คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 90
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ประเมินทกั ษะ/กระบวนการ
ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและ เป็ นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
ทรัพยากรธรรมชาติ 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ระดบั ประเทศ เป็ นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
2. ประเมินกิจกรรมฝึ กทกั ษะ 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
ระหวา่ งเรียน ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือ
รายกลุ่ม
5. สาระการเรียนรู้
ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศ
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เลา่ ประสบการณ์เกี่ยวกบั สภาพความเป็นอยขู่ องชีวิตชนบทกบั ชีวิต
ในเมืองตามที่นกั เรียนรู้จกั หรือไดป้ ระสบมา
สังคมศึกษา ศาสนา สืบค้นข้อมูลและอภปิ รายเกยี่ วกบั สถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และวฒั นธรรม และส่ิงแวดล้อมในอาเซียน
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ปัญหา
ส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศที่เรียนรู้หรือ
ที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่ 14
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูนารูปถ่ายเกี่ยวกบั สภาพความเป็นอยขู่ องชีวิตชนบทกบั ชีวติ ในเมืองมาใหน้ กั เรียนดู แลว้
ร่วมกนั อภิปราย โดยครูต้งั ประเดน็ คาถามต่อไปน้ี
– รูปท้งั 2 รูปแสดงถึงสถานที่ใด (แนวคาตอบ รูปที่ 1 เป็นรูปแสดงถึงชุมชนเมือง รูปท่ี 2 เป็น
รูปแสดงถึงชนบท)
– สภาพแวดลอ้ มของท้งั 2 สถานท่ีมีความแตกต่างกนั ในเรื่องใดบา้ ง (แนวคาตอบ แตกต่างกันใน
เรื่องสภาพอากาศ ลกั ษณะการดารงชีวิต และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ)
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 91
2) นกั เรียนร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั คาตอบของคาถาม เพ่ือเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ือง ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศ
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูนารูปจากบทความหรือสื่อสิ่งพิมพท์ ่ีเก่ียวกบั สิ่งก่อสร้างที่ถกู ฝนกรดทาลาย สภาพดิน
แหง้ แลง้ ในพ้ืนท่ีทาการเกษตร หรือการประทว้ งของประชากรเก่ียวกบั ปัญหาราคาน้ามนั แพง มาให้
นกั เรียนดู แลว้ ใชค้ าถามกระตุน้ ดงั น้ี
– สาเหตุของปัญหาท่ีเกิดข้ึนในแต่ละภาพคืออะไร
– นกั เรียนเคยเห็นปัญหาเหล่าน้ีเกิดข้ึนในประเทศไทยหรือไม่ อยา่ งไร
– ปัญหาท่ีเกิดข้ึนมีผลกระทบต่อนกั เรียนหรือไม่ ในลกั ษณะใด
(2) นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเกี่ยวกบั คาถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) ใหน้ กั เรียนศึกษาปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศเกี่ยวกบั ปัญหา
มลพิษทางอากาศจากใบความรู้หรือในหนงั สือเรียน
(2) แบ่งนกั เรียนกล่มุ ละ 5–6 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม ทดลองผลกระทบจากฝนกรด ตามข้นั ตอน
ทางวทิ ยาศาสตร์ ดงั น้ี
ข้ันท่ี 1 กาหนดปัญหา
– ฝนกรดมีผลกระทบต่อการงอกและการเจริญเติบโตของเมลด็ ถว่ั เขียวหรือไม่
ข้นั ที่ 2 กาหนดสมมตุ ิฐาน
– เมลด็ ถวั่ เขียวในกระถางที่รดดว้ ยน้าเปล่าจะงอกและเจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ เมลด็ ถวั่
เขียวท่ีรดดว้ ยน้าท่ีมีฤทธ์ิเป็นกรด
ข้ันที่ 3 ทดสอบสมมตุ ิฐาน
– ผสมน้า 150 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร กบั น้าสม้ สายชู 50 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร โดยใช้
กระบอกตวง นากระดาษยนู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์วดั ค่า pH ของสารละลายท่ีไดใ้ หม้ ีค่าประมาณ 4
– ใส่ดินลงในกระถางท้งั 2 ใบ ประมาณ 3 ของกระถาง ติดป้ ายบอกรายละเอียดวา่
4
เป็นตน้ ถวั่ เขียวรดดว้ ยน้าเปลา่ และตน้ ถว่ั เขียวที่รดดว้ ยน้าท่ีมีฤทธ์ิเป็นกรด
– นาเมลด็ ถวั่ เขียวลงปลกู ในกระถางท้งั 2 ใบ จานวนกระถางละ 10 เมลด็
– รดน้าในกระถางแต่ละใบใหช้ ุ่มดว้ ยน้าเปลา่ หรือน้าท่ีมีฤทธ์ิเป็นกรดตามป้ ายที่กาหนด
– นากระถางท้งั 2 ใบ วางในบริเวณท่ีมีแสงแดดส่องอยา่ งเพียงพอ สงั เกตการ
เจริญเติบโตของตน้ ถว่ั เขียวในแต่ละกระถางทุกวนั นาน 5 วนั
ข้นั ที่ 4 วเิ คราะห์ผลการทดลอง
– แปลความหมายขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากตารางบนั ทึกผลการทดลอง
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 92
– นาขอ้ มลู ที่ไดม้ าพิจารณา เพ่อื อธิบายวา่ เป็นไปตามท่ีนกั เรียนต้งั สมมุติฐานหรือไม่
ข้ันท่ี 5 สรุปผลการทดลอง
– นกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการทดลอง แลว้ เขียนเป็นรายงานสรุปผลการทดลองส่งครู
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียนและ
เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
ชั่วโมงท่ี 15
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มส่งตวั แทนกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบตั ิกิจกรรมหนา้ ช้นั เรียน
(2) นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและหาขอ้ สรุปจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นว
คาถามต่อไปน้ี
– ในสภาพปกติน้าฝนมีสมบตั ิเป็นกรด กลาง หรือเบส เพราะอะไร (แนวคาตอบ ใน
สภาพปกตินา้ ฝนจะมีสมบตั ิเป็นกรด เพราะนา้ ฝนจะรวมตวั กับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ กลายเป็นกรด
คาร์ บอนิกที่มีสมบัติเป็ นกรด)
– ในการทดลองน้ีมีตวั แปรใดเป็นตวั แปรควบคุม (แนวคาตอบ จานวนเมลด็ พืช ปริมาณ
แสงแดด อณุ หภูมิ ชนิดของดิน และปริมาณนา้ )
– เมลด็ ถวั่ เขียวท่ีไดร้ ับน้าที่มีฤทธ์ิเป็นกรดจะมีลกั ษณะใด (แนวคาตอบ เมลด็ ส่วนใหญ่
ไม่งอกออกมา ส่วนเมลด็ ที่งอกออกมาจะมีลาต้นแคระแกร็น)
– นอกจากตน้ ไมจ้ ะไดร้ ับผลกระทบจากฝนกรดแลว้ นกั เรียนคิดวา่ ส่ิงแวดลอ้ มอ่ืน ๆ
จะไดร้ ับผลกระทบจากฝนกรดดว้ ยหรือไม่ ในลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ได้รับผลกระทบ คือ สิ่งแวดล้อม
อื่น ๆ เช่น อาคารบ้านเรือน รูปปั้น อนสุ าวรีย์ จะสึกกร่อนและผพุ ังเร็ว)
– ผลสรุปของการทดลองน้ีคืออะไร (แนวคาตอบ นา้ ฝนท่ีมีฤทธิ์เป็นกรดทาให้ต้นไม้ไม่
เจริญเติบโต ลาต้นแคระแกร็น หรือทาให้เมลด็ ไม่งอก)
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใหไ้ ดข้ อ้ สรุปวา่ เมลด็ ถว่ั เขียว
ส่วนใหญใ่ นกระถางที่รดดว้ ยน้าที่มีฤทธ์ิเป็นกรดจะไมง่ อกออกมา ส่วนท่ีงอกออกมา ลาตน้ เจริญเติบโต
ไมส่ มบูรณ์ ลาตน้ แคระเกร็น ส่วนเมลด็ ถวั่ เขียวที่รดดว้ ยน้าเปล่าจะมีการงอกออกจากเมลด็ และ
เจริญเติบโตปกติ แสดงวา่ ฝนกรดจะมีผลกระทบต่อการงอกของเมลด็ และการเจริญเติบโตของพืช ทาให้
เมลด็ งอกไดน้ อ้ ยลง และทาใหก้ ารเจริญเติบโตของพืชผดิ ปกติได้
4) ข้นั ขยายความรู้
(1) ครูใหน้ กั เรียนศึกษาปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศเกี่ยวกบั ปัญหา
การทาลายป่ าและปัญหาจากการใชพ้ ลงั งานจากใบความรู้หรือในหนงั สือเรียน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 93
(2) ครูเชื่อมโยงความรู้สู่อาเซียน โดยให้นกั เรียนสืบค้นข้อมูลเกยี่ วกบั สถานการณ์
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมในอาเซียน จากน้ันครูให้ความรู้เพมิ่ เตมิ ดงั นี้
ทรัพยากรป่ าไม้
– พ.ศ. 2555 ภูมภิ าคอาเซียนมีพนื้ ที่ป่ าไม้ประมาณร้อยละ 45 โดยประเทศอนิ โดนเี ซียมพี นื้ ท่ีป่ า
ไม้มากที่สุด (9.37 แสนตารางกโิ ลเมตร)
– ป่ าไม้ในภูมภิ าคอาเซียนถูกคุกคามจากการลกั ลอบตดั ไม้ทาลายป่ าในอตั ราสูงถึง 23,144 ตาราง
กโิ ลเมตร/ปี (พ.ศ. 2543 พนื้ ทีป่ ่ าไม้ภูมภิ าคอาเซียนอย่ทู รี่ ้อยละ 55)
ทรัพยากรดนิ
– ทรัพยากรดนิ ในภูมภิ าคอาเซียนอย่ใู นระดบั ดี เหมาะสมกบั การปลกู พชื ชนดิ ต่าง ๆ แต่มี
แนวโน้มที่จะเกดิ ปัญหาการปนเปื้ อนสารเคมกี าจดั ศัตรูพชื และป๋ ุยเคมใี นดนิ และเข้าสู่โซ่อาหารในระบบ
นิเวศ
– การบุกรุกป่ าไม้นามาซึ่งปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดนิ และปัญหาภยั พบิ ัตทิ าง
ธรรมชาติ
ทรัพยากรชายฝั่ง
– ประเทศในภูมภิ าคอาเซียนมชี ายฝั่งทะเลความยาวรวมกนั ถึงประมาณ 110,000 กโิ ลเมตร
– อาเซียนเผชิญความเสี่ยงต่อนา้ มันร่ัวไหลในทะเล และยงั ประสบปัญหาการใช้ประโยชน์จากป่ า
ชายเลนเพอ่ื ทาประมงชายฝั่ง การทรุดตวั ของแผ่นดนิ และการกดั เซาะชายฝ่ัง
ทรัพยากรนา้
– ลาวมที รัพยากรนา้ อดุ มสมบูรณ์ทสี่ ุดในอาเซียน โดยมปี ริมาณทรัพยากรนา้ ต่อหัวสูงถึง 33,063
ลูกบาศก์เมตร/ปี สาหรับประเทศไทยอยู่ที่ 3,310 ลกู บาศก์เมตร/ปี เป็ นลาดบั ท่ี 9 ของอาเซียน
– บรูไนฯ ใช้น้าในภาคครัวเรือนสูงสุด (77%) ส่วนไทยใช้ในภาคการเกษตร (75%) และสิงคโปร์
ใช้นา้ ในภาคอตุ สาหกรรมสูงสุด (51%)
– สิงคโปร์เข้าถึงแหล่งน้าดมื่ ที่มคี ุณภาพมากที่สุด (100%) รองลงมา คือ บูรไนฯ (99%) และไทย
(98%)
– มหาอุทกภยั ปี 2554 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกจิ ให้กบั ไทยมากที่สุด รองลงมาคอื
ฟิ ลปิ ปิ นส์
ความหลากหลายทางชีวภาพ
– ภูมภิ าคอาเซียนมคี วามหลากหลายทางชีวภาพถึงร้อยละ 20 ของโลก และมชี นิดพนั ธ์ุของ
สิ่งมีชีวติ ถูกคุกคามจานวนมาก
– ประมาณการว่า ภายใน พ.ศ. 2643 อาเซียนจะสูญเสียพนื้ ทป่ี ่ าไม้ 1 ใน 3 และสูญเสียพนั ธ์ุพชื
พนั ธ์ุสัตว์ และความหลากหลายทางชีวภาพร้อยละ 42
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 94
ขยะชุมชนและของเสียอนั ตราย
– ในภูมภิ าคอาเซียน ขยะชุมชนในเมอื งมปี ริมาณมากกว่าขยะจากพนื้ ทนี่ อกเมอื ง และส่วนใหญ่มี
แนวโน้มจะเพม่ิ ขึน้ โดยไทยและกมั พชู ามปี ริมาณขยะในเมอื งเป็ นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 66–67
– ในภูมภิ าคอาเซียนมขี องเสียอนั ตราย คดิ เป็ นร้อยละ 3 ของของเสียท้งั หมด ส่วนใหญ่มาจาก
ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอนิ โดนเี ซีย
คุณภาพอากาศ
– หมอกควนั ข้ามแดน พ.ศ. 2549–2552 มาเลเซีย กมั พูชา ลาว เวยี ดนาม และเมยี นมา มแี นวโน้ม
จานวนจุดเกดิ ไฟป่ าต่อปี เพม่ิ ขึน้ ส่วนไทยลดลง
– มลพษิ ทางอากาศ สาเหตหุ ลกั มาจากการใช้พลงั งาน ขนส่ง และอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง
– สภาพอากาศในบรูไนฯ มาเลเซีย และสิงคโปร์อยู่ในเกณฑ์คุณภาพดี
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจุด
ใดบา้ งท่ียงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุม่ วา่ มีปัญหาหรืออปุ สรรคใด และไดม้ ี
การแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ที่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– การเลือกใชบ้ ริการรถโดยสารสาธารณะช่วยลดฝนกรดไดเ้ พราะอะไร
– การตดั ไมส้ ่งผลต่อมลพิษทางอากาศมากเพราะอะไร
– ปัญหาท่ีเกิดจากการใชพ้ ลงั งานมีอะไรบา้ ง
ข้นั สรุป
ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศ
โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนคน้ ควา้ บทความหรือคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและ
ทรัพยากรธรรมชาติระดบั ประเทศ จากหนงั สือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอให้
เพื่อนในหอ้ งฟัง พร้อมท้งั รวบรวมคาศพั ทแ์ ละคาแปลลงสมุดส่งครู
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. รูปถา่ ยเกี่ยวกบั สภาพความเป็นอยขู่ องชีวิตชนบทกบั ชีวติ ในเมือง
2. รูปจากบทความหรือสื่อสิ่งพิมพท์ ี่เกี่ยวกบั ส่ิงก่อสร้างที่ถกู ฝนกรดทาลาย สภาพดินแหง้ แลง้ ใน
พ้ืนท่ีทาการเกษตร หรือการประทว้ งของประชากรเก่ียวกบั ปัญหาราคาน้ามนั แพง
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 95
3. ใบกิจกรรมท่ี 6 ทดลองผลกระทบจากฝนกรด
4. คู่มือการสอน ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
จากดั
5. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษา
ปี ที่ 4–6 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
6. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4–6 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
7. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4–6 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงที่ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ ....................................................... ผู้สอน
.........../....................../..........
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 96
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 9 ปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติระดับโลก เวลา 2 ช่ัวโมง
สาระท่ี 2 ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม
ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4–6
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 ปัญหาสิ่งแวดล้อม
1. สาระสาคญั
ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลก เช่น การทาลายช้นั โอโซนของบรรยากาศ
และปรากฏการณ์เรือนกระจกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก ซ่ึงการแกป้ ัญหาควรร่วมกนั
ส่งเสริม สร้างความรู้ และความเขา้ ใจเก่ียวกบั การใชท้ รัพยากรธรรมชาติชนิดต่าง ๆ บนโลก เพ่ือนาไปสู่
วธิ ีการใชท้ รัพยากรธรรมชาติที่มีอยอู่ ยา่ งจากดั ใหไ้ ดป้ ระโยชนส์ ูงสุด
2. ตวั ชี้วดั ช่วงช้ัน
1. วิเคราะห์สภาพปัญหา สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติในระดบั ทอ้ งถิ่น
ระดบั ประเทศ และระดบั โลก (ว 2.2 ม. 4–6/1)
2. อภิปรายแนวทางในการป้ องกนั แกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ (ว 2.2 ม. 4–
6/2)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดข้ึนในระดบั โลกได้ (K)
2. สืบคน้ ขอ้ มลู วิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหา และนาเสนอแนวทางการป้ องกนั และแกไ้ ข
ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลกได้ (K)
3. สงั เกตและทดลองศึกษาการเปล่ียนแปลงของอุณหภูมิสภาวะเรือนกระจกได้ (K)
4. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
5. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเก่ียวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
6. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
7. ส่ือสารและนาความรู้เร่ืองปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลกไปใชใ้ น
ชีวิตประจาวนั ได้ (P)
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 97
4. การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 1. ประเมินทกั ษะ/กระบวนการ
ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและ เป็ นรายบุคคล ทางวิทยาศาสตร์
ทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลก 2. ประเมินเจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
2. ประเมินกิจกรรมฝึ กทกั ษะ เป็นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
ระหวา่ งเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
3. ทดสอบหลงั เรียน ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือ
รายกลมุ่
5. สาระการเรียนรู้
ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลก
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เล่าประสบการณ์เก่ียวกบั ข่าวผลกระทบท่ีเกิดจากการลดลงของ
โอโซนในช้นั บรรยากาศ และผลกระทบจากปรากฏการณ์เรือน
กระจกตามท่ีนกั เรียนรู้จกั หรือไดป้ ระสบมา
สังคมศึกษา ศาสนา การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศโลกและผลกระทบในอาเซียน
และวฒั นธรรม
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั ระบบนิเวศ
ในธรรมชาติท่ีเรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ช่ัวโมงที่ 16
ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครูทบทวนความรู้เดิมเก่ียวกบั ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติในระดบั ทอ้ งถ่ินและ
ระดบั ประเทศที่ไดเ้ รียนรู้มาแลว้ โดยครูต้งั ประเดน็ คาถามดงั น้ี
– ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดข้ึนในระดบั ทอ้ งถิ่นมีอะไรบา้ ง (แนว
คาตอบ นา้ ในลาคลองเน่าเสีย การใช้ดินโดยไม่มีการบารุงรักษา และการทิง้ ขยะมลู ฝอยโดยไม่มีการ
แยกประเภท)
– ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนในระดบั ประเทศมีอะไรบา้ ง (แนว
คาตอบ ปริมาณแก๊สพิษในอากาศสูงกว่ามาตรฐาน การตดั ไม้ทาลายป่ า และการใช้พลงั งานอย่างไม่รู้
คุณค่า)
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 98
2) นกั เรียนร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั คาตอบของคาถาม เพ่ือเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เรื่อง ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลก
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูนารูปจากบทความหรือสื่อส่ิงพิมพท์ ี่เกี่ยวกบั ผลกระทบจากการลดลงของโอโซนในช้นั
บรรยากาศ และผลกระทบท่ีเกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจก เช่น การละลายของน้าแขง็ ที่ข้วั โลก การเกิด
อทุ กภยั หรือการตายของสตั วท์ ะเลบางชนิดมาใหน้ กั เรียนดู แลว้ ใชค้ าถามกระตุน้ ดงั น้ี
– นกั เรียนเคยเห็นข่าวท่ีเกิดข้ึนเหล่าน้ีหรือไม่
– นกั เรียนคิดวา่ อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์ดงั กล่าว
– เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนมีผลกระทบต่อตวั นกั เรียนหรือไม่ ในดา้ นใด
(2) นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเกี่ยวกบั คาถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) ใหน้ กั เรียนศึกษาปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลกเกี่ยวกบั การทาลาย
ช้นั โอโซนของบรรยากาศและปรากฏการณ์เรือนกระจกจากใบความรู้หรือในหนงั สือเรียน
(2) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5–6 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม ทดลองปรากฏการณ์เรือนกระจก ตาม
ข้นั ตอนทางวทิ ยาศาสตร์ ดงั น้ี
ข้ันท่ี 1 กาหนดปัญหา
– ปรากฏการณ์เรือนกระจกมีผลใหอ้ ุณหภูมิเปล่ียนแปลงไปในลกั ษณะใด
ข้นั ที่ 2 กาหนดสมมุติฐาน
– อณุ หภมู ิของอากาศภายในขวดแกว้ ที่ปิ ดฝาจะสูงกวา่ อุณหภูมิของอากาศภายในขวด
แกว้ ที่เปิ ดฝา
ข้ันท่ี 3 ทดสอบสมมุติฐาน
– ใชก้ ระดาษแขง็ เป็นแผน่ สี่เหลี่ยมขนาด 4 4 2 เซนติเมตร จานวน 2 กล่อง เจาะรู
ตรงกลางเพื่อใส่เทอร์มอมิเตอร์ ใชก้ ระดาษกาว 2 หนา้ ติดท่ีดา้ นลา่ งกลอ่ งกระดาษแต่ละใบ
– วางเทอร์มอมิเตอร์พร้อมกล่องกระดาษลงในขวดแต่ละใบ ใหก้ ระดาษกาวติดกบั ขวด
เพื่อไม่ใหเ้ ทอร์มอมิเตอร์สมั ผสั กบั กน้ ขวดโดยตรง
– กาหนดใหข้ วดใบที่ 1 เปิ ดฝา ส่วนขวดใบท่ี 2 ปิ ดฝาขวดดว้ ยพลาสติกใส และรัดดว้ ย
ยางรัด บนั ทึกอณุ หภูมิในแต่ละขวดก่อนนาออกวางกลางแดด
– นาขวดแกว้ ท้งั 2 ใบ ออกไปวางในบริเวณท่ีมีแสงแดด อ่านอณุ หภมู ิทุก ๆ 2 นาที
บนั ทึกอณุ หภูมิในตารางต่อเน่ืองกนั เป็นเวลา 10 นาที หรือมากกวา่ น้นั จนกระทงั่ สงั เกตเห็นอุณหภมู ิ
เพ่ิมข้ึน
ข้ันท่ี 4 วิเคราะห์ผลการทดลอง
– แปลความหมายขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากตารางบนั ทึกผลการทดลอง
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 99
– นาขอ้ มลู ที่ไดม้ าพิจารณา เพอ่ื อธิบายวา่ เป็นไปตามที่นกั เรียนต้งั สมมุติฐานหรือไม่
ข้ันท่ี 5 สรุปผลการทดลอง
– นกั เรียนร่วมกนั สรุปผลการทดลอง แลว้ เขียนเป็นรายงานสรุปผลการทดลองส่งครู
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียนและ
เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเม่ือมีปัญหา
(5) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5–6 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม สืบค้นข้อมลู ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดบั
โลก ตามข้นั ตอนทางวทิ ยาศาสตร์ โดยใชท้ กั ษะการสงั เกต ดงั น้ี
– แบ่งกล่มุ นกั เรียน สืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั ปัญหา ผลกระทบที่เกิดจากปัญหา และ
แนวทางการแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มระดบั โลก จากหนงั สือสารานุกรมวิทยาศาสตร์ วารสารวิทยาศาสตร์
เอกสารดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม และอินเทอร์เน็ต
– นาขอ้ มลู ที่ไดม้ าอภิปรายร่วมกนั แลว้ นาเสนอผลการทากิจกรรม
(6) นกั เรียนและครูร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากกิจกรรม
(7) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียนและ
เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ช่ัวโมงที่ 17
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มส่งตวั แทนกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบตั ิกิจกรรมหนา้ ช้นั เรียน
(2) นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและหาขอ้ สรุปจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นว
คาถามต่อไปน้ี
กิจกรรม ทดลองปรากฏการณ์เรือนกระจก
– นกั เรียนคาดคะเนวา่ ขวดแกว้ ใบใดจะมีอุณหภูมิสูงกวา่ เพราะเหตุใด (แนวคาตอบ
ขวดแก้วท่ีมีฝาปิ ด เพราะความร้อนที่เกิดขึน้ จะถกู กักเกบ็ ไว้ในขวดแก้ว)
– เพราะเหตุใดจึงตอ้ งป้ องกนั เพ่ือไม่ใหเ้ ทอร์มอมิเตอร์สัมผสั กบั กน้ ขวดแกว้ (แนว
คาตอบ เพราะถ้าเทอร์มอมิเตอร์สัมผัสกับก้นขวดแก้ว อณุ หภูมิท่ีวดั ได้จะเป็นอณุ หภูมิของขวดแก้วแทน)
– ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดข้ึนจากสาเหตุใด (แนวคาตอบ เกิดจากการท่ีแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์มีการสะสมอย่ใู นช้ันบรรยากาศ และกัน้ ไม่ให้ความร้อนจากพืน้ โลกผ่านขึน้ ไปในช้ัน
บรรยากาศ)
กิจกรรม สืบค้นข้อมลู ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดบั โลก
– ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มระดบั โลกส่วนใหญม่ ีสาเหตุมาจากอะไร (แนวคาตอบ ปัญหา
ส่ิงแวดล้อมระดบั โลกส่วนใหญ่มีสาเหตมุ าจากการทากิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ รวมทั้งการพัฒนาด้าน
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว)
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 100
– ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มระดบั โลกมีผลกระทบกบั มนุษยใ์ นลกั ษณะใด (แนวคาตอบ ทาให้
สุขภาพของมนษุ ย์แย่ลง มนษุ ย์ต้องเจอกบั การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เกิดภัยธรรมชาติบ่อยขึน้
และผลผลิตทางการเกษตรลดลง)
– นกั เรียนจะมีวธิ ีการแกป้ ัญหาส่ิงแวดลอ้ มระดบั โลกดว้ ยวิธีการใด (แนวคาตอบ
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คณุ ค่าและคานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึน้ ต่อโลก และปลูกฝังให้เยาวชนเห็น
ความสาคัญของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนโลก)
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใหไ้ ดข้ อ้ สรุปวา่ เมื่อนาขวดแกว้
ท่ีปิ ดฝาและเปิ ดฝาไปต้งั กลางแดด อุณหภูมิของอากาศภายในขวดที่ปิ ดฝาจะเพ่ิมข้ึนเรื่อย ๆ และมีอุณหภูมิ
สูงกวา่ ขวดแกว้ ที่เปิ ดฝาอยู่ ซ่ึงเปรียบอุณหภมู ิท่ีสูงข้ึนภายในขวดแกว้ ที่ปิ ดฝาไดก้ บั อุณหภูมิของโลกท่ีร้อน
ข้ึนเน่ืองจากการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ท่ีมีสาเหตุมาจากการทากิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษยท์ ่ีปล่อย
แก๊สเรือนกระจกออกมา แก๊สน้ีจะมีคุณสมบตั ิดดู กลืนรังสีอินฟราเรดที่พ้ืนโลกคายออกมาเม่ือไดร้ ับรังสี
จากดวงอาทิตยเ์ อาไว้ ทาใหเ้ กิดผลกระทบในดา้ นต่าง ๆ เช่น ทาใหอ้ ุณหภูมิโลกสูงข้ึน เป็นสาเหตุใหเ้ กิด
การละลายของธารน้าแขง็ ข้วั โลก ฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศเปล่ียนแปลง เกิดพายุ มีฤดูร้อนยาวนาน และ
มีฤดหู นาวท่ีส้นั ลง ส่งผลใหร้ ะบบนิเวศของโลกถกู ทาลาย
การแกไ้ ขปัญหาปรากฏการณ์เรือนกระจก สามารถทาไดห้ ลายวธิ ีเพื่อลดปริมาณการปลอ่ ยแก๊ส
เรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ เช่น ช่วยกนั ประหยดั พลงั งานเช้ือเพลิง ไม่ตดั ไมท้ าลายป่ า ลดการใช้
สารเคมีในบา้ นและในการทาการเกษตร ตลอดจนใชพ้ ลงั งานทดแทนที่ไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดลอ้ ม
4) ข้ันขยายความรู้
(1) แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่ม สืบคน้ ขอ้ มลู เกี่ยวกบั ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ
ระดบั โลก จากหนงั สือ วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน และอินเทอร์เนต็
รวมท้งั นาขอ้ มลู ท่ีคน้ ควา้ ไดม้ าจดั ทาเป็นรายงาน หรือจดั ป้ ายนิเทศใหเ้ พื่อน ๆ ไดท้ ราบเพื่อแลกเปลี่ยน
เรียนรู้กนั
(2) ครูเชื่อมโยงความรู้เข้าสู่อาเซียน โดยให้ความรู้เพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั การเปลยี่ นแปลงสภาพ
ภูมอิ ากาศโลก ผลกระทบและการปรับตวั ของอาเซียน ดงั นี้
เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเปลยี่ นแปลงสภาพอากาศเนอ่ื งจากภาวะโลกร้อนน้นั นบั วนั
จะทวคี วามรุนแรงมากขนึ้ เร่ือย ๆ โดยส่งผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ เกษตรกรรม ความมนั่ คง
และเศรษฐกจิ ดงั น้นั กระทรวงต่างประเทศสหราชอาณาจกั ร กรมอุตนุ ยิ มวทิ ยาสหราชอาณาจกั ร และ
ฮาร์ดลยี ์ เซนเตอร์ จงึ ได้จดั ทาแผนท่ี 4 องศาเซลเซียส แบบอนิ เตอร์แอกทฟี ซ่ึงแผนทนี่ จี้ ะแสดง
ผลกระทบทีจ่ ะเกดิ ขนึ้ บนโลก หากอณุ หภูมเิ ฉลยี่ สูงขึน้ อกี 4 องศาเซลเซียสโดยเน้นเจาะลกึ ถึงความ
เปลย่ี นแปลงในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เน่ืองจากเป็ นแหล่งผลติ อาหารระดบั ครัวโลก
แผนทนี่ ีช้ ี้ให้เห็นว่า หากไม่มกี ารลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกและปล่อยให้อณุ หภูมโิ ลก
สูงขนึ้ ถึง 4 องศาเซลเซียส จะส่งผลกระทบโดยตรงกบั การเพาะปลกู การประมง แหล่งนา้ และการใช้ชีวติ
ของชาวอาเซียนอย่างหลกี เลย่ี งไม่ได้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 101
โดยประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์มคี วามเส่ียงสูงสุด ท่ีจะถูกพายุพดั กระหน่าทว่ั ท้ังเกาะตลอดปี เกดิ นา้
ท่วมในกล่มุ ประเทศลุ่มแม่น้าโขง การสูญเสียพนื้ ที่ชายฝั่งในประเทศสิงคโปร์ และผลกระทบต่อการปลกู
ข้าวในประเทศไทย นอกจากนีอ้ ุณหภูมทิ ่รี ้อนขึน้ จะส่งผลต่อคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะเมอื งใหญ่ ๆ เช่น
กรุงเทพฯ จาร์กาตา และมะนิลาที่มมี ลพษิ มากอย่แู ล้วจะยงิ่ เข้าข้นั อนั ตรายจนอาจไม่สามารถใช้ชีวติ ใน
เมอื งได้อกี สภาพอากาศท่รี ้อนจนผดิ ปกตยิ ังเป็ นต้นเหตุของโรคภยั ไข้เจบ็ ความเครียด ส่งผลกระทบต่อ
สุขภาพและคุณภาพชีวติ ของประชาชนในภูมภิ าค
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจุด
ใดบา้ งท่ียงั ไม่เขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และไดม้ ี
การแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– สาร CFC แมเ้ พียงเลก็ นอ้ ยก็สามารถทาลายช้นั โอโซนไดเ้ พราะอะไร
– ภาวะโลกร้อนเกิดข้ึนไดเ้ พราะอะไร
– นกั เรียนคิดวา่ วิธีการป้ องกนั และแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดลอ้ มระดบั โลกในปัจจุบนั
เพียงพอและถกู ตอ้ งแลว้ หรือไม่ เพราะเหตุใด
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลก โดย
ร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผงั มโนทศั น์
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงั เรียน โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนเพ่ือวดั
ความกา้ วหนา้ /ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ตอนที่ 1
3) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนอื้ หาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพอื่ จดั การเรียนรู้คร้ัง
ต่อไป โดยให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าล่วงหน้าในหัวข้อความหมายของการพฒั นาทีย่ ั่งยนื
4) ครูให้นกั เรียนเตรียมประเดน็ คาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพอื่ นามาอภิปราย
ร่วมกนั ในช้ันเรียนคร้ังต่อไป
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 102
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
นกั เรียนคน้ ควา้ บทความหรือคาศพั ทภ์ าษาตา่ งประเทศเก่ียวกบั ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและ
ทรัพยากรธรรมชาติระดบั โลก จากหนงั สือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือน
ในหอ้ งฟัง พร้อมท้งั รวบรวมคาศพั ทแ์ ละคาแปลลงสมุดส่งครู
9. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
1. รูปจากบทความหรือส่ือส่ิงพิมพท์ ี่เก่ียวกบั ผลกระทบจากการลดลงของโอโซนในช้นั
บรรยากาศ และผลกระทบท่ีเกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจก เช่น การละลายของน้าแขง็ ที่ข้วั โลก การเกิด
อทุ กภยั หรือการตายของสตั วท์ ะเลบางชนิด
2. แบบทดสอบหลงั เรียน
3. ใบกิจกรรมที่ 7 ทดลองปรากฏการณ์เรือนกระจก
4. ใบกิจกรรมที่ 8 สืบคน้ ขอ้ มูลปัญหาส่ิงแวดลอ้ มระดบั โลก
5. ค่มู ือการสอน ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4–6 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
จากดั
6. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี
4–6 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
7. แบบฝึ กทกั ษะ รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
8. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………….…
แนวทางการพฒั นา …………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………….…
แนวทางแกไ้ ข …………………………………………………………………………..….
3. ส่ิงท่ีไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน ………………………………………………………………..…
เหตุผล ………………………………………………………………………………...……
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้ …………………………………………………………
ลงชื่อ ....................................................... ผู้สอน
.........../....................../..........
ตอนที่ 2 การพฒั นาทย่ี ง่ั ยนื คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 103
เวลา 2 ช่ัวโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื เวลา 2 ชั่วโมง
สาระที่ 2 ชีวติ กบั สิ่งแวดล้อม
ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 ปัญหาสิ่งแวดล้อม
1. สาระสาคญั
การพฒั นาท่ียงั่ ยนื หมายถึง การพฒั นาที่คานึงถึงความเสียหายของส่ิงแวดลอ้ ม โดยมุ่งเนน้ สร้าง
ความสมดุลใน 3 มิติ คือ เศรษฐกิจ สงั คม และส่ิงแวดลอ้ ม
หลกั การท่ีจะนาไปสู่การพฒั นาที่ยงั่ ยนื คือ รักษา และกระตุน้ ใหเ้ กิดความหลากหลายของ
แนวทางการพฒั นา หรือสร้างระบบเศรษฐกิจท่ีรวมเอาส่ิงแวดลอ้ มและเวลาในอนาคตเขา้ ไวใ้ น
กระบวนการตดั สินใจ
แนวทางปฏิบตั ิท่ีจะนาไปสู่การพฒั นาท่ียงั่ ยืน เช่น ใชท้ รัพยากรอยา่ งมีประสิทธิภาพ ใหก้ ารศึกษา
แก่ประชาชน กระจายรายไดไ้ ปยงั กลุ่มคนยากจน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการอปุ โภค บริโภคเพ่ือลด
ปริมาณขยะ
2. ตัวชี้วดั ช่วงช้ัน
วางแผนและดาเนินการเฝ้ าระวงั อนุรักษ์ และพฒั นาส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ
(ว 2.2 ม. 4–6/3)
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความหมาย หลกั การ และแนวทางปฏิบตั ิที่นาไปสู่การพฒั นาท่ียง่ั ยนื ได้ (K)
2. สืบคน้ ขอ้ มลู วเิ คราะห์ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มในชุมชน และจดั ทาโครงงานเพ่ือแกไ้ ขปัญหา
ส่ิงแวดลอ้ มในชุมชนได้ (K)
3. มีความสนใจใฝ่ รู้หรืออยากรู้อยากเห็น (A)
4. พอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกบั วิทยาศาสตร์ (A)
5. ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
6. ส่ือสารและนาความรู้เรื่องการพฒั นาที่ยง่ั ยืนไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ (P)
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 104
4. การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ด้านความรู้ (K) ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
และจติ วทิ ยาศาสตร์ (A)
1. ซกั ถามความรู้เร่ือง 1. ประเมินเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ประเมินทกั ษะ/กระบวนการ
การพฒั นาท่ียง่ั ยืน เป็ นรายบุคคล ทางวทิ ยาศาสตร์
2. ประเมินกิจกรรมฝึ กทกั ษะ 2. ประเมินเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ 2. ประเมินทกั ษะการคิด
ระหวา่ งเรียน เป็ นรายบุคคล 3. ประเมินทกั ษะการแกป้ ัญหา
3. ทดสอบก่อนเรียน 4. ประเมินพฤติกรรมในการ
4. ทดสอบหลงั เรียน ปฏิบตั ิกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือ
รายกลุม่
5. สาระการเรียนรู้
ความหมายของการพฒั นาที่ยง่ั ยืน
หลกั การและแนวทางปฏิบตั ิที่นาไปสู่การพฒั นาท่ียง่ั ยนื
6. แนวทางการบูรณาการ
ภาษาไทย เลา่ ประสบการณ์เกี่ยวกบั การใชท้ รัพยากรในทอ้ งถิ่นอยา่ งมี
ประสิทธิภาพตามที่นกั เรียนรู้จกั หรือไดป้ ระสบมา
สังคมศึกษา ศาสนา วสิ ัยทัศน์ประเดน็ ส่ิงแวดล้อมภายหลงั การเป็ นประชาคมอาเซียนและ
และวฒั นธรรม การปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติเพอื่ นาไปสู่
การพฒั นาทีย่ ่งั ยนื
ภาษาต่างประเทศ ฟัง พดู อา่ น เขียนคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเก่ียวกบั การพฒั นาที่ยง่ั ยนื
ที่เรียนรู้หรือที่นกั เรียนสนใจ
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ช่ัวโมงที่ 18
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อตรวจสอบความ
พร้อมและพ้ืนฐานของนกั เรียน
ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน
(1) ครูต้งั ประเดน็ คาถาม จากน้นั สุ่มนกั เรียน 2–3 คน ใหน้ กั เรียนตอบคาถาม โดยครูใชค้ าถาม
กระตุน้ ดงั น้ี
– นกั เรียนใชท้ รัพยากรท่ีมีอยใู่ นทอ้ งถิ่นอยา่ งมีประสิทธิภาพหรือไม่ ดว้ ยวิธีการใด
– ปัจจุบนั รัฐบาลมีนโยบายอะไรบา้ งท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การลดปัญหาส่ิงแวดลอ้ มและ
ทรัพยากรธรรมชาติ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 105
– แนวคิดในการลดปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติท่ีนกั เรียนรู้จกั สามารถนาไปใช้
ลดปัญหาท่ีเกิดข้ึนในระยะยาวไดห้ รือไม่ อยา่ งไร
2) นกั เรียนร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั คาตอบของคาถาม เพ่ือเชื่อมโยง
ไปสู่การเรียนรู้เร่ือง การพฒั นาท่ียง่ั ยืน
ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ร่วมกบั แบบกลบั ดา้ นช้นั เรียน ซ่ึงมี
ข้นั ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สร้างความสนใจ
(1) ครูแบ่งกลุ่มนกั เรียนแล้วเปิ ดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกย่ี วกับความหมาย
ของการพฒั นาที่ยงั่ ยนื ทคี่ รูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพอื่ น ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่ง
ตวั แทนมานาเสนอข้อมูลหน้าห้องเรียน
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานทไี่ ด้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการ
จดบันทกึ ของนกั เรียน และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– การพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื หมายถึงอะไร (แนวคาตอบ การพัฒนาท่ีย่งั ยนื หมายถึง การพัฒนา
ทีต่ อบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นปัจจบุ ัน โดยไม่ทาให้ความสามารถในการพัฒนาของคนรุ่นต่อไป
ในอนาคตเสียหาย)
– การพฒั นาที่ยัง่ ยนื มุ่งสร้างสมดุลในมิตดิ ้านใดบ้าง (แนวคาตอบ เศรษฐกิจ สังคม และ
ส่ิงแวดล้อม)
(3) ครูเปิ ดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่าง
น้อยคนละ 1 คาถาม ซึ่งครูให้นักเรียนเตรียมมาล่วงหน้า และให้นักเรียนช่วยกันตอบและแสดงความ
คดิ เห็น
(4) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกยี่ วกบั ภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การ
พฒั นาท่ีย่งั ยืน หมายถึง การพฒั นาที่คานึงถึงความเสียหายของส่ิงแวดล้อม โดยมุ่งเน้นสร้างความสมดุล
ใน 3 มติ ิ คอื เศรษฐกจิ สังคม และสิ่งแวดล้อม
2) ข้นั สารวจและค้นหา
(1) ใหน้ กั เรียนศึกษาความหมายของการพฒั นาท่ียง่ั ยืนและหลกั การและแนวทางปฏิบตั ิท่ี
นาไปสู่การพฒั นาท่ียงั่ ยืนจากใบความรู้หรือในหนงั สือเรียน
(2) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5–6 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม สืบค้นข้อมลู และจัดทาโครงงานเสริมสร้าง
คุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน ตามข้นั ตอนทางวทิ ยาศาสตร์ โดยใชท้ กั ษะการสงั เกต ดงั น้ี
– แบ่งกลุ่มนกั เรียน สืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มในชุมชน เช่น ปัญหาขยะมลู
ฝอย หรือปัญหาการเน่าเสียของแหล่งน้า จากเอกสารวารสารต่าง ๆ อินเทอร์เน็ต และจากการสมั ภาษณ์
บุคคลในชุมชน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 106
– ระดมความคิดในกลุ่มเก่ียวกบั แนวคิดในการแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดลอ้ มที่กลุ่มสนใจ
เพื่อใหเ้ กิดการพฒั นาสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งยง่ั ยืน แลว้ นาขอ้ มลู ที่รวบรวมไดจ้ ดั ทาเป็นโครงงาน
– กล่มุ ลงมือปฏิบตั ิตามแผนงานท่ีกาหนดไวใ้ นโครงงาน พร้อมท้งั บนั ทึกผลการปฏิบตั ิ
ประเมินผลการปฏิบตั ิ และสรุปผลการทาโครงงาน
– นาขอ้ มลู ที่ไดม้ าอภิปรายร่วมกนั แลว้ นาเสนอผลการทากิจกรรม
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ หอ้ งเรียนและ
เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนทุกคนซกั ถามเมื่อมีปัญหา
ช่ัวโมงที่ 19
3) ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มส่งตวั แทนกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบตั ิกิจกรรมหนา้ ช้นั เรียน
(2) นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและหาขอ้ สรุปจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใชแ้ นว
คาถามต่อไปน้ี
– เพราะเหตุใดการพฒั นาจึงตอ้ งดาเนินการไปพร้อมกบั การอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอ้ ม (แนวคาตอบ การพัฒนาแต่ด้านวัตถเุ พียงอย่างเดียวไม่สามารถทาให้มนษุ ย์มีคุณภาพชีวิต
ที่ดีขึน้ ได้ เพราะมนุษย์ต้องอย่ใู นสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ เช่น นา้ เน่าเสีย อากาศเสีย และดินเส่ือมคุณภาพ
ดงั นั้นการพัฒนาท่ีดีจึงต้องดาเนินการไปพร้อมกบั การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่าง
ถกู ต้อง รอบคอบ และมีการจัดการท่ีดี เพ่ือให้มนษุ ย์มีคุณภาพชีวิตท่ีดีขึน้ ไปพร้อมกบั สภาพเศรษฐกิจและ
สังคมท่ีดีขึน้ )
– เพราะเหตุใดกระบวนการรีไซเคิลจึงมีความสาคญั อยา่ งมากต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดลอ้ ม (แนวคาตอบ กระบวนการรีไซเคิลเป็นการนาขยะมาแปรรูปตามกระบวนการของแต่ละ
ประเภท เพื่อนากลบั มาใช้ประโยชน์ใหม่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นการลดปริมาณขยะ ลดการใช้
พลงั งาน และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ทาให้เรามีทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ได้นานขึน้ )
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใหไ้ ดข้ อ้ สรุปวา่ ปัญหา
ส่ิงแวดลอ้ มในชุมชนท่ีกลมุ่ ของนกั เรียนสนใจควรเป็นปัญหาส่ิงแวดลอ้ มที่นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิ
แกป้ ัญหาไดจ้ ริง เช่น ปัญหาขยะมลู ฝอยในบริเวณโรงเรียน โดยในการจดั ทาโครงงานนกั เรียนควร
ทาการศึกษาท่ีมาของปัญหา ขอ้ มลู ที่ใชแ้ กป้ ัญหา แนวทางการแกป้ ัญหา วิธีการแกป้ ัญหา ผลการแกป้ ัญหา
และขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อใชเ้ ป็นแนวทางในการแกป้ ัญหาต่อไป
4) ข้ันขยายความรู้
(1) ครูอธิบายบูรณาการอาเซียนเพมิ่ เตมิ หรือเสริมความรู้ว่า กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเห็น
ความสาคัญของการพฒั นาทยี่ ัง่ ยนื มาก และมวี ิสัยทศั น์ประเดน็ สิ่งแวดล้อมภายหลังการเป็ นประชาคม
อาเซียนหลายประการ เช่น
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 46 107
– การปฏิบัตงิ านอย่างต่อเนอ่ื งในเรื่อง “อาเซียนสะอาดและเขียว” (Clean and Green
ASEAN)
– การบูรณาการประเดน็ ด้านสิ่งแวดล้อมระหว่าง 3 เสาหลกั ในอาเซียน
– การปราศจากมลพษิ จากหมอกควนั ข้ามแดนภายใน พ.ศ. 2563
– การดาเนินงานภายใต้แผนงานของ ASCC ด้านสิ่งแวดล้อมท่ยี ง่ั ยนื ให้เป็ นไปอย่างต่อเน่อื ง
– เพม่ิ ขีดความเข้มข้นของโครงสร้างกฎหมายส่ิงแวดล้อมท้งั ในระดบั ประเทศและระดบั
ภูมภิ าคอาเซียน
– การรับรองการดาเนนิ งานเพอ่ื การพฒั นาอย่างยง่ั ยนื ท่ีสอดคล้องกบั เป้ าหมายการพฒั นา
อย่างย่งั ยนื
(2) ครูเช่ือมโยงความรู้กบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยอธิบายกบั นกั เรียนว่า แนวทางปฏิบตั ทิ ี่
นาไปสู่การพฒั นาท่ียัง่ ยนื วธิ ีหน่ึง คอื การปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึง
แนวทางนีต้ รงกบั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง คือ การบริโภคทรัพยากรอย่างพอประมาณ มเี หตผุ ล และ
มภี ูมคิ ุ้มกนั ในตวั ซ่ึงการปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรมการบริโภคทรัพยากรธรรมชาตมิ ดี ้วยกนั หลายวธิ ี บางวธิ ี
สามารถสร้างรายได้เพมิ่ หรือได้ของใช้ใหม่ทมี่ ีชิน้ เดียวในโลก โดยไม่ต้องเสียเงนิ ซื้อใหม่ เช่นการคดั แยก
ขยะทข่ี ายได้ การนาเสื้อผ้าท่ีไม่สวมใส่แล้วไปขาย การประดษิ ฐ์ของใช้เอง และการใช้ถุงผ้าแทน
ถุงพลาสตกิ
(3) นกั เรียนคน้ ควา้ บทความหรือคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกบั การพฒั นาที่ยง่ั ยนื จาก
หนงั สือเรียนภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พื่อนในหอ้ งฟัง พร้อมท้งั รวบรวม
คาศพั ทแ์ ละคาแปลลงสมดุ ส่งครู
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกิจกรรม มีจุด
ใดบา้ งที่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจหรือยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่มวา่ มีปัญหาหรืออุปสรรคใด และไดม้ ี
การแกไ้ ขอยา่ งไรบา้ ง
(3) นกั เรียนและครูร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ที่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– แนวความคิดและแนวทางปฏิบตั ิเกี่ยวกบั การพฒั นาท่ียง่ั ยนื มีอะไรบา้ ง
– เพราะเหตุใดประเทศไทยจึงตอ้ งนาแนวคิดเรื่องการพฒั นาที่ยงั่ ยืนมาใชเ้ ป็นส่วนหน่ึง
ในการพฒั นาประเทศ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 108
ข้ันสรุป
1) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั การพฒั นาที่ยงั่ ยืน โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนที่ความคิด
หรือผงั มโนทศั น์
2) ครูดาเนินการทดสอบหลงั เรียน โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียนเพ่ือวดั ความกา้ วหนา้ /
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 ตอนที่ 2
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
ชั่วโมงท่ี 19
1. ครูให้นักเรียนปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเตม็ ศึกษา (STEM Education) จาก
สถานการณ์เร่ือง น้าเสียบาบัดได้ โดยใช้แนวการสอนในคู่มอื การสอน ชีวิตกบั สิ่งแวดล้อม ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่
4–6 บริษทั สานักพมิ พ์วฒั นาพานิช จากดั
2. ครูประเมินดา้ นความรู้ของนกั เรียนตามตัวช้ีวดั ช่วงช้นั โดยใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบปลาย
ภาค เพื่อวดั ความกา้ วหนา้ /ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ของนกั เรียน
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบก่อนเรียน
2. ใบกิจกรรมท่ี 9 สืบคน้ ขอ้ มูลและจดั ทาโครงงาน เสริมสร้างคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มในชุมชน
3. แบบทดสอบหลงั เรียน
4. แบบทดสอบปลายภาค
5. คู่มือการสอน ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช
จากดั
6. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวชิ าพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี
4–6 บริษทั สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
7. แบบฝึ กทกั ษะ รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
8. หนงั สือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6 บริษทั
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช จากดั
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 109
10. บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
1. ความสาเร็จในการจดั การเรียนรู้................................................................................................
แนวทางการพฒั นา.....................................................................................................................
2. ปัญหา/อปุ สรรคในการจดั การเรียนรู้.........................................................................................
แนวทางแกไ้ ข............................................................................................................................
3. ส่ิงที่ไมไ่ ดป้ ฏิบตั ิตามแผน.........................................................................................................
เหตุผล.......................................................................................................................................
4. การปรับปรุงแผนการจดั การเรียนรู้...........................................................................................
ลงชื่อ..............................................ผู้สอน
............../.................../.................
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 46 110
บรรณานุกรม
คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สานกั งาน. หลากหลายวธิ ีการสอนของครูต้นแบบ 2541 วิชา
วทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิมพด์ ีการพิมพ,์ 2542.
ชยั ฤทธ์ิ ศิลาเดช. คู่มอื การเขยี นแผนการสอนทีเ่ น้นผู้เรียนเป็ นสาคัญ ระดบั มธั ยมศึกษา. กรุงเทพฯ:
จนู พบั ลิชช่ิง, 2545.
ทิศนา แขมมณี. 14 วธิ ีสอนสาหรับครูมอื อาชีพ. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ,
2544.
บญั ชา แสนทวี และคณะ. แบบฝึ กหัดสาระการเรียนรู้พนื้ ฐาน ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม สิ่งมชี ีวติ กบั
กระบวนการดารงชีวติ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 5. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานิช, 2550.
.หนงั สือปฏิบตั กิ ารวทิ ยาศาสตร์ เล่ม 2 ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4–6. กรุงเทพฯ:
สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช, 2549.
. หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พนื้ ฐาน เล่ม 2 โลก ชีวติ กบั สิ่งแวดล้อม ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4–6.
กรุงเทพฯ: สานกั พิมพว์ ฒั นาพานิช, 2549.
วฒั นาพร ระงบั ทุกข.์ เทคนิคและกจิ กรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นสาคัญ ตามหลกั สูตรการศึกษา
ข้ันพนื้ ฐาน พ.ศ. 2544. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิ ค, 2545.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ตาม
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.
สุวิทย์ มลู คา และอรทยั มลู คา. 21วธิ ีจดั การเรียนรู้เพอ่ื พฒั นากระบวนการคดิ . พิมพค์ ร้ังที่ 2, กรุงเทพฯ:
ภาพพิมพ,์ 2545.
Wiggins, G., and McTighe, J. Understanding by Design. Expanded 2nd ed., Virginia: Association for
Supervision and Curriculum Development (ASCD), 2005.
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 111
ตอนที่ 3 เอกสาร/ความรู้เสริมสาหรับครู
เอกสาร/ความรู้เสริมสาหรับครู ประกอบดว้ ย ส่วนต่าง ๆ ดงั น้ี
– มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั ช่วงช้นั และสาระเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6
– กระบวนการจดั การเรียนรู้ท่ีใชใ้ นกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
– แฟ้ มสะสมผลงาน (portfolio)
– ผงั การออกแบบการจดั การเรียนรู้แบบ Backward Design
– รูปแบบแผนการจดั การเรียนรู้รายชว่ั โมง
– ใบกิจกรรม ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6
– แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนประจาหน่วยการเรียนรู้
– เคร่ืองมือวดั และประเมินผลดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และจิตวิทยาศาสตร์
– เครื่องมือวดั และประเมินผลดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ
– เคร่ืองมือวดั และประเมินผลดา้ นสมรรถนะสาคญั ของนกั เรียน
– เคร่ืองมือวดั และประเมินสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์และภาระงานของนกั เรียนโดยใชม้ ิติ
คุณภาพ (Rubics)
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 112
มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชี้วดั ช่วงช้ัน และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระ
การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม ม. 4–6
สาระที่ 2: ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม
มาตรฐาน ว 2.1: เขา้ ใจส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ิน ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงแวดลอ้ มกบั ส่ิงมีชีวิต
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ และ
จิตวทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารสิ่งที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชีว้ ดั ช่วงช้ัน สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. อธิบายดุลยภาพของระบบนิเวศ – ระบบนิเวศในธรรมชาติจะมีความสมดุลไดก้ ็
ต่อเมื่อมีสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ท่ีเอ้ืออานวยต่อการ
ดารงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ ชนิดต่าง ๆ ในระบบนิเวศ
จนทาใหเ้ กิดความหลากหลายของระบบนิเวศบน
โลก
2. อธิบายกระบวนการเปล่ียนแปลงแทนที่ของ – ระบบนิเวศในโลกท่ีมีความหลากหลาย มีการ
สิ่งมีชีวิต เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดข้ึนอยตู่ ลอดเวลา ไมว่ า่ จะ
เป็ นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติหรื อ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากมนุษยเ์ ป็นผกู้ ระทา การ
เปล่ียนแปลงเหล่าน้ีอาจส่งผลใหร้ ะบบนิเวศเสีย
สมดุลได้
– เมื่อระบบนิเวศเสียสมดุลจะเกิดการเปล่ียนแปลง
แทนท่ีเกิดข้ึนในระบบนิเวศน้นั การเปล่ียนแปลง
สภาพทางธรรมชาติของระบบนิเวศยอ่ มส่งผลให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของส่ิงมีชีวิตในระบบ
นิเวศน้นั ดว้ ย
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 113
สาระที่ 2: ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม
มาตรฐาน ว 2.2: เขา้ ใจความสาคญั ของทรัพยากรธรรมชาติ การใชท้ รัพยากรธรรมชาติในระดบั ทอ้ งถ่ิน
ประเทศ และโลก นาความรู้ไปใชใ้ นการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในทอ้ งถิ่นอยา่ ง
ยงั่ ยนื
ตวั ชี้วดั ช่วงช้ัน สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. วเิ คราะหส์ ภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา
ส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติในระดบั – ความสมั พนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ กบั
ทอ้ งถ่ิน ระดบั ประเทศ และระดบั โลก ส่ิงแวดลอ้ ม หรือระหวา่ งส่ิงมีชีวิตกบั สิ่งมีชีวิต
ดว้ ยกนั มีความสมั พนั ธก์ นั หลายระดบั ต้งั แต่ระดบั
2. อภิปรายแนวทางในการป้ องกนั แกไ้ ขปัญหา ทอ้ งถิ่น ระดบั ประเทศ และระดบั โลก
สิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ – การเพ่ิมข้ึนของประชากรมนุษยส์ ่งผลใหม้ ีการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มข้ึน ทาให้
3. วางแผนและดาเนินการเฝ้ าระวงั อนุรักษ์ และ ทรัพยากรธรรมชาติลดจานวนลง และเกิดปัญหา
พฒั นาสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ มลพิษทางดา้ นต่าง ๆ ตามมา
– ปัญหามลพิษท่ีเกิดข้ึนมีดว้ ยกนั หลายสาเหตุ บาง
ปัญหามีผลกระทบเกิดข้ึนในระดบั ทอ้ งถิ่น บาง
ปัญหาส่งผลกระทบระดบั ประเทศ และบางปัญหามี
ความรุนแรงจนเป็นปัญหาระดบั โลก
– การใชท้ รัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ท่ีมีอยอู่ ยา่ ง
จากดั จาเป็นตอ้ งใชด้ ว้ ยความระมดั ระวงั และไมใ่ ห้
เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ ม
– สิ่งแวดลอ้ มที่อยใู่ นสภาพเส่ือมโทรมหรือเกิดเป็น
มลพิษท่ีเป็ นผลเน่ืองมาจากการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติ ตอ้ งหาแนวทางในการป้ องกนั
แกไ้ ข ฟ้ื นฟใู หก้ ลบั มีสภาพที่สามารถใชก้ ารได้
– สิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติควรตอ้ งมี
การเฝ้ าระวงั อนุรักษ์ และพฒั นา ซ่ึงทุกคนควร
ร่วมกนั ปฏิบตั ิ เพ่ือใหเ้ กิดการใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ ง
ยงั่ ยืน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 114
สาระที่ 8: ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1: ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การ
แกป้ ัญหา รู้วา่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนส่วนใหญ่มีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและ
ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ อ้ มลู และเครื่องมือที่มีอยใู่ นช่วงเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม
และสิ่งแวดลอ้ มมีความเก่ียวขอ้ งสมั พนั ธ์กนั
1. ต้งั คาถามที่อยบู่ นพ้ืนฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ
จากประเดน็ ที่เกิดข้ึนในขณะน้นั ท่ีสามารถทาการสารวจตรวจสอบหรือศึกษาคน้ ควา้ ไดอ้ ยา่ งครอบคลุม
และเชื่อถือได้
2. สร้างสมมุติฐานที่มีทฤษฎีรองรับ หรือคาดการณ์สิ่งท่ีจะพบ หรือสร้างแบบจาลองหรือสร้าง
รูปแบบเพ่ือนาไปสู่การสารวจตรวจสอบ
3. คน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู ที่ตอ้ งพิจารณาปัจจยั หรือตวั แปรสาคญั ปัจจยั ที่มีผลต่อปัจจยั อื่น ปัจจยั
ท่ีควบคุมไม่ได้ และจานวนคร้ังของการสารวจตรวจสอบ เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลท่ีมีความเช่ือมน่ั อยา่ งเพียงพอ
4. เลือกวสั ดุ เทคนิควิธี อปุ กรณ์ท่ีใชใ้ นการสงั เกต การวดั การสารวจตรวจสอบอยา่ งถูกตอ้ งท้งั
ทางกวา้ งและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพ
5. รวบรวมขอ้ มลู และบนั ทึกผลการสารวจตรวจสอบอยา่ งเป็นระบบ ถกู ตอ้ ง ครอบคลุมท้งั ใน
เชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเป็นไปได้ ความเหมาะสมหรือความผดิ พลาดของขอ้ มลู
6. จดั กระทาขอ้ มลู โดยคานึงถึงการรายงานผลเชิงตวั เลขท่ีมีระดบั ความถกู ตอ้ งและนาเสนอ
ขอ้ มลู ดว้ ยเทคนิควิธีที่เหมาะสม
7. วเิ คราะห์ขอ้ มลู แปลความหมายขอ้ มลู และประเมินความสอดคลอ้ งของขอ้ สรุปหรือ
สาระสาคญั เพื่อตรวจสอบกบั สมมุติฐานท่ีต้งั ไว้
8. พิจารณาความน่าเช่ือถือของวธิ ีการและผลการสารวจตรวจสอบ โดยใชห้ ลกั ความ
คลาดเคล่ือนของการวดั และการสงั เกต เสนอแนะการปรับปรุงวิธีการสารวจตรวจสอบ
9. นาผลของการสารวจตรวจสอบท่ีไดท้ ้งั วธิ ีการและองคค์ วามรู้ที่ไดไ้ ปสร้างคาถามใหม่
นาไปใชแ้ กป้ ัญหาในสถานการณ์ใหมแ่ ละในชีวติ จริง
10. ตระหนกั ถึงความสาคญั ในการที่จะตอ้ งมีส่วนร่วมรับผดิ ชอบการอธิบาย การลงความเห็น
และการสรุปผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่นาเสนอต่อสาธารณชนดว้ ยความถกู ตอ้ ง
11. บนั ทึกและอธิบายผลการสารวจตรวจสอบอยา่ งมีเหตุผลใชพ้ ยานหลกั ฐานอา้ งอิงหรือ
คน้ ควา้ เพ่ิมเติม เพื่อหาหลกั ฐานอา้ งอิงท่ีเชื่อถือได้ และยอมรับวา่ ความรู้เดิมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อ
มีขอ้ มลู และประจกั ษพ์ ยานใหม่เพ่ิมเติมหรือโตแ้ ยง้ จากเดิม ซ่ึงทา้ ทายใหม้ ีการตรวจสอบอยา่ งระมดั ระวงั
อนั จะนาไปสู่การยอมรับเป็นความรู้ใหม่
12. จดั แสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเก่ียวกบั แนวคิด กระบวนการ และผลของ
โครงงานหรือชิ้นงานใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 115
กระบวนการจัดการเรียนรู้ทใ่ี ช้ในกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
วิธีการหรือเทคนิคท่ีนามาใชใ้ นกระบวนการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์มีอยมู่ ากมายหลายวิธี ซ่ึงแต่ละ
วธิ ีจะมีประสิทธิผลในการสร้างความรู้ ทกั ษะ ประสบการณ์ และการใหโ้ อกาสนกั เรียนไดแ้ สดงบทบาท
แตกต่างกนั ออกไป ดงั น้นั ในการพิจารณาเลือกวธิ ีการใดมาใช้ ครูตอ้ งวิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ก่อนวา่
ตอ้ งการใหน้ กั เรียนเกิดพฤติกรรมใด ในระดบั ใด จึงจะนามาปรับใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั นกั เรียน ท้งั น้ีเพ่ือให้
การเรียนรู้ของนกั เรียนบรรลตุ ามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ีกาหนด
ในคู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้เลม่ น้ี นอกจากกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry
Process) แลว้ ในแผนการจดั การเรียนรู้รายชว่ั โมงยงั ไดบ้ รู ณาการเทคนิควิธีการจดั การเรียนรู้อื่น ๆ ที่
สอดคลอ้ งกบั กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ไว้ ซ่ึงแต่ละเทคนิควิธีการจดั การเรียนรู้ มีสาระพอสงั เขป
ดงั น้ี
1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Process)
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เป็นกระบวนการพ้ืนฐานที่สามารถใชใ้ นการศึกษา คน้ ควา้ การ
ตรวจสอบ และการลงขอ้ สรุป เป็นกระบวนการที่เนน้ ใหน้ กั เรียนดาเนินการหรือเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
เพื่อใหเ้ กิดทกั ษะการคิด การแกป้ ัญหา และการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง
ข้นั ตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีดงั น้ี
1) การกาหนดปัญหาและการวิเคราะห์ปัญหา
นกั เรียนอาจยกปัญหาหรือประเดน็ ท่ีน่าสนใจมาเสนอต่อกลุ่ม โดยปัญหาท่ีนามาศึกษาน้ี
อาจจะนามาจากที่ต่าง ๆ เช่น ปัญหาจากความสนใจของนกั เรียนเอง เน้ือหาในบทเรียน พบเห็นใน
ชีวิตประจาวนั และปัญหาที่กาหนดโดยครู
2) การตั้งสมมตุ ิฐาน
นกั เรียนพยายามใชค้ วามรู้ ประสบการณ์ รวมไปถึงความคิดรวบยอด หลกั การต่าง ๆ ที่ได้
เรียนมาแลว้ นามาอภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็นในกลุ่มวา่ สาเหตุของปัญหาอาจเกิดจากอะไร ซ่ึงเป็น
การทานายหรือคาดคะเนคาตอบ แลว้ จึงหาแนวทางเพื่อพิสูจน์วา่ คาตอบท่ีกาหนดข้ึนมาน้นั มีความ
ถกู ตอ้ งอยา่ งไร
3) การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
นกั เรียนลงมือปฏิบตั ิเพื่อพิสูจน์วา่ คาตอบหรือสมมุติฐานท่ีกาหนดไวม้ ีความถกู ตอ้ ง
อยา่ งไร โดยนกั เรียนจะตอ้ งเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งต่าง ๆ เช่น ตาราเรียน งานวิจยั การทดลอง การ
สมั ภาษณ์ การสงั เกต และสถิติต่าง ๆ รวบรวมขอ้ มลู ใหเ้ ป็นหมวดหมู่
4) การวิเคราะห์ข้อมลู
เป็นข้นั ตอนท่ีนกั เรียนนาขอ้ มลู ที่ไดร้ วบรวมเป็นหมวดหมแู่ ลว้ มาพิจารณาวา่ น่าเช่ือถือ
หรือไมเ่ พ่ือนาขอ้ มลู น้นั ๆ ไปพิสูจนส์ มมุติฐานอีกคร้ังหน่ึง
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 116
5) การสรุปผล
นกั เรียนนาขอ้ มลู ที่วิเคราะห์แลว้ นามาตอบคาถามหรืออธิบายปัญหาที่กาหนดไว้ แลว้ ต้งั
เป็นกฎเกณฑห์ รือหลกั การต่อไป
2. การทดลอง (Experiment)/การฝึ กปฏิบัตกิ าร (Practice)
วิธีการเรียนรู้โดยใชก้ ารทดลองหรือการฝึ กปฏิบตั ิการ เป็นกระบวนการที่นกั เรียนสามารถเกิด
การเรียนรู้จากการเห็นผลประจกั ษช์ ดั จากการคิด และการปฏิบตั ิของตนทาใหก้ ารเรียนรู้น้นั ตรงกบั ความ
เป็นจริง มีความหมายสาหรับนกั เรียนและจาไดน้ าน ซ่ึงการจดั การเรียนรู้โดยการทดลอง ครูหรือนกั เรียน
ตอ้ งกาหนดปัญหาและสมมุติฐานในการทดลอง และกระบวนการหรือข้นั ตอนในการดาเนินการทดลอง
ใหช้ ดั เจน รวมท้งั จดั เตรียมวสั ดุและอปุ กรณ์ท่ีจะใชใ้ นการทดลองใหพ้ ร้อม
ข้นั ตอนของการทดลอง มีดงั น้ี
1) กาหนดปัญหาและสมมตุ ิฐานการทดลอง
นกั เรียนกาหนดปัญหาและสมมตุ ิฐานการทดลอง หรือครูอาจเป็นผนู้ าเสนอกไ็ ด้ แต่ถา้
ปัญหามาจากตวั นกั เรียนเอง จะทาใหก้ ารเรียนรู้หรือการทดลองน้นั มีความหมายยง่ิ ข้ึน
2) เสนอความรู้ท่ีจาเป็นต่อการทดลอง
ครูใหข้ ้นั ตอนและรายละเอียดของการทดลองแก่นกั เรียน โดยใชว้ ิธีการต่าง ๆ ตามความ
เหมาะสมซ่ึงข้นั ตอนและรายละเอียดครูอาจเป็นผกู้ าหนดหรืออาจใหน้ กั เรียนร่วมกนั วางแผนกาหนดกไ็ ด้
แลว้ แต่ความเหมาะสมกบั สาระ แต่การใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมดาเนินการน้นั จะช่วยใหน้ กั เรียนพฒั นา
ทกั ษะต่าง ๆ และนกั เรียนจะกระตือรือร้นมากข้ึน ครูจาเป็นตอ้ งคอยใหค้ าปรึกษาและความช่วยเหลือ
อยา่ งใกลช้ ิด
3) นักเรียนลงมือทดลองโดยใช้วัสดอุ ุปกรณ์ท่ีจาเป็นตามขั้นตอนที่กาหนดและบันทึกข้อมลู
การทดลอง
การทดลองทาไดห้ ลายรูปแบบ ครูอาจใหน้ กั เรียนลงมือปฏิบตั ิตามข้นั ตอนที่กาหนดไวแ้ ลว้
คอยสงั เกตและใหค้ าแนะนา หรือครูอาจลงมือทาการทดลองใหน้ กั เรียนคอยสงั เกตแลว้ ทาตามคาแนะนา
ไปทีละข้นั ครูควรฝึ กฝนทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์แก่นกั เรียนก่อนทาการทดลอง หรือไมก่ ฝ็ ึ ก
ไปพร้อม ๆ กนั ซ่ึงทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบดว้ ย
– ทกั ษะการสงั เกต –ทกั ษะการกาหนดและควบคุมตวั แปร
– ทกั ษะการลงความคิดเห็นขอ้ มลู – ทกั ษะการทดลอง
– ทกั ษะการจาแนกประเภท – ทกั ษะการต้งั สมมตุ ิฐาน
– ทกั ษะการวดั – ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ
– ทกั ษะการใชต้ วั เลข – ทกั ษะการหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปซ
– ทกั ษะการจดั กระทาและสื่อความหมาย กบั สเปซและสเปซกบั เวลา
– ทกั ษะการพยากรณ์ – ทกั ษะการตีความหมายขอ้ มลู และการลง
ขอ้ สรุป
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 117
4) นักเรียนวิเคราะห์และสรุปผลการทดลอง
ข้นั ตอนน้ีนกั เรียนตอ้ งวเิ คราะห์และสรุปผลการทดลอง โดยท่ีครูคอยใหค้ าแนะนาแก่
นกั เรียนเกี่ยวกบั วธิ ีการวิเคราะหข์ อ้ มลู และการสรุปผล ซ่ึงจะช่วยใหน้ กั เรียนไดพ้ ฒั นาทกั ษะ
กระบวนการคิดและทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นเร่ืองอื่น ๆ ได้
5) ครูและนักเรียนอภิปรายผลการทดลอง และสรุปการเรียนรู้
ข้นั ตอนน้ีท้งั ครูและนกั เรียนตอ้ งร่วมกนั อภิปรายผลที่ไดจ้ ากการทดลองและสรุปการ
เรียนรู้ในเรื่องน้นั ๆ
3. กระบวนการแก้ปัญหา (Problem Solving Process)
วิธีน้ีเนน้ ใหน้ กั เรียนฝึ กการคิดแกป้ ัญหาอยา่ งมีข้นั ตอน มีเหตุผล ซ่ึงเป็นแนวทางในการนาไปใช้
แกป้ ัญหาในชีวติ ประจาวนั ได้ โดยอาศยั แนวคิดแกป้ ัญหาดว้ ยการนาวิธีสอนแบบนิรนยั (Deductive) คือ
การสอนจากกฎเกณฑไ์ ปหาความจริงยอ่ ยไปผสมผสานกบั วิธีการสอนแบบอปุ นยั (Inductive) คือ การ
สอนจากตวั อยา่ งยอ่ ยมาหาเกณฑ์ กระบวนการคิดท้งั สองอยา่ งน้ีรวมกนั ทาใหเ้ กิดรูปแบบการสอนแบบ
แกป้ ัญหา ซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี
1) เตรียมการหรือทาความเข้าใจปัญหา
ครูเนน้ ใหน้ กั เรียนต้งั ปัญหาหรือคน้ หาวา่ ปัญหาท่ีแทจ้ ริงของเหตุการณ์น้นั ๆ คืออะไร แลว้
ทาความเขา้ ใจถึงสภาพของปัญหาวา่ ปัญหาเกิดจากอะไร มีขอ้ มลู ใดแลว้ บา้ ง และมีเง่ือนไขหรือตอ้ งการ
ขอ้ มลู ใดเพิ่ม
2) การวิเคราะห์ปัญหา
เป็นการพิจารณาวา่ สิ่งใดบา้ งท่ีเป็นสาเหตุท่ีสาคญั ของปัญหา หรือสิ่งใดที่ไมใ่ ช่สาเหตุท่ีสาคญั
ของปัญหา
3) วางแผนเสนอแนวทางแก้ปัญหา
เป็นการหาวิธีการแกป้ ัญหาใหต้ รงตามสาเหตุของปัญหา แลว้ ออกมาในรูปของวิธีการสุดทา้ ย
ที่จะไดผ้ ลลพั ธอ์ อกมา ถา้ ปัญหาน้นั ตอ้ งตรวจสอบโดยการทดลอง ในข้นั วางแผนกจ็ ะประกอบดว้ ยการ
ต้งั สมมุติฐาน กาหนดวธิ ีการทดลอง และกาหนดแนวทางในการประเมินผลการแกป้ ัญหา
4) ดาเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล
นาขอ้ มลู ท่ีรวบรวมไดม้ าวิเคราะห์และทดสอบสมมุติฐานและประเมินวา่ วิธีการแกป้ ัญหา
หรือผลการทดลองเป็นไปตามสมมตุ ิฐานที่ต้งั ไวห้ รือไม่ อยา่ งไร ถา้ พบวา่ ผลลพั ธย์ งั ไม่ไดผ้ ลถกู ตอ้ ง ก็
ตอ้ งมีการเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหาน้ีใหมจ่ นกวา่ จะไดแ้ นวทางท่ีดีท่ีสุดหรือถกู ตอ้ งท่ีสุด รวมท้งั
ร่วมกนั ตรวจสอบวธิ ีการแกป้ ัญหา และผลจากการแกป้ ัญหาวา่ มีผลกระทบต่อส่ิงอื่นหรือไม่
5) การนาไปประยกุ ต์ใช้
นาวิธีการแกป้ ัญหาท่ีถกู ตอ้ งไปใชเ้ มื่อพบกบั เหตุการณ์ที่คลา้ ยคลึงกบั ปัญหาท่ีประสบมาแลว้
ข้อดี
1. นกั เรียนไดฝ้ ึ กวิธีการแกป้ ัญหาอยา่ งมีเหตุผล ฝึ กการคิดวิเคราะหแ์ ละตดั สินใจ
2. นกั เรียนไดฝ้ ึ กการคน้ ควา้ หาขอ้ มลู จากแหล่งขอ้ มลู ต่าง ๆ
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 118
3. เป็นการฝึ กการทางานร่วมกนั เป็นกลุ่มและฝึ กความรับผดิ ชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย
4. ประสบการณ์ที่นกั เรียนไดร้ ับจะมีประโยชนใ์ นการนาไปใชใ้ นชีวิตจริงท้งั ในปัจจุบนั และ
อนาคต
ข้อจากดั
1. นกั เรียนตอ้ งดาเนินการตามข้นั ตอนท่ีกาหนดไว้ ถา้ ผดิ ไปจะทาใหไ้ ดผ้ ลสรุปที่คลาดเคล่ือน
ไปจากความเป็ นจริ ง
2. นกั เรียนตอ้ งมีทกั ษะในการคน้ ควา้ หาขอ้ มลู จึงจะสรุปผลการแกป้ ัญหาไดด้ ี
3. ถา้ นกั เรียนกาหนดปัญหาไม่ดีหรือไม่คุน้ เคยกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะทาใหผ้ ลการ
เรียนการสอนไมด่ ีเท่าที่ควร
ข้อเสนอแนะ
1. ครูควรทาความเขา้ ใจปัญหาและมีขอ้ มลู สนบั สนุนที่เพียงพอ
2. การวางแผนการแกป้ ัญหาควรใชว้ ธิ ีการท่ีหลากหลายและแยกแยะปัญหาออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ
เพ่ือสะดวกต่อการลาดบั ข้นั ตอนในการแกป้ ัญหา
4. วธิ ีสอนโดยใช้การอภิปรายกล่มุ ย่อย (Small Group Discussion)
วิธีน้ีเป็นกระบวนการท่ีครูใชใ้ นการช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีกาหนด
โดยการจดั นกั เรียนเป็นกลมุ่ เลก็ ๆ ประมาณ 4–8 คน ใหน้ กั เรียนในกลุ่มพดู คุยแลกเปลี่ยนขอ้ มลู ความ
คิดเห็น และประสบการณ์ในเร่ืองหรือประเดน็ ที่กาหนด แลว้ สรุปผลการอภิปรายออกมาเป็นขอ้ สรุปของ
กลมุ่ ซ่ึงการจดั การเรียนรู้โดยใชก้ ารอภิปรายกลมุ่ ยอ่ ยน้ี จะช่วยใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ
เรียนรู้อยา่ งทว่ั ถึง มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแลกเปล่ียนประสบการณ์ จะช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการ
เรียนรู้ในเร่ืองที่เรียนกวา้ งข้ึน
ข้นั ตอนของการจดั การเรียนรู้โดยใชก้ ารอภิปรายกล่มุ มีดงั น้ี
1) ครูจดั นกั เรียนออกเป็นกล่มุ ยอ่ ย ๆ ประมาณ 4–8 คน ควรเป็นกล่มุ ท่ีไมเ่ ลก็ เกินไปและไม่
ใหญเ่ กินไป เพราะถา้ กลมุ่ เลก็ จะไม่ไดค้ วามคิดที่หลากหลายเพียงพอ ถา้ กลุ่มใหญส่ มาชิกกลุ่มจะมี
โอกาสแสดงความคิดเห็นไดไ้ มท่ ว่ั ถึง ซ่ึงการแบ่งกลุ่มอาจทาไดห้ ลายวิธี เช่น วธิ ีสุ่มเพ่ือใหน้ กั เรียนมี
โอกาสไดร้ ่วมกลมุ่ กบั เพื่อนไม่ซ้ากนั จาแนกตามเพศ วยั ความสนใจ ความสามารถ หรือเลือกอยา่ ง
เจาะจงตามปัญหาท่ีมีกไ็ ด้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคข์ องครูและสิ่งท่ีจะอภิปราย
2) ครูหรือนกั เรียนกาหนดประเดน็ ในการอภิปราย ใหม้ ีวตั ถุประสงคข์ องการอภิปรายที่ชดั เจน
โดยที่การอภิปรายแต่ละคร้ังไมค่ วรมีประเดน็ มากจนเกินไป เพราะจะทาใหน้ กั เรียนอภิปรายไดไ้ ม่เตม็ ท่ี
3) นกั เรียนเริ่มอภิปรายโดยการพดู คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กนั ตาม
ประเดน็ ท่ีกาหนดในการอภิปรายแต่ละคร้ัง ควรมีการกาหนดบทบาทหนา้ ที่ที่จาเป็นในการอภิปราย เช่น
ประธานหรือผนู้ าในการอภิปราย เลขานุการ ผจู้ ดบนั ทึก และผรู้ ักษาเวลา นอกจากน้ีครูควรบอกให้
สมาชิกกลุ่มทุกคนทราบถึงบทบาทหนา้ ที่ของตน ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ หรือคาแนะนาแก่กลุ่มก่อนการ
อภิปราย และควรย้าถึงความสาคญั ของการใหส้ มาชิกทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการอภิปรายอยา่ งทว่ั ถึง
เพราะวตั ถุประสงคห์ ลกั ของการอภิปรายคือ การใหน้ กั เรียนมีโอกาสแสดงความคิดเห็นอยา่ งทวั่ ถึง และ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 119
ไดร้ ับฟังความคิดเห็นท่ีหลากหลาย ซ่ึงจะช่วยใหน้ กั เรียนมีความคิดที่ลึกซ้ึง และรอบคอบข้ึน ในกรณีที่มี
หลายประเดน็ ควรมีการจากดั เวลาของการอภิปรายแต่ละประเดน็ ใหม้ ีความเหมาะสม
4) นกั เรียนสรุปสาระที่สมาชิกกลุ่มไดอ้ ภิปรายร่วมกนั เป็นขอ้ สรุปของกลุม่ ครูควรให้
สญั ญาณแก่กลุ่มก่อนหมดเวลา เพื่อที่แต่ละกลุ่มจะไดส้ รุปผลการอภิปรายเป็นขอ้ สรุปของกลุ่ม หลงั จาก
น้นั อาจใหแ้ ต่ละกลุ่มนาเสนอผลการอภิปรายแลกเปลี่ยนกนั หรือดาเนินการในรูปแบบอ่ืนต่อไป
5) นาขอ้ สรุปของกลุ่มมาใชใ้ นการสรุปบทเรียน หลงั จากการอภิปรายสิ้นสุดลง ครูจาเป็นตอ้ ง
เชื่อมโยงความรู้ที่นกั เรียนไดร้ ่วมกนั คิดกบั บทเรียนท่ีกาลงั เรียนรู้ โดยนาขอ้ สรุปของกลุ่มมาใชใ้ นการ
สรุปบทเรียนดว้ ย
5. กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ (Cooperative Learning)
วธิ ีการน้ีเป็นการผสมผสานหลกั การอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมและความสามารถทางวิชาการเขา้
ดว้ ยกนั โดยใหน้ กั เรียนท่ีมีความรู้ความสามารถแตกต่างกนั มาทางานร่วมกนั คนที่เก่งกวา่ จะตอ้ ง
ช่วยเหลือคนที่อ่อนกวา่ ทุกคนตอ้ งมีโอกาสไดแ้ สดงความสามารถ ร่วมแสดงความคิดเห็นและปฏิบตั ิจริง
โดยถือวา่ ความสาเร็จของแต่ละบุคคล คือ ความสาเร็จของกลุม่
ข้นั ตอนของการเรียนแบบร่วมแรงร่วมใจ มีดงั น้ี
1) ขั้นเตรียม
แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ แนะนาแนวทางในการทางานกลุ่ม บทบาทหนา้ ที่ของสมาชิกใน
กล่มุ และแจง้ วตั ถุประสงคข์ องการทางาน
2) ขน้ั สอน
นาเขา้ สู่บทเรียน แนะนาเน้ือหาสาระ แหล่งความรู้ แลว้ มอบหมายงานใหน้ กั เรียนแต่ละ
กลุ่ม
3) ขั้นทากิจกรรม
นกั เรียนร่วมกนั ทากิจกรรมในกลมุ่ ย่อย โดยสมาชิกแต่ละคนมีบทบาทหนา้ ท่ีตามที่ไดร้ ับ
มอบหมายซ่ึงในการทากิจกรรมกลุ่มครูจะใชเ้ ทคนิคต่าง ๆ เช่น ค่คู ิด เพื่อนเรียน ปริศนาความคิด กล่มุ
ร่วมมือ การทากิจกรรมแต่ละคร้ังจะตอ้ งเลือกเทคนิคใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถุประสงคใ์ นการเรียนแต่ละเรื่อง
โดยอาจใชเ้ ทคนิคเดียวหรือหลายเทคนิครวมกนั กไ็ ด้
4) ข้ันตรวจสอบผลงาน
เม่ือทากิจกรรมเสร็จแลว้ ตอ้ งมีการตรวจสอบการปฏิบตั ิงานวา่ ถกู ตอ้ งครบถว้ นหรือไม่
โดยเริ่มจากการตรวจภายในกลุ่มและระหวา่ งกลมุ่ เพ่ือนาขอ้ บกพร่องในการปฏิบตั ิงานไปปรับปรุงใหด้ ี
ข้ึน
5) ข้นั สรุปบทเรียนและประเมินผล
ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปบทเรียน ครูอธิบายเพ่ิมเติมในส่วนท่ีนกั เรียนยงั ไม่เขา้ ใจ และ
ช่วยกนั ประเมินผลการทางานกลุ่มวา่ จุดเด่นของงานคืออะไร และอะไรคือสิ่งที่ควรปรับปรุงและแกไ้ ข
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 120
ตวั อย่างเทคนิคการเรียนแบบร่ วมแรงร่วมใจ
1) เพ่ือนเรียน (Partners)
ใหน้ กั เตรียมจบั คู่กนั ทาความเขา้ ใจเน้ือหาและสาระสาคญั ของเรื่องที่ครูกาหนดให้ โดยคู่ที่
ยงั ไม่เขา้ ใจอาจขอคาแนะนาจากครูหรือคู่อื่นท่ีเขา้ ใจดีกวา่ เมื่อค่นู ้นั เกิดความเขา้ ใจดีแลว้ ก็ถา่ ยทอด
ความรู้ใหเ้ พ่ือนค่อู ื่นต่อไป
2) ปริศนาความคิด (Jigsaw)
แบ่งกลุม่ นกั เรียนโดยคละความสามารถ เก่ง–ออ่ น เรียกวา่ “กลมุ่ บา้ น” (Home Groups) ครู
แบ่งเน้ือหาออกเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ย ๆ เท่ากบั จานวนสมาชิกกลุ่ม ใหส้ มาชิกในกลุ่มศึกษาหวั ขอ้ ที่แตกต่างกนั
นกั เรียนที่ไดร้ ับหวั ขอ้ เดียวกนั มารวมกล่มุ เพ่ือร่วมกนั ศึกษา เรียกวา่ “กลุ่มผเู้ ช่ียวชาญ” (Expert Groups)
เมื่อร่วมกนั ศึกษาจนเขา้ ใจแลว้ สมาชิกแต่ละคนออกจากกลุ่มผเู้ ช่ียวชาญกลบั ไปกล่มุ บา้ นของตนเอง
จากน้นั ถ่ายทอดความรู้ที่ตนศึกษามาใหเ้ พ่ือน ๆ ในกลุ่มฟังจนครบทุกคน
3) กล่มุ ร่วมมือ (Co-op Co-op)
แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลมุ่ คละความสามารถกนั แต่ละกลุ่มเลือกหวั ขอ้ ท่ีจะศึกษาเม่ือได้
หวั ขอ้ แลว้ สมาชิกในกลุ่มช่วยกนั กาหนดหวั ขอ้ ยอ่ ย แลว้ แบ่งหนา้ ที่กนั รับผิดชอบ โดยศึกษาคนละ 1
หวั ขอ้ ยอ่ ย จากน้นั สมาชิกนาผลงานมารวมกนั เป็นงานกลุ่ม ช่วยกนั เรียบเรียงเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกนั
และเตรียมทีมนาเสนอผลงานหนา้ หอ้ งเรียน เมื่อนาเสนอผลงานแลว้ ทุกกลุ่มช่วยกนั ประเมินผลการ
ทางานและผลงานกลุ่ม
4) กล่มุ ร่วมกันคิด (Numbered Heads Together : NHT)
วธิ ีน้ีเหมาะสาหรับการทบทวนความรู้ใหน้ กั เรียน ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
(1) แบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่ม กลมุ่ ละ 4 คน คละความสามารถกนั แต่ละคนมีหมายเลข
ประจาตวั
(2) ครูถามคาถามหรือมอบหมายงานใหท้ า
(3) นกั เรียนช่วยกนั อภิปรายในกล่มุ ยอ่ ยจนมนั่ ใจวา่ สมาชิกทุกคนมน่ั ใจในคาตอบ
(4) ครูสุ่มถามโดยเรียกหมายเลขประจาตวั คนใดคนหน่ึงในกลุ่มตอบ
(5) ครูใหค้ าชมเชยแก่สมาชิกกล่มุ ท่ีสามารถตอบคาถามไดม้ ากท่ีสุด และอธิบายขอ้ คาถาม
ท่ีนกั เรียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจ
6. การสอนแบบการคิดวเิ คราะห์วจิ ารณ์
การคิดวิเคราะหว์ ิจารณ์เป็นการคิดอยา่ งพิจารณารอบคอบในขอ้ ความท่ีเป็นปัญหา โดยหา
หลกั ฐานท่ีมีเหตุผลหรือขอ้ มลู ท่ีเชื่อถือได้ มายืนยนั การตดั สินใจตามเรื่องราวหรือสถานการณ์น้นั เพ่ือให้
ไดม้ าซ่ึงขอ้ สรุปที่ถกู ตอ้ ง ในการจดั การเรียนการสอนแบบการคิดวเิ คราะห์ ม่งุ สร้างนกั เรียนใหม้ ีลกั ษณะ
ของนกั คิดวเิ คราะห์วจิ ารณ์ กล่าวคือ เป็นบุคคลที่กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้และขอ้ มลู ต่าง ๆ
เพื่อนามาใชพ้ ิจารณา ตดั สินใจเก่ียวกบั เร่ืองราวหรือสถานการณ์ท่ีเป็นปัญหาไดถ้ กู ตอ้ ง โดยมีเหตุผลและ
หลกั ฐานมาสนบั สนุน ซ่ึงมีข้นั ตอนดงั น้ี
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 121
1) เสนอสถานการณ์ท่ีกระตุน้ ใหค้ ิด ซ่ึงไดจ้ ากประสบการณ์ตรงของนกั เรียนหรือสิ่งแวดลอ้ ม
ใกลต้ วั
2) จดั กิจกรรมใหน้ กั เรียนไดค้ ิดอยา่ งเป็นระบบและใชเ้ หตุผล เช่น การศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้
ความจริงดว้ ยตนเอง การใชก้ ิจกรรมหรือสถานการณ์สมมตุ ิใหน้ กั เรียนเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ มองเห็น
ปัญหาและพยายามคิดคน้ การแกป้ ัญหา
3) นาขอ้ มลู ต่าง ๆ มาใชใ้ นกระบวนการคิด โดยมีการระดมสมอง การไตร่ตรองความคิด การ
วิเคราะห์ วิจารณ์อยา่ งมีเหตุผลของกลุ่ม
4) คิดและตดั สินใจ ลงมือปฏิบตั ิ โดยการรวบรวมขอ้ มลู จากการคิดวเิ คราะหว์ จิ ารณ์มาเป็นอยา่ ง
ดีแลว้ มาเป็นพ้ืนฐานในการตดั สินใจ ลงมือปฏิบตั ิตามแนวทาง เพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนด
5) ตรวจสอบวดั และประเมินผล มีท้งั การตรวจสอบ วดั และประเมินผลของงาน การปฏิบตั ิ
กิจกรรม ท้งั รายบุคคลและรายกลุม่
ข้อดี
1. นกั เรียนไดใ้ ชค้ วามสามารถในการคิดวิเคราะห์ วจิ ารณ์ดว้ ยตนเอง
2. นกั เรียนมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ
3. นกั เรียนสามารถนาผลงานที่ไดไ้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั
ข้อจากดั
1. ครูใชเ้ วลาในการเตรียมการสอนมากและตอ้ งยืดหยนุ่ เวลาในการเรียนรู้ใหแ้ ก่นกั เรียน
2. ถา้ นกั เรียนไม่กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้กไ็ มส่ ามารถนาขอ้ มลู มาคิดวเิ คราะห์
ประกอบการตดั สินใจได้
7. วธิ ีสอนแบบใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้า
กระบวนการศึกษาคน้ ควา้ เป็นวธิ ีการที่นกั เรียนทาการศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสาร ตารา สิ่งพิมพ์
และสื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ เพ่ือใหท้ ราบความรู้ ความจริง ขอ้ มลู ทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงเป็นเรื่องจาเป็นท่ีตอ้ งใช้
ควบคู่กบั วิธีสอนแบบอ่ืน ๆ กระบวนการศึกษาคน้ ควา้ มีข้นั ตอน ดงั น้ี
1. กาหนดจุดประสงคก์ ารศึกษาคน้ ควา้ โดยนกั เรียนกาหนดกรอบการเรียนรู้ของตนเองวา่
ตอ้ งการศึกษาคน้ ควา้ เรื่องใด เพราะเหตุใด
2. วางแผนการศึกษาคน้ ควา้ เพื่อกาหนดแนวทางการศึกษาคน้ ควา้ ท่ีกาหนดไว้ เช่น กาหนด
รายการหรือประเดน็ เน้ือหายอ่ ยท่ีตอ้ งการศึกษาคน้ ควา้ แหลง่ ขอ้ มลู และวิธีการบนั ทึกขอ้ มูล
3. ศึกษาคน้ ควา้ ตามแผนที่กาหนดไว้ บนั ทึกขอ้ มูล และระบุแหล่งอา้ งอิง
4. นาเสนอขอ้ มลู ขอ้ คน้ พบท่ีไดจ้ ากการศึกษาคน้ ควา้ นาเสนอต่อกลุ่มหรือเพ่ือนในหอ้ งเรียน ทา
การวเิ คราะห์ อภิปรายความเหมือนและความแตกต่างกนั ของขอ้ มลู จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ความสมบรู ณ์
ถกู ตอ้ ง ความน่าเช่ือถือ และสรุปความรู้ท่ีได้
5. จดั ทารายงานสรุปความรู้ พรอ้ มท้งั อา้ งอิงแหล่งขอ้ มลู
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 122
ข้อเสนอแนะในการสอนด้วยกระบวนการศึกษาค้นคว้า
1. วธิ ีการสอนน้ี ครูจะตอ้ งจดั เตรียม จดั หาหนงั สือ เอกสารท่ีตอ้ งใชใ้ นการคน้ ควา้ ใหเ้ พียงพอ
และตรงกบั ความตอ้ งการของนกั เรียน
2. การคน้ ควา้ ของนกั เรียนควรใชแ้ หลง่ ความรู้ท่ีหลากหลาย ระบุแหล่งอา้ งอิงใหช้ ดั เจน
3. การสรุปความรู้จะตอ้ งมีกระบวนการวิเคราะห์ อภิปราย เปรียบเทียบ สรุปร่วมกนั อยา่ ง
กวา้ งขวางของนกั เรียน
8. โครงงาน (Project Work)
โครงงานเป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดแ้ สวงหาความรู้ เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนมี
ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ลงมือปฏิบตั ิ และศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง ตามแผนการดาเนินงานท่ีนกั เรียนได้
จดั ข้ึน โดยครูช่วยใหค้ าแนะนาปรึกษา กระตุน้ ใหค้ ิด และติดตามการปฏิบตั ิงานจนบรรลเุ ป้ าหมาย
โครงงานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) โครงงานประเภทสารวจ รวบรวมขอ้ มูล
2) โครงงานประเภททดลอง คน้ ควา้
3) โครงงานที่เป็นการศึกษาความรู้ ทฤษฎี หลกั การหรือแนวคิดใหม่
4) โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
การเรียนรู้ดว้ ยโครงงานมีข้นั ตอน ดงั น้ี
(1) กาหนดหัวข้อที่จะศึกษา
นกั เรียนคิดหวั ขอ้ โครงงาน ซ่ึงอาจไดม้ าจากความอยากรู้อยากเห็นของนกั เรียนเองหรือได้
จากการอ่านหนงั สือ บทความ หรือการไปทศั นศึกษาดงู าน โดยนกั เรียนตอ้ งต้งั คาถามว่า “จะศึกษา
อะไร” “ทาไมต้องศึกษาเร่ืองดังกล่าว”
(2) ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้อง
ศึกษาทบทวนเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งและปรึกษาครู หรือผทู้ ่ีมีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขา
น้นั ๆ
(3) เขียนเค้าโครงของโครงงานหรือสร้างแผนผังความคิด
โดยทว่ั ไปเคา้ โครงของโครงงานจะประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ต่าง ๆ ดงั น้ี
– ชื่อโครงงาน
– ชื่อผทู้ าโครงงาน
– ช่ือที่ปรึกษาโครงงาน
– ระยะเวลาดาเนินการ
– หลกั การและเหตุผล
– วตั ถุประสงค์
– สมมุติฐานของการศึกษา (ในกรณีที่เป็นโครงงานทดลอง)
– ข้นั ตอนการดาเนินงาน
– ปฏิบตั ิโครงงาน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 123
– ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ
– เอกสารอา้ งอิง/บรรณานุกรม
(4) การปฏิบัติโครงงาน
ลงมือปฏิบตั ิงานตามแผนงานที่กาหนดไว้ ในระหวา่ งปฏิบตั ิงานควรมีการจดบนั ทึกขอ้ มูล
ต่าง ๆ ไวอ้ ยา่ งละเอียดวา่ ทาอยา่ งไร ไดผ้ ลอยา่ งไร มีปัญหาหรืออุปสรรคอะไร และมีแนวทางแกไ้ ข
อยา่ งไร
(5) การเขียนรายงาน
เป็นการรายงานสรุปผลการดาเนินงาน เพ่ือใหผ้ อู้ ื่นไดท้ ราบแนวคิด วธิ ีดาเนินงาน ผลที่
ไดร้ ับ และขอ้ เสนอแนะต่าง ๆ เก่ียวกบั โครงงาน ซ่ึงการเขียนรายงานน้ีควรใชภ้ าษาที่กระชบั เขา้ ใจง่าย
ชดั เจน และครอบคลมุ ประเดน็ ที่ศึกษา
(6) การแสดงผลงาน
เป็นการนาผลของการดาเนินงานมาเสนอ อาจจดั ไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การจดั นิทรรศการ
การทาเป็นส่ือส่ิงพิมพ์ ส่ือมลั ติมีเดีย หรืออาจนาเสนอในรูปของการแสดงผลงาน การนาเสนอดว้ ยวาจา
บรรยาย อภิปรายกลุ่ม และสาธิต
ข้อดี
1. นกั เรียนไดร้ ับความรู้ในเน้ือหาของสาระการเรียนรู้ที่เป็นผลจากการศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสาร
ต่าง ๆ และขอ้ คน้ พบจากการทาโครงงาน
2. นกั เรียนไดฝ้ ึ กทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะการแสวงหาความรู้ และสามารถ
ถ่ายโยงการเรียนรู้กบั กระบวนการแกป้ ัญหาไดด้ ว้ ยตนเอง
3. นกั เรียนมีเจตคติท่ีดีต่อวิทยาศาสตร์ท่ีไดม้ ีโอกาสเลือกเร่ืองท่ีตนเองสนใจศึกษาคน้ ควา้ และ
คน้ พบคาตอบของปัญหาดว้ ยตนเอง ซ่ึงจะทาใหน้ กั เรียนเกิดความชอบและสนใจ มีเจตคติ และค่านิยม
ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความสงสยั ใฝ่ รู้ มีเหตุผล มีใจกวา้ งในการทางาน มีความรับผิดชอบ และทางาน
ร่วมกบั ผอู้ ่ืนไดอ้ ยา่ งมีความสุข
ข้อจากดั
1. โครงงานไม่ไดม้ าจากความสนใจและความตอ้ งการของนกั เรียนอยา่ งแทจ้ ริง
2. ถา้ แหลง่ ความรู้มีไมเ่ พียงพอ จะทาใหเ้ กิดความยงุ่ ยากในการแสวงหาความรู้และการจุด
ประกายความคิดในการทาโครงงาน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 124
ตวั อย่าง
ตาราง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งวิธีสอน/เทคนิค ทกั ษะ/พฤติกรรม คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และเคร่ืองมือ
วดั และประเมินผล
วธิ ีสอน/เทคนคิ ทกั ษะ/พฤตกิ รรม เคร่ืองมอื วดั และประเมนิ ผล
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. แบบสืบเสาะหาความรู้ – การหาความรู้ดว้ ยตนเอง – แบบประเมินกระบวนการ
– การมีส่วนร่วม แสวงหาความรู้
– การคน้ ควา้ – แบบประเมินกระบวนการ
– การสารวจ แกป้ ัญหา
– การวิเคราะห์ – แบบวดั เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์
– การลงสรุป
– การตดั สินใจ
– ความคิดสร้างสรรค์
2. กระบวนการทาง – การกาหนดปัญหา – แบบประเมินกระบวนการ
วิทยาศาสตร์ – การวเิ คราะหป์ ัญหา แสวงหาความรู้
– การต้งั สมมุติฐาน – แบบประเมินกระบวนการ
– การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แกป้ ัญหา
– การวิเคราะห์ขอ้ มลู – แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์
– การลงขอ้ สรุป
– การตดั สินใจ
3. การทดลอง/การฝึ ก – การวางแผนการการทดลอง – แบบประเมินความสามารถในการ
ปฏิบตั ิการ – การดาเนินการทดลอง ทดลอง
– การรายงาน – แบบประเมินกระบวนการกลุ่ม
4. กระบวนการแกป้ ัญหา – ความร่วมมือ – แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์
– การตรงต่อเวลา
– การยอมรับฟังความคิดเห็นของ – แบบประเมินกระบวนการ
ผอู้ ื่น แกป้ ัญหา
– การคิดวเิ คราะห์ – แบบประเมินกระบวนการกลุ่ม
– การตดั สินใจ
– การทางานเป็นกล่มุ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 125
วธิ ีสอน/เทคนคิ ทักษะ/พฤตกิ รรม เคร่ืองมอื วดั และประเมนิ ผล
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
5. วธิ ีสอนโดยใชก้ าร
อภิปรายกลุ่มยอ่ ย – กระบวนการกล่มุ – แบบประเมินกระบวนการ
– การวางแผน แกป้ ัญหา
– การแกป้ ัญหา – แบบประเมินกระบวนการกลุ่ม
– การตดั สินใจ – แบบวดั เจตคติทางวิทยาศาสตร์
– ความคิดระดบั สูง เช่น การนาไปใช้
วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ประเมินผล
– การแกไ้ ขขอ้ ขดั แยง้
– การส่ือสาร
– การประเมินผลงาน
– การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้
6. กระบวนการเรียนรู้ – กระบวนการกลมุ่ – แบบประเมินกระบวนการ
แบบร่วมแรงร่วมใจ – การส่ือสาร แกป้ ัญหา
– ความรับผิดชอบร่วมกนั – แบบประเมินกระบวนการกลุ่ม
– ทกั ษะทางสงั คม – แบบวดั เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์
– การแกป้ ัญหา
– การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และ
การทางานร่วมกนั
7. การสอนแบบการคิด – การสะสมผลงาน – แบบประเมินรายงานการศึกษา
วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ – การคน้ ควา้ คน้ ควา้
– ทกั ษะการปฏิบตั ิ – แบบประเมินกระบวนการ
8. วิธีสอนแบบใช้ – การวเิ คราะห์ วิจารณ์ แกป้ ัญหา
กระบวนการศึกษา – การตดั สินใจ
คน้ ควา้ – การประยกุ ตค์ วามรู้ไปใชใ้ น – แบบประเมินทกั ษะกระบวนการ
ชีวติ ประจาวนั ทางวทิ ยาศาสตร์
– การวเิ คราะห์ – แบบประเมินการแกป้ ัญหา
– การอภิปรายและลงสรุป – แบบประเมินกระบวนการศึกษา
– การวางแผน คน้ ควา้
– ความรู้ ความเขา้ ใจ
– ความสามารถในการปฏิบตั ิงาน
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 126
วธิ ีสอน/เทคนคิ ทกั ษะ/พฤตกิ รรม เคร่ืองมอื วดั และประเมนิ ผล
9. โครงงาน คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
– ความคิดสร้างสรรค์
– ความร่วมมือ
– ความรับผิดชอบ
– การยอมรับความคิดเห็นของกล่มุ
– การสะสมผลงาน – แบบประเมินแฟ้ มสะสมผลงาน
– การกาหนดประเดน็ ปัญหา – แบบประเมินโครงงาน
– การวางแผนข้นั ตอนการดาเนินงาน – แบบประเมินทกั ษะกระบวนการ
– ทกั ษะกระบวนการทาง ทางวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ – แบบประเมินการแกป้ ัญหา
– การแกป้ ัญหา
– การรายงาน
– ความคิดสร้างสรรค์
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 127
แฟ้ มสะสมผลงาน (Portfolio)
แฟ้ มสะสมผลงาน หมายถึง แหลง่ รวบรวมเอกสาร ผลงาน หรือหลกั ฐาน เพ่ือใชส้ ะทอ้ นถึง
ผลสมั ฤทธ์ิ ความสามารถ ทกั ษะ และพฒั นาการของนกั เรียน มีการจดั เรียบเรียงผลงานไวอ้ ยา่ งมีระบบ
โดยนาความรู้ ความคิด และการนาเสนอมาผสมผสานกนั ซ่ึงนกั เรียนเป็นผคู้ ดั เลือกผลงานและมีส่วน
ร่วมในการประเมิน แฟ้ มสะสมผลงานจึงเป็นหลกั ฐานสาคญั ที่จะทาใหน้ กั เรียนสามารถมองเห็น
พฒั นาการของตนเองไดต้ ามสภาพจริง รวมท้งั เห็นขอ้ บกพร่องและแนวทางในการปรับปรุงแกไ้ ขใหด้ ี
ข้ึนต่อไป
ลกั ษณะสาคัญของการประเมนิ ผลโดยใช้แฟ้ มสะสมผลงาน
1. ครูสามารถใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในการติดตามความกา้ วหนา้ ของนกั เรียนเป็นรายบุคคลไดเ้ ป็น
อยา่ งดี เน่ืองจากมีผลงานสะสมไว้ ครูจะทราบจุดเด่น จุดดอ้ ยของนกั เรียนแต่ละคนจากแฟ้ มสะสม
ผลงาน และสามารถติดตามพฒั นาการไดอ้ ยา่ งต่อเนื่อง
2. มุง่ วดั ศกั ยภาพของนกั เรียนในการผลิตหรือสร้างผลงาน มากกวา่ การวดั ความจาจากการทา
แบบทดสอบ
3. วดั และประเมินโดยเนน้ นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลาง คือ นกั เรียนเป็นผวู้ างแผน ลงมือปฏิบตั ิงาน
รวมท้งั ประเมินและปรับปรุงตนเอง ซ่ึงมีครูเป็นผชู้ ้ีแนะ เนน้ การประเมินผลยอ่ ยมากกวา่ การประเมินผล
รวม
4. ฝึ กใหน้ กั เรียนรู้จกั การประเมินตนเอง และหาแนวทางปรับปรุงพฒั นาตนเอง
5. นกั เรียนเกิดความมน่ั ใจและภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง รู้วา่ ตนเองมีจุดเด่นในเร่ืองใด
6. ช่วยในการส่ือความหมายเก่ียวกบั ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนพฒั นาการของนกั เรียนใหผ้ ู้
ท่ีเก่ียวขอ้ งทราบ เช่น ผปู้ กครอง ฝ่ ายแนะแนว ตลอดจนผบู้ ริหารของโรงเรียน
ข้นั ตอนการประเมนิ ผลโดยใช้แฟ้ มสะสมผลงาน
การจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงานมี 10 ข้นั ตอน ซ่ึงแต่ละข้นั ตอนมีรายละเอียด ดงั น้ี
1. การวางแผนจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงาน การจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงานตอ้ งมีส่วนร่วมระหวา่ งครู
นกั เรียน และผปู้ กครอง
ครู การเตรียมตวั ของครูตอ้ งเริ่มจากการศึกษา และวเิ คราะหห์ ลกั สูตร คู่มือครู คาอธิบายรายวชิ า
วธิ ีการวดั และประเมินผลในหลกั สูตร รวมท้งั ครูตอ้ งมีความรู้และเขา้ ใจเก่ียวกบั การประเมินโดยใชแ้ ฟ้ ม
สะสมผลงาน จึงสามารถวางแผนกาหนดชิ้นงานได้
นกั เรียน ตอ้ งมีความเขา้ ใจเก่ียวกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เน้ือหาสาระ การประเมินผลโดยใช้
แฟ้ มสะสมผลงาน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ การกาหนดชิ้นงาน และบทบาทในการทางาน
กล่มุ โดยครูตอ้ งแจง้ ใหน้ กั เรียนทราบล่วงหนา้
ผู้ปกครอง ตอ้ งเขา้ มามีส่วนร่วมในการคดั เลือกผลงาน การแสดงความคิดเห็น และรับรู้
พฒั นาการของนกั เรียนอยา่ งต่อเน่ือง ดงั น้นั ก่อนทาแฟ้ มสะสมผลงาน ครูตอ้ งแจง้ ใหผ้ ปู้ กครองทราบหรือ
ขอความร่วมมือ รวมท้งั ใหค้ วามรู้ในเรื่องการประเมินผลโดยใชแ้ ฟ้ มสะสมผลงานแก่ผปู้ กครองเม่ือมี
โอกาส
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 128
2. การรวบรวมผลงานและจัดระบบแฟ้ ม ในการรวบรวมผลงานตอ้ งออกแบบการจดั เกบ็ หรือ
แยกหมวดหม่ขู องผลงานใหด้ ี เพ่ือสะดวกและง่ายต่อการนาขอ้ มลู ออกมาใช้ แนวทางการจดั หมวดหมู่
ของผลงาน เช่น
– จดั แยกตามลาดบั วนั เวลา ท่ีสร้างผลงานข้ึนมา
– จดั แยกตามความซบั ซอ้ นของผลงาน เป็นการแสดงถึงทกั ษะหรือพฒั นาการของนกั เรียนท่ี
มากข้ึน
– จดั แยกตามวตั ถุประสงค์ เน้ือหา หรือประเภทของผลงาน
ผลงานท่ีอยใู่ นแฟ้ มสะสมผลงานอาจมีหลายเรื่อง หลายวิชา ดงั น้นั นกั เรียนจะตอ้ งทาเครื่องมือ
ในการช่วยคน้ หา เช่น สารบญั ดชั นีเรื่อง จุดสี และแถบสีติดไวท้ ี่ผลงานโดยมีรหสั ท่ีแตกต่างกนั
3. การคัดเลอื กผลงาน ในการคดั เลือกผลงานน้นั ควรใหส้ อดคลอ้ งกบั เกณฑห์ รือมาตรฐานที่
โรงเรียน ครู หรือนกั เรียนร่วมกนั กาหนดข้ึนมา และผคู้ ดั เลือกผลงานควรเป็นนกั เรียนเจา้ ของแฟ้ มสะสม
ผลงาน หรือมีส่วนร่วมกบั ครู เพื่อน และผปู้ กครอง
ผลงานที่เลือกเขา้ แฟ้ มสะสมผลงาน ควรมีลกั ษณะดงั น้ี
– สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาและวตั ถุประสงคข์ องการเรียนรู้
– เป็นผลงานชิ้นที่ดีท่ีสุด มีความหมายต่อนกั เรียนมากท่ีสุด
– สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงพฒั นาการของนกั เรียนในทุกดา้ น
– เป็นสื่อที่จะช่วยใหน้ กั เรียนมีโอกาสแลกเปล่ียนความคิดเห็นกบั ครู ผปู้ กครอง และเพื่อน ๆ
ส่วนจานวนชิ้นงานน้นั ใหก้ าหนดตามความเหมาะสม ไมค่ วรมีมากเกินไป เพราะอาจจะทาให้
ผลงานบางชิ้นไม่มีความหมาย แต่ถา้ มีนอ้ ยเกินไปจะทาใหก้ ารประเมินไม่มีประสิทธิภาพ
4. สร้างสรรค์แฟ้ มสะสมผลงานให้มเี อกลกั ษณ์ของตนเอง โครงสร้างหลกั ของแฟ้ มสะสม
ผลงานอาจเหมือนกนั แต่นกั เรียนสามารถตกแต่งรายละเอียดยอ่ ยใหแ้ ตกต่างกนั ตามความคิดสร้างสรรค์
ของแต่ละบุคคล โดยอาจใชภ้ าพ สี สติกเกอร์ ตกแต่งใหส้ วยงามเนน้ เอกลกั ษณ์ของเจา้ ของแฟ้ มสะสม
ผลงาน
5. การแสดงความคดิ เห็นหรือความรู้สึกต่อผลงาน ในข้นั ตอนน้ีนกั เรียนจะไดร้ ู้จกั การ
วพิ ากษว์ จิ ารณ์ หรือสะทอ้ นความคิดเก่ียวกบั ผลงานของตนเอง ตวั อยา่ งขอ้ ความที่ใชแ้ สดงความรู้สึกต่อ
ผลงาน เช่น
– ไดแ้ นวคิดจากการทาผลงานชิ้นน้ีมาจากไหน
– เหตุผลท่ีเลือกผลงานชิ้นน้ีคืออะไร
– จุดเด่น จุดดอ้ ยของผลงานชิ้นน้ีคืออะไร
– รู้สึกพอใจกบั ผลงานชิ้นน้ีมากนอ้ ยเพียงใด
– ไดข้ อ้ คิดอะไรจากการทาผลงานชิ้นน้ี
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 129
6. ตรวจสอบความสามารถของตนเอง เป็นการเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดป้ ระเมินความสามารถ
ของตนเอง โดยพิจารณาตามเกณฑย์ อ่ ย ๆ ที่ครูและนกั เรียนช่วยกนั กาหนดข้ึน เช่น นิสยั การทางาน
ทกั ษะทางสงั คม การทางานเสร็จตามระยะเวลาที่กาหนด การขอความช่วยเหลือเม่ือมีความจาเป็น
นอกจากน้ีการตรวจสอบความสามารถตนเองอีกวิธีหน่ึง คือ การใหน้ กั เรียนเขียนวิเคราะหจ์ ุดเด่น จุดดอ้ ย
ของตนเอง และสิ่งที่ตอ้ งปรับปรุงแกไ้ ข
7. การประเมนิ ผลงาน เป็นข้นั ตอนที่สาคญั เน่ืองจากเป็นการสรุปคุณภาพของงานและ
ความสามารถหรือพฒั นาการของนกั เรียน การประเมินแบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ การประเมินโดย
ไมใ่ หร้ ะดบั คะแนน และการประเมินโดยใหร้ ะดบั คะแนน
การประเมินโดยไม่ให้ระดบั คะแนน ครูกลุ่มน้ีมีความเช่ือวา่ แฟ้ มสะสมผลงานมีไวเ้ พื่อศึกษา
กระบวนการทางาน ศึกษาความคิดเห็น ความรู้สึกของนกั เรียนที่มีต่อผลงานของตนเอง ตลอดจนดู
พฒั นาการหรือความกา้ วหนา้ ของนกั เรียนอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ ครู ผปู้ กครอง และเพื่อนสามารถให้
คาช้ีแนะแก่นกั เรียนได้ ซ่ึงวิธีการน้ีจะทาใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้และปฏิบตั ิงานอยา่ งเตม็ ที่ โดยไม่ตอ้ ง
กงั วลวา่ จะไดค้ ะแนนมากนอ้ ยเท่าไร
การประเมินโดยให้ระดับคะแนน มีท้งั การประเมินตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ การประเมิน
ระหวา่ งภาคเรียน และการประเมินปลายภาค ซ่ึงจะช่วยในวตั ถุประสงคด์ า้ นการปฏิบตั ิเป็นหลกั การ
ประเมินแฟ้ มสะสมผลงานตอ้ งกาหนดมิติการใหค้ ะแนน (scoring rubrics) ตามเกณฑท์ ่ีครูและนกั เรียน
ร่วมกนั กาหนดข้ึน การใหร้ ะดบั คะแนนมีท้งั การใหค้ ะแนนเป็นรายชิ้นก่อนเกบ็ เขา้ แฟ้ มสะสมผลงาน
และการใหค้ ะแนนแฟ้ มสะสมผลงานท้งั แฟ้ ม ซ่ึงมาตรฐานคะแนนน้นั ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์
การจดั ทาแฟ้ มสะสมผลงาน และมุง่ เนน้ พฒั นาการของนกั เรียนแต่ละคนมากกวา่ การนาไปเปรียบเทียบ
กบั บุคคลอ่ืน
8. การแลกเปลยี่ นประสบการณ์กบั ผ้อู น่ื มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อเปิ ดโอกาสให้นกั เรียนไดร้ ับฟังความ
คิดเห็นจากผทู้ ี่มีส่วนเกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ เพื่อน ครู และผปู้ กครอง อาจทาไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การจดั
ประชุมในโรงเรียนโดยเชิญผทู้ ี่มีส่วนเกี่ยวขอ้ งมาร่วมกนั พิจารณาผลงาน การสนทนาแลกเปล่ียนระหวา่ ง
นกั เรียนกบั เพื่อน การส่งแฟ้ มสะสมผลงานไปใหผ้ ทู้ ่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ งช่วยใหข้ อ้ เสนอแนะหรือคาแนะนา
ในการแลกเปล่ียนประสบการณ์น้นั นกั เรียนจะตอ้ งเตรียมคาถามเพ่ือถามผทู้ ่ีมีส่วนเกี่ยวขอ้ ง ซ่ึง
จะเป็นประโยชนใ์ นการปรับปรุงงานของตนเอง ตวั อยา่ งคาถาม เช่น
– ท่านคิดอยา่ งไรกบั ผลงานชิ้นน้ี
– ท่านคิดวา่ ควรปรับปรุงแกไ้ ขส่วนใดอีกบา้ ง
– ผลงานชิ้นใดที่ท่านชอบมากท่ีสุด เพราะอะไร
9. การปรับเปลย่ี นผลงาน หลงั จากที่นกั เรียนไดแ้ ลกเปลี่ยนความคิดเห็น และไดร้ ับคาแนะนา
จากผทู้ ี่มีส่วนเก่ียวขอ้ งแลว้ จะนามาปรับปรุงผลงานใหด้ ีข้ึน นกั เรียนสามารถนาผลงานที่ดีกวา่ เกบ็ เขา้
แฟ้ มสะสมผลงานแทนผลงานเดิม ทาใหแ้ ฟ้ มสะสมผลงานมีผลงานท่ีดี ทนั สมยั และตรงตามจุดประสงค์
ในการประเมิน
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 130
10. การประชาสัมพนั ธ์ผลงานของนักเรียน เป็นการแสดงนิทรรศการผลงานของนกั เรียน โดย
นาแฟ้ มสะสมผลงานของนกั เรียนทุกคนมาจดั แสดงร่วมกนั และเปิ ดโอกาสใหผ้ ปู้ กครอง ครู และ
นกั เรียนทว่ั ไปไดเ้ ขา้ ชมผลงาน ทาใหน้ กั เรียนเกิดความภาคภมู ิใจในผลงานของตนเอง
ผทู้ ่ีเริ่มตน้ ทาแฟ้ มสะสมผลงานอาจไมต่ อ้ งดาเนินการท้งั 10 ข้นั ตอนน้ี อาจใชข้ ้นั ตอนหลกั ๆ
คือ การรวบรวมผลงานและการจดั ระบบแฟ้ ม การคดั เลือกผลงาน และการแสดงความคิดเห็นหรือ
ความรู้สึกต่อผลงาน
องค์ประกอบสาคญั ของแฟ้ มสะสมผลงาน มีดงั น้ี
1. ส่วนนา ประกอบดว้ ย 2. ส่วนเนอื้ หาของแฟ้ ม ประกอบดว้ ย
– ปก – ผลงาน
– คานา – ความคิดเห็นที่มีต่อผลงาน
– สารบญั – Rubrics ประเมินผลงาน 3. ส่วนข้อมูลเพมิ่ เตมิ ประกอบดว้ ย
– ประวตั ิส่วนตวั
– จุดมงุ่ หมายของการ – ผลการประเมินการเรียนรู้
– การรายงานความกา้ วหนา้ โดยครู
ทาแฟ้ มสะสมผลงาน – ความคิดเห็นของผทู้ ี่มีส่วน
เก่ียวขอ้ ง เช่น เพื่อน ผปู้ กครอง
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 131
ผงั การออกแบบการจดั การเรียนรู้แบบ Backward Design
หน่วยการเรียนรู้ที.่ .....
ข้ันที่ 1 ผลลพั ธ์ปลายทางท่ีต้องการให้เกดิ ขนึ้ กบั นกั เรียน
ตวั ชี้วดั ช้ันปี ...................................................................................................................................
ความเข้าใจท่คี งทนของนักเรียน คาถามสาคัญทท่ี าให้เกดิ ความเข้าใจทค่ี งทน
นักเรียนจะเข้าใจว่า…
1. ................................................................ 1. ...........................................................................
2. ................................................................ 2. ..........................................................................
ความรู้ของนักเรียนท่ีนาไปสู่ความเข้าใจท่ี ทกั ษะ/ความสามารถของนักเรียนที่จะนาไปสู่ความ
คงทนนกั เรียนจะรู้ว่า… เข้าใจทคี่ งทนนักเรียนจะสามารถ...
1. ................................................................ 1. ............................................................................
2. ............................................................... 2. ............................................................................
3. .............................................................. 3. ............................................................................
ข้นั ท่ี 2 ภาระงานและการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ซึ่งเป็ นหลกั ฐานท่แี สดงว่านกั เรียนมผี ลการเรียนรู้ตามที่
กาหนดไว้อย่างแท้จริง
1. ภาระงานท่ีนกั เรียนต้องปฏิบตั ิ
–.........................................................................................................................................................
–........................................................................................................................................................
2. วธิ ีการวดั และเครื่องมอื ประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ ีการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ เคร่ืองมอื วดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
–................................................................. –................................................................................
–.................................................................. –...............................................................................
3. สิ่งท่ีม่งุ ประเมนิ
–...........................................................................................................................................................
–...........................................................................................................................................................
ข้ันท่ี 3 แผนการจดั การเรียนรู้
–...........................................................................................................................................................
–...........................................................................................................................................................
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 132
รูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้รายชั่วโมง
เมื่อครูออกแบบการจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดของ Backward Design แลว้ ครูสามารถเขียน
แผนการจดั การเรียนรู้รายชว่ั โมงโดยใชร้ ูปแบบของแผนการจดั การเรียนรู้แบบเรียงหวั ขอ้ ซ่ึงมี
รายละเอียดดงั น้ี
ช่ือแผน...(ระบุช่ือและลาดบั ท่ีของแผนการจดั การเรียนรู้)
ชื่อเรื่อง...(ระบุช่ือเร่ืองท่ีจะทาการจดั การเรียนรู้)
สาระท่ี...(ระบุสาระที่ใชจ้ ดั การเรียนรู้)
เวลา...(ระบุระยะเวลาท่ีใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ต่อ 1 แผน)
ช้ัน...(ระบุช้นั ที่จดั การเรียนรู้)
หน่วยการเรียนรู้ท่ี...(ระบุช่ือและลาดบั ท่ีของหน่วยการเรียนรู้)
สาระสาคัญ...(เขียนความคิดรวบยอดหรือมโนทศั นข์ องหวั เร่ืองที่จะจดั การเรียนรู้)
ตวั ชีว้ ดั ช่วงช้ัน...(ระบุตวั ช้ีวดั ช่วงช้นั ที่ใชเ้ ป็นเป้ าหมายของแผนการจดั การเรียนรู้)
จุดประสงค์การเรียนรู้...(กาหนดใหส้ อดคลอ้ งกบั สมรรถนะสาคญั และคุณลกั ษณะอนั พึง
ประสงคข์ องนกั เรียนหลงั จากสาเร็จการศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช
2551 ซ่ึงประกอบดว้ ย
ดา้ นความรู้ (Knowledge: K)
ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม และจิตวทิ ยาศาสตร์ (Affective: A)
ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (Performance: P))
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้...(ระบุวิธีการและเคร่ืองมือวดั และประเมินผลที่สอดคลอ้ งกบั
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท้งั 3 ดา้ น)
สาระการเรียนรู้...(ระบุสาระและเน้ือหาที่ใชจ้ ดั การเรียนรู้ อาจเขียนเฉพาะหวั เรื่องกไ็ ด)้
แนวทางการบูรณาการ...(เสนอแนะและระบุกิจกรรมของกลุ่มสาระอื่นท่ีบรู ณาการร่วมกนั )
กระบวนการจดั การเรียนรู้...(กาหนดใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาติของกลุ่มสาระและการบรู ณา
การขา้ มสาระ)
กจิ กรรมเสนอแนะ...(ระบุรายละเอียดของกิจกรรมที่นกั เรียนควรปฏิบตั ิเพิ่มเติม)
สื่อ/แหล่งการเรียนรู้...(ระบุส่ือ อปุ กรณ์ และแหล่งเรียนรู้ที่ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้)
บนั ทกึ หลงั การจดั การเรียนรู้...(ระบุรายละเอียดของผลการจดั การเรียนรู้ตามแผนท่ีกาหนดไว้
อาจนาเสนอขอ้ เด่นและขอ้ ดอ้ ยใหเ้ ป็นขอ้ มลู ที่สามารถใชเ้ ป็นส่วนหน่ึงของการทาวิจยั ในช้นั เรียนได)้
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 133
ใบกจิ กรรม ชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม ม. 4–6
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 สิ่งมีชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อม
ตอนท่ี 1 ระบบนิเวศ
ใบกจิ กรรมท่ี 1
สืบค้นข้อมูล ระบบนิเวศธรรมชาตขิ องโลก
จุดประสงค์ของกจิ กรรม ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจทค่ี งทน
สืบคน้ ขอ้ มลู และรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกบั ระบบนิเวศตา่ ง ๆ ของ 1. การสงั เกต
โลก 2. การจดั กระทาและส่ือความหมาย
ปัญหา ระบบนิเวศที่กระจายอย่ใู นภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกมี ขอ้ มูล
ลกั ษณะเด่นอะไรบ้าง 3. การตีความหมายขอ้ มูลและการลง
ขอ้ สรุป
ข้นั ตอน
1. สืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั ระบบนิเวศท่ีกระจายอยใู่ น แหล่งการเรียนรู้
1. หนงั สือเรียน หนงั สืออา้ งอิง
ภมู ิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยคน้ ควา้ ในประเดน็ ต่าง ๆ ต่อไปน้ี หนงั สืออา่ นประกอบ และวารสาร
– ปริมาณน้าฝนเฉลี่ยท้งั ปี อุณหภูมิต่าสุด สูงสุด ท่ีเก่ียวขอ้ ง
2. เวบ็ ไซตท์ ี่เก่ียวขอ้ งทาง
และลกั ษณะเด่นของระบบนิเวศ อินเทอร์เน็ต
– ชนิดของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ
2. นาขอ้ มลู ท่ีไดม้ าอภิปรายร่วมกนั แลว้ นาเสนอผล
การปฏิบตั ิกิจกรรม
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 134
บันทึกผลการสืบค้นข้อมลู
รายการบนั ทกึ ผลการสืบค้นข้อมลู
วนั ที่ 10 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
พิจารณาจากคาตอบนักเรี ยน
แนวคาตอบ
สภาพภูมิอากาศ องค์ประกอบในระบบนเิ วศ
ระบบนิเวศ ปริมาณน้าฝน อณุ หภมู เิ ฉลย่ี พชื ที่พบทว่ั ไป สัตว์ทพี่ บทว่ั ไป
ป่ าดิบชืน้ เฉล่ยี ต่อปี (ซม.) ตา่ สุด–สูงสุด (oC)
ทะเลทราย 200–500 25–27 ไม้เลือ้ ย ปาล์ม กบ นก แมลง ลิง
กล้วยไม้ เฟิ ร์น
ป่ าผลดั ใบใน น้อยกว่า 25 0–50 กระบองเพชร ไม้ กิง้ ก่า แมลง หนู
เขตอบอ่นุ พ่มุ ขนาดเลก็
ป่ าสนหรือไทกา 50–150 –20–30 ฮิกกอรี เมเปิ ล โอ๊ก กวาง ไก่งวงป่ า
กระรอก แมลง
ป่ าทุนดรา 25–100 –20–20 ป่ าสน ต้นสปรูซ หนู กวางมสู
หมาป่ า
10–40 –28–10 ไลเคน มอสส์ หญ้า กวางคาริ บู
ไม่พ่มุ ขนาดเลก็ วัวมสั ก์
สุนัขจิง้ จอก
สรุปผล
สภาพภูมิอากาศและองค์ประกอบในระบบนิเวศของแต่ละระบบนิเวศมีความแตกต่างกนั ซึ่ง
สภาพภูมิอากาศท่ีแตกต่างกันทาให้พืชและสัตว์ท่ีอาศัยอย่มู ีลักษณะแตกต่างกันเพื่อให้ดารงชีวิตอย่ไู ด้
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 135
คาถาม
1. ระบบนิเวศในแต่ละภมู ิภาคของโลก มีลกั ษณะและองคป์ ระกอบในระบบนิเวศเหมือนกนั หรือไม่
ระบบนิเวศในแต่ละภูมิภาคของโลกมีลกั ษณะและองค์ประกอบแตกต่างกัน
2. สาเหตุที่ทาใหร้ ะบบนิเวศแต่ละภมู ิภาคของโลกมีลกั ษณะและองคป์ ระกอบแตกต่างกนั คืออะไร
ตาแหน่งที่ตั้งบนโลก สภาพภูมิอากาศ และสภาพภูมิประเทศ
3. ลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ ที่พบในระบบนิเวศทะเลทรายแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่พบในระบบนิเวศป่ าดิบช้ืน
หรือไม่ ลกั ษณะใด
แตกต่างกัน คือ ระบบนิเวศทะเลทราย เป็นบริเวณท่ีมีอณุ หภูมิอย่รู ะหว่าง 0–50 องศาเซลเซียส
มีฝนตกเพียงเลก็ น้อย มีความชื้นไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช พืชและสัตว์ท่ีพบจึงมีขนาดเลก็
และทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี เช่น กระบองเพชร กิง้ ก่า และหนู ส่วนระบบนิเวศป่ าดิบชืน้ เป็นบริเวณท่ี
มีฝนตกหนัก และความชืน้ สูง พืชและสัตว์ที่พบจึงมีหลายชนิด เช่น ปาล์ม กล้วยไม้ เฟิ ร์น ลิง และนก
ชนิดต่าง ๆ
คู่มือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ม. 4–6 136
ใบกจิ กรรมที่ 2
สารวจ ระบบนเิ วศในท้องถิ่น
จุดประสงค์ของกจิ กรรม
1. สารวจ รวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกบั องคป์ ระกอบทางกายภาพและองคป์ ระกอบทางชีวภาพของระบบ
นิเวศในทอ้ งถ่ิน
2. อธิบายความสมั พนั ธ์ขององคป์ ระกอบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ
ปัญหา องค์ประกอบทางกายภาพและองค์ประกอบทางชีวภาพของระบบนิเวศในท้องถ่ินมีอะไรบ้าง และ
มีความสัมพันธ์กันในลักษณะใด
ข้นั ตอน
1. แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่ม ใหแ้ ต่ละกลุ่มร่วมกนั ทกั ษะสร้างเสริมความเข้าใจทค่ี งทน
อภิปรายในประเดน็ ต่อไปน้ี 1. การสงั เกต
– ในทอ้ งถ่ินของเรามีระบบนิเวศอะไรบา้ ง 2. การจดั กระทาและสื่อความหมายขอ้ มลู
– ระบบนิเวศแต่ละระบบมีความสาคญั 3. การตีความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป
อยา่ งไร
– นกั เรียนสนใจท่ีจะศึกษาระบบนิเวศใด อปุ กรณ์ 1 อนั
เพราะอะไร 1. เทอร์มอมิเตอร์ 1 ใบ
2. ขวดเกบ็ น้าตวั อยา่ ง
2. แต่ละกลุ่มเลือกสารวจและศึกษาระบบนิเวศ 3. กระดาษยนู ิเวอร์– 1 กล่อง
ธรรมชาติในทอ้ งถิ่นระบบใดระบบหน่ึง เช่น ชายทะเล ป่ าชาย ซลั อินดิเคเตอร์ 1 อนั
เลน นาขา้ ว สระน้าจืด หรือชุมชนรอบ ๆ บริเวณท่ีสารวจ 4. เซคิดิสก์
5. บีกเกอร์ 2 ใบ
3. กาหนดบริเวณพ้ืนที่สารวจใหม้ ีขนาด 30 30 ขนาด 100 ลบ.ซม. 1 อนั
เมตร คาดคะเนจานวนร้อยละและจาแนกส่ิงปกคลุมดินหรือ 6. แท่งแกว้ คนสาร 1 อนั
พืชเด่นที่พบในบริเวณที่สารวจ 7. แวน่ ขยาย 1 กลอ้ ง
8. กลอ้ งจุลทรรศน์ 1 ปาก
4. สารวจสภาพแวดลอ้ มทวั่ ๆ ไปรอบบริเวณน้นั 9. สวิงสาหรับตกั แพลงกต์ อน 1 เล่ม
รวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกบั องคป์ ระกอบทางกายภาพและ 10. เสียมมือ 1 แผน่
องคป์ ระกอบทางชีวภาพ แลว้ อธิบายความสมั พนั ธ์ของ 11. กระดาษแขง็ 1 ลกู
องคป์ ระกอบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ 12. ตุม้ น้าหนกั 3 เลม่
13. เขม็ หมดุ 1 อนั
4.1 ระบบนิเวศแหล่งนา้ 14. เดนซิโอมิเตอร์
4.1.1 สงั เกตสภาพแวดลอ้ มโดยทว่ั ไปของแหล่ง
น้า เช่น สีของน้า กลิ่น ความข่นุ ใส รวมท้งั สภาพอ่ืน ๆ เช่น
ความเร็วของกระแสน้า ร่มเงา สภาพของแหลง่ น้า และ
ส่ิงปนเป้ื อนที่พบ แลว้ บนั ทึกผล
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 137
4.1.2 วดั อณุ หภูมิของน้า อปุ กรณ์
ทุกช่วงความลึก 1 เมตร โดยใช้ 15. เชือก 1 เสน้
ขวดเกบ็ ตวั อยา่ งน้าหยอ่ นลงไป 16. ตลบั เมตร 1 มว้ น
ใหถ้ ึงระดบั ท่ีตอ้ งการจะวดั 17. น้า 50 ลบ. ซม.
อ่านอณุ หภมู ิจากเทอร์มอ- 18. เครื่องชง่ั สาร 1 เคร่ือง
ขวดเกบ็ ตัวอย่างนา้ มิเตอร์ในขวดเกบ็ ตวั อยา่ งน้า 19. เตาอบ 1 เคร่ือง
บนั ทึกผล
4.1.3 วดั ค่าความเป็นกรด–เบสของน้า (ค่า pH) ที่บริเวณผวิ น้า และท่ีระดบั น้าลึกจากผิวน้า 20
เซนติเมตร โดยใชแ้ ท่งแกว้ จุ่มน้า แลว้ นามาแตะบนกระดาษยนู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์ อา่ นค่าโดยเทียบสี
ของกระดาษกบั สีมาตรฐานที่ขา้ งกล่อง แลว้ บนั ทึกผล
4.1.4 วดั การส่องผ่านของแสงลงสู่แหล่งน้า โดยใช้
เซคิดิสก์ผกู ติดกบั เชือก ซ่ึงทาเคร่ืองหมายบอกระยะความยาว
ไวแ้ ลว้ หยอ่ นลงในแหล่งน้าจนถึงจุดที่เร่ิมมองไม่เห็นเซคิดิสก์
อ่านค่าความลึกจากเครื่องหมายบนเส้นเชือก แลว้ ปล่อยเส้น
เชือกลงไปอีกเลก็ นอ้ ย จากน้นั ยกข้ึนชา้ ๆ จนเริ่มมองเห็นแผน่
เซคิดิสก์ อ่านค่าความลึกจากเครื่องหมายบนเส้นเชือกอีกคร้ัง
หน่ึง นาค่าที่อ่านไดท้ ้งั 2 คร้ังมาหาค่าเฉล่ีย ผลที่ไดเ้ ป็ นค่า เซคิดิสก์ เคร่ืองมือใช้วดั ความลึกท่ีแสงส่องผ่านนา้
การส่องผา่ นของแสงในแหล่งน้าน้นั
4.1.5 สารวจสิ่งมีชีวติ ท่ีพบบริเวณผิวน้าท้งั ชนิดลกั ษณะ จานวน
และการกระจายของสิ่งมีชีวิต
4.1.6 ตกั น้าบริเวณผิวน้าหลาย ๆ จุด และท่ีระดบั ลึกจากผิวน้า
ประมาณ 20 เซนติเมตร เทลงในภาชนะใส สงั เกตลกั ษณะ ชนิด และจานวน
ของสิ่งมีชีวิตในน้าโดยใชแ้ วน่ ขยายสงั เกต แลว้ บนั ทึกผลท่ีสงั เกตได้
4.1.7 ใชส้ วงิ ลากไปตามผวิ น้า แลว้ นามาเทลงในภาชนะใส ศึกษา
ชนิดและลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตที่พบดว้ ยตาเปล่า ดว้ ยแวน่ ขยาย รวมท้งั
สวิงสาหรับตกั แพลงก์ตอน กลอ้ งจุลทรรศน์ แลว้ บนั ทึกผลท่ีสงั เกตได้
4.2 ระบบนเิ วศบนบก
4.2.1 สงั เกตสี กล่ิน ความช้ืน และลกั ษณะเน้ือดินในบริเวณท่ีสารวจ
4.2.2 วดั อณุ หภูมิของดินโดยเสียบเทอร์มอมิเตอร์ลึกลงไปในดินประมาณ 5 เซนติเมตร และ
ที่ระดบั ความลึก 20 เซนติเมตร โดยขดุ หลุมกวา้ งประมาณ 20 เซนติเมตร ลึกประมาณ 25 เซนติเมตร
เสียบเทอร์มอมิเตอร์ลงไปในดินในแนวต้งั ฉากท่ีระดบั ความลึก 20 เซนติเมตร อา่ นค่าและบนั ทึกผล
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 138
4.2.3 วดั ค่าความเป็นกรด–เบสของดิน (ค่า pH) โดยนาตวั อยา่ งดินช้นั บน (ที่ระดบั ความลึก
0–25 เซนติเมตร) และดินช้นั ล่าง (ที่ระดบั ความลึก 25–30 เซนติเมตร) อยา่ งละ 50 กรัม ใส่ลงในภาชนะ
แต่ละใบ เติมน้า 50 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ใชแ้ ท่งแกว้ คนใหเ้ ขา้ กนั ต้งั ทิ้งไวส้ กั ครู่ แลว้ ใชแ้ ท่งแกว้ จุ่มส่วน
ท่ีเป็นของเหลวมาแตะลงบนกระดาษยนู ิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์ เทียบสีกบั สีมาตรฐานท่ีขา้ งกล่อง แลว้
บนั ทึกผล
4.2.4 วดั ความช้ืนของดินช้นั บนและดินช้นั ล่าง โดยตกั ดินมาจานวนหน่ึง วดั มวลของดินและ
บนั ทึกไว้ แลว้ นาดินไปอบหรือตากจนแหง้ วดั มวลอีกคร้ังหน่ึง มวลท่ีหายไปของดินคือปริมาณน้าหรือ
ความช้ืนในดิน
4.2.5 สงั เกตชนิดและลกั ษณะของส่ิงมีชีวิตที่พบในบริเวณน้นั ท้งั พืชและสตั ว์ ระบุชนิดของ
ส่ิงมีชีวติ เด่นที่พบในพ้ืนท่ี บนั ทึกผล
4.2.6 วดั ความสูงของตน้ ไมใ้ หญ่ท่ีเป็นพืชเด่นที่พบในบริเวณที่สารวจ บนั ทึกผล
4.2.7 วดั ความหนาแน่นของเรือนยอดไมใ้ นบริเวณท่ีสารวจ นาผลที่ไดม้ าคานวณหาค่า
ร้อยละของความหนาแน่นของเรือนยอด บนั ทึกผล
4.2.8 หาความหนาแน่นของประชากรส่ิงมีชีวิตท่ีพบ นบั จานวนประชากรสิ่งมีชีวิตในพ้ืนที่
1 ตารางเมตร จากน้นั คานวณหาพ้ืนท่ีท้งั หมดของระบบนิเวศน้นั บนั ทึกผล
หมายเหตุ
วธิ ีการใช้ขวดเกบ็ ตวั อย่างนา้
การใชข้ วดเกบ็ ตวั อยา่ งน้าเพ่ือวดั อณุ หภมู ิของน้า ทาไดโ้ ดยใส่เทอร์มอมิเตอร์ลงในขวดเกบ็
ตวั อยา่ งน้าขนาด 1 ลิตร ปิ ดฝาขวดดว้ ยจุกก๊อกท่ีผกู เชือกติดกบั เชือกที่ผกู ที่คอขวด โดยมีเชือกอีกเสน้ โยง
เพื่อกระตุกเปิ ดจุกกอ๊ ก ถ่วงน้าหนกั ที่กน้ ขวดเกบ็ ตวั อยา่ งน้าเพื่อใหข้ วดจมน้า เม่ือหยอ่ นขวดถึงระดบั
ความลึกที่ตอ้ งการวดั อุณหภมู ิ กระตุกเชือกที่ผกู ติดจุกกอ๊ กใหเ้ ปิ ดออก เมื่อน้าเตม็ ขวดแลว้ ดึงข้ึนมาอ่าน
อุณหภูมิจากเทอร์มอมิเตอร์ในขวดเกบ็ ตวั อยา่ งน้า
วธิ ีการวดั ความสูงของต้นไม้ใหญ่
การวดั ความสูงของตน้ ไมใ้ หญ่ท่ีเป็นพืชเด่นที่พบในบริเวณท่ีสารวจ ทาไดโ้ ดยวธิ ีการเทียบ
กระดาษแขง็ A สดั ส่วนกบั ดา้ นของสามเหลี่ยมมุมฉากที่กาง 45o–45o –90 o ซ่ึงจะ
มีดา้ น 2 ดา้ นท่ีเท่ากนั โดยนากระดาษแขง็ ตดั เป็นรูปส่ีเหลี่ยม
จตั ุรัส ลากเสน้ ทแยงมุมและวาดเป็นรูปสามเหล่ียมมุมฉากดงั รูป
C B ติดเขม็ หมุดท่ีมมุ A, B และ C แขวนตุม้ น้าหนกั ใหห้ อ้ ยลงมาจาก
ต้มุ นา้ หนัก จุด A และถือกระดาษโดยใหต้ ุม้ น้าหนกั สมั ผสั กบั จุด C เดินไปยงั
ตน้ ไมจ้ นกระทง่ั ยอดของตน้ ไมอ้ ยใู่ นแนวเสน้ ตรง AB วดั ระยะ
Y จากผสู้ งั เกตถึงตน้ ไม้ ซ่ึงจะเท่ากบั ความสูงของตน้ ไมจ้ าก X ถึง Y
ต้นไม้ ผ้สู ังเกต แลว้ บวกกบั ความสูงของผสู้ ังเกตท่ีระดบั สายตา จะไดค้ วาม
สูงของตน้ ไมท้ ้งั หมด
คูม่ ือครู แผนการจดั การเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชีวติ กบั สิ่งแวดลอ้ ม ม. 4–6 139
วธิ ีการวดั ความหนาแน่นของเรือนยอดและการคานวณหาค่าร้อยละของความหนาแน่นของเรือนยอด
การวดั ความหนาแน่นของเรือนยอดในบริเวณที่สารวจ
ทาไดโ้ ดยหาจุดศนู ยก์ ลางและแนวเสน้ ทแยงมุมของรูปสี่เหล่ียมท่ี เทปกาว
กาหนดไวเ้ ป็นขอบเขตของบริเวณท่ีจะสารวจ จากน้นั กา้ วเทา้ 1 กา้ ว เชือกท่ีผกู ไขว้ด้านบน
จากจุดศนู ยก์ ลางตามแนวเสน้ ทแยงมุม ไปยงั มุมหน่ึงของรูปสี่เหลี่ยม ท่อพีวีซี
ถือเดนซิโอมิเตอร์ไวเ้ หนือศีรษะในแนวดิ่ง จดั แหวนโลหะไวใ้ ต้ เทปกาว
เดนซิโอมิเตอร์ โดยใหอ้ ยบู่ ริเวณกากบาทพอดี แลว้ มองผา่ นช่องวา่ ง แหวนโลหะ
ไปยงั เรือนยอดของตน้ ไม้ สงั เกตและบนั ทึกผลวา่ พบส่วนท่ีเป็น
สีเขียวหรือไม่ จากน้นั กา้ วเทา้ ต่อไปยงั มุมของพ้ืนที่ท่ีสารวจและ
บนั ทึกผลในแต่ละกา้ วที่เดินจนครบท้งั 4 มุม นาผลท่ีไดม้ าคานวณหา เดนซิโอมิเตอร์
ค่าร้อยละของความหนาแน่นของเรือนยอด จากสูตร
ร้อยละความหนาแน่นของเรือนยอด = จานวนจุดที่มองเห็นส่วนท่ีเป็นสีเขียว 100
จานวนจุดสารวจท้งั หมด
วธิ ีการคานวณหาความหนาแน่นของประชากร
หาความหนาแน่นของประชากรส่ิงมีชีวิตที่พบ โดยสามารถหาจานวนประชากรสิ่งมีชีวติ
ท้งั หมดในพ้ืนที่ท่ีสารวจได้ จากสูตร
ความหนาแน่นของประชากร = จานวนประชากรท้งั หมด
พ้ืนที่ท้งั หมดของระบบนิเวศ