีตนิทานมาตรสั
เลา่ แกภ่ ิกษุทงั้ หลายว่า:-
อดตี ชาติของพระนางมลั ลิกา
ในอดีตกาล โอรสของพระเจา้ กรุงพาราณสีผูฝ้ ักใฝ่ ในอานาจ ได้
ทาพลีกรรมต่อเทพารกั ขท์ ่ีสิงสถิตอยู่ท่ีตน้ ไทรแห่งหนึ่งแลว้ ทรงออ้ นวอน
บนบานต่อเทพเจา้ นนั้ ว่า
“ขา้ แต่เทพเจา้ ผเู้ ป็นใหญ่ ในชมพทู วีปนี้ มพี ระราชาทงั้ หมด ๑๐๑
พระองค์ และพระอัครมเหสีของพระราชาอีก ๑๐๑ พระนาง ถ้าหาก
ขา้ พเจา้ ไดค้ รองราชสมบัติภายหลงั พระบิดาสิน้ พระชนแลว้ ไซร้ ขา้ พเจา้
จกั ขอทาพลกี รรมดว้ ยเลอื ดในลาคอของพระราชาและพระมเหสีเหลา่ นนั้ ”
กาลต่อมา เม่ือพระบิดาของพระองคไ์ ดส้ วรรคตลง พระกุมารนนั้
ก็ไดข้ ึน้ ครองราชยส์ มบัติสืบต่อพระบิดาตามท่ีประสงค์ไว้ ทรงดาริว่า
“การท่ีเราไดร้ าชสมบตั ินีม้ าครอบครอง คงเป็นดว้ ยอานุภาพของเทวดา
น่นั เอง เราจกั ทาพลกี รรมแก่เทวดาตามท่ีไดบ้ นบานเอาไว”้
เม่ือทุกอย่างพรอ้ ม พระเจา้ กรุงพาราณสีองคใ์ หม่ก็เสด็จออกไป
พรอ้ มกองทัพขนาดใหญ่ ตระเวนไปตามหวั เมืองต่าง ๆ ท่วั ทงั้ ชมพทู วีป
บงั คบั พระราชาทงั้ หลายใหย้ อมสยบอย่ภู ายใตอ้ านาจทีละองคๆ์ จนครบ
ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผๆี | ๑๗๐
๑๐๑ องคแ์ ลว้ ทรงพาไปพรอ้ มพระอคั รมเหสีของพระราชาเหลา่ นนั้ เหลือ
เวน้ ไวเ้ ฉพาะพระเทวนี ามวา่ ธัมมทนิ นา ผเู้ ป็นอคั รมเหสีของพระเจา้ อคุ ค
เสน ซ่งึ เป็นพระราชาองคห์ น่มุ สดุ ท่ถี กู จบั ตวั มา เหตผุ ลท่ีไมน่ ามาดว้ ย ก็
เพราะวา่ พระนางกาลงั ทรงพระครรภแ์ ก่
พระราชาทรงมุ่งพระพักตรต์ รงไปยังตน้ ไทรท่ีไดท้ รงบนบานไว้
ขณะเสด็จไปก็ทรงครุน่ คิดว่าจะฆ่าพระราชาท่ีจบั ตวั มาเหลา่ นีด้ ว้ ยวธิ ีไหน
ดี ตกลงพระทยั ไดว้ า่ “จะฆา่ ชนเหลา่ นดี้ ว้ ยการใหด้ ื่มนา้ ผสมยาพิษ” พอ
เสด็จไปถงึ ก็ตรสั รบั ส่งั ใหม้ หาดเลก็ ทาความสะอาดโคนไมท้ ่จี ะใชท้ าพธิ ี
ฝ่ ายรุกขเทวดาท่ีสิงสถิตอยู่ท่ีตน้ ไทรนัน้ พอทราบวัตถุประสงค์
การเสดจ็ มาของพระราชา กค็ ดิ ว่า
“ย่งุ แลว้ สเิ รา! พระราชาองคน์ ี้ จบั พระราชาและพระอคั รมเหสีมา
เป็นจานวนมาก ก็เพราะไดบ้ นบานต่อเราว่า จะทาพลีกรรมดว้ ยโลหิตใน
ลาคอของคนเหล่านี้ แต่ถ้าพระราชาเหล่านี้ถูกสาเร็จโทษทั้งหมด
ราชวงศใ์ นชมพูทวีปนีก้ ็จกั ขาดสูญไปหมด ไม่มีใครเป็นทายาทสืบต่อแน่
แถมโคนไมข้ องเราก็จกั เปื้อนเลือด มีมลทินติดตัวไปตลอด จะปล่อยให้
เหตกุ ารณอ์ ยา่ งนเี้ กดิ ขนึ้ ไมด่ แี น่”
๑๗๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เทวดานั้นใคร่ครวญดูก็ทราบว่า ลาพังตนเองคงไม่สามารถจะ
หา้ มพระราชาองคน์ ีใ้ ห้หยุดทาพลีกรรมไดแ้ น่ จึงเขา้ ไปปรึกษาหารือขอ
คาแนะนาวิธีแก้ปัญหาจากเพ่ือนเทวดาอ่ืน ๆ ต่างก็มองไม่เห็นวิธี
แกป้ ัญหาเช่นกนั ตัดสินใจเขา้ ไปหาเทวดาท่ีมีศักดิ์ใหญ่กว่าตามลาดับ
จนถึงทา้ วมหาราชทงั้ ๔ ไดร้ บั คาแนะนาจากทา้ วมหาราชทงั้ ๔ ว่า “แม้
พวกเราเองก็ไม่สามารถเช่นกนั แตท่ า้ วสกั กะ พระราชาของพวกเราสิ เป็น
ผูเ้ ลิศกว่าพวกเราดว้ ยบุญและปัญญา ท่านจงเขา้ ไปเฝ้าแลว้ ทูลถามวิธี
แก้ปัญหากับพระองคเ์ ถิด” เม่ือไดร้ บั คาแนะนาจากทา้ วมหาราชทัง้ ๔
เช่นนนั้ จึงไดเ้ ขา้ ไปเฝ้าทา้ วสกั กะ กราบทูลเรื่องราวใหท้ รงทราบทงั้ หมด
พรอ้ มกบั ทลู ขอคาแนะนาวิธีแกป้ ัญหา
ทา้ วสกั กะ ตรสั แนะอบุ ายว่า “แมเ้ ราเองก็ไม่อาจหา้ มพระราชา
นนั้ ได้ แต่เราจกั บอกอุบายวิธีแกป้ ัญหาแก่ท่าน เอาอย่างนีส้ ิ! ขณะที่
พระราชานนั้ กาลงั มองเห็นอยู่น่นั แหละ ท่านจงนงุ่ ผา้ แดง แสดงอาการ
เหมือนกบั ว่าจะออกไปจากตน้ ไมข้ องตนเอง เมือ่ เป็นเช่นนนั้ พระราชาก็
จกั ออ้ นวอนท่านใหก้ ลบั มาดว้ ยประการต่าง ๆ ถงึ ตอนนี้ ทา่ นจงทาทา่ ที
ขึงขงั กล่าวกบั พระราชาว่า ท่านไดบ้ นบานต่อเราว่าจกั ทาพลีกรรมดว้ ย
โลหิตในลาคอของพระราชาและมเหสีท่ัวทัง้ ชมพูทวีป แต่ทาไมต้อง
ชาดกวา่ ดว้ ยเรอื่ งผีๆ | ๑๗๒
ยกเวน้ พระนางธัมมทินนา มเหสีของพระเจา้ อุคคเสนไวด้ ว้ ย เราจักไม่
ขอรบั พลีกรรมของคนไม่มีสจั จะชอบพูดเท็จเช่นท่าน เมือ่ ท่านพูดเช่นนี้
พระราชาก็จกั ใหม้ หาดเลก็ ไปนาตวั พระนางธมั มทนิ นามา พระเทวอี งคน์ ี้
เป็นผูส้ ติปัญญาเป็นเลิศ จักแสดงธรรมใหข้ อ้ คิดแก่พระราชา และจัก
สามารถชว่ ยเหลอื คนเหลา่ นนั้ ใหร้ อดชวี ติ ได”้
รุกขเทวดาไดท้ าตามท่ที า้ วสกั กะแนะนาทกุ อย่าง ฝ่ายพระราชาก็
ใหม้ หาดเล็กนาตวั พระนางธัมมทินนามายงั สถานท่ที าพลกี รรม
พระนางธัมมทินนาเทวี พอเสด็จมาถึง ก็ถวายบงั คมเฉพาะพระ
เจา้ อคุ คเสนผูเ้ ป็นพระราชสวามีของตนเท่านนั้ แมจ้ ะเป็นพระราชาองค์
เล็กสดุ เม่อื พิจารณากนั ตามฐานะก็ตาม สรา้ งความไม่พอพระทยั แก่พระ
เจ้าพาราณสียิ่งนักท่ีเห็นอาการเช่นนั้น ทรงกริว้ ต่อพระเทวีนั้นตรสั ว่า
“เม่อื เราดารงอยใู่ นฐานะผยู้ งิ่ ใหญ่กว่าพระราชาทงั้ ปวง นางยงั ไหวเ้ ฉพาะ
สามีของตนผมู้ ีฐานะนอ้ ยสดุ กว่าพระราชาทงั้ ปวงได้ ช่างไมร่ ูท้ ่สี งู ท่ีต่าเอา
ซะเลย”
พระเทวีไดท้ ูลพระราชาว่า “หม่อมฉันไม่ไดม้ ีอะไรเก่ียวขอ้ งกับ
พระองคเ์ ลย พระเจา้ อคุ คเสนผเู้ ป็นสามีนีต้ ่างหากท่ีมอบความเป็นใหญ่
๑๗๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ใหแ้ ก่หม่อมฉัน ถา้ หม่อมฉันไม่ไหวพ้ ระราชาองคน์ ีแ้ ลว้ จักไหวพ้ ระองค์
ทาไมเลา่ ”
เทวดาประจาตน้ ไทรฟังเช่นนนั้ เห็นคลอ้ ยตามดว้ ย จึงไดส้ ง่ เสียง
สาธกุ ารต่อคาพดู ของพระนางธัมมทินนาท่ามกลางฝงู ชนวา่
“ถูกตอ้ งแลว้ พระเทวีผเู้ จรญิ ถูกตอ้ งแลว้ พระเทวีผเู้ จริญ” แลว้
มอบดอกไมก้ ามอื หนึ่งเพ่อื แสดงความช่ืนชม
พระราชาผูเ้ ต็มเป่ียมดว้ ยขัตติยมานะ ตรสั อะไรก็มีแต่คนเห็นดี
เห็นงามน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมนาไปปฏิบัติตามโดยไม่ต้องคิดหา
เหตผุ ลและความเป็นไปได้ เพราะไม่เคยมีใครกลา้ ขดั พระทยั หรือต่อปาก
ต่อคาดว้ ย เพราะเกรงกลวั ในพระราชอานาจ แต่พอมาเจอพระนาง
ธัมมทินนาพูดตอบโตด้ ้วยอาการไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ จึงรู้สึกแปลก
พระทยั ยิ่งนกั แถมเทวดาประจาตน้ ไทรก็ดจู ะเขา้ ขา้ งนางสง่ เสียเชียรเ์ หน็
ดีเห็นงามไปด้วยซะงั้น แต่การท่ีจะยอมสยบต่อผูห้ ญิงตัวเล็ก ๆ แบบ
งา่ ยๆ กใ็ ช่ท่ี จงึ ตรสั ถามอีกวา่
“ถ้าเธอไม่ไหว้เรา แล้วทาไมไม่ไหว้เทวดาประจาต้นไทร ผู้มี
อานภุ าพมาก ผใู้ หส้ ิรแิ ห่งความเป็นพระราชาแก่เราเล่า เธอรูไ้ หมว่า การ
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๗๔
ท่ีเราสามารถขึน้ ครองราชยแ์ ละจบั พระราชาเหล่านีม้ าได้ ก็ดว้ ยอานุภาพ
ของเทวดาประจาตน้ ไทรน่ีแหละ”
พระนางธัมมทินนาทูลว่า “ทรงเข้าใจผิดแล้วเพคะ การท่ี
พระองคส์ ามารถขึน้ ครองราชยแ์ ละจับพระราชาทัง้ หลายมาได้ ก็ดว้ ย
อานาจบารมีของพระองคเ์ อง ไม่ใช่เพราะอานภุ าพของเทวดาเลย”
รุกขเทวดาฟังคาท่ีพระนางธัมมทินนาทูลตอบโตพ้ ระราชาแลว้
ชอบใจใหญ่ เพราะไดช้ ่วยแก้ข้อกล่าวหาใหก้ ับตนเองดว้ ย จึงส่งเสียง
สาธุการเป็นครง้ั ท่ีสองวา่
“ถูกตอ้ งแลว้ พระเทวีผูเ้ จริญๆ เราไม่ไดม้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งในการ
จบั พระราชาทงั้ หลายมาเลย”
ขณะนนั้ พระนางธัมมทินนาเทวีทรงเหลือบไปเห็นรอยไฟไหมบ้ น
ตน้ ไม้ เพ่ือใหค้ าพดู ของตนเองดสู มเหตสุ มผลน่าเช่ือถือมากยิ่งขึน้ จึงได้
ยกตวั อย่างทลู ใหพ้ ระราชาเห็นว่า
“ท่ดี า้ นซา้ ยขา้ งบนของตนไมน้ ถี้ กู ไฟไหม้ ถา้ หากพระองคท์ รงคิด
วา่ เทวดานมี้ ีอานภุ าพมาก ทาไมไม่สามารถบงั คบั ไฟไม่ใหไ้ หมไ้ ดห้ ละ”
ดเู หมือนว่าคาอธิบายตอบโตด้ ว้ ยความฉะฉานสมเหตสุ มผลของ
พระนางธัมมทินนาจะทาให้พระราชาทรงประหลาดพระทัยและท่ึงใน
๑๗๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ความสามารถของพระนางย่งิ นกั ขณะนนั้ พระองคอ์ ยใู่ นอาการงงงวยไม่รู้
จะตอบโตอ้ ย่างไรดี แถมเทวดาท่ีตนคิดจะมาบนบานก็พลอยส่งเสริมส่ง
เสียงเชยี รอ์ ย่มู ิไดข้ าด แต่จู่ ๆ สิ่งท่ไี มค่ าดคิดกไ็ ดเ้ กิดขนึ้ น่นั คือ พระนาง
ธัมมทินนาไดท้ รงกนั แสงและทรงพระสรวลขึน้ มา(ทงั้ รอ้ งใหแ้ ละหัวเราะ)
ในเวลาใกลเ้ คียงกัน สรา้ งความฉงนสนเท่หแ์ ก่ผูอ้ ยู่ในบริเวณนนั้ ยิ่งนัก
พระราชาเหน็ อาการแปลกๆ ของนาง จงึ ตรสั ถามว่า
“เธอเป็นบา้ ไปแลว้ ใช่ไหม จึงรอ้ งใหแ้ ลว้ ก็หวั เราะ”
พระเทวี “หญิงเชน่ หม่อมฉนั จะเป็นบา้ ไปไดอ้ ย่างไร”
พระราชา “เม่ือเป็นเช่นนนั้ ทาไม เธอจึงรอ้ งใหแ้ ละหวั เราะหละ”
พระเทวี “ในครงั้ อดีต หม่อมฉันแต่งงานแลว้ ยา้ ยไปอยู่ท่ีบา้ นของสามี
แขกของสามีมาท่ีบา้ น หม่อมฉันตอ้ งการจะหงุ ขา้ วปลาอาหารตอ้ นรบั จึง
ใหเ้ งินหญิงรบั ใชไ้ ปซือ้ เนือ้ ท่ีตลาด แต่เนือ้ หมด หาซือ้ ไม่ได้ จึงตัดศีรษะ
ของแม่แพะตัวท่ีนอนอยู่หลังบา้ นมาทาอาหารใหแ้ ขกสามีกิน ดว้ ยผล
กรรมคือการตัดศีรษะแม่แพะตัวเดียวนี้ หม่อมฉันตอ้ งหมกไหมใ้ นนรก
และถูกตดั ศีรษะดว้ ยการนบั ขนของแม่แพะนนั้ แต่พระองคส์ ิ กาลงั จะฆา่
คนและสตั วจ์ านวนมากขนาดนี้ เม่ือไหรจ่ ึงจกั พน้ จากทุกขไ์ ด้ หม่อมฉัน
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๗๖
นึกถึงทุกขใ์ หญ่หลวงท่ีพระองคจ์ ะไดร้ บั เพราะเหตนุ ีแ้ หละ หม่อมฉันจึง
รอ้ งให”้
พระราชา “แลว้ ท่เี ธอหวั เราะหละ เป็นเพราะอะไร”
พระเทวี “ท่ีหม่อมฉันหวั เราะ ก็เพราะดีใจว่า ตนเองไดห้ ลดุ พน้ จากทุกข์
นนั้ แลว้ ”
พระราชาไดฟ้ ังเร่ืองราวท่ีพระเทวีทูลใหฟ้ ัง เกิดความสลดสงั เวช
พระทยั ว่า “โอ! กรรมของเราใหญ่หลวงนัก พระเทวีนีฆ้ ่าแม่แพะแค่ตัว
เดียว ยังตอ้ งหมกไหมใ้ นนรกและถูกตัดศีรษะนับจานวนครง้ั เท่ากับขน
ของแมแ่ พะ แต่เรานสี้ ิ กาลงั จะฆา่ คนจานวนมาก เม่ือไหรห่ นอ จงึ จกั พน้
ทุกขถ์ ึงความสวัสดีได”้ ทรงดาริไดเ้ ช่นนั้น จึงรบั ส่งั ใหป้ ล่อยพระราชา
ทั้งหมด ถวายบังคมพระราชาผู้แก่กว่าตน ทรงประคองอัญชลีแก่
พระราชาผูอ้ ่อนกว่า ขอใหพ้ ระราชาทั้งหมดอดโทษแก่ตนแลว้ ทรงส่ง
พระราชาเหลา่ นนั้ เสด็จกลบั ไปยงั พระนครของแต่ละองคต์ ามเดมิ
พระนางธัมมทินนาในครง้ั นัน้ ไดเ้ กิดมาเป็นพระนางมัลลิกาใน
ชาติปัจจุบัน พระเจา้ กรุงพาราณสี คือพระเจา้ ปเสนทิโกศล ส่วนรุกข
เทวดา คอื พระตถาคต ในชาตปิ ัจจบุ นั
๑๗๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๗๘
๑๗๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
๓.
ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผๆี | ๑๘๐
๑๘๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๘๒
๘
เคาะกะโหลกโป๊ กๆ
บอกได.้ ..คนไหนตกนรก คนไหนขนึ้ สวรรค์
คนเรามีความสามารถพิเศษแตกต่างกัน เช่น บางคนพูดเก่ง
บางคนรอ้ งเพลงเก่ง บางคนวาดภาพเก่ง และบางคนก็เล่นกีฬาเก่ง เป็น
ตน้ ความสามารถพิเศษเหลา่ นี้ ถา้ ฝึกฝนอบรมใหด้ ีจนชานาญก็สามารถ
ท่ีจะนามาประกอบอาชีพสรา้ งรายไดใ้ หแ้ ก่ตนเองไดเ้ ช่นกัน เร่ืองท่ีจะ
เล่าต่อไปนี้ ต้องบอกว่าเป็นความสามารถพิเศษท่ีแปลกประหลาดไม่
๑๘๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เหมือนใคร และก็คงจะไม่มีใครเหมือน น่ันคือ มีความสามารถในการ
เคาะกะโหลกคนตายและบอกไดว้ ่าเจา้ ของกะโหลกนีต้ ายแลว้ ไปเกิดท่ี
ไหน
ผูท้ ่ีมีความสามารถพิเศษดังกลา่ วนี้ มีช่ือว่า “วังคีสะ” เป็นคนท่ี
เกดิ ในวรรณะพราหมณช์ าวเมอื งราชคฤหโ์ ดยกาเนิด เขาเม่ือเคาะกะโหลก
ศรี ษะคนท่ตี ายแลว้ กส็ ามารถบอกไดว้ ่า :-
กะโหลกคนนีไ้ ปเกิดในนรก
กะโหลกคนนีไ้ ปเกิดเป็ นสัตวเ์ ดรัจฉาน
กะโหลกคนนีไ้ ปเกิดเป็ นเปรต
กะโหลกคนนีไ้ ปเกิดเป็ นมนุษย์
กะโหลกคนนีไ้ ปเกดิ เทวดา
ตอนแรกๆ คนก็ยงั ไม่แน่ใจว่าท่ีวังคีสะทานายมานนั้ ถูกหรือผิด
เพราะเป็นเร่ืองท่ีพิสจู นใ์ หเ้ หน็ เป็นรูปธรรมไม่ได้ แต่เม่ือนาพฤติกรรมของ
ผูต้ ายมาเทียบเคียงกับเม่ือครง้ั ยังมีชีวิตอยู่ มีส่วนใกลเ้ คียงและเป็นไป
อย่างท่ีวงั คีสะบอกมากทีเดียว เช่น คนท่ีทาบาปทากรรมไวม้ าก วงั คีสะก็
ทานายว่ากะโหลกนีไ้ ปเกิดในนรก คนนีช้ อบทาบุญไปเกิดในสวรรค์ เป็น
ตน้ ทัง้ ๆ ท่ีเขาไม่เคยรูจ้ ักมักคุน้ กับคนตายมาก่อนเลยว่าขณะมีชีวิตมี
พฤติกรรมเป็นอย่างไร แต่ก็สามารถทานายไดอ้ ย่างแม่นยา(คงคลา้ ยหมอ
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผๆี | ๑๘๔
ดูแม่นๆ บ้านเราน่ันเอง) ทาให้เขาได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากคน
จานวนมากอยา่ งรวดเรว็
หลายคนอาจสงสัยว่า “เอ๊ะ! กะโหลกมนุษย์มันหากันได้ง่าย
ขนาดนนั้ เชียวร”ึ ตอ้ งบอกใหเ้ ป็นท่ีเขา้ ใจกนั เสียก่อนว่า คนในสมยั ก่อน
นนั้ ไม่มีเมรุเผาศพและทาพิธีกรรมเป็นเรือ่ งเป็นราวเหมือนคนไทยในสมยั
ปัจจุบนั นี้ เม่ือคนในครอบครวั เสียชีวิตลง ญาติพ่ีนอ้ งก็นาไปเผาหรือทิง้
กนั ท่ีป่ าชา้ เลย ศพท่ีเผาบางทีก็ไหมไ้ ม่หมด มีเศษเนือ้ เศษกระดกู เหลือติด
อยู่ก็มี ส่วนศพท่ีนาไปทิง้ บางทีก็เน่าพพุ องขึน้ อืดกันท่ีตรงนนั้ เลยทีเดียว
บางศพก็ถกู สตั วย์ ือ้ แย่งกนั กินเป็นอาหารก็มี จึงมีเรื่องเลา่ ในพทุ ธประวตั ิ
ว่า มพี ระสงฆส์ าวกหลายรูปท่ีตอ้ งการฝึกกาลงั ใจใหเ้ ขม้ แขง็ และพจิ ารณา
เห็นความไม่เท่ียงแทข้ องสงั ขารร่างกายก็ไปเจริญอสภุ กรรมฐานกันท่ีป่ า
ชา้ นั้น แถมยังมีขอ้ บัญญัติทางพระวินัยหา้ มพระสงฆใ์ ชบ้ าตรท่ีทาจาก
กะโหลกศรี ษะมนษุ ย์ จึงแสดงใหเ้ หน็ ว่า กะโหลกมนษุ ยเ์ ป็นส่งิ ท่หี าไดไ้ ม่
ยากนกั และเป็นเรอื่ งธรรมดาของคนในสมยั นนั้
๑๘๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เทยี่ วเคาะกะโหลกหารายได้
กลับมาท่ีเร่ืองนายวังคีสะกันต่อ นับวันก็ยิ่งเป็นท่ียอมรบั มีคน
เลื่อมใสศรทั ธามากขึน้ ส่ิงท่ีมาพรอ้ มกบั ความเล่ือมใสศรทั ธาของผูค้ นก็
คือลาภสกั การะหรือผลประโยชน์ เพราะใคร ๆ ก็อยากทราบว่า ญาติพ่ี
นอ้ งของตนตายแลว้ ไปเกิดท่ีไหน ก็นากะโหลกญาติเหล่านนั้ มาให้นาย
วงั คีสะเคาะเพ่ือทานาย และก็มอบทรพั ย์สินเงินทองแก่เขามากบา้ งนอ้ ย
บา้ งตามกาลงั ศรทั ธา แต่เม่ือรวมกนั หลายรายเขา้ ก็มากโขทีเดียว ทาให้
มีพอ่ คา้ พราหมณห์ วั ใสเห็นช่องทางทามาหากนิ จากความสามารถพิเศษนี้
ย่นื ขอ้ เสนอกบั วงั คีสะว่า
“วงั คีสะ เอาอย่างนีด้ ไี หม พวกเรามาร่วมกนั หารายไดจ้ ากการ
เคาะกะโหลกนีร้ ่อนเร่ไปในทีต่ ่าง ๆ ดว้ ยกนั มีคนอีกเยอะทีต่ อ้ งการรูว้ ่า
ญาตพิ นี่ อ้ งไปเกิดทไี่ หน เดยี่ วพวกเราจะเป็นธุระดา้ นการประชาสมั พนั ธ์
ให้ รบั รองรวยแน”่
นายวงั คีสะคิดทบทวนไปมาแลว้ เห็นว่า ผลประโยชนแ์ บ่งลงตัว
งานนีม้ ีแต่ไดไ้ ม่มีเสีย ก็เลยตอบตกลง เพราะนอกจากจะทาใหม้ ีรายได้
เพม่ิ มากขนึ้ แลว้ ช่ือเสยี งเกียรตยิ ศกม็ าพรอ้ มกนั ดว้ ย
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๘๖
เพ่ือใหส้ มบทบาทดูน่าเช่ือถือมากขึน้ พวกเขาจึงใหว้ งั คีสะนีแ้ ต่ง
องคท์ รงเครื่องเสียใหม่ หลายคนคงคิดว่า ตอ้ งใหน้ ่งุ ขาวห่มขาวเหมือนผู้
ทรงศีลบา้ นเราแน่เลย แต่ไม่หรอก เพ่ือใหแ้ ตกต่างไม่เหมือนใคร ดึงดดู
ความสนใจได้ดี ก็เลยให้เขานุ่งห่มผ้าสีแดงแจ๊ด เรียกว่า นอกจาก
ความสามารถแปลกไม่เหมือนใครแลว้ เคร่ืองแต่งตวั ก็แปลกประหลาดไป
ดว้ ย คนเห็นแลว้ จะไดจ้ าแม่น (งานนีฝ้ ่ ายการตลาดมองทะลุปรุโปร่ง)
เม่ือทุกอย่างพรอ้ ม พวกเขาก็เท่ียวตระเวนไปตามท่ีต่าง ๆ ป่ าวประกาศ
แกค่ นทงั้ หลายวา่
“พ่ีน้องทั้งหลายเอ๋ย! พราหมณ์วังคีสะนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา มี
ความสามารถพิเศษ สามารถเคาะกะโหลกคนตายแลว้ บอกไดว้ า่ ไปเกิดท่ี
ไหน ขอเชิญท่านทั้งหลายนากะโหลกญาติพ่ีน้องท่ีตายไปแล้วมาให้
พราหมณว์ งั คีสะนีเ้ คาะเถดิ ”
ผลปรากฏว่าไดร้ บั การตอบสนองอย่างดีเกินคาด ประชาชนแทบ
ทกุ หม่บู า้ นท่ีพวกเขาตระเวนไป ไดน้ ากะโหลกญาติพ่ีนอ้ งมาใหพ้ ราหมณ์
วงั คสี ะเคาะกนั อยา่ งเนืองแน่น สรา้ งรายไดเ้ ป็นกอบเป็นกาเลยทีเดียว
พวกเขาเพลิดเพลินและมีความสขุ กบั การเท่ียวตระเวนหารายได้
ในลกั ษณะนี้ จากหม่บู า้ นนนั้ ไปส่หู ม่บู า้ นโนน้ จนกระท่งั ขา้ มเขตไปถึง
๑๘๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
เมืองสาวตั ถี ซ่งึ มีเขตติดต่อกนั กบั เมืองราชคฤห์ คืนหน่ึงไดพ้ กั อาศยั ในท่ี
ไม่ไกลกันนักกับพระวิหารเชตวันอันเป็ นสถานท่ีประทับอยู่ของ
พระพทุ ธเจา้ พอรุ่งเชา้ ตื่นขึน้ มา หลงั จากหุงหาอาหารรบั ประทานเสรจ็ ก็
ไ ด้เ ห็ น ป ร ะ ช า ช น จ า น ว น ม า ก ถื อ ข อ ง ห อ ม แ ล ะ ดอ ก ไ ม้เ ป็ น ต้น พ ากัน
หล่งั ไหลไปท่วี ดั พระเชตวนั เพ่อื ฟังธรรม นึกแปลกใจวา่ ประชาชนพวกนีไ้ ป
ไหนกนั ก็เลยเขา้ ไปสอบถามจนทราบวัตถุประสงคข์ องคนเหล่านั้น จึง
เอ่ยปากชกั ชวนวา่
“พวกท่านจะไปกันทาไมหละท่ีวัดเชตวันน่ี ไปแล้วจะได้อะไร
พราหมณว์ งั คีสะน่ีของจริง ไม่ใช่คนธรรรมดา จะหาคนเก่งเทียมเท่าไม่ได้
อีกแลว้ มีใครบา้ งในโลกนีเ้ คาะกะโหลกคนแลว้ สามารถบอกไดว้ ่าไปเกิดท่ี
ไหน พวกท่านอยากทราบสถานท่ีเกิดของญาติพ่ีนอ้ งท่ีตายไปแล้วไหม
หละ มาน่เี ลย พราหมณว์ งั คีสะนีบ้ อกท่านได”้
ฝ่ ายประชาชนผู้มีศรัทธาตั้งม่ันในพระรัตนตรัยก็ตอบว่า
“พราหมณว์ ังคีสะนีจ้ ะรูอ้ ะไรนักหนา ไม่มีใครเทียมเท่าพระบรมศาสดา
ของพวกเราหรอก”
พวกพราหมณก์ ็พยายามโนม้ นา้ วชักจูงใหเ้ ห็นว่าวังคีสะแน่กว่า
ทงั้ สองฝ่ายเกิดการถกเถียงกันหาขอ้ ยุติไม่ไดว้ ่าใครเจ๋งกว่าใคร อบุ าสก
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผๆี | ๑๘๘
อุบาสิกาทั้งหลายก็เลยบอกกับพวกพราหมณ์ว่า “งั้นเรามาพิสูจน์กัน
พวกท่านไปเขา้ เฝ้าพระบรมศาสดากับพวกเรา จะไดร้ ูว้ ่าระหว่างวงั คีสะ
กับพระบรมศาสดาของพวกเรา ใครแน่กว่ากนั ” ทงั้ หมดจึงพากันไปเขา้
เฝา้ พระพทุ ธเจา้
พระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผู้มีพระญาณหย่งั รูอ้ นั หาท่ีสดุ
มิได้ เม่ือทรงทราบว่าชนเหลา่ นนั้ กาลงั เดินทางมา จึงรบั ส่งั ใหห้ ากะโหลก
ศรี ษะมา ๕ กะโหลก ประกอบดว้ ย
กะโหลกของคนท่ีจะไปเกิดในนรก
กะโหลกของคนท่จี ะไปเกิดในกาเนดิ สตั วด์ ริ จั ฉาน
กะโหลกของคนท่จี ะไปเกดิ ในมนษุ ยโลก
กะโหลกของคนท่จี ะไปเกดิ ในเทวโลก
กะโหลกของพระขณี าสพ
รบั ส่งั ใหต้ งั้ กะโหลกทงั้ ๕ เรียงรายไวต้ ามลาดบั พอวงั คีสะมาถึง
ก็ตรสั ถามเขาทีละกะโหลก ๆ เร่ิมตงั้ แต่กะโหลกของคนท่ีไปเกิดในนรก
จนถึงกะโหลกของคนท่ไี ปเกิดในเทวโลก ซ่งึ วงั คีสะก็สามารถตอบไดอ้ ย่าง
ถูกตอ้ งแม่นยาทุกกะโหลก เพราะช่าชองเร่ืองนีอ้ ยู่แลว้ พระพุทธเจา้ ได้
ประทานสาธกุ ารเป็นการช่ืนชมในความสามารถของเขา
๑๘๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
แต่พอมาถึงกะโหลกสุดท้าย ซ่ึงเป็ น กะโหลกของพระขีณาสพ
วงั คีสะเคาะแลว้ ก็ไม่สามารถรูส้ ถานท่ีจะไปเกิดของเจา้ ของกะโหลกนเี้ ลย
นึกแปลกใจว่า “เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น ทาไมเป็นอย่างนี้ กะโหลกนี้ไม่
เหมือนกบั ท่ีเราเคยเคาะมาก่อนเลย” พยายามทบทวนมนตท์ ่ีตนเรียนมา
ว่าทาถกู ตอ้ งตามขนั้ ตอนหรือเปลา่ จึงเคาะเป็นครง้ั ท่ีสอง ก็ยงั เหมือนเดิม
เคาะอีกครง้ั ก็ยงั มืดแปดดา้ นไม่รูท้ ่ีไปเกิดอย่ดู ี พระพทุ ธเจา้ ทรงเห็นท่าที
ลังเลใจของเขา จึงตรัสถามว่า “วังคีสะ ท่านรูจ้ ักท่ีไปเกิดของเจา้ ของ
กะโหลกนไี้ หม”
วังคีสะแม้จะมีอาชีพเป็นนักทานายทายทัก แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อ
วิชาชีพของตน ส่ิงไหนรูก้ ็บอกรู้ ส่ิงไหนไม่รูก้ ็บอกไม่รู้ ไม่โกหกล่ืนไหล
ทานายทายทักอิงแอบหาผลประโยชนเ์ หมือนหมอดูท่ัวไปบางคน จึง
กราบทลู สารภาพตามตรงวา่ “ขา้ พระองคไ์ ม่ทราบ พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “แตเ่ ราทราบ วงั คีสะ”
วงั คสี ะ “พระองคท์ รงทราบไดอ้ ยา่ งไร พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “เรารูไ้ ดด้ ว้ ยกาลงั แหง่ มนต”์
วงั คสี ะ “โปรดประทานมนตพ์ ิเศษท่ที าใหร้ ูส้ ิง่ นแี้ ก่ขา้ พระองคด์ ว้ ยเถดิ ”
ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผีๆ | ๑๙๐
พระพทุ ธเจา้ “เราไม่ใหแ้ ก่คนท่ียงั ไม่ไดบ้ วช ท่านตอ้ งบวชก่อน เราจึงจะ
ใหม้ นตน์ ไี้ ด”้
บวชเรียนมนต์ จนกลายเป็ นพระอรหนั ต์
วงั คีสะคิดในใจว่า “มนตพ์ ิเศษนีม้ ีค่านกั ควรเรียนรูไ้ ว้ บวชไม่ก่ี
วนั ก็ไม่เห็นเป็นไรน่ี พอเรียนมนตเ์ สรจ็ ก็สกึ ออกมาประกอบอาชีพนีต้ ่อได้
ทีนีแ้ หละ ใครเล่าจะมาเทียมเท่าเราได้ในพืน้ ปฐพีนี”้ จึงบอกให้พวก
พราหมณท์ ่มี าดว้ ยทราบวา่ ตนเองจะบวชเรยี นมนตแ์ ละใหพ้ วกเขาไปหาท่ี
อยู่รอคอยก่อน เม่ือเรียนมนตเ์ สร็จแลว้ ก็จะสึกออกมาประกอบอาชีพนี้
ดว้ ยกนั ตอ่ พราหมณเ์ หลา่ นนั้ ก็เห็นดีดว้ ยและไดไ้ ปหาท่พี กั อย่อู าศยั ใกลๆ้
วดั น่นั เอง เป็นอนั วา่ วงั คสี ะไดบ้ วชในสานกั ของพระพทุ ธเจา้ มีช่อื ปรากฏ
ว่า พระวงั คีสะเถระ หลงั จากบรรพชาอปุ สมบทเสร็จแลว้ พระพทุ ธเจา้ ได้
ประทานทวัตติงสาการกัมมัฏฐาน(กรรมฐานกาหนดอาการ ๓๒ เป็น
อารมณ์)แก่ท่านใหไ้ ปบริกรรมดว้ ยพระดารสั ว่า “เธอจงกล่าวสาธยาย
บรกิ รรมมนตน์ ”ี้
บวชได้ไม่กี่วัน พวกพราหมณ์ซ่ึงกังวลเกี่ยวกับรายได้ท่ีขาด
หายไปในช่วงท่ีพระวงั คีสะบวช ก็เขา้ มาสอบถามความคืบหนา้ ของการ
เรยี นมนตอ์ ย่เู ป็นประจาวา่
๑๙๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
“ท่านวงั คสี ะ เรยี นมนตไ์ ดแ้ ลว้ หรือยงั ครบั ”
พระวงั คีสะกต็ อบว่า “ยงั เลยทา่ นพราหมณ์ ขอพวกท่านจงรออีก
หน่อยเถอะ” ถามเช่นนีอ้ ยู่หลายครง้ั ทาใหท้ ่านพระวังคีสะรูส้ ึกเกรงใจ
เพ่ือนๆ ท่ีตอ้ งรอนาน ประกอบทงั้ ถา้ ปล่อยเวลาใหเ้ น่ินชา้ ออกไปรายไดก้ ็
คงจะหดหายตามไปดว้ ย ท่านจึงมีความตั้งใจในการสาธยายบริกรรม
มนตอ์ ย่างเต็มท่ีเพ่ือใหก้ ารเรียนมนตบ์ รรลผุ ลโดยเร็ว เป็นเหตทุ าใหจ้ ิตใจ
ของท่านแน่วแน่ม่ันคงตรงดิ่งไปท่ีอาการ ๓๒ จนเห็นความไม่เท่ียงแท้
แน่นอนของสงั ขารร่างกาย บรกิ รรมเช่นนีต้ ่อเน่ืองกนั เพียงแค่สองสามวัน
เท่านนั้ ท่านพระวงั คีสะผูไ้ ดส้ ่งั สมบุญบารมีไวค้ รบถว้ นสมบูรณแ์ ลว้ ก็ได้
บรรลอุ รหตั ตผล สาเรจ็ เป็นพระอรยิ บคุ คลชนั้ สงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา
ฝ่ ายพวกพราหมณ์ผู้ซ่ึงรอคอยการสึกของท่านพระวังคีสะอยู่
อยา่ งใจจดใจจ่อนบั วนั นบั คืนผา่ นไป กไ็ ดเ้ ขา้ มาสอบถามทา่ นเชน่ เดิมวา่
“ทา่ นครบั เรยี นมนตจ์ บแลว้ ใชไ่ หมครบั จะไดส้ กึ ออกไปทางานกนั ต่อ”
ตอนนี้ ท่านพระวงั คีสะผสู้ าเรจ็ เป็นพระอรหนั ตขีณาสพแลว้ ตอบ
พวกพราหมณว์ า่
“โยมทงั้ หลาย ตอนนี้ อาตมภาพไม่เหมาะท่ีจะออกไปประกอบ
อาชพี เชน่ นนั้ อกี แลว้ ”
ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผๆี | ๑๙๒
คาพดู ของท่านประโยคนี้ ถา้ หากเป็นพระท่ีมีภูมิธรรมภูมิปัญญา
เท่ากนั ก็จะสามารถเขา้ ใจไดว้ า่ ท่านไดบ้ รรลพุ ระอรหตั แลว้ แต่เน่ืองจาก
พระสงฆท์ ่ีฟังคาตอบนนั้ ส่วนหนึ่งยงั เป็นปถุ ชุ นอยู่ ฟังแลว้ ไม่เขา้ ใจ หาว่า
ท่านพูดจาอวดอ้างคุณวิเศษท่ีไม่มีในตน จึงไปกราบทูลเร่ืองนั้นให้
พระพทุ ธเจา้ ทราบ พระองคไ์ ดต้ รสั รบั รองความเป็นพระอรหนั ตข์ องพระ
วงั คสี ะท่ามกลางหมสู่ งฆว์ า่
“ภิกษุทงั้ หลาย พวกเธออย่าไดก้ ล่าวอย่างนนั้ เลย บดั นี้ วงั คสี ะ
บตุ รของเรา เป็นผฉู้ ลาดในจตุ แิ ละปฏสิ นธแิ ลว้ ”
พระคาถาของผ้รู ู้จตุ แิ ละอุบตั ิ
“จตุ ิง โย เวทิ สตั ตานงั อปุ ะปัตติญจะ สพั พะโส.
อะสตั ตงั สคุ ะตงั พทุ ธัง ตะมะหงั พฺรูมิ พรฺ าหฺมะณงั ฯ
“ยสั สะ คะตงิ นะ ชานนั ติ เทวา คนั ธพั พะมานสุ า.
ขีณาสะวงั อะระหนั ตงั ตะมะหงั พรฺ ูมิ พฺราหฺมะณนั ติฯ
“ผใู้ ดรูจ้ ตุ ิและอบุ ตั ขิ องสตั วท์ งั้ หลายโดยประการทงั้ ปวง
เรา(ตถาคต)เรียกผนู้ นั้ ซ่งึ เป็นผไู้ มข่ อ้ งขดั ผไู้ ปดแี ลว้
ผรู้ ูแ้ ลว้ วา่ เป็นพราหมณ์ เทวดา คนธรรพ์ และหมมู่ นษุ ย์
ไมร่ ูค้ ตขิ องผใู้ ด เรา(ตถาคต) เรยี กผนู้ นั้ ผซู้ ่งึ สนิ้ อาสวะแลว้
๑๙๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก
ผไู้ กลจากกเิ ลส วา่ เป็นพราหมณ”์
ประเดน็ สารธรรม
๑. พระอรหันตขีณาสพ คือผู้สาเร็จคุณธรรมขั้นสูงสุดใน
พระพทุ ธศาสนา เป็นผดู้ บั กเิ ลสทงั้ ปวงโดยสนิ้ เชงิ ไมก่ ลบั มา
เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีก เพราะเขา้ ส่นู ิพพานแลว้
ดว้ ยเหตนุ ี้ จึงทาใหว้ ังคีสะพราหมณแ์ มจ้ ะเป็นผูช้ านาญใน
การเคาะกะโหลกคนตายก็ไม่สามารถบอกท่ีไปเกิดของพระ
ขณี าสพได้
๒. คาว่า “พราหมณ”์ เป็นคาท่ีมีความหมายในดา้ นบวก เช่น
เรียกผเู้ กิดในตระกูลชนั้ สงู ว่าพราหมณ์ เรียกผคู้ งแก่เรียนว่า
พราหมณ์ เรียกผมู้ ีวิชาอาคมว่าพราหมณ์ เป็นตน้ เป็นคาท่ี
มีมาแต่เดิม บางทีพระพทุ ธเจา้ ก็นาคานีม้ าตรสั เรียกภิกษุผู้
ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ผู้มีคุณสมบัติแห่งความเป็นพระ
อรหนั ตว์ ่าเป็นพราหมณ์ ก็มี ในเรือ่ งนี้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั เรยี ก
ภิกษุ ผูร้ ูจ้ ุติและอุบตั ิซ่ึงเป็นผูท้ ่ีใครๆ ไม่อาจรูค้ ติของท่านได้
ว่าเป็นพราหมณ์ หมายถงึ พระอรหนั ตน์ ่นั เอง
ชาดกวา่ ดว้ ยเรื่องผีๆ | ๑๙๔