The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (20501-2005)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanok271232, 2022-04-06 05:01:07

แผนการสอนวิชาหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

วิชาหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (20501-2005)

แผนการจัดการเรียนรู้ม่งุ เน้นสมรรถนะ

ช่อื วชิ า หลกั การเพาะเลี้ยงสัตวน์ ้า รหสั วิชา 20501-2005
ทฤษฎี 1 ปฏบิ ัติ 3 หนว่ ยกิต 2

หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพ พทุ ธศกั ราช 2562
กล่มุ สมรรถนะวิชาชพี เลอื กเสรี

ประเภทวชิ าประมง สาขาวิชาเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้า
สาขางานเพาะเล้ยี งสัตวน์ ้า

จัดท้าโดย
นางกันยกร กัลยามงคล

วิทยาลยั ประมงชุมพรเขตรอดมศักด์ิ
สา้ นกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

กระทรวงศกึ ษาธิการ

แผนกวชิ าประมง
วทิ ยาลัยประมงชุมพรเขตรอดมศักด์ิ
สา้ นกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา

กระทรวงศึกษาธกิ าร
2564





คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ รายวิชาหลักการเพาะเล้ียงสัตว์น้า รหัสวิชา 20501 -
2005 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 มีความส้าคัญและจ้าเป็นส้าหรับ
ครูผู้สอน ท้ังนี้เนื่องแผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ เป็นเครื่องมือในการก้าหนดทิศทางในการ
สอนไว้ล่วงหน้า จึงท้าให้ครูมีการเตรียมตัว การวางแผน การจัดเตรียมส่ือ วัสดุอุปกรณ์การสอนให้มี
ความพรอ้ ม โดยท่คี รไู ด้ทา้ การศกึ ษาจดุ มงุ่ หมายของหลักสูตร คา้ อธิบายรายวิชา เพื่อน้ามาวิเคราะห์ให้
เหมาะสมกับสภาพของสถานศึกษา ท้องถ่ิน และผู้เรียน แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ
รายวิชาหลักการเพาะเล้ียงสัตว์น้า มีทั้งหมด 10 หน่วยการเรียน ทุกหน่วยการเรียนรู้ได้ยึดหลักการ
จัดการเรียนรูท้ เี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ ส้าคญั บูรณาการคุณธรรม จรยิ ธรรม คณุ ลักษณะท่ีประสงค์ และจัดการ
เรยี นร้ตู ามแนวนโยบายการปรับวธิ เี รยี น เปลยี่ นวิธีสอน ปฏริ ูปวธิ ีสอบ

แผนการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะ รายวิชาหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า รหัสวิชา 20501 -
2005 ผ้สู อนไดป้ รับปรงุ พฒั นาใหเ้ หมาะสมกบั การเปลยี่ นแปลงของสิง่ แวดลอ้ ม สงั คม เศรษฐกิจ ภาวะ
ของโลกทเ่ี ปล่ยี นไป โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติจริง พร้อมกับบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอน และผู้เรียนให้มีความรู้ และสามารถน้าไปประยุกต์ใช้ใน
การประกอบอาชพี ได้ และวธิ ีการสอนโดยการบรรยาย การสาธติ และเน้นการฝึกปฏิบัติจริงในห้องเรียนรู้
เฉพาะทาง และการฝึกปฏิบัตินอกห้องเรียนในสถานการณ์จริง นอกจากนี้มีการมอบหมายให้ศึกษา
ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและแบ่งกลุ่มมอบหมายงานให้ศึกษา รวบรวมและสรุปองค์ความรู้ทั้งหมด
นา้ เสนอผลงานจากการฝกึ ปฏบิ ตั ทิ ักษะดา้ นวิชาชีพสปั ดาหส์ ุดท้ายของการเรยี นการสอน

ผู้เขียนหวังว่าเอกสารประกอบการสอนฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนที่จะน้าไปใช้ในการ
จัดการเรียนการสอนในรายวิชาหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า รหัสวิชา 20501-2005 และรายวิชาท่ี
เกี่ยวข้องท้ังแก่ผู้เรียนและเกษตรกรที่เข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพ นอกจากน้ียังใช้เป็นเอกสารส้าหรับ
การศกึ ษาคน้ คว้าอีกดว้ ย

ขอขอบคณุ อาจารย์ทุกทา่ นทไี่ ด้อบรมสงั่ สอนวชิ าความรู้ และเพ่ือนครูทุกท่านที่ให้ค้าแนะน้าและ
ข้อเสนอแนะท่ดี ี

กนั ยกร กัลยามงคล



สำรบัญ หนำ้

บนั ทึกขอ้ ความขออนมุ ัติแผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวชิ าการวเิ คราะห์และควบคมุ คุณภาพน้า ก
รายงานการตรวจสอบและอนญุ าตการใช้ ข
ปกใน 2
ค้าน้า 3
สารบัญ 4
แผนการจัดการเรยี นรู้ 9
หนว่ ยการเรยี นรู้ 10
หนว่ ยการเรียนรแู้ ละสมรรถนะประจา้ หน่วย 20
ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตรรายวชิ า 28
แผนการจัดการเรียนรู้หนว่ ยที่ 1 ความสา้ คญั ของการเพาะเลย้ี งสัตว์น้า 41
แผนการจดั การเรยี นรู้หนว่ ยที่ 2 สถานการณ์เพาะเล้ียงสัตว์นา้ ในประเทศและประชาคมอาเซียน 47
แผนการจัดการเรยี นรหู้ นว่ ยท่ี 3 หลักการเพาะเลี้ยงสตั ว์นา้ 61
แผนการจดั การเรียนรหู้ นว่ ยท่ี 4 สตั วน์ ้าท่ีมีความสา้ คัญทางเศรษฐกิจ 69
แผนการจัดการเรยี นรหู้ น่วยท่ี 5 การเพาะพนั ธส์ุ ัตว์น้า 79
แผนการจดั การเรยี นรู้หน่วยท่ี 6 การเล้ียงสตั ว์น้า 86
แผนการจดั การเรียนรู้หนว่ ยที่ 7 การจดั การผลผลิตจากการเพาะเล้ยี งสัตวน์ า้ เพื่อจา้ หนา่ ย 96
แผนการจัดการเรยี นรหู้ น่วยท่ี 8 การบันทึกข้อมลู ปฏิบัตงิ าน
แผนการจัดการเรียนรู้หนว่ ยท่ี 9 การตลาดและจ้าหน่ายผลผลิตสตั ว์น้า
แผนการจัดการเรยี นรหู้ น่วยที่ 10 การคา้ นวณต้นทนุ การผลิตและจดั ท้าบัญชีรายรบั -รายจ่าย

แผนการจัดการเรียนรู้ม่งุ เน้นสมรรถนะ

ช่อื วชิ า หลกั การเพาะเลย้ี งสตั วน์ ้า รหสั วิชา 20501-2005
ทฤษฎี 1 ปฏบิ ัติ 3 หนว่ ยกิต 2

หลักสตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ พทุ ธศกั ราช 2562
กล่มุ สมรรถนะวชิ าชพี เลอื กเสรี

ประเภทวชิ าประมง สาขาวิชาเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้า
สาขางานเพาะเล้ยี งสัตวน์ ้า

จดั ท้าโดย
นางกนั ยกร กัลยามงคล

วิทยาลยั ประมงชุมพรเขตรอดมศักด์ิ
สา้ นกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

กระทรวงศกึ ษาธิการ

2

หลกั สตู รรายวิชา

ชื่อวชิ า หลกั การเพาะเล้ียงสัตวน์ ้า รหสั วิชา 20501-2005 ทฤษฎี 1 ปฏิบัติ 3 หนว่ ยกิต 2
หลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี พุทธศกั ราช 2562
แผนกวชิ าประมง สาขาวิชาเพาะเลีย้ งสัตว์นา้

จดุ ประสงคร์ ายวชิ า เพอ่ื ให้
1. เข้าใจหลักการเบ้ืองต้นในการเพาะเล้ียงสัตว์น้า และสถานการณ์เพาะเล้ียงสัตว์น้าใน

ประเทศและประชาคมอาเซียน
2. สามารถปฏิบัติงานเบื้องต้นเก่ียวกับการเพาะเล้ียงสัตว์น้าโดยค้านึงถึงการอนุรักษ์

ทรพั ยากร ธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม
3. มเี จตคติต่องานอาชีพเพาะเล้ียงสัตว์น้า และมีกิจนิสัยในการท้างานด้วยความรับผิดชอบ

รอบคอบ ปลอดภัย มีวนิ ยั ขยนั อดทน และมีความรบั ผดิ ชอบต่อส่งิ แวดล้อม
สมรรถนะรายวิชา

1. แสดงความรู้เก่ยี วกบั หลักการเบ้ืองตน้ ในการเพาะเลี้ยงสัตวน์ ้า และสถานการณ์เพาะเล้ียง
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซยี น

2. คา้ นวณต้นทนุ การผลติ การเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้าแบบตา่ งๆ ตามหลกั การและกระบวนการ
3. วางแผน เตรยี มการเพาะเลย้ี งสตั วน์ ้าแบบต่างๆ ตามหลกั การและกระบวนการ
4. เพาะเลย้ี งสตั วน์ ้าตามหลักการและกระบวนการ
5. บันทึกข้อมลู ปฏบิ ัติงานในการเพาะเล้ยี งสัตวน์ ้า
6. จัดการผลผลิตจากการเพาะเลีย้ งสัตว์น้าเพื่อจ้าหน่ายตามหลกั การและกระบวนการ
7. จา้ หนา่ ยผลผลิตสัตวน์ ้า/ผลิตผลสัตวน์ ้า
8. บันทึกบญั ชรี ายรบั -รายจ่าย
ค้าอธิบายรายวชิ า
ศกึ ษาและปฏบิ ัติเก่ียวกับความส้าคัญและหลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า สถานการณ์เพาะเล้ียง
สัตวน์ ้าในประเทศและประชาคมอาเซียน สัตว์น้าที่มีความส้าคัญทางเศรษฐกิจ การเพาะพันธ์ุสัตว์น้า
การเล้ียงสัตว์น้า การจัดการผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์น้าเพื่อจ้าหน่าย โดยค้านึงถึงการอนุรักษ์
ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม การบันทึกข้อมูลปฏิบัติงาน การตลาดและจ้าหน่ายผลผลิตสัตว์
น้า การค้านวณต้นทนุ การผลติ และจัดท้าบญั ชีรายรบั -รายจา่ ย

3

หนว่ ยการเรยี นรู้

หนว่ ย ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ จ้านวน สัปดาหท์ ่ี
การเรียนรู้ท่ี ชั่วโมง
ความส้าคัญของการเพาะเล้ยี งสตั วน์ า้ 1
1 สถานการณเ์ พาะเลยี้ งสตั ว์นา้ ในประเทศและประชาคม 4 2
2 อาเซยี น 4
หลกั การเพาะเลยี้ งสตั ว์นา้ 3-4
3 สัตวน์ า้ ท่ีมีความสา้ คัญทางเศรษฐกจิ 8 5
4 การเพาะพันธส์ุ ัตวน์ ้า 4 6-9
5 การเลีย้ งสัตว์นา้ 16 10-12
6 การจดั การผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์น้าเพอื่ จ้าหนา่ ย 12 13-14
7 การบันทึกขอ้ มูลปฏิบัติงาน 8 15
8 การตลาดและจา้ หนา่ ยผลผลติ สตั ว์นา้ 4 16
9 การคา้ นวณต้นทุนการผลิตและจดั ทา้ บญั ชีรายรบั - 4 17-18
10 รายจา่ ย 8
18
รวมท้ังหมด 72

4

หนว่ ยการเรียนรแู้ ละสมรรถนะประจา้ หน่วย

ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ สมรรถนะ

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์
ความสา้ คญั ของ 1. บอกและน้าเสนอความส้าคญั
การเพาะเลีย้ งสัตว์นา้ ของการเพาะเลย้ี งสัตว์น้าได้ 1. คน้ ควา้ และน้าเสนอความ 1. เห็นความส้าคัญของการ
2. บอกความหมายของสัตวน์ ้าได้ ส้าคัญของการเพาะเล้ียง เพาะเลย้ี งสัตวน์ ้า

3. บอกความหมายของการ สตั ว์น้าได้ 2. มเี จตคติที่ดีตอ่ งานอาชพี
เพาะเล้ียงสัตวน์ ้าได้
2. เขียนอธิบายประวตั กิ าร เพาะเลี้ยงสัตว์นา้

เพาะเลี้ยงสัตว์น้าได้ 3. มคี วามตรงตอ่ เวลา

4. มรี ะเบียบวินยั

5. มีความรับผิดชอบ

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 1. นา้ เสนอและอธิบาย 1. วิเคราะหส์ ถานการณ์ 1. เหน็ ความส้าคญั ของ
เพาะเลีย้ งสัตวน์ า้ ในประเทศ สถานการณ์เพาะเลย้ี งสตั ว์น้าใน
สถานการณ์เพาะเล้ียง สถานการณ์เพาะเลย้ี งสัตว์น้าใน ไทยได้ ประเทศและประชาคมอาเซียน
สัตว์น้าในประเทศ ประเทศไทยได้

และประชาคม 2. น้าเสนอและอธบิ าย 2. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ 2. มเี จตคตทิ ีด่ ตี อ่ งานอาชพี

อาเซยี น สถานการณ์เพาะเล้ียงสัตว์นา้ ใน เพาะเล้ียงสตั ว์นา้ ใประชาคม เพาะเลย้ี งสตั วน์ ้า

ประชาคม อาเซยี นได้ อาเซยี นได้ 3. มคี วามซอ่ื สัตย์

3. น้าเสนอและอธบิ าย 3. วิเคราะห์สถานการณ์ 4. มีระเบยี บวินยั
สถานการณป์ ระมงของ โลกได้ ประมงของโลกได้ 5. มีความรับผดิ ชอบ

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 1. เลอื กทา้ เลทเ่ี หมาะสมส้าหรับ 1. เตรียมอุปกรณส์ า้ หรับฟกั 1. เห็นความส้าคญั ของการ
การสรา้ งฟารม์ เพาะเล้ยี งสัตว์น้า ไขป่ ลาแต่ละประเภทได้ เพาะเล้ียงสัตวน์ า้
หลักการเพาะเล้ียง ได้ 2. อนุบาลสตั วน์ า้ ได้
สตั ว์น้า 3. เตรียมบอ่ เล้ียงสัตว์นา้ ได้ 2. มเี จตคติทีด่ ตี อ่ งานอาชีพ
2. บอกหลกั การสร้างบอ่ เลยี้ งสตั ว์ 4. ปฏิบัตกิ ารเพาะเล้ียงสัตว์ เพาะเลี้ยงสัตว์นา้
นา้ ได้ น้าได้
3. มคี วามอดทน
3. บอกการเตรยี มการเพาะพันธ์ุ
สัตวน์ า้ ได้ 4. มีความขยัน

4. บอกปัญหาและวธิ ีการ 5. มคี วามรบั ผดิ ชอบ
แกป้ ญั หาในการเพาะฟักไข่สตั ว์น้า
ได้

5. บอกการอนุบาลสัตว์น้าได้

6. บอกการเตรยี มบ่อเล้ียงสตั ว์นา้
ได้

7. บอกมาตรฐานงานฟาร์
เพาะเล้ียงสตั วน์ ้าได้

5

ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ ความรู้ สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 4 ทักษะ 1. เหน็ คุณค่าของสตั ว์น้าที่มี
สตั ว์น้าทม่ี ีความ 1. บอกความหมายของสัตวน์ า้ ความสา้ คัญทางเศรษฐกิจ
สา้ คญั ทางเศรษฐกจิ เศรษฐกจิ ได้ 1. เขียนชือ่ วทิ ยาศาสตร์ของ 2. มีเจตคตทิ ่ีดตี ่องานอาชพี
2. บอกชนดิ ของปลาที่มีความ ปลา และสัตว์นา้ อืน่ ๆ ทมี่ ี เพาะเลีย้ งสตั ว์น้า
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5 ส้าคญั ทางเศรษฐกิจได้ ความส้าคัญทางเศรษฐกิจได้ 3. มคี วามตรงตอ่ เวลา
การเพาะพันธส์ุ ัตว์น้า 3. บอกชนิดของกุ้งทีม่ ีความ สา้ คัญ 2. เขียนช่ือสามญั ของปลา 4. มรี ะเบยี บวินัย
ทางเศรษฐกจิ ได้ และสตั วน์ า้ อ่ืนๆ ท่มี ี 5. มีความรับผดิ ชอบ
4. บอกชนิดของหอยท่ีมีความ ความสา้ คญั ทางเศรษฐกิจได้
ส้าคัญทางเศรษฐกจิ ได้ 3. น้าเสนอชนดิ ของปลา 1. เห็นความส้าคญั ของการ
5. บอกชนิดของปูทีม่ คี วาม และสัตว์น้าท่มี ีความส้าคญั เพาะพนั ธสุ์ ัตว์นา้
สา้ คัญทางเศรษฐกจิ ได้ ทางเศรษฐกจิ ได้ 2. มเี จตคตทิ ี่ดีตอ่ งานอาชีพ
6. บอกชนิดของกบทีม่ คี วาม เพาะเลยี้ งสัตวน์ า้
ส้าคญั ทางเศรษฐกิจได้ 1. ค้านวณฮอรโ์ มนและฉีด 3. มคี วามซ่อื สัตย์
1. อธบิ ายชีววิทยาการสืบพันธ์ุของ ฮอร์โมนในการเพาะพันธุ์ 4. มีความขยันหมนั่ เพียร
สตั ว์นา้ ได้ สัตวน์ ้าได้ 5. มคี วามรบั ผิดชอบ
2. บอกปัจจยั ที่เก่ียวข้องกับการ 2. เพาะพันธ์ุสตั ว์น้าได้
เจรญิ พนั ธุ์และการวางไขไ่ ด้ ถกู ตอ้ งตามหลักการ
3. อธิบายหลักการคดั เลือกพอ่ แม่
พนั ธุ์สัตว์น้าได้
4. บอกแหลง่ ของพ่อแม่พันธ์สุ ตั วน์ ้า
ได้
5. อธิบายหลกั การเลี้ยงพอ่ แม่พันธ์ุ
สตั ว์น้าได้
6. บอกความแตกต่างระหวา่ งเพศ
ของสตั ว์น้าได้
7. บอกลักษณะของพ่อแมพ่ ันธุ์ที่
สมบูรณ์เพศได้
8. อธบิ ายวิธกี ารเพาะพันธ์ุสัตว์น้าได้
9. อธบิ ายการใช้ฮอร์โมนในการ
เพาะพันธุส์ ัตว์น้าได้
10. คา้ นวณฮอรโ์ มนและฉดี ฮอร์โมน
ในการเพาะพันธสุ์ ัตว์น้าได้
11. อธิบายหลักการพกั และตรวจ
ความพร้อมพ่อแมพ่ นั ธไ์ุ ด้

6

ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ ความรู้ สมรรถนะ คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์
12. อธบิ ายวิธกี ารเพาะพันธุ์ปลาดกุ ได้ ทักษะ
13. อธบิ ายวิธกี ารเพาะพันธ์กุ บได้
14. อธิบายวิธีการเพาะพันธ์ปุ ลานลิ ได้

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 6 1. บอกวธิ กี ารเลี้ยงปลานลิ ได้ 1. เขียนอธบิ ายวิธกี าร 1. เห็นประโยชน์ของการเลีย้ ง
การเลี้ยงสัตว์น้า 2. บอกวธิ กี ารเลี้ยงปลาดกุ ได้ เลีย้ งสตั ว์นา้ ได้ สตั วน์ ้า
3. บอกวธิ กี ารเลี้ยงปลาหมอไทยได้ 2. ปฏบิ ัติการเลย้ี งสัตวน์ ้า 2. มีเจตคติท่ดี ตี ่องานอาชีพ
4. บอกวธิ ีการเลย้ี งปลากะพงขาวได้ ได้ เพาะเลย้ี งสตั วน์ า้
5. บอกวิธกี ารเลี้ยงกุ้งกา้ มกรามได้ 3. มคี วามตรงตอ่ เวลา
6. บอกวธิ กี ารเลีย้ งกุ้งกลุ าด้าได้ 4. มีระเบียบวินยั
7. บอกวธิ กี ารเลย้ี งหอยแครงได้ 5. มีความรบั ผิดชอบ
8. บอกวิธกี ารเลย้ี งหอยแมลงภไู่ ด้
9. บอกวธิ ีการเลี้ยงปทู ะเลได้
10. บอกวิธีการเลย้ี งกบได้

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 7 1. บอกความหมายของ - จบั สัตวน์ า้ ล้าเลยี งสตั ว์ 1. มเี จตคตทิ ่ดี ีต่องานอาชีพ
การจดั การผลผลิต เพาะเลีย้ งสตั ว์นา้
จากการเพาะเลยี้ ง การจดั การผลผลิตสตั วน์ ้าได้ น้า และจ้าหนา่ ยผลผลิต 2. มีความรบั ผิดชอบต่อ
สตั ว์น้าเพ่อื จา้ หน่าย ส่ิงแวดลอ้ ม
2. อธบิ ายวิธีการจดั การผลผลติ สัตวน์ า้ สตั วน์ า้ 3. มีความซือ่ สัตย์
4. มคี วามอดทน
ได้ ได้ถกู ตอ้ งตามหลกั การ

3. อธิบายการเตรียมการกอ่ นลา้ เลียง

สัตวน์ ้าได้

4. บอกวิธกี ารคดั ขนาดสัตว์น้าได้

5. อธบิ ายวิธกี ารขนสง่ สตั ว์น้าได้

6. บอกข้อควรคา้ นึงในการขนส่ง

สตั ว์น้ามีชวี ติ ได้

7. อธิบายการเปลย่ี นแปลงที่เกดิ ขน้ึ

ระหว่างการลา้ เลียงสัตว์น้าได้

8. บอกวธิ กี ารใช้และประโยชน์ของ

สารเคมีในการลา้ เลยี งสตั ว์น้าได้

7

ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ ความรู้ สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 8 ทกั ษะ 1. เห็นความสา้ คญั ของการ
การบันทึกข้อมูล 1. บอกความสา้ คญั ของการบันทึก บนั ทึกขอ้ มปู ฏิบตั ิงาน
ปฏบิ ตั งิ าน ขอ้ มูลได้ 1. บันทึกข้อมลู ปฏิบตั งิ าน 2. มเี จตคติทด่ี ีต่องานอาชีพ
2. บอกข้อมูลงานฟาร์มสตั ว์น้าท่คี วร ได้ถกู ต้องตามหลกั การ เพาะเล้ยี งสตั วน์ ้า
หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 9 บันทกึ ได้ 2. เขยี นสตู รการประเมิน 3. มีความขยันหม่นั เพียร
การตลาดและ 3. แสดงรูปแบบการบันทึก การเจริญเตบิ โตและอัตรา 4. มคี วามอดทน
จา้ หน่ายผลผลิต ขอ้ มลู งานฟารม์ ได้ การรอดของสัตว์นา้ ได้ 5. มคี วามรับผดิ ชอบ
สตั ว์น้า 4. อธิบายการประเมินการเจริญเติบโต 3. เขยี นสูตรการประเมนิ
และอตั ราการรอดของสตั ว์น้าได้ ผลผลิตสตั ว์น้าได้ 1. เห็นความสา้ คญั ของ
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 10 5. อธิบายวิธีการประเมินผลผลติ สตั ว์ การตลาดและจา้ หนา่ ยผลผลติ
การค้านวณต้นทนุ น้าได้ 1. นา้ เสนอการวิเคราะห์ สตั ว์น้า
การผลิตและจัดท้า 6. บอกวิธีการเพิม่ ผลผลิต อปุ สงค์และอปุ ทานสัตว์ 2. มีเจตคติทดี่ ตี ่องานอาชีพ
บญั ชรี ายรับ-รายจา่ ย สตั วน์ ้าได้ นา้ ได้ถูกตอ้ ง เพาะเล้ียงสตั ว์น้า
1. บอกความหมายของ 2. วเิ คราะห์การตลาดสตั ว์ 3. มคี วามซือ่ สตั ย์
การตลาดสัตว์น้าได้ นา้ ได้ 4. มีระเบยี บวินัย
2. อธบิ ายวิถีการตลาดสตั ว์น้าได้ 3. จา้ หน่ายสัตวน์ ้าได้ 5. มีความรับผดิ ชอบ
3. อธิบายระบบการตลาดได้
4. บอกปัจจยั ท่มี ีผลกระทบตอ่ ส่วน 1. คา้ นวณตน้ ทุนการผลิต 1. เห็นประโยชนข์ องการ
เหลื่อมการตลาดได้ ต่อหน่วยได้ ค้านวณตน้ ทุนการผลติ และ
5. บอกกลยุทธ์การตลาดสัตว์น้าได้ จัดท้าบญั ชีรายรบั -รายจา่ ย
6. บอกปัจจัยทีผ่ ลต่อการเปลยี่ นแปลง 2. วิเคราะห์จดุ คุม้ ทนุ ได้ 2. มเี จตคติทด่ี ตี อ่ งานอาชพี
ของอปุ สงค์และอปุ ทานได้ 3. ค้านวณกา้ ไรได้
7. บอกความแตกต่างของตลาดแต่ละ 4. ก้าหนดราคาขายได้ เพาะเลย้ี งสตั ว์นา้
ประเภทได้ 5. จัดทา้ บัญชีฟาร์มสตั ว์ 3. มคี วามซ่อื สตั ย์
8. บอกข้อดขี องการวเิ คราะห์ตลาด น้าได้ 4. มคี วามอดทน
สัตวน์ า้ ได้ 5. มคี วามรับผดิ ชอบ
1. บอกความหมายของต้นทุน

การผลติ ได้
2. บอกประเภทของตน้ ทุน

การผลิตได้
3. อธิบายวิธกี ารค้านวณต้นทุน

การผลติ ตอ่ หนว่ ยได้
4. บอกความหมายของต้นทุน

การตลาดได้

8

ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ ความรู้ สมรรถนะ คณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์
5. อธบิ ายวิธกี ารวเิ คราะห์ ทักษะ
จดุ คุ้มทุนได้
6. อธิบายวิธกี ารค้านวณ
ก้าไรได้
7. บอกวิธีการก้าหนดราคา
ขายได้
8. บอกปจั จยั ท่ีมอี ทิ ธิพลต่อ
การกา้ หนดราคาผลผลิต
สัตวน์ ้าได้
9. บอกการท้าบัญชฟี าร์
สัตว์น้าได้

9

ตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู ร

รหสั วิชา 20501-2005 ชื่อวิชา หลักการเพาะเลี้ยงสัตวน์ ้า ทฤษฎี 1 ปฏบิ ัติ 3 หน่วยกติ 2
ชน้ั ปวช. สาขาวิชาเพาะเล้ยี งสัตวน์ ้า

พฤตกิ รรม พุทธิพสิ ัย

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี/หัวขอ้ ย่อย ความ ู้ร
ความเ ้ขาใจ
้นาไปใ ้ช
วิเคราะห์
ัสงเคราะห์
ประเ ิมนค่า
ทักษะพิสัย
ิจตพิสัย
รวม
้ลา ัดบความส้าคัญ
้จานวน ่ัชวโมง

1. ความสา้ คัญของการเพาะเลี้ยงสัตว์นา้ 211 - - - - - 444

2. สถานการณ์เพาะเลย้ี งสตั ว์น้าในประเทศและ 2211 - - - 1764
ประชาคมอาเซยี น

3. หลักการเพาะเลย้ี งสตั ว์น้า 3 3 3 - - - - 1 10 5 8

4. สตั วน์ ้าที่มีความส้าคัญทางเศรษฐกจิ 222 - - - - 1764

5. การเพาะพนั ธุ์สตั ว์น้า 3 3 3 1 1 1 3 1 16 1 16

6. การเลย้ี งสัตวน์ ้า 3 3 3 1 1 1 2 1 15 2 12

7. การจดั การผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าเพื่อ 2 2 2 1 1 1 1 1 11 4 8
จา้ หนา่ ย

8. การบันทึกข้อมูลปฏบิ ัตงิ าน 2 2 2 1 - 1 1 1 10 5 4

9. การตลาดและจา้ หน่ายผลผลติ สตั ว์นา้ 221 - - 111864

10 การค้านวณต้นทุนการผลิตและจดั ทา้ บัญชีรายรับ- 2 2 2 1 1 2 1 1 12 3 8

รายจา่ ย

รวม 23 22 20 6 4 7 9 9 100 - 72

ลา้ ดับความสา้ คญั 12356544 - - -

11

แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1

ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ ความสา้ คญั ของการเพาะเลี้ยงสัตว์นา้ สอนครง้ั ที่ 1
ชว่ั โมงรวม 4

จ้านวนชว่ั โมง 4

1. สาระสาคญั

สัตว์น้ามคี วามสา้ คญั ต่อมนุษย์ทง้ั ทางตรงและทางอ้อม เป็นอาหารท่ีมีประโยชน์ต่อร่างกาย สร้าง

รายได้ สร้างอาชีพ เป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศ ยังช่วยรักษาและปรับปรุงสภาพแวดล้อม ให้ความ

เพลิดเพลินและเป็นการพักผ่อน ในสมัยก่อนทรัพยากรสัตว์น้าอุดมสมบูรณ์ การเพาะพันธ์ุจึงท้าแบบวิธี

เลียนแบบธรรมชาติ ปัจจบุ นั ทรพั ยากรสตั วน์ ้ามีปริมาณลดลงอย่างมาก บางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ รวมทั้ง

ความแปรปรวนของสภาพภูมอิ ากาศ ตลอดจนความแห้งแลง้ จึงมีผลท้าให้มีสัตว์น้าลดลง การเพาะเลี้ยง

จงึ มีบทบาทสา้ คญั ในการผลิตสตั ว์นา้ ให้มีปรมิ าณเพียงพอตอ่ ความต้องการของผู้บริโภคและทดแทนสัตว์

น้าในแหล่งน้าธรรมชาติที่มปี รมิ าณลดลง

2. สมรรถนะประจาหน่วย

- แสดงความรเู้ กี่ยวกบั ความส้าคัญของการเพาะเลย้ี งสัตว์นา้

3. จุดประสงค์การเรียนรู้

3.1 ดา้ นความรู้

3.1.1 บอกและนา้ เสนอความส้าคัญของการเพาะเล้ยี งสัตวน์ ้าได้

3.1.2 บอกความหมายของสัตวน์ า้ ได้

3.1.3 บอกความหมายของการเพาะเลีย้ งสตั ว์น้าได้

3.2 ด้านทกั ษะ

3.2.1 ค้นควา้ และนา้ เสนอความสา้ คัญของการเพาะเล้ียงสตั ว์น้าได้

3.2.2 เขยี นอธิบายประวตั ิการเพาะเลยี้ งสตั ว์น้าได้

3.3 คณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์

3.3.1 เห็นความส้าคญั ของการเพาะเล้ยี งสตั ว์น้า

3.3.2 มีเจตคตทิ ี่ดีต่องานอาชพี เพาะเลยี้ งสัตวน์ ้า

3.3.3 มีความตรงต่อเวลา

3.3.4 มีระเบยี บวินัย

3.3.5 มีความรบั ผดิ ชอบ

12

แผนการจดั การเรียนรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเล้ียงสัตว์น้า สอนครงั้ ท่ี 1
(ตอ่ ) ช่วั โมงรวม 4

จา้ นวนชัว่ โมง 4

4. เน้อื หาสาระการเรยี นรู้

1. ความสาคัญของการเพาะเลย้ี งสัตว์นา้

1.1 เพอ่ื ผลติ ลูกพนั ธส์ุ ตั ว์นา้

1.2 เพ่ือเลี้ยงเป็นอาหารของมนษุ ย์

1.3 สร้างรายได้

1.4 สร้างอาชีพ

1.5 เป็นแหล่งของเงนิ ตราตา่ งประเทศ

1.6 ชว่ ยในเรื่องสภาพแวดล้อม

1.7 ให้ความเพลดิ เพลินและการพกั ผ่อน

1.8 เปน็ อาหารเสรมิ สขุ ภาพและเครื่องสา้ อาง

1.9 เปน็ แหลง่ พลังงาน

2. ความหมายของสตั ว์น้า

สตั วน์ า้ (Aquatic Animal) หมายถึง สตั วท์ ี่อาศยั อยใู่ นนา้ สตั ว์จ้าพวกสะเทินน้าสะเทินบก สัตว์ที่

อาศัยอยู่ในบริเวณท่นี ้าทว่ มถึง สัตวท์ มี่ ีการดา้ รงชวี ติ สว่ นหน่ึงอยู่ในน้า สตั ว์ที่มวี งจรชวี ติ ช่วงหนงึ่ อาศัยอยู่

ในน้าเฉพาะช่วงชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้า รวมทั้งไข่และน้าเช้ือของสัตว์น้าและสาหร่ายทะเล ซากหรือส่วน

หนง่ึ สว่ นใดของสัตวน์ า้ เหล่านน้ั และรวมถึงพรรณไม้น้าตามท่รี ัฐมนตรีประกาศก้าหนดและซากหรือส่วน

หนง่ึ ส่วนใดของพรรณไม้น้าน้นั ดว้ ย ซึง่ จะเห็นได้วา่ คา้ ว่า สัตว์น้า มีความหมายครอบคลุมอย่างมาก ท้ังน้ี

เพือ่ ประโยชน์ในการควบคุมดูแลให้เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ทางกฎหมาย

3. ความหมายของการเพาะเล้ียงสตั วน์ า้

การเพาะเล้ยี งสตั วน์ ้า หมายถึง กระบวนการใดๆ ก็ตามทีส่ ามารถท้าให้ไข่และน้าเชื้อของสัตว์น้ามี

โอกาสเข้าผสมกันเกิดการปฏิสนธิตัวอ่อนมีการเจริญพัฒนาจนฟักเป็นตัวและมีชีวิตรอด และเลี้ยงจนมี

ขนาดตามท่ีต้องการ ตลอดถึงการปรับปรุงพันธุ์ปลาให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อม

สามารถเจรญิ เติบโตไดอ้ ย่างรวดเรว็ ตามความตอ้ งการของตลาด

13

แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า สอนครั้งที่ 1
(ต่อ) ชัว่ โมงรวม 4

จา้ นวนชว่ั โมง 4

4. ประวตั ิการเพาะเลีย้ งสตั ว์น้า

4.1 ประวตั กิ ารเพาะพนั ธสุ์ ตั ว์น้าในต่างประเทศ

ชาวตา่ งประเทศร้จู กั วิธีการเพาะฟักปลาคาร์ฟท้าโดยใช้วิธีเลียนแบบธรรมชาติ โดยใช้รังฟักไข่

เทยี มทที่ า้ จากใยมะพร้าวและน้ามาต่อเรยี งกบั ราวไมไ้ ผ่ท่ีเรยี กว่า กากะบาน (Kakaban)

จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีผู้สามารถผสมเทียมปลาเทราต์เป็นผลส้าเร็จโดยใช้วิธีการ

แบบเปยี ก

ต่อมาได้ค้นพบวธิ ีการผสมเทียมแบบแหง้ โดยผสมไขก่ ับน้าเชื้อในภาชนะแห้ง ซึ่งวิธีนี้อัตราการ

ผสมตดิ ของไขป่ ลารอ้ ยละ 95 นับเป็นความก้าวหน้าทางเทคนคิ ทีส่ ้าคญั

จนกระท่ังปี ค.ศ. 1934 อาร์ วอน เออริง ชาวบราซิล เป็นบุคคลแรกที่ประสบความส้าเร็จใน

การกระตุ้นให้ปลาวางไข่โดยฉีดด้วยสารละลายต่อมใต้สมองจากปลาชนิดอื่น ท้าให้การผสมเทียมปลา

ก้าวหนา้ ขึ้นเรือ่ ยๆ จนชาวอสิ ราเอลเป็นประเทศแรกทีส่ ามารถผสมข้ามพันธุ์ระหว่างปลาซ่งกับปลาเกล็ด

เงนิ ปลานิลกับปลาชนิดอืน่ ในสกลุ ทลี าเปีย และการใช้ฮอร์โมนเพศผู้ในการแปลงเพศปลานิลให้เป็นเพศ

ผเู้ พอ่ื เพิม่ ผลผลิต

จนปัจจุบันความรู้ทางด้านพันธุศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพมีบทบาทอย่างมากต่อการ

ปรับปรุงพันธ์ุสัตว์น้าชนดิ ต่างๆ เพ่ือเพม่ิ ผลผลติ ให้เพียงพอกับความต้องการของการบรโิ ภคสัตวน์ า้

4.2 ประวตั ิการเพาะพนั ธส์ุ ัตวน์ ้าในประเทศไทย

การเพาะพนั ธุส์ ัตว์น้าของประเทศไทยประสบความส้าเร็จครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2486 ในการผลิต

ปลาไนโดยวธิ เี ลยี นแบบธรรมชาตโิ ดยหลวงจุลชีพ พชิ ชาธร นายบญุ อินทรัมพรรย์ และนายโชติ สวุ ัตถิ

ปี พ.ศ. 2493 กรมประมงได้รับความช่วยเหลือจากองค์การอาหารและเกษตรแห่ง

สหประชาชาติ (FAO) ในการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าของประเทศไทยโดยการเพาะพันธ์ุปลาหมอ

เทศ และเพาะพันธ์ุ ปลานลิ จนมีการเล้ยี งอย่างแพร่หลาย

ปี พ.ศ. 2497 กรมประมงไดท้ ดลองเพาะปลาไนโดยใช้เส้นใยจากงวงมะพร้าวเปน็ ทว่ี างไข่ได้ผล

ดีกว่าการใช้สาหรา่ ยและรากผกั ตบชวา ในปี พ.ศ. 2494 ประสบผลส้าเรจ็ ในการเพาะพันธปุ์ ลาดุกดา้ น

14

แผนการจัดการเรยี นร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเล้ียงสัตว์น้า สอนคร้งั ที่ 1
(ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 4

จา้ นวนชว่ั โมง 4

ปี พ.ศ. 2509 สามารถเพาะปลาสวายด้วยวิธีการผสมเทียมส้าเร็จเป็นครั้งแรก ซ่ึงถือเป็น

จดุ เริ่มตน้ ของการพฒั นาการเพาะพันธปุ์ ลาชนดิ อ่นื ๆ ท่ไี มว่ างไขใ่ นบ่อให้สามารถวางไขไ่ ด้ ในเวลา

ต่อมาเทคนิค การเพาะพันธ์ุปลาน้าจืดได้น้ามาประยุกต์ใช้เพาะพันธุ์ปลาน้ากร่อย ปลาทะเล

รวมทัง้ สัตว์นา้ ชนดิ อนื่ ๆ ให้ประสบความสา้ เร็จจนกระท่ังถงึ ปัจจบุ ัน

ปี พ.ศ. 2510 คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทดลองเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาว

ด้วยวิธีฉีดฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองเป็นผลส้าเร็จ ต่อมาสามารถเพาะพันธ์ุปลาแก้มช้า ปลาลิ่น ปลาซ่ง

ปลาเฉา ปลาตะเพียนทอง ปลาทรงเครื่อง ได้เป็นส้าเร็จ และได้ทดลองการผสมพันธุ์ปลาข้ามชนิด ได้

ทดลองหลายครง้ั เชน่ ปลาหมอเทศอัฟรกิ ันกบั ปลาหมอเทศธรรมดา ปลากะโห้กับปลาตะเพียน ปลาดุก

อุยกบั ปลาดกุ ด้าน ปลาดกุ อุยกับปลาดกุ เทศ

ปี พ.ศ. 2513 สถานีประมงทะเลสงขลาสามารถเพาะพันธ์ุกุ้งก้ามกรามส้าเร็จเป็นครั้งแรก

นับเป็นความก้าวหน้าครั้งส้าคัญของการเพาะเลี้ยงกุ้งของประเทศไทย ต่อมา พ.ศ. 2514 ก็ประสบ

ความส้าเร็จในการเพาะพันธ์ุกุ้งแชบ๊วยได้ ซ่ึงเป็นกุ้งทะเลชนิดแรกท่ีสามารถเพาะพันธุ์ได้ ในปีเดียวกัน

สถานีประมงทะเลภูเก็ตสามารถเพาะฟักกุ้งกุลาลายได้ส้าเร็จ ซ่ึงในระยะแรกประสบปัญหาหลายอย่าง

เช่น การขาดแคลนพ่อแม่พันธ์ุ และการอนุบาล แต่ในเวลาต่อมาก็สามารถเพาะฟักและอนุบาลกุ้ง

กุลาลาย กุ้งกุลาด้า หอยแครง หอยนางรม หอยแมลงภู่ รวมทั้งสัตว์น้าท่ีมีคุณค่าทางเศรษฐกิจอีกหลาย

ชนิด ทั้งน้ีเน่ืองจากการประยุกต์ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาการเพาะเลี้ยง

สตั วน์ า้

ปี พ.ศ. 2520 จารวุ ฒั น์สามารถเพาะฟกั ไขห่ มกึ หอมและหมึกกระดองโดยรวบรวมไข่จากแหล่ง

วางไข่ในธรรมชาติ ต่อมาในปีเดียวกัน สมิง จารุวัฒน์ และประเสริฐสามารถเพาะฟักปูด้าที่มีไข่นอก

กระดองและอนุบาลโดยใหอ้ าหารชนดิ ตา่ งๆ ได้สา้ เรจ็

ปี พ.ศ. 2523 พเยาว์และคณะ เพาะเลี้ยงหมึกกระดองก้นไหม้ประสบผลส้าเร็จตั้งแต่ฟักออก

จากไข่เจรญิ เปน็ ตวั เตม็ วยั และวางไข่ในห้องปฏิบตั กิ าร และในปเี ดียวกนั มีรายงานว่าบริษทั แอสเรด

15

แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเล้ียงสัตว์น้า สอนครงั้ ที่ 1
(ต่อ) ชวั่ โมงรวม 4

จ้านวนชั่วโมง 4

(ASREC) สามารถเพาะหอยมุกไดโ้ ดยวธิ คี วบคมุ อุณหภูมิของน้าได้ประสบผลส้าเร็จ

สว่ นปลาบึกกรมประมงได้ทดลองเพาะพันธ์ุด้วยวิธีผสมเทียมโดยการรีดไข่และน้าเช้ือมาผสม

กันประสบผลส้าเร็จเมื่อวันท่ี 6 พฤษภาคม 2526 ปัจจุบันสามารถเล้ียงพ่อแม่พันธุ์ในบ่อดิน เพาะและ

อนบุ าลเปน็ ผลส้าเร็จ

ปจั จบุ ันประเทศไทยสามารถเพาะพนั ธุ์สตั ว์นา้ ไดม้ ากกว่า 50 ชนิด ท้ังสัตว์น้าจืด สัตว์น้ากร่อย

และสัตวน์ ้าเค็ม

อยา่ งไรก็ตาม การเพาะเลี้ยงสตั วน์ ้าของประเทศไทยยงั ประสบปญั หาขาดแคลนลกู พันธ์ุสัตว์น้า

ในบางช่วงเวลาลูกพันธุ์ไม่มีคุณภาพและมีราคาสูง ถึงแม้จะมีการคัดพันธุ์สัตว์น้าก่อนน้าไปเล้ียง เพราะ

ในชว่ งเรมิ่ ต้นการพัฒนาลูกพันธ์ุสัตว์น้าที่น้ามาเลี้ยงมักมีการเจริญเติบโตดี แข็งแรง ต้านทานโรค เล้ียง

งา่ ย

แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งมักพบปัญหาสัตว์น้าเจริญเติบโตช้า เกิดโรคมากขึ้น ปัญหาดังกล่าว

อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมท้ังภายในและภายนอกบ่อเลี้ยง แต่สาเหตุ

ส้าคัญคอื คุณภาพลูกพันธุซ์ ึง่ เก่ียวข้องกับคุณภาพของพ่อแม่พันธ์ุที่ขาดการบริหารจัดการท่ีดีในเรื่องการ

คัดเลือกพันธุ์ที่เกี่ยวกับพันธุกรรมหรือการบริหารจัดการอ่ืนๆ ภายในโรงเพาะฟัก เช่น การดูแลพ่อแม่

พนั ธุ์ไม่ให้เกิดความเครยี ดก่อนการผสมพนั ธุ์

สรปุ

การเพาะเล้ียงสัตว์น้ามีความส้าคัญเพราะเป็นแหล่งอาหาร สร้างงาน สร้างรายได้แก่

ผปู้ ระกอบการ เป็นสินคา้ สง่ ออกท่เี กนิ ดลุ ด้านการคา้ อย่างตอ่ เนอ่ื ง กอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของ

ประเทศเป็นอันมาก

5. กิจกรรมการเรียนการสอน

5.1 การนาเข้าสู่บทเรียน

ขน้ั สนใจ (Motivation)

- ผู้สอนอธบิ ายความสา้ คญั ของการเพาะเลยี้ งสัตว์น้า ความหมายของสตั ว์นา้ ความหมายของ

16

แผนการจัดการเรยี นร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า สอนครงั้ ที่ 1
(ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 4

จา้ นวนชัว่ โมง 4

การเพาะเลีย้ งสัตว์น้า และประวัติการเพาะเล้ยี งสตั ว์น้า

5.2 การเรียนรู้

ขั้นศึกษาขอ้ มลู (Information)

1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ศึกษาเรื่องความส้าคัญของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า 1 คน

ความหมายของสตั ว์น้า 1 คน ความหมายของการเพาะเลย้ี งสตั วน์ ้า 1 คน และประวัตกิ ารเพาะเลี้ยงสัตว์

น้า 1 คน

2. ให้คนที่ได้ชื่อเร่อื งเดยี วกนั ในแตล่ ะกล่มุ แยกย้ายไปศึกษาในหัวข้อเดยี วกันรว่ มกัน เรยี กวา่ กลุ่ม
Expert ใหเ้ วลา 15 นาที จากน้นั ใหแ้ ยกย้ายไปอยใู่ นกลุ่ม Home

3. ในกลุ่ม Home ให้แต่ละคนที่เรียนรู้ร่วมกันจากกลุ่ม Expert อธิบายสิ่งท่ีได้ศึกษามาโดยให้
เลา่ คนละ 10 นาที โดยมผี ู้สอนเป็นผู้ชแ้ี นะ

4. มอบหมายให้แตล่ ะกลุม่ ฝกึ กจิ กรรมรว่ มกนั และรายงานหน้าชั้นเรียน
(กจิ กรรมตามสมรรถนะวิชาชพี )
ขั้นพยายาม (Application)
1. ผู้สอนและผูเ้ รียนร่วมกันสรุปเนื้อหาตามจดุ ประสงค์ของการเรียน
2. ผู้เรียนทา้ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน
3. ผเู้ รยี นท้าแบบทดสอบเพือ่ ประเมนิ ผลหลงั การเรียนรู้
5.3 การสรปุ
ข้นั สาเร็จผล (Progress)
1. ผ้สู อนพิจารณาใหค้ ะแนนการปฏบิ ัติงาน
2. ผสู้ อนพิจารณาให้คะแนนคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคเ์ ป็นรายบุคคล

17

แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า สอนคร้งั ท่ี 1
(ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 4

จ้านวนชว่ั โมง 4

6. สอื่ การเรยี นรู้/แหล่งการเรยี นรู้

6.1 สอ่ื สิ่งพมิ พ์

6.1.1 หนังสือเรยี นวชิ าหลกั การเพาะเล้ียงสัตว์นา้

6.1.2 ใบงาน เร่อื ง ความสา้ คัญของการเพาะเลยี้ งสตั ว์นา้ ในประเทศและประชาคมอาเซยี น

6.1.3 แบบประเมินผลการปฏิบัตงิ าน

6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง

6.1.5 แบบทดสอบ

6.2 สือ่ โสตทศั น์

6.2.1 เคร่ืองคอมพวิ เตอร์

6.2.2 โพรเจกเตอร์

6.2.3 ส่ืออิเลก็ ทรอนกิ ส์ช่วยสอน

6.3 ห่นุ จาลองหรือของจริง (ถา้ ม)ี

-

6.4 อ่ืนๆ (ถา้ ม)ี

- หอ้ งเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง (Self-access Learning)

7. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้

7.1 แบบประเมินผลการปฏิบตั ิงาน

7.2 แบบประเมินตนเอง

8. การบรู ณาการ/ความสัมพนั ธก์ ับวิชาอ่นื

8.1 บรู ณาการรว่ มกบั วชิ าลูกเสอื มกี ิจนสิ ยั มีระเบยี บ ละเอียดรอบคอบ และมเี จตคตทิ ีด่ ีต่อวชิ าชพี

8.2 บูรณาการร่วมกับวิชาหน้าท่ีพลเมืองและศีลธรรมเก่ียวกับการวางแผนการท้างานตามหลัก

ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง

18

แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ความส้าคัญของการเพาะเล้ียงสัตว์น้า สอนครงั้ ท่ี 1
(ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 4

จ้านวนชัว่ โมง 4

9. การวดั และประเมนิ ผล

9.1 ก่อนเรยี น

- การอธบิ ายประกอบสื่อ

9.2 ขณะเรียน

9.2.1 ปฏบิ ตั งิ านตามกจิ กรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี

9.2.2 การนา้ เสนอเนื้อหาเกยี่ วกับความสา้ คัญของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า ความหมายของสัตว์น้า

ความหมายของการเพาะเลี้ยงสัตวน์ ้า และประวตั กิ ารเพาะเล้ียงสตั ว์น้า

9.3 หลังเรยี น

9.3.1 ท้ากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน

9.3.2 ทา้ แบบทดสอบเพือ่ ประเมนิ ผลหลังการเรียนรู้

10. บนั ทกึ หลังสอน

10.1 ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้

10.2 ผลการเรียนรขู้ องนักเรียน นกั ศึกษา

.....................................................................................................................................................................

....................................................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................................

....................................................................................................................................................................

10.3 แนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการเรียนรู้

.....................................................................................................................................................................

....................................................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................

20

แผนการจดั การเรียนรูม้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเลี้ยง สอนคร้งั ที่ 2
สตั ว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ช่ัวโมงรวม 8

จา้ นวนช่ัวโมง 4
1. สาระสาคญั

ปจั จุบันโลกมกี ารเปลย่ี นแปลงและพฒั นาอยา่ งมาก สามารถตดิ ต่อส่ือสารได้สะดวกยิ่งข้นึ สินค้าสัตว์น้า
มีสง่ จา้ หนา่ ยกันทั่วโลก ดงั นนั้ จึงตอ้ งศกึ ษาข้อมลู สถานการณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้าทั้งในประเทศอาเซียนและโลก
เพ่ือจะได้วางแผนจัดการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าให้เพียงพอต่อการบริโภคและใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในอดีต
ผปู้ ระกอบการมกั ค้านึงถึงการผลิตมากกว่าการตลาดและมีการซ้ือขายกันในวงแคบเฉพาะในท้องถ่ิน ปัญหา
การตลาดจึงมนี ้อย ต่อมาประชากรมากขึ้นท้าให้ความต้องการบริโภคสัตว์น้าเพิ่มขึ้น มีการเคลื่อนย้ายสินค้า
และบริการจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค การเพาะสัตว์น้าหรือการประกอบธุรกิจใดๆ ให้ประสบความส้าเร็จ
จดุ เริม่ ต้นท่ีควรพิจารณาคือความต้องการของตลาดว่าตลาดมีความตอ้ งการสัตวน์ า้ ชนิดใด ความต้องการนั้นมี
ความตอ่ เน่ืองหรือไม่ ราคาท่ีจ้าหน่ายในปัจจุบันเป็นราคาท่ีพอใจหรือไม่ ดังน้ันผู้ประกอบการจึงจ้าเป็นต้อง
ศึกษาข้อมลู เพอ่ื วางแผนการผลิตและการตลาดใหส้ มดุลกับความตอ้ งการของผบู้ ริโภค
2. สมรรถนะประจาหน่วย

- แสดงความรเู้ ก่ียวกับสถานการณเ์ พาะเลีย้ งสตั วน์ ้าในประเทศและประชาคมอาเซียน
3. จุดประสงค์การเรียนรู้

3.1 ดา้ นความรู้
3.1.1 น้าเสนอและอธิบายสถานการณเ์ พาะเลี้ยงสัตวน์ ้าในประเทศไทยได้
3.1.2 น้าเสนอและอธิบายสถานการณ์เพาะเล้ยี งสัตว์น้าในประชาคมอาเซยี นได้
3.1.3 นา้ เสนอและอธิบายสถานการณ์การประมงของโลกได้

3.2 ดา้ นทกั ษะ
3.2.1 วิเคราะห์สถานการณเ์ พาะเลีย้ งสตั ว์น้าในประเทศไทยได้
3.2.2 วิเคราะหส์ ถานการณเ์ พาะเลย้ี งสตั วน์ ้าในประชาคมอาเซยี นได้
3.2.3 วิเคราะห์สถานการณ์การประมงของโลกได้

3.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์
3.3.1 เหน็ ความสา้ คัญของสถานการณเ์ พาะเล้ยี งสตั ว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซีย

21

แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเล้ียง สอนครัง้ ที่ 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ชัว่ โมงรวม 8
(ต่อ)

จ้านวนชั่วโมง 4

3.3.2 มีเจตคติที่ดีตอ่ งานอาชพี เพาะเลี้ยงสัตว์น้า
3.3.3 มีความซ่อื สัตย์
3.3.4 มรี ะเบียบวินัย
3.3.5 มีความรับผิดชอบ
4. เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้
1. สถานการณ์เพาะเลยี้ งสัตว์น้าในประเทศไทย
1.1 การผลิตสัตว์นา้ ของประเทศไทย
ในปี 2559 ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตสัตว์น้ารวม 2.65 ล้านตัน ใช้บริโภคภายในประเทศและ
ส่งออก นอกจากนี้ยังมีการน้าเข้าสินค้าสัตว์น้าโดยส่วนหนึ่งน้าเข้าเพ่ือแปรรูปแล้วส่งออกไปจ้าหน่าย
ต่างประเทศอีกครั้ง แต่โดยภาพรวมประเทศไทยสามารถผลิตสัตว์น้าได้เพียงพอกับความต้องการบริโภค
ภายในประเทศ
1.2 การบรโิ ภคสัตว์นา้ ของประเทศไทย
ประเทศไทยใช้ประโยชน์จากสัตวน์ า้ เคม็ เพอื่ การบริโภค 78.06 เปอรเ์ ซ็นต์ และผลิตเป็นอาหารสัตว์
21.94 เปอร์เซ็นต์ โดยใชป้ ลาเป็ดและปลาเบญจพรรณเป็นวัตถุดิบ ส่วนสัตว์น้าจืดใช้บริโภคสดคิดเป็น 79.19
เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 2556 คนไทยบริโภคสัตว์น้าประมาณ 2 ล้านตัน เฉลี่ย 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี การ
บรโิ ภคเฉลี่ยอาจสงู กวา่ น้ีประมาณ 2-3 กิโลกรัมตอ่ คนต่อปี และประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบริโภค
สัตว์นา้ มากที่สดุ รองลงมาคือภาคตะวนั ตกและภาคกลาง ชนดิ ของปลาที่บรโิ ภคมากทส่ี ดุ คือ ปลานิล จ้านวน
2.1 กโิ ลกรัมต่อคนตอ่ ปี รองลงมาคอื ปลาดุก ปลาทับทิม และปลาสวาย จ้านวน 2.3, 0.8 และ 0.5 กิโลกรัม
ตอ่ คนตอ่ ปี ตามลา้ ดบั
อยา่ งไรก็ตาม การเพาะเลยี้ งสตั ว์น้าของประเทศไทยกป็ ระสบปัญหาหลายอย่าง เช่น การเพาะเลี้ยง
สัตว์น้าชายฝ่ัง เกิดโรคระบาดในกุ้งขาวแวนนาไมซ่ึงรักษาได้ยาก ได้แก่ โรคกล้ามเน้ือตาย (Infectious
myonecrosis virus: IMNV) และโรค EMS (Early Morlarity Syndrome) หรือ AHPS (Acute
Hepatopan- creatic Degeneration Syndrome) เป็นโรคท่ีเกิดในกุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาด้า หรือ
เรยี กว่า โรคตายด่วน ซงึ่ กุ้งท่เี ลย้ี งมกั จะตายก่อน 1 เดอื น หรอื ในชว่ ง 15-20 วนั นบั จากวันปล่อย
สว่ นปญั หาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าจืดส่วนใหญ่เกษตรกรเป็นผู้เล้ียงรายย่อยและมีปัญหาหลายอย่าง
คือขาดเงนิ ทุนท่จี ะทดลองคน้ หาเทคโนโลยแี ละวิธกี ารเลยี้ งทีด่ ที สี่ ุด เกษตรกรขาดขอ้ มลู เรอ่ื งการตลาดและ

22

แผนการจดั การเรียนร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2

ช่ือหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเล้ียง สอนครัง้ ท่ี 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ชัว่ โมงรวม 8
(ต่อ)

จา้ นวนชว่ั โมง 4

เล้ียงปลาเลียนแบบกัน ขาดข้อมูลข่าวสารและความรู้ ประสบการณ์ มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะ
ปลาน้าจืด

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเส่ียงที่มีผลกระทบต่อการประมงของไทยดังจะเห็นได้ในช่วงแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) มีเหตุการณ์และกระแสการเปล่ียนแปลงของโลก
หลายประการ ท้ังวิกฤตเศรษฐกิจโลก ราคาน้ามันมีแนวโน้มสูงข้ึน ภาวการณ์เปล่ียนแปลงทางการเมือง
กลุ่มประเทศมุสลิม สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ราคาอาหารสูงขึ้น ค่าเงินบาทผันผวน ภัยธรรมชาติ น้าท่วม
ภยั แล้ง และวาตภัยในปเี ดยี วกัน ท้าให้ภาครัฐไมส่ ามารถบรหิ ารจัดการปัญหาได้ทนั ตอ่ สถานการณ์

1.3 การวเิ คราะหต์ ลาดสตั วน์ า้ ของประเทศไทย

1.3.1 การส่งออก ประเทศไทยประสบความส้าเร็จด้านการประมงติดหนึ่งในสิบของโลกที่มี
ผลผลติ สูงมาต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2553 จนถงึ ปจั จุบัน ตลาดหลักท่ีสา้ คญั คือสหรัฐอเมริกาและญ่ีปุ่น ซึ่งครองสัดส่วน
การตลาดถึงร้อยละ 41.75 รองลงมาคอื ออสเตรเลีย แคนาดา และจีน โดยมีประเทศจีนเท่าน้ันท่ีประเทศไทย
มีการส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเน่ืองทุกปี รูปแบบการส่งออก ได้แก่ สัตว์น้ามีชีวิต สัตว์น้าสดแช่เย็น แช่แข็ง
ผลติ ภณั ฑ์ นงึ่ ตม้ ใสเ่ กลอื ทา้ เค็ม ตากแหง้ รมควัน ผลิตภัณฑ์บรรจุภาชนะอัดลมและอ่ืนๆ ส่วนปลาสวยงาม
ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก ส่งไปประเทศฮ่องกงมากที่สุด รองลงมาคือประเทศใน
แถบเอเชยี สหรฐั อเมรกิ า สิงคโปร์ จนี และมาเลเซีย โดยสัตวน์ า้ สวยงามที่จ้าหน่ายในตลาดโลกร้อยละ 90 คือ
ปลานา้ จืด ทไ่ี ดจ้ ากการเพาะเล้ยี ง

1.3.2 การนาเข้า ประเทศไทยน้าเข้าสตั ว์น้ามาเปน็ วตั ถดุ ิบในการแปรรปู เพือ่ ส่งออกในปี 2559
ปริมาณการน้าเข้า 1,867,765 ตัน มูลค่า 112,717 ล้านบาท การน้าเข้าจากกลุ่มอาเซียนมีสัดส่วนมากที่สุด
โดยน้าเขา้ จากประเทศเวยี ดนาม อนิ โดนีเซีย ไต้หวัน ญป่ี ุ่น เกาหลใี ต้ จีน สหรัฐอเมรกิ า มาเลเซยี อนิ เดีย และ
ฟิลิปปินส์ สินค้าที่น้าเข้า ได้แก่ สัตว์น้ามีชีวิต สัตว์น้าสดแช่เย็น แช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ นึ่ง ต้ม ใส่เกลือ ท้าเค็ม
ตากแหง้ รมควัน ผลิตภณั ฑ์บรรจุภาชนะอัดลม ผลิตภัณฑ์มิได้บรรจุภาชนะอัดลม ผลิตภัณฑ์ปรุงแต่งหรือท้า
ไว้ไมใ่ ห้เสยี น้าปลา น้ามันหอย ไขมนั ปลา สาหรา่ ยทะเล และอืน่ ๆ

23

แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเล้ียง สอนคร้งั ที่ 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ชัว่ โมงรวม 8
(ต่อ)

จ้านวนช่วั โมง 4

1.3.3 ตลาดสตั ว์นาภายในประเทศ
1) สัตว์น้าจืด ผลผลิตส่วนใหญ่ได้จากการเพาะเล้ียงคิดเป็นร้อยละ 69.54 ได้แก่ ปลา

ก้งุ ก้ามกราม และสัตว์น้าอื่นๆ โดยผลผลิตปลาคิดเป็นร้อยละ 95.13 ปลาที่นิยมบริโภค คือ ปลานิล ปลาดุก
ปลาไน ปลาตะเพียน ปลาสลิด ปลาสวาย ปลาช่อน ปลายี่สกเทศ ปลานวลจันทร์เทศ ปลาจีน ปลาหมอไทย
และปลาแรด เป็นต้นทีน่ า้ เข้าจากชายแดนของประเทศเพ่ือนบา้ น และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะ
ท้าให้การเพาะเลี้ยงสตั ว์น้าจืดไดร้ ับผลกระทบโดยตรงจากผลผลติ ของประเทศเพื่อนบา้ น

2) สัตว์น้ากร่อยและสัตว์น้าเค็ม ผลผลิตได้จากการจับจากธรรมชาติ การเพาะเล้ียง
และน้าเขา้ จากต่างประเทศ แต่สว่ นใหญ่ได้จากการจับจากธรรมชาติคิดเป็นร้อยละ 89.11 ได้แก่ ปลาทู ปลา
ลัง ปลาโอ ปลาทรายแดง ปลาจะละเม็ด ปลาน้าดอกไม้ กั้ง หมึก หอยลาย หอยหวาน และหอยเชลล์ และ
ผลผลิตสัตว์น้าท่ีได้จากการเพาะเล้ียง ได้แก่ ปลากะพงขาว ปลาเก๋า กุ้งกุลาด้า กุ้งขาวแวนนาไม กุ้งแชบ๊วย
หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม ส่วนปลาท่ีน้าเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ปลาทู และปลาโอ รูปแบบการ
จ้าหน่าย ปลาทูจะจ้าหน่ายในรูปปลานึ่ง แช่เย็น แช่แข็ง ปลาโอจ้าหน่ายในรูปปลาแช่เย็น แช่แข็ง และปลา
กระป๋อง ปลากะพงขาวจา้ หนา่ ยในรปู ปลาแช่เย็นและปลามีชีวิต ส่วนกุ้ง ก้ัง หอย หมึกจ้าหน่ายในรูปแช่เย็น
และแชแ่ ขง็

2. สถานการณ์เพาะเล้ียงสัตว์นา้ ในประชาคมอาเซียน
สมาชิกอาเซยี น ประกอบด้วย 10 ประเทศ ได้แก่ เนการาบรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว
มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม อาเซียนมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และได้
กลายเป็นองค์กรท่ีความแข็งแกร่งข้ึนตามล้าดับ มีฐานการผลิตส้าหรับประชากร 600 ล้านคนในอาเซียน
เป้าหมายหลักของการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนคือ การสร้างประชาคมท่ีมีความแข็งแกร่ง มีความ
เจรญิ รงุ่ เรืองทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างโอกาสและรับมือสิ่งท้าทายท้ังด้านการเมือง ความม่ันคง เศรษฐกิจ
และภัยคกุ คามรูปแบบใหม่ได้อย่างรอบด้าน โดยให้ประชาชนมีความเปน็ อย่ทู ่ีดี สามารถประกอบกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2541 อาเซียนได้ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพิ่มเติม
เพื่อให้การรวมตัวทางเศรษฐกิจมีความสมบูรณ์แบบและมีทิศทางที่ชัดเจน ด้วยการจัดตั้งเขตการลงทุน
อาเซยี น (ASEAN Investment Area: AIA) ซึ่งต่อมาได้มกี ารขยายขอบเขตของความตกลงให้ครอบคลุมตลาด
ส่งออกสา้ คัญของอาเซยี น ได้แก่ ญี่ปนุ่ จนี สหภาพยโุ รป สหรัฐอเมริกา ตลาดน้าเข้าท่ีส้าคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น
สหภาพยโุ รป สหรัฐอเมริกา

24

แผนการจดั การเรียนรูม้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเลี้ยง สอนครง้ั ท่ี 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ชว่ั โมงรวม 8
(ต่อ)

จา้ นวนชัว่ โมง 4
ในปี 2556 ปริมาณการผลิตสัตว์น้าของอาเซียน 40.0 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 20.93 ของโลก โดย
ประเทศสมาชิกอาเซียนท่ีเพาะเล้ียงสูงกว่าเกณฑ์นี้ ได้แก่ สปป.ลาว อินโดนีเซีย เวียดนา ม และฟิลิปปินส์
ส่วนประเทศไทยนั้น ผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์นา้ อยู่ในเกณฑ์ต่้ากวา่ เกณฑ์เฉลยี่ ของภมู ิภาคอาเซียน
3. สถานการณ์การประมงของโลก
ปริมาณการจับสัตว์น้าท่ัวโลกจับจากทะเลคิดเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็น
การจับสตั วน์ า้ จากแหล่งน้าจดื ในปจั จบุ นั ผลผลิตสตั วน์ ้าจากการเพาะเล้ียงมแี นวโนม้ เพ่ิมขึ้น เนื่องจากมีหลาย
ประเทศขยายก้าลังการผลิต เช่น อินเดีย บังกลาเทศ เวียดนาม จีน เป็นต้น แหล่งผลิตปลาป่นของโลกที่
ส้าคัญไดแ้ ก่ ประเทศเปรูและชิลี ซ่ึงผลิตปลาป่นได้รวมกันได้มากกว่าครึ่งหน่ึงของผลผลิตปลาป่นท่ัวโลก คิด
เป็นมลู คา่ มากกวา่ 70 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องมลู ค่าการสง่ ออกของปลาปน่ ท้งั หมด

3.1 ประเทศทส่ี ง่ ออกสินคา้ สตั วน์ ้า

ประเทศท่ีส่งออกสินคา้ สัตวน์ ้าจา้ แนกตามประเภทของสินค้าประเภทกุ้งและผลิตภณั ฑ์จากกุ้ง ได้แก่
ประเทศไทย จีน อินโดนีเซีย เอกวาดอร์ เวียดนาม อินเดีย และบราซิล ปลาและผลิตภัณฑ์จากปลา ได้แก่
ประเทศจีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ส่วนปลาป่น ได้แก่ ประเทศเปรู ชิลี เดนมาร์ก นอร์เวย์
ปากสี ถาน และไอซ์แลนด์

3.2 ประเทศทนี่ ้าเข้าสินคา้ สัตว์นา้

ประเทศท่ีน้าเข้าสินค้าสัตว์น้าที่ส้าคัญของโลก ได้แก่ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา
แคนาดา ญป่ี ุ่น มาเลเซยี ไต้หวนั เกาหลีใต้ จีน ประเภทของสตั ว์น้าท่ีมีการน้าเข้าของประเทศต่างๆ ได้แก่ กุ้ง
และผลิตภัณฑจ์ ากกุง้ ปลาและผลติ ภัณฑจ์ ากปลา สัตว์น้าอืน่ ๆ และปลาปน่

สรปุ

ผู้เพ าะ เลี้ยง สัต ว์ น้าจ้าเป็น ต้อง ศึก ษาและ วิ เคร าะ ห์ข้อ มูลก าร ต ลาดเพ่ื อใช้ปร ะ ก อบก าร ตัดสิน ใ จ
วางแผนการผลิตสัตว์น้า และจ้าหน่ายสัตว์น้า ผลการวิเคราะห์ตลาดสัตว์น้ามีความส้าคัญคือท้าให้คาดคะเน
ความตอ้ งการของตลาด ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าและบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้า และยังเป็นการ
ชว่ ยแก้ไขปญั หาทางเศรษฐกจิ ของประเทศได้ สถานการณ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าของประเทศไทยภาครฐั จ้าต้อง
เร่งพฒั นานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงสัตวน์ ้าให้เหนือกวา่ คูแ่ ขง่ ขนั ในอาเซียนและโลก โดยการสนับสนุนลงทนุ

25

แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเล้ียง สอนครง้ั ที่ 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ชวั่ โมงรวม 8
(ต่อ)

จา้ นวนชว่ั โมง 4
วจิ ัยและพฒั นาใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บในด้านคุณภาพและต้นทุน รวมถึงการสนับสนุนวิธีการผลิตที่เป็น
มิตรกับส่ิงแวดลอ้ ม ก็จะทา้ ให้ภาคการเพาะเลย้ี งสัตว์น้าของไทยมีความเข้มแข็งและสร้างความม่ันคงในอาชีพ
ไดอ้ ยา่ งย่ังยืน
ขน้ั สนใจ (Motivation)
- ผู้สอนอธบิ ายและสาธิตสถานการณเ์ พาะเล้ยี งสัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
5.1 การนาเขา้ สู่บทเรยี น
5.2 การเรยี นรู้
ขัน้ ศึกษาข้อมูล (Information)
1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มท่ี 1 ศึกษาเร่ืองสถานการณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้าใน
ประเทศไทย กลุ่มท่ี 2 ศึกษาเรือ่ งสถานการณเ์ พาะเลีย้ งสตั วน์ ้าในประชาคมอาเซียน และกลุ่มที่ 3 ศึกษาเร่ือง
สถานการณ์การประมงของโลกจากหนังสอื เรยี น
2. ใหผ้ ้เู รียนแต่ละกลุ่มทา้ กิจกรรมเล่าเรื่องรอบวงตามหัวข้อที่ได้รับ โดยให้ผู้เรียนน่ังล้อมเป็นวงกลม
จากนั้นให้ผู้เรียนกลุ่มที่ 1 เป็นคนเริ่มเล่าเร่ืองก่อน ซึ่งแต่ละคนต้องเล่าเรื่องทีละ 1 ประโยค เวียนไปทาง
ขวามือ และส้นิ สดุ เมือ่ เรือ่ งราวท่ีเป็นสาระส้าคญั ครบถ้วน ทา้ จนครบทง้ั 3 กลมุ่
3. ให้ผู้เรยี นแบง่ กลุ่มตามความเหมาะสม เพื่อค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้าใน
ประเทศและประชาคมอาเซียน ระดมสมองวิเคราะหข์ อ้ มูลและจดั ท้าเปน็ รปู เล่มรายงานน้าเสนอหน้าช้นั เรยี น
(กจิ กรรมตามสมรรถนะวิชาชพี )

ขัน้ พยายาม (Application)
1. ผู้สอนและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาตามจดุ ประสงค์ของการเรยี น
2. ผ้เู รยี นทา้ กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน
3. ผเู้ รยี นทา้ แบบทดสอบเพือ่ ประเมนิ ผลหลังการเรียนรู้

26

แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเลี้ยง สอนคร้ังที่ 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ชวั่ โมงรวม 8
(ตอ่ )

จ้านวนชว่ั โมง 4
5.3 การสรปุ

ขน้ั สาเร็จผล (Progress)
1. ผู้สอนพจิ ารณาให้คะแนนการปฏบิ ัตงิ าน
2. ผูส้ อนพิจารณาให้คะแนนคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์เป็นรายบุคคล
6. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหลง่ การเรียนรู้
6.1 ส่ือสิ่งพิมพ์
6.1.1 หนังสือเรยี นวชิ าหลกั การเพาะเลี้ยงสตั ว์นา้
6.1.2 ใบงาน เรอื่ ง สถานการณเ์ พาะเล้ียงสตั ว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน
6.1.3 แบบประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน
6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 สื่อโสตทศั น์
6.2.1 เคร่อื งคอมพวิ เตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 ส่ืออเิ ล็กทรอนิกสช์ ว่ ยสอน
6.3 หนุ่ จาลองหรอื ของจรงิ (ถา้ มี)
-
6.4 อน่ื ๆ (ถ้าม)ี
- หอ้ งเรียนรดู้ ้วยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้
7.1 แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ าน
7.2 แบบประเมนิ ตนเอง

27

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2

ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สถานการณ์เพาะเลี้ยง สอนคร้งั ท่ี 2
สัตว์น้าในประเทศและประชาคมอาเซียน ช่วั โมงรวม 8
(ต่อ)

จ้านวนชวั่ โมง 4
8. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กับวิชาอ่นื

8.1 บูรณาการรว่ มกับวชิ าลูกเสือ มกี ิจนสิ ัย มรี ะเบียบ ละเอียดรอบคอบ และมีเจตคติท่ีดตี ่อวิชาชพี
8.2 บูรณาการร่วมกับวชิ าคอมพิวเตอร์ การใช้โปรแกรม Microsoft Excel ท้าสือ่ น้าเสนอ
9. การวัดและประเมนิ ผล

9.1 กอ่ นเรยี น- การอธิบายประกอบส่อื
9.2 ขณะเรียน

9.2.1 ปฏบิ ตั ิงานตามกิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชพี
9.2.2 น้าเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์เพาะเล้ียงสัตว์น้าในประเทศไทย สถานการณ์เพาะเลี้ยง
สัตวน์ ้าในประชาคมอาเซยี น และสถานการณก์ ารประมงของโลก
9.3 หลังเรียน
9.3.1 ท้ากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ท้าแบบทดสอบเพ่อื ประเมินผลหลงั การเรียนรู้
10. บนั ทกึ หลังสอน
10.1 ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.2 ผลการเรียนรูข้ องนกั เรยี น นักศึกษา
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.3 แนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

28

28

แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3

ช่อื หน่วยการเรียนรู้ หลักการเพาะเล้ียงสตั วน์ า้ สอนครงั้ ท่ี 3-4
ชว่ั โมงรวม 16

จ้านวนชว่ั โมง 8

1. สาระสาคญั

หลกั การเพาะเล้ียงสัตวน์ ้านบั วา่ มีความส้าคญั มากซึ่งนบั ตัง้ แตก่ ารเลือกท้าเล การสร้างบ่อเลีย้ งสัตว์น้า การ
เตรียมโรงเพาะฟัก บอ่ อนบุ าล บอ่ เลยี้ งสตั ว์นา้ หากเตรยี มการไดด้ เี หมาะสมแลว้ การจดั การและการดูแลรักษาจะ
ง่าย รวมท้ังวางแผนการผลิตสัตว์น้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดอย่างต่อเน่ือง การผลิตสัตว์น้าไม่
ส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม โดยผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรฐานงานฟาร์มย่อมก่อให้เกิดประโยชน์และ
ประสบความส้าเร็จในการประกอบธุรกิจ การเพาะเล้ียงสัตว์น้าสามารถพัฒนาขยายการเลี้ยงได้ในอนาคตและ
ต้นทุนการผลติ ต่้าสามารถแข่งขนั ได้

2. สมรรถนะประจาหน่วย

- แสดงความรูเ้ กยี่ วกับหลักการเพาะเลยี้ งสัตว์น้า

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

3.1 ดา้ นความรู้

3.1.1 เลอื กทา้ เลท่เี หมาะสมส้าหรบั การสรา้ งฟารม์ เพาะเลย้ี งสตั ว์น้าได้

3.1.2 บอกหลักการสร้างบอ่ เล้ียงสัตวน์ ้าได้

3.1.3 บอกการเตรียมการเพาะพันธ์สุ ัตวน์ ้าได้

3.1.4 บอกปญั หาและวธิ กี ารแกป้ ัญหาในการเพาะฟกั ไขส่ ตั วน์ า้ ได้

3.1.5 บอกการอนุบาลสัตวน์ า้ ได้

3.1.6 บอกการเตรยี มบ่อเล้ยี งสัตวน์ ้าได้

3.1.7 บอกมาตรฐานงานฟาร์มเพาะเล้ียงสัตว์น้าได้

3.2 ดา้ นทกั ษะ

3.2.1 เตรียมอุปกรณส์ ้าหรับฟกั ไข่ปลาแตล่ ะประเภทได้

3.2.2 อนบุ าลสตั ว์น้าได้

3.2.3 เตรียมบอ่ เล้ียงสัตว์นา้ ได้

3.2.4 ปฏบิ ตั กิ ารเพาะเลีย้ งสตั ว์น้าได้

29

แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3

ช่ือหนว่ ยการเรียนรู้ หลักการเพาะเลย้ี งสตั วน์ ้า (ต่อ) สอนครัง้ ท่ี 3-4
ชั่วโมงรวม 16

จ้านวนช่วั โมง 8

3.3 คณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์
3.3.1 เห็นความส้าคัญของการเพาะเลีย้ งสตั ว์น้า
3.3.2 มีเจตคติที่ดีตอ่ งานอาชีพเพาะเลยี้ งสตั ว์น้า
3.3.3 มีความอดทน
3.3.4 มคี วามขยนั
3.3.5 มีความรบั ผิดชอบ

4. เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้
1. การเลือกทาเล
1.1 ทา้ เลท่ีเหมาะสมส้าหรบั การสร้างฟารม์ เพาะเล้ยี งสตั วน์ ้า ควรมลี กั ษณะดังตอ่ ไปน้ี
1.1.1 ลักษณะภูมิประเทศ ไม่เป็นท่ีลุ่มหรือดอนจนเกินไป มีความลาดเอียงเล็กน้อย ประมาณ

0.5-1.0 เปอร์เซ็นต์ ดินควรเปน็ ดินเหนยี วหรอื เหนยี วปนทรายซง่ึ อุ้มน้าได้ดี ค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในช่วง 6.5-
8.5 มีธาตุอาหารในดินเหมาะสม คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ในสัดส่วน 4 : 1 : 1 ซ่ึงแร่ธาตุจะมีผล
ต่อความอดุ มสมบูรณข์ องบ่อเลยี้ งสตั ว์น้า

1.1.2 แหล่งน้า มีน้าปริมาณเพียงพอตลอดปหี รืออย่างน้อยตลอดชว่ งฤดกู าลเพาะพันธ์ุสัตว์น้า
1.1.3 คณุ สมบัตขิ องน้า ต้องมีความเหมาะสมทงั้ กายภาพ เคมี และชวี ภาพ
1.1.4 ปัจจัยอื่นๆ เช่น การคมนาคมสะดวก อยู่ใกล้ตลาด ราคาที่ดินคุ้มค่ากับการลงทุน อยู่ใกล้
แหล่งอาหารและแหล่งพันธสุ์ ัตวน์ า้ มีกระแสไฟฟ้า อยู่ห่างไกลจากโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเกษตรกรรม และ
ชุมชนเมือง การด้าเนินงานฟาร์มจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ขัดต่อประเพณีและวัฒนธรรมของ
สังคม แรงงานสามารถหาไดง้ ่ายและไมม่ โี จรขโมยชกุ ชุม
1.2 ท้าเลทีเ่ หมาะสมส้าหรับการเล้ยี งสัตว์น้าในกระชัง ควรมีลกั ษณะดังตอ่ ไปนี้
1.2.1 คุณภาพน้ามีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น้า ไม่ควรอยู่ใกล้โรงงาน
อุตสาหกรรม ปริมาณน้ามีเพียงพอตลอดระยะเวลาการเลี้ยงสัตว์น้า มีกระแสน้าไหลพัดพาเศษอาหารและ
ของเสยี ออกจากกระชัง
1.2.2 สามารถหาพันธ์ุและอาหารสตั วน์ า้ ไดง้ ่าย
1.2.3 ไมข่ ดั ตอ่ กฎหมายการประมงและการสัญจรทางน้า

30

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3

ช่อื หน่วยการเรียนรู้ หลักการเพาะเลย้ี งสัตวน์ า้ (ตอ่ ) สอนครง้ั ท่ี 3-4
ช่วั โมงรวม 16

จา้ นวนชวั่ โมง 8

1.2.4 มแี หลง่ รับซอื้ ผลผลิตที่ผลิตได้ และการคมนาคมสะดวก
2. การสร้างบ่อเลยี้ งสัตวน์ ้า

บ่อ หมายถึง ภาชนะท่ีใช้เลี้ยงสัตว์น้า อาจเป็นบ่อดิน บ่อซีเมนต์ หรือถังไฟเบอร์ ภายในฟาร์มอาจแบ่ง
สัดส่วนบ่อชนดิ ต่างๆ ซึ่งการแบ่งจ้านวนบ่อข้ึนอย่กู บั วัตถุประสงคข์ องการใชง้ านและทุน

2.1 การสร้างบ่อดนิ

2.1.1 รปู รา่ งของบ่อ สรา้ งใหเ้ หมาะกับลักษณะของภูมปิ ระเทศและควรเป็นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้าหรือ
สี่เหล่ียมจัตุรัส เพราะสรา้ งงา่ ย คา่ กอ่ สรา้ งต้า่ สะดวกในการให้อาหารและเก็บเก่ียวผลผลิต ให้ด้านยาวขนานกับ
ทิศทางลมเพื่อให้ผิวน้าสัมผัสกับลม เป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กับสัตว์น้า ขนาดของบ่อข้ึนอยู่ชนิดของสัตว์น้า
ระดับความลึกท่ีเหมาะสม คือ ลึก 1.5-2 เมตร และควรกักเก็บน้าได้ลึก 1-1.5 เมตร บ่ออนุบาลควรมีความลึก
ประมาณ 0.3-0.5 เมตร ถ้าบ่อตน้ื เกนิ ไปอณุ หภมู ิของน้าจะสงู มากในตอนกลางวนั และแสงสอ่ งถึง ก้นบ่อ ท้า
ให้การเจรญิ เติบโตของพนั ธุไ์ มน้ ้าเร็วเกินไป ท้าให้บ่อตื้นเขนิ เรว็ แต่ถ้าบ่อลกึ เกินไปจะเสียคา่ ใช้จ่ายในการสร้างสูง
และควรสรา้ งในช่วงฤดูรอ้ นหรือฤดหู นาว เพราะเคร่อื งจักรทา้ งานได้สะดวกรวดเร็ว และควร ขุดบ่อให้เสร็จก่อน
ฤดูฝนเพื่อจะเก็บกักน้าฝนมาใช้ในการเพาะเลีย้ งสัตว์น้าไดท้ นั ที

2.1.2 โครงสร้างของบอ่ ดิน ประกอบด้วยสว่ นทีส่ า้ คัญดงั นี้

1) คนั บอ่ ประกอบดว้ ยสนั คนั บ่อและเชงิ ลาด มรี ายละเอียดดังนี้

(1) สันคันบ่อ จะตอ้ งมคี วามสูงพอที่จะเก็บกักและป้องกันนา้ ท่วมได้ ความกว้างของสัน
คนั บ่อถ้าเป็นดินเหนียวควรกว้าง 2-4 เมตร แตถ่ า้ เป็นดนิ ทรายควรกวา้ ง 3-5 เมตร

(2) เชิงลาด เป็นส่วนของคันบ่อท่ีเอียงจากสันคันบ่อลงสู่พ้ืนก้นบ่อ โดยเชิงลาดจะช่วย
ป้องกันและชะลอการพงั ทลายของดนิ เชิงลาดคันบ่อทีเ่ ป็นดนิ เหนยี วควรเป็น 1 : 1 ท้ังด้านนอกและด้านใน ส่วน
ดินเหนยี วปนทรายด้านในควรเป็น 1 : 2

2) พ้ืนก้นบ่อ จะต้องเรียบสม่้าเสมอ บดอัดจนแน่น เพื่อป้องกันการร่ัวซึม ลาดเอียง
ประมาณ 0.5-1 เปอรเ์ ซ็นต์ โดยลาดเทไปทางประตูระบายน้าออกเพื่อสะดวกในการระบายน้าออกจากบอ่

3) ทางระบายน้า ถ้าออกแบบดีจะประหยัดค่าใช้จ่ายและสะดวกรวดเร็วในการน้าน้าเข้า
และระบายน้าออกจากบ่อ ทางระบายน้าเขา้ ควรสร้างทางด้านตน้ื ของบ่อ สว่ นทางระบายน้าออกควรอยู่

31

แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3

ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ หลักการเพาะเลีย้ งสตั ว์น้า (ตอ่ ) สอนครง้ั ที่ 3-4
ชว่ั โมงรวม 16

จา้ นวนชั่วโมง 8
ตรงข้ามกับทางน้าเข้า และเป็นส่วนที่ลึกท่ีสุดของบ่อเลี้ยง โดยใช้ท่อลอดคันบ่อไปยังคู
ระบายน้าออกให้โผล่พ้นคนั บ่ออยา่ งนอ้ ย 30 เซนตเิ มตร
2.1.3 ขั้นตอนการสร้างบ่อดิน ต้องส้ารวจรังวัดระดับของพื้นที่ว่ามีความลาดเอียงเท่าไร
แผว้ ถาง ท้าความสะอาดพนื้ ท่ี ปรบั ระดับพน้ื ทีใ่ หเ้ รียบเสมอกัน ปักหลักเพ่ือเล็งแนวในจุดท่ีจะสร้างคันบ่อ
โดยปักแนวของคันบ่อฐานเชิงลาดด้านในและด้านนอกขุดร่องขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ลึก 30-50
เซนติเมตร ยาวตลอดแนว ตรงกลางที่จะสร้างคันบ่อเพื่ออัดเป็นแกนดินช่วยในการยึดเกาะของดินที่ถม
ใหม่ ขุดดนิ จาก พื้นท่ีดนิ เดิมมาถมยัง คันบอ่ และเกลยี่ ให้เปน็ ชั้นๆ แต่ละชน้ั หนา 15-20 เซนติเมตร บดอัด
ทีละช้ันให้แน่นจนได้ความสูงของคันบ่อตามท่ีต้องการ ปรับพ้ืนก้นบ่อให้เรียบ บดอัดให้แน่น แล้วขุดคู
ระบายนา้ ออก สรา้ งทางนา้ เข้า โดยสร้างรางระบายนา้ ตามแนวยาวบนสนั คนั และสร้างทางระบายน้าออก
ดา้ นท่ีลกึ ทีส่ ุดของบ่อไปยงั ครู ะบายน้าทง้ิ จากนั้นปลกู หญา้ คลุมดินบนคันบอ่ เพื่อปอ้ งกนั การพังทลายของ
ดนิ
2.2 การสรา้ งบ่อซีเมนต์
2.2.1 บอ่ ซเี มนต์รปู สี่เหลย่ี มผืนผ้า ขอ้ ดคี อื ก่อสร้างไดง้ ่ายและประหยดั เมื่อเปรียบเทียบกับ
การก่อสร้างบอ่ ซีเมนต์ในลกั ษณะอื่นๆ
2.2.2 บอ่ ซเี มนต์รูปทรงกลม นิยมสร้างพน้ื ทีข่ นาดเส้นผ่านศนู ยก์ ลาง 4-10 เมตร ความลึก
ของบอ่ 1-2 เมตร ข้อดขี องบอ่ ลักษณะน้ีคือไม่มีมุมบ่อซึ่งจะช่วยลดปัญหาการร่ัวซึมของน้าเน่ืองจากไม่มี
รอยต่อเชื่อมมมุ บ่อ แต่มีข้อเสยี คือการก่อสรา้ งท้าไดย้ ากกว่าบอ่ ซเี มนต์รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผ้า
2.3 การสร้างบ่อพลาสติก มีหลักการคือ ขุดบ่อตามขนาดที่ต้องการแล้วใช้พลาสติกปูทับอีก
ครั้งเพ่ือปอ้ งกันน้ารั่วซมึ นยิ มใชใ้ นการเลีย้ งปลาดกุ
3. การเตรยี มการเพาะพันธุ์สตั ว์น้า
การเตรยี มการเพาะพนั ธุส์ ตั ว์น้านบั ว่ามีความส้าคัญมากท่ีจะส่งผลให้การเพาะพันธุ์สัตว์น้าประสบ
ผลส้าเรจ็ ซึง่ ตอ้ งสรา้ งบอ่ พกั น้าหรือบอ่ ตกตะกอน บ่อเล้ียงอาหารธรรมชาติ โรงเพาะฟักและอุปกรณ์ท่ีใช้
ในการเพาะพนั ธสุ์ ัตวน์ ้า มดี งั นี้
3.1 บ่อพกั นา้ หรือบ่อตกตะกอน
3.2 บอ่ เล้ียงอาหารธรรมชาติ

32

แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3

ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ หลักการเพาะเลย้ี งสตั ว์นา้ สอนครั้งที่ 3-4
ชวั่ โมงรวม 16

จ้านวนชั่วโมง 8
3.3 โรงเพาะฟักและอปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการเพาะพันธส์ุ ัตวน์ า้

3.3.1 บ่อพกั พ่อแมพ่ ันธุ์
3.3.2 บอ่ เพาะพนั ธุ์หรอื บ่อผสมพนั ธ์ุ
3.3.3 บ่อฟกั ไข่
4. ปัญหาและวธิ ีการแกป้ ัญหาในการเพาะฟักไข่สตั วน์ า้
4.1 การหมุนเวยี นออกซิเจนในอุปกรณเ์ พาะฟักไม่ดีพอ
4.2 ไข่ถูกเชอื้ โรคหรือพาราไซด์เขา้ ทา้ ลาย โดยเฉพาะเช้อื ราเจรญิ บนเปลือกไข่ท่ีเสียแล้วลุกลาม
ไปยงั ไขด่ ดี งั นนั้ ตอ้ งควบคมุ คุณภาพน้าใหด้ ีหรือฆ่าเชอื้ โรคในบอ่ เพาะฟกั และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยด่างทับทิม
ในชว่ งการเตรยี มบอ่ เพาะฟกั ส่วนศตั รทู ีเ่ ปน็ พาราไซดม์ กั เข้าทา้ ลายโดยการกินซ่งึ แก้ปัญหาโดยการกรอง
4.3 คุณสมบัติของน้าที่น้ามาเพาะฟักไม่ดีพอ ในระยะนี้ต้องควบคุมปริมาณออกซิเจนและ
อณุ หภมู ิของนา้ ใหเ้ หมาะสม
4.4 น้าเชอื้ ทนี่ า้ มาผสมไมม่ ีคณุ ภาพหรือไมแ่ ขง็ แรงพอ
5. การอนบุ าลสตั ว์น้า
การอนุบาลสัตว์น้าเป็นการเลี้ยงสัตว์น้าวัยอ่อนให้เจริญเติบโตถึงขนาดปล่อยเลี้ยง มีปัจจัยที่
เก่ยี วขอ้ งดังนี้
5.1 ท่ีกกั ขงั ควรได้รับการออกแบบท่ถี ูกตอ้ งเหมาะสม
5.2 เลือกใชอ้ าหารใหเ้ หมาะสมกับชนดิ และขนาดของสัตว์น้า
5.3 การอนุบาลสัตวน์ ้าในบอ่ ดิน มขี ัน้ ตอนการเตรยี มบอ่ ดังน้ี
5.3.1 ทา้ ความสะอาดบอ่ และใสป่ ุย๋ คอกในอัตรา 100 กิโลกรัมตอ่ ไร่
5.3.2 ปล่อยน้าเข้าบ่อโดยผ่านผ้ากรอง ระดับน้ามีความลึก 5-10 เซนติเมตร เพื่อให้ปุ๋ย
ย่อยสลายได้ดี หลังจากนั้น 3-5 วัน จึงเพิ่มระดับน้ามีความลึก 30-50 เซนติเมตร และน้าจะเริ่มมีสีเขียว
แสดงวา่ มอี าหารธรรมชาตจิ า้ พวกแพลงกต์ อนพืช แพลงก์ตอนสัตวเ์ กิดข้ึน
5.3.3 นา้ ลูกสตั วน์ า้ ลงอนุบาลในบอ่ ดิน หากลา้ เลียงด้วยถงุ พลาสตกิ อัดออกซเิ จนให้น้าถุง

33

แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3

สอนครงั้ ที่ 3-4
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ หลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
(ต่อ) ช่วั โมงรวม 16

จา้ นวนชัว่ โมง 8

ท่ีบรรจลุ ูกปลาแช่นา้ ไว้ประมาณ 10-15 นาที เพื่อปรบั อุณหภูมิน้าภายในถงุ พลาสตกิ ให้เทา่ กบั อุณหภมู ิ
ของนา้

ในบอ่ แลว้ ปล่อยลกู สัตว์น้าออกช้าๆ หากล้าเลียงโดยใช้ระบบทอ่ หรือใชร้ ถยนตบ์ รรทกุ ขนาด 1 ตัน
บรรทุก ถงั ไฟเบอร์กลาสขนาดความกว้าง 0.8 เมตร ยาว 1.6 และลึก 0.9 เมตร โดยใช้สายยางขนาด 2
นว้ิ เชอ่ื มต่อบริเวณกน้ ถัง เมือ่ ล้าเลยี งถึงบ่ออนบุ าลกป็ ลอ่ ยลกู สตั วน์ า้ ลงสู่บ่อดนิ การล้าเลยี งจะดา้ เนินการ
ในชว่ งตอนเชา้ กอ่ นแดดจดั

5.3.4 อัตราการปล่อยลกู สตั วน์ า้ ข้นึ อย่กู บั กล่มุ ของสตั ว์นา้ คอื กลมุ่ ปลากินพชื จะอนบุ าลอัตราทีห่ นาแน่น
กว่ากลุ่มปลากินสัตว์ และแตกต่างกันในแต่ละชนดิ เชน่ ลกู ปลาไนปล่อยอตั รา 300,000 ตวั ตอ่ ไร่ ลกู ปลา
ตะเพียนขาวปล่อยอัตรา 800,000 ตัวตอ่ ไร่

5.3.5 การให้อาหารระหว่างการอนบุ าลในบ่อดินกลมุ่ ปลากินพืชใหก้ นิ อาหารธรรมชาตใิ นบอ่ และให้
อาหารสมทบโดยน้าไข่แดงผสมน้าสาดทั่วบอ่ วันละ 4 เวลา คอื เช้า สาย บ่าย เย็น และใหอ้ าหารผสม ทม่ี ี
สว่ นผสมของปลาปน่ และรา้ ประมาณ 40 กรัมตอ่ วนั ต่อลูกปลา 1 ล้านตัว

5.3.6 การกา้ จัดศัตรสู ตั วน์ า้ ถ้าพบแมลงเปน็ จ้านวนมากให้สาดดว้ ยน้ามนั ดเี ซล เบนซิน หรอื นา้ มันพืชอกี
ทุกๆ 3 วัน ติดต่อกัน 3 คร้ัง กอ่ นราดน้ามนั ใหก้ า้ จดั วชั พชื และเลือกทา้ ในวนั ที่ลมสงบมแี สงแดดจัด น้ามัน
จะแผก่ ระจายบางๆ บนพืน้ ผิวน้า เมื่อแมลงขน้ึ มาหายใจน้ามันจะปิดชอ่ งหายใจทา้ ใหแ้ มลงตาย

5.3.7 หมั่นตรวจสอบคุณสมบัติของน้าอย่างสม้่าเสมอ

5.3.8 การตรวจสอบปรมิ าณลกู สัตวน์ า้ หลังจากลงลกู สัตว์น้าเปน็ ระยะเวลา 10-15 วัน ควร
ตรวจสอบปริมาณลกู สัตว์น้าโดยใชก้ ระชงั ผา้ โอล่อนแกว้ ลากตรวจสอบปรมิ าณลูกสตั ว์น้า

5.4 การอนุบาลสัตวน์ ้าในบอ่ คอนกรตี บ่อคอนกรตี (Concrete Tank) โดยทัว่ ไปขนาด 1-50
ตารางเมตร ความลกึ ไม่เกิน 60 เซนตเิ มตร รูปแบบอาจเปน็ รูปส่ีเหลีย่ ม หรือรปู ทรงกลม และควรสรา้ ง
แบบ บอ่ ลอยเพราะสะดวกและง่ายต่อการระบายน้า มหี ลงั คากนั แดดบางส่วนหรือคลมุ ทัง้ หมด นิยมใช้
อนบุ าล ลกู ปลาสวยงาม ลกู ปลาดุก และลูกกบ

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3

34

ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ หลกั การเพาะเลี้ยงสตั ว์น้า (ต่อ) สอนครง้ั ที่ 3-4
ช่ัวโมงรวม 16

จ้านวนชั่วโมง 8

5.5 การอนบุ าลสตั วน์ ้าในวสั ดุอ่นื ๆ เช่น ตู้กระจก กระชงั และถงั ไฟเบอร์

6. การเตรยี มบ่อเลย้ี งสตั วน์ ้า
6.1 การเตรยี มบอ่ ใหม่ บอ่ ใหมค่ วรวดั ความเป็นกรด-ดา่ งของดินแล้วหว่านปูนขาว หลังจากนั้น

ใส่ป๋ยุ คอกเพื่อเพม่ิ ความอุดมสมบูรณ์ของดนิ อตั รา 250-500 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ สูบนา้ เขา้ บ่อให้ได้ความลึก 30-
50 เซนติเมตร ทิ้งไว้ 5-7 วัน เพ่ือกระตุ้นให้เกิดอาหารธรรมชาติ หลังจากน้ันสูบน้าเข้าบ่อให้ระดับความ

ลึกประมาณ 1-1.5 เมตร ทงิ้ ไว้ 3-5 วนั จึงปล่อยปลาลงเลย้ี ง
6.2 การเตรยี มบอ่ เก่า ให้ระบายน้าออกแล้วก้าจัดวัชพืชท้ังในบ่อและรอบๆ คันบ่อ ลอก

เลนที่มี สีด้าคล้าและมีกล่ินเหม็นออก ใส่ปูนขาวในอัตรา 60-80 กิโลกรัมต่อไร่ ตากบ่อทิ้งไว้ 2-3
วนั ปล่อยน้าเข้าให้มีความลึก 30-50 เซนติเมตร เพื่อกระตุ้นให้เกิดอาหารธรรมชาติ กรณีไม่สามารถสูบ
นา้ ออกจากบอ่ จนหมดไดจ้ า้ เปน็ ตอ้ งใช้ยาเบอื่ เมาหรือสารเคมเี พอ่ื กา้ จดั ศัตรูปลา ดงั น้ี

6.2.1 โล่ต๊ินหรือหางไหล มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Derris elliptica (Roxb.) Benth ท่ีรากมี
สารพิษที่เรียกว่า โรติโนน (Rotenone) ซึ่งจะท้าให้เส้นเลือดฝอยที่เหงือกปลามีขนาดลดลง ท้าให้การ
แลกเปล่ียนออกซิเจนไดน้ อ้ ยลงจึงท้าใหป้ ลาตาย อตั ราการใชท้ ่ไี ดผ้ ลดีท่ีสุดคือ 1.5 กรัมต่อน้า 1 ลูกบาศก์
เมตร โดยน้ารากโลต่ น๊ิ มาทุบแช่น้า 1 คืน น้าจะมีสีขาวน้าไปสาดให้ท่ัวบ่อปลาศัตรูท่ีรับพิษจะตายภายใน
1-6 ช่ัวโมง พษิ โล่ติ๊นจะสลายตวั ภายใน 7 วนั ข้นึ อยูก่ ับอณุ หภมู ิของน้า

6.2.2 กากชาหรือกากเมล็ดชา (Tea Seed Cake) เป็นกากท่ีเหลือจากการบีบน้ามันจาก
เมลด็ ชาจะมสี ารซาโปนิน (Saponin) ซ่งึ เป็นสารทีส่ ามารถทา้ ลายเม็ดเลอื ดแดงฆ่าปลาชนิดต่างๆ ได้ วิธีใช้
น้าไปแช่น้าพอท่วม 1 คืน แล้วกรองเอาแต่น้าน้าไปสาดให้ท่ัวบ่อ ใช้ในอัตรา 68 กรัมต่อน้า 1 ลูกบาศก์
เมตร พิษจะสลายหมดภายใน 5-10 วนั ขนึ้ อยกู่ ับอณุ หภูมิเช่นเดยี วกบั โล่ติ๊น

6.2.3 โซเดียมไซยาไนด์ เป็นสารเคมีลักษณะเป็นกอ้ นสีขาวไม่มีกลิ่นแต่จะมีกลิ่นเฉพาะตัว
เม่ือไดร้ บั ความชื้น เมอื่ ละลายนา้ จะให้กรด (Hydrocyanic Acid) ซ่งึ เป็นพิษต่อสตั วน์ า้ เพราะยับย้ังการรับ
ออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง การใช้โซเดียมไซยาไนด์เพ่ือก้าจัดศัตรูสัตว์น้าใช้ในอัตรา 1.5-2 กรัมต่อน้า
1 ลกู บาศก์เมตร โดยใสส่ วิงดา้ มยาวแล้วแกว่งในน้าพิษจะสลายตัวภายใน 1-2 วัน จะสลายตัวเร็วขึ้นเมื่อ
อณุ หภูมิสงู ขึ้น โซเดียมไซด์ยาไนด์มีพิษรุนแรงมาก ผู้ใช้ควรระมัดระวังโดยสวมถุงมือทุกครั้งเม่ือหยิบจับ
เกบ็ ให้มิดชดิ และไมส่ ดู ดมอากาศบริเวณทีม่ ีโซเดียมไซยาไนด์

35

แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3

ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ หลักการเพาะเลย้ี งสตั วน์ า้ (ต่อ) สอนครั้งที่ 3-4
ชวั่ โมงรวม 16

จ้านวนชวั่ โมง 8

7. มาตรฐานงานฟารม์ เพาะเล้ยี งสัตว์นา้
การเพาะเลยี้ งสตั ว์น้าไดม้ กี ารพฒั นาและขยายตวั มาโดยตลอดซ่งึ สง่ ผลกระทบท้ังด้านบวกและด้าน
ลบ
ในแง่เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และส่ิงแวดล้อม ประเทศไทยจึงได้ก้าหนดมาตรฐานงานฟาร์ม
เพาะเล้ยี งสัตว์น้า เพ่อื ให้เกิดความยง่ั ยืนและไมส่ ่งผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อม มรี ายละเอยี ดดงั นี้

7.1 สถานท่ี ฟาร์มเพาะเล้ียงสัตว์น้าต้องมีการขึ้นทะเบียนฟาร์มอย่างถูกต้อง อยู่ใกล้แหล่งน้า
สะอาด ห่างจากแหล่งก้าเนิดมลพิษ มีระบบการเปล่ียนถ่ายน้าที่ดี การคมนาคมสะดวก และมี
สาธารณปู โภคขน้ั พน้ื ฐาน

7.2 การจดั การทวั่ ไป ฟาร์มเพาะเลยี้ งสัตว์นา้ ต้องปฏิบัติการเพาะพันธ์ุและอนุบาลสัตว์น้าตาม
คู่มือ การเพาะพันธุ์สัตว์น้าของกรมประมงหรือวิธีการอ่ืนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีแผนท่ีแสดง
แหล่งทต่ี ั้งและแผนผงั ของฟาร์มน้าทิ้งจากบ่อเพาะพันธุ์และบ่ออนุบาลต้องมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานน้าท้ิง
จากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า การเพาะพันธุ์และการอนุบาลต้องด้าเนินการอย่างถูกสุขลักษณะ เช่น
มาตรฐานน้าท้ิงจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้าจืดต้องมีค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand: BOD) ไม่
เกิน 20 มลิ ลิกรมั /ลิตร และความเปน็ กรด-ดา่ ง (pH) อยูใ่ นช่วง 6.5-8.5

7.3 ปัจจัยการผลิต ฟาร์มเพาะเล้ียงสัตว์น้าต้องใช้ปัจจัยการผลิต เช่น อาหาร อาหารเสริม
วิตามินท่ีขึ้นทะเบียนกับทางราชการ ในกรณีที่ก้าหนดให้ปัจจัยการผลิตน้ันต้องข้ึนทะเบียนและไม่
หมดอายุ ปัจจัย การผลิตต้องปลอดจากการปนเป้ือนของยาและสารต้องห้ามตามประกาศทางราชการ
กระบวนการผลติ และจัดเกบ็ อาหารถกู สุขลกั ษณะปลอดภัยต่อสัตวน์ ้าและผบู้ ริโภค

7.4 การจัดการดูแลสุขภาพสัตว์น้า ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้าต้องมีการจัดเตรียมบ่อ กระชัง
และอุปกรณ์ที่ใช้อย่างถูกวิธี เพ่ือป้องกันโรคท่ีจะเกิดกับสัตว์น้า มีการเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพสัตว์น้า
อย่างสม้า่ เสมอ เมือ่ สตั วน์ า้ มอี าการผดิ ปกตหิ รอื ปว่ ยควรพิจารณาด้านการจัดการ เช่น การเปล่ียนถ่ายน้า
ตามความเหมาะสมและหรือเพ่มิ ออกซิเจนกอ่ นการใชย้ าและสารเคมี ในกรณีที่จ้าเป็นต้องใช้ให้เลือกที่ขึ้น
ทะเบียนถูกต้องและปฏิบตั ิตามฉลากอย่างเครง่ ครดั ไมใ่ ช้ยาและสารเคมีตอ้ งหา้ มตามประกาศทางราชการ
เมอื่ สตั วน์ ้าปว่ ยหรอื มีการระบาดของโรคต้องแจง้ เจา้ หน้าท่ที ี่รับผดิ ชอบและมีวิธีการจัดการซากและน้าทิ้ง
ทเ่ี หมาะสม

36

แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3

ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ หลักการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า (ตอ่ ) สอนครัง้ ที่ 3-4
ชั่วโมงรวม 16

จ้านวนชว่ั โมง 8

7.5 สขุ ลักษณะฟาร์ม ฟาร์มเพาะเลยี้ งสัตวน์ ้าตอ้ งมีการจัดการระบบน้าท้ิงเหมาะสม หากมีน้า
ทิ้งจากบา้ นเรอื นต้องแยกจากระบบการเล้ียง ห้องสุขาแยกเป็นสัดส่วนห่างจากบ่อเพาะพันธ์ุและอนุบาล
และมีระบบจัดการของเสียอย่างถูกสุขลักษณะ จัดอุปกรณ์ เคร่ืองมือ รวมท้ังปัจจัยการผลิตต่างๆ ใน
บรเิ วณฟาร์มใหเ้ ป็นระเบยี บ สะอาดถูกสขุ ลักษณะอย่เู สมอ มีระบบการจัดเก็บขยะท่ีดี เช่น ถังขยะมีฝาปิด
มดิ ชดิ เพ่ือป้องกนั แมลงวัน หนู แมลงสาบ และการค้ยุ เขี่ยของสตั วเ์ ลี้ยง

7.6 การเก็บเก่ียวและการขนส่ง ฟาร์มเพาะเล้ียงสัตว์น้าควรมีการวางแผนเก็บเก่ียวผลผลิต
ถูกต้องตามความต้องการของตลาด และมีหนังสือก้ากับการจ้าหน่ายลูกพันธุ์สัตว์น้า มีการจัดการที่ดี
ระหวา่ งการขนสง่ ลกู พันธ์ุสัตว์น้า ผลผลิตสัตว์น้าท่ีเก็บเกี่ยวต้องไม่มียาหรือสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน
กา้ หนด

7.7 การเก็บข้อมูล ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ามีการจดบันทึกการจัดการเพาะพันธ์ุและอนุบาล
การให้อาหาร การตรวจสุขภาพ การใชย้ าและสารเคมีอย่างสมา้่ เสมอ และบันทึกขอ้ มลู ใหเ้ ป็นปจั จบุ นั

สรุป

การเลอื กทา้ เลสร้างฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควรเลือกพื้นท่ีที่มีความเหมาะสมและถูกต้องตามหลัก
วิชาการ ท้ังลักษณะภูมิประเทศ คุณสมบัติของดิน ใกล้แหล่งน้าและมีปริมาณเพียงพอ อยู่ใกล้ตลาด
การคมนาคมสะดวก มคี วามพร้อมด้านสาธารณปู โภค หา่ งไกลจากแหล่งมลพิษ และศึกษาด้านสังคมและ
วัฒนธรรมให้เข้าใจ แล้วสร้างบ่อเล้ียงสัตว์น้าท่ีมีความแข็งแรง น้าไม่ร่ัวซึม ทนทาน สามารถใช้งานได้
ยาวนาน

โรงเพาะฟักออกแบบได้เหมาะสม มีวัสดุอุปกรณ์เพียงพอ สะดวกในการปฏิบัติงาน ก่อนเลี้ยงสัตว์
นา้ มกี ารเตรียมบ่อเปน็ อยา่ งดี จะสามารถกา้ หนดการผลิตได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ามี
ความมั่นคงและย่งั ยนื ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติการเพาะเล้ียง
สัตว์น้าทุกขั้นตอนถูกต้องตามมาตรฐานงานฟาร์มเพื่อให้ได้ผลผลิตท่ีมีลักษณะตามต้องการปลอดภัยต่อ
ผู้บรโิ ภค

37

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3

ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ หลกั การเพาะเล้ียงสัตวน์ ้า (ต่อ) สอนครัง้ ท่ี 3-4
ชั่วโมงรวม 16

จ้านวนชว่ั โมง 8

5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน

5.1 การนาเขา้ สู่บทเรียน

ข้นั สนใจ (Motivation)

- ผู้สอนอธบิ ายและสาธิตหลกั การเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้า

5.2 การเรียนรู้

ขัน้ ศึกษาขอ้ มูล (Information)

1. ผ้สู อนแบ่งกล่มุ ให้ผู้เรียนไปศกึ ษาเรื่อง หลกั การเพาะเล้ียงสัตว์น้า โดยแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ให้
ศึกษาหวั ขอ้ ดังต่อไปนี้

1.1 การเลอื กท้าเล

1.2 การสร้างบอ่ เลีย้ งสัตวน์ า้

1.3 การเตรยี มการเพาะพันธุ์สตั ว์น้า

1.4 ปญั หาและวิธีการแกป้ ญั หาในการเพาะฟักไขส่ ตั วน์ า้

1.5 การอนบุ าลสัตว์นา้

1.6 การเตรียมบอ่ เลย้ี งสัตว์นา้

1.7 มาตรฐานงานฟาร์มเพาะเลยี้ งสตั วน์ า้

2. ให้ผเู้ รียนไปค้นควา้ หาข้อมูลเก่ียวกบั หัวข้อท่ไี ด้รับ โดยทา้ เปน็ แผนที่ความคดิ

3. ใหผ้ ูเ้ รียนแต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนออกมาน้าเสนอผลงานหน้าชัน้ เรยี นและร่วมกันสรปุ ประเด็น
สา้ คญั ลงในสมุด

(กจิ กรรมน้ผี ู้สอนต้องแจง้ ให้ผู้เรยี นทราบล่วงหนา้ )

(กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพ)

ขัน้ พยายาม (Application)

1. ผู้สอนและผเู้ รยี นร่วมกันสรุปเนอื้ หาตามจดุ ประสงค์ของการเรยี น

2. ผ้เู รียนท้ากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน

38

แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3
สอนครั้งท่ี 3-4
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ หลักการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า (ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 16
จ้านวนช่ัวโมง 8
3. ผูเ้ รยี นทา้ แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลังการเรยี นรู้
5.3 การสรุป

ขัน้ สาเรจ็ ผล (Progress)
1. ผู้สอนพิจารณาใหค้ ะแนนการปฏบิ ัติงาน
2. ผู้สอนพิจารณาให้คะแนนคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์เปน็ รายบคุ คล
6. ส่อื การเรยี นรู้/แหล่งการเรยี นรู้
6.1 ส่อื สิ่งพิมพ์
6.1.1 หนงั สอื เรียนวิชาหลักการเพาะเลยี้ งสตั วน์ ้า
6.1.2 ใบงาน เร่ือง หลกั การเพาะเล้ยี งสตั วน์ า้
6.1.3 แบบประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน
6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 สือ่ โสตทศั น์
6.2.1 เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 สื่ออเิ ล็กทรอนิกส์ช่วยสอน
6.3 ห่นุ จาลองหรอื ของจริง (ถ้าม)ี
-
6.4 อ่นื ๆ (ถา้ มี)
- ห้องเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้
7.1 แบบประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน

39

แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3

ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ หลักการเพาะเลี้ยงสตั ว์นา้ (ต่อ) สอนครัง้ ที่ 3-4
ช่วั โมงรวม 16

จ้านวนช่ัวโมง 8

7.2 แบบประเมินตนเอง

8. การบูรณาการ/ความสมั พนั ธ์กบั วิชาอ่นื

8.1 บูรณาการร่วมกบั วชิ าลูกเสอื มกี ิจนิสัย มีระเบียบ ละเอยี ดรอบคอบ และมเี จตคติทีด่ ตี อ่ วิชาชพี

8.2 บูรณาการร่วมกับวิชาหน้าท่พี ลเมืองและศลี ธรรมเก่ียวกับการวางแผนการท้างานตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง

9. การวดั และประเมินผล

9.1 ก่อนเรียน

- การอธบิ ายประกอบสือ่

9.2 ขณะเรียน

9.2.1 ปฏบิ ตั งิ านตามกิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพ
9.2.2 การน้าเสนอเนื้อหาเก่ียวกับการเลือกท้าเล การสร้างบ่อเล้ียงสัตว์น้า การเตรียมการ
เพาะพันธส์ุ ัตวน์ ้า ปัญหาและวธิ ีการแก้ปญั หาในการเพาะฟักไข่สัตว์น้า การอนุบาลสัตว์น้า การเตรียมบ่อ
เลย้ี งสตั ว์น้า และมาตรฐานงานฟาร์มเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้
9.3 หลงั เรยี น
9.3.1 ท้ากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ทา้ แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลังการเรียนรู้
10. บนั ทกึ หลงั สอน
10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

40

แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3

ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ หลักการเพาะเลยี้ งสตั ว์น้า (ตอ่ ) สอนครั้งที่ 3-4
ชั่วโมงรวม 16

จ้านวนชัว่ โมง 8

10.2 ผลการเรียนร้ขู องนักเรยี น นักศึกษา

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................

10.3 แนวทางการพฒั นาคุณภาพการเรียนรู้

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................

41

แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 4

ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ สัตว์น้าทม่ี คี วามสา้ คัญทางเศรษฐกิจ สอนครัง้ ที่ 5
ชั่วโมงรวม 20

จา้ นวนช่วั โมง 4

1. สาระสาคัญ

สัตว์น้าท่ีมีความส้าคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ปลานิล ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน ปลาตะเพียน
ปลายสี่ กเทศ กงุ้ กา้ มกราม และกบ ส่วนสัตว์น้าทะเล ได้แก่ กุ้งขาวแวนนาไม กุ้งกุลาด้า ปลากะพง ปลา
กะรัง ปลาช่อนทะเล ปลานวลจนั ทร์ทะเล หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม หอยหวานและหอยเป๋าฮื้อ
การใช้ประโยชน์คือน้ามาเป็นอาหาร เพาะเลี้ยงเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ช่วยในเร่ืองสภาพแวดล้อม
การท่องเท่ียว การกีฬา ให้ความเพลิดเพลิน การพักผ่อน ผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ เป็นส่วนผสมใน
เคร่ืองส้าอางและแหล่งพลงั งาน

2. สมรรถนะประจาหน่วย

- แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั สัตวน์ ้าทมี่ ีความสา้ คัญทางเศรษฐกจิ

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

3.1 ด้านความรู้

3.1.1 บอกความหมายของสัตว์น้าเศรษฐกิจได้

3.1.2 บอกชนิดของปลาท่ีมคี วามสา้ คัญทางเศรษฐกิจได้

3.1.3 บอกชนิดของกงุ้ ที่มีความส้าคัญทางเศรษฐกจิ ได้

3.1.4 บอกชนดิ ของหอยท่ีมีความส้าคัญทางเศรษฐกิจได้

3.1.5 บอกชนิดของปูที่มคี วามสา้ คญั ทางเศรษฐกิจได้

3.1.6 บอกชนิดของกบที่มีความส้าคญั ทางเศรษฐกจิ ได้

3.2 ดา้ นทักษะ

3.2.1 เขียนช่อื วิทยาศาสตรข์ องปลาและสตั ว์น้าอ่นื ๆ ที่มีความสา้ คญั ทางเศรษฐกิจได้

3.2.2 เขยี นชอ่ื สามัญของปลาและสตั ว์น้าอ่ืนๆ ท่มี คี วามส้าคัญทางเศรษฐกจิ ได้

3.2.3 นา้ เสนอชนิดของปลาและสตั วน์ า้ ทม่ี คี วามส้าคญั ทางเศรษฐกิจได้

3.3 คณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์

42

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4

สอนครง้ั ท่ี 5
ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ สตั วน์ า้ ทีม่ ีความสา้ คัญทางเศรษฐกิจ (ต่อ) ชั่วโมงรวม 20

จ้านวนชวั่ โมง 4

3.3.1 เห็นคุณคา่ ของสตั ว์น้าท่มี คี วามสา้ คญั ทางเศรษฐกิจ
3.3.2 มเี จตคตทิ ่ีดีตอ่ งานอาชีพเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้า
3.3.3 มคี วามตรงต่อเวลา
3.3.4 มีระเบยี บวินยั
3.3.5 มีความรับผิดชอบ
4. เน้ือหาสาระการเรียนรู้
1. ความหมายของสตั วน์ ้าเศรษฐกิจ
สัตว์น้าเศรษฐกิจ หมายถึง สัตว์น้าท่ีมีการซ้ือขายกันทั่วไปในท้องตลาด สามารถท้ารายได้ให้กับ
ผู้ผลิตและผเู้ กี่ยวขอ้ งถึงข้ันประกอบอาชีพได้
2. ปลาท่มี คี วามสาคัญทางเศรษฐกจิ

2.1 ปลานลิ
2.2 ปลาดุกเทศหรอื ปลาดกุ ยักษ์
2.3 ปลาดุกด้าน
2.4 ปลาดุกอุย
2.5 ปลาดกุ อยุ เทศหรอื ปลาดุกบิ๊กอุย
2.6 ปลาตะเพยี นขาว
2.7 ปลาสลดิ
2.8 ปลาสวาย
2.9 ปลากะพงขาว
2.10 ปลาเก๋าหรือปลากะรงั
3. ก้งุ ทม่ี ีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ
3.1 กงุ้ ก้ามกรามหรอื ก้งุ นาง
3.2 กุ้งกลุ าดา้
3.3 กงุ้ ขาวแวนนาไม
4. หอยทีม่ คี วามสาคัญทางเศรษฐกจิ

43

แผนการจดั การเรียนร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 4

สอนครัง้ ที่ 5
ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ สัตว์น้าทีม่ คี วามส้าคัญทางเศรษฐกิจ (ต่อ) ช่วั โมงรวม 20

จา้ นวนชวั่ โมง 4
4.1 หอยแครง
4.2 หอยแมลงภู่
4.3 หอยนางรม
5. ปทู ีม่ ีความสาคญั ทางเศรษฐกจิ
5.1 ปูทะเลหรือปูดา้
5.2 ปมู ้า
6. กบที่มีความสาคญั ทางเศรษฐกิจ
6.1 กบนา
6.2 กบจาน
6.3 กบบลู ฟรอ็ ก
6.4 กบลูกผสม
สรุป
สตั ว์น้าทม่ี ีความสา้ คัญทางเศรษฐกจิ ที่นยิ มเพาะเล้ียง เช่น ปลานิล ปลาดุก ปลาตะเพียน ปลาสลิด
ปลาสวาย ปลากะพงขาว ปลาเก๋าหรือปลากะรัง กุ้งก้ามกราม กุ้งกุลาด้า กุ้งขาวแวนนาไม หอยแครง
หอยแมลงภู่ หอยนางรม ปทู ะเลหรือปูด้า ปูม้า กบนา กบจาน กบบูลฟร็อก และกบลูกผสม ส่วนสัตว์น้า
ชนิดใหม่ท่ีจะได้รับการพัฒนาเป็นสัตว์น้าเศรษฐกิจ สัตว์น้าจืด ได้แก่ ปลาบู่ ปลาหมอไทย ปลาบึก
ปลากดหลวง ปลากดเหลือง ปลากดแก้ว ไข่น้า สาหร่ายไก ส่วนสัตว์น้าชายฝ่ัง ได้แก่ ปูทะเล ปูม้า
ปลากะรังจุดฟ้า ปลาหมอทะเล ปลากะรังเสอื ปลิงทะเล สาหร่ายโพรง และสาหร่ายผกั กาด
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
5.1 การนาเข้าสูบ่ ทเรียน
ขนั้ สนใจ (Motivation)
- ผ้สู อนอธิบายและสาธติ สัตวน์ า้ ที่มคี วามสา้ คัญทางเศรษฐกจิ
5.2 การเรยี นรู้
ขน้ั ศกึ ษาข้อมลู (Information)

44

แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4

สอนครัง้ ที่ 5
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ สัตวน์ ้าทีม่ คี วามส้าคญั ทางเศรษฐกจิ (ต่อ) ช่วั โมงรวม 20

จ้านวนช่วั โมง 4
1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 5 กลมุ่ ศึกษาเนอื้ หาในหนงั สือเรยี น ดงั น้ี

กลมุ่ ที่ 1 ปลาทีม่ ีความส้าคญั ทางเศรษฐกจิ

กลุ่มที่ 2 กุ้งท่มี ีความส้าคัญทางเศรษฐกจิ

กลมุ่ ท่ี 3 หอยทม่ี คี วามสา้ คญั ทางเศรษฐกิจ

กลุ่มท่ี 4 ปูทีม่ ีความส้าคญั ทางเศรษฐกิจ

กลุม่ ที่ 5 กบท่ีมีความสา้ คญั ทางเศรษฐกจิ

2. ผสู้ อนสุ่มผู้เรียนจากแตล่ ะกลมุ่ มาน้าเสนอลักษณะของสัตว์น้าท่ีมีความส้าคัญทางเศรษฐกิจแต่
ละชนิดและรว่ มกนั อภิปรายถงึ ความสา้ คัญของสตั ว์น้าชนิดนั้นๆ ในทางเศรษฐกิจ

(กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพ)

ข้นั พยายาม (Application)

1. ผสู้ อนและผู้เรยี นร่วมกันสรุปเนื้อหาตามจดุ ประสงค์ของการเรยี น

2. ผู้เรียนทา้ กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน

3. ผู้เรียนทา้ แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลงั การเรียนรู้

5.3 การสรปุ

ขั้นสาเร็จผล (Progress)

1. ผสู้ อนพจิ ารณาให้คะแนนการปฏบิ ตั ิงาน

2. ผู้สอนพิจารณาใหค้ ะแนนคุณลักษณะอนั พึงประสงคเ์ ปน็ รายบคุ คล

6. สอ่ื การเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้

6.1 สอ่ื ส่ิงพิมพ์

6.1.1 หนังสอื เรียนวชิ าหลักการเพาะเล้ยี งสตั ว์นา้

6.1.2 ใบงาน เรื่อง สัตวน์ ้าทมี่ คี วามส้าคัญทางเศรษฐกจิ

6.1.3 แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน

45

แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4

สอนคร้ังที่ 5
ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ สัตว์นา้ ทมี่ ีความส้าคญั ทางเศรษฐกิจ (ตอ่ ) ชวั่ โมงรวม 20

จา้ นวนชวั่ โมง 4

6.1.4 แบบประเมินตนเอง

6.1.5 แบบทดสอบ

6.2 ส่ือโสตทศั น์

6.2.1 เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์

6.2.3 สื่ออิเลก็ ทรอนิกสช์ ว่ ยสอน
6.3 หุ่นจาลองหรอื ของจรงิ (ถา้ มี)

-
6.4 อื่นๆ (ถ้ามี)

- ห้องเรยี นรู้ด้วยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้

7.1 แบบประเมินผลการปฏิบตั ิงาน
7.2 แบบประเมนิ ตนเอง

8. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กับวิชาอ่ืน
8.1 บรู ณาการรว่ มกับวิชาลกู เสอื มีกิจนิสยั มรี ะเบยี บ ละเอยี ดรอบคอบ และมีเจตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าชพี

8.2 บรู ณาการร่วมกับวิชาคอมพิวเตอร์ การใชโ้ ปรแกรม PowerPoint ทา้ สือ่ นา้ เสนอ
9. การวดั และประเมนิ ผล

9.1 กอ่ นเรยี น
- การอธบิ ายประกอบสอื่

9.2 ขณะเรยี น
9.2.1 ปฏบิ ัตงิ านตามกิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพ

9.2.2 การน้าเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับปลาที่มีความส้าคัญทางเศรษฐกิจ กุ้งที่มีความส้าคัญทาง
เศรษฐกิจหอยที่ ปูที่มีความส้าคัญทางเศรษฐกิจ และกบทีม่ ีความสา้ คัญทางเศรษฐกจิ

46

แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4

สอนคร้งั ท่ี 5
ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ สตั ว์นา้ ท่มี คี วามสา้ คญั ทางเศรษฐกจิ (ตอ่ ) ช่ัวโมงรวม 20

จ้านวนชั่วโมง 4

9.3 หลังเรียน
9.3.1 ท้ากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน
9.3.2 ทา้ แบบทดสอบเพอ่ื ประเมินผลหลังการเรยี นรู้

10. บนั ทึกหลงั สอน

10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................

10.2 ผลการเรียนรขู้ องนักเรียน นักศึกษา

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................

10.3 แนวทางการพัฒนาคณุ ภาพการเรียนรู้

............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

............................................................................................................................................................


Click to View FlipBook Version