The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หมวดวิชาอาวุธศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วิศรุต พลับพลาสกุล, 2023-08-22 04:50:44

อาวุธศึกษา อย.พ.ศ.2565

หมวดวิชาอาวุธศึกษา

๑๔๓ ๖.๖.๔.๔ ต๎องไมํให๎สิ่งกีดขวางภายในโพลงกรวย หรือระหวํางดินระเบิดกับ เปูาหมาย เนื่องจากสิ่งกีดขวางใด ๆ จะท าให๎ลดอานาจในการทะลุทะลวง ๖.๖.๔.๕ เจ๎าหน๎าที่ที่อยูํในที่ที่โลํงแจ๎ง จะต๎องถอนตัวออกหํางอยํางน๎อยที่สุด ๙๐๐ ฟุต หรือใช๎ก าบังอยํางเหมาะสม กํอนการจุดระเบิด เนื่องจากชิ้นระเบิดมีอันตราย ๖.๗ บังกะโลตอร์ปิโด (BANGALO TORPEDO) ๖.๗.๑ บังกะโลตอร์ปิโด แบบ เอ็ม ๑ เอ ๒ ประกอบด๎วยจ านวนทํอบรรจุดิน ซึ่ง อาจจะใช๎เพียงทํอเดียว หรือใช๎ทั้งหมดพร๎อมกับหัวครอบ และปลอกตํอก็ได๎บังกะโลตอร์ปิโดนี้บรรจุอยูํในหีบ ๆ ละ ๑๐ ทํอ ทํอบรรจุดินระเบิด แตํละทํอเป็นทํอเหล็กกล๎ายาว ๕ ฟุต เส๎นผําศูนย์กลาง ๒ ๑/๘ นิ้ว และหนักรวม ๑๓ ปอนด์เป็นน้ าหนักวัตถุระเบิดเสีย ๘ ๑/๒ วัตถุระเบิดที่ใช๎คือ ดินระเบิดคอมโปซิชั่น บี ๖.๗.๒ ในการท าบังกาโลตอร์ปิโดแสวงเครื่องอาจจะต๎องใช๎ทํอมีความยาวเทําใดก็ได๎แตํ จะต๎องมีเส๎นผําศูนย์กลางภายในประมาณ ๒ นิ้ว และมีความหนาอยํางน๎อย ๐.๐๒๕ นิ้ว โดยบรรจุดินระเบิด ประมาณ ๒ ปอนด์ตํอความยาว ๑ ฟุต และจัดให๎มีระเบิดน าอยํางเหมาะสม ทํอที่จะน ามาตํอนั้นจะต๎องให๎ตํอกัน อยํางแนบสนิท ๖.๗.๓ การใช๎ตามหลักแล๎วบังกะโลตอร์ปิโด ใช๎ส าหรับกวาดล๎างชํองทางผํานเครื่อง กีดขวางลวดหนาม สามารถที่จะลอดบังกะโลตอร์ปิโดเข๎าที่กํอนท าการระเบิดจริงได๎ เพราะวําเมื่อประกอบแล๎ว มีความแข็งแกรํง บังกะโลตอร์ปิโดมีความสามารถกวาดล๎างชํองทางได๎กว๎าง ๑๐ ถึง ๑๕ ฟุต ผํานเครื่องกีดขวาง ลวดหนาม เมื่อใช๎บังกะโลตอร์ปิโดนี้แล๎วจะท าให๎ทุํนระเบิดสังหารและทุํนระเบิดรถถังจ านวนมากซึ่งอยูํในชํองทาง แคบ ๆ นี้ระเบิดขึ้นด๎วย อาจใช๎บังกะโลตอร์ปิโดส าหรับกวาดล๎างชํองทางสนามทุํนระเบิดกักรถถังได๎ด๎วย บังกะโล ตอร์ปิโด ใช๎ในกิจการท าลายอยํางอื่น ๆ ได๎ในยามฉุกเฉิน โดยเฉพาะใช๎วางกับเครื่องขัดขวางทํอนซุง และเครื่องกีด ขวางเหล็ก (รูปภาพ : บังกะโลตอร์ปิโด (BANGALO TORPEDO) ๗. กฎแหํงความปลอดภัย ในเวลาท าการฝึกจะต๎องปฏิบัติตามกฎแหํงความปลอดภัยเกี่ยวกับ วัตถุระเบิด เชื้อปะทุและเครื่องมือท าลายอยํางเครํงครัด กฎทั่ว ๆ ไปที่ใช๎สาหรับวัตถุระเบิดทุกชนิด และทุก สถานการณ์ก็คือ ๗.๑ ต๎องไมํจับถือวัตถุระเบิดด๎วยความประมาทเลินเลํอ ๗.๒ ต๎องไมํแบํงความรับผิดชอบในการเตรียมการ การวางดินระเบิดหรือการจุดระเบิด จะต๎องให๎บุคคลเดียวกันเป็นผู๎รับผิดชอบในการก ากับตรวจตราทุกขั้นตอนของภารกิจในการท าลายด๎วยดินระเบิด


๑๔๔ ๘. ระยะปลอดภัย ตามปกติการใช๎ระเบิดท าลายผู๎ใช๎จะต๎องค านึงถึงความปลอดภัยกับตนเอง คณะเจ๎าหน๎า รวมทั้งอาคารสถานที่ และอุปกรณ์อื่น ๆ ด๎วย ส าหรับผู๎ที่ปฏิบัติงานในที่โลํงแจ๎งจะปลอดภัยจากชิ้น สะเก็ดระเบิด ซึ่งมีอันตรายมาก โดยพิจารณาระยะหํางจากตาราง นี้โดยไมํค านึงถึงลักษณะการวางผังหรือบนดิน หรือชนิดสภาพของดิน ระยะปลอดภัยอยํางน๎อยที่สุด ส าหรับบุคคลที่อยูํในที่โลํงแจ๎ง ดินระเบิดเป็นปอนด์ ระยะปลอดภัยเป็นฟุต หมายเหตุ ๑ – ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๒ ๓๔ ๓๖ ๓๘ ๔๐ ๔๒ ๔๔ ๔๖ ๔๘ ๕๐ ๖๑ – ๖๕ ๗๐ ๗๕ ๘๐ ๘๕ ๙๐ ๙๕ ๑๐๓ ๑๒๕ ๑๔๐ ๒๐๐ ๓๐๐ ๔๐๐ ๕๐๐ ๙๐๐ ๙๐๙ ๙๒๑ ๙๓๐ ๙๕๑ ๙๖๙ ๙๙๐ ๑๐๐๘ ๑๐๒๐ ๑๐๔๑ ๑๐๕๐ ๑๐๗๔ ๑๐๘๐ ๑๑๐๔ ๑๒๐๐ ๑๒๓๐ ๑๒๖๐ ๑๒๙๐ ๑๓๑๗ ๑๓๔๔ ๑๓๖๘ ๑๓๙๒ ๑๔๐๐ ๑๕๙๓ ๑๗๕๒ ๒๐๐๗ ๒๒๐๘ ๒๓๘๒ ๑ ฟุต เทํากับ ๐.๓ เมตร ๑๐๐ ฟุต เทํากับ ๓๐ เมตร ๑๐๐๐ ฟุต เทํากับ ๓๐๐ เมตร ๑ ปอนด์ เทํากับ ๐.๔๕ กิโลกรัม ๑๐ ปอนด์ เทํากับ ๔.๕๐ กิโลกรัม ๑๐๐ ปอนด์ เทํากับ ๔๕ กิโลกรัม


๑๔๕ บทที่ ๓๑ รถเกราะ Commando V-150 ลักษณะโดยทั่วไป ๑. กลําวทั่วไป เป็นรถเกราะล๎อยางเหมาะส าหรับการใช๎เป็นรถปราบปรามจลาจล รถคุ๎มกันขบวน ล าเลียงพล และลาดตระเวน สามารถวิ่งได๎ทั้งบนบกและในน้ า ทอ.ได๎น าเข๎าประจ าการปี ๒๕๒๑ แบบที่ใช๎งานมี ๓ แบบ ได๎แกํ รถล าเลียงพล, รถติดตั้งปืนใหญํขนาด ๙๐ มม. และ รถติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๘๑ มม.สามารถท า ความเร็วได๎ ๙๐ กม./ชม. ไตํลาดหน๎า ๖๐ องศา ไตํลาดข๎าง ๓๐ องศา มีอาวุธติดตั้งคือปืนกลขนาด ๗.๖๒ มม. และ .๕๐ นิ้ว ทั้งยังมีเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด ๗๖ มม. ข๎างละ ๖ ทํอยิง รวม ๑๒ ทํอยิง ๒. คุณลักษณะ ๒.๑ ความเร็วสูงสุด ๘๙.๖ กม./ชม. ๒.๒ ระยะปฏิบัติการ ๒.๒.๑ บนถนน ๘๐๐ กม.(๕๐๐ ไมล์) ๒.๒.๒ ในภูมิประเทศ ๖๔๐ กม.(๔๐๐ ไมล์) ๒.๓ บรรจุน้ ามันเต็มถัง ๓๐๐ ลิตร ๒.๔ อาวุธ ปถ. ขนาด ๙๐ มม. ๑ กระบอก ๒.๕ อาวุธ ปก.แบบ ๙๓ ขนาด .๕๐ นิ้ว (๑๒.๗ มม.) ๑ กระบอก ๒.๖ อาวุธ ปก.รํวมแกน MG.3 ขนาด .๓๐ นิ้ว (๗.๖๒ มม.) ๑ กระบอก ๒.๗ อาวุธ ปค. ขนาด ๘๑ มม. ๑ กระบอก ๒.๘ เครื่องยิงลูกระเบิดควัน ๖ ทํอยิง ๒.๙ เครื่องยิงลูกระเบิดสังหาร ๖ ทํอยิง ๓. เจ๎าหน๎าที่ประจ ารถเกราะ ๓.๑ อัตราก าลังพลประจ ารถ ๑๑ คน ประกอบด๎วย ๓.๑.๑ ผบ.หมูํรถเกาะ พันจํา ๑ คน ๓.๑.๒ รอง ผบหมูํรถเกาะ จํา ๑ คน ๓.๑.๓ พลขับ จํา ๑ คน ๓.๑.๔ จนท.วิทยุ จํา ๑ คน ๓.๑.๕ พลยิง จํา ๑ คน ๓.๑.๖ พล.ปล. พลทหาร ๖ คน


๑๔๖ บทที่ ๓๒ รถเกราะ CONDOR Commando ลักษณะโดยทั่วไป ๑. กลําวทั่วไป คุณลักษณะ เป็นรถล าเลียงพลอเนกประสงค์ สะเทิ้นน้ า สะเทิ้นบก แบบหุ๎มเกราะ ด๎วยเหล็กกล๎า ประสานกันผลิตโดย บริษัท ทิสเซํน เฮนส์เซล สหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี ๒. สมรรถนะ ๒.๑ ความเร็วสูงสุดบนถนน ๑๐๐ กม./ซม. ๒.๒ ความเร็วสูงสุดในน้ า ๖๐% ๒.๓ ไตํลาดตรงสูงสุด ๓๐% ๒.๔ ข๎ามเครื่องกีดขวาง ๑.๒๐ ม. ๒.๕ ระยะปฏิบัติการบนถนน ๙๐๐ กม. ๒.๖ ระยะปฏิบัติการในภูมิประเทศ ๕๐๐ กม. ๒.๗ ความสิ้นเปลือง (ชพ.) บนถนน ๒.๕ กม./ลิตร ๒.๘ ความสิ้นเปลืองในภูมิประเทศ ๒.๑ กม./ลิตร ๓. ขนาด ๓.๑ ความยาวทั้งหมด ๖.๔๗๐ ม. ๓.๒ ความกว๎างทั้งหมด ๒.๘๓๐ ม. ๔. น้ าหนัก ๔.๑ น้ าหนักรถ ๑๐,๗๐๐ กก. ๔.๒ น้ าหนักบรรทุก ๑,๗๐๐ กก. ๔.๓ น้ าหนักพร๎อมรบสูงสุด ๑๒,๔๐๐ กก. ๕. ยาง แบบเรเดียนไมํมียางใน กันกระสุน ๖. เครื่องยนต์ ดีเซล ๖ สูบ เทอร์โบชาร์ท ๑๖๘ แรงม๎า , ๘ เกียร์เดินหน๎า , ๘ เกียร์ถอยหลัง ๗. อาวุธ ๗.๑ ปญก. ขนาด ๒๐ มม. ๑ กระบอก ๗.๒ ปก. ขนาด ๗.๖๒ มม. ๑ กระบอก ๗.๓ คบ. ขนาด ๖๖ มม. ๘ ทํอยิง


๑๔๗ บทที่ ๓๓ จรวดต่อสู้อากาศยาน RBS-70 (Robotsystem 70) ลักษณะโดยทั่วไป ๑. กลําวทั่วไป จรวดตํอสู๎อากาศยานแบบ RBS-70 เป็นระบบปูองกันภัยทางอากาศแบบพื้นสูํ อากาศ (Surface to Air Missile: SAM) พัฒนาในปีค.ศ.๑๙๖๙ โดยบริษัท BOFORS AB MISSILE ประเทศ สวีเดน พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตํอสู๎อากาศยานสมรรถนะสูงหรือแม๎แตํอากาศยานไร๎นักบิน (UAV) เข๎าประจ าการในกองทัพอากาศเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ สามารถประกอบอุปกรณ์ให๎พร๎อมท าการยิงได๎ภายใน เวลา ๓๐ วินาที จรวด RBS-70 สามารถท าการยิงได๎ทั้งอากาศยานความเร็วสูง อากาศยานความเร็วต่ า อากาศยาน ไร๎นักบิน เครื่องบินล าเลียง และเฮลิคอปเตอร์ ๑.๑ รูปแบบจรวด จรวดตํอสู๎อากาศยานจากพื้นสูํอากาศ (Surface to Air Missile : SAM) ๑.๒ ระบบการน าวิถี น าวิถีด๎วยเลเซอร์ (Laser Beam Guidance System) ๑.๓ เวลาในการติดตั้ง ๓๐ วินาที ๑.๔ ท าการยิงหลังพบเปูาหมาย ๕ วินาที ๑.๕ เวลาในการบรรจุจรวดนัดใหมํ ๑๐ วินาที ๑.๖ ระยะยิงหวังผล ๑.๖.๑ MK2 ๗,๐๐๐ ม. ๑.๖.๒ BOLIDE ๘,๐๐๐ ม. ๑.๗ รัศมีความสูง ๑.๗.๑ MK2 ๔,๐๐๐ ม. ๑.๗.๒ BOLIDE ๕,๐๐๐ ม. ๑.๘ ความเร็วต๎น ๕๐ เมตร/วินาที ๑.๙ ความเร็วสูงสุด ๑.๙.๑ MK2 ๕๘๐ เมตร/วินาที ๑.๙.๒ BOLIDE ๒ มัค


๑๔๘ ๑.๑๐ ระยะเวลาเผาไหม๎ของดินขับหลัก ประมาณ ๑๐ วินาที ๑.๑๑ หัวรบมีดินระเบิด (Octol) ขนาด ๑.๕ กิโลกรัม ๑.๑๒ อุปกรณ์พิสูจน์ฝุาย (IFF) สามารถติดตั้งได๎ ๑.๑๓ ความแมํนย า ๙๐ % ๑.๑๔ สามารถท าลายเปูาหมายได๎๒ ระบบ ตามรูปแบบของชนวน คือ แบบกระทบแตก (Impact Fuse) และแบบเฉียดระเบิด (Proximity Fuse) ๑.๑๕ การติดพันเปูาหมาย บังคับด๎วยมือโดยเล็งผํานกล๎องเล็ง ๒. จรวด RBS-70 มีสํวนประกอบหลัก ๓ สํวน คือ ชุดขาตั้ง (STAND), ชุดเครื่องเล็ง (SIGHT) และจรวดในทํอยิง (MISSILE) ๒.๑ ชุดขาตั้ง (STAND) (รูปภาพ : สํวนประกอบหลักของชุดจรวด RBS-70) ๒.๒ ชุดเครื่องเล็ง (SIGHT) จะสร๎างล าแสงเลเซอร์ซึ่งจะวางตัวในแนวเดียวกับ Line of Sight หลังจากท าการยิงวิถีการเคลื่อนที่ของจรวดจะไปตามล าแสงของเลเซอร์ ซึ่งพลยิงจะต๎องท าการเล็งไปที่ เปูาหมายจึงท าให๎มีประสิทธิภาพในการท าลายและความแมํนย าสูง (รูปภาพ : ชุดเครื่องเล็ง (SIGHT)


๑๔๙ ๒.๓ จรวดในทํอยิง (MISSILE) จรวด RBS-70 ได๎เพิ่มประสิทธิภาพในการท างาน โดยการ น าระบบพิสูจน์ฝุาย (IFF) มาประกอบเข๎ากับชุดยิง เพื่อใช๎ในการพิสูจน์ทราบเปูาหมายวําเป็นฝุายเดียวกันหรือไมํ และชุดยิงยังสามารถเชื่อมตํอกับระบบค๎นหาและแจ๎งเตือน แสดงข๎อมูลบนอุปกรณ์ TDR (Target Data Receiver) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของระบบ (รูปภาพ : ระบบตํอสู๎อากาศยาน RBS-70) ๓. การเคลื่อนย๎ายชุดจรวด RBS-70 สามารถปฏิบัติได๎ในทุกสภาพแวดล๎อม ทุกสภาพภูมิประเทศ เชํน เชิงเขา ภูเขา ดาดฟูาอาคาร บนหอสังเกตการณ์ และในสถานที่ที่อาวุธปืนตํอสู๎อากาศยานไมํสามารถเข๎าไปท าการ ตั้งยิงได๎ (รูปภาพ : การเคลื่อนย๎ายชุดยิง) ๔. คุณลักษณะพิเศษของระบบจรวด RBS-70 ๔.๑ ยากตํอการรบกวนของสัญญาณ (Resistance to Jamming) จรวด RBS-70 เป็น จรวดที่น าวิถีด๎วยเลเซอร์ซึ่งจะสํงสัญญาณไปควบคุมจรวดในลักษณะการสํงแบบทางเดียว จึงไมํสามารถท าการ รบกวนสัญญาณได๎ นอกจากนั้นดินขับของจรวด RBS-70 เป็นดินขับแบบไร๎ควันจึงท าให๎ไมํมีควันขณะที่จรวด เคลื่อนที่เข๎าหาเปูาหมาย ท าให๎ยากตํอการตรวจพบ กรณีท าการยิงรํวมกันหลาย ๆ หนํวยยิงในเวลาและสถานที่ ใกล๎เคียงกัน จรวดจะมีความถี่ตํางกันและด๎วยการท างานแบบอัตโนมัติของชุดเครื่องเล็ง จะท าการปรับความถี่ของ จรวดและชุดเครื่องเล็งนั้น ๆ ให๎ตรงกันกํอนท าการยิงทุกครั้ง ดังนั้นจรวดจึงสามารถท าการยิงโดยใช๎ชุดเครื่องเล็ง ชุดใดก็ได๎


๑๕๐ (รูปภาพ : ชุดยิงจรวด RBS-70 ติดตั้งบนรถ Land Rover) ๔.๒ ยากตํอการโจมตีเนื่องจากจรวด RBS-70 มีขนาดเล็ก สามารถเคลื่อนย๎ายไปยังที่ใดก็ได๎ สามารถที่จะพรางตัวให๎เข๎ากับภูมิประเทศได๎งํายท าให๎ยากตํอการตรวจการณ์ทางอากาศ นอกจากนั้นดินขับของ จรวดยังเป็นดินขับแบบไร๎ควัน เมื่อจรวดถูกยิงออกจากทํอยิงเข๎าหาเปูาหมายจึงยากที่จะตรวจพบด๎วยสายตา ล าแสงเลเซอร์อยูํในยํานความถี่ที่ไมํสามารถมองเห็นได๎ด๎วยตาเปลํา เปูาหมายสามารถทราบได๎วําถูกเล็งโดยเลเซอร์ หรือไมํจะต๎องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมพิเศษ เชํน Laser Warning Receiver ๔.๓ งํายตํอการเคลื่อนย๎ายและติดตั้งชุดยิง ชุดจรวด RBS-70 มีขนาดเล็กและมีน้ าหนักเบา ท าให๎งํายตํอการเคลื่อนย๎าย ส าหรับการเคลื่อนย๎ายนั้น จรวด RBS-70 จะสามารถแบํงออกเป็นสํวน ๆ ซึ่งแตํละ สํวนสามารถท าการเคลื่อนย๎ายได๎โดยเจ๎าหน๎าที่ในชุดยิง จึงท าให๎จรวด RBS-70 สามารถที่จะเคลื่อนย๎ายไปได๎ทุก สภาพภูมิประเทศ เชํน บนยอดเขา ดาดฟูาอาคาร หอสังเกตการณ์ หรือแม๎แตํบนยานพาหนะ จรวด RBS-70 สามารถท าการติดตั้งพร๎อมท าการยิงได๎ภายใน ๓๐ วินาที และยังสามารถน าไปติดตั้งบนยานพาหนะเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการรบได๎อีกด๎วย (รูปภาพ : ชุดยิงจรวด RBS-70 ติดตั้งบนรถเกราะ V-200) ๔.๔ มีความรวดเร็วในการท าการยิง พลยิงสามารถท าการยิงได๎หลังจากตรวจพบเปูาหมาย ภายใน ๕ วินาที และสามารถท าการบรรจุจรวดนัดใหมํและพร๎อมท าการยิงได๎ในเวลา ๑๐ วินาที ๔.๕ มีอ านาจในการท าลายสูง จรวด RBS-70 สามารถเลือกแบบชนวนได๎ ๒ แบบ คือ ๔.๕.๑ ชนวนกระทบแตก (Impact Fuze) จะท างานเมื่อจรวดกระทบเปูาหมายโดยตรง ๔.๕.๒ ชนวนเฉียดระเบิด (Proximity Fuze) เมื่อจรวดไมํสามารถกระทบเปูาหมายโดยตรง จะสามารถจุดชนวนระเบิดได๎เมื่อจรวดวิ่งผํานเปูาหมายในระยะรัศมี ๓.๓ เมตร


๑๕๑ ๔.๖ มีอ านาจในการยิงและการท าลายที่สูง จรวด RBS-70 สามารถท าการยิงได๎ทั้งอากาศ ยานความเร็วต่ าและอากาศยานความเร็วสูง และยังครอบคลุมพื้นที่การรบได๎มาก (รูปภาพ : ระยะครอบคลุมของจรวด RBS-70) ๔.๗ ตํอต๎านการรบกวนของสัญญาณ จรวด RBS-70 นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ตํอต๎านการ รบกวนของสัญญาณจากภายนอกไมํวําจะเป็นการรบกวนทาง Electronics, Chaff, Flare, Laser, และสภาพ อากาศ เชํน ฝน หรือ หิมะ สภาพอากาศที่มีผลตํอจรวด RBS-70 คือสภาพอากาศที่มีผลตํอการมองเห็นเปูาหมาย ของพลยิง เชํน หมอก ควันตําง ๆ หรือ แม๎แตํแสงสวํางที่มากเกินไป กระแสอากาศที่แปรปรวน และปรากฏการณ์ ภาพลวงตา สภาพอากาศเหลํานี้ท าให๎พลยิงไมํสามารถท าการยิงได๎ เนื่องจากการมองเห็นเปูาหมายที่ไมํชัดเจน ๕. กฎเพื่อความปลอดภัยของจรวด RBS-70 ๕.๑ กฏทั่วไป ๕.๑.๑ เมื่อไมํมีการใช๎งานจรวด จะต๎องล็อคสลักยึดทางสูง (Cradle) ไว๎เสมอ ๕.๑.๒ ต๎องแนํใจวําขาตั้งที่กางออกทั้งหมดกางออกและอยูํในต าแหนํงล็อคเรียบร๎อย กํอนท าการติดตั้งชุดเครื่องเล็ง ๕.๑.๓ ต๎องแนํใจวําฝาครอบอุปกรณ์ตํอเชื่อมทั้งหมดนั้นปิดสนิทขณะยังไมํได๎ใช๎งาน ๕.๑.๔ ต๎องแนํใจวําฝาปิดกระจกของชุดเครื่องเล็ง (Sight Window) นั้นปิดอยูํเมื่อยังไมํได๎ใช๎งาน ๕.๑.๕ ไมํควรยืนอยูํบริเวณด๎านหน๎าของจรวดขณะที่ก าลังใช๎งาน เนื่องจากอาจได๎รับ อันตรายจากชิ้นสํวนของจรวดและการแผํรังสีของเลเซอร์ ๕.๑.๖ การวางชุดเครื่องเล็ง (Sight) ไว๎กับพื้น ไมํควรวางด๎านที่มีฝาปิดกระจกชุด เครื่องเล็ง (Sight Window) ลงกับพื้น


๑๕๒ ๕.๒ การแผํรังสีของเลเซอร์ ๕.๒.๑ เมื่อชุดเครื่องเล็งถูกใช๎งาน เลเซอร์ก็จะถูกสํงออกไปเพื่อน าวิถีให๎กับจรวด ซึ่งการแผํรังสีของเลเซอร์นั้นเป็นอันตราย ซึ่งจะปลอดภัยก็ตํอเมื่อจบการท างาน ๕.๒.๒ เลเซอร์ที่แผํออกมานั้นเป็นอันตรายกับดวงตา ดังนั้นเมื่ออยูํในระหวํางการใช๎ งานควรจะมีปูายเตือนแสดงถึงการแผํรังสีของเลเซอร์ไว๎ด๎วย (รูปภาพ : ปูายเตือนการแผํรังสีของเลเซอร์) ๕.๒.๓ พื้นที่อันตรายจากการแผํรังสีของเลเซอร์ ๕.๒.๓.๑ รัศมีอันตรายโดยรอบ ๑๐ เมตร จากชุดเครื่องเล็ง ๕.๒.๓.๒ มุมในการแผํรังสีด๎านหน๎า ๔๐ องศา ๕.๒.๓.๓ ระยะในการแผํรังสีด๎านหน๎า ๑๔ เมตร (รูปภาพ : ระยะอันตรายของการแผํรังสีของเลเซอร์) ๕.๒.๔ เจ๎าหน๎าที่ทั้งหมดที่อยูํในบริเวณพื้นที่อันตรายจะต๎องสวมแวํนตาเพื่อปูองกัน อันตรายที่จะเกิดกับสายตา ๕.๒.๕ ห๎ามมองด๎วยตาเปลํา หรือมองด๎วยกล๎องสํองทางไกล และเมื่ออยูํในระหวํางท า การฝึกควรติดตั้งกระจกกรองเลเซอร์ (Laser Filter) เพื่อลดอันตรายจากการแผํรังสีของเลเซอร์


๑๕๓ ๕.๓ อันตรายจากทํอจรวด ๕.๓.๑ ห๎ามอยูํในบริเวณด๎านหน๎าของชุดยิงในระยะ ๓๐๐ เมตร ขณะท าการยิง เพราะอาจได๎รับอันตรายจากการดีดออกของชุดดินขับขั้นต๎น (Launching Motor) ตกใสํได๎ ๕.๓.๒ พลบรรจุ/พลกระสุน จะต๎องไมํอยูํในพื้นที่อันตรายจากการเผาไหม๎ของจรวด (Back Blaze) ในมุม ๓๐ องศา จากทํอยิง (รูปภาพ : ระยะอันตรายจากทํอยิงจรวด) ๕.๓.๓ ไมํมีสิ่งกีดขวางทางด๎านท๎ายทํอยิงในระยะ ๔๐ เมตร ๕.๓.๔ ไมํมีคน หรืออุปกรณ์ตําง ๆ ในระยะ ๒๐ เมตร จากด๎านท๎ายทํอยิง (รูปภาพ : ระยะอันตรายจากเปลวไฟจากทํอท๎ายจรวด)


๑๕๔ บทที่ ๓๔ จรวดต่อสู้อากาศยานบุคคล QW-2 (QianWei2) ๑. ลักษณะทั่วไป จรวดบุคคลตํอสู๎อากาศยานแบบ QW-2 (Qianwei-2) เป็นจรวดน าวิถีที่ได๎รับ การพัฒนามาจากหลักพื้นฐานของจรวดบุคคลตํอสู๎อากาศยาน HN-5A ผสมผสานกับเทคโนโลยีของจรวดบุคคล ตํอสู๎อากาศยาน STINGER ของสหรัฐอเมริกาและ IGLA ของรัสเซีย โดยใช๎หลักการน าวิถี แบบ IR Passive Homing เข๎าหารังสีอินฟราเรด (IR) ใช๎ยิงตํอสู๎อากาศยานในระยะใกล๎มาก (Very Short Range Air Defence) สามารถใช๎งานโดยพลยิงเพียงผู๎เดียว มีระยะยิงไกลสุด ๖ กม. ผลิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยบริษัท China National Precision Machinery I/E Corporation (CPMIEC) ๑.๑ ชื่อเรียกอื่น Qian Wei 2 หรือชื่อส าหรับการสํงออกคือ Vanguard 2 ๑.๒ ประเภท อาวุธตํอสู๎อากาศยานแบบประทับบํา ๑.๓ ประเทศผู๎ผลิต จีน ๑.๔ ประวัติการใช๎งาน เข๎าประจ าการในปี ๒๕๔๙ ๒. ข๎อมูลทางเทคนิคและยุทธวิธี ๒.๑ ชนิดของเปูาหมาย เครื่องบินไอพํน, เครื่องบินใบพัด, เฮลิคอปเตอร์, UAV และ cruise missile ๒.๒ ความเร็วของเปูาหมาย ไมํเกิน ๔๐๐ เมตร/วินาที(head-on) ไมํเกิน ๓๒๐ เมตร/วินาที(tail-on) ๒.๓ ระยะลาดเอียงในการยิง ๕,๐๐๐-๘,๐๐๐ เมตร(เครื่องบินไอพํน ใน head-on attack) ๔,๐๐๐-๖๐๐เมตร(เฮลิคอปเตอร์ใน head-on attack) ๖๐๐-๖,๐๐๐ เมตร(ใน tail-on attack) ๒.๔ ความสูงของเปูาหมาย ไมํเกิน ๓,๕๐๐ เมตร (เครื่องบินไอพํน) ๑๐ - ๔,๐๐๐ เมตร (เฮลิคอปเตอร์) ๒.๕ ความสามารถในการตํอต๎าน Jamming ๒.๕.๑ ตํอต๎านการรบกวนจาก IR จากเมฆ, แสงแดด และวัตถุบนพื้นดิน ๒.๕.๒ ตํอต๎านการรบกวนจากคลื่น Electromagnetic ตํอต๎าน Artificial IR jamming ๒.๕.๓ อัตราการตํอต๎าน I R flares โดยเฉลี่ยมากกวํา ๗๐% ๒.๕.๔ น้ าหนักจรวด ๑๑ กก. (๑๘.๔ กก. รวมทํอยิง) ๒.๕.๕ ความยาว ๑.๕๙ เมตร


๑๕๕ ๒.๕.๖ เส๎นผําศูนย์กลางจรวด ๗๒ มม. ๒.๕.๗ หัวรบ ขนาด ๑.๔๒ กก. แบบ HE-fragmentation ๒.๕.๘ ความเร็วจรวด ๖๐๐ เมตร/วินาที ๒.๕.๙ ความแมํนย าในการยิงแตํละนัด ๗๕% ๒.๕.๑๐ ท าลายตัวเองหลังจากยิงออกไปประมาณ ๑๕ - ๑๗ วินาที ๒.๖ ระบบอาวุธ QW-2 สามารถน าไปใช๎ได๎โดยพลยิงเพียงคนเดียว โดยสะพายไหลํไป ในขณะเคลื่อนที่ เป็นอาวุธที่ใช๎ยิงตํอสู๎อากาศยานในระดับเพดานต่ าและต่ ามาก ระบบอาวุธ QW-2 เป็นระบบที่งํายตํอ การใช๎งาน การบ ารุงรักษาและการเก็บรักษา เป็นระบบอาวุธที่ใช๎ยิงปูองกันหนํวยทหารเชํน หนํวยตํอสู๎อากาศยาน, รถถัง, กองพลทหารรํม และระบบปูองกันภัยทางอากาศ และเปูาหมายทางยุทธศาสตร์อื่นๆ ๒.๗ ระบบอาวุธ QW-2 ใช๎ยิงตํอสู๎อากาศยาน เชํน เครื่องบินเจ็ต เครื่องบินใบพัด เฮลิคอปเตอร์ และ cruise missile โดยมีข๎อจ ากัดด๎านความเร็วของเปูาหมายและเพดานบินโดยความเร็วของ เครื่องบินที่เคลื่อนที่เข๎าหา(Head-on) จะต๎องมีความเร็วไมํเกิน ๔๐๐ เมตร/วินาที และเปูาหมายที่เคลื่อนที่ออก (Tail-on) ไมํเกิน ๓๒๐ เมตร/วินาที ๓. สํวนประกอบและโครงสร๎างของระบบอาวุธ ระบบอาวุธ QW-2 ประกอบด๎วย ทํอยิงและจรวด (missile-in-tube), ชุดเครื่องยิง (firing unit), เครื่องเล็ง (optical aiming device, IR thermal image device) และ ground energy unit ๓.๑ ทํอยิงและจรวด (Missile-in-tube) ในสถานการณ์ปกติทํอยิง จะใช๎เป็นตัวเก็บรักษา และขนย๎ายจรวด แตํในการสู๎รบทํอยิงจะถูกใช๎ในการเล็งเปูาและยิงจรวด นอกจากนั้นยังใช๎ปูองกันพลยิงจากแก๏ส ร๎อนซึ่งพุํงออกมาจากดินขับจรวด (firing motor) อยํางไรก็ตาม ทํอยิงสามารถใช๎ได๎แคํครั้งเดียวเทํานั้น จรวดถือวํา เป็นสํวนประกอบหลักของ QW-2 ในขณะที่จรวดอยูํในทํอยิง จรวดจะถูกยึดติดกับทํอยิงโดยใช๎ location ring และ missile-retaining pin บริเวณหัวและท๎ายของจรวดจะมีพื้นบังคับ (control surfaces) และ tail fins อยูํ ๑ คูํ และ ๒ คูํตามล าดับ เมื่อยังไมํมีการยิงพื้นบังคับ (control surfaces) และ tail fins จะพับลูํไปตามความยาวของ จรวด แตํเมื่อจรวดถูกยิงออกจากทํอ พื้นบังคับ (control surfaces) จะดีดตัวออกและ ล็อคโดยอัตโนมัติ สํวน tail fins จะล็อคโดยอาศัยแรงเหวี่ยงของการหมุนรอบตัวของจรวด ในการยิงทุกครั้งดินขับจรวด (firing motor) จะถูก ยึดไว๎ภายในทํอยิง ๓.๒ ชุดเครื่องยิง (Firing unit) น ามาติดกับทํอยิงเมื่อต๎องการยิง ภายในจะประกอบด๎วย อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตํางๆที่ใช๎ในการวิเคราะห์และประมวลผลข๎อมูล สามารถน ากลับมาใช๎ได๎เรื่อยๆ ๓.๓ ชุดเครื่องเล็ง Optical aiming device/IR thermal image device อุปกรณ์ทั้งสอง อยํางใช๎ในการเล็งและค๎นหาเปูาหมาย โดย IR thermal image device สามารถใช๎ได๎ทั้งในเวลากลางคืน และ กลางวัน ถ๎าการมองเห็นด๎วยตาเปลํายังไมํดีพอ ๓.๔ แบตเตอรี่ Ground energy unit ประกอบด๎วย Ground battery และ gas bottle หน๎าที่ของ ground battery คือการสํงกระแสไฟฟูาให๎กับชุดเครื่องยิง (firing unit) และจรวดขณะท าการยิง สํวน หน๎าที่ของ gas bottle คือการสํงแก๏สไนโตรเจนให๎กับ seeker เพื่อการหลํอเย็น IR detector แตํ ground energy unit จะใช๎ได๎แคํครั้งเดียวเทํานั้น


๑๕๖ ๔. คุณลักษณะเดํนของระบบอาวุธ QW-2 ๔.๑ ใช๎งานงําย QW-2 มีขนาดเล็กและน้ าหนักเบา การขนย๎ายสามารถสะพายหรือแบก บนบํา ขั้นตอนการยิงก็ไมํซับซ๎อน เมื่อยิงจรวดไปแล๎วก็สามารถเตรียมการยิงนัดตํอไปได๎เลย ๔.๒ พื้นที่โจมตีเมื่อเปรียบเทียบกับจรวดบุคคลอื่นๆ พื้นที่ที่ QW-2 สามารถยิงได๎จะใหญํ ที่สุด ส าหรับการยิงแบบ head-on ตัว seeker ของ QW-2 สามารถจับเปูาหมายได๎ไกลพอที่จะให๎ยิงเปูาหมาย ทันเวลา ส าหรับการยิงใน tail-on mode ระยะยิงของ QW-2 ก็ยังไกลกวําแบบอื่นเนื่องจากการใช๎ดินขับจรวด หลักที่สมรรถนะสูง ๔.๓ Stronger ability of anti-artificial IR jamming QW-2 ใช๎เทคโนโลยีแบบใหมํ ในการตํอต๎าน artificial jamming ซึ่งนอกจากจะสามารถก าจัดการรบกวนจาก electromagnetic radiation แบบตํางๆ, วัตถุแผํรังสีจากสิ่งแวดล๎อม ได๎อยํางมีประสิทธิภาพแล๎ว QW-2 ยังสามารถก าจัด IR decoys และ การรบกวน (jamming) โดยเฉพาะอยํางยิ่ง flare ด๎วยเหตุนี้ QW-2 จึงสามารถติดตามเปูาหมายได๎ตลอดเวลา จนกระทั่งเปูาหมายถูกท าลาย ๔.๔ ความแมํนย าของการติดตามเปูาหมาย QW-2 อาศัยการหมุนรอบตัวของจรวด (missile), single channel control และ proportional guidance การที่ QW-2 มี initial guidance function และ terminal self-adaptive ท าให๎การน าวิถี มีความแมํนย ามาก ๕. สํวนประกอบและการท างานของระบบอาวุธ QW-2 ๕.๑ จรวด (Missile) จรวดของ Qw-2 มีพื้นบังคับ (Control surfaces) หน๎า ๑ คูํ เพื่อท า หน๎าที่ควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ของจรวด และ tail fins ๒ คูํท าหน๎าที่สร๎างแรงยกและควบคุมสมดุลของจรวด (รูปภาพ : จรวด Missile) ๕.๑.๑ สํวนน าวิถี (Guidance section) ๕.๑.๑.๑ Seeker ประกอบด๎วย coordinator อยูํด๎านหน๎า และสํวนท๎ายจะ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตํางๆ ภายใน coordinator จะมี stator, gyro, optical system, IR detector และ refrigerator หน๎าที่ของ coordinator คือการตรวจจับและรับสัญญาณอินฟราเรด จากเปูาหมายและสิ่งแวดล๎อม รอบข๎าง สํวนหน๎าที่ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตํางๆ ก็คือการประมวลสัญญาณจากเปูาหมายและสิ่งแวดล๎อม, สัญญาณรบกวนและวิเคราะห์ชนิดและลักษณะของเปูาหมาย จากนั้นก็จะเป็นตัวสร๎างสัญญาณควบคุมจรวด เพื่อให๎สามารถติดตามเปูาหมายได๎ตํอไป Seeker Servo section Fuse-warhead section Sustainer Tail fin Firing motor


๑๕๗ ๕.๑.๑.๒ Servo section ประกอบด๎วย Gas actuator, Onboard power supply, Gas generator, Lateral force generator, Angular velocity sensor/modulator และ Cable socket และในสํวนของ gas steering mechanism จะประกอบไปด๎วย electromagnetic motor, pneumatic sliding valve, pneumatic actuator และพื้นบังคับ (control surfaces) ซึ่งใช๎แก๏สความดันสูง ในการบังคับ หลักการท างานของพื้นบังคับ ก็คือ การเหวี่ยงตามสัญญาณควบคุมจาก seeker และการที่ พื้นบังคับ หมุนไปรอบๆพร๎อมกับการหมุนรอบตัวเองของ จรวด ท าให๎เกิดแรงควบคุม (control force) ในการน าจรวด พุํงไปสูํเปูาหมาย สํวนประกอบและหน๎าที่ของ servo section สามารถแยกอธิบายได๎ดังนี้ (๑) Onboard power supply มีลักษณะเป็น chemical battery ท าหน๎าที่จํายไฟให๎กับ seeker และ สํวนประกอบภายใน หลังจากที่จรวดถูกยิงออกไปแล๎ว (๒) Gas generator ประกอบด๎วย combustion chamber, powder และ igniter ท าหน๎าที่ สํงแก๏สความดันสูงให๎กับ gas steering mechanism (๓) Lateral force generator ประกอบด๎วย combustion chamber, powder, igniter และ control valve เมื่อจรวดถูกยิงออกจากทํอยิงแล๎ว สัญญาณควบคุม (control signal) จะท าหน๎าที่ควบคุมแก๏สความดันสูงซึ่ง lateral force generator เป็นตัวสร๎างขึ้น ให๎เคลื่อนที่ผําน control valve ซึ่งติดตํอกับพื้นบังคับ และ แก๏สจะพุํงออกจากจรวดออกมาจากทํอ ๒ ทํอซึ่งอยูํคนละด๎านของ จรวด การพุํงออกมาของแก๏สจะเป็นไปตาม deflection rules ของพื้นบังคับ ผลก็คือเกิด leading angle ซึ่งถือ เป็นการสิ้นสุดขั้นตอน initial guidance (๔) Angular velocity sensor/modulator ประกอบด๎วย angular velocity sensor และ modulator ซึ่งจะมีความไวตํอสัญญาณการแกวํง (swing signals) ตามแกน นอนของจรวด สัญญาณการแกวํงนี้จะกลายเป็นสํวนหนึ่งของสัญญาณควบคุมจรวด (๕) Cable socket unit ประกอบด๎วย socket, cables, switch-on device และ readied unit ท าหน๎าที่ตํออุปกรณ็ตํางๆทั้งทางกายภาพ (mechanically) และทาง ไฟฟูา (electrically) เข๎าด๎วยกัน ๕.๑.๒ สํวนหัวระเบิด (Warhead) ประกอบด๎วย warhead และ fuze ๕.๑.๒.๑ warhead จะอยูํด๎านหน๎าของ fuze ภายใน warhead ก็จะ ประกอบด๎วย case, main charge, auxilairy booster และอื่นๆ สํวน fuze จะท าหน๎าที่จุดระเบิด warhead เพื่อท าลายเปูาหมาย ถ๎าจรวดพลาดเปูาหมาย fuze ก็จะจุดระเบิดเพื่อให๎ warhead ท าลายตัวเอง ๕.๑.๒.๒ fuze ของ QW-2 เป็นแบบ electromechanical contact fuze ประกอบด๎วย security mechniam, isolating mechanism, igniting mechanism, contact mechanism, self-destroying และ booster mechanism ภายในตัว fuze เองก็ถูกออกแบบให๎เกิดความปลอดภัยโดยการ ล็อคไมํให๎เกิดการระเบิดเมื่ออยูํใน ภาวะปกติ, ระหวํางการขนสํง, ระหวํางการบ ารุงรักษา และ ขณะที่เริ่มยิงจรวด หลังจากจรวดถูกยิงออกไปในระยะที่ปลอดภัย (safe distance) fuze จึงจะจุดระเบิดให๎กับ warhead


๑๕๘ ๕.๑.๓ สํวนดินขับ (Power unit) ประกอบด๎วยดินขับหลัก(sustainer) และ ดินขับ เริ่ม (firing motor) โดยดินขับหลักจะอยูํหน๎าดินขับเริ่ม (firing motor) ๕.๑.๓.๑ ดินขับหลัก (sustainer) ประกอบไปด๎วย case, solid power, nozzle, และ igniter โดยแรงขับของดินขับหลัก (sustainer) จะอยูํที่ 11000 N.S เมื่อจรวดเคลื่อนที่พ๎นทํอยิง ประมาณ ๘ - ๑๒ เมตร delay igniter จะเริ่มจุดตัว ชํวงเวลาการท างานของดินขับจรวดชุดชํวงแรก (first stage) ของดินขับหลักจะอยูํที่ ๑.๕ – ๒.๕ วินาที และในชํวงนี้เองที่จรวด สามารถเรํงความเร็วไปได๎ถึง ๖๐๐ เมตร/วินาที หลังจากนั้นดินขับจรวดชุดที่สอง (second stage) จะท างานเพื่อรักษาความเร็วของจรวดไว๎ที่ ๖๐๐ เมตร/วินาที ไปจนกระทั่งจรวดท าลายเปูาหมาย หรือดินขับจรวดหลักหยุดท างาน ระยะเวลาท างานของดินขับจรวดหลัก โดยรวมจะอยูํที่ ๖.๕ – ๘ วินาที ๕.๑.๓.๒ ดินขับเริ่ม (Firing motor) ประกอบด๎วย combustion chamber, solid powder, nozzle และ igniter โดยแรงขับอยูํที่ 280 N.S เมื่อเครื่องยิง (Firing unit) สํงสัญญาณทางไฟฟูา ไปจุดดินขับเริ่ม ระยะเวลาการท างานของดินขับเริ่ม คือ ๐.๐๔๕ – ๐.๐๗๕ วินาที ความเร็วต๎นจะมากกวํา ๒๕ เมตร/ วินาที และความเร็วของการหมุนของตัวจรวด (rotating speed) อยูํที่ ๒๐ รอบ/วินาที และขณะที่จรวด พุํงออก จากทํอยิง ตัวดินขับเริ่ม จะถูกดึงไว๎ ภายในทํอยิงโดยใช๎ separation device ๕.๑.๔ สํวนควบคุม Tail fins/separation device ประกอบด๎วย tail fins ๒ คูํ และ installation case โดย Installation angle ของ neutral plane ของ tail fins และแกนตั้งของจรวดคือ ๔๘’ Tail fins ถูกออกแบบมาให๎ควบคุมการบินของจรวด ในขณะเดียวกันก็ควบคุมการหมุนรอบตัวของจรวด ให๎คงที่ที่ ๑๕ รอบ/วินาที ในขณะที่เคลื่อนที่เข๎าหาเปูาหมาย ๕.๒ ทํอยิงจรวด (Firing Tube) สํวนประกอบของทํอยิงจรวด ได๎แกํ ๕.๒.๑ ทํอยิง (tube body) ท าจาก glass fiber reinforced plastic (GFRL) นอกจากจะใช๎ในการยิงจรวดแล๎วยังใช๎ในการขนสํงและติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆด๎วย ๕.๒.๒ Starting unit ประกอบด๎วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช๎ท างานรํวมกับเครื่องยิง (firing unit) ในการเริ่มการหมุนให๎ gyor (start up seeker gyro rotor) ขณะที่ยิง ๕.๒.๓ เครื่องเล็ง (Aiming unit) ประกอบด๎วย mechanical aiming unit, optical aiming device และ IR thermal image device socket ติดตั้งด๎านบนของทํอ ส าหรับ mechanical aiming device จะประกอบด๎วย ศูนย์เล็งหน๎าและหลังโดยการค านวณระยะทางของเปูาหมายด๎วยสายตาจะใช๎การมอง ผํานศูนย์เล็งทั้งสองอัน และที่ศูนย์เล็งหลังก็จะมี indicator ซึ่งเป็นตัวที่แสดงให๎ผู๎ยิงทราบถึงสถานะในการจับ เปูาหมาย เชํน ในขณะที่ยิงแบบ auto mode เมื่อพลยิงกดยิง seeker จะท าหน๎าที่ตรวจสอบหาเปูาหมายและจับ เปูาหมาย เมื่อ seeker พบเปูาหมายและสามารถจับเปูาได๎ indicator จะติดไฟสีเขียว ท าให๎พลยิงทราบวําตอนนี้ seeker พบเปูาและจับเปูาได๎แล๎ว แตํถ๎า indicator ไมํติดหรือติดแล๎วแตํไฟกะพริบก็จะเป็นการแจ๎งกับพลยิงวํา seeker ยังจับเปูาไมํได๎หรือจับเปูาได๎ไมํดีพอ ให๎พลยิงเล็งเปูาตํอไป สํวนในการยิงแบบ manual mode เมื่อพลยิง กดไกลงไปครึ่งหนึ่ง seeker จะเริ่มจับเปูาหมาย ถ๎าสามารถจับเปูาได๎แล๎ว indicator จะติดไปเปูนสัญญาณให๎พลยิง สามารถกดไกลงไปจนสุดได๎ แตํถ๎าไฟไมํติดหรือติดแล๎วแตํกะพริบก็แสดงวําการจับเปูาหมายของ seeker ยังไมํดีพอ ให๎ พลยิงเล็งไปเรื่อยๆ สํวน optical aiming device และ IR thermal image device socket จะใช๎ติด optical aiming device และ IR thermal image device


๑๕๙ ๕.๒.๔ Plug unit ประกอบด๎วย case และ umbilical plug ซึ่งถูกติดไว๎ด๎านลําง ของ firing tube โดย case ถือวําเป็นสํวนประกอบหลักของ plug unit ด๎านหน๎าของ plug unit จะเป็น ground energy unit socket ตรงสํวนท๎ายด๎านลํางจะมี bayonet mount ซึ่งถูกติดกับชุดเครื่องยิง โดยใช๎ fixed pin สํวน umbilical plug จะท าหน๎าที่เชื่อมจรวดเข๎ากับสํวนอิเล็คทรอนิคส์ของชุดเครื่องยิง เมื่อจรวดเริ่มเคลื่อนที่ไป ข๎างหน๎า umbilical plug ก็จะถูกแยกออกจากจรวด ๕.๒.๕ Activation mechanism ประกอบด๎วย crank และ firing pin อยูํด๎านหน๎า ของ plug unit เมื่อต๎องกางยิง จรวดจะต๎องท าการกระตุ๎น ground energy unit โดยการหมุน crank ตามเข็ม นาฬิกา จากนั้น firing pin จะกระทบกับ ground energy unit และกระตุ๎นให๎ground energy unit ท างาน ๕.๒.๖ Missile retaining mechanism จะติดอยูํสํวนท๎ายด๎านในของ plug unit case ประกอบด๎วย missile retaining pin และ spring โดยปกติเมื่อจรวดบรรจุอยูํในทํอยิงจะถูกยึดโดย missile retaining pin แตํเมื่อมีการยิง pin จะถูกปลํอยโดยไกและจรวดจะถูกปลดจากล็อค ๕.๒.๗ Head-on/Tail-on switch อยูํด๎านหน๎าซ๎ายของ plug unit case โดย เริ่มต๎น สวิชท์ จะอยูํที่ต าแหนํง Head-on แตํถ๎าจ าเป็นต๎องยิงใน Tail-on mode จะต๎องกดสวิชท์ ๑ ครั้ง เปลี่ยน mode การยิง ๕.๒.๘ Socket combination อยูํด๎านซ๎ายของ plug unit ท าหน๎าที่เชื่อมสํวน อิเล็คทรอนิคส์ของทํอยิงกับชุดเครื่องยิง ในขณะที่ไมํได๎ใช๎งาน socket ควรจะถูกปิดโดย spring clamp ๕.๒.๙ Igniting circuit ถูกออกแบบให๎ท าหน๎าที่เชื่อม fuze ของดินขับเริ่มกับ delay circuit ของชุดเครื่องยิงผําน terminal cabinet บริเวณท๎ายของทํอยิง ๕.๒.๑๐ Shoulder harness และ Protection cover unit ใช๎เมื่อต๎องแบก และ ใช๎ในการปูองกันฝุุนตามล าดับ (รูปภาพ : ทํอยิงจรวด Firing Tube) Front cover Starting unit Aiming unit Socket of aimer Harness Tube Back cover CBU socket Activation unit Head-on/tail-on Plug unit Socket unit Hook Ignition cabinet


๑๖๐ ๕.๓ ชุดเครื่องยิง (Firing unit) จะติดกับสํวนลํางของ firing tube และถูกล็อคโดยใช๎ front lock pin หน๎าที่หลักของ firing unit คือการ start up the seeker gyro rotor เพื่อให๎ supply power ไปให๎ seeker และท าหน๎าที่วิเคราะห์สัญญาณที่สะท๎อนจากเปูาหมาย firing unit ถูกออกแบบให๎สามารถท าการยิงได๎ทั้ง auto และ manual mode และเป็นตัวสร๎างสัญญาณการยิงและสํงสัญญาณให๎กับ igniting circuit ของ gas generator และ firing motor ๕.๓.๑ Case unit เป็นสํวนประกอบพื้นฐานของ firing unit ท ามาจาก glass fiber และเป็นตัวยึดอุปกรณ์ตํางๆของ firing unit เข๎ากับ firing tube สํวนท๎ายของ case จะติดกับ sponge rubber เพื่อใช๎รองบําขณะท าการยิง ๕.๓.๒ Electronic combination ถือเป็นหัวใจหลักของ firing unit ประกอบด๎วย starting control circuit, signal amplifying circuit, error signal analyzing circuit, incoming circuit และ delay circuit ๕.๓.๓ Plug unit จะติดอยูํด๎านบนของ firing unit ประกอบด๎วย plugs, pins, protection cover และ reed spring leaf เมื่อตํอ firing unit เข๎ากับ firing tube pins ของ plug unit จะตํอ เข๎ากับ socket บน firing tube ท าให๎เกิดการเชื่อมตํอของวงจร electronic ๕.๓.๔ Buzzer ติดอยูํด๎านท๎ายซ๎ายของ firing unit และถูกตํอกับ electronic combination หน๎าที่ของ buzzer ก็เหมือนกับ indicator คือเป็นตัวบอกสถานะการจับเปูาหมายของ seeker คือ เมื่อ seeker จับเปูาได๎ buzzer จะสํงเสียงยาวออกมา แตํถ๎าการจับเปูาหมายยังไมํดี จะท าให๎ไมํมีเสียงหรือเสียง อาจจะขาดๆหายๆ ๕.๓.๕ Trigger และ Safety mechanism อยูํบริเวณด๎ามจับ ประกอบด๎วยไกและ safety mechanism และ rod unit จากรูป (รูปภาพ : สํวนประกอบของเครื่องยิง Firing unit)


๑๖๑ (รูปภาพ : ต าแหนํงการยิงบนไกของเครื่องยิง) จะเห็นได๎วํา จุด N, M และ H แสดงต าแหนํง 3-stage operation ของไก และเป็นจุดที่สัมผัสกับ rod mechanism โดย N คือ original locking surface M คือ first unlocking stage H คือ second firing stage ในขณะที่ไมํมีการใช๎งาน จุด N จะสัมผัสกับ rod mechanism เมื่อไกถูกกด rod จะย๎ายจาก ต าแหนํง N ไปสัมผัสกับ M และไกก็จะถูก unlocked ในขณะนี้เอง electronic combination ของ firingunit ก็ จะสํงค าสั่งไป unlock gyro ใน seeker ถ๎า gunner ยังกดไกตํอไป rod ก็จะไปสัมผัสกับต าแหนํง H เป็นผลให๎ electronic combination สํงสัญญาณการยิงและ missile ก็จะถูกยิงออกไป ๕.๓.๖ Security mechanism ประกอบด๎วย crank และ locking device ถูก ออกแบบให๎ท าหน๎าที่ lock ไกไว๎ ณ ต าแหนํง safe หรือ fire เพื่อความปลอดภัย เมื่อไกถูกกดไปจนสุด locking device จะท าหน๎าที่ lock ไกไว๎ ณ ต าแหนํงที่กดลงไป เมื่อต๎องการยิงอีกครั้งก็สามารถปลํอยไกกลับมาโดยการกด lock pin โดยปกติ firing unit จะถูกเก็บไว๎ใน sheath ซึ่งใน sheath จะมี goggle ใสํไว๎เพื่อปูองกันตาของ gunner ขณะท าการยิง ๕.๔ Optical aiming device ประกอบด๎วย aiming shell, plug, sunlight filter และ optical system (Field of view ของ optical aiming device) อยูํที่ 25 และมีก าลังขยาย 2 เทํา (รูปภาพ : สํวนประกอบของเครื่องชํวยเล็ง (Optical aiming device) Light filter Lens Plug Push rod Aime r Tube


๑๖๒ ๕.๕ แบตเตอรี่ Ground energy unit จะติดใน socket ด๎านหน๎าของ firing tube เมื่อ gunner หมุน activating device ตามเข็มนาฬิกา firing pin จะ activate ground energy unit โดยอัตโนมัติ หลังจาก activate ground energy unit แล๎ว ๒-๓ seconds Ground energy unit ก็จะเข๎าสูํภาวะที่ใช๎งานได๎ เลย เวลาในการท างานของ ground energy unit จะอยูํที่ประมาณ ๔๐ วินาที ๕.๕.๑ Ground battery เป็น expendable chemical battery ประกอบด๎วย primer battery unit และ case เมื่อมีการยิง ground battery จะเป็นตัว supply power ให๎กับ seeker ๕.๕.๒ Gas bottle ประกอบด๎วยตัว bottle และ connector ภายใน gas bottle จะบรรจุ Nitrogen gas ความดันสูงไว๎เพื่อท าหน๎าที่หลํอเย็น IR seeker (รูปภาพ : Ground Energy Unit ของ Q-2)


๑๖๓ บทที่ ๓๕ ปืนต่อสู้อากาศยาน ๓๗ มม. ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด ๓๗ มิลลิเมตร แบบ .๗๔ ๑. กลําวทั่วไป เป็นปืนตํอสู๎อากาศยานที่กองทัพอากาศจัดซื้อหามาจากประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๑ มีใช๎แพรํหลายในกลุํมประเทศสังคมนิยม และประเทศที่ได๎รับความชํวยเหลือทาง ทหารจากสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) และสาธารณรัฐประชาชนจีน เชํน ประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา และเกาหลีเหนือ ๑.๑ ประวัติความเป็นมา เป็นปืนตํอสู๎อากาศยานที่ใช๎รํวมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม ต๎นแบบของปืนเป็นแบบโฟฟอดร์ เป็นชาวประเทศสวีเดนเป็นผู๎ออกแบบไว๎ ต๎นแบบของปืนเดิมคือปืนตํอสู๎อากาศยานขนาด ๔๐ มิลลิเมตร แบบ L60 สหภาพโซเวียต (รัสเซีย) น ามาสร๎าง ได๎พัฒนา ดัดแปลงโดยลดขนาดของล ากล๎องปืนลงให๎เหลือขนาด ๓๗ มิลลิเมตร เพื่อให๎มีน้ าหนักลดลงสะดวก กับการใช๎งานในการลากจูงและการตั้งยิง สาธารณรัฐประชาชนจีนได๎น าปืนตํอสู๎อากาศยานขนาด ๓๗ มิลลิเมตร มาสร๎างพัฒนาดัดแปลงเพิ่มเติมเป็นแทํนปืน เพื่อให๎อ านาจการยิงสูงขึ้นไว๎ใช๎ในกองทัพและสํงขายตํางประเทศ โดยเฉพาะในกลุํมประเทศตะวันออกกลางจะมากเป็นพิเศษ ๑.๒ คุณสมบัติและขีดความสามารถ เป็นปืนตํอสู๎อากาศยานที่ใช๎ปูองกันภัยทางอากาศใน ระยะต่ า เมื่อเข๎าชุดยิงหวังผลได๎ในระยะ ๔,๕๐๐ เมตร ตํอเปูาหมายที่เป็นอากาศยาน เครื่องบินจารกรรมไร๎คนขับ ที่มีขนาดเล็ก (RPV) และจรวดน าวิถีระดับต่ า เชํน จรวดโทมาฮ๏อก มีความเร็วไมํเกิน ๓๐๐ เมตร/วินาที สามารถ ท าการยิงสนับสนุนทางภาคพื้นได๎ดีโดยการเล็งตรงไปยังเปูาหมาย จัดเป็นประเภทปืนใหญํวิถีราบกระสุนมีให๎ เลือกใช๎หลายแบบ กระสุนหัวระเบิด (HE), กระสุนหัวระเบิดสํองวิถี(HE – T), กระสุนหาเกราะสํองวิถี(AP – T) และกระสุนเคมียิงท าฝนเทียม กระสุนหัวระเบิด (AP-T) เมื่อยิงกระทบเปูาหมายจะถํวงเวลาประมาณ ๒-๓ วินาที เพื่อให๎หัวกระสุนเจาะเข๎าไประเบิดภายในตัวเปูาหมาย เมื่อยิงไมํถูกเปูาหมายกระสุนจุระเบิดท าลายตัวเองใน ระยะเวลา ๘-๑๓ วินาที จะไมํเกิดอันตรายตํอฝุายเดียวกัน จะมีอ านาจการยิงสูงสุด เมื่อปืนตํอสู๎อากาศยานขนาด ๓๗ มิลลิเมตร เข๎าระบบเครื่องควบคุมการยิง เครื่องควบคุมการยิงนี้สามารถควบคุมปืนตํอสู๎อากาศยานทั้ง ๖ แทํน (๑๒ ล ากล๎อง) ไปในทิศทางเดียวกันและท าการยิงกระสุนไปพร๎อมกันจะมีจะมีโอกาสถูกเปูาหมายได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ


๑๖๔ ๑.๓. คุณลักษณะและขีดความสามารถ ปตอ.๓๗ มม. แบบ ๗๔ ผลิตในประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยบริษัทนอริงโก ปตอ.๓๗ นี้งํายตํอการควบคุมโดยพลประจ าปืนที่มีความช านาญ และสามารถ ควบคุมด๎วยเรดาร์ควบคุมการยิง ซึ่งสามารถยิงเปูาหมายได๎อยํางแมํนย าทุกสภาพอากาศ ๑.๓.๑ น้ าหนักตัวปืนพร๎อมรถรองปืน ๓,๑๐๐ กิโลกรัม ๑.๓.๒ ระยะยิงไกลสุด ๘,๕๐๐ เมตร ๑.๓.๓ ระยะยิงหวังผล ๓,๕๐๐ - ๔,๕๐๐ เมตร ๑.๓.๔ กระสุนท าลายตัวเอง ๘ – ๑๓ วินาที ๑.๓.๕ ความกว๎างปากล ากล๎อง ๓๗ มม. ๑.๓.๖ เปลี่ยนล ากล๎องปืนเมื่อยิงติดตํอกัน ๙๐ นัด ๑.๓.๗ อายุการใช๎งานล ากล๎อง ๕,๐๐๐ นัด ๑.๓.๘ อัตราเร็วในการยิงสูงสุด ๔๔๐ – ๔๘๐ นัด/นาที (สองล ากล๎อง) ๑.๓.๙ การสํายทางทิศ ๓๖๐ องศา ๑.๓.๑๐ มุมยิงสูงสุดโดยใช๎ไฟฟูา ๘๐ องศา ๓๐ ลิปดา ๑.๓.๑๑ มุมยิงต่ าสุดโดยใช๎ไฟฟูา ๐ องศา ๑.๓.๑๒ มุมยิงสูงสุดโดยใช๎มือ ๘๗ องศา ๑.๓.๑๓ มุมยิงต่ าสุดโดยใช๎มือ -๕ องศา ๑.๓.๑๔ ระยะถอยปกติ ๑๓๐ – ๑๕๕ องศา ๑.๓.๑๕ ระยะถอยสูงสุด ๑๖๐ องศา ๑.๓.๑๖ ระยะถอยสูงสุดที่ยอมให๎ไมํเกิน ๑๕๘ องศา


๑๖๕ บทที่ ๓๖ ปืนต่อสู้อากาศยาน ๓๐ มม. ระบบปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด ๓๐ มม. MAUSER ๑. ลักษณะทั่วไป ปตอ.๓๐ มม.เมาเซอร์เป็นเพียงสํวนหนึ่งของระบบที่สมบูรณ์ ซึ่งประกอบด๎วย ระบบควบคุมการยิงสกายการ์ด ๑ ชุด/ปตอ.๓๐ มม. จ านวน ๒ หนํวยยิง มีจ านวน ๔ กระบอก ระบบควบคุม การยิงสกายการ์ด (SKYGUARD) ผลิตขึ้นมาเพื่อใช๎กับ ปตอ.๓๕ มม. OERLIKON ซึ่งเป็นของบริษัท CONTRAVES ประเทศสวิสเซอร์แลนด์แตํ ทอ.มีความต๎องการใช๎งาน ปตอ.ขนาด ๓๐ มม.ฉะนั้น ปตอ.ขนาด ๓๐ มม. ๔ กระบอกแรก ของโลก จึงถูกสร๎างขึ้นโดยสองบริษัทรํวมมือกัน ๑.๑ ประวัติความเป็นมา กองทัพอากาศไทยรับระบบนี้เข๎ามาเมื่อปี ๒๕๓๑ SKYGUARD เป็นเรดาร์ภาคพื้นที่ติดตั้งบนรถลากจูง สามารถเคลื่อนที่ได๎สะดวกรวดเร็ว จัดอยูํในเรดาร์อัตราจร จุดมุํงหมายเพื่อ ตรวจการณ์บ.ที่สามารถเล็ดลอดพ๎นมาจากเรดาร์สกัดกั้นตามแนวชายแดนด๎วยขีดความสามารถในการตรวจการณ์ รวมทั้งการอ านวยการ ควบคุมสั่งการไปยังชุดยิงในการตํอต๎านท าลายเปูาหมายที่บุกรุกเข๎ามา KYGUARD ๑ ตัว สามารถอ านวยการควบคุมและสั่งการไปยัง ปตอ.ได๎ ๒ แทํนยิง และ ฐานยิงจรวดน าวิถีได๎ ๒ ฐานพร๎อมๆกัน อุปกรณ์หลักของ SKYGUARD ได๎แกํ ๑.๑.๑ เรดาร์ตรวจการณ์ (SEARCH RADAR) ซึ่งสามารถตรวจการณ์ได๎อยํางตํอเนื่อง ขจัดคลื่นรบกวน สามารถตรวจจับเปูาหมายได๎ถึง ๘ เปูาหมาย ในเวลาเดียวกัน วิเคราะห์เปูาหมายที่มีภัยคุกคาม มากที่สุด รัศมีตรวจการณ์ ๒๐ กม. พร๎อมทั้งระบบตํอต๎านสงครามอิเล็กทรอนิกส์(ECCM) ๑.๑.๒ เรดาร์ติดตาม (TRACKING RADAR) ซึ่งสามารถติดตาม และ LOCK-ON ได๎ในรัศมี ๒๐ กม. ทั้งในแบบ ACTIVE และ PASSIVE หรือติดตามแบบ MEMORY ในกรณีเปูาหมาย มีสิ่งกีดขวาง ขณะติดตาม เชํน แนวเขา ๑.๑.๓ กล๎องทีวี (ELECTRO OPTICAL SYSTEM) ซึ่งติดตั้งอยูํใกล๎กับชุดเรดาร์ ติดตาม ท าให๎สามารถพิสูจน์ทราบเปูาหมายได๎ด๎วยภาพจริง ๆ และในกรณีมีการรบกวนทางอิเล็กทรอนิกส์มากก็ สามารถติดตามเปูาหมายได๎ด๎วย กล๎องทีวีซึ่งควบคุมด๎วย JOYSTICK ๑.๑.๔ ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักมีหน๎าที่ในการอ านวยการควบคุม สั่งการ ประมวลผลตําง ๆ ให๎กับระบบทั้งหมด ผลิตโดยบริษัท CONTRAVES ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ๑.๒ ทอ.จัดหาเข๎าประจ าการเมื่อ ก.ย.๒๕๓๑ พร๎อมกับ ปตอ. ๓๐ มม.เมาเซอร์และในปี ๒๕๓๗ ได๎จัดหาจรวดตํอสู๎อากาศยานและตํอต๎านรถถัง แบบ ADATS เข๎ามาใช๎งานรํวมกับ SKYGUARD ปัจจุบันนี้ ประจ าการ ณ พัน.อย.บน.๑


๑๖๖ ๑.๓ คุณลักษณะและขีดความสามารถ ปืนตํอสู๎อากาศยาน ขนาด ๓๐ มม MAUSER ๑.๓.๑ ปีที่ประจ าการ ๒๕๓๑ ๑.๓.๒ ความกว๎างของปากล ากล๎อง ๓๐ มม. ๑.๓.๓ ระยะยิงไกลสุด ๗๕๐๐ ม. ๑.๓.๔ ระยะยิงหวังผล ๓๕๐๐ ม. ๑.๓.๕ ความเร็วต๎นกระสุน ๑,๐๒๕ ม./นาที ๑.๓.๖ อัตราเร็วในการยิง ๑,๖๐๐ นัด/นาที ๑.๓.๗ มุมยิงสูงสุด ๘๕ องศา ๑.๓.๘ ความเร็วในการสํายบังคับ ด๎วยเรดาร์ควบคุมการยิง ๙๔ องศา/วินาที ๑.๓.๙ น้ าหนักปืน , รถรองปืนและ ย.ท าไฟ ๗.๑๕ ตัน ๑.๓.๑๐ ใช๎ Skyguard ควบคุมการยิง โดยมี ๑.๓.๑๐.๑ ระยะค๎นหา ๐.๕ – ๒๘.๕ กม. ๑.๓.๑๐.๒ ระยะติดตาม ๐.๕ – ๒๐ กม. ๑.๓.๑๑ ใช๎ จนท. จ านวน ๔ คน ๑.๓.๑๒ ผลิตโดย สาธารณรัฐเยอรมัน ๒. ระบบปืนตํอสู๎อากาศยาน ขนาด ๓๐ มม. MAUSER และเรดาร์ควบคุมการยิง SKY GUARD ๒.๑ Fire Control Unit จ านวน ๒ หนํวยยิง ๒.๑.๑ Fire Control Unit หมายเลข ๒๐๑๐๕๐ ๒.๑.๒ Fire Control Unit หมายเลข ๒๐๑๐๔๗ ๒.๒ Power Supply Unit (SG) จ านวน ๒ หนํวยยิง ๒.๓ GUN Unit จ านวน ๔ หนํวยยิง ๒.๓.๑ GUN Unit หมายเลข G – 001 ๒.๓.๒ GUN Unit หมายเลข G – 002 ๒.๓.๓ GUN Unit หมายเลข G – 003 ๒.๓.๔ GUN Unit หมายเลข G – 004 ๒.๔ Power Supply Unit (GUN) จ านวน ๔ หนํวยยิง


๑๖๗ บทที่ ๓๗ เรดาร์ค้นหาควบคุมการยิง SKYGUARD ๑. คุณลักษณะและขีดความสามารถ เรดาร์ควบคุมการยิง SKYGUARD ๑.๑ ปีที่ประจ าการ ๒๕๓๑ ๑.๒ ความกว๎าง x ยาวx สูง ๒,๓๐๐ x ๕,๙๓๗ x ๑,๒๔๐ มม. ๑.๓ น้ าหนัก ๕,๙๒๐ กก. ๑.๔ ใช๎ไฟฟูา ๓ เฟส ๑๑๕ V. ๑.๕ ระยะค๎นหาเรดาร์ ๕๐๐ ม. – ๒๘.๕ กม. ๑.๖ ระยะตรวจจับของเรดาร์ ๕๐๐ ม. – ๒๐ กม. ๑.๗ ความเร็วของ เปูาหมายที่สามารถจับได๎ ๐ – ๖๖๕ ม./วินาที ๑.๘ ระบบคอมพิวเตอร์ ๑.๘.๑ ระบบ DIGITAL COMPUTER ชนิด CORA ๒ MB , ๑.๘.๒ ๑๖ K REALY PROGAMABLE COMPUTER ๑.๘.๓ ความจุหนํวยความจ า ๑๖,๓๘๔ ค า ๒๔ Bit ๑.๙ SOFTWARE ที่ใช๎ ๑.๙.๑ COMBAT PROGRAM ๑.๙.๒ FUNCTION TEST PROGRAM ๑.๙.๓ COMPUTER TEST PROGRAM ๑.๙.๔ TRANING SIMULATOR 1 ๑.๑๐ ใช๎ จนท. ๔ คน ๑.๑๑ ผลิตโดย บริษัท คอนทราเวส เอ จี สวิสเซอร์แลนด์


๑๖๘ บทที่ ๓๘ เรดาร์ค้นหาแจ้งเตือน Giraffe 40 ๑. ข๎อมูลทางเทคนิค ๑.๑ ปีที่ประจ าการ ๒๕๔๐ ๑.๒ ผลิตโดย บริษัท อีริคสัน ประเทศสวีเดน ๑.๓ ประเภท PULSE DOPPLER RADAR ๑.๔ ระยะในการค๎นหาเปูาหมาย ๔๐ กม. ๑.๕ ความถี่ C – BAND ,๕.๔ – ๕.๙ GHz ๑.๖ ก าลังสํง มากกวํา ๑๐ KW. ๑.๗ ความเร็วเปูาหมายที่สามารถจับได๎ ๑.๗.๑ ระยะ ๒๐ กม. ความเร็ว ๓๐ – ๙๐๐ ม./วินาที ๑.๗.๒ ระยะ ๔๐ กม. ความเร็ว ๑๕ – ๙๐๐ ม./วินาที ๑.๘ จ านวนเปูาหมายที่สามารถติดตามได๎จ านวน ๙ เปูาหมาย ๑.๙ ความกว๎าง ๒.๕ เมตร ๑.๑๐ ความยาว ๘.๕ เมตร ๑.๑๑ ความสูง ๓.๖ เมตร ๑.๑๒ ความสูงเมื่อยกเสาอากาศ ๑๒.๑ เมตร ๑.๑๓ น้ าหนัก ๑๗,๔๕๐ กก. ๑.๑๔ เครื่องยนต์ โฟล์คสวาเกน ดีเซล รุํน ๐๖๘ –C ๑.๑๕ แหลํงก าเนิดไฟฟูา ๓x๑๒๗ / ๒๒๐ V.,๕๐Hz.,๑๓ KVA และ ๓x๑๑๕ / ๒๒๐ V.,๔๐๐ Hz.,๑๐ KVA ๑.๑๖ อัตราการสิ้นเปลือง ๕ ลิตร/ ชม. ๑.๑๗ ความจุถังน้ ามัน ๔๐ ลิตร ๒. สถานภาพเรดาร์ค๎นหาและแจ๎งเตือนระยะใกล๎ GIRAFFE-40 ๒.๑ หมายเลขรถ ๕๕๕๖๗ ปีที่ประจ าการ ๒๕๔๐ ปัจจุบันประจ าการ ณ พัน.อย.บน.๑ (ย๎าย จากกรม ตอ.ฯ เมื่อปี ๔๘) ๒.๒ หมายเลขรถ ๕๕๕๖๘ ปีที่ประจ าการ ๒๕๔๐ ปัจจุบันประจ าการ ณ พัน.อย.บน.๔ ๒.๓ หมายเลขรถ ๕๕๕๖๙ ปีที่ประจ าการ ๒๕๔๐ ปัจจุบันประจ าการ ณ พัน.๒ กรม ตอ.รอ.อย. (ตู๎เรดาร์บนชานบรรทุก) ๒.๔ หมายเลขรถ ๕๕๕๗๐ ปีที่ประจ าการ ๒๕๔๐ ปัจจุบันประจ าการ ณ พัน.อย.บน.๗


๑๖๙ บทที่ ๓๙ ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้ง ๑๐๕ มม. ลากจูงขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร เอ็ม ๖๑๘ เอ ๒ ๑. กลําวทั่วไป ปืนใหญํเบากระสุนวิถีโค๎ง ขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร แบบ เอ็ม ๖๑๘ เอ ๒ เป็น อาวุธปืนใหญํสนาม ลากจูง ระบายความร๎อนด๎วยอากาศ และใช๎กระสุนกึ่งรวม ประกอบด๎วยสํวนใหญํ ๆ ๒ สํวน คือ ตัวปืน และ รถรองปืน ๒. มาตรฐานของปืน ๒.๑ ทั่วไป ๒.๑.๑ ความยาว (โดยประมาณ) ๑๘ ฟุต ๙ นิ้ว ๒.๑.๒ ความกว๎าง (โดยประมาณ) ๖ ฟุต ๑๐ นิ้ว ๒.๑.๓ ความสูง (โดยประมาณ) ๕ ฟุต ๖ นิ้ว ๒.๑.๔ น้ าหนัก ๒,๒๓๕ กิโลกรัม ๒.๑.๕ ความเร็วลากจูง ๒.๑.๕.๑ ถนนพื้นแข็ง ๓๕ ไมล์/ชั่วโมง ๒.๑.๕.๒ ถนนพื้นฝุุน ๑๕ ไมล์/ชั่วโมง ๒.๑.๕.๓ ภูมิประเทศ ๑๐ ไมล์/ชั่วโมง ๒.๒ การท างานทั่วไป ๒.๒.๑ มุมสูงยกได๎สูงสุด ๑๑๔๐ มิลเลียม ๒.๒.๒ มุมสูงลดได๎ต่ าสุด - ๘๕ มิลเลียม ๒.๒.๓ มุมสํายมากที่สุด ๔๐๐ มิลเลียม ๒.๒.๔ ระยะถอยปกติ ๕๘ – ๘๕ เซนติเมตร ๒.๒.๕ ระยะถอยสูงสุดที่ยอมให๎ ๑๐๕ เซนติเมตร ๒.๒.๖ ระยะยิงไกลสุด (มุมสูง, บจ. ๗) ๑,๑๐๐ เมตร ๒.๒.๗ อัตราเร็วในการยิง ๒.๒.๗.๑ สูงสุด (๓ นาทีแรก) ๑๐ นัด ๒.๒.๗.๒ ยิงตํอเนื่อง ๓ นัด


๑๗๐ บทที่ ๔๐ อาวุธ นิวเคลียร์ ชีวะ เคมี ๑. กลําวทั่วไป ๑.๑ นิวเคลียร์ คือ พลังงานความร๎อนที่เกิดขึ้นในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เกิดจากการท า ปฏิกิริยา แตกตัวระหวํางนิวตรอนกับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ โดยมีหลักการท าปฏิกิริยาดังนี้คือ อนุภาคนิวตรอน พลังงานต่ าที่ ๐.๐๒๕ อิเล็กตรอนโวลต์ (eV) ที่ความเร็ว ๒,๒๐๐ เมตร/วินาที วิ่งชนนิวเคลียสของธาตุหนัก (เชื้อเพลิง) ที่สามารถแตกตัวได๎ เชํน ยูเรเนียม-๒๓๕ เมื่อนิวเคลียสแตกออกเป็น ๒ สํวน จะปลดปลํอยพลังงานออกมาในรูป กัมมันตรังสี ความร๎อน ฯลฯ ซึ่งผลของการชนดังกลําวท าให๎นิวตรอนซึ่งอยูํในนิวเคลียสหลุดกระเด็นออกมา ๒ - ๓ ตัว ตํอการชน ๑ ครั้ง นิวตรอน ๒ - ๓ ตัวดังกลําวนี้ เริ่มแรกจะมีพลังงานสูง และเมื่อเคลื่อนที่ผํานสารหนํวงนิวตรอน (เชํน น้ า แกรไฟต์) จะท าให๎พลังงานและความเร็วลดต่ าลง กลายเป็นนิวตรอนพลังงานกลาง และพลังงานต่ า ตามล าดับ นิวตรอนเหลํานี้จะถูกดูดจับ และสูญหายไปบางสํวน ส าหรับนิวตรอนพลังงานต่ าที่หลุดรอดจากการถูก ดูดจับ ก็จะวิ่งชนนิวเคลียสของเชื้อเพลิงที่แวดล๎อม ท าให๎เกิดปฏิกิริยาแตกตัวตํอไปได๎อีกอยํางตํอเนื่อง ลักษณะการ เกิดปฏิกิริยาแตกตัวนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งวํา ปฏิกิริยาลูกโซํนิวเคลียร์ (nuclear fission chain reaction) ความร๎อนที่ เกิดจะแปรผันโดยตรงกับจ านวนปฏิกิริยาแตกตัวแตํละครั้ง ซึ่งแปรผันโดยตรงกับปริมาณนิวตรอน และจ านวน นิวเคลียสของ เชื้อเพลิง ๑.๒ นิวเคลียร์(Nuclear) หรือ นิวเคลียส์(Nucleus) หมายถึงสิ่งที่อยูํตรงกลาง หรือที่เป็น ใจกลาง อาจหมายถึงได๎หลายสิ่ง ในที่นี่จะพูดถึงสองสิ่ง คือ ในทางชีวะ/เคมี กับ ทางเคมี/ฟิสิกส์ในทางชีวะ ๑.๓ นิวเคลียส หมายถึง นิวเคลียสของเซลล์(cell) ซึ่งเป็นสํวนประกอบหลักของเซลล์ เป็น สํวนที่มียีนส์ หรือ สารพันธุกรรม DNA อยูํภายใน โดยนิวเคลียสประกอบด๎วยเยื่อหุ๎มนิวเคลียสสองชั้น (เป็น phospholipid bilayer สองชั้น) มีรูจ านวนมาก และอาจมีไรโบโซม(เป็นRNA:กรดนิวคลีอิกประเภทหนึ่งคล๎าย DNA) และโปรตีนติดอยูํด๎วย รายละเอียดดูได๎ที่ในทางเคมี ๑.๔ นิวเคลียส หมายถึง นิวเคลียสของอะตอม(atom) ซึ่งเป็นสํวนที่เป็นประจุบวกอัดแนํน อยูํตรงใจกลางของอะตอม เริ่มเรียกโดย Rutherford ตํางจากแนวคิดเดิม(ของJ.J.Thompson)ที่มองวําประจุบวก กระจายอยูํทั่วๆอะตอม นิวเคลียสของอะตอมมีขนาดในหนํวย femtometer (10^{-15} เมตร) ประกอบด๎วย อนุภาคสองชนิดคือ อนุภาคที่มีประจุบวก โปรตอน(protons) และอนุภาคที่ไมํมีประจุ นิวตรอน(neutrons) จ านวนโปรตอนและนิวตรอนของแตํละธาตุแตกตํางกันไป สามารถหาได๎จากตารางธาตุ จากเลขอะตอมและเลข มวลละเอียดลงไป โปรตอนและนิวตรอน ตํางประกอบด๎วย ควาร์ก(quarks) สองชนิด คือ up(u) กับ down(d) โดยมีสํวนประกอบเป็น uud และ udd ตามล าดับ ปฏิกิริยาที่เกิดจากการชนของนิวเคลียสกับอนุภาคอื่น หรือการ สลายตัวของนิวเคลียสที่ให๎อนุภาคอื่นออกมา จึงถูกเรียกวําปฏิกิริยานิวเคลียร์ (Nuclear reaction) ซึ่งในกรณีนี้ บางปฏิกิริยาสามารถให๎พลังงานออกมาได๎มากมหาศาล จึงมีการนับไปประยุกต์ใช๎เป็นโรงไฟฟูานิวเคลียร์ (Nuclear Power Plant) รวมทั้งระเบิดนิวเคลียร์(Nuclear Bomb, Atomic Bomb) นิวเคลียร์อาจจะเป็นแบบนี้มากกวํา เรียกวํา พลังงานนิวเคลียร์พลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่ได๎จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ นิวเคลียร์ เป็น ค าคุณศัพท์ของค าวํา นิวเคลียส ซึ่งเป็นแกํนกลางของอะตอมธาตุ ซึ่งประกอบด๎วยอนุภาคโปรตอน และนิวตรอน ซึ่งยึดกันได๎ด๎วยแรงของอนุภาคไพออน


๑๗๑ ๑.๕ พลังงานนิวเคลียร์หมายถึง พลังงานไมํวําลักษณะใดๆก็ตาม ซึ่งเกิดจากนิวเคลียสอะตอมโดย ๑.๕.๑ พลังงานนิวเคลียร์ แบบฟิซชั่น (Fission) ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของนิวเคลียส ธาตุหนัก เชํน ยูเรเนียม พลูโทเนียม เมื่อถูกชนด๎วยนิวตรอนหรือโฟตอน ๑.๕.๒ พลังงานนิวเคลียร์ แบบฟิวชั่น (Fusion) เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียส ธาตุเบา เชํน ไฮโดรเจน ๑.๕.๓ พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี(Radioactivity) ซึ่งให๎รังสีตํางๆ ออกมา เชํน อัลฟา เบตา แกมมา และนิวตรอน เป็นต๎น ๑.๕.๔ พลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดจากการเรํงอนุภาคที่มีประจุ (Particle Accelerator) เชํน อิเล็กตรอน โปรตอน ดิวทีรอน และอัลฟา เป็นต๎น ๑.๖ ประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ ๑.๖.๑ ด๎านเกษตรกรรม งานในด๎านนี้ที่ประสบความส าเร็จมากคือ การวิจัยด๎านการ ฉายรังสีอาหารโดยใช๎รังสีแกมมาชํวยยืดอายุการเก็บของอาหาร ทั้งพืชผัก ผลไม๎ และเนื้อสัตว์ตํางๆ ได๎เป็นอยํางดี โดยจะชํวยยับยั้งการงอกของพืชผัก ชะลอการสุกของผลไม๎และชํวยท าลายแมลง พยาธิ หรือจุลินทรีย์ ในอาหาร และผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งอ านวยประโยชน์ให๎ประชาชนได๎บริโภคอาหารที่ถูกอนามัยปราศจากเชื้อโรคและ พยาธิชํวยการถนอมอาหารและเก็บรักษาอาหารและพืชผลไว๎บริโภคในชํวงฤดูกาลที่ขาดแคลน ลดการน าเข๎าจาก ตํางประเทศและเพิ่มรายได๎ของประเทศโดยสํงเสริมการสํงออกของ อาหารและผลิตผลการเกษตรจากการฉายรังสี นอกจากนี้ยังน าพลังงานนิวเคลียร์มาใช๎ในงานอื่นอีก เชํน ใช๎วิเคราะห์ดินเพื่อการจ าแนกพื้นที่เพาะปลูกหรือการใช๎ เทคนิคทางรังสีเพื่อ ศึกษาการดูดซึมแรํธาตุและปุ๋ยโดยต๎นไม๎และพืชเศรษฐกิจตํางๆ สํงเสริมการใช๎ปุ๋ยให๎มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือการน าเทคนิคดังกลําวมาปรับปรุงพันธ์พืช และสัตว์ เป็นต๎น ๑.๖.๒ ด๎านการแพทย์ ปัจจุบันมีการน าเทคนิคด๎านนิวเคลียร์มาใช๎ในทางการแพทย์ หลายด๎าน เชํน ด๎านการตรวจและวินิจฉัย โดยการใช๎เทคนิค Radioimmunoassay (RIA) ส าหรับตรวจวัดสารที่มี ประมาณน๎อยในรํางกาย หรือเทคนิคฉีดสารกัมมันตรังสีเข๎ารํางกาย เพื่อหาต าแหนํงของอวัยวะที่เสียหน๎าที่ และ ปัจจุบันสามารถตรวจดูรูปรํางและการท างานของอวัยวะด๎วยเครื่องมือที่เรียก วํา เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่ง ทันสมัยที่สุด ในด๎านการบ าบัดรักษาโดยเฉพาะโรคมะเร็งได๎มีการใช๎สารกัมมันตรังสีรํวมกับ การใช๎ยาหรือสารเคมี และการผําตัด นอกจากนี้ยังมีการใช๎รังสีในการท าให๎ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ปลอดเชื้อ หรือใช๎รังสีในการเตรียม วัคซีนและแอนติเจนโดยยังคุณสมบัติของวัคซีนเอาไว๎ และใช๎รังสีหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวใน ผลิตภัณฑ์เลือด เพื่อท าให๎ผู๎ปุวยมีความปลอดภัยในการรับและถํายเลือด เป็นต๎น ๑.๖.๓ ด๎านอุตสาหกรรม ปัจจัยหลักที่จะท าให๎อุตสาหกรรมก๎าวหน๎าไปได๎ในสภาวะ เศรษฐกิจของโลก ในขณะนี้ คือ การเพิ่มผลผลิต การควบคุมคุณภาพ และการลดต๎นทุนการผลิต เพื่อให๎บรรลุ วัตถุประสงค์ดังกลําวในปัจจุบันไทยได๎น าเทคโนโลยีนิวเคลียร์มา ใช๎ในการประกอบอุตสาหกรรมตํางๆ มากขึ้น เชํน การผลิตเส๎นใยสังเคราะห์ส าหรับทอผ๎า การผลิตปูนซีเมนต์ ไม๎อัดแผํนเรียบ กระเบื้อง กระดาษ ผลิตภัณฑ์แก๎ว เหล็ก หรือโลหะอุตสาหกรรมปิโตรเลียม และปิโตรเคมี การผลิตยางรถยนต์ การผลิตน้ าอัดลม การเปลี่ยนสีอัญมณี การควบคุมคุณภาพในการกํอสร๎างถนน เป็นต๎น โดยการใช๎เทคนิคที่ส าคัญคือ การตรวจสอบโดยไมํท าลาย หรือการ ใช๎รังสีเป็นสารติดตามและใช๎เป็นระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต๎น


๑๗๒ ๑.๖.๔ ด๎านการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เชํน การวิเคราะห์ธาตุปริมาณน๎อยและ สารพิษในสิ่งแวดล๎อม การศึกษาอายุของวัตถุโบราณ ศึกษาวัฏจักรหรือวงชีวิตของพืชและสัตว์บางชนิด การศึกษา การเคลื่อนที่ของน้ าใต๎ดินและน้ าผิวดิน ศึกษาแหลํงพลังงานความร๎อนใต๎พิภพ ศึกษาการสะสมการเคลื่อนที่ของ ตะกอนในเขื่อน แมํน้ า ล าคลอง และแหลํงน้ าตํางๆ นอกจากนี้ยังมีการใช๎รังสีเพื่อการก าจัดน้ าเสีย การผลิตปุ๋ย ธรรมชาติการพัฒนาที่ดินทางการเกษตร กิจกรรมทางปุาไม๎และอุทกวิทยา เป็นต๎น ๒. ความเป็นมาการใช๎อาวุธเคมีได๎ถูกน ามาใช๎ในสงครามครั้งแรกในปี ค.ศ.๑๙๑๕ อาจถือได๎วํา อาวุธเคมีเป็นอาวุธที่นําสะพึงกลัว อันหนึ่งในสนามรบที่ทหารจะต๎องเผชิญ วันเวลาหนึ่งศตวรรษที่ลุลํวงไปปรากฏ วําภัยคุกคามจากอาวุธเคมีได๎เข๎าไปมีบทบาทส าคัญหรือมีบทบาทรํวมกับภัยคุกคามจากอาวุธอื่นที่มีธรรมชาติ เชํน พิษภัยที่เกิดและเครื่องมือหรือมาตรการปูองกันที่คล๎ายคลึงกัน ในปี ๑๙๓๐ มีการยืนยันถึงความเป็นไปได๎วําที่ กองทัพจักรพรรดิ์ญี่ปุุนจะใช๎แบคทีเรียและเชื้อโรคบางชนิดในการรบ โดยมีทดลองใช๎ระบบนี้ในประเทศจีน สํวนภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเริ่มเห็นเป็นรูปรํางตั้งแตํปี ๑๙๔๕ และเป็นภัยคุกคามที่ส าคัญในปี ๑๙๗๐ เป็นต๎นมา อาจกลําวได๎วําความหํวงกังวลกับภัยคุกคามจากอาวุธเคมี ชีวะ นิวเคลียร์ ในปัจจุบันได๎ลดลงไปมาก เนื่องจากในปี ๑๙๘๙ และใน ๑๐ ปีที่ผํานมาได๎มีการตกลงเรื่องการลดอาวุธระหวํางชาติมหาอ านาจ คือ ประเทศ สหรัฐอเมริกาและประเทศกลุํมสหภาพโซเวียต ท าให๎การสะสมหัวรบนิวเคลียร์ลดลง ผลจากการยุติสงครามเย็นท า ให๎ระบบอาวุธนิวเคลียร์ในทางยุทธศาสตร์ในยุโรปได๎ถูกปลดประจ าการและท าลายไปจ านวนมาก การเผชิญหน๎า ระหวําง NATO และกลุํม WORSOW PACT ที่ถูกก าจัดไป เป็นปัจจัยที่ส าคัญที่สุดที่ลดภัยคุกคามจากอาวุธ นิวเคลียร์และเกิดผลกระทบไมํเพียงแคํในยุโรป แตํในบริเวณอื่นที่มีสงครามตัวแทน เชํน ในเกาหลีคาบสมุทร ด๎วย อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธชีวะก็เชํนเดียวกัน คือมีการท าข๎อตกลงและสนธิสัญญาลดอาวุธอยํางตํอเนื่อง โดยสารเคมี และสารชีวะที่ส าคัญได๎ถูกถอดออกจากการสะสมและถูกท าลายไปจ านวนมาก ถ๎านักการทหารมองจากจุดนี้ก็จะ เกิดค าถามวํา ท าไมประเทศตําง ๆ จึงมีความกังวลถึงกับมีการจัดซื้อเครื่องปูองกัน NBC และเครื่องมือตํอต๎าน สงครามเป็นค าตอบธรรมดาคืออาวุธเคมีและอาวุธชีวะเป็นอาวุธที่งํายในการผลิตมาใช๎งาน เพราะใช๎เทคโนโลยีทาง อุตสาหกรรมธรรมดา มีเพียงอาวุธนิวเคลียร์เทํานั้นที่อาจมีเทคโนโลยีสูงเกินไปส าหรับประเทศตําง ๆ อยํางไรก็ตาม ก็ยังมีบางประเทศ เชํน ลิเบีย อิหรําน และเกาหลีเหนือ ที่แสดงความมุํงมั่นที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมี ขําวที่เชื่อได๎วํามีการสูญหายหัวรบนิวเคลียร์ในประเทศที่แตกตัวมาจากสหภาพโซเวียตและหัวรบนั้นอาจไปอยูํใน ความครอบครองของประเทศอิหรํานหรือเกาหลีเหนือได๎ ความเชื่อนี้มีข๎อมูลสนับสนุนคือ เมื่อทาง MOSCOW ถูกถามถึงจ านวนหัวรบนิวเคลียร์ที่ผลิตขึ้นมา ค าตอบที่ได๎คือจ านวนโดยประมาณ นักการเมืองอาวุโสของรัสเซีย ผู๎หนึ่งให๎ข๎อมูลวํา อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์สูญหายไปถึง ๑๐๐ หัว ความจริงข๎อนี้ท าให๎ไมํสามารถท าใจให๎ สบายได๎วําจะไมํเกิดสงครามนิวเคลียร์ในอนาคต กรณีอาวุธเคมีและชีวะ ก็มีข๎อเท็จจริงท านองเดียวกัน เราต๎อง ระลึกอยูํเสมอวําสารเคมีที่ท าอาวุธ ที่ร๎ายแรงก็คล๎ายคลึงยาฆําแมลง โดยเฉพาะอยํางยิ่ง สารประกอบออกาโน - ฟอสเฟส จึงมีความเป็นไปได๎ ที่ประเทศที่มีโรงงานอุตสาหกรรมยาฆําแมลงจะผลิตอาวุธเคมีขึ้นมา โดยเพียง เปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตเพียงเล็กน๎อย นี่คือวิธีการที่ประเทศอีรัก อีหรําน และลิเบีย น าไปผลิตอาวุธเคมีขึ้น และก็เป็นวิธีการที่ประเทศอื่นสามารถกระท าได๎เชํนกัน จากเหตุผลนี้นานาชาติจึงได๎สร๎างมาตรการตําง ๆ หลายชั้น เพื่อท าให๎วิธีการที่ผลิตอาวุธเคมียากขึ้น เชํน การควบคุมการซื้อขายสารเคมีและควบคุมสาร Pre- Cursor ซึ่งก็คือ สารที่สามารถน าไปผสม เพื่อผลิตอาวุธเคมีแตํก็เป็นการยากเหลือเกินที่จะแนํใจได๎วําวงจรการผลิตอาวุธเคมีถูกตัด ขาดอยํางสิ้นเชิง


๑๗๓ ๓. ยุทธวิธีทางเคมีในทางยุทธวิธี ผลร๎ายแรงที่เกิดจากถูกโจมตีด๎วยอาวุธเคมีมิใชํการท าลายชีวิต หรือบาดเจ็บ แตํท าให๎ช็อกหรือตกใจสุดขีด ตัวอยํางที่เห็นได๎ชัดคือการใช๎อาวุธเคมีในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และ ๒ ในยุโรปและสงครามอีรัก อีหรําน ปรากฏมีผู๎บาดเจ็บไมํมากเมื่อเทียบกับก าลังทหารทั้งหมด แตํปรากฏวํามีผลท า ให๎ทหารทั้งกองพันหรือกรมในแนวหน๎าแตกทัพหลบหนีเข๎าไปในแนวหลัง ด๎วยเหตุผลนี้กองทหารที่ทรงคุณคําควร มีความพร๎อมในสงครามเคมีที่อาจเป็นไปได๎อาวุธที่ใช๎ตํอสู๎ความตื่นตระหนกคือการฝึกและความเชื่อมั่น กองทหาร ที่ถูกฝึกมาอยํางดีและไมํตื่นตกใจ เมื่อสวมใสํชุดปูองกัน จะชนะสงคราม NBC ไปแล๎วครึ่งหนึ่ง และหากพวกเขา ได๎รับการฝึกในเรื่องการพิสูจน์ทราบและมีประสบการณ์ในเรื่องการท าลายล๎างพิษและการลาดตระเวนทางเคมี อยํางดีแล๎ว นั่นคือสํวนที่เหลือของสงครามที่อยูํในก ามือ การฝึกทุกอยํางที่สนับสนุนด๎วยเครื่องมือที่ถูกต๎อง จะ น าไปสูํความเชื่อมั่น ซึ่งก็คือจิกซอ ตัวสุดท๎ายของสงคราม NBC การด าเนินการดังที่กลําวมานี้จะต๎องใช๎ระยะเวลา โดยเฉพาะอยํางยิ่งเรื่องการฝึกทหารและการลงทุนในการจัดหาเครื่องมือ มันไมํใชํเรื่องงํายหรืออาจเกือบเป็นไป ไมํได๎ที่จะด าเนินการฝึกทหารให๎มีความเชื่อมั่นและมีประสบการณ์เทคนิค NBC ในชํวงเวลาสั้น ๆ คงไมํมีกองทหาร ใดปรารถนาที่จะเผชิญสถานการณ์อาวุธเคมี ในสภาวะที่พวกเขาไมํมีประสบการณ์แตํต๎องพัฒนาประสบการณ์ อาวุธ NBC ในชํวงสั้น ๆ มันเป็นเรื่องที่งํายกวําและประหยัดกวําที่จะสร๎างประสบการณ์ NBC อยํางยั่งยืนยาว ด๎วยการเริ่มต๎นทันทีที่เป็นไปได๎ ในการนี้ภาพของสงคราม NBC ในอนาคตจะต๎องถูกสร๎างขึ้นโดยทหารให๎มากกวํา กิจทางทหารทั่วไป ใน ๒ - ๓ ปีนี้ ภาพรวมของสงคราม NBC ที่เป็นมรดกตกทอดมา ได๎มีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา เริ่มต๎นคือในยุคสงครามเย็น ยุโรป และ U.S.A. มองภาพสงครามระหวําง NATOกับกลุํม Warsaw ก็ คือมีการใช๎อาวุธเคมีพร๎อม ๆ กับอาวุธชีวะและอาวุธนิวเคลียร์ ในนาทีแรกเมื่อเกิดความขัดแย๎ง ดังนั้น กองทหาร ของเยอรมันทั้งหมดจะต๎องสวมใสํชุดปูองกันและหน๎ากากทันทีเมื่อเริ่มรบ โดยที่ทหารทุกคนทราบวําการรบใน ลักษณะสวมชุด NBC เต็มรูปแบบนั้น บางครั้งมีความยากล าบากและจะเกิดผลกระทบที่ร๎ายแรงตํอสมรรถนะใน การรบเป็นอยํางมาก อยํางไรก็ตามเมื่อมีการศึกษามากขึ้น จึงเกิดแนวความคิดใหมํคือวิธีเสี่ยงภัย (Risk Taking) กลําวคือ ถ๎าหนํวยทหารข๎างเคียงถูกโจมตีด๎วยสารประสาท ท าไมหนํวยทหารของเราที่อยูํหํางกัน ๒ - ๓ กิโล และ อยูํเหนือลม จะต๎องสวมใสํหน๎ากากปูองกัน การสวมหน๎ากากตามหลักนิยมเดิมเป็นไปอยํางไมํรู๎คุณคํา อยํางไรก็ ตามส าหรับกองทหาร NATO สํวนใหญํจะมีมุมมองในการตัดสินใจการสวมใสํที่ผู๎บังคับบัญชาหนํวยทหารบน พื้นดิน โดยให๎สวมใสํในระดับความรุนแรงต่ าสุดเทําที่จะเป็นไปได๎จึงเป็นเรื่องปกติของผู๎บังคับบัญชาหนํวยทหาร ราบที่ควรมีเครื่องมือตรวจการณ์ที่จ าเป็นส าหรับการตัดสินใจวํา เมื่อไรควรใสํหรือไมํต๎องใสํหน๎ากาก หากเพื่อน ทหารที่อยูํหําง ๒ - ๓ กิโลเมตร ถูกโจมตีด๎วยอาวุธเคมี ด๎วยวิธีนี้ผลของความเหนื่อยล๎าในการรบที่สะสมอยูํ เมื่อ สวมใสํชุดปูองกัน นชค. ก็จะลดน๎อยลง ๔. เทคโนโลยีที่ชํวยทางทหาร ปัญหาที่คุ๎นเคยคือชุดเสื้อผ๎าทาง NBC มีความเทอะทะไมํสะดวก ในการใช๎อาวุธ และยากล าบากในการปฏิบัติการ ในกลุํมประเทศยุโรปตะวันตกจะมีชุดปูองกันที่ใช๎งํายกวําชาติ ยุโรปตะวันออก โดยใช๎ยางมาท าเป็นชุดปูองกันทั้งหมด ซึ่งมีผลเสียคือ เวลาปฏิบัติการเหงื่อจะออกมากและสะสม ความร๎อนมาก แตํในไมํกี่ปีที่ผํานมา ได๎มีการปรับปรุงให๎สามารถสวมใสํชุด NBC ได๎งํายขึ้น โดยออกแบบให๎มี ลักษณะคล๎ายเสื้อแจ็กเก็ตสนามรบ ซึ่งมีซิบและ Velcro ซึ่งแตกตํางจากเดิมที่เป็นชิ้นเดียวกันทั้งชุด ใน ๒ - ๓ ปีที่ ผํานมาหนํวยงานวิจัยของสหราชอาณาจักรก็ได๎มีการวิจัยพัฒนาชุดปูองกัน NBC ใหมํ คือจากเดิมต๎องสวมชุด NBC ทับไปกับชุดสนาม แตํวิจัยพัฒนาให๎รวมมาเป็นชุดเดียวกันเทํานั้น เพื่อลดความเทอะทะและลดการสูญเสียเหงื่อ และลดความร๎อนสะสมที่เกินขีด รวมทั้งท าให๎คลํองตัวและลดความเครียดในการรบด๎วย ในขณะเดียวกันได๎มีการ วิจัยและพัฒนาในระยะยาวที่จะจัดหาเครื่องตรวจจับ (sensor) ที่สวมใสํติดไปกับตัวทหาร เพื่อบันทึกความร๎อน


๑๗๔ และการสูญเสียน้ าของรํางกาย ซึ่งท าให๎ผู๎บังคับบัญชาหรือผู๎บัญชาการสามารถทราบและเฝูาติดตามสภาพแวดล๎อม ทาง NBC ที่ทหารประสบอยูํในสนามรบ ถ๎าทหารประสบปัญหาหรืออํอนล๎าจากความร๎อนมาก ก็จะสั่งถอนทหาร ชุดนั้นออกจากสนามเพื่อพักฟื้น ในศตวรรษที่ ๒๑ ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศษ เยอรมนี อเมริกา รวมทั้ง แคนาดา ก าลัง ท าการวิจัยพัฒนาระบบชุดปูองกัน NBC ของทหาร ๕. การวิจัยพัฒนาในอนาคต การพิสูจน์ทราบ (Detection) คือ จุดอํอนของสงคราม ปัจจุบันใน สงครามมีโอกาสความเป็นไปได๎ที่กองทหารเข๎าไปในพื้นที่ที่เปื้อนพิษหรือใกล๎พื้นที่เปื้อนพิษ นั้นมีมากขึ้น แม๎วําจะมี เครื่องมือตรวจวัดที่ทันสมัยมากขึ้นก็ตาม ความสามารถในการพิสูจน์ทราบพื้นที่เปื้อนพิษ กํอนที่หนํวยทหารจะ เคลื่อนที่ผํานเข๎าไปคือกุญแจส าคัญ โดยจะใช๎วิธีระบบการตรวจการณ์ทางอากาศหรือตรวจการณ์จากสถานี ภาคพื้นดินที่พื้นที่หํางไกล ไปยังระบบควบคุมบังคับบัญชา และการประมวลผลรายงาน NBC ทุกครั้งกํอนการ ปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งควรน าข๎อมูลที่ถูกต๎องเกี่ยวกับพื้นที่สารพิษ แจกจํายให๎หนํวยทหารกํอนที่ปฏิบัติการใน สนามรบ ซึ่งหนํวยทหารจะสามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่เปื้อนพิษได๎กองทัพบกของอังกฤษและอเมริกาก าลังพิจารณาน า ระบบควบคุมและบังคับบัญชาทาง NBC มาใช๎งานเพราะเห็นข๎อได๎เปรียบของระบบ ถึงแม๎วําจะเป็นการตัดสินใจที่ เรํงดํวนก็ตาม แตํผลประโยชน์ที่ได๎รับก็คุ๎มคํา เมื่อเชื่อมโยงเข๎ากับวิธีเสี่ยงภัยในระดับยุทธวิธี อยํางไรก็ตามต๎อง ระลึกเสมอวํา " การจะได๎ระบบนี้มาจะต๎องใช๎งบประมาณมากมายเกินกวําปกติ และจะต๎องมีการฝึกอบรมองค์ บุคคล รวมทั้งจะต๎องจัดหาระบบลาดตระเวณทาง NBC เพื่อให๎ได๎ข๎อมูลขําวสารที่ถูกต๎อง" ตลอดจนจะต๎องมีการฝึก ทหารอยํางมีประสิทธิภาพเพื่อให๎ระบบทั้งหมดท างาน โดยมีหลักการที่วํา " การฝึกทหารเทํานั้น ท าให๎มีความ เชื่อมั่นในการรบภายใต๎สภาพแวดล๎อมทาง NBC" และให๎ถือเป็นบทเรียนเสมอวํา "ฝึกหนัก รบสบาย ฝึกสบาย รบอยํางล าบาก " (Training Hard , War Easy; Training Easy, War Hard)


๑๗๕ บทที่ ๔๑ อาวุธสงครามไซเบอร์ กลําวโดยทั่วไป ๑. ความหมายของไซเบอร์ (Cyber) ไซเบอร์เป็นค าที่ใช๎น าหน๎าค าอื่นสื่อความหมายวํามีลักษณะ ที่เกี่ยวข๎องกับคอมพิวเตอร์หรือ อิเล็กทรอนิกส์เชํน ไซเบอร์เนติกส์และไซเบอร์สเปซ ไซเบอร์มีขอบเขตที่เกี่ยวข๎อง กับการใช๎งานของระบบเครือขํายคอมพิวเตอร์และเครือขํายสังคมทั่วโลก อาทิระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต๎น ๑.๑ ศัพท์บัญญัติด๎านไซเบอร์ที่ส าคัญพร๎อมค าอธิบาย รายการศัพท์ที่ปรากฏในสํวนนี้ เป็น การรวบรวมเฉพาะค าศัพท์ด๎านไซเบอร์ที่จ าเป็นตํอการน ามาใช๎ส าหรับการศึกษาและใช๎เป็นกรอบในการด าเนินการ ด๎านสงครามไซเบอร์ของกองทัพอากาศ เทํานั้น มิได๎เป็นการนิยามค าศัพท์หรือการก าหนดความหมายให๎กับค าศัพท์ ดังกลําว ๑.๒ ไซเบอร์ (Cyber) หมายถึง สิ่งที่เกี่ยวข๎องหรือสัมพันธ์กับอินเทอร์เน็ต เครือขําย คอมพิวเตอร์(Computer Networks) ระบบสารสนเทศ (Information Systems) รวมไปถึงระบบที่ใช๎ควบคุมการ ท างานของอุปกรณ์ตําง ๆ (Embedded Systems) ๑.๓ มิติ หรือห๎วงไซเบอร์ (Cyberspace) หมายถึง สมรภูมิรบทางไซเบอร์ (Cyber WarFighting Domain) ซึ่งประยุกต์ใช๎หลักการด๎านอิเล็กทรอนิกส์ และหลักการด๎านแถบคลื่นแมํเหล็กไฟฟูาในการ จัดเก็บ แก๎ไข หรือแลกเปลี่ยนข๎อมูล ผํานระบบเครือขํายหรือโครงสร๎างพื้นฐานทางกายภาพ ๑.๔ อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง หลักการที่เกี่ยวข๎องกับการออกแบบวงจรไฟฟูา โดยใช๎ ทรานซิสเตอร์และไมโครชิป (Microchips) รวมไปถึงหลักการที่เกี่ยวข๎องกับพฤติกรรมและการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอนในสารกิ่งตัวน า (Semiconductor) ตัวน า (Conductor) สุญญากาศ หรือแก๏ส ๑.๕ แถบคลื่นแมํเหล็กไฟฟูา (Electromagnetic Spectrum) หมายถึง หลักการที่ เกี่ยวข๎องกับชํวงหรือแถบคลื่นแมํเหล็กไฟฟูาซึ่งมีความยาวคลื่นที่แตกตํางกัน และถูกน าไปใช๎ในการสื่อสาร โทรคมนาคมในรูปแบบตําง ๆ ตามคุณสมบัติของแตํละชํวงคลื่น ๑.๖ การสงครามไซเบอร์ (Cyberwarfare) หมายถึง การปฏิบัติการในมิติไซเบอร์ซึ่งมี มูลเหตุมาจากความขัดแย๎งด๎านการเมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อน าไปสูํการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) ไปยัง ฝุายตรงข๎าม ๑.๗ การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) หมายถึง การโจมตีฝุายตรงข๎ามโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อขัดขวาง (Disrupting) ท าลาย (Destroy) หรือควบคุม (Control) การใช๎งานมิติไซเบอร์ของฝุายตรงข๎าม รวม ไปถึงการท าลาย เปลี่ยนแปลง หรือขโมยข๎อมูลของฝุายตรงข๎ามด๎วย ๑.๘ การปฏิบัติการในห๎วงไซเบอร์ (Cyberspace Operations) หมายถึง การด าเนินการ โดยใช๎ขีดความสามารถทางไซเบอร์ (Cyber Capabilities) ในมิติไซเบอร์ เพื่อให๎บรรลุวัตถุประสงค์ทางทหาร ๑.๙ ความได๎เปรียบในห๎วงไซเบอร์/การครองห๎วงไซเบอร์ (Cyberspace Superiority) หมายถึง สภาพที่ฝุายเรามีอิสระในการปฏิบัติการในมิติไซเบอร์ได๎อยํางปลอดภัย (Secure) เชื่อถือได๎ (Reliable) ในชํวงเวลา (Time) และสถานที่ (Place) ที่ต๎องการ โดยปราศจากการกีดขวางจากฝุายตรงข๎าม


๑๗๖ ๑.๑๐ พลังอ านาจทางไซเบอร์ (Cyber Power) หมายถึง ความสามารถในการใช๎มิติไซเบอร์ เพื่อสร๎างความได๎เปรียบหรืออิทธิพลเหนือฝุายตรงข๎าม ๑.๑๑ ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) หมายถึง หลักการกระบวนการ หนทางปฏิบัติ หรือมาตรการตําง ๆ เพื่อปกปูองมิติไซเบอร์จากการโจมตีทางไซเบอร์ ๑.๑๒ ความตระหนักทางไซเบอร์ (Cyber Awareness) หมายถึง ความเข๎าใจอยํางถูกต๎องเกี่ยว กับสภาวะในมิติไซเบอร์ ตามชํวงเวลาที่ก าหนด ที่อาจสํงผลกระทบตํอความมั่นคงแหํงชาติ หรือผลประโยชน์แหํงชาติ ๑.๑๓ การตรวจสอบความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบสุํม หมายถึง การด าเนินการตรวจสอบ ความครบถ๎วนสมบูรณ์ของการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของหนํวยงานอื่นโดยมิได๎มี การแจ๎งลํวงหน๎าถึงวิธีการหรือขั้นตอนในการตรวจสอบ เพื่อให๎ได๎ผลการตรวจสอบตรงตามความเป็นจริง ๑.๑๔ โครงสร๎างพื้นฐานส าคัญของกองทัพอากาศ หมายถึง สิ่งที่เป็นเสมือนหัวใจของ กองทัพอากาศ ซึ่งหากถูกคุกคามโดยฝุายตรงข๎ามแล๎วจะเกิดความเสียหายอยํางร๎ายแรงตํอการด ารงอยูํของ กองทัพอากาศที่ส าคัญได๎แกํ ระบบควบคุมบังคับบัญชา ระบบสื่อสารและโทรคมนาคม ระบบอาวุธ ระบบตํอสู๎และ ปูองกันภัยทางอากาศ ฯลฯ ๑.๑๕ เหตุภัยคุกคามทางไซเบอร์ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกี่ยวข๎องกับการละเมิดนโยบายหรือ มาตรการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ ที่ส าคัญได๎แกํ เหตุการณ์ที่มีความพยายามเข๎าถึงระบบ โดยไมํได๎รับการ อนุญาต เหตุการณ์ขัดขวางหรือท าให๎ระบบไมํสามารถใช๎งานได๎ (Disruption or Denial of Service หรือ DDOS) หรือเหตุการณ์พยายามเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เฟิร์มแวร์ โดยไมํได๎รับอนุญาต ฯลฯ ๑.๑๖ ยุทโธปกรณ์ทางไซเบอร์ (Cyber Weapon) หมายถึง ชุดค าสั่งทางคอมพิวเตอร์ ซึ่ง ถูกออกแบบและใช๎ด าเนินการตํอระบบสารสนเทศหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของฝุายตรงข๎าม และหวังผลให๎เกิด ความเสียหายทางกายภาพ ทางกระบวนการท างาน หรือทางจิตใจ ๑.๑๗ นักรบไซเบอร์ (Cyber Warrior) หมายถึง บุคคลหรือกลุํมบุคคลซึ่งใช๎การปฏิบัติการ ในมิติไซเบอร์ตํอฝุายตรงข๎าม โดยมีมูลเหตุมาจากความขัดแย๎งทางการเมือง ๒. คุณลักษณะเฉพาะของมิติ หรือห๎วงไซเบอร์ ๒.๑ ถูกสร๎างขึ้น ด าเนินการบ ารุงรักษาและครอบครองเป็นเจ๎าของ ตลอดจนด าเนินการทั้ง ในลักษณะที่เป็นทางสาธารณะ เป็นของเอกชน และด าเนินการโดยรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ๒.๒ เปลี่ยนแปลงเมื่อเทคโนโลยี สถาปัตยกรรม กระบวนการ และความรู๎ความช านาญมีการ พัฒนารํวมกันเพื่อสร๎างขีดความสามารถใหมํ ๆ ๒.๓ ขึ้นอยูํกับสภาพพร๎อมใช๎งานของแถบแมํเหล็กไฟฟูา ๒.๔ ท าให๎กลยุทธ์การปฏิบัติการซึ่งได๎ประโยชน์จากข๎อมูลที่มีคุณภาพตํอการตกลงใจที่ เคลื่อนที่ด๎วยความเร็วใกล๎กับความเร็วของแสงมีอัตราสูงขึ้น ๒.๕ สามารถปฏิบัติการข๎ามมิติได๎แกํ มิติทางบก มิติทางน้ า มิติทางอากาศ และมิติทางอวกาศ ๒.๖ อยูํเหนือจากเขตแดนทางภูมิรัฐศาสตร์และองค์กรที่ก าหนดไว๎โดยทั่วไป ๒.๗ สร๎างโดยการติดตํอระหวํางกันของระบบการสํงผํานข๎อมูลขําวสาร สนับสนุนโครงสร๎าง พื้นฐาน ส าคัญ เครื่องมือที่เก็บ ประมวลผล และสํงผํานข๎อมูล และการใช๎โปรแกรมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ๒.๘ ประกอบด๎วยข๎อมูล เสียง และวิดิโอ ๒.๙ พร๎อมเข๎าถึงได๎ในหลายระดับกับชาติ องค์กร พันธมิตรอื่น ๆ ภาคเอกชนและฝุายตรง ข๎ามสร๎างพื้นฐานของสภาพแวดล๎อมทางข๎อมูลขําวสาร


๑๗๗ ๓. รูปแบบของภัยคุกคามทางไซเบอร์ภัยคุกคามคือสาเหตุที่ท าลายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ขององค์กร บุคลากรทุกคนต๎องมีความเข๎าใจและตระหนักถึงความเสียหายที่ตามมา ดังนั้น องค์กรจึงต๎องหาวิธีการ ในการปูองกัน เหตุการณ์ตําง ๆ บุคลากรจะต๎องรู๎ถึงวิธีการบุกรุกโจมตีวิธีการปูองกัน รูปแบบของการโจมตี และ เทคโนโลยีเป็นอยํางมาก รูปแบบภัยคุกคามถือวํามีความส าคัญที่หนํวยงานต๎องหาแนวทางในการ ปูองกัน ซึ่งมักพบ รูปแบบของภัยคุกคามบํอยครั้งที่จะเกิดขึ้น ดังนี้ ๓.๑ การปลอมตัว (Spoofing) ๓.๒ การเข๎าไปยุํง (Tampering) ๓.๓ การไมํยอมรับ (Repudiation) ๓.๔ การเปิดเผยข๎อมูล (Information Disclosure) ๓.๕ การปฏิเสธการให๎บริการ (Denial of Service) ๓.๖ การยกเลิกสิทธิพิเศษ (Elevation of Privilege) ๔. ภัยคุกคามและชํองโหวํทางไซเบอร์ที่มีตํอกองทัพ อาจแยกโดยลักษณะออกได๎เป็น ๓ ลักษณะคือ ๔.๑ ภัยคุกคามและชํองโหวํทางไซเบอร์ที่ด าเนินการโดยรัฐ ๔.๒ ภัยคุกคามและชํองโหวํทางไซเบอร์ที่มิได๎ด าเนินการโดยรัฐ ๔.๓ ภัยคุกคามและชํองโหวํทางไซเบอร์ที่สนับสนุนโดยรัฐ ๕. ลักษณะของปัจจัยที่กํอให๎เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติโดยแบํงออกได๎เป็น ๔ ประเภท คือ ๕.๑ เพื่อความสนุกหรือท๎าทาย ๕.๒ เพื่อการกระท าอันเป็นอาชญากรรม ๕.๓ เพื่อสิทธิสํวนบุคคล ๕.๔ เพื่อความมั่นคงแหํงชาติ ๖. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) การรักษาความมั่นคงปลอดภัย ไซเบอร์นั้น สหภาพโทรคมนาคมระหวํางประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) ได๎ให๎ ค าจ ากัดความไว๎วํา หมายถึง สิ่งใดก็ตาม ที่สามารถน ามาใช๎เพื่อปกปูองและรักษาสภาพแวดล๎อมของไซเบอร์รวมทั้ง สินทรัพย์ขององค์กรและ ของผู๎ใช๎งานไซเบอร์ให๎มีความมั่นคงปลอดภัย ไมํวําจะเป็นเครื่องมือ นโยบาย วิธีการ บริหารความเสี่ยง แนวปฏิบัติแบบอยํางที่ดีของวิธีปฏิบัติการฝึกอบรม การตรวจรับรอง และเทคโนโลยี ฯลฯ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นวิธีการในการปกปูอง และปูองกันข๎อมูลบน เครือขํายคอมพิวเตอร์การ ก าหนดนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและหาแนวทางในการ ตอบสนองตํอการโจมตีโดยที่เพื่อให๎คง คุณสมบัติที่ส าคัญของข๎อมูลไว๎ ๓ ด๎าน คือ ๖.๑ ความลับ (Confidentiality) ๖.๒ ความถูกต๎องสมบูรณ์ (Integrity) ๖.๓ ความพร๎อมใช๎งาน (Availability) รวมทั้งคุณสมบัติอื่น ได๎แกํความถูกต๎องแท๎จริง (Authenticity), ความรับผิด (Accountability), การห๎ามปฏิเสธ ความรับผิด (Non-repudiation) และความนําเชื่อถือ (Reliability) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยเป็นหน๎าที่ของ ทุกคนในองค์กรที่ต๎องรํวมกันรับผิดชอบ เนื่องจากข๎อมูลคือทรัพยากรที่ มีความส าคัญในการชํวยให๎องค์กร ด าเนินงานได๎จนประสบความส าเร็จตามเปูาหมาย


๑๗๘ ๗. กฎหมายและระเบียบด๎านไซเบอร์ ๗.๑ พระราชบัญญัติวําด๎วยการกระท าผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ ๗.๒ พระราชบัญญัติวําด๎วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.๒๕๔๔ แก๎ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๕๑ ๗.๓ พระราชกฤษฎีกาก าหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการท าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ภาครัฐพ.ศ.๒๕๔๙ ๗.๓.๑ ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เรื่องแนวนโยบาย และแนว ปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด๎านสารสนเทศของหนํวยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๕๓ ๗.๓.๒ ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เรื่องแนวนโยบาย และแนว ปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด๎านสารสนเทศของหนํวยงานของรัฐ (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๕๖ ๗.๓.๓ ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เรื่องแนวนโยบาย และแนว ปฏิบัติในการคุ๎มครองข๎อมูลสํวนบุคคลของหนํวยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๕๓ ๗.๓.๔ ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เรื่องแนวนโยบาย และแนว ปฏิบัติในการคุ๎มครองข๎อมูลสํวนบุคคลของหนํวยงานของรัฐ พ.ศ.๒๕๕๓ (แก๎ค าผิด) ๗.๔ พระราชกฤษฎีกาวําด๎วยวิธีการแบบปลอดภัยในการท าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.๒๕๕๓ ๗.๔.๑ ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์เรื่องประเภทธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์และหลักเกณฑ์การประเมินระดับผลกระทบของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามวิธีแบบปลอดภัย พ.ศ.๒๕๕๕ ๗.๔.๒ ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตรฐานการรักษา ความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ.๒๕๕๕ - ทั้งนี้ สาระส าคัญโดยสรุปของกฎหมายดังกลําว ได๎ก าหนดขึ้นเนื่องจากการ ด าเนินธุรกรรมของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีการพึ่งพาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มขึ้น จึงควรให๎มี การบริหารจัดการและการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ซึ่งผลของกฎหมายนี้ได๎ก าหนดให๎กระทรวงกลาโหม เป็น หนํวยงานที่อยูํในกลุํม “หนํวยงานที่มีการท าธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีผลกระทบตํอความมั่นคงของชาติ” ตาม ประกาศประเภทของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และหลักเกณฑ์การประเมินระดับผลกระทบของธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ.๒๕๕๕ ข๎อ ๔(๔) ซึ่งสํงผลให๎กระทรวงกลาโหม ต๎องด าเนินการตาม “มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศตามวิธีการแบบปลอดภัย พ.ศ.๒๕๕๕” ในระดับ เครํงครัด คือ ปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ครบทั้ง ๑๑ ข๎อ(โดเมน) ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะผู๎ด าเนินการจัดท ามาตรฐานได๎อ๎างอิงมาจาก ISO 27001: 2005 ซึ่งเป็นมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศที่เป็นที่ยอมรับในสากล รวมทั้งการ ด าเนินการทางคอมพิวเตอร์ที่ถือวําเป็นการกระท าผิดตามพระราชบัญญัติที่เป็นกรอบในการด าเนินการที่มี ผลกระทบโดยตรงตํอในการปฏิบัติภารกิจด๎านไซเบอร์ของกระทรวงกลาโหม


๑๗๙ ๘. การสงครามไซเบอร์ ๘.๑ สงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) คือ ความขัดแย๎งที่มีพื้นที่ท าสงครามครอบคลุมในสํวน ของคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต โดยเป็นปฏิบัติการเพื่อการขัดขวาง การท าลายระบบการขําวและการสื่อสารของ ฝุายตรงข๎าม และต๎องท าให๎ดุลแหํงขําวสารและความรู๎เอียงมาอยูํฝุายเรา สํวนมากจะมีแรงจูงใจทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ หรือแม๎กระทั่งความสัมพันธ์ระดับประเทศ หากจะกลําววําเป็นวิธีการใด ๆ ก็ตามที่ท าให๎เราคาดวําจะได๎รับชัยชนะ ตามวัตถุประสงค์สํวนบุคคล สํวนองค์กร ผํานการใช๎อุปกรณ์เทคโนโลยีที่สามารถติดตํอสื่อสารได๎นั่นเอง ๘.๒ ห๎วงไซเบอร์ (Cyber Space) คือ พื้นที่ท าการรบของไซเบอร์ หากเปรียบเทียบให๎เห็น ภาพกับสงคราม โลกครั้งที่ ๒ การสู๎รบด๎วยทหารราบ รถถัง พื้นที่ท าการรบบนพื้น (Ground Space) เรือรบ เรือด าน้ า เรือบรรทุกเครื่องบิน มีพื้นที่ท าการรบทางน้ า (Sea Space) เครื่องบินล าเลียง เครื่องบินขับไลํ เครื่องบินทิ้งระเบิด มีพื้นที่ทางการรบทางอากาศ (Air Space) พื้นที่ทางการรบไซเบอร์นั้นเป็น การติดตํอสื่อสารแลกเปลี่ยนข๎อมูลใน รูปแบบใด ๆ ผํานอุปกรณ์ตําง ๆ ของทั้งการปฏิบัติการทางบก ทางเรือ ทางอากาศ นั่นเอง (รูปภาพ : พื้นที่ท าการรบในสํวนของห๎วงไซเบอร์) ๙. ลักษณะสงครามไซเบอร์กองทัพบกสหรัฐอเมริกาได๎ระบุให๎สงครามไซเบอร์เป็นพื้นที่ ปฏิบัติการที่ ๕ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสงคราม ในแงํของพื้นที่ปฏิบัติการและเปรียบเทียบอัตราเรํง ความเร็วของการสงคราม ๙.๑ สงครามทางบก - เกิดขึ้นกํอนปีคริสตกาล ๒๖๔ ผลของสงครามใช๎เวลาเป็นปี ครอบคลุมเฉพาะพื้นแผํนดิน ๙.๒ สงครามทางทะเล - เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปีคริสตกาล ๒๖๔ ผลของสงครามใช๎เวลาเป็น เดือน ครอบคลุม ๓ มิติ บนพื้นแผํนดิน ผิวน้ าและใต๎น้ า ๙.๓ สงครามทางอากาศ - เกิดขึ้นตั้งแตํปีคริสตกาล ๑๙๔๐ (พ.ศ.๒๔๘๓) ผลของสงคราม ใช๎เวลาเป็นวัน ครอบคลุม ๓ มิติ แตํเป็นการชั่วคราว ๙.๔ สงครามทางอวกาศ - เกิดขึ้นตั้งแตํปีคริสตกาล ๑๙๙๐ (พ.ศ.๒๕๓๓) ผลของสงครามใช๎ เวลาเป็นนาทีครอบคลุมได๎ในชั้นบรรยากาศเทํานั้น ไมํครอบคลุมนอกชั้นบรรยากาศออกไป ๙.๕ สงครามไซเบอร์- เกิดขึ้นวันนี้ ผลของสงครามใช๎เวลาเป็นวินาที ไมํมีขอบเขต อยูํใน โลกเสมือนผล กระทบผู๎อื่นทั้งหมด เป็นพื้นที่ปฏิบัติการที่มนุษย์สร๎างขึ้น ขยายตัวสม่ าเสมอ มีผลกระทบกับทุกพื้นที่ ปฏิบัติการได๎ตลอดเวลา ไมํมีข๎อจ ากัดทางภูมิศาสตร์ มิติไมํใชํองค์ประกอบส าคัญ กฏหมายมีข๎อจ ากัด มีคุณลักษณะ ที่ซับซ๎อน ใช๎เวลาน๎อยเกือบเป็นศูนย์


๑๘๐ (รูปภาพ : การเปรียบเทียบอัตราเรํงความเร็วของการสงคราม) ๑๐. ภัยคุกคามทางด๎านสงครามไซเบอร์ มัลแวร์ (Malware) คือ โปรแกรมหรือสํวนของ โปรแกรมที่สร๎างขึ้น และเผยแพรํโดย ผู๎มีเจตนาร๎ายมุํงท าลายอยํางใดอยํางหนึ่งตํอสิ่งที่เป็นเปูาหมาย โดยทั่วไป โปรแกรมประสงค์ร๎ายจะแบํงตามลักษณะการแพรํ กระจายและการกระท าได๎ ๕ ประเภท คือ ๑๐.๑ ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer Virus) เป็นโปรแกรมหรือสํวนของโปรแกรมที่ผู๎เขียนมี วัตถุประสงค์ในการท าลายอยํางใดอยํางหนึ่ง หนทางเข๎าสูํระบบคอมพิวเตอร์โดยการเกาะติดกับโปรแกรมที่ใช๎งาน ทั่วไปภายในระบบคอมพิวเตอร์และท าให๎โปรแกรมเปูาหมายที่อาศัยอยูํนั้น กลายเป็นโปรแกรมประสงค์ร๎ายด๎วย ไวรัสคอมพิวเตอร์แพรํกระจายโดยส าเนาตัวเอง ไปเกาะติดกับโปรแกรมตําง ๆ เพื่อให๎โปรแกรมเหลํานั้นน าพาไปยัง สํวนตําง ๆ ของระบบเพื่อจะได๎แพรํกระจายไปสูํโปรแกรมอื่น ๆ ที่ยังไมํมีโปรแกรมไวรัสเกาะอยูํ ซึ่งการแพรํ กระจายจะเป็นลักษณะทวีคูณ ท าลายเปูาหมายได๎ทุกรูปแบบตามเจตนาของผู๎เขียนโปรแกรมไวรัสคอมพิวเตอร์ มักจะแบํงประเภทตามแหลํงที่อาศัยภายในระบบหรือโปรแกรมที่จะกระท าการโดยเฉพาะ เชํน ไวรัสในสํวนการ บูต เครื่อง (Boot Sector Virus) มาโครไวรัส (Macro Virus) เป็นต๎น ไวรัสคอมพิวเตอร์จะกระท าการ (Active) ได๎ก็ ตํอเมื่อโปรแกรมเปูาหมายที่โปรแกรมไวรัสอาศัยอยูํมีการด าเนินการ (Run/Process) ๑๐.๒ หนอน (Worm) เป็นโปรแกรมที่สามารถส าเนาตัวเอง ให๎แพรํกระจายในระบบ เครือขํายและสามารถกระท าการตําง ๆ ได๎โดยล าพัง ไมํต๎องอาศัยโปรแกรมอื่น ๆ ในการน าพาไปยังสํวนตําง ๆ ของระบบ ท าลายระบบโดยการส าเนาตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนระบบไมํสามารถท างานตํอไปได๎ ๑๐.๓ ตัวลวงหรือม๎าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรม หรือสํวนของโปรแกรมที่ถูก น ามาซํอนไว๎ในโปรแกรมใช๎งานโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งภายในระบบโดยผู๎ใช๎ไมํทราบและคิดวําเป็นโปรแกรมที่ใช๎ งานตามปกติ มักกระท าโดยผู๎พัฒนาโปรแกรมหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข๎องกับการบ ารุงรักษาโปรแกรม เชํน โปรแกรม ม๎าโทรจันที่แทรกมากับชุดค าสั่ง ลงบันทึกเข๎า (Login Script) ที่รอให๎บริการแกํผู๎ใช๎ที่ต๎องการเข๎าสูํระบบใดระบบ หนึ่ง โดยการใสํบัญชีผู๎ใช๎และรหัสผําน ซึ่งนอกจากท าหน๎าที่ตรวจสอบความถูกต๎องแท๎จริงในการเข๎าระบบของผู๎ใช๎ แล๎วยังแอบส าเนาบัญชีผู๎ใช๎และรหัสผํานดังกลําวเก็บไว๎ใช๎ประโยชน์สํวนตัวในภายหลังม๎าโทรจันไมํสามารถ


๑๘๑ เคลื่อนย๎ายหรือส าเนาตัวเองได๎ บางครั้งใช๎เป็นที่พรางตัวของโปรแกรมประสงค์ร๎ายอื่น ๆ มักเป็นไปในลักษณะของ การเชิญชวนให๎เกิดความสนใจและน าโปรแกรมดังกลําวบรรจุเข๎าในระบบ ซึ่งผู๎ใช๎เองที่น าม๎าโทรจันเข๎าสูํระบบโดย ไมํเจตนา เชํน เกมส์คอมพิวเตอร์โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program) ภาพอนาจารเป็นต๎น ซึ่งโปรแกรม เหลํานี้เมื่อบรรจุเข๎าระบบได๎แล๎วก็อาจแพรํไวรัสหรือโปรแกรมประสงค์ร๎ายอื่น ๆ ได๎ ๑๐.๔ กับดัก (Trap Door) เป็นโปรแกรมที่สร๎างให๎มีหนทางลับหรืออภิสิทธิ์ในการเข๎าสูํ ระบบโปรแกรมหรือข๎อมูลเปูาหมายได๎เฉพาะบุคคล และตลอดเวลาที่ต๎องการ โดยปกติมีวัตถุประสงค์ให๎ผู๎ควบคุม ระบบใช๎เป็นทางเข๎าเพื่อดูแล บ ารุงรักษา หรือตรวจสอบระบบ เชํน โปรแกรมของเครื่องรับจํายเงินอัตโนมัติ (Automatic Teller Machine) ก าหนดให๎รหัสผําน ๙๙๙๙ เป็นรหัสผํานที่สามารถเข๎าถึงการบันทึกเข๎าออก ของ รายการ Transaction ยอดเงินฝากเข๎าลูกค๎ากับดักกระท าได๎โดยผู๎พัฒนาโปรแกรมหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยว ข๎องในชํวง ที่ก าลังพัฒนาโปรแกรมซึ่งอาจสร๎างทางลับเพื่อหาประโยชน์อยํางใดอยํางหนึ่งจากระบบในภายหลังจากตัวอยําง ข๎างต๎นเมื่อสามารถเข๎าสูํแฟูมบันทึกเข๎าออก (Log File) ของรายการเปลี่ยนแปลงได๎แล๎วอาจสร๎างโปรแกรมให๎มีการ โอนเงินหลังจุดทศนิยมจากรายการเปลี่ยนแปลงมาสะสมไว๎ในบัญชีลับบัญชีใดบัญชีหนึ่งได๎ ๑๐.๕ ระเบิด (Bomb) เป็นโปรแกรมที่มีเจตนาร๎ายอยํางใดอยํางหนึ่ง จะด าเนินการเมื่อมี เหตุการณ์ตรงตามเงื่อนไขเกิดขึ้น ได๎แกํ เงื่อนไขเวลา วันที่ หรือเงื่อนไขอื่น ๆ เชํน โปรแกรมก าหนดให๎ล๎างระบบการ จัดเก็บข๎อมูลของฮาร์ดดิสก์ (Format Hard Disk) เมื่อมีผู๎เข๎าใช๎ระบบที่มีบัญชีผู๎ใช๎ขึ้นต๎นด๎วยอักษร “S” ครบ ๕๐ ครั้ง เป็นต๎น ๑๑. โปรแกรมประสงค์ร๎าย ในรูปแบบที่มีการผสมผสานกันหลาย ๆ ประเภทมากยิ่งขึ้นได๎แกํ ๑๑.๑ การแอบดักจับข๎อมูล (Spyware) ประเภทซอฟต์แวร์ที่ออกแบบเพื่อสังเกตการณ์ หรือดักจับข๎อมูลหรือควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยที่ผู๎ใช๎ไมํรับทราบวําได๎ติดตั้งเอาไว๎ หรือผู๎ใช๎ไมํยอมรับ ซึ่งสํวน ใหญํแล๎วเพื่อสร๎างผลประโยชน์แกํผู๎อื่น โปรแกรมการแอบดักจับข๎อมูลนั้นอาจมาในรูปแบบของแอปพริเคชั่นฟรี อีเมล์ เป็นต๎น ๑๑.๒ เมล์ขยะ (SPAM Mail Attack) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู๎สํง (ซึ่งมักจะไมํปรากฏ ชื่อและที่อยูํของผู๎สํง) ได๎สํงไปยังผู๎รับอยํางตํอเนื่องโดยสํงจ านวนครั้งละมาก ๆ และมิได๎รับความ ยินยอมจากผู๎รับ ปัญหาของเมล์ขยะคือท าให๎ระบบท างานหนัก อีกทั้งยังน ามาซึ่งการโจมตีอื่น ๆ เชํน เมล์หลอกลวง การแอบดักจับ ข๎อมูล เป็นต๎น ๑๑.๓ เมล์หลอกลวง (Phishing) การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เพื่อขอข๎อมูลที่ส าคัญเชํน รหัสผําน หรือหมายเลขบัตรเครดิต โดยการสํงข๎อความผํานทางอีเมลหรือเมสเซนเจอร์ตัวอยํางของการฟิชชิง เชํน การบอกแกํผู๎รับปลายทางวําเป็นธนาคารหรือบริษัทที่นําเชื่อถือ และแจ๎งวํามีสาเหตุท าให๎คุณต๎องเข๎าสูํระบบและใสํ ข๎อมูลที่ส าคัญใหมํ โดยเว็บไซต์ที่ลิงก์ไปนั้น มักจะมีหน๎าตาคล๎ายคลึงกับเว็บที่กลําวถึง ๑๑.๔ การโจมตีระบบฯ ท าให๎ใช๎การไมํได๎ (DDOS) หมายถึง การโจมตีเซิร์ฟเวอร์โดยการ ท าให๎เซิร์ฟเวอร์นั้นไมํสามารถให๎บริการได๎ ซึ่งปกติจะท าโดยการใช๎รีซอร์สของเซิร์ฟเวอร์จนหมด หรือถึงขีดจ ากัด ของเซิร์ฟเวอร์ ตัวอยํางเชํน เว็บเซิร์ฟเวอร์ และเอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ การโจมตีจะท าได๎โดยการเปิดการเชื่อมตํอ (Connection) กับเซิร์ฟเวอร์จนถึงขีดจ ากัดของเซิร์ฟเวอร์ ท าให๎ผู๎ใช๎คนอื่น ๆ ไมํสามารถเข๎ามาใช๎บริการได๎ ๑๑.๕ การแฮก หรือ การโจมตี Web Server และ Web Application (Web Server and Web Application Attack) เพื่อเปลี่ยนหน๎าเว็บไซท์หรือกํอกวน


๑๘๒ ๑๑.๖ การขาดความระมัดระวังในการจัดเก็บข๎อมูลลับของข๎าราชการในหนํอยงาน เชํน การแชร์ไฟล์ที่มีข๎อมูลส าคัญโดยไมํมีการเข๎ารหัส, การใช๎ USB แบบไมํระมัดระวัง, การไมํปฏิบัติตามนโยบายรักษา ความปลอดภัยสารสนเทศ เป็นต๎น ๑๑.๗ การโจมตีระบบไร๎สาย (Mobile and Wireless Attack) ท าได๎โดยการถอดรหัส ด๎วยโปรแกรมแล๎วน ารหัสที่ได๎เจาะเข๎าระบบไร๎สายที่ถูกใช๎อยูํเพื่อโจรกรรมข๎อมูล, ดักจับข๎อมูลหรือเปลี่ยนแปลง ข๎อมูลที่มีอยูํ ๑๒. กรณีศึกษาของสงครามไซเบอร์ ๑๒.๑ กรณีศึกษาสงครามไซเบอร์ครั้งแรก การโจมตีไซเบอร์เริ่มเห็นเดํนชัดขึ้น ครั้งที่อาจ เรียกวํา สงครามโลกไซเบอร์ครั้งที่ ๑ ในปี พ.ศ.๒๕๕๐ เมื่อสาธารณรัฐเอสโตเนีย ถูกโจมตีทางไซเบอร์ติดตํอกันเป็น เวลานานถึง ๓ เดือน กํอนที่รัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว๎ได๎ แตํความเสียหายก็เกิดขึ้นแล๎ว ทั้งตํอ หนํวยงานภาครัฐหลายแหํง สถาบันทางการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากประสบการณ์ครั้งนั้น รัฐบาล หลาย ๆ ประเทศจึงได๎ระบุให๎นโยบายเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นวาระระดับชาติที่ส าคัญที่ ต๎องเรํงด าเนินการทันที ๑๒.๒ กรณีศึกษาสงครามไซเบอร์ชั้นสูง สตักซ์เน็ต (Stuxnet) ได๎ปลุกกระแสสงคราม รูปแบบใหมํคือสงครามไซเบอร์ เนื่องจากสตักซ์เน็ตเป็นอาวุธสงครามชิ้นแรกที่ใช๎บนโลกไซเบอร์ ท าลายเปูาหมาย ทางทหาร พิสูจน์อานุภาพท าลายล๎างสูงจริง สตักซ์เน็ตเป็นไวรัสที่เรียกวํา Advanced Persistant Threat: APT เชื่อวําพัฒนาโดยสหรัฐอเมริกา เพื่อใช๎ท าลายโรงงานผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศอิหรําน ถูกใช๎โจมตีเมื่อปี ๒๕๕๓ สร๎างความเสียหายจนท าให๎โครงการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศอิหรําน ต๎องหยุดชะงักไมํมีก าหนด ศักยภาพสตักซ์เน็ตยังสามารถท าลายโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ เชํน โรงงานผลิตกระแสไฟฟูาพลังงานนิวเคลียร์ โรงกลั่นน้ ามัน ระบบควบคุมทํอสํงก๏าซ สตักซ์เน็ตเข๎าท าลายระบบ Supervisory Control and Data Acquisition: SCADA ที่ผลิตโดยบริษัท Siemens ใช๎ควบคุมกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม ระบบ สาธารณูปโภค โดย สตักซ์เน็ตสามารถฝังตัวในโปรแกรม Step-7 ซึ่งเป็นโปรแกรมที่รันบน Programmable Logic Controller: PLC ซึ่งเป็นสํวนควบคุมระบบ SCADA สตักซ์เน็ตสามารถเผยแพรํกระจาย หรือ แทรกซึมเข๎าไปใน โรงงานอุตสาหกรรมได๎หลายชํองทาง ทั้งทางอีเมล์ เว็บ ยูเอสบีไดรฟ์ และสตักซ์เน็ตเจาะเข๎าระบบโดยใช๎ชํองโหวํที่ ยังไมํเผยแพรํมากํอน เรียกวํา Zero Day Vulnerability ความซับซ๎อนของสตักซ์เน็ต ท าให๎นักวิเคราะห์เชื่อวํา รัฐ/ประเทศ ให๎การสนับสนุนการพัฒนาอาวุธก๎าวหน๎าชิ้นนี้ จึงเป็นสงครามไซเบอร์หลายประเทศเริ่มวิตกกังวลเนื่องจากอาจถูก ใช๎โจมตีโครงสร๎างพื้นฐาน เปูาหมายยุทธศาสตร์ของประเทศ ๑๒.๓ กรณีศึกษาสงครามไซเบอร์อยํางงําย The Syrian Electronic Army เป็นฝุาย สนับสนุนรัฐบาลซีเรีย ได๎เจาะระบบเว็บไซต์นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา และได๎โพสต์ข๎อความยุยงให๎ทหารตํอต๎าน ค าสั่ง ประธานาธิบดี บารัค โอบามา โดยได๎ออกมายอมรับวําเป็นผู๎ลักลอบเจาะระบบเว็บไซต์ แล๎วเข๎าไปโพสต์รูป ทหารอเมริกาถือปูายข๎อความวํา “ทหารอเมริกา ไมํได๎สมัครเข๎ารํวมกองทัพ ส าหรับตํอสู๎เพื่อชํวยเหลือกลุํมกํอการ ร๎าย อัล-กออิดะห์ ในสงครามกลางเมืองของซีเรีย และประธานาธิบดี บารัค โอบามา เป็นผู๎หักหลังที่จะสํงทหารไป เสี่ยงชีวิต เพื่อชํวยกลุํมกํอการร๎าย อัล-กออิดะห์”กํอนหน๎านี้ The Syrian Electronic Army เคยเจาะเข๎าระบบ เว็บของสื่อสหรัฐอเมริกา เชํน เว็บและทวิตเตอร์หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ส วอชิงตันโพสต์ ส านักขําวเอพี จนท า ให๎เครือขํายของสื่อเหลํานั้นถึงกับลํม


๑๘๓ ๑๓. หลักการพื้นฐานในการปูองกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ในการควบคุมและปูองกันภัยคุกคาม ทางไซเบอร์ซึ่งครอบคลุมการรักษาความลับ การรักษาความครบถ๎วนและการรักษาสภาพพร๎อมใช๎งานของระบบนั้น ควรด าเนินการตามมาตรการ ดังนี้ ๑๓.๑ การปูองกันทางกายภาพ หมายถึง มาตรการที่ใช๎ปูองกันข๎อมูลและทรัพย์สินจากภัย คุกคามทางกายภาพทั้งโดยเจตนาและไมํเจตนา ด๎วยการจ ากัดให๎เฉพาะผู๎ที่มีหน๎าที่ในการใช๎งานเทํานั้น ๑๓.๒ ระบบไฟร์วอลล์ หมายถึง ระบบปูองกันอันตรายที่มาจากอินเทอร์เน็ตหรือเครือขําย ภายนอกมีหน๎าที่ควบคุมการเข๎าถึงระหวํางเครือขํายภายนอกที่ไมํปลอดภัยกับเครือขํายภายในขององค์กร ๑๓.๓ ระบบการตรวจหาการบุกรุก หมายถึง ระบบที่ใช๎ตรวจหาการใช๎งานโครงขําย องค์กรในทางที่ผิดไปจากกฎข๎อบังคับ กลไกระบบตรวจหาการบุกรุกเป็นการวิเคราะห์กิจกรรมตําง ๆ ที่เกิดขึ้นบน ระบบโครงขํายด๎วยการตรวจสอบกับข๎อก าหนดการใช๎งานและการตรวจสอบจากสถิติการใช๎งาน ๑๓.๔ วิทยาการเข๎ารหัสข๎อมูล หมายถึง กรรมวิธีที่ใช๎ส าหรับแปลงข๎อความทั่วไปให๎เป็น ข๎อความ ที่เข๎ารหัสเพื่อสํงไปยังผู๎รับ เมื่อผู๎รับได๎รับก็จะถอดรหัสข๎อมูลเพื่อให๎ได๎ข๎อมูลเดิม ๑๓.๕ การใช๎ซอฟต์แวร์ปูองกันไวรัส โดยการติดตั้งโปรแกรมก าจัดไวรัส และตรวจสอบ เป็นประจ าปรับปรุงหรืออัพเดทโปรแกรมก าจัดไวรัส ตรวจสอบอุปกรณ์บันทึกข๎อมูลจากการใช๎งานรํวมกับผู๎อื่น สังเกตความ ผิดปกติที่เกิดขึ้นในแตํละวัน หลีกเลี่ยงการคัดลอกโปรแกรมจากภายนอก ๑๔. สภาวะแวดล๎อมทั่วไปและด๎านไซเบอร์ที่มีผลตํอความมั่นคงของชาติสถานการณ์ปัจจุบัน ระดับโลกเป็นสิ่งบํงชี้วํา ความมั่นคงของชาติได๎รับผลกระทบจากไซเบอร์ได๎ในหลายลักษณะ ตั้งแตํรูปแบบที่มี ผลกระทบตํอการใช๎ชีวิตประจ าวันของประชาชน ความนําเชื่อถือทางเศรษฐกิจ ความสงบเรียบร๎อยและความมั่นคง ในประเทศ หรือใช๎ในลักษณะการจารกรรม การกํอการร๎าย รวมทั้งใช๎เป็นเครื่องมือหนึ่งในการกํอกวนหรือท าลาย ความสงบเรียบร๎อยของประเทศฝุายตรงข๎าม ความตระหนักถึงศักยภาพของไซเบอร์ตํอความมั่นคงของชาติเกิดขึ้น อยํางกว๎างขวางทั่วโลก หลายประเทศพยายามสร๎างและพัฒนาขีดความสามารถทาง ไซเบอร์ เพื่อเป็นสิ่งบํงชี้ถึง ศักยภาพของประเทศที่กํอให๎เกิดความได๎เปรียบและความสามารถในการแขํงขันในด๎านตําง ๆ ได๎แกํ การมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีของประชาชน ความเข๎มแข็งของพลังอ านาจแหํงชาติด๎านเทคโนโลยี ความเข๎มแข็งของพลังอ านาจแหํงชาติ ด๎านการทหารที่มีความล้ าหน๎าในการใช๎ไซเบอร์เป็นเครื่องมือหนึ่งของการรบ หรือแม๎แตํความสามารถในการท า สงครามไซเบอร์ เป็นต๎น แตํยิ่งมีความก๎าวหน๎า และพึ่งพาไซเบอร์มากเพียงใด ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ ที่สํงผลกระทบตํอความมั่นคงของชาติจากไซเบอร์มากขึ้นอยํางหลีกเลี่ยงมิได๎ และสถานการณ์เชํนนี้เป็นต๎นเหตุแหํง การแขํงขันสะสม และสร๎างเสริมศักยภาพด๎านไซเบอร์อยํางรุนแรง เพิ่มความต๎องการเอาชนะและท าลายซึ่งกันและ กันในอยํางไมํสิ้นสุด ๑๔.๑ สภาวะแวดล๎อมด๎านไซเบอร์ระดับโลกในปัจจุบัน เปรียบได๎กับการไร๎ซึ่งกฎเกณฑ์ แหํงการสร๎าง พัฒนา และใช๎ศักยภาพทางไซเบอร์ นับตั้งแตํโลกรู๎จักการใช๎ขีดความสามารถด๎านไซเบอร์ ประเทศที่ มีความก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยีและประสบการณ์ด๎านไซเบอร์ตํางใช๎ขีดความสามารถนั้นทั้งโดยทางตรงและ ทางอ๎อมเพื่อให๎ได๎เปรียบตํอประเทศอื่น เมื่อใดที่เกิดความได๎เปรียบเสียเปรียบหรือมีความแตกตํางของศักยภาพ เมื่อนั้นความพยายามในการสร๎างสมดุลจะเกิดขึ้นตามมาในลักษณะตํางๆ เชํน การพยายามให๎ได๎มาซึ่งข๎อมูลเพื่อ น ามาสร๎างหรือพัฒนาศักยภาพทางไซเบอร์ให๎ทัดเทียมกันหรือล้ าหน๎ากวําประเทศอื่น หรือแม๎แตํการใช๎ขีด ความสามารถหรือเทคโนโลยีเทําที่มีอยํางจ ากัด แตํมุํงเปูากระท าตํอสิ่งที่มีผลกระทบตํอระบบบริการสาธารณะ


๑๘๔ โครงสร๎างพื้นฐานวิกฤติแหํงรัฐ เพื่อให๎เกิดผลกระทบตํอการใช๎ชีวิตอันสงบเรียบร๎อยของประชาชนรํวมด๎วยการแพรํ กระจายข๎อมูลขําวสารที่จัดท าขึ้นอยํางแนบเนียนเพื่อหวังผลให๎เกิดการตอบสนองตํอข๎อมูลขําวสารนั้นในแนวทางที่ ต๎องการเพื่อให๎ประเทศที่มีศักยภาพทางไซเบอร์เหนือกวําเกิดความลังเลที่จะกระท าตํอประเทศอื่นเนื่องจากไมํอาจ ยอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในชาติของตนได๎ เป็นต๎น เหตุการณ์ดังกลําวเป็นเพียงตัวอยํางทั่วไปของ สถานการณ์ด๎านไซเบอร์ในระดับโลก ซึ่งจะยิ่งทวีความรุนแรงซับซ๎อนและเป็นสาเหตุแหํงความขัดแย๎งระหวําง ประเทศได๎ตํอไปในอนาคต นานาชาติมีความกังวลถึงสถานการณ์ดังกลําวได๎พยายามน าเสนอตํอองค์การ สหประชาชาติ ผํานทางคณะกรรมาธิการสามัญสหภาพรัฐสภา เพื่อให๎พิจารณาบัญญัติกฎหมายระหวํางประเทศ เพื่อความสงบสุขและความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมทั้งอนุสัญญาเพื่อการปูองกันสงครามไซเบอร์ อยํางไรก็ตาม ด๎วยสภาพความเป็นจริงของเทคโนโลยีที่มีการพัฒนารวดเร็วกวําการพัฒนาของกฎหมาย ความพยายามของ นานาชาติและองค์การสหประชาชาติจึงเป็นสิ่งที่ยังต๎องการเวลาและการระดมสมองเพื่อให๎การใช๎ศักยภาพทาง ไซเบอร์นั้น เป็นไปอยํางสร๎างสรรค์และสํงเสริมการด ารงชีวิตประจ าวันโดยสงบเรียบร๎อยของประชากรโลก และ หมายถึงการที่แตํละประเทศยังคงต๎องทุํมเททรัพยากร การบริหารจัดการการผลิตและใช๎เทคโนโลยี รวมทั้งการมี ความรํวมมือระดับนานาชาติด๎านไซเบอร์ เพื่อปูองกันรักษาชาติให๎รอดพ๎นจากภัยคุกคามทางไซเบอร์อยํางสุดก าลัง ความสามารถตํอไป ๑๔.๒ ด๎วยคุณลักษณะส าคัญประการหนึ่งของไซเบอร์ คือ การแพรํกระจายอยํางรวดเร็ว และไร๎ซึ่งพรมแดน ภัยคุกคามระดับโลกในลักษณะที่กลําวมาข๎างต๎นจึงสามารถเกิดขึ้นได๎ในทุกภูมิภาคทั่วโลก เมื่อพิจารณาถึงปัญหาความขัดแย๎งในภูมิภาคเอเชียจะเห็นได๎วํามีความลํอแหลมอยํางยิ่งที่จะเป็นสาเหตุและน าไปสูํ การใช๎ขีดความสามารถทางไซเบอร์คุกคามตํอกัน ความขัดแย๎งของประเทศบนคาบสมุทรเกาหลีได๎พัฒนารูปแบบ จากเดิมไปสูํการใช๎ประเทศอื่นเป็นทางผํานหรือเป็นฐานปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ ความขัดแย๎งของหลาย ประเทศในการแยํงชิงกรรมสิทธิ์บนหมูํเกาะในทะเลจีนใต๎ หรือแม๎แตํการแขํงขันกันของประเทศในกลุํมเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต๎ สถานการณ์ดังกลําวล๎วนเป็นปัจจัยส าคัญที่สํงผลให๎ประเทศไทย โดยกระทรวงกลาโหมต๎องเรํง พิจารณาด าเนินการด๎านไซเบอร์ให๎เป็นไปโดยสอดคล๎องกับสถานการณ์ระดับโลกและระดับภูมิภาคอยํางได๎เปรียบ เพื่อให๎กองทัพมีความพร๎อมในการรักษาความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ โดยเฉพาะภัยคุกคามที่ใช๎ ไซเบอร์เป็นเครื่องมือรวมทั้งพัฒนาและใช๎ประโยชน์จากขีดความสามารถทางไซเบอร์ เพื่อเพิ่มมิติและขยายขีด ความสามารถการปฏิบัติการทางทหารให๎เป็นที่ประจักษ์ ทั้งด๎านการขําว ยุทธการการปฏิบัติการข๎อมูลขําวสาร การวิจัยและพัฒนายุทธวิธีและเทคโนโลยีไซเบอร์ซึ่งสามารถสํงผลในเชิงจิตวิทยาตํอฝุายตรงข๎าม ในด๎านการปูองปราม รวมทั้งด าเนินการความรํวมมือด๎านการปูองกันไซเบอร์ทั้งในประเทศ และนานาชาติและรักษาสมดุลของ ความสัมพันธ์ด๎านไซเบอร์กับชาติมหาอ านาจ ทั้งนี้เพื่อด ารงรักษาและเพิ่มพูนขีดความสามารถในการปูองกันรักษา อธิปไตยของชาติตามภารกิจของกระทรวงกลาโหม อยํางยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งมีสํวนชํวยสนับสนุนพลังอ านาจ แหํงชาติด๎านเศรษฐกิจและสังคมได๎อีกทางหนึ่ง


๑๘๕ บทที่ ๔๒ อากาศยานไร้คนขับ UAV ๑. กลําวทั่วไป อากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวี (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) เป็นอากาศ ยานที่ไมํมีนักบิน ประจ าการอยูํบนเครื่อง เป็นอากาศยานที่ไร๎คนขับหรือนักบิน แตํสามารถควบคุมได๎อากาศยาน ไร๎คนขับมีรูปรําง ขนาด รูปแบบ และเอกลักษณ์ที่แตกตํางกันออกไป ตามหลักแล๎วอากาศยานไร๎คนขับ คือ โดรน (Drone) นั่นเอง เป็นอากาศยานที่ควบคุมจากระยะไกล ใช๎การควบคุมอัตโนมัติซึ่งมีอยูํ ๒ ลักษณะ คือ การควบคุม อัตโนมัติจาก ระยะไกล และการควบคุมแบบอัตโนมัติโดยใช๎ระบบการบินด๎วยตนเองซึ่งต๎องอาศัยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ที่มีระบบที่ซับซ๎อนแล๎วมีการติดตั้งไว๎ในอากาศยาน อาจกลําวได๎วํา อากาศยานไร๎คนขับ คือ เครื่องบิน ที่สามารถบินได๎ด๎วยระบบอัตโนมัติ โดยไมํต๎องใช๎ นักบินประจ าการอยูํบนอากาศยาน อาจมีการติดตั้งกล๎อง ถํายภาพคุณภาพสูงทั้งกล๎องถํายภาพในเวลากลางวัน (Electro Optical) และกล๎องอินฟราเรด (Infrared Sensor) ที่สามารถบันทึกภาพระยะไกลได๎แล๎วแพรํภาพ สัญญาณมายังจอภาพ ที่สถานีภาคพื้นดิน ในเวลาที่ใกล๎เวลาจริง มากที่สุด (Near Real Time: NRT) ท าให๎ผู๎บังคับบัญชาสามารถมองเห็นภาพสนามรบในเวลาที่ใกล๎เวลาเป็นจริง มากที่สุด นอกจากนั้นอากาศยานไร๎คนขับ ยังสามารถปฏิบัติภารกิจด๎านขําวกรอง การเฝูาตรวจ การค๎นหา เปูาหมาย และการลาดตระเวนหรือที่เราเรียกวํา ISTAR (Intelligence, Surveillance, Target Acquisition, Reconnaissance) ได๎ เป็นต๎น ๒. ประวัติความเป็นมา อากาศยานไร๎คนขับเกิดจากแนวคิดของ Nikola Tesla ซึ่งเป็นวิศวกร เครื่องกลและไฟฟูาเป็นผู๎ริเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับกองบินอากาศยานไร๎คนขับขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ และในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ได๎มีการสร๎างอากาศยานไร๎คนขับรุํนแรกซึ่งเป็นเปูาฝึกทางอากาศ (Aerial Target) โดย Archibald Montgomery Low (A.M. Low) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์และเป็นนักวิศวกรรมที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับ เครื่องบิน หลังจากนั้นอากาศยานไร๎คนขับก็ มีการคิดค๎นพัฒนากันอยํางแพรํหลายมากขึ้นรวมทั้งกํอให๎เกิด เครื่องบินอัตโนมัติฮีวิตต์-สเปอร์รี (Hewitt-Sperry Automatic Airplane) ขึ้นมาอีกด๎วย ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หลัง สงครามโลกครั้งที่ ๑ เรจินัลด์ เดนนี่ (Reginald Denny) มีการพัฒนาระบบ ควบคุมให๎เป็นอากาศยานไร๎คนขับที่ ควบคุมได๎จากระยะไกลหรืออาร์พีวี (Remote Piloted Vehicle: RPV) ขึ้น อีก และได๎มีความพยายามคิดค๎นและ พัฒนาการสร๎างอากาศยานไร๎คนขับอยํางตํอเนื่อง ด๎วยเหตุผลที่ต๎องการใช๎ เทคโนโลยีเพื่อการรักษาผลประโยชน์ ของประเทศชาติ จนท าให๎มีการพัฒนาเทคโนโลยีอยํางรวดเร็ว เชํน ในชํวง สงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการใช๎อากาศ ยานไร๎คนขับที่ถูกสร๎างขึ้นเพื่อใช๎เป็นเปูาฝึกให๎กับพลปืนตํอต๎านอากาศยาน และภารกิจโจมตีหลังจากสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ได๎มีประยุกต์ใช๎เครื่องยนต์ไอพํน (Jet Engines) เพิ่มเข๎าในระบบ เครื่องยนต์ของอากาศยานไร๎คนขับ เชํน Ruan Firebee I ของ บริษัท Teledyne Ruan ที่สร๎างขึ้นในปีพ.ศ. ๒๔๙๔ ในขณะที่บริษัทอยําง บีชคราฟท์ (Beechcraft) ได๎มีการสร๎างอากาศยานไร๎คนขับโมเดล 1001 (Model 1001) ขึ้นมาให๎กับกองทัพเรือสหรัฐ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ แตํขณะนั้นอากาศยานไร๎คนขับก็ยังไมํตํางจากเครื่องบินควบคุมด๎วยรีโมตจนกระทั่งถึงยุคสงคราม เวียดนามในชํวงปี ๒๕๒๓ และ ๒๕๓๓ ด๎วยความก๎าวหน๎าของเทคโนโลยีและจึงเริ่มมีการพัฒนาอากาศยานให๎มี ขนาดเล็กลง ท าให๎เกิดความสนใจเกี่ยวกับอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวี ของกองทัพเพิ่มมากขึ้น อากาศยานไร๎ คนขับหรือยูเอวีนั้นเป็นอาวุธที่สามารถใช๎ตํอสู๎ได๎ ทั้งยังชํวยลดความเสี่ยงและการสูญเสีย นักบินได๎เป็นอยํางดี อากาศยานไร๎คนขับในรุํนแรก ๆ นั้นถูกใช๎เป็นเหมือนอากาศยานลาดตระเวนมากกวํา แตํ ในชํวงหลังมีการติดอาวุธ ให๎กับอากาศยาน เชํน เอ็มคิว-1 พรีเดเตอร์ (MQ-1 Predator) ซึ่งใช๎ขีปนาวุธอากาศสูํ พื้นเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์


๑๘๖ (AGM-114 Hellfire air-to-ground missiles) ยูเอวีที่ติดอาวุธจะถูกเรียกวําอากาศ ยานโจมตีไร๎คนขับหรือยูซีเอวี (unmanned combat air vehicle : UCAV) นั่นเอง สรุปได๎วําอากาศยานไร๎คนขับได๎ถูกสร๎างขึ้นมาในยุคแรก ๆ เพื่อภารกิจการลาดตระเวนหาขําว และ เนื่องจากอากาศยานไร๎คนขับมีจุดเดํนในเรื่องการปราศจากความเสี่ยงใน การสูญเสียนักบิน ประหยัดงบประมาณ ในการผลิต เป็นระบบที่ไมํซับซ๎อนมากนัก มีขนาดเล็ก ท าการตรวจจับได๎ ยาก มีความคลํองตัวสูง ระยะเวลาบิน ไมํขึ้นอยูํกับความเมื่อยล๎าของนักบิน เพราะใช๎นักบินภายนอก (External Pilot) ดังนั้นอากาศยานไร๎คนขับจึงได๎ถูกพัฒนาให๎มีความทันสมัยมากขึ้น และใช๎ในภารกิจหลากหลายมากขึ้น เชํน การค๎นหาเปูาหมาย (Target Acquisition) เพื่อชี้เปูา และในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได๎มีอากาศยานไร๎คนขับของ กระทรวงกลาโหมประเทศตําง ๆ เกิดขึ้นถึง ๑๑ แบบ เชํน Hunter Pioneer Predator ของกองทัพสหรัฐ Phoenix ของประเทศอังกฤษ Searcher ของประเทศอิสราเอล เป็นต๎น จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๓๓ อากาศยานไร๎ คนขับจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ ส าคัญส าหรับสงครามในปัจจุบันและอนาคต เป็นเครื่องมือเฝูาตรวจจากระยะไกลที่ สามารถสํงภาพกลับให๎ผู๎บังคับบัญชาเห็นได๎ในเวลาจริงหรือใกล๎เวลาจริง สามารถลาดตระเวน ติดตามและค๎นหา เปูาหมาย เปรียบเสมือนกองทัพมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นเขี้ยวเล็บที่ส าคัญอีกอยํางหนึ่งของกองทัพ จะเห็นได๎วําตั้งแตํ เริ่มมีวิวัฒนาการของอากาศยานไร๎คนขับในชํวงสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยกองทัพอังกฤษเพื่อ ตํอต๎านกองทัพ เยอรมัน ใน ๔๐ ปีกวําที่ผํานมา การพัฒนาเครื่องบินแบบนี้เป็นไปอยํางเชื่องช๎า และประโยชน์ที่ใช๎ก็เป็นไปในด๎าน การส ารวจและการตรวจการณ์ระยะไกล การพัฒนาอากาศยานหรือยานอวกาศเป็นไปอยําง รวดเร็วเมื่อเทียบ กับ อากาศยานไร๎คนขับ เหตุผลที่ส าคัญ ก็เพราะวํา ความต๎องการอากาศยาน ไร๎คนขับ เมื่อเทียบกับยานอวกาศและ อากาศยานแบบอื่น ดังนั้นบริษัทตําง ๆ ที่เกี่ยวข๎องจึงมักจะพิจารณาอยําง รอบคอบและระมัดระวังในการวิจัยด๎าน นี้ แตํในปัจจุบันการพัฒนาด๎านคอมพิวเตอร์ ระบบขับเคลื่อน วัสดุผสม และเซ็นเซอร์ (Sensor) ตําง ๆ ได๎รับการ พัฒนาขึ้นอยํางมากและมีราคาถูกลงมาก และสามารถประยุกต์ใช๎ใน งานด๎านตําง ๆ ทั้งทางทหารและทางพลเรือน การพัฒนาอากาศยานไร๎คนขับจึงมีความคุ๎มคํามากยิ่งขึ้น และเกิด ความต๎องการกันอยํางแพรํหลายมากขึ้น ซึ่ง ข๎อมูลจากหนังสือ (International Military and Civilian Unmanned Aerial Vehicle Surve) ที่ตีพิมพ์ในเดือน เมษายน ๒๕๕๔ ได๎ระบุวําตลาดเครื่องบินไร๎คนขับหรือ UAV ปัจจุบันก าลังเป็นที่ต๎องการในมากกวํา ๕๗ ประเทศ ทั่วโลก และมีอากาศยานไร๎คนขับมากกวํา ๖๑๐ แบบทั่วโลกที่ใช๎งานทั้งทางกิจการพลเรือนและทางกิจการทหาร มี บริษัทที่เกี่ยวข๎องกับภาคอุตสาหกรรมการบินไร๎นักบิน อีกกวํา ๒๕๐ บริษัท จากแนวทางการใช๎งานเครื่องบินไร๎ คนขับหรือยูเอวีในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได๎สูงมากที่ ตลาดเครื่องบินไร๎คนขับ จะมีมูลคํามากกวําเป็น ๘ หมื่น ล๎านเหรียญ ฯ ภายในปี พ.ศ.๒๕๖๓ ๓. ระบบอากาศยานไร๎คนขับจะแยกได๎ ๑๐ สํวนคือ ๓.๑ โครงเครื่องบิน (Airframe) โครงสร๎างอาจมีรูปรํางตําง ๆ กัน เชํน อากาศยานไร๎คนขับ รุํน Pioneer เป็นรูปกลํองสี่เหลี่ยม หรือรุํน Cypher เป็นรูปโดนัท สํวนวัสดุที่ใช๎ก็มีหลายแบบ เชํน โลหะ พลาสติก ผสม คาร์บอนไฟเบอร์ผสม และวัสดุดูดกลืนคลื่นเรดาร์ เป็นต๎น ๓.๒ ระบบขับเคลื่อนหรือเครื่องยนต์ (Propulsion System) ระบบขับเคลื่อนที่ใช๎กับ อากาศยานไร๎คนขับมีหลายแบบ เชํน เครื่องยนต์ ๒ จังหวะ เครื่องยนต์ ๔ จังหวะ เครื่องยนต์โรตารีมอเตอร์ไฟฟูา เครื่องยนต์จรวด และเครื่องยนต์เทอร์โบเจ็ต เป็นต๎น ๓.๓ ระบบควบคุม (Control System) การท างานของอากาศยานไร๎คนขับจะเป็นแบบการ บังคับแบบใช๎ วิทยุจากพื้นดิน หรือการใช๎โปรแกรมควบคุมการบินด๎วยระบบคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันสามารถ ควบคุมได๎โดย นักบินขณะบิน


๑๘๗ ๓.๔ ระบบการสํงและกลับคืน (Launch and Recovery System) การสํงอากาศยานไร๎ คนขับหรือยูเอวีขึ้น ไปท าได๎หลายวิธี เชํน การยิงจากเครื่องสํง (Launch) การวิ่งขึ้นจากทางวิ่ง หรือการปลํอยจาก อากาศยานขนาด ใหญํ เชํน C-130 และการกลับคืนฐานที่ตั้งก็สามารถท าให๎หลายวิธี เชํน การจับด๎วยตาขําย การ ใช๎รํมชูชีพ การใช๎พาราฟอยล์ และการบังคับลงบนรันเวย์ด๎วยวิทยุบังคับ ๓.๕ ระบบน ารํองและน าวิถี (Navigation and Guidance System) ระบบน ารํองและน า วิถีเป็นสํวนที่ส าคัญ ของอากาศยานไร๎คนขับในปัจจุบันระบบน ารํองและน าวิถี สํวนใหญํจะใช๎ จีพีเอส (GPS) เป็น ตัวชํวย โดยปกติ แล๎วอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีจะใช๎เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ท างานด๎านระบบน ารํองและน าวิถี โดยเฉพาะแยก ออกมาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ๓.๖ ระบบควบคุมและสนับสนุนภาคพื้น (Ground Control Station) ระบบควบคุมและ สนับสนุนภาคพื้น ของอากาศยานไร๎คนขับท างานคล๎าย ๆ กับระบบควบคุมภาคพื้นของอากาศยานทั่ว ๆ ไป โดยมี หน๎าที่ตรวจสอบ การท างานและตรวจข๎อมูลตําง ๆ ที่สํงมาจากอากาศยานไร๎คนขับนอกจากนั้นยังสามารถสั่งตัว ตรวจวัดตําง ๆ ท างานตามที่เราต๎องการ โดยสํงข๎อมูลผํานขํายรับ-สํงข๎อมูลไร๎สาย ๓.๗ สัมภาระที่บรรทุกได๎ (Payload) ปกติอากาศยานไร๎คนขับที่ท าหน๎าที่ส ารวจหรือตรวจ การณ์จะน าอุปกรณ์ตรวจจับตําง ๆ ขึ้นไป เชํน กล๎องถํายภาพนิ่ง กล๎องอินฟราเรด กล๎องถํายภาพเคลื่อนไหว และ เรดาร์ แตํใน ปัจจุบันได๎มีการพัฒนาอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีที่ท าหน๎าที่ในการสอดแนมและโจมตี ซึ่งอากาศ ยานไร๎คนขับ หรือยูเอวีเหลํานี้จึงอาจมีการติดตั้งจรวดหรือระเบิดขนาดตําง ๆ ตามภารกิจ ๓.๘ ระบบการเชื่อมตํอและเก็บข๎อมูล (Data Link and Storage System) ระบบเชื่อมตํอ ระหวํางอากาศยาน ไร๎คนขับกับระบบควบคุมและสนับสนุนภาคพื้นดิน ใช๎หลายยํานความถี่ เชํน ยํานความถี่สูง (HF) ยํานความถี่สูง มาก (VHF) และยํานไมโครเวฟ หากระบบเหลํานี้ขัดข๎องจะสํงตํอไปยังขํายอื่นๆ เชํน ดาวเทียม แล๎วกลับมายัง สถานีภาคพื้นดิน ๓.๙ ระบบปูองกันตนเอง (Self - Protection System) การใช๎วัสดุที่สามารถดูดกลืนคลื่น เรดาร์แบบเครื่องบิน ขับไลํที่มีคุณสมบัติตรวจจับได๎ยากของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอยํางยิ่ง ถ๎าจะใช๎ อากาศยานไร๎คนขับหรือ ยูเอวีท าหน๎าที่ ระบบติดอาวุธจะต๎องเพิ่มระบบปูองกันตัวเองให๎เทียบเทํา ระบบแบบมี นักบิน ๓.๑๐ ก าลังพล (Operating Personnel) จ านวนก าลังพลที่จะใช๎กับอากาศยานไร๎คนขับใน ปัจจุบันก าลังพลที่ ท างานในระบบอากาศยานไร๎คนขับจะเป็นผู๎ที่มีประสบการณ์สูง และได๎รับการฝึกมาเป็นอยํางดี เพราะเป็น ระยะแรกของระบบใหมํที่ตั้งขึ้นมาในกองทัพของประเทศตําง ๆ ๔. อากาศยานไร๎คนขับของประเทศไทย ประเทศไทยได๎มีการน าอากาศยานไร๎คนขับมาใช๎ตั้งแตํ สมัยสงครามรํมเกล๎า ซึ่งเป็นสงครามระหวําง ประเทศไทยกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดย มีการจัดหาอากาศยานไร๎คนขับจากประเทศ อังกฤษเข๎าประจ าการในกองทัพอากาศไทยตั้งแตํปี พ.ศ. ๒๕๓๑ คือ รุํน R4D SkyEye จ านวน ๗ ล าของบริษัท BAE โดยประจ าการอยูํที่ฝูงบิน ๔๐๒ กองบิน ๔ ตาคลี ซึ่งเป็นอากาศ ยานไร๎คนขับประเภท RPV (Remotely Pilot Vehicle) มีภาระกิจตรวจการณ์และถํายภาพ โดยรํวมปฏิบัติการอยูํ กับเครื่องบินลาดตระเวนแบบ Arava แตํด๎วยข๎อจ ากัดทางเทคโนโลยีในขณะนั้นท าให๎ยาน RPV ไมํสามารถ ตอบสนองตํอความต๎องการของกองทัพได๎เทําที่ควร เนื่องจากยาน RPV เหมาะกับการใช๎งานในพื้นที่เป็นพื้นที่โลํง แจ๎งแตํไมํเหมาะกับการใช๎งานใน ภูมิประเทศที่เป็นปุาเขาอยํางประเทศไทย หลังจากนั้นอากาศยานไร๎คนขับหรือ


๑๘๘ ยูเอวีก็ไมํได๎รับความสนใจจาก กองทัพไทยอีก จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๓๘ ในสมัยสงครามอําวเปอร์เซีย ผลงานของ อากาศยานไร๎คนขับท าให๎นักวิชาการ และกองทัพไทยหันไปให๎ความสนใจอากาศยานประเภทนี้อีกครั้งหนึ่ง แตํก็ไมํ เป็นที่แพรํหลายและให๎ความส าคัญมากนัก ในปี พ.ศ.๒๕๔๖ สมัยสงครามอําวเปอร์เซียครั้งที่สอง อากาศยานไร๎ คนขับหรือยูเอวีได๎มีบทบาทส าคัญ ตํอความส าเร็จในการปฏิบัติภารกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาในการบุกจับ ซัดดัม และได๎มีการพัฒนาอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีอยํางตํอเนื่องและรวดเร็ว จากอากาศยานที่ใช๎ส าหรับการ สังเกตการณ์ จนกลายเป็นอากาศยานใช๎ส าหรับการรบและโจมตีที่นําเกรงกลัว และอีกครั้งที่ท าให๎ประเทศไทยมี การตื่นตัวให๎ความสนใจและให๎ ความส าคัญกับอากาศยานประเภทนี้อยํางชัดเจนมากขึ้น ดังเห็นได๎จากการที่ กองทัพบกมีการจัดหาอากาศยาน ไร๎คนขับรุํน Searcher Mk.1 จากประเทศอิสราเอลเข๎ามาประจ าการที่กองพล ทหารปืนใหญํที่ ๑ รักษาพระองค์ ในภารกิจตรวจการณ์ ชี้เปูา และเป็นผู๎ตรวจการณ์หน๎า ในการยิงปืนใหญํ จน กํอให๎เกิดโครงการวิจัยทางด๎าน อากาศยานไร๎คนขับอยํางจริงจัง ส าหรับประเทศไทยซึ่งไมํมีแนวคิดในการรุกราน ประเทศใด เราอาจใช๎อากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีใน ลักษณะเป็นการอ านวยการยุทธเฉพาะพื้นที่หรือใช๎ประโยชน์ จากอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีในงานเฉพาะกิจ ส าหรับบินตรวจการณ์เฉพาะบริเวณเพื่อรักษาทรัพยากรของ ประเทศ เชํน ทรัพยากรปุาไม๎ ทรัพยากรทางทะเล การบินตรวจการณ์ในพื้นที่หลํอแหลม เป็นต๎น ควรมีการคิดและ พัฒนาอากาศยานไร๎คนขับโดยยึดหลักความ ต๎องการใช๎งานของแตํละกองทัพ เชํน กองทัพบกต๎องการอากาศยาน ไร๎คนขับหรือยูเอวีในระดับทางยุทธวิธี มีลักษณะเป็นเอนกประสงค์ (Tactical UAV) กองทัพเรือ ต๎องการอากาศ ยานไร๎คนขับหรือยูเอวีที่สามารถขึ้นลงทางดิ่ง สามารถลงจอดบนเรือได๎ ใช๎ในการลาดตระเวนของกองเรือ (Vertical Takeoff and Landing Tactical UAV) และกองทัพอากาศ ต๎องการอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีแบบติดอาวุธ เพื่อใช๎ในการโจมตี หรือชี้เปูาหมาย CUAV (Combat UAV) ดังนั้นอากาศยานไร๎คนขับหรือยูเอวีถือได๎วําเป็น ยุทโธปกรณ์ที่มีความส าคัญตํอกองทัพในสงครามอนาคต เพราะเป็นเหมือนตาวิเศษ หูทิพย์ ที่สามารถสร๎างความ ได๎เปรียบ ฉะนั้น การวิจัยและพัฒนาจึง เป็นความจ าเป็นในล าดับแรก ๆ ของกองทัพไทยสูํการพึ่งพาตนเอง


๑๘๙ บทที่ ๔๓ ระบบควบคุมสั่งการอาวุธต่อสู้อากาศยาน SAMCOS : Surface-to-Air Missile Command & Control System ๑. ข๎อมูลทั่วไป ๑.๑ ปีที่เข๎าประจ าการ ปี พ.ศ.๒๕๕๒ ๑.๒ พัฒนาโดยบริษัท Shaw Consultants ประเทศอังกฤษ ๒. คุณลักษณะทั่วไป ๒.๑ เป็นระบบควบคุมสั่งการระบบปูองกันภัยทางอากาศที่สามารถดึงสัญญาณเรดาร์ของ Giraffe 40 ให๎มาแสดงที่หน๎าจอคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์บัญชาการและหนํวยยิงในลักษณะ Real Time ๒.๒ สามารถท าให๎ผู๎บังคับบัญชาที่ศูนย์บัญชาการสั่งการ, ดูสถานะ และพื้นที่การปูองกัน ของหนํวยยิงแตํละหนํวยได๎ ๒.๓ สามารถท าการสร๎างสถานการณ์จ าลองหรือการบันทึกภาพที่ได๎จากการปฏิบัติงานจริง เพื่อใช๎ส าหรับการฝึกปฏิบัติการในลักษณะการจ าลองยุทธ์ได๎ ๓. ระบบจะใช๎การติดตํอสื่อสารระหวํางศูนย์บัญชาการกับหนํวยยิงเป็นแบบไร๎สาย ซึ่งสามารถ ท าการเลือกเพื่อตํอระบบได๎ด๎วยระบบดังตํอไปนี้ ๓.๑ ระบบเครือขํายไร๎สาย Wireless LAN ๓.๒ Combat Net Radios ๓.๓ Radio Modems ๔. ข๎อมูลทางเทคนิค ๔.๑ ยํานความถี่ ๔.๑.๑ ๑๔๗ – ๑๗๕ MHz VHF ๔.๑.๒ ๔๐๐ – ๕๐๐ MHz UHF ๔.๑.๓ ๘๖๘ – ๙๒๐ MHz UHF ๔.๒ ระยะในการรับ –สํงข๎อมูล ๑๐-๒๐ กิโลเมตร (Line of Sight), ๑-๓ กิโลเมตร (Building)


๑๙๐ บทที่ ๔๔ ระบบอาวุธต่อสู้อากาศยาน ระยะปานกลาง KS-1C ๑. การใช๎ระบบอาวุธตํอสู๎อากาศยานระยะปานกลาง KS – 1C ๑.๑ การปฏิบัติ ๑.๑.๑ การติดตั้งและตรวจสอบระบบการท างานของอาวุธ ฯ ๑.๑.๑.๑ น ายานพาหนะทั้งหมดออกจากโรงเก็บ ประกอบด๎วยรถบรรทุก จ านวน ๘ คัน และรถพํวง ๒ คัน ท าการติดเครื่องยนต์ ๕ นาที และขับเคลื่อนภายในพื้นที่กองบิน ๗ ประมาณ ๒๐ นาที เพื่อเป็นการทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ ชํวงลําง การเกาะถนน และรักษาสภาพยาง ๑.๑.๑.๒ น ายานพาหนะทั้งหมดเข๎าจอดบริเวณพื้นที่การฝึกตามข๎อก าหนด คือ อยูํสูงกวําระดับน้ าทะเลไมํเกิน ๓,๐๐๐ เมตร เป็นพื้นที่ราบเรียบ โลํง ไมํมีสิ่งกีดขวางที่จะกํอให๎เกิดอุปสรรค เชํน ภูเขาสูง ตึก อาคาร ต๎องอยูํหํางจากแหลํงก าเนิดไฟฟูาแรงสูงที่ระยะไมํน๎อยกวํา ๑,๒๐๐ เมตร และตั้งอยูํหําง จากอาคารบ๎านเรือนที่ระยะไมํน๎อยกวํา ๕๐๐ เมตร มีการติดตั้งสายลํอฟูาหํางจาก Launching site ที่ระยะ ๓ – ๕ เมตร และเสาต๎องมีความสูงไมํต่ ากวํา ๑๐ เมตร โดยแบํงพื้นที่การจอดเป็น ๓ สํวนดังนี้ (๑) สํวนของ Guidance Station Site ให๎ Tracking radar อยูํ ในต าแหนํงกึ่งกลางและรัศมีโดยรอบ ๒๐ เมตร ประกอบไปด๎วย Command & Control Vehicle, Frequency Conversion Vehicle, Power Distribution Vehicle และ Spare Parts Vehicle รถพํวง Tracking radar ควรอยูํหํางจากรถคันอื่นๆ ที่ระยะไมํน๎อยกวํา ๗ เมตร เพื่อเป็นการปูองกันในกรณีเมื่อมี การหมุน และรถที่เหลือให๎อยูํหํางจากกันประมาณ ๑.๘ – ๒ เมตร เพื่อให๎มีพื้นที่ในการติดตั้งสายเคเบิ้ล (๒) สํวนของ Missile Launching Site ต๎องติดตั้งหํางจาก Guidance Station Site ที่ระยะ ๕๐ – ๑๑๐ เมตร กรณีเชื่อมตํอโดยสายเคเบิ้ล หรือติดตั้งที่ระยะ ๕๐ – ๑,๐๐๐ เมตร กรณีเชื่อมตํอแบบไร๎สาย และในแตํละแทํนยิงควรตั้งอยูํหํางออกจากกันที่ระยะไมํต่ ากวํา ๕๐ เมตร เพื่อเป็นการ ปูองกันในกรณีที่มีการระเบิดและควรติดตั้ง Missile Loading & Withdrawing Site อยูํในระยะ ๒๐ เมตร (๓) สํวน Searching Radar Site ต๎องติดตั้งหํางจาก Guidance Station Site ที่ระยะ ๓๐๐ – ๑,๐๐๐ เมตร กรณีเชื่อมตํอโดยสายเคเบิล หรือติดตั้งที่ระยะ ๓๐๐ – ๒,๐๐๐ เมตร กรณีเชื่อมตํอแบบไร๎สายและควรติดตั้งรกพํวง Power Station หํางออกไปที่ระยะไมํเกิน ๑๐๐ เมตร ๑.๑.๑.๓ ด าเนินการติดตั้งและเชื่อมตํอสายเคเบิ้ลระหวํางรถแตํละคัน ๑.๑.๑.๔ เริ่มกระบวนการเปิดการจํายพลังงานของระบบ KS – 1C โดยใช๎ พลังจากแหลํงพลังงานหลัก ๒ สํวนดังนี้ (๑) สํวน Guidance Station Site และ Missile Launching Site รับพลังงานจากรถ Power Distribution และแปลงความถี่โดยรถ Frequency Conversion จากนั้นจึงท าการจํายออก (๒) สํวน Searching Radar รับพลังงานจากรถพํวง Power Station ๑.๑.๑.๕ ทดสอบการติดตํอสื่อสารในระบบ KS – 1C ทั้งทางวิทยุและ โทรศัพท์สนาม ๑.๑.๑.๖ ทุกสํวนในระบบ KS – 1C ปฏิบัติในขั้นตอน Self Check (ตามคูํมือ การใช๎งานประจ ารถ)


๑๙๑ ๑.๑.๑.๗ ด าเนินการปูอนคํา Parameter ของระบบ KS – 1C ที่อยูํในสํวน Command & Control Vehicle จากนั้นท าการตรวจสอบที่ Checkout Computer กับ Fire Control Cabinet ๑.๑.๑.๘ ด าเนินการ Calibration มีด๎วยกัน ๒ แบบ คือ (๑) Relative Calibration (๒) GPS Calibration โดยปกติจะใช๎วิธีที่ ๒ เนื่องจากระบบสามารถค านวณคําพิกัดที่ระยะหํางมากกวํา ๒๐๐ เมตร และคําพิกัดที่ได๎ คํอนข๎างมีความแมํนย า เว๎นแตํกรณีที่ GPS ไมํสามารถใช๎การได๎ให๎เปลี่ยนมาใช๎วิธีที่ ๑ (ตามคูํมือการใช๎งานประจ า Command & Control Vehicle) ๑.๑.๑.๙ ด าเนินการตั้งคํา Prohibited Zone of The Missile Launching Vehicle and The Loading Angle (ตามคูํมือการใช๎งานประจ า Missile Launching Vehicle) ๑.๑.๑.๑๐ ด าเนินการ Functional Checkout of The Weapon System (ตามคูํมือการใช๎งานประจ า Command & Control Vehicle) ๑.๑.๑.๑๑ ด าเนินการ Integration Check of The Weapon System (ตามคูํมือการใช๎งานประจ า Command & Control Vehicle) ๑.๑.๑.๑๒ เริ่มกระบวนการ Combat Training การฝึกจะมีด๎วยกัน ๒ รูปแบบ คือ (๑) แบบ Simulate Targets (๒) แบบ Real Targets (ตามคูํมือการใช๎งานประจ า Command & Control Vehicle) ๑.๒ การปิดระบบการท างานและการเพิกถอนอาวุธตํอสู๎อากาศยานระยะปานกลาง KS – 1C ๑.๒.๑ ปฏิบัติในขั้นตอนการปิดระบบ KS –1C (ตามคูํมือการใช๎งานประจ ารถ) โดยเริ่มต๎น จาก Command & Control Vehicle, Tracking Radar, Missile Launching Vehicle และ Searching Radar ๑.๒.๒ ปิดการจํายพลังงานของระบบ KS – 1C ทั้ง ๒ สํวนคือ ๑.๒.๒.๑ สํวน Guidance Station Site และ Missile Launching Site ปิด การจํายพลังงานจากรถ Frequency Conversion และรถ Power Distribution ตามล าดับ ๑.๒.๒.๒ สํวน Searching Radar ปิดการจํายพลังงานจากรถพํวง Power Station ๑.๒.๓ ด าเนินการถอดสายเคเบิ้ลที่เชื่อมตํอกันระหวํางรถและจัดเก็บให๎เรียบร๎อย ๑.๒.๔ ยานพาหนะทุกคันอยูํในสถานะ Marching State โดย รถ Frequency Conversion ลากรถพํวง Tracking Radar และรถ Searching Radar ลาก รถพํวง Power Station ๑.๒.๕ น ายานพาหนะทุกคันเข๎าจอดที่โรงเก็บ ๒. วงรอบการฝึกปฏิบัติ ฝึกสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ครั้งละ ๘ ชั่วโมง โดยเริ่มตั้งแตํ ๐๘๐๐ – ๑๖๐๐ น. ๓. วงรอบการบ ารุงรักษา วงรอบการบ ารุงรักษา จะปฏิบัติในสัปดาห์สุดท๎ายของแตํละเดือน ครั้งละ ๘ ชั่วโมง โดยเริ่มตั้งแตํ ๐๘๐๐ – ๑๖๐๐ น. ๔. ค าแนะน าในการปฏิบัติ ๔.๑ เมื่อมีการเปิดใช๎งาน, การเติมเชื้อเพลิง หรือมีการแก๎ไขข๎อขัดข๎องให๎ท าการบันทึกลงใน สมุดบันทึกการใช๎งาน พร๎อมลงลายมือชื่อทุกครั้ง ๔.๒ ให๎ท าการแจ๎ง ผสอ.กทน.บน.๗ ทุกครั้งที่มีการฝึก เนื่องจาก Searching Radar ใช๎ ความถี่ขําย S แบน อาจสํงผลให๎เกิดสัญญาณรบกวนกับเรดาร์ ASR ซึ่งมีความถี่ในยํานเดียวกันได๎ ๔.๓ ให๎รายงานสถานภาพไปยัง กยก.บก.อย. ประจ าทุกเดือน


๑๙๒ กระสุนปืนเล็กยาวที่ประจ าการในกองทัพอากาศไทย เรียงจากซ๎ายไปขวา ตามล าดับเวลาการเข๎าประจ าการ 1. 8x50Rmm ปืนเล็กยาวแบบ 45, 46 (Siamese Mauser) 2. 8x52Rmm ปืนเล็กยาวแบบ 45, 46 (Siamese Mauser), ปืนเล็กยาวแบบ 66 3. 6.5x50SRmm ปืนเล็กยาว แบบ 83 (Arisaka Tyupe 38) 4. .22 LR ปืน FM Master ขนาด .22LR 5. .30 Carbine ปืนเล็กสั้นบรรจุเองแบบ 87 เอ็ม 1 และ เอ็ม 2 (US M1, M2 Carbine) 6. .30-06 Springfield ปืนเล็กยาว แบบ 88 (US Springfield M1903) ปืนเล็กยาว แบบ 88 (US Enfiled M1917) ปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 88 (US M1 Garand) 7. .45 ACP ปืนกลมือ ขนาด 11 มม แบบ 86 เอ็ม 3 (US submarine gun caliber .45 M3, M3A1) 8. ลูกซอง 12 Guage ปืนลูกซอง 12 เกจ Model 1897 (Winchester Model 1897) ปืนลูกซอง 12 เกจ Model 12 (Winchester Model 12) ปืนลูกซอง 12 เกจ Model 1200 (Winchester Model 1200) ปืนลูกซอง 12 เกจ Model 870 (Remington Model 870) 9. 9 mm Parabellum (9x19) ปืนกลมือขนาด 9 มม. ยูซี่ พาราเบลลั่ม (Uzi) ปืนกลมือขนาด 9 มม. จันทรุเบกษา 10. .22 Hornet ปืนยังชีพ ขนาด .22 นิ้ว /ลูกซอง .410 นิ้ว (Rifle-Shotgun, Survivial, .22/.410 M6) 11. ลูกซองขนาด .410 ปืนยังชีพ ขนาด.22 นิ้ว/ ลูกซอง .410 นิ้ว (Rifle-Shotgun, Survival, .22/.410, M6) 12. 5.56x45 NATO ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ ขนาด 5.56 มิลลิเมตร เออาร์ 18 (ArmalLite AR-18) ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ ขนาด 5.56 มิลลิเมตร เอชเค 33 (HK-33) ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ ขนาด 5.56 มม. (M16) ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ ขนาด 5.56 มม. (M4) 13. 7.62x51 NATO ปืนเล็กยาว 7.62 มม. เอฟ เอ็น สไนเปอร์ (เมาเซอร์) (FN 30-11)” ปืนเล็กยาวอัตโนมัติ ขนาด 7.62 มม. PSG-1 (HK PSG-1) ปืนเล็กยาว 7.62 มม. M24 SWS (Remington M24 SWS) ปืนเล็กยาว 7.62 มม. M24 A2 (Remington M24 SWS, Remington M24-A2) 14. .50 BMG ปืนซุํมยิง ขนาด .50 นิ้ว เอ็ม 107 Barret M107 ปืนซุํมยิง ขนาด 12.7 มิลลิเมตร (Truvelo SR 12.7x99 MM)” 15. .338 Lapua Magnum ปืนเล็กยาว .338 นิ้ว Multi-Caliber Sniper Rifle (Accuracy International AXMC .338 Lapua Magnum)


Click to View FlipBook Version