47
แผนการจดั การเรยี นร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 5
ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ การเพาะพันธ์ุสตั วน์ ้า สอนคร้งั ที่ 6-9
ช่วั โมงรวม 36
จา้ นวนชวั่ โมง 16
1. สาระสาคญั
ก่อนการเพาะพันธุ์สัตว์น้าควรท้าความเข้าใจถึงระบบการท้างานของอวัยวะต่างๆ ของสัตว์น้าท่ีท้างาน
สมั พนั ธ์กันและมสี ่วนในการกระตุ้นการทา้ งานของอวัยวะสบื พนั ธุ์จนถงึ ข้นั นา้ มาเพาะขยายพนั ธุ์ได้ โดยพ่อแม่พนั ธ์ุ
ที่เตรียมมาใช้ต้องผ่านการคัดเลือกเพ่ือให้ได้สัตว์น้าที่มีคุณสมบัติที่ดี มีความสมบูรณ์เพศ แข็งแรง และ
ผเู้ พาะพันธุ์สัตว์น้าต้องมีความรู้ความเข้าใจปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการเจริญพันธ์ุและการวางไข่ ช่วงฤดูวางไข่ของ
สตั วน์ ้าจะเป็นประโยชนอ์ ย่างมากตอ่ การวางแผนการผลติ และเพาะพนั ธ์สุ ัตวน์ ้า
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย
- แสดงความรู้เกี่ยวกับการเพาะพันธสุ์ ัตว์นา้
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้
3.1.1 อธิบายชีววทิ ยาการสบื พนั ธ์ุของสัตวน์ า้ ได้
3.1.2 บอกปัจจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การเจริญพนั ธุ์และการวางไข่ได้
3.1.3 อธบิ ายหลักการคดั เลอื กพอ่ แมพ่ นั ธ์ุสตั วน์ ้าได้
3.1.4 บอกแหล่งของพอ่ แม่พันธ์ุสัตวน์ ้าได้
3.1.5 อธิบายหลักการเลยี้ งพ่อแม่พันธ์สุ ตั ว์นา้ ได้
3.1.6 บอกความแตกตา่ งระหว่างเพศของสัตวน์ ้าได้
3.1.7 บอกลักษณะของพอ่ แม่พันธท์ุ ่สี มบูรณเ์ พศได้
3.1.8 อธบิ ายวธิ ีการเพาะพนั ธส์ุ ตั วน์ ้าได้
3.1.9 อธบิ ายการใช้ฮอรโ์ มนในการเพาะพนั ธส์ุ ตั ว์น้าได้
3.1.10 คา้ นวณฮอรโ์ มนและฉดี ฮอร์โมนในการเพาะพนั ธสุ์ ตั ว์นา้ ได้
3.1.11 อธิบายหลกั การพักและตรวจความพรอ้ มพอ่ แมพ่ นั ธไุ์ ด้
3.1.12 อธบิ ายวธิ ีการเพาะพนั ธป์ุ ลาดุกได้
3.1.13 อธบิ ายวิธกี ารเพาะพนั ธ์ุกบได้
48
แผนการจัดการเรียนร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5
ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ การเพาะพนั ธ์สุ ตั วน์ า้ (ต่อ) สอนคร้งั ท่ี 6-9
ชวั่ โมงรวม 36
จา้ นวนช่ัวโมง 16
3.1.14 อธิบายวิธกี ารเพาะพนั ธ์ปุ ลานลิ ได้
3.2 ดา้ นทกั ษะ
3.2.1 ค้านวณฮอร์โมนและฉีดฮอร์โมนในการเพาะพนั ธสุ์ ัตวน์ ้าได้
3.2.2 เพาะพนั ธุ์สัตวน์ า้ ได้ถกู ตอ้ งตามหลกั การ
3.3 คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์
3.3.1 เหน็ ความส้าคัญของการเพาะพนั ธ์สุ ัตวน์ ้า
3.3.2 มีเจตคตทิ ดี่ ีต่องานอาชพี เพาะเลีย้ งสตั ว์น้า
3.3.3 มคี วามซอื่ สตั ย์
3.3.4 มคี วามขยันหมั่นเพียร
3.3.5 มีความรบั ผิดชอบ
4. เน้อื หาสาระการเรยี นรู้
1. ชีววิทยาการสบื พันธุ์ของสัตวน์ ้า
การควบคมุ ระบบสบื พันธุ์และความสมบูรณ์เพศของสตั ว์น้าจะอยู่ภายใต้การท้างานร่วมกันระหว่างสมอง
ส่วนไฮโพทาลามัส ต่อมใตส้ มอง และอวัยวะสบื พันธุ์ในสภาวะสง่ิ แวดล้อมที่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิ ช่วงแสง ฝน
และคุณสมบตั ขิ องน้าดา้ นต่างๆ หากสภาพแวดลอ้ มไม่เหมาะสมกระบวนการดงั กล่าวอาจหยุดหรือชะลอ
ฮอร์โมนท้าหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธ์ุให้เป็นปกติซ่ึงจะเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดเพื่อไปกระตุ้นการ
ท้างานและควบคุมปฏกิ ริ ยิ าเคมตี ่างๆ ของเซลลห์ รือเปา้ หมายใหด้ า้ เนินไปอยา่ งเหมาะสมโดยไมม่ ีผลต่ออวัยวะอื่น
เลย โดยแตล่ ะสว่ นมหี นา้ ที่ ดังน้ี
1.1 สมองส่วนไฮโพทาลามสั เปน็ สว่ นใตส้ ดุ ของสมอง ทา้ หนา้ ทรี่ บั ร้สู ิง่ กระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ซ่ึงจะ
ตอบสนองโดยสร้างรลี ีสชงิ ฮอร์โมนไปกระตุ้นการทา้ งานของตอ่ มใตส้ มองให้สรา้ งฮอรโ์ มนตอ่ ไป
1.2 ต่อมใต้สมอง มีลักษณะกลม ขนาดเล็ก สีขาวอมชมพู อยู่ใต้สมองส่วนไฮโพทาลามัส จะสร้าง
ฮอร์โมนโกนาโดรโทรปินแล้วปล่อยไปตามกระแสเลือด ไปออกฤทธติ์ อ่ อวัยวะสบื พนั ธ์ภุ ายในของสัตว์น้าที่เรียกว่า
Gonad
ส้าหรับฮอร์โมนโกนาโดรโทรปิน นอกจากจะสร้างจากต่อมใต้สมองภายในตัวของสัตว์น้ีเองแล้ว
ยังสามารถฉดี เข้ารา่ งกายจากภายนอกเพ่อื กระตุน้ การพัฒนาของไข่และน้าเชอ้ื ได้ด้วยการใชฮ้ อร์โมนในการ
49
แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5
ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ การเพาะพันธส์ุ ตั วน์ า้ (ต่อ) สอนครง้ั ท่ี 6-9
ชัว่ โมงรวม 36
จา้ นวนชว่ั โมง 16
เพาะพันธ์สุ ตั วน์ ้า
1.3 อวัยวะสืบพันธุ์ภายในของสัตว์น้า (Gonad) ได้แก่ รังไข่ในเพศเมีย และอัณฑะในเพศผู้
ท้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของไข่และอสุจิ และมีหน้าที่ผลิตสเตียรอยด์และฮอร์โมนเพศ เอสโตรเจน
(Estrogen) ในเพศเมยี และแอนโดรเจน (Androgen) ในเพศผู้
2. ปจั จัยทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การเจริญพนั ธุแ์ ละการวางไข่
ปัจจยั ทเี่ กีย่ วข้องกบั การเจรญิ พันธุ์และการวางไข่ของสัตว์น้า ไดแ้ ก่
2.1 อายเุ จรญิ พันธุ์
2.2 แหล่งวางไข่และเวลาการอพยพ
2.3 ฤดวู างไข่
2.4 ปจั จัยที่กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การวางไข่
2.4.1 ปจั จยั ภายใน
2.4.2 ปจั จยั ภายนอก
3. การคดั เลอื กพอ่ แมพ่ ันธ์สุ ตั วน์ ้า
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ามีความส้าคัญอย่างย่ิง ก่อนการเพาะพันธุ์สัตว์น้าควรมีวิธีกา รจัดการ
พ่อแม่พันธุ์และคัดเลือกพ่อแม่พันธ์ุ เพราะหากเกิดการผสมพันธุ์ระหว่างพ่อหรือแม่พันธ์ุกับลูกจะเกิดการผสม
แบบเลือดชิด ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ของลูกพันธุ์ ท้าให้ลูกที่ได้มีความเสื่อมโทรมของ
สายพันธ์ุ อัตราการรอดตายลดลง ความทนทานต่อสภาพแวดล้อมลดลง เจริญเติบโตช้า ความต้านทานโรคต้่า
สุขภาพไม่แข็งแรง หรืออาจเกิดโรคทางพันธุกรรม ดังนั้นจึงควรคัดเลือกพันธ์ุสัตว์น้าที่ดี มีความสามารถทาง
พันธุกรรม คือ มีการเจริญเติบโตท่ีดี อัตราการรอดตายสูง ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดี
สามารถเพ่ิมผลผลิตต่อหน่วย ต่อเวลา และรูปร่างสีสันเป็นเลิศดีกว่าเกณฑ์หรือสัตว์น้าตัวอื่นมาใช้ในการ
เพาะพันธ์ุ
4. แหลง่ ของพ่อแม่พนั ธสุ์ ตั วน์ ้า
พ่อแม่พันธุ์สัตว์น้าท่ีจะน้ามาเพาะพันธ์ุต้องมีไข่แก่ และน้าเชื้อสมบูรณ์ มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งสามารถ
คดั เลือกจาก 4 แหล่ง ดังนี้
50
แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การเพาะพนั ธสุ์ ัตว์น้า (ตอ่ ) สอนคร้งั ที่ 6-9
ชั่วโมงรวม 36
จ้านวนชัว่ โมง 16
4.1 แหล่งน้าธรรมชาติ
4.2 ตลาดสัตวน์ า้
4.3 บ่อเลี้ยงสตั วน์ ้า
4.4 แหล่งเลยี้ งพอ่ แมพ่ นั ธ์ุสัตว์นา้ โดยตรง
5. การเลย้ี งพอ่ แม่พันธสุ์ ัตวน์ ้า
เทคนิคการเล้ียงพอ่ แมพ่ ันธ์ุสัตว์น้า มีวธิ ีการดังนี้
5.1 ขนาดและความลึกของบอ่ บ่อควรมขี นาด 800 ตารางเมตรขน้ึ ไป ความลกึ 1-2 เมตร จะช่วยให้
ระบบสืบพนั ธเ์ุ จรญิ ดี
5.2 อัตราการปลอ่ ย ควรลดจา้ นวนลงคร่ึงหน่งึ จากอัตราการปลอ่ ยเล้ยี งเพ่ือจ้าหน่าย เพราะถ้าปล่อย
มากเกนิ ไปมีผลต่อการพัฒนาของอวัยวะสร้างเซลลส์ บื พันธ์ุ
5.3 อาหารและการใหอ้ าหาร พอ่ แม่พันธ์คุ วรเลี้ยงด้วยอาหารที่มีประโยชน์ คุณค่าทางโภชนาการสูง
และครบถ้วนเพยี งพอต่อความต้องการ
5.4 อุณหภูมิและแสงสว่าง หลีกเล่ียงแสงสว่างมากๆ เพราะอุณหภูมิและแสงสว่างมีผลต่อการ
พัฒนาการของระบบสบื พนั ธ์ุ สตั วน์ า้ บางชนดิ ชอบน้าขุน่ เชน่ ปลาดกุ ปลาสวาย ปลาเทโพ
5.5 ความเงียบสงบ ควรจัดสภาพแวดล้อมในบ่อให้คล้ายคลึงกับธรรมชาติท่ีปลาชนิดนั้นชอบวางไข่
ใหม้ ากท่สี ดุ จะชว่ ยกระตนุ้ ใหไ้ ข่และน้าเชอ้ื สมบรู ณเ์ ร็วข้นึ
5.6 คุณภาพนา้ การเล้ยี งพอ่ แม่พนั ธต์ุ ้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้าและก้าจัดของเสียภายในบ่อ จะช่วยให้
ระบบสบื พันธุเ์ จริญดี
5.7 ระบบการเลยี ง ตอ้ งพิจารณาถึงนิสยั ของสัตวน์ า้ แต่ละชนิด เช่น การเล้ียงแบบแยกเพศหรือเล้ียง
รวมทง้ั ตวั ผแู้ ละตัวเมยี ในบ่อเดยี วกนั ปลาท่จี ับควู่ างไข่และปลาทว่ี างไข่ได้ในบ่อเลี้ยงควรมีการเล้ียงแบบแยกเพศ
เพอื่ ป้องกนั ปลาผสมพันธ์วุ างไขใ่ นบ่อ เชน่ ปลาดุก ปลาตะเพียนขาว ปลาไน และกบ เปน็ ตน้
6. ความแตกต่างระหวา่ งเพศของสตั ว์น้า
6.1 ความแตกต่างระหวา่ งเพศของปลา มีรายละเอียดดงั น้ี
6.1.1 สี ปลาบางชนิดเพศผู้จะมีสีสวยหรือสีสดใสกว่าเพศเมีย เช่น ปลากัด ปลานิล ปลาแรด
และปลาชะโด เป็นต้น
51
แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5
ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ การเพาะพนั ธ์สุ ัตว์น้า (ต่อ) สอนครั้งที่ 6-9
ชัว่ โมงรวม 36
จา้ นวนชัว่ โมง 16
6.1.2 ความยาวของครีบ ปลาหลายชนิดเพศผู้จะมีครีบท่ียาวกว่าเพศเมีย และส่วนใหญ่มี
ความยาวเกนิ คอดหาง ปลายครีบจะมีลกั ษณะแหลมกวา่ เพศเมีย เช่น ปลาแรด ปลานิล ปลากระด่ี และปลาสลิด
เปน็ ต้น
6.1.3 ลาตัว ส้าหรับปลาหลายชนิดเพศเมียจะมีล้าตัวป้อมและตัวใหญ่กว่าเพศผู้ ปลาเพศเมีย
มักมคี วามลกึ ของตัวปลามาก แต่ปลาตัวผู้ล้าตัวจะยาวเรียวกวา่ เชน่ ปลาตะเพียนขาว ปลาไน ปลาหมอไทย และ
ปลากระทงุ เหว เป็นตน้
6.1.4 ส่วนท้อง มีปลาหลายชนิดแยกเพศได้ยากมากระหว่างปลาเพศผู้กับเพศเมีย แต่เมื่อถึง
ฤดูผสมพันธุ์ส่วนท้องของปลาเพศเมียจะอูมเป่งและนิ่ม จะแตกต่างจากปลาเพศผู้อย่างชัดเจน เช่น ปลาจีน
ปลายี่สกเทศ และปลาชอ่ น เปน็ ตน้
6.1.5 ตุ่มสิวหรือเพิร์ลออร์แกน (Pearl Organ) เมื่อถึงฤดูวางไข่ ปลาเพศผู้จะสร้างตุ่มสากๆ ท่ี
กระดูกปดิ เหงือก ครีบหู หรอื ตามลา้ ตัว
6.1.6 ลักษณะต่ิงเพศ (Urogenital Papillae) ในปลาบางชนิดจะมีติ่งเพศย่ืนยาวออกมาจาก
ชอ่ งเพศ ที่ปลายติ่งมที างออกของน้าเชอื้ หรือไข่ สว่ นใหญป่ ลาเพศผมู้ ักมลี ักษณะยาวออกมามากกว่าปลาเพศเมีย
สว่ นปลาเพศเมียจะมลี กั ษณะกลมมนกว่า เช่น ปลาดกุ ปลาบ่ทู ราย และปลานิล เป็นต้น
6.1.7 ลักษณะของช่องเพศ (Urogenital Pore) ปลาส่วนใหญ่ไม่มีต่ิงเพศ มีแต่ช่องเพศซ่ึงเป็น
ทางออกของนา้ เช้อื หรือไข่ จนเมือ่ เขา้ สฤู่ ดผู สมพนั ธ์จุ ึงสามารถมองเหน็ ความแตกต่าง โดยชอ่ งเพศของเพศเมียจะ
อูมเปง่ และมสี ชี มพู เชน่ ปลาตะเพียนขาว ปลาไน และปลาจนี เป็นตน้
6.1.8 ลักษณะอื่นๆ เช่น อวัยวะท่ีช่วยในการผสมพันธุ์ในปลาฉลามและปลากระเบนเพศผู้จะมี
ทอ่ ส่งน้าเชอ้ื ยืน่ ออกมาจากปลายของครบี ท้อง เรยี กว่า คลาสเปอร์ (Clasper) ในปลาจิ้มฟันจระเข้และปลาม้าน้า
เพศผู้มีร่องหรือถุง (Brood Pouch) สา้ หรบั ฟกั ไข่ท่ไี ดร้ ับการผสมแลว้ เปน็ ตน้
6.2 ความแตกต่างระหว่างเพศของกุ้ง ถ้าเป็นกุ้งเพศเมียปลายขาว่ายน้าคู่ที่สองตรงปล้องสุดท้าย
แยกออกเป็นแขนง 3 อัน โดยอันเล็กสุดอยู่ด้านใน ถ้าเป็นกุ้งเพศผู้ปลายขาว่ายน้าคู่ท่ีสองแยกเป็นแขนง 4 อัน
นอกจากนก้ี า้ มของเพศผู้มขี นาดยาวและใหญ่กว่าก้ามของกุ้งเพศเมียอย่างชัดเจน ลักษณะอื่นๆ ที่ใช้แยกเพศกุ้ง
ขนาดปานกลางหรือขนาดใหญ่ ได้แก่ ช่องเปิดส้าหรับน้าเช้ือของเพศผู้ และช่องเปิดส้าหรับไข่ของเพศเมีย
โดยเพศผู้ช่องเปดิ อยู่บรเิ วณโคนขาเดินค่ทู ่ีห้า ส่วนเพศเมยี ชอ่ งเปดิ อยู่โคนขาเดนิ คู่ทสี่ าม
6.3 ความแตกต่างระหวา่ งเพศของกบ สามารถดไู ดจ้ ากขนาดล้าตัว กบเพศผูจ้ ะมขี นาดเล็กกว่ากบ
52
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5
ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ การเพาะพนั ธ์สุ ตั วน์ ้า (ต่อ) สอนครัง้ ท่ี 6-9
ชั่วโมงรวม 36
จ้านวนชั่วโมง 16
เพศเมยี กบเพศผจู้ ะมกี ล่องเสียงเป็นแผ่นกลมๆ อยู่ใตค้ างท้ังสองข้างสว่ นท้อง กบเพศเมียจะมีความกว้าง
ของล้าตวั มากกว่ากบเพศผู้ และดนู ิ้วโป้ง ในฤดูผสมพันธ์ุบริเวณนิ้วโป้งของกบเพศผู้จะมีปุ่มหยาบๆ เกิดข้ึนอย่าง
ชัดเจน ซ่ึงจะช่วยในการจับเกาะบนผิวเพศเมียได้แน่น และปุ่มเหล่านี้จะหายไปจนกว่าจะถึงฤดูผสมพันธ์ุใหม่
อกี ครัง้
7. ลกั ษณะของพ่อแมพ่ ันธุท์ สี่ มบูรณเ์ พศ
7.1 ลักษณะของแม่พันธ์ุ ส่วนท้องอูมเป่งและน่ิม ผนังท้องบางและมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก
เม่ือจับหงายท้องจะเห็นเป็นลอนขยายออกด้านข้างล้าตัว ถ้าเป็นปลาท่ีมีเกล็ดการซ้อนของเกล็ดจะแยกออก
จากกันเห็นไดช้ ัดเจน ช่องเปิดของทวารและช่องเพศขยายใหญ่ สีเข้มกว่าปกติ หรือตรวจดูความสมบูรณ์ของไข่
โดยใช้เทคนิคการดูดไข่ออกจากรังไข่โดยใช้สายยาง (Catheter) สอดเข้าไปในช่องเพศของแม่ปลาแล้วดูดไข่
ออกมาจ้านวนหนึง่ น้ามาตรวจสอบดูว่าไข่แก่หรือไม่ ลักษณะทั่วไปของไข่ที่แก่คือ มีรูปร่างกลม ขนาดเท่าๆ กัน
ท้งั หมด ไม่ทึบแสง มีจุดไขมันกระจายท่วั ไป มกี ารดูดซับน้าได้ดี
7.2 ลักษณะของพอ่ พันธ์ุ พอ่ พนั ธุส์ ัตวน์ ้าตอ้ งไมอ่ ว้ นหรือผอมเกนิ ไป ถา้ เปน็ ปลาท่ีมีเกล็ดบริเวณแก้ม
ครบี หู และลา้ ตวั จะมีตุ่มสิว เมื่อสัมผัสจะรู้สึกสากมือ เช่น ปลาตะเพียนขาว ปลาสร้อยขาว ปลาบางชนิดก่อนที่
จะเลอื กมาเป็นพอ่ แม่พันธ์ุควรมีการรดี น้าเชื้อทดสอบดว้ ย โดยใชม้ อื รีดเบาๆ ท่บี ริเวณใกล้ช่องเพศ ถ้าเป็นเพศผู้ท่ี
สมบูรณ์เพศจะมีน้าเชื้อสีขาวคล้ายน้านมไหลออกมา เช่น ปลาสวาย ปลาจีน หรือปลาในตระกูลอินเดียคาร์ฟ
เป็นต้น ส่วนปลาที่ไม่สามารถรีดน้าเช้ือได้อาจใช้วิธีการน้าพ่อพันธุ์บางส่วนมาผ่าท้องเอาถุงอัณฑะออกมา
ตรวจสอบหาปริมาณและความแข็งแรงของน้าเช้ือโดยการส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ เช่น ปลาดุก ปลาน้าเงิน
หรือปลาชะโอน
8. วธิ กี ารเพาะพนั ธส์ุ ัตว์น้า
การเพาะพนั ธ์ุสัตว์น้ามีวิธีการแตกต่างกันไปตามชนดิ ของสตั วน์ า้ โดยแบง่ ได้ 4 วิธี ดังนี้
8.1 วิธเี พาะพันธแุ์ บบธรรมชาติ (Uncontrolled Breeding)
8.2 วธิ ีเพาะพนั ธ์ุแบบเลียนแบบธรรมชาติ (Semi-controlled Breeding)
8.3 วธิ ีเพาะพนั ธ์แุ บบผสมเทียม (Artificial Insemination) วิธีการผสมเทียมมี 3 แบบ ดงั น้ี
8.3.1 แบบเปยี ก (Wet Method)
8.3.2 แบบแหง้ (Dry Method)
8.3.3 แบบดัดแปลงแหง้ (Modified Dry Method)
53
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 5
ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ การเพาะพนั ธุส์ ตั ว์นา้ (ต่อ) สอนครงั้ ท่ี 6-9
ชว่ั โมงรวม 36
จ้านวนชั่วโมง 16
8.4 วิธีเพาะพันธแ์ุ บบฉีดฮอรโ์ มนกระตนุ้ การวางไข่
9. การใช้ฮอร์โมนในการเพาะพนั ธสุ์ ตั ว์น้า
ตามหลักการเพาะพันธุ์สัตว์น้า พ่อแม่พันธุ์ท่ีคัดเลือกมาต้องมีความสมบูรณ์เพศและสามารถเร่ง
การพฒั นาการของน้าเช้อื และไข่ไดโ้ ดยการใช้ฮอรโ์ มนชนิดต่างๆ ฉดี กระตนุ้ ดงั น้ี
9.1 ต่อมใต้สมอง มีลักษณะเป็นเม็ดกลมมีสีขาวขุ่น อาจใช้ต่อมสดหรือต่อมแช่น้ายาอะซิโตนหรือ
แช่แอลกอฮอล์ บดให้ละเอียดแล้วผสมตัวท้าละลายจึงน้าไปฉีดให้กับปลาเพ่ือกระตุ้นการตกไข่และการวางไข่
ต่อมใต้สมองมีฮอร์โมนหลายชนดิ สะสมอยู่รวมทัง้ โกนาโดโทรปนิ
9.2 ฮอรโ์ มนสกดั (Extract Hormone) ฮอร์โมนสกัดโกนาโดโทรปนิ สกัดจากต่อมใต้สมองของปลา
หรอื สัตว์เลยี้ งลกู ด้วยน้านม ฮอร์โมนสกัดให้ผลดีกว่าต่อมใต้สมองบดแต่ราคาแพง ฮอร์โมนสกัดจากสัตว์เลี้ยงลูก
ด้วยน้านมมี 2 ประเภท คือ
9.2.1 สกดั จากเซรุ่มของม้าที่ก้าลังต้ังท้อง พีเอ็มเอสจี (PregnantMareSerumGonadotropin:
PMSG)
9.2.2 ฮอร์โมนสกัดจากปัสสาวะหญิงตั้งครรภ์ เอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin:
HCG)
9.3 ฮอรโ์ มนสังเคราะห์ (Synthetic Hormone) ปัจจุบันสามารถสังเคราะห์สารคล้ายคลึงฮอร์โมน
บางชนิด เช่น สารคล้ายคลึงรีลีสซิงฮอร์โมน (Releasing Hormone Analogue) ซึ่งได้แก่ แอลเอชอาร์เอช
(LHRH) จเี อ็นอาร์เอช (GnRH ) แอลเอชอาร์เอชเอ (LHRHa) และจีเอ็นอาร์เอชเอ (GnRHa) ฮอร์โมนสังเคราะห์
ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายซ่ึงต้องใช้ร่วมกับสารยับย้ังโดปามิน (ดอมเพอริโดน) หรือเรียกว่า ยาเสริมฤทธ์ิ
โดยใช้ฮอรโ์ มนสังเคราะห์ 5-30 ไมโครกรมั ร่วมกับดอมเพอริโดน 5-10 มิลลิกรัมต่อนา้ หนกั สตั ว์นา้ 1 กิโลกรมั
9.4 ฮอร์โมนเพศ (Sex Steroid) ปัจจุบันมีการฉีดฮอร์โมนเพศเข้าไปในพ่อแม่พันธ์ุโดยตรงเพ่ือเร่ง
ความสมบรู ณเ์ พศซึง่ มีการประยุกตใ์ ช้อย่างแพรห่ ลาย แตป่ ระสบความส้าเร็จในปลาบางชนิด
9.5 การใช้วิธีการอ่ืนๆ การกระตุ้นการตกไข่และการวางไข่ปลามีเทคนิคใหม่ๆ เช่น วิธีการฝัง
ฮอรโ์ มนเขา้ ไปในตัวปลา ขอ้ ดีคอื การนา้ ฮอรโ์ มนที่ต้องการมาอัดเม็ดแล้วฝังเข้าไปในตัวปลา ซ่ึงฮอร์โมนที่อัดเม็ด
ออกฤทธไ์ิ ด้ชา้ ๆ อยูไ่ ด้นานกวา่ การฉดี ฮอร์โมนกระตุน้ เหมาะต่อกระตนุ้ ความสมบรู ณเ์ พศปลาอย่างช้าๆ ได้นาน
54
แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 5
ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ การเพาะพันธ์สุ ัตว์น้า (ต่อ) สอนคร้ังที่ 6-9
ชว่ั โมงรวม 36
จา้ นวนชั่วโมง 16
หลายสปั ดาห์
10. การคานวณฮอรโ์ มนในการเพาะพันธส์ุ ัตว์นา้
การค้านวณปริมาณฮอร์โมนที่ใช้ในการเพาะพันธ์ุสัตว์น้าข้ึนอยู่กับชนิดของสัตว์น้า ชนิดของฮอร์โมน
ปริมาณและความเข้มข้นของฮอร์โมน ความสมบูรณ์เพศของพ่อแม่พันธ์ุ และสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม ซึ่งจะ
สง่ ผลตอ่ การวางไข่ การปฏสิ นธิ และการฟกั ไข่ ชนิดของฮอร์โมนทจี่ ะคา้ นวณมีดงั น้ี
10.1 ตอ่ มใตส้ มอง
10.2 ฮอร์โมนสกัด
10.3 ฮอรโ์ มนสงั เคราะห์
11. การพกั และตรวจความพร้อมพอ่ แมพ่ นั ธ์ุ
โดยปกติปลาท่มี ีไขแ่ กจ่ ะตอ้ งการออกซิเจนมากกว่าปลาท่ัวไป เมื่อถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนอาจต้องการใช้
ออกซิเจนเพิ่มข้ึนถึงร้อยละ 5 ของระดับปกติ ดังน้ัน การพักพ่อแม่ปลาจึงจ้าเป็นต้องเพ่ิมออกซิ เจนให้อย่าง
พอเพยี งโดยวธิ ีการใช้แอรป์ ัม๊ (Air Pump) หรอื การปล่อยให้นา้ ไหลผ่านบ่อตลอดเวลา (flow through) หรืออาจ
พ่นน้าเปน็ ฝอย หลังการฉดี ฮอร์โมนครง้ั สดุ ท้ายแล้วจะพักแม่พันธ์ุไว้ในบ่อพัก เม่ือเกิดการตกไข่และพร้อมวางไข่
แมป่ ลาแทบทกุ ชนิดจะมีอาการกระวนกระวายว่ายน้าไปมาอย่างรวดเร็ว การเปิดปิดของกระดกู เหงอื กถีข่ ้นึ
12. การเพาะพนั ธป์ุ ลาดกุ
การเพาะพนั ธ์ปุ ลาดุกทน่ี ิยมมี 2 วิธี คือ
12.1 การเพาะพันธปุ์ ลาดุกโดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติ
12.2 การเพาะพนั ธป์ุ ลาดุกโดยวธิ ีการผสมเทยี ม
13. การเพาะพันธุ์กบ
การเพาะพันธุก์ บมขี ั้นตอนดังน้ี
13.1 การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์กบ กบพ่อแม่พันธุ์ควรมีอายุ 1 ปีข้ึนไป มีน้าหนัก 300-700 กรัม
ทัง้ พอ่ พันธ์ุและแมพ่ ันธุ์จะตอ้ งมีความแข็งแรงสมบรู ณ์ ไม่พิการและไมม่ บี าดแผล
13.2 การเพาะพันธุ์กบ การเพาะพันธ์ุกบอาจใช้วิธีแบบเลียนแบบธรรมชาติโดยการเตรียมบ่อให้
สะอาดปิดดว้ ยตาขา่ ยเพอ่ื ป้องกนั กบกระโดดออก เติมนา้ สะอาดใหล้ กึ ประมาณ 10 เซนติเมตร ใส่พันธ์ุไม้น้า เช่น
ผกั บ้งุ หญ้าขน หลงั จากนั้นในตอนเย็นจบั พอ่ แม่พันธมุ์ าใสร่ วมกันอตั รา 1 : 1 ตัวตอ่ ตารางเมตร หรอื อกี วธิ คี ือ
55
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5
ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ การเพาะพันธสุ์ ตั ว์นา้ (ตอ่ ) สอนคร้ังที่ 6-9
ช่วั โมงรวม 36
จา้ นวนชัว่ โมง 16
การเพาะพนั ธ์ุโดยการฉดี ฮอร์โมนซูปรีแฟคท์ 10-20 ไมโครกรัม ร่วมกับโมทีเล่ียม 1 เม็ดต่อน้าหนัก
กบ 1 กโิ ลกรัม ทใ่ี ตผ้ ิวหนังด้านหลงั แล้วปล่อยพ่อแมพ่ นั ธลุ์ งบอ่ เพาะให้ผสมพนั ธกุ์ ันเอง เมื่อกบวางไข่แล้วให้จับ
พ่อแมพ่ ันธก์ุ บออกจากบอ่ เพาะพันธแุ์ ล้วเติมนา้ ให้ลกึ ประมาณ 25 เซนติเมตร
13.3 การฟักไข่กบ กบจะวางไข่ติดกับพันธ์ุไม้น้าหรือลอยเป็นแพและมีบางส่วนจมลงสู่พื้นบ่อ
ไข่กบมีลักษณะกลมใส มีจุดสีด้าอยู่ตรงกลาง ไข่กบจะฟักเป็นตัวภายใน 18-24 ชั่วโมง โดยไข่เริ่มจากลักษณะ
กลมและพฒั นามาเป็นรูปวงรีและยาวขึ้นเรอื่ ยๆ อยู่ภายในถงุ ไข่แลว้ ฟักออกเปน็ ตัว เรยี กว่า ลกู ออ๊ ด
13.4 การอนุบาล เม่ือฟกั เป็นตวั ได้ 2 วนั ใหก้ ินไรแดงและอาหารผงส้าเร็จรูปหรือไข่ตุ๋นเป็นอาหาร
ควรถ่ายเทน้าและเปดิ เคร่อื งให้อากาศ เมือ่ อายุ 1-2 สปั ดาห์ จะมีขาหลัง 2 ขาโผล่ออกมาจากส่วนท้ายของล้าตัว
บรเิ วณโคนขา เมือ่ ขาหลังเจริญเต็มที่จะมีขาหน้าโผล่ออกมาอีกท้ัง 2 ข้างของช่องเหงือกทางด้านหน้าของล้าตัว
หางจะเริ่มหดส้ันลง ปากจะเริ่มสมบูรณ์ข้ึน สามารถขึ้นกินอาหารได้เช่นเดียวกับกบตัวโต ซ่ึงระยะเวลาในการ
เจรญิ เตบิ โตจากลกู ออ๊ ดมาเปน็ ลูกกบน้จี ะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ใช้เวลาประมาณ 25-35 วัน
13.5 คัดขนาดลูกกบ คัดขนาดลูกกบเมื่อลูกกบมีขาครบ 4 ขา ให้คัดแยกลูกกบออกจากลูกอ๊อด
เพ่ือป้องกันการกินกันเอง เพราะลูกอ๊อดว่ายน้าเก่งกว่าลูกกบจึงกัดกินลูกกบ ควรจัดหาวัสดุให้ลูกกบเกาะ เช่น
พันธุ์ไมน้ ้า ผักบุง้ ผกั ตบชวา หรือโฟม และใหอ้ าหารส้าเร็จรูปชนิดเม็ดเล็กพิเศษหรือให้อาหารมีชีวิต เช่น หนอน
แมลง การอนบุ าลลกู กบ หลังจากลกู กบมขี าครบสมบูรณ์ดีแล้วใหย้ า้ ยลกู กบไปเล้ยี งต่อไป
14. การเพาะพันธ์ุปลานลิ
ปลานิลเป็นปลาที่สามารถผสมพันธุ์วางไข่ได้เองตามธรรมชาติโดยไม่จ้าเป็นต้องใช้ฮอร์โมนช่วยกระตุ้น
เหมอื นปลาชนดิ อ่นื ๆ
14.1 การเพาะพันธ์ุปลานิลในบ่อดิน บ่อดินควรเป็นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อท่ีต้ังแต่ 50-1,600
ตารางเมตร สามารถเกบ็ กักนา้ ได้สงู 1 เมตร ควรมีเชิงลาดเพื่อป้องกันดินพังทลายและมีชานบ่อกว้าง 1-2 เมตร
ถ้าเป็นบอ่ เกา่ ควรวิดน้าและสาดเลนขึ้นตกแต่งภายในบ่อให้ดินแน่น ก้าจัดศัตรูปลา โรยปูนขาวให้ท่ัว ใส่ปุ๋ยคอก
แห้ง ตากบ่อท้ิงไว้ประมาณ 2-3 วัน จึงเปิดหรือสูบน้าเข้าบ่อผ่านผ้ากรองหรือตะแกรงตาถี่ให้มีระดับน้าสูง
ประมาณ 30-50 เซนติเมตร หลังจากน้ันประมาณ 3-5 วัน น้าในบ่อจะมีสีเขียวจึงน้าพ่อแม่พันธ์ุมาปล่อย อัตรา
การปล่อยพ่อแม่พันธุ์ 1 ตัวต่อ 4 ตารางเมตร หรือ 400 ตัวต่อไร่ อัตราส่วนพ่อปลา 2 ตัวต่อแม่ปลา 3 ตัว
หลังจากปล่อยพอ่ แมพ่ นั ธุ์ลงเพาะในบ่อประมาณ 15 วนั จะสงั เกตเห็นลกู ปลานลิ เป็นฝงู ตามขอบบ่อ
14.2 การเพาะพันธุ์ปลานลิ ในบ่อซีเมนต์ ใช้หลกั การและวธิ ีการเพาะพันธเุ์ ช่นเดียวกันกับการเพาะ
ในบอ่ ดนิ บ่อท่ใี ชค้ วรเปน็ รูปสี่เหล่ียมผืนผ้าหรอื ทรงกลมก็ได้ มีความลึกประมาณ 1 เมตร มพี ืน้ ที่ผิวน้าต้ังแต่
56
แผนการจัดการเรยี นรูม้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 5
ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ การเพาะพันธสุ์ ัตวน์ า้ (ต่อ) สอนคร้งั ท่ี 6-9
ชัว่ โมงรวม 36
จา้ นวนชั่วโมง 16
10 ตารางเมตรขึ้นไป บ่อควรตั้งอยู่กลางแจ้งและมีหลังคามุงบางส่วน ท้าความสะอาดบ่อ เติมน้า
กรองด้วยผา้ ไนลอนหรือมุ้งลวดตาถ่ีให้มีระดับความสูงประมาณ 80 เซนติเมตร ปล่อยพ่อแม่พันธ์ุในอัตรา 1 ตัว
ตอ่ 1 ตารางเมตร และใชอ้ ัตราสว่ นเพศผ้ตู ่อเพศเมีย 1 : 2-5 ตัว ให้อาหารเม็ดที่มีปริมาณโปรตีน 18 เปอร์เซ็นต์
และรา้ ละเอยี ดในอตั รา 3-5 เปอรเ์ ซ็นตข์ องน้าหนักพอ่ แมพ่ ันธุ์ ในช่วง 2-3 สปั ดาหห์ ลังจากปล่อยพ่อแม่พันธ์ุควร
เพิ่มปริมาณร้าละเอียดเพ่ือเป็นอาหารส้าหรับลูกปลา ประมาณ 20 วันหลังจากปล่อยพ่อแม่พันธุ์จะได้ลูกปลา
ขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร จึงรวบรวมลูกปลาไปอนุบาลต่ออีกประมาณ 15-20 วัน จะได้ลูกปลาขนาด
2-3 เซนติเมตร ถ้าใชเ้ ครื่องเป่าลมชว่ ยเพิ่มออกซิเจนในน้าจะทา้ ให้การเพาะพนั ธ์ปุ ลานิลด้วยวิธนี ้ไี ด้ผลมากข้นึ
14.3 การเพาะพันธ์ุปลานิลในกระชัง กระชังท้าจากอวนไนลอนตาถี่ ขนาดกระชังความกว้าง
5 เมตร ยาว 8 เมตร สงู 2 เมตร วางกระชงั ในบอ่ ดินหรือในหนอง บึง อ่างเกบ็ น้า ใหพ้ น้ื กระชังอยูต่ า้่ กว่าระดบั น้า
ประมาณ 1 เมตร ปล่อยพ่อแม่พันธุ์ในอัตรา 6 ตัวต่อตารางเมตร โดยใช้ตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 3-5 ตัว เล้ียงด้วย
อาหารเม็ดลอยน้า ระดบั โปรตีนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ขนาดพ่อแม่พันธ์ุที่มีความเหมาะสมคือ 150-200 กรัม
ความถใ่ี นการเคาะไข่ควรหา่ งกนั 7-10 วนั
สรุป
การเพาะพันธ์ุสัตว์น้าส่ิงส้าคัญต้องทราบระบบควบคุมการสืบพันธ์ุของสัตว์น้า เพราะจะท้าให้เข้าใจถึง
กระบวนการท้างานของอวยั วะตา่ งๆ ทม่ี ีหน้าทใี่ นการสรา้ งฮอรโ์ มนและปจั จัยที่เกี่ยวขอ้ ง เพื่อควบคุมหรือกระตุ้น
การท้างานของอวยั วะสบื พันธใ์ุ หเ้ จริญถงึ ข้นั ทพ่ี ร้อมผสมพนั ธวุ์ างไข่ได้ ในการเพาะพนั ธสุ์ ัตว์นา้ นัน้ พ่อแมพ่ นั ธ์ุที่จะ
น้ามาเพาะพันธ์ุต้องมีสุขภาพแข็งแรง ลักษณะท่ีดีตรงตามสายพันธุ์ และมีไข่แก่ น้าเชื้อสมบูรณ์ จึงสามารถเร่ง
การพัฒนาการของน้าเช้ือและไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฮอร์โมนจะท้างานได้เป็นปกติเมื่อสภาพแวดล้อมต่างๆ
มีความเหมาะสม เช่น แสง อุณหภูมิ ความขุ่นใส ฝนตก วัสดุกระตุ้นการวางไข่และปัจจัยทางสังคม
เมื่อผปู้ ระกอบการตัดสินใจเลือกพันธ์ุสัตว์น้าที่มีลักษณะท่ีดีตามต้องการแล้วจึงเลือกวิธีการเพาะพันธุ์สัตว์น้าให้
เหมาะสม ซึ่งมหี ลายวธิ ี เชน่ วธิ เี พาะพนั ธุ์แบบธรรมชาติ วิธเี พาะพนั ธ์แุ บบเลียนแบบธรรมชาติ วิธีเพาะพันธุ์แบบ
ผสมเทียม และวิธีการเพาะพันธ์ุแบบฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการวางไข่ เน่ืองจากปลาแต่ละชนิดมีลักษณะของไข่ท่ี
แตกต่างกันจงึ ต้องเลือกวธิ กี ารเพาะพนั ธ์ุสัตว์นา้ ให้เหมาะสมกับชนดิ ของสัตวน์ ้า
5. กจิ กรรมการเรียนการสอน
57
แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 5
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ การเพาะพนั ธส์ุ ัตว์น้า (ตอ่ ) สอนครงั้ ท่ี 6-9
ช่ัวโมงรวม 36
จ้านวนช่วั โมง 16
5.1 การนาเข้าสบู่ ทเรยี น
ขัน้ สนใจ (Motivation)
- ผู้สอนอธิบายและสาธิตการเพาะพันธสุ์ ตั ว์น้า
5.2 การเรียนรู้
ข้นั ศึกษาขอ้ มูล (Information)
1. ใหผ้ ู้เรยี นแบง่ กล่มุ ออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุม่ ท่ี 1 ศกึ ษาเรอ่ื งการเพาะพนั ธุ์ปลาดุก กลุ่มที่ 2 ศึกษาเรื่อง
การเพาะพนั ธ์กุ บ และกลุ่มท่ี 3 ศกึ ษาเรอ่ื งการเพาะพนั ธุป์ ลานลิ เพอ่ื ศกึ ษาหัวขอ้ ดงั ต่อไปนี้
- ชีววทิ ยาการสืบพันธุ์ของสัตวน์ ้า
- ปจั จัยทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการเจริญพันธ์ุและการวางไข่
- การคดั เลอื กพ่อแมพ่ ันธส์ุ ตั วน์ ้า
- แหลง่ ของพ่อแม่พันธสุ์ ัตว์นา้
- การเลีย้ งพ่อแมพ่ ันธุส์ ตั ว์น้า
- ความแตกตา่ งระหวา่ งเพศของสตั วน์ ้า
- ลักษณะของพอ่ แม่พันธท์ุ ส่ี มบรู ณเ์ พศ
- วธิ กี ารเพาะพันธ์สุ ัตว์น้า
- การใช้ฮอรโ์ มนในการเพาะพนั ธุส์ ัตวน์ ้า
- การค้านวณฮอรโ์ มนในการเพาะพันธส์ุ ัตวน์ ้า
- การพกั และตรวจความพรอ้ มพอ่ แมพ่ นั ธุ์
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท้า PowerPoint น้าเสนอในเร่ืองท่ีกลุ่มตนศึกษา หลังจบการน้าเสนอ ให้กลุ่ม
เพ่ือนท่ฟี ังซักถามในประเด็นทส่ี งสยั หรอื ประเด็นสา้ คญั ทคี่ วรรู้
(กิจกรรมน้ีผสู้ อนตอ้ งแจง้ ล่วงหนา้ ใหผ้ ้เู รียนเตรียมการน้าเสนอดว้ ย PowerPoint)
(กิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชีพ)
แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ 58
ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ การเพาะพนั ธสุ์ ัตวน์ ้า (ต่อ) หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 5
สอนครงั้ ท่ี 6-9
ข้นั พยายาม (Application) ชั่วโมงรวม 36
1. ผ้สู อนและผูเ้ รยี นรว่ มกนั สรุปเนื้อหาตามจดุ ประสงค์ของการเรยี น จา้ นวนช่ัวโมง 16
2. ผูเ้ รยี นท้ากิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน
3. ผูเ้ รียนท้าแบบทดสอบเพือ่ ประเมนิ ผลหลงั การเรียนรู้
5.3 การสรปุ
ขน้ั สาเรจ็ ผล (Progress)
1. ผ้สู อนพิจารณาใหค้ ะแนนการปฏบิ ตั ิงาน
2. ผสู้ อนพิจารณาใหค้ ะแนนคุณลกั ษณะอันพึงประสงคเ์ ปน็ รายบุคคล
6. ส่ือการเรยี นรู/้ แหล่งการเรยี นรู้
6.1 สอื่ ส่ิงพมิ พ์
6.1.1 หนงั สือเรยี นวชิ าหลักการเพาะเล้ียงสตั ว์นา้
6.1.2 ใบงาน เร่อื ง การเพาะพันธุ์สัตวน์ ้า
6.1.3 แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงาน
6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 สอ่ื โสตทัศน์
6.2.1 เครือ่ งคอมพวิ เตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ สช์ ว่ ยสอน
6.3 หุ่นจาลองหรือของจริง (ถ้ามี)
-
6.4 อื่นๆ (ถ้าม)ี
59
แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 5
ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ การเพาะพนั ธ์สุ ัตวน์ า้ (ต่อ) สอนคร้ังที่ 6-9
ชัว่ โมงรวม 36
จา้ นวนชั่วโมง 16
- หอ้ งเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-access Learning)
- ศนู ย์วจิ ยั และพัฒนาพนั ธกุ รรมสตั ว์น้าชุมพร
7. เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้
7.1 แบบประเมินผลการปฏบิ ัติงาน
7.2 แบบประเมินตนเอง
8. การบูรณาการ/ความสัมพันธก์ ับวชิ าอ่นื
8.1 บรู ณาการรว่ มกับวชิ าลูกเสอื มีกจิ นิสัย มรี ะเบยี บ ละเอยี ดรอบคอบ และมีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ วิชาชีพ
8.2 บูรณาการรว่ มกบั วชิ าคณิตศาสตร์
8.3 บรู ณาการรว่ มกับวิชาคอมพิวเตอร์ การใช้โปรแกรม PowerPoint ท้าส่อื น้าเสนอ
9. การวดั และประเมินผล
9.1 กอ่ นเรยี น
- การอธิบายและสาธิตประกอบสอ่ื
9.2 ขณะเรียน
9.2.1 ปฏบิ ัติงานตามกิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชพี
9.2.2 การน้าเสนอเนื้อหาเก่ียวกับชีววิทยาการสืบพันธ์ุของสัตว์น้า ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการเจริญพันธุ์
และการวางไข่ การคัดเลือกพ่อแม่พันธ์ุสัตว์น้า แหล่งของพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้า การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้า
ความแตกต่างระหว่างเพศของสัตว์น้า ลักษณะของพ่อแม่พันธ์ุที่สมบูรณ์เพศ วิธีการเพาะพันธุ์สัตว์น้า การใช้
ฮอร์โมนในการเพาะพนั ธสุ์ ตั ว์น้า การค้านวณฮอร์โมนในการเพาะพันธุ์สัตว์น้า และการพักและตรวจความพร้อม
พ่อแม่พนั ธ์ุการเพาะพนั ธุป์ ลาดกุ การเพาะพันธ์กุ บ และการเพาะพันธ์ปุ ลานิล
9.3 หลังเรยี น
9.3.1 ท้ากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ทา้ แบบทดสอบเพ่ือประเมนิ ผลหลงั การเรยี นรู้
60
แผนการจัดการเรียนรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 5
ช่ือหนว่ ยการเรียนรู้ การเพาะพันธ์สุ ัตว์นา้ (ต่อ) สอนครั้งที่ 6-9
ชัว่ โมงรวม 36
จา้ นวนชัว่ โมง 16
10. บันทึกหลังสอน
10.1 ผลการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
10.2 ผลการเรียนรขู้ องนักเรยี น นักศึกษา
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.3 แนวทางการพฒั นาคณุ ภาพการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
61
61
แผนการจัดการเรียนร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 6
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การเลย้ี งสัตวน์ า้ สอนครง้ั ท่ี 10-12
ชัว่ โมงรวม 48
จา้ นวนช่วั โมง 12
1. สาระสาคญั
การเลยี้ งสตั วน์ ้าแตล่ ะชนิดมขี ัน้ ตอนและวิธกี ารเล้ียงที่แตกต่างกัน ก่อนการเล้ียงสัตว์น้าควรึึกาา
ให้เข้าใจ เพราะสัตว์น้าบางชนิดสามารถเลี้ยงได้อย่างหนาแน่น เช่น ปลาดุก ปลาหมอไทย กบ เป็นต้น
หากเลยี้ งในกระชังอัตราปลอ่ ยจะหนาแน่นกว่าเลย้ี งในบอ่ ดนิ การเลี้ยงสัตว์น้าเึราฐกิจนอกจากมีความรู้
และประสบการณ์แล้ว ผู้เลี้ยงต้องรักและเอาใจใส่จึงจะประสบความส้าเร็จและได้ก้าไร สุภาพร (2552)
กล่าวว่า พ้ืนทีภ่ าคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทึไทยเหมาะส้าหรับการเล้ียงปลาท่ีกินท้ังพืชและสัตว์
เชน่ ปลานลิ ปลาตะเพยี น ปลาไน ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทึ ปลาสวาย เพราะหาซ้ือพันธ์ุได้ง่าย และ
ราคาถูก ภาคกลางเหมาะสมท่ีจะเลี้ยงสัตว์น้าได้เกือบทุกประเภท ส่วนพ้ืนท่ีแถบชายทะเลควรเล้ียงกุ้ง
ปลากะพง หอยนางรม ปทู ะเล เป็นตน้
2. สมรรถนะประจาหน่วย
- แสดงความรเู้ กี่ยวกบั การเลยี้ งสัตว์น้า
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้
3.1.1 บอกวิธีการเลยี้ งปลานิลได้
3.1.2 บอกวิธกี ารเลย้ี งปลาดุกได้
3.1.3 บอกวธิ กี ารเล้ยี งปลาหมอไทยได้
3.14 บอกวิธกี ารเลยี้ งปลากะพงขาวได้
3.1.5 บอกวิธกี ารเลี้ยงก้งุ ก้ามกรามได้
3.1.6 บอกวิธีการเลย้ี งกงุ้ กุลาด้าได้
3.1.7 บอกวิธีการเลยี้ งหอยแครงได้
3.1.8 บอกวิธีการเลี้ยงหอยแมลงภไู่ ด้
3.1.9 บอกวิธกี ารเลย้ี งปูทะเลได้
3.1.10 บอกวิธีการเลีย้ งกบได้
62
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 6
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การเล้ียงสัตว์น้า (ต่อ) สอนครั้งที่ 10-12
ช่ัวโมงรวม 48
จา้ นวนช่วั โมง 12
3.2 ดา้ นทักษะ
3.2.1 เขียนอธบิ ายวิธีการเลีย้ งสัตว์น้าได้
3.2.2 ปฏิบัติการเลีย้ งสตั ว์น้าได้
3.3 คณุ ลักษณะท่พี ึงประสงค์
3.3.1 เหน็ ประโยชน์ของการเล้ยี งสัตว์นา้
3.3.2 มเี จตคติทดี่ ีตอ่ งานอาชพี เพาะเล้ียงสัตวน์ ้า
3.3.3 มีความตรงต่อเวลา
3.3.4 มรี ะเบยี บวนิ ัย
3.3.5 มคี วามรับผดิ ชอบ
4. เน้ือหาสาระการเรยี นรู้
1. การเลย้ี งปลานิล
ปัจจบุ ันการเลยี้ งปลานิลเพอ่ื การค้านยิ มเล้ยี งปลานลิ เพึผู้ท่ไี ดจ้ ากการแปลงเพึ
1.1 การเลี้ยงปลานลิ เพึผู้ในบ่อดินแบบกึ่งพัฒนา
1.2 การเล้ยี งปลานิลเพึผ้ใู นบอ่ ดินแบบพฒั นา
1.3 การเลย้ี งปลานลิ แปลงเพึในกระชัง
2. การเล้ยี งปลาดุก
ปลาดกุ สามารถเลีย้ งไดท้ ้ังในบ่อดนิ บอ่ ซีเมนต์ บอ่ พลาสติก และในกระชงั แต่ส่วนมากนิยมเล้ียงใน
บอ่ ดนิ ซึ่งขนาดทเี่ หมาะสมประมาณ 1-5 ไร่ ข้นั ตอนการเลยี้ งปลาดกุ ในบ่อดินมีดังนี้
2.1 เตรียมบอ่ เลยี้ ง
2.2 เตรยี มพันธ์ุปลา
2.3 การปล่อยลกู ปลาลงบ่อเล้ยี ง
2.4. อาหารและการให้อาหาร
3. การเลยี้ งปลาหมอไทย
ปลาหมอไทยเป็นปลาทร่ี ้จู ักและนยิ มบริโภคกนั อยา่ งแพร่หลายทว่ั ทุกภาคของประเทึไทย
63
แผนการจัดการเรียนร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 6
ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ การเล้ยี งสตั ว์นา้ (ต่อ) สอนครั้งที่ 10-12
ช่ัวโมงรวม 48
จ้านวนชั่วโมง 12
มีข้ันตอนการเลีย้ งดงั น้ี
3.1 การเตรียมบ่อ
3.2 การปล่อยปลา
3.3 อาหารและการให้อาหาร
3.4 การเปลย่ี นถ่ายน้า
3.5 การจับจ้าหนา่ ย
4. การเลยี้ งปลากะพงขาว
การเล้ยี งปลากะพงขาวในบ่อดนิ นิยมเลย้ี งแบบพัฒนา มขี นั้ ตอนดังนี้
4.1 การเลอื กทา้ เล
4.2 การสรา้ งและเตรียมบอ่
4.3 อัตราการปล่อยปลาลงเล้ยี ง
4.4 การถ่ายเทน้า
4.5 อาหารและการใหอ้ าหาร
4.6 การเจริญเตบิ โต
5. การเลยี้ งกุ้งกา้ มกราม
กุ้งก้ามกรามเป็นกุ้งน้าจืดที่นิยมเล้ียงกันมากในภาคกลาง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัด
นครปฐม ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมเลี้ยงกันมากในพ้ืนท่ีจังหวัดกาฬสินธ์ุและจังหวัดร้อยเอ็ด
ซึ่งการเลีย้ ง กุ้งกา้ มกรามมขี ้ันตอนดังน้ี
5.1 การขดุ บอ่
5.2 การเตรียมบ่อ
5.3 การเตรยี มพันธลุ์ กู กุ้ง
5.4 การปล่อยกงุ้ กา้ มกรามลงเลยี้ ง
5.5 การจดั การระหวา่ งการเลีย้ งกุ้งกา้ มกราม
5.6 การจบั กุง้ ก้ามกรามจา้ หน่าย
6. การเลยี้ งก้งุ กลุ าดา
64
แผนการจดั การเรียนรูม้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6
ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ การเลย้ี งสัตวน์ า้ (ตอ่ ) สอนครั้งท่ี 10-12
ช่ัวโมงรวม 48
จ้านวนช่วั โมง 12
กุ้งกลุ าดา้ เปน็ กงุ้ ท่มี ีความสา้ คัญทางเึราฐกจิ เป็นอนั ดับหนึ่งของประเทึ มีขัน้ ตอนการเลี้ยงดังนี้
6.1 การเลือกสถานท่ี
6.2 การเตรยี มบ่อเลีย้ งกงุ้ กุลาด้า
6.3 การคดั เลือกพันธุ์ลูกกุ้งกลุ าดา้
6.4 อตั ราการปล่อยลูกกุ้งกุลาดา้
6.5 การจัดการคณุ ภาพน้าในบ่อเล้ยี งกงุ้ กุลาดา้
6.6 อาหารและการให้อาหารกุ้ง
6.7 การจับกงุ้ จ้าหน่าย
7. การเล้ียงหอยแครง
การทา้ ฟาร์มเลีย้ งหอยแครง มีขัน้ ตอนดังน้ี
7.1 การเลอื กทา้ เลเลย้ี งหอยแครง
7.2 รปู แบบการเลย้ี งหอยแครง แบง่ ออกเปน็ 2 ระบบ
7.2.1 การเลี้ยงระบบดงั้ เดมิ
7.2.2 การเล้ียงระบบพฒั นา
8. การเลย้ี งหอยแมลงภู่
รูปแบบการเล้ยี งหอยแมลงภูใ่ นประเทึไทยมี 4 วธิ ี ดงั น้ี
8.1 วิธกี ารเลย้ี งหอยแมลงภู่แบบใชห้ ลักไม้
8.2 วิธกี ารเลีย้ งหอยแมลงภู่แบบแขวน
8.3 วิธกี ารเล้ียงหอยแมลงภแู่ บบแพเชือก
8.4 วิธกี ารเลย้ี งหอยแบบตาขา่ ยเชอื ก
9. การเลย้ี งปทู ะเล
การเลี้ยงปูโพรกให้เปน็ ปเู น้ือ มีขัน้ ตอนดงั นี้
9.1 การเลอื กทา้ เลเล้ยี งปทู ะเล
9.2 การสร้างบ่อเลย้ี งปูทะเล
9.3 การเตรยี มบ่อ
65
แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6
ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ การเลย้ี งสตั ว์นา้ (ตอ่ ) สอนคร้งั ที่ 10-12
ชวั่ โมงรวม 48
จ้านวนชั่วโมง 12
9.4 การรวบรวมพันธุป์ ู
9.5 การปล่อยปูลงเล้ยี งในบ่อ
9.6 การให้อาหาร
9.7 การตรวจสอบความสมบรู ณ์
10. การเลยี้ งกบ
กบสามารถเล้ียงไดท้ ้งั ในบอ่ คอนกรีต บอ่ ดิน และในกระชงั วธิ ีการเลี้ยงกบในบ่อดิน มขี ั้นตอนดังน้ี
10.1 การเตรียมบ่อ
10.2 การปล่อยลูกกบลงเลี้ยง
10.3 การใหอ้ าหาร
10.4 การเปล่ียนถ่ายนา้
10.5 การจับจา้ หน่าย
สรุป
การเล้ียงสัตว์น้ามีหลายรูปแบบ จ้าแนกตามลักาณะการด้าเนินงาน สัตว์น้าเึราฐกิจที่นิยมเล้ียง
ได้แกป่ ลานิล ปลาดุก ปลากะพงขาว กุง้ ก้ามกราม กุ้งกุลาด้า กุ้งขาวแวนนาไม หอยแครง หอยแมลงภู่ ปู
ด้า ปูม้า และกบ การส่งเสริมการตลาด ภาครัฐมีการพัฒนาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าระดับ
พื้นบา้ นตามแนวทางเึราฐกิจพอเพียง พัฒนาคุณภาพและเพิ่มผลผลิตสัตว์น้าจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ให้เพียงพอตอ่ การบริโภคและการสง่ ออก โดยพัฒนาพันธ์สุ ัตว์นา้ เึราฐกิจและสตั วน์ ้าทมี่ ลี ทู่ างการตลาดท่ี
ดี พัฒนาเทคโนโลยี การเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าเปน็ มติ รกบั สิง่ แวดล้อม
5. กจิ กรรมการเรียนการสอน
5.1 การนาเขา้ สู่บทเรียน
ข้นั สนใจ (Motivation)
- ผูส้ อนอธิบายและสาธติ การเลีย้ งสัตวน์ ้า
5.2 การเรยี นรู้
ข้นั ศกึ ษาข้อมูล (Information)
1. ใหผ้ ้เู รียนแบง่ กลุ่มออกเป็น 5 กลุ่ม ึึกาาเร่ืองการเลยี้ งสัตวน์ ้า ดังนี้
66
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 6
ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ การเลยี้ งสัตว์นา้ (ต่อ) สอนครงั้ ท่ี 10-12
ช่วั โมงรวม 48
จ้านวนช่วั โมง 12
กลุม่ ท่ี 1 การเลี้ยงปลานลิ และการเลย้ี งปลาดุก
กลุม่ ท่ี 2 การเลยี้ งปลาหมอไทยและการเลีย้ งปลากะพงขาว
กลมุ่ ที่ 3 การเลย้ี งกุ้งกา้ มกรามและการเลี้ยงกงุ้ กุลาด้า
กลุ่มที่ 4 การเลย้ี งหอยแครงและการเลี้ยงหอยแมลงภู่
กลุ่มที่ 5 การเลย้ี งปทู ะเลและการเล้ียงกบ
จากน้ันใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ สรุปสาระสา้ คัญร่วมกนั
2. ให้ผู้เรียนร่วมกันระดมสมองเพ่ือวิเคราะห์เปรียบเทียบการเล้ียงสัตว์น้าชนิดต่างๆ ว่าเหมือน
หรอื แตกต่างกันอย่างไร
3. ให้ผู้เรียนร่วมกันสรุปผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบโดยเขียนเป็นตารางเปรียบเทียบลงบน
กระดาน
(กจิ กรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี )
ขน้ั พยายาม (Application)
1. ผู้สอนและผู้เรยี นรว่ มกนั สรปุ เนอ้ื หาตามจดุ ประสงค์ของการเรียน
2. ผู้เรียนท้ากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
3. ผเู้ รียนท้าแบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลังการเรยี นรู้
5.3 การสรปุ
ขั้นสาเรจ็ ผล (Progress)
1. ผู้สอนพิจารณาใหค้ ะแนนการปฏิบตั งิ าน
2. ผสู้ อนพจิ ารณาให้คะแนนคณุ ลกั าณะอนั พงึ ประสงคเ์ ปน็ รายบุคคล
6. สอ่ื การเรยี นร/ู้ แหลง่ การเรยี นรู้
6.1 ส่ือสิ่งพิมพ์
6.1.1 หนงั สอื เรียนวชิ าหลกั การเพาะเลยี้ งสตั วน์ ้า
6.1.2 ใบงาน เร่ือง การเล้ยี งสัตว์น้า
67
แผนการจดั การเรียนร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 6
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การเล้ียงสตั ว์น้า (ต่อ) สอนครง้ั ท่ี 10-12
ชว่ั โมงรวม 48
จา้ นวนชัว่ โมง 12
6.1.3 แบบประเมินผลการปฏิบตั งิ าน
6.1.4 แบบประเมินตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 สือ่ โสตทัศน์
6.2.1 เครอื่ งคอมพิวเตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 สอื่ อิเล็กทรอนิกส์ช่วยสอน
6.3 หนุ่ จาลองหรือของจริง (ถา้ ม)ี
-
6.4 อ่นื ๆ (ถ้ามี)
- ห้องเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจดั การเรียนรู้
7.1 แบบประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน
7.2 แบบประเมนิ ตนเอง
8. การบูรณาการ/ความสัมพันธก์ บั วชิ าอ่ืน
8.1 บรู ณาการรว่ มกบั วชิ าลูกเสือ มีกิจนิสยั มรี ะเบยี บ ละเอียดรอบคอบ และมีเจตคตทิ ี่ดีตอ่ วิชาชพี
8.2 บูรณาการรว่ มกับวิชาหนา้ ท่พี ลเมืองและึลี ธรรมเกย่ี วกับการวางแผนการท้างานตามหลักปรัชญา
ของเึราฐกจิ พอเพียง
9. การวดั และประเมินผล
9.1 ก่อนเรยี น
- การอธบิ ายและสาธิตประกอบสอื่
9.2 ขณะเรียน
9.2.1 ปฏิบตั ิงานตามกิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชีพ
68
แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 6
ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ การเลยี้ งสัตว์น้า (ตอ่ ) สอนครง้ั ที่ 10-12
ชั่วโมงรวม 48
จา้ นวนชัว่ โมง 12
9.2.2 การน้าเสนอเนื้อหาเก่ียวกับการเล้ียงปลานิลและการเลี้ยงปลาดุก การเลี้ยงปลาหมอไทย
และ การเล้ียงปลากะพงขาว การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามและการเล้ียงกุ้งกุลาด้า การเล้ียงหอยแครงและการ
เล้ียงหอยแมลงภู่ และการเลี้ยงปูทะเลและการเล้ยี งกบ
9.3 หลังเรยี น
9.3.1 ทา้ กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ทา้ แบบทดสอบเพือ่ ประเมินผลหลงั การเรยี นรู้
10. บนั ทึกหลงั สอน
10.1 ผลการใช้แผนการจดั การเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.2 ผลการเรยี นรู้ของนกั เรยี น นกั ศกึ ษา
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.3 แนวทางการพัฒนาคณุ ภาพการเรียนรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
69
แผนการจัดการเรียนร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์ สอนคร้ังที่ 13-14
นา้ เพอื่ จา้ หน่าย ช่ัวโมงรวม 56
จา้ นวนช่ัวโมง 8
1. สาระสาคัญ
การท้าฟาร์มสัตว์น้าในอดีตของไทยเป็นการท้าเพ่ือยังชีพ หากมีผลผลิตเหลือเกินความต้องการ
บริโภคในครอบครัวจึงจะน้ามาท้าการค้าแลกเปล่ียน ต่อมาค่านิยมเปลี่ยนแปลงไป การผลิตทุกอย่าง
เชื่อมโยงกับการค้าทั้งหมด การผลิตทางการเกษตรจึงมีจุดประสงค์เพื่อท้าการค้าและผลิตตามความ
ตอ้ งการของตลาดภายในประเทศและต่างประเทศท้ังแง่ปริมาณและคุณภาพ กิจกรรมการผลิตสัตว์น้าก็มี
การลงทนุ ใชเ้ ทคโนโลยสี ูงขน้ึ มีการจัดสรรทรพั ยากร บริหารการผลติ และการจ้าหน่าย เพราะเป้าหมายใน
การประกอบธุรกิจคือก้าไรสูงสุด การผลิตทุกข้ันตอนต้องค้านึงถึงความปลอดภัยด้านอาหาร (Food
Safety) ต้องมีการควบคุมกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อาหาร ซ่ึงประเทศไทยตระหนักและให้
ความส้าคญั ทกุ ขัน้ ตอนของการผลติ ตงั้ แตก่ ระบวนการเลีย้ ง การจับ การขนส่ง และการแปรรูปสัตว์นา้
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย
- แสดงความรู้เก่ียวกบั การจดั การผลผลติ จากการเพาะเลี้ยงสตั ว์นา้ เพือ่ จา้ หน่าย
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้
3.1.1 บอกความหมายของการจดั การผลผลิตสตั วน์ ้าได้
3.1.2 อธบิ ายวธิ ีการจดั การผลผลิตสตั วน์ ้าได้
3.1.3 อธบิ ายการเตรียมการก่อนล้าเลียงสัตว์น้าได้
3.1.4 บอกวิธีการคัดขนาดสตั วน์ า้ ได้
3.1.5 อธิบายวิธีการขนสง่ สตั ว์น้าได้
3.1.6 บอกข้อควรค้านึงในการขนสง่ สตั วน์ า้ มชี วี ิตได้
3.1.7 อธิบายการเปล่ียนแปลงทีเ่ กดิ ข้นึ ระหวา่ งการล้าเลียงสตั ว์นา้ ได้
3.1.8 บอกวธิ ีการใช้และประโยชน์ของสารเคมใี นการล้าเลยี งสัตวน์ ้าได้
3.2 ดา้ นทกั ษะ
- จบั สัตวน์ ้า ลา้ เลยี งสตั วน์ ้า และจา้ หนา่ ยผลผลิตสตั ว์น้าได้ถกู ต้องตามหลักการ
70
แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์ สอนครงั้ ท่ี 13-14
น้าเพือ่ จา้ หน่าย (ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 56
จา้ นวนชั่วโมง 8
3.3 คุณลักษณะที่พงึ ประสงค์
3.3.1 มีเจตคติทดี่ ตี อ่ งานอาชพี เพาะเลีย้ งสตั ว์นา้
3.3.2 มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม
3.3.3 มีความซื่อสตั ย์
3.3.4 มคี วามอดทน
4. เนือ้ หาสาระการเรยี นรู้
1. ความหมายของการจัดการผลผลิตสัตวน์ ้า
การจัดการผลผลิตสตั วน์ า้ หมายถึง กจิ กรรมท่ีเกิดข้ึนท้ังในกระบวนการจับสัตว์น้า การเตรียมการ
กอ่ นการขนส่งสัตว์น้า และการขนส่งสัตว์น้า ผลผลิตสัตว์น้าที่จะขนส่งไปยังผู้บริโภคอยู่ในสภาพที่ดีและ
มคี ุณภาพสงู
2. การจดั การผลผลิตสตั วน์ า้
การจบั สตั ว์น้าเพอื่ จ้าหนา่ ยต้องมกี ารเตรียมการและจัดการผลผลิต เพื่อให้สัตว์น้าปลอดภัย มีอัตรา
การรอดตายสงู วธิ กี ารจับสตั ว์น้ามดี งั นี้
2.1 การจบั สตั ว์น้าวัยอ่อน
2.1.1 การจับสตั ว์น้าวัยออ่ นระยะเปน็ ไข่
2.1.2 การจบั สตั วน์ ้าวยั อ่อนระยะลกู ไร
2.1.3 การจบั สัตวน์ า้ วยั อ่อนระยะปลานว้ิ
2.2 การจับสัตวน์ า้ ขนาดใหญ่
2.2.1 การจบั ปลา
1) การจับปลาในบอ่ ดิน มี 2 วธิ ี คือ
(1) การจบั ปลาแบบไม่สบู บอ่ แห้ง วธิ ีนจ้ี ะใชอ้ วนตาหา่ งจับปลา เพราะจะได้ปลา
ทมี่ ขี นาดใหญต่ ามต้องการ
(2) การจบั ปลาแบบวิดบ่อแหง้
2) การจบั ปลาที่เล้ียงในกระชัง จะใช้ไม้สอดใต้กระชังและรูดไปด้านใดด้านหน่ึงให้
ปลาอยรู่ วมกัน แลว้ ใช้สวงิ ขนาดใหญ่ตกั ปลาใสต่ ะกรา้ น้าไปช่งั น้าหนกั
71
แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 7
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์ สอนครงั้ ท่ี 13-14
น้าเพือ่ จ้าหนา่ ย (ต่อ) ชัว่ โมงรวม 56
จา้ นวนชว่ั โมง 8
2.2.2 การจับกุ้ง
1) การจบั กงุ้ กา้ มกราม ควรลดระดับนา้ ในบอ่ เหลือประมาณ 50 เซนติเมตร ใช้อวน
ลากขนาดช่องตา 4 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งขนาดเล็กลอดออกได้และลดการบอบช้า การจับกุ้งนิยมท้า
ในช่วงเช้าเพราะอากาศไมร่ อ้ น
2) การจับกงุ้ กุลาดา้ มีข้อควรปฏิบตั ิดังนี้
(1) ตอ้ งจบั กงุ้ หลงั จากลอกคราบแล้ว 2-3 วัน กุง้ จะเปลือกแขง็
(2) การจบั ควรใชอ้ วนเปลหรืออวนถงุ รองรบั ท่ดี า้ นหลงั ของประตูน้าบ่อกงุ้
(3) จับโดยใชอ้ วนลากไฟฟา้ หลายๆ ครง้ั
(4) จบั โดยการหวา่ นแห เหมาะสา้ หรับจบั ก้งุ ขายคร้ังละไม่มาก
(5) วธิ ีการรักษาคุณภาพก้งุ
- ก่อนการจับกุ้งควรดูแลและควบคุมคุณภาพกุ้งให้แข็งแรง งดการใช้ยา
หรืออาหารเสริมทีม่ ยี าผสมกอ่ นการขายอยา่ งนอ้ ย 15 วนั
- ระหวา่ งการจบั กุ้งตอ้ งเตรียมแรงงาน วสั ดอุ ปุ กรณใ์ ห้พร้อม เช่น ถังแช่กุ้ง
ตะกรา้ พลาสติก ส้าหรบั ล้าเลียงกุ้ง น้าจดื และน้าแขง็ ส้าหรบั แชก่ ุ้ง
- หลังจากจับกุ้งควรน้ากุ้งไปใส่ในถังท่ีมีน้าเย็นจัดทันทีประมาณ 10 นาที
เพอื่ น็อกกุ้ง แตไ่ มค่ วรเกนิ 30 นาที
- หลงั จากนัน้ นา้ กุ้งไปคัดขนาดเพ่อื ประเมนิ ราคา จากนน้ั จะต้องลา้ งกุ้งด้วย
นา้ เย็นจดั อีกครง้ั หนงึ่ กอ่ นจะนา้ ลงถังแชเ่ ยน็ เพื่อส่งหอ้ งเยน็
- การขนส่งเพอ่ื ไปแปรรูปจะตอ้ งรักษาอุณหภูมิใหเ้ ยน็ จดั ตลอดเวลา
2.2.3 การจบั ปู จะท้าในช่วงน้าขึ้นน้าลง โดยมีวธิ กี ารดงั นี้
1) ระบายน้าออกจนเกือบหมดแล้วเปิดให้น้าใหม่เข้าบ่อในช่วงน้าข้ึน เมื่อปูมาเล่น
น้าใหม่ท่ปี ระตูจงึ ใชส้ วิงด้ามยาวตัก
2) ใชถ้ งุ อวนจบั ขณะเปิดน้าออกจากบ่อ
3) ใชต้ ะขอเกยี่ วปใู นรูบรเิ วณคันบ่อ
4) สบู น้าออกจากบ่อใหแ้ ห้งแลว้ ใช้คราดและสวงิ จบั ปู
เมือ่ จับปูได้แลว้ ให้คัดแยกประเภทของปวู า่ เป็นปไู ขห่ รือปูเนือ้ หลังจากน้นั คัดขนาดของปู
72
แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์ สอนคร้งั ท่ี 13-14
นา้ เพ่ือจา้ หนา่ ย (ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 56
จ้านวนช่วั โมง 8
เพื่อจ้าหนา่ ยส้าหรบั ปูทย่ี ังไมไ่ ด้คุณภาพให้ปลอ่ ยเลยี้ งต่อไป
3. การเตรยี มการก่อนลาเลยี งสัตวน์ า้
เมอื่ การอนบุ าลหรอื การเลยี้ งสิน้ สดุ การจับสัตว์นา้ จึงมีความจา้ เป็นเพ่อื การขนยา้ ยหรือจ้าหน่าย
3.1 สตั ว์น้าวัยออ่ น การล้าเลียงสตั วน์ า้ วยั ออ่ นโดยเฉพาะปลาตอ้ งทา้ ดว้ ยความระมัดระวงั
3.1.1 การพักปลาหลังจากการจับและรวบรวมลูกปลา ควรพักปลาในอวนมุ้งหรือบ่อ
คอนกรีตอยา่ งนอ้ ย 12 ชัว่ โมง และงดการใหอ้ าหารเพื่อลดการขบั ถา่ ยของเสยี ขณะล้าเลียง ก้าจัดโรคและ
พยาธิโดยใช้สวงิ ชอ้ นสตั ว์นา้ นา้ มาจมุ่ ลงในยาเหลืองท่มี คี วามเข้มข้น 10 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลติ ร
3.1.2 การนับจานวนลูกปลา
1) วธิ ีการนบั โดยตรง
2) วธิ ีการชงั่ เทยี บนา้ หนกั
3) วธิ กี ารตวง
4) วธิ ีเทยี บความหนาแน่น
3.1.3 คุณสมบัติของนา น้าที่ใช้ในการล้าเลียงต้องสะอาดและมีคุณสมบัติเหมาะสม ควร
เป็นน้าที่มาจากแหล่งเดยี วกบั ท่ใี ช้พกั สัตว์นา้
3.1.4 อัตราความหนาแน่นท่ีบรรจุ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลโดยตรงต่อคุณภาพน้าใน
ภาชนะลา้ เลยี ง การบรรจปุ ลาท่ีหนาแน่นเกินไปจะท้าให้ปลาเหน่ือยอ่อน กล้ามเนื้อท้างานมาก ประกอบ
กับมีของเสียท่ีขับออกมามาก ท้าให้สัตว์น้าเครียด อัตราส่วนของลูกปลาต่อน้าท่ีบรรจุไม่ควรเกิน 1 : 3
สว่ นปลาขนาดใหญ่อัตราส่วน 1 : 2-1 : 3
3.1.5 การอดั ออกซเิ จน ก่อนอัดออกซเิ จนลงในถุงปลาควรไล่อากาศภายในถงุ ออกกอ่ นโดย
การรวบปากถุงหลวมๆ แล้วกดปากถุงลงไปให้สัมผัสกับผิวน้าภายในถุง อัดออกซิเจนลงถุงประมาณ 1/4
ของถุงบรรจุ
3.1.6 อณุ หภมู ิของนา ควรควบคมุ อุณหภูมขิ องน้าระหว่างการขนส่งให้อยู่ในระดับต่้าและ
คงที่ประมาณ 20-27 องศาเซลเซียส จะช่วยลดกระบวนการเมแทบอลิซึมของสัตว์น้าและไม่ควรลด
อณุ หภูมติ า้่ จากเดมิ 5 องศาเซลเซียส ภายใน 1 ชัว่ โมง
3.2 สตั ว์นา้ ขนาดใหญ่ การเตรยี มการก่อนลา้ เลียง มหี ลกั ปฏิบตั ิดงั นี้
3.2.1 หลงั จากการจบั และรวบรวมสตั วน์ ้าควรพกั ปลาในอวนมุ้งหรือบอ่ คอนกรตี พกั ไว้
73
แผนการจัดการเรยี นร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์ สอนคร้ังท่ี 13-14
น้าเพอื่ จ้าหนา่ ย (ตอ่ ) ช่ัวโมงรวม 56
จา้ นวนชั่วโมง 8
ประมาณ 2-3 ช่ัวโมง โดยให้น้าสะอาดไหลผ่านเพ่ือขจัดดินหรือโคลนที่ติดอยู่ตามเหงือก
และตามล้าตัวของ สัตว์นา้
3.2.2 ควรงดใหอ้ าหารสตั ว์น้ากอ่ นการขนสง่ 1-2 วนั
3.2.3 การขนยา้ ยสตั ว์น้าควรท้าดว้ ยความระมดั ระวัง
4. การคดั ขนาดสตั ว์น้า
การคัดขนาดสัตว์น้าท้าใหไ้ ดข้ นาดของสตั ว์น้าสมา้่ เสมอ ซึ่งมีวิธีการดงั ต่อไปนี้
4.1 การคัดขนาดสัตว์น้าวัยอ่อน อุปกรณ์ท่ีใช้คัดขนาดสัตว์น้าวัยอ่อนนิยมใช้ตะกร้าพลาสติก
ทรงกลมเจาะรูขนาดต่างๆ ข้นึ อยู่กับขนาดของลกู ปลาทีต่ ้องการคัด ขนาดของรูมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่
0.3, 0.6, 0.9, 1.2 และ 1.5 เซนตเิ มตร หรือใชต้ ะแกรงสา้ หรับคัดขนาดสตั ว์น้า
4.2 การคดั ขนาดสตั ว์น้าขนาดใหญ่
4.2.1 การคัดขนาดปลา ใช้วธิ ีคาดคะเนดว้ ยสายตา
4.2.2 การคัดขนาดกุ้ง ใช้วิธีคัดโดยการช่ังน้าหนักโดยก้าหนดราคากุ้งตามขนาดน้าหนัก
ของกงุ้
5. การขนส่งสตั วน์ ้า
การขนส่งสัตว์น้าเป็นขั้นตอนสุดท้ายท่ีส้าคัญก่อนน้าไปสู่ผู้บริโภคหรือจ้าหน่าย การขนส่งสัตว์น้า
แบง่ ได้ 2 วธิ ี ดังนี้
5.1 การขนส่งสัตวน์ ้าไมม่ ชี ีวติ
5.2 การขนสง่ สตั วน์ ้ามีชวี ติ
5.2.1 ระบบเปิด (Open System)
5.2.2 ระบบปิด (Closed System)
6. ข้อควรคานงึ ในการขนส่งสัตวน์ า้ มชี วี ติ
การขนส่งสัตว์น้ามชี ีวิตตอ้ งคา้ นึงถงึ ปจั จัยหลายอยา่ ง ดังนี้
6.1 ชนิดของสัตวน์ ้า
6.2 อายุและขนาดของสัตว์น้า
6.3 ช่วงเวลาของการขนสง่
74
6.4 ระยะเวลาในการขนส่ง
แผนการจดั การเรียนรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 7
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์ สอนครง้ั ที่ 13-14
นา้ เพอื่ จา้ หน่าย (ตอ่ ) ช่วั โมงรวม 56
จา้ นวนช่ัวโมง 8
6.5 คณุ ภาพน้า
6.6 สขุ ภาพของสัตว์น้า
6.7 การอดอาหารของสัตว์นา้
6.8 ภาชนะบรรจุสัตว์นา้
7. การเปลี่ยนแปลงท่ีเกดิ ข้นึ ระหวา่ งการลาเลียงสตั วน์ ้า
การล้าเลียงสัตว์นา้ นับเปน็ ขนั้ ตอนที่ส้าคญั มาก หากล้าเลียงไม่ถูกวิธจี ะท้าให้สัตวน์ ้าบอบช้า อ่อนแอ
หรือตายได้ เพราะระหวา่ งการลา้ เลียงนน้ั มกี ารเปลีย่ นแปลงทัง้ คณุ ภาพน้าและสรรี ะของปลา
8. สารเคมที ีใ่ ชใ้ นการลาเลียงสตั วน์ า้
ยาและสารเคมีหลายชนิดท่ีนิยมใส่ลงไปในน้าที่ใช้ในการขนส่งเพ่ือลดความเครียดและเพิ่มอัตรารอด
ของปลา ได้แก่
8.1 เกลอื แกง
8.2 ยาสลบ
8.3 พีเอชบฟั เฟอร์
สรปุ
การจดั การผลผลิตเพอื่ ให้ผลผลติ ทีจ่ ะขนส่งไปยังผู้บริโภคอยู่ในสภาพท่ีดีและมีคุณภาพสูง วิธีการที่
จะช่วยให้การจับและล้าเลียงสัตว์น้าวัยอ่อนมีประสิทธิภาพ คือ การจับสัตว์น้าวัยอ่อนควรท้าในช่วงเช้า
ก่อนที่จะมีแดดจัด การลากอวนไม่ควรลากเกิน 2 ครั้ง เพราะจะรบกวนสัตว์น้ามากเกินไป สัตว์น้าท่ี
รวบรวมได้ให้นา้ ไปปลอ่ ยในบอ่ พกั สตั วน์ ้าเพื่อรอการบรรจุล้าเลยี งขนสง่ ขณะทล่ี า้ เลียงควบคุมอุณหภูมิให้
อยู่ในระดับคอ่ นขา้ งตา่้ และคงท่ี ล้าเลยี งในช่วงทอ่ี ากาศไม่รอ้ น สว่ นสัตวน์ ้าขนาดใหญ่ กอ่ นที่สัตว์น้าจะถูก
ล้าเลียงจา้ เป็นอยา่ งย่ิง ทจ่ี ะต้องใหส้ ัตวน์ ้าอดอาหารอย่างน้อย 24 ชวั่ โมง คดั ขนาดสตั ว์น้าให้มีขนาด
เดียวกันหรอื ใกล้เคยี งกัน ล้าเลยี งขนสง่ ในภาชนะล้าเลยี งเดียวกนั น้ันเพราะสตั ว์นา้ ทอ่ี ดอาหารนั้นจะดุร้าย
ชอบท้ารา้ ยตัวที่เลก็ กวา่ และออ่ นแอกว่า และการคัดขนาดยังท้าให้ราคาสัตว์น้าสูงข้ึนด้วย รักษาคุณภาพ
สตั ว์น้าให้มีคุณภาพดี สด ไม่มกี ลิ่น เหม็นคาว หลกี เลยี่ งการทับซ้อนกันมากเกินไป เพราะสัตว์น้าที่
อยดู่ า้ นลา่ งจะช้า เกิดการฉีกขาดของเน้อื เยอื่ ท้าใหเ้ ส่อื มเสียไดเ้ ร็วและแพร่ไปถงึ ตัวสัตว์นา้ อ่ืนๆ
75
5. กจิ กรรมการเรียนการสอน
แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์ สอนครง้ั ที่ 13-14
นา้ เพอ่ื จา้ หนา่ ย (ต่อ) ช่ัวโมงรวม 56
จ้านวนชว่ั โมง 8
5.1 การนาเขา้ สู่บทเรียน
ขั้นสนใจ (Motivation)
- ผสู้ อนอธบิ ายและสาธติ การจัดการผลผลติ จากการเพาะเลีย้ งสตั วน์ า้ เพื่อจ้าหน่าย
5.2 การเรียนรู้
ขน้ั ศึกษาขอ้ มลู (Information)
1. ใหผ้ ้เู รียนศกึ ษาเรื่องการจัดการผลผลติ จากการเพาะเล้ียงสตั ว์น้าเพื่อจ้าหน่ายจากหนังสือเรียน
ดงั นี้
1.1 การจดั การผลผลิตสัตว์น้า
1.2 การเตรียมการก่อนลา้ เลียงสัตวน์ ้า
1.3 การคดั ขนาดสตั ว์น้า
1.4 การขนสง่ สัตวน์ ้า
1.5 ข้อควรค้านงึ ในการขนส่งสัตวน์ า้ มชี ีวติ
1.6 การเปล่ียนแปลงที่เกิดขึน้ ระหวา่ งการล้าเลยี งสตั ว์น้า
1.7 สารเคมีทีใ่ ช้ในการลา้ เลียงสตั วน์ ้า
2. ผูส้ อนและผูเ้ รยี นร่วมกันอภปิ รายถงึ เป้าหมายของการจัดการผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์น้า
เพื่อจ้าหน่าย จากนน้ั ส่มุ ผูเ้ รียนจ้านวน 5-6 คน ออกมาอธบิ ายใหเ้ พ่ือนฟงั หน้าชั้นเรยี น
3. ผู้สอนและผเู้ รยี นรว่ มกันสรุป
(กิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชีพ)
ขั้นพยายาม (Application)
1. ผู้สอนและผูเ้ รยี นร่วมกันสรุปเนอื้ หาตามจดุ ประสงคข์ องการเรียน
2. ผู้เรยี นทา้ กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจและใบงาน
3. ผ้เู รยี นทา้ แบบทดสอบเพอ่ื ประเมนิ ผลหลงั การเรียนรู้
5.3 การสรุป
ข้ันสาเร็จผล (Progress)
76
1. ผู้สอนพจิ ารณาใหค้ ะแนนการปฏบิ ัติงาน
2. ผู้สอนพจิ ารณาใหค้ ะแนนคณุ ลักษณะอันพึงประสงคเ์ ปน็ รายบคุ คล
แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเล้ียงสัตว์ สอนคร้งั ท่ี 13-14
น้าเพอื่ จา้ หน่าย (ตอ่ ) ชัว่ โมงรวม 56
จา้ นวนชัว่ โมง 8
6. สอื่ การเรียนร/ู้ แหลง่ การเรียนรู้
6.1 สือ่ ส่งิ พิมพ์
6.1.1 หนงั สือเรียนวชิ าหลักการเพาะเลี้ยงสัตวน์ า้
6.1.2 ใบงาน เรอ่ื ง การจัดการผลผลติ จากการเพาะเลีย้ งสตั วน์ ้าเพอื่ จ้าหน่าย
6.1.3 แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงาน
6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 สื่อโสตทศั น์
6.2.1 เคร่อื งคอมพวิ เตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 ส่ืออิเลก็ ทรอนกิ สช์ ่วยสอน
6.3 หนุ่ จาลองหรอื ของจริง (ถา้ มี)
-
6.4 อนื่ ๆ (ถ้ามี)
- หอ้ งเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้
7.1 แบบประเมินผลการปฏิบตั งิ าน
7.2 แบบประเมนิ ตนเอง
8. การบูรณาการ/ความสัมพนั ธก์ ับวชิ าอื่น
8.1 บูรณาการร่วมกับวชิ าลกู เสอื มีกจิ นสิ ัย มรี ะเบียบ ละเอียดรอบคอบ และมีเจตคตทิ ด่ี ตี ่อวชิ าชีพ
8.2 บูรณาการร่วมกับวิชาหน้าท่พี ลเมอื งและศีลธรรมเก่ยี วกบั การวางแผนการท้างานตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพยี ง
77
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์ สอนคร้งั ที่ 13-14
น้าเพ่ือจ้าหน่าย (ตอ่ ) ชั่วโมงรวม 56
จา้ นวนชั่วโมง 8
9. การวดั และประเมนิ ผล
9.1 ก่อนเรียน
- การอธิบายและสาธิตประกอบส่อื
9.2 ขณะเรยี น
9.2.1 ปฏบิ ตั งิ านตามกจิ กรรมตามสมรรถนะวชิ าชีพ
9.2.2 การน้าเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการผลผลิตสัตว์น้า การเตรียมการก่อนล้าเลียงสัตว์น้า
การคดั ขนาดสตั ว์น้า การขนสง่ สัตวน์ ้า ข้อควรคา้ นงึ ในการขนส่งสัตวน์ ้า การเปลย่ี นแปลงท่ีเกิดขึ้นระหว่าง
การล้าเลียงสัตวน์ ้า และสารเคมีท่ใี ชใ้ นการลา้ เลียงสัตว์น้า
9.3 หลังเรียน
9.3.1 ทา้ กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ท้าแบบทดสอบเพือ่ ประเมินผลหลังการเรียนรู้
10. บนั ทกึ หลังสอน
10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.2 ผลการเรียนรู้ของนักเรียน นกั ศกึ ษา
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
78
แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 7
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การจัดการผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์ สอนคร้งั ท่ี 13-14
น้าเพอื่ จา้ หนา่ ย (ตอ่ ) ชวั่ โมงรวม 56
จา้ นวนชว่ั โมง 8
10.3 แนวทางการพฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอน
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
79
แผนการจดั การเรียนร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 8
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ การบันทึกขอ้ มูลปฏิบัติงาน สอนครั้งที่ 15
ชวั่ โมงรวม 60
จานวนชั่วโมง 4
1. สาระสาคัญ
การบันทกึ ข้อมูลกิจการงานฟาร์มสัตว์นา้ ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป การจัดเล้ียง การให้อาหาร การตรวจ
สุขภาพ การใช้ยาและสารเคมี การจดั จาหน่ายและการตลาด การจดบันทึกข้อมูลท่ีเป็นแบบแผนจะทาให้
สะดวกและง่ายตอ่ ความเขา้ ใจ และการบนั ทึกข้อมูลท่ีเป็นปัจจุบันยังสามารถนาข้อมูลที่จดบันทึกไว้มาใช้
ประโยชน์ช่วยประกอบในการตัดสินใจ แก้ปัญหา และปรับแผนการดาเนินงานให้บรรลุตามเป้าหมายที่
ต้องการโดยเฉพาะข้อมูลการเล้ียงสัตว์น้ามีความสาคัญมากต่อการจัดการฟาร์มสามารถนาไปใช้ในการ
ประเมนิ ผลผลิตและวางแผนการจาหน่ายได้
2. สมรรถนะประจาหน่วย
- แสดงความรเู้ กี่ยวกบั การบันทกึ ข้อมูลปฏบิ ัตงิ าน
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้
3.1.1 บอกความสาคัญของการบนั ทกึ ขอ้ มูลได้
3.1.2 บอกขอ้ มูลงานฟาร์มสัตว์นา้ ทคี่ วรบนั ทึกได้
3.1.3 แสดงรูปแบบการบันทึกขอ้ มลู งานฟารม์ ได้
3.1.4 อธิบายการประเมนิ การเจรญิ เติบโตและอัตราการรอดของสตั ว์น้าได้
3.1.5 อธบิ ายวิธกี ารประเมินผลผลติ สัตว์น้าได้
3.1.6 บอกวิธกี ารเพ่ิมผลผลติ สตั ว์นา้ ได้
3.2 ดา้ นทักษะ
3.2.1 บนั ทกึ ขอ้ มูลปฏบิ ตั งิ านได้ถกู ตอ้ งตามหลกั การ
3.2.2 เขยี นสูตรการประเมินการเจรญิ เติบโตและอตั ราการรอดของสตั วน์ า้ ได้
3.2.3 เขียนสตู รการประเมินผลผลติ สตั ว์น้าได้
3.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์
80
แผนการจัดการเรียนรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 8
ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ การบันทกึ ข้อมลู ปฏิบตั งิ าน (ต่อ) สอนครั้งท่ี 15
ชัว่ โมงรวม 60
จานวนชวั่ โมง 4
3.3.1 เห็นความสาคญั ของการบันทกึ ข้อมูลปฏบิ ัตงิ าน
3.3.2 มีเจตคตทิ ีด่ ตี อ่ งานอาชพี เพาะเลี้ยงสตั วน์ ้า
3.3.3 มคี วามขยนั หม่นั เพียร
3.3.4 มีความอดทน
3.3.5 มคี วามรับผดิ ชอบ
4. เนอื้ หาสาระการเรียนรู้
1. ความสาคญั ของการบนั ทึกข้อมลู
การบันทกึ ข้อมลู นบั ว่ามีความสาคัญเพราะทาให้ทราบต้นทุนการผลิต ทราบเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นใน
ช่วงเวลาของการเพาะเล้ียงสัตว์น้า เช่น ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองโรคพยาธิ การตลาด
สภาพแวดลอ้ ม และยงั เป็นขอ้ มูลในการวางแผนปรับปรุงกจิ การฟารม์ เพาะเลย้ี งสัตว์นา้ ในอนาคต
2. ขอ้ มูลงานฟารม์ สตั วน์ ้าที่ควรบันทกึ
ข้อมูลงานฟาร์มสัตว์น้า ได้แก่ ข้อมูลสถานท่ีต้ังฟาร์ม พ้ืนท่ี จานวนบุคลากร และแรงงาน ข้อมูล
เก่ียวกับการผลิต ข้อมูลต้นทุนการผลิต ข้อมูลเก่ียวกับการตลาด ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคท่ีเกิดข้ึน
ระหว่าง การปฏิบัติงานเพอ่ื นาไปใชใ้ นการแกไ้ ขและวางแผนป้องกันต่อไป
3. รปู แบบการบันทึกขอ้ มูลงานฟารม์
รูปแบบการบันทึกข้อมูลงานฟาร์มผู้ประกอบการต้องประยุกต์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับ
การดาเนนิ งานฟาร์มของตนเอง เชน่ ฟาร์มเพาะพันธส์ุ ัตว์นา้ ฟาร์มเล้ียงสตั ว์น้า เปน็ ต้น
4. การประเมินการเจรญิ เตบิ โตและอัตราการรอดของสตั ว์นา้
4.1 ปัจจัยท่เี กี่ยวข้องกบั การเจรญิ เติบโตและอัตราการรอดของสตั วน์ ้า
4.1.1 ปัจจัยภายใน ได้แก่ พันธุกรรม ซ่ึงสัตว์น้าชนิดเดียวกันมีอัตราการเจริญเติบโต
ความสามารถในการใช้อาหาร ความต้านทานโรค ความอดทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและ
ปริมาณออกซิเจนทีล่ ะลายในน้าแตกตา่ งกัน
4.1.2 ปจั จยั ภายนอก ไดแ้ ก่ สภาวะแวดลอ้ ม อุณหภูมิ ปรมิ าณออกซเิ จนทีล่ ะลายในน้า แร่
ธาตุและสารอาหารจะมีบทบาทควบคมุ หรอื เร่งการเจรญิ เตบิ โตและผลผลติ ของสัตวน์ า้
4.2 สูตรการประเมนิ การเจริญเติบโตและอัตราการรอดของสตั วน์ า้
การประเมินการเจริญเติบโตของสตั วน์ า้ สามารถประเมนิ ได้จากการชัง่ น้าหนกั หรือวดั ความยาว
แผนการจดั การเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ 81
ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ การบันทึกขอ้ มลู ปฏิบัติงาน (ต่อ) หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 8
สอนครั้งท่ี 15
และควรเก็บขอ้ มลู เป็นระยะอย่างต่อเน่ือง คานวณไดจ้ ากสตู รต่างๆ ต่อไปน้ี ชว่ั โมงรวม 60
4.2.1 น้าหนักเฉลี่ย (Weight Average: WA) จานวนชั่วโมง 4
4.2.2 น้าหนกั เพม่ิ (Weight Gain: WG)
4.2.3 น้าหนักเพิม่ ต่อวัน (Average Diary Growth: ADG)
4.2.4 ความยาวเฉลยี่ (Length Average)
4.2.5 อัตราการรอดตาย (Survival Rate)
5. การประเมินผลผลติ สัตวน์ ้า
การทาฟาร์มเพาะเลีย้ งสัตวน์ า้ เชิงพาณชิ ยจ์ าเป็นต้องมีการประเมินผลผลิตสัตว์น้าเพื่อวางแผนการ
ผลิตสตั ว์น้าใหไ้ ด้ตามเปา้ หมายทีก่ าหนด ซึ่งคานวณได้จากสตู รดงั น้ี
6. การเพม่ิ ผลผลติ สตั ว์น้า
บ่อเลีย้ งสัตว์น้าแต่ละบ่อมีศกั ยภาพในการให้ผลผลิตแตกต่างกัน บางบ่อมีศักยภาพในการผลิตตาม
ธรรมชาติ แต่ไมส่ ามารถใหผ้ ลผลิตไดเ้ ต็มทเี่ นอื่ งจากคุณภาพน้าไม่เหมาะสม ซ่ึงมีแนวทางการเพ่ิมผลผลิต
สัตว์นา้ ดังนี้
82
แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 8
ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ การบนั ทกึ ข้อมูลปฏิบตั ิงาน (ต่อ) สอนครง้ั ที่ 15
ชว่ั โมงรวม 60
จานวนชว่ั โมง 4
6.1 ใส่ปนู ขาวเพือ่ ปรับสภาพดินและนา้
6.2 ใสป่ ุ๋ยเพื่อเพิ่มอาหารธรรมชาติ
6.3 ใหอ้ าหารเสรมิ
6.4 เพิ่มอตั ราการปล่อย
6.5 การเพิม่ อตั ราการรอดตาย
สรุป
การบนั ทึกข้อมูลงานฟาร์มสตั วน์ า้ นับว่ามคี วามสาคัญมาก เพราะทาใหท้ ราบต้นทุนการผลิต ปัญหา
และอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ด้านการตลาด โรคพยาธิ ปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อม และยัง
ประเมนิ การเจรญิ เตบิ โต อตั ราการรอด และประเมนิ ผลผลิตสัตวน์ า้ เพือ่ วางแผนการผลิตสตั ว์น้าให้ได้ตาม
เปา้ หมายท่ีกาหนด การบนั ทกึ ข้อมลู งานฟาร์มควรบนั ทึกให้ละเอียดและต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีถูกต้อง
นาไปพฒั นาเพ่มิ ผลผลติ วางแผนปรบั ปรงุ ฟาร์มเพาะเลีย้ งสัตว์นา้ ต่อไป
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
5.1 การนาเข้าสู่บทเรียน
ข้ันสนใจ (Motivation)
- ผสู้ อนอธิบายและสาธติ การบนั ทกึ ข้อมูลปฏิบตั ิงาน
5.2 การเรยี นรู้
ข้นั ศกึ ษาข้อมูล (Information)
1. ให้ผเู้ รียนแบ่งกลุ่มไปค้นคว้าข้อมูลเร่ืองการบันทึกข้อมูลปฏิบัติงานจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
เชน่ อินเทอร์เนต็ ระดมสมองวิเคราะหข์ อ้ มลู และบนั ทกึ ลงในสมดุ ส่ง
2. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ ส่งตัวแทนออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชน้ั เรยี น
3. ให้ผู้เรียนทุกกลุ่มร่วมกันสรุปรูปแบบการบันทึกข้อมูลการปฏิบัติงานที่เหมาะสมสาหรับใช้ใน
กจิ การงานฟารม์ ลงในสมดุ
(กิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชีพ)
ข้ันพยายาม (Application)
1. ผู้สอนและผู้เรียนรว่ มกันสรปุ เน้ือหาตามจดุ ประสงค์ของการเรยี น
83
แผนการจัดการเรยี นรูม้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 8
สอนคร้ังที่ 15
ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ การบนั ทกึ ขอ้ มูลปฏิบัตงิ าน (ต่อ) ชัว่ โมงรวม 60
จานวนชัว่ โมง 4
2. ผูเ้ รียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
3. ผูเ้ รยี นทาแบบทดสอบเพอื่ ประเมินผลหลงั การเรียนรู้
5.3 การสรุป
ขั้นสาเร็จผล (Progress)
1. ผูส้ อนพิจารณาให้คะแนนการปฏบิ ัตงิ าน
2. ผ้สู อนพิจารณาให้คะแนนคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคเ์ ป็นรายบุคคล
6. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหล่งการเรยี นรู้
6.1 สื่อส่ิงพิมพ์
6.1.1 หนงั สอื เรียนวิชาหลักการเพาะเลีย้ งสัตว์นา้
6.1.2 ใบงาน เร่ือง การบันทกึ ข้อมูลปฏิบัติงาน
6.1.3 แบบประเมินผลการปฏบิ ัตงิ าน
6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 ส่ือโสตทัศน์
6.2.1 เครอื่ งคอมพิวเตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 สอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ชว่ ยสอน
6.3 หนุ่ จาลองหรือของจริง (ถ้ามี)
-
6.4 อน่ื ๆ (ถ้ามี)
- หอ้ งเรียนรดู้ ้วยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจัดการเรยี นรู้
7.1 แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ าน
84
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 8
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การบันทกึ ขอ้ มลู ปฏบิ ัตงิ าน (ต่อ) สอนครง้ั ที่ 15
ชว่ั โมงรวม 60
จานวนชว่ั โมง 4
7.2 แบบประเมนิ ตนเอง
8. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กับวชิ าอ่นื
8.1 บรู ณาการร่วมกบั วชิ าลกู เสือ มีกิจนสิ ยั มรี ะเบียบ ละเอียดรอบคอบ และมีเจตคตทิ ่ดี ตี ่อวิชาชีพ
8.2 บรู ณาการรว่ มกับวชิ าคณติ ศาสตร์
9. การวัดและประเมนิ ผล
9.1 ก่อนเรยี น
- การอธิบายและสาธติ ประกอบส่อื
9.2 ขณะเรยี น
9.2.1 ปฏิบัตงิ านตามกิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชีพ
9.2.2 การนาเสนอเน้ือหาเกี่ยวกับการบันทึกข้อมูลปฏิบัติงานและรูปแบบการบันทึกข้อมูลการ
ปฏิบตั งิ านท่ีเหมาะสาหรับใช้ในกิจการงานฟารม์
9.3 หลังเรยี น
9.3.1 ทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ทาแบบทดสอบเพื่อประเมนิ ผลหลงั การเรียนรู้
10. บันทกึ หลังสอน
10.1 ผลการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
85
แผนการจัดการเรยี นรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8
ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ การบนั ทึกข้อมูลปฏบิ ตั ิงาน (ตอ่ ) สอนครั้งที่ 15
ชัว่ โมงรวม 60
จานวนช่วั โมง 4
10.2 ผลการเรยี นรู้ของนกั เรยี น นกั ศึกษา
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
10.3 แนวทางการพฒั นาคุณภาพการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
86
แผนการจัดการเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 9
ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ การตลาดและจาหน่ายผลผลติ สัตวน์ ้า สอนครัง้ ท่ี 16
ชวั่ โมงรวม 64
จานวนชว่ั โมง 4
1. สาระสาคัญ
ปัจจุบันโลกมีการเปล่ียนแปลงและพัฒนาอย่างมาก สามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกย่ิงขึ้น สินค้า
สัตว์น้ามีส่งจาหน่ายกันท่ัวโลก ดังน้ันจึงต้องศึกษาข้อมูลสถานการณ์เพาะเลี้ยงสัตว์น้าท้ังในประเทศ
อาเซียน และโลก เพื่อจะได้วางแผนจัดการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าให้เพียงพอต่อการบริโภคและใช้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด ในอดีตผู้ประกอบการมักคานึงถึงการผลิตมากกว่าการตลาดและมีการซื้อขายกันในวง
แคบเฉพาะในทอ้ งถน่ิ ปญั หาการตลาดจึงมนี ้อย ตอ่ มาประชากรมากขึน้ ทาให้ความต้องการบริโภคสัตว์น้า
เพิม่ ข้ึน มีการเคล่ือนย้ายสนิ ค้าและบรกิ ารจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค การเพาะสัตว์น้าหรือการประกอบ
ธุรกิจใดๆ ให้ประสบความสาเร็จจุดเร่ิมต้นที่ควรพิจารณาคือความต้องการของตลาดว่าตลาดมีความ
ตอ้ งการสตั ว์นา้ ชนดิ ใด ความต้องการนัน้ มีความตอ่ เน่อื งหรอื ไม่ ราคาทจ่ี าหน่ายในปัจจุบันเป็นราคา
ทีพ่ อใจหรือไม่ ดงั นนั้ ผ้ปู ระกอบการจงึ จาเป็นตอ้ งศึกษาขอ้ มูลเพ่อื วางแผนการผลิตและการตลาดให้สมดุล
กับความตอ้ งการของผู้บรโิ ภค
2. สมรรถนะประจาหน่วย
- แสดงความรู้เก่ยี วกบั การตลาดและจาหน่ายผลผลติ สตั ว์น้า
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้
3.1.1 บอกความหมายของการตลาดสตั วน์ ้าได้
3.1.2 อธิบายวิถกี ารตลาดสตั ว์นา้ ได้
3.1.3 อธิบายระบบการตลาดได้
3.1.4 บอกปจั จยั ท่ีมผี ลกระทบต่อส่วนเหลื่อมการตลาดได้
3.1.5 บอกกลยุทธก์ ารตลาดสัตว์น้าได้
3.1.6 บอกปจั จัยท่ีมผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงของอปุ สงค์และอุปทานได้
3.1.7 บอกความแตกต่างของตลาดแต่ละประเภทได้
3.1.8 บอกข้อดีของการวเิ คราะห์ตลาดสัตว์น้าได้
87
แผนการจัดการเรยี นร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรู้ที่ 9
สอนครัง้ ที่ 16
ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสัตวน์ า้ (ต่อ) ชว่ั โมงรวม 64
จานวนชวั่ โมง 4
3.2 ดา้ นทกั ษะ
3.2.1 นาเสนอการวเิ คราะห์อุปสงคแ์ ละอปุ ทานสตั วน์ ้าได้ถูกตอ้ ง
3.2.1 วิเคราะห์การตลาดสัตว์น้าได้
3.2.2 จาหนา่ ยสัตว์นา้ ได้
3.3 คุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์
3.3.1 เห็นความสาคัญของการตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสตั ว์นา้
3.3.2 มีเจตคติทีด่ ตี ่องานอาชพี เพาะเล้ยี งสตั วน์ ้า
3.3.3 มคี วามซื่อสตั ย์
3.3.4 มรี ะเบยี บวนิ ยั
3.3.5 มีความรับผิดชอบ
4. เนือ้ หาสาระการเรียนรู้
1. การตลาดสัตวน์ ้า
การตลาดสัตว์น้า หมายถึง การกระทากิจกรรมต่างๆ ในทางธุรกิจท่ีเก่ียวข้องกับการนาสินค้าสัตว์
น้าและบริการจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค โดยการซ้ือขายท่ีเกิดขึ้นน้ันมาจากความพึงพอใจที่จะซ้ือขาย
แลกเปล่ยี นระหว่างผู้ซ้ือและผขู้ าย
2. วิถีการตลาดสัตวน์ ้า
วิถีการตลาดสัตว์น้า หมายถึง ช่องทางการไหลหรือการกระจายสินค้าสัตว์น้าจากเกษตรกรผ่าน
ผทู้ าหนา้ ท่ที างการตลาดในระดบั ต่างๆ ไปยังผ้บู ริโภค จาแนกออกเป็น 2 ลกั ษณะ ดงั นี้
2.1 การตลาดพันธ์ุสัตว์นา้ ท่ีรวบรวมไดจ้ ากธรรมชาตโิ ดยชาวประมง
2.2 การตลาดพันธส์ุ ัตวน์ า้ ท่ีได้จากการเพาะเลย้ี ง
3. ระบบการตลาด
ระบบการตลาด (Marketing System) หมายถึง กิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ที่มีอยู่ มี
ความสัมพันธก์ นั หรือมีความเกีย่ วขอ้ งกนั ซ่งึ จะทาให้ทราบระบบการตงั้ ราคา การแข่งขนั การผกู ขาด
88
แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 9
สอนครง้ั ท่ี 16
ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสตั วน์ ้า (ตอ่ ) ชวั่ โมงรวม 64
จานวนชวั่ โมง 4
มีโสหุย้ การตลาดมากนอ้ ยเพียงใด เป็นต้น กระบวนการตลาดสินค้าเกษตรสามารถแบ่งเป็นกระบวนการ
ยอ่ ยๆ ได้ดังนี้
3.1 การรวบรวมผลผลิตหรอื วัตถุดบิ ทไ่ี ร่นาโดยองคก์ รท้องถนิ่ แล้วส่งไปยังศูนย์รวมของการขาย
สง่ ใกลผ้ ู้แปรรปู และผบู้ ริโภค
3.2 กิจกรรมต่างๆ ที่ทาให้ผลิตผลพร้อมสาหรับผู้บริโภคจะบริโภคได้ตลอดปี เพราะผลิตผล
บางอย่างผลติ ได้ตามฤดูกาล แต่ผูบ้ ริโภคตอ้ งการตลอดปี ฉะนนั้ ผ้ผู ลิต ผูข้ ายส่ง และผู้ขายปลีกจะต้องเก็บ
รักษาสินคา้ เพ่ือให้พรอ้ มสาหรับความต้องการของผู้บริโภค การจาแนกแจกจา่ ยสนิ ค้าที่รวบรวมเป็นหน่วย
ใหญไ่ ปยังผบู้ ริโภคต่างๆ (Dispersion) สนิ ค้าจะเดินทางไปตามวิถีการตลาด ผ่านผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึง
มือผู้บรโิ ภค โดยองคก์ รตลาดหรือธุรกิจทาหน้าท่เี ปน็ ผู้รวบรวมปจั จัยการผลิตนามาผลิตสินค้าและบริการ
ออกจาหน่ายให้แก่ผู้บริโภค และตลาด หรือผู้บริโภคทาหน้าท่ีเป็นผู้บริโภคโดยการซื้อสินค้าและบริการ
จากองคก์ รตลาดหรือธุรกจิ
4. สว่ นเหลอ่ื มการตลาด
ส่วนเหลื่อมการตลาด หมายถึง ความแตกต่างระหว่างราคาที่ผู้บริโภคจ่ายกับราคาท่ีผู้ผลิตได้รับ
ซ่ึงเกิดข้ึนเนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้ค้าประเภทต่างๆ ทาไปเพื่อให้สินค้าอยู่ในรูปร่าง ลักษณะ สถานท่ี
และเวลาท่ีผู้บริโภคตอ้ งการ ค่าใชจ้ า่ ยทเ่ี กิดข้ึนจากกิจกรรมเหล่าน้เี รยี กวา่ ตน้ ทุนการตลาด
ปจั จัยทม่ี ีผลกระทบตอ่ สว่ นเหล่ือมการตลาด ได้แก่
4.1 ลักษณะของสินค้า ถ้าเป็นสินค้าประเภทเน่าเสียง่าย มีขนาดใหญ่ และห่างไกลแหล่ง
บริโภค จะมีส่วนเหลื่อมการตลาดสูง ทั้งน้ีเพราะต้องใช้บริการการตลาดเป็นพิเศษ เช่น การเก็บ
รกั ษา การขนส่ง และการบรรจหุ บี หอ่
4.2 การใหบ้ รกิ ารเก่ยี วกบั ตวั สินค้า สินค้าใดที่ตลาดได้ให้บริการกับตัวสินค้ามาก ส่วนเหล่ือม
การตลาดก็จะสูงกวา่ สนิ คา้ ทีต่ ลาดให้บรกิ ารน้อย
4.3 ลักษณะความต้องการของผู้บริโภค เช่น ผู้บริโภคต้องการสินค้าสาเร็จรูปหรือ
สะดวกสบายในการซื้อหาและบริโภคมาก ส่วนเหลอื่ มการตลาดมักจะสูง
4.4 ลกั ษณะโครงสร้างและการตั้งราคาในตลาด ตลาดท่มี ีการแข่งขนั ไม่สมบูรณ์หน่วยธุรกิจ
89
แผนการจัดการเรียนรูม้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 9
สอนคร้งั ที่ 16
ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสัตว์นา้ (ตอ่ ) ชัว่ โมงรวม 64
จานวนชว่ั โมง 4
ท่ีได้เปรียบอาจต้ังราคาสินค้าให้สูงกว่าหน่วยธุรกิจอ่ืนๆ ซึ่งอาจทาให้ส่วนเหลื่อมการตลาดสูง
กว่าตลาดอืน่ ๆ ได้
5. กลยุทธ์การตลาดสตั ว์นา้
กลยุทธก์ ารตลาดสตั ว์น้า มีดงั น้ี
5.1 ผลผลติ มีคณุ ภาพเป็นทย่ี อมรับของผซู้ ้ือและผ้บู รโิ ภค ผเู้ พาะเลี้ยงควรสารวจความพึงพอใจ
เกยี่ วกับคณุ ภาพสัตว์น้าในฟาร์มอยา่ งต่อเนือ่ ง เพอื่ ใหแ้ ข่งขนั กบั ผอู้ ่นื ได้
5.2 ราคา ผู้เพาะเล้ียงรายใดที่ผลิตสัตว์น้าในราคาต่าแต่มีคุณภาพดีจะเป็นการเพิ่มโอกาสใน
การจาหน่ายได้มาก การตัดสนิ ใจเพมิ่ และลดราคาจาหนา่ ยมีผลตอ่ การเพมิ่ หรอื ลดส่วนแบง่ การตลาดได้
5.3 สถานที่ ทาเลและที่ตง้ั ตอ้ งมีความเหมาะสม สะดวกต่อการซือ้ และจาหนา่ ยสัตวน์ า้
5.4 การสง่ เสริมการตลาด ไดแ้ ก่ การโฆษณา การสร้างภาพพจน์ที่ดี การสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี
กับ ผซู้ อื้ และเพมิ่ การบรกิ าร เช่น มีการบริการท่รี วดเรว็ มีผู้จาหนา่ ยประจา และการบริการส่งสินค้า
ถึงมอื ผู้ซ้ือ
5.5 มีใบรับรองมาตรฐานงานฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้าจากกรมประมงเพ่ือสร้างความน่าเช่ือถือ
ให้กับลูกคา้
6. อุปสงค์และอุปทานสตั วน์ ้า
ในทางเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์และอุปทานเป็นแบบจาลองพ้ืนฐานที่อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ซ้ือ
และผู้ขายสินค้าในตลาดที่มีการแข่งขัน โดยถือว่าอุปสงค์และอุปทานเป็นตัวแปรท่ีกาหนดปริมาณ และ
ราคาของสินคา้ ในตลาด
6.1 ความหมายของอุปสงค์
อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความต้องการของประชาชนที่จะซื้อสินค้าและบริการในราคาท่ี
กาหนดและมีความสามารถท่จี ะซอ้ื สนิ ค้าและบรกิ ารน้ันๆ ได้ อปุ สงคส์ ตั วน์ า้ หรือปริมาณความต้องการซ้ือ
สนิ คา้ สัตว์นา้ อาจมกี ารเปล่ียนแปลงซ่ึงเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ดงั น้ี
6.1.1 การเพ่ิมข้ึนของประชากร
6.1.2 รายได้
90
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 9
สอนครัง้ ที่ 16
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสัตว์น้า (ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 64
จานวนชว่ั โมง 4
6.1.3 การอพยพโยกยา้ ยถิ่นฐานจากสังคมชนบทเข้าสสู่ ังคมเมอื ง ทาให้ปริมาณการบริโภค
สัตว์น้าในเมอื งมีปริมาณสูง
6.1.4 รสนิยมในการบริโภคถือเป็นความพอใจเฉพาะบุคคลหรือสังคมในช่วงระยะเวลา
น้ันๆ
6.1.5 ราคาสินค้าทดแทน เช่น การที่เนอื้ หมมู รี าคาแพงประชาชนกจ็ ะหนั มาบริโภคสัตว์น้า
เพ่มิ ข้ึน
6.2 ความหมายของอปุ ทาน
อุปทาน (Supply) หมายถึง ปริมาณของสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตนาออกมาจาหน่ายในตลาด
ตามราคาทกี่ าหนด การเปลี่ยนแปลงของอปุ ทานสัตว์นา้ เป็นผลมาจากปจั จยั หลายประการ ดงั น้ี
6.2.1 ราคาสัตว์น้า ถ้าราคาสัตวน์ า้ สงู ขึ้น ผู้ประกอบการจะเลย้ี งสัตว์น้าเพ่มิ ขึ้น
6.2.2 ราคาต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะราคาอาหารสัตว์น้าท่ีสูงข้ึนจะทาให้ต้นทุนการผลิต
สงู ขึ้นผู้ประกอบการกจ็ ะเล้ียงสัตว์น้านอ้ ยลง
6.2.3 จานวนผูเ้ ลย้ี งหรอื ปริมาณการเลีย้ งเพม่ิ ขน้ึ อาจเป็นผ้เู ล้ียงสัตว์น้ารายใหม่หรือฟาร์ม
สตั ว์นา้ เดมิ ขยายกิจการฟาร์มกจ็ ะทาให้ปรมิ าณสัตวน์ ้าทีผ่ ลิตออกสู่ตลาดมากขนึ้
6.2.4 ปจั จยั ด้านโรคระบาด ถ้าระหว่างการเล้ียงไม่ว่าจะเป็นระยะเพาะฟัก ระยะอนุบาล
หรอื ระหว่างการเลี้ยง หากมีโรคระบาดเกดิ ข้นึ ทาใหส้ ตั ว์น้าตายกจ็ ะทาใหป้ ริมาณสัตว์น้าออกสู่ตลาดลดลง
6.2.5 ภัยธรรมชาติ เช่น น้าท่วม ภัยแล้ง มลพิษทางน้า และภัยธรรมชาติต่างๆ ล้วนมี
ผลกระทบตอ่ ปรมิ าณสตั วน์ า้ ท่ีจะออกสูต่ ลาดท้งั ส้นิ
7. โครงสร้างการตลาด
โครงสร้างตลาด หมายถึง ลกั ษณะองคก์ ร ไมว่ ่าจะเป็นกลมุ่ ผ้ซู ื้อ กลมุ่ ผู้ขาย หรือระหว่างหน่วยผลิต
ท่ี เข้าร่วมดาเนินในการตลาด โครงสร้างของตลาดแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ ตลาดแข่งขัน
สมบูรณ์ ตลาดผกู ขาด ตลาดผูข้ ายนอ้ ยราย และตลาดกงึ่ แข่งขนั ก่ึงผกู ขาด
จากปจั จัยท่ีเปน็ ตวั กาหนดโครงสรา้ งการตลาดสามารถแบ่งตลาดเป็น 4 ประเภท ดงั นี้
7.1 ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์ (Perfect Competition) มีโครงสร้างตลาดดงั น้ี
91
แผนการจดั การเรียนร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 9
สอนครงั้ ท่ี 16
ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลติ สตั วน์ า้ (ต่อ) ชว่ั โมงรวม 64
จานวนชัว่ โมง 4
7.1.1 มผี ซู้ ้ือผขู้ ายจานวนมาก สินค้าของผู้ขายหรือผู้ซ้ือแต่ละรายเป็นเพียงส่วนย่อยๆ ใน
ตลาดเทา่ นน้ั การเปล่ียนแปลงปรมิ าณการผลติ หรือปริมาณการซื้อไม่มีผลต่ออุปสงค์หรืออุปทานรวมของ
ตลาด
7.1.2 สนิ ค้าที่ซอ้ื ขายมีลกั ษณะเหมือนกันทุกประการ
7.1.3 สามารถเขา้ ออกอตุ สาหกรรมได้โดยเสรี
7.1.4 สามารถเคล่ือนยา้ ยปัจจยั การผลติ ได้โดยเสรี
7.1.5 ผ้ซู อ้ื ผูข้ ายมีความร้เู กยี่ วกับสภาพการณต์ ่างๆ เปน็ อยา่ งดี
7.2 ตลาดผูกขาด (Monopoly) เป็นตลาดที่มีลักษณะตรงข้ามกับตลาดที่มีการแข่งขันเสรี
มีโครงสรา้ งตลาดดงั น้ี
7.2.1 มีผู้ผลิตเพยี งรายเดียว
7.2.2 มผี ซู้ ้อื จานวนมาก ปริมาณอุปสงคจ์ ะข้ึนอยกู่ บั ราคาสนิ คา้
7.2.3 สนิ คา้ มลี กั ษณะแตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ทาใหไ้ มส่ ามารถหาสนิ คา้ อน่ื ทดแทนได้
7.2.4 มีอุปสรรคหรือข้อกีดขวาง ทาให้ผู้ผลิตไม่สามารถเข้ามาแข่งได้ ซ่ึงข้อกีดขวางต่างๆ
นัน้ อาจจะเกดิ จากสาเหตตุ า่ งๆ เช่น จะต้องไดร้ บั การยินยอมหรอื สัมปทานจากรฐั หรือจะต้องใช้เงินลงทุน
มาก ในการผลิตเพือ่ ให้เกิดการประหยัดต่อขนาด เปน็ ต้น
7.2.5 ปัจจัยการผลติ ไม่สามารถเคลือ่ นย้ายได้โดยเสรี
7.2.6 ขอ้ มูลข่าวสารไมส่ มบรู ณ์
7.3 ตลาดกงึ่ แข่งขนั กึง่ ผูกขาด (Monopolistic Competition) มีโครงสร้างตลาดดงั นี้
7.3.1 มีผซู้ ้ือขายจานวนมากคล้ายๆ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
7.3.2 สนิ คา้ มีความแตกต่างกันในสายตาผูบ้ ริโภค แต่สามารถใชท้ ดแทนกันไดบ้ ้าง
7.3.3 การเขา้ และออกจากการดาเนินการผลติ เป็นไปไดโ้ ดยเสรี
7.3.4 การเคลื่อนย้ายปัจจยั การผลติ เปน็ ไปได้งา่ ย
7.3.5 ข้อมูลขา่ วสารคอ่ นข้างสมบรู ณ์
7.4 ตลาดผขู้ ายน้อยราย (Oligopoly) เปน็ ตลาดแข่งขนั ไม่สมบูรณ์ท่ีอยู่ระหว่างตลาดผูกขาด
และตลาดก่งึ แขง่ ขันก่งึ ผูกขาด มีโครงสร้างตลาดดงั น้ี
92
แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 9
สอนคร้งั ที่ 16
ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสตั ว์นา้ (ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 64
จานวนชั่วโมง 4
7.4.1 มผี ้ผู ลิตหรอื ผู้ขายจานวนน้อย ผลติ สนิ ค้าในตลาดท่ีมผี ู้ขายจานวนมาก
7.4.2 สนิ คา้ ในตลาดมลี ักษณะเหมอื นกนั หรือมีความแตกต่างกันบ้างในทัศนะของผู้ซ้ือ ถ้า
เป็นสินคา้ ที่เหมอื นกันทุกประการผู้ซ้อื มกั ให้ความสาคัญต่อราคาขายโดยไม่คานึงถึงว่าใครเป็นผู้ผลิตหรือ
ผู้ขาย
7.4.3 การเขา้ ออกจากตลาดในทางทฤษฎรี ะบุว่าเป็นไปโดยเสรี แต่ในทางปฏิบัติเป็นไปได้
ยากเน่ืองจากต้องลงทนุ สูงมาก
8. การวเิ คราะห์ตลาดสัตว์นา้
การวิเคราะห์ตลาดสตั วน์ า้ เปน็ กระบวนการที่ต้องดาเนินการอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลที่ใช้ประกอบการ
วเิ คราะห์ตลาดควรมาจากแหล่งที่เชอื่ ถือได้ เช่น สถานีประมง ศูนย์พฒั นาประมง สานกั งานประมงจังหวัด
ซึง่ เปน็ ข้อมลู เกี่ยวกบั พ้ืนทีเ่ ลย้ี ง สถานทเ่ี ล้ยี ง และจานวนผลผลิต ส่วนข้อมูลเก่ียวกับชนิดสัตว์น้า ปริมาณ
ลูกสัตว์นา้ ราคา ช่วงเวลาหรือฤดูกาล จานวนผู้ประกอบการ จานวนพื้นที่เพาะเล้ียงสัตว์น้า สามารถหา
ขอ้ มูลไดจ้ ากผูป้ ระกอบการเพาะเล้ยี งสตั ว์นา้ ในทอ้ งถิ่น นอกจากน้ีข้อมูลอุปสงค์อุปทานสินค้าสัตว์น้าและ
ข้อมูลสนิ คา้ ทดแทนกม็ คี วามสาคญั เพือ่ ใช้ประกอบการวิเคราะห์ตลาดสัตว์นา้
สรุป
ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้าจาเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเพ่ือใช้ประกอบการตัดสินใจ
วางแผนการผลิตสัตว์น้า และจาหน่ายสัตว์น้า ผลการวิเคราะห์ตลาดสัตว์น้ามีความสาคัญคือทาให้
คาดคะเนความต้องการของตลาด ผู้ผลติ สามารถผลติ สนิ คา้ และบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้า และ
ยังเป็น การช่วยแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศได้ สถานการณ์การเพาะเล้ียงสัตว์น้าของ
ประเทศไทยภาครัฐเองก็จาต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมการเพาะเล้ยี งสตั ว์น้าให้เหนือกว่าคู่แข่งขันในอาเซียน
และโลก โดยการสนับสนุนลงทุนวิจัยและพัฒนาให้เกิดความได้เปรียบในด้านคุณภาพและต้นทุน รวมถึง
การสนับสนุนวิธีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็จะทาให้ภาคการเพาะเล้ียงสัตว์น้าของไทยมีความ
เข้มแขง็ และสร้างความมน่ั คงในอาชพี ไดอ้ ยา่ งย่ังยนื
5. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
5.1 การนาเข้าสู่บทเรยี น
ขั้นสนใจ (Motivation)
93
แผนการจดั การเรยี นรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 9
สอนคร้ังที่ 16
ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ การตลาดและจาหน่ายผลผลติ สัตว์นา้ (ตอ่ ) ชั่วโมงรวม 64
จานวนชั่วโมง 4
- ผสู้ อนอธิบายและสาธิตการวิเคราะหก์ ารตลาดและจาหน่ายสตั ว์น้า
5.2 การเรยี นรู้
ขั้นศึกษาข้อมลู (Information)
1. ให้ผเู้ รียนแบ่งกลมุ่ ออกเป็น 4 กล่มุ ศึกษาเน้ือหาในหนังสือเรียนและอินเทอร์เน็ต แล้วร่วมกัน
นาเสนอในรูปแบบอภปิ รายกลมุ่ ตามเนือ้ หาดังนี้
กลมุ่ ที่ 1 นาเสนอเร่ือง การตลาดสตั ว์นา้ /วถิ ีการตลาดสัตวน์ ้า
กลุ่มที่ 2 นาเสนอเรอ่ื ง ระบบการตลาด/สว่ นเหลอ่ื มการตลาด
กลมุ่ ที่ 3 นาเสนอเร่ือง กลยทุ ธก์ ารตลาดสตั วน์ า้ /อุปสงค์และอุปทานสตั วน์ ้า
กลุ่มที่ 4 นาเสนอเรื่อง โครงสรา้ งการตลาด/การวเิ คราะหต์ ลาดสตั วน์ า้
2. ใหผ้ ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอและผสู้ อนอธิบายเพ่ิมเติม
3. ให้ผู้เรียนบันทึกสรุปลงในสมุด โดยทาเป็นแผนที่ความคิด เพ่ือพัฒนาทักษะการคิดเชิงระบบ
และการจดั ความสัมพนั ธ์ (กจิ กรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี )
ขัน้ พยายาม (Application)
1. ผ้สู อนและผเู้ รยี นรว่ มกันสรุปเน้ือหาตามจุดประสงคข์ องการเรยี น
2. ผูเ้ รียนทากิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
3. ผ้เู รยี นทาแบบทดสอบเพ่ือประเมนิ ผลหลงั การเรียนรู้
5.3 การสรปุ
ขัน้ สาเรจ็ ผล (Progress)
1. ผ้สู อนพจิ ารณาใหค้ ะแนนการปฏิบตั ิงาน
2. ผสู้ อนพิจารณาใหค้ ะแนนคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์เปน็ รายบุคคล
6. ส่ือการเรียนร/ู้ แหลง่ การเรยี นรู้
6.1 สือ่ สง่ิ พมิ พ์
6.1.1 หนังสือเรยี นวชิ าหลักการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า
94
แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 9
สอนครง้ั ท่ี 16
ช่ือหน่วยการเรียนรู้ การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสัตว์น้า (ต่อ) ชว่ั โมงรวม 64
จานวนชั่วโมง 4
6.1.2 ใบงาน เร่อื ง การตลาดและจาหนา่ ยผลผลิตสตั วน์ า้
6.1.3 แบบประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน
6.1.4 แบบประเมนิ ตนเอง
6.1.5 แบบทดสอบ
6.2 สื่อโสตทศั น์
6.2.1 เครอื่ งคอมพวิ เตอร์
6.2.2 โพรเจกเตอร์
6.2.3 ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ชว่ ยสอน
6.3 หุ่นจาลองหรือของจริง (ถา้ มี)
-
6.4 อืน่ ๆ (ถ้าม)ี
- ห้องเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง (Self-access Learning)
7. เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้
7.1 แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน
7.2 แบบประเมนิ ตนเอง
8. การบรู ณาการ/ความสมั พันธก์ บั วชิ าอื่น
8.1 บูรณาการร่วมกบั วิชาลกู เสือ มีกิจนสิ ัย มรี ะเบยี บ ละเอียดรอบคอบ และมเี จตคติท่ดี ีตอ่ วชิ าชพี
8.2 บรู ณาการรว่ มกบั วชิ าคณิตศาสตร์
9. การวัดและประเมินผล
9.1 ก่อนเรยี น
- การอธบิ ายและสาธติ ประกอบสอื่
9.2 ขณะเรียน
95
แผนการจดั การเรียนรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 9
สอนครัง้ ท่ี 16
ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ การตลาดและจาหน่ายผลผลติ สตั ว์น้า (ตอ่ ) ชว่ั โมงรวม 64
จานวนชัว่ โมง 4
9.2.1 ปฏบิ ัติงานตามกิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชพี
9.2.2 การนาเสนอเนื้อหาเก่ียวกับการตลาดสัตว์น้า/วิถีการตลาดสัตว์น้า ระบบการตลาด/ส่วน
เหลื่อมการตลาด กลยุทธ์การตลาดสัตว์น้า/อุปสงค์และอุปทานสัตว์น้า และโครงสร้างการตลาด/การ
วเิ คราะหต์ ลาด สัตว์นา้
9.3 หลังเรียน
9.3.1 ทากจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจและใบงาน
9.3.2 ทาแบบทดสอบเพ่ือประเมนิ ผลหลงั การเรยี นรู้
10. บนั ทกึ หลงั สอน
10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.2 ผลการเรยี นรู้ของนักเรียน นักศึกษา
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
10.3 แนวทางการพัฒนาคุณภาพการเรยี นรู้
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................