The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาทักษะการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน ( BBL ) ผสม เนเปียร์สโบน โรงเรียนบ้านนาซ่าว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by NutKung Jr., 2024-03-11 13:56:55

การพัฒนาทักษะการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน ( BBL ) ผสม เนเปียร์สโบน โรงเรียนบ้านนาซ่าว

การพัฒนาทักษะการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน ( BBL ) ผสม เนเปียร์สโบน โรงเรียนบ้านนาซ่าว

ว ิ จ ั ยในช ั ้ นเร ี ยน การพัฒนาทักษะการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่4 โดยใชการจัดการเรียนรูตามแนวคิดสมองเปนฐาน(BBL) ผสมเนเปยรสโบนโรงเรียนบานนาซาว นายนพณ ั ฐณ  ผ ิ วสว ั สด ิ ์


การพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน นายนพณัฐณ์ ผิวสวัสดิ์ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย


ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ชื่อผู้วิจัย นายนพณัฐณ์ ผิวสวัสดิ์ ชื่อปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณทิต (ค.บ.) สถาบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย สาขาวิชา คณิตศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์เสาวภาคย์ วงไกร ปีการศึกษา 2565


ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบการคิดค านวณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 2) เพื่อเปรียบเทียบ การคิดค านวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มี ต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย คือ นักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 29 คน เครื่องมือ ที่ใช้ ในการวิจัยได้แก่ แบบทดสอบเรื่องการคูณ แบบวัดพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีต่อการจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ การหาความถี่ และร้อยละ การวิเคราะห์ค่ากลางของคะแนนการคิดค านวณของ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 และการวิเคราะห์การกระจายของข้อมูล ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดค านวณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียน กับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ได้แก่ สถิติทีที่เปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent samples t test) การวิเคราะห์เปรียบเทียบ การคิดค านวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ได้แก่ สถิติ t test ที่เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์ (One sample t test)


ข กิตติกรรมประกาศ การวิจัยในเรื่อง การพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนครั้งนี้ส าเร็จลุล่วงด้วยดี เพราะได้รับความกรุณา แนะน า ช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่งจาก ครูอุไร มีแพง ครูดนุพล ค าพา ครูพี่เลี้ยงและคุณครูโรงเรียนบ้านนาซ่าวตลอดจน อาจารย์เสาวภาคย์ วงไกร อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ซึ่งผู้ศึกษารู้สึกซาบซึ้งและเป็น พระคุณอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณเจ้าของเอกสารและงานวิจัยทุกท่านที่ผู้วิจัยได้น ามาศึกษา อ้างอิง ในการท าวิจัย ครั้งนี้รวมถึงคณะครูโรงเรียนบ้านท่าลี่ที่ให้ความร่วมมือ ตลอดจนอ านวยความสะดวก สุดท้ายขอขอบคุณ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนาซ่าวภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 29 คน ที่ให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ท าให้การศึกษาครั้งนี้ส าเร็จในเวลาอันรวดเร็วและ ขอขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลืออีกหลายท่าน ซึ่งไม่สามารถกล่าวนามในที่นี้ได้หมด นพณัฐณ์ ผิวสวัสดิ์ ผู้วิจัย


ค ผลการวิจัยพบว่า 1. การทดสอบก่อนเรียนละหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 3.52 และ 12.55 ตามล าดับ และเมื่อเปรียบเทียบ คะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานข้อที่ 1 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการจัดการ เรียนรู้ที่เป็นการใช้สมองเป็นฐานเกี่ยวกับชีวิตประจ าวันท าให้นักเรียนเข้าใจง่ายและท าให้เกิดความสนใจที่จะ เรียนรู้เพราะสามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ผสมกับเทคนิคการคูณ เนเปียร์สโบนและการท่องสูตรคูณที่ใส่ ท านองการแรพท าให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียน 2. การทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 12.25 คะแนน คิดเป็น ร้อยละ 62.76 และเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรุปได้ ว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานข้อที่ 2 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มี ต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅. = 4.40, . . = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ข้อที่ 4 เทคนิคการคูณเนเปียร์สโบน น าไปใช้ได้จริง (̅. = 4.67, . . = 0.66) รองลงมา คือ ข้อที่ 3 จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาของบทเรียนมากขึ้น (̅. = 4.53, . . = 0.68) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ าที่สุด คือ ข้อที่ 1 จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนมีความชัดเจน (̅. = 4.19, . . = 0.70) ความเชื่อมั่น (Reliability) แบบสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่าเท่ากับ 0.91


ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข ผลการวิจัย ค สารบัญ ง สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทน า 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 สมมติฐานของการศึกษา 2 ขอบเขตของการวิจัย 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 3 นิยามศัพท์เฉพาะการวิจัย 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน 5 สมองกับการเรียนรู้ 7 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) 8 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 16 ความพึงพอใจ 18 แท่งค านวณของเนเปียร์( Napier’s bone) 20 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 21 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย 23 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 23 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 23 ชั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัย 23 รูปแบบการวิจัย 28 การวิเคราะห์ข้อมูล 28 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 29


จ สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 32 สัญลักษณ์ทางสถิติ 32 ล าดับชั้นการน าเสนอข้อมูล 32 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 33 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 36 สรุปผล 36 อภิปรายผล 37 ข้อเสนอแนะ 38 บรรณานุกรม 39 ภาคผนวก ภาคผนวก กรายนามผู้ทรงคุณวุฒิ 40 ภาคผนวก ขผลการพิจารณาคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ 45 ภาคผนวก ค คาความยากง่ายคาอ านาจจ าแนก และคความเชื่อมั่น 52 ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคผนวก งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ 54 ภาคผนวก จ รูปภาพตัวอย่างสื่อ 59 ภาคผนวกฉ คะแนนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4วิชาคณิตศาสตร์ 63 เรื่องการคูณ ระหว่างหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 ภาคผนวก ช คะแนนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4วิชาคณิตศาสตร์ 66 เรื่องการคูณ ระหว่างหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนว คิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ภาคผนวก ซ แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 4 69 ต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ภาคผนวก ฌ ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ 73 ประวัติผู้วิจัย 134


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหา เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 24 เรื่อง การคูณ ตอนที่ 1 แบบ ปรนัย 2 วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหาเพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 24 เรื่อง การคูณ ตอนที่ 2 แบบ อัตนัย 3 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) 26 ผสม เนเปียร์สโบน 4 แสดงข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง 33 5 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณ 33 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และผสม เนเปียร์สโบน 6 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณ 33 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 7 แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 35 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน


1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา คณิตศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งต่อความส าเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากคณิตศาสตร์ช่วยให้ มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผลเป็นระบบมีแบบแผนสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้ อย่างรอบคอบและถี่ถ้วนช่วยให้คาดการณ์วางแผนตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสามารถน าไปใช้ ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นรากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติการศึกษาคณิตศาสตร์จึงจ าเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัยและ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุค โลกาภิวัตน์(ตัวชี้วัดและหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์.2560) ซึ่งในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ พุทธศักราช 2551 ฉบับปรัง ปรุง 2561 ได้ก าหนดองค์ความรู้ ทักษะส าคัญและคุณลักษณะส าคัญและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการ แก้ปัญหาการด าเนินชีวิต และการศึกษาต่อการมีเหตุมีผล มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ และสร้างสรรค์ ซึ่ง คุณภาพของผู้เรียนในภาคเรียนที่ 1 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จะต้องการอ่าน การเขียน ตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสือแสดงจ านวนที่มากกว่า 100,000 หลัก ค่าประจ าหลักและค่าของเลข โดดในแต่ละหลัก และการเขียนตัวเลขแสดงจ านวนในรูปกระจาย การเปรียบเทียบและเรียงล าดับจ านวน ค่าประมาณของจ านวนนับและการใช้เครื่องหมาย ≈ การบวกและการลบจ านวนที่มากกว่า 100,000 การบวกและ การลบ การประมาณผลลัพธ์ของการบวก การลบ การสร้างและแก้โจทย์ปัญหา พร้อมทั้งหาค าตอบ การคูณและ การหาร การคูณและการหาร การประมาณผลลัพธ์ของการคูณและการหาร การสร้างและแก้โจทย์ปัญหา พร้อม ทั้งหาค าตอบและแบบรูปของจ านวนที่เกิดจากการคูณ การหาร ด้วยจ านวนเดียวกัน การบวก ลบ คูณ หารระคน การประมาณผลลัพธ์ของการบวก การลบ การคูณ การหาร การแก้โจทย์ปัญหาและการสร้างโจทย์ปัญหาพร้อมทั้ง หาค าตอบ แบบรูปของจ านวนที่เกิดจากการคูณ การหารด้วยจ านวนเดียวกัน การบอกระยะเวลาเป็นวินาที นาที ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน ปี การเปรียบเทียบระยะเวลาโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยเวลา การอ่านตารางเวลา และการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเวลา(ตัวชี้วัดและหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์.2560) ซึ่งสภาพการจัดการเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว พบว่านักเรียน ส่วนมากขาดทักษะด้านการคูณ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรควิด-19 ท าให้ 2 ปีให้หลังนี้นักเรียนได้ท าการเรียน การสอนผ่านระบบออนไลน์ท าให้ยักเรียนมีผลการเรียนค่อนข้างต่ า และเมื่อครูถามค าถามเกี่ยวกับการคูณหรือ สูตรคูณ จะมีทั้งนักเรียนที่ตอบค าถามได้และไม่ได้ หรือตอบถูกและตอบผิด เมื่อตอบโดยไม่ให้ดูแม่สูตรคูณ ซึ่งเป็น ผลจากการที่นักเรียนยังขาดทักษะด้านการคูณและจะส่งผลต่อไปถึงเรื่องการหาร ส่วนหนึ่งมาจากการขาดความ แม่นย าในการท่องสูตรคูณ จะคิดค านวณได้ช้าได้ค าตอบที่ผิดและไม่สนุกกับการเรียน และมีพฤติกรรมการติดการ ใช้การดูสูตรคูณจากไม้บรรทัด จากหนังสือเรียน แทนการคิดค านวณด้วยตนเอง ซึ่งในชีวิตประจ าวันนักเรียนจะไม่ สามรถหาดูสูตรคูณจากไม้บรรทัดหรือดูสูตรคูณได้ ซึ่งการแก้ปัญหานี้ผู้วิจัยได้เล็งเห็นการคูณแบบเนเปียร์สโบน จะ


2 ช่วยให้นักเรียนคูณตัวเลขแบบไม่สับสนหลักและน าการท่องสูตรคูณพร้อมกัน พร้อมใส่ท านองเพลงหรือเปลี่ยนเป็น ให้ท่องเป็นรายบุคคล หรือสลับการท่องชายหญิง เพื่อกระตุ้นนักเรียน ให้ตื่นตัวในการเรียนรู้อยู่เสมอ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) จะท าการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญตามหลักการของ สมองกับการเรียนรู้ การเรียนรู้ต้องใช้ทุกส่วนทั้งการคิด ความรู้สึกและการลงมือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน และ สอดแทรกการท่องสูตรคูณที่ผู้วิจัยได้คัดเลือกมา วิธีที่ 1 ให้นักเรียนท่องสลับกันคนละประโยค วิธีที่ 2 ให้นักเรียน ท่องสูตรคูณแบบเดิมคนละประโยค สลับกันระหว่าง ชาย – หญิง วิธีที่ 3 ท่องสูตรคูณพร้อมใส่จังหวะ มาช่วยใน การเรียนรู้จะช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในเนื้อหามากขึ้น จากสภาพปัญหาดังกล่าวผู้วิจัย ท าหน้าที่เป็นครูฝึกสอน สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัย ราชภัฏเลย เห็นปัญหาเรื่องการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ศึกษาและหาวิธีการสอนโดยผู้วิจัย เลือกการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนเพื่อแก้ปัญหาการคูณ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL)และผสม เนเปียร์สโบน 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์ สโบน 1.2.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมอง เป็นฐาน (BBL)ผสม เนเปียร์สโบน 1.3 สมมุติฐาน 1.3.1 นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว มีความสามารถด้านการคูณเพิ่มขึ้นหลังจากใช้ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 1.3.2 นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว มีความสามารถด้านการคูณเพิ่มขึ้นโดยใช้การ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนและสามารถท าแบบทดสอบการเรื่องการคูณสูง กว่าเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 1.4 ขอบเขตของการวิจัย ผู้ศึกษาได้ก าหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ดังนี้ 1.4.1 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.4.1.1 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 29 คน


3 1.4.2 ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเนื้อหาเรื่องการคูณ 1.4.3 ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.4.3.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL)ผสม เนเปียร์สโบน 1.4.3.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้านการคูณและความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL)ผสม เนเปียร์สโบน 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.5.1 นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว ได้รับการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาด้าน การคูณ ด้านการคิดค านวณ ด้วยการใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 1.5.2 ผลการวิจัยเป็นแนวทางส าหรับครูผู้สอนและผู้สนใจน าแนวทางการในการแก้ปัญหาเรื่องการคูณโดยใช้ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 1.5.3 เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าเพื่อที่การวิจัยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเรื่องการคูณ 1.5.4 นักเรียนสามารถท าแบบทดสอบการเรื่องคูณหลังผ่านการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ผ่านเกณฑ์การประเมินร้อยละ 60 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะการวิจัย 1.6.1ความสามารถในการคูณ หมายถึง ความสามารถในการหาผลคูณ ซึ่งประกอบด้วย การคูณ จ านวนที่มีหนึ่ง หลักกับจ านวนที่มีหลายหลัก การคูณจ านวนที่มีสองหลักกับจ านวนที่มีสองหลัก และ สามารถแสดงแนวคิดในการหา ผลคูณได้ 1.6.2 สูตรคูณ หมายถึง ตารางกริดที่หัวแถวและคอลัมน์เป็นเลขที่จะน ามาคูณ และตัวเลข ในแต่ละช่องคือ ผลคูณ หรือ ตารางแสดงผลคูณของจ านวนเลข 1.6.3 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) หมายถึง การน าเอาองค์ความรู้ เรื่องสมอง และ ธรรมชาติของการท างานของสมองมาใช้ในการจัดกระบวนการให้เกิดการ เรียนรู้ซึ่งได้แก่การจัด กิจกรรมระหว่าง ผู้สอนและผู้เรียนการจัดสิ่งแวดล้อมการออกแบบและ การใช้สื่อเพื่อท าให้เกิดการ เรียนรู้ต่าง ๆ และนักเรียน สามารถเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพของ สมองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน โดยมี ล าดับชั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการสอนที่ สอดคล้องกระบวนการท างานของสมอง ของดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมความพร้อม ชั้นนี้เป็นการใช้กิจกรรมบริหารสมอง (Brain Gym) เพื่อท าให้ สมองตื่นตัว พร้อมที่จะเรียนรู้ในการเรียน รวมถึงการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม ซึ่งอาจมี การใช้เกมหรือ เพลง การเคลื่อนไหวของ ร่างกายประกอบขณะท ากิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 2 ขั้นน าเสนอความรู้ ชั้นนี้เป็นการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้ เรียนรู้อย่างมี คุณภาพ โดย น าเสนอความรู้ใหม่ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ได้แก่ สื่อของจริง บัตรภาพ บัตรตัวเลข บทเพลง ขั้นที่ 3 ขั้นลงมือเรียนรู้ ชั้นนี้เป็นการให้นักเรียน ได้ลงมือฝึกท า ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ พา นักเรียนไป เรียนรู้จากของจริง ให้นักเรียนลงมือเรียนรู้จากสื่อที่ครูจัดเตรียมให้ ท า แบบฝึกทักษะ


4 ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปความรู้ ชั้นนี้เป็นการน าประสบการณ์ ทั้งหมดจากการเรียนรู้ของ นักเรียนมา สรุปรวบยอด ความรู้ความคิดรวบยอด ด้วยการพูดหรือการเขียน ขั้นที่ 5 ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ ชั้นนี้เป็นขั้นที่ครูมอบหมายให้นักเรียนท าเดี่ยว หรือ กลุ่ม โดย ให้น าความรู้ที่มี อยู่ไปประยุกต์ใช้ สร้างสรรค์ชิ้นงานที่ครูมอบหมายให้ และแก้ปัญหา จากสถานการณ์ ที่ครูสร้างขึ้นปัญหาใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิมหรือขยายความรู้ไปใช้ใน สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นใน ชีวิตจริง 1.6.4 เนเปียร์สโบน หมายถึง แท่งค านวณของเนเปียร์ (Napier’s bone) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ปรกอบด้วยแท่ง ไม้ตีเส้นเป็นตารางค านวณหลาย ๆ แท่งเอาไว้ใช้ส าหรับค านวณ แต่ละแท่งจะมีตัวเลขเขียนก ากับไว้ เมื่อต้องการ ผลลัพธ์ก็จะหยิบแท่งที่ใช้ระบุตัวเลขแต่ละหลักมาอ่านกับแท่นดรรชนี (Index) ที่มีตัวเลข 0-9 ก็จะได้ค าตอบ 1.6.5 ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบของผู้เรียนที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL)ผสม เนเปียร์สโบน ในประเด็นเกี่ยวกับความชัดเจนของเนื้อหา ความเหมาะสม ตรงตามเนื้อหา ที่เรียน ให้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาของบทเรียนมากขึ้น มีความสนุกต่อการเรียน การเรียนที่ น่าสนใจ สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และปริมาณเนื้อหาเหมาะสมกับระยะเวลาที่เรียน 1.6.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนที่ได้ คะแนนจากการ ทดสอบวัดความสามารถในการคูณแบบปรนัยและอัตนัย เรื่อง การคูณ โดยใช้ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคูณ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก 1.6.7 นักเรียน หมายถึง ผู้ที่เรียนก าลังศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว ในรายวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องการ คูณ ในโรงเรียนบ้านนาซ่าว ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565


5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการวิจัยในด้าน ต่าง ๆ ตามล าดับหัวข้อดังนี้ 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ พุทธศักราช 2551 2.1.1 ความส าคัญของคณิตศาสตร์ 2.1.2 วิสัยทัศน์ 2.1.3 คุณภาพของนักเรียน 2.1.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 2.2 สมองกับการเรียนรู้ 2.2.1 หน้าที่ของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา 2.3 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) 2.3.1 ความเป็นมา 2.3.2 ความหมายของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 2.3.3 แนวคิดพื้นฐานการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 2.3.4 หลักการการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน 2.3.5 แนวทางการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของสมอง 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 2.5 ความพึงพอใจ 2.5.1 ความหมายของความพึงพอใจ 2.5.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ 2.5.3 การวัดความพึงพอใจ 2.6 แท่งค านวณของเนเปียร์ ( Napier’s bone) 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับ ปรับปรุง 2560) 2.1.1 ความส าคัญของคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์มีบทบาทส าคัญยิ่งต่อความส าเร็จในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เนื่องจากคณิตศาสตร์ช่วย ให้มนุษย์มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผนสามารถ วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้ อย่างรอบคอบและถี่ถ้วนช่วยให้คาดการณ์ วางแผนตัดสินใจ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสามารถน าไปใช้ใน ชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ ศาสตร์อื่น ๆ อันเป็น รากฐานในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของชาติให้มีคุณภาพและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ ทัดเทียมกับนานาชาติการศึกษาคณิตศาสตร์จึงจ าเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันสมัย และสอดคล้องกับ สภาพเศรษฐกิจสังคมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน


6 2.1.2 วิสัยทัศน์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มุ่ง พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก าลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึก ในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่ จ าเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญบน พื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ 2.1.3 คุณภาพของนักเรียน คุณภาพของนักเรียนเมื่อนักเรียนจบการศึกษาชั้นพื้นฐาน 12 ปีแล้ว นักเรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระคณิตศาสตร์มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์มีเจตคติที่ดีต่อ คณิตศาสตร์ตระหนัก ในคุณค่าของคณิตศาสตร์ และสามารถน าความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปพัฒนา คุณภาพชีวิต ตลอดจนสามารถน า ความรู้ทางคณิตศาสตร์ไปเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และ เป็นพื้นฐานในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น การที่ นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างมีคุณภาพนั้นจะต้องมีความสมดุล ระหว่าง สาระทางด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการควบคู่ไปกับคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมดังนี้ 1. มีความรู้ความเข้าใจในคณิตศาสตร์พื้นฐานเกี่ยวกับจ านวนและการด าเนินการ การวัด เรขาคณิต พีชคณิต การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น พร้อมทั้งสามารถน าความรู้นั้น ไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันได้ 2. มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จ าเป็น ได้แก่ ความสามารถในการแก้ปัญหา ด้วย วิธีการที่ หลากหลาย การให้เหตุผล การสื่อสาร สื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และการน าเสนอ การมี ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์การเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์ กับ ศาสตร์อื่น ๆ 3. มีความสามารถในการทางานอย่างเป็นระบบ มีระเบียบวินัย มีความรอบคอบ มีความ รับผิดชอบ มี คุณธรรมและจริยธรรม มีวิจารณญาณ มีความเชื่อมั่นในตนเองและรับฟัง ความคิดเห็น ของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล พร้อมทั้งตระหนักในคุณค่าและมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ เมื่อนักเรียนจบการเรียน ช่วงขั้นที่ 2 นักเรียนควรจะมี ความสามารถดังนี้ 1. อ่าน เขียนตัวเลข ตัวหนังสือแสดงจ านวนนับ เศษส่วน ทศนิยมไม่เกิน ๓ ต าแหน่ง อัตราส่วน และร้อยละ มี ความรู้สึกเชิงจ านวน มีทักษะการบวก การลบ การคูณ การหาร ประมาณ ผลลัพธ์และน าไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 2. อธิบายลักษณะและสมบัติของรูปเรขาคณิต หาความยาวรอบรูปและพื้นที่ของรูป เรขาคณิต สร้างรูป สามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม และวงกลม หาปริมาตรและความจุของทรงสี่เหลี่ยมมุม ฉากและน าไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 3. น าเสนอข้อมูลในรูปแผนภูมิแท่ง ใช้ข้อมูลจากแผนภูมิแท่ง แผนภูมิรูปวงกลม ตารางสอง ทาง และกราฟ เส้น ในการอธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ และตัดสินใจ 2.1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สาระที่ 1 จ านวนและพีชคณิต มาตรฐาน ค 1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจ านวน ระบบจ านวน การด าเนินการของ จ านวน ผลที่ เกิดขึ้นจากการด าเนินการสมบัติของการด าเนินการ และน าไปใช้ มาตรฐาน ค 1.2 เข้าใจและวิเคราะห์แบบ รูป ความสัมพันธ์ ฟังก์ชัน ล าดับและอนุกรม และน าไปใช้ มาตรฐาน ค 1.3 ใช้นิพจน์ สมการ และอสมการ อธิบาย ความสัมพันธ์หรือช่วยแก้ปัญหาที่ก าหนดให้ สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต


7 มาตรฐาน ค 2.1 เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัด วัดและคาดคะเนขนาดของสิ่งที่ต้องการวัด และ น าไปใช้ มาตรฐาน ค 2.2 เข้าใจและวิเคราะห์รูปเรขาคณิต สมบัติของรูปเรขาคณิต ความส าพันธ์ระหว่างรูป เรขาคณิต และทฤษฎีบททางเรขาคณิต และการน าไปใช้ สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็น มาตรฐาน ค 3.1 เข้าใจกระบวนการทางสถิติ และใช้ความรู้ทางสถิติในการแก้ปัญหา มาตรฐาน ค 3.2 เข้าใจหลักการนับเบื้องต้น ความน่าจะเป็น และน าไปใช้ จากหลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 60) ได้ก าหนด จุดมุ่งหมายที่เป็น มาตรฐานการเรียนรู้ไว้อย่างชัดเจนว่าให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เห็นคุณค่าของ ตนเอง มีความคิด สร้างสรรค์ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน รักการเขียน และรักการค้นคว้า มีทักษะ และ กระบวนการ ในการด าเนินชีวิต ซึ่งจะเห็นว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่มีความส าคัญต่อการพัฒนา ความคิด ของ คนท าให้มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ ระเบียบมีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ ปัญหาและ สถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ ถูกต้อง และเหมาะสม สามารถน าไปจัดสาระการ เรียนรู้ ในการพัฒนาผลการเรียนรู้ และความพึงพอใจในการเรียนคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) 2.2 สมองกับการเรียนรู้ สมองเป็นอวัยวะที่ท าหน้าที่ในการรับสัมผัสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การมองเห็น การได้ ยิน การ คม การ สัมผัส เมื่อมนุษย์ได้รับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็จะส่งสัญญาณ ไปสู่สมองในส่วน ที่เรียกว่า ทารามัส ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ติดกับแกนสมอง ทารามัสจะท าการกลั่นกรองตรวจสอบข้อมูล ถ้า เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการอยู่ รอดของชีวิตสมองจะสั่งการทันที เพื่อให้เอาชีวิตรอดจากอันตรายซึ่งเรา มักเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า เป็น สัญชาตญาณ ส่วนนี้จะ ท าหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกและมีส่วนส าคัญ ในการเรียนรู้ของมนุษย์ จะเป็นส่วนที่เก็บ ความจ า ถ้าเป็นสภาพที่มีความยินดี พอใจ สนุก การท างาน ของสมองส่วนนี้ก็จะท างานได้ดี สามารถเก็บ ความจ า ได้มาก ในส่วนนี้จะถูกน าไปใช้ในการจัดการ เรียนรู้ โดยการยึดหลักการสร้าง บรรยากาศที่ผ่อนคลาย การสร้าง ปฏิสัมพันธ์เชิงบวก ข้อมูลที่ผนวก ความรู้สึกนี้แล้วจะถูกส่ง ต่อไปยังส่วนที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส ซึ่งจะถูกประมวล ว่ามีความส าคัญ ความหมายหรือไม่ โดยมีการน าความรู้เดิมที่จดจ าไว้มาร่วมประมวล หากมีความสัมพันธ์กันก็จะ เกิด การเรียนรู้ และเชื่อมโยงข้อมูล สมองก็จะเริ่มกระบวนการจดจ าโดยอาจเสริมเพิ่มเติมเข้าไปกับข้อมูล เดิม และดูเก็บไว้ใน โอกาสต่อไป เป็นความส่งจ าระยะยาว แต่ถ้าข้อมูลไม่มีความหมาย หรือมี ความส าคัญน้อยสมองก็ จะมีการจดจ าไว้ชั่วคราวเป็นความส่งจ าระยะสั้น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็ อาจจะ มีการลืมเลือน ความรู้นี้ จะถูก น ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการทบทวน บทเรียนหรือ การใช้แบบฝึกหัดที่ต่อเนื่องเป็น ชั้นๆ (สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ 2549 : 3 - 5) หน้าที่ของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา 1.) สมองซีกซ้าย ควบคุมและสั่งการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวความถนัดของเด็กในช่วงแรกท าให้ เกิดก าลังแล้ว ท าให้เด็กสามารถรับ ความรู้สึกแล้วเปลี่ยนความรู้สึกเหล่านั้นจากสิ่งที่รับ จากภาพ ที่เห็น จากเสียงที่ได้ ยินเป็นรูปธรรมต่าง ๆ ได้จะท า ให้เด็กรู้ว่าสิ่งที่ตนสัมผัสเป็นอย่างไร มี รูปร่างอย่างไร สมองซีกซ้ายจะ ท างานที่มีรูปร่าง หรือมีการเคลื่อนไหวเป็น ฐาน และต้องมี รูปธรรมชัดเจน กล่าวคือ สมองซีกซ้ายจะท าให้เด็กพูดภาษาได้ ได้ยินเสียงและเข้าใจ ความหมาย


8 ของภาษา การเขียน เข้าใจด้านค านวณ วิทยาศาสตร์ ความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นหลักการ ที่ ต้องใช้เหตุผล 2.) สมองซีกขวา ท าหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนามธรรม จริยธรรม ความถนัดด้านดนตรี การเต้นร า ความถนัด ด้านศิลปะ งานปั้น การสร้างจินตนาการคิดฝันเป็นเรื่องเป็นราวต่าง ๆ การรับรู้มโน ทัศน์การพัฒนา และกระตุ้นเด็กในช่วงเวลาต่าง ๆ มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองซีกขวา ทีเดียว เช่น หากในช่วงที่ สมองซ้ายและขวา การเจริญเติบโตที่แตกต่าง กันของสมองซีกนี้ มีผล ต่อการก าหนดอุปนิสัยใจคอของ มนุษย์ เมื่อเรารู้ว่าสมองท างานอย่างไรและการเรียนรู้ เกิดขึ้นอย่างไร เราก็สารมารถออกแบบ กระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนี้ (วิโรจน์ ลักขณาอดิ สร. 2550 : 85) 1.คนเราเกิดมาพร้อมกับจ านวนเซลล์สมองที่เพียงพอต่อการด ารงชีวิต 2. การขยายตัวของสมองไม่ได้มาจากการเพิ่มจ านวนเซลล์ของสมอง แต่มาจาก“ใยประสาท” 3. สมองมีความยืดหยุ่น หากเราใช้สมองในการแก้ปัญหา สมองก็จะมีการสร้างใย ประสาท เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ได้ ใช้ ใยประสาทก็จะถูกท าลายลงไป 4. อารมณ์มีความสัมพันธ์กับการเรียนรู้ โดยอารมณ์จะเป็นตัวช่วยเร้าในการเรียก ความทรง จ าเดิมที่เก็บไว้ใน สมอง 5. ภาวะของสมองที่เหมาะสมที่สุดต่อการเรียนรู้คือ ความตื่นตัวแบบผ่อนคลาย 6. การเรียนรู้จะประสบความส าเร็จที่สุดเมื่อกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับข้อง โดยตรงกับ ประสบการณ์ทาง กายภาพที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ 7. เราจะจ าสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นย าที่สุดเมื่อข้อเท็จจริงต่าง ๆ และทักษะฝังอยู่ใน กิจกรรม ในชีวิต จริงตาม ธรรมชาติ ซึ่งจะท าให้เกิดความจ าการเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ 8. เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นโดยการปฏิบัติ หรือการฝึกท า 9. สมองซีกซ้าย คือ ตรรกะ ตัวเลข การวิเคราะห์ 10. สมองซีกขวา สั่งการเกี่ยวกับศิลปะ คนตรี จินตนาการ การสังเคราะห์ 2.3 การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) 2.3.1 ความเป็นมา สถาบันวิทยาการเรียนรู้ (สถาบันวิทยาการเรียนรู้. 2548 ; อ้างถึงใน พิรญาณ์ นิล โอโล. 2556 : 7 - 8) ได้กล่าวว่าการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน (Brain - Based Learning) นั้นเริ่มเป็น ที่รู้จัก ของโลก เมื่อ มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสมองอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในทศวรรษ 1990 ซึ่ง เรียกว่าทศวรรษแห่ง สมอง (Decade of the Brain) ความรู้จากงานวิจัยสมองจ านวนมากช่วย ยืนยันและขยายความเกี่ยวกับ ทฤษฎีการเรียนรู้ (Cognitive Theory) ท าให้มีความเข้าใจมากขึ้น เรื่อย ๆ ถึงวิธีการเรียนรู้ของสมอง มนุษย์ จากนั้นมีนักจิตวิทยาการศึกษาสองท่านคือ Caine and Caine (1990) ได้ค้นพบเกี่ยวกับ หลักการการเรียนรู้ของ สมองจึงเป็นการจุดชนวนให้ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯและสภาคองเกรส ขณะนั้นตื่นตัวมากจนกระทั่งรัฐบาลของ สหรัฐฯ ได้จัด พ.ร.บ.การศึกษาชื่อว่า No Child Left Behind ค.ศ. 1990 โดยมีความเชื่อว่านักเรียนแต่ละ วัยมีการพัฒนาทางสมองต่างกันจึงมีการน าองค์ความรู้ เรื่องสมองและ ธรรมชาติการเรียนรู้ของ สมองมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ในทุกวิชาในสถานศึกษาต่าง ๆ ภายในอเมริกาซึ่งในผล การ เรียนของเยาวชนลดลงสังคมวัตถุนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังมีค าถามจาก ผู้คนส่วนมากใน ทศวรรษนั้นคือท า


9 อย่างไรให้ลูกเป็นอัจฉริยะบุคคลได้ท าอย่างไรจึงมีความคิดความจ า ที่ดีท า อย่างไรจะประสบความส าเร็จในด้าน การเรียนเป็นต้น ในขณะเดียวกันส าหรับสังคมไทยมีข้อมูลที่บ่งชี้ชัดเจนถึงปัญหาการจัด กระบวนการเรียนรู้ ส าหรับคนไทยจากงานของโครงการวิจัยระยะยาวในเด็กไทยและหน่วยงาน อื่น ๆ ในระยะ 10 - 20 ปี ที่ผ่านมา พบว่าเด็กและเยาวชนไทยมีศักยภาพต่ าลงทั้งระดับสติปัญญา และวุฒิภาวะทางอารมณ์อัน เป็นผลมาจาก กระบวนการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวการจัด การศึกษาของโรงเรียนและกระบวนการ สื่อสาร โดยผ่านสื่อหลัก ในสังคมที่ยังยึดติดในกรอบ การเรียนรู้แบบเดิมที่ล้าสมัยขัดแย้งกับโลกยุค ปัจจุบันทั้งครอบครัวและโรงเรียน ไม่ สามารถ จัดการความรู้และความไม่รู้ได้อย่างเหมาะสมขาดความ เข้าใจในธรรมชาติสมองและการเรียนรู้ ของเด็ก ขาดสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมบรรยากาศและ สิ่งแวดล้อมสื่อสาธารณะต่าง ๆ ก็ไม่เอื้อ ต่อการเรียนรู้ในทิศทางที่พึง ประสงค์เมื่อกระบวนการเรียนรู้หลักในสังคมไทยยังยึดติดกับองค์ ความรู้เดิมศักยภาพเด็กและเยาวชนไทยจึงอ่อน ด้อยกว่าชนชาติอื่น และประเทศอื่นบนเวทีโลก จึงเป็นความจ าเป็นเร่งด่วนที่จะต้องพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพ การเรียนรู้ ของสมองมนุษย์ซึ่ง นักวิจัยทั่วโลกค้นพบตรงกันว่าสมองมนุษย์ท างานประสานเชื่อมโยงในเวลา เดียวกันถึง 8 ระบบและสมองของมนุษย์ทุกคนถูกออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้โดยแท้ไม่มีสมองของ มนุษย์ปกติคน ใดที่จะไม่เรียนรู้เพียงแต่การพัฒนาจะดีเพียงใดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและการจัดการเรียนรู้ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเด็กฉะนั้น หากประเทศไทยต้องการพัฒนาศักยภาพของประชากรก็ต้องออกแบบกระ บวนการเรียนรู้ที่เอื้อให้สมองท างาน พร้อมกันทุกระบบและกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยง ของทุกระบบ ในสมองอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดกระบวนการ เรียนรู้แบบนี้คือ BBL ซึ่ง หมายถึงการจัดกระบวนการ เรียนรู้ที่มีพื้นฐานบนการท างานของสมองตามศักยภาพที่ เป็นจริง ของเด็กและเยาวชนแต่ละคน โดย ไม่มีข้อจ ากัดที่อายุหรือชั้นเรียน 2.3.2 ความหมายของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain - Based Learning : BBL) เป็นแนวความคิด ของนัก ประสาทวิทยาและ นักการศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งสนใจเรื่องของการทางานของสมองการ เรียนรู้โดยใช้ สมองเป็นฐานเป็นแนวความคิด เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีที่มาจากการ ศึกษาวิจัยจาก ศาสตร์หลาย ๆ แขนงเช่น จากศาสตร์แขนง ประสาทวิทยาชีววิทยาจิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาด้านการ คิดที่ทาการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมองและการเรียนรู้ของ มนุษย์มีผู้ให้ความหมาย ไว้หลายท่านดังนี้ Caine and Caine (1989 : 65 - 73) กล่าวว่า การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเป็น ทฤษฎีการ เรียนรู้ที่อยู่บน พื้นฐานของโครงสร้างและหน้าที่การท างานของสมองหากสมองยัง ปฏิบัติตาม กระบวนการทางานปกติการเรียนรู้ ก็ยังจะเกิดขึ้นต่อไปทฤษฎีนี้เป็นสหวิทยาการเพื่อ ท าให้เกิดการ เรียนรู้ที่ดีที่สุดซึ่งมาจากงานวิจัยทางประสาท วิทยา รีคาโม RAEric Jensen (2000 : 6) กล่าวว่า การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ ของสมอง เป็นการเรียนรู้ที่ ต้องตอบค าถามที่ว่า อะไรบ้างที่ดีต่อสมอง ดังนั้นความหมายจึงเป็น การเรียนรู้ที่ ผสมผสานหรือรวบรวม หลากหลายทักษะความรู้เพื่อน ามาใช้ในการส่งเสริมการ ท างานของสมอง เช่น ความรู้ทางเคมีศาสตร์ ประสาท วิทยา จิตวิทยา สังคมศาสตร์ พันธุศาสตร์ ชีววิทยา และชีวะประสาทวิทยา ซึ่งเป็นการน าความรู้การท างานหรือ ธรรมชาติการเรียนรู้ของ สมองมาใช้ในการออกแบบการ เรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของสมองให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น Nicola Call (2003 : 9) กล่าวว่า “การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานคือการเรียนรู้ที่ อธิบาย การ ประยุกต์ใช้ความรู้แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสมองมาช่วยเด็กให้เกิดการ เรียนรู้ที่ถาวรมาก ที่สุดถ้ามี


10 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังของ BBL ก็สามารถน าความรู้ แนวคิดหรือทฤษฎีที่ หลากหลายเหล่านั้นไปใช้ เพื่อฝึกหรือส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้” วิทยากร เชียงกูล (2548 : 115) ให้ค านิยามทฤษฎีการเรียนรู้ที่เข้ากับการท างาน ของสมอง หมายถึงการเรียนรู้ที่มี พื้นฐานอยู่บนโครงสร้างและการท าหน้าที่ของสมองซึ่งถ้าหาก สมองไม่ได้ถูกปิด กั้นจากการบรรลุกระบวนการ ตามปกติของมันการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ทุกคนที่มีสมองปกติ เรียนรู้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ (เพื่อการอยู่รอด ของชีวิต) เพราะสมองเป็น เครื่องประมวลผลที่มีพลังสูง อย่างมหาศาลแต่การจัดการศึกษาแบบเก่ามักขัดขวางการ เรียนรู้ ของสมองท าให้ท้อถอยเพิกเฉยหรือ ลงโทษกระบวนการเรียนรู้ทางธรรมชาติของสมอง อัครภูมิ จารุภากรและพรพิไล เลิศวิชา (2550 : 234) การเรียนรู้โดยเข้าใจสมอง คือการท า ความเข้าใจหรือมี มุมมองต่อกระบวนการเรียนรู้โดยอิงอาศัยความรู้ความเข้าใจจาก การท างานของ สมองทัศนะต่อการเรียนรู้เช่นนี้ ท าให้การจัดการเรียนการสอนวางอยู่บนฐาน ของความสนใจและการ ใคร่ครวญว่าปัจจัยใดบ้างที่จะท าให้สมองมี การเปลี่ยนแปลง โดยมีวงจร การท างานของกลุ่มเซลล์และ เครือข่ายเซลล์ภายในสมองที่พัฒนาขึ้นหรือว่าสมองมี ปฏิกิริยา ตอบรับต่อการเรียนการสอนแบบใด อย่างไรมีการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นในสมองขณะที่เรียนรู้และ ความรู้ ความเข้าใจและความช านาญของ ผู้เรียนจะสะท้อนออกมาอย่างไรจากการเปลี่ยนแปลง ภายในสมองการเรียนรู้ จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ควร จะใช้วิธีใดประเมิน จากแนวคิดข้างต้นสรุปได้ว่าการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานหมายถึง การน าเอาองค์ ความรู้ เรื่องสมองและธรรมชาติของการท างานของสมองมาใช้ในการจัดกระบวนท าให้เกิดการ เรียนรู้การ โต้ตอบระหว่างผู้สอนและผู้เรียนการออกแบบและการใช้เครื่องมือสื่อเพื่อท าให้เด็ก สามารถเรียนรู้ได้ เต็มตามศักยภาพของสมองบนความคิดพื้นฐาน 3 ด้านคืออารมณ์การฝึก ปฏิบัติจริงและความคิด สร้างสรรค์ 2.3.3 แนวคิดพื้นฐานการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ (2542 : 18) ได้ศึกษาเกี่ยวกับเซลล์ประสาทจะมารวมกันเป็น กลุ่มแล้วท า หน้าที่อย่าง หนึ่งเซลล์ประสาทเหล่านี้จะติดต่อถึงกันท าให้เกิดการท างานมี กระแสไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากท างานและ กระแสไฟฟ้านี้หยุดไปเซลล์ประสาทก็จะตายและ จุดเชื่อมต่อระหว่างเส้นใยประสาทของเซลล์ที่ติดต่อถึงกันก็จะ ตายไปด้วยเซลล์ประสาทใน สมองเปรียบเสมือนซิลิคอนชิปใน เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งใช้ส าหรับเก็บข้อมูลทุกชนิด เซลล์ ประสาทสามารถที่จะเก็บข้อมูลและแปล ข้อมูลที่เข้ามาให้อยู่ในรูปคลื่นกระแสไฟฟ้าเพื่อเก็บไว้ เป็น ประสบการณ์ในสมองคล้ายกับการเก็บ ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเราสามารถจะเรียก ขึ้นมาใช้เมื่อไรก็ได้ สมองจะมีการพัฒนาทุกครั้งที่ เด็กใช้ส่วนหนึ่งส่วนใดของประสาทสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการมองการชิมรสการสัมผัส การฟังและการดม กลิ่นการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทในสมองเกิดขึ้นเมื่อเด็กได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ออกไปและถ้าประสบการณ์ เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ าแล้วซ้ าอีกการเชื่อมโยงของเซลล์ในสมองก็จะยิ่งมากขึ้นการ เชื่อมโยง เหล่านี้ เป็นตัวท าให้เกิดความสามารถในการคิดเกิดความรู้สึกการกระท าและการเรียนรู้ ปัจจุบันเรา สามารถบอก ได้ว่าสมองส่วนใดมีหน้าที่เกี่ยวกับการคิดแต่เชื่อว่าสมองส่วนใหม่ที่เรียกว่า Neocortex มีหน้าที่เกี่ยวกับความ ฉลาดและการคิดความฉลาดของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจ านวน เซลล์ ในสมองแต่ขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงกันของเซลล์ ประสาทที่งอกเงยออกมาเป็นวงจรสมอง เปรียบเสมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ถ้าสมองได้รับการกระตุ้นมากวงจร สมองก็จะยิ่งมากถ้า ได้รับการกระตุ้นน้อย การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทก็จะน้อยลงตามไปด้วยดังนั้นสิ่งแวดล้อม และการเลี้ยงดูจึงมี ความส าคัญต่อการก าหนดโครงสร้างและโปรแกรมวงจรในสมองสถาบันพัฒนาคุณภาพ วิชาการ (2549 : 8 - 12) ได้อภิบายแนวคิดของการเรียนรู้ตาม หลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานว่า เป็นการ


11 สอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ โดยใช้ กระบวนการ เรียนรู้พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมิน แก้ปัญหา การตัดสินใจ และการว่าแผนเพื่อ ไปสู้การลงมือท าจริงตามหลักการของสมองกับการเรียนรู้ ซึ่งการ เรียนรู้ แบบนี้ส่งผลให้เซลล์สมอง 100,000 ล้านเซลล์ ได้รับการกระตุ้นให้ท างานและเกิดการ พัฒนาการท าให้ เกิดปัญญา การคิด วิเคราะห์และปัญหาในระดับที่สูงชั้น ๆ ครอบคลุมตาม หลักการพหุปัญญาและเกิดความรู้ไว้ใน ความจ าระยะยาวที่พร้อมน าไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ และในการสอนแต่ละครั้งจะต้องค านึงถึง ความคิดพื้นฐาน ตามหลักการของสมองกับการเรียนรู้ คือ อารมณ์เป็นส่วนส าคัญในการเรียนรู้ทุก ชั้นตอน การเรียนรู้ต้องใช้ทุกส่วน ทั้งการคิด ความรู้สึก และการลงมือปฏิบัติจริงไปพร้อม ๆ กันจึงเป็น การเรียนรู้ที่ดีที่สุด กระบวนการและ ลีลาการ เรียนน าไปสู่การสร้างแบบแผนอย่างมีความหมาย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร (2550) ได้เสนอแนวคิดพื้นฐานของการเรียนรู้โดยใช้สมอง เป็นฐาน ดังนี้ 1. การท าให้เด็กเกิดการตื่นตัวแบบผ่อนคลายด้วยการสร้างบรรยากาศให้เด็กไม่ รู้สึกถูก กดดัน แต่มีความ ท้าทายชวนให้ค้นคว้าหารค าตอบ 2. การท าให้เด็กจดจ่อในสิ่งเดียวกันด้วยการใช้แผนการจัดการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้หลาย ๆ แบบ รวมทั้งการยกปรากฏการณ์จริงมาเป็นตัวอย่างและการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ 3. ท าให้เกิดความรู้จากการกระท าด้วยตนเองโดยการให้เด็กได้ลงมือทดลอง ประดิษฐ์หรือได้ เล่า ประสบการณ์จริงที่เกี่ยวข้อง 4. ทฤษฎีการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานได้เสนอทฤษฎีการ เรียนรู้ตาม หลักการ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ดังนี้ ทฤษฎีที่ 1 การเรียนรู้อย่างมีความสุข เด็กแต่ละคนต้องได้รับการยอมรับว่า เป็นมนุษย์ที่มี หัวใจ เด็ก มีสิทธิที่จะเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนใคร 1.เน้นการสอนด้วยการตั้งค าถามอภิบายด้วยค าถาม 2. เปิดโอกาสให้เด็กได้ลอง แต่ อาจจะมีสัญญาในการจ ากัดความเสียหาย 3. เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกแนวทางในการเรียนรู้ของตนเองตามความ ถนัดและ ความสนใจ 4. ท าให้สิ่งที่เรียนรู้เกี่ยวข้องในชีวิตประจ าวันหรือสามารถเปรียบเทียบ ได้ใน ชีวิตประจ าวัน 5. เรียนรู้จากง่ายไปหาอยาก 6. วิธีการเรียนรู้ต้องสนุกไม่น่าเบื่อ 7.เน้นให้เด็กได้ใช้ความคิด ทั้งคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์และใช้ จินตนาการ 8. การประเมินผลต้องมุ่งประเมินผลในภาพรวมและให้เด็กได้ ประเมินผลตนเอง ทฤษฎีที่ 2 การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม รูปแบบการถ่ายทอดความรู้ 1. การเรียนรู้เป็นกลุ่ม 2. ใช้ค าถามเป็นสื่อการเรียนรู้ “MI UNIVERSITY 3. การจดจ าสถานการณ์ 4. เน้นให้เด็กท ากิจกรรมและสร้างผลงาน 5. เน้นให้เด็กจินตนาการ 6. เน้นการเชื่อมโยงกับชีวิต 7.เน้นการใช้กิจกรรมกลุ่ม เกม การอภิปราย ฯลฯ


12 8. การสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง 9. การประเมินผล สนับสนุนให้เด็กไม่กลัวการแข่งขันด้วยการทดลอง บ่อย ๆ การให้ เด็กยอมรับ ผลการประเมินและวางแผนในการแก้ไขปรับปรุงด้วยตนเอง ทฤษฎีที่ 3 การเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด 1. การคิดเชิงวิเคราะห์ มีความสามารถในการจ าแนก แยกแยะ องค์ประกอบต่าง ๆ และหา ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหา สภาพความเป็นจริง หรือสิ่ง ส าคัญของสิ่งที่ก าหนดให้ 2. การคิดเปรียบเทียบ มีความสามารถในการพิจารณาเปรียบเทียบได้สอง ลักษณะ คือ การ เทียบเคียงความเหมือนและความแตกต่างระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่น ๆ ตาม เกณฑ์ 3. การคิดสังเคราะห์ มีความสามารถในการรวบรวมส่วนประกอบย่อย ต่าง ๆ มา หลอมรวมได้ อย่างผสมผสานจนกลายเป็นสิ่งใหม่ 4. การคิดเชิงพิพากษ์ มีความสามารถในการพิจารณา ประเมินและตัดสิน สิ่งต่าง ๆ หรือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มีข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งโดยการพยายามแสวงหาค าตอบที่มี ความ สมเหตุสมผล 5. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลมี หลักเกณฑ์ และหลักฐาน อ้างอิงก่อนตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ 6. การคิดเชิงประยุกต์ มีความสามารถทางสมองในการคิดน าความรู้มา ปรับใช้ให้ เกิดประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม 7. การคิดเชิงมโนทัศน์ มีความสามารถในการเชื่อมความสัมพันธ์ของ ข้อมูลทั้งหมด โดยมีการ จัดระบบ จัดล าดับความส าคัญของข้อมูล เพื่อสร้างความคิดรวบยอด (Concept) AJABHAT MAHASARAKHAIVERSITY 8. การคิดเชิงกลยุทธ์ มีความสามารถในการก าหนดวิธีการท างานที่ดี ที่สุดโดยใช้จุด แข็งที่ตัวเอง มี มีความยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ภายใต้สภาวการณ์ เพื่อบรรลุ วัตถุประสงค์ที่ต้องการ 9. การคิดเพื่อแก้ไขปัญหา มีความสามารถในการขจัดสภาวะความไม่ สมดุลที่เกิดขึ้น โดย พยายามปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้กลับสู่สภาวะสมดุล 10. การคิดเชิงบูรณาการ มีความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลหรือ แนวคิดหน่วย ย่อย ๆ ทั้งหลายที่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลเข้าด้วยกันกับเรื่องหลักได้อย่าง เหมาะสมกลมกลืน เป็น องค์รวมหนึ่งเดียวที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ 11. การคิดเชิงสร้างสรรค์ มีความสามารถในการขยายขอบเขตความคิดที่ มีอยู่เดิมสู่ ความคิดที่ แปลกใหม่ โดยเป็นความคิดที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 12. การคิดเชิงอนาคต มีความสามารถในการคาดการณ์แนวโน้มที่อาจจะ เกิดขึ้นใน อนาคตได้ อย่างชัดเจนและสามารถน าสิ่งที่คาดการณ์นั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่าง เหมาะสมโดย จะต้อง ฝึกนักเรียนในสิ่งต่าง ๆ ต่างไปนี้ 12.1 ฝึกสังเกต


13 12.2 ฝึกบันทึก 12.3 ฝึกการน าเสนอ 12.4 ฝึกการฟัง 12.5 ฝึกการอ่าน การค้นคว้า 12.6 ฝึกการตั้งค าถามและค าตอบ 12.7 ฝึกการเชื่อมโยงทางความคิด 12.8 ฝึกการเขียนและเรียบเรียงความคิดเป็นตัวหนังสือ ทฤษฎีที่ 4 การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย ศิลปะ ดนตรี กีฬาโดยควรจะ มีความ สอดแทรกหลักการของความเหมือน หลักการของความแตกต่าง หลักการของคา ทฤษฎีที่ 5 การเรียนรู้เพื่อพัฒนา สุนทรียภาพและลักษณะนิสัย การฝึกฝน กายวาจาและใจ 1. สอนโดยใช้อุทาหรณ์แล้วตั้งค าถามให้เด็กตอบ แล้วให้เด็กสรุปตอบ - 6 10 2 ด้วย ตัวเอง 2. สอนโดยใช้การแฝงสาระ การพูดคุยถามความเห็นไม่ใช้ให้เด็กจ าใน สิ่งที่สั่งฟังใน สิ่งที่พูด สรุปได้ว่า การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเป็นการน างานวิจัยทางด้านประสาท วิทยา จิตวิทยามาปรับใช้ด้าน การศึกษาศึกษา เป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีการเรียนรู้และ การท างาน ของสมองตามธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคน 2.3.4 หลักการการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้สมองเป็นฐาน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร (2548 : 15) ได้ให้หลักการการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ดังนี้ 1. สมองเป็นเครื่องประมวลผลที่ท างานในเชิงขนาน โดยต้องใช้การเรียนรู้ หลายๆแนวทาง หลายๆวิธีการ ท าให้เด็กมุ่งสนใจในสิ่งdeลังเรียนอยู่ 2. การเรียนรู้ต้องอาศัยการท างานของระบบสรีระทั้งหมดโดยการควบคุม อารมณ์การสร้าง ความ สนุกสนาน โภชนาการการออกกาลังกายการเล่นเพื่อผ่อนคลายมีส่วน ส าคัญต่อการเรียนรู้ 3. มนุษย์มีความอยากที่จะค้นหาความหมายแต่deเนิดการสร้างความท้าทายการ เรียนรู้ด้วย ค าถาม 4. การค้นหาความหมายของมนุษย์เป็นกิจกรรมที่เป็นรูปแบบการเรียนรู้จะต้อง มีรูปแบบมี ระบบมี ความเข้าใจเน้นการประยุกต์ใช้หรือยกตัวอย่างจริงหรือตัวอย่างเปรียบเทียบ 5. อารมณ์มีความส าคัญต่อการท างานแบบมีรูปแบบการให้ความส าคัญต่อ ความรู้สึกมีความ เข้าใจว่า เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน 6. สมองประมวลข้อมูลแบบเป็นส่วนย่อย ๆ และแบบทั้งหมดพร้อม ๆ กันการ สร้างความ เข้าใจแบบที ละส่วนแล้วจะเน้นการเชื่อมโยงของสิ่งที่เรียนรู้และเชื่อมโยงกับชีวิต เสมอให้รู้สึกว่า ความรู้ที่ได้นั้นมีประโยชน์ 7. การเรียนรู้อาศัยทั้งการจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่งและการรับรู้ต่อสภาพรอบข้าง สภาพแวดล้อม ที่ สอดคล้องเหมาะสมกับหัวข้อการเรียนรู้จะท าให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น 8. การเรียนรู้เกิดเกี่ยวข้องกับกระบวนการรับรู้ต่าง ๆ ทั้งขณะที่มีสติรับรู้และ ขณะไม่มีสติ ไปคิดต่อ 9. เรามีวิธีกับการจดจ าอย่างน้อยสองวิธีการจดจ าเป็นกระบวนการหนึ่งในการ เรียนรู้แต่การจดจ าวิธีที่ 1ก็คือการจดจ า โดยมีรูปแบบในการจดจ าและอีกวิธีหนึ่งก็คือการจูงใจ ให้เด็ก สนุกที่จะจดจ าหรือรับรู้โทษของการจ า ไม่ได้การจดจ าจะท าให้เด็กสามารถเรียกความรู้ นั้นมาใช้ได้ ทันที


14 10. เราสามารถเข้าใจได้ง่ายและจดจ าได้อย่างแม่นย าเมื่อสิ่งนั้นหรือทักษะนั้นมี อยู่ในระบบ การจดจ า แบบธรรมชาติที่ความสัมพันธ์กับตัวเราการเรียนรู้ต้องสอดคล้องกับ กิจกรรมใน ชีวิตประจ าวันหรือสิ่งที่มีอยู่จริงใน สภาวะแวดล้อมการเรียนนอกสถานที่การให้เด็ก เล่าเรื่องที่พบการ ใช้สังคมเป็นตัวที่ผลักให้เกิดการเรียนรู้ 11. การเรียนรู้แบบซับซ้อนจะถูกกระตุ้นโดยความท้าทายและถูกยับยั้งโดยการ ถูกข่มขู่การ ลงโทษเมื่อ นักเรียนท าผิดพลาดจะเป็นการหยุดยั้งการเรียนรู้ควรให้โอกาสเด็กได้ ลองปฏิบัติตาม แนวคิดของเขา 12. สมองของแต่ละคนมีความเฉพาะตัวไม่เหมือนกันเด็กควรมีทางเลือกใน ศาสตร์ที่ต้องการ ที่จะเรียนรู้ และได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่พร้อมกับการปรับปรุงทักษะที่ ต้อยให้อยู่ในระดับปกติ มาตรฐาน จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่าการเรียนรู้ตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐานเป็นการ เรียนรู้ที่ เกี่ยวข้องกับ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือการมองเห็นการฟังการสัมผัสการชิมรสการดม กลิ่นเด็กได้ แสดงออกอย่างอิสระตลอดจนการจัด สภาพแวดล้อมที่เอื้อและเหมาะสมการ แสดงออกซึ่งความรัก ความเอาใจใส่ความรู้สึกที่อบอุ่นและการดูแลด้านภาวะ โภชนาการการ จัดการกับความเครียดการออก ก าลังกายการสอนและการพักผ่อนล้วนมีผลกระทบต่อ ความสามารถใน การเรียนรู้ทั้งสิ้นและการจัด ประสบการณ์ที่ซ้ า ๆ โดยค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคลเป็นสิ่งส าคัญที่จะทาให้เกิด การเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ 2.3.5 แนวทางการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของสมอง นักการศึกษาสามารถน างานวิจัยเรื่องการท างานของสมองมาพัฒนากลยุทธ์การ สอนโดย อาศัยฐานการเรียนรู้ของ สมองซึ่งสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและรักษา กระบวนการเรียนรู้ ที่อยู่ภายในได้โดยอาศัยกระบวนการ เรียนรู้ของสมองแล้วน ามาออกแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ของสมอง ดังนี้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2551 : 64 - 65) ได้น าหลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมอง เป็นฐานมา จัดการเรียนรู้ตามชั้น ตอนดังนี้ 1. ชั้นน าเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ครูวางแผนในการสนทนากับนักเรียน เพื่อ เตรียมความพร้อม ให้เข้าใจในสิ่ง ที่จะเรียนละสามารถเชื่อมโยงไปสู่เรื่องที่จะเรียนได้ 2. ชั้นตกลงกระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ครูกับนักเรียนตกลงร่วมกันว่านักเรียน จะต้องท า กิจกรรมใดบ้าง อย่างไร และจะมีวิธีวัดและประเมินผลอย่างไร 3. ชั้นเสนออารมณ์ เป็นขั้นที่ครูจะต้องเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมของนักเรียน มาสร้างเป็น องค์ความรู้ใหม่ คือการสอนหรือการสร้างความคิดรวบยอดให้แก่นักเรียนจนเกิด ความรู้ความเข้าใจใน สิ่งที่เรียน 4. ชั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นที่นักเรียนเข้ากลุ่มแล้วร่วมมือกันเรียนรู้และสร้างผลงาน ในชั้นนี้ค าว่า ฝึกทักษะ หมายถึงการศึกษาค้นคว้า การฝึกปฏิบัติการทดลอง การสังเกตจาก สิ่งแวดล้อมแหล่งเรียนรู้ ต่าง ๆ การท าแบบฝึก การ วาดภาพและการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ จน ประสบผลส าเร็จได้ผลงาน ออกมา 5. ชั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นขั้นที่ตัวแทนแต่ละกลุ่มที่ได้จากการจับสลาก ออกมาเสนอ ผลงานเพื่อเป็นการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 6. ชั้นสรุปความรู้ เป็นขั้นที่ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้แล้วให้นักเรียน ท าใบงานเป็น รายบุคลแล้ว เปลี่ยนกันตรวจโดยครูและนักเรียนร่วมกันเฉลย ให้นักเรียนแต่ละ คนปรับปรุงผลงาน ตนเองให้ถูกต้อง ครูรับทราบแล้ว เก็บผลงงานไว้ในแฟ้มสะสมผลงานของ ตนเอง 7. ชั้นกิจกรรมเกม เป็นขั้นที่ครูจัดท าข้อสอบมาให้นักเรียนท าเป็นรายบุคคล โดย ไม่ซักถาม กัน เสร็จแล้ว


15 ส่งเป็นกลุ่มแล้วเปลี่ยนกันตรวจเป็นกลุ่ม โดยครูและนักเรียนร่วมกัน เฉลยให้แต่ละกลุ่มหาค่าคะแนนเฉลี่ยบอกครูบันทึกไว้ แล้วจึงประกาศผลเกม กลุ่มใดได้คะแนน เฉลี่ยสูงที่สุดเป็นกลุ่ม ชนะเลิศ น 8. ชั้นประยุกต์ใช้ความรู้เป็นขั้นที่ครูหมอบหมายให้นักเรียนท าเดี่ยว เป็นคู่ หรือกลุ่มก็ได้ โดย น าหัวข้อหรือ ประเด็นที่ครูอยากรู้ไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยจัดท าเป็น ผลงานอาจเป็น โครงงาน แผนผังความคิด หรือรายงานในรูป ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมกระบวนการ เรียนรู้ด้วยการสืบเสาะหาความรู้ การจัดกิจกรรมทั้ง 3 ชั้นตอนนี้สอดคล้องกับหลักการ เรียนของ BBL คือ การเรียนเรียนเดิม โดยใช้ กิจกรรมที่หลากหลายเพื่อช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ แม่นย าและจ าได้ นาน พรพิไล เลิศวิชา (2558 : 26 - 33) ได้เสนอชั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมอง เป็นฐาน 5 ชั้นดังนี้ 1. อุ่นเครื่อง (Warm - Up) กิจกรรมที่ท าให้สมองตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้ วิชาต่อไป หรือระหว่าง ชั่วโมงที่ดีที่สุดก็คือ การ Warm - Up (อุ่นเครื่อง) ควรให้ท า Warm - Up เพื่อกระตุ้น สมอง การ Warm Up นั้น ท าได้ 3 วิธี คือ 1.1 Brain Exercise คือ การเคลื่อนไหวร่างกายข้ามแกนกลางของล าตัว เพื่อ กระตุ้น และพัฒนาสมองทั้ง สองซีก 1.2การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ คือ กิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วน ต่าง ๆ ของ ร่างกายอย่างอิสระ โดยใช้เสียงเพลง จังหวะ และท านอง ค าคล้องจอง หรืออุปกรณ์ ประกอบการ เคลื่อนไหว 1.3 ยืนเส้นยืดสาย คือ การยืดเหยียด นักเรียนควรได้ยืดเส้นยืดสาย หรือท า โยคะ เช่นท่าโยคะส าหรับ เด็ก การเคลื่อนไหวร่างกายในท่วงท่าต่าง ๆ ท าให้สมองน้อยพัฒนา ร่างกาย แข็งแรง และมีพัฒนาการดีขึ้น 2. ชั้นน าเสนอความรู้ (Present) การน าเสนอความรู้ (การสอน) เป็นการเปิด โอกาสให้เด็กทุก คนได้ เรียนรู้อย่างประสิทธิภาพ โดยน าเสนอความรู้ใหม่ ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่ น่าสนใจ เช่น สื่อของจริง บัตรภาพ บัตร ค า บัตรตัวเลข บทเพลง เป็นต้น 3. ชั้นลงมือเรียนรู้ ฝึกท า - ฝึกฝน (Learn - Practice) การที่คุณครูน าเสนอ ความรู้ หรือที่ เรียนว่า “สอน” นั้น เป็นเพียงแต่การเสนอความรู้และประสบการณ์ใหม่ให้ นักเรียน แต่การเรียนรู้จริง ๆ อยู่ที่การลงมือ ท าการใช้ความรู้นั้น ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น พา นักเรียนไปดูของจริง ส ารวจและ บันทึกจากสิ่งที่พบเห็นท า กิจกรรมจากใบงาน เช่น เล่นเกม ใช้ อุปกรณ์เคาะลงบน โต๊ะหรือข้อความให้เด็กได้เคลื่อนไหว และควรมีใบงานที่ ให้นักเรียนได้ ประยุกต์ใช้ความรู้ 4. ชั้นสรุปความรู้ (Summary) การน าประสบการณ์ทั้งหมดจากการเรียนรู้มา สรุปรวบยอด เป็นความรู้ ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีความจ าเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรามักสังเกตได้ว่า นักเรียนอาจท าการฝึก ผิดพลาด ท า แบบฝึกหัด ไม่ถูกสร้างความรู้จาก Concept ที่ผิด เป็นต้น ความผิดพลาดเหล่านี้ จะปล่อย ไปไม่ได้ การตรวจงาน ไม่ใช้การขีดถูกขีดผิดแล้วจบแต่ต้อง ท างานแก้ไข ให้นักเรียนท าความเข้าใจเสีย ใหม่แก้ความเข้าใจผิดนั้น เราจะรู้ ปัญหานี้ได้ที่ ต่อเมื่อเรามีกิจกรรมหรือใบงาน 5. ชั้นประยุกต์ใช้ความรู้ (Apply) เป็นขั้นที่ครูมอบหมายงานให้นักเรียนท าเดี่ยว ท าคู่ หรือ กลุ่มก็ได้ โดย ให้น าความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ใช้สร้างสรรค์ชิ้นงานที่ครูมอบหมายให้ และแก้ปัญหาต่างๆ สรุปได้ว่าการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ตามแนวคิดโดยใช้ สมองเป็นฐาน นั้นต้องใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น เกม เพลง การเรียนเป็นกลุ่ม และหลักการ ที่ส าคัญของการ เรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐานคือ เรียนซ้ า ซ้ า ทวน ที่ให้


16 เกิดการเรียนรู้ที่จ าได้และแม่นย าและน าไป ประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง และในการสอนแบบนี้ผู้สอนสามารถ ปรับ กิจกรรมหรือสื่อการสอนได้ หลากหลายตามสภาพและสถานการ 2.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ Wilson (1971 : 643 - 696 ; อ้างถึงใน ธรรมรัฐ รูปคม. 2555 : 43 - 46) ได้แบ่ง พฤติกรรม การเรียนรู้ที่พึง ประสงค์ในวิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาออกเป็น 2 ด้าน 1. พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยหรือความรู้ความคิด (Cognitive Domain) 2. พฤติกรรมด้านจิตพิสัยหรือด้านความรู้สึก (Affective Domain) ส าหรับพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยหรือความรู้ความคิด (Cognitive Domain) แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ 1. ความรู้ความจ าด้านการคิดค านวณ (Computation) พฤติกรรมในระดับนี้ถือว่า เป็น พฤติกรรมที่อยู่ ในระดับต่ าที่สุดแบ่งออกได้เป็น 3 ชั้นดังนี้ 1.1 ความรู้ความจ าเกี่ยวกับข้อเท็จจริง (Knowledge of Specific Facts) คาถามที่ วัดความสามารถ ในระดับนี้จะเกี่ยวกับข้อเท็จจริงตลอดจนความรู้พื้นฐานซึ่งนักเรียนได้สั่งสม มาเป็น ระยะเวลานานแล้วด้วย 1.2 ความรู้ความจ าเกี่ยวกับศัพท์และนิยาม (Knowledge of Terminology) เป็น ความสามารถใน การระลึกหรือจาศัพท์และนิยามต่างๆ ได้โดยคาถามอาจจะถามโดยตรงหรือ โดยอ้อม ก็ได้แต่ไม่ต้องอาศัยการคิด ค านวณไป 1.3 ความสามารถในการใช้กระบวนการคิดค านวณ (Ability to Carry out Algorithms) เป็น ความสามารถในการใช้ข้อเท็จจริงหรือนิยามและกระบวนการที่ได้เรียน มาแล้วมา คิดค านวณตามล าดับชั้นตอนที่ เคยเรียนรู้มาแล้วข้อสอบวัดความสามารถด้านนี้ต้อง เป็นโจทย์ง่าย คล้ายคลึงกับตัวอย่างนักเรียนไม่ต้องพบกับ ความยุ่งยากในการตัดสินใจเลือกใช้ กระบวนการ 2. ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับพฤติกรรมระดับ ความรู้ ความจ า เกี่ยวกับการคิดค านวณแต่ซับซ้อนกว่าแบ่งได้เป็น 6 ชั้นตอนดังนี้ 2.1 ความเข้าใจเกี่ยวกับมโนมติ(Knowledge of Concepts) เป็นความสามารถที่ ซับซ้อนกว่าความรู้ ความจ าเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเพราะมโนมติเป็นนามธรรมซึ่งประมวลจาก ข้อเท็จจริง ต่าง ๆ ต้องอาศัยการตัดสินใจ ในการตีความหรือยกตัวอย่างของมโนมตินั้น โดยใช้ค าพูดของตนหรือ เลือกความหมายที่ก าหนดให้ซึ่งเขียนในรูป ใหม่หรือยกตัวอย่างใหม่ที่แตกต่าง ไปจากที่เคยเรียน 2.2 ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการกฎทางคณิตศาสตร์และการสรุปอ้างอิงเป็น กรณี ทั่วไป (Knowledge of Principles Rules and Generalization) เป็นความสามารถในการเอา หลักการ กฏและความ เข้าใจเกี่ยวกับมโนมติไปสัมพันธ์กับโจทย์ปัญหาจนได้แนวทางในการ แก้ปัญหา ได้ถ้าค าถามนั้นเป็นค าถามเกี่ยวกับ หลักการและกฎที่นักเรียนพึ่งเคยพบเป็นครั้งแรก อาจจัดเป็น พฤติกรรมในระดับการวิเคราะห์ก็ได้ 2.3 ความเข้าใจใน โครงสร้างทางคณิตศาสตร์ (Knowledge of Mathematical Structure) ค าถาม ที่วัดพฤติกรรมระดับนี้เป็นค าถามที่วัดเกี่ยวกับคุณสมบัติของระบบจ านวน และ โครงสร้างทางพีชคณิต 2.4 ความสามารถในการเปลี่ยนรูปแบบปัญหาจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง (Ability to Transform Problem Elements from one Mode to Another) เป็นความสามารถใน การแปลข้อความที่ ก าหนดให้เป็นข้อความใหม่หรือภาษาใหม่เช่นแปลจากภาษาพูดให้เป็น สมการซึ่งมี ความหมายคงเดิมโดยไม่


17 รวมถึงกระบวนการแก้ปัญหา (Algorithms) หลังจากแปล แล้วอาจกล่าวได้ ว่าเป็นพฤติกรรมที่ง่ายที่สุดของ พฤติกรรมระดับความเข้าใจ 2.5 ความสามารถในการติดตามแนวของเหตุผล (Ability to Follow A Line of Reasoning) เป็น ความสามารถในการอ่านและเข้าใจความสามารถทางคณิตศาสตร์ซึ่งแตกต่าง ไปจาก ความสามารถในการอ่านทั่ว ๆ ไป 2.6 ความสามารถในการอ่านและตีความโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Ability to Readand Interpret a Problem) ข้อสอบที่วัดความสามารถในชั้นอื่น ๆ โดยให้นักเรียนอ่าน และ ตีความโจทย์ปัญหาซึ่ง อาจจะอยู่ในรูปของข้อความตัวเลขข้อมูลทางสถิติหรือกราฟ 3. การน าไปใช้ (Application) เป็นความสามารถในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ นักเรียนคุ้นเคย เพราะคล้าย กับปัญหาที่นักเรียนประสบอยู่ในระหว่างเรียนคือแบบฝึกหัดที่ นักเรียนต้องเลือก กระบวนการแก้ปัญหาและดา เนินการแก้ปัญหาได้โดยไม่ยากพฤติกรรมใน ระดับนี้แบ่งออกเป็น 4 ชั้น คือ 3.1 ความสามารถในการแก้ปัญหาที่คล้ายกับปัญหาที่ประสบอยู่ในระหว่างเรียน (Ability to Solve Routine Problems) นักเรียนต้องอาศัยความสามารถในระดับความเข้าใจและ เลือกกระบวนการแก้ปัญหาจนได้ ค าตอบออกมา 3.2 ความสามารถในการเปรียบเทียบ (Ability to Make Comparisons) เป็น ความสามารถในการ ค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล 2 ชุดเพื่อสรุปการตัดสินใจซึ่งการ แก้ปัญหาชั้น นี้อาจต้องใช้วิธีการคิดค านวณ และจ าเป็นต้องอาศัยความรู้ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งใช้ ความสามารถในการ คิดอย่างมีเหตุผล 3.3 ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล (Ability to Analyze Data) เป็น ความสามารถในการ ตัดสินอย่างต่อเนื่องในการหาคาตอบจากข้อมูลที่ก าหนดให้ซึ่งอาจต้อง อาศัย การแยกข้อมูลที่เกี่ยวข้องออกจาก ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมาพิจารณาว่าอะไรคือข้อมูลที่ ต้องการเพิ่มเติม มีปัญหาอื่นใดบ้างที่อาจเป็นตัวอย่างในการหา คาตอบของปัญหาที่กาลังประสบ อยู่หรือต้องแยกโจทย์ ปัญหาออกพิจารณาเป็นส่วนมีการตัดสินใจหลายครั้งอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่ ต้นจนได้คาตอบหรือผลลัพธ์ ที่ต้องการ 3.4 ความสามารถในการมองเห็นแบบลักษณะโครงสร้างที่เหมือนกัน และการ สมมาตร(Ability to Recognize Patterns, Isomorphisms , and Symmetries) เป็นความสามารถ ที่ ต้องอาศัยพฤติกรรมอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่การระลึกถึงข้อมูลที่ก าหนดให้การเปลี่ยนรูปปัญหาการ จัด กระทากับข้อมูลและการระลึกถึง ความสัมพันธ์นักเรียนต้องส ารวจหาสิ่งที่คุ้นเคยกันจาก ข้อมูลหรือสิ่ง ที่ก าหนดจากโจทย์ปัญหาให้พบ 4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาที่นักเรียนไม่เคยเห็น หรือไม่ เคยท า แบบฝึกหัดมาก่อนซึ่งส่วนใหญ่เป็นโจทย์พลิกแพลงแต่ก็อยู่ในขอบเขตเนื้อหาวิธี ที่เรียนการแก้ โจทย์ปัญหาดังกล่าว ต้องอาศัยความรู้ที่เรียนมารวมกับความคิดสร้างสรรค์ ผสมผสานกันเพื่อแก้ปัญหา พฤติกรรมในระดับนี้ถือว่าเป็น พฤติกรรมชั้นสูงสุดของการเรียน การสอนคณิตศาสตร์ซึ่งต้องใช้ สมรรถภาพสมองระดับสูงแบ่งเป็น 5 ชั้นดังนี้ 4.1 ความสามารถในการแก้โจทย์ที่ไม่เคยประสบมาก่อน (Ability to Solve Nonroutine Problems) คาถามในชั้นนี้เป็นคาถามที่ซับซ้อน ไม่มีในแบบฝึกหัดหรือตัวอย่างไม่ เคย เห็นมาก่อน นักเรียนต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ผสมผสานกับความเข้าใจมโนมตินิยาม ตลอดจน ทฤษฎีต่าง ๆ ที่เรียน มาแล้วเป็นอย่างดี 4.2 ความสามารถในการค้นหาความสัมพันธ์ ( Ability to Discover Relationships) เป็น


18 ความสามารถในการจัดส่วนต่าง ๆ ที่โจทย์ก าหนดใหม่แล้วสร้าง ความสัมพันธ์ขึ้นใหม่เพื่อใช้ใน การแก้ปัญหาแทน การจ าความสัมพันธ์เดิมที่เคยพบมาแล้วมาใช้ กับข้อมูลชุดใหม่เท่านั้น 4.3 ความสามารถในการสร้างข้อพิสูจน์ (Ability to Construct Proofs) เป็น ความสามารถที่ ควบคู่กับความสามารถในการสร้างข้อพิสูจน์อาจเป็นพฤติกรรมที่มีความ ซับซ้อนน้อย กว่าพฤติกรรมในการสร้าง ข้อพิสูจน์พฤติกรรมในชั้นนี้ต้องการให้นักเรียน สามารถตรวจสอบข้อพิสูจน์ ว่าถูกต้องหรือไม่มีตอนใดผิดบ้าง 4.4 ความสามารถในการวิจารณ์การพิสูจน์ (Ability to Criticize Proofs) ความสามารถในชั้นนี้เป็นการใช้เหตุผลที่ควบคู่กับความสามารถในการเขียนพิสูจน์แต่ ความสามารถ ในการ พิจารณาเป็นพฤติกรรมที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าความสามารถในชั้นนี้ต้องการ ให้นักเรียนมองเห็น และเข้าใจการ พิสูจน์นั้นว่าถูกต้องหรือไม่มีตอนใดผิดพลาดไปจากมโนมติ หลักการกฎนิยามหรือ วิธีการทางคณิตศาสตร์ 4.5 ความสามารถในการสร้างสูตรและทดสอบความถูกต้องของสูตร (Ability to Formulate and Validate Generalizations) นักเรียนต้องสามารถสร้างสูตรขึ้นใหม่โดยให้ สัมพันธ์ กับเรื่องเดิมและต้อง สมเหตุสมผลด้วยนั้นคือการถามให้หาและพิสูจน์ประโยคทาง คณิตศาสตร์หรือ อาจถามให้นักเรียนสร้าง กระบวนการคิดค านวณใหม่พร้อมทั้งแสดงการใช้ กระบวนการนั้นจากการที่ ได้ศึกษาสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หมายถึง ความสามารถในการคิดค านวณและการ แก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ด้านต่าง ๆ 4 ด้าน ได้แก่ความรู้ ความจาด้านการคิดค านวณความเข้าใจการนาไปใช้ การวิเคราะห์ 2.5 ความพึงพอใจ 2.5.1 ความหมายของความพึงพอใจ ธีรศักดิ์ กลิ่นดี (2540 : 18) กล่าวถึงความพึงพอใจว่าหมายถึงความรู้สึกที่ดีที่ชอบ ของบุคคล ที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ และ จะแสดงออกมาทางพฤติกรรมโดยการพอใจสิ่งใดแล้วอยากเข้า ร่วมทั้งกายและ จิตใจ วิเชียร ใจผาสุข (2541 : 30) กล่าวว่าความพึงพอใจหมายถึงความรู้สึกในทางบวก หรือ ความรู้สึกในทางที่ดีต่อสิ่ง ต่าง ๆ ที่ท าให้ความต้องการของบุคคลได้รับการตอบสนองทั้ง ทางด้าน ร่างกายจิตใจอารมณ์สังคมและความเชื่อที่ เหมาะสม บุษกร พงษ์ชวลิต (2541 : 7) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่าความสามารถ ของบุคคล ในการด าเนินชีวิตอย่างมี ความสุขสนุกสนานปราศจากความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า บุคคลจะได้รับการตอบสนองอย่างสมบูรณ์ใน ทุก ๆ สิ่งที่ต้องการแต่ความพึงพอใจนั้นจะหมายถึง ความสุขที่เกิดจากการปรับตัวของบุคคลต่อสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี และเกิดความสมดุลระหว่าง ความต้องการของบุคคลและการได้รับการตอบสนองในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น จากการศึกษา เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความของความพึงพอใจพอสรุปได้ว่าความรู้สึก ในทางที่ ดีของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่างๆและท าให้ บุคคลมีความสุขสนุกสนานเกิดความสมดุลใน การกระท าสิ่งนั้นๆ 2.5.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ บุญรัตน์ อินทรสมพันธ์ (2542 : 13) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความ พึงพอใจของ บุคคลในการเรียน ว่าประกอบด้วยองค์ปัจจัยต่าง ๆ 7 ประการ 2.1 ความสมหวังในชีวิตความสมหวังเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาปรารถนาให้ ตนเองประสบ ผลส าเร็จใน ชีวิตการเรียนในแนวทางที่ตนเองพอใจก็จะท าให้เกิดการทุ่มเทความ พยายามก าลังกาย ก าลังใจในการเรียนเพื่อให้ เกิดประโยชน์และเปลี่ยนแปลงแก่ตนเองทั้งใน ด้านความคิดความสามารถ ทักษะและการเรียนรู้ที่ดีขึ้น


19 2.2 ความพอใจในการเรียนถ้ามนุษย์เราได้เรียนในสิ่งที่เราพอใจก็จะมีความสุข และท าให้ ประสบ ผลส าเร็จความพอใจในการเรียนนั้นเกิดผลของการเรียนเป็นที่พอใจการ ได้รับรางวัลจากการ เรียนการ ได้รับการ เสริมแรงในทางบวกจากอาจารย์ผู้สอนหรือครูฝึกเป็น ต้นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ท าให้ เกิดความพึงพอใจในการเรียน E1 2.3 การยอมรับนับถือมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการพึ่งพาอาศัยกันถ้ามนุษย์ หรือสมาชิก ที่เป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมถูกต้องทอดทิ้งให้อยู่ตามล าพังโดดเดี่ยวเขาก็จะเกิดความ วิตกกังวลเครียดไม่ สามารถเรียนหรือ ปฏิบัติงานให้บังเกิดผลดีได้แต่ทางตรงข้ามถ้าสมาชิกนั้น เป็นบุคคลที่สังคมยอมรับ นับถือและให้ความไว้วางใจ บุคคลผู้นั้นก็ย่อมมีความสุขใจมีความพึง พอใจต่อการเรียนหรือการท างาน นั้นให้ส าเร็จบรรลุผลที่ตั้งใจไว้ได้ 2.4 ความก้าวหน้าเมื่อทุกคนเข้ามาเรียนในสถาบันสิ่งที่ทุกคนหวัง ความก้าวหน้าหมายถึงเมื่อ เรียนจบ หลักสูตรแล้วโอกาสที่จะได้รับต าแหน่งหน้าที่การงานและ เงินเดือนที่สูงขึ้นรวมทั้งมีโอกาสที่ จะเพิ่มพูนความรู้ไปในทางที่สูงขึ้นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมเป็น ก าลังใจให้มนุษย์เราพร้อมที่จะฟันฝ่า อุปสรรคต่าง ๆ ในการเรียนหรือการปฏิบัติงานนั้น ๆ ได้ 2.5 ความสนใจความสนใจเป็นภาวะที่จิตใจของบุคคลจดจ่อและปรารถนาที่สิ่ง ใดสิ่งหนึ่งเพื่อ น าไปบ าบัด ความต้องการให้เป็นที่ยอมรับของสังคมถ้าบุคคลนั้นมีความสนใจ กับการเรียนก็จะท าให้มี ความกระตือรือร้น ก่อให้เกิดแรงจูงใจอยากที่จะเรียนเมื่อมีแรงจูงใจก็จะ เกิดมีการกระตุ้นซึ่งย่อมจะท าให้การเรียนนั้นมีประสิทธิภาพกว่าการเรียนที่ไม่มีการกระตุ้น เตือน 2,6 ความเสมอภาคหมายถึงการเท่าเทียมกันในการเรียนของคนในสถาบัน ไม่มี การแบ่งแยก นักเรียนใน ระบบนอกระบบหลักสูตรหรือการล าเอียงของอาจารย์ผู้สอนเพราะสิ่ง เหล่านี้จะท าลาย ขวัญในการเรียนของ นักเรียนและจะท าลายความสามัคคีในสถาบันนั้น ๆ 2.7 สภาพของการเรียนหมายถึงการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะ ท าให้ผู้เรียน สามารถรับ ความรู้ประสบการณ์ได้เต็มที่ด้วยความเข้าใจไม่เบื่อหน่ายท าให้เรียน ได้รับความรู้มากและ ผู้เรียนพร้อมที่จะ ร่วมมือด้วยความสนใจกระตือรือร้นและมีความพึงพอใจ กับการเรียนจาก องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความพึง พอใจที่กล่าวมาสรุปได้ว่าเป็นความ ต้องการของบุคคลในเรื่อง ความสมหวังในชีวิตความพอใจในการเรียนการ ยอมรับนับถือ ความก้าวหน้าความสนใจความเสมอ ภาคสภาพของการเรียน 2.5.3 การวัดความพึงพอใจ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจของบุคคลนั้น จะต้อง ประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ หลายปัจจัยด้วยกัน สุภรณ์ ศรีพหล (2519 : 1) ได้กล่าวไว้ว่าความพึงพอใจย่อมเป็นผลมาจากหลาย ปัจจัยที่ยังชี้ ขาดชัดเจน ไม่ได้ว่า ปัจจัยใดส าคัญกว่ากันเรื่องการวัดความพึงพอใจและไม่พึงพอใจ นั้นเป็นการยากที่ จะท าให้ได้ข้อเท็จจริงเพราะไม่ มีเครื่องมือใดวัดจิตใจของคนได้เพียงพอพร้อม ทั้งได้เสนอแนวทางการ วัดความพึงพอใจไว้สรุปได้ดังนี้ 1. LIVERSITY 3.1 การสังเกตการณ์คือการเฝ้าติดตามเอาใจใส่ดูแลความเป็นไปและการ เปลี่ยนแปลงของสิ่ง ที่ ต้องการรู้อย่างใกล้ชิดในระยะเวลาที่ก าหนดให้โดยการสังเกตสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งอาจเป็นวัตถุสิ่งของที่ไม่มี ชีวิตการ เคลื่อนไหวหรือสิ่งมีชีวิตในลักษณะโครงสร้างทั่วไป โดย ไม่ค านึงถึงการกระท าการวัดความพึง พอใจโดยวิธีนี้ผู้วัด จะต้องกระท าอย่างจริงจังและมีแบบ แผนที่แน่นอนจึงจะสามารถประเมินถึงระดับ ความพึงพอใจของผู้มาใช้ บริการได้อย่างถูกต้อง


20 3.2 การสัมภาษณ์เป็นการวิจัยที่มีแบบแผนเพื่อใช้ตรวจหาข้อเท็จจริงจากภาษา ความเป็นอยู่ ของ สังคมเป็นวิธีการที่ต้องอาศัยเทคนิคและความช านาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์การ วัดความพึงพอใจ โดยวิธีนี้เป็นวิธี ที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง 3.3 การใช้แบบสอบถามเป็นการขอความร่วมมือจากกลุ่มบุคคลที่ต้องการวัด แสดงความ คิดเห็นลงใน แบบฟอร์มที่ก าหนดค าตอบไว้ให้เลือกหรือเป็นค าตอบอิสระโดย ค าถามจะถามถึงความ พึงพอใจในด้านต่าง ๆ เป็นลักษณะการ ให้บริการสถานที่ให้บริการ ระยะเวลาในการให้บริการความสะดวกที่จะให้บริการต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการมีองค์ประกอบ ของความพึงพอใจใน การเรียนที่ดีจะเป็นส่วนสนับสนุนจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความพยายามตั้งใจ ต่อการ เรียนและในการวัดความพึงพอใจ นั้นสามารถกระท าได้โดยการใช้เครื่องมือวัดความพึง พอใจซึ่งมี แนวทางในการวัดได้หลายรูปแบบเช่นการสังเกต การสัมภาษณ์และการใช้ แบบสอบถาม จากการศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจนั้นได้ชี้ให้เห็นว่าความพึงพอใจนั้นมีสาเหตุมาก ผลของ การตอบสนองต่อ ความต้องการทางด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านร่างกายจิตใจอารมณ์สังคม และความเชื่อที่ เหมาะสมซึ่งความพึงพอใจ จากการเรียนรู้นั้นจะมุ่งเน้นทางด้านผลการกระท า ในงานนั้น ๆ การที่ได้รับ ผลที่พึงพอใจจึงเป็นปัจจัยส าคัญใน การเรียนรู้และจะช่วยให้การเรียน การสอนประสบความส าเร็จ 2.6 แท่งค านวณของเนเปียร์ ( Napier’s bone) การคูณแบบแท่งเนเปียร์ กระดูกนาเปียร์ มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น แท่งค านวณของนาเปียร์ ( Napier’s bone) มี ลักษณะเหมือนตารางสูตรคูณ เป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ๆ ตีเส้นเป็นตารางค านวณหลาย ๆ แท่ง โดยแต่ละแท่ง จะแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดและจ านวนเท่ากับที่ปรากฏบนขอบกระดาน และมีการแบ่งช่องย่อย ออกเป็น 9 ช่องเท่า ๆ กัน ช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสแต่ละช่องจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่องด้วยเส้นทแยงมุม ยกเว้นช่อง บนสุด ที่ยังเป็นช่องเดียวและมีตัวเลขเดี่ยว 1 ถึง 9 ประจ าอยู่ ช่องถัดลงมามีตัวเลขที่มีค่าเป็นสองเท่า สาม เท่า สี่ เท่า จนถึงเก้าเท่าของตัวเลขที่อยู่ช่องบนสุดตามล าดับ โดยตัวเลขแต่ละตัวของผลลัพธ์ที่เป็น สองเท่าสามเท่า สี่เท่า จนถึงเก้าเท่า จะถูกเขียนแยกกันอยู่ เมื่อต้องการผลลัพธ์ก็จะหยิบแท่งที่ใช้ระบุตัวเลขแต่ละหลักมาอ่านกับแท่น ดรรชนี (Index) ที่มีตัวเลข 0-9 ก็จะได้ค าตอบ


21 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ วิมล เหล่าเคน (2552 : 46) การสร้างค าตามหลักเกณฑ์ทางภาษาด้วยการจัด กิจกรรมตาม แนวคิดโดยใช้สมอง เป็นฐานชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ81.95 / 84.56 ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์ 80 / 80 ที่ก าหนดไว้มี ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7597 หมายความ ว่านักเรียนมี ความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็นร้อยละ 75.97 การ สร้างค าตามหลักเกณฑ์ทาง ภาษาด้วยการจัด กิจกรรมตามแนวคิด โดยใช้สมองเป็นฐานชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดย ใช้แผนการ จัดการเรียนรู้ภาษาไทยเรื่องการสร้างคาด้วยการจัดกิจกรรมตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 10 แผนพบว่านักเรียนมีความคงทนหลังเรียนได้ทั้งหมดและมี ความก้าวหน้าในการ เรียนมากขึ้น อุษณีย์ ประเทพทิพย์ (2552) ได้ศึกษาการใช้การเรียนรู้ตามแนวคิดการท างานของ สมอง เพื่อพัฒนาความรู้สึกเชิง จ านวน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปรินส์ รอยแยลส์ วิทยาลัย เชียงใหม่ ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2552 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย ของความแตกต่างของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและคะแนน ทดสอบหลังเรียน อยู่ที่ร้อยละ 31.81 ซึ่งมากกว่า เกณฑ์ที่ตั้งไว้ร้อยละ 25.00 วัลลีย์ ครินชัย (2555 : 46) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ปริมาตรและความจุของ ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ของชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนปรินส์ รอยแยลส์ วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่จากการใช้ การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐานในการจัดการ เรียนรู้ พบว่าค่าเฉลี่ย ของคะแนนการทดสอบเท่ากับ 23.97 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน คิดเป็นร้อยละค่าเฉลี่ย เท่ากับ 79.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.23 และ นักเรียนจ านวน 33 คน (ร้อยละ 84.62) มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับดีและดีมากผ่านตามเกณฑ์การประกัน คุณภาพผลการสอน คือจ านวน นักเรียนร้อยละ 80 ขึ้นไปได้ผลการเรียนระดับดีและดีมาก อังสนา ศรีสวนแตง (2555 : 87)จากการศึกษา การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่องโจทย์ ปัญหา ระคน ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่จัดการเรียนรู้โยใช้สมองเป็นฐาน (BBL) ร่วมกับเทคนิค KWDLพบว่านักเรียนมีคะแนนหลัง เรียนและก่อนเรียนรู้ เรื่องโจทย์ปัญหาระคน แตกต่างกันอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับ สมมติฐานที่ตั้งไว้โดยมีคะแนน เฉลี่ยหลังเรียน (X = 22.65, S.D =4.83) สูงกว่าคะแนนก่อนเรียน (X = 18.08, S.D = 5.31) เลขา มากสังข์ (2556 : 70) จากการศึกษา พบว่าคะแนนความสามารถในการเขียนเชิง สร้างสรรค์ภาษาไทยของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมอง เป็น ฐานอยู่ในระดับดี ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.89 เมื่อพิจารณาความคิดสร้างสรรค์จ าแนกตามประเภททั้ง ด้านความคิดคล่องความคิดริเริ่ม ความคิดยืดหยุ่น และความคิดละเอียดลออ อยู่ในระดับดี ทั้งหมด แสดงว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานช่วย พัฒนาการเขียนเชิง สร้างสรรค์ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านทุ่งนารี อ าเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง งานวิจัยต่างประเทศ Hoge (2003 : 3884 - A ; อ้างถึงใน เลขา มากสังข์. 2556 : 48 - 49) ได้ท าการวิจัย เกี่ยวกับการรวบรวมผลของ การเรียนรู้ตามแนว Brain - Based Learning และการอ่านออกเขียน ได้ ของนักเรียนการเรียนรู้ตามแนวคิด พัฒนาการและการเรียนรู้ของสมองนั้นเป็นการเน้นให้ มนุษย์ เรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อมีแนวการสอนที่ท าให้สมองของ


22 นักเรียนท างานได้ดีอย่างไรก็ตาม รูปแบบการสอน ที่พบเสมอ ๆ คือการจัดประสบการณ์ให้นักเรียน โดยการ เรียนรู้แบบท่องจ าจึง ท าวิจัยในชั้นเรียนที่น า แนวคิดพัฒนาการและการเรียนรู้ของสมองและความสามารถในการ อ่านออกเขียนได้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ครูอนุบาลได้ใช้ยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตามแนวคิด พัฒนาการและการ เรียนรู้ของ สมองในการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนชั้นประถมต้นให้อ่าน ออกเขียนได้ใช้วิธีการวิจัยในโรงเรียน ต าบลเล็ก ๆ ด้วยรูปแบบการสอนแบบสืบสวนด้วยการ ออกแบบเทคนิคการศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ ของสัตว์และ พืชปีการศึกษา 2544 กุมภาพันธ์ 2545 ผลการวิจัยพบว่านักเรียนทุกคนสามารถอ่าน ออกเขียนได้ท าให้เห็น ความส าคัญของสมอง ที่พัฒนาตามธรรมชาติทางการเรียนรู้เทคนิคการเรียนรู้ โดยอาศัยแนวคิดพัฒนาการและ การ เรียนรู้ของสมองเป็นตัวช่วยส่งเสริมและพัฒนาการอ่านออก เขียนได้ของนักเรียนในโรงเรียน ประถมศึกษาได้ อย่างแน่นอนดังนั้นครูและผู้บริหารควรร่วมมือจัด สภาพและฝึกหัดให้นักเรียน พัฒนาได้ดียิ่งขึ้น Fortner (2005 : 2882 - A : อ้างถึงใน พริญาณ์นิล โค โล. 2555 : 59 - 60) ได้ท าการ วิจัย เกี่ยวกับการตรวจ แบบฝึกหัดของครูโดยอาศัยการเรียนรู้ตามธรรมชาติสมองในทฤษฎีพหุ ปัญญาโดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการ ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างแบบฝึกและการสอนของ ครูภาษา English ในโรงเรียนระดับกลางและผลการ เรียนรู้ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียนเกรด 6 – 8 โรงเรียน นอร์ฟอร์ดพับบลิกมีวิธีการคือกรอก แบบสอบถามข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประชากรและใช้ แบบส ารวจผลการใช้แบบฝึกการสอนที่สร้างขึ้น โดยผู้วิจัยเพื่อวัดแบบฝึกของครูและวัดทักษะการ สื่อสารของนักเรียนผลการวิจัยพบว่าการใช้ ทฤษฎีพหุปัญญาใน แบบฝึกของครูมีส่วนในการพัฒนา นักเรียน จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและ ต่างประเทศที่ กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) สามารถ สร้าง แนวการสอน แก้ไข ปัญหาการเรียนการสอนของนักเรียนและรูปแบบการสอนแบบใหม่ที่ ท าให้นักเรียนบรรลุ วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัย ทางสถิติ


23 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อการพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ซึ่งผู้วิจัยด าเนินตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 3.1 กลุ่มเป้าหมาย 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการท าวิจัย 3.3 ชั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัย 3.4 รูปแบบการวิจัย 3.5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.1 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการท าวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 29 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยก าหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งแยกออกเป็นประเภทเครื่องมือดังนี้ 3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3.2.2 แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 3.2.3 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์ สโบน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 8 แผน ๆ ละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 3.3 ชั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัย 3.3.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 10 ข้อ และ แบบอัตนัย จ านวน 5 ข้อ มีชั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 3.3.1.1 ศึกษาหลักการ ทฤษฎี จากเอกสารและต าราที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบทดสอบ วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.3.1.2 วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหา เพื่อสร้างแบบวัดความสามารถในการคูณเป็น แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจ านวน 15 ข้อ และแบบอัตนัยจ านวน 7 ข้อโดยมีรายละเอียด ดังนี้


24 ตารางที่ 1 วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหา เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ ตอนที่ 1 แบบ ปรนัย แบบทดสอบข้อที่ เนื้อหา 1-3 ความหมายของการคูณและการหาผลคูณและสมบัติของการคูณ 4-6 สมบัติของการคูณ การคูณด้วยจ านวนที่ลงท้ายด้วยศูนย์และหนึ่ง 7-11 การคูณจ านวน 1 หลัก กับจ านวนมากกว่า 4 หลัก 12-15 การคูณจ านวนมากกว่า 1 หลัก กับจ านวนมากกว่า 2 หลัก ตารางที่ 2 วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหาเพื่อสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ ตอนที่ 2 แบบ อัตนัย แบบทดสอบข้อที่ เนื้อหา 1-3 การคูณจ านวน 3 หลักกับ จ านวน 2 หลัก 4-7 การคูณจ านวนที่มีมากกว่าสองหลักกับจ านวนที่มากกว่าสองหลัก 3.3.1.3 สร้างแบบวัดความสามารถด้านการคูณตามโครงสร้างและรูปแบบที่ก าหนด จากการ วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหา 3.3.1.4 น าแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิง โครงสร้าง และเนื้อหา เพื่อหาค่าความสอดคล้อง (IOC) ในด้านจุดประสงค์การใช้ภาษาที่ชัดเจน ระดับ ความยากง่ายมีความ เหมาะสมกับวัยและสามารถใช้วัดความรู้ได้จริง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ ประเมิน 3 ระดับ คะแนน +1 หมายถึง แน่ในว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ในว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ คะแนน +1 หมายถึง แน่ในว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ไม่สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ 3.3.1.5 น าแบบทดสอบไปปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญประเมิน น ามา เสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมอีกครั้งแล้วน ามาปรับปรุงแกไขตามข้อเสนอแนะ


25 3.3.1.6 น าแบบทดสอบไปทดลองกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน บ้านนาซ่าว เรื่องการคูณ จ านวน 24 คน เพื่อวิเคราะห์ คุณภาพของข้อสอบหาค่า ความยากง่าย (p) และค่าอา นาจจ าแนก (r) ของแบบวัดความสามารถด้าน การคูณ 3.3.1.7 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ ตอนที่ 1 จ านวน 10 ข้อ และตอน ที่ 2 จ านวน 5 ข้อ จัดพิมพ์เพื่อน าไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป 3.3.2 แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน มีชั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 3.3.2.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างมาตรวัดเจตคติตามวิธีของลิเคอร์ท 3.3.2.2 สร้างมาตรวัดเจตคติที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์ สโบนจ านวน 10 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วน (Rating scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อย ที่สุด แล้วสร้างข้อความให้ครอบคลุมเจตคติเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน โดยมีเกณฑ์ให้คะแนน ดังนี้ มากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 น้อย 2 น้อยที่สุด 1 การแปลความหมายของมาตรวัดเจตคติ ใช้เกณฑ์การประเมินของ บุญชม ศรีสะอาด และบุญส่ง นิลแก้ว (2535, หน้า 22-25) ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายความว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับพอใช้ ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับน้อย ค่าเฉลี่ย ต่ ากว่า 1.50 หมายความว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับน้อยที่สุด 3.3.2.3 น ามาตรวัดเจตคติตมีต่อการเรียนแบบเทคนิคการท่องจ าแม่สูตรคูณและสื่อประสมที่สร้าง ขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาความถูกต้องของเนื้อหา ส านวนภาษาของข้อความ แล้วจึงน ามาปรับปรุง แก้ไขตามค าแนะน า 3.3.3 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์ สโบน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีชั้นตอนการสร้างดังนี้ 3.3.3.1 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อ เป็นแนวทางในการก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้สาระการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 3.3.3.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้เรื่อง การคูณส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากหลักสูตร สถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์


26 3.3.3.3 ก าหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่ต้องการวัดให้ครอบคลุมเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด เพื่อสร้างแบบทดสอบ 3.3.3.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จ านวน 8 แผน ๆ ละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง ตามตารางดังนี้ ตารางที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ชื่อแผน เวลา (ชั่วโมง) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เตรียมความพร้อมเรื่องการคูณและความหายของ การคูณ จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การคูณจ านวน 1 หลักกับจ านวนมากกว่า 4 หลัก จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การคูณจ านวน 2 หลักกับจ านวน 3 หลัก (1) จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 การคูณจ านวน 2 หลักกับจ านวน 3 หลัก (2) จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 การคูณจ านวนมากกว่า 2 หลัก กับจ านวนมากกว่า 2 หลัก (1) จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 การคูณจ านวนมากกว่า 2 หลัก กับจ านวนมากกว่า 2 หลัก (2) จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 การคูณจ านวนมากกว่า 2 หลัก กับจ านวนมากกว่า 2 หลัก (3) จ านวน 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 กิจกรรมการคูณเนเปียร์สโบนและแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ จ านวน 1 ชั่วโมง รวม จ านวน 8 ชั่วโมง 3.3.3.5 น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อ ตรวจสอบความเหมาะสมและความสอดคล้องของเนื้อหา จุดประสงค์ กิจกรรม การวัดและประเมินผล 3.3.3.6 แล้วน ามาปรับปรุงแก้ไขซึ่งมีข้อเสนอแนะ 3.3.3.7 น าแผนการจัดการเรียนรู้เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน 3.3.3.8 น าแบบทดสอบปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมที่ตรวจสอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พิจารณาใช้เกณฑ์ประเมินของ Likert ตามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (2541 : 167) 5 ระดับ ดังนี้ 5 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 3 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง


27 2 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย 1 หมายถึง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด 3.3.3.9 น าคะแนนที่ได้จากการประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ของ ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน น ามาหาค่าเฉลี่ยไปเทียบกับเกณฑ์ของ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 102-103) 1. เกณฑ์การให้คะแนน มีความเหมาะสมมากที่สุด ให้ 5 คะแนน มีความเหมาะสมมาก ให้ 4 คะแนน มีความเหมาะสมปานกลาง ให้ 3 คะแนน มีความเหมาะสมน้อย ให้ 2 คะแนน มีความเหมาะสมน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน 2. เกณฑ์การแปลความหมาย คะแนนเฉลี่ย แปลความหมาย 4.51 – 5.00 มีความเหมาะสมระดับมากที่สุด 3.51 – 4.50 มีความเหมาะสมระดับมาก 2.51 – 3.50 มีความเหมาะสมระดับปานกลาง 1.51 – 2.50 มีความเหมาะสมระดับน้อย 1.00 – 1.50 มีความเหมาะสมระดับน้อยที่สุด ผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบโมเดลซิปปา ของผู้เชี่ยวชาญโดยจะต้องมีเกณฑ์ ค่าเฉลี่ยที่ยอมรับได้ตั้งแต่ 3.51 ขึ้นไป ผลการประเมินพบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 2 แผน มีความเหมาะสมระดับดีมาก ( X̅ = 4.69, SD = 0.23) สามารถน าไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ 3.3.3.10 น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ทดลองใช้แล้วมาปรับปรุงแก้ไข แล้วพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์เพื่อ น าไปทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่าง 3.4 รูปแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีแบบแผนการทดลอง คือ การทดลองกับกลุ่มเป้าหมายและมี การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One –group pretest – posttest design) (McMillan and Schumacher, 1997 อ้างถึงใน ภัทราพร เกษสังข์, 2563: 87) รูปแบบ Group Pretest Treatment Posttest A O X O Time เมื่อก าหนดให้ A แทน กลุ่มตัวอย่าง O แทน ผลคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณก่อนเรียนและหลังเรียน


28 X แทน การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเก็บข้อมูลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยทดลอง จ านวน 8 ชั่วโมง ในเวลา ที่ท าการสอนตามปกติ 1. ผู้วิจัยได้ท าความเข้าใจกับนักเรียนและเกี่ยวกับชั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนและผู้วิจัยได้ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) 2. ท าการทดลองโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ทั้งหมด 8 ชั่วโมง 3. หลังจากสิ้นสุดการทดลองการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ทั้งหมด 8 ชั่วโมง แล้วผู้วิจัยได้ท าการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างอีกครั้งหนึ่ง 4. เก็บรวบรวมข้อมูลแล้วน าไปวิเคราะห์ผลตามวิธีการทางสถิติต่อไป 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้จ าแนกการวิเคราะห์ออกเป็น ดังนี้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยทดสอบ One Sample t-test ตอนที่ 2 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยทดสอบ Dependent Sample t-t-test ตอนที่ 3 วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน โดยทดสอบ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ


29 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.7.1 สถิติพื้นฐาน 1) ร้อยละ (Percentage) ค านวณจากสูตร ดังนี้ (ภัทราพร เกษสังข์, 2563 : 194) = ×100 เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จ านวนคะแนนในกลุ่ม 2) ค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตร (ภัทราพร เกษสังข์, 2563: 201) X̅ = ∑ X N เมื่อ X̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ X แทน ผลรวมของคะแนน N แทน จ านวนนักเรียน 3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้สูตร (ภัทราพร เกษสังข์, 2563: 201) S.D. = √ N ∑ X2−(∑ X) 2 N(N−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนแต่ละคน ∑ X 2 แทน ผลรวมคะแนนแต่ละคนยกก าลังสอง (∑ X) 2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกก าลังสอง N แทน จ านวนนักเรียน


30 3.7.2 สถิติที่ใช้หาคุณภาพเครื่องมือ การหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1) การหาค่าความยาก ของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร (สมนึก ภัททิยธนี. 2551 : 213) P = R N เมื่อ P แทน ค่าความยากของข้อสอบ R แทน จ านวนนักเรียนตอบถูก N แทน จ านวนนักเรียนทั้งหมด 2) การหาค่าอ านาจจ าแนกหาโดยใช้วิธีของ Bernnan (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 87) ดังนี้ B = U N1 − L N2 เมื่อ B แทน อ านาจจ าแนก U แทน จ านวนผู้รอบรู้หรือผู้สอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก L แทน จ านวนผู้ไม่รอบรู้หรือผู้สอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก N1 แทน จ านวนผู้รอบรู้ที่สอบผ่านเกณฑ์ N2 แทน จ านวนผู้ไม่รอบรู้หรือผู้สอบไม่ผ่านเกณฑ์ 3) การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบ แอลฟา(α-Coefficient) ตามวิธีการ ของ ครอนบาค (Cronbach) ดังนี้ α = k k−1 (1 − ∑ Si 2 Si 2 ) เมื่อ α แทน ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น k แทน จ านวนข้อสอบ ∑ Si 2 แทน ผลรวมความแปรปรวนของแต่ละข้อ Si 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม


31 3.7.3 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน นักเรียนชี้นประถมศึกษาปีที่ 4 เทียบกับเกณฑ์โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนใช้สถิติทีแบบ One Sample t-test (ภัทราพร เกษสังข์, 2563 : 205) สูตร S / n X μ t X − 0 = , df = n-1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการทดสอบ แทน คะแนนเฉลี่ย แทน เกณฑ์หรือค่าคงที่ Sx แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน n แทน จ านวนตัวอย่าง df แทน จ านวนที่เป็นอิสระสามารถก าหนดค่าใดๆ ได้อย่างอิสระ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ใช้ สถิติที แบบ Dependent Sample t-test (ภัทราพร เกษสังข์, 2563: 207) สูตร , df = n-1 เมื่อ t แทน ค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระแก่กัน D แทน ผลรวมความแตกต่างระหว่างคะแนนหลังเรียนและก่อนเรียน D 2 แทน ผลรวมก าลังสองของความแตกต่างของคะแนนหลังเรียนและก่อนเรียน n แทน จ านวนคู่ของคะแนน n 1 D)2 ( D2 n D t − − =


32 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อการพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 4.1 สัญลักษณ์ทางสถิติ 4.2 ล าดับชั้นการน าเสนอข้อมูล 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ทางสถิติ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจัย หมายถึง ค่าเฉลี่ย S หมายถึง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน n หมายถึง จ านวนนักเรียน D หมายถึง ผลต่างของคะแนนหลังเรียนกับก่อนเรียนของแต่ละคู่ในแต่ละคน t-test หมายถึง สถิติทดสอบที p-value หมายถึง ค่าระดับนัยส าคัญ 4.2 ล าดับชั้นการน าเสนอข้อมูล 4.2.1 ข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง 4.2.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และผสม เนเปียร์สโบน 4.2.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 4.2.4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน


33 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.3.1 ข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยการพัฒนาความสามารถการคิดค านวณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว จ านวน 29 คน ซึ่งข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ ตารางที่ 4 แสดงข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง รายการ ความถี่ ร้อยละ เพศ ชาย หญิง 14 15 48.28 51.72 รวม 29 100.00 จากตารางที่ 4 แสดงข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จ านวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 51.72 ของนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 4.3.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และผสม เนเปียร์สโบน ผู้วิจัยได้ด าเนินการพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการ คูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียน ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ผลปรากฏดังนี้ ตารางที่ 5ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และผสม เนเปียร์สโบน การทดสอบ ̅ .. ∑ ̅ .. − . ก่อนเรียน 3.52 2.18 262 9.03 2.77 17.56* .0000 หลังเรียน 12.55 2.65 *p-value < .05 จากตารางที่ 5 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และผสม เน เปียร์สโบน พบว่า ผลการทดสอบก่อนเรียนละหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 3.52 และ12.55 ตามล าดับ และเมื่อ เปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


34 4.3.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ผู้วิจัยด าเนินการพัฒนาการคิดค านวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ของคะแนนเต็ม 20 คะแนน ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ผลปรากฏดังนี้ ตารางที่ 6 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน การทดสอบ คะแนนเต็ม ̅ .. % of Mean − . หลังเรียน 29 20 12.55 2.65 62.76 1.12* 0.1362 *p-value < .05 จากตารางที่ 6 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน พบว่า การทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 12.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 62.76 และเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรุปได้ว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


35 4.3.4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน การพัฒนาทักษะการคูณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมอง เป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ผู้วิจัยท าการสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน เพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 3 ผลปรากฏดังนี้ ตารางที่ 7 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน รายการ ̅ . . ระดับความพึงพอใจ 1) จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนมีความชัดเจน 4.19 0.70 มาก 2) เทคนิคการคูณเนเปียร์สโบน ช่วยให้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว 4.23 0.72 มาก 3) จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาของ บทเรียนมากขึ้น 4.53 0.68 มากที่สุด 4) เทคนิคการคูณเนเปียร์สโบนน าไปใช้ได้จริง 4.67 0.66 มากที่สุด 5) การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ช่วยเป็นวิธีการเรียนที่ น่าสนใจ 4.26 0.63 มาก 6) นักเรียนเรียนอย่างมีความสุข 4.52 0.77 มากที่สุด ภาพรวม 4.40 0.69 มาก จากตารางที่ 7แสดงผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อผลการศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅. = 4.40, . . = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ข้อที่ 4 เทคนิคการคูณเนเปียร์สโบนน าไปใช้ได้จริง (̅. = 4.67, . . = 0.66) รองลงมา คือ ข้อที่ 3 จัดการเรียนรู้ตาม แนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาของบทเรียนมากขึ้น (̅. = 4.53, . . = 0.68) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ าที่สุด คือ ข้อที่ 1 จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนมีความชัดเจน (̅. = 4.19, . . = 0.70) ความเชื่อมั่น (Reliability) แบบสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่าเท่ากับ 0.91


36 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบการคิดค านวณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน 2) เพื่อ เปรียบเทียบการคิดค านวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน งานวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาซ่าว ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 29 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบทดสอบเรื่องการคูณ แบบวัดพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์ ข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่างได้แก่ การหาความถี่ และร้อยละ การวิเคราะห์ค่ากลางของคะแนนการคิดค านวณ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และการวิเคราะห์การกระจายของข้อมูล ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดค านวณของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน ได้แก่ สถิติทีที่เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent samples t test) การ วิเคราะห์เปรียบเทียบการคิดค านวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนกับหลังเรียน โดยใช้การ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน กับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 ได้แก่ สถิติ t test ที่เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์ (One sample t test) สามารถสรุปผล อภิปราย ผล และข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้ 5.1 สรุปผล 5.1.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และ ผสม เนเปียร์สโบน พบว่า ผลการทดสอบก่อนเรียนละหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 3.52 และ 12.55 ตามล าดับ และ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.1.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน พบว่า การทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 12.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 62.76 และเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรุปได้ว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


37 5.1.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อผลการศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅. = 4.40, . . = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ข้อ ที่ 4 เทคนิคการคูณเนเปียร์สโบนน าไปใช้ได้จริง (̅. = 4.67, . . = 0.66) รองลงมา คือ ข้อที่ 3 จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิ ดสมองเป็ นฐ าน (BBL) ผสม เนเปี ยร์ สโบน ช่ วยให้เข้ าใจเนื้ อห าของบทเรี ยนม า กขึ้น (̅. = 4.53, . . = 0.68) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ าที่สุด คือ ข้อที่ 1 จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนมีความชัดเจน (̅. = 4.19, . . = 0.70) ความเชื่อมั่น (Reliability) แบบสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่า เท่ากับ 0.91 5.2 อภิปรายผล 5.2.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) และ ผสม เนเปียร์สโบน พบว่า ผลการทดสอบก่อนเรียนละหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 3.52 และ 12.55 ตามล าดับ และ เมื่อเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานข้อที่ 1 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ การจัดการเรียนรู้ที่เป็นการใช้สมองเป็นฐานเกี่ยวกับชีวิตประจ าวันท าให้นักเรียนเข้าใจง่ายและท าให้เกิดความ สนใจที่จะเรียนรู้เพราะสามารถน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ผสมกับเทคนิคการคูณ เนเปียร์สโบนและการท่องสูตร คูณที่ใส่ท านองการแรพท าให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียน 5.2.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ด้านการคูณของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็น ฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน พบว่า การทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 12.25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 62.76 และเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรุปได้ว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานข้อที่ 2 5.2.3 ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อผลการศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบน โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (̅. = 4.40, . . = 0.69) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่าข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ข้อ ที่ 4 เทคนิคการคูณเนเปียร์สโบนน าไปใช้ได้จริง (̅. = 4.67, . . = 0.66) รองลงมา คือ ข้อที่ 3 จัดการเรียนรู้ ตามแนวคิ ดสมองเป็ นฐ าน (BBL) ผสม เนเปี ยร์ สโบน ช่ วยให้เข้ าใจเนื้ อห าของบทเรี ยนม า กขึ้น (̅. = 4.53, . . = 0.68) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ าที่สุด คือ ข้อที่ 1 จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนมีความชัดเจน (̅. = 4.19, . . = 0.70) ความเชื่อมั่น (Reliability) แบบสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่า เท่ากับ 0.91


38 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ข้อเสนอแนะการน าผลการวิจัยไปใช้ 5.3.1.1 จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อผลการศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์ สโบน นักเรียนมีความพึงพอใจที่ต่ าที่สุด คือ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน (BBL) ผสม เนเปียร์สโบนมี ความชัดเจน ดังนั้นครูควรปรับภาษาที่ใช้ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน เพื่อให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาง่ายมากขึ้น 5.3.2 ข้อเสนอแนะการวิจัยครั้งต่อไป 5.3.2.1 การวิจัยครั้งถัดไปครูผู้สอนอาจเพิ่มสื่อที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความสนใจของนักเรียน เช่น สื่อมัลติมีเดีย สื่อบทเรียนส าเร็จรูป เป็นต้น 5.3.2.2 ครูสามารถน าเทคนิคการท่องสูตรคูณใส่ท านองงเพลงแรพไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการ สอนเพื่อกระตุ้นความสนใจในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอื่น ๆ หรือระดับชั้นอื่น ๆ ได้


39 บรรณานุกรม Napier’s bone. (2552). แท่งค านวณของเนเปียร์ ( Napier’s bone). เข้าถึงได้จาก แท่งค านวณของเนเปียร์ ( Napier’s bone): http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/page17.htm เว็บไซต์การเรียนรู้ประภัสรา โคตะขุน. (2559). การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL). เข้าถึงได้จาก การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL): https://sites.google.com/site/prapasara/2-12 กษมา วรวรรณ ณ อยุธย. (2543). สมองกับการเรียนรู้. กรุงเทพมหานคร:: ดวงกมลสมัยจ ากัด, ดร.ธนาวดี ลี้จากภัย . ย้อนรอยอุปกรณ์ค านวณ. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2562. จาก https://www2.mtec.or.th/th/e-magazine/admin/upload/245_39-46.pdf บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ ที่ 6). กรุงเทพ: สุวีริยาสาสน์. ปานทอง กุลนาถศิริ. (2556). วารสาร สสวท. ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูลและสุภาพ ฉัตราภรณ์. (2549). การออกแบบการวิจัย (พิมพ์ครั้งที่ ที่ 5). ภัทราพร เกษสังข์. (2559). การวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. เลย : มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.


40 ภาคผนวก ก รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ


41 รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ 1. นางอุไร มีแพง ต าแหนง ครูประจ ากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนบานนาซ่าว ต าบลนาซ่าว อ าเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยเขต 1 2. นายดนุพล ค าพา ต าแหนง หัวหน้าฝ่ายวิชาการ โรงเรียนบ้านนาซ่าวต าบลนาซ่าว อ าเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยเขต 1 3. นางจิราภรณ์ พานหล้า ต าแหนง ครูประจ าระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบานนาซ่าว ต าบลนาซ่าว อ าเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยเขต 1


Click to View FlipBook Version