การรายงานผลการใช้สอื่ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle
รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103
สำหรับนักเรยี นระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564
พัชริตา ชา่ งทอง
โรงเรยี นวชั รวทิ ยา สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษากำแพงเพชร
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน
ชอื่ เร่อื ง การรายงานผลการใช้สื่อ WR E-learning ดว้ ยโปรแกรม Moodle รายวิชา
การออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า ว23103 สำหรบั นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษา
ผ้ศู กึ ษา ปีท่ี 3 ในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564
คำสำคญั พัชริตา ชา่ งทอง
ส่อื WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle
บทคดั ย่อ
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นกั เรยี นทเี่ รียนจากสื่อ WR E-learning ดว้ ยโปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั
วิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ
การจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้สื่อ WR E-learning ดว้ ยโปรแกรม Moodle รายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3
รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ของโรงเรียนวัชรวิทยา สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร จำนวน 44 คน ที่ได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาการ
ออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ
เรียนรู้โดยใช้สื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย
(X̅) , ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-test)
ผลการศกึ ษาพบว่า
1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนจากสื่อ WR E-learning ด้วย
โปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ย 10.09 และหลังเรียนมีค่า
คะแนนเฉลี่ย 17.14 คิดเป็น ร้อยละ 85.70 และเมื่อเปรียบเทียบผลการจัดการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลัง
เรียน แล้วทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนผลการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนพบว่า หลัง
เรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิสูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 นน่ั ก็คอื นักเรียนมีความก้าวหน้า
ทางการเรียนเพิ่มขึ้น
2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อ WR E-learning
รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าในภาพรวม
นักเรียนพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.84 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
เทา่ กับ 0.48
สารบญั
บทท่ี
หนา้
1 บทนำ………………………………………………………………………………………………… 1
1
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………………. 3
3
วตั ถปุ ระสงค์……………………….……………………………………………………….. 3
3
สมมติฐานของการวิจัย…………………………………………………………………. 4
4
ขอบเขตของการศึกษา…………………………………………………………….…… 5
6
ระยะเวลาในการดำเนนิ การวจิ ัย.…………………………………………………… 13
นิยามคำศัพท์เฉพาะ…………………………………………………………………….. 19
20
ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ ับ……………………………………………………………. 22
24
2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้อง……………………………………………………………. 28
43
โครงการโรงเรยี นมาตรฐานสากล…………………………………………………… 45
49
หลักสูตรรายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วชิ า ว23103........... 49
ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 50
50
การส่อื สารการเรยี นรู้…………………………………………………………..…….…. 51
ส่ือการเรยี นรู้…………………………………………….……………………………….…
ทฤษฎกี ารเรยี นรู้และจิตวทิ ยาการเรียนรู้............................................... .
ส่ือมลั ตมิ ีเดยี เพ่ือการศึกษาและสื่อผา่ นเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต………….…..
ระบบจดั การบทเรยี นด้วย WR E-learning ดว้ ยโปรแกรม Moodle….…
ความพงึ พอใจ...........................................................................................
เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้อง……………………………………………………..…
3 วิธกี ารผลิตและทดลองใช้ส่ือ…………………………………………………………….….…
การผลติ ส่ือ WR E-learning โปรแกรม Moodle…………………………...….
ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง.…………………………………………………………..…
เครือ่ งมอื ที่ใช้วดั และประเมนิ ประสทิ ธิภาพของส่ือ………………….…….…....
สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………….…
สารบญั (ตอ่ )
บทท่ี
หนา้
4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………..………………. 54
54
ตอนท่ี 1 ผลการหาประสิทธิภาพของสือ่ WR E-learning โปรแกรมMoodle
รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103 ระดบั ช้ัน 55
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3……………………………………………………………………
55
ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี น
กอ่ น-หลงั ใชส้ ่ือ WR E-learning โปรแกรม Moodle………………… 57
57
ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพงึ พอใจของนกั เรยี นทีม่ ีต่อส่อื WR 57
E-learning โปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบ 57
และเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3… 59
59
5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ……………………………………………………..… 60
62
วัตถุประสงค์………………………………………………………………………………….…..
สรุปผลการใช้ส่อื E-learning………………………………..…………………….……….
อภปิ รายผล………………………………………………………………………......…………..
ขอ้ เสนอแนะ……………………………………………………………………………………...
ขอ้ เสนอแนะสำหรับการสร้างสื่อการสอนท่ัวไป............................................
บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………
ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………..
ภาคผนวก ก ผลการหาประสิทธิภาพของส่ือ WR E-learning โปรแกรม
Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วชิ า
ว23103 ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 (n=44)
ภาคผนวก ข แบบตรวจสอบค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบทดสอบ
วัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นทีเ่ รยี นจากสอ่ื WR E-learning ด้วย
โปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3
รหสั วิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3
(สำหรับผ้เู ชยี่ วชาญ)……………………………………………..…………….
สารบัญ (ตอ่ )
ภาคผนวก (ต่อ)
หน้า
ภาคผนวก ค ผลการประเมนิ ค่าดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนที่เรยี นจากสอ่ื WR E-learning ดว้ ย
โปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3
รหสั วิชา ว23103 สำหรบั นกั เรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3
(สำหรับผู้เชีย่ วชาญ).....................................................................
ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นรายวิชาการออกแบบ
และเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า ว23103 สำหรับนกั เรียนระดบั ช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 3..........................................................................
ภาคผนวก จ แบบประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมตี ่อสอื่ WR
E-learning โปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบ
และเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3…
ภาคผนวก ฉ มาตรฐานและตวั ชี้วดั สาระแกนกลางรายวิชาการออกแบบ
และเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา 23103…………………………………..……...
ภาคผนวก ช คำอธิบายรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า ว23103
ภาคผนวก ซ โครงสร้างหน่วยรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า
ว23103
ภาคผนวก ฌ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 11 การเพ่ิมมูลค่าเทคโนโลยี
(แนบแผนตวั อยา่ ง)…………………………………………………………………
ภาคผนวก ญ สอ่ื WR E-learning โปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบ
และเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3…..
สารบญั ตาราง 48
49
ตาราง 49
หนา้
1 ผลการหาประสทิ ธภิ าพของสอ่ื WR E-learning โปรแกรม Moodle รายวชิ า
การออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103 ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3……
2 ผลการวเิ คราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนกั เรยี นก่อน-หลงั ใช้
สอ่ื WR E-learning โปรแกรม Moodle……………………………………………………....
3 ผลการวิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนกั เรียนทมี่ ีต่อสื่อ WR E-learning โปรแกรม
Moodle รายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วชิ า ว23103 ระดับช้นั
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3……………………………………………………………………………………..…
4 ผลการหาประสิทธภิ าพของส่ือ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวชิ า
การออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชาว 23103 สำหรบั นักเรยี นระดบั ช้ันมธั ยม
ศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 (n=44)………………………………………………………….
5 ผลการประเมนิ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนที่เรยี นจากส่ือ WR E-learning ดว้ ยโปรแกรม Moodle รายวชิ า
การออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วชิ า ว23103 สำหรบั นักเรียนระดับชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ 3 (สำหรบั ผู้เชี่ยวชาญ)………………………………………………………………….
1
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ไดส้ ง่ ผลกระทบ
ต่อประชากรโลกเป็นวงกวา้ ง โดยมีจำนวนผูป้ ่วยติดเชือ้ และผู้เสยี ชีวติ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในระยะเวลา
อันรวดเร็ว องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคระบาดใหญ่
(Pandemic) ในวันที่ 11 มีนาคม พุทธศักราช 2563 (WHO, 2020, ย่อหน้า 17) อีกทั้งการแพร่ระบาด
ของเช้ือไวรสั โคโรนายังทำให้พฤติกรรมมนุษย์ พฤตกิ รรมการบรโิ ภคและการบริการเกิดการเปล่ียนแปลงที่
สำคัญในหลาย ๆ ด้าน ส่งผลให้ในหลายภาคส่วนเกิดผลกระทบ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การท่องเที่ยว
เทคโนโลยี และการศึกษาที่ทำให้โรงเรยี นไม่สามารถเปิดทำการจัดการเรยี นการสอนได้ตามปกติ (Onsite)
ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
มอบนโยบาย “โรงเรียนหยุดได้ แต่การเรียนรู้หยุดไม่ได้” ให้ทุกหน่วยงานทางการศึกษาดำเนินการ
ขบั เคลื่อนการจดั การศกึ ษาอย่างมีคุณภาพ
ประกอบกับการพัฒนาคุณภาพของนักเรียนในศตวรรษที่ 21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ของเศรษฐกจิ สงั คม การเมอื ง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสิง่ แวดล้อม โดยใชร้ ปู แบบการเรียนรู้
ที่ผนวกหรือผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในกระบวนการเรียน รู้จึงเป็น
แนวทางสำคัญที่ช่วยทำให้การปฏิรูปการเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ (สุธาศินี สีนวนแก้ว และกานดา ศร
อนิ ทร์, 2552 อ้างถึงในภาวิณี รัตนคอน ,2564) นโยบายเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร พ.ศ. 2554-
2563 ของประเทศไทย (ICT 2020) จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการนำพาคนไทยสู่ความรู้และปัญญา เศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตอย่าง
ยั่งยืน สังคมไทยสู่ความเสมอภาค กล่าวคือ ประเทศไทยในปี ค.ศ. 2020 จะมีการพัฒนาอย่างฉลาดการ
ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมจะอยู่บนพื้นฐานของความรู้และปัญญา โดยให้โอกาสแก่ประชาชน
ทุกคนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาอย่างเสมอภาค นำไปสู่การเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน
(Smart Thailand 2021) (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, 2554) และแผนแม่บท
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ปี2561-2564) ที่มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการ
พัฒนาและสนับสนุนการดำเนินงานตามภารกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งยัง
สามารถนำเทคโนโลยใี หมม่ าสนบั สนนุ การเปลย่ี นแปลงองคก์ รในมติ ติ า่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพและเป็น
รปู ธรรม
อีเลินนิง (Electronic learning: e-Learning) คือ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หรือ ICT (Information and Communication Technology) เข้ามามีส่วนร่วมกับการจัดระบบการ
เรียนการสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยกระบวนการจัดการ
2
เรียนการสอนหรือเป็นบทเรียนออนไลน์โดยผู้เรยี นสามารถเข้าถึงและเรียนรู้บทเรียนต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ผ่านอินเตอร์เน็ตซึ่งสามารถเข้าถึงบทเรียน ได้ทุกเวลาทุกสถานที่ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายได้ซึ่ง
ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากผู้เรียนมีความ
สนใจ ความถนดั ความสามารถแตกต่างกัน (โอภาศ เอ่ยี มสริ วิ งศ์, 2551 อา้ งถงึ ในภาวณิ ี รัตนคอน ,2563)
ทั้งน้ี ปัทมา นพรัตน์(online) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบออนไลน์ หรือ e-Learning เป็นการศึกษาเรียนรู้
ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออินทราเน็ต (Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตวั เอง
ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตนโดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย
ข้อความรูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยัง ผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน
ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้
เชน่ เดียวกบั การเรียนในชั้นเรยี นปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสือ่ สารที่ทนั สมยั (e-mail, webboard,
chat) จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all :anyone,
anywhere and anytime) และการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ถอื เป็นรูปแบบทไ่ี ด้รบั การยอมรับในวง
การศึกษาปัจจุบัน ว่าช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนค้นความรู้ได้ด้วยตนเอง ส่งผลให้เกิดการคิดอย่างเป็นระบบ
และการคิดเชิงวิเคราะห์ เนื่องจากต้องมีการแยกแยะข้อมูลอยู่ตลอดเวลา และสามารถทำให้ผู้เรียน
สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ อีกทั้งงานวิจัยจำนวนมากพบว่า การเรียนการสอนออนไลน์ ทำให้ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นสูงข้นึ
และจากสถานการณ์ปัจจุบันเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ไดส้ ง่ ผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอน ทำใหไ้ มส่ ามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Onsite ได้ ในภาค
เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนวัชรวิทยาจึงปรับการเรียนการสอนเป็นรูปแบบ Online แทน และ
จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคะแนนร้อยละ 70.59
มีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนยงั ไม่น่าพอใจ ซง่ึ พบว่าปัญหาเกิดจากการเรียนผ่านระบบออนไลน์ท่ีผ่านมายังไม่
มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากการเรียนผ่านระบบออนไลน์นักเรียนต้องเข้าเรียนผ่านระบบเครือข่าย
อินเตอร์เน็ต ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือในการเรียนรูปแบบออนไลน์ บางครั้งระบบอินเตอร์เน็ตช้า อุปกรณ์ที่
นักเรียนใช้ไม่สเถียรต่อการใช้งาน ทำให้นักเรียนบางกลุ่มเกิดความไม่สะดวกต่อการเรียน อาจจะทำให้
นกั เรียนเกิดความรำคาญ หรอื ขาดความสนใจในการเรียน
จากเหตผุ ลดงั กล่าวข้างต้น ผรู้ ายงานในฐานะครผู ู้สอนรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัส
วิชา ว23103 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จึงได้พัฒนาการเรียนการ
สอนออนไลน์รายวิชาการการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า ว23103 ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดย
ใช้สื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องในช่วงท่ี
เผชิญกับวิกฤตโรคโควิด-19 ซึ่งผลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นแนวทางนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนในช่วงที่เผชิญกับวิกฤตโรคโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน
ต่อไป
3
วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนจากสื่อ WR
E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับ
นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อ WR E-learning
ดว้ ยโปรแกรม Moodle รายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้น
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
สมมติฐานของการศึกษา
1. นักเรียนที่เรียนโดยใช้สื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและ
เทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กา้ วหนา้ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดบั ความเชอื่ มัน่ 0.05
2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้สื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวิชาการ
ออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103 สำหรบั นกั เรยี นระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 อยใู่ นระดับมาก
ขอบเขตการศกึ ษา
1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
1.1 ประชากรเป็นนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ท่ีกำลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา
2564 ของโรงเรยี นวชั รวิทยา สงั กดั สำนกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษากำแพงเพชร จำนวน 352 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2564 ของโรงเรียนวัชรวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร
จำนวน 44 คน ได้มาโดยวิธีการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2. ตวั แปรท่ศี ึกษา
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ สื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบ
และเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจต่อสื่อในรายวิชาการ
ออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วชิ า ว23103 ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
2.3 ตัวแปรควบคุม ระยะเวลาในการเรียน
ระยะเวลาในการดำเนนิ การศกึ ษา
ผู้ศึกษาดำเนินการศึกษาผลการใช้สื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวิชาการ
ออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 1
ปกี ารศึกษา 2564
4
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. สื่อ WR e-learning หมายถึง ระบบบริหารจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย (Learning
Management System) ซึ่งใช้การนำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ ในรูปของสื่อมัลติมีเดีย ได้แก่
ข้อความอิเล็กทรอนิกส์ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการจัดการ
เรยี นการสอนออนไลน์เตม็ รปู แบบโดยให้บริการระบบสำหรบั ครู นกั เรยี น และบคุ ลากร โรงเรยี นวัชรวทิ ยา
2. โปรแกรมมูเดิล (Moodle) ย่อมาจาก Modular Object-Oriented Dynamic Learning
Environment คือ โปรแกรมฝัง่ เคร่อื งบริการ (Server-Side Script) ทำหน้าทีใ่ หบ้ รกิ ารระบบอเี ลินน่งิ
(e-Learning) ทำใหผ้ ูด้ แู ลระบบสามารถเปดิ บริการให้แก่ผสู้ อนและผู้เรียน ผ่านบรกิ าร 2 ระบบ คือ ระบบ
จัดคอร์ส (Course Management System: CMS) คือ ระบบบริการที่ให้ผู้สอนสามารถจัดการเนื้อหา
เตรียมเอกสารหรือสื่อมัลติมีเดีย จัดทำแบบฝึกหัด เป็นต้น และระบบจัดการเรียนรู้ ( Learning
Management System: LMS) คือ ระบบบรกิ ารใหผ้ ้เู รียนเขา้ มาเรยี นรู้ตามช่วงเวลา ตามเงือ่ นไข ทีผ่ ู้สอน
กำหนดไว้อย่างเปน็ ระบบ และประเมินผลการเรียนรู้ พรอ้ มแสดงผลการเรยี นร้อู ัตโนมัติ
3. อีเลินนงิ (Electronic learning: e-Learning) คือ การเรียนเน้ือหาหรอื สารสนเทศท่นี ำเสนอ
ดว้ ยตัวอักษร ภาพนิ่ง ผสมกับการใชภ้ าพเคลื่อนไหว วีดทิ ศั น์ และเสียง โดยอาศยั เทคโนโลยขี องเวบ็ ในการ
ถา่ ยทอดเน้อื หา รวมท้ังใชเ้ ทคโนโลยีระบบการจดั การเน้ือหา (CMS) ในการบริการจัดการงานสอนตา่ งๆ
4. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ คะแนนทไี่ ด้จากการทดสอบแบบเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก
5. ความพงึ พอใจตอ่ สื่อ หมายถงึ หมายถงึ ความเชอ่ื ความรู้สกึ ของนักเรียนที่มตี ่อส่ือรายวิชาการ
ออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวชิ า ว23103 ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยใช้สือ่ WR E-learning ในทาง
เห็นด้วยและไม่เหน็ ด้วย ซึง่ วดั โดยแบบวดั ความพงึ พอใจที่ผู้รายงานสรา้ งขึน้
6. นกั เรยี นระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 หมายถึง นกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ที่กำลัง
ศกึ ษาในภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรยี นวัชรวทิ ยา จังหวดั กำแพงเพชร
ประโยชน์ทไ่ี ดร้ ับ
1. ได้ทราบความก้าวหนา้ ของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนที่เรยี นจากส่ือ WR
E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 สำหรับ
นักเรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3
2. ไดท้ ราบระดบั ความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีต่อสื่อ WR E-learning ด้วยโปรแกรม Moodle
รายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วชิ า ว23103 สำหรบั นักเรยี นระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3
3. ไดส้ ่อื สอนออนไลน์ในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
5
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้อง
การรายงานผลการใช้สื่อรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหัสวิชา ว23103 ด้วยส่ือ
WR E-learning โปรแกรม Moodle สำหรับนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในภาคเรียนที่ 1
ปกี ารศึกษา 2564 เพ่ือให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงคท์ ่ตี ั้งไว้ ผู้รายงานได้ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกยี่ วข้อง ดังน้ี
1. โครงการโรงเรยี นมาตรฐานสากล
2. หลักสูตรรายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103 ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3
3. การส่อื สารการเรยี นรู้
4. สอ่ื การเรียนรู้
5. ทฤษฎกี ารเรียนรูแ้ ละจิตวิทยาการเรียนรู้
6. สอื่ มลั ติมเี ดยี เพ่ือการศึกษาและสื่อผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
7. ระบบจดั การบทเรียนด้วย WR E-learning ดว้ ยโปรแกรม Moodle
8. ความพึงพอใจ
9. เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง
6
1. โครงการโรงเรยี นมาตรฐานสากล
1.1 หลักการเหตุผลของการจดั โรงเรียนมาตรฐานสากล
กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านวิทยาการ สังคม
เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทำให้แต่ละประเทศไม่สามารถปิดตัวอยู่โดยลำพัง จะต้องร่วมมือและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การ
ดำรงชีวิตของคนในแต่ละประเทศมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันมากขึ้น มีความร่วมมือในการปฏิบัติ
ภารกิจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ร่วมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกัน สังคมโลกในยุคปัจจุบันก็เต็มไปด้วยข้ อมูล
ข่าวสาร ทำใหค้ นต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และมกี ารตัดสนิ ใจท่รี วดเรว็ เพ่อื ใหท้ ันกับเหตุการณ์ในสังคม
ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สิ่งเหล่านี้นำไปสู่สภาวการณ์ของการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า
และอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้หลายประเทศ
ต้องปฏิรูปการศึกษา คุณภาพของการจัดการศึกษาจึงเป็นตวั บ่งชี้ท่ีสำคัญประการหนึ่งสำหรับความพร้อม
ในการเข้าสู่ศตวรรษท่ี 21 และศกั ยภาพในการแขง่ ขนั ในเวทีโลกของแตล่ ะประเทศ ดงั นั้น ประเทศที่จะอยู่
รอดได้หรือคงความได้เปรียบก็คือประเทศที่มีอำนาจทางความรู้ และเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning
Society)
นอกจากนั้น ในปัจจุบันยังปรากฏสภาพปัญหาที่คนทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ร่วมกัน ใน
เรอื่ งความเสอ่ื มโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ ม ทส่ี ่งผลกระทบอย่างรนุ แรงต่อมวลมนุษย์
โดยทั่วไป สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มว่าคนยุคใหม่จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอันหลากหลาย เป็น
สัญญาณเตือนว่าโลกในยุคหน้าจะมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเกินกว่าจะคาดคิดถึง ด้วยเหตุนี้จำเป็น
อย่างยิ่งที่แต่ละประเทศต้องเตรียมคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะและความสามารถในการปรับตัวให้มีคุณลักษณะ
สำคัญในการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ได้อย่างรู้เท่าทัน สงบ สันติ มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมาะสม
เพยี งพอ การจัดหลักสูตรการเรยี นการสอนต้องมคี วามเป็นพลวตั น์ กา้ วทันกับส่ิงตา่ ง ๆ ทเ่ี ปล่ียนแปลง ซ่ึง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้ผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัด
การศกึ ษาไทยใหพ้ ร้อมสำหรับการแขง่ ขนั ในเวทโี ลกในยุคศตวรรษที่ 21 ดังน้ี
1. โรงเรยี นเป็นหน่วยบริการทางการศกึ ษาในมิติที่กว้างขึน้ เพราะในปจั จบุ ันสังคมโลกเป็นสังคมท่ี
ไร้พรมแดนที่มีการติดต่อประสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่าง ๆ มากขึ้น อีกทั้งการก้าวไปสู่ประชาคม
อาเซียนในปี พ.ศ. 2558 จะมีผลต่อการเปิดเสรีทางการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในการจัด
การศึกษาของสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้น ในอนาคตโรงเรียนแต่ละแห่งจะต้องมีการ
แข่งขันด้านคุณภาพมากขึ้น โรงเรียนในประเทศไทยเองจำเป็นต้องพัฒนาให้เป็นหน่วยบริการทาง
การศึกษาที่มีคุณภาพ เพ่ือรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางการศกึ ษา
2. หลักสูตรการเรียนการสอนมีความเป็นสากล เนอื่ งจากยคุ โลกาภิวตั น์มีการเชือ่ มโยงด้านการค้า
และการลงทุน ทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคนที่มีศักยภาพในหลายด้าน รวมทั้งความสามารถ
ด้านภาษาต่างประเทศ การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร คุณลักษณะในการเป็นพลโลก การจัดหลักสูตรและ
การเรียนการสอนจึงต้องปรับให้มีความเป็นสากลมากขึ้น นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการศึกษา ทำให้
7
สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนด้านจัดการศึกษาในประเทศไทย โรงเรียนควรหาภาคี
เครือข่ายในการจัดหลกั สูตรนานาชาติ หลกั สูตรสมทบ หรือหลักสตู รรว่ มกับสถาบันต่างประเทศ เพือ่ ความ
เปน็ สากลของการศึกษา
3. การพัฒนาทักษะการคิด สภาพสังคมโลกที่มีการแข่งขันสูง ทำให้การจัดการศึกษาจำเป็นต้อง
เน้นการพัฒนาทักษะเป็นสำคัญ ในปัจจุบันโรงเรียนยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนได้
เท่าที่ควร เนื่องจากการเรยี นการสอนยังเน้นใหผ้ ู้เรยี นคิดตามส่ิงทีผ่ ู้สอนป้อนความรู้มากกว่าการคิดสิ่งใหม่
ๆ จงึ ควรมีการปรับรูปแบบกระบวนการจดั การเรียนการสอนเพ่ือส่งเสรมิ ทกั ษะการคิดให้มากยงิ่ ขน้ึ
4. การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม แนวคิดของทุนนิยมที่มุ่งการแข่งขันนั้น มีอิทธิพลทำให้การจัด
การศึกษาของโรงเรยี นส่วนใหญ่เน้นและให้ความสำคัญการพฒั นาความรคู้ วามสามารถ เพื่อความก้าวหน้า
ในหน้าที่การงานและการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน จนอาจละเลยการพัฒนาส่งเสริมด้านคุณธรรม
จริยธรรมซึ่งจะส่งผลต่อปัญหาทางสังคมตามมา ดังนั้นปรัชญาการจัดการศึกษาจึงต้องให้ความสำคัญกับ
การพัฒนาบุคคลในองค์รวมทั้งมิติของความรู้และคุณธรรมคู่กัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและ
ประชาคมโลกอยรู่ ว่ มกันอยา่ งสันตสิ ขุ
5. การสอนภาษาต่างประเทศ ในยุคโลกไร้พรมแดนนั้น ผู้มีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาที่ใช้สื่อสารกันอย่างกว้างขวาง เช่น ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ย่อมมีความ
ไดเ้ ปรยี บในการตดิ ตอ่ ส่ือสาร การเจรจาตอ่ รองในเร่ืองตา่ งๆ ตลอดจนการประกอบอาชีพ การจดั การเรียน
การสอนจึงควรสง่ เสริมให้ผู้เรยี นได้มโี อกาสพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศดว้ ย
จากแนวคิดดงั กล่าวข้างตน้ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจึงมีการทบทวนและปรบั ปรงุ หลักสูตรการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน และได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อเป็นกรอบ
ทิศทางในการพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณธรรม รัก
ความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถทำงานร่วมกับผ้อู ื่น
และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติอันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน โดยมี
จุดหมาย คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญ และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายการพัฒนา
ผู้เรียนให้มีความรู้ ทักษะ และมีคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล โดย
หลักสูตรได้มุ่งเน้นความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต
เพื่อให้ผู้เรียนมศี ักยภาพเทียบเคยี งกับนานาอารยประเทศ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถใหค้ นไทยก้าวทนั
ต่อความเปลีย่ นแปลงและความกา้ วหน้าของโลก มศี ักยภาพในการแข่งขันในเวทีโลก
อย่างไรก็ตามผลจากการตดิ ตามการใชห้ ลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
พบวา่ กระบวนการจัดการเรียนรใู้ นโรงเรยี นส่วนใหญใ่ นปัจจุบนั ยงั ไมส่ ามารถพฒั นาผู้เรียนใหเ้ กดิ คุณภาพ
ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางฯได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของทักษะการคิดวิเคราะห์ การฝึก
ใช้ความคิดและแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาศกั ยภาพทัง้ ทางร่างกาย จิตใจและสตปิ ญั ญาท่จี ะส่งผลให้ผเู้ รยี น
เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และนำไปพัฒนาประยุกต์ใช้ได้กับการอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ผู้เรียนยังขาดโอกาสในการลงมือปฏิบัติจริง การทดลอง และการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง
8
และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อครูตอ้ งมีความรู้ความเข้าใจในเป้าหมายของหลักสูตรและกระบวนการ
จัดการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ สามารถนำไปถ่ายทอดแก่ผู้เรียน และสามารถประยุกต์ใช้สื่ออุปกรณ์ต่าง ๆ
ตลอดจนนวตั กรรม เทคโนโลยใี หม่ ๆ ที่เอ้ือต่อการเรยี นรู้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
โรงเรียนมาตรฐานสากล (World – class standard school) จึงเป็นนวัตกรรมการจัดการศึกษา
ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นำมาใช้เป็นมาตรการเร่งด่วนในการยกระดับการจัด
การศกึ ษาให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซ่ึงเรม่ิ ดำเนินการกับโรงเรียนนำร่องจำนวน 500 โรงเรียน
ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในปีการศึกษา 2553 ด้วยการให้โรงเรียนในโครงการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษาและจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดของ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเพิ่มเติมสาระการเรียนรู้ความเป็นสากล
ได้แก่ ทฤษฎีความรู้ ความเรียงขั้นสูง โลกศึกษา และจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้การจัดการเรียนการ
สอนในการพัฒนาทักษะให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยได้มีการกำกับติดตามการดำเนินงานของโรงเรียนใน
โครงการในปีการศึกษา 2553-2554 จากผลการติดตามได้พบปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติบางประการ
ได้แก่ ความซ้ำซ้อนของสาระเพิ่มเติมกับหลักสูตรนานาชาติของบางประเทศ และการจัดหลักสูตรของ
สถานศึกษาหลายแห่งในส่วนของสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมขาดความสอดคล้องกับโครงสร้างเวลาเรียนที่
กำหนดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และจากเสียงสะท้อนของสังคมทั่วไป บ่ง
ชี้ให้เห็นว่าทักษะและความสามารถที่จำเป็นที่จะช่วยทำให้เดก็ และเยาวชนไทยสามารถพัฒนาตนเองไปสู่
ความเป็นสากล ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ การแสวงหาความรู้ ทักษะด้านเทคโนโลยี และ
ความสามารถในการทำงานรว่ มกับผอู้ ื่นยงั ไมอ่ ยู่ในระดบั ท่ีน่าพอใจ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงได้พิจารณาทบทวนจุดที่เป็นปัญหาในการ
ดำเนินงานของโรงเรียนมาตรฐานสากล และพัฒนาปรับปรุงแนวปฏิบัติสำหรบั ให้สถานศึกษาใช้ในการจดั
หลักสูตรการเรียนการสอน โดยเริ่มต้นใช้ในปีการศึกษา 2555 ท้ังนี้เพื่อให้การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนใน
โรงเรียนมาตรฐานสากลเปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพยิง่ ขึ้น
1.2 ลักษณะของโรงเรยี นมาตรฐานสากล
โรงเรียนมาตรฐานสากล ( World - class standard school) หมายถึง โรงเรียนที่พัฒนา
หลักสูตรและจัดการเรียนการสอนอย่างมีคุณภาพเทียบเคียงมาตรฐานสากล รวมทั้งมีการบริหารจัดการ
ด้วยระบบคุณภาพ เพื่อให้ได้ ผู้เรียนที่มีคุณภาพ คือเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและคุณลักษณะ
(Learner Profile) เทียบเคียงมาตรฐานสากล (World class standard) และมีศักยภาพเป็นพลโลก
(World citizen) สอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพเยาวชนสำหรับยุคศตวรรษที่ 21 อีกทั้งเป็นไปตามปฏิญญาว่าด้วยการจัด
การศึกษาของ UNESCO คือ Learning to know, Learning to do, Learning to live with the others,
Learning to be
9
1.3 จดุ มุ่งหมายและทศิ ทางในการดำเนินการของโรงเรยี นมาตรฐานสากล
การดำเนนิ การของโรงเรียนมาตรฐานสากลนัน้ จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีการพัฒนาหลาย
มิติไปพร้อม ๆ กัน และต้องดำเนินการทั้งระบบ คือด้านหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การบริหาร
จัดการ มิใช่เปน็ การจดั การศกึ ษาเพียงบางสว่ นของโรงเรยี น หรือจดั เปน็ แผนการเรยี นมาตรฐานสากล การ
จดั การศึกษาในโรงเรียนมาตรฐานสากลจะต้องมจี ุดมุ่งหมายและทิศทางทช่ี ัดเจน คอื 1) พฒั นาผู้เรียนให้มี
ศักยภาพเป็นพลโลก (World Citizen) สร้างวิถีแห่งการรู้แจ้ง สร้างแรงกระตุ้นใหม่ ๆ ให้ผู้เรียนเกิดความ
มุ่งมั่น รักและเพลิดเพลินในการแสวงหาความรู้ สามารถวิเคราะห์และสรุปองค์ความรู้ มีความสามารถใน
การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และมีจิตสาธารณะและสำนึกในการบริการสังคม 2) ยกระดับการจัดการ
เรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล (World-Class Standard) โดยคำนึงถึงความหลากหลายของ
ผู้เรียนซึ่งมีภูมิปัญญา ความสามารถ และความถนัดแตกต่างกัน มีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมในการ
เพิ่มพูนศักยภาพของผู้เรียน ส่งเสริมพหุปัญญาของเด็ก บนพื้นฐานของความเข้าใจ รู้ใจ และมีการใช้
กระบวนการคัดกรองในระบบดูแลช่วยเหลอื ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้สามารถพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดแห่ง
ศกั ยภาพ 3) ยกระดบั การบริหารจัดการด้วยคุณภาพ (Quality System Management) พฒั นาศักยภาพ
ขององค์กรให้ได้มาตรฐานสากล สอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของตัวเอง สามารถระดมทรัพยากรจาก
แหล่งต่างๆ และศึกษาแนวทางจากแบบอย่างความสำเร็จที่หลากหลายเพื่อปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม
รวมทงั้ มกี ารสร้างเครือข่ายในการจดั การศึกษาในทุกระดบั ซงึ่ อาจเร่ิมต้นจากการประสานความร่วมมือใน
ชุมชน ท้องถิ่น ไปสู่ภูมิภาค จนกระทั่งถึงเครือข่ายระดับชาติและนาชาติในที่สุด ทั้งนี้เพราะคุณภาพของ
เยาวชน คือ อนาคตของชุมชน ความหวังของชาติ และของมวลมนุษยชาติ
1.4 ตัวช้วี ดั ความสำเรจ็ โรงเรยี นมาตรฐานสากลด้านหลกั สูตรและการเรียนการสอน
เปา้ หมาย
1. โรงเรยี นจดั หลักสตู รสถานศึกษาทเ่ี ทียบเคียงกับหลักสูตรมาตรฐานสากล
2. โรงเรียนจัดหลักสูตรที่ส่งเสริมความเป็นเลิศตอบสนองต่อความถนัดและศักยภาพตามความ
ตอ้ งการของผเู้ รียน
3. โรงเรยี นจัดการเรียนการสอนสาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ด้วยภาษาองั กฤษ
4. โรงเรียนจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้ การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้(Research and
Knowledge Formation) การสื่อสารและการนำเสนอ(Communication and Presentation) และ
กิจกรรมสร้างสรรค์และบริการสังคม (Global Education and Social Service Activity)
5. โรงเรียนใช้หนงั สอื ตำราเรียน และสื่อท่ีมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
6. โรงเรยี นใช้ระบบการวัดและประเมนิ ผลแบบมาตรฐานสากล โดยประเมนิ จากการสอบข้อเขียน
สอบปากเปล่า สอบสัมภาษณ์ การลงมือปฏิบัติ และสามารถเทียบโอนผลการเรียนกับสถานศึกษาระดับ
ตา่ ง ๆ ท้ังในและตา่ งประเทศ
10
ตัวชีว้ ัด
1. ร้อยละของโรงเรยี นทจี่ ดั หลักสตู รสถานศกึ ษาเทยี บเคียงกบั หลักสูตรมาตรฐานสากล
2. ร้อยละของโรงเรียนจัดหลักสูตรที่ส่งเสริมความเป็นเลิศตอบสนองต่อความถนัดและศักยภาพ
ตามความต้องการของผูเ้ รียน
3. ร้อยละของโรงเรียนที่จัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
(Research and Knowledge Formation) การสื่อสารและการนำเสนอ( Communication and
Presentation) และกิจกรรมสร้างสรรค์และบริการสังคม (Global Education and Social Service
Activity)
1.5 คุณลักษณะและศกั ยภาพผเู้ รยี นท่ีเป็นสากล
การจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมาตรฐานสากล มุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้ ความสามารถและ
คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงคข์ องผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 สอดคลอ้ งกบั หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ และเป็นไปตามปฏิญญาว่าด้วยการจัดการศึกษาของ UNESCO ได้แก่ Learning to
know : หมายถึง การเรียนเพื่อให้มีความรู้ในสิ่งต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อไป ได้แก่ การรู้จักการ
แสวงหาความรู้ การต่อยอดความรู้ที่มีอยู่ และรวมทงั้ การสร้างความรู้ขนึ้ ใหม่ Learning to do : หมายถึง
การเรียนเพื่อการปฏิบัติหรือลงมือทำ ซึ่งอาจนำไปสู่การประกอบอาชีพจากความรู้ที่ได้ศึกษา มารวมทั้ง
การปฏิบัติเพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม Learning to with the others : หมายถึงการเรียนรู้เพื่อการ
ดำเนินชีวติ อยรู่ ว่ มกบั คนอ่ืนได้อย่างมีความสุขทง้ั การดำเนินชีวติ ในการเรียน ครอบครัว สงั คม และการทา
งาน Learning to be: หมายถึงการเรียนรู้เพื่อให้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ รู้ถึงศักยภาพ ความถนัด ความ
สนใจ ของตนเอง สามารถใช้ความรู้ความสามารถของตนเองให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เลือกแนวทางการ
พัฒนาตนเองตามศกั ยภาพ วางแผนการเรยี นต่อการประกอบอาชพี ท่สี อดคล้องกบั ศักยภาพตนเองได้ ทง้ั นี้
เพ่อื พฒั นาผูเ้ รียนให้มีคุณภาพ ทง้ั ในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลกเทียบเคยี งได้กับนานาอารยประเทศ โดย
มงุ่ เน้นให้ผเู้ รยี นมีศักยภาพทีส่ ำคญั ดังน้ี
1) ความรู้พื้นฐานในยุคดิจิทัล (Digital-Age Literacy) มีความรู้พื้นฐานที่จำเป็นทาง
วทิ ยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รภู้ าษา ขอ้ มลู และทัศนภาพ (Visual & Information Literacy) รู้
พหวุ ัฒนธรรมและ มคี วามตระหนกั สำนึกระดับโลก (Multicultural Literacy & Global Awareness)
2) ความสามารถคดิ ประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ (Inventive Thinking) มีความสามารถในการ
ปรับตัว สามารถจัดการกับสภาวการณ์ที่มีความซับซ้อน เป็นบุคคลที่ใฝ่รู้ สามารถกำหนด ตั้งประเด็นคา
ถาม (Hypothesis Formulation) เพอ่ื นำไปสูก่ ารศึกษาค้นควา้ แสวงหาความรู้ มีความสามารถในการคิด
วิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ ข้อมูล สารสนเทศ และสรุปองค์ความรู้ (Knowledge Formation) ใช้ข้อมูลเพื่อ
การตดั สนิ ใจเก่ยี วกบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม
3) ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล (Effective Communication) ความสามารถในการ
รับและ ส่งสาร การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง มีวัฒนธรรมในการ
ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
11
ข่าวสารและประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชนต์ อ่ การพัฒนาตนเองและสังคม รวมทงั้ มที ักษะในการเจรจา
ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆตลอดจนสามารถเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
โดยคำนงึ ถึงผลกระทบทมี่ ตี อ่ ตนเองและสงั คม
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการนากระบวนการตา่ งๆ ไปใช้ในการดา
เนินชวี ติ ประจำวนั การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การเรียนร้อู ย่างต่อเนอื่ ง เขา้ ใจความสมั พนั ธ์และการเปลยี่ นแปลง
ของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม สามารถจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสมและนำไปสู่การ
ปฏิบัติ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม บริการสาธารณะ (Public service) ซึ่งหมายถึงการเป็นพลเมือง
ไทยและ พลเมอื งโลก (Global Citizen)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี การสืบค้นหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้และวิธีการที่
หลากหลาย (Searching for Information) เลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการ
ทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหา
อย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมคี ณุ ธรรม
1.6 การจัดทำหลักสูตรและจดั การเรยี นการสอนสู่สากล
การทีผ่ เู้ รยี นจะได้รบั การพฒั นาให้มีคุณภาพดังกลา่ วขา้ งตน้ ย่อมต้องอาศัยหลักสูตรสถานศึกษาท่ี
เหมาะสม คือจะต้องได้รับการออกแบบอย่างดี มีเป้าหมายและกระบวนการดำเนินงานที่เป็นระบบ ด้วย
ความร่วมมือของบุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียน หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนมาตรฐานสากลเป็น
หลักสูตรที่ใช้เป็นเป้าหมายและทิศทางในการยกระดับการจัดการศึกษาของทั้งโรงเรียน มิใช่การจัดใน
ลักษณะของแผนการเรียนสาหรับผู้เรียนเพียงบางส่วน โดยการออกแบบหลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับ
หลักการและแนวคิดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 25551 ซึ่งผู้เรียนจะได้รับ
การพัฒนาคุณภาพบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ และกิจกรรม
พัฒนาผู้เรียนที่กำหนด มีการพัฒนาต่อยอดคุณลักษณะที่เทียบเคียงกับสากล ทั้งในระดับประถมศึกษา
มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยโรงเรียนพิจารณาให้สอดคล้อง เหมาะสม กับสภาพ
ความพร้อม และจดุ เนน้ ของโรงเรยี นซึ่งมีความแตกตา่ งกัน
ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและศักยภาพความเป็นสากลดังที่ระบุไว้
ข้างต้น คือ เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีทักษะในการค้นคว้าแสวงหาความรู้และมีความรู้พื้นฐานที่จำเป็น
สามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ สามารถสื่อสารอย่างมีประสิทธิผล ตลอดจนมีทักษะชีวิต
ร่วมมือในการทางานกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีนั้น จะต้องมีกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง มีลำดับ
ขั้นตอนที่เหมาะสม และสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละระดับชัน้ โดยมีกระบวนการสำคัญใน
การจัดการเรียนรู้ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็น “บันได 5 ขั้น ของการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน
มาตรฐานสากล” ไดแ้ ก่
1. การตั้งประเด็นคำถาม/สมมุติฐาน (Hypothesis Formulation) เป็นการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักคิด
สังเกต ตง้ั ขอ้ สงสัย ตั้งคำถามอย่างมีเหตผุ ล
12
2. การสืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้และสารสนเทศ (Searching for Information) เป็นการฝึก
แสวงหาความรู้ ข้อมูล และสารสนเทศ จากแหล่งเรยี นรู้อย่างหลากหลายเช่น ห้องสมุด อินเตอร์เน็ต หรือ
จากการปฏิบตั ิทดลอง เป็นต้น
3. การสรุปองค์ความรู้ (Knowledge Formation) เป็นการฝึกให้นำความรู้และสารสนเทศหรือ
ข้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากการอภิปราย การทดลอง มาคดิ วเิ คราะหส์ ังเคราะห์ และสรปุ เป็นองค์ความรู้
4. การสื่อสารและการนำเสนออยา่ งมีประสทิ ธิภาพ (Effective Communication) เป็นการฝกึ ให้
ความรู้ทไ่ี ดม้ านำเสนอและสื่อสารอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพใหเ้ กิดความเขา้ ใจ
5. การบรกิ ารสังคมและจิตสาธารณะ (Public Service) เปน็ การนาความรู้สู่การปฏบิ ตั ิ ซ่ึงผู้เรียน
จะต้องมีความรู้ในบริบทรอบตัวและบริบทโลกตามวุฒิภาวะที่เหมาะสม โดยจะนำองค์ความรู้ไปใช้ให้เกดิ
ประโยชนอ์ ยา่ งสร้างสรรค์
1.7 การศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS ) เคร่อื งมือสำคญั ในการพฒั นา
การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น ดังกล่าว สามารถดำเนินการได้หลากหลายวิธี และ
การให้ผ้เู รียนได้ ศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง “Independent Study : IS” นับเปน็ วธิ กี ารทีม่ ีประสิทธิภาพวิธี
หนึ่งที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการพัฒนาผู้เรียน เพราะเป็นการเปิดโลกกว้างให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า
อย่างอิสระในเรื่องหรอื ประเดน็ ที่ตนสนใจ เริ่มตั้งแต่การกำหนดประเด็นปัญหา ซึ่งอาจเป็น Public Issue
และGlobal Issue และดำเนินการค้นคว้าแสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย มีการวิเคราะห์
สังเคราะห์ การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อนำไปสู่การสรุปองค์ความรู้ จากนั้นก็หาวิธีการที่
เหมาะสมในการสื่อสารนำเสนอให้ผูอ้ ื่นได้รับทราบ และสามารถนำความรูท้ ี่ได้จากการศึกษาค้นคว้าไปทำ
ประโยชนแ์ ก่สาธารณะ ซ่งึ สิง่ เหลา่ นเ้ี ป็นกระบวนการทเี่ ช่ือมโยงต่อเนื่องกันตลอดแนว ภายใต้ “การศึกษา
คน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS)”
13
2. หลกั สูตรรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103 ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3
มาตรฐานและตวั ชวี้ ัดสาระแกนกลาง
รายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3
เวลา 20 ชว่ั โมง จำนวน 0.5 หน่วยกติ
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยี เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยเี พ่ือการ
ดำรงชวี ิตในสังคมที่มกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเรว็ ใชค้ วามรแู้ ละทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์
และศาสตร์ อน่ื ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรอื พฒั นางานอย่างมีความคดิ สรา้ งสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชงิ
วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และส่ิงแวดล้อม
ช้ัน มาตรฐานตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
ม.3 1. วิเคราะห์สาเหตุหรอื ปจั จยั ที่ส่งผลต่อ • เทคโนโลยมี กี ารเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยีและ ต้ังแต่อดีตจนถงึ ปจั จุบนั ซง่ึ มีสาเหตหุ รอื
ความสัมพนั ธข์ องเทคโนโลยีกับศาสตร์ ปจั จยั มาจากหลายดา้ น เช่น ปัญหาหรอื
อ่ืน โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ หรือ ความต้องการของมนษุ ย์ ความกา้ วหน้าของ
คณติ ศาสตร์ เพอื่ เป็นแนวทางการ ศาสตรต์ า่ ง ๆ การเปลยี่ นแปลงทางดา้ น
แก้ปัญหาหรือพัฒนางาน เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม สิ่งแวดลอ้ ม
• เทคโนโลยมี ีความสมั พันธ์กบั ศาสตร์อ่นื
โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์ โดยวทิ ยาศาสตร์
เปน็ พืน้ ฐานความร้ทู ี่นำไปสู่การพัฒนา
เทคโนโลยี และเทคโนโลยีท่ไี ดส้ ามารถเปน็
เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่อื ให้
ไดม้ าซึ่งองคค์ วามรู้ใหม่
14
ช้ัน มาตรฐานตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
2. ระบปุ ญั หาหรอื ความต้องการของ • ปัญหาหรือความตอ้ งการอาจพบได้ในงาน
ชุมชน หรือทอ้ งถ่ินเพ่ือพัฒนางานอาชีพ อาชีพของชมุ ชนหรอื ท้องถิน่ ซ่งึ อาจมหี ลาย
สรุปกรอบของปัญหา รวบรวม วเิ คราะห์ ดา้ น เชน่ ด้านการเกษตร อาหาร พลงั งาน
ข้อมูล และแนวคิดท่ีเก่ยี วข้องกับปัญหา การขนส่ง
โดยคำนึงถึงความถูกต้องดา้ นทรพั ย์สนิ • การวเิ คราะหส์ ถานการณป์ ญั หาชว่ ยให้
ทางปญั ญา
เข้าใจเง่ือนไข และกรอบของปญั หาได้
ชัดเจน จากน้ันดำเนนิ การสบื ค้น รวบรวม
ขอ้ มูล ความรูจ้ ากศาสตร์ต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้อง
เพือ่ นำไปสู่การออกแบบแนวทางการ
แกป้ ัญหา
3. ออกแบบวธิ ีการแก้ปัญหา โดย • การวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ และตดั สินใจ
วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจ เลือกข้อมูลที่จำเป็น โดยคำนึงถงึ ทรัพย์สิน
เลอื กข้อมูลท่ีจำเปน็ ภายใตเ้ งื่อนไขและ ทางปญั ญา เง่ือนไขและทรัพยากร เชน่
ทรพั ยากรทม่ี ีอยู่นำเสนอแนวทางการ งบประมาณ เวลา ขอ้ มูลและสารสนเทศ
แกป้ ญั หา ใหผ้ ู้อื่นเข้าใจด้วยเทคนคิ หรือ วสั ดุ เครื่องมือ และอปุ กรณ์ ช่วยใหไ้ ด้แนว
วธิ ีการท่ีหลากหลาย วางแผนขน้ั ตอน ทางการแก้ปญั หาทเี่ หมาะสม
การทำงานและดำเนนิ การแก้ปัญหา
อยา่ งเปน็ ขัน้ ตอน • การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หาทำได้
หลากหลายวิธี เชน่ การร่างภาพ การเขียน
แผนภาพ การเขียนผังงาน
• เทคนคิ หรือวธิ กี ารในการนำเสนอแนว
ทางการแก้ปัญหา มหี ลากหลาย เชน่ การ
ใช้แผนภูมิ ตาราง ภาพเคลอ่ื นไหว
• การกำหนดขนั้ ตอนและระยะเวลาในการ
ทำงานก่อนดำเนนิ การแกป้ ัญหาจะชว่ ยให้
การทำงานสำเร็จไดต้ ามเป้าหมาย และลด
ข้อผิดพลาดของการทำงานท่ีอาจเกดิ ขนึ้
15
ช้ัน มาตรฐานตวั ช้ีวดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง
4. ทดสอบ ประเมนิ ผล วเิ คราะหแ์ ละให้ • การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การ
เหตผุ ลของปญั หาหรือข้อบกพรอ่ งท่ี ตรวจสอบช้ินงาน หรือวธิ กี ารว่าสามารถ
เกิดขึ้นภายใต้กรอบเงื่อนไข พรอ้ มทง้ั หา แก้ปัญหาไดต้ ามวตั ถุประสงค์ ภายใตก้ รอบ
แนวทางการปรบั ปรุงแก้ไข และนำเสนอ ของปัญหา เพ่ือหาข้อบกพรอ่ งและ
ผลการแก้ปัญหา ดำเนินการปรบั ปรุง โดยอาจทดสอบซำ้
เพอื่ ใหส้ ามารถแก้ไขปญั หาได้
• การนำเสนอผลงานเปน็ การถ่ายทอด
แนวคดิ เพื่อใหผ้ ู้อื่นเข้าใจเกี่ยวกับ
กระบวนการทำงานและช้ินงานหรือวิธีการ
ทไ่ี ด้ซึง่ สามารถทำได้หลายวธิ ี เช่น การ
เขียนรายงาน การทำแผน่ นำเสนอผลงาน
การจัดนทิ รรศการ การนำเสนอผ่านสื่อ
ออนไลน์
5. ใช้ความร้แู ละทักษะเก่ียวกับวสั ดุ • วัสดุแต่ละประเภทมสี มบัตแิ ตกตา่ งกัน เชน่
อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื กลไก ไฟฟ้าและ ไม้ โลหะ พลาสตกิ เซรามิก จึงตอ้ งมีการ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ให้ถกู ต้องกบั ลักษณะของ วเิ คราะห์สมบตั ิเพอ่ื เลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกับ
งาน และ ปลอดภยั เพ่ือแกป้ ัญหาหรอื ลกั ษณะของงาน
พฒั นางาน • การสรา้ งชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เร่ืองกลไก
ไฟฟา้ อิเล็กทรอนิกส์ เชน่ LED LDR
มอเตอร์ เฟือง คาน รอก ลอ้ เพลา
• อุปกรณ์และเครอ่ื งมอื ในการสรา้ งชิ้นงาน
หรือพฒั นาวธิ ีการมหี ลายประเภท ต้อง
เลือกใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย
รวมทงั้ รจู้ กั เก็บรักษา
16
คำอธิบายรายวชิ า
ว23103 การออกแบบและเทคโนโลยี 3 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 20 ช่ัวโมง จำนวน 0.5 หน่วยกิต
ศึกษา อภิปราย อธิบาย วิเคราะห์สาเหตุหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากร โดยวิเคราะห์
เปรียบเทียบและเลือกข้อมูลที่จำเป็นเพื่อออกแบบวิธีการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันในด้านการเกษตร
อาหาร พลังงาน และการขนส่ง และสร้างชิ้นงานหรือพัฒนาวิธีการโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิง
วิศวกรรม
โดยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือในการแก้ปัญหา
ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย การให้เหตุผล การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา ใช้ภาษาในการ
สื่อสาร สื่อความหมาย และการนำเสนอได้อย่างถูกต้องชัดเจน เชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ บูรณาการท้องถิ่น
อาเซียน โรงเรียนสุจริต ตลอดจนการนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในหลวงรัชกาลที่ 10
มาออกแบบกระบวนการพฒั นาการเรยี นรู้อยา่ งสร้างสรรค์
เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ
พอเพยี ง ตระหนักถึงผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีกับสังคม มีมารยาท ระเบียบ และข้อบังคับในการ
เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีด้วยการลด
การใช้ทรพั ยากรหรอื เลือกใชเ้ ทคโนโลยีทีไ่ มม่ ผี ลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อม
มาตรฐาน/ตวั ชว้ี ดั
มาตรฐาน 4.1 เทคโนโลยี ตัวชีว้ ดั ที่ ม.3/1, ม.3/2, ม.3/3, ม.3/4, ม.3/5
รวมทั้งหมด 1 มาตรฐาน 5 ตวั ช้วี ัด
17
โครงสรา้ งหน่วยรายวชิ าการออกแบบและเทคโนโลยี 3 รหสั วิชา ว23103 ภาคเรยี นท่ี 1
กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3
จำนวน 0.5 หนว่ ยกติ เวลา 20 ชั่วโมง
หนว่ ย ชื่อหน่วย มาตรฐาน/ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก
ท่ี การเรยี นรู้ ตวั ชี้วัด/ (ชม.) คะแนน
ผลการเรียนรู้
20
1 เทคโนโลยี ว 4.1 ม.3/1 มนุษย์ต้องการดำเนินชวี ติ อย่างสะดวกสบาย จึง 5 ชม. คะแนน
เปลี่ยนโลก พยายามคดิ ค้นเทคโนโลยีที่จะนำมาอำนวยความ 20
คะแนน
สะดวกและใช้แกป้ ัญหาต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ ในการ
ดำรงชีวิต อกี ทงั้ ยงั มกี ารเปลี่ยนแปลงทางด้าน
เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม และสิง่ แวดล้อม ทำ
ใหเ้ ทคโนโลยมี ีการพฒั นาและเปล่ยี นแปลง
ตลอดเวลา ประกอบกบั ความก้าวหนา้ ของศาสตร์
ต่าง ๆ ท่ีพัฒนาขน้ึ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ โดย
วิทยาศาสตร์เป็นพ้นื ฐานความรทู้ ่นี ำ ไปสู่การพฒั นา
เทคโนโลยี และเทคโนโลยีทถี่ ูกพัฒนาขน้ึ สามารถ
นำไปสร้างเครื่องมือ ทีน่ ำไปใช้ ศึกษาคน้ คว้าจนเกิด
องค์ความรู้ใหม่ ๆ อกี มากมาย
2 เทคโนโลยี ว 4.1 การเปล่ียนแปลงหรอื พัฒนาเทคโนโลยีนน้ั จะตอ้ ง 10
แกป้ ัญหา ม.3/2,3,4,5 อาศัยองค์ความรูจ้ ากหลากหลายศาสตร์มาบูรณา ชม.
การรว่ มกนั เพ่ือพฒั นาเทคโนโลยใี หต้ อบสนองต่อ
ความต้องการหรือแก้ปัญหาของมนุษย์ ดงั นัน้ การ
แกป้ ัญหาในชมุ ชนหรือในงานอาชีพ จะต้อง
ประยกุ ต์ใช้ความรจู้ ากศาสตร์ตา่ ง ๆ โดยผา่ น
กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรมแนวคิดแบบลนี
สามารถนำมาประยกุ ต์ใช้กบั การวเิ คราะห์
สถานการณป์ ัญหา ทำใหม้ ีแนวทางในการสงั เกต
ปญั หาทเ่ี กิดข้ึน หรอื ความสญู เสยี ในกระบวนการ
ทำงาน การรวบรวมข้อมลู และคัดเลือกแนวคิดนัน้
สามารถใชว้ ิธีการระดมความคิด ซ่ึงมีหลักการและ
ขน้ั ตอนท่ีเอื้อให้เกิดความคิด หรือแนวทางใหม่ ๆ
โดยจะตอ้ งระวังการละเมิดทรัพย์สนิ ทางปัญญาของ
ผอู้ ่ืน การนำ เสนอสามารถทำ ไดห้ ลายรปู แบบ เช่น
18
หน่วย ชอื่ หน่วย มาตรฐาน/ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
ที่ การเรียนรู้ ตัวชีว้ ดั / (ชม.) คะแนน
ผลการเรียนรู้
3 เทคโนโลยี 20
เพิม่ มูลค่า การเขยี นรายงาน การนำ เสนอผลงานด้วยวาจา คะแนน
การนำ เสนอผลงานด้วย โปสเตอร์ การจดั 60
20
นทิ รรศการ การนำ เสนอผ่านส่ือออนไลน์ ซ่งึ อาจใช้ 80
20
วิธใี ดวธิ หี นึง่ หรอื หลายรปู แบบรว่ มกนั ตามความ 100
เหมาะสม
ว 4.1 ม.3/2 ทรพั ย์สนิ ทางปัญญาน้นั เกดิ ข้ึนจากความคิด 5 ชม.
สรา้ งสรรคข์ องผู้สรา้ ง การมที รพั ย์สนิ ทางปัญญา
ก่อใหเ้ กิดประโยชนแ์ กต่ นเอง สังคม และ
ประเทศชาติได้ จึงถือไดว้ า่ ทรัพย์สินทางปัญญา
สามารถเพิ่มมลู ค่าใหก้ ับผลงานของตนเอง ตลอดจน
สามารถแปลงทรัพยส์ ินทางปัญญา ใหเ้ ป็นเงินทุน
เพื่อประโยชนเ์ ชงิ พาณชิ ย์ได้ ท้ังนี้ระยะเวลาในการ
คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทต่าง ๆ อาจมี
ความแตกต่างกนั รวมท้ังอาจมีค่าใชจ้ า่ ยในการ
ดำเนนิ การจดทะเบียน ผสู้ ร้างผลงานจงึ ตอ้ งศึกษา
และทำความเขา้ ใจให้ถ่องแท้ เพื่อใหส้ ามารถเลือก
จดทะเบยี นตามประเภททรพั ย์สนิ ทางปญั ญาและ
ชำระคา่ ธรรมเนียมได้อย่างถูกต้อง และนำไปสกู่ าร
ขอรบั สิทธิ ทเี่ กีย่ วข้องทางกฎหมายเพ่ือคมุ้ ครอง
ทรพั ยส์ ินทางปัญญาของตนเองได้ ในทางกลบั กนั
เมอื่ ตระหนกั รู้ว่าปญั ญาหรือความคิดของ ตนเอง
เป็นทรพั ยส์ นิ ที่มมี ูลค่าแลว้ ปัญญาหรือความคดิ
ของผู้อื่นก็มีมลู ค่าเช่นกนั ดังน้ัน จงึ ต้องหลีกเลี่ยง
การละเมดิ ทรัพยส์ ินทางปญั ญาของผู้อนื่ สถาบนั
สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ก่อน-หลังสอบกลางภาค
สอบกลางภาค
รวมระหวา่ งภาค
ปลายภาค
รวมท้ังสน้ิ
19
3. การสือ่ สารการเรียนรู้
การสื่อสาร หรือ การสื่อความหมาย (Communication) หมายถึง การถ่ายทอดเรื่องราว การ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแสดงออกของความคิดและความรู้สึก เพื่อการติดต่อสื่อสารข้อมลู ซึ่งกันและ
กัน (กิดานนั ท์ มลทิ อง, 2540) รปู แบบของการสื่อสาร แบ่งได้เปน็ 2 รปู แบบ คือ
1. การสื่อสารทางเดียว (One-Way Communication) เป็นการส่งข่าวสารหรือการส่ือ
ความหมายไปยงั ผรู้ ับแตเ่ พยี งฝา่ ยเดียว โดยทผี่ ูร้ ับไม่สามารถตอบสนองทันที(Immediate Response) กับ
ผู้ส่ง แต่อาจจะมีผลป้อนกลับไปยังผู้ส่งในภายหลังได้ การสื่อสารในรูปแบบนี้จึงเป็นการที่ผู้ส่งและผู้รับไม่
สามารถมีปฏสิ ัมพนั ธต์ อ่ กันไดท้ นั ที
2. การสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication) เป็นการสื่อสารหรือการสื่อความหมายท่ี
ผู้รับมีโอกาสตอบสนองมายังผู้ส่งได้ในทันที โดยที่ผู้ส่งและผู้รับอาจจะอยู่ต่อหน้ากันหรืออาจอยู่คนละ
สถานที่ก็ได้ แต่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถมีการเจรจาหรือการโต้ตอบกันไปมา โดยที่ต่างฝ่ายต่างผลัดกันทำ
หน้าที่เป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับในเวลาเดียวกันดังนั้น ในการที่จะเกิดการเรียนรู้ขึ้นได้นี้ มักจะพบว่าต้องอาศัย
กระบวนการของการสือ่ สารในรปู แบบของการส่ือสารทางเดียวและการสื่อสารสองทาง ในลกั ษณะของการ
ให้สง่ิ เร้าเพ่ือกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นมีการแปลความหมายของเนือ้ หาบทเรยี นน้นั และ
ให้มีการตอบสนองเพื่อเกดิ เป็นการเรียนรขู้ ้ึน
ลักษณะของสิ่งเร้าและการตอบสนองในการสื่อสารนี้ หมายถึง การที่ผู้สอนให้สิ่งเร้าหรือส่งแรง
กระตุ้นไปยังผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนมีการตอบสนองออกมา โดยผู้สอนอาจใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ เช่น
คอมพิวเตอร์เป็นผู้ส่งเนื้อหาบทเรียน ส่วนการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ คำพูด การเขียน รวมถึง
กระบวนการทั้งหมดทางดา้ นความคิด การเรยี นรู้ การเรยี นรู้ซ่ึงอาศยั รูปแบบการส่ือสารทเี่ กี่ยวข้องกับการ
ให้สิ่งเรา้ หรือแรงกระตนุ้ การแปลความหมาย และการตอบสนองน้นั มดี งั น้ี
1. การเรยี นรใู้ นรปู แบบการส่ือสารทางเดยี ว เชน่ การสอนแกผ่ ูเ้ รยี นจำนวนมากในหอ้ งเรียนขนาด
ใหญ่โดยการฉายวีดิทัศน์ โทรทัศน์วงจรปิด หรือวิทยุและโทรทัศน์การศึกษาแก่ผูเ้ รียนท่ีเรียนอยู่ที่บ้าน ซ่ึง
การเรียนการสอนในลักษณะเชน่ นี้ควรจะมีการอธิบายความหมายของเน้ือหาบทเรียนให้ผู้เรียนเข้าใจกอ่ น
การเรียน หรืออาจจะมีการอภิปรายภายหลังจากการเรียน หรอื ดูเรอื่ งราวนน้ั แล้วกไ็ ด้ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นมีความ
เข้าใจและแปลความหมายในสิง่ เร้านั้นอยา่ งถกู ตอ้ งตรงกัน จะได้มีการตอบสนองและ
เกดิ การเรียนรู้ไดใ้ นทำนองเดยี วกนั
2. การเรียนรู้ในรูปแบบการส่ือสารสองทาง อาจทำได้โดยการใช้อุปกรณ์ประเภทเครื่องช่วยสอน
เช่น การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยหรือการใช้เครื่องช่วยสอนเนื้อหาจะถูกส่งจากเครื่องไปยังผู้เรียน
เพื่อให้ผู้เรียนทำการตอบสนองโดยส่งคำตอบหรือข้อมูลกลับไปยงั เครื่องอีกครั้งหนึง่ การเรียนการสอนใน
ลักษณะนี้มีข้อดีหลายประการเช่น ความฉับพลันของการให้คำตอบจากโปรแกรมบทเรียนที่วางไว้เพื่อ
ความเขา้ ใจทถ่ี ูกต้องแก่ผเู้ รยี น เป็นการทำให้ง่ายต่อการเรยี นรแู้ ละทำใหก้ ารถา่ ยทอดความรูบ้ รรลผุ ลด้วยดี
เป็นต้น ถึงแม้ว่าการเรียนรู้ในรูปแบบการสื่อสารสองทางนี้จะมีประสิทธิภาพดีต่อการเรียนรู้มากกว่าการ
สื่อสารทางเดียวก็ตาม แต่บางครั้งแล้วในลักษณะของการศึกษาบางอย่างมีความจำเป็นต้องใช้การเรียน
20
การสอนในรปู แบบการสื่อสารทางเดียว เพ่ือการให้ความรูแ้ ก่ผเู้ รยี น ทง้ั นเ้ี พราะจำนวนผู้เรียนอาจจะมีมาก
และมีอปุ กรณ์ชว่ ยสอนไม่เพยี งพอ เปน็ ตน้
4. สอ่ื การเรียนรู้
กิดานันท์ มลิทอง (2551) กล่าวว่า สื่อนับว่าเป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเรียนการสอน
เนอ่ื งจากเป็นตัวกลางทีช่ ่วยให้การส่ือสารระหว่างผู้สอนและผ้เู รียนดำเนินไปได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ทำให้
ผเู้ รียนมีความเขา้ ใจเนือ้ หาบทเรียนได้ตรงกบั ท่ีผ้สู อนต้องการ การใชส้ ่อื การสอนนน้ั ผูส้ อนจำเป็นต้องศึกษา
ถึงลักษณะเฉพาะ และคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิดเพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอน และ
สามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
สือ่ การสอน (Instructional Media) หมายถงึ สื่อชนดิ ใดก็ตามไม่ว่าจะเปน็ เทปบันทึกเสียง สไลด์
วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ แผนภูมิ ภาพนิ่ง ฯลฯ ซึ่งบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน เพื่อใช้เป็น
เครื่องมือหรือช่องทางสำหรับผู้สอนส่งไปถึงผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือ
จดุ มงุ่ หมายทผ่ี ู้สอนวางไว้ได้เปน็ อยา่ งดี
เอดการ์ เดล (Edgar Dale)ได้จัดแบ่งสื่อการสอนเพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายถึงความสัมพันธ์
ระหว่างส่อื โสตทศั นูปกรณต์ ่าง ๆ ในขณะเดียวกันกเ็ ป็นการแสดงขั้นตอนของประสบการณ์การเรียนรู้ และ
การใช้สื่อแต่ละประเภทในกระบวนการเรียนรู้ด้วย โดยพัฒนาความคิดของ Bruner ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา
นำมาสร้างเปน็ “กรวยประสบการณ์” (Cone of Experiencess) โดยแบง่ เปน็ ข้ันตอนดังน้ี
1. ประสบการณ์ตรง โดยการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากของจริง เช่น การจับต้อง และ
การเหน็ เป็นตน้
2. ประสบการณ์รอง เปน็ การเรียนโดยใหผ้ ู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ใกล้เคยี งความเปน็ จริงที่สุด ซึ่งอาจ
เปน็ การจำลองก็ได้
3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดงละคร
เนื่องจากข้อจำกัดด้วยยุคสมัยเวลา และสถานที่ เช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวที่
เปน็ นามธรรม เป็นต้น
4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือการทำเพื่อประกอบคำอธิบายเพื่อให้เห็นลำดับขั้นตอนของการ
กระทำนั้น
5. การศึกษานอกสถานท่ี เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ ภายนอกสถานที่เรียน อาจเป็น
การเยี่ยมชมสถานที่ การสมั ภาษณบ์ ุคคลต่าง ๆ เป็นตน้
6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้สาระประโยชน์แก่ผู้ชม โดยการนำ
ประสบการณ์หลายอย่างผสมผสานกนั มากที่สดุ
7. โทรทัศน์ โดยใช้ทั้งโทรทัศนก์ ารศึกษาและโทรทัศน์การสอนเพือ่ ให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้เรียนหรือ
ผ้ชู มทีอ่ ยู่ในหอ้ งเรียนหรืออยูท่ างบ้าน
21
8. ภาพยนตร์ เป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวลงบนฟิล์มเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ทั้งภาพและ
เสยี งโดยใชป้ ระสาทตาและหู
9. การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง อาจเป็นทั้งในรูปของแผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง วิทยุ รูปภาพ
สไลด์ ข้อมูลที่อยู่ในขั้นนี้จะให้ประสบการณ์แก่ผู้เรียนที่ถึงแม้จะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็จะสามารถเข้าใจ
เนอื้ หาได้
10. ทศั นสัญลกั ษณ์ เชน่ แผนท่ี แผนภูมิหรือเครอ่ื งหมายตา่ งๆท่เี ป็นสญั ลกั ษณ์แทนสง่ิ ของตา่ ง ๆ
11. วจนสัญลักษณ์ ได้แก่ตัวหนังสือในภาษาเขียน และเสียงพูดของคนในภาษาพูดการใช้กรวย
ประสบการณ์ของเดลจะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์หรือการกระทำจริงเพื่อให้
ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงเกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเรียนรู้โดยการเฝ้าสังเกตในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นขั้น
ต่อไปของการได้รับประสบการณ์รอง ต่อจากนั้นจึงเป็นการเรียนรู้ด้วยการรับประสบการณ์โดยผ่านส่ือ
ตา่ งๆ และทา้ ยทีส่ ุดเป็นการใหผ้ เู้ รยี นเรียนจากสัญลักษณซ์ ง่ึ เปน็ เสมือนตวั แทนของเหตุการณ์ท่ี
เกิดขน้ึ
นักจิตวิทยาทา่ นหน่ึงชื่อ เจโรม บรุนเนอร์ (Jerome Bruner) ได้ออกแบบโครงสร้างของกิจกรรม
การสอนไว้รูปแบบหน่ึง โดยประกอบดว้ ยมโนทัศน์ด้านการกระทำโดยตรง (Enactive) การเรียนรดู้ ว้ ยภาพ
(Iconic) และการเรียนรู้ด้วยนามธรรม(Abstract) เมื่อเปรียบเทียบกับกรวยประสบการณ์ของเดลกับ
ลักษณะสำคัญ 3 ประการของการเรยี นรู้ของบรุนเนอร์แลว้ จะเห็นว่ามีลกั ษณะใกลเ้ คยี งและเปน็ คู่ขนานกัน
(กิดานันท์ มลิทอง,2540)
สอ่ื กบั ผเู้ รยี น
1. เป็นสิ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเนื้อหา
บทเรยี นที่ย่งุ ยากซบั ซ้อนได้งา่ ยข้ึนในระยะเวลาอนั สนั้ และสามารถช่วยใหเ้ กิดความคดิ รวบยอดในเร่ืองน้ัน
ได้อยา่ งถูกต้องและรวดเร็ว
2. สื่อจะช่วยกระตุ้นและสร้างความสนใจให้กับผู้เรียน ทำให้เกิดความสนุกสนานและไม่รู้สึกเบ่ือ
หน่ายการเรียน
3. การใช้สื่อจะทำใหผ้ เู้ รยี นมคี วามเขา้ ใจตรงกัน และเกดิ ประสบการณ์รว่ มกันในวชิ าทีเ่ รียนนน้ั
4. ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น ทำให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีใน
ระหว่างผเู้ รียนดว้ ยกันเองและกบั ผูส้ อนดว้ ย
5. ช่วยสร้างเสริมลักษณะที่ดีในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
จากการใช้ส่อื เหลา่ นนั้
6. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยการจัดให้มีการใช้สื่อในการศึกษา
รายบคุ คล
22
สือ่ กบั ผูส้ อน
1. การใช้สือ่ วัสดุอปุ กรณต์ า่ งๆ ประกอบการเรียนการสอน เป็นการช่วยให้บรรยากาศในการสอน
น่าสนใจยิ่งขึ้น ทำให้ผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอนมากกวา่ วิธีการที่เคยใช้การบรรยายแต่เพียงอยา่ ง
เดียว และเปน็ การสรา้ งความเช่อื มนั่ ในตัวเองใหเ้ พม่ิ ขน้ึ ดว้ ย
2. สื่อจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้สอนในดา้ นการเตรยี มเนื้อหา เพราะบางครั้งอาจใหผ้ ู้เรียนศึกษา
เน้ือหาจากส่ือไดเ้ อง
3. เป็นการกระตนุ้ ใหผ้ ู้สอนตื่นตัวอยู่เสมอในการเตรียมและผลิตวัสดุใหมๆ่ เพือ่ ใช้เป็นส่ือการสอน
ตลอดจนคดิ ค้นเทคนิควิธีการตา่ งๆ เพ่อื ให้การเรียนรู้น่าสนใจยง่ิ ขน้ึ อยา่ งไรกต็ ามส่ือการสอนจะมีคุณค่าก็
ต่อเม่อื ผู้สอนไดน้ ำไปใช้อย่างเหมาะสมและถูกวธิ ี ดังนั้น กอ่ นท่ีจะนำสอื่ แต่ละอยา่ งไปใชผ้ สู้ อนจึงควรจะได้
ศึกษาถึงลักษณะและคุณสมบัติของส่ือการสอน ข้อดีและข้อจำกัดอันเกี่ยวเนือ่ งกับตวั สื่อและการใช้สือ่ แต่
ละอย่าง ตลอดจนการผลิตและใช้สื่อให้เหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอนด้วย ทั้งนี้เพื่อให้การจัด
กจิ กรรมการสอนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย และวัตถุประสงคท์ ่ีวางไว้
หลักการเลือกส่ือการสอน
การเลือกสื่อการสอนเพื่อนำมาใช้ประกอบการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยในการเลือกสื่อผู้สอนจะต้องตั้งวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในการ
เรียนให้แนน่ อนเสียก่อน เพอ่ื ใช้วัตถุประสงค์น้ันเป็นตัวชีน้ ำในการเลือกสื่อการสอนทีเ่ หมาะสม นอกจากนี้
ยังมีหลักการอนื่ ๆ เพอ่ื ประกอบการพิจารณา คือ
1. สอ่ื นนั้ ตอ้ งสมั พันธก์ บั เนอ้ื หาบทเรยี นและจุดมุง่ หมายท่จี ะสอน
2. เลอื กสอื่ ทม่ี เี นือ้ หาถูกต้อง ทันสมัย นา่ สนใจ และเปน็ สือ่ ที่ส่งผลต่อการเรยี นรมู้ ากทสี่ ดุ
3. เป็นส่อื ท่ีเหมาะกับวยั ระดับชนั้ ความรู้ และประสบการณ์ของผเู้ รียน
4. ส่อื นั้นควรสะดวกในการใช้ วธิ ใี ชไ้ ม่ยุ่งยากซบั ซอ้ นเกนิ ไป
5. เป็นส่อื ทม่ี ีคุณภาพเทคนคิ การผลติ ทดี่ ี มคี วามชดั เจนเป็นจริง
6. มรี าคาไมแ่ พงเกินไป หรอื ถ้าจะผลติ ควรคมุ้ กับเวลาและการลงทุน
5. ทฤษฎกี ารเรียนรแู้ ละจติ วิทยาการเรียนรู้
ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2551) ได้กล่าวทฤษฏีการเรียนรู้และจิตวิทยาการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับ
การออกแบบส่อื มัลติมีเดยี เพ่ือการศกึ ษา มดี งั นี้
1. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) เป็นทฤษฎีซึ่งเชื่อว่าจิตวิทยาเป็นเสมือนการศึกษา
ทางวิทยาศาสตร์ของพฤติกรรมมนุษย์ (Scientific Study of Human Behavior) และการเรียนรู้ของ
มนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์
ระหวา่ งส่ิงเร้าและการตอบสนอง( Stimuli and Response ) เช่อื ว่าการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ของมนุษย์จะ
เกดิ ขน้ึ ควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม นอกจากนีย้ ังเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบบแสดง
อาการกระทำ (Operant Conditioning) ซึ่งมีการเสริมแรง ( Reinforcement) เป็นตัวการ โดยทฤษฏี
23
พฤติกรรมนิยมนี้จะไม่พูดถึงความนึกคิดภายในของมนุษย์ ความทรงจำ ภาพ ความรู้สึก โดยถือว่าคำ
เหล่านี้เปน็ คำตอ้ งห้าม (Taboo) ซึ่งทฤษฎีนี้ส่งผลต่อการเรยี นการสอนที่สำคัญในยุคนั้น ในลักษณะที่การ
เรียนเป็นชุดของพฤติกรรมซึ่งจะต้องเกิดขึ้นตามลำดับที่แน่ชัด การที่ผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้น้ัน
จะตอ้ งมกี ารเรียนตามขั้น ตอนเป็นวัตถุประสงคๆ์ ไป ผลทีไ่ ด้จากการเรยี นข้ันแรกนจี้ ะเป็นพืน้ ฐานของการ
เรียนในขั้นต่อ ๆ ไป ในทสี่ ดุ ส่อื มัลติมเี ดียเพื่อการศึกษาท่ีออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมน้ี
จะมีโครงสร้างของบทเรียนในลักษณะเชิงเส้นตรง (Linear) โดยผู้เรียนทุกคนจะได้รับการนำเสนอเนื้อหา
ในลำดับที่เหมือนกันและตายตัว ซึ่งเป็นลำดบั ท่ีผู้สอนไดพ้ ิจารณาแล้วว่าเป็นลำดับการสอนที่ดีและผ้เู รียน
จะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธภิ าพมากทส่ี ดุ นอกจากนั้นจะมกี ารตัง้ คำถาม ๆ ผู้เรยี นอย่างสม่ำเสมอ
โดยหากผู้เรียนตอบถูกก็จะได้รับการตอบสนองในรูปผลป้อนกลับทางบวกหรือรางวัล (Reward) ในทาง
ตรงกันขา้ มหากผเู้ รยี นตอบผดิ ก็จะได้รับการตอบสนองในรูปของผลป้อนกลับในทางลบและคำอธิบายหรือ
การลงโทษ ( Punishment) ซึ่งผลป้อนกลับนี้ถือเป็นการเสริมแรงเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ต้องการ สื่อ
มัลติมีเดียเพื่อการศึกษาที่ออกแบบตามแนวคิดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม จะบังคับให้ผู้เรียนผ่านการ
ประเมินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามจุดประสงค์เสียก่อน จึงจะสามารถผ่านไปศึกษาต่อยังเนื้อหาของ
วัตถุประสงค์ต่อไปได้หากไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไวผ้ ูเ้ รียนจะต้องกลับไปศึกษาในเนื้อหาเดิมอีกครั้งจะกวา่
จะผ่านการประเมนิ
2. ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism) เกิดจากแนวคิดของชอมสกี้(Chomsky) ที่ไม่เห็นด้วย
กับ สกินเนอร์ (Skinner) บิดาของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ในการมองพฤติกรรมมนุษย์ไว้ว่าเป็นเหมือนการ
ทดลองทางวิทยาศาสตร์ ชอมสกี้เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของภายในจิตใจมนุษย์ไม่ใช้ผ้า
ขาวที่เมื่อใส่สีอะไรลงไปก็จะกลายเป็นสีนั้น มนุษย์มีความนึกคิด มีอารมณ์ จิตใจ และความรู้สึกภายในท่ี
แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนก็ควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างภายในของ
มนุษย์ด้วย ในช่วงนี้มีแนวคิดต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น แนวคิดเกี่ยวกับการจำ ( Short Term Memory
, Long Term Memory and Retention) แนวคิดเก่ียวกับการแบ่งความรู้ออกเป็น 3 ลกั ษณะคือ ความรู้
ในลักษณะเป็นขั้นตอน (Procedural Knowledge) ซึ่งเป็นความรู้ที่อธิบายว่าทำอย่างไรและเป็นองค์
ความรู้ที่ต้องการลำดับการเรียนรู้ที่ชัดเจน ความรู้ในลักษณะการอธิบาย (Declarative Knowledge) ซึ่ง
ได้แก่ความรู้ที่อธิบายว่าคืออะไร และความรู้ในลักษณะเงื่อนไข (Conditional Knowledge)ซึ่งได้แก่
ความรู้ที่อธิบายว่าเมื่อไร และทำไม ซึ่งความรู้ 2 ประเภทหลังนี้ ไม่ต้องการลำดับการเรียนรู้ที่ตายตัว
ทฤษฎีปัญญานิยมนี้ส่งผลต่อการเรียนการสอนที่สำคัญในยุคนั้น กล่าวคือ ทฤษฎีปัญญานิยมทำให้เกิด
แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบในลักษณะสาขา (Branching) ของคราวเดอร์ (Crowder) ซึ่งเป็นการ
ออกแบบในลักษณะสาขา หากเม่ือเปรียบเทยี บกับบทเรยี นท่ีออกแบบตามแนวคิดของพฤติกรรมนิยมแล้ว
จะทำให้ผู้เรียนมีอิสระมากขึ้นในการควบคุมการเรียนด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีอิสระมากขึ้นใน
การเลือกลำดับของการนำเสนอเนื้อหาบทเรียนที่เหมาะสมกับตน สื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาที่ออกแบบ
ตามแนวคิดของทฤษฎีปัญญานยิ มก็จะมีโครงสรา้ งของบทเรยี นในลักษณะสาขาอกี เช่นเดียวกัน โดยผู้เรียน
24
ทกุ คนจะได้รับการเสนอเนื้อหาในลำดับท่ีไม่เหมือนกันโดยเนื้อหาท่ีจะได้รบั การนำเสนอต่อไปน้ันจะข้ึนอยู่
กับความสามารถ ความถนดั และความสนใจของผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญ
3. ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Scheme Theory) ภายใต้ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism)
นี้ยังได้เกิดทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Scheme Theory) ขึ้นซึ่งเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าโครงสร้างภายในของ
ความรู้ที่มนุษยม์ ีอยูน่ ั้นจะมลี ักษณะเป็นโหนดหรือกลุม่ ที่มีการเชือ่ มโยงกันอยู่ ในการที่มนุษย์จะรับรู้อะไร
ใหม่ ๆ นั้น มนุษย์จะนำความรู้ใหม่ ๆ ที่เพิ่งได้รับนั้นไปเชื่อมโยงกับกลุ่มความรู้ที่มีอยู่เดิม (Pre-existing
Knowledge) รูเมลฮาร์ทและออโทน่ี (Rumelhart and Ortony,1977) ได้ให้ความหมายของคำโครงสร้าง
ความรู้ไว้ว่าเป็นโครงสร้างข้อมูลภายในสมองของมนุษย์ซึ่งรวบรวมความรู้เกี่ยวกับวัตถุ ลำดับเหตุการณ์
รายการกิจกรรมต่างๆ เอาไว้ หน้าที่ของโครงสร้างความรู้นี้ก็คือ การนำไปสู่การรับรู้ข้อมูล (Perception)
การรบั รู้ขอ้ มลู น้ันไม่สามารถเกิดขึ้นไดห้ ากขาดโครงสร้างความรู้ (Schema) ทงั้ นก้ี ็เพราะการรบั รู้ข้อมูลน้ัน
เป็นการสร้างความหมายโดยการถ่ายโอนความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิม ภายในกรอบความรู้เดิมทีม่ ีอยู่และ
จากการกระตุ้นโดยเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ที่ช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงความรู้นั้น ๆ เข้าด้วยกัน การรับรู้เป็นส่ิง
สำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ เนื่องจากไม่มีการเรียนรู้ใดที่เกิดขึ้นได้โดยปราศจากการรับรู้ นอกจาก
โครงสร้างความรู้จะช่วยในการรับรู้และการเรียนรู้แล้วนั้น โครงสร้างความรู้ยังช่วยในการระลึก (Recall)
ถงึ สง่ิ ต่างๆ ท่ีเราเคยเรียนร้มู า (Anderson,1984)
การนำทฤษฎีโครงสร้างความรู้มาประยุกต์ใช้ในการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะส่งผลให้
ลักษณะการนำเสนอเนื้อหาที่มีการเชื่อมโยงกันไปมา คล้ายใยแมงมุม(Webs) หรือบทเรียนในลักษณะที่
เรียกว่า บทเรียนแบบสื่อหลายมิติ (Hypermedia)ดังนั้นในการออกแบบสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา จึง
จำเป็นต้องนำแนวคิดของทฤษฎีต่าง ๆ มาผสมผสานกัน เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะและโครงสร้างของ
องคค์ วามรใู้ นสาขาวชิ าต่าง ๆ โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องอาศัยเพียงทฤษฎีใดทฤษฎีหน่งึ ท้งั นีเ้ พอื่ ให้ได้สื่อการเรียน
การสอนที่มีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และตอบสนองลักษณะโครงสร้างของ
องค์ความรขู้ องสาขาวิชาต่าง ๆ ท่ีแตกตา่ งกนั น่ันเอง
6. ส่ือมัลติมเี ดยี เพื่อการศกึ ษาและสอื่ ผ่านเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็
6.1 ประเภทของสอื่ มลั ติมีเดยี เพือ่ การศกึ ษา
ถนอมพร เลาหจรัสแสง (2545) ได้กล่าวถึงสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา และความหมายของส่ือ
มัลติมีเดยี เพื่อการศกึ ษาแต่ละประเภท ดงั น้ี
e-learning และ CAI ต่างก็สามารถนำเสนอเนื้อหาบทเรียนในรูปของสื่อมัลติมีเดียทาง
คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้รูปแบบการเรียนการสอนทั้งสองยังถือเป็นสื่อรายบุคคล ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมี
โอกาสอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาตามความสามารถของตน สามารถที่จะทบทวนเนื้อหาตามความ
พอใจหรือจนกว่าจะเข้าใจ สำหรับในด้านของการโต้ตอบกับบทเรียนและการให้ผลป้อนกลับนั้น e –
Learning จะขึ้นอยู่กับระดับของการนำเสนอและการนำไปใช้ หากมีการพัฒนา e-learning อย่างเต็ม
รูปแบบในระดับ Interactive Online หรือ High Quality Online และนำไปใช้ในลักษณะสื่อเติมหรือส่ือ
25
หลัก ผู้เรียนไมเ่ พียงจะสามารถโตต้ อบกับบทเรียนได้อยา่ งมีความหมาย แต่ยังจะสามารถโต้ตอบกับผ้สู อน
และกับผู้เรียนอื่นๆ ได้อย่างสะดวกผ่านทางระบบของe – Learning นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถที่จะ
ได้รับผลปอ้ นกลับจากแบบฝึกหัดและกจิ กรรมท่ีได้ออกแบบไว้ รวมทั้งจากครผู สู้ อนทางออนไลน์ได้อีกด้วย
ในขณะท่ี CAIนั้นลักษณะสำคัญของ CAI ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การออกแบบให้มีกิจกรรมที่ผู้เรียนสามารถ
โต้ตอบกับบทเรียนได้อย่างมีความหมาย รวมทั้งการจัดให้มีผลป้อนกลับโดยทันทีให้กับผู้เรียนเมื่อผู้เรียน
ตรวจสอบความเขา้ ใจของตนจากการทำแบบฝกึ หดั หรอื แบบทดสอบ
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่าง e-learning กับ CAI อาจอยู่ท่ี การท่ี e-learning จะใช้เว็บเทคโนโลยี
เป็นสำคัญ ในขณะท่ี CAI เป็นลักษณะของการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนตั้งแต่ยุค
1960 ซง่ึ แตเ่ ดิมมานน้ั ไม่ได้มกี ารใช้เวบ็ เทคโนโลยคี วามหมายของคำน้ีจึงค่อนขา้ งยึดตดิ กบั การนำเสนอบน
เครือ่ ง Stand – Alone ไม่จำเป็นต้องมีการเช่ือมต่อกบั เครือข่ายใดๆ แมว้ า่ ในระยะหลังจะมคี วามพยายาม
ใช้การใช้คำว่า CAI on Web บ้างแต่ก็ไม่ได้รับความนิยมในการเรียกเท่าใดนัก ความหมายของ CAI จึง
คอ่ นข้างจำกดั อยูใ่ นลักษณะ Off – line ดังนน้ั เทคโนโลยีท่ใี ช้ในการพฒั นาบทเรยี น
(Authoring System) ของ CAI และ e-learning จงึ มคี วามแตกต่างกันตามไปดว้ ยผเู้ รียนที่ศึกษาจาก CAI
จึงมกั จะเป็นการศกึ ษาจากซีดรี อมเป็นหลัก ในขณะที่ e-learning นัน้ ผู้เรยี นสามารถทจ่ี ะศึกษาในลักษณะ
ใดระหวา่ งซีดรี อมหรือจากเว็บก็ได้
ในปจั จบุ ันแม้วา่ จะมคี วามพยามในการสนับสนุนให้ Authoring System สามารถปรับให้ใช้แสดง
บนเว็บได้ แตย่ งั พบปัญหาในด้านขนาดของแฟ้มข้อมูลทใ่ี หญ่และส่งผลให้การโหลดข้อมลู ชา้ รวมท้ังปัญหา
ในด้านการทำงานซึ่งไม่สมบูรณ์นัก e-learning และ WBI ต่างก็เป็นผลจากกาผสมผสานระหว่างเว็บ
เทคโนโลยีกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน เพือ่ เพ่ิมประสิทธภิ าพทางการ
เรยี นร้แู ละแกป้ ัญหาในเร่อื งขอ้ จำกดั ทางดา้ นสถานท่ี และเวลาในการเรียน นอกจากนี้เชน่ เดยี วกันกับ WBI
การพัฒนา e-learning จะต้องมีการนำเทคโนโลยีระบบบริหารจัดการรายวิชา (Course Management
System) มาใช้ด้วย เพื่อช่วยในการเตรียมเนื้อหาและจัดการกับการสอนในด้านการจัดการ
(Management) อื่น ๆ เช่นในเรื่องของคำแนะนำการเรียน การประกาศต่าง ๆ ประมวลรายวิชา
รายละเอียดเกี่ยวกับผู้สอนรายชื่อผู้ลงทะเบียนเรียน การมอบหมายงาน การจัดหาช่องทางการ
ติดตอ่ สือ่ สารระหวา่ งผเู้ รียนกับผู้สอน และผู้เรยี นด้วยกนั คำแนะนำต่าง ๆ การสอบ การประเมนิ ผล
รวมทั้งการให้ผลป้อนกลับซึ่งสามารถที่จะทำในลักษณะออนไลน์ได้ทั้งหมด ผู้สอนเองก็สามารถใช้ระบบ
บรหิ ารจดั การรายวิชานี้ในการตรวจสอบพฤติกรรมการเรยี นของผู้เรียน ในกรณที ่ีใชก้ ารถ่ายทอดเน้ือหาใน
ลักษณะออนไลน์ รวมทั้งการตรวจสอบความก้าวหนา้ ของผู้เรยี นจากการทำแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัดท่ี
ได้จดั ไว้สำหรับความแตกตา่ งระหวา่ ง e-learning กับ WBI น้นั แทบจะไม่มเี ลยก็ว่าได้
ความแตกต่างอาจได้แก่การที่ e-learning เป็นคำศัพท์ (Term) ที่เกิดขึ้นภายหลัง คำว่า WBI จึงเสมือน
เป็นผลของวิวัฒนาการจาก WBI และเมื่อเว็บเทคโนโลยีโดยรวมมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เคยทำ
ไม่ได้สำหรบั WBI ในอดีต ก็สามารถทำได้สำหรับ e-learning ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นในช่วง 4-5 ปีที่แล้ว
26
เมื่อมีการพูดถึง WBI การโต้ตอบ(Interaction) ค่อนข้างจำกัดอยู่ที่การโต้ตอบกับครูผู้สอนหรือกับเพื่อน
เป็นหลักโดยทเี่ ทคโนโลยีการโตต้ อบกับเน้ือหาเปน็ ส่งิ ทท่ี ำได้ยาก อย่างไรก็ดีเมอ่ื กลา่ วถึง
e-learningในปัจจุบันหากมีการพัฒนา e-learning อย่างเต็มรูปแบบอย่างเต็มรูปแบบในระดับ
Interactive Online หรือ High Quality Online การโต้ตอบสามารถทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป
เพราะปัจจุบันเรามเี ว็บเทคโนโลยีท่ีชว่ ยสำหรับการออกแบบบทเรยี นให้มีการโต้ตอบอย่างมีความหมายกับ
ผู้เรียน และดังนั้นจึงส่งผลให้เกิดการพัฒนาในด้านการนำไปประยุกต์ใช้ที่ยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิมมาก
นอกจากนี้เดิมทีความหมายของ WBI จะจำกัดอยู่ที่การสอนบนเว็บเท่านั้นเพราะแนวความคิดหลักก็คือ
เพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสารสนเทศบนเว็บเป็นหลักและการเรียนการสอนมักจะเน้นเนื้อหาใน
ลกั ษณะตัวหนงั สือ (Text –Based) และภาพประกอบหรือวีดิทัศน์ที่ไม่ซับซ้อนเทา่ นัน้ ในขณะที่ในปัจจุบัน
ผู้ทศ่ี ึกษาจาก e-learning จะสามารถเรียกดูเน้ือหาออนไลน์กไ็ ด้ หรือสามารถเรยี กดูจากแผ่น CD-ROM ก็
ได้ โดยทเี่ น้อื หาสารสนเทศทอี่ อกแบบสำหรับ e-learning นั้นจะใช้เทคโนโลยีเชงิ โตต้ อบ
(Interactive Technology) รวมท้งั มกี ารใช้เทคโนโลยีมัลตมิ ีเดีย (Mutimedia Technology)เปน็ สำคัญ
จากบทความดังกล่าวขา้ งต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ สอื่ มัลตมิ เี ดยี แบง่ เป็น 3ประเภทคือ
1. คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน (CAI) เป็นส่ือมลั ติมเี ดียที่เน้นการใชง้ านในเครอ่ื งเดี่ยว (Stand Alone)
2. การสอนบนเว็บ (WBI) เป็นสื่อมัลติมีเดียที่เน้นการใช้งานในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ
อนิ ทราเนต็
3. e-learning เป็นสื่อมัลติมเี ดยี เชิงปฏิสัมพันธท์ ี่สามารถใช้งานได้ทั้งใน CD-ROM และเครือข่าย
อินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งมีระบบบริหารจัดการรายวิชา ( CMSหรือ LMS : Learning Management
System)
6.2 ความหมายของสือ่ ผ่านเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ต
ได้มีนักการศึกษาได้ให้นิยามความหมายของสื่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Web Based
Instruction) เอาไว้หลายนิยามดังนี้ (อ้างถึงใน สรรรัชต์ ห่อไพศาล,2544)คาน (Khan, 1997) ได้ให้คำ
จำกัดความของสื่อการเรียนการสอนผ่านเว็บ(WebBased Instruction) ไว้ว่า เป็นการเรียนการสอนท่ี
อาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วยในการสอน โดยการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของ
อนิ เทอรเ์ น็ต มาสรา้ งใหเ้ กิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยสง่ เสรมิ และสนับสนุนการเรยี นรอู้ ย่าง
มากมาย โดยสง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การเรียนรู้ในทุกทาง
คลาร์ก (Clark, 1996) ไดใ้ หค้ ำจัดความของสื่อการเรียนการสอนผ่านเวบ็ ว่าเปน็ การเรียนการสอน
รายบุคคล ที่นำเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สาธารณะหรือส่วนบุคคล และแสดงผลในสรูปของ
การใช้ผา่ นเว็บบราวเซอรแ์ ละสามารถเขา้ ถึงข้อมลู ท่ีตดิ ต้งั ไว้ไดโ้ ดยผ่านทางเครือข่าย
รีแลน และกิลลานี (Relan and Gillani, 1997) ได้ให้ความหมายของสื่อการเรียนการสอนผ่าน
เวบ็ เช่นกันว่า เป็นการกระทำของคณะหนึ่งในการเตรียมการคดิ ในกลวธิ ีการสอนโดยกลุ่มคอมสตรักติวิซึม
และการเรียนร้ใู นสถานการณร์ ่วมมือกัน โดยใชป้ ระโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรในเวิลไวด์เว็บพาร์
สัน (Parson,1997) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่า เป็นการสอนที่นำเอาสิ่งที่ต้องการ
27
ส่งให้บางส่วนหรือทั้งหมดโดยอาศัยเว็บ โดยเว็บสามารถกระทำได้หลากหลายรูปแบบและหลากหลาย
ขอบเขตทเี่ ช่ือมโยงกนั ทัง้ การเชอ่ื มต่อบทเรยี น วสั ดุช่วยการเรยี นรู้ และการศกึ ษาทางไกล
ดริสคอล (Driscoll,1997) ได้ให้ความหมายของอินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอนเอาไว้ว่าเป็น
การใช้ทักษะหรือความรู้ต่างๆ ถ่ายโยงไปสู่ที่ใดที่หนึ่งโดยการใช้เวิลไวด์เว็บเป็นชอ่ งทางในการเผยแพร่ส่งิ
เหล่าน้นั
6.3 คุณลักษณะของสอื่ ผา่ นเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็
จากการที่สื่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา เราจึง
สามารถนำคุณลักษณะของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษามาใช้นิยามคุณลักษณะของสื่อผ่านเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตได้ โดยมีผู้กล่าวถึงคุณลักษณะของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาที่น่าสนใจดังน้ี (กรมวิชาการ
,2544)
1. เปา้ หมายคอื การสอน อาจใช้ชว่ ยสอนหรือสอนเสริมกไ็ ด้
2. ผู้เรียนใชเ้ รยี นด้วยตนเอง หรอื เรยี นเปน็ กลุม่ ย่อย 2-3 คน
3. มวี ตั ถุประสงค์ทวั่ ไปและวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ โดยครอบคลุมทักษะความรู้ ความจำ ความเข้าใจ
และเจตคติ สว่ นจะเน้นอย่างใดมากนอ้ ย ข้นึ อยกู่ ับวตั ถุประสงคแ์ ละโครงสรา้ งของเนือ้ หา
4. เปน็ ลกั ษณะการส่อื สารแบบสองทาง
5. ใช้เพ่อื การเรยี นการสอน แตไ่ ม่จำกดั ว่าจะตอ้ งอยู่ในระบบโรงเรียนเท่านน้ั
6. ระบบคอมพิวเตอร์สอ่ื มัลติมเี ดียเป็นชดุ ของฮาร์ดแวรท์ ี่ใชใ้ นการส่งและรับข้อมูล
7. รูปแบบการสอนจะเน้นการออกแบบการสอน การมีปฏิสัมพันธ์ การตรวจสอบความรู้โดย
ประยกุ ตท์ ฤษฎจี ติ วทิ ยา และทฤษฎีการเรยี นรูเ้ ปน็ หลกั
8. โปรแกรมไดร้ ับการออกแบบให้ผู้เรยี นเปน็ ผูค้ วบคุมกจิ กรรมการเรยี นทง้ั หมด
9. การตรวจสอบประสิทธภิ าพของส่ือนบั เป็นข้ันตอนทีส่ ำคัญท่ีต้องกระทำ
6.4 บทบาทของสอื่ ผ่านเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็
จากการที่สื่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหน่ึงของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา จึงสามารถ
อ้างองิ เอกสารทีก่ ลา่ วถึงบทบาทของสื่อมัลตมิ เี ดียเพื่อการศึกษาได้ดังนี้
กรมวิชาการ (2544) กล่าวว่า สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอนเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาท่ี
นักการศึกษาให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง พัฒนาการของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอนในประเทศ
ตะวันตกตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 เป็นต้นมา มีความรุดหน้าอย่างเด่นชัด ยิ่งเมื่อมองภาพการใช้งานร่วมกันกับ
ระบบเครือข่ายด้วยแล้ว บทบาทของสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอนจะยิ่งโดดเด่นไปอีกนานอย่างไร้
ขอบเขต รปู แบบต่างๆของส่ือมัลติมเี ดียเพื่อการเรยี นการสอนได้รบั การพฒั นาข้นึ ตามความก้าวหนา้ ของ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งเมื่อกล่าวถึงสื่อมัลติมีเดีย ทุกคนจะมองภาพตรงกันคือ การผสมผสาน
สื่อหลากหลายรูปแบบเพื่อนำเสนอผ่านระบบคอมพิวเตอร์และควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบัน
สื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนการสอนได้รับการบันทึกไว้บนแผ่นซีดีรอมและเรียกบทเรียนลักษณะนี้ว่า CAI
เมื่อกล่าวถึง CAI จึงหมายถึงสอื่ มลั ตมิ เี ดยี ท่นี ำเสนอบทเรยี นโดยมภี าพ และเสียงเปน็ องค์ประกอบหลักโดย
28
ภาพและเสียงเหล่านี้อาจอยู่ในรูปแบบของข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือวีดิทัศน์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
การออกแบบบทเรียน ส่วนเสยี งนนั้ อาจเป็นเสยี งจริง เสยี ง
บรรยาย และอื่น ๆ ที่เหมาะสม โดยทั้งหมดจะถ่ายทอดผ่านระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงต่อเป็นระบบเครือข่าย
หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเมื่อเทคโนโลยีเครือข่ายมีความก้าวหน้ามากขึ้น การเรียนการสอนผ่านระบบ
เครือข่ายก็ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นตามลำดับเช่นกัน เครือข่ายใยแมงมุมโลกหรือที่เรียกกันโดยทั่วไป
ว่าเว็บ (Web) ได้รับการพัฒนาและการตอบสนองจากผู้ใช้อย่างรวดเร็ว เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เว็บ
กลายเป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารที่ธุรกิจทั่วโลกให้ความสนใจ ซึ่งรวมทั้งธุรกิจด้านการศึกษาด้วย
โดยเฉพาะด้านการศึกษานั้น เว็บได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกหนทุกแห่งในโลกมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ใน
เว็บได้ใกล้เคียงกันการเรียนการสอนบนเว็บ ( Web Based Instruction) ได้รับความสนใจจากนัก
การศึกษาเป็นอย่างมากในช่วง ค.ศ. 1995 ถึงปัจจุบัน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบการเรียนการ
สอนทั้งระบบการสอน และการออกแบบบทเรียนได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการพัฒนา
โปรแกรมสร้างบทเรียนหรืองานด้านมัลติมีเดียเพื่อสนับสนุนการสร้างบทเรียนบนเว็บมีความก้าวหน้าข้ึน
โปรแกรมสนับสนุนการสร้างงานเหล่านี้ล้วนมีคุณภาพสูง ใช้งานได้ง่าย เช่น โปรแกรม Microsoft
Frontpageโปรแกรม Macromedia Dreamweaver โปรแกรม Macromedia Director โปรแกรม
Macromedia Flash โปรแกรม Macromedia Firework ฯลฯ นอกจากโปรแกรมดังกล่าวแลว้ โปรแกรม
ชว่ ยสรา้ งมลั ติมเี ดียอนื่ ๆ ท่ไี ด้รบั ความนิยมในการนำมาสรา้ งบทเรียนมัลติมีเดยี เพ่ือการเรียนการสอน เช่น
Macromedia Authorware และ ToolBook ก็ได้รับการพัฒนาให้สามารถใช้งานบนเว็บได้จากบทความ
ดังกล่าวข้างต้นเป็นที่ยืนยันได้ว่า ความต้องการและความจำเป็นในการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียน
การสอนมีสูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับผลสรุปของข้อมูลจากแบบสำรวจความต้องการจำเป็นของศูนย์
นวัตกรรมและการนิเทศทางไกล จึงมีความเห็นว่าสมควรนิเทศอบรมการพัฒนาส่ือผ่านเครือข่าย
อนิ เทอรเ์ นต็ ใหแ้ กบ่ คุ ลากรทางการศึกษาของกรมสามัญศึกษา เพื่อใหเ้ ทคโนโลยีการสอนของประเทศไทย
มีความเจรญิ และกา้ วทันนานาประเทศ กับทง้ั สามารถเชื่อมโยงส่ือการสอนเข้ากับแหลง่ อ้างอิง
ความร้ทู ว่ั โลกไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
7. ระบบจัดการบทเรยี นด้วย WR e-learning ด้วยโปรแกรม Moodle
7.1 ความหมายของ e-learning
e-learning หมายถึง การเรียนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งใช้การนำเสนอเนื้อหาท าง
คอมพิวเตอร์ ในรูปของสื่อ มัลติมีเดีย ได้แก่ ข้อความอิเล็กทรอนิกส์ ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว
ภาพสามมิติ ฯลฯ e-learning เป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้
เพราะมงี านวิจยั หลายช้ินทีส่ นับสนนุ ว่า เนื้อหาการเรยี น ซง่ึ ถูกถา่ ยทอดผ่านทาง มัลติมีเดียน้ันสามารถทำ
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนจากสื่อข้อความ เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้การที่เนื้อหาการ
เรยี นอยู่ในรปู ของข้อความอเิ ล็กทรอนิกส์ (e-text) ซึง่ ไดแ้ ก่ขอ้ ความซึง่ ได้รบั การจัดเก็บ ประมวล นำเสนอ
และเผยแพร่ทาง คอมพิวเตอร์จึงทำให้มีข้อได้เปรียบสื่ออื่น ๆ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน
29
การเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ ด้วยความ สะดวกและรวดเร็วความคงทนของข้อมูล รวมทั้งความสามารถใน
การทำขอ้ มูลให้ทันสมัยอยตู่ ลอดเวลา
การสร้างความเข้าใจในการจัดการเรียนการสอน e-learning เป็นสิ่งสำคญั ที่สุดทีจ่ ะต้องทำความ
เข้าใจกนั เสยี กอ่ นว่า e-learning คืออะไร มคี วามสำคญั และความจำเป็นอยา่ งไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
และทสี่ ำคัญทีส่ ุดคอื ควรจะดำเนินการอย่างไร รวมถึงความเขา้ ใจถงึ ข้อจำกดั ของ การจัดการเรยี นการสอน
e-learning เพื่อให้เกิดประโยชน์สงู สดุ ตอ่ การพฒั นาผเู้ รยี น e-learning มคี วามหมายอยหู่ ลายประการคอื
1. เป็นการเรียนการเรียนในลกั ษณะใดก็ได้ ซ่งึ ใช้ถ่ายทอดเนื้อหาผ่านทางอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์
2. การเรียนผ่านทางอนิ เตอรเ์ น็ต ที่ผเู้ รยี นเรียนด้วยตนเอง ในเวลาและสถานท่ใี ดกไ็ ด้ ซง่ึ อาจมี ครู
หรอื ผู้แนะนำ มาชว่ ยเหลือในบางกรณี
3. เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองการเรียนในลักษณะทางไกล คือ เป็นรูปแบบการเรยี นร้ซู ึ่ง
ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเดินทางมาเรียนใน สถานที่เดียวกัน หรือในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ผู้ใช้อาจไม่
จำเปน็ ตอ้ งเขา้ ถงึ เน้ือหาตามลำดับทต่ี ายตวั โดยมกี ารออกแบบกิจกรรมซ่งึ ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกบั เน้ือหา
รวมทงั้ มแี บบฝกึ หดั และแบบทดสอบใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถตรวจสอบทำความเข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม e-learning เป็นรูปแบบการเรียนรู้ทีต่ ้องอาศยั สือ่ ที่เป็นอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์เปน็
หลักซงึ่ ถ้าปราศจากอุปกรณ์ต่าง ๆ เหลา่ นี้แลว้ การจัดการเรียนรู้ e-learning ก็ไมอ่ าจเกดิ ข้นึ ได้ ดังน้ัน e-
learning จึงมีข้อจำกัดอยู่บ้างในการดำเนินการ แต่ในปัจจุบัน ทางโรงเรียนได้ พยายามเตรียมระบบการ
จดั การและอปุ กรณ์ตา่ งๆ ไวค้ อ่ นข้างจะพรอ้ มเพรยี งสำหรับการจัดการเรียนการสอนe-learning ของครูใน
ระดับต่าง ๆ เพื่อให้คณะครูสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในโลกยุคปัจจุบัน e-learning
เริ่มมีความสำคญั มากขึ้นเรือ่ ย ๆ จนสามารถทำให้ เกิดการเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่จำกัดอยู่แตใ่ น
หอ้ งเรียน หรอื ในโรงเรียนเทา่ นน้ั นอกจากนย้ี ังส่งเสริมความสามารถ ในการเรยี นรู้ เป็นรายบุคคลและการ
เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตอบสนองคุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน และพัฒนาทักษะการคิด
สบื ค้นของผู้เรียน โดยส่วนใหญแ่ ล้ว e-learning จะถูกใชป้ ระโยชน์ในกรณีตอ่ ไปนี้ คอื
1. เป็นแหล่งความรู้ของผู้เรียน (Knowledge Based) โดยที่อินเตอร์เน็ตถือเป็นแหล่งความรู้ที่
ยงิ่ ใหญ่กว้างขวางทส่ี ดุ ในโลกท่ีผเู้ รียนควรได้รจู้ ัดศึกษาแสวงหา วเิ คราะห์และสร้างองค์ความรู้ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
2. เป็นห้องปฏิบัติการของผู้เรียน (Virtual Lab) ในโลกของอินเตอร์เน็ตผู้เรียนสามารถเรียนรู้
ฝึกฝนทักษะ และปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมากมายโดยมีแหล่งความรู้ที่กว้างขวาง แต่อย่างไรก็ตาม
การทผ่ี ้เู รียนจะไดฝ้ ึกฝนและปฏิบัติกจิ กรรมต่าง ๆ นนั้ อาจต้องอยู่ในความดูแล การกำกบั แนะนำ ติดตาม
ของครู ผ้สู อนด้วย จงึ จะทำใหก้ จิ กรรมต่าง ๆ มีสว่ นเสริมการเรยี นร้ขู องผู้เรียนอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
3. เป็นส่วนของห้องปฏิบัติการจำลองสภาพต่างๆ (Sim Lab)ในโลกของคอมพิวเตอร์สามารถ
กระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ในขณะที่โลกที่เป็นจริงไม่สามารถกระทำได้ เช่น การจำลองปรากฏการณ์ธรรมชาติ
เช่นการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต การเกิดภูเขาไฟระเบิด ระบบสุริยะจักรวาล ฯลฯ หรือเหตุการณ์ที่
อันตราย เช่น การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ หรือ การถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นภาพที่ชัดเจนเสมือน
จรงิ ทำใหก้ ารเรยี นรู้ และความคดิ ของมนษุ ยเ์ ปน็ ไปอยา่ งกว้างขวาง ไรข้ อบเขตและข้อจำกดั มากขึ้น
30
4. นำผู้เรียนออกไปสู่โลกกว้าง (Reaching out) เป็นการเปิดประตูห้องเรียนออกไปสัมผัสกับ
ความเป็นไปของโลก ศึกษาส่งิ ท่เี ปน็ อยู่จริงๆที่ไม่ได้มีอยู่เฉพาะแต่ในห้องเรียน หรอื หนังสอื เรียนเท่าน้นั แต่
เป็นการศึกษาความรู้ทเ่ี ป็นอยู่จริง ทำให้รูเ้ ท่าทนั ความเป็นไปความเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้จักโลกท่ีเรา
อยู่มากขนึ้
5. นำโลกกว้างมาสู่ห้องเรียน (Reaching within) เป็นการดึงเอาเรื่องที่อยู่ไกลตัว ไกลจาก
ประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะสัมผัสได้จริง ๆ มาสู่ห้องเรียนทำให้มีความรู้กว้างขวาง และรู้จักนำมาใช้ให้เกิด
ประโยชนต์ อ่ การเรียนร้ใู นสาขาวิชาตา่ ง ๆ และใช้ในชีวิตประจำวนั มากขนึ้ ซึง่ ในโลกปจั จุบันเราจะพบว่า
ผูท้ ี่มขี อ้ มลู มากกว่าย่อมได้เปรียบ และผ้ทู ีม่ ขี ้อมูลมากท่ีสดุ จะได้เปรยี บกว่า แต่ที่ย่ิงไปกว่าน้ันอีกก็คือผู้ท่ีมี
ขอ้ มลู ที่ถกู ตอ้ ง และใช้ข้อมูลเปน็ จะได้เปรียบที่สุด ดงั นนั้ นอกจากผู้เรยี นจะรจู้ ักแสวงหาขอ้ มลู แล้ว ยังต้อง
รจู้ ักวเิ คราะห์ความถูกตอ้ ง เหมาะสมของขอ้ มูลที่มีอยู่ และสามารถนำข้อมลู ไปใช้จงึ จะเกดิ ประโยชนส์ ูงสุf
6. เป็นเวทีการแสดงออก (Performance) ระบบอินเตอร์เน็ตเป็นระบบที่เชื่อมโยงโลกทั้งหมด
เข้าด้วยกันทำให้ระยะทางไม่เป็นปัญหาในการติดต่อสื่อสารอีกต่อไป ผู้เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
แสดงผลงาน แสดงทักษะ ความรู้ ความสามารถออกไปสู่การรับรู้ของผู้คนได้อย่างไร้ขอบเขตทำให้ได้รับ
การยอมรบั มากข้นึ รวมถงึ มีโอกาสท่ีจะก้าวหน้าและประสบความสำเร็จไดม้ ากข้ึน และในการจัดการเรียนรู้
e-learning นั้น ครูผู้สอนจำเป็นต้องปรับแนวคิด ปรัชญาเกี่ยวกับการเรียนการสอนไปบ้างและยอมรับ
ข้อจำกัดบางประการเก่ยี วกบั การจดั การเรียนการสอน โดยปรับแนวคิด เกยี่ วกบั เรอื่ งต่อไปนี้
1. เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ทดแทนการเรียนการสอนในชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีทางเลือกใหม่ใน
การเรยี นรู้ทไ่ี มไ่ ดข้ ึ้นอยู่กับความสามารถในการถา่ ยทอดเน้ือหาจากครผู ูส้ อนแตเ่ พียงอยา่ งเดียวแต่ ผู้เรียน
ยงั สามารถเรยี นรู้ได้จากสิง่ แวดล้อม จากแหลง่ เรียนรู้อืน่ ๆ ท่ีอย่รู อบตัว รวมทงั้ แหลง่ เรยี นรใู้ นอินเตอร์เน็ต
อีกด้วย ที่กล่าวเช่นน้ีไม่ได้หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีการเรยี นการสอนในช้ันเรียน เพียงแต่ต้องการให้
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการศึกษาเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการพัฒนาเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้เพิ่มเติม
จากในช้ันเรยี น นอกจากน้ี การจัดการเรยี นรูใ้ นลักษณะอื่น ๆ ใหห้ ลากหลายออกไปก็จะเป็นการกระตุ้นให้
ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้ไดด้ ียิง่ ขึ้น
2. เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองผู้เรียนเป็นรายบุคคล ความมุ่งหมายของการสอนรายบุคคล
นั้นจะยึดหลักว่า “ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนดว้ ยตนเอง ได้มีโอกาสเรียนตามลำพงั จะต้อง
เป็นการสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนตลอดชีวิต มากว่าเป็นผู้เรียนที่อยู่ภายใต้การบังคับ
ตลอดเวลา เป็นการเน้นการเรียนมากกว่าการสอน เน้นในเรื่องความสนใจ ความต้องการและความรู้สึก
ของผู้เรียนเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก และผู้เรียนได้รับการประเมินความก้าวหน้าด้วยตนเอง” ดังนั้น
ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนจึงเป็นคุณลักษณะสำคัญต่อการเรียนรู้เป็นรายบุคคลที่
ควรเน้นในโลกยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ดี แต่การรู้จักแต่
ตนเอง มเี ฉพาะโลกของตวั เอง ขาดความเขา้ ใจต่อผู้อนื่ ขาดการคดิ แบบองค์รวมก็เป็นส่ิงท่คี รูผู้สอนต้องพึง
ตระหนกั
31
3. เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สอน” (Teacher) เป็น “ผู้แนะนำ”
(Facilitator) การเรียนการสอนในชั้นเรียนน้ัน ครูมกั จะเปน็ ผู้มีบทบาทมากที่สุดในชัน้ เรียน ทำให้ ชัน้ เรียน
เป็นกิจกรรมสำคัญของผู้สอนไม่ใช่ผู้เรียน และผู้เรียนแต่ละคนก็จะมีโอกาสในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันซึ่ง
เป็นไปตามลักษณะการเรียน (Learning Style) ของแต่ละคน การจัดการเรียนรู้ e-learning จะทำให้
ผู้เรียนเป็น ผู้ควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้ ไม่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น ดังนั้นบทบาทของครูในการสอนจะเปลี่ยนไป
ครูจะเป็นผู้แนะนำวิธีการเรียน เสนอแนวทางการเรียนรู้ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียน
4. เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้เรียน" (Learner) เป็น "ผู้แสวงหา" (Researcher)
เมอ่ื บทบาทของครูเปล่ียน บทบาทของผู้เรยี นก็ควรเปลี่ยนตาม โดยผูเ้ รยี นจะไมเ่ ป็นผู้เรยี นที่คอยแต่รับการ
สอน แต่จะมีบทบาทเป็นผู้ศึกษา ผู้ค้นคว้า เสาะแสวงหาความรู้ สร้างองค์ความรู้และใช้องค์ความรู้นั้นๆ
ดว้ ยตนเอง
5. เป็นการย้ายฐานการสอนจากห้องเรยี นจรงิ (Classroom-Based Instruction)ไปสู่หอ้ งเรยี น
เสมอื นบนเวบ็ (Web-Based Instruction) e-learning เปน็ การเรยี นการสอนผ่านระบบอนิ เตอรเ์ น็ตโดยท่ี
ผู้เรียนเป็นผศู้ ึกษาหาความรู้จากบทเรียนออนไลน์ที่ผู้สอนจัดเตรยี มไว้และระบบการติดต่อส่ือสารท่ีสามารถ
โต้ตอบกันได้ทำให้มีลักษณะเหมือนกับห้องเรียนห้องหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ห้องเรียนเสมือน (Virtual classroom)
ในการเรียนรู้ลักษณะน้ี ครตู ้องยอมรับข้อจำกัดบางประการ เช่น ครูไม่ได้เป็นผู้ควบคุมชนั้ เรียน ครูจะไมไ่ ด้
เป็นผูค้ อยสอดสอ่ ง สงั เกตพฤติกรรมของผเู้ รยี น อยา่ งไรก็ตามก็ยงั มีพฤติกรรมท่ีครสู ามารถประเมินได้ เช่น
ความรบั ผดิ ชอบ ความใฝ่รูใ้ ฝ่เรยี น ความพากเพียรพยายาม ความสนใจ ความร่วมมือ ฯลฯ ท่ีสามารถประเมิน
ได้จากผลงานของผเู้ รยี น และการติดตอ่ ส่อื สารระหว่างกันทางระบบอนิ เตอรเ์ นต็
6. เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานความร่วมมือหลายฝ่ายการจัดการเรียนรู้e-learning มี
องค์ประกอบหลายประการ นอกจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาแล้ว ยังต้องมีผู้ดูแลระบบ โปรแกรมเมอร์
ผู้ชว่ ยในการผลติ บทเรยี น รวมถงึ ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญภายนอก และผปู้ กครอง ทีจ่ ะต้องมสี ่วนรว่ มในการจัดการ
เรยี นร้ใู หเ้ กิดประสิทธิภาพมากทสี่ ุด เพราะเมื่อการจัดการเรยี นรไู้ มไ่ ดจ้ ำกัดอยู่แต่ในชั้นเรยี นหรือในโรงเรยี น
แล้วผมู้ ีสว่ นรว่ มกจ็ ะไม่ไดม้ จี ำกัดอยแู่ คค่ รูกบั นักเรียนอีกต่อไป
7.2 ประเภทของสอื่ การเรยี นรู้ e-learning
E-learning ถอื ว่ามสี ถานะเปน็ สือ่ การเรียนรูแ้ บบหน่ึงโดยใชอ้ ปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ ในการ
จัดการ เรียนรู้ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก ที่ครูผู้สอนควรจะได้นำมาใช้ และจะต้องใช้ให้เปน็ โดยนำมาใช้ใน
รปู แบบตา่ งๆไดด้ งั นี้
1. สื่อเสริม (Supplementary) เป็นสื่อที่ใช้ประกอบในการเรียนการสอนปกติ ผู้เรียน
เรียนแบบปกติ เป็นเพยี งสอ่ื ประกอบบทเรยี นบ้าง เพอ่ื ให้ผูเ้ รียนศึกษาเพ่มิ เตมิ ที่ผู้เรยี นอาจจะใช้หรือไม่ใช้
กไ็ ด้ หรือเปน็ การทค่ี รคู ัดลอกเนอ้ื หาจากแบบเรยี นไปบรรจุไวใ้ นอนิ เตอร์เน็ต แล้วแนะนำให้ผูเ้ รยี นไปเปิดดู
32
2. สื่อเพิ่มเติม (Complementary) เป็นสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนปกติ ผู้เรียนเรียน
แบบปกติ แตม่ กี ารกำหนดเน้ือหาใหศ้ ึกษาสืบค้นจากส่ืออิเลคทรอนิกส์หรือWebsiteเปน็ บางเนื้อหา
3. สื่อหลัก (Comprehensive Replacement) เป็นสื่อใช้ทดแทนการเรียนการสอน /
การบรรยายในชั้นเรียนโดยทีเ่ นื้อหาท้ังหมดมีความสมบูรณ์แบบในตวั เองครบกระบวนการเรียนรู้หรือเป็น
เนื้อหาOnlineโดยมีการออกแบบให้ใกล้เคียงกับครูผู้สอนมากที่สุดเพื่อใช้ทดแทนการสอนของครูโดยตรง
ชนิดของสื่อการเรียนรู้ e-learning จำแนกตามลักษณะวิธีการสื่อสารได้2ชนิดคือ
1. ชนิดสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) คือการสื่อสารในลักษณะที่ผู้ให้สารไม่
เปดิ โอกาสให้ผูร้ ับการสื่อสารได้เป็นฝา่ ยใหส้ ารและไม่สนใจต่อปฏิกริ ยิ าตอบกลับของอีกฝ่ายหน่ึง สือ่ ชนิดน้ี
ได้แก่ สื่อชนิด e-Books ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ที่เน้นการให้ข้อมูล ถึงแม้จะให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้าง
ปฏิสัมพันธ์กับสื่อแต่ก็เป็นไปเพื่อการเลือกศึกษาเนื้อหา ไม่ได้เป็นการโต้ตอบกลับ
2. ชนิดสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) คือ การสื่อสารที่มีทั้งให้และรับข่าวสาร
ระหว่างกัน โดยที่แต่ละฝ่ายเป็นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีการโต้ตอบ ให้ข้อมูลย้อนกลับไปมาสื่อชนิดน้ี
ได้แก่บทเรียน CAI ชนิดที่มีปฏสิ ัมพันธ์ หรือระบบจัดการบทเรียน (LMS) จำแนกตามระบบการเชื่อมโยง
ข้อมูล ได้ 2 ชนดิ คอื
2.1 ชนิด Stand Alone หมายถึงสื่อ E-learning แบบปิดที่สามารถแสดงผลได้บนเครื่อง
คอมพิวเตอร์บุคคลเครื่องใด ๆ โดยที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับเครื่องอื่น ๆ และเครื่องอื่น ๆ ไม่สามารถเรียกดู
ข้อมลู เน้ือหาได้
2.2 ชนิด Online หมายถึง สื่อ E-learning แบบเปิด ที่สามารถแสดงผลได้โดยเครื่อง
คอมพิวเตอร์ อื่น ๆ ที่มีระบบใกล้เคียงกันโดยมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายร่วมกัน ซึ่งอาจเป็นระบบ
เครอื ข่ายภายใน (LAN) หรือระบบอนิ เตอร์เนต็ กไ็ ด้
ตารางการเปรียบเทยี บการเรยี นหอ้ งเรียนปกติกบั การเรยี นแบบ e-learning
ลักษณะ หอ้ งเรยี นปกติ E-learning
สถานท่ีเรียน ตอ้ งมีสถานท่ีสำหรบั ทำการเรียน จะมหี อ้ งเรียนหรือไม่มีกไ็ ด้ แต่โดยปกติมักจะ
การสอน ซึง่ อาจจะเป็นท่ีโรงเรยี น ไมอ่ าศัย ห้องเรียน ซึ่งเป็นจุดเด่นอย่างหนงึ่ ใน
หรอื สถานท่ีที่จัดไว้ การเรียนแบบ E-learning (เพียงขอให้ผู้เรียน
มเี คร่ืองคอมพวิ เตอรท์ ี่ สามารถตอ่ ระบบ
เครือข่ายได้)
การเตรยี ม การเตรยี มการสอนในห้องเรยี น สำหรับE-learning จะมกี ารเตรียมการสอนท่ี
การสอน ปกตจิ ะง่ายกวา่ การ เตรยี มการ ยากกว่า เพราะเมื่ออาจารยเ์ ตรียมการสอน
สอนของE-learning เพราะ สำหรับสอนในห้องเรียนปกติแลว้ ก็ตอ้ งนำ
อาจารยเ์ ตรียม การสอนตามปกติ ทกุ อย่าง มาแปลงให้อยใู่ นรปู ของไฟล์
เช่น เอกสารประกอบการสอน คอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถนำไป เปดิ ใชง้ านโดย
33
ลกั ษณะ ห้องเรียนปกติ E-learning
ผสู้ อน ผ้เู รียน
เห็นหนา้ กัน แผน่ ใส วีดิทัศน์ เทปเสียง หรือ โปรแกรมเบราเซอรต์ ่างๆ ไม่ว่าจะเป็น IE หรอื
ต้องมาเรียน การใช้PowerPoint ก็ได้ Netscape
พร้อมกัน
เห็นหน้ากนั หมด ซงึ่ เปน็ ขอ้ ดี ข้ึนอยู่กับการออกแบบวา่ เปน็ อยา่ งไร ซ่ึง
คณุ ภาพ
ในการสอน อยา่ งหน่งึ ของการเรียนใน อาจจะมกี ารเกบ็ ภาพวีดทิ ัศน์ ของอาจารย์ไว้
หอ้ งเรยี นปกติ เพราะผูเ้ รียน แลว้ ให้ผเู้ รียนเปดิ ดพู รอ้ มเนื้อหาโดยผา่ นระบบ
สามารถพบปะพูดคุยกัน เครอื ข่าย หรือจะเปน็ การเรยี นการสอนโดย
แลกเปล่ียนความคิดเหน็ อยา่ ง อาจารยส์ อนผ่านกล้องท่ตี ่อคอมพวิ เตอร์ ผ่าน
อสิ ระ(คุยกนั ในห้องเรยี น) และ ในระบบเครือข่าย ผเู้ รียนก็จะสามารถเรียน
อาจมขี ้อจำกดั บา้ งในเรื่องของ กบั ผูส้ อนไดโ้ ดยทนั ที(Live) แต่ในเวลาน้ยี งั อยู่
การถามตอบเพราะ ผู้เรียนจะ ในระดบั ท่ี
เขินอายกันเองหากตอบคำถาม พอใช้ได้ เทคโนโลยยี งั คงต้องรอการพฒั นา
ไมไ่ ด้หรอื จะถาม เพอื่ ให้อย่ใู นระดับดี ในอนาคตตอ่ ไป
ในสว่ นใดสว่ นหนึง่ ของเน้ือหาที่ไม่
เข้าใจ
มคี วามจำเป็นมากที่ต้องมาเรียน แต่ถ้าเป็นการเรียนแบบ e-learning ใครจะ
พร้อมๆกันในการเรียน ใน มาเรียนเมื่อไรก็ได้ เวลาไหนก็ได้ ท่ไี หนก็ได้(ท่ี
ห้องเรียนปกติ ถา้ ใครไม่มาก็มี มีคอมพิวเตอร์ตอ่ กบั ระบบเครือข่าย) อาจารย์
โอกาสตามไม่ทนั พอมาเรียนอกี ผู้สอนกไ็ มจ่ ำเปน็ ต้องมาน่ังเฝ้าสอนอีกตอ่ ไป
วนั กไ็ ม่สามารถเรียนในเนื้อหา โดย e-learning จะเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นท่ี
ตอ่ ไปได้ และอาจารยจ์ ะต้องมา เรยี นไมท่ นั สามารถทบทวนบทเรียนได้ อีกท้งั
สอนทุกแม้วา่ ใช้เวลาศกึ ษาไดน้ านซำ้ ไปซำ้ มาไดไ้ มจ่ ำกัด
จะมผี เู้ รยี นมาเรยี น ก่ีคนก็ตาม เวลาในการเรียนรู้
คณุ ภาพในการเรียนการสอนจะ การเรียน e-learning คุณภาพการเรียนการ
ข้ึนอยกู่ ับอาจารยผ์ สู้ อน เปน็ หลัก สอนจะเทา่ กัน คำว่าเท่ากนั นี้ หมายความว่า
ถึงแม้วา่ จะเป็นเน้ือหาวิชา เน้ือหาในบทเรียนนี้เป็นเน้อื หาบทเรยี น
เดยี วกนั หนังสอื เลม่ เดียวกนั แต่ เดียวกัน ผเู้ รียนสามารถเปดิ ดูซำ้ ก่ีครง้ั ก็ได้ ไม่
กใ็ ชว่ า่ ผู้เรยี นจะไดร้ ับเน้ือหาที่ เขา้ ใจกส็ ามารถดูซ้ำจนเขา้ ใจได้ ถา้ ยงั ไม่เข้าใจ
สมบูรณห์ รอื เขา้ ใจในเนื้อหาที่ อกี ก็สามารถ e-mail มาถามอาจารย์หรือ เข้า
เหมือนกนั เพราะอาจารย์แต่ละ Web board เพอื่ แลกเปล่ยี นความคิดเห็นกนั
ทา่ นจะมีเทคนิคในการถ่ายทอด ระหวา่ งผเู้ รียนกนั เอง
ความรู้ท่ีแตกตา่ งตาม
ประสบการณ์ และการทีอ่ าจารย์
34
ลกั ษณะ หอ้ งเรียนปกติ E-learning
เรยี นไปพรอ้ มๆ ตอ้ งสอนในเร่อื งเดยี วกัน ซำ้ ๆ
กัน เทา่ ๆกัน
บ่อยๆจะทำใหเ้ กดิ ความเบ่ือ
การวดั ผล
การเรยี น หน่ายและไม่อยาก อธบิ ายซ้ำๆจึง
ทำใหผ้ ู้เรยี นไม่เข้าใจในบางส่วน
และไม่กลา้ ทีจ่ ะถามซ้ำอีก
การเรียนในหอ้ งเรยี นปกตผิ ู้เรียน เรยี นกับe-learningไม่ต้องรอกนั ใครเข้าใจ
จะต้องตง้ั ใจฟังเน้ือหาไป พรอ้ มๆ กอ่ นก็สามารถเรียนในเนือ้ หา ถัดไปได้เลย
กนั และต้องเข้าใจเน้ือหาที่ ส่วนใครทไ่ี มส่ ามารถเขา้ ใจในเน้ือหาน้ันๆก็
อาจารย์สอนในเวลาทร่ี วดเร็ว สามารถใช้เวลา ทำความเข้าใจในเนือ้ หาน้ันได้
เพราะถ้าไม่เขา้ ใจแล้วให้อาจารย์ มากขนึ้ โดยไม่ต้องกังวลวา่ จะทำใหค้ นอ่ืน ชา้
อธิบายซ้ำ บอ่ ยๆ จะทำใหผ้ ู้เรียน ไปดว้ ย
อื่น เสยี เวลาในการเรียนเน้อื หา
ถัดไปหรือเบ่อื หนา่ ยได้
ในห้องเรียนการวดั ผลการเรียน e-learning สามารถวัดผลการเรียนร้ขู อง
ตอ้ งทำการสอบ มกี ารเกบ็ ผู้เรยี นได้โดยทันที คือถ้าทำข้อใดผดิ ก็จะแจง้
ขอ้ สอบ อาจารย์ต้องมาตัดเกรด ผลย้อนกลับทนั ที(Feedback) ซงึ่ ผสู้ อน
เองและประกาศผลเอง อาจจะ มีคำอธบิ ายที่ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ ขา้ ใจวา่ ที่ถกู
เป็นเช่นไร ทำให้ผู้เรยี น
เขา้ ใจ และจดจำในวิชานนั้ ๆไดด้ ียง่ิ ขึน้ ข้อควร
คำนงึ ที่อาจจะดูวา่ ยุ่งยากก็คือ จะตอ้ งมีการ
ออกข้อสอบให้มากกว่าท่ีใชส้ อบจรงิ 2- 3 เทา่
ให้มขี ้อสอบมากๆ ในอยใู่ นลกั ษณะของคลัง
ข้อสอบ e-learning จะทำการเลือกข้อสอบ
แบบสุ่ม ให้ตามจำนวนข้อท่ีต้องการใชส้ อบ
ถ้าคิดกันใหด้ ีการทำอย่างนีจ้ ะช่วยให้ สามารถ
ประหยดั เวลาในการออกข้อสอบบอ่ ยๆ และ
คลงั ข้อสอบจะชว่ ยให้ ผเู้ รียนไมส่ ามารถลอก
ขอ้ สอบกันไดเ้ พราะจะได้ข้อสอบทีม่ ีขอ้
แตกต่างกัน
35
ลักษณะ หอ้ งเรียนปกติ E-learning
ตน้ ทุนการ
เตรียม ตำ่ กวา่ เพราะแผ่นใส, ปากกา สงู กว่า เพราะทางมหาวทิ ยาลัยต้องมีการ
การสอน
เขยี นแผน่ ใส(ฟร)ี ส่ืออนื่ ๆก็ ลงทุนในด้านตา่ งๆเพื่อใหม้ รี ะบบ
ต้นทุน
เมอื่ ทำการสอน สามารถยืมได้ (ที่กองเทคโนโลยี e-learning
จำนวนผ้เู รยี น การศกึ ษา)
ในห้องเรยี น
สูงกว่า เพราะมหาวทิ ยาลัยต้อง ต่ำกว่า เพราะลงทุนไปแลว้ เวลาสอนกจ็ ะไม่
ผ้เู รยี นสามารถ
ค้นคว้า ซ้ืออุปกรณ์การสอนและสื่อต่างๆ ตอ้ งลงทุนซ้ำอีก เพยี งแต่เพิ่มหรอื ปรับเนอ้ื หา
เพ่ิมเติมได้
และต้องบำรงุ รกั ษาให้อยใู่ น ใหท้ นั สมยั อยู่ตลอดเวลา
ความเป็น
สว่ นตัว สภาพพรอ้ มใช้งานตลอด
ต้องมีการจำกัดจำนวน e-learning สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกดั
ผเู้ รยี น หากมีผู้เรยี นจำนวนมาก จำนวนผเู้ รยี น และไม่มีเขา้ เรียนสาย(แล้วโดด
กต็ อ้ งแบ่งกลุ่มเขา้ เรยี น ทำให้ เรียน)
ผสู้ อนเหน่ือยซ้ำหลายคร้ัง
มีโอกาสไปศกึ ษาด้วยตนเองน้อย ผเู้ รียนสามารถคน้ ควา้ เพ่ิมเติมในขณะเรยี นได้
เพราะเมอื่ เรียนเสรจ็ กจ็ ะกลับ เลยเพราะมีLink ท่ใี ห้คน้ คว้าไดท้ ันที แลว้
บา้ น หอ้ งสมดุ เองกเ็ ปิดในเวลา กลบั มาศึกษาต่อหรอื ควบคกู่ ันไปกย็ งั ได้
หลังเลกิ เรียนไดไ้ ม่นาน กต็ ้องปิด
มนี ้อยกวา่ เพราะอยู่รวมกนั หลาย อันนค้ี งไม่ต้องบรรยายมาก หากอยู่ทีบ่ ้านใส่
คน จะไอ จะจาม ก็คงลำบาก ชดุ นอนเขา้ เรยี นก็ได้ ไมม่ ีใครหา้ ม หรอื กินขา้ ว
หรือทานขนมขบเคี้ยวไปด้วยก็ทำ เช้าไปดว้ ยก็ได้ (โปรดระวังข้าวหกใส่แป้นพมิ พ์
ไมไ่ ด(้ เดีย๋ วอาจารย์จะขอดว้ ย) ด้วย)
7.4 ประโยชน์ของ E-learning
1. เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการเรยี นการสอน โดยการใชส้ อ่ื Multimedia อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์และ
คลงั ความรู้เครอื ข่ายอินเตอรเ์ น็ตสนบั สนุนการเรยี นการสอนของครแู ละนักเรียน
2. เกิดเครือข่ายของความรู้ คลังความรู้ท่ีถูกสร้างและจัดเก็บบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนี้
สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กนั และกนั ได้ และ ความร้จู ากแหล่งนจี้ ะทันสมัยกว่าเอกสารตำราทว่ั ไป เพราะ
ขอ้ มลู มีการปรบั ปรงุ (update) เป็นประจำ
3. ส่งเสริมผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนสามารถเรยี นรูส้ ืบค้นวชิ าความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
อาศัยสอ่ื และ IT ทางการศึกษา โดยมคี รู อาจารย์เป็นที่ปรึกษา และชี้แนะแนวทาง
4. สร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาระหว่างชนบทและเมือง โดยฝึกอบรมครู/อาจารย์ใน
ชนบทให้มีความสามารถเชื่อมต่อเข้าไป ศึกษาหาความรู้ในเครือข่าย อินเตอร์เน็ตได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้
36
เด็กในชนบทได้เรียนรู้ ได้เครือข่ายสารสนเทศเพิ่มและกระจาย โอกาสทางการศึกษาให้คนไทยทั้งในเมือง
และชนบท
5. ใช้ทรัพยากรทางการศึกษาร่วมกัน เนื่องจากมีคลังความรู้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบริการ
ให้คนให้คนทั่วโลก สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ร่วมกันได้ สอดคล้องและสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษา
เนื่องจากเป็นการนำ IT มาส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาในระบบ นอกระบบ และ ตามอัธยาศัย ตามท่ี
กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศกึ ษาแห่งชาตฉิ บับใหม่ พ.ศ.2542
7.5 ข้อดีของ e-learning
1. การมีปฏิสมั พันธ์ในการเรียน การเรียนทาง e-learning เป็นการเรียนการสอนทีเ่ รยี ก
ได้ว่าเหมือนกับการเรียนปกติในเรื่องของเนื้อหาการเรียน เพราะอย่าลืมนะครับว่า คนที่ทำบทเรียนก็คือ
คุณครูท่านเดิมของเรานั่นเอง แต่จะเป็นการเรียนโดยไม่ได้เห็นหน้ากันตลอดเวลาเท่านั้นเอง แต่ในเรื่อง
ของการมปี ฏสิ มั พนั ธ์ การพูดคยุ ตดิ ตอ่ ระหว่างเรากบั คุณครูกย็ ังคงเหมือเดิม หรอื มากกวา่ เสียดว้ ยซ้ำ
ถ้าเป็นการเรียนในห้องเรยี นปกติ เวลาเรียนเกิดขอ้ สงสัยขึน้ มา จะเกิดอาการไม่กล้าถาม
เพราะกลวั หรอื เกรงใจคนรอบข้าง
แตถ่ ้าเปน็ การเรียนแบบสามารถท่จี ะคลกิ ย้อนกลบั ไปเรยี นใหม่ได้ ผ้สู อนกพ็ ดู ใหม่อีกรอบ
โดยไม่มีใครเห็นหรือได้ยิน และถ้าต้องการถามหรือต้องการนัดหมายเป็นการส่วนตัวก็สามารถทำได้โดย
การส่งอเี มล์ไปหาผู้สอน ผู้สนก็จะตอบกลับมา
2. เป็นรูปแบบการเรียนการสอนใหม่การเรียนการสอนในโลกปัจจุบัน มีอยู่แต่ใน
ห้องเรยี นไม่ได้ โลกหมุนไป ไหนต่อไหนแลว้ e-learning กส็ ามารถตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดี
นกั เรยี นก็จะเรยี นได้อยา่ งไม่เบื่อ เพราะมีการสาธติ มีการแสดงให้ดูด และมกี ารให้ทดลองทำจริงซ้ำก่ีคร้ังก็
ได้ จนกว่าจะชำนาญ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการออกแบบบทเรียน และการใช้เทคนิคต่างๆ ให้เหมาะสม
ของคนทเี่ ป็นคนพัฒนาแบบเรียนนั้นด้วย
3. ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตัวเองผู้เรียนต้องพยายามทำความเข้าใจบทเรียนด้วยตัวเอง
พรอ้ มๆ ไปกบั ข้อมูลหรอื แบบเรยี นท่มี ีในคอมพิวเตอร์ ซง่ึ เป็นการฝึกการคดิ ให้เปน็ ระบบระเบยี บอย่างหน่ึง
ของนกั เรยี นซึ่งในห้องเรยี นปกติจะทำได้ยากหรือถ้าทำได้กจ็ ะเป็นเฉพาะนักเรียนในบางกลุ่มบางคน แต่ถ้า
เป็น e-learning นักเรียนจะมีแนวโน้มและมีเปอร์เซ็นต์การใช้ความคิดมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ไม่อาย
ใคร สามารถที่จะเรียนซ้ำแล้วซำ้ อีกได้ เหมือนถามให้คุณครูอธิบายซ้ำเป็นร้อยรอบโดยคุณครูจะมีอารมณ์
เย็น อารมณ์ดีมาก สามารถตอบคำถาม สามารถอธิบายได้โดยไม่หงุดหงิด เพราะเป้าหมายของการเรียน
การสอนส่วนใหญ่ต้องการทำให้ผู้เรียนมีความรู้ตามที่สอน และได้ใช้ความคิดเข้าใจตามที่สอนเป็นหลัก
อยแู่ ลว้
4. สะดวกสบาย จะเรียนเมื่อไร ที่ไหนก็ได้เมื่อเป็นการเรียนด้วยตัวเองทางคอมพิวเตอร์
แล้วนกั เรยี นก็สามารถเรยี นเมอื่ ไร และทีไ่ หนก็ได้ คือถ้าไมพ่ ร้อมก็ยังไมต้ ้องเรยี นอย่างเชน่ ไมส่ บาย หรอื ไม่
สบายใจ เหนื่อย หรือแม้แต่หิว ก็พักผ่อนหรือทานอาหารให้อิ่มสบายก่อน แล้วค่อยเรียนก็ได้ ไม่มีใคร
บังคับ ถ้าไม่ได้ เรียนผ่านทางอินเตอร์เน็ต แบบเรียน ก็มักจะอยู่ในรูปของแผ่นซีดีรอม แผ่นเล็กๆ ซึ่ง
37
สามารถพกติดตัวไป หาคอมพวิ เตอรเ์ รยี นท่ีไหนก็ได้ หรอื แมแ้ ตถ่ ้าเป็นการเรียนผา่ นทางอินเตอร์เน็ตก็ย่ิงดี
ใหญ่ สามารถไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องมีแบบเรยี นตดิ ตัวเลย เพียงเข้าไปในโลกของอินเตอรเ์ น็ต ก็สามารถ
เรยี นไดแ้ ล้ว เป็นมาตรฐานเดยี วกันไม่วา่ เรียนจากท่ไี หนของโลก
5. ประหยดั ท้งั เวลาและค่าใช้จ่ายถ้าเปน็ การเรียนในห้องเรยี นแบบปกติ ทกุ คนจะต้องมา
อยทู่ ่ีเดยี วกนั จงึ จะทำการเรียนการสอนกนั ได้ นักเรยี นแต่ละคน บ้านไม่ไดอ้ ยใู่ กลโ้ รงเรียนกันทกุ คน ต้องใช้
เวลาในการเดินทาง และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วยให้ประโยชน์ เพราะบทเรียนจะเป็น
มาตรฐานเดียวกัน ไม่ขึ้นกับโรงเรียนว่าดัง หรือไม่ดังก็เรียนเหมือนกันหมด นักเรียนก็จะประหยัดเวลาใน
การเดินทางได้ ไมเ่ สียเงนิ และไม่เสียแรง ปลอดภัยไมต่ อ้ งเสยี่ งภยั กับการน่งั รถบนถนน
6. สามารถค้นข้อมูลเพิ่มเติมด้วยไฮเปอร์ลิงก์เป็นการเรียนผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้นถ้ามี
การออกแบบบทเรียนที่ดี เมื่อมีการอ้างหรือแนะนำให้ไปอ่านอะไรเพิ่ม ผู้พัฒนาก็สามารถทำไฮเปอร์สิงก์
นั้นไดท้ ันที คนทเี่ ล่นอนิ เทอร์เนต็ บอ่ ยๆ เขาจะมคี วามอยากคลิกเจ้าตวั อักษรสีนำ้ เงินท่ีมีขดี เส้นใตเ้ ส้น
7. คุณสามารถเลือกเรียนได้ตามศักยภาพของตวั เองในกรณีท่ี เรยี นไมท่ นั ไมร่ ู้เรื่อง หรือ
รู้อยู่แล้ว ไม่ไปเรื่องใหม่เสียที สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการเบื่อไม่อยากเรียน หรือเกิดอาการง่วงนอน
ระบบ E-learning สามารถช่วยได้ เพราะนักเรียนสามารถกระโดดข้ามบทเรียนที่รู้อยู่แล้วไปเรียนเรื่องที่
ต้องการรู้ หรือเรื่องที่ยากๆ ได้เลย ไม่ต้องเรียนเรื่องเดิมให้เสียเวลา และง่วงหน้าจอคอมพิวเตอร์อีก และ
สำหรับคนท่ไี มค่ อ่ ยรเู้ รือ่ งก็สามารถเรียนแล้วเรียนอกี ได้
8. การรู้จักใช้เครื่องมือช่วยเหลือ (Sensitive Help หรือ Electronic Performance
Support System)ลักษณะของการมีระบบความช่วยเหลือเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถสอบถามได้
เหมือนกบั การเรยี นในห้องเรียนท่ีนักเรยี นมปี ัญหาแล้วถามอาจารย์ แต่เป็นคำถามท่ถี ามคอมพวิ เตอร์ แล้ว
ก็ได้คำตอบมาผ่านทางคอมพิวเตอร์ เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนสามารถที่จะอยากรู้อยากเห็นอยากค้นหา
คำตอบได้เพราะสามารถถามในระบบความชว่ ยเหลือน้ีได้ และการเป็นนักต้ังคำถามทดี่ ี สามารถนำไปใช้ใน
อนาคตในเร่อื งอ่นื ๆ ไดด้ ้วย แตต่ อ้ งขึ้นอยกู่ ับวา่ อาจารยผ์ ู้เปน็ เจา้ ของหลกั สตู ร มกี ารออกแบบและมีคำถาม
คำตอบตา่ งๆ ไวร้ องรบั ความตอ้ งการนอ้ี ยา่ งดหี รือไม่ แต่ถา้ เปน็ ตามมาตรฐานแลว้
9. สามารถใช้อนิ เตอร์เน็ตได้ดว้ ยการเรียนทาง E-learning เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนมี
ความรู้ ความสามารถในการใชง้ านคอมพิวเตอรด์ า้ นอนิ เตอร์เนต็ ไดแ้ น่นอน เพราะถ้าใชไ้ ม่เปน็ ก็เรยี นไม่ได้
ความร้ดู ้านคอมพิวเตอร์ด้านอนิ เทอรเ์ น็ตทุกวันนี้เป็นเร่ืองธรรมดา คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอร์เน็ตกลายเป็น
มาตรฐานทัว่ ไปทีค่ นจะหางานทำได้ คนจะทำงานได้ควรจะเปน็ ดังนั้นการเรยี นผ่าน E-learning ก็จะช่วย
ให้นักเรียนได้ฝึกหาประสบการณ์การใช้งานคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปใช้ในการหางานทำ ในการทำงานใน
อนาคตได้
10. สรา้ งความรับผดิ ชอบ ความมัน่ ใจในตวั เอง เป็นการรวบรวมทุกข้อเขา้ มาดว้ ยกัน คือ
E-learning เป็นการเรียนด้วยตัวเอง อยากเรียนเมื่อไรก็ได้ ตอนไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เรียนบ่อยแค่ไหนก็ได้
อยากเรียนบทไหนก่อนหลัง เรียนซ้ำไปซ้ำมาอีกก็ได้ ผลก็คือ จะช่วยฝึกให้นักเรียนมีความรับผิดชอบใน
ตัวเอง ไม่มใี ครบังคบั ถา้ นำไปใช้ใหถ้ ูกต้อง
38
11. เป็นแหล่งความรู้ของผู้เรียน (Knowledge Based) โดยที่อินเตอร์เน็ตถือเป็นแหล่ง
ความรู้ทยี่ ิ่งใหญ่กว้างขวางท่สี ดุ ในโลก ทีผ่ เู้ รยี นควรได้รจู้ ัดศึกษาแสวงหา วิเคราะห์และสร้างองค์ความรู้ได้
เป็น อย่างดี
12. เปน็ ห้องปฏิบตั ิการของผู้เรียน (Virtual Lab) ในโลกของอินเตอร์เน็ตผู้เรียนสามารถ
เรียนรู้ ฝึกฝนทกั ษะ และปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งมากมายโดยมีแหล่งความรู้ท่ีกว้างขวาง แต่อย่างไร
ก็ตาม การที่ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ นั้นอาจต้องอยู่ในความดูแล การกำกับ แนะนำ
ติดตามของครู ผสู้ อนด้วย จึงจะทำให้กจิ กรรมต่าง ๆ มีสว่ นเสริมการเรียนรขู้ องผเู้ รียนอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
13. เป็นส่วนของห้องปฏิบัติการจำลองสภาพต่างๆ (Sim Lab) ในโลกของคอมพิวเตอร์
สามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ในขณะที่โลกที่เป็นจริงไม่สามารถกระทำได้ เช่น การจำลองปรากฏการณ์
ธรรมชาติ เช่นการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต การเกิดภูเขาไฟระเบิด ระบบสุริยะจักรวาล ฯลฯ หรือ
เหตุการณ์ที่อันตราย เช่น การเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ หรือ การถ่ายทอดจินตนาการออกมาเป็นภาพที่
ชัดเจนเสมือนจริง ทำให้การเรียนรู้ และความคิดของมนุษย์เป็นไปอย่างกว้างขวาง ไร้ขอบเขต และ
ข้อจำกดั มากขน้ึ
14. นำผู้เรียนออกไปสู่โลกกว้าง (Reaching out) เป็นการเปิดประตูห้องเรียนออกไป
สัมผัสกับความเป็นไปของโลก ศึกษาสิ่งที่เป็นอยู่จริงๆที่ไม่ได้มอี ยู่เฉพาะแต่ในหอ้ งเรียน หรือหนังสือเรียน
เท่านั้น แต่เป็นการศึกษาความรู้ที่เป็นอยู่จริง ทำให้รู้เท่าทันความเป็นไปความเปลี่ยนแปลงของโลก และ
รจู้ ักโลกทเี่ ราอยูม่ ากข้นึ
15. นำโลกกว้างมาสู่ห้องเรียน (Reaching within) เป็นการดึงเอาเรื่องที่อยู่ไกลตัว ไกล
จากประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะสัมผัสได้จริง ๆ มาสู่ห้องเรียนทำให้มีความรู้กว้างขวาง และรู้จักนำมาใช้ให้
เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ และใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งในโลกปัจจุบันเราจะ
พบว่า ผู้ที่มีข้อมูลมากกว่าย่อมได้เปรียบ และผู้ที่มีข้อมูลมากที่สุดจะได้เปรียบกว่า แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็
คือผ้ทู ่มี ขี ้อมลู ท่ีถกู ต้อง และใช้ข้อมูลเปน็ จะได้เปรยี บท่ีสดุ ดังนั้น นอกจากผ้เู รยี นจะรู้จักแสวงหาข้อมลู แล้ว
ยังต้อง รู้จักวิเคราะห์ความถูกต้อง เหมาะสมของข้อมูลที่มีอยู่ และสามารถนำข้อมูลไปใช้ จึงจะเกิด
ประโยชนส์ ูงสดุ
16. เป็นเวทีการแสดงออก (Performance) ระบบอินเตอร์เน็ตเป็นระบบที่เชื่อมโยงโลก
ทั้งหมด เข้าด้วยกันทำให้ระยะทางไม่เป็นปัญหาในการติดต่อสื่อสารอีกต่อไป ผู้เรียนสามารถแสดงความ
คดิ เห็น แสดงผลงาน แสดงทักษะ ความรู้ ความสามารถออกไปสู่การรบั รู้ของผ้คู นไดอ้ ย่างไร้ขอบเขตทำให้
ได้รับการยอมรับมากขึ้นรวมถึงมโี อกาสทีจ่ ะกา้ วหน้าและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น และในการจัดการ
เรียนรู้ e-learning นั้น ครูผู้สอนจำเป็นต้องปรับแนวคิด ปรัชญาเกี่ยวกับการเรียนการสอนไปบ้างและ
ยอมรบั ขอ้ จำกดั บางประการเก่ยี วกับการจัดการเรยี นการสอน โดยปรับแนวคดิ เก่ยี วกับเรอ่ื งตอ่ ไปนี้
16.1 เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ทดแทนการเรียนการสอนในชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนมี
ทางเลือกใหม่ในการเรยี นรู้ที่ไม่ได้ขนึ้ อยกู่ ับความสามารถในการถ่ายทอดเนื้อหาจากครผู ู้สอนแต่เพียงอย่าง
เดียว แต่ ผู้เรียนยังสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งแวดล้อม จากแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ ที่อยู่รอบตัว รวมทั้งแหล่ง
39
เรยี นรู้ในอนิ เตอร์เนต็ อกี ดว้ ย ที่กล่าวเช่นนไ้ี ม่ได้หมายความว่า ไม่จำเปน็ ตอ้ งมกี ารเรยี นการสอนในชั้นเรียน
เพียงแต่ต้องการให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการศึกษาเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการพัฒนาเพิ่มศักยภาพใน
การเรยี นร้เู พิม่ เติมจากในชน้ั เรียน นอกจากน้ี การจัดการเรยี นรใู้ นลักษณะอืน่ ๆ ใหห้ ลากหลายออกไปก็จะ
เป็นการกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนร้ไู ด้ดียิ่งขน้ึ
16.2 เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองผู้เรียนเป็นรายบุคคล ความมุ่งหมายของการ
สอน รายบุคคลนั้นจะยึดหลักว่า “ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนด้วยตนเอง ได้มีโอกาสเรียน
ตามลำพัง จะต้องเป็นการสนับสนุน ส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นเป็นผู้เรยี นตลอดชวี ิต มากว่าเป็นผู้เรียนทีอ่ ยู่ภายใต้
การบังคับตลอดเวลา เป็นการเน้นการเรียนมากกว่าการสอน เน้นในเรื่องความสนใจ ความต้องการและ
ความรู้สึกของผู้เรียนเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก และผู้เรียนได้รับการประเมินความก้าวหน้าด้วยตนเอง”
ดังนั้น ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนจึงเป็นคุณลักษณะสำคัญต่อการเรียนรู้เป็น
รายบุคคลที่ควรเน้นในโลกยุคปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ดี แต่
การรู้จักแต่ ตนเอง มีเฉพาะโลกของตัวเอง ขาดความเข้าใจต่อผู้อื่น ขาดการคิดแบบองค์รวมก็เป็นสิ่งท่ี
ครูผู้สอนตอ้ งพงึ ตระหนัก
16.3 เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สอน” (Teacher) เป็น
“ผู้แนะนำ” (Facilitator) การเรียนการสอนในชั้นเรียนนั้น ครูมักจะเป็นผู้มีบทบาทมากที่สุดในชั้นเรียน
ทำให้ ชั้นเรียนเป็นกิจกรรมสำคัญของผู้สอนไม่ใช่ผู้เรียน และผู้เรียนแต่ละคนก็จะมีโอกาสในการเรียนรู้ที่
แตกต่างกันซ่งึ เปน็ ไปตามลกั ษณะการเรยี น (Learning Style) ของแต่ละคน การจดั การเรยี นรู้ e-learning
จะทำให้ผู้เรียนเป็น ผู้ควบคุมการเรียนรู้ของตนเองได้ ไม่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น ดังนั้น บทบาทของครูในการสอน
จะเปลีย่ นไป ครูจะเปน็ ผ้แู นะนำวิธีการเรียน เสนอแนวทางการเรยี นรู้ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการ
เรยี นรขู้ องผเู้ รียน
16.4 เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เรียน” (Learner) เป็น “ผู้
แสวงหา” (Researcher) เมื่อบทบาทของครูเปลี่ยน บทบาทของผู้เรยี นก็ควรเปลีย่ นตาม โดยผู้เรียนจะไม่
เป็นผู้เรียนที่คอยแต่รับการสอน แต่จะมีบทบาทเป็นผู้ศึกษา ผู้ค้นคว้า เสาะแสวงหาความรู้ สร้างองค์
ความรแู้ ละใช้องคค์ วามรู้น้นั ๆ ดว้ ยตนเอง
16.5 เป็นการย้ายฐานการสอนจากห้องเรียนจริง (Classroom-Based Instruction)
ไปสู่ห้องเรียนเสมือนบนเว็บ (Web-Based Instruction) E-learning เป็นการเรียนการสอนผ่านระบบ
อินเตอร์เน็ตโดยที่ผู้เรียนเป็นผู้ศึกษาหาความรู้จากบทเรียนออนไลน์ที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้ และระบบการ
ติดต่อสื่อสารที่สามารถโต้ตอบกันได้ ทำให้มีลักษณะเหมือนกับห้องเรียนห้องหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ห้องเรียน
เสมือน (Virtual classroom) ในการเรียนรู้ลักษณะนี้ ครูต้องยอมรับข้อจำกัดบางประการ เช่น ครูไม่ได้
เป็นผู้ควบคุม ชั้นเรียน ครูจะไม่ได้เป็นผู้คอยสอดส่อง สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน อย่างไรก็ตามก็ยังมี
พฤติกรรมที่ครูสามารถประเมินได้ เชน่ ความรบั ผดิ ชอบ ความใฝร่ ู้ใฝ่เรียน ความพากเพียรพยายาม ความ
สนใจ ความรว่ มมือ ฯลฯ ทีส่ ามารถประเมนิ ไดจ้ ากผลงานของผู้เรียน และการติดต่อสื่อสารระหว่างกันทาง
ระบบอินเตอรเ์ นต็
40
16.6 เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานความร่วมมือหลายฝ่าย การจัดการเรียนรู้
E-learning มีองค์ประกอบหลายประการ นอกจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาแล้ว ยังต้องมีผู้ดูแลระบบ
โปรแกรมเมอร์ ผู้ช่วยในการผลิตบทเรียน รวมถึงผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญภายนอก และผู้ปกครอง ที่จะต้องมีส่วน
ร่วมในการจัดการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะเมื่อการจัดการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในช้ัน
เรยี นหรอื ใน โรงเรียนแล้วผู้มสี ่วนร่วมกจ็ ะไม่ไดม้ ีจำกดั อยู่แคค่ รูกับนกั เรยี นอีกต่อไป
7.6 ลกั ษณะสำคัญของ e-learning
ลักษณะสำคัญของ E-learning ท่ดี ีประกอบไปด้วยลกั ษณะสำคญั ดงั นี้
1. Anywhere, Anytime หมายถงึ E-learning ควรตอ้ งช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึง
เน้อื หาการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นได้จรงิ ในทีน่ ้หี มายรวมถึงการที่ผูเ้ รยี นสามารถเรยี กดูเน้ือหาตามความสะดวก
ของผเู้ รียน ยกตัวอย่าง เช่น ในประเทศไทย ควรมีการใช้เทคโนโลยีการนำเสนอเนือ้ หาท่ีสามารถเรียกดูได้
ทง้ั ขณะท่ีออนไลน์ (เครื่องมีการตอ่ เชือ่ มกับเครือข่าย) และในขณะที่ออฟไลน์ (เคร่ืองไม่มีการต่อเช่ือมกบั
เครอื ข่าย)
2. Multimedia หมายถงึ e-learning ควรต้องมีการนำเสนอเน้อื หาโดย ใชป้ ระโยชนจ์ าก
สื่อประสมเพือ่ ช่วยในการประมวลผลสารสนเทศ ของผเู้ รียนเพื่อให้เกิดความคงทนในการเรียนร้ไู ดด้ ขี น้ึ
3. Non-linear หมายถึง e-learning ควรต้องมีการนำเสนอเนื้อหาในลักษณะท่ไี ม่เป็นเชิง
เสน้ ตรง กล่าวคือ ผเู้ รียน สามารถเขา้ ถึงเน้ือหาตามความต้องการโดย e-learning จะต้องจดั หาการ
เชอื่ มโยงท่ียดื หยุ่นแก่ผเู้ รียน
4. Interaction หมายถึง e-learning ควรต้องมีการเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนโต้ตอบ (มี
ปฏิสัมพนั ธ)์ กบั เนื้อหาหรอื กับผอู้ ่นื ได้ กลา่ วคือ
- E-learning ควรตอ้ งมกี ารออกแบบกิจกรรมซงึ่ ผเู้ รียนสามารถโต้ตอบกับเนอ้ื หา
รวมทง้ั มีการจดั เตรยี มแบบฝึกหัด และแบบทดสอบให้ผเู้ รียนสามารถตรวจสอบความเขา้ ใจด้วยตนเองได้
- E-learning ควรต้องมีการจัดหาเคร่ืองมอื ในการให้ช่องทางแก่ผู้เรียนในการ
ติดตอ่ สอื่ สารเพื่อการปรึกษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกับผสู้ อน วทิ ยากร ผู้เช่ียวชาญ หรือ
เพื่อน ๆ
5. Immediate Response หมายถงึ e-learning ควรตอ้ งมีการออกแบบให้มกี ารทดสอบ
การวัดผลและการประเมินผล ซ่งึ ใหผ้ ลปอ้ นกลับโดยทนั ทีแกผ่ ้เู รียนไม่วา่ จะอยใู่ นลักษณะของแบบทดสอบ
กอ่ นเรียน (Pre-test) หรือแบบทดสอบหลังเรยี น (Posttest) เปน็ ตน้
การเรียนรู้โดยผ่านเทคโนโลยกี ารศกึ ษาเพอื่ พัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์นั้น เปน็ ส่ิงทีม่ ีความ
จำเป็นอยา่ งมากสำหรับโลกยุคนี้ และ e-learning น้กี จ็ ะเปน็ เสน้ ทางหน่งึ ทช่ี ว่ ยพัฒนาแต่ละประเทศให้
สามารถเขา้ ส่สู ังคมยคุ IT ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ดงั น้ัน IT เพอ่ื การศึกษาในหลาย ๆ รูปแบบจึงถูก
นำมาใชใ้ นการเรียนการสอนมากย่งิ ข้ึนเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพ่อื จะเป็นการเตรยี มความพร้อม ทรัพยากรมนษุ ย์ ให้
พร้อมทีจ่ ะเข้าสู่สังคมยคุ ต่อไปซงึ่ เป็นยุคของเทคโนโลยชี ีวภาพ (Biotechnology) ท่ีมีผลต่อการ
เปลี่ยนแปลงสังคมมนุษยอ์ ีกมากมายทีส่ ดุ เทา่ ท่จี ะคาดการณ์ได้ในขณะนี้
41
7.7 ระบบจัดการบทเรียนด้วย WR e-learning ด้วยโปรแกรม Moodle
ระบบจัดการบทเรียนด้วย WR e-learning ด้วยโปรแกรม Moodle เป็นซอฟต์แวร์เพื่อการ
บริหารจัดการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ระบบดังกล่าวมักจะประกอบไปด้วยเครื่องมืออำนวย
ความสะดวกให้แก่ผู้สอน ผู้เรียน และผู้ดูแลระบบ ผู้สอนสามารถนำเนื้อหาและสื่อการสอนขึ้นเว็บไซด์
รายวชิ าตามท่ไี ดข้ อให้ระบบจัดไว้ใหโ้ ดยสะดวก ผเู้ รยี นเขา้ ถึงเนอ้ื หา กิจกรรมตา่ ง ๆ ได้โดยผ่านเว็บ ผู้สอน
และผู้เรียนติดต่อส่ือสารกันได้ผ่านทางเครื่องมือการสื่อสารที่ระบบจัดไว้ให้ นอกจากนั้นแล้วยังมี
องค์ประกอบที่สำคัญคือการเกบ็ บนั ทึกข้อมูลกจิ กรรมการเรียนรู้ของผู้เรยี นไวบ้ นระบบ เพือ่ ผู้สอนสามารถ
นำไปวิเคราะห์เพื่อติดตามและประเมินผลการเรียนการสอนในรายวิชานั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ
จดั การบทเรียนจะทำหน้าที่เหมือนกบั โรงเรยี นแห่งหนึ่งที่ประกอบไปดว้ ยระบบจัดการด้านต่าง ๆ ท่ีสำคัญ
อยู่ 3 ระบบ คอื
1. ระบบจัดการหลักสูตร เป็นส่วนของการจัดการเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอน ซึ่งเป็น
หน้าที่ของครูผู้สอน ที่จะเป็นผู้จัดทำ ระบบจัดการหลักสูตรถือเป็นหัวใจสำคัญของ e-learning โดย
ประกอบไปด้วยระบบยอ่ ย ๆ 2 ระบบ คอื
1.1 ระบบจัดการบทเรียน เป็นระบบการจัดทำบทเรียนโดยการศึกษา วิเคราะห์เนื้อหา
จากหลกั สูตรแลว้ กำหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ ออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ จดั ทำสือ่ จัดหาแหล่งข้อมูล
แหล่งเรียนรทู้ ี่สำคญั และจำเป็น รวมถงึ การตกแตง่ หนา้ WebPages ใหจ้ งู ใจในการเรียน
1.2 ระบบการวัดและประเมินการเรียนรู้ เป็นระบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบทดสอบ
สำหรบั ผู้เรียน เพอ่ื ฝกึ ทักษะ ความสามารถในการคดิ รวมถงึ เป็นการวัดความรู้ ความคดิ ผู้เรียนที่ได้เรียนรู้
จากบทเรียน เป็นการประเมินศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน และผู้เรียนจะทราบผลการทดสอบทันที
หลงั จากสอบเสร็จ หรืออาจมกี ารเฉลยคำตอบ หรอื วธิ ีการอื่น ๆ แลว้ แต่การออกแบบระบบของผ้สู อน
2. ระบบส่งเสรมิ การเรียนรู้ เป็นระบบชว่ ยเหลือในการจดั ทำบทเรยี นของครผู สู้ อน และช่วยใน
การเรียนรู้ของผูเ้ รียน ประกอบด้วยโปรแกรมจัดทำบทเรียน ที่ครูผู้สอนสามารถบรรจุข้อมูล เนื้อหา คำส่ัง
กิจกรรม และข้อมูลอื่น ๆ ลงในระบบได้โดยง่าย รวมถึงการใส่ภาพประกอบ ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอ หรือ
ไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งผู้เรียนก็สามารถสร้างเนื้อหาตามที่ครูผู้สอนกำหนดกิจกรรมไว้ได้ด้วยวิธีการเดียวกัน
กับครผู ู้สอน นอกจากน้ี ระบบส่งเสริมการเรียนรู้ยงั มรี ะบบการติดต่อส่ือสารระหวา่ งผูส้ อนกับผู้เรียนได้แก่
กระดานข่าว (Web board) กระดานสนทนา (Chat) จดหมายอิเลคทรอนิกส์ (e-mail) และ/หรือ
การติดตอ่ ผา่ นกลอ้ งวดิ ีโอ (Web cam) ในกรณีทีใ่ ช้เครอื ข่ายสญั ญาณความเรว็ สงู
3. ระบบจัดการข้อมูล เปน็ ระบบจัดการด้านฐานข้อมูล ซ่งึ จะเก็บรวบรวมข้อมูลตา่ ง ๆ ของครู
ผ้สู อน ขอ้ มลู ของผเู้ รียน สถิติต่างๆ เชน่ สถิตกิ ารเข้ามาเรียน วนั ที่ เวลา ระยะเวลา ขอ้ มลู ส่วนตวั รหัสผ่าน
สถิติการทำแบบฝึกหัด แบบทดสอบ คะแนนที่ได้ ฯลฯ
Moodle คืออะไร
Moodle (Modular Objected Dynamic Learning Environment) คือระบบจัดการเรียน
การสอน (LMS) หรือ ระบบจัดการคอร์ส (CMS) ที่ช่วยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในระบบการ
42
เรียนแบบออนไลน์ให้มีบรรยากาศเหมือนเรียนในห้องเรียนผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Dr.Martin
Dougiamas เป็นผู้พัฒนา ผดู้ แู ลระบบการเรยี นการสอนออนไลน์ Curtin University ประเทศ
ออสเตรเลีย
ความสามารถ
1. สามารถนำเอกสารหรือไฟลร์ ปู แบบตา่ งๆ เขา้ ไปได้ เชน่ Word, PowerPoint, PDF,
Webpage (html) Video และ Image
2. มีระบบติดต่อสือ่ สารครบทุกประเภท เชน่ Webboard, Chat etc.
3. มรี ะบบการทำแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ สง่ และรับการบ้าน
4. มีการ UPLOAD ขนึ้ เคร่ืองแม่ข่าย ได้โดยใช้ Zip
5. มกี ารปรบั โปรแกรมเปน็ ภาษาไทยท่ใี ชง้ านได้ดี
ปรัชญาการสรา้ ง Moodle
1. การเรยี นรู้แบบสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructivism) คนเรานั้นจะมีการสร้าง
ความรู้ใหม่เสมอหากมีสภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวย การเรียนรู้แบบเดิมที่มาจากการ ฟัง เห็น ล้วนเป็นการ
เรียนรู้ทางเดยี วนัน่ คอื เราเป็นผู้รับสารและเกบ็ เอาไว้จึงมีการเรียกผู้ที่มคี วามจำดีว่า “พจนานุกรมเดินได้”
หากแต่เราจะเรียนรู้ได้มากกว่าหากเป็นการถ่ายทอดจากสมองสู่สมองนั่นคือมี่การแลกเปลี่ยนทัศนะและ
เรียนร้จู ากประสบการณ์ของผูอ้ ื่น
2. การเรียนรู้แบบคิดเอง สร้างเอง (Constructionvism) การเรียนรู้แบบคิดเองสร้างเอง
คือการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำไม่ว่าจะเป็นการพูด การโพสต์แสดงความคิดเห็นบนกระดานเสวนา
ตัวอยา่ งเชน่ ปกตอิ ่านหนังสอื พอวางหนังสือกจ็ ะลืม แต่ถ้าได้อธิบายให้คนอ่นื ฟังจะทำใหจ้ ำไดม้ ากขนึ้
3. การเรยี นรแู้ บบสรา้ งองค์ความร้ใู นสงั คม (Social Constructivism)
4. การเรยี นรู้รว่ มกันเป็นหมู่คณะโดยอาศัยหลักการว่าความสำเร็จของหมู่คณะคือความสำเร็จ
ของตน
4.1 ทกุ คนสามารถเป็นครูและนักเรยี นได้ในเวลาเดยี วกนั
4.2 เรยี นรดู้ ้วยการสร้างสงิ่ ใดส่ิงหน่ึงใหผ้ อู้ นื่ เห็น
4.3 เรียนรดู้ ว้ ยการสงั เกตการณก์ ารกระทำของเพ่ือนร่วมช้ันเรียน
4.4 เชอ่ื มโยงความรู้ใหม่กบั บริบทส่วนบคุ คลของผเู้ รียน (เรยี กว่า transformative
knowledge and constructivism)
4.5 มีความสามารถในการปรบั เปลีย่ นและปรบั แตง่ ได้ เนือ่ งจากทุกคนใน
ห้องเรยี นออนไลน์มสี ว่ นรว่ มในการสร้างหอ้ งเรยี น
5. การเชื่อมโยงและการแยกส่วน (Connected and Separated Knowing) ผู้ที่มี
พฤติกรรมแบบเชื่อมโยงภายในกลุ่มจะเป็นผู้ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้นอกจากจะทำให้คนในกลุ่มมี
ความสนิทสนมกันมากขน้ึ แลว้ ยังชว่ ยใหแ้ ตล่ ะคนได้สะท้อนความคิดของตน
43
บทบาทของ Moodle
Moodle ไมใ่ ช่เครื่องมือทนี่ ำมาทดแทนบทเรยี นในห้องเรียน แตเ่ ป็นเครอื่ งมือทนี่ ำมาชว่ ยเสริม
การเรยี นในหอ้ งเรยี น ผสู้ อนต้องวางแผนการสอน ออกแบบการสอนสำหรับรายวชิ าอย่างเหมาะสม มีการ
โต้ตอบกบั ผูเ้ รียนอย่างสมำ่ เสมอเพือ่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ร่วมกัน
Moodle เป็นซอฟต์แวร์ Open Source ที่ใช้สำหรับทำคอร์สหรือบทเรียนออนไลน์ ที่เราเรียก
กันติดปากว่าระบบ LMS หรือ Learning Management System โดยที่ moodle นับเป็นทูลตัวหนึ่งที่มี
ความสามารถสูง ตามมหาวทิ ยาลัยและโรงเรียนตา่ งๆ เลอื กใช้ ตวั moodle เองมีระบบ Backend (ระบบ
จัดการคอร์ส ที่ดีตัวหนึ่ง) ผู้ควบคุมสามารถแบ่งแยกระหว่างอาจารย์ ผู้เรียน ได้อย่างง่าย และเป็น
ซอรฟ์ แวรท์ ่มี ีลขิ สทิ ธแ์ิ บบ GPL (General Public License) หรอื ลขิ สิทธ์แิ บบฟรีน่นั เอง ผู้นำไปใช้สามารถ
พฒั นาตอ่ ยอดได้
Moodle เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังตัวหนึ่งที่นิยมนำมาทำระบบ E-learning สำหรับใช้งานใน
โรงเรียน สถาบันการศึกษา บริษัทเอกชน สำหรับในไทยเราเอง Moodle เป็นทูลที่ได้รับความนิยมอยู่ใน
อนั ดับตน้ ๆ ทีส่ ถาบนั การศึกษาต่างๆ เลอื กใช้ สำหรบั ในการตดิ ต้ัง moodle ในปจั จุบนั ผู้ใช้สามารถเลือก
ได้สองวิธี คือ วิธีแรกการติดตั้ง moodle แบบเดี่ยวๆ (เหมือนในคู่มือด้านบน) วิธีที่สองคือการติดต้ัง
Moodle เป็นโมดูลเสริมเขา้ ไปในระบบ CMS ที่มอี ยู่ก่อนหนา้ แลว้
8. ความพึงพอใจ
การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรยี นคอมพวิ เตอรผ์ ่าน เว็บ ผู้วิจัย
ได้ศึกษาความหมายของความพึงพอใจจากแนวคิดของนักการศึกษาหลายๆ ท่าน ซึ่ง ได้สรุปความหมาย
ของ ความพงึ พอใจ ไวด้ ังน้ี
8.1 ความหมายของความพึงพอใจ
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2550 : 166) ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึง
พอใจในการทำงานในทางบวก เปน็ ความสุขของบคุ คลที่เกดิ จากการปฏบิ ัตงิ าน และได้รบั ผลตอบแทน คือ
ผลที่เป็นความพึงพอใจที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรือร้น มีความมุ่งมั่นที่จะทำงาน มีขวัญกําลังใจ
สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานรวมทั้งส่งผลต่อความสำเร็จและเป็นไป
ตามเป้าหมาย
กู๊ด (Good, 1973 : 320 อ้างอิงใน สิทธิพล ใจเย็น, 2550 : 50) ให้ความหมายว่า ความพึง
พอใจ หมายถงึ สภาพหรอื ความพอใจที่เป็นผลมาจากความสนใจและทัศนคติของบุคคลที่มีตอ่ งาน
มอรส์ (Morse, 1955 : 27 อา้ งอิงใน สทิ ธพิ ล ใจเย็น, 2550 : 50) ให้ความหมายไวว้ า่ ความ
พึงพอใจ หมายถึง สิ่งที่สามารถถอดความเครียดของผู้ทีท่ ำงานใหน้ ้อยลงเพราะ ความเครียด จะทำให้เกิด
ความไม่พอใจในการทำงาน ซึ่งความเครียดนี้มีผลมาจากความต้องการของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีความ
ต้องการมากจะเกิดปฏิกิริยาเรียกร้องหาวิธีตอบสนองความเครียดก็จะลดน้อยลงหรือหมดไป ความพึง
พอใจก็จะมากข้นึ
44
กิลเมอร์ (Gillmer, 1966 : 80 อ้างองิ ใน ปยิ นชุ โอสาร, 2555 : 53) กล่าววา่ ความพงึ พอใจ
ในการทาํ งาน เป็นทัศนะของบคุ คลท่ีมตี ่องานและปจั จัยตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้องตอ่ การดาํ รงชวี ติ
จากความหมายที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติ ความคิดความรู้สึก
หรือที่มนุษย์แสดงพฤติกรรมออกมาในการสนับสนุนเมื่อมีความรู้สึกที่ดี มีความเห็นชอบต่อสิ่งนั้นใน
ทางบวก แตใ่ นขณะเดยี วกนั ถา้ รูส้ ึกหรอื แสดงออกไมด่ ีหรือไม่เหน็ ด้วยต่อสงิ่ นนั้ ในทางลบ คอื ความไม่
พึงพอใจ อย่างไรก็ตามความพึงพอใจของบุคคลนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและ
สภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมหรอื มเี ครือ่ งจงู ใจหรือสงิ่ กระตนุ้ ซึ่งเปน็ ผลมาจากการเรียนรู้
8.2 แนวคดิ และทฤษฎที ี่เกี่ยวกบั ความพงึ พอใจ
การจงู ใจสามารถนําไปสู่การเกิดความพึงพอใจได้ นกั การศกึ ษาในสาขาต่าง ๆ ได้คิด ทฤษฎี
เกย่ี วกบั การจงู ใจในการทํางานไวด้ ังนี้
มาสโลว์ (Maslow, 1970 : 69 - 80) เสนอทฤษฎีความต้องการโดยการตั้งสมมติฐานไว้ ว่า
“มนุษย์เรามีความต้องการอยู่เสมอไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อความต้องการได้รับการตอบสนอง หรือพึง
พอใจอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว ความต้องการสิ่งอื่น ๆ จะตามมา ซึ่งความต้องการของคนเรา เกิดขึ้นซ้ําซ้อน
กันหรือความต้องการอย่างหนึ่งยังไม่หมด ความต้องการอีกอย่างหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้” ความต้องการของ
มนุษยต์ ามลดับข้นั ดังน้ี
1. ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการ พื้นฐานของ
มนุษย์ เนน้ ส่งิ จาํ เป็นในการดำเนนิ ชีวติ อาหารอากาศ ที่อยอู่ าศัย เคร่อื งน่งุ หม่ ยา รกั ษาโรค ความตอ้ งการ
ทางเพศ
2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความมั่นคงในชีวิตทั้งที่เป็นอยู่ ปัจจุบัน
และอนาคต ความเจรญิ กา้ วหน้า อบอนุ่ ใจ
3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เป็นสิ่งจูงใจท่ีสำคัญต่อการเกิดพฤติกรรม
ต้องการให้สังคมยอมรบั ตนเข้าเป็นสมาชกิ ต้องการความเป็นมิตร ความรักจากเพ่ือนร่วมงาน
4. ความต้องการมีฐานะ (Esteem Needs) ความอยากมีชื่อเสียง การยกย่องจากสังคม
อยากมอี สิ รภาพ
5. ความตอ้ งการความสสำเร็จในชีวิต (Self - Actualization Needs) เปน็ ความต้องการใน
ระดบั สงู ต้องการความสำเรจ็ ทุกอย่างในชวี ิต
จากการศึกษาสรุปได้ว่า แนวคิดทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น ครูผู้สอนสามารถนำมาใช้ในการจัดการ
เรียนการสอนได้ เพราะการสร้างแรงจูงใจใหก้ ับผู้เรียนสามารถนําไปสู่ความต้องการที่ได้รับการตอบสนอง
จะทำให้เกิดความพึงพอใจ เมื่อผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ยกตัวอยา่ ง เช่น การให้รางวลั หรือผลตอบแทน การไดร้ ับการยกย่อง ชมเชย ส่งผลใหผ้ ู้เรียนเกิดความรู้สึก
ภาคภูมิใจมั่นใจในตนเอง ผู้เรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนและเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ ท ำให้
ผู้เรยี นมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจและมพี ัฒนาการเรียนรู้