The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คู่มือการจัดโปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขัง

จากโครงสร้างของบุคลิกภาพดังกล่าว ทาให้บุคคลแต่ละคนตอบสนองต่อสิ่งเร้าท่ีตนพบเห็น ด้วยท่าทาง
และวาจาตา่ ง ๆ กนั ออกไป แลว้ แตว่ า่ บุคคลนัน้ จะใชบ้ คุ ลิกภาพในสว่ นใดตอบสนอง ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้

ตวั อย่างท่ี 1 ตอ่ เพลงลกู ทุ่ง
P (CP) : เพลงอะไรใจความไมส่ ุภาพเลย ไม่ควรใหเ้ ด็ก ๆ ฟัง
A : เพลงพวกนี้เปดิ บอ่ ย คนคงนิยมฟงั กัน
C (FC) : ฟงั เพลงลูกทุ่งทไี ร มันในอารมณ์อยากเตน้ ทุกทีเลย

ตวั อย่างท่ี 2 ต่อบ้านจัดสรร
P (CP) : บา้ นอะไรแคบจัง เพ่ือนบ้านก็ดไู ม่นา่ ไว้ใจ
A : บา้ นนีร้ าคา 1 ล้านบาท ให้เวลาผ่อน 20 ปี
C (LC) : หอ้ งแคบจัง แตเ่ ราจะใชส้ ีแปลก ๆ แตง่ ให้น่าอยูเ่ ชยี ว

ตัวอย่างที่ 3 ตอ่ เพ่อื นท่บี ่นวา่ ไม่สบาย
P (NP) : พกั กอ่ นนะ เดยี๋ วฉนั จะเอาผา้ เยน็ เช็ดหน้าให้
A : เธอควรไปหาหมอ หมอจะวนิ จิ ฉยั ไดถ้ กู ต้องที่สดุ
C (AC) : ฉันไม่รูจ้ ะชว่ ยเธออยา่ งไร เด๋ยี วไปตามคนมาใหน้ ะ

บุคลิกภาพท้ัง 3 ส่วนดังที่กล่าวข้างต้นนั้น บุคคลแสดงท้ังคาพูด น้าเสียงและอาจแสดงออกโดยกริยา
ท่าทางประกอบการพูดด้วย เพอ่ื ทาให้การสอ่ื สารน้นั ชัดเจนมากย่งิ ขึ้น

นอกจากน้ีบุคลิกภาพแต่ละส่วนน้ันยังมีรายละเอียดทั้งในด้านบวก (บุคลิกภาพท่ีเหมาะสม) และด้านลบ
(เป็นบคุ ลกิ ภาพท่ีต้องไดร้ ับการแก้ไข) อกี ดว้ ยดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้

34

ลกั ษณะ ด้าน + ด้าน -

บุคลกิ ภาพ

กลา้ เปน็ ตวั ของตวั เอง และยอมรับในคุณคา่ ของผู้อ่ืน การตาหนิ การบังคบั ควบคุม

CP ด้วย กล้าแสดงความคดิ เหน็ และแลกเปล่ยี น ชอบการอ้างกฎเกณฑ์มาลงโทษ

ความคิดเหน็ กับผ้อู นื่ กล้ายนื ยันความเช่ือ/คา่ นยิ ม ชอบจัดการบงการ ยึดถือความคิดตนเอง

ของตนเอง ถงึ แมว้ า่ คา่ นยิ มนั้นแตกต่างจากกลุ่ม/ บางครง้ั รุนแรงขน้ั เผดจ็ การ ฯลฯ

สังคม ควบคมุ ตนเองสงู มีวินยั กล้าทวงสิทธอิ ัน

ชอบธรรม

ความใสใ่ จเอ้อื อาทร ความสนใจ ห่วงใย ลักษณะทเ่ี อาความปรารถนาดีของตนเองไปทาให้

NP ความเมตตาปราณี ชอบชว่ ยเหลอื ผ้อู น่ื ผู้อน่ื เป็นทุกข์ หว่ งใยจนเปน็ หวงแหน คอยตดิ ตาม

และปกปอ้ งคุ้มครองผทู้ ีอ่ อ่ นแอกว่า หรือเอ้ืออาทรจนกา้ วก่ายความเป็นส่วนตวั ของผู้อ่นื

ทาดีแล้วร้สู ึกว่าคนอน่ื ไมเ่ ห็นความสาคญั /เปน็ บุญคณุ

ลักษณะที่ปะทะกับสิ่งเร้าใด ๆ แล้วบุคคลจะนาส่วน มีเหตผุ ล มีการตรวจสอบข้อมูล การวิเคราะห์

A ของเหตุผลมาใช้ในการตอบสนองกับส่ิงเร้าน้ัน ๆ COMPUTER ถ้ามีมาก A จะคุมส่วนอารมณ์ใน CP

โดยปราศจากอารมณ์ NP FC และ AC จนมลี ักษณะยึดเหตุผล ปราศจาก

**ใคร / อะไร / ทไี่ หน / เมือ่ ไหร่ / ทาไม / อยา่ งไร อารมณ์ท่เี ข้าใจผูอ้ ืน่ มีลกั ษณะเฉยชา

นา่ เบอ่ื ไมส่ ามารถรับรู้อารมณ์ความรสู้ ึกผู้อ่นื

ไรอ้ ารมณ์

FC รา่ เรงิ สดชน่ื แจม่ ใส สนุกสนาน ผอ่ นคลาย ลกั ษณะเล่นไม่เลิก ลักษณะของเดก็ คอื ห่วงแตเ่ ล่น

กระตือรอื ร้นในการเรียนรู้ เปดิ ตัวเองกับ ไมร่ ับผดิ ชอบ ติดอยกู่ ับความสนกุ รักสบาย ไมจ่ ริงจงั

ประสบการณ์ใหม่ มองชีวิตไมน่ ่าเบื่อ กับงาน/ชวี ิต ข้นั รุนแรง ชอบเล่นแผลง ๆ

ใชช้ ีวติ ประจาวันอย่างกระฉับกระเฉง สงิ่ แวดล้อม ชอบสนกุ บนความทกุ ข์ผู้อ่นื ไมร่ ูส้ กึ ผิด/สานกึ ผดิ

และบคุ คลรอบข้างน่าสนใจ

AC เด็กที่ได้รบั ขัดเกลาจากสงั คม เช่ือฟงั ใหค้ วาม เด็กที่ยอมแบบยอมจานน (เมอ่ื ต้องยอมทาตามผู้อน่ื

เคารพเชื่อถอื ผู้อ่นื ยอมรับในบทบาทผนู้ าของผู้อน่ื ก็จะเกบ็ ความรูส้ ึกว่าตนเองด้อยไว้)

ได้ (เป็นผูต้ ามท่ีดี) อ่อนน้อมถ่อมตน ไมฝ่ า่ ฝนื ทา้ ขน้ั รนุ แรง  มักซมึ เศร้า ครา่ ครวญ ชอบสงสาร

ทายกฎเกณฑท์ างสังคม ปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่ม ตวั เอง ไม่อยากต่อสู้โดยใช้ IQ./ ความสามารถ

ทาตามคามนั่ สัญญา พง่ึ พิง (Depend) ผู้ที่ตนเอง ชอบพ่งึ พงิ ติดพนั กบั ผู้อ่นื แบบไมโ่ ต

ไว้วางใจ อ่อนน้อมถอ่ มตน ชอบทาตัวให้ผอู้ น่ื ปกปอ้ งชว่ ยเหลือ /ไม่พ่งึ ตนเอง

35

รูปแบบการสอื่ สารสมั พันธร์ ะหว่างบุคคล

การสื่อสารสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์บุคลิกภาพของบุคคลได้ โดยสังเกตจาก
คาพูดที่บุคคลนั้นใช้สื่อสาร ตลอดจนท่าทางต่าง ๆ ท่ีแสดงออกมา รูปแบบของการสื่อสารสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

1. การสื่อสารสัมพันธท์ ไ่ี ม่ขัดแยง้ กัน / พดู ตามกนั (Complementary or Parallels Transactions)
การสื่อสารสัมพันธ์แบบนี้จะมีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ผู้สื่อสารคาดหวังจะได้รับการตอบสนองจากบุคคลท่ีตน
ส่ือสารอย่างไร ก็ได้รับการตอบสนองตามคาดหมายไม่ขัดแย้งกัน ถ้าวิเคราะห์จากทิศทาง (vector) ของการ
สื่อสาร ลกู ศรจะไม่ตัดขา้ มกนั ลูกศรจะขนานกันไป การสื่อสารสัมพันธ์แบบน้ีไม่ส่งผลลบทางด้านสัมพันธภาพ ทา
ให้ส่ือสารกันไปได้เรือ่ ย ๆ ดงั ตวั อย่าง

ตัวอย่างท่ี 1 ลกู แม่

P P 1. แมซ่ ้ือขนมใหห้ นูหน่อยนะคะ

A1 2 A 2. ตกลงจะ๊ ลูก ลูกอยากทานอะไรดีจะ๊

CC

ตัวอยา่ งที่ 2 สมชาย สมศกั ด์ิ

P P 1. รายงานฉบบั น้ีผมจะทาใหเ้ สร็จวนั น้ี
1
A
A 2 2. ตกลงแลว้ เอามาวางไวบ้ นโตะ๊ ผมนะ

C C

36

ตวั อยา่ งที่ 3 นงเยาว์ นภิ า
P
1

P 1. เด็กสมยั น้ีพดู จาไม่สุภาพ…ฟังไมไ่ ดเ้ ลย
2
A
A

C C 2. นน่ั ซิคะ ถา้ เป็นรุ่นเราคงถูกผใู้ หญ่
ตีตาย ถา้ พดู แบบน้ี

จากตัวอย่างท่ี 1, 2 และ 3
ทศิ ทาง (ลูกศร) ทแ่ี สดงถึงการส่ือสารสัมพันธ์จะไม่ตดั ขา้ มกัน จะมีลกั ษณะคูข่ นานกันไป นั่นคือ

จากตัวอย่างที่ 1 ลูกสื่อสารกับแม่จาก Child ego state และเป็น adapted Child ไปยัง Parent ego state
ของแม่ โดยคาดหวังว่า จะได้รับการตอบสนองจาก Parent ego state ในส่วน Nuturing Parent ของแม่มายัง
Child ego state ของตน แม่ก็ตอบสนองมาตามท่ีคาดหวัง การส่ือสารสัมพันธ์จึงไม่ขัดแย้งกัน เช่นเดียวกันจาก
ตัวอยา่ งท่ี 2 และ 3 กส็ ามารถอธิบายได้ในลกั ษณะท่ีคลา้ ยคลึงกัน

2. การส่ือสารสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกัน / พูดขัดกัน (Crossed Transactions) การสื่อสารสัมพันธ์แบบน้ีจะ
ก่อให้เกิดสัมพันธภาพทางด้านลบ เกิดการขัดแย้งกันขึ้น มักทาให้การส่ือสารสัมพันธ์ต้องหยุดชงัก ไม่สามารถ
ดาเนินต่อไปได้ หรือ ได้เพียงช่วงส้ัน ๆ เพราะผู้สื่อสารสัมพันธ์ไม่ได้รับการตอบสนองจากบุคคลท่ีตนมีปฏิสัมพันธ์
ดว้ ยดังทค่ี าดหมายไว้ ถ้าวิเคราะห์จากทิศทาง (vector) ของการติดตอ่ ลูกศรจะตัดขา้ มกนั ดังตัวอยา่ ง

ตัวอย่างท่ี 4 ประภา ปราณี
P P
1 1. สองโมงแลว้ นะ แต่งตวั เสร็จแลว้ ยงั
A2 A 2. รู้แลว้ ฉนั มีนาฬิกา หยดุ บอกใหท้

C C อะไรๆ เสียที

37

ตัวอย่างที่ 5 อุบล อุไร

P P 1. ฉนั ปวดหวั จงั หมูน่ ้ีอ่อนเพลียจริง ๆ

A 12 A

C C 2. คนท่ีเธอควรเล่าอาการใหฟ้ ัง คือ

หมอ

จากตัวอยา่ งที่ 4 และ 5

ทิศทาง (ลูกศร) ท่ีแสดงถึงการส่ือสารสัมพันธ์จะตัดข้ามกัน จากตัวอย่างที่ 4 ประภาสื่อสารสัมพันธ์กับ

ปราณี จาก Adult ego state และคาดหวังจะได้รับการตอบสนองจาก Adult ego state ของปราณีกลับมา

เช่นกัน แต่ปราณีกลับตอบสนองจาก Parent ego state ไปยัง Child ego state ของประภา การส่ือสารสัมพันธ์

จงึ ขดั แย้งกนั ตัวอยา่ งท่ี 5 ก็อธิบายได้ในทานองที่คล้ายกัน

ในบางกรณีทิศทาง (ลูกศร) ท่ีแสดงการสื่อสารสัมพันธ์อาจจะไม่ตัดข้ามกัน แต่ลักษณะการส่ือสารสัมพันธ์

ไม่ได้รับการตอบสนองตรงตามที่อีกฝ่ายหนึ่งคาดหวังหรือต้องการ เป็นลักษณะการส่ือสารสัมพันธ์ที่ไม่สอดคล้อง

กัน ดังตัวอยา่ ง

ตวั อย่างท่ี 6 สมศรี สุภาพ

P1 P 1. ครูสมยั น้ีไม่อดทนและเสียสละ
A 2 เหมือนสมยั ก่อน ดู ๆ แลว้ ไมน่ ่าเคารพ

A

C C 2. คุณไดข้ อ้ มูลจากไหนมาอา้ งอิง
คาพดู ดงั กล่าว

ในการสร้างสัมพันธภาพที่ดี การสื่อสารสัมพันธ์ท่ีมีประโยชน์จะเป็นไปในรูปแบบของ complementary
transactions เพราะไมท่ าลายความรู้สึก หรอื ทาใหเ้ กดิ ความขดั แย้งทางจติ ขน้ึ และภายหลังจากการส่ือสารสัมพันธ์
ก็ไม่มีปัญหาติดค้างในใจ ในชีวิตประจาวัน การสื่อสารทางสังคมท่ัวไปมักเป็นไปแบบ complementary
transactions ในลักษณะท่ีเรียกว่า บัวไม่ให้ช้า น้าไม่ให้ขุ่น ส่วน crossed transactions ทาให้การสื่อสารสัมพันธ์
ติดขดั สะดดุ หรือ บางคร้ังหยดุ ชงกั มักกอ่ ให้เกิดความรสู้ ึกทางดา้ นลบ แต่ crossed transactions ก็มีประโยชน์ท่ี

38

ช่วยท้าทายให้ผู้ส่ือสารสัมพันธ์ด้วย ได้ใช้ ego state อ่ืนๆ ในการคิด การแสดงออกบ้าง ไม่ใช่ใช้เพียง ego state
เดยี วตามที่ตนเองเคยชนิ เท่านั้น ตวั อย่างเชน่ เด็กท่ไี มช่ อบคิดตัดสนิ ใจส่ิงต่าง ๆ ด้วยตนเอง ต้องการพ่ึงพาและคอย
การช้แี นะของพอ่ แม่และครูอยู่ตลอดเวลา แมแ้ ตป่ ัญหาเล็กน้อยก็ต้องคอยถาม ลักษณะเช่นน้ีเป็นลักษณะของเด็ก
ที่ได้รับการขัดเกลาหรือเด็กท่ีต้องการพึ่งพา (Adapted Child) แทนที่จะส่ือสารสัมพันธ์ในรูปแบบของ
complementary transaction หรอื สอื่ สารด้วยลักษณะของพอ่ แม่ทเ่ี อื้อเฟื้อ (Nuturing Parent) ก็ควรส่ือสาร
สัมพันธ์ด้วย ego state อื่น ๆ บ้าง แม้จะเป็น crossed transaction จะช่วยให้เด็กคนน้ันรู้จักคิดและใช้ ego อ่ืน
ๆ ตัวอย่างของการสื่อสารสมั พันธ์ทางวาจาในลักษณะดงั กลา่ ว เช่น

นกั ศึกษา : อาจารย์บอกหนูซคิ ะวา่ ควรจะทาอยา่ งไรดีกับปญั หาการเรยี นคณิตศาสตร์ของหนู
อาจารย์ : ลองใช้ความสามารถของตนเองคดิ ซคิ ะว่า คณุ ควรจะแกป้ ญั หานัน้ อย่างไร (Adult ego state)

: อยา่ วิตกเกนิ ไปซิ มันไม่ใช่ปญั หาโลกแตกหรอกน่า (Free Child)
: ก่อนจะถามคนอน่ื ลองคิดดว้ ยตนเองก่อน แลว้ บอกมาซิว่า คณุ จะแก้ปัญหาอยา่ งไรดี

(Positive Controlling Parent)

3.การสื่อสารสมั พันธท์ ีม่ ีนยั เคลอื บแฝง / ไมจ่ ริงใจ (Ulterior Transactions) เปน็ การส่ือสารสมั พันธ์
ที่ผู้ส่ือสารใช้วาจาหรือแสดงพฤติกรรมท่ีสังเกตเห็นได้ (overt message) อย่างหน่ึง แต่ความต้องการท่ีแท้จริง
เคลือบแฝงไว้ (over message) เป็นอีกอย่างหน่ึง เพราะผู้สื่อสารทราบว่า พฤติกรรมหรือวาจาท่ีเขาแสดง
ออกเป็นส่ิงที่สังคมยอมรับ เปิดเผยได้เป็น social message ส่วนความต้องการที่แท้จริงน้ันเปิดเผยโดยตรงไม่ได้
แต่เป็นความต้องการที่เขาตระหนักอยู่แก่ใจ เป็น psychological message อย่างไรก็ตามผู้ท่ีใช้การส่ือสาร
สมั พนั ธท์ มี่ นี ัยเคลือบแฝงต้องการให้ผู้ท่ีตนส่ือสารด้วย ตอบสนองความต้องการในระดับจิตวิทยา (psychological
level) ของตน การสือ่ สารสมั พันธ์ท่ีมีนัยเคลือบแฝงผู้ท่ีใช้จะเป็นผู้ท่ีรู้ตัวหรือนักจิตวิทยาท่ีมีความชานาญในการ
วเิ คราะหก์ ารสอ่ื สารสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คล สามารถวิเคราะห์ได้โดยสังเกตจากท่าทางและพฤติกรรมอ่ืน ๆ ที่แสดง
ออกมาซึ่งไมส่ อดคลอ้ งกบั วาจาทส่ี อื่ สารออกมา พฤตกิ รรมต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบการสังเกต เช่น น้าเสียง คาพูดท่ี
เลือกใช้ สรรพนามท่ีใช้ การพลั้งปาก การแสดงออกทางสีหน้า การแสดงออกทางด้านร่างกาย เช่น ยักไหล่
การใชม้ ือประกอบคาพดู ฯลฯ

ตัวอย่างท่ี 7 ประสงค์ จันทร์แจ่ม

P 1
A 12 P
C
1 A
11

2C

39

1. (ลกู ศรทึบ) : ไปดื่มกาแฟต่อทห่ี อ้ งผมนะครับ (ทาตาเจ้าชู้)
1. (ลกู ศรประ) : เรามาคยุ กันตามลาพงั สองต่อสองนะครบั

2. (ลกู ศรทบึ ) : ดีซคิ ะ กาลงั อยากดม่ื อย่เู ชียว (ย้ิมหวาน)
2. (ลูกศรประ) : นึกแลว้ เชยี วว่าคณุ คงชวน

จากตัวอย่างท่ี 7 การส่ือสารสัมพันธ์ของประสงค์และจันทร์แจ่มนั้น แต่ละคนจะใช้ 2 ego state ในการ
ติดต่อ เรียกว่า Duplex transaction ลูกศรทึบเป็นการติดต่อในลักษณะ social message ส่วนลูกศรประ แสดง
ถึง psychological message และจะมีลักษณะเป็น complementary transaction เพราะความต้องการท่ี
แทจ้ ริงในระดับจติ วิทยาไดร้ บั การตอบสนอง แต่ถา้ ผู้รบั ตอบสนองแต่เฉพาะ social message การติดต่อสัมพันธ์ก็
เป็นแบบ crossed transaction ดังตัวอยา่ งที่ 8

ตวั อยา่ งท่ี 8 ประสงค์ จันทรแ์ จ่ม

P 2P
2A
1

A

C1 C

1. (ลกู ศรทึบ) : ไปดมื่ กาแฟตอ่ ที่ห้องผมนะครับ (ทาตาเจ้าชู้)
1. (ลูกศรประ) : เรามาคยุ กนั ตามลาพงั สองตอ่ สองนะครบั

2. (ลกู ศรทึบ) : ดฉิ นั ไม่ดืม่ กาแฟคะ่ (ทาหนา้ เฉยไม่สบตา)
2. (ลูกศรประ) : ฉนั รู้ทันคนอยา่ งคุณ อย่าพยายามเสียใหย้ าก

40

ตวั อยา่ งที่ 9 ผขู้ าย ผซู้ อ้ื

P P
A
C 1
1A
2C

1. (ลูกศรทึบ) : นีเ้ ปน็ รุ่นที่ดีทีส่ ดุ ของเรา แต่บางทคี ณุ อาจอยากดรู ุ่นถกู ๆ ก็ได้ (ทาหนา้ ย้มิ ๆ)
1. (ลูกศรประ) : คุณคงไมก่ ลา้ ซอ้ื ของแพงๆ ดๆี ใช้หรอก
2. (ลกู ศรทบึ ) : ฉนั จะเอารุ่นนีแ้ หละ (ทาหน้างอ)

จากตัวอย่างท่ี 9 ผู้ขายติดต่อกับผู้ซื้อโดยใช้หลาย ego states และผู้ซ้ือตอบสนองโดยใช้เพียง ego
state เดียวเท่านั้น เรียกว่า Angular transaction โดยผู้ขายส่ง social message จาก Adult ego state ไปยัง
Adult ego state ของผู้ซื้อและในขณะเดียวกันผู้ขายก็ส่ง psychological message จาก Adult ego state ไป
ตกเบ็ด Child ego state ของผซู้ ้ือ ซ่งึ ผ้ซู อ้ื ก็ติดเบ็ดผู้ขาย

ตาแหน่งชีวติ (Life Position)

ตาแหน่งชีวิต (Life Position) เป็นความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง การรู้จักตนเอง ความรู้สึกท่ีบุคคลมีต่อ
ตนเองและผู้อ่นื จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ จากการเลอื กตาแหน่งของชวี ติ ในแต่ละบุคคล ซ่ึงการเลือกตาแหน่งมีพื้นฐานมา
จากผลของการเขา้ ใจตนเองและสภาพแวดล้อมตง้ั แตเ่ รายังเด็ก Berne อธิบายว่า เมื่อบุคคลเผชิญปัญหา การ
ตัดสินใจตอบสนองต่อปัญหาน้ัน ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ ท่ีแตกต่างกันออกไป ซ่ึงขึ้นอยู่กับตาแหน่งของชีวิตท่ีแต่ละ
บุคคลรู้สึกต่อตัวเองและผู้อื่น นอกจากน้ีการส่ือสารสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะเป็นไปในรูปแบบใด ส่วนหน่ึงก็ขึ้นอยู่
กับตาแหน่งของชีวิตของบุคคลนั้น ตาแหน่งชีวิตแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท บุคคลจะวางตัวไว้ในประเภทใด
ประเภทหนึ่งในการสอื่ สารสัมพนั ธ์กบั ผู้อนื่ ดงั น้ี

1. I’m OK – You’re OK ตาแหนง่ นเ้ี ปน็ ตาแหนง่ สูงสุดของการปรับตัว เป็นตาแหน่งของผู้มีสุขภาพจิต
ดี บุคคลที่วางตนเองไว้ในตาแหน่งชีวิตนี้ จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า ยอมรับและเข้าใจตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า
ชวี ิตของผู้อน่ื มคี า่ ยอมรับและใหเ้ กยี รติบุคคลอนื่ ในฐานะมนุษย์คนหน่ึง มคี วามจริงใจในการส่ือสารสัมพันธ์กับผอู้ ่ืน

41

เม่ือเผชิญกับปัญหา บคุ คลทม่ี ตี าแหน่งชวี ติ แบบน้ี จะกลา้ เผชิญกับปญั หาแกไ้ ขปัญหาต่าง ๆ ด้วยวธิ ีสร้างสรรค์ และ
ใช้ความสามารถที่ตนเองมีอยู่อย่างเต็มที่ บุคคลท่ีจะรู้สึกว่าตนเองอยู่ในตาแหน่งนี้ได้ต้องเร่ิมพัฒนาความรู้สึก
ไว้วางใจมาตั้งแต่เด็ก ซึง่ บุคคลทอ่ี บรมเลยี้ งดูเดก็ จะมอี ิทธิพลอยา่ งมาก ท่ีจะช่วยให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เป็นท่ี
ตอ้ งการ โดยการให้ความเอาใจใสส่ นใจแกเ่ ด็ก

2. I’m OK – You’re not OK ตาแหน่งน้ีเป็นตาแหน่งชีวิตท่ีบุคคลรู้สึกว่าตนเองดีกว่าผู้อ่ืน ดูถูกเหยียด
หยามว่าผู้อื่นด้อยกว่าตน ไม่ไว้วางใจผู้อ่ืนว่ามีความสามารถ เม่ือประสบปัญหาก็มักกล่าวโทษผู้อ่ืนว่าทาให้ตนเอง
บกพร่อง เป็นตาแหน่งของคนท่ีชอบปฏิวัติเปล่ียนแปลงอย่างรุนแรง ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยึดมั่นกับ
ความคดิ เห็นของตนเองว่าเป็นเลิศ บุคคลที่วางตนเองอยู่ในตาแหน่งชีวิตแบบน้ี มักจะอยู่ในแวดวงของคนประเภท
“ขุนพลอยพยัก” (“yes men”) เพราะเป็นวิธีการที่เขาจะได้มาซึ่งความเอาใจใส่ ยกย่อง สรรเสริญตามที่เขา
ตอ้ งการ ถา้ บคุ คลท่ีมตี าแหน่งชวี ติ แบบนี้มีโอกาสทาหน้าที่ในตาแหน่งสาคัญก็จะชอบลูกน้องท่ีประจบสอพลอ โดย
ไม่คานึงถึงสิ่งที่ควรหรือไม่ควร เนื่องจากบุคคลประเภทน้ีจะชอบคาเยินยอ โดยไม่คานึงว่าจะมาจากความจริงใจ
หรือไม่ เพราะมคี วามเช่อื อยแู่ ล้วว่าบุคคลอนื่ ไมม่ ใี ครเก่งหรือดีเท่าตัวเขา

3. I’m not OK – You’re OK ตาแหน่งชีวิตแบบน้ี เป็นตาแหน่งชีวิตของบุคคลท่ีรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่า
ผู้อ่ืน บุคคลอ่ืนเก่งและโชคดีกว่าตนไปทุกด้าน พฤติกรรมของบุคคลที่รู้สึกว่า “I’m not OK – You’re OK” จึงไม่
กล้าแสดงออกถึงความรสู้ ึกทแ่ี ท้จรงิ เก็บกดความรสู้ กึ ไว้ ขลาดกลัวทจี่ ะยืนยนั ถงึ สทิ ธทิ ่ีตนมีอยู่อย่างชอบธรรม ชอบ
ลงโทษตนเอง มีลักษณะเปน็ บุคคลอมทกุ ข์ เศรา้ หมอง ชอบปลีกตัวเองอยู่ตามลาพัง เม่ือเผชิญกับปัญหาก็มักใช้วิธี
เล่ียงหนี ไม่พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาท่ีตนเองเผชิญ ไม่กล้าเส่ียงที่จะทาอะไรใหม่ ๆ บุคคลท่ีวางตนเองอยู่ใน
ตาแหน่งชีวิตแบบนี้ มักพัฒนาความรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า (feeling unworthy) มาต้ังแต่เด็ก เป็นตาแหน่งที่เด็ก
เลือกเมื่อโดนผใู้ หญ่บงั คับให้ทาสง่ิ ตา่ ง ๆ ตามความตอ้ งการ หรือ ความเห็นของผู้ใหญ่ โดยไม่ให้อิสระแก่เด็ก ไม่เคย
รับฟังความคิดเห็นของเด็ก ทาให้เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถ ต้องพ่ึงพาผู้ใหญ่อยู่เสมอ เมื่อตนเอง
เติบโต จงึ มี ความรู้สกึ ยอมตาม ไม่กล้าแสดงออกก็จะติดตัวมา บุคคลประเภทนี้จึงพยายามแสวงหาการยอมรับ
การเอาใจใส่ในการสื่อสารสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยการพยายามทาตัวเข้าไปมีส่วนร่วมในทุก ๆ เร่ือง พยายามเอา
อกเอาใจผู้อื่น ยอมรับใช้และเสียเปรียบบุคคลอ่ืนอยู่เสมอ บุคคลประเภทนี้อาจจะเป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพ
(productive) ได้ ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีเอื้ออานวย เช่น มีผู้นาดี แต่บุคคลประเภทนี้จะไม่มีความสุขในชีวิต
เพราะตอ้ งเกบ็ กดความรู้สกึ ของตนเอง ต้องทาอะไรตามความพอใจของผู้อ่นื

4. I’m not OK – You’re not OK ตาแหน่งชีวิตแบบนี้เป็นตาแหน่งชีวิตของบุคคลที่รู้สึกหมดอาลัยตาย
อยากในชีวิต รู้สึกชีวิตไม่มีคุณค่า ซังกะตาย อยู่ไปเร่ือย ๆ หดหู่ เศร้าหมอง ปราศจากความหวังใด ๆ และรู้สึกว่า
ชีวติ ของคนอน่ื กไ็ ม่มีค่า ไมม่ คี วามหมายเชน่ กัน ร้สู ึกว่าโลกนี้โหดร้ายทารุณ ไม่น่าอยู่ ผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาท โรค
จิต มักวางตนเองอยู่ในตาแหนง่ ชีวติ น้ี ถา้ ความรสู้ กึ แบบนีร้ ุนแรงมาก ก็อาจทาร้ายตนเองและผู้อื่นโดยไม่รู้สึกว่า
ผดิ เพราะไม่คดิ ว่าชีวิตมีความหวงั และมีความหมายอะไรเลย เด็กท่ีได้รับการทอดท้ิง (rejected children) ไม่ได้

42

รบั การเอาใจใสจ่ ากผู้เลีย้ งดู มักเลือกตาแหนง่ ชวี ติ แบบนี้ เพราะเขาไม่เคยได้รับการเอาใจใส่และการแสดงความรัก
หรือ ผูกพันใด ๆ จากพ่อแม่หรือบุคคลที่ใกล้ชิด ทาให้เขาพัฒนาความรู้สึก “I’m not OK” ข้ึนมา และเขาจะไม่
รจู้ ักใหก้ ารเอาใจใสใ่ ด ๆ แก่ใครด้วย เพราะรู้สึกว่าคนอื่นโหดร้าย และไม่มีน้าใจ มองคนในแง่ “You’re not OK”
ดว้ ย

ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพจิตท่ีดีนั้น ถ้าพิจารณาโครงสร้างของบุคลิกภาพจะพบว่า ลักษณะของ P A
และ C จะมีลักษณะสมดุลกัน และถ้าพิจารณาจากตาแหน่งของชีวิต จะพบว่ามีลักษณะ I’m OK, You’re OK
ดังน้ันบคุ คลควรสารวจตนเองว่า มบี คุ ลกิ ภาพอยา่ งไร สมดุลหรือไม่ และ ใช้ชีวิตในตาแหน่งใด ถ้าไม่เหมาะสม
ก็จาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการปรับแก้ไขบุคลิกภาพ และจากการศึกษา T.A. นี่เองจะทาให้เราเข้าใจตนเอง เข้าใจ
ผอู้ น่ื และทาใหก้ ารติดต่อสื่อสารประสบผลสาเรจ็ ตามท่ตี ้องการไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพด้วย

คาถามท้ายบท

1. จงวเิ คราะห์บุคลกิ ภาพของนักศกึ ษา ตามแนวคดิ การวิเคราะห์การสือ่ สารสมั พันธ์
ระหว่างบคุ คล

2. นกั ศกึ ษาจะนาแนวคดิ การวิเคราะหก์ ารส่อื สารสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลไปใช้ประโยชน์ได้
อย่างไรบา้ ง จงอธิบาย

เอกสารอา้ งองิ

ประสทิ ธ์ิ ทองอ่นุ และคณะ. 2542. พฤตกิ รรมของมนุษย์กบั การพัฒนาตน. กรุงเทพมหานคร.
บรษิ ทั เธิรด์ เวฟ เอด็ ดูเคชั่น จากัด.

วฒั นา พัฒนพงศ.์ 2536. มนษุ ยสัมพนั ธ์. กรงุ เทพมหานคร : พับลบิ ิสเสนพรนิ้ ส์.

อาภา จนั ทรสกลุ . 2530. แผนภูมิบคุ ลิกภาพ. วารสารศกึ ษาศาสตร์ปริทศั น.์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 3.

………………... . 2535. ทฤษฎีและวิธกี ารใหค้ าปรึกษา. (พิมพ์ครง้ั ที่ 4). กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.

43


Click to View FlipBook Version