The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิญญาณชาดก (ชาดกว่าด้วยเรื่องผีๆ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pmsd510, 2021-09-01 05:36:33

วิญญาณชาดก (ชาดกว่าด้วยเรื่องผีๆ)

วิญญาณชาดก (ชาดกว่าด้วยเรื่องผีๆ)

พระพทุ ธองคไ์ ดป้ ระทานโอวาทแก่นางยักษิณีท่ีเขา้ มายืนอยู่ขา้ ง

ในพระวิหารแลว้ ว่า “ทาไม พวกเจา้ จึงจองเวรจองกรรมกันอย่างนี้ ถา้

หากพวกเจา้ ทงั้ สองไมม่ าสสู่ านกั พระพทุ ธเจา้ เช่นเราแลว้ เวรของพวกเจา้

ก็จกั เป็นกรรมตงั้ อย่ชู ่วั กัปช่วั กลั ป์ เลยทีเดียว เหมือนเวรของงกู ับพังพอน

เวรของหมีกบั ไมส้ ะครอ้ และเวรของกากบั นกเคา้ เพราะเหตไุ ร พวกเจา้

จึงทาเวรและเวรตอบต่อกนั เล่า เพราะเวรย่อมระงบั ไดด้ ว้ ยความไม่มีเวร

หาระงบั ไดด้ ว้ ยเวรไม”่

พระคาถาระงบั เวรกรรม

นะ หิ เวเรนะ เวรานิ สมั มนั ตธี ะ กทุ าจะนงั

อะเวเรนะ จะ สมั มนั ติ เอสะ ธมั โม สะนนั ตะโน

“ไม่ว่ากาลไหน ๆ เวรทงั้ หลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงบั ดว้ ยเวรเลย

แตร่ ะงบั ไดด้ ว้ ยความไมม่ เี วรเท่านนั้ นเี้ ป็นธรรมเนียมเก่า”

(ธรรมเนียมเก่า หมายความว่าเป็นทางท่พี ระพทุ ธเจา้ พระปัจเจก
พทุ ธเจา้ และพระขณี าสพทงั้ หลายดาเนนิ ตามกนั มา)

เม่ือทรงแสดงธรรมจบลง นางยกั ษิณีก็ไดบ้ รรลธุ รรม สาเร็จเป็น
โสดาบนั จิตใจมีความสงบเยือกเย็น ชนทงั้ หลายท่ีรบั ฟังธรรมในครงั้ นนั้
ต่างไดร้ บั ประโยชนจ์ ากพทุ ธธรรมโดยท่วั หนา้

๙๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

พระพุทธเจ้า ได้ตรัสกับนางกุลธิดาซ่ึงยังไม่หายจากอาการ
หวาดหว่นั วา่ “ใหน้ างยกั ษิณีอมุ้ บตุ รนอ้ ยของเจา้ บา้ งซิ”

นางกราบทลู ว่า “ขา้ พระองคก์ ลวั พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “อยา่ กลวั เลย นางยกั ษิณีนี้ ไมเ่ ป็นอนั ตรายสาหรบั
เจา้ แลว้ ”
เม่อื พระพทุ ธเจา้ ตรสั รบั รองเชน่ นี้ เธอจึงม่นั ใจย่นื บุตรนอ้ ยใหแ้ ก่
นางยกั ษิณี นางยกั ษิณีอมุ้ เด็กขึน้ มากอดจูบแลว้ ก็คืนใหน้ างกุลธิดาไป
จากนนั้ กเ็ รม่ิ รอ้ งให้
พระพทุ ธองคต์ รสั ถามว่า “เพราะเหตไุ ร เธอจึงรอ้ งให”้
นางยักษิณีกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เม่ือก่อน ข้า
พระองค์เลี้ยงชีวิตโดยไม่เลือกทาง ก็ยังไม่ได้อาหารกินพอเต็มท้อง
ต่อไปนี้ ตอ้ งรกั ษาศีล ขา้ พระองคไ์ ม่รูจ้ ะเลีย้ งชีพอย่างไร พระเจา้ ขา้ ”
พระพุทธเจา้ ทรงปลอบนางยักษิณีว่า “เธออย่าไดก้ ังวลไปเลย”
แลว้ ไดต้ รสั กับนางกุลธิดานัน้ ว่า “เจา้ จงนานางยักษิณีนีไ้ ปใหอ้ ยู่ท่ีเรือน
ของเจา้ จงปฏิบตั ินางดว้ ยขา้ วตม้ และขา้ วสวยอย่างดีเถิด”

ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผีๆ | ๙๖

จากศัตรูกลายมาเป็ นมิตรทดี่ ีตอ่ กนั

นางกุลธิดานนั้ ไดน้ านางยกั ษิณีไปใหพ้ ักอยู่ในโรงกระเดื่องและ

ปฏบิ ตั ิดว้ ยขา้ วตม้ ขา้ วสวยอยา่ งดีตามพระพทุ ธดารสั ทกุ ประการ จากนนั้

มาหญิงทงั้ สอง ซ่งึ แต่ก่อนเคยเป็นศตั รูค่อู าฆาตกนั ดว้ ยอานาจแห่งพทุ ธ

ธรรม ตอนนีก้ ลบั กลายเป็นสหายรกั ของกนั และกนั และไดท้ าในส่ิงท่ีเป็น

ประโยชนเ์ กือ้ กลู ตอ่ กนั

อย่างไรก็ตาม การไปใชช้ ีวิตในบา้ นเรือนของนางยกั ษิณีมีปัญหา

อย่บู า้ งเช่นกนั ตอ้ งขอรอ้ งหญิงสหายกลุ ธิดายา้ ยท่หี ลายแหง่ กว่าจะลงตวั

น่นั คอื

สถานทพ่ี ัก ปัญหาทเ่ี กดิ สถานทย่ี า้ ยไป

โรงกระเด่ือง,โรง เวลาซอ้ มขา้ ว สากปรากฏเหมือน ขา้ งต่มุ นา้

สาก ตอ่ ยศรี ษะนาง

ข้างตุ่มนา้ พวกเด็กชอบเทนา้ ท่เี ป็นเดนลงไป รมิ เตาไฟ

รมิ เตาไฟ ฝงู สนุ ขั ชอบมานอนกนั รมิ ชายคา

รมิ ชายคา พวกเด็กชอบมาทาสกปรก ขา้ งกองหยากเย่ือ

ข้างกองหยากเยอ่ื ชนทงั้ หลายมาเทหยากเหย่ือกนั รมิ ประตบู า้ น

ริมประตูบ้าน พวกเด็กชาวบา้ นชอบมาเล่นการ ทส่ี งดั ภายนอกบา้ น

พนนั กนั และส่งเสียงดงั

๙๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

หญิงสหายกุลธิดา ได้ทาตามท่ีนางยักษิณีขอร้องทุกอย่าง
จนกระท่ังไดท้ ่ีเหมาะสมลงตัวสาหรบั นางยักษิณี น่ันคือบริเวณท่ีเงียบ
สงดั ภายนอกบา้ น ไดส้ รา้ งเป็นบา้ นหลงั เล็ก ๆ (เป็นท่ีมาของศาลเจา้ -ศาล
พระภูมิในปัจจุบนั )ใหน้ างยักษิณีอยู่อาศัย และไดน้ าอาหารหวานคาว
ตา่ ง ๆ อย่างดไี ปปฏิบตั ติ อ่ นางยกั ษิณี ณ สถานท่บี รเิ วณนนั้

นางยักษิณีคิดในใจว่า “นางกุลธิดาหญิงสหายของเรานี้ ไดท้ า
อปุ การะต่อเรามากเหลือเกิน เราน่าจะตอบแทนคณุ ความดีของนางบา้ ง”
จึงบอกสถานท่ีเหมาะสมในการทานาแก่หญิงสหาย ปีไหนฝนจะแลง้ ก็
บอกใหท้ านาในท่ลี มุ่ ปีไหนฝนจะมาก กบ็ อกใหท้ านาในท่ดี อน ปรากฏว่า
ขา้ วกลา้ ของหญิงสหายกลุ ธิดาไดร้ บั ผลดมี ากทุก ๆ ปี แตข่ องชาวบา้ นคน
อ่นื ๆ ไดร้ บั ผลกระทบจากนา้ มากไปบา้ ง นอ้ ยไปบา้ ง

ชาวบา้ นต่างสงสยั ว่า นางกลุ ธิดาเป็นผหู้ ย่งั รูด้ ินฟ้าอากาศหรือไง
ทาไมคาดการณไ์ ดล้ ว่ งหนา้ ว่าปีไหนฝนจะดี ปีไหนฝนจะแลง้ จึงพากนั ไป
สอบถาม นางไดใ้ หค้ าตอบแก่ชนเหล่านั้นว่า “นางยักษิณีผูเ้ ป็นหญิง
สหายของฉันไดบ้ อกเรื่องนีแ้ ก่ฉัน ฉันไดท้ านาตามท่ีนางยกั ษิณีนนั้ บอก
จึงไดร้ บั ผลผลิตดีมากตามท่ีท่านทงั้ หลายเห็นน่ีแหล่ะ พวกท่านไม่เห็น

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอื่ งผีๆ | ๙๘

อาหารหวานคาวต่างๆ ท่ีฉันนาออกไปจากเรือนเป็นประจาหรือ ฉันนา
สิ่งของเหล่านัน้ ไปใหน้ างยักษิณี แมพ้ วกท่านก็จงนาอาหารหวานคาว
ต่างๆ ไปให้นางยักษิณีบา้ งซิ นางก็จักช่วยดูแลการงานของพวกท่าน
เชน่ กนั ”

ชาวบา้ นก็ไดท้ าตามท่ีนางกุลธิดาแนะนา ต่างหล่งั ไหลพากันไป
ทาสักการะแก่นางยักษิณีอย่างคับค่ัง เพ่ือหวังให้ยักษิณีช่วยเหลือใน
หนา้ ท่กี ารงาน ตงั้ แต่นนั้ มานางยกั ษิณีก็กลายเป็นผเู้ ลิศดว้ ยลาภสกั การะ
และมบี รวิ ารมากมาย

นางยกั ษิณีนนั้ เห็นว่าตนเองมีลาภสกั การะมากมายเกินเพียงพอ
จงึ ไดต้ งั้ สลากภตั ถวายพระสงฆ์ ๘ ท่ี เป็นประจา ถือว่าเป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของ
การถวายสลากภตั ท่ยี ดึ ถือปฏบิ ตั ิกนั มาจงถึงทกุ วนั นี้

๙๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๐๐

๒.

๑๐๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๐๒



เปรตญาตพิ ระราชา โผล่มาขอสว่ นบุญ

พระราชา ในเรื่องนี้ ไดแ้ ก่ พระเจ้าพิมพิสาร กษัตรยิ ผ์ ปู้ กครอง
แควน้ มคธ ซ่งึ มีกรุงราชคฤหเ์ ป็นราชธานี เป็นกษัตรยิ อ์ งคห์ น่ึงท่ีชาวพทุ ธ
ควรราลึกนึกถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่ีมีต่อพระพุทธศาสนา
ประเพณีสาคัญๆ ท่ีเกี่ยวกับพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยหลายอย่าง
ก็มีผลสืบเน่ืองจากเราปรารภถึงเหตุการณ์สาคัญในพุทธประวัติท่ีพระ
เจา้ พิมพิสารไดท้ รงกระทาเป็นแบบอย่างไวแ้ ละทรงมีส่วนเกี่ยวขอ้ งดว้ ย

๑๐๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

เร่ืองเกี่ยวกับเปรตท่ีจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ก็เป็นอีกเร่ืองหนึ่งท่ีเป็นบ่อเกิด
ประเพณีการทาบญุ อทุ ิศใหแ้ ก่ผเู้ สยี ชวี ติ ของชาวพทุ ธในประเทศไทย

ประวัติพระเจ้าพมิ พสิ าร

พระเจ้าพิมพิสาร มีมเหสีพระนามว่าเวเทหิ ทรงครองราชย์
ยาวนานถึง ๕๒ ปี ทรงมีชยั ชนะเหนือขา้ ศึกศัตรูต่างแว่นแควน้ ทั้งหมด
แต่สดุ ทา้ ยก็ถูกโค่นบลั ลงั ก์โดยพระโอรสของพระองคเ์ อง น่นั คือพระเจา้
อชาตศตั รู เพราะถกู ยยุ งสง่ เสริมในทางท่ีผิดจากพระเทวทตั แต่ภายหลงั
พระเจา้ อชาตศัตรูก็ทรงสานึกผิด ไดท้ าการอปุ ถัมภบ์ ารุงพระศาสนาเพ่ือ
ลบลา้ งความผิดท่ีกระทาต่อพระบิดา ท่ีสาคญั ยิ่งคือ ทรงเป็นองคอ์ ปุ ถมั ภ์
ในการทาสังคายนาคร้ังท่ี ๑ แต่ก็ไม่สามารถลบล้างความผิดขั้น
อนนั ตรยิ กรรมท่ีทาต่อพระบิดาได้ สวรรคตไปบงั เกิดในนรกเสวยผลกรรม
ช่วั ท่ที าไว้ เม่ือรบั ผลกรรมช่วั สนิ้ สดุ จึงจะไดม้ ารบั ผลกรรมดีทหี ลงั

ด้านเกี่ยวกับพระศาสนา พระเจา้ พิมพิสาร หลังจากทรงสดับ
ธรรมอนบุ พุ พิกถาและอริยสจั ๔ ท่ีพระพทุ ธเจา้ แสดงโปรดและสาเรจ็ เป็น
พระโสดาบนั แลว้ พระองคพ์ รอ้ มทงั้ บรวิ ารไดห้ นั มานบั ถือพระพทุ ธศาสนา
เป็นกษัตริยผ์ ปู้ ระพฤติธรรมและทรงใหก้ ารอปุ ถมั ภบ์ ารุงพระพทุ ธศาสนา

ชาดกวา่ ดว้ ยเรื่องผีๆ | ๑๐๔

อย่างเขม้ แข็ง ทรงทาแว่นแควน้ ของพระองคใ์ หเ้ ป็นดินแดนสว่างไสวไป
ดว้ ยพระธรรม

พระเจา้ พิมพิสาร ทรงสละพระราชอทุ ยานของพระองคส์ รา้ งเป็น
วดั เพ่อื เป็นท่ปี ระทบั ของพระศาสดาและเป็นท่ีอย่ขู องพระสาวกในการเผย
แผ่พระธรรม ช่ือว่า วัดเวฬุวัน เป็นวดั ท่ีลอ้ มรอบไปดว้ ยป่ าไผ่ วดั แห่งนี้
นอกจากมีความสาคัญในฐานะเป็นวัดแห่งแรกในพระพทุ ธศาสนาแลว้
ยังเป็ นวัดท่ีพระพุทธองค์ทรงประทานหลักคาสอนสาคัญช่ือว่า
โอวาทปาติโมกข์แก่พระสงฆจ์ านวน ๑,๒๕๐ รูป อันเป็นท่ีมาของวัน
มาฆบูชา ซ่งึ เป็นวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาวนั หน่ึงท่ีชาวไทยรูจ้ กั กนั
ดี

ช่วงท่ีพระพุทธเจา้ ประทบั อยู่ท่ีวัดเวฬุวนั กรุงราชคฤหแ์ ห่งนี้ มี
เร่ืองเก่ียวกบั เปรตปรากฏกายใหเ้ ห็นบ่อยครง้ั ทีเดียว คือนอกจากเปรตท่ี
เป็นญาติของพระเจา้ พิมพสิ ารท่จี ะกล่าวถึงในเร่ืองนแี้ ลว้ ก็ยงั มีเปรตอ่นื ๆ
ท่ีพระพทุ ธองคแ์ ละพระสาวกไดพ้ บเจออีกหลายครงั้ โดยเฉพาะพระมหา
โมคคัลลานะ ท่านอาศัยอยู่ท่ีภูเขาคิชฌกูฏกบั พระลกั ขณะ ขณะลงจาก
ภเู ขามาบิณฑบาตท่ีตวั เมืองราชคฤห์ ระหว่างทาง ท่านพระโมคคลั ลานะ
ไดพ้ บเห็นเปรตปรากฏกายในลักษณะอาการต่างๆ แต่พระลักขณะท่ี

๑๐๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

เดินทางมาดว้ ยกันไม่เห็นเปรตเหล่านั้นเลย เห็นแต่พระโมคคัลลานะ
แสดงอาการแยม้ ออกมาในขณะเหน็ เปรต จึงถามดว้ ยความสงสยั ว่า

“ทา่ นครบั มีอะไรเป็นเหตปุ ัจจยั ใหท้ า่ นแยม้ หรือครบั ”
พระโมคคลั ลานะจงึ ตอบว่า
“น่ีไม่ใช่เวลาท่ีผมจะตอบปัญหานี้ เอาไวเ้ ขา้ เฝา้ พระศาสดาก่อน
คอ่ ยถามปัญหานเี้ ถดิ ”
พอกลับจากบิณฑบาต ฉันอาหารเสร็จแลว้ ก็พากันไปเขา้ เฝ้า
พระพทุ ธเจา้ ท่วี ดั เวฬวุ นั
พระโมคคลั ลานะไดต้ อบปัญหาของพระลกั ขณะเบือ้ งพระพักตร์
พระศาสดาวา่
“สาเหตุท่ีทาให้ผมแย้มออกมานั้น ก็เพราะว่า ขณะลงจาก
ภูเขาคิชฌกูฏ ผมได้พบเห็นเปรตมีลักษณะอาการน่าเกลียดน่ากลัว
ต่างๆ”
ภิกษุทงั้ หลายไดฟ้ ังเช่นนนั้ ตา่ งกไ็ มเ่ ช่ือ พากนั กลา่ วตาหนิติเตียน
ประณามพระโมคคลั ลานะวา่ พดู อวดอตุ ตรมิ นสุ สธรรม (อวดอา้ งคณุ วิเศษ
เหนอื มนษุ ย)์ พระพทุ ธเจา้ จึงตรสั รบั รองวา่

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผๆี | ๑๐๖

“ภิกษุทงั้ หลาย สาวกผมู้ จี กั ขุญาณเท่านนั้ จึงเห็นได้ เม่อื กอ่ นเรา
ก็ไดเ้ ห็นเปรตเหล่านีเ้ ช่นกัน แต่ไม่ไดบ้ อกใหใ้ ครทราบ เพราะจะไม่เป็น
ผลดีแก่ผไู้ ม่เช่ือเรา แต่มาบดั นี้ เราไดส้ าวกอย่างโมคคลั ลานะเป็นพยาน
ภิกษุทงั้ หลาย ส่ิงท่โี มคคลั ลานะพดู นนั้ เป็นความจรงิ ”

ลกั ษณะเปรตทพ่ี ระโมคคัลลานะพบเจอ

ในคมั ภีรท์ ่านไดอ้ ธิบายว่า เปรตท่ีปรากฏร่างใหพ้ ระโมคคลั ลานะ
เหน็ ในครง้ั นนั้ มีลกั ษณะอาการท่แี ตกต่างกนั ไป แบง่ ไดเ้ ป็น ๓ ประเภท
ใหญ่ๆ คอื

๑. เปรตท่เี ป็นเพศชาย ไดแ้ ก่
- เปรตมีรา่ งกายผอมโซหนงั หมุ้ ติดกระดกู ลอยอย่ใู นอากาศ
ถูกฝูงแรง้ ฝูงกา ฝูงเหย่ียว จิกยือ้ แย่งเนือ้ ท่ีติดอยู่ตามซี่โครง
สะบดั ไปมา สง่ เสียงรอ้ งครวญครางดว้ ยความทกุ ขท์ รมาน
- เปรตมีขนเป็นดาบ -เป็นหอก -เป็นลกู ศร -เป็นเข็ม -เป็น
เข็มหมุด ลอยอยู่ในอากาศ ขนเหล่านั้นหลุดลอยขึน้ ไป
ขา้ งบนแลว้ ตกลงมาท่ีร่างของเปรตนั้น ส่งเสียงรอ้ งครวญ
ครางดา้ ยความทกุ ขท์ รมาน

๑๐๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

- เปรตมีอณั ฑะโตเท่าหมอ้ ขณะเดิน เปรตนนั้ ไดย้ กอัณฑะ
ขึน้ พาดไวบ้ นบ่า ขณะน่งั ไดน้ ่งั ทบั อณั ฑะของตน ถูกฝงู แรง้
ฝงู กา ฝงู เหย่ยี ว จิกยอื้ แย่งอณั ฑะนนั้ สง่ เสียงรอ้ งครวญคราง
ดว้ ยความทกุ ขท์ รมาน
- เปรตจมอยู่ในหลุมคูถจนมิดศีรษะ, บา้ งก็ใชม้ ือทั้งสอง
กอบคถู กินเป็นอาหาร ถกู ฝงู แรง้ ฝงู กา ฝงู เหย่ยี วจิกยอื้ แย่ง
กนั สะบดั ไปมา สง่ เสียงรอ้ งคร่าครวญดว้ ยความทกุ ขท์ รมาน
๒. เปรตท่เี ป็นเพศหญิง ไดแ้ ก่
-เปรตมีรูปร่างแต่ไม่มีผิวหนัง, เปรตมีรูปร่างน่าเกลียด ส่ง
กลิ่นเหม็นคลงุ้ ไปหมด, เปรตร่างกายถูกไฟลวก ถูกถ่านเพลิง
เผารอบตัวจนสุกเยิม้ หยาดนา้ ไหลหยดลง ต่างถูกฝูงแรง้
ฝูงกา ฝูงเหย่ียวจิกยือ้ แย่งกันสะบัดไปมา ส่งเสียงรอ้ งคร่า
ครวญดว้ ยความทกุ ขท์ รมาน
-เปรตศีรษะขาด (ทา่ นไมไ่ ดร้ ะบวุ า่ เป็นเพศใด) มีตาและปาก
อยู่ท่ีอก ถูกฝูงสตั วจ์ ิกยือ้ แย่งกัน ส่งเสียงรอ้ งคร่าครวญดว้ ย
ความทกุ ขท์ รมาน
๓. เปรตท่เี ป็นอดตี นกั บวช ไดแ้ ก่

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๐๘

-เปรตท่มี ีรูปรา่ งเป็นภกิ ษุ, เปรตท่มี รี ูปร่างเป็นภิกษุณี, เปรต
ท่มี รี ูปรา่ งเป็นสิกขมานา, เปรตท่มี รี ูปรา่ งเป็นสามเณร, เปรต
ท่ีมีรูปร่างเป็นสามเณรี ต่างลอยอยู่ในอากาศพร้อมด้วย
สงั ฆาฏิ บาตร ประคดเอว ร่างกายถกู ไฟไหมล้ กุ โชนไปหมด
สง่ เสียงรอ้ งคร่าครวญดว้ ยความทกุ ขท์ รมาน
(ผตู้ อ้ งการทราบรายละเอียดเก่ียวกบั เรื่องเปรตเพ่ิมเติม ศกึ ษาได้
จากพระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๑ ตอนวา่ ดว้ ยวินีตวตั ถุ ปาราชิกสิกขาบทขอ้ ท่ี ๔
และพระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๒๖ ตอนวา่ ดว้ ยเปตวตั ถ)ุ

เปรตญาตพิ ระราชา โผล่มาขอสว่ นบุญ

บพุ กรรมของเปรต

ยอ้ นหลงั จากกปั นไี้ ป ๙๒ กปั สมยั พระพทุ ธเจา้ พระนามว่าปสุ สะ
พระเจา้ ชยเสน ในฐานะพุทธบิดา มีความรูส้ ึกคลา้ ยกับว่าเป็นเจา้ ของ
พระพทุ ธเจา้ จึงไม่ยอมใหค้ นอ่ืนทาหนา้ ท่ีอปุ ัฏฐากพระพุทธเจา้ เลย ทรง
ทาหนา้ ท่ีนีด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ครงั้ หน่ึง พระราชกุมาร ๓ พระองค์ ซ่งึ เป็น
พระอนุชาต่างพระมารดาของพระปุสสพุทธเจา้ ทรงออกรบในปัจจันต
ชนบทและมีชัยเหนือข้าศึก มีความดีความชอบ และประสงค์จะขอทา

๑๐๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

หน้าท่ีอุปัฏฐากพระพุทธเจา้ และพระสงฆส์ าวกบา้ ง จึงไดร้ บั โปรดเกลา้
จากพระบิดาเป็นกรณีพิเศษใหท้ าหนา้ ท่ีอปุ ัฏฐากพระศาสดาเป็นเวลา ๓
เดือน ทงั้ ๓ พระองค์ จึงมีพระบญั ชาแจง้ ไปยงั ขุนส่วย(หัวหนา้ เสมียน
บญั ช)ี ในชนบทใหส้ รา้ งวิหารสาหรบั พระพทุ ธเจา้ และพระสาวก เม่ือวหิ าร
เสรจ็ แลว้ ไดก้ ราบทลู นมิ นตพ์ ระศาสดาพรอ้ มพระสาวกจานวนมากเสด็จ
ไปจาพรรษาท่เี มืองในชนบทเขตปกครองของพระองค์

พระราชกุมารทงั้ ๓ พระองค์ มีพระประสงคจ์ ะบาเพญ็ กุศลท่ีสงู
ย่ิงขึน้ เม่ือทรงมอบถวายวิหารแลว้ จึงตรสั เรียกขุนคลงั และขุนส่วยมา
รับส่ังว่า “ตลอดระยะเวลา ๓ เดือนนี้ ท่านทั้งสองจงช่วยกันดูแล
รบั ผิดชอบค่าใชจ้ ่ายในการถวายทานทงั้ หมด จดั หาของเคีย้ วของฉันทุก
อย่าง อาหารหวานคาวทุกชนิดมาใหพ้ รอ้ มสรรพ ถวายแด่พระพทุ ธเจา้
พรอ้ มเหลา่ พระสาวก และแก่พวกเราพรอ้ มทงั้ บริวาร ทุก ๆ วนั อย่าให้
ขาดตกบกพร่อง เพราะตงั้ แต่นีไ้ ป เราจะไม่รบั ส่งั อะไรอีก” จากนนั้ ได้
ทรงพาบริวารประมาณหนึ่งพันไปทรงสมาทานรกั ษาศีล ๑๐ นุ่งห่มผา้
กาสายะ(บวชเณร) ประทบั อยใู่ นวหิ ารนนั้ เชน่ กนั ตลอดไตรมาส

ตงั้ แต่นนั้ มา ขนุ คลงั และขนุ สว่ ยของพระราชกมุ ารทงั้ ๓ พระองค์
ก็ไดจ้ ัดแบ่งหนา้ ท่ีกันถวายทานตามวาระ มีการจัดตั้งโรงครวั ขึน้ หลาย

ชาดกวา่ ดว้ ยเรื่องผๆี | ๑๑๐

แห่งเพ่ือใหเ้ พียงพอแก่พระสงฆท์ ่ีมีจานวนมาก และไดน้ าญาติพ่นี อ้ งและ
คนท่ีรูจ้ ักมักคุน้ ทั้งหลายมาช่วยกันดูแลรบั ผิดชอบในการถวายทานครงั้
ยิ่งใหญ่นี้

บรรดาชนท่ีมาช่วยกันดูแลรับผิดชอบในการถวายทานครงั้ นั้น
ขนุ คลงั ขุนสว่ ย ภรรยา และบริวารชนของพวกเขามีจิตเล่ือมใส มีศรทั ธา
ไดถ้ วายทานดว้ ยความเคารพ แต่มีญาติพ่ีนอ้ งและบรวิ ารชนบางสว่ นใน
จานวนนนั้ มจี ิตละโมบโลภมากในทาน เกิดขดั ใจกนั ขนึ้ จึงทาอนั ตรายแก่
ทานนนั้ ดว้ ยการกินไทยธรรมท่ีจะถวายสงฆน์ นั้ เสียเองบา้ ง ยกั ยอกนา
ส่ิงของไปใหแ้ ก่บุตรหลานของตนบา้ ง แกลง้ จุดไฟเผาโรงครวั เพ่ือทาลาย
บา้ ง เป็นเหตใุ หพ้ ระสงฆไ์ ดร้ บั ความลาบาก มอี าหารฉนั ไม่เพียงพอ

เม่ือชนเหล่านั้นตายไปเกิดในอีกชาติ พระราชกุมารทั้ง ๓
พระองค์ ขุนคลัง ขุนส่วย และบริวารชนท่ีถวายทานด้วยความเคารพ
ศรทั ธาไดไ้ ปบงั เกิดในสวรรค์ ส่วนพวกชนท่ีทาอันตรายแก่ทานยักยอก
อาหารไดไ้ ปบงั เกิดในนรก เวียนว่ายตายเกิดกนั อย่อู ย่างนี้ ลว่ งไปได้ ๙๒
กปั จนมาถึงภทั รกปั นี้ ชนท่ีทาอนั ตรายแก่ทานไดไ้ ปบงั เกิดในหม่เู ปรต
ประเภทปรทตั ตปู ชวี ี (เปรตท่เี ป็นอยดู่ ว้ ยบญุ กศุ ลท่ีผอู้ ่ืนอทุ ิศไปให)้

๑๑๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตท่ีมีอกุศลกรรมเบาบางลงบา้ งแลว้
มีสภาพจิตท่ีสามารถระงับความทุกขโ์ ศกไดใ้ นบางขณะ จึงมีศักยภาพ
รบั รูบ้ ุญท่ีญาติพ่ีนอ้ งทาอทุ ิศไปให้ เม่ือรบั รูแ้ ลว้ อนุโมทนาผลบุญนนั้ ก็จะ
ทาใหค้ วามอดอยากยากแคน้ ทเุ ลาเบาบางลง หรอื พน้ จากอตั ภาพเปรตไป
เกิดในภพภูมิท่ีดีกว่าเลยก็มี เพราะฉะนั้น เปรตประเภทนี้ จึงอยู่ด้วย
ความหวงั ว่า

“เม่อื ไหรห่ นอ ญาติพ่นี อ้ งจะทาบญุ แลว้ อทุ ิศไปใหเ้ สียที”
เปรตเหล่านัน้ ถา้ ยังไม่ได้ส่วนบุญก็จะรูส้ ึกผิดหวัง หิวกระหาย
ทุรนทุราย บางทีถึงกับไม่มีเร่ียวแรงเป็นลมลม้ ลงหมดสติไปเลยก็มี เม่ือ
ลมพดั โชยผา่ นมาก็กลบั ฟื้นคืนสติขนึ้ มาปลอบใจตนเองอย่วู ่า
“คราวนพี้ วกญาตไิ มร่ ะลกึ ถึงเรา คราวหนา้ หวงั วา่ คงไมล่ มื ”
วนเวยี นอย่อู ย่างนี้ ตราบใดท่ยี งั ไมม่ ีญาตพิ ่นี อ้ งทาบญุ อทุ ิศไปให้
ปรทัตตูปชีวีเปร ตท่ีเ ป็ น ญา ติข องพระเจ้าพิมพิส ารก็ อ ยู่ด้ว ย
ความหวังเช่นนั้น เห็นพวกมนุษยท์ าบุญถวายทานแลว้ อุทิศส่วนบุญไป
ให้แก่เปรตท่ีเป็นญาติพ่ีน้องของตน และเปรตท่ีเป็นญาติเหล่านั้นก็ได้
สมบตั ิทิพยต์ ามผลบุญท่ีญาติพ่ีนอ้ งอุทิศไปใหท้ ุกประการ ต่างก็พน้ จาก

ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผีๆ | ๑๑๒

ความทุกขค์ วามเดือดรอ้ น แต่พวกตนไม่ไดร้ บั อะไรเลย จึงเขา้ ไปทูลถาม
พระกกสุ นั ธะพทุ ธเจา้ (พระพทุ ธเจา้ องคแ์ รกในภทั รกปั น)ี้ วา่

“ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ พวกขา้ พระองคจ์ ะไดส้ มบตั ิเหมอื นเปรต
เหลา่ นนั้ บา้ งไหมหนอ”

พระองคต์ รสั ตอบวา่
“เม่ือแผ่นดินสงู ขึน้ ไปได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจา้ พระนามว่า
โกนาคมนะอบุ ตั ิขึน้ ในโลก พวกเจา้ จงรอทลู ถามพระโกนาคมนะพทุ ธเจา้
เถดิ ”
พอถึงสมัยพระโกนาคมนะพุทธเจา้ เปรตเหล่านั้นก็เขา้ มาทูล
ถามในลกั ษณะเดมิ อกี พระองคต์ รสั ตอบวา่
“เม่ือแผ่นดินสูงขึน้ ไปได้ ๑ โยชน์ จักมีพระพุทธเจ้าพระนาม
ว่ากสั สปะอบุ ตั ขิ นึ้ ในโลก พวกเจา้ จงทลู ถามพระกสั สปะพทุ ธเจา้ เถิด”
เปรตเหล่านั้น ต่างเฝ้ารอคอยผลบุญท่ีญาติพ่ีนอ้ งจะอุทิศไปให้
อย่างสิน้ หวงั เพราะผา่ นสมยั พทุ ธกาลไป ๒ พระองคแ์ ลว้ ก็ยงั ไมม่ วี ่แี วว
ว่าจะไดร้ บั ส่วนบุญท่ีจะเป็นเหตใุ หไ้ ด้ทิพยสมบตั ิอะไรเลย จนกระท่งั ถึง
สมัยของพระพทุ ธเจา้ พระนามว่ากัสสปะ เปรตญาติพระเจา้ พิมพิสารได้
เห็นพวกเปรตพวกอ่ืนท่ีมีญาติพ่ีนอ้ งทาบุญอุทิศไปใหแ้ ลว้ พน้ จากความ

๑๑๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ทุกขค์ วามเดือดรอ้ น แต่พวกตนยงั ไม่ได้ จึงเขา้ ไปทูลถามพระกสั สปพทุ ธ
เจา้ วา่

“ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ เม่ือไหร่หนอ พวกขา้ พระองคจ์ ึงจะได้
สมบตั เิ หมอื นเปรตเหลา่ นนั้ บา้ ง”

พระกสั สปะพทุ ธเจา้ ตรสั ตอบวา่
“ในกาลนี้ พวกเจา้ ยงั ไมไ่ ดห้ รอก แต่ในอนาคตกาล ญาติพ่ีนอ้ ง
ของพวกเจา้ จกั เป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ในสมัยของพระโคดม
พุทธเจา้ พระเจา้ พิมพิสารจักถวายทานแด่พระโคดมพุทธเจา้ แลว้ ทรง
อทุ ิศผลบญุ ไปใหแ้ ก่พวกเจา้ ครง้ั นนั้ แหละ่ พวกเจา้ จึงจกั ไดร้ บั ”
เปรตเหลา่ นนั้ เม่อื ไดร้ บั คาตอบท่ีใหค้ วามหวงั เช่นนี้ ต่างดใี จเป็น
อยา่ งยง่ิ มีความรูส้ กึ คลา้ ยกบั ว่าสมบตั ิเหล่านนั้ จะมาถงึ ตนในวนั พรุง่ นี้

คนเหลา่ นั้นในชาติปัจจบุ ัน

ในสมยั ของพระสมณโคดมสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ของพวกเรานี้ พระ
ราชกุมารทงั้ ๓ พระองค์ ไดจ้ ุติจากสวรรคม์ าบงั เกิดเป็นชฎิล ๓ พ่ีนอ้ ง
ขุนคลงั ไดม้ าบงั เกิดเป็นวิสาขะเศรษฐี ส่วนขุนส่วยไดม้ าบงั เกิดเป็นพระ
เจ้าพิมพิสาร ชนนอกนั้นได้บังเกิดเป็นบริวารชนของพระเจา้ พิมพิสาร
สว่ นเหลา่ ชนท่ที าอนั ตรายแกท่ านก็ยงั คงอย่ใู นอตั ภาพแหง่ เปรตเช่นเดิม

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๑๔

หลงั จากตรสั รูเ้ ป็นพระสมั มาสมั พุทธเจา้ แลว้ พระพุทธองคไ์ ด้
เสด็จไปแสดงธรรมโปรดบุคคลในสถานท่ีต่าง ๆ ตามลาดับ เร่ิม
จากปัญจวคั คีทงั้ ๕ จนถึงชฎิล ๓ พ่ีนอ้ งพรอ้ มทงั้ บรวิ าร ต่างบรรลมุ รรค
ผลขนั้ สงู สดุ เขา้ มาบวชเป็นพระภิกษุในพระพทุ ธศาสนาแลว้ จากนนั้ ได้
เสด็จไปยงั กรุงราชคฤห์ ประทบั แรมอย่ทู ่ีอทุ ยานลฏั ฐิวัน(สวนตาลหนุ่ม)
ในทีนี้ ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจา้ พิมพิสารท่ีเสด็จออกมาตอ้ นรบั พรอ้ ม
ทงั้ บริวาร พระเจา้ พิมพิสารทรงดารงอยู่ในโสดาปัตติผลท่ีสวนตาลหน่มุ
น่ีเอง และไดก้ ราบทูลนิมนตพ์ ระพทุ ธเจา้ พรอ้ มทงั้ พระสงฆส์ าวกใหเ้ สด็จ
เขา้ ไปฉนั อาหารท่พี ระราชวงั ในวนั รุง่ ขึน้

พอรุง่ เชา้ ทา้ วสกั กะเทวราชก็ทรงจาแลงพระองคเ์ ป็นมาณพหน่มุ
เดินนาหนา้ พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มทงั้ พระสงฆส์ าวก(ท่ีเคยเป็นอดีตชฎิล ๓ พ่ี
น้องและบริวาร) เขา้ ไปยังกรุงสาวัตถี มุ่งตรงต่อพระราชวังของพระ
เจา้ พิมพิสาร เพ่ือทรงรบั มหาทาน

รอไปกอ่ น ตอนนีย้ ังไมว่ ่าง

เปรตท่ีเป็นญาติเหล่านั้น พอทราบข่าวว่าพระเจา้ พิมพิสารจะ
ถวายมหาทานในพระราชวัง ต่างก็มายืนรายล้อมพระราชวังด้วย
ความหวงั ท่ีรอคอยมานานแสนนานว่า

๑๑๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

“โอกาสของเรามาถึงเสียที คราวนีแ้ หละ่ พระราชาจกั ถวายทาน
แลว้ อทุ ิศใหแ้ ก่พวกเรา”

แต่มันไม่ไดเ้ ป็นไปอย่างท่ีเปรตเหล่านัน้ คาดหวัง เน่ืองจากพระ
เจา้ พิมพิสารหลงั จากถวายมหาทานเสร็จแลว้ ทรงกงั วลนึกถึงแต่สถานท่ี
ประทบั ของพระพทุ ธเจา้ วา่ “พระพทุ ธองคป์ ระทบั อยทู่ ่ไี หนหนอ จึงจะเป็น
การสมควร” หลงั จากทาบุญแลว้ จึงไม่ไดอ้ ุทิศหรือแบ่งผลบุญไปใหแ้ ก่
ใครเลย

เปรตเหล่านนั้ เม่ือทราบว่าพระเจา้ พิมพิสารไม่ไดอ้ ทุ ิศสว่ นบุญไป
ให้ รูส้ กึ ผิดหวงั เป็นอยา่ งย่ิง อารมณห์ ่อเห่ยี วเศรา้ สรอ้ ย คิดในใจวา่

“อีกแลว้ หรือน่ี ส่ิงท่ีรอคอยมาหลายช่ัวพุทธันดร ไม่ไดอ้ ีกแลว้
หรือน่”ี

ตกกลางคืนจึงไดพ้ ากนั มาระบายความผิดหวงั ดว้ ยการส่งเสียง
กรีดรอ้ งอือ้ อึงน่าสะพรึงกลวั อย่างย่ิงบริเวณรอบ ๆ พระราชวัง จนพระ
เจา้ พิมพิสารทรงสะดงุ้ พระทยั ต่ืนจากบรรทม ทรงหวาดหว่นั พร่นั พรึงต่อ
เสยี งกรดี รอ้ งนนั้ ยงิ่ นกั บรรทมไมห่ ลบั ทงั้ คืน

รุง่ เชา้ ทา้ วเธอรบี เสด็จไปเขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจา้ กราบทลู วา่ “ขา้
แต่พระองคผ์ เู้ จรญิ เม่ือคืนนี้ ขา้ พระองคไ์ ดส้ ดบั เสียงน่าสะพรงึ กลวั เห็น

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผีๆ | ๑๑๖

ปานนี้ จกั มเี หตอุ นั ตรายอะไรเกิดขนึ้ แก่ขา้ พระองคห์ รือเปลา่ หนอ พระเจา้
ขา้ ”

พระพทุ ธเจา้ “อย่าทรงวิตกกงั วลกลวั ไปเลย มหาบพิตร จกั ไม่มี
เหตกุ ารณเ์ ลวรา้ ยอะไรเกิดขึน้ แก่พระองคห์ รอก เสียงท่ีพระองคไ์ ดส้ ดับ
นนั้ เป็นเสียงญาติพ่ีนอ้ งเก่าของพระองคท์ ่ีไปเกิดเป็นเปรต พวกเขาเฝ้า
รอคอยพระองค์ผู้เดียวมาสิน้ พุทธันดรหน่ึงแล้ว ด้วยหวังใจว่า ‘พระ
เจา้ พิมพิสารถวายทานแด่พระพทุ ธเจา้ แลว้ จกั อทุ ิศผลทานนนั้ แก่พวกเรา
บ้าง’ แต่เม่ือวานนี้ พระองค์ถวายทานแล้ว ไม่ได้อุทิศไปให้แก่เปรต
เหลา่ นนั้ พวกเขารูส้ ึกผิดหวงั มาก จึงมาสง่ เสียงกรีดรอ้ งอย่างท่ีพระองค์
ไดส้ ดบั น่นั แหละ”

พระเจา้ พิมพิสาร “ถา้ ขา้ พระองคถ์ วายทานแลว้ อุทิศไปให้พวก
เขาตอนนี้ เปรตเหลา่ นนั้ จะพงึ ไดร้ บั ผลบญุ ไหม พระเจา้ ขา้ ”

พระพทุ ธเจา้ “ไดร้ บั สิ มหาบพิตร”
พระเจา้ พิมพิสาร จึงไดก้ ราบทูลนิมนตพ์ ระพุทธเจา้ เพ่ือเสวยท่ี
พระราชวังในวันนัน้ เลยทีเดียว โดยพระองคไ์ ดเ้ สด็จไปพระราชวังเพ่ือ
จัดเตรียมทานก่อน เม่ือเสร็จแล้ว จึงตรสั ส่ังมหาดเล็กไปกราบทูลให้

๑๑๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบ พระพทุ ธองคก์ ็ไดเ้ สด็จไปยงั พระราชนิเวศนพ์ รอ้ ม
ทงั้ พระสงฆห์ ม่ใู หญ่

ลกั ษณะเปรตทมี่ าขอสว่ นบญุ

ตามปกติแลว้ เปรตทั้งหลาย มักตั้งความหวังไว้ในใจเสมอว่า
“วนั นี้ คงไดอ้ ะไรบา้ งเป็นแน่” เม่ือทราบว่าญาติพ่ีน้องครงั้ ก่อนคนไหน
ทาบญุ กจ็ ะพากนั มาสเู่ รอื นญาตพิ ่นี อ้ งคนนนั้ คลา้ ยกบั วา่ เป็นเรือนของตน
และไดย้ ืนอย่ใู นท่ีต่าง ๆ มีภายนอกฝาเรือนเป็นตน้ แต่ญาติสว่ นใหญ่ใน
โลกปัจจบุ นั ก็มกั จะจาไมไ่ ดว้ ่าเคยมีเปรตเหล่านีเ้ ป็นญาตพิ ่ีนอ้ งของตนมา
ก่อน เพราะผ่านกาลเน่ินนานขา้ มภพขา้ มชาติมาหลายช่วั อายุคน แมแ้ ต่
พระเจา้ พิมพสิ ารเองกท็ รงจาไมไ่ ดเ้ ช่นกนั เปรตท่มี าขอสว่ นบุญกบั ญาติพ่ี
นอ้ งนนั้ มีรูปรา่ งแตกต่างกนั ไป คอื

- บางพวกมีหนวดและผมรุ่มร่าม หน้าดา เส้นเอ็น
หย่อนยาน อวยั วะใหญ่นอ้ ยหอ้ ยยอ้ ย ร่างกายผอม หยาบ และ
ดา เหมือนกบั ตน้ ตาลท่ถี กู ไฟป่าไหมแ้ ลว้ ตงั้ อย่ใู นท่นี นั้ ๆ

- บางพวกมีเปลวเพลิงตัง้ ขึน้ ในทอ้ ง ทะลุออกทางปาก
แผดเผาขา้ งในรา่ งกาย

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผๆี | ๑๑๘

- บวงพวกมีช่องคอเท่าปลายเขม็ แต่ทอ้ งใหญ่โตเท่าภูเขา
แมไ้ ดน้ า้ และโภชนะมาก็ไม่สามารถบริโภคไดต้ ามตอ้ งการ หิว
กระหายย่งิ นกั

- บางพวก ลิม้ เลียของสกปรก เช่น เลือด หนอง และไข
ขอ้ เป็นตน้ ท่ีไหลปริแตกออกจากปากแผลฝีและต่อมของเปรต
ดว้ ยกนั เองและสตั วเ์ หลา่ อ่ืน ดื่มกินของสกปรกเหลา่ นดี้ ว้ ยความ
หิวกระหายประหนง่ึ นา้ อมฤต
พระพุทธเจา้ ไดท้ รงทาใหพ้ ระราชาเห็นเปรตท่ีเป็นญาติเหล่านั้น
ทงั้ หมด แต่ละตนลว้ นมีรูปรา่ งแปลกประหลาด นา่ เกลยี ดน่ากลวั ย่งิ นกั

สิ่งท่ีพระราชาทรงถวายแล้วอุทิศ สาเร็จแก่เปรตผู้เคยเป็ น
ญาตมิ ิตรทกุ ประการ

พระเจ้าพิมพิสาร เม่ือจะถวายน้าทักษิโณทก ได้ทรงตั้งจิต
อธิษฐานอทุ ศิ สว่ นบญุ แก่เปรตท่เี ป็นญาติพ่นี อ้ งวา่

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ

“ขอทานนจี้ งสาเรจ็ แกญ่ าติทงั้ หลาย ของขา้ พเจา้ ดว้ ยเทอญ”

๑๑๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ทนั ใดนนั้ สระโบกขรณีก็ดาดาษดว้ ยดอกปทมุ ไดบ้ งั เกดิ แก่เปรต
เหล่านั้น ต่างพากันลงอาบและด่ืมในสระโบกขรณีนั้น ความกระวน
กระวาย ความลาบากและความกระหายท่ีเคยมีมาก็สงบระงับลง ไดม้ ี
วรรณะเปลง่ ปล่งั ดงั ทองคา

เม่ือพระเจา้ พิมพิสารถวายขา้ วยาคู ของเคีย้ ว และของบริโภค
แลว้ อทุ ิศให้ สิ่งของเหล่านนั้ ก็กลายเป็นอาหารทิพยบ์ งั เกิดแก่พวกเปรต
ต่างพากันกินอาหารเหล่านัน้ ดว้ ยผลบุญนัน้ ต่างก็กลายเป็นผู้อินทรีย์
กระปรกี้ ระเปรา่ มีเร่ียวแรงขึน้

เม่ือพระเจ้าพิมพิสารถวายผ้าและเสนาสนะ( ท่ีนอนและท่ีน่ัง)
แลว้ อทุ ิศให้ เครื่องประดบั ชนดิ ต่างๆ เป็นตน้ วา่ ผา้ ยาน ปราสาท เคร่ือง
ลาด และท่ีนอนอนั เป็นทพิ ย์ กไ็ ดบ้ งั เกดิ แก่เปรตเหลา่ นนั้

สมบตั ิทุกอย่างท่ีเปรตเหล่านนั้ ไดร้ บั ปรากฏแก่พระเจา้ พิมพิสาร
ทุกประการตามท่ีพระพุทธเจา้ ทรงอธิษฐานให้เป็นไป ทา้ วเธอทรงพอ
พระทยั ในการทาบญุ ครงั้ นีย้ ่ิงนกั

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอื่ งผๆี | ๑๒๐

คาถาม-คาตอบ เก่ยี วกบั การทาบญุ ใหแ้ กผ่ เู้ สียชีวิต

การทาบุญของพระเจา้ พิมพิสารครงั้ นี้ เป็นท่ีมาของธรรมเนียม
การทาบุญทักษิณานุปทาน(ทาบุญอุทิศใหค้ นตาย)ท่ียึดถือปฏิบตั ิกันมา
จนถึงทุกวันนี้ นับว่าได้ใหค้ วามกระจ่างและข้อคิดเกี่ยวกับเร่ืองการ
ทาบุญอุทิศไปใหแ้ ก่ผูเ้ สียชีวิตในหลายๆ เรื่อง ดงั ปรากฏในพระคาถาท่ี
พระพทุ ธเจา้ ตรสั แก่พระเจา้ พิมพิสารปรารภในการทาบญุ ครง้ั นี้ ขอยกมา
เพ่อื ตอบขอ้ สงสยั ในประเดน็ หลกั ๆ สกั ๓ ขอ้ ดงั นี้

๑. ถามว่า : เปรตทม่ี าขอส่วนบุญกับญาติพี่น้อง ปรากฏตัวให้
เหน็ ทไี่ หนบา้ ง ?

คาตอบนี้ ปรากฏในพระคาถาท่วี า่

ติโรกฑุ เฑสุ ตฏิ ฐันติ สนั ธิสิงฆาฏะเกสุ จะ

ทะวาระพาหาสุ ติฏฐันติ อาคนั ตะวานะ สะกงั ฆะรงั ฯ

“พวกเปรตพากนั มาสเู่ รือน(ญาต)ิ ของตน ยนื อย่ทู ่ภี ายนอกฝา

เรอื นก็มียืนอย่ทู ่ที างส่ีแพรง่ สามแพรง่ ก็มี ยนื อย่ใู กลบ้ านประตกู ็มี”

๒. ถามวา่ : ทาไมญาตพิ ีน่ ้องต้องทาบญุ ไปให้กบั พวกเปรต ?

๑๒๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

คาตอบนี้ ปรากฏในพระคาถาท่วี า่

นะ หิ ตตั ถะ กะสี อตั ถิ โครกั เขตถะ นะ วชิ ชะติ

วะณิชชา ตาทิสี นตั ถิ หิรญั เญนะ กะยากะยงั

อโิ ต ทนิ เนนะ ยาเปนติ เปตา กาละคะตา ตะหิง ฯ

เพราะในเปรตวสิ ยั นนั้ ไม่มกี สกิ รรม(การทาไรไ่ ถนา) ไม่มโี ครกั ข

กรรม(การเลีย้ งววั ไวข้ าย) ไม่มีพาณิชกรรม(การคา้ ขาย)เช่นนนั้

การแลกเปล่ียนซือ้ ขายด้วยเงินก็ไม่มี ผูท้ ่ีตายไปเป็นเปรตใน

เปรตวิสัยนั้น ดารงชีพอยู่ด้วยผลทานท่ีพวกญาติอุทิศให้จาก

มนษุ ยโลกนี้

๓. ถามวา่ : เมอ่ื มญี าตพิ น่ี ้องเสยี ชวี ิตควรทาอยา่ งไร ?

คาตอบข้อสุดท้ายนี้ ปรากฏในพระคาถาท่ีพระสงฆม์ กั จะสวด

ใหเ้ ป็นขอ้ คิดอยู่เป็นประจาในการบาเพ็ญกุศลในงานศพ ดว้ ยการสวด

เป็นภาษาบาลบี ทท่คี นุ้ หกู นั เป็นอย่างดีว่า

อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาตมิ ิตตา สะขา จะ เม

เปตานงั ทกั ขณิ งั ทชั ชา ปพุ เพ กะตะมะนสุ สะรงั

นะ หิ รุณณงั วา โสโก วา ยา วญั ญา ปะรเิ ทวะนา

นะ ตงั เปตานะมตั ถายะ เอวงั ติฏฐันติ ญาตะโย

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่ืองผๆี | ๑๒๒

อะยญั จะ โข ทกั ขณิ า ทนิ นา สงั ฆมั หิ สปุ ะติฏฐิตา

ทฆี ะรตั ตงั หติ ายสั สะ ฐานะโส อปุ ะกปั ปะติ

โส ญาตธิ มั โม จะ อะยงั นทิ สั สโิ ต

เปตานะ ปชู า จะ กะตา อฬุ ารา

พะลญั จะ ภกิ ขนู ะมะนปุ ปะทนิ นงั

ตมุ เหหิ ปญุ ญงั ปะสตุ งั อะนปั ปะกนั ติ ฯ

บคุ คลเม่อื หวนราลกึ ถงึ อปุ การะท่ีญาติผลู้ ะไปแลว้ ไดเ้ คยทาไว(้ แกต่ น)วา่
ผนู้ นั้ ไดใ้ หส้ ง่ิ นแี้ ก่เรา ไดท้ าส่งิ นีแ้ ก่เรา
ไดเ้ ป็นญาติ มิตร และสหายของเรา
ก็ควรถวายทกั ษิณาทานอทุ ิศใหแ้ กญ่ าติผลู้ ะไปแลว้
การรอ้ งไหก้ ็ดี ความเศรา้ โศกก็ดี ความร่าไหค้ รา่ ครวญ
อยา่ งอ่ืนใดก็ดี ใคร ๆ ไมค่ วรทาเลย เพราะการรอ้ งไห้
เป็นตน้ นนั้ ไมเ่ ป็นประโยชนแ์ ก่ผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้
ญาตทิ งั้ หลายก็ยงั คงสภาพอย่อู ยา่ งนนั้
สว่ นทกั ษิณาท่ที ่านถวายแลว้ ตงั้ ไวด้ ีแลว้ ในพระสงฆน์ ่ี
แหละยอ่ มสาเรจ็ (เป็น)ประโยชนเ์ กือ้ กลู แกผ่ ลู้ ว่ งลบั ไป
แลว้ นนั้ ตามฐานะสนิ้ กาลนาน(บดั น)ี้ ญาตธิ รรมนีน้ นั้

๑๒๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ท่านไดแ้ สดงออกแลว้ การบูชาญาติผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ ท่าน
ก็ไดท้ าอย่างยิ่งใหญ่ ทงั้ กาลงั ของภิกษุทงั้ หลายท่านก็ได้
เพมิ่ ใหแ้ ลว้ จงึ นบั วา่ ท่านไดส้ ่งั สมบญุ ไวม้ ใิ ช่นอ้ ยเลย

๒.

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผีๆ | ๑๒๔

๑๒๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๒๖



พญานาคอยากเกดิ เป็ นมนุษย์

พญานาค เป็นสัตวใ์ นตานานชนิดหนึ่งท่ีมีมาคู่กับพุทธประวัติ
เร่ิมตน้ จากการตรสั รูข้ องพระพทุ ธเจา้ ก็มีเร่ืองเกี่ยวกบั พญานาคเขา้ มา
เกี่ยวขอ้ งแลว้ น่นั คือ ขณะพระพุทธเจา้ ประทบั เสวยวิมตุ ติสุขท่ีใตต้ น้
มุจลินทร์ ฝนตกหนักตลอด ๗ วัน ๗ คืน ก็ได้มีพญานาคราชมาแผ่
พังพานปกป้องพระพุทธองค์จากอันตราย เป็นท่ีมาของการสร้าง
พระพทุ ธรูปปางนาคปรก นอกจากพระพทุ ธองคแ์ ลว้ พระสงฆส์ าวกหรือ
แมแ้ ต่สามเณรก็มีเร่ืองเก่ียวกบั พญานาคเช่นกัน และพญานาคท่ีเขา้ มา
เกี่ยวขอ้ งเหลา่ นนั้ กม็ ีทงั้ ท่ีมาดแี ละมารา้ ยเชน่ เดยี วกบั เทวดา

๑๒๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ประวตั เิ อรกปัตตนาคราช (เอ-ระ-กะ-ปัด-ตะ-นาก-คะ-ราด)

ณ ดินแดนแห่งนาคพิภพ พญานาคราชผูป้ กครองเมืองบาดาล
แหง่ นี้ มนี ามว่า เอรกปัตตนาคราช ในอดตี ชาติ สมยั ของพระพทุ ธเจา้ พระ
นามว่ากสั สปะ นาคราชตนนี้ เคยเป็นภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ไดท้ าความผิด
ทางพระวินยั โดยการทาใหใ้ บตะไครน้ า้ ขาดติดมือไปขณะล่องเรือไปตาม
แม่นา้ คงคา ไมย่ อมแสดงอาบตั ิ เพราะเห็นวา่ เป็นแคโ่ ทษเลก็ นอ้ ย

ในหลกั พระวินยั พระสงฆ์มีศีล ๒๒๗ ขอ้ มีการปรบั โทษภิกษุผู้
ละเมิดไว้ ๓ ระดบั คอื

๑. ขั้นสูงสุด ขาดจากความเป็ นพระ ได้แก่ผู้ละเมิดอาบัติ
ปาราชิก ๔ ขอ้

๒. ขั้นกลาง ต้องอยู่ปริวาสกรรม ได้แก่ผู้ละเมิดอาบัติ
สงั ฆาทเิ สส ๑๓ ขอ้

๓. ขนั้ ต่า ตอ้ งแสดงอาบตั ติ อ่ ภกิ ษุดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ผูล้ ะเมิดอาบตั ิ
ทเี่ หลอื

การทาใหใ้ บตะไครน้ า้ ขาด ถือว่าเป็นการพรากของเขียว ท่าน
ปรบั อาบตั ิปาจิตตีย์ วิธีแกค้ ือแสดงอาบตั ิ(สารภาพความผิดและสัญญา
ว่าจะไมท่ าผดิ อีก)กบั เพ่ือนภิกษุดว้ ยกนั กส็ ามารถหลดุ พน้ โทษได้ แต่ภกิ ษุ

ชาดกวา่ ดว้ ยเรื่องผๆี | ๑๒๘

หนุ่มรูปนนั้ เห็นว่าเป็นแค่อาบัติเล็กนอ้ ยจึงไม่แสดงอาบตั ิ ต่อมา ไดไ้ ป
บาเพ็ญสมณธรรมรูปเดียวในป่ าเป็นเวลาหลายปี ในคราวใกล้จะ
มรณภาพ มีความรูส้ ึกคลา้ ยกับว่ามีใบตะไครน้ า้ ผูกติดอยู่กบั คอของตน
คิดขึน้ ไดว้ ่า ครง้ั หนึ่ง ตนเองไดท้ าใหใ้ บตะไครน้ า้ ขาด จึงอยากจะแสดง
อาบตั ินนั้ ใหห้ ลดุ พน้ โทษก่อนมรณภาพ แต่ไม่มีภิกษุรูปอ่ืนเลยในบริเวณ
นั้น ท่านได้มรณภาพไปพรอ้ มกับความเดือดร้อนใจว่า “เรามีศีลไม่
บรสิ ทุ ธิ์” มาบงั เกิดเป็นเอรกปัตตนาคราชในแมน่ า้ คงคา มีลาตวั ประมาณ
เท่าเรือโกลน

ทนั ทีท่ีถือกาเนิด พญานาคเอรกปัตตพ์ อมองเห็นรา่ งกายของตน
เทา่ นนั้ กร็ ูส้ กึ นอ้ ยเนอื้ ต่าใจวา่

“เราอุตส่าหบ์ าเพ็ญสมณธรรมตัง้ สองหม่ืนปี ทาไมตอ้ งมาเกิด
เป็นพญานาค ซ่ึงเป็นสตั วป์ ระเภทอเหตกุ สตั ว์ มีกบเป็นภกั ษาหารเช่นนี้
หนอ? คงเป็นเพราะเราไมไ่ ดแ้ สดงอาบตั นิ ่นั เอง”

จึงเฝ้ารอคอยการอุบัติของพระพุทธเจา้ ตลอดเวลา เพ่ือจะได้
แกไ้ ขความผิดท่ีเคยทาไวเ้ ม่ือครงั้ บวชเป็นภิกษุ อย่างไรก็ตาม พญานาค
เอรกปัตต์ แมจ้ ะเป็นสตั วเ์ ดรจั ฉาน แตก่ ็มีคณุ สมบตั ิพิเศษอย่อู ย่างหนึ่งคือ
สามารถจาแลงกายไปไหนมาไหนดว้ ยร่างมนุษยไ์ ด้ ไม่ตอ้ งลาบากดว้ ย

๑๒๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

การเลือ้ ยคลานไปเหมือนนาคท่วั ไป
เ อ ร ก ปั ต ต น า ค ร า ช ต น นี้มี ลูก ส า ว แ ส น ส ว ย อ ยู่ น า ง ห น่ึ ง ( น า ค

มาณวิกา) พอนางเจรญิ วยั เหมาะสมท่ีจะมีค่คู รองไดแ้ ลว้ จึงวางแผนสอง
ชนั้ ออกอบุ ายหาผมู้ ีคณุ สมบตั ิเหมาะสมท่จี ะมาเป็นลกู เขยตน โดยคิดคน้
บทเพลงขึน้ มาเพลงหน่ึงใหล้ กู สาวขบั รอ้ ง แลว้ ประกาศใหห้ น่มุ นอ้ ยหนุ่ม
ใหญ่หาเพลงมารอ้ งแกบ้ ทเพลงของตน ถา้ ใครสามารถรอ้ งแกไ้ ด้ ก็จะยก
ลกู สาวใหพ้ รอ้ มทงั้ ไดป้ กครองนาคพิภพดว้ ย

เพลงขบั ของพญานาคท่ีแต่งขึน้ มาใหล้ กู สาวขับรอ้ งนนั้ มีเนือ้ หา
เป็นคาถามเก่ียวกบั ธรรมะวา่

“ผูเ้ ป็ นใหญ่อย่างไรเลา่ ช่ือวา่ เป็ นพระราชา
พระราชาประพฤตอิ ย่างไร ชอ่ื วา่ มธี ุลบี นพระเศียร
พระราชาประพฤตอิ ยา่ งไร ชอ่ื ว่าปราศจากธุลี
คนปฏิบตั ติ ัวอย่างไร จึงเรยี กวา่ คนโงเ่ ขลา(คนพาล)”

เบือ้ งลกึ ในใจ พญานาคตงั้ เป้าหมายในการออกอบุ ายครง้ั นีไ้ วว้ า่
นอกจากจะไดผ้ ูม้ ีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นคู่ครองลูกสาวแลว้ ยังได้
ทราบว่าพระพทุ ธเจา้ อบุ ตั ขิ นึ้ แลว้ ในโลกดว้ ย เรียกวา่ งานนคี้ มุ้ แสนคมุ้ ยิง
ปืนนดั เดียวไดน้ อกสองตัว คิดไดด้ งั นนั้ ในวนั อโุ บสถทกุ ก่ึงเดือน ก็จะมี

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๓๐

การประกาศโฆษณาเชิญชวนหนุ่มนอ้ ยหนุ่มใหญ่ใหม้ าชุมนุมกันท่ีนาค
พิภพ พอไดเ้ วลาเหมาะสม พญานาคเอรกปัตต์ ก็จะแผ่พังพานขนาด
ใหญ่ขนึ้ มาเป็นเวทีการแสดง แลว้ ใหล้ กู สาวของตนยืนฟ้อนขบั กลอ่ มเพลง
อย่บู นพงั พานนนั้

หลงรักลูกสาวพญานาค

หนมุ่ นอ้ ยหนมุ่ ใหญ่ท่หี วงั จะไดล้ กู สาวแสนสวยของพญานาคมา
เป็นคู่ครอง พากันหล่งั ไหลไปท่ีนาคพิภพทุกวันอุโบสถอย่างเนืองแน่น
ต่างก็เตรียมบทเพลงมารอ้ งแกส้ ุดกาลงั ความสามารถกันทุกคน แต่พอ
รอ้ งออกมาก็ถูกนางนาคมาณวิกาลกู สาวพญานาคตอ้ นเสียจนมมุ กนั ไป
หมด ตอ้ งหอบหิว้ ความผิดหวงั กลบั บา้ นไป เหตกุ ารณเ์ ป็นอย่เู ช่นนี้ จน
ล่วงเวลาไปพุทธันดรหนึ่ง ก็ยังหาผู้มีความสามารถท่ีจะมารอ้ งแก้บท
เพลงท่ลี กู สาวพญานาคขบั กลอ่ มไม่ได้

กาลเวลาล่วงเลยมาถึงยุคสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธ
เจ้าของชาวเราทั้งหลาย หนุ่มรูปหล่อนิสัยดี นามว่า อุตตระ ได้ยิน
กิตตศิ พั ทด์ า้ นความสวยงามของลกู สาวพญานาคจากเพ่ือนๆ ท่เี คยไปมา
ก็มีใจหลงรกั ตงั้ แต่ยงั ไม่ไดเ้ จอตวั จรงิ เสียดว้ ยซา้ จึงมีความคิดจะลองไป

๑๓๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

เส่ยี งโชคท่นี าคพภิ พดู ไดไ้ ม่ไดก้ ็ไม่เป็นไร ขอใหไ้ ดย้ ลโฉมความสวยงามก็
ถือว่าเกินคมุ้ แลว้

รุง่ เชา้ ของวนั ท่ีอตุ ตระมาณพจะเดินทางไปนาคพิภพน่นั เอง องค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกหาผู้มีคุณสมบัติ
เหมาะสมท่ีพระองคจ์ ะเสด็จไปโปรด พญาเอรกปัตตนาคราชและอตุ ตระ
มาณพไดเ้ ขา้ ไปในข่ายแหง่ พระญาณของพระองค์

เม่ือทรงใคร่ครวญดูก็ไดท้ รงทราบว่า “วันนี้ เป็นวันท่ีเอรกปัตต
นาคราชจะให้ลูกสาวของตนยืนฟ้อนขับกล่อมเพลงอยู่บนพังพานเพ่ือ
เลือกค่คู รอง ฝ่ ายอตุ ตรมาณพเรียนเพลงขบั แกท้ ่ีเราแต่งใหแ้ ลว้ ก็จักได้
สาเรจ็ เป็นโสดาบนั แลว้ นาบทเพลงแกน้ นั้ ไปรอ้ งท่นี าคพิภพ เม่อื นาคราช
ไดฟ้ ัง ก็จักทราบว่า ‘พระพุทธเจา้ อุบตั ิขึน้ แลว้ ในโลก’ แลว้ พากันมายัง
สานกั ของเรา คนจานวนมากจกั ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากธรรมท่ีเราแสดงใหฟ้ ัง
ในครง้ั นีด้ ว้ ย” จึงเสด็จไปประทบั ยืนอย่ทู ่ีโคนตน้ ซึกตน้ หนึ่งระหว่างทางท่ี
อตุ ตรมาณพจะเดนิ ผ่านมา

ขณะนนั้ มีผคู้ นจานวนมากกาลงั หล่งั ไหลไปท่ีนาคพิภพ หนึ่งใน
จานวนนั้นก็คืออุตตรมาณพน่ันเอง พอเขาเดินผ่านมาใกล้ๆ ต้นซึก
พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั เรียกเขาว่า

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๓๒

“อตุ ตระ”
เขาหนั หนา้ มาตามเสียงเรียกนนั้ พอรูว้ ่าเป็นพระพทุ ธเจา้ จึงเขา้
มาถวายบงั คมแลว้ กราบทลู ว่า “มอี ะไรหรือ พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “เธอจะไปไหน อตุ ตระ”
อตุ ตรมาณพ “จะไปรอ้ งเพลงขบั แกเ้ พลงของลกู สาวพญานาค ท่ี
นาคพิภพ พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “เธอรูเ้ พลงท่จี ะขบั แกแ้ ลว้ หรอื ?”
อตุ ตรมาณพ “ทราบแลว้ พระเจา้ ขา้ ”
พระพทุ ธเจา้ “รอ้ งใหฟ้ ังสิ”
เม่ือุตตรมาณพรอ้ งเพลงท่ีเตรียมมาให้ทรงสดับ พระพุทธเจา้
ตรสั ว่า “อตุ ตระ น่นั ไม่ใช่เพลงขบั แกท้ ่ีถูกตอ้ งหรอก เราจกั ใหเ้ พลงขบั
แกท้ ่ถี กู ตอ้ งแกเ่ ธอ เธอจงเรยี นเอาเพลงขบั นไี้ ปรอ้ งแก”้
อตุ ตรมาณพ “สาธุ พระเจา้ ขา้ ”
ขณะกาลงั เรียนบทเพลงรอ้ งแกท้ ่ีพระพทุ ธเจา้ ประทานใหน้ ่นั เอง
อตุ ตรมาณพประจกั ษ์แจง้ ในหลกั ธรรมท่ีบรรจุอยู่ในเนือ้ หาของบทเพลง
นนั้ ทาใหไ้ ดบ้ รรลโุ สดาปัตติผล เป็นอริยบุคคลขนั้ ตน้ ในพระพทุ ธศาสนา
เขาเรียนเพลงขับแกน้ ั้นไดอ้ ย่างแม่นยาจนขึน้ ใจแลว้ ก็เดินทางไปท่ีนาค

๑๓๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

พิภพ เม่ือพญานาคใหโ้ อกาส จึงไดร้ อ้ งเพลงขบั แกน้ นั้ โตต้ อบเพลงของ
ลกู สาวพญานาค

บทเพลงท่ขี บั รอ้ งแกก้ นั ระหว่างลกู สาวพญานาคกบั อตุ ตระนนั้ มี
เนอื้ หาถามตอบกนั เกี่ยวกบั ธรรมะ แบง่ ออกเป็น ๒ ตอน คอื

ตอนที่ ๑

เพลงขับของลกู สาวพญานาค เพลงขบั แกข้ องอุตตรมาณพ

ผู้เป็ นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่า ผูเ้ ป็นใหญ่ในทวารหก ช่ือว่าเป็น

เป็ นพระราชา พระราชา

พระราชาประพฤติอย่างไร ชื่อ พระราชาผกู้ าหนดั อยู่ ช่ือว่ามีธุลี

ว่ามีธุลีบนพระเศยี ร บนพระเศียร

พระราชาประพฤติอย่างไร ช่ือ พระราชาผู้ไม่กาหนัดอยู่ ช่ือว่า

ว่าปราศจากธุลี ปราศจากธลุ ี

คนปฏิบัติตวั อยา่ งไร จงึ เรียกว่า คนผูก้ าหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า คน

คนโงเ่ ขลา โง่เขลา(คนพาล)

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผีๆ | ๑๓๔

ตอนท่ี ๒

เพลงขับของลูกสาวพญานาค เพลงขับแกข้ องอตุ ตรมาณพ

คนพาลถูกอะไรเลา่ พัดไป คนพาลถูกโอฆะ(ห้วงน้าคือกาม

เป็นตน้ ) พดั ไป

บัณฑิตบรรเทาโอฆะน้ันได้ บัณฑิตบรรเทาโอฆะนั้น ได้ด้วย

อย่างไร ความเพยี ร

ผู้ประพฤติอย่างไร จึงเป็ นผู้ ผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง

ความเกษมจากโยคะ(โยคะ คือ เรียกวา่ ผมู้ ีความเกษมจากโยคะ
กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้

ในวฏั ฏสงสารมกี ามเป็ นต้น)

อุตตรมาณพสามารถรอ้ งเพลงตอบโต้แก้เพลงขับของลูกสาว
พญานาคไดท้ งั้ สองตอน พญานาคเอรกปัตต์ พอไดฟ้ ังบทเพลงขบั แกน้ นั้
ก็ทราบทนั ทีว่า พระพทุ ธเจา้ ไดอ้ บุ ตั ิขนึ้ แลว้ ในโลก เพราะในเพลงนนั้ มีบท
ธรรมท่ีตนไม่ไดส้ ดบั มาตงั้ ๑ พทุ ธันดรแลว้ ดว้ ยความดีใจจึงเผลอตวั เอา
หางฟาดนา้ พรอ้ มกบั เปลง่ อทุ านขนึ้ มาว่า

๑๓๕ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

“ท่านผูเ้ จริญทั้งหลาย บัดนี้ พระพุทธเจา้ ทรงอุบตั ิขึน้ แลว้ ใน
โลก ๆ”

แม่นา้ เกิดคลื่นยกั ษ์ขนาดใหญ่ไหลแตกกระจายพัดพาผูค้ นท่ีอยู่
ริมฝ่ังแม่นา้ ทั้งสองข้างตกลงไปในแม่น้า พญานาคกลับได้สติ จึงรีบ
ช่วยเหลือคนเหลา่ นนั้ ไวบ้ นพงั พานแลว้ นากลบั ขนึ้ ฝ่ังอย่างปลอดภยั ทกุ คน

พญานาคอยากเกดิ เป็ นมนุษย์

เม่ือไดม้ อบลกู สาวใหก้ บั อตุ ตรมาณพเป็นท่ีเรียบรอ้ ยตามท่ีตกลง
ไวแ้ ลว้ พญานาคก็ขอใหอ้ ุตตระพาไปเขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ มหาชนท่ีมา
ชุมนมุ กนั ท่ีนาคพิภพครง้ั นนั้ ก็ไดเ้ ดินทางไปดว้ ย พอไปถึงสถานท่ีประทบั
พญานาคกเ็ ขา้ ไปกราบถวายบงั คมแลว้ ไดย้ นื รอ้ งใหส้ ะอกึ สะอนื้ อยู่

พระพทุ ธเจา้ ตรสั ถามวา่ “ทาไมทา่ นจึงรอ้ งให้ นาคราช”
เอรกปัตตนาคราชไดก้ ราบทูลว่า “พระองคผ์ เู้ จริญ ขา้ พระองค์
เคยเป็นสาวกของพระพทุ ธเจา้ ผูเ้ ช่นกบั พระองคน์ ่ีแหละ ไดบ้ าเพ็ญสมณ
ธรรมสิน้ ๒ หม่ืนปี แต่สมณธรรมนนั้ ก็ไมอ่ าจชว่ ยขา้ พระองคใ์ หไ้ ปเกิดใน
ภพภูมิท่ีดีได้ ขา้ พระองคอ์ าศัยโทษเพียงทาใหใ้ บตะไครน้ า้ ขาดไป เป็น
เหตุใหต้ อ้ งมาถือปฏิสนธิในกาเนิดนาคท่ีเป็นอเหตุกสัตวเ์ ลือ้ ยคลานไป

ชาดกวา่ ดว้ ยเรือ่ งผๆี | ๑๓๖

ดว้ ยอก ขา้ พระองคไ์ ม่ไดค้ วามเป็นมนุษย์ ไม่ไดฟ้ ังพระสทั ธรรม ไม่ได้
เห็นพระพทุ ธเจา้ เชน่ กบั พระองคม์ าสิน้ พทุ ธันดรหนง่ึ แลว้ พระเจา้ ขา้ ”

พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า “นาคมหาบพิตร ในโลกนี้ มี ๔ อย่างท่ีได้
กนั ยากนกั คือ

๑. ความเป็นมนษุ ย์
๒. การดารงชวี ติ ของสตั วท์ งั้ หลาย
๓. การไดฟ้ ังพระสทั ธรรม
๔. การอบุ ตั ิขนึ้ ของพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลาย”

พระคาถาเก่ียวกบั ส่งิ ทมี่ แี ละเป็ นได้ยาก

กจิ โฉ มะนสุ สะปะฏลิ าโภ กิจฉงั มจั จานะ ชีวติ งั

กิจฉงั สทั ธัมมสั สะวะนงั กิจโฉ พทุ ธานะมปุ ปาโทฯ

“การไดอ้ ตั ภาพเป็นมนษุ ยส์ ดุ แสนยาก

ชวี ติ ของสตั วท์ งั้ หลายเป็นอยยู่ าก

การไดฟ้ ังพระสทั ธรรมเป็นของยาก

(และ)พระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายก็อบุ ตั ิขนึ้ ไดย้ าก”

๑๓๗ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ทาไม ๔ อยา่ งนี้ จึงยาก
๑. การได้อัตภาพเป็ นมนุษย์สุดแสนยาก เพราะต้อง

พยายามสรา้ งบุญกุศลใหม้ าก จึงจะไดเ้ กิดมาเป็นมนุษยท์ ่ี
สมบรู ณท์ งั้ ดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ

๒. ชีวิตของสัตวท์ ั้งหลาย เป็ นอยู่ยาก เพราะตอ้ งประกอบ

อาชีพการงานสดุ แสนเหน่ือยหาเลีย้ งชีพและตอ้ งบรหิ ารดแู ล
ปกปอ้ งชีวิตตนจากภยั ต่าง ๆ

๓. การได้ฟังพระสัทธรรมเป็ นของยาก เพราะหาคนท่ีแสดง

พระสทั ธรรมท่แี ทจ้ รงิ ไดย้ ากนกั เพราะสว่ นมากเป็นไดแ้ ค่นกั
วาทกรรมเท่านนั้

๔. พระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลายอบุ ัติขึน้ ได้ยาก เพราะกวา่ จะหาผมู้ ี

ความแน่วแน่อทุ ิศตนเพียรพยายามบาเพญ็ บญุ บารมีจนกว่า
จะไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระพทุ ธเจา้ นนั้ ยากแสนเข็ญยงิ่ นกั
เม่อื พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมจบลง ผคู้ นจานวนมากท่ไี ดส้ ดบั
พระสทั ธรรม กไ็ ดป้ ระจกั ษแ์ จง้ ในธรรมกนั ท่วั หนา้ สาหรบั พญานาค ควร
จะไดบ้ รรลโุ สดาบนั ในวนั นนั้ แต่กไ็ ม่ได้ เพราะเป็นสตั วเ์ ดรจั ฉาน ไดแ้ ค่ส่งั
สมอปุ นิสยั ปัจจยั ท่จี ะนาไปสภู่ พภมู ิท่ีดีในอนาคต

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอื่ งผๆี | ๑๓๘

อย่างไรก็ตาม พญาเอรกปัตตนาคราช ก็ไม่ไดร้ บั ความลาบากใน
ฐานะ ๕ อย่าง คือ (๑) การถือปฏิสนธิ (๒) การลอกคราบ (๓) การนอน
หลับอย่างสบายใจ (๔) การเสพเมถุนกับนางนาคผูม้ ีชาติเสมอกัน (๕)
การสามารถจาแลงกายเป็นมนุษยไ์ ปไหนมาไหนได้ ไม่ตอ้ งลาบากเลือ้ ย
คลานไปเช่นนาคท่วั ไป

๑๓๙ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

๒.

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผๆี | ๑๔๐

๑๔๑ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

ชาดกวา่ ดว้ ยเร่อื งผีๆ | ๑๔๒



กษัตริยบ์ ้ากาม เกือบทาตามเปรตไปตกนรก

มีนักปราชญท์ างศาสนากล่าวไวว้ ่า “กิน กาม เกียรติ” ทงั้
๓ อย่างนี้ เป็นเหย่ือล่อใหม้ นุษยด์ ิน้ รนแสวงหาสิ่งต่างๆ มาปรนเปรอ
สนองตอบต่ อความต้องการของชีวิตจนเป็ นเหตุให้ต้องทะเลาะ วิว าท
เบียดเบยี นกนั มปี ัญหาต่อกนั ในความเป็นจรงิ แลว้ ภาวะอนั น่าอภิรมย์
ทัง้ ๓ อย่างนี้ เป็นเร่ืองธรรมดาท่ีมนุษยท์ ุกชีวิตใฝ่ ฝันและแสวงหากัน
ถ้าหากดาเนินไปอย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่ขัดกับหลักศีลธรรมและ
กฎหมาย ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ท่เี ป็นปัญหาก็เพราะมีการแสวงหาจน

๑๔๓ | วิ ญ ญ า ณ ช า ด ก

เกินขอบเขตเกินพอดี กลายเป็นหมกม่นุ หลงใหลติดใจในรสชาติของมัน
จนไมส่ ามารถยกตนออกจากภาวะอนั นา่ อภิรมยน์ ไี้ ด้

บคุ คลท่ตี กเป็นทาสของกนิ กาม เกียรติ มกั ใชศ้ กั ยภาพทงั้ หมดท่ี
มีอย่แู สวงหาใหไ้ ดม้ าโดยไมเ่ ลือกวิธีการ จะผิดหลกั ศลี ธรรมหรือกฎหมาย
ก็ไมค่ านึงถึง ยิ่งอย่ใู นฐานะตาแหนง่ ท่เี อือ้ อานวยต่อการไดม้ าซง่ึ สิง่ เหลา่ นี้
ดว้ ยแลว้ ย่งิ มโี อกาสท่จี ะทาผิดไดง้ ่าย

พระเจ้าปเสนทิโกศล ราชาแห่งแควน้ โกศลอันมีเมืองสาวัตถี
เป็นราชธานี เป็นกษัตริยพ์ ระองคห์ น่ึง ท่ีเคยหลงใหลติดใจในภาวะอนั นา่
อภริ มยท์ งั้ ๓ อย่างนี้ น่นั คือ

กิน พระองคท์ รงเป็นกษัตริยท์ ่ีติดใจในรสชาติของอาหาร เสวย
แต่ละครง้ั ตอ้ งใชอ้ าหารหวานคาวจานวนมาก จนร่างกายของพระองค์
อว้ นทว้ นสมบรู ณ์ เสด็จไปไหนมาไหนดว้ ยความลาบาก จนตอ้ งไปทูลขอ
วธิ ีลดนา้ หนกั จากพระพทุ ธเจา้

กาม พระองคท์ รงติดใจในรสชาติของกามารมณ์ แมจ้ ะมีพระ
มเหสีและพระสนมจานวนมาก แต่ก็ยงั ไม่เพียงพอต่อความตอ้ งการของ
พระองค์ เจอสาวสวยท่ีไหนก็คิดหาวิธีนามาครอบครองใหไ้ ด้ ชนิดท่ีว่า
ไม่ไดค้ านงึ ถึงหลกั ศลี ธรรมและความถกู ตอ้ งเลย

ชาดกวา่ ดว้ ยเรอ่ื งผีๆ | ๑๔๔


Click to View FlipBook Version