คู่มอื การจดั โปรแกรมการแก้ไขฟ้นื ฟูผู้ต้องขงั
ตามลักษณะแห่งคดีและพฤตกิ ารณ์การกระทาผิด
โดย สว่ นส่งเสริมการศึกษาและพฒั นาจติ ใจ
กองพฒั นาพฤตนิ สิ ัย กรมราชทณั ฑ์
กระทรวงยุตธิ รรม
๒๕๖๑
คำนำ
ภารกจิ หลักประการหน่ึงของกรมราชทัณฑ์ คือการแกไ้ ขฟ้ืนฟูพัฒนาพฤตินิสยั ผตู้ ้องขังให้กลับ
ตนเป็นพลเมืองดี โดยการให้การศึกษา การฝึกวิชาชีพ การพัฒนาจิตใจ รวมทั้งการจัดโปรแกรมแก้ไข
ฟื้นฟูผู้ต้องขังแต่ละคนอย่างเหมาะสมตามลักษณะสาเหตุ พฤติกรรมและประเภทของการกระทาผิด
ซึ่งโปรแกรมแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังประเภทต่าง ๆ ที่กรมราชทัณฑ์ได้จัดทาข้ึนนับต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗
เป็นต้นมา ท้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือแก้ไขผู้ต้องขัง ปรับเปล่ียนทัศนคติ พฤติกรรม เพ่ือให้สามารถกลับ
ตนเปน็ คนดีมีคณุ คา่ สสู่ งั คม
เอกสารเล่มนี้ เป็นฉบับปรับปรุงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยมีการปรับลดระยะเวลา
จาก ๑๒๐ ชั่วโมง เหลอื ๖๐ ชัว่ โมง แต่อยา่ งไรก็ตามผู้ต้องขังท่ีจะเข้าอบรมในโปรแกรมการแก้ไขฟน้ื ฟู
ตามลักษณะแห่งคดีและพฤติการณ์การกระทาผิดน้ัน ต้องได้รับการอบรมในรายวิชาการฝึกระเบียบ
วินัยแบบเข้มข้น กลุ่มบาบัดต่าง ๆ รวมท้ังการฝึกวิชาชีพตามความสนใจมาแล้ว ตลอดจนมีการ
ปรับปรุงในรายละเอียดของเน้ือหารายวิชาเพ่ือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพ่ือให้การ
ดาเนินงานของเรือนจา/ทัณฑสถานเป็นไปในแนวทางเดียวกันท้ังเนื้อหาการอบรม ระยะเวลา และ
วิทยากร เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไข ฟ้ืนฟู และสามารถปรับเปล่ียนทัศนคติ พฤติกรรมผู้ต้องขัง
เป็นทย่ี อมรับและเช่อื มัน่ กบั ภาคสงั คมต่อไป
กองพฒั นาพฤตนิ สิ ยั
กรมราชทัณฑ์
กนั ยายน ๒๕๖๑
สำรบญั
หน้ำ
๑. การแก้ไขฟน้ื ฟผู ตู้ ้องขงั ของกรมราชทัณฑ์ ๑
๒. การปฏิบตั ติ ามแนวทางการแก้ไขฟ้นื ฟูผตู้ ้องขังเฉพาะกลมุ่ ๔
- ข้ันตอนการดาเนินงาน ๔
- ตวั อย่างหลกั สตู รในการแก้ไขฟ้ืนฟผู ูต้ อ้ งขงั ประเภทตา่ ง ๆ ๕
- บุคลากรผรู้ ับผิดชอบดา้ นการแก้ไขฟืน้ ฟผู ตู้ ้องขงั ๙
- ระยะเวลาดาเนินการ ๑๐
- การประเมนิ ผล ๑๐
- ผลผลติ / ผลลัพธ์ ๑๑
- ตวั ชี้วัดความสาเรจ็ ๑๑
- การรายงานผลการดาเนินการ ๑๑
๓. หลกั สตู รการจดั โปรแกรมการแก้ไขฟนื้ ฟูผู้ต้องขัง ๑๒
โปรแกรมการแก้ไขผู้กระทาผิดทางเพศ ๑๓
โปรแกรมการปรับพฤติกรรมผกู้ ระทาผดิ ท่ใี ช้ความรนุ แรง ๑๔
โปรแกรมการแกไ้ ขผ้กู ระทาผิดเกย่ี วกับชีวติ และร่างกาย ๑๕
โปรแกรมการแก้ไขผกู้ ระทาผิดเก่ียวกับทรัพย์ ๑๖
โปรแกรมการแกไ้ ขผคู้ ้ายาเสพติด ๑๗
โปรแกรมการปรับพฤติกรรมผู้กระทาผดิ อนั เน่ืองมาจากการดมื่ สรุ า ๑๘
โปรแกรมยตุ ิธรรมนาสนั ติสุข ๑๙
โปรแกรมการแกไ้ ขผกู้ ระทาผิดซา้ ๒๐
โปรแกรมเฉพาะสาหรบั ผู้ต้องขงั ท่วั ไปท่ีมโี ทษระยะสน้ั ๒๑
โปรแกรมเฉพาะสาหรับผู้ต้องขงั ท่ัวไปทีม่ ีโทษระยะส้ัน (พักโทษกรณีพิเศษ) ๒๒
๔. คาอธบิ ายกจิ กรรมในหลักสตู รการแก้ไขฟื้นฟูผตู้ ้องขัง ๒๓
๕. การรายงานผลการปฏิบัติงานการจดั โปรแกรมการแก้ไขฟ้นื ฟผู ้ตู อ้ งขัง ๕๑
ภำคผนวก
ระเบยี บกระทรวงการคลังวา่ ดว้ ยคา่ ใช้จ่ายในการฝกึ อบรม การจดั งาน และการประชมุ ระหว่างประเทศ
(ฉบบั ท่ี ๓ ) พ.ศ. ๒๕๕๕ และทแี่ ก้ไขเพิม่ เติม
ตวั อยา่ งแบบบันทึกประวตั สิ มาชิกโปรแกรมการแก้ไขฟืน้ ฟูผู้ตอ้ งขัง
แบบประเมนิ ภาวะสุขภาพจติ สาหรับผู้ต้องขังในเรอื นจาไทย (PMHQ-Thai)
แบบประเมนิ ตนเองตามแนว T.A. (Transactional Analysis)
~1~
การแกไ้ ขฟืน้ ฟผู ตู้ อ้ งขงั ของกรมราชทัณฑ์
กรมราชทัณฑ์ เป็นหน่วยงานสุดท้ายในกระบวนการยุติธรรม นอกจากจะมีหน้าที่ในการควบคุม
ผกู้ ระทาผิด ตามคาพิพากษาของศาลแล้ว ยังมหี น้าท่ีทส่ี าคัญในการแก้ไข ปรบั ปรงุ และพัฒนาพฤตนิ สิ ัยผกู้ ระทา
ผิด ให้กลับสู่สังคมได้อย่างปกติสุข อย่างไรก็ตามผู้กระทาผิดเหล่าน้ี ได้ถูกหล่อหลอมมาจากสถาบันทางสังคม
หรือสภาพแวดล้อมมาเป็นเวลานาน การแก้ไขในเรือนจาเพียงระยะเวลาสั้นๆ จึงเป็นเร่ืองที่ยากลาบาก
กรมราชทัณฑ์ได้พยายามอย่างย่ิงท่ีจะคิดค้นสร้างนวัตกรรม และพัฒนาวิธีการ ในการปฏิบัติต่อผู้กระทาผิ ด
เพ่ือสนองตอบต่อความคาดหวงั ของสงั คม เพื่อคืนคนดี มคี ุณคา่ สูส่ งั คม
การปฏิบตั ิต่อผตู้ ้องขังในเรอื นจา จาเป็นต้องดาเนนิ การอย่างเป็นระบบและตอ่ เนื่อง เรม่ิ ตง้ั แต่การ
รับตัวมาคุมขัง จนถึงการดูแลหลังการปลดปล่อย โดยแต่ละขั้นตอนจะมีความต่อเน่ืองและสัมพั นธ์กัน
ซึ่งสามารถแสดงได้ดังแผนภาพนี้
การรบั ตัว ดาเนินการ เตรียมการปลดปลอ่ ย ดูแลหลังปลอ่ ย
ปฐมนเิ ทศ การดแู ลสวสั ดิการ / จาแนกซา้ เพ่ือเตรยี ม ประสานงานองคก์ ร
การแพทย์ ปลดปล่อย รฐั / เอกชนดแู ล
เก็บรวบรวม
ข้อมลู รายบุคคล โปรแกรมการแกไ้ ข โปรแกรมการ มูลนธิ สิ ง่ เสรมิ
พน้ื ฐาน เตรยี มความพร้อม พลเมืองดี
การจาแนกลักษณะ * การฝึกวชิ าชพี ก่อนปล่อย
* การใหก้ ารศึกษา การสงเคราะห์
วางแผนปฏบิ ัติ * การพฒั นาจิตใจ ปล่อยแบบมีเงื่อนไข หลังปล่อย
เปน็ รายบคุ คล โปรแกรมเฉพาะ เช่น พักการลงโทษ/
* โปรแกรมแก้ไข ลดวันตอ้ งโทษจาคกุ
ผ้กู ระทาผดิ ทางเพศ /
ยาเสพตดิ / ทรพั ย์ / ปลอ่ ยตามหมายศาล
ใชค้ วามรุนแรง ฯลฯ
* โรงเรียนววิ ัฒน์
พลเมืองราชทณั ฑ์
* ฯลฯ
~2~
การท่ีจะปฏิบัติต่อผู้ต้องขังประเภทหนึ่งประเภทใดหรือคนใดคนหนึ่งอย่างไรนั้น จะต้องเริ่มจากการ
จาแนกลกั ษณะผตู้ อ้ งขัง เพ่อื ท่จี ะได้แยกปฏิบัติต่อผตู้ ้องขังดงั กลา่ วไดเ้ หมาะสม
การจาแนกลักษณะผู้ต้องขังเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการบริหารงานเรือนจา เพราะการจาแนก
ลักษณะผู้ต้องขังจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมผู้ต้องขัง และขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขฟื้นฟู
ผู้ต้องขัง ทั้งนี้เพราะการจาแนกลักษณะผู้ต้องขังจะทาให้สามารถรู้จักผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล จนสามารถ
แยกปฏิบัตติ ่อผ้ตู ้องขังได้ตามความเหมาะสมเป็นรายบคุ คลหรอื เปน็ กล่มุ ได้แก่
กลุ่มเพือ่ การควบคมุ กลมุ่ เพื่อการแกไ้ ข
(จดั ระดับการควบคุม) (วเิ คราะห์จากพฤติกรรมของผู้ต้องขัง)
๑. ระดับม่ันคงสูงสดุ ๑. มีแนวโนม้ ไม่กระทาผิดซา้
๒. ระดับมัน่ คงสูง ๒. แกไ้ ขได้
๓. ระดบั ปานกลาง ๓. ยากต่อการแกไ้ ข
๔. ระดบั ต่า ๔. กล่มุ พิเศษ (ต่างชาติ ป่วย พกิ าร สงู อาย)ุ
ในการปฏบิ ัติตอ่ ผตู้ ้องขังในกลุม่ เพ่ือการแก้ไข มดี งั น้ี
๑. กลุ่มผู้ต้องขังมีแนวโน้มไม่กระท้าผิดซ้า หรือกล่มุ ผู้ต้องขังที่ไม่จาเป็นต้องแก้ไข เป็นกลุ่มผู้ต้องขัง
ที่กระทาผิดโดยพลั้งพลาด ยังไม่ถลาเข้าสู่วงจรของการกระทาผิด โดยทาผิดเป็นครั้งแรก ทาผิดโดยไม่แสดง
ความชั่วร้าย มีครอบครัวหรืออาชีพรองรับเมื่อพ้นโทษ กลุ่มนี้ไม่จาเป็นต้องแก้ไข แต่ต้องปฏิบัติมิให้กลุ่มนี้
ตกต่าไปกว่าเดิม หรือเรียนรู้จากผู้ท่ีมีความชานาญ ส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวให้รองรับกลับสู่สังคม
และจดั สวสั ดกิ ารดแู ลผตู้ ้องขังเหล่าน้ี
๒. กลุ่มผู้ต้องขังที่พอแก้ไขได้ เป็นกลุ่มผู้ต้องขังที่ยังไม่ได้ถลาเข้าสู่วงจรอาชญากรรมซ้าซาก ไม่ได้
เป็นอาชญากรอาชพี ทาผิดเพราะความจาเปน็ หรือถูกกดดัน แต่มีแนวโน้มท่ีจะกระทาผิดซ้า หากไม่ได้รบั ความ
ช่วยเหลือหรือแก้ไข เพื่อปรับเปล่ียนทัศนคติและพฤติกรรม กลุ่มน้ีเป็นกลุ่มท่จี ะตอ้ งดาเนนิ การแก้ไขเป็นพิเศษ
โดยการจัดเข้าโปรแกรมการแก้ไขตา่ งๆ
๓. กลุ่มผู้ต้องขังท่ียากต่อการแกไ้ ข เป็นกลมุ่ ผตู้ อ้ งขังที่กระทาผิดซา้ ซาก กระทาผิดในคดที ่ีให้ผลตอบแทน
ทางเศรษฐกิจสูง กลุ่มอาชญากรอาชีพ หรอื พวกท่มี ีความผิดปกติทางจิต กลุ่มนต้ี ้องใช้การปฏิบัติที่เข้มงวด โดยการ
ใช้มาตรการควบคมุ อยา่ งเครง่ ครัด หรือถา้ จะบาบดั แกไ้ ขจาเปน็ ตอ้ งใชโ้ ปรแกรมที่เขม้ ข้นเป็นพิเศษ
๔. ผู้ต้องขังกลุ่มพิเศษ การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังกลุ่มน้ีจะมุ่งจัดสวัสดิการและการดูแลสวัสดิภาพให้แก่
ผูต้ อ้ งขังมากกวา่ การแกไ้ ขฟืน้ ฟู
การจาแนกลักษณะผูต้ ้องขงั อาจแยกได้เปน็ ๒ ระดบั คือ
๑. การจ้าแนกลักษณะผู้ต้องขังขันพืนฐาน เป็นการจาแนกเพ่ือแยกขัง เพื่อการควบคุม และจาแนก
เพื่อคัดผู้ต้องขังรับการอบรมแก้ไขขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การฝึกวิชาชีพ การให้การศึกษา การอบรมทางศีลธรรม
และการรับสวัสดิการต่างๆ โดยทางปฏิบัติที่ทาอยู่จะเน้นการเก็บรวบรวมข้อมูลประวัติผู้ต้องขัง และการ
ประชุมเพ่อื แยกกองงาน เปน็ ต้น
~3~
๒. การจา้ แนกลักษณะเพ่ือการแก้ไข จะเป็นการจาแนกลกั ษณะเพ่ือคัดผู้ต้องขังไปเข้ารบั การบาบัด
ฟนื้ ฟู หรือปรับพฤตกิ รรมในช้ันสูง ได้แก่ โปรแกรมการแก้ไขผู้ต้องขงั ในลักษณะตา่ งๆ เช่น โปรแกรมการแก้ไข
ผู้ต้องขังคดีกระทาผิดทางเพศ ผู้ต้องขังคดียาเสพติด ผู้ต้องขังคดีท่ีใช้ความรุนแรง หรือโปรแกรมการจัดการ
กับความโกรธ โปรแกรมการระงับความรุนแรงในครอบครัว หรือโปรแกรมการพัฒนาจิตใจ เช่น การอบรม
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นต้น ในส่วนของวิธีการจาแนกน้ันก็จะเน้นในเร่ืองการวิเคราะห์สาเหตุการกระทาผิด
วิเคราะห์พฤติกรรมท่ีผิดปกติ และการจัดทากรณีศึกษาเพ่ือสอบประวัติอย่างละเอียด จากน้ันจึงจัดกลุ่ม
พฤติกรรม เพ่ือแยกเข้าโปรแกรมการปรับและฟื้นฟูพฤติกรรมโดยเฉพาะ ดังน้ันการจาแนกลักษณะผู้ต้องขัง
เพื่อการแก้ไข จึงไม่จาเป็นต้องทากับผู้ต้องขังทุกคนในเรือนจา แต่เป็นการดาเนินการเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
เทา่ นนั้ ดงั ภาพ
ตัวแบบการจ้าแนกลักษณะผู้ตอ้ งขงั
การจาแนกลักษณะเพอื่ การแกไ้ ข การแก้ไขผู้ต้องขังเปน็ การเฉพาะ ดาเนนิ การกบั ผตู้ ้องขัง
การศกึ ษาเป็นรายกรณี โปรแกรมการแก้ไขผตู้ อ้ งขัง เฉพาะกลมุ่
การวิเคราะห์สาเหตุพฤติกรรม คดที างเพศ จดั เปน็ ร่นุ ๆ
การจดั ประเภทพฤติกรรม โปรแกรมชมุ ชนบาบัด
โปรแกรมการแกไ้ ขผตู้ อ้ งขังใช้ ทากับผตู้ ้องขังทุกคน
ทาอยา่ งต่อเนื่อง
ความรนุ แรง
ฯลฯ
การจาแนกลักษณะผตู้ ้องขังข้ันพ้ืนฐาน การแก้ไขผตู้ ้องขังขัน้ พนื้ ฐาน
การฝึกวิชาชีพ
จดั ทาประวตั ิ
ประชมุ คณะกรรมการ การใหก้ ารศกึ ษา
ดคู วามต้องการ การอบรมทางศลี ธรรม
การจดั สวัสดิการ
จะเห็นได้ว่า การจาแนกลักษณะผู้ต้องขังมี ๒ ระดับ ดังนั้น การแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขังจึงมี ๒ ระดับ
เชน่ เดียวกนั คอื
๑. การแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังขันพืนฐาน ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักท่ีมุ่งจัดให้ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ทั้งเรือนจา
ได้แก่ การฝึกวิชาชีพ การให้การศึกษา การอบรมทางศีลธรรม ตลอดจนกิจกรรมทางศาสนา สวัสดิการและ
นันทนาการต่างๆ ท้ังนี้ เพื่อมุ่งฝึกทักษะพื้นฐานในการดารงชีวิตในสังคมให้กับผู้ต้องขัง แต่การแก้ไขฟ้ืนฟูด้วย
วธิ ีการดงั กล่าวยังไม่ได้ลงลึกถงึ สาเหตุและมูลเหตุจูงใจ ตลอดจนพฤติกรรมในการกระทาผิดของผ้ตู ้องขังแต่ละ
ประเภทแต่ละบุคคลซ่ึงมีความแตกต่างกัน ดังน้ันจึงจาเป็นต้องมีการพัฒนาการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขังข้ึนมาอีก
ระดับหนงึ่
๒. การแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังเป็นการเฉพาะ เป็นแนวทางที่มุ่งปรับเปล่ียนทัศนคติและพฤติกรรมของ
ผู้ต้องขัง โดยเฉพาะพฤติกรรมอาชญากร ซึ่งจะมีหลักสูตรเฉพาะในการให้ความรู้และฝึกทักษะ รวมท้ังการใช้
กระบวนการกลุ่มเป็นเคร่ืองมือ ในการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมผู้ต้องขังแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคลตาม
~4~
ความเหมาะสม ซ่ึงการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขังเป็นการเฉพาะน้ี อาจจัดแบ่งกลุ่มตามประเภทคดีหรือแบ่งตาม
พฤติกรรมการกระทาผิดของผู้ต้องขังก็ได้ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการจัดโปรแกรมว่า จะมุ่งแก้ไขฟื้นฟู
ผตู้ อ้ งขงั กลุ่มใด
การปฏิบตั ติ ามแนวทางการแก้ไขฟน้ื ฟูผู้ต้องขงั ตามลกั ษณะแหง่ คดแี ละพฤตกิ ารณก์ ารกระท้าผดิ
การแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังเฉพาะกลุ่ม ซ่ึงอาจจัดแบ่งกลุ่มตามประเภทคดีหรือตามพฤติกรรมของการกระทา
ความผดิ เช่น
โปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟูผูก้ ระทาผิดทางเพศ
โปรแกรมการปรับพฤติกรรมผกู้ ระทาผิดท่ีใชค้ วามรุนแรง
โปรแกรมการแกไ้ ขฟืน้ ฟผู กู้ ระทาผิดเก่ยี วกับชวี ติ และร่างกาย
โปรแกรมการแกไ้ ขฟืน้ ฟูผูก้ ระทาผดิ เกี่ยวกบั ทรัพย์
โปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟผู ู้ต้องขังคดยี าเสพติด
โปรแกรมการปรบั พฤติกรรมผู้กระทาผิดอันเน่ืองมาจากการดืม่ สรุ า
โปรแกรมยุตธิ รรมนาสันตสิ ุข
โปรแกรมการแกไ้ ขผูก้ ระทาผิดซ้า
โปรแกรมเฉพาะสาหรบั ผูต้ ้องขงั ทว่ั ไปทมี่ ีโทษระยะสัน้
โปรแกรมอ่ืนๆ ที่จัดเป็นโปรแกรมเฉพาะสาหรับผู้ต้องขังแต่ละประเภท โดยเน้นท่ีการแก้ไขฟ้ืนฟู
ปรับเปลย่ี นทัศนคตแิ ละพฤติกรรม
ขนั ตอนการด้าเนินงาน จะมขี นั ตอนท่สี ้าคญั ดังนี
(๑) การเลอื กกลุ่มเปา้ หมาย
การดาเนินการข้ันตอนแรก จะต้องมีการกาหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะนามาเข้ารับการแก้ไขฟ้ืนฟู
ก่อนว่าจะเลือกผู้ต้องขังประเภทใด จะพิจารณาในแง่ของคดี เช่น โปรแกรมการแก้ไขผู้ต้องขังกระทาผิดทางเพศ
โปรแกรมการแก้ไขผู้ต้องขังคดียาเสพติด เป็นต้น หรือพิจารณาในแง่ของพฤติกรรม เช่น โปรแกรมการปรับ
พฤติกรรมผู้กระทาผิดที่ใช้ความรุนแรง เป็นต้น โดยการจัดอบรมควรจัดอบรมเป็นรุ่น ๆ รุ่นละประมาณ
๓๐ – ๕๐ คน หรือมากกว่าน้ัน ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับศักยภาพของเรือนจา/ทัณฑสถาน ในเร่ืองของสถานท่ี วิทยากร ฯลฯ
สาหรับโปรแกรมเฉพาะสาหรับผู้ต้องขังท่ัวไปท่ีมีโทษระยะสั้น ให้ใช้เฉพาะผู้ต้องขังที่มีโทษจาคุกไม่เกิน ๓ ปี
ตอ้ งโทษในคดีอน่ื ท่ไี ม่สามารถให้เข้าอบรมตามโปรแกรมตามลักษณะแห่งคดแี ละพฤตกิ ารณ์การกระทาผดิ อืน่ ได้
เชน่ พ.ร.บ.ป่าไม้ , พ.ร.บ.ปนื , ความผดิ ตอ่ ตาแหนง่ หนา้ ที่ ความผิดเกย่ี วกับเอกสาร, ค้าประเวณี ฯลฯ
(๒) การจ้าแนกลักษณะผู้ต้องขังเพอื่ การแก้ไข
การจาแนกลักษณะผู้ต้องขังเพ่ือการแก้ไข หรือการประเมินเป็นรายบุคคล เพื่อท่ีจะทาให้สามารถ
รู้จักผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล ซึ่งจะต้องเจาะลึกถึงพฤติกรรมและสาเหตุการกระทาผิดของผู้ต้องขังแต่ละคนเป็น
กรณีศึกษา โดยเน้นการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ศึกษาประวัติจากเอกสาร และจากการเปิดเผยของผู้ต้องขัง
การสังเกตพฤติกรรม การใช้แบบประเมินทางจิตวิทยา เพื่อจะนามาวิเคราะห์ จัดประเภท แยกประเภท
และนาเข้าสู่โปรแกรมการแก้ไขฟ้นื ฟเู ฉพาะตามความเหมาะสมของผู้ต้องขังแต่ละคนต่อไป
~5~
(๓) การดา้ เนินการตามโปรแกรม หรือขนั ตอนของการบ้าบดั ฟ้นื ฟู
ขันตอนนี เป็นการดาเนินการตามหลักสูตรที่กาหนดไวเ้ ป็นการเฉพาะสาหรบั แก้ไขฟ้ืนฟู ผู้ต้องขัง
กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนหลักเพราะเป็น เน้ือหาสาคัญของการแก้ไขฟ้ืนฟู เช่น ถ้าจะแก้ไขฟ้ืนฟู
ผู้กระทาผิดทางเพศ ก็ต้องจัดโปรแกรมซึ่งมีหลักสูตรบทเรียนและกิจกรรมต่างๆ เพ่ืออบรมปรับเปล่ียน
พฤติกรรมของผู้ต้องขังคดีกระทาผิดทางเพศ ซ่ึงอาจจะเริ่มจากการให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ การฝึกทักษะ
ปรับเปลีย่ นทัศนคติ และนาไปสู่การปรับพฤติกรรม ในกรณีของผู้ติดยาเสพติด หากนาวิธีการชุมชนบาบัดมาใช้
ขั้นตอนน้ีก็จะเป็นการนากระบวนการกลุ่มมาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสมาชิก ซ่ึงสมาชิกจะต้องอยู่
ด้วยกนั เป็นเวลานาน ประพฤติปฏิบตั ิตามกฎระเบียบของชมุ ชนบาบดั ถกู หล่อหลอมโดยอิทธพิ ลของกลมุ่ จนเกิด
การปรับเปลยี่ นพฤติกรรม
สาหรับการจัดหลักสูตรเฉพาะ เพ่ือให้ความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรมของผู้ต้องขัง แต่ละ
โปรแกรมมีความหลากหลาย ซ่ึงจะจัดอย่างไรข้ึนอยู่กับการวิเคราะห์สาเหตุและจัดประเภทผู้กระทาผิด
แต่อยา่ งไรกต็ ามหากพิจารณาในภาพรวมแล้ว โดยท่วั ไปอาจแยกพจิ ารณาได้ ดงั น้ี
โปรแกรมการแก้ไขผกู้ ระทา้ ผดิ ทางเพศ
วัตถุประสงค์หลักของการจัดโปรแกรมดังกล่าว คือ การป้องกันการกระทาผิดซ้า วัตถุประสงค์รอง
คือการปรับเปล่ียนพฤติกรรมไปในแนวทางท่ีพึงประสงค์ ดังนั้น หลักสูตรน้ีจะแยกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ ๆ
คือส่วนแรกจะเน้นการทาให้ผู้กระทาผดิ เขา้ ใจถงึ สาเหตกุ ารกระทาผิดของเขา และสว่ นท่ีสองจะเน้นการพัฒนา
ทักษะในการป้องกันการกระทาผิดซ้า ดังน้ันโปรแกรมการแก้ไขและปรับพฤติกรรมผู้ต้องขังที่กระทาผิดทาง
เพศสว่ นใหญม่ งุ่ ท่จี ะปรับพฤตกิ รรมดังนี้
๑. ปรบั ทศั นคติและเพิม่ ความรู้เก่ียวกับเพศใหถ้ ูกตอ้ ง
๒. ลดการหมกมุ่นพฤติกรรมเบ่ยี งเบนทางเพศลง การเรยี นรู้วิธลี ดความต้องการทางเพศ
๓. เพม่ิ ทกั ษะในการควบคมุ อารมณ์ และเพมิ่ ทักษะในการสรา้ งสมั พนั ธภาพกับเพศตรงข้าม
๔. ทาให้ตระหนักและรับรู้ภาวะจิตใจของผู้เสียหาย เพื่อให้รู้ว่าเหย่ือได้รับผลร้ายอย่างไร ทนทุกข์
ทรมานแค่ไหน ผลกระทบท่ีตามมามอี ะไร
๕. ทาใหเ้ ข้าใจถึงวงจรในการกลับไปกระทาผดิ ซ้าอีกและแนวทางในการหลีกเลย่ี งวงจรดงั กล่าว
สาหรับหลักสูตรและบทเรียนสาหรับให้ความรู้และปรับเปล่ียนทัศนคติผู้ต้องขัง จะมีความ
หลากหลายขนึ้ อยู่กบั การจาแนกลกั ษณะ อย่างไรกต็ ามโดยท่วั ไปหลักสูตรจะประกอบด้วย
๑) การสรา้ งแรงจงู ใจและสร้างบรรทัดฐานของกลุ่ม
๒) การทาความเข้าใจในการกระทาผิดของตน
๓) การเรยี นรู้ผลกระทบและความรูส้ ึกของผ้เู สียหาย
๔) เพศศึกษา
๕) การมีสัมพันธภาพที่ดกี ับเพศตรงขา้ ม
๖) การจดั การกบั อารมณเ์ พศและการปรบั พฤติกรรมต่อส่งิ เร้า
๗) การฝกึ ทักษะทางสังคม
๘) การควบคมุ อารมณ์
๙) การจัดการกับความเครยี ด
๑๐) ทักษะการแกป้ ญั หา
๑๑) การป้องกันการกระทาผิดซา้
~6~
โปรแกรมการแก้ไขผู้ต้องขังคดียาเสพตดิ
ผู้ต้องขังคดียาเสพติดมีหลายประเภททั้งท่ีเป็นผู้ค้า และผู้เสพซึ่งจะต้องมีการแยกปฏิบัติท่ี
แตกตา่ งกัน กล่าวคือ กลุ่มผู้ต้องขงั ทเ่ี ป็นผูค้ ้ารายใหญ่ ถอื เปน็ อาชญากร เปน็ ผู้ร้ายสาคัญ ตอ้ งใชม้ าตรการทาง
กฎหมายในการควบคุมอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้ออกไปก่อความเดือดร้อนต่อสังคมอีกในส่วนของผู้ต้องขังท่ี
เป็นผู้เสพต้องดาเนินการบาบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังเหล่าน้ี โดยการแยกปฏิบัติในทัณฑสถานบาบัดพิเศษ หรือใน
การบาบัดโดยวิธีการชมุ ชนบาบัด
สาหรับผู้ต้องขังท่ีเป็นผู้ค้ายาเสพติด ท่ีกระทาผิดเพราะความจาเป็น เพราะความยากจนหรือ
ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ และเพ่ิงจะเร่ิมเข้าสู่วงการยังไม่ได้กระทาเป็นอาชีพ และมีเครือข่ายเป็นกลุ่มท่ี
ควรได้รับการแก้ไขฟืน้ ฟใู ห้เลิกการขายยาเสพติด และเลกิ เกีย่ วข้องกับยาเสพติด
การจัดโปรแกรมเพ่ือแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติดท่ีกระทาโดยความจาเป็น จะต้องเร่ิมต้น
ด้วยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุในการกระทาผิดของผู้ต้องขังดังกล่าวก่อน เพ่ือกรองหาผู้กระทาผิดรายย่อยที่กระทา
ผดิ โดยความจาเปน็ ออกมา จากน้นั จงึ นาเขา้ สู่โปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟซู ึ่งจะเน้นเก่ียวกับ
๑. การฝึกวชิ าชพี
ผู้ต้องขังในคดีค้ายาเสพติดรายย่อยท่ีกระทาผิดโดยความจาเป็น ส่วนใหญ่จะทาผิดเพราะปัญหา
ทางเศรษฐกิจ ไม่มีอาชพี ที่จะเปน็ ทมี่ าของรายได้เลี้ยงชพี และครอบครัว จึงหนั ไปจาหน่ายหรอื ค้ายาเสพติดราย
ย่อย ดังนั้นการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังกลุ่มนี้ จึงต้องเน้นการฝึกอาชีพให้มีความรู้ทักษะในการประกอบอาชีพ
เพ่อื จะได้มีอาชพี เลย้ี งตนเองได้ และไมก่ ลบั ไปกระทาผิดอีก
การฝึกวิชาชีพดังกล่าวนี้จะต้องดาเนินการฝึกอย่างจริงจัง ไม่ใช่การใช้แรงงานหรือทางานรับจ้าง
แต่ต้องจัดเป็นหลักสูตรและฝึกอย่างจริงจัง เพ่ือให้สามารถประกอบอาชีพหลังพ้นโทษได้เช่น การฝึกวิชาชีพ
ระยะสั้น อาทิ การนวดฝ่าเท้า การนวดแผนโบราณ การทาอาหารและขนม การค้ารายย่อย ตลอดจนงาน
รบั จ้างอืน่ ๆ
๒. การฝึกจิตใจและการปรบั ทศั นคติ
ผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติดรายย่อยท่ีกระทาโดยความจาเป็น จะมีปัญหาด้านทัศนคติ ค่านิยมต่อ
การกระทาผิดกฎหมาย และการค้ายาเสพตดิ โดยถือวา่ เป็นส่ิงทคี่ นรอบขา้ งทากันหรอื เปน็ วิถที างท่หี าเงนิ ไดง้ ่าย
โดยไม่ต้องทางานหนัก และเป็นการหาเงินที่คุ้มค่าเส่ียงต่อการถูกจับกุมลงโทษดังนั้นการอบรมแก้ไข จึงต้อง
เน้นการปรับทัศนคติ ค่านิยมให้มีสัมมาอาชีวะ และรักการทางานสุจริตทั้งนี้โดยอาศัยหลักสูตร การอบรม
ผ่านกระบวนการกลุม่ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ ตวั อย่างหลกั สูตร เช่น
๑. พษิ ภัยและผลกระทบของยาเสพติด
๒. เทคนคิ การปฏเิ สธและหลีกหนจี ากเครือข่ายยาเสพติด
๓. สัมมาอาชีวะ
๔. จติ สานกึ ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสังคม
๕. พธิ สี าบานตนไมเ่ กี่ยวขอ้ งยาเสพตดิ
สิ่งสาคัญในการอบรมจะเน้นการใช้กระบวนการกลุ่มมาช่วย ในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ
การสรา้ งวนิ ยั เพอ่ื ให้สมาชิกได้ยึดตดิ และเกดิ การปรบั เปลย่ี นพฤติกรรม
~7~
โปรแกรมการปรบั พฤตกิ รรมผ้กู ระทา้ ผิดทีใ่ ชค้ วามรุนแรง
ปัญหาท่ีสาคัญในการปฏิบัติต่อผู้กระทาผิดที่ใช้ความรุนแรง (Violent Offender) คือ ปัญหา
เกีย่ วกับความหมายและขอบเขตว่าผู้กระทาผดิ ท่ีใชค้ วามรุนแรงหมายถึงอะไร การกระทาอยา่ งไรหรือใครบ้างที่จะ
ถอื ว่าเป็นผกู้ ระทาผดิ ที่ใช้ความรุนแรง
โดยทั่วไปการพิจารณาว่าอย่างไร จึงจะถือว่าเป็นผู้กระทาผิดที่ใช้ความรุนแรงนั้น สามารถแยก
พิจารณาได้ ๓ แนวทางโดยแนวทางท่ี ๑ ยึดถือประเภทคดีเป็นหลัก แนวท่ี ๒ ยึดถือพฤติกรรมและผลของความ
รุนแรงทีเ่ กิดขนึ้ เปน็ หลัก และแนวท่ี ๓ เปน็ แนวผสมระหว่างแนวที่ ๑ กับแนวที่ ๒
แนวที่ ๑ เป็นแนวที่ยึดถือประเภทคดีเป็นหลัก โดยถือว่าการกระทาใดที่เป็นความผิดในคดีที่
กาหนดไว้ถือว่าเปน็ ความผิดทใ่ี ช้ความรนุ แรง (Violent Crime) เช่น
- คดีฆ่าคนตาย
- คดที ารา้ ยรา่ งกาย
- คดขี ม่ ขนื และใชก้ าลงั ข่มขหู่ รอื ทาร้ายผูเ้ สยี หาย
- คดปี ล้นทรัพย์ ชงิ ทรัพยท์ ใี่ ช้อาวธุ
ทั้งน้ีผู้กระทาผิดในคดีดังกล่าวถือเป็นผู้กระทาผิดท่ีใช้ความรุนแรง โดยรวมถึงความผิดในคดี
พยายามกระทาผิดด้วย ท้ังนี้จะไม่พิจารณาว่าผู้เสียหายจะได้รับผลร้ายเพียงไรหากมีการกระทาผิดในคดี
ดงั กล่าวกถ็ ือวา่ ผู้กระทาผิดใช้ความรนุ แรง แต่จะต้องเขา้ รับการบาบดั หรือไมน่ ้ันจะต้องมีการคดั กรองอีกช้ันหนึง่
แนวท่ี ๒ เป็นแนวที่ยึดพฤติกรรมท่ใี ช้ความรุนแรง และผลร้ายทผ่ี ู้เสียหายไดร้ ับเป็นหลกั โดยไม่
พจิ ารณาวา่ เป็นการกระทาผิดในคดีอะไร หากกระทาผิดในคดอี าญาใดๆ ก็ตามถา้ ทาให้ผเู้ สียหายไดร้ บั บาดเจ็บ
หรือได้รับผลร้ายท้ังทางกายหรือจิตใจ ก็ถือว่าเป็นการกระทาผิดที่ใช้ความรุนแรงแล้ว และผู้กระทาผิดก็ถือว่า
เป็นผู้กระทาผิดที่ใช้ความรุนแรง ซ่ึงเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะนาเข้าโปรแกรมบาบัด เช่น กรณีกระทาผิดในคดี
ขม่ ขืนมีการบงั คบั ขูเ่ ขญ็ หรอื ทารา้ ยเหย่อื หรอื กรณียิงปนื ขน้ึ ไปบนรถเมล์ เป็นตน้
แนวที่ ๓ เป็นแนวผสมระหว่างแนวท่ี ๑ กับแนวที่ ๒ คือเป็นแนวที่ยึดทั้งประเภทคดีและ
พฤติกรรม กล่าวคือ การกระทาผิดที่ใช้ความรุนแรงจะหมายถึงการกระทาผิดในประเภทคดีท่ีกาหนดไว้ เช่น
คดีฆ่าคนตาย คดที าร้ายรา่ งกาย คดีปล้นทรัพย์ คดชี ิงทรัพย์ ที่ผู้กระทาผิดใช้กาลังทารา้ ยผูเ้ สยี หายหรอื ใชอ้ าวุธ
ข่มขู่บังคับผู้เสียหาย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของการพิจารณาท้ังประเภทคดี และพฤติกรรมการกระทาผิดโดย
ผูก้ ระทาผดิ ดังกล่าวจะถอื เป็นผทู้ เ่ี ข้าเกณฑ์ไดร้ ับบาบดั ตามโปรแกรมทกี่ าหนด
อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าผู้กระทาผิดท่ีใช้ความรุนแรงทุกคน จะต้องเข้ารับการบาบัด
เพราะในการจัดโปรแกรมบาบัดผู้กระทาผิดท่ีใช้ความรุนแรงนั้น จะต้องมีการแยกกลุ่ม แยกประเภทของผู้ที่
จะต้องเข้าโปรแกรมแต่ละโปรแกรมซึ่งจะต้องจัดแตกต่างกันไป ตามกลุ่มเป้าหมายท่ีแตกต่างกัน เช่น อาจมี
การจัดโปรแกรมบาบัดสาหรบั ผู้กระทาผดิ ท่ีใชค้ วามรนุ แรงท่มี ีปัญหาทางจิตหรือโปรแกรมสาหรับผกู้ ระทาผดิ ท่ี
ใช้ความรุนแรงเนื่องจากไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ดังน้ันโปรแกรมในการบาบัดผู้กระทาผิดท่ีใช้
ความรนุ แรง จงึ มีความหลากหลายขนึ้ อยู่กับกลมุ่ เปา้ หมายซ่งึ แตกต่างกันและวธิ กี ารบาบดั กแ็ ตกตา่ งกนั เชน่ กนั
จดุ สาคัญในการคัดเลือกคนเข้าสู่โปรแกรมบาบัดน้ัน ก็คือการวิเคราะห์สาเหตุของการกระทาผิด
และการจัดประเภทผู้กระทาผิด โดยอาจพัฒนาเกณฑ์มาใช้ในการจาแนกเพ่ือจัดกลุ่มและคัดเลือกเข้ารับการ
บาบัดตามโปรแกรม ซึ่งเม่ือพิจารณาในภาพรวมอาจแยกประเภทของโปรแกรมการบาบัดผู้กระทาผิดที่ใช้ความ
รุนแรงได้ดังน้ี
~8~
ก. โปรแกรมท่เี นน้ การควบคมุ ตนเอง
โปรแกรมประเภทนี้เป็นโปรแกรมที่ฝึกทักษะให้ผู้กระทาผิดรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง รู้จักลด
หรืออดทนต่อแรงกระทบหรือฝึกเทคนิคการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ฝึกทักษะทางสังคมและการแก้ปัญหาใน
ชีวิตประจาวัน จุดมุ่งหมายหลักคือให้รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่นและรู้จักควบคุมสถานการณ์หลีกเลี่ยงสิ่งที่มาย่ัวยุ
หรอื ทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ ไมพ่ อใจ
ข. โปรแกรม การปรบั ความคดิ
โปรแกรมน้ีจะเน้นการปรับความคิด ค่านิยม และความเช่ือ เก่ียวกับความก้าวร้าวของ
ผู้กระทาผิดโดยมีความเช่ือว่าพฤติกรรมความก้าวร้าวของผู้กระทาผิดเป็นผลมาจากค่านิยมในทางสังคมของ
ผู้กระทาผิด ผู้กระทาผิดส่วนใหญ่จะมีความบกพร่องในทักษะการแก้ปัญหาทางสังคม นิยมการใช้ความรุนแรง
ในการแก้ปญั หาและเป็นผทู้ ี่ขาดทักษะในการท่จี ะใชว้ ิธกี ารแกป้ ัญหาโดยสนั ตวิ ธิ ี
วิธีการในการปรับค่านิยมและอารมณ์ดังกล่าว จะเน้นการน่ังสมาธิเพ่ือให้อารมณ์สงบและคิด
ไตร่ตรองและมองแนวทางใหม่ในการดาเนินชีวติ แทนการใช้ความกา้ วร้าว ความรุนแรง ในการดาเนินชีวิต การ
ฝกึ จะเน้นทักษะการปรบั จิตใจ ปรับความคดิ และปรบั คา่ นยิ มใหม่
ค. โปรแกรมการบา้ บัดผู้กระทา้ ผดิ โรคจติ
ผู้กระทาผิดท่ีใช้ความรุนแรงบางประเภทเป็นพวกท่ีมีความบกพร่องทางจิต การได้กระทาความ
รุนแรง การแสดงออกซ่ึงความก้าวร้าว การได้เห็นผู้อื่นเจ็บปวด เป็นความพอใจความสะใจของ
ผู้กระทาผิด โดยที่ตนเองไม่คดิ วา่ ส่ิงที่ทาเป็นสิ่งที่ผิด ไมส่ านึกผิดแต่เป็นสงิ่ ท่ีถูกต้องท่ีตอ้ งทา โดยทกุ คร้ังที่มี
การกระทาผิดดว้ ยความรนุ แรง พวกนี้จะหาเหตุผลมาสนบั สนุนการกระทาของตนเองเสมอ
วิธีการบาบัดพวกนี้ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการชุมชนบาบัด T.C.โดยใช้กลุ่มบาบัดในการปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมควบคุมไปกับการบาบัดทางจิต โดยโปรแกรมจะต้องดาเนินการโดยนักจิตวิทยา หรือจิตวิทยาบาบัด
เพือ่ ปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมของผูต้ ้องขังประเภทนีโ้ ดยเสมอ
หลักสูตรท่ีใช้ในการปรับพฤติกรรมผู้กระทาผิดท่ีใชค้ วามรุนแรงนี้มหี ลากหลายวิชา ข้ึนอยู่กบั การ
จาแนกลักษณะผูต้ ้องขังที่เขา้ กลุ่มแต่ละรุ่น แต่ละกลมุ่ แตล่ ะวัย อยา่ งไรกต็ ามโดยท่ัวไปหลักสูตรประกอบไปดว้ ย
๑. แนะนากระบวนการของการเปลยี่ นแปลงทศั นคติพฤตกิ รรม
๒. คน้ หาสาเหตคุ วามรุนแรงของแต่ละบุคคล
๓. ทกั ษะในการจัดการกับความโกรธและความเครียด
๔. ทกั ษะในการแกป้ ญั หาในชวี ติ การตัดสินใจในการดาเนนิ ชวี ติ
๕. ทักษะการเปลี่ยนแปลงความเชอ่ื และค่านยิ มทจี่ ะนาไปสูค่ วามรุนแรง
๖. การมสี มั พนั ธภาพที่ดีต่อคนใกลช้ ิด หรือผูท้ ่ีตดิ ต่อดว้ ย
๗. ทกั ษะในการสอ่ื สารและเจรจาต่อรอง
๘. การดาเนินชีวิตแบบสร้างสรรค์
๙. การควบคมุ อารมณ์ของตนเอง
๑๐. การรบั ร้ผู ลกระทบของผเู้ สยี หาย
๑๑. การป้องกนั การกระทาผดิ ซา้
นอกจากหลักสูตรเฉพาะที่จัดไว้ สาหรับการปรับพฤติกรรมผู้ต้องขังประเภทต่างๆ แล้วอาจมีการนา
กิจกรรมกลมุ่ ในรูปแบบต่างๆ มาใชเ้ ป็นเครอื่ งมือในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขังร่วมดว้ ย เชน่
ชุมชนบ้าบดั เป็นกิจกรรมที่ใช้อิทธพิ ลกลมุ่ ช่วยปรบั เปล่ียนทัศนคติและแก้ไขแนวความคิดแบบมี
เหตุมผี ล
~9~
ดนตรีบ้าบัด เป็นกจิ กรรมท่ีใช้ดนตรเี ป็นเคร่ืองมือปรงุ แต่งอารมณ์ ให้มีนิสัยออ่ นโยน ลดความ
กา้ วรา้ ว
ศิลปบ้าบัด เป็นการให้ผู้ต้องขังได้ใช้ศิลปะในการบาบัดรักษาฟ้ืนฟูสภาพจิตใจ ผ่อนคลาย
ความเครยี ดและเสรมิ สร้างสมาธิ
อาชีวบ้าบัด เป็นการให้ผู้ต้องขังได้รับการฝึกวิชาชีพ และทางานตามความถนัด เพ่ือพัฒนา
ทักษะในการประกอบอาชพี ภายหลังพ้นโทษ
ศาสนาบา้ บดั เพอื่ ฝึกให้จติ ใจสงบ ละเลกิ ลดความโกรธ รูจ้ กั ควบคุมตนเอง
กฬี าบ้าบัด เพ่ือให้ผู้ต้องขังมีสุขภาพพลานามัยแขง็ แรง มีวินัยในตนเอง และมีน้าใจเป็นนักกีฬา
รู้แพ้ รชู้ นะ รอู้ ภัย
ครอบครัวบ้าบัด เป็นการนาครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขัง ซ่ึงนับว่ามีส่วน
สาคญั อย่างย่ิงต่อการปรับพฤติกรรมผ้ตู อ้ งขงั ควรนามาใช้กบั โปรแกรมการแก้ไขทุกโปรแกรม
อย่างไรก็ตาม การจัดหลักสูตรในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขัง ไม่สามารถกาหนดแน่นอนตายตัวได้
เนอื่ งจากผูต้ ้องขังมสี าเหตุและมลู เหตุจูงใจ และพฤติกรรมในการกระทาผดิ ท่แี ตกต่างกัน ทีน่ าเสนอมาเป็นเพียง
ตัวอย่างให้เรอื นจา/ทัณฑสถานนาไปประยุกตใ์ ช้ตามความเหมาะสม ซ่ึงทีมงานของนักบาบัดหรือผู้จดั โปรแกรม
จะเป็นฝ่ายกาหนดหลักสูตร เพ่อื ให้เหมาะสมสอดคลอ้ งกับกลุ่มเป้าหมายท่ีตอ้ งการนามาแก้ไขบาบัดฟืน้ ฟู ซ่ึงจะ
ทราบได้จากผลของการจาแนกลักษณะผตู้ ้องขงั เพื่อการแก้ไขน่ันเอง
บุคลากรผู้รบั ผดิ ชอบด้านการแก้ไขฟ้นื ฟูผู้ต้องขัง
บุคลากรท่ีจะดาเนินการตามโปรแกรมการแก้ไขฟน้ื ฟผู กู้ ระทาผิด จะต้องเป็นทมี งาน ซึง่ ประกอบด้วย
ขันตอน บคุ ลากรผ้รู ับผดิ ชอบ
๑. กาหนดกลมุ่ เปา้ หมาย ผบู้ รหิ าร
๒. การจาแนกเพื่อการแก้ไขหรอื ประเมนิ เจ้าหน้าท่ีจาแนก, นกั จติ วิทยา,
นกั สังคมสงเคราะห์ , เจ้าหน้าที่
ผู้ต้องขังเปน็ รายบคุ คล ที่ผา่ นการฝึกอบรม
- วิทยากรของเรือนจา ได้แก่
๓. การดาเนินการตามโปรแกรมหรอื เจ้าหนา้ ทท่ี ่ผี า่ นการฝึกอบรม, นักจติ วิทยา,
ขน้ั ตอนการบาบดั ฟ้นื ฟู นกั สงั คมสงเคราะห,์ เจ้าหนา้ ทตี่ ่างๆ เช่น
ฝ่ายฝึกวิชาชีพฝ่ายการศกึ ษา ฝ่ายควบคุม
และฝา่ ยอนื่ ๆ
- วทิ ยากรจากหนว่ ยงานภายนอก
- วทิ ยากรจากกรมราชทัณฑ์
~ 10 ~
ระยะเวลาด้าเนนิ การ
มีการจัดอบรมผู้ต้องขังตามโปรแกรมไม่น้อยกว่า ๑ เดือน โดยมีหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ต้องขัง
ในข้ันบาบัดฟ้ืนฟู ไม่รวมข้ันเตรียมการ การประเมินความรู้ ทัศนคติ ทักษะและพฤติกรรม หลังการเข้า
โปรแกรม ระยะเวลาไม่นอ้ ยกว่า ๖๐ ช่วั โมง
การประเมินผล
การประเมินผลเป็นส่ิงท่ีจาเป็นสาหรับการดาเนินการตามโปรแกรมการแก้ไขผู้ต้องขัง เพราะจะ
สามารถตอบคาถามเก่ียวกับผลสาเรจ็ ของงานและความคุม้ ค่าของการดาเนินการ ดังนั้น การจดั โปรแกรมการ
แก้ไขผู้ต้องขังไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมพ้ืนฐาน หรือโปรแกรมเฉพาะคดี หรือแม้แต่โปรแกรมย่อยก็สามารถ
ดาเนินการประเมนิ ผลได้
ระดบั ของการประเมินผล
การประเมนิ ผลมหี ลายระดับเริ่มจากการประเมนิ แบบงา่ ยๆ คอื
ระดับ ๑ การประเมินความรู้สึกหรือประเมินปฏิกิริยาของผู้เข้ารับการบาบัดหรือแก้ไข เป็นการ
ประเมินเบ้ืองต้นแบบผิวเผินเพ่ือที่จะดูว่าผู้รับการอบรมหรือบาบัดรู้สึกอย่างไรต่อโปรแกรม ทั้งนี้ทาได้โดยใช้
แบบสอบถามหรอื การสัมภาษณ์หลังการอบรมหรือหลังจบโปรแกรม
ระดับ ๒ คือการประเมินความพยายามหรือประเมินสิ่งท่ีเราทาลงไปหรือการประเมินการดาเนินงาน
เช่น ดูว่าได้อบรมกี่ช่ัวโมง ได้จัดกลุ่มกี่ครั้ง ได้จัดกิจกรรมอะไรบ้าง เป็นการประเมินว่าได้ทาอะไรไปบ้าง มาก
นอ้ ยกค่ี รงั้ (แต่ไมไ่ ดป้ ระเมินวา่ ไดผ้ ลแคไ่ หน) คอื เพียงแตเ่ สนอว่าไดท้ าอะไรไปบา้ ง
ระดับ ๓ เป็นการประเมินผลลัพธ์ของการดาเนินการหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Output คือดูว่า
เม่ือดาเนินโครงการไปหรือจัดโปรแกรมบาบัดไปแล้วมีผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติหรือพฤติก รรม
ในตัวผู้เข้ารับการบาบัดอย่างไรบ้าง มีความรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่งแก้ไขพฤติกรรมผู้ต้องขังได้ผลตาม
ทีต่ อ้ งการหรอื ไม่
ระดับ ๔ เป็นการประเมินไปถึงผลลัพธ์สุดท้าย (Outcome) คือดูว่าเม่ือดาเนินโปรแกรมไปแล้ว
ผู้ต้องขังท่ีผ่านโปรแกรมดังกล่าวเมื่อพ้นโทษไปแล้ว กลับไปกระทาผิดซ้าในเรื่องเดิมอีกหรือไม่ ถ้าไม่กลับไป
กระทาผิดซา้ อีกกแ็ สดงวา่ โปรแกรมได้ผลในการทาใหผ้ ้ตู ้องขังไมก่ ลบั ไปกระทาผิดซ้าอีก
ระดับ ๕ เป็นการประเมินผลกระทบหรือประเมินสภาพแวดล้อม เช่น การประเมินว่าเมื่อดาเนินการ
ตามโปรแกรมไปแล้วได้ผลแค่ไหน ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ต้องขังมากน้อยแค่ไหน ใช้
งบประมาณไปเท่าไร คุ้มค่าหรือ มีผลเสียหรือผลกระทบอย่างไร หรือไม่ (เช่น ผลกระทบต่อการอบรมในเร่ือง
อ่ืนหรือทาให้เจ้าหน้าที่รบั ภาระหนักหรอื ทาให้เรือนจาบริหารงานยากขึ้น) หรอื มีกระทบในทางบวกใดบ้างและ
พิจารณาความคุ้มคา่ วา่ คุ้มค่าหรอื ไม่ โดยพิจารณาจากผลได้ ผลเสยี
การท่ีจะเลือกว่าจะประเมินในระดับใดนั้นขึ้นอยู่กับว่า ผู้ประเมินประสงค์จะได้รับคาตอบในระดับใด
และขดี ความสามารถของผู้ประเมินมีเท่าใด เน่ืองจากการประเมินในระดับสูงข้ึนไปทาได้ยากข้ึนและใช้เวลาใน
การประเมินนานข้ึนและมีตัวแปรแทรกซ้อนมากข้ึน ดังนั้น ปกติการประเมินโปรแกรมการแก้ไขผู้ต้องขังจะ
เป็นการประเมินในระดับที่ ๓ คือการประเมินถึงการเปลี่ยนแปลงในความรู้ ทัศนคติ หรือพฤติกรรมของ
ผู้ต้องขังวา่ หลังจากท่ีได้ด้าเนินการโปรแกรมแก้ไขผู้ต้องขังไปแล้วโปรแกรมได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในพฤติกรรมของผู้ต้องขังท่ีเขา้ โปรแกรมในทางท่ีดีขึนอย่างไรหรอื ไม่ มีความรเู้ พิ่มขึน ทัศนคติเปล่ียนไป
ในทางบวกหรือแม้แต่การเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่ เช่น พิจารณาว่าผู้ต้องขังท่ีเข้าโปรแกรมบ้าบัดความ
ก้าวร้าวหรือการใช้ความรุนแรงได้มีการเปล่ียนแปลง คือ มีความก้าวร้าว หรือมีพฤติกรรมการใช้ความ
รนุ แรงลดลงหรอื ไม่
~ 11 ~
ผลผลิต / ผลลัพธ์
ผตู้ อ้ งขงั มีการเปลี่ยนแปลงทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรมในทางท่ีดขี ึ้นภายหลังการอบรม
ตัวชีวัดความสา้ เร็จ
๑. ผตู้ ้องขงั ท่ีผ่านการอบรม หากยังไมพ่ น้ โทษไม่กระทาผดิ วินัยในเรือนจา/ทัณฑสถาน
๒. ผู้ตอ้ งขงั ท่ีผา่ นการอบรม หากพน้ โทษแล้วไม่กลับมากระทาผดิ ซ้าอีก
การรายงานผลแนวทางการแก้ไขฟื้นฟูผ้ตู ้องขัง
๑. โครงการท่ีผ่านการอนมุ ัติจากผู้บงั คบั บัญชา (ผู้บัญชาการเรือนจา/ผู้อานวยการทณั ฑสถาน)
๒. ตารางหลักสูตรการฝึกอบรม
๓. บญั ชรี ายชอ่ื ผตู้ อ้ งขังที่เข้าโปรแกรม
๔. แบบประเมินผลการเปลีย่ นแปลงทศั นคติ และพฤตกิ รรมของผู้ตอ้ งขงั
๕. แบบประเมินความคิดเหน็ ของผู้ตอ้ งขังตอ่ การเข้าร่วมโปรแกรมแก้ไขฟน้ื ฟู
๖. แบบรายงานผลการจดั โปรแกรมแก้ไขฟนื้ ฟผู ้ตู ้องขังและภาพถ่ายแบบรายงานการใชจ้ า่ ยงบประมาณ
~ 12 ~
หลกั สูตรการจัดโปรแกรมการแก้ไขฟ้นื ฟผู ตู้ อ้ งขังตามลักษณะแห่งคดแี ละพฤติการณก์ ารกระทาผดิ
๑. โปรแกรมการแก้ไขผู้กระทาผิดทางเพศ
๒. โปรแกรมการปรับพฤติกรรมผกู้ ระทาผิดทใ่ี ชค้ วามรุนแรง
๓. โปรแกรมการแกไ้ ขผกู้ ระทาผิดเกีย่ วกบั ชีวติ และร่างกาย
๔. โปรแกรมการแก้ไขผกู้ ระทาผิดเกีย่ วกบั ทรัพย์
๕. โปรแกรมการแกไ้ ขผคู้ า้ ยาเสพตดิ
๖. โปรแกรมการปรบั พฤติกรรมผูก้ ระทาผิดอนั เน่ืองมาจากการดม่ื สรุ า
๗. โปรแกรมยตุ ิธรรมนาสันติสุข
๘. โปรแกรมการแกไ้ ขผู้กระทาผิดซา
๙. โปรแกรมเฉพาะสาหรับผตู้ อ้ งขงั ท่วั ไปท่ีมโี ทษระยะสัน
๑๐. โปรแกรมเฉพาะสาหรบั ผู้ตอ้ งขังทั่วไปที่มโี ทษระยะสัน (พักโทษกรณีพเิ ศษ)
~ 13 ~
หลกั สูตรการจดั โปรแกรมการแก้ไขผ้กู ระทาผิดทางเพศ
วชิ า ระยะเวลา วทิ ยากร
สารวจคดั เลอื กกล่มุ เปา้ หมาย เจ้าหน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลกั ษณะเพ่อื การแกไ้ ข เจ้าหน้าทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพ่อื เตรยี มความพรอ้ มกอ่ นเข้าโปรแกรม เจ้าหน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
ประเมินบุคลกิ ภาพ/สขุ ภาพจิต นักจิตวิทยา/พยาบาล/นกั สงั คมสงเคราะห์
ประเมินความร/ู้ ทกั ษะ/ทศั นคติ และพฤติกรรมก่อนเข้าโปรแกรม เจ้าหนา้ ทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
วชิ าพน้ื ฐาน
๑. การรจู้ ักและเขา้ ใจตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๒. การสร้างแรงจงู ใจในการเปล่ยี นแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชวี ติ ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวเิ คราะหแ์ ละการสรา้ งอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก (จดั หางานจังหวดั ,
สภาอตุ สาหกรรมจังหวัด สโมสรโรตารี่ ฯล
๕. การสรา้ งจติ สานึกและความรับผดิ ชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๖. กฎหมายเบืองตน้ ทีป่ ระชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผเู้ ช่ยี วชาญดา้ นกฎหมาย/นกั กฎหมาย
๗. ทักษะการป้องกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครัว (การใหค้ าปรึกษาในครอบครวั ) ๓ ชม. ,,
๙. ทกั ษะชวี ติ life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจดั การกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วิชาบงั คับตามลักษณะแห่งคดี
๑. การให้ความรเู้ ก่ยี วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดีความผดิ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
เก่ียวกบั เพศ
๒. การทาความเข้าใจกับพฤติกรรมการกระทาผิดของตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ีผ่านการอบรม
๓. เพศศึกษาและการมสี มั พันธภาพทดี่ กี ับเพศตรงข้าม ๖ ชม. ,,
๔. การจดั การกบั ปัจจยั ท่ีเปน็ ส่งิ เรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ท์และการพฒั นาความผูกพันทางสงั คม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉนั ทร์ ะหว่างผตู้ ้องขังกับเหยอ่ื , ผตู้ อ้ งขังกับสงั คม,
ผ้ตู อ้ งขงั กบั ครอบครวั )
๖. กลุ่มบาบดั เชน่ ดนตรีบาบดั ศลิ ปะบาบดั ละครบาบัด ๖ – ๑๕ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในท่ผี า่ นการอบรม
กฬี าบาบัด สตบิ าบดั ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมนิ ความรู้ ทศั นคติ ทกั ษะและพฤติกรรม หลังการเขา้ โปรแกรม เจา้ หน้าทีเ่ รอื นจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบดั ฟนื้ ฟู ๖๐ ชม.
สรปุ
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สตู ร ในขนั้ บาบดั ฟ้ืนฟู ไมน่ ้อยกว่า ๖๐ ชว่ั โมง แบ่งเป็น
๑. วชิ าพนื้ ฐาน ไม่นอ้ ยกว่า ๓๐ ช่วั โมง
๒. วิชาเฉพาะคดี ไม่นอ้ ยกว่า ๓๐ ชว่ั โมง
หมายเหตุ : ให้ผ้เู ขา้ รบั การอบรมเขา้ รบั การฝกึ ระเบียบวนิ ยั แบบเขม้ ขน้ โดยไมน่ ับจานวนช่ัวโมง
~ 14 ~
หลักสตู รการจัดโปรแกรมการปรับพฤติกรรมผู้กระทาผดิ ทใ่ี ช้ความรุนแรง
วชิ า ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลือกกลุ่มเป้าหมาย เจ้าหนา้ ท่ีเรอื นจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลกั ษณะเพื่อการแกไ้ ข เจา้ หน้าที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพ่อื เตรียมความพร้อมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจา้ หนา้ ท่ีเรือนจา/ทณั ฑสถาน
ประเมนิ บุคลกิ ภาพ/สขุ ภาพจิต นกั จติ วทิ ยา/พยาบาล/นักสังคมสงเคราะห์
ประเมนิ ความร/ู้ ทกั ษะ/ทศั นคติ และพฤติกรรมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจา้ หน้าที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
วชิ าพน้ื ฐาน
๑. การรจู้ กั และเข้าใจตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผ่ี ่านการอบรม
๒. การสรา้ งแรงจงู ใจในการเปล่ียนแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนนิ ชีวติ ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวเิ คราะหแ์ ละการสรา้ งอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก (จัดหางานจังหวดั ,
สภาอุตสาหกรรมจงั หวดั สโมสรโรตาร่ี ฯล
๕. การสรา้ งจติ สานึกและความรบั ผิดชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผี่ ่านการอบรม
๖. กฎหมายเบืองต้นทป่ี ระชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผ้เู ช่ยี วชาญดา้ นกฎหมาย/นกั กฎหมาย
๗. ทกั ษะการป้องกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในท่ีผา่ นการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครัว (การให้คาปรกึ ษาในครอบครวั ) ๓ ชม. ,,
๙. ทกั ษะชีวิต life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทกั ษะการจัดการกับอารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วชิ าบงั คบั ตามลักษณะแห่งคดี
๑. การให้ความรเู้ ก่ยี วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผ่านการอบรม
เกยี่ วกบั ความรนุ แรง
๒. การทาความเข้าใจกับพฤตกิ รรมการกระทาผิดของตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผ่ี ่านการอบรม
๓. ทกั ษะการเปล่ียนแปลงความเช่อื และค่านิยมทจี่ ะนาไปสคู่ วาม ๖ ชม. ,,
รุนแรง
๔. การจดั การกบั ปัจจยั ทีเ่ ปน็ สง่ิ เรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กจิ กรรมสมานฉนั ทแ์ ละการพฒั นาความผกู พนั ทางสังคม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉันทร์ ะหวา่ งผตู้ อ้ งขงั กับเหยือ่ , ผตู้ อ้ งขังกับสงั คม,ผตู้ ้องขงั กบั
ครอบครวั )
๖. กลุม่ บาบัด เช่น ดนตรีบาบดั ศิลปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในท่ีผ่านการอบรม
กีฬาบาบัด สตบิ าบดั ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมนิ ความรู้ ทัศนคติ ทักษะและพฤตกิ รรม หลงั การเขา้ โปรแกรม เจา้ หนา้ ทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบดั ฟ้ืนฟู ๖๐ ชม.
สรุป
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สูตร ในข้ันบาบดั ฟนื้ ฟู ไมน่ ้อยกว่า ๖๐ ชัว่ โมง แบ่งเปน็
๑. วิชาพื้นฐาน ไม่นอ้ ยกวา่ ๓๐ ชั่วโมง
๒. วชิ าเฉพาะคดี ไม่นอ้ ยกว่า ๓๐ ชวั่ โมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ้เู ขา้ รับการอบรมเข้ารับการฝึกระเบียบวินยั แบบเข้มข้นโดยไมน่ ับจานวนชัว่ โมง
~ 15 ~
โปรแกรมการแกไ้ ขผกู้ ระทาผดิ เกี่ยวกบั ชวี ติ และร่างกาย
วิชา ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลอื กกลุม่ เปา้ หมาย เจา้ หนา้ ทีเ่ รือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลกั ษณะเพือ่ การแกไ้ ข เจ้าหนา้ ที่เรอื นจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนเิ ทศเพือ่ เตรียมความพรอ้ มกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจ้าหน้าทเี่ รอื นจา/ทณั ฑสถาน
ประเมินบคุ ลิกภาพ/สุขภาพจิต นักจิตวิทยา/พยาบาล/นกั สงั คมสงเคราะห์
ประเมินความร/ู้ ทกั ษะ/ทศั นคติ และพฤตกิ รรมก่อนเข้าโปรแกรม เจา้ หนา้ ที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
วชิ าพืน้ ฐาน
๑. การรจู้ ักและเข้าใจตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผ่ี ่านการอบรม
๒. การสรา้ งแรงจงู ใจในการเปลย่ี นแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชวี ติ ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวิเคราะหแ์ ละการสร้างอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก (จดั หางานจังหวัด ,
สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สโมสรโรตาร่ี ฯล
๕. การสรา้ งจติ สานึกและความรับผิดชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๖. กฎหมายเบอื งตน้ ทป่ี ระชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผ้เู ชย่ี วชาญดา้ นกฎหมาย/นกั กฎหมาย
๗. ทักษะการป้องกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ผี า่ นการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครวั (การใหค้ าปรึกษาในครอบครัว) ๓ ชม. ,,
๙. ทักษะชีวิต life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจดั การกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วิชาบงั คบั ตามลกั ษณะแหง่ คดี
๑. การให้ความรเู้ ก่ยี วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
เก่ยี วกับชีวติ และร่างกาย
๒. การทาความเข้าใจกบั พฤตกิ รรมการกระทาผดิ ของตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๓. ทักษะการเปลย่ี นแปลงความเชื่อและค่านยิ มทจี่ ะนาไปสู่ความ ๖ ชม. ,,
รุนแรง
๔. การจดั การกบั ปัจจัยท่เี ปน็ สงิ่ เรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ทแ์ ละการพฒั นาความผกู พันทางสงั คม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉนั ทร์ ะหวา่ งผตู้ ้องขงั กบั เหยือ่ , ผู้ตอ้ งขงั กบั สังคม,ผู้ต้องขงั กับ
ครอบครวั )
๖. กลมุ่ บาบดั เชน่ ดนตรีบาบัด ศิลปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
กีฬาบาบดั สตบิ าบดั ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมินความรู้ ทัศนคติ ทกั ษะและพฤติกรรม หลงั การเขา้ โปรแกรม เจา้ หน้าทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบดั ฟืน้ ฟู ๖๐ ชม.
สรปุ
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สูตร ในขนั้ บาบดั ฟนื้ ฟู ไมน่ ้อยกว่า ๖๐ ช่ัวโมง แบง่ เป็น
๑. วชิ าพ้นื ฐาน ไมน่ ้อยกวา่ ๓๐ ชวั่ โมง
๒. วชิ าเฉพาะคดี ไมน่ ้อยกว่า ๓๐ ช่วั โมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ู้เข้ารบั การอบรมเข้ารับการฝึกระเบยี บวินัยแบบเขม้ ข้นโดยไมน่ ับจานวนช่วั โมง
~ 16 ~
โปรแกรมการแก้ไขผกู้ ระทาผิดเกย่ี วกับทรัพย์
วิชา ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลอื กกลุ่มเป้าหมาย เจา้ หน้าทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลักษณะเพ่ือการแกไ้ ข เจ้าหน้าท่ีเรอื นจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพอื่ เตรยี มความพร้อมกอ่ นเข้าโปรแกรม เจ้าหน้าทีเ่ รอื นจา/ทณั ฑสถาน
ประเมนิ บุคลกิ ภาพ/สุขภาพจิต นักจติ วทิ ยา/พยาบาล/นักสังคมสงเคราะห์
ประเมินความร/ู้ ทักษะ/ทศั นคติ และพฤติกรรมก่อนเข้าโปรแกรม เจ้าหนา้ ทเี่ รือนจา/ทณั ฑสถาน
วิชาพ้นื ฐาน
๑. การรจู้ ักและเขา้ ใจตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ีผา่ นการอบรม
๒. การสรา้ งแรงจูงใจในการเปลีย่ นแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๓ ชม. ,,
๔. การวิเคราะห์และการสร้างอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก (จัดหางานจงั หวัด ,
สภาอุตสาหกรรมจงั หวดั สโมสรโรตาร่ี ฯล
๕. การสรา้ งจิตสานกึ และความรบั ผดิ ชอบ ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ีผ่านการอบรม
๖. กฎหมายเบืองต้นทปี่ ระชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผู้เช่ยี วชาญด้านกฎหมาย/นักกฎหมาย
๗. ทักษะการปอ้ งกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผี่ า่ นการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครวั (การใหค้ าปรกึ ษาในครอบครัว) ๓ ชม. ,,
๙. ทกั ษะชวี ิต life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจดั การกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วิชาบังคบั ตามลักษณะแห่งคดี
๑. การให้ความรเู้ กี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ีผา่ นการอบรม
เกี่ยวกบั ทรพั ย์
๒. การทาความเขา้ ใจกับพฤติกรรมการกระทาผดิ ของตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผี่ า่ นการอบรม
๓. การประสบความสาเรจ็ ด้วยสมั มาอาชีวะ ๖ ชม. ,,
๔. การจดั การกบั ปจั จยั ทเ่ี ปน็ สิ่งเรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ทแ์ ละการพฒั นาความผกู พันทางสงั คม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉนั ทร์ ะหวา่ งผตู้ ้องขังกับเหยอื่ , ผูต้ ้องขังกบั สังคม,ผู้ตอ้ งขงั กบั
ครอบครัว)
๖. กลุม่ บาบดั เช่น ดนตรบี าบัด ศลิ ปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผ่ี า่ นการอบรม
กีฬาบาบัด สตบิ าบัด ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมินความรู้ ทัศนคติ ทกั ษะและพฤตกิ รรม หลงั การเข้าโปรแกรม เจา้ หนา้ ทเี่ รือนจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบดั ฟ้นื ฟู ๖๐ ชม.
สรุป
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สูตร ในขน้ั บาบดั ฟ้นื ฟู ไมน่ อ้ ยกว่า ๖๐ ช่ัวโมง แบง่ เปน็
๑. วชิ าพื้นฐาน ไมน่ ้อยกว่า ๓๐ ช่วั โมง
๒. วชิ าเฉพาะคดี ไมน่ ้อยกว่า ๓๐ ชวั่ โมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ู้เขา้ รบั การอบรมเขา้ รบั การฝึกระเบียบวินัยแบบเข้มขน้ โดยไมน่ บั จานวนชัว่ โมง
~ 17 ~
โปรแกรมการแกไ้ ขผคู้ ้ายาเสพตดิ
วชิ า ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลือกกลมุ่ เปา้ หมาย เจ้าหน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลักษณะเพอื่ การแกไ้ ข เจา้ หน้าท่ีเรอื นจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพ่ือเตรียมความพรอ้ มกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจ้าหนา้ ทเี่ รือนจา/ทณั ฑสถาน
ประเมนิ บุคลิกภาพ/สขุ ภาพจิต นักจติ วทิ ยา/พยาบาล/นักสงั คมสงเคราะห์
ประเมนิ ความร/ู้ ทักษะ/ทศั นคติ และพฤติกรรมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจ้าหน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
วชิ าพ้นื ฐาน
๑. การรจู้ ักและเขา้ ใจตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๒. การสร้างแรงจงู ใจในการเปล่ียนแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชีวติ ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวิเคราะห์และการสรา้ งอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก (จัดหางานจังหวดั ,
สภาอุตสาหกรรมจังหวดั สโมสรโรตารี่ ฯล
๕. การสรา้ งจิตสานกึ และความรับผิดชอบ ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๖. กฎหมายเบืองตน้ ท่ีประชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผเู้ ช่ยี วชาญดา้ นกฎหมาย/นกั กฎหมาย
๗. ทักษะการปอ้ งกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผ่ี า่ นการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครวั (การให้คาปรกึ ษาในครอบครวั ) ๓ ชม. ,,
๙. ทักษะชวี ติ life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทกั ษะการจัดการกับอารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วิชาบงั คับตามลกั ษณะแห่งคดี
๑. การใหค้ วามรูเ้ กี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผ่ี า่ นการอบรม
เก่ยี วกับยาเสพติด
๒. การทาความเข้าใจกบั พฤติกรรมการกระทาผิดของตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผ่ี ่านการอบรม
๓. พษิ ภัยผลกระทบของยาเสพตดิ ๖ ชม. ,,
๔. การจดั การกับปัจจยั ท่ีเปน็ สิ่งเรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ท์และการพฒั นาความผูกพันทางสงั คม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉนั ทร์ ะหวา่ งผตู้ ้องขังกบั เหยอื่ , ผตู้ อ้ งขังกบั สงั คม,ผูต้ อ้ งขงั กบั
ครอบครัว)
๖. กลมุ่ บาบดั เช่น ดนตรบี าบดั ศลิ ปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
กีฬาบาบัด สตบิ าบัด ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมนิ ความรู้ ทศั นคติ ทกั ษะและพฤตกิ รรม หลงั การเขา้ โปรแกรม เจา้ หนา้ ทีเ่ รอื นจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบัดฟืน้ ฟู ๖๐ ชม.
สรปุ
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สตู ร ในขัน้ บาบดั ฟนื้ ฟู ไม่นอ้ ยกว่า ๖๐ ชวั่ โมง แบง่ เป็น
๑. วชิ าพืน้ ฐาน ไมน่ อ้ ยกวา่ ๓๐ ชว่ั โมง
๒. วชิ าเฉพาะคดี ไมน่ อ้ ยกวา่ ๓๐ ช่ัวโมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการอบรมเขา้ รับการฝกึ ระเบยี บวินยั แบบเขม้ ขน้ โดยไม่นับจานวนช่ัวโมง
~ 18 ~
โปรแกรมการปรับพฤตกิ รรมผู้กระทาผิดอันเนอื่ งมาจากการดืม่ สุรา
วชิ า ระยะเวลา วทิ ยากร
สารวจคดั เลือกกลุม่ เปา้ หมาย เจา้ หน้าทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลักษณะเพ่อื การแกไ้ ข เจา้ หน้าท่ีเรือนจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพือ่ เตรยี มความพร้อมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจ้าหนา้ ที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
ประเมินบุคลิกภาพ/สขุ ภาพจติ นักจิตวิทยา/พยาบาล/นกั สงั คมสงเคราะห์
ประเมนิ ความร/ู้ ทกั ษะ/ทัศนคติ และพฤตกิ รรมก่อนเขา้ โปรแกรม เจ้าหน้าที่เรอื นจา/ทณั ฑสถาน
วิชาพน้ื ฐาน
๑. การรจู้ ักและเขา้ ใจตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๒. การสรา้ งแรงจูงใจในการเปล่ียนแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนนิ ชีวติ ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวิเคราะหแ์ ละการสร้างอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก (จัดหางานจังหวดั ,
สภาอตุ สาหกรรมจงั หวดั สโมสรโรตารี่ ฯล
๕. การสร้างจติ สานึกและความรับผิดชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผ่ี ่านการอบรม
๖. กฎหมายเบอื งตน้ ท่ปี ระชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผเู้ ช่ยี วชาญดา้ นกฎหมาย/นักกฎหมาย
๗. ทกั ษะการป้องกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครวั (การใหค้ าปรกึ ษาในครอบครัว) ๓ ชม. ,,
๙. ทกั ษะชีวิต life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจดั การกับอารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วิชาบังคบั ตามลักษณะแหง่ คดี
๑. การให้ความรเู้ ก่ยี วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในท่ีผ่านการอบรม
เกี่ยวกับยาเสพตดิ /สรุ า
๒. การทาความเข้าใจกับพฤตกิ รรมการกระทาผดิ ของตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ีผ่านการอบรม
๓. พษิ ภยั และผลกระทบจากการด่ืมสรุ า ๖ ชม. ,,
๔. การจดั การกบั ปจั จยั ท่ีเป็นส่งิ เรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ท์และการพฒั นาความผูกพันทางสังคม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉันทร์ ะหวา่ งผตู้ อ้ งขังกับเหยือ่ , ผู้ตอ้ งขงั กับสงั คม,ผ้ตู ้องขงั กับ
ครอบครัว)
๖. กลุ่มบาบดั เชน่ ดนตรบี าบดั ศิลปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทีผ่ า่ นการอบรม
กฬี าบาบดั สตบิ าบดั ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมนิ ความรู้ ทศั นคติ ทักษะและพฤตกิ รรม หลงั การเข้าโปรแกรม เจา้ หนา้ ที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบดั ฟื้นฟู ๖๐ ชม.
สรุป
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สูตร ในข้ันบาบดั ฟนื้ ฟู ไมน่ อ้ ยกวา่ ๖๐ ช่วั โมง แบ่งเป็น
๑. วชิ าพน้ื ฐาน ไมน่ ้อยกวา่ ๓๐ ชั่วโมง
๒. วิชาเฉพาะคดี ไม่น้อยกว่า ๓๐ ชวั่ โมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ้เู ขา้ รบั การอบรมเขา้ รบั การฝึกระเบียบวินัยแบบเข้มข้นโดยไมน่ ับจานวนช่ัวโมง
~ 19 ~
โปรแกรมยุตธิ รรมนาสนั ตสิ ขุ
วิชา ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลือกกล่มุ เป้าหมาย เจ้าหน้าท่ีเรือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลกั ษณะเพอื่ การแกไ้ ข เจา้ หนา้ ที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนเิ ทศเพ่ือเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นเข้าโปรแกรม เจา้ หนา้ ที่เรอื นจา/ทณั ฑสถาน
ประเมินบคุ ลิกภาพ/สขุ ภาพจติ นักจติ วิทยา/พยาบาล/นกั สงั คมสงเคราะห์
ประเมินความร/ู้ ทักษะ/ทัศนคติ และพฤตกิ รรมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจ้าหน้าทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
วิชาพ้นื ฐาน
๑. การรจู้ ักและเขา้ ใจตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทีผ่ ่านการอบรม
๒. การสรา้ งแรงจงู ใจในการเปลี่ยนแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนนิ ชีวติ ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวเิ คราะห์และการสรา้ งอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก (จดั หางานจังหวดั ,
สภาอตุ สาหกรรมจังหวดั สโมสรโรตารี่ ฯล
๕. การสรา้ งจิตสานกึ และความรับผดิ ชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ีผ่านการอบรม
๖. กฎหมายเบืองต้นท่ีประชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผ้เู ช่ยี วชาญดา้ นกฎหมาย/นักกฎหมาย
๗. ทกั ษะการปอ้ งกนั การกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครัว (การให้คาปรกึ ษาในครอบครวั ) ๓ ชม. ,,
๙. ทักษะชวี ิต life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจัดการกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วิชาบังคบั ตามลกั ษณะแห่งคดี
๑. การใหค้ วามรู้เกย่ี วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในทีผ่ ่านการอบรม
เก่ยี วกับคดคี วามมั่นคง
๒. การทาความเข้าใจกับพฤติกรรมการกระทาผิดของตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๓. สนั ตศิ กึ ษา ๖ ชม. ,,
๔. การจดั การกับปัจจยั ท่เี ปน็ สง่ิ เรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ท์และการพฒั นาความผูกพันทางสังคม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉันทร์ ะหวา่ งผตู้ ้องขงั กบั เหยือ่ , ผตู้ อ้ งขงั กับสงั คม,ผตู้ อ้ งขงั กบั
ครอบครัว)
๖. กลุม่ บาบัด เช่น ดนตรบี าบดั ศิลปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผี่ ่านการอบรม
กีฬาบาบัด สตบิ าบัด ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมนิ ความรู้ ทัศนคติ ทักษะและพฤติกรรม หลังการเข้าโปรแกรม เจ้าหน้าท่เี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบดั ฟน้ื ฟู ๖๐ ชม.
สรุป
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สตู ร ในข้ันบาบดั ฟ้นื ฟู ไม่นอ้ ยกวา่ ๖๐ ชวั่ โมง แบ่งเป็น
๑. วิชาพน้ื ฐาน ไมน่ ้อยกวา่ ๓๐ ชั่วโมง
๒. วิชาเฉพาะคดี ไม่นอ้ ยกวา่ ๓๐ ชัว่ โมง
หมายเหตุ : ให้ผู้เขา้ รับการอบรมเขา้ รบั การฝกึ ระเบยี บวนิ ัยแบบเขม้ ข้นโดยไม่นับจานวนชัว่ โมง
~ 20 ~
โปรแกรมการแก้ไขผูก้ ระทาผิดซ้า
วิชา ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลอื กกลมุ่ เป้าหมาย เจ้าหนา้ ที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลักษณะเพื่อการแกไ้ ข เจา้ หนา้ ทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนเิ ทศเพ่ือเตรียมความพรอ้ มกอ่ นเข้าโปรแกรม เจ้าหนา้ ทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
ประเมนิ บุคลิกภาพ/สุขภาพจิต นกั จิตวิทยา/พยาบาล/นักสงั คมสงเคราะห์
ประเมินความร/ู้ ทกั ษะ/ทัศนคติ และพฤติกรรมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจา้ หน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
วชิ าพ้นื ฐาน
๑. การรจู้ ักและเข้าใจตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผี่ ่านการอบรม
๒. การสร้างแรงจูงใจในการเปลยี่ นแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชวี ิตตามหลักเศรษฐกจิ พอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวเิ คราะหแ์ ละการสร้างอาชีพตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก (จัดหางานจงั หวัด ,
สภาอตุ สาหกรรมจังหวัด สโมสรโรตารี่ ฯล
๕. การสร้างจติ สานึกและความรับผดิ ชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๖. กฎหมายเบืองตน้ ท่ีประชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผ้เู ชยี่ วชาญด้านกฎหมาย/นักกฎหมาย
๗. ทกั ษะการปอ้ งกนั การกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครัว (การให้คาปรกึ ษาในครอบครวั ) ๓ ชม. ,,
๙. ทักษะชวี ติ life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทกั ษะการจดั การกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
รวม ๓๐ ชม.
วชิ าบงั คับตามลกั ษณะแห่งคดี
๑. การใหค้ วามรู้เก่ยี วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในทีผ่ ่านการอบรม
เก่ียวกับคดี (คดีทผ่ี ตู้ อ้ งขงั กระทาผิดซา)
๒. การทาความเขา้ ใจกบั พฤตกิ รรมการกระทาผิดของตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทีผ่ ่านการอบรม
๓. กฎหมายและบทลงโทษในการกระทาผดิ ซา ๖ ชม. ,,
๔. การจดั การกับปัจจยั ท่ีเปน็ สิ่งเรา้ ๖ ชม. ,,
๕. กิจกรรมสมานฉนั ทแ์ ละการพฒั นาความผูกพนั ทางสงั คม ๖ ชม. ,,
(การสมานฉันทร์ ะหวา่ งผตู้ อ้ งขงั กับเหยอ่ื , ผู้ตอ้ งขังกบั สงั คม,ผู้ต้องขงั กบั
ครอบครวั )
๖. กลมุ่ บาบดั เช่น ดนตรีบาบดั ศลิ ปะบาบดั ละครบาบดั ๖ – ๑๕ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในท่ผี ่านการอบรม
กฬี าบาบดั สตบิ าบดั ฯ
รวม ๓๐ ชม.
ประเมินความรู้ ทศั นคติ ทกั ษะและพฤติกรรม หลังการเขา้ โปรแกรม เจ้าหนา้ ทเี่ รือนจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบัดฟื้นฟู ๖๐ ชม.
สรุป
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สูตร ในขั้นบาบดั ฟืน้ ฟู ไม่นอ้ ยกวา่ ๖๐ ช่วั โมง แบ่งเปน็
๑. วิชาพ้ืนฐาน ไมน่ ้อยกวา่ ๓๐ ชวั่ โมง
๒. วชิ าเฉพาะคดี ไม่น้อยกว่า ๓๐ ช่ัวโมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ้เู ข้ารบั การอบรมเข้ารับการฝกึ ระเบยี บวินัยแบบเขม้ ขน้ โดยไมน่ ับจานวนชวั่ โมง
~ 21 ~
โปรแกรมเฉพาะสาหรับผู้ต้องขงั ท่ัวไปทม่ี ีโทษระยะสัน้
วิชา ระยะเวลา วทิ ยากร
สารวจคดั เลอื กกลุ่มเป้าหมาย เจา้ หน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลกั ษณะเพื่อการแกไ้ ข เจา้ หนา้ ท่ีเรอื นจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพื่อเตรยี มความพร้อมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจา้ หนา้ ทเ่ี รอื นจา/ทณั ฑสถาน
ประเมินบคุ ลิกภาพ/สุขภาพจติ นักจติ วทิ ยา/พยาบาล/นกั สงั คมสงเคราะห์
ประเมนิ ความร/ู้ ทักษะ/ทัศนคติ และพฤตกิ รรมกอ่ นเขา้ โปรแกรม เจา้ หนา้ ที่เรอื นจา/ทณั ฑสถาน
วิชา
๑. การรจู้ ักและเขา้ ใจตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในทผ่ี ่านการอบรม
๒. การสรา้ งแรงจงู ใจในการเปลย่ี นแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชีวติ ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง ๓ ชม. ,,
๔. การวิเคราะห์และการสรา้ งอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก (จัดหางานจงั หวัด ,
สภาอตุ สาหกรรมจงั หวัด สโมสรโรตารี่ ฯล
๕. การสรา้ งจิตสานึกและความรบั ผดิ ชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผา่ นการอบรม
๖. กฎหมายเบอื งตน้ ที่ประชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผู้เช่ยี วชาญด้านกฎหมาย/นักกฎหมาย
๗. ทักษะการปอ้ งกนั การกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครวั (การใหค้ าปรึกษาในครอบครัว) ๓ ชม. ,,
๙. ทักษะชีวติ life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจดั การกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
ประเมนิ ความรู้ ทศั นคติ ทกั ษะและพฤติกรรม หลังการเขา้ โปรแกรม เจา้ หน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบัดฟืน้ ฟู ๓๐ ชม.
สรุป
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สตู ร ในขัน้ บาบดั ฟน้ื ฟู ไม่นอ้ ยกว่า ๓๐ ชวั่ โมง
หมายเหตุ : ให้ผ้เู ข้ารับการอบรมเข้ารบั การฝึกระเบยี บวนิ ัยแบบเขม้ ข้นโดยไมน่ ับจานวนช่วั โมง
~ 22 ~
โปรแกรมเฉพาะสาหรบั ผู้ต้องขงั ทวั่ ไปท่มี โี ทษระยะส้นั (พกั โทษกรณีพเิ ศษ)
วิชา ระยะเวลา วิทยากร
สารวจคดั เลอื กกลุ่มเปา้ หมาย เจ้าหน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
จาแนกลกั ษณะเพือ่ การแกไ้ ข เจ้าหน้าที่เรอื นจา/ทณั ฑสถาน
ปฐมนิเทศเพ่ือเตรียมความพรอ้ มกอ่ นเข้าโปรแกรม เจ้าหน้าทเ่ี รือนจา/ทณั ฑสถาน
ประเมนิ บคุ ลกิ ภาพ/สขุ ภาพจิต นกั จติ วิทยา/พยาบาล/นักสังคมสงเคราะห์
ประเมนิ ความร/ู้ ทักษะ/ทศั นคติ และพฤติกรรมกอ่ นเขา้ โปรแกรม
เจา้ หน้าที่เรอื นจา/ทณั ฑสถาน
วิชา
๑. การรจู้ ักและเข้าใจตนเอง ๓ ชม. วิทยากรภายนอก/วทิ ยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๒. การสร้างแรงจูงใจในการเปลย่ี นแปลงตนเอง ๓ ชม. ,,
๓. การดาเนินชีวติ ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ๓ ชม. ,,
๔. การวิเคราะหแ์ ละการสร้างอาชพี ตนเอง ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก (จดั หางานจังหวดั ,
สภาอุตสาหกรรมจงั หวัด สโมสรโรตาร่ี ฯล
๕. การสร้างจิตสานึกและความรับผดิ ชอบ ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในทผ่ี า่ นการอบรม
๖. กฎหมายเบอื งตน้ ทีป่ ระชาชนควรรู้ ๓ ชม. ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นกฎหมาย/นกั กฎหมาย
๗. ทกั ษะการปอ้ งกันการกระทาผดิ ซา ๓ ชม. วทิ ยากรภายนอก/วิทยากรภายในที่ผ่านการอบรม
๘. การสานสายใยครอบครวั (การใหค้ าปรึกษาในครอบครัว) ๓ ชม. ,,
๙. ทกั ษะชวี ิต life skill ๓ – ๖ ชม. ,,
๑๐. ทักษะการจดั การกบั อารมณ์ ๓ ชม. ,,
๑๑. หลกั สตู รการส่งเสรมิ การเรยี นรู้ ๑๒ ชม. ,,
(กจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ การฟัง พดู อ่าน เขยี น)
๑๒. การเตรยี มความพร้อมกอ่ นปลอ่ ย (การฟนื้ ฟจู ติ ใจ ๙ ชม. ,,
การวางแผนชวี ติ การสงเคราะหห์ ลงั ปล่อย แนะนาอาชีพ)
ประเมินความรู้ ทัศนคติ ทกั ษะและพฤตกิ รรม หลังการเขา้ โปรแกรม เจ้าหนา้ ที่เรือนจา/ทณั ฑสถาน
รวมระยะเวลาการบาบัดฟน้ื ฟู ๕๑ - ๖๐ ชม.
สรปุ
ระยะเวลาในการอบรมตามหลกั สูตร ในขั้นบาบดั ฟื้นฟู ไม่นอ้ ยกว่า ๕๑ ชว่ั โมง
หมายเหตุ : ใหผ้ ู้เขา้ รบั การอบรมเขา้ รบั การฝกึ ระเบียบวนิ ัยแบบเข้มข้นโดยไมน่ ับจานวนชว่ั โมง
~ 23 ~
คาอธบิ ายกิจกรรมในโปรแกรมการแก้ไขฟืน้ ฟูผู้ตอ้ งขงั
โปรแกรมการแกไ้ ขผูก้ ระทาผิดทางเพศ
วิชาพ้ืนฐาน
๑. การรู้จกั และเขา้ ใจตนเอง
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่ือใหส้ มาชกิ สามารถวเิ คราะหค์ วามคิด อารมณ์ และความรูส้ ึกของตนเองได้
2. เพอ่ื ให้สมาชิกสามารถตระหนกั รใู้ นตนเอง รู้ความต้องการ ความสนใจ และนสิ ยั ของตนเอง
ตลอดจนข้อดีและข้อเสีย
3. เพื่อใหส้ มาชกิ เขา้ ใจปัญหาที่เกดิ ขึ้นในชีวิตประจาวนั และมีวิธจี ัดการอย่างเหมาะสม
สาระสาคญั
เป็นการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจในตนเองแก่สมาชิก เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ถึงข้อดี
ข้อเสีย และสถานการณ์รอบตัวได้อย่างรอบด้าน การรู้จักและเข้าใจตนเองเป็นปัจจัยหลักของการสร้างความ
เชื่อม่ันในตนเอง เพราะทาให้สามารถประเมินความสามารถ อารมณ์ และความรู้สึกของตนเองในสถานการณ์
ตา่ งๆไดอ้ ย่างเหมาะสม ซ่ึงรู้จักตนเองนัน้ ยังมีประโยชน์ในแงข่ องการทาให้เราเข้าใจผู้อื่นได้มากข้ึน นาไปสู่การ
แสดงออกทางพฤติกรรมท่ีเหมาะสม จนทาให้เกิดการยอมรับและเข้าใจผู้อ่ืน อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมี
ความสขุ
๒. การสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพอ่ื เตรียมความพรอ้ มให้แก่สมาชกิ ก่อนเข้าอบรมตามโปรแกรม
๒. เพือ่ ให้สมาชกิ ร้จู ักและสร้างความไว้เนือเชื่อใจซ่ึงกันและกนั
๓. เพ่ือสร้างความสามัคคี สรา้ งความรูส้ กึ และบรรยากาศท่ดี ี ใหร้ ู้จกั การทางานเป็นทีม และการอยู่ร่วมกัน
๔. เพือ่ ใหส้ มาชกิ ไดช้ ่วยกันวางบรรทดั ฐาน และกฎเกณฑ์ของกลุม่
วธิ ดี าเนนิ การ
๑. การปฐมนเิ ทศสมาชกิ เพ่ือเตรียมความพรอ้ มก่อนเข้าสโู่ ปรแกรม
๒. การจัดโครงสรา้ งกลุ่ม และกาหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ ใหแ้ ก่สมาชกิ เพ่ือใหร้ จู้ ักบทบาทหน้าท่ี
ของตนเองในขณะอยู่รว่ มกนั
๓. การกาหนดกรอบข้อห้าม และข้อควรปิบิ ตั ิ เพื่อใหส้ มาชิกทกุ คนถือปิิบตั ิ
๔. กจิ กรรมกลมุ่ สัมพันธ์ เพ่ือสร้างทมี งานในการทางาน และความสามัคคี
๓. การดาเนนิ ชวี ติ ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง
วตั ถุประสงค์
๑. เพือ่ ให้ทราบหลกั การ วิธีการใชช้ ีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
๒. เพื่อให้สามารถนาหลกั เศรษฐกิจพอเพยี งไปปรบั ใช้กับการดาเนินชวี ิตได้
สาระสาคญั
แนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดท่ีตังอยู่บนพืนฐาน ของทาง สายกลาง และความไม่
ประมาท โดยคานึงถึงความพอประมาณ ความมเี หตุผล การสร้างภมู ิคุ้มกันท่ีดใี นตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความ
~ 24 ~
รอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการดาเนินชีวิต การที่บุคคลสามารถยึด
ปรชั ญา และวัฒนธรรมในการดาเนินชีวิต และการทางานตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้ บุคคลนันก็จะประสบ
ความสาเร็จในชีวิต โดยมีหลักในเรื่องการประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายเท่าท่ีจาเป็น เหลือเก็บออม ซื่อสัตย์สุจริต
ขยนั ทาการงาน หลีกเลยี่ งอบายมุข ประพฤตติ นอยู่ในศีลธรรม ยดึ ม่นั ในการทาความดี พฒั นาตนเอง ฯลฯ
๔. การวเิ คราะหแ์ ละการสร้างอาชีพตนเอง
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพอ่ื ปรบั เปล่ียนทัศนคติพฤติกรรมให้รักการทางานและประกอบอาชีพสจุ ริต
๒. เพ่ือให้มีความรู้และพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพตามความถนัดและตามความต้องการของ
ตลาดแรงงาน สามารถนาไปประกอบอาชีพไดภ้ ายหลังพ้นโทษ
สาระสาคัญ
ผู้ต้องขังที่กระทาผิดเก่ียวกับทรัพย์ รวมทังผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติดรายย่อยท่ีกระทาผิดโดยความ
จาเป็นส่วนใหญ่จะทาผิดเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่มีอาชพี ที่จะเป็นท่ีมาของรายได้เลยี งชีพ และครอบครัว
หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ จึงไปลักทรัพย์ หรือจาหน่ายยาเสพติด ดังนัน การแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขังกลุ่มนีจึงต้อง
เน้นหนักการฝึกอาชีพ ให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ เพ่ือจะได้มีอาชีพเลียงตนเองได้และไม่
กลบั ไปกระทาผดิ อกี
๕. การสรา้ งจิตสานกึ และความรับผดิ ชอบ
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพือ่ ฝกึ ใหส้ มาชกิ ตระหนักในคุณค่าของความรบั ผดิ ชอบ
๒. เพื่อฝึกให้สมาชกิ รหู้ นา้ ทีแ่ ละบทบาทของตนเอง
๓. เพอ่ื ฝึกใหส้ มาชิกยอมรบั ผลจากการกระทาของตนเอง
สาระสาคัญ
การสร้างความรับผิดชอบต้องมีการปลูกฝังให้สมาชิกเข้าใจว่าการกระทาทุกอย่างย่อมมีผลตามมาทัง
ด้านบวกและด้านลบ บุคคลสามารถควบคุมความเป็นไปในชีวิตได้ถ้ารู้จักคิด รู้จักเลือกกระทาในสิ่งท่ี
เหมาะสม บุคคลท่ีมีความรบั ผิดชอบคอื บุคคลทีร่ ู้ถึงหน้าท่ี บทบาทของตนเองอย่างชดั เจนเกิดการยอมรับว่า
ตนเองเป็นผู้ทาส่ิงนันและเต็มใจรับผลที่เกิดขึนจากการกระทาของตนเอง เมื่อเกิดผลผิดพลาดหรือบกพร่องก็
พร้อมท่ีจะยอมรบั และแก้ไขปรับปรงุ ไมโ่ ยนความผิดใหผ้ อู้ นื่
๖. กฎหมายเบื้องต้นทปี่ ระชาชนควรรู้
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพื่อใหส้ มาชิกมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั กฎหมายเบอื งต้นท่ีประชาชนควรรู้
๒. เพอ่ื ให้สมาชิกเกิดความตระหนกั และระมัดระวงั ไม่ให้มีการกระทาความผดิ ซาอีกภายหลงั พ้นโทษ
สาระสาคญั
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไวอ้ ย่างชัดเจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพ่ือใหพ้ ้นจากความรับผดิ ชอบในทางอาญาไม่ได้...” ดังนันจงึ ต้องมกี ารใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพ่ือเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลังพ้นโทษ
~ 25 ~
๗. ทกั ษะการป้องกนั การกระทาผิดซา้
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพื่อเรียนรู้ทักษะในการให้กาลังใจตนเองต่อสู้กับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อม และจิตใจของเขา
เอง หลกี หนีจากการกลบั ไปสู่การกระทาผิดซา
๒. เพอื่ เรียนรู้ทกั ษะในการหลีกเล่ียงสถานการณ์ท่ีเส่ียงต่อการกระทาผิดซา
๓. เพ่ือเรียนรู้ทักษะในการป้องกันตนเอง หรือ ทักษะในการจัดการกับความรู้สึกของตนเอง เม่ือ
เผชญิ หน้ากับตวั กระตุ้น
๔. เพอื่ ฝกึ พัฒนาจิตใจไปสู่การตงั ใจทจ่ี ะมชี ีวติ ท่ีปราศจากการทาส่ิงผิดกฎหมาย
สาระสาคัญ
๑. การกระทาผิดซาเกิดขึนไดจ้ ากตัวกระตนุ้ ผนวกกบั แรงจูงใจซึง่ จะต้องไปดว้ ยกัน ดังภาพ
แรงจูงใจ ตวั กระตุ้น การกระทาผิด
ดังนัน ในการป้องกันการกระทาผิด จึงต้องทาทัง ๒ ทางคือสร้างแรงจูงใจ หรือจิตซใ้าจที่เข้มแข็งขึนใน
ตวั ของผู้กระทาผิด และสอนเทคนิคการหลกี เลี่ยงตวั กระต้นุ หรอื สถานการณ์เสย่ี ง
๒. ให้การเรียนรู้ถึงตัวกระตุ้นหรือสถานการณ์เสี่ยงว่ามีส่ิงใดบ้างเป็นตัวกระตุ้นหรือสถานการณ์เสี่ยง
ควรหลีกเลี่ยงอย่างไร และจะจัดการกับสถานการณ์นัน ๆ อย่างไร เช่น ผู้กระทาผิดในคดีข่มขืนเด็ก ควร
หลีกเลยี่ งทจี่ ะไปปรากิตัวในที่ที่มเี ดก็ อยู่มาก ๆ เช่น สนามเด็กเล่น ในสวนสาธารณะ หรือในที่เปลี่ยว และไม่
ประกอบอาชีพที่มีโอกาสใกล้ชิดกับเด็ก ผู้ที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายและกระทาผิดโดยใช้ความรุนแรง ควร
หลกี เลี่ยงการมอี าวธุ ในครอบครอง เป็นตน้
๘. การสานสายใยครอบครัว (การใหค้ าปรกึ ษาในครอบครวั )
วตั ถุประสงค์
๑. เพื่อส่งเสรมิ ความสมั พนั ธแ์ ละความเอืออาทรของผ้ตู ้องขังและครอบครวั
๒. เพ่ือทราบปัญหาพืนฐานท่ีแท้จริงในครอบครัวและประเมินความช่วยเหลือของครอบครัวที่มีต่อ
ผตู้ ้องขงั
๓. เพื่อใหค้ รอบครวั ไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นร่วม ให้กาลังใจและสนับสนุนการฟน้ื ฟู
สาระสาคญั
๑. ครอบครัวมีความสาคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการแก้ไขพฤติกรรมของผู้ต้องขังให้ประสบ
ความสาเร็จ เพราะครอบครัวเป็นสถาบันทางสังคมขันพืนฐานและสถาบันแรกของมนุษย์ การมีความเข้าใจ
และเออื อาทรต่อกันเปน็ สิ่งทค่ี วรสง่ เสรมิ
๒. การให้ครอบครัวได้ทาความเข้าใจแนวทางการแก้ไขผู้ต้องขัง เป็นการประสานความร่วมมือ และ
ประเมินเพอื่ หาข้อปรับปรุงแนวทางการชว่ ยเหลอื ของครอบครัวทีม่ ผี ตู้ ้องขัง
กิจกรรม
จัดกิจกรรมกลุ่มครอบครวั สัมพันธ์ (Family Relation)
โดยเชิญครอบครัวผู้ต้องขังมารับฟังการบรรยาย และจัดกลุ่มสัมพันธ์ให้ผู้ต้องขังและครอบครัวได้ทา
กิจกรรมร่วมกนั เพื่อรับทราบปญั หาและสรา้ งสัมพนั ธภาพท่ดี ีตอ่ กัน
~ 26 ~
๙. ทกั ษะชีวิต life skill
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพอ่ื ใหส้ มาชิกได้พัฒนาทักษะตา่ งๆที่จาเป็นในการดาเนนิ ชวี ติ อยา่ งเหมาะสมในสงั คม
๒. เพื่อให้สมาชิกมีแนวทาง และพัฒนาความสามารถในการแก้ไขปัญหา และทักษะการตัดสินใจ
ในชีวติ ประจาวนั ได้
๓. เพ่อื ให้สมาชกิ เกดิ การเรียนรกู้ ารปรบั ตัวทีเ่ หมาะสมเม่อื ต้องอยู่ภายในสังคมทม่ี ีความหลากหลาย
สาระสาคญั
ทักษะชีวิต เป็นทักษะทางจิตวิทยาสังคม หรือความสามารถอย่างหนึ่ง ท่ีจะช่วยให้แต่ละบุคคล
สามารถดาเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยทกั ษะชวี ิตท่สี าคญั มีทั้งสิ้น 10 ทกั ษะ ได้แก่
๑. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เป็นความสามารถในการตัดสินใจเก่ียวกับเร่ืองราว
ต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างมีระบบ เช่น ถ้าบุคคลสามารถตัดสินใจเก่ียวกับการกระทาของตนเอง ท่ีเกี่ยวกับ
พฤติกรรมดา้ นสขุ ภาพ หรอื ความปลอดภัยในชีวิต โดยประเมินทางเลือกและผลท่ไี ด้จากการตัดสินใจเลือกทาง
ทีถ่ กู ต้องเหมาะสม กจ็ ะมีผลตอ่ การมีสขุ ภาพท่ีดีทังรา่ งกายและจติ ใจ
๒. ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) เป็น ความสามารถในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึน
ในชวี ิตได้อยา่ งมรี ะบบ ไม่เกดิ ความเครยี ดทางกายและจติ ใจ จนอาจลุกลามเปน็ ปญั หาใหญ่โตเกนิ แกไ้ ข
๓. ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) เป็น ความสามารถในการคิดที่จะเป็นส่วนช่วย
ตัดสินใจและแก้ไขปัญหาโดยการคิดสร้าง สรรค์ เพ่ือค้นหาทางเลือกต่าง ๆ รวมทังผลที่จะเกิดขึนในแต่ละ
ทางเลอื ก และสามารถนาประสบการณม์ าปรบั ใชใ้ นชวี ติ ประจาวันไดอ้ ย่างเหมาะสม
๔. ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์
ข้อมลู ต่าง ๆ และประเมินปัญหา หรอื สถานการณท์ ีอ่ ยู่รอบตวั เราทมี่ ผี ลตอ่ การดาเนินชีวิต
๕. ทักษะการส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เป็น ความสามารถ
ในการใช้คาพูดและท่าทางเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ได้อย่างเหมาะสมกับวัฒนธรรม
และสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็น การแสดงความต้องการ การแสดงความชื่นชม
การขอรอ้ ง การเจรจาต่อรอง การตกั เตือน การช่วยเหลอื การปิเิ สธ
๖. ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal relationship) เป็นความสามารถ
ในการสร้างความสมั พนั ธ์ทด่ี รี ะหวา่ งกนั และกัน และสามารถรักษาสมั พันธภาพไว้ได้ยืนยาว
๗. ทักษะการตระหนักรู้ในตน (Self-awareness) เป็น ความสามารถในการค้นหารู้จักและเข้าใจ
ตนเอง เช่น รู้ข้อดี ข้อเสียของตนเอง รู้ความต้องการ และส่ิงท่ีไม่ต้องการของตนเอง ซ่ึงจะช่วยให้เรารู้ตัวเอง
เวลาเผชิญกับความเครียดหรือสถานการณ์ต่าง ๆ และทักษะนียังเป็นพืนฐานของการพัฒนาทักษะอ่ืน ๆ
เช่น การสอ่ื สาร การสร้างสัมพนั ธภาพ การตดั สนิ ใจ ความเหน็ อกเหน็ ใจอ่นื
๘. ทักษะการเข้าใจผู้อ่ืน (Empathy) เป็น ความสามารถในการเข้าใจความเหมือน หรือความ
แตกต่างระหว่างบุคคล ในด้านความสามารถ เพศ วัย ระดับการศึกษา ศาสนา ความเช่ือ สีผิว อาชีพ ฯลฯ
ชว่ ยใหส้ ามารถยอมรับบุคคลอื่นท่ีต่างจากเรา เกิดการช่วยเหลือบคุ คลอ่ืนทดี่ ้อยกว่า หรือได้รับความเดือดร้อน
เชน่ ผ้ตู ิดยาเสพติด ผู้ตดิ เชือเอดส์
๙. ทักษะการจัดการกับอารมณ์ (Coping with emotion) เป็น ความสามารถในการรับรู้อารมณ์
ของตนเองและผ้อู ่ืน รู้วา่ อารมณ์มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมอย่างไร ร้วู ธิ ีการจดั การกบั อารมณโ์ กรธ และความ
เศรา้ โศก ทีส่ ่งผลทางลบตอ่ ร่างกาย และจิตใจได้อยา่ งเหมาะสม
~ 27 ~
๑๐. ทักษะการจัดการกับความเครียด (Coping with stress) เป็น ความสามารถในการรับรู้ถึง
สาเหตุของความเครียด รู้วิธีผ่อนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับความเครียด เพ่ือให้เกิน
การเบ่ยี งเบนพฤติกรรมไปในทางทถี่ ูกตอ้ งเหมาะสมและไมเ่ กิดปัญหา ด้านสขุ ภาพ
วิธีดาเนินการ
1. วิทยากรกลา่ วแนะนาและเปดิ กลมุ่ มีกิจกรรมสันทนาการกอ่ นการเร่ิมกจิ กรรม
2. วทิ ยากรแบง่ กลุ่มย่อย เพ่ือเรม่ิ ทากิจกรรม โดยในการทากิจกรรมอาจใช้เป็นวิธีกลุ่มบาบัด เพ่อื เน้น
ให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการทากิจกรรม และได้แลกเปล่ียนประสบการณ์และทัศนคติร่วมกัน โดยเฉพาะในเร่ือง
การสร้างสมั พันธภาพกับผอู้ นื่
3. วทิ ยากรสรุปการทากจิ กรรม เพ่อื ให้สมาชกิ เห็นความสาคัญของการพัฒนาทักษะชวี ติ ในการดาเนิน
ชวี ิตในสงั คม
ใบงานที่ ๑ การมสี มั พนั ธภาพที่ดี
เวลา ๒๐ นาที
ให้สมาชกิ เขียนเกย่ี วกับประเดน็ ดังต่อไปนี
๑. ท่านคิดว่าสัมพันธภาพของท่านกับบุคคลอื่น ๆ เช่น คนในครอบครัว เพื่อน ก่อนเข้ารับการอบรม
เปน็ อย่างไรบ้าง
๒. ท่านพอใจกับสัมพันธภาพนนั หรอื ไมเ่ พราะอะไร
๓. ทา่ นคดิ ว่า การมสี ัมพนั ธภาพที่ดีมีประโยชนอ์ ยา่ งไร
กรณีศึกษา น้องนชุ
น้องนุชอายุ ๑๓ ปี ทางานท่ีร้านอาหารแห่งหนึ่งในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ด้วยการเป็นพนักงานล้าง
จาน จะสังเกตได้วา่ น้องนุชมักจะนาเศษอาหารที่ยงั พอรบั ประทานไดห้ วิ กลับบา้ นทกุ วัน เมือ่ ตดิ ตามน้องนุชไป
ยังบ้านพัก ท่ีอยู่ในชุมชนแออัด แห่งหนึ่ง ปรากิว่าในบ้าน พบตากับยายของเด็กทังสอง อยู่ในสภาพ ตาป่วย
เป็นอัมพฤกษ์นอนบนท่ีนอน ลุกไปไหนไม่ได้ และยายตาบอดมองไม่เห็นและเคลื่อนไหวลาบาก สภาพบ้านเก่า
ทรุดโทรม ลูกๆของตา ยายไม่มีใครมาดูแลปล่อยให้น้องนุชซ่ึงเป็นหลานต้องคอยดูแลตา ยาย อยู่เพียงลาพัง
เป็นท่ีน่าสงสารย่ิงนัก จึงได้คาตอบว่าเพราะอะไรน้องนุชต้องทางานหลังเลิกเรียนแทนที่จะไปเล่นสนุกๆกับ
เพ่ือนๆ
-----------------------------------------------------
ใบงานที่ ๒ กรณศี กึ ษา...น้องนุช
แบ่งกลมุ่ ๕ – ๖ คน รว่ มกนั อภิปรายในประเด็นตอ่ ไปนี
๑. มีความรู้สึกอย่างไรกบั ชวี ติ ครอบครวั ของนอ้ งนุช
๒. ถ้าครอบครัวน้องนชุ เปน็ ญาติของเราจะทาอย่างไร
~ 28 ~
ใบความรูท้ ่ี ๑ การแกป้ ญั หา
การแก้ปญั หามี ๕ ขน้ั ตอน
๑. กาหนดปัญหา และค้นหาสาเหตขุ องปญั หา
๒. กาหนดทางเลอื กในการแก้ปัญหา
๓. วเิ คราะห์ขอ้ ดีและข้อเสยี ของแตล่ ะทางเลือก
๔. ตดั สนิ ใจเลอื กทางเลอื กท่ีดที ่สี ุด
๕. แก้ไขขอ้ เสยี ของทางเลือก
การตัดสินใจในการแก้ปัญหา เป็นการเลือกทางในการแก้ปัญหาท่ีมีทางเลือกมากกว่า ๑ ทางเลือก
ในการเผชิญปญั หาหาทางออกไม่ได้ และการตัดสินใจแกป้ ัญหานนั อาจจะส่งผลกระทบต่อตนเองต่อผู้อืน่ ซ่ึงจะ
นาไปสู่ความสาเร็จหรือความล้มเหลว ฉะนันจึงควรให้ความสาคัญต่อการตัดสินใจท่ีรอบคอบ อาศัยข้อมูล
ที่ถูกต้อง เหมาะสม ทันสมัย และเพียงพอในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาแต่ละครัง ควรกาหนดขันตอนเลือก
กระบวนการตัดสนิ ใจด้วยวิธีการท่มี ีระบบและมีเหตผุ ล เปน็ กระบวนการตัดสนิ ใจและแก้ไขปัญหา ๕ ขนั ตอน คอื
๑. การกาหนดปญั หา เปน็ ขนั ตอนทีก่ าหนดใหช้ ดั เจนว่า อะไรคอื ปัญหาทแ่ี ท้จริง
๒. การค้นหาสาเหตุของปัญหาและกาหนดทางเลือก โดยพิจารณาจากสาเหตุของปัญหาและพัฒนา
ทางเลือกหลาย ๆ ทางเลือกทมี่ คี วามเป็นไปไดใ้ นการแก้ไขปัญหา
๓. การวิเคราะห์ทางเลือก โดยการประเมินทางเลือกแต่ละทางเลือกว่าเกิดผลดี ผลเสียอะไรตามมา
และสามารถปิิบัติได้หรือไม่ โดยใช้ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ หรือหาข้อมูลประกอบเพ่ิมเติมและ ตัดสินใจเลือกวิธี
แก้ปัญหาจากทางเลือกต่าง ๆ ด้วยเหตุผลและข้อมูลท่ีมีโดยอาศัยหลักจริยธรรม ค่านิยม และหลักกฎหมาย
มาเปน็ เกณฑ์ในการตัดสินใจดว้ ย
๔. การแก้ไขข้อเสียของทางเลือก เสนอแนะวิธีการแก้ไขข้อเสียที่เกิดจากวิธีแก้ปัญหาท่ีเลือกใช้
ถา้ ทดลองใชแ้ ล้วได้ผลก็สรุปเปน็ แนวทางปิบิ ตั ิจรงิ
~ 29 ~
ใบงานที่ ๓ การแกป้ ัญหาจากกรณีศกึ ษา
* วิทยากรหากรณศี กึ ษา หรือเหตุการณส์ มมตเิ พอ่ ให้สมาชิกได้ฝกึ ทักษะการแก้ปัญหา
ให้สมาชิกแต่ละกลุ่มแก้ปัญหาจากกรณีศึกษา โดยวิเคราะห์ขันตอนต่างๆ ตามหลักการแก้ไขปัญหา
๕ ขนั ตอน และบนั ทกึ ลงในแบบบนั ทึกนี (เวลา ๑๕ นาท)ี
๑. ปญั หาของตัวละครในกรณีศกึ ษา คือ
๒. กาหนดทางเลือกในการแกป้ ญั หาจากกรณศี ึกษา และขอ้ ดี ขอ้ เสีย ของแต่ละทางเลอื ก
ทางเลือก ข้อดี ข้อเสยี
๑)
๒)
๓. แตล่ ะกลุ่มเลือกทางเลือกใดในการแก้ปัญหา
เพราะเหตใุ ด
๔. วิธแี ก้ไขขอ้ เสยี ของทางเลือกทต่ี ดั สินใจเลอื ก คือ
๑๐. ทกั ษะการจัดการกับอารมณ์
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือใหส้ มาชกิ เรียนร้ถู งึ อารมณ์ วธิ รี ะงับและควบคมุ อารมณอ์ ย่างเหมาะสม
๒. เพื่อฝึกให้สมาชิกสามารถจดั การกับอารมณข์ องตนเองได้อยา่ งถกู วธิ ี
สาระสาคญั
๑. ความโกรธเป็นอารมณ์ท่ีเกิดขึนเสมอ ๆ และเป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้ขาดความยังคิด และคน
จานวนมากกระทาความผิดเพราะไม่สามารถระงบั อารมณโ์ กรธได้
๒. การตระหนกั และรู้ถึงอารมณ์ เปน็ สิ่งสาคัญเบืองต้นในการหาวิธจี ดั การกบั อารมณ์
๓. การรู้จักจัดการกับความเครียด และหลีกเลี่ยงความเครียดได้อย่างเหมาะสม จะเป็นการป้องกัน
ไม่ให้กลบั ไปกระทาผิดในลกั ษณะเดิมขึนอีก
~ 30 ~
วิชาตามลกั ษณะแหง่ คดี
๑. การให้ความร้เู กีย่ วกบั กฎหมายและบทลงโทษในคดีความผดิ ท่ีเก่ียวกับคดีทางเพศ
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพอื่ ใหส้ มาชกิ มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั กฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดีทางเพศ
๒. เพอื่ ใหส้ มาชกิ เกดิ ความตระหนกั และระมดั ระวงั ไม่ให้มกี ารกระทาความผิดซาอีกภายหลงั พน้ โทษ
สาระสาคญั
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้
กฎหมายเพอ่ื ใหพ้ น้ จากความรับผิดชอบในทางอาญาไม่ได.้ ..” ดังนนั จึงตอ้ งมีการให้ความรู้ ความเขา้ ใจทางด้าน
กฎหมายและบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพ่ือเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการ
กระทาผิดซาอีกภายหลังพ้นโทษ
๒. การทาความเข้าใจกับพฤตกิ รรมการกระทาผิดของตนเอง
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพอื่ ให้สมาชิกสามารถวิเคราะห์สาเหตุของการกระทาผิดของตนเองได้
๒. เพอ่ื ใหส้ มาชกิ ทราบถึงพฤติกรรมท่ีตนต้องเปล่ยี นแปลง
๓. เพื่อใหส้ มาชิกสามารถคดิ หาแนวทางการหลกี เล่ียงการกระทาผดิ ซา
สาระสาคญั
ต้องสร้างความเข้าใจให้สมาชิกแต่ละคนในเรื่องปัญหาชีวิตท่ีต้องเผชิญกับปัญหา และสาเหตุการ
กระทาผิดจนกระท่ังต้องนาตนเองไปสู่การกระทาผิดและสามารถหาแนวทางในการหลีกเล่ียงการกระทาผิดซา
การควบคมุ อารมณ์ และการเขา้ กบั ผอู้ น่ื อย่างเปน็ กระบวนการ
ข้อบ่งชี้ นักบาบัดต้องเปน็ ผูแ้ นะแนวใหแ้ กส่ มาชกิ แต่ละคนและต้องดาเนนิ การกล่มุ ด้วยตนเอง
กิจกรรม
- กลุ่มเปิดเผยความรสู้ กึ
- กลุ่มใหค้ าปรึกษา
- บทบาทสมมุติ
๓. เพศศึกษาและการมสี มั พนั ธภาพทดี่ กี บั เพศตรงขา้ ม
วตั ถุประสงค์
๑. เพือ่ ให้เรยี นรเู้ ก่ียวกับเพศศึกษา พฤติกรรมทางเพศ และความสัมพันธ์ทางเพศท่ถี ูกตอ้ ง
๒. เพ่อื ให้เข้าใจการสร้างสัมพนั ธภาพกบั เพศตรงข้าม และการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมท่ีเหมาะสม
สาระสาคญั
๑. การให้ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาเพื่อปรับเปล่ียนทัศนคติและพฤติกรรมของผู้กระทาผิด ให้
เหมาะสม มีความเข้าใจในเรื่องเพศอยา่ งถูกต้อง
๒. การให้เรียนรู้ทักษะการเข้าสังคม โดยเฉพาะการมีสัมพันธภาพกับผู้หญิงได้อย่างเหมาะสม เป็น
ความสมั พันธ์ท่พี ึงพอใจทังสองฝ่าย
๓. การใหค้ วามรเู้ กย่ี วกับกฎหมาย และโรคตดิ ต่อทางเพศสัมพนั ธ์
~ 31 ~
๔.การจดั การกับปัจจยั ท่ีเปน็ สงิ่ เรา้
วตั ถุประสงค์
1. เพ่อื ให้สมาชิกสามารถอธบิ าย และจาแนกถึงตัวกระตนุ้ /สิ่งเรา้ ทง้ั ภายในและภายนอกทเี่ ป็นสาเหตุ
และมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมการกระทาผดิ ของตนเอง
2. เพ่ือให้สมาชกิ สามารถประเมนิ ความเส่ียงตอ่ การกระทาผดิ และหาแนวทางจัดการกบั ความเสี่ยงได้
อย่างเหมาะสม
3. สามารถอธิบายเทคนคิ การหยดุ ความคิดท่ีเหมาะสมกับตนเองได้
สาระสาคัญ
การสารวจและทาความเข้าใจตัวกระตุ้น/ส่ิงเร้าทังภายในและภายนอกตัวใดที่มีส่วนกระตุ้นความคิด
ซึ่งนาไปสู่การกระทาความผิด เช่น การเข้าถึงสื่อที่ใช้ความรุนแรง ยาเสพติด กลุ่มเพ่ือนชักชวนให้ลองยาเสพติด
สุราหรือของมึนเมา ความรุนแรงในครอบครัว ส่ิงยั่วยุทางเพศ ฯลฯ หากสมาชิกรู้เท่าทันถึงตัวกระตุ้นต่างๆ
และมที กั ษะในการจดั การอย่างเหมาะสม จะสามารถชว่ ยลดความเสีย่ งตอ่ การเสพตดิ ซาได้
กลมุ่ กิจกรรมการเรียนรู้ เนือ้ หา / ส่ือ
ประสบการณ์ - ทักทายกลุ่มและกล่าวนาเข้าสู่บทเรียนโดยวิทยากรถามสมาชิกว่า - ใบความรทู้ ี่ 1
- กลุ่มใหญ่ “ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใดบ้าง ท่ีทาให้เกิดความเสี่ยงใน “สิ่งเรา้ หรือ
- กลุ่มย่อย การกระทาความผิด ใหล้ องเล่าประสบการณข์ องตนเอง” ตัวกระตนุ้ ”
- วิทยากรสรุป จากส่ิงที่สมาชิกได้นาเสนอ และอธิบายประเภทของ - ใบงานท่ี 1
ตวั กระตุน้ ภายใน และตัวกระตุ้นภายนอก (ตามใบความรทู้ ี่ 1) “แบบสอบถาม
- แบ่งกลมุ่ ย่อย แล้วให้สมาชิกร่วมกันสารวจและจาแนกตวั กระตนุ้ แตล่ ะ เกี่ยวกบั ตัวกระตนุ้ ”
ลักษณะท่ีมีอิทธิพลต่อการกระทาผิดของตนเอง แลว้ ให้สมาชิกแต่ละคน - ใบงานท่ี 2 “การ
นาเสนอในกล่มุ ยอ่ ย แยกแยะตวั กระตุ้น
- วิทยากรกระตุ้นให้เกิดการแลกเปล่ียนแนวทาง ในการจัดการกับ และจัดการตวั
ตัวกระตุ้นของแต่ละคน และสรุปแนวทางท่ีเหมาะสมต่อการนาไป กระตุ้น”
ปฏิบัตไิ ด้จริง (ตามใบงานที่ 2)
อภปิ ราย/กจิ กรรม - วิทยากรอธิบายถึงวิธีการควบคุมตนเองใน กรณีต้องเผชิญกับ - ใบความรูท้ ี่ 2
- กลุ่มใหญ่ ตัวกระตนุ้ /สิ่งเร้าทมี่ ีอทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมการกระทาผดิ การควบคุมตนเอง
- กลมุ่ ยอ่ ย (ตามใบความร้ทู ่ี 2)
- แบ่งกลุ่มแล้วให้แต่ละกลุ่มยกตัวอย่างสถานการณ์ท่ีมีส่ิงเร้าที่อาจ
กอ่ ใหเ้ กิดพฤติกรรมการกระทาผิด แล้วลองใช้เทคนิคการควบคุมตนเอง
ในสถานการณ์นัน้ ๆ
- แตล่ ะกลุม่ ออกมานาเสนอผลงานตนเอง เพ่อื แลกเปล่ยี นกนั
- วทิ ยากรสรปุ ของแตล่ ะกลมุ่ และสรปุ กจิ กรรมทัง้ หมด
~ 32 ~
ใบความร้ทู ี่ 1 สิ่งเร้าหรือตวั กระต้นุ
พฤตกิ รรม ของสิ่งมีชวี ติ เกิดขึน้ ไดจ้ ากปัจจยั ดงั นี้
1. มูลเหตุจูงใจ (Motivation) พลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม คนที่มีแรงจูงใจสูง จะใช้ความพยายาม
ในการกระทาไปสู่เป้าหมายโดยไม่ลดละ แต่คนที่มีแรงจูงใจต่า จะไม่แสดงพฤติกรรม หรือไม่ก็ล้มเลิก
การกระทา ก่อนบรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างของมูลเหตุจูงใจเช่น ลักษณะนิสัย อันได้แก่ความชอบ หรือไม่ชอบ
สิง่ หนึ่งสิ่งใด หรืออาจเป็นเร่ืองของอารมณ์ ความรูส้ ึก เป็นต้น อย่างไรก็ตามมลู เหตุจูงใจอาจเกิดขึ้น เนื่องจาก
เป็นผลมาจาก สิง่ เรา้ ภายในร่วมด้วย
2. สง่ิ เร้าหรือตัวกระตนุ้ (Stimulus) สิง่ เร้าหรือตวั กระตุน้ ท่ีทาใหเ้ กิดพฤติกรรมน้นั มี 2 ประเภท คือ
2.1 สิ่งเร้าภายนอก (external stimuli) เป็นส่ิงที่อยู่ภายนอกร่างกายที่ประสาทสัมผัสทั้งห้า
(ตา หู จมกู ลิ้น และ ผิวหนัง) สามารถสัมผสั และรบั รู้ได้
2.2 สงิ่ เร้าภายใน (internal stimuli) เปน็ ความพร้อมภายในร่างกายก่อนทจี่ ะแสดงพฤตกิ รรมอัน
เป็นผลมาจาก กลไกการทางานภายในของรา่ งกาย เชน่ ความหวิ กระหาย การขับถา่ ย ความตอ้ งการทางเพศ
ใบงานท่ี 1 แบบสอบถามเกย่ี วกับตัวกระตุ้น
1. โปรดทาเครื่องหมาย หนา้ ข้อความท่ีมีผลกระตุ้นให้สมาชกิ กระทาความผิด และทาเครือ่ งหมาย
X หน้าขอ้ ความท่ไี มเ่ คยสง่ ผลกระตุ้นใหส้ มาชิกกระทาความผิดเลย
……… ความกลัว ……… ความคบั ข้องใจ ……… ถกู ทอดทง้ิ
……… ความโกรธ ……… ความสานกึ ผิด ……… กระวนกระวายใจ
……… เหนอ่ื ยลา้ ……… ความสขุ ……… ถูกวจิ ารณ์,ถูกจับผดิ
……… กดดนั ……… ขาดความมัน่ ใจ ……… ซึมเศร้า
……… ไมป่ ลอดภัย ……… ผ่อนคลาย ……… อบั อายขายหน้า
……… เสยี ใจ ……… หงุดหงิด ……… ตนื่ เตน้
……… เบอื่ หนา่ ย ……… อจิ ฉา/หงึ หวง ……… ดแู ขง่ ขันฟุตบอล
……… อยู่บ้านคนเดยี ว ……… เม่ือนา้ หนักตัวเพ่มิ ……… หลังไดร้ ับเงินเดือน
……… อยบู่ า้ นกบั เพอ่ื น ……… โรงเรยี น ……… เสยี งมอเตอรไ์ ซด์
……… ท่บี ้านเพือ่ น ……… ขับรถ ……… ก่อนมีนัดกับเพอ่ื นตา่ งเพศ
……… งานเล้ยี ง ……… ก่อนมีเพศสมั พนั ธ์ ……… ระหวา่ งมเี พศสัมพนั ธ์
……… เชยี รก์ ฬี า ……… หลังมเี พศสมั พนั ธ์ ……… ระหวา่ งมนี ัดกับเพื่อนต่างเพศ
……… ในรา้ นขายเหล้า ……… กอ่ นทางาน ……… หลงั เลกิ งาน
……… บาร์ / คลับ ……… เมอ่ื มเี งนิ ……… ผา่ นแหล่งจาหนา่ ยยาเสพตดิ
……… ในรา้ นขายเหลา้ ……… หลังจากพบผู้ขายยาเสพติด ……… สื่อต่างๆ (ขา่ วหนังสือพิมพ์
ทีวี หนงั สือ วทิ ย)ุ
~ 33 ~
2. ให้สมาชิกแต่ละคนสารวจตัวกระตุ้นของตนเอง ที่มีผลกระตุ้นให้สมาชิกมีพฤติกรรมเส่ียงต่อการ
กระทาผดิ และใหร้ ะบตุ วั กระตนุ้ ภายนอก และตัวกระตนุ้ ภายในลงในตาราง
ตัวกระตุ้นภายนอก ตวั กระต้นุ ภายใน
1. 1.
2. 2.
ใบงานท่ี 2 การแยกแยะตัวกระต้นุ
ให้สมาชิกแตล่ ะคนเขียนตัวกระตุน้ ที่มีผลต่อตนเองในการกลับไปกระทาผิดซ้า ในประเด็นตอ่ ไปน้ี
ตวั กระตนุ้ การจดั การกับตวั กระตนุ้ ที่เหมาะสมของตนเอง
1. อะไรคือตัวกระตุ้นท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุดที่ …………………………………………………………………………………………
อาจจะทาใหส้ มาชิกกลับไปกระทาผิดซา้ …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
…..……………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
2.อะไรคือตัวกระตุ้นที่อาจทาให้เกิดปัญหา …………………………………………………………………………………………
กับสมาชิกในอนาคตอันใกลน้ ี้ …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………..
…..……………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………
……………………………………………………..………………………………….
ใบความรู้ที่ 2 การควบคมุ ตนเอง (Self-control)
การควบคุมตนเอง (Self-monitoring หรือ Self-control) คือการจัดให้บุคคลท่ีมีพฤติกรรมที่อาจ
เป็นปัญหาตอ่ ตัวเองหรือบุคคลรอบขา้ ง เร่ิมสงั เกตพฤตกิ รรมตนเองและรายงานพฤติกรรมนันว่าเกิดขนึ เวลาใด
และส่วนใหญ่จะเกดิ ในสถานการณ์ใดมากท่สี ุด ซง่ึ เป็นการใหต้ ัวสมาชกิ ได้รบั รถู้ งึ ปัญหานันดว้ ยตนเองก่อน การ
ควบคมุ ตนเองสามารถทาได้หลายวิธี
~ 34 ~
1. การควบคมุ สิง่ เรา้ 1
เป็นกระบวนการจัดการกับเงื่อนไขสภาพแวดล้อมหรือส่ิงเร้าท่ีควบคุมพฤติกรรม หรือการ
เปล่ียนแปลงสิ่งเร้า เพื่อทาให้พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ไม่สามารถเกิดข้ึนได้ หรือเพื่อให้พฤติกรรมท่ีพึง
ประสงค์เกิดข้ึน โดยการกาจัดสิ่งเร้าท่ีควบคุมพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์น้ัน เช่น ถ้าจะลดน้าหนัก เราต้อง
ทราบทุกครั้งว่าอาหารที่เรารับประทานแต่ละครั้งมีสารอาหารอย่างไร สามารถควบคุมได้โดยซื้ออาหาร
รับประทานน้อยลงหรือซ้ือวัตถุดิบท่ีมีประโยชน์ต่อการลดน้าหนักมาทาอาหารเอง โดยต้องกาหนดสิ่งเร้าที่
เฉพาะเจาะจงเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น กาหนดว่าต้องรับประทานผลไม้วันละก่ีกรัม ผลไม้ชนิด
ไหนท่ีสามารถรับประทานได้/ชนิดไหนที่ควรเล่ียง หรือเปลี่ยนแปลงส่ิงเร้าใหม่ที่เหมาะสมกับพฤติกรรม
ในกรณที ่ีพฤติกรรมที่เป็นอยู่ถูกควบคมุ ด้วยส่งิ เร้าท่ีไม่เป็นที่ยอมรับ เช่น บางคนมีนสิ ัยชอบกินของรับประทาน
เล่น กเ็ ปล่ียนเป็นการรับประทานโยเกิร์ทระหวา่ งวัน
2. การเตือนตนเอง
การเตือนตนเองประกอบด้วยกิจกรรม 2 ส่วนคือ การสังเกตตนเอง และการบันทึกพฤติกรรมตนเอง
ใชไ้ ด้กบั ท้งั พฤตกิ รรมภายนอกและพฤติกรรมภายใน โดยตอ้ งเลอื กและกาหนดพฤตกิ รรมเปา้ หมายให้ชดั เจน
3. การทาสัญญากับตนเอง
การทาสัญญากับตนเองเป็นวิธีการหน่ึงที่ช่วยในการควบคุมตนเอง คือข้อตกลงกับตนเองที่เขียนเป็น
ลายลักษณ์ ระบุขั้นตอนที่ดาเนินการและเมื่อบรรลุเป้าหมายจะให้อะไรกับตนเอง การทาสัญญากับตน
ก็เหมือนกับการทาสัญญาอื่นๆ คือ จะต้องมีข้อความท่ีระบุในสัญญาว่าจะให้เวลาเท่าไร ซ่ึงอาจให้เวลา
2-3 นาที เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี การเขียนสัญญาควรเขียนเฉพาะส่ิงท่ีรู้วา่ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อ
บรรลุตามสัญญา ก็เปล่ียนไปสูพ่ ฤตกิ รรมเป้าหมายขัน้ ตอ่ ไป ซึง่ ในสัญญาควรประกอบด้วย
4. การเปล่ยี นการสนองตอบ
เปน็ วิธีการควบคมุ ตนเองอีกวิธีหนึง่ บคุ คลจะแสดงการสนองตอบอย่างอ่นื หรอื การกระทาพฤติกรรม
อื่นทส่ี ามารถระงับหรอื แทนที่การสนองตอบที่ไม่เหมาะสม เช่น การคดิ ถึงเร่ืองท่ีสนุกสนานเพ่อื ไม่ใหเ้ กดิ ความ
วิตกกังวล การทารา่ งกายให้ผ่อนคลายเพอื่ ควบคมุ ความเครียด เปน็ ต้น การทาสมาธิ อาจจดั อยใู่ นวิธีการนี้ได้
เปน็ การทาใหจ้ ิตใจและรา่ งกายผอ่ นคลาย
๕. กิจกรรมสมานฉันท์และการพัฒนาความผูกพันทางสังคม (การสมานฉันท์ระหว่างผู้ต้องขังกับเหย่ือ
ผู้ตอ้ งขงั กับสงั คม ผู้ตอ้ งขงั กบั ครอบครวั )
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือให้สมาชกิ ไดเ้ ข้าใจ และทราบหลักการ วธิ ีการในการสร้างความสมานฉนั ทใ์ นสงั คม
๒. เพ่ือใหส้ มาชิกเข้าใจ เห็นความสาคัญของการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมเพือ่ ใหส้ ังคมดารงอยู่ได้
อย่างสนั ตสิ ุข
๓. เพื่อให้ผู้ต้องขังตระหนักและรับรู้ถึงผลกระทบท่ีเกิดจากการกระทาของตน และความรู้สึกของผู้ที่
ตกเป็นเหย่อื
๔. เพ่ือให้ผูต้ ้องขังตระหนักและรบั รู้ถึงผลกระทบทเ่ี กิดจากการกระทาของตนต่อครอบครัว
1 รตั นภรณ์ แววกระโทก. เทคนิคในการควบคมุ ตนเอง. [ออนไลน]์ . จากเวบ็ ไซด์ :
https://www.gotoknow.org/posts/461113
~ 35 ~
สาระสาคัญ
๑. เพื่อให้ทราบหลักการวิธีการในการสร้างความสมานฉันท์ ให้เกิดขึนในสังคม เน่ืองจาก
การดารงชีวิตอยู่ในสังคม ย่อมต้องพบคนเป็นจานวนมาก ซ่ึงมีความแตกต่างกันทังทางด้านเศรษฐกิจ อารมณ์
สงั คม วัฒนธรรม มีทังพฤติกรรมที่แสดงออกในทางบวก และทางลบ มนุษย์ทกุ คนมีทังข้อดีและข้อเสยี ใหร้ ู้จัก
เลือกเอาส่ิงดี ๆ ของเขามาใช้ หากเราทาความเข้าใจ และยอมรับในข้อบกพร่องของคนอ่ืน จะทาให้ทุกคน
สามารถปรบั ตวั อยรู่ ว่ มกันไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ รจู้ ักการสร้างความสมานฉันทใ์ หเ้ กิดขึนในสังคม
๒. วิทยากรสรุปถึงผลกระทบท่ีเหย่ือได้รับทังระยะสันและระยะยาว ผลกระทบทางร่างกาย
และจิตใจ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเห็นใจ สงสารเหย่อื และยับยังชง่ั ใจในการท่ีจะกระทาผิดครังต่อไป
๓. เชญิ ผู้เสียหายหรอื ผทู้ ่ีเก่ียวข้องมาเล่าเรื่องราว ความทุกข์ ความทรมาน ผลกระทบและผลเสียหาย
ทเ่ี หยอ่ื ไดร้ บั ให้ผ้ตู ้องขงั ฟงั
๔. จัดแบ่งผู้ต้องขังออกเป็นกลุ่มย่อย จัดแสดงบทบาทสมมติ (Role Play) ให้ผู้ต้องขังแสดงเป็นเหย่ือ
เพื่อจะได้รับรู้ว่าเหยื่อมคี วามร้สู ึกอย่างไร และให้สมาชิกในกลุ่มร่วมแสดงความคิดเห็น เสร็จแล้วให้ตัวแทนแต่
ละกล่มุ ออกมาสรปุ
๕. การมีสัมพันธภาพท่ีดีกับครอบครัวเป็นเร่ืองจาเป็นเพื่อไม่ให้นาไปสู่การกระทาผิดขึนอีก การฟื้นฟู
สัมพันธภาพจะทาได้ต้องอาศัยการให้อภัยตนเองและผู้อ่ืนเป็นเบืองต้น การมีแนวทางเพ่ือที่จะฟื้นฟู
สมั พนั ธภาพจะทาใหง้ า่ ยตอ่ การปิบิ ัตจิ ริง
๖. การเรียนรูผ้ ลกระทบและความรสู้ ึกของผู้เสยี หาย
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือให้ผตู้ ้องขังตระหนักและรับรู้ถึงผลกระทบที่เกดิ จากการกระทาของตน และความรู้สึกของผู้ที่
ตกเปน็ เหยอ่ื
๒. เพื่อให้ผู้ต้องขงั ตระหนักถึงความรู้สึกผิดและความละอายใจ เกิดความรสู้ ึกเห็นใจ และสงสารเหย่ือ
หรอื ผู้ที่อาจเป็นเหยือ่ และยับยงั ชง่ั ใจในการทจ่ี ะกระทาผิดครังตอ่ ไป
อปุ กรณ์ ข่าวจากหนงั สอื พมิ พ์ , VDO หรอื VCD, กระดาษ A ๔, ปากกา
วธิ ีดาเนินการ
๑. ให้เรียนรู้จากเรื่องจริงท่ีเกิดขนึ เช่น จากข่าวหนังสือพิมพ์ หรือจากการดู วีดีทัศน์ เพื่อใหท้ ราบ
ถึง ผลกระทบ และความรสู้ ึกของผู้ทตี่ กเป็นเหย่อื และเช่อื มโยงกรณศี ึกษาเขา้ กบั ผ้ทู ี่เคยเปน็ เหย่อื ของตน
๒. เชิญผู้เสียหายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมาเล่าเรื่องราว ความทุกข์ ความทรมาน ผลกระทบและ
ผลเสยี หายท่ีเหยอ่ื ได้รับใหผ้ ู้ตอ้ งขังฟัง
๓. จัดแบ่งผู้ต้องขังออกเป็นกลุ่มย่อย จัดแสดงบทบาทสมมติ (Role Play) ใหผ้ ู้ต้องขังแสดงเปน็ เหยื่อ
เพื่อจะได้รบั รู้ว่าเหยื่อมคี วามรสู้ ึกอย่างไร และให้สมาชิกในกลุ่มร่วมแสดงความคิดเห็น เสร็จแล้วให้ตัวแทนแต่
ละกลมุ่ ออกมาสรปุ
๔. แจกกระดาษและปากกาให้ผู้ต้องขังได้เขียนระบายความรู้สึกถึงการกระทาของตนท่ีผ่านมาและ
ความรู้สกึ สานกึ ต่อความผดิ ทไ่ี ด้กระทาลงไป
สรุป วิทยากรสรุปถึงผลกระทบท่ีเหย่ือได้รับทังระยะสันและระยะยาว ผลกระทบทางร่างกาย
และจิตใจ เพ่อื ให้เกิดความเห็นใจ สงสารเหยื่อและยบั ยงั ชงั่ ใจในการท่จี ะกระทาผิดครงั ต่อไป
~ 36 ~
๗. กลุ่มบาบดั เชน่ ดนตรีบาบัด ศลิ ปบาบดั ละครบาบัด กีฬาบาบัด สติบาบัด
ดนตรีบาบดั (Music Therapy Group)
แนวคดิ ดนตรีบาบัด (Music Therapy) หมายถึง การใช้ดนตรีเพื่อผ่อนคลายความเครียดในเชิง
สร้างสรรค์นาไปสู่การพัฒนาสุขภาพกาย สุขภาพจิต พัฒนาความสามารถท่ีจะมีความสุขขันพืนฐาน ปัจจุบัน
มีการพบว่าดนตรีสามารถปลดปล่อยความเครียดต่างๆได้ แต่จะต้องสัมผัสอย่างเลือกสรรและสร้างสรรค์
เพ่ือให้ดนตรีนันมีบทบาทสาคัญในการทาให้เกิดความสมดุลระหว่างกายกับใจ การสัมผัสดนตรีมี ๓ ขันตอน
คอื การฟัง การบรรเลง และการขับร้อง เป็นทางเลือกหน่ึงในหลายๆ ทางท่ีจะช่วยผ่อนคลายความเครียดของ
คนในเชิงสร้างสรรค์ การใช้ดนตรีเพ่ือเป็นสื่อกลางในการที่จะแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ ดนตรีเป็น
ตัวกระตนุ้ ให้สมาชิกต่ืนตัวอยตู่ ลอดเวลา และสร้างบรรยากาศเปน็ แบบไมแ่ ข่งขัน หรอื ไม่สร้างความร้สู ึกกดดัน
ตอ่ สมาชกิ ในกลมุ่ ตวั อยา่ งเช่น การฝึกร้องเพลงประสานเสียง การเล่นดนตรพี ืนบ้าน การเล่นดนตรีไทย ฯลฯ
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือพัฒนาด้านมนุษยสัมพันธ์ ให้การยอมรับซึ่งกันและกัน มีความเป็นมิตรและส่ือสารได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
๒. ให้ร้จู ักการแสดงออกทางด้านอารมณ์ ซึง่ จะช่วยพัฒนาบุคลกิ ภาพ ลดความเครียด ความวิตกกังวล
เพิ่มสมั พันธภาพทีอ่ บอุน่ และความเชอื่ มัน่ ในตนเอง
๓. ช่วยใหม้ สี มาธิและทาสง่ิ ต่าง ๆไดน้ าน
๔. ชว่ ยให้จิตใจละเอยี ดออ่ น ซาบซงึ กับเสยี งดนตรรี อบตวั รู้จักสร้างจนิ ตนาการ ช่วยสร้างจินตนาการ
ทล่ี ึกซงึ ใหแ้ กผ่ เู้ ล่นและผูฟ้ งั
๕. เพ่อื ผ่อนคลายความตึงเครยี ด
๖. ฝกึ การเป็นหัวหนา้ กลุ่มในรายท่สี ามารถเป็นหัวหน้าไดด้ ี
๗. ชว่ ยเร้าใหแ้ สดงความรู้สึกภายในไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
๘. ช่วยยกระดับสติปัญญา ก่อใหเ้ กิดความคดิ สร้างสรรคแ์ ละความงดงามแกจ่ ิตใจได้
สาระสาคัญ ดนตรีมีผลต่อความรู้สึกของมนุษย์ ทาให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน คลาย
ความเครียด ลดความกังวล เพ่ิมความคิดสร้างสรรค์และความเชื่อมั่นในตนเอง เรียนรู้และยอมรับ
ความสามารถตนเอง และผู้อ่ืน เสียงดนตรีเป็นตัวกระตุ้นชนิดหนึ่งท่ีทาให้มนุษย์เกิดการปรับปรุงหรือ
เปลย่ี นแปลงพฤติกรรม
ศลิ ปบาบัด (Art Therapy)
แนวคิด การใช้ศิลปะเป็นสื่อในการสนับสนุนให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีโอกาสแสดงออก มีความคิด
สร้างสรรค์ รู้จักแก้ปัญหา มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น ดังนันศิลปบาบัดจึงเปรียบเสมือนการเช่ือมเอา
ศิลปะ และการบาบัดเขา้ ด้วยกนั
วตั ถุประสงค์
๑. มโี อกาสแสดงความคิดสรา้ งสรรค์
๒. ทางานศิลปะอย่างสนุกสนานตามความต้องการ และตามธรรมชาตขิ องตนเอง
๓. มีโอกาสพฒั นาทกั ษะดา้ นศลิ ปะ สังคม และอารมณค์ วบคูก่ ันไป
๔. มพี ืนฐานความคดิ อันเปน็ ประโยชน์ในการดารงชวี ิต
๕. รู้จกั คดิ และ คน้ ควา้ ทดลองแสวงหาคาตอบ ร้จู ักแกป้ ัญหาและประนปี ระนอม
๖. มกี ารรับรูเ้ กย่ี วกบั ความงาม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
~ 37 ~
๗. ได้รับการกระตุ้น ส่งเสริมให้เกิดจินตนาการ และสามารถแสดงออกในทางศลิ ปะหลายรูปแบบ จน
เกิดการทาประโยชน์และนาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้
สาระสาคัญ ศิลปะบาบัดเป็นวิธีการช่วยเหลือบุคคลที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจ ซึ่งเกิดจาก
สภาพภายในและภายนอกจติ ใจของบุคคลนนั ศิลปบาบดั เปรียบเสมือนเครอื่ งมอื ชนดิ หนึ่งในการรกั ษา
กีฬาบาบดั
แนวคิด การเล่นกีฬาจัดเป็นการออกกาลังกาย ท่ีจาเป็นและสาคัญสาหรับทุกคน เพื่อให้มีสุขภาพสมบูรณ์
ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนือ ช่วยให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ทางานตามธรรมชาติ เสริมสร้าง
ระบบการไหลเวียนของโลหิต ช่วยในการรับใช้นาพาออกซิเจนไปบารุงทุกส่วนของร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหร อ
ชารุดและดารงสภาพท่ีปกติของร่างกาย นอกจากนีกีฬายังเป็นการฝึกให้บุคคลมีวินัยในตนเอง มีนาใจเป็นนักกีฬา
รู้แพ้ ร้ชู นะ รู้อภัย
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพือ่ ใหส้ มาชกิ ได้ออกกาลงั กาย เสริมสร้างความเข้มแข็งของร่างกาย
๒. เพื่อให้สมาชกิ ได้ผ่อนคลายความเครียด กระต้นุ ให้ร่างกายตืน่ ตัว
๓. เพือ่ ให้สมาชกิ ได้ใช้เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์
๔. เพ่ือเสรมิ สรา้ งสมั พันธภาพทด่ี ี ความสามัคครี ะหว่างสมาชกิ
ละครบาบัด ( Drama therapy)
เป็นศาสตร์ท่ีผสมผสานระหว่างศิลปะการละคร กับ จิตวิทยา เข้ามาใช้ในการบาบัดจิตใต้สานึก
ละครบาบัดจะใช้กระบวนการและเทคนิคของละครท่ีหลากหลายมาเป็นสื่อกลางในการเช่ือมโยงความคิด
ความรู้สึก และอารมณ์ของแต่ละคนแล้วใช้เคร่ืองมือและเทคนิคต่างๆ ในการเข้าถึงความคิด อารมณ์
ความรู้สึก ให้คนได้แสดงออกมาเป็นรูปร่างมองเห็นและจับต้องได้ ผู้ที่เข้ามาใช้กระบวนการละครบาบัด
มักเป็นผู้ท่ีมีปัญหาหรือต้องการพัฒนา เช่น พัฒนาทักษะในการสื่อสาร การปรับตัว การรู้จักตัวเอง
ความมัน่ ใจในตัวเอง และพัฒนาการเรยี นรู้ การอยู่รว่ มกนั กบั ผอู้ นื่ โดยผา่ นสอื่ ของละครและศลิ ปะ
การทากิจกรรมละครบาบัดในแต่ละครัง จะแบ่งเป็น 3 ส่วน เริ่มด้วย การวอร์มอัพ เพื่อความพร้อม
ของร่างกายและอารมณ์ให้มีการตื่นตัวในการเรียนรู้ แล้วจึงเคล่ือนไปสู่การสารวจและการค้นหาความเป็น
ตวั เอง ส่วนนีจะใช้เวลามากกว่าส่วนอ่ืนๆ เพราะเป็นโอกาสที่จะได้เข้าไปสัมผัสกับความคิด อารมณ์ ความรู้สึก
ทัศนคติและเรื่องราวแง่มุมต่างๆของชีวิตของผู้ถูกบาบัด รวมถึงประเด็นปัญหาในจิตใจของแต่ละคน
ส่วนสุดทา้ ย เป็นช่วงการจบขันตอนการบาบัด คอื การพูดคุยแลกเปล่ยี นประสบการณ์ร่วมกัน เครอ่ื งมือที่ใชใ้ น
กิจกรรม ได้แก่ หน้ากาก หุ่นมอื การแสดงบทบาทต่างๆ เกมท่ีใช้ในกระบวนการละคร ท่วงท่าการเคล่ือนไหว
ของรา่ งกาย การใชเ้ สยี ง บทละคร การสรา้ งหรือแต่งเรอื่ งราว เพลง และอน่ื ๆ
ศาสนาบาบดั (การพัฒนาจิตใจ/สมาธ/ิ วปิ ัสสนา)
ศาสนาบาบัด คือ การนาหลักธรรมคาส่ังสอนต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนามาขัดเกลาจิตใจและใช้
เป็นแนวทางในการดาเนนิ ชวี ิตให้แก่สมาชิกทเ่ี ขา้ รบั การอบรม
วตั ถุประสงค์
๑. เพอื่ ใหส้ มาชิกไดเ้ รยี นรูเ้ ก่ียวกบั ความสาคญั และประโยชนข์ องการพฒั นาจิตใจ
๒. เพื่อกลอ่ มเกลาจติ ใจสมาชิกให้ดีงามและเขม้ แข็ง อดทนตอ่ ส่ิงย่ัวยุในทางเส่ือมเสีย
~ 38 ~
ประโยชน์ของการพัฒนาจติ ใจ
๑. ทาใหจ้ ิตใจเข้มแขง็ ควบคมุ ตนเองให้อยูเ่ หนืออานาจกเิ ลสที่เย้ายวนได้
๒. ทาใหม้ คี วามสุขุม รอบคอบ อดทน และเช่ือม่นั ตนเองสงู ขนึ
๓. ทาใหม้ ีความเพียรพยายามในการดาเนนิ ชีวติ ไปสู่ความสาเรจ็ มากขนึ
โปรแกรมการปรบั พฤติกรรมผกู้ ระทาผิดที่ใชค้ วามรนุ แรง
๑. การให้ความรู้เกยี่ วกบั กฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผิดที่เก่ียวข้องกับการใชค้ วามรุนแรง
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือให้สมาชิกมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับกฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดี
ความผิดที่เก่ยี วขอ้ งกับการใชค้ วามรุนแรง
๒.เพือ่ ใหส้ มาชกิ เกิดความตระหนกั และระมัดระวังไม่ให้มีการกระทาความผิดซาอีกภายหลังพน้ โทษ
สาระสาคัญ
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไวอ้ ย่างชดั เจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพอ่ื ให้พ้นจากความรับผดิ ชอบในทางอาญาไมไ่ ด้...” ดงั นันจงึ ต้องมีการใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพ่ือเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลังพน้ โทษ
๒. ทักษะการเปลี่ยนแปลงความเชื่อและค่านยิ มที่จะนาไปสคู่ วามรนุ แรง
วตั ถุประสงค์
๑. เพือ่ ใหส้ มาชกิ มีทักษะในการคิด และใชส้ ตปิ ญั ญา ไตรต่ รองก่อนตดั สินใจแกไ้ ขปัญหาท่ีเกดิ ขนึ กบั ตวั เอง
๒. เพอื่ ให้สมาชิกได้ฝึกการคดิ อย่างมีขันตอน
สาระสาคัญ
๑. ฝกึ ให้สมาชกิ ได้รูจ้ ักการวเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญั หา
๒. ฝึกให้สมาชกิ รู้จกั พิจารณาแนวทางแกไ้ ขปัญหา
๓. ฝกึ ใหส้ มาชกิ ร้จู ักวเิ คราะห์ผลดี และผลเสยี ของทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
๔. ฝกึ ให้สมาชกิ รจู้ กั ตดั สินใจในการเลือกทางทม่ี ีข้อดีมากทสี่ ุด และมขี ้อเสียน้อยทสี่ ุด
๕. ฝกึ ให้สมาชิกรจู้ ักประเมินผลอย่างเท่ียงธรรม และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข
โปรแกรมการแกไ้ ขผกู้ ระทาผิดเกีย่ วกับชีวติ และร่างกาย
๑. การใหค้ วามรเู้ ก่ียวกบั กฎหมายและบทลงโทษในคดีความผิดเกีย่ วกับชีวิตและรา่ งกาย
วตั ถุประสงค์
๑. เพ่ือให้สมาชิกมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับกฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดี
ความผดิ เกีย่ วกบั ชีวิตและร่างกาย
๒. เพ่อื ใหส้ มาชกิ เกดิ ความตระหนกั และระมดั ระวงั ไม่ใหม้ กี ารกระทาความผิดซาอีกภายหลังพน้ โทษ
สาระสาคญั
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพ่ือให้พ้นจากความรับผิดชอบในทางอาญาไมไ่ ด้...” ดังนันจงึ ต้องมีการให้ความรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพ่ือเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลังพน้ โทษ
~ 39 ~
๒. ทกั ษะการเปลี่ยนแปลงความเชื่อและค่านิยมที่จะนาไปสคู่ วามรนุ แรง
วัตถุประสงค์
๑. เพือ่ ให้สมาชกิ มที ักษะในการคดิ และใชส้ ตปิ ญั ญา ไตร่ตรองก่อนตดั สนิ ใจแก้ไขปญั หาท่เี กดิ ขึนกบั ตวั เอง
๒. เพอ่ื ให้สมาชกิ ไดฝ้ ึกการคดิ อย่างมีขนั ตอน
สาระสาคญั
๑. ฝึกใหส้ มาชกิ ไดร้ ูจ้ ักการวิเคราะห์สาเหตขุ องปญั หา
๒. ฝึกให้สมาชกิ รจู้ ักพจิ ารณาแนวทางแก้ไขปัญหา
๓. ฝึกให้สมาชกิ รู้จกั วเิ คราะห์ผลดี และผลเสยี ของทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
๔. ฝกึ ให้สมาชกิ รู้จักตัดสินใจในการเลอื กทางท่ีมีข้อดีมากท่สี ุด และมีข้อเสียน้อยท่ีสุด
๕. ฝึกให้สมาชิกรู้จักประเมินผลอย่างเท่ยี งธรรม และพร้อมท่จี ะปรบั ปรุงแก้ไข
โปรแกรมการแกไ้ ขผูก้ ระทาผิดเก่ยี วกับทรัพย์
๑. การใหค้ วามรเู้ กีย่ วกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผิดเกย่ี วกบั ทรัพย์
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพื่อให้สมาชิกมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดี
ความผดิ เกย่ี วกับทรพั ย์
๒. เพือ่ ใหส้ มาชิกเกดิ ความตระหนักและระมดั ระวงั ไม่ใหม้ กี ารกระทาความผดิ ซาอีกภายหลงั พ้นโทษ
สาระสาคญั
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพ่ือให้พ้นจากความรับผิดชอบในทางอาญาไมไ่ ด้...” ดังนันจึงต้องมกี ารใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอ่ืน ทังนีเพ่ือเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลังพ้นโทษ
๒. การประสบความสาเรจ็ ด้วยสมั มาอาชีวะ
วัตถุประสงค์
๑. เพอ่ื ปรับเปลี่ยนทัศนคตพิ ฤตกิ รรมใหร้ กั การทางานและประกอบอาชพี สุจริต
๒. เพื่อให้มีความรู้และพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพตามความถนัดและตามความต้องการของ
ตลาดแรงงาน สามารถนาไปประกอบอาชพี ไดภ้ ายหลังพน้ โทษ
สาระสาคญั
ผู้ต้องขังท่ีกระทาผิดเก่ียวกับทรัพย์ที่กระทาผิดโดยความจาเป็นส่วนใหญ่จะทาผิดเพราะปัญหาทาง
เศรษฐกิจ ไม่มีอาชีพที่จะเป็นที่มาของรายได้เลียงชีพ และครอบครัว หรือมีรายได้ไม่เพียงพอ จึงไปลักทรัพย์
หรือจาหน่ายยาเสพติด ดังนัน การแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังกลุ่มนีจึงต้องเน้นหนักการฝึกอาชีพ ให้มีความรู้และ
ทกั ษะในการประกอบอาชีพ เพื่อจะไดม้ ีอาชพี เลยี งตนเองไดแ้ ละไม่กลบั ไปกระทาผิดอีก
~ 40 ~
โปรแกรมการแกไ้ ขผู้คา้ ยาเสพตดิ
๑. การใหค้ วามรู้เกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผดิ เกี่ยวกับยาเสพติด
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพื่อให้สมาชิกมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดี
เกีย่ วกบั ยาเสพติด
๒. เพื่อใหส้ มาชกิ เกิดความตระหนักและระมัดระวังไม่ใหม้ กี ารกระทาความผดิ ซาอีกภายหลังพ้นโทษ
สาระสาคัญ
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไวอ้ ย่างชดั เจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพอื่ ใหพ้ ้นจากความรับผดิ ชอบในทางอาญาไม่ได้...” ดังนันจึงต้องมกี ารใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางด้านกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพ่ือเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลังพ้นโทษ
๒. พิษภยั ผลกระทบของยาเสพติด
วัตถุประสงค์
๑. เพอ่ื ใหส้ มาชกิ ไดร้ บั รูถ้ ึงผลกระทบท่ีเกดิ จากการเขา้ ไปยุ่งเก่ียวกับยาเสพติดและรบั รู้ถึงพษิ ภัยจากยาเสพตดิ
๒. เพอ่ื ปลูกฝังให้สมาชิกเกิดความรักตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ
สาระสาคญั
๑.สอนใหส้ มาชิกเรยี นรู้และตระหนกั ถึงโทษและพิษภยั จากยาเสพตดิ
๒.สอนให้สมาชิกได้เข้าใจว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการค้ายาเสพติดนันไม่รอดพ้นจากการ
จบั กมุ จากเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั
๓. เทคนิคการปฏเิ สธและหลกี หนเี ครือข่ายยาเสพตดิ
วตั ถปุ ระสงค์
เพอื่ ให้สมาชิกสามารถปิเิ สธเพ่ือนหรอื บุคคลใกลช้ ดิ ในสถานการณ์ทีอ่ าจถกู ชักชวนให้เขา้ ไปเกี่ยวขอ้ ง
กบั ยาเสพตดิ ไดถ้ ูกต้องตามขันตอนการปิิเสธ
สาระสาคญั
สมาชิกจะตอ้ งเรยี นรู้และเขา้ ใจการปิิเสธผอู้ ่นื ได้อย่างถูกวธิ โี ดยมีหลกั การปิิเสธ ดังนี
๑. ปิเิ สธอยา่ งจรงิ จังทงั ท่าทาง คาพดู และนาเสียง เพื่อแสดงความตงั ใจอยา่ งชัดเจน
๒. ใช้ความรู้สึกเป็นข้ออ้างประกอบเหตุผล เพราะการใช้เหตุผลอยา่ งเดียวมักจะถกู หักล้างด้วยเหตุผลอ่ืน
จึงควรอ้างความรู้สึกประกอบด้วยก็จะทาให้โต้แย้งได้ยากขนึ
๓. เม่อื ถกู คะยันคะยอหรือสบประมาท ไม่ควรหว่ันไหว ควรรวบรวมสติแล้วเลือกวธิ ตี ่อไปนี
๓.๑ ปิเิ สธซาโดยไม่ต้องใช้ข้ออ้าง พร้อมทังหาทางเลยี่ งจากเหตุการณ์ไป
๓.๒ การต่อรองโดยการหากิจการอ่ืนมาทดแทน
๓.๓ การผัดผ่อนโดยขอยืดเวลาออกไปเพื่อให้ผู้ชักชวนเปลี่ยนความตังใจ
~ 41 ~
โปรแกรมการปรับพฤติกรรมผกู้ ระทาผดิ อันเนือ่ งมาจากการดื่มสุรา
๑. การให้ความรกู้ ฎหมายท่เี ก่ียวขอ้ งกับเคร่อื งดืม่ ทม่ี ีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
วตั ถุประสงค์
๑. เพื่อให้สมาชิกมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดี
เกย่ี วกับเครอื่ งดม่ื ท่มี สี ่วนผสมของแอลกอฮลล์
๒. เพื่อใหส้ มาชิกเกดิ ความตระหนกั และระมัดระวังไม่ให้มีการกระทาความผิดซาอีกภายหลังพ้นโทษ
สาระสาคญั
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไว้อย่างชดั เจนว่า “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพอื่ ให้พ้นจากความรับผดิ ชอบในทางอาญาไม่ได้...” ดังนันจงึ ต้องมกี ารใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อีกภายหลังพน้ โทษ
๒. พิษภัยและผลกระทบจากการดม่ื สรุ า
วัตถุประสงค์
๑. เพอ่ื ให้สมาชิกรับรู้ถึงพษิ ภัยและผลกระทบจากการด่มื สุรา
๒. เพ่ือเป็นการยับยงั ความคิดท่ีจะกลับไปกระทาผดิ ขนึ อกี
สาระสาคัญ
จดั กจิ กรรมให้ความรู้และพธิ ีสาบานตนให้แกส่ มาชกิ เพ่ือใชเ้ ป็นกรอบในการควบคมุ ตนเองของสมาชกิ
วิธีดาเนนิ การ
- จัดพิธีสาบานตน เช่น การดื่มนาสาบาน และกล่าวปิิญาณตนต่อหน้าส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีสมาชิกเคารพ
นบั ถอื โดยสาบานวา่ สมาชกิ จะไม่เข้าไปเกย่ี วขอ้ งกับสรุ า ยาเสพตดิ อีก ไม่ว่าทางตรงหรอื ทางอ้อม
- พิธีดังกล่าวควรเป็นพิธกี ารที่ศักด์ิสิทธิ์ จัดในห้องที่เป็นส่วนตัว สงบเงยี บ อาจนิมนต์พระสงฆ์มาร่วม
ในพิธีดว้ ย
โปรแกรมยุตธิ รรมนาสนั ตสิ ขุ
๑. ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายคดคี วามม่ันคง
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อใหส้ มาชกิ มีความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับกฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผดิ ในคดีความม่นั คง
๒. เพื่อใหส้ มาชกิ เกดิ ความตระหนักและระมัดระวังไม่ให้มีการกระทาความผดิ ซาอีกภายหลงั พ้นโทษ
สาระสาคัญ
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไว้อย่างชดั เจนว่า “บุคคลจะแก้ตวั ว่าไม่ร้กู ฎหมาย
เพื่อใหพ้ ้นจากความรับผดิ ชอบในทางอาญาไมไ่ ด้...” ดังนันจงึ ต้องมีการใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอื่น ทังนีเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลงั พน้ โทษ
~ 42 ~
๒. สันติศึกษา
วัตถุประสงค์ เพ่ือให้ผู้เข้าอบรมสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข ลดปัญหาความขัดแย้งท่ี
เกดิ ขึนภายในจติ ใจ
สาระสาคัญ ศึกษาความหมายและแนวคิดหลักเกี่ยวกับสันติสุข และสันติภาพ ปัญหาความขัดแย้ง
และความรุนแรงในระดับครอบครัว ชุมชน ชาติ และระหว่างประเทศ การจัดการความขัดแย้งโดยสันติตาม
หลักการอสิ ลาม
๓. ศาสนาอิสลามกบั แนวทางสันติสขุ
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือให้สมาชกิ นาหลักศาสนาอสิ ลามไปปรับใช้ในการคิด ใช้สติปัญญา ไตรต่ รองกอ่ นตดั สินใจแก้ไข
ปัญหาทเ่ี กิดขนึ กับตวั เอง และฝึกการคดิ อย่างมขี นั ตอน
๒. เพื่อให้สมาชิกสามารถนาหลักคาสอนศาสนาของอิสลามมาปรับใช้ในการดาเนินชีวิต ในการสร้าง
สนั ตภิ าพและความสามัคคีแก่คนในชาตไิ ด้อย่างเหมาะสม
สาระสาคญั
ฝึกให้สมาชิกได้นาหลักคาสอนของศาสนาอิสลามมาใช้ในการวิเคราะห์ สาเหตุของปัญหา รู้จัก
พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา รู้จักวิเคราะห์ผลดีและผลเสียของทางเลือกในการแก้ไขปัญหา ตัดสินใจในการ
เลือกทางท่ีมีข้อดีมากที่สุดและมีข้อเสียน้อยท่ีสุด เพ่ือสามารถปิิบัติตามกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันในรูปของ
กฎระเบียบหรือกฎหมาย และมีคุณธรรม จริยธรรมในการช่วยเหลือเกือกูลกัน การมีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
ของสังคม ทาให้ประชาชนสามารถอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสันติสุข
โปรแกรมการแก้ไขผู้กระทาผดิ ซา้
๑. การใหค้ วามรเู้ กี่ยวกับกฎหมายและบทลงโทษในคดคี วามผิดที่เก่ียวข้อง (แยกตามประเภทคดีทกี่ ระทาผดิ ซา้ )
วตั ถุประสงค์
๑. เพ่อื ให้สมาชกิ มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกบั กฎหมายและบทลงโทษจากการกระทาผิดในคดีต่าง ๆ
๒.เพอ่ื ใหส้ มาชิกเกิดความตระหนักและระมดั ระวงั ไม่ใหม้ ีการกระทาความผิดซาอีกภายหลังพ้นโทษ
สาระสาคญั
ตามมาตรา ๖๔ ตามประมวลกฎหมายอาญา ระบุไว้อย่างชัดเจนวา่ “บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมาย
เพ่อื ใหพ้ ้นจากความรับผิดชอบในทางอาญาไมไ่ ด้...” ดังนันจึงต้องมีการใหค้ วามรู้ ความเข้าใจทางดา้ นกฎหมาย
และบทลงโทษ หากบุคคลใดได้ทาการละเมิดต่อบุคคลอ่ืน ทังนีเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้มีการกระทาผิดซา
อกี ภายหลงั พ้นโทษ
การประเมินความรู้ ทัศนคติ ทักษะและพฤตกิ รรม หลังการเข้าโปรแกรม
๑. การให้คาปรึกษาเปน็ รายบุคคล (Individual Counseling)
สาระสาคญั
การให้คาปรึกษาเฉพาะราย คือ การพูดคุยระหว่างผู้ให้คาปรึกษาแนะนา (Counselor) กับผู้มีปัญหา
ซ่ึงเป็นผู้รับคาปรึกษา (Counselee) เพ่ือช่วยให้เขาเกิดความคิดและมองเห็นการปิิบัติท่ีแก้ไขหรือคลี่คลาย
ปัญหาของเขาได้ การให้คาปรึกษา แนะนา เปรียบเสมอื นกระบวนการให้ความช่วยเหลือด้วยวิธีการสัมภาษณ์
~ 43 ~
ท่ีต้องใช้เวลาต่อเนื่องกัน ขณะเดียวกันการให้คาปรึกษาแนะนาก็จะช่วยพัฒนาจิตใจให้มีความเป็นผู้ใหญ่ รู้จัก
อดทน ตอ่ สกู้ บั ปญั หาและสามารถพึ่งตนเองได้
๒. การให้คาปรกึ ษาเปน็ รายกลมุ่ (Group Counseling)
สาระสาคัญ
การให้คาปรึกษาเป็นรายกลุ่ม เป็นการใช้กระบวนการกลุ่มช่วยให้สมาชิกรู้จัก เข้าใจ และยอมรับ
ตนเองอย่างแท้จริง ให้สามารถหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในจิตใจของตนได้ ซงึ่ จะนาไปสู่
การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมไปในแนวทางที่เหมาะสม นอกจากนียงั ได้นากระบวนการกลุ่มรูปแบบต่าง ๆ มาใช้
ผสมผสานอกี ด้วย เชน่
กลุ่มระบายความคับขอ้ งใจ (Ventilation)
เพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสระบายความคับข้องใจในปัญหาของตนเอง ให้กลุ่มได้ช่วยกันแนะนาแก้ไข
ซ่ึงจะชว่ ยกันพัฒนาทศั นคติ ลดความตึงเครียดและความวิตกกังวล
กลมุ่ บันเทงิ บาบดั (Therapeutic Recreation Group)
เพอื่ ให้สมาชิกได้รับการปรับเปล่ียนพฤติกรรม สรา้ งสัมพนั ธภาพ เกดิ ความสามคั คี คลายอารมณ์ความ
ตึงเครียด สนใจส่ิงแวดล้อม มีคติเตือนใจ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ฝึกหัดการเป็นผู้นา – ผู้ตาม
ทราบวิธีการปิิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตที่สังคมยอมรับ รู้จักบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อหมู่คณะ สรา้ งเสริม
ความเช่ือมั่น ความมีคุณค่าในตนเองมากขึน ช่วยสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจให้ดีขึน โดยการเล่นเกม
และสนั ทนาการตา่ ง ๆ
กลมุ่ สง่ เสริมความรู้
เพื่อให้สมาชิกได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการดาเนินชีวิต ทันต่อเหตุการณ์ มีการ
แลกเปลี่ยนความคิด ได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความคุ้นเคยและมีสัมพันธภาพที่ดีในกลุ่ม เช่น อ่านหนังสือ
สารคดี เล่าเรื่อง เป็นตน้
๓. การใหค้ าปรกึ ษาเปน็ กลุม่ กับการประยกุ ต์ใช้
การให้คาปรึกษาเป็นกลุ่ม (Group Counseling) เป็นกระบวนการในการให้ความช่วยเหลือ
ต่อผู้รับบริการที่จัดขึนเป็นกลุ่ม ซ่ึงโดยปกติแล้วขนาดของกลุ่มจะมีระหว่าง ๖-๘ คน โดยมุ่งแก้ปัญหาของ
สมาชิกแต่ละคนโดยอาศัยความสัมพันธ์ภายในกลุ่มที่มีบรรยากาศอบอุ่นมีการยอมรับ มีความไว้วางใจและ
ความเข้าใจซึ่งกันและกันอันจะทาให้สมาชิกได้พูดถึงตนเองและปัญหาของตนออกมา โดยมีเพื่อนสมาชิกช่วย
ให้กาลังใจและสนับสนุนเกี่ยวกับการจัดการกับปัญหาของตน แก้ปัญหาร่วมกัน ปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน
เปน็ กลุ่มโดยมผี ูใ้ หค้ าปรึกษาร่วมอยู่ด้วย
วิธีการดังกล่าวสมาชิกในกลุ่มจะมีโอกาสได้แสดงออกเกี่ยวกับความรู้สึกและความคิดเห็นของแต่ละ
คน เป็นการระบายความรู้สึกขัดแย้งในจิตใจ ได้สารวจตนเอง ได้ฝึกการยอมรับตนเองกล้าที่จะเผชิญปัญหา
และได้ใช้ความคิดในการแก้ปัญหาหรือปรับปรุงตนเอง กับทังได้รับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้อ่ืน
และไดต้ ระหนักวา่ ผ้อู ื่นกม็ ีความรู้สกึ ขัดแยง้ หรือความคิดเห็นเชน่ เดียวกับตน ไม่ใช่เขาคนเดียวท่มี ีปัญหา
๔. การให้คาปรกึ ษาเป็นกลมุ่ ในเรือนจาและทัณฑสถาน
การให้คาปรึกษาอาจนามาประยุกต์ใช้เป็นเคร่ืองมือในการอบรมแก้ไขผู้ต้องขังหรือลดปัญหาการ
ละเมิดกฎเกณฑ์ของเรือนจาและทัณฑสถาน โดยใชก้ ลวธิ ีสง่ เสริมพัฒนาการ (Developmental Counseling)
~ 44 ~
เพ่ือช่วยให้ผู้ต้องขังมีพัฒนาการท่ีดี มีความรู้สึกตอ่ ตนเองและค่านิยมท่ีถูกต้อง มีความเข้าใจและยอมรับการ
เปลี่ยนแปลงของสภาพการณ์ต่างๆ สามารถดาเนินชีวิตได้ต่อไปโดยไม่ท้อแท้สินหวังและสามารถปรับตัวได้
ซง่ึ จะช่วยลดปญั หาและความขัดแย้งตา่ งๆ ทอ่ี าจจะเกิดขึนได้ในระหวา่ งถูกคุมขงั
การให้คาปรึกษาเป็นกลุ่ม (Group Counseling) นามาใช้ในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้ต้องขังกระทาผิดซาของ
เรอื นจาและทณั ฑสถาน โดยมีความมุ่งหมายดังนี
๑. เพ่ือการพัฒนาทัศนคติ ศีลธรรม จริยธรรม ความคดิ ท่าที อารมณ์และจิตใจของผู้ตอ้ งขงั โดยใช้
พลังกลุ่มเป็นเคร่ืองมือในการกระตุ้นจิตสานึกในการปรับตนเป็นพลเมืองดี เนื่องจากความคิดและการกระทา
เป็นสิง่ ทีเ่ กย่ี วเน่อื งกนั
๒. เพือ่ แก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมของผู้ตอ้ งขงั ให้เป็นไปในทางทพี่ ึงปรารถนา เช่น การปรับตวั กับบุคคล
ครอบครวั ให้ผู้ต้องขงั มีความพร้อมและสามารถอยู่กับสงั คมภายนอกโดยไมห่ วนกลบั ไปกระทาผิดซาอีก
การให้คาปรึกษาเป็นกลุ่มถูกนามาใช้เคร่ืองมือในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังกระทาผิดซา เพื่อลดปัญหา
การกระทาผิดซาอีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวควรให้ผู้ต้องขังได้แลกเปล่ียน
ความคิดเหน็ ในปญั หาของแต่ละคนร่วมคดิ แก้ไขปญั หาและรับคาแนะนารว่ มกนั
โปรแกรมเฉพาะสาหรบั นักโทษเดด็ ขาดคดีความผิดเล็กน้อย (พกั โทษกรณพี เิ ศษ)
๑. หลกั สตู รการส่งเสริมการเรยี นรู้ (กจิ กรรมทสี่ ่งเสริมการฟงั พูด อ่าน เขยี น)
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึนกับมนุษย์ตลอดชีวิต และไม่จากัดว่าจะอยู่ในสถานท่ีใด แม้แต่ใน
เรือนจา หากทุกคนตระหนักและให้ความสาคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคลท่ียังถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
เมื่อพวกเขาเหล่านีพน้ โทษออกไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคม จะพบว่ากระบวนการสง่ เสริมการเรียนรู้เป็น
ส่ิงสาคัญท่ีจะช่วยพัฒนาความคิด พฤติกรรมและศกั ยภาพท่ตี นเองมีออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผูต้ ้องขังก็คอื ผู้
ท่สี ามารถพฒั นาตนเองและถอื เปน็ ผู้เรยี นทคี่ วรไดร้ ับการส่งเสรมิ ผา่ นกจิ กรรมท่ีมีการเสริมแรงในทางบวก
คาจากดั ความทน่ี ักจิตวิทยา คิมเบลิ (Gregory A Kimble) กลา่ ววา่ "การเรียนรู้คือการเปลีย่ นแปลง
ศักยภาพแห่งพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ซ่ึงเป็นผลมาจากการฝึกหรือการปฏิบัติท่ีได้รับ การเสริมแรง
(Learning as a relatively permanent change in behavioral potentiality that occurs as a result
of reinforced practice) "
จากความหมายของการเรียนรูข้ ้างตน้ แยกกล่าวเป็นประเด็นสาคญั ได้ ๕ ประการ คือ
๑ การท่ีกาหนดวา่ การเรยี นรคู้ ือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม กแ็ สดงว่าผลที่เกิดจากการเรยี นรู้ จะตอ้ ง
อยู่ในรูปของพฤติกรรมท่ีสังเกตได้ หลังจากเกิดการเรียนรู้แล้ว ผู้เรียนสามารถทาสิ่งหรือเรื่องท่ีไม่เคยทามา
กอ่ นการเรียนรู้นัน
๒ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนัน ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวร นั่นก็คือ พฤติกรรมท่ี
เปลี่ยนไปนันจะไม่เป็นพฤติกรรมในช่วงสัน หรือเพียงชั่วครู่ และในขณะเดียวกันก็ ไม่ใช่พฤติกรรมที่คงที่ท่ีไม่
เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป
๓ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังกล่าว ไม่จาเป็นต้องเปลี่ยนไปอย่างทันทีทันใด แต่มันอาจเป็นการ
เปลี่ยนแปลงศักยภาพ (Potential) ท่ีจะกระทาส่ิงต่าง ๆ ต่อไปในอนาคต การเปล่ียนแปลง ศักยภาพนีอาจ
แฝงอยใู่ นตวั ผเู้ รียน ซึง่ อาจจะยงั ไม่ไดแ้ สดงออกมา เป็นพฤติกรรมอย่าง ทันทที ันใดกไ็ ด้
๔ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรือการเปล่ียนแปลงศักยภาพในตัวผู้เรียนนันจะเป็นผลมาจาก
ประสบการณ์หรือการฝึกเท่านัน การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรือศักยภาพอันเน่ืองมาจากสาเหตุอื่นไม่ถือเป็น
การเรียนรู้
~ 45 ~
๕ ประสบการณ์หรือการฝึกต้องเป็นการฝึกหรือปิิบัติท่ีได้รับการเสริมแรง (Reinforced practice)
หมายความว่า เพียงแต่ผู้เรยี นได้ รบั รางวลั หลังจากท่ตี อบสนอง ก็จะให้เกิดการเรียนรู้ขึนในแง่นีคาว่า "รางวลั "
กับ "ตัวเสริมแรง" (Reinforce) จะใหค้ วามหมายเดยี วกนั ต่างกค็ อื หมายถึงอะไรบางอยา่ งท่ีบุคคลต้องการ
ปัจจยั สาคัญในสภาพการเรียนรู้
ในสภาพการเรียนรู้ต่างๆ ยอ่ มประกอบด้วยปัจจัยทีส่ าคญั ๓ ประการ ดว้ ยกนั คือ
๑. ตวั ผ้เู รยี น (Learner)
๒. เหตกุ ารณห์ รอื สถานการณ์ที่เปน็ ตวั เรา้ (Stimulus Situation)
๓ การกระทาหรอื การตอบสนอง Action หรอื Response
พฤติกรรมของการเรียนรู้ จาแนกออกได้เปน็ ประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๔ แบบ ดว้ ยกัน คอื
สบื คน้ จาก https://www.novabizz.com/NovaAce/Learning/Learning_Process.htm
๑) การเรยี นรู้สงั กปั (Conceptual Learning) ผู้เรยี นต้องเรียนรสู้ งิ่ ทค่ี ล้ายกัน สามารถสรปุ ความ
เหมือนและแยกความแตกต่างได้
๒) การเรยี นร้ทู กั ษะ (Skill Learning) การเรียนรคู้ วามเชอื่ มโยงของสิ่งเร้าและความสามารถ
ตอบสนองสง่ิ เรา้ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
๓) การเรียนรู้เจตคติ (Attitude toward Learning) เป็นความรู้สึกเช่ือ ศรัทธาต่อสิ่งหน่ึงสิ่งใด
เครื่องมอื ในการวัดเจตคติ คอื การสมั ภาษณ์ สงั เกต การแสดงความร้สู กึ ฯลฯ
๔) การเรียนรูก้ ารแกป้ ญั หา และวธิ คี ดิ ทีถ่ กู ต้อง (Problem solving and Thinking)
ในจานวนการเรียนรู้ทัง ๔ ประเภทนี การเรียนรู้สังกัปและทักษะจะเกิดขึนได้ง่ายกว่าการเรียนรู้
เจตคติ ทศั นคติ และการเรียนรกู้ ารแก้ปญั หาและการคดิ
- การเรียนรสู้ งั กัปชว่ ยพัฒนาบคุ คลใหเ้ กิดความรอบร้เู กยี่ วกบั กฎเกณฑ์และปัญหาวชิ าตา่ ง ๆ
- การเรียนรทู้ กั ษะช่วยใหเ้ กดิ ความคลอ่ งแคล่วทางกลไก และทาให้ผลการกระทามปี ระสิทธิภาพ
- การเรียนรู้เจตคติ ทัศนคติจะมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและแรงจูงใจนับเป็นรากฐานของการที่จะ
พัฒนาคนให้มคี วามฝกั ใฝ่คน้ ควา้ หรือทจ่ี ะทาให้เกิดทักษะและสังกปั
- การเรียนรู้การแก้ปัญหาและวิธีคิดท่ีถูกต้อง จะเป็นรากฐานที่จะพัฒนาบุคคลให้สามารถแก้ปัญหา
การปรับตัวและปรงุ แตง่ ใหเ้ ป็นบุคคลประเภทสร้างสรรค์ (Creative people) ทส่ี งั คมปรารถนา
ขอบขา่ ยเนอ้ื หา
ขอบขา่ ยเนอื หา ประกอบดว้ ย
ตอนที่ ๑ การพฒั นาทักษะด้านการอา่ น
เพราะการเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึนได้เฉพาะในห้องเรียนเท่านัน แต่มีอยู่ทุกๆท่ีรอบตัวเรา ความรู้ที่มี
ประโยชน์ในชีวิตประจาวันที่หาได้ง่ายๆ ซ่ึงต้องเป็นหนังสือท่ีมีประโยชน์จึงจะถือได้ว่าเป็นหนังสืออ่านนอก
เวลา เช่น เร่ืองสัน นิตยสาร หนังสือนวนิยาย ฯลฯ ความรู้ท่ีได้จากการอ่านหนังสืออ่านนอกเวลานันเป็น
ความร้รู อบตวั สามารถใชป้ ระโยชน์ไดใ้ นหอ้ งเรยี นและในชีวิตประจาวันได้
วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นรู้
๑) เพื่อให้เกดิ ทักษะในการอ่านหนงั สือ รกั การอา่ น รู้จักการคน้ ควา้ หาความรู้ ประสบการณ์จาก
แหล่งเรยี นรู้ในหอ้ งสมุด
๒) เพ่ิมพนู ความรูค้ วามเข้าใจเพื่อให้มีความรรู้ อบตวั ทส่ี ามารถนาความรูท้ ่ีได้ไปใชป้ ระโยชนใ์ น
ชวี ิตประจาวัน
๓) เพ่อื ใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์
~ 46 ~
๔) ชว่ ยให้ได้รบั ความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ
๕) ชว่ ยสรา้ งจติ นาการ และความคิดสรา้ งสรรค์
๖) ชว่ ยปลกู ฝังคณุ ธรรมเจตคตแิ ละแบบอย่างท่ดี ี
โดยให้เรือนจา อาจารย์จาก กศน. ร่วมกันคัดเลือกหนังสือท่ีใช้ในการอ่านในหลักสูตร อย่างน้อย
๑๐ เล่ม ท่มี ีเนอื หาส่งเสรมิ ในดา้ นตา่ งๆ ประกอบด้วย
๑.๑ ดา้ นการสง่ เสรมิ คณุ ธรรม จริยธรรม
๑.๒ ดา้ นการพัฒนาทักษะวชิ าชีพหรือแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพ
๑.๓ ดา้ นความเสยี สละตอ่ สว่ นรวม และความรกั ประเทศชาติ
๑.๔ ด้านชีวประวัติบุคคลสาคญั ที่เปน็ ตน้ แบบในการดาเนินชวี ิต
๑.๕ ด้านอน่ื ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ตอ่ การดารงชวี ิต สอดคลอ้ งกบั วิถชี ีวิตของตนเอง ฯลฯ
ตอนท่ี ๒ การพัฒนาทักษะด้านการฟัง และการพูด โดยการเข้าร่วมกิจกรรมท่ีเน้นการเรียนรู้
เกี่ยวกับการฟงั และการพูด ทงั การฟังจากระบบเสียงตามสายของเรอื นจา การชมภาพยนตร์ รายการโทรทศั น์
ละคร การฟังจากการบรรยายของเจ้าหน้าที่หรือวิทยากรภายนอก ตลอดจนการมุ่งเน้นให้นาส่ิงที่ได้ฟังหรือ
อ่านมาเรียบเรียงความคิดรวบยอดเพื่อสามารถออกมาพูดเล่าเร่ือง ประสบการณ์ในชีวิตให้กับผู้อื่นได้ โดย
เนือหาของการฟังและการพูด ในสาขาวิชาความรู้ต่างๆ โดยการพูด อาจนาความรู้ท่ีได้จากการอ่าน และการ
ฟัง มาพูดเพ่ือให้แง่คิด สะท้อนสังคม และชีวิต ซ่ึงโดยรวมการพูดควรมีเนือหาส่งเสริมในด้านต่างๆ
ประกอบดว้ ย
๒.๑ ด้านการสง่ เสรมิ ความรกั ในสถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
๒.๒ ด้านปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
๒.๓ คาสอนของ ‘พอ่ ‘ ในหลวงรชั กาลที่ ๙ แรงบันดาลใจ เร่อื งการดาเนนิ ชวี ิต และการทางาน
๒.๔ ด้านการสง่ เสริมสุขภาพและการหลกี เลยี่ งอบายมขุ
๒.๕ ด้านการประกอบอาชีพ
๒.๖ ดา้ นภูมปิ ัญญาชาวบา้ น
๒.๗ ดา้ นอน่ื ๆ ท่เี ปน็ ประโยชน์
ตอนที่ ๓ การพัฒนาทกั ษะด้านการเขยี น เพราะการเขียนเป็นศลิ ปะ ใช้ภาษาเป็นส่ือในการถ่ายทอด
อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อ่านเข้าใจโดยอาศัยประสบการณ์
และทักษะต่าง ๆ ทักษะการเขียนจึงเป็นสิ่งสาคัญอย่างย่ิงที่ผู้ต้องขังควรได้รับการพัฒนาลาดับความคิดและ
เรียบเรียงผ่านตัวอักษร โดยต้องฝึกให้ผู้ต้องขังเขียนสรุปส่ิงที่ได้จากการอ่าน การฟัง การพูด โดยทาบันทึกรัก
การอา่ น หรอื บนั ทึกการเรียนรู้สง่ เจ้าหนา้ ทห่ี รืออาจารยท์ ุกวัน
ตัวช้ีวดั
๓.๑ ผู้ต้องขังมีความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างเข้าใจและสามารถนาไปใช้ในโอกาส
ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
๓.๒ ผู้ต้องขังมีความรู้ ความเข้าใจ และได้รับการเพิ่มพูนทักษะด้านการอ่าน การฟัง เพื่อนาความรู้
สาระประโยชน์มาพฒั นาตนเอง และสามารถพูด และเขียนสรปุ ใจความสาคญั ความคดิ รวบยอด ตลอดจนคิด
วเิ คราะห์ แยกแยะในประเด็นตา่ งๆ จากขอ้ มลู ที่ไดร้ บั อย่างถูกต้องและเหมาะสม
๓.๓ ปิบิ ตั ิตนเป็นผมู้ ีมารยาทในการฟัง พดู อ่าน และเขยี น เพ่อื การส่อื สารกบั ผอู้ นื่
๓.๔ ผู้ต้องขังมีความกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม สามารถเล่าเร่ือง แสดงความคิดเห็น และแสดง
ความรู้สึกของตนเองตอ่ ที่สาธารณะ
~ 47 ~
เวลาเรยี น
ใชเ้ วลาเรียนและทากจิ กรรมตลอดหลกั สตู รส่งเสรมิ การเรยี นรู้ ไม่น้อยกว่า ๔๐ ชว่ั โมง
แบง่ ออกเป็นการจัดช่ัวโมงเรียนและทากิจกรรมจานวน ๕ ชว่ั โมงต่อวัน รวมจานวน ๘ วัน
ชว่ งเช้า ๓ ชว่ั โมง และบา่ ย ๒ ช่วั โมง
เนอ้ื หาหลักสูตรส่งเสริมการเรียนรสู้ าหรบั ผูต้ ้องขงั
วันที่ รายละเอยี ดหลกั สูตร เคร่ืองมือที่ใช้ วทิ ยากร
วันท่ี ๑ - การประเมนิ ผลก่อนเรยี น เพื่อวดั ระดบั ความรู้ - แบบประเมินผลก่อน เจ้าหน้าที่
ความสนใจ และทัศนคตติ ่อการพัฒนาตนเอง เรียน เรอื นจา/กศน.
เชา้ ด้านการอ่าน
(ภาคทฤษฎ)ี - หลักการอ่านและการสรปุ ความคดิ รวบ
ยอดจากการอ่าน
- คณุ ประโยชน์ของการอา่ นคือหน้าต่างแห่งโลก
กว้าง
- เคล็ดลบั สาหรับการเลือกหนงั สอื ดี มีสาระ ได้
ประโยชน์
บ่าย -กจิ กรรมเลือกหนังสือท่ใี ช่ในห้องสมดุ และ - หนังสือดี มสี าระ เจา้ หนา้ ท่ี
(ภาคปิิบัติ) เตรียมทากจิ กรรมหนังสือพูดได้/เล่าเรือ่ งให้ เรอื นจา/กศน
เพ่อื นฟัง
วนั ที่ ๒ ฝึกภาคปฏบิ ตั ิ เจา้ หนา้ ท่ี
- กิจกรรมหนังสือพูดได้/เลา่ เรื่องให้เพ่ือนฟัง/ - แบบประเมนิ ผลหลัง เรอื นจา/กศน
เชา้ – บ่าย การเขยี นสรปุ บทเรียนที่ได้จากหนงั สือที่อา่ น เรยี น
(ภาคปิบิ ัต)ิ - การประเมินผลหลังเรียน
วันที่ ๓ - การประเมินผลก่อนเรยี น เพอื่ วัดระดับความรู้ - แบบประเมินผลก่อน เจา้ หนา้ ท่ี
ความสนใจ และทัศนคติต่อการพฒั นาตนเอง เรียน เรือนจา/กศน
เชา้ -บ่าย ด้านการฟังและการพูด
(ภาคทฤษฎ)ี - ทกั ษะการฟงั และการเปน็ ผู้พูดท่ีดี
บา่ ย - ฝกึ การพดู ในทส่ี าธารณชน - เครื่องเสียง เจ้าหน้าท่ี
(ภาคปิิบัติ) เรอื นจา/กศน