เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด โดย นายธีรวุฒิ ศรีสุภโยค นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 กระทรวงศึกษาธิการ ปีการศึกษา 2565
ก ประกาศคุณูปการ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณคณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ที่ได้กรุณาให้ความอนุเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนการ สอนภาษาไทยเพื่อเป็นข้อมูลในการทำวิจัย ขอขอบพระคุณคณะผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่สละเวลาอันมี ค่าของท่านเพื่อตรวจสอบและเสนอแนะเกี่ยวกับเครื่องมือในการวิจัย เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณผู้บริหารโรงเรียน ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และ นักเรียนโรงเรียนหนองกี่พิทยาคมที่ได้ให้คำแนะนำ ความช่วยเหลือต่าง ๆ จนการทำวิจัยครั้งนี้ประสบ ความสำเร็จได้ด้วยดี ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา และครอบครัวของผู้วิจัยที่ได้ให้กำลังใจและให้การสนับสนุน ในทุก ๆ ด้านอย่างดีที่สุดเสมอมา ตลอดจนกัลยาณมิตรผู้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ที่ได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็น แนะนำ และช่วยเหลือเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ในการทำวิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงจะมีจากการค้นคว้าอิสระฉบับนี้ ผู้วิจัยของมอบและอุทิศแด่ผู้มี พระคุณทุก ๆ ท่าน ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทยสำหรับนักเรียนในระดับชั้นต่าง ๆ ของครูผู้สอนวิชาภาไทย และผู้ที่สนใจ ไม่มากก็น้อย ธีรวุฒิ ศรีสุภโยค
ข ชื่อเรื่อง : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผู้วิจัย : นายธีรวุฒิ ศรีสุภโยค กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กลุ่มประชากร : นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 507 คน ระยะเวลา : ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ วิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการ ใช้แผนที่ความคิด 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 45 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดีที่ใช้วิธี สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนที่ความคิด จำนวน 4 แผน แผนละ 1 คาบ มีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด (̅= 4.64 ) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เป็นแบบทดสอบ แบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.74 และ แบบสอบถามความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้ แผนที่ความคิด เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (̅= ) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อย ละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบหาค่าเฉลี่ยของประชากรกลุ่มเดียว และการทดสอบหา ค่าเฉลี่ยของข้อมูล 2 ชุด ที่ไม่มีความเป็นอิสระต่อกัน (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ วรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนที่ความคิด มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ ความคิด หลังเรียน มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 10.18 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.79 สูงกว่าก่อน เรียน มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.19 ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ค่าคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธี
ค สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.28 อยู่ใน ระดับมาก ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ง สารบัญ บทที่ 1..............................................................................................................................................1 บทนำ................................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................................................1 กรอบแนวคิดการวิจัย....................................................................................................................3 คำถามการวิจัย..............................................................................................................................3 วัตถุประสงค์การวิจัย.....................................................................................................................3 สมมติฐานการวิจัย.........................................................................................................................4 ขอบเขตการวิจัย............................................................................................................................4 นิยามศัพท์เฉพาะ..........................................................................................................................5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ............................................................................................................6 บทที่ 2..............................................................................................................................................7 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.........................................................................................................7 บทที่ 3............................................................................................................................................32 วิธีดำเนินการวิจัย............................................................................................................................32 บทที่ 4............................................................................................................................................40 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................................................................40 บทที่ 5............................................................................................................................................46 บทสรุป ...........................................................................................................................................46 บรรณานุกรม...................................................................................................................................53 ภาคผนวก.......................................................................................................................................54
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภาษาไทยเป็นผลผลิตทางพหุปัญญาของคนไทย ซึ่งถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็น เครื่องมือสื่อสารในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ ทั่วโลก ทำให้คนในสังคมได้แสดงความรู้สึก นึกคิด ความต้องการ รวมทั้งสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภาษาไทยจึงนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2551) ได้กล่าวว่า ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็น เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และ ดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข นอกจากนี้ภาษาไทยยังใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยการใช้ภาษาและเลือกสรรถ้อยคำ อย่างประณีตงดงาม นั่นคือมรดกทางภูมิปัญญาที่เรียกว่าวรรณคดีและกรรมไทย เป็นงานเขียนอัน ทรงคุณค่าทั้งด้านเนื้อหาและการใช้ภาษา ซึ่งสร้างความบันเทิง สอดแทรกความรู้หรือแนวคิดที่ สามารถเป็นเครื่องเตือนใจและขัดเกลาจิตใจมนุษย์ให้ดีงามได้ สอดคล้องกับคำกล่าวของรื่นฤทัย สัจจจพันธุ์ (2554) ได้กล่าวไว้ว่า วรรณคดีเป็นศิลปะทางภาษาที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร และถ่ายทอดแนวคิดของตนเองที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ภาษาและวรรณคดีจึงเป็นกระจกเงา สะท้อนความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรม ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2529 : 10) กล่าวถึงวรรณคดีในทำนองเดียวกันว่า วรรณคดีสามารถ พัฒนาสติปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมโดยความรู้ ข้อคิด แนวคิดจะช่วยยกระดับจิตใจได้ ดังนั้น เมื่อมนุษย์มีพัฒนาทางสติปัญญาและยกระดับจิตใจแล้ว จะส่งผลให้กลายเป็นผู้ที่มีความอ่อน โยน จิตใจดีงาม คิดดีและทำดี นอกจากนี้วรรณคดีวรรณกรรมไทยยังเป็นสื่อในการสะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของคนไทย รวมทั้งยังสามารถสะท้อนเรื่องราวชีวิตความ เป็นอยู่ของคนในชาติได้เป็นอย่างดี จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าวรรณคดีและวรรณกรรมไทยมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมไทย แต่การ จัดการเรียนการสอนวรรณคดีในปัจจุบันนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร กล่าวคือ ครูผู้สอน จัดการเรียนการสอนโดยเน้นให้นักเรียนท่องจำ แปลศัพท์ หรือจดจำเนื้อหาจากเรื่องราวที่เรียน ส่งผล
2 ให้ผู้เรียนไม่มีความรู้ความเข้าใจ เนื่องจากเกิดความเบื่อหน่าย ขาดแรงจูงใจในการเรียนวรรณคดี สอดคล้องกับคำกล่าวของสุวัฒนา มั่นภาวนา (2562) ที่กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนวรรณคดี ว่า การถ่ายทอดเนื้อหาของครูผู้สอนมุ่งเน้นตำราเป็นสำคัญ ทำให้ผู้เรียนขาดประสบการณ์ การคิดวิเคราะห์ เน้นการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถสรุปบทเรียนได้ด้วย ตนเอง ขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ นอกจากนี้ผลการสอบระดับชาติวิชาภาษาไทย ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 (O-NET) สาระการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรม มีคะแนนเฉลี่ยของโรงเรียนอยู่ ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้อาจเกิดจากผู้เรียนไม่เข้าใจถึงแนวคิดของวรรณคดีที่สามารถ นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จึงทำให้ผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2558 : 6) กล่าวว่า ผู้เรียนไม่ชอบวรรณคดีเพราะรู้สึกว่าวรรณคดีไม่สนุก ไม่เหมาะสมกับวัย เป็นเรื่อง ที่ล้าสมัย และไม่เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต จากปัญหาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการนำเทคนิคมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเป็นสิ่ง ที่สำคัญ ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียนรู้ หากครูผู้สอนมีเทคนิคการสอนด้วยรูปแบบ หลากหลายก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ สำนักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา (2558 : 37-38) กล่าวว่าในการจัดการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรมไทยสามารถจัดการ เรียนการสอนได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละเทคนิควิธีสอนก็จะมีขั้นตอน กระบวนการ ข้อดีและ ข้อจำกัดที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอน คือ การจัดกิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ ให้ผู้เรียนทุกคนสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้ วิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เป็นวิธีสอนรูปแบบหนึ่งที่มีกระบวนการจัดการเรียนการ สอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยทิศนา แขมมณี (2550 : 141) กล่าวว่า วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นการดำเนินการเรียนการ สอน โดยผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน ในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีให้มีประสิทธิภาพ นอกจากจะใช้วิธีการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว ผู้จัยเห็นว่าครูผู้สอนควรส่งเสริมทักษะให้ ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์และสรุปความรู้รวบยอดได้ด้วยตนเอง นั่นคือ เทคนิคการใช้แผนที่ ความคิด (Mind-Mapping) ซึ่งช่วยกระตุ้นผู้เรียนให้จัดระบบความคิดเป็นรูปธรรม และเป็นระบบ ขั้นตอนมากยิ่งขึ้น ดังคำกล่าวของธัญญา ผลอนันต์ (2541 : 154) ที่ว่า การสร้างแผนที่ความคิดจะ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องและจำเรื่องที่อ่านได้ง่าย ลำดับเรื่องและมองเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่าง มโนทัศน์ได้ฝึกการจัดระบบข้อมูลและความคิด รู้จักการวิเคราะห์ มีการพัฒนาการทางความคิด เป็น การเรียนรู้ที่มีความหมาย สนุกไม่น่าเบื่อ
3 จากความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะนำวิธีการสอนแบบ สืบเสาะหาความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดมาใช้ในการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม กรอบแนวคิดการวิจัย ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนด้วย รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดการ ไว้ดังนี้ ตัวแปรต้น (Independent Variable) ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คำถามการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่สอนด้วยรูปแบบ สืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่ 2. นักเรียนมีระดับความพึงพอใจต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้ แผนที่ความคิดอยู่ในระดับใด วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อน และหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 2. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิคการใช้แผนที่ความคิด วิธีสอนแบบสืบเสาะความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้ แผนที่ความคิด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี ความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อวิธีสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค การใช้แผนที่ความคิด
4 สมมติฐานการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธี สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ได้กำหนดขอบเขตในการทำวิจัยไว้ ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนหนองกี่ พิทยาคม อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 ห้องเรียน มี นักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 507 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม อำเภอหนองกี่ จังหวัด บุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 45 คน ได้มา โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย วรรณคดีที่ใช้สอน คือ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า ซึ่งเป็นวรรณคดีที่อยู่ใน ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดง ความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตจริง สอดคล้องกับหลักสูตรของโรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายวิชาภาษาไทย 4 เนื้อหาอยู่ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 1 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง โดยไม่รวมการสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
5 5. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 5.1 ตัวแปรต้น (Independent Variable) ได้แก่ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 5.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด นิยามศัพท์เฉพาะ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้วิธี สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผู้วิจัยได้นิยามศัพท์เฉพาะไว้ ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางวรรณคดีหมายถึง คะแนนความสามารถในการวิเคราะห์และประเมิน ค่าวรรณคดีหลังจากการเรียนรู้ด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ซึ่งวัดได้ จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2. วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด หมายถึง การ จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการคิด สามารถ แก้ปัญหา ค้นหาคำตอบ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปความรู้ จากนั้นนำสาระความรู้ ที่ได้มาเขียนเป็นแผนที่ความคิด โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะความรู้ของสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engage) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนโดยการสร้างความสนใจของนักเรียน ผู้สอนอาจสร้างสถานการณ์ หรือประเด็นปัญหา ตลอดจนใช้สื่อต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นและเร้าความสนใจของนักเรียน 2) ขั้นสำรวจ (Explore) นักเรียนจะเป็นผู้กำหนดแนวทางในการสำรวจค้นคว้าข้อมูลที่สงสัยหรือประเด็นที่ต้องการ ค้นคว้าแล้วรวบรวมข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ 3) ขั้นอธิบาย (Explain) เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลจากการสำรวจ ศึกษา ค้นคว้าแล้ว จึงนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ สรุปผลเป็นความรู้หรือความคิดรวบยอดและนำเสนอ ในรูปแบบแผนที่ความคิด (Mind-mapping) 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) นักเรียนนำเสนอ ความรู้หรือความคิดรวบยอดจากการวิเคราะห์และสรุปผล 5) ขั้นประเมินผล (Evaluate) ครูเป็นผู้ ประเมินผลการเรียนรู้จากการสรุปและสร้างองค์ความรู้ในรูปแบบของแผนที่ความคิด 3. ความพึงพอใจของนักเรียน หมายถึง ความรู้สึกชอบ และความสนใจของนักเรียนหลัง การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด โดยใช้
6 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่งวัดความพึงพอใจของนักเรียน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านบทบาทผู้สอน ด้านบทบาทผู้เรียน ด้านการจัดการเรียนรู้และด้านการวัดและประเมินผล ซึ่งแบบสอบถามดังกล่าวใช้เกณฑ์วัดระดับความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scales) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด จำนวน 20 ข้อ 4. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชายและหญิงที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีสูงขึ้น อีกทั้งสามารถนำความรู้ ทักษะ และกระบวนจากการเรียนรู้ไปใช้วิเคราะห์และสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ ได้ 2. ครูผู้สอนได้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยแก้ไขปัญหาการเรียนวรรณคดี และสามารถนำวิธีสอนดังกล่าวไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กับเนื้อหาอื่น ๆ หรือกลุ่มสาระอื่น
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผู้วิจัยศึกษาค้นคว้าแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังหัวข้อต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย 1.1 วิสัยทัศน์ 1.2 หลักการ 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 1.4 คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ 1.5 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2. การเรียนวรรณคดี 2.1 ความหมายของวรรณคดี 2.2 ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี 2.3 จุดมุ่งหมายของการสอนวรรณคดี 2.4 แนวทางการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย 3. แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3.1 ความหมายของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3.2 ขั้นตอนของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3.3 บทบาทของครูกับกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3.4 ข้อดีและข้อจำกัดของกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 4. แนวคิดเกี่ยวกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 4.1 ความหมายของแผนที่ความคิด 4.2 ขั้นตอนการสร้างแผนที่ความคิด 4.3 ประโยชน์ของแผนที่ความคิด 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
8 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 1.1 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกายความรู้คุณธรรมมีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1.2.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติมีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ทักษะเจตคติและคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 1.2.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 1.2.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 1.2.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลาและการ จัดการเรียนรู้ 1.2.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.2.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน
9 มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่าง มี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 1.4 คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1.4.1 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจ ความหมาย โดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดง ความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียน รายงานจากสิ่งที่อ่านได้วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไป ได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้ง ประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน 1.4.2 เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับ ภาษา เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงา น เขียน วิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิด หรือโต้แย้งอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงาน การศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน 1.4.3 พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิด ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล น่าเชื่อถือ รวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด 1.4.4 เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยค
10 รวม ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรอง ประเภทกลอนสุภาพ กาพย์และโคลงสี่สุภาพ 1.5 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานรายวิชาภาษาไทย ได้กำหนดเนื้อหาสาระของ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความ คิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตจริง มีรายละเอียดดังตารางต่อไปนี้
11 ที่มา : ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. การเรียนวรรณคดี 2.1 ความหมายของวรรณคดี ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวกับความหมายของวรรณคดี ซึ่งมีนักวิชาการได้ให้ ความหมายไว้ ดังนี้ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 1. สรุปเนื้อหาวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่านในระดับที่ยาก ขึ้น 1. วรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับ - ศาสนา - ประเพณี - พิธีกรรม - สุภาษิต คำสอน - เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี - บันทึกการเดินทาง 2. วิเคราะห์และวิจารณ์ วรรณคดีวรรณกรรม และ วรรณกรรมท้องถิ่นที่อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ 3. อธิบายคุณค่าของวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่าน 4. สรุปความรู้และข้อคิดจาก การอ่าน ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตจริง 1. การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจาก วรรณคดี วรรณกรรมและ วรรณกรรมท้องถิ่น 5. ท่องจำบทอาขยานตามที่ กำหนดและบทร้อยกรองที่มี คุณค่าตามความสนใจ 1. บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มี คุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ
12 กุหลาบ มัลลิกะมาส (2555: 1) กล่าวว่า “วรรณคดี” มาจากคำว่า “วรรณ” หรือ “บรรณ”แปลว่า ใบไม้หรือหนังสือ ส่วน “คดี” หรือ “คติ” แปลว่า ทาง แนวทาง วรรณคดีจึง หมายถึง แนวทางของการแต่งหนังสือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถึงขนาด เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มัทนะพาธา สามก๊ก เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน พระยาอนุมานราชธน (2546: 4) กล่าวถึงวรรณคดี ว่าวรรณคดีคือการแสดงความคิด ออกมาโดยเขียนไว้เป็นหนังสือ ข้อเขียนหรือบทประพันธ์ (ไม่ว่าด้วยภาษาใด ๆ เรื่องใด ๆ ยกเว้น เรื่อง วิทยาศาสตร์) บทพรรณนาโวหารหรือข้อเขียนซึ่งมีโวหารเพราะพริ้ง มีลักษณะเด่นในเชิง ประพันธ์ตัวละครในเรื่อง ฯลฯ นอกจากนั้นวรรณคดีต้องใช้ภาษาเลือกเฟ้นอย่างประณีต มีคุณค่า หลายประการ อ่านแล้วติดใจน่าภิรมย์ไม่รู้สึกเบื่อ เป็นหนังสือที่มีพัฒนาการทางอารมณ์สูง รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (2523) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดี หมายถึง เรื่องที่ แต่งขึ้นอย่างมีศิลปะในการแต่ง มีความเหมาะเจาะกลมกลืนทั้งรูปแบบและเนื้อหา มีการวางโครง เรื่องที่ดี เลือกใช้คำประพันธ์ที่มีความสอดคล้องกับเนื้อความ มีท่วงทำนองการเขียนที่ประกอบกัน ให้เกิดสุนทรียรสในการอ่าน ชวนให้ติดตาม ใช้ภาษาประณีตไพเราะ ดีทั้งเสียงและความหมาย สร้างความบันเทิง ก่อให้เกิดจินตนาการ ให้ความรู้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2558) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกันว่าเขียนดีและมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความเป็นแบบแผน ใช้ภาษาไพเราะ เหมาะแก่การให้ ประชาชนได้อ่าน เพราะสามารถกล่อมเกลาจิตใจให้ประณีต รู้ผิดชอบชั่วดี จากความหมายของวรรณคดีที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่แต่งขึ้น และได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีลักษณะโดดเด่นทางด้าน วรรณศิลป์ มีการใช้ภาษาและเลือกสรรถ้อยคำอย่างประณีตไพเราะ ซึ่งสร้างความจรรโลงใจต่อ ผู้อ่าน อีกทั้งยังสอดแทรกแนวคิดที่ช่วยขัดเกลาจิตใจมนุษย์ให้มีศีลธรรมอันดีได้ 2.2 ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี วรรณคดีเป็นผลงานที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความคิดและจินตนาการ ซึ่งมีความสำคัญและ เปี่ยมด้วยคุณค่าทั้งความงามทางภาษาในการแสดงความคิด ความรู้สึก และสอดแทรกข้อคิด
13 ต่าง ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกยุคสมัย จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารและ ตำราที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ ดังนี้ กุหลาบ มัลลิกามาส (2527) กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดี สรุปได้ว่า วรรณคดีเป็น เครื่องมือสื่อสารและเป็นเครื่องเชื่อมสร้างภาพอันสมบูรณ์ทางด้านความรู้ ส่งเสริมทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนและการคิด อีกทั้งยังทำให้มนุษย์เกิดพัฒนาการทางด้านต่าง ๆ ได้แก่ ปัญญา วัฒนธรรม ความรู้สึกและความสำนึกต่อสังคม และยังสร้างลักษณะนิสัยให้มนุษย์เป็นผู้ที่มี บุคลิกภาพและจิตใจที่งดงาม ฟองจันทร์ สุขยิ่ง และคณะ (2555) ได้กล่าวถึงความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี วรรณกรรมไทยไว้ว่า วรรณคดีเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสร้างไว้และตกทอดมาจนถึง ปัจจุบันซึ่งสอดแทรกแนวคิดปรัชญาชีวิต ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจและรู้สึกคล้อยตาม อีก ทั้งยังสอดแทรกเรื่องราวความเป็นมา ความคิดและค่านิยมของสังคม ซึ่งนับเป็นทรัพย์สินทาง ปัญญาและสมบัติของชาติ มีคุณค่าทั้งด้านประวัติศาสตร์ สังคม ตลอดจนข้อคิด คติสอนใจและ วรรณศิลป์ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ 1) คุณค่าทางด้านเนื้อหา เนื้อหาในเรื่องเป็นส่วนที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด สอดแทรกแนวคิดและกลวิธีในการดำเนินเรื่อง ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจในเรื่อง ทั้งด้าน ขนบธรรมเนียม ประเพณีสังคม การเมืองการปกครอง การดำรงชีวิตของคนสมัยนั้น ๆ รวมถึง ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ และยังทำให้ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ที่กวีถ่ายทอดประสบการณ์ของตนที่ เกิดจากการมองโลกกว้าง ทำให้เกิดประสบการณ์ร่วมกันระหว่างกวีและผู้อ่าน นอกจากนี้วรรณคดี เรื่องต่าง ๆ ยังมีเนื้อหาสาระ เรื่องราวที่สนุกสนาน สามารถกล่อมเกลาจิตใจผู้อ่าน ให้ข้อคิดคติ ธรรม สอนให้ประพฤติในสิ่งที่ดีงาม 2) คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ เป็นการใช้กลวิธีในการประพันธ์ที่ดี เลือกใช้ถ้อยคำที่ ถูกต้องเหมาะสม ถูกความหมายเหมาะกับเนื้อเรื่องและมีเสียงไพเราะ ซึ่งสามารถทำให้ผู้อ่านเกิด จินตนาการตามจนเห็นภาพและเกิดอารมณ์สะเทือนใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โวหาร ภาพพจน์ รส วรรณคดี การเล่นเสียงและเล่นคำ 3) คุณค่าทางด้านสังคมและสะท้อนวิถีไทย เป็นคุณค่าที่แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองใน อดีต บอกเล่าเรื่องราวด้านชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณี สภาพสังคมและความรู้สึก นึกคิดของคนในสังคม สะท้อนค่านิยม วัฒนธรรม ความประพฤติ แนวทางการปฏิบัติตนรวมถึง ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นลักษณะประจำชาติที่แสดงออกมาทางวรรณคดีวรรณกรรม ทำให้ ผู้อ่านเกิดความรู้สึกถึงความเป็นชาติร่วมกัน
14 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2558) ได้กล่าวถึงความสำคัญและคุณค่า ของวรรณคดี สรุปได้ว่า วรรณคดีเป็นงานสร้างสรรค์ล้ำค่าของมนุษย์ มนุษย์สร้างและสื่อสาร เรื่องราวของชีวิต วัฒนธรรมและอารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องหรือสะท้อนความเป็นไปของมนุษย์ ด้วยกลวิธีการใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาที่มีความเหมือนหรือแตกต่างกันไป เมื่อผู้อ่านได้อ่านวรรณคดี แล้วจะสามารถเห็นถึงคุณค่าของวรรณคดีในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้ 1) คุณค่าทางวรรณศิลป์เป็นการใช้กลวิธีในการแต่ง การเลือกใช้ถ้อยคำที่ไพเราะ การ ใช้ภาษาที่สละสลวย การใช้ถ้อยคำสร้างภาพได้ชัดเจน 2) คุณค่าทางปัญญา ผู้อ่านจะได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น ทั้งด้านวิทยาการ ความรู้รอบตัว และรู้เท่าทันคน วรรณคดีบางเรื่องทำให้ผู้อ่านเห็นเล่ห์เหลี่ยม นิสัยใจคอและความคิดของคน เช่น เรื่องสามก๊ก ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) นอกจากนี้ยังได้เห็นถึงสัจธรรมหรือธรรมที่ผู้อ่าน สามารถนำมาใช้ประโยชน์หรือปฏิบัติในชีวิตจริงได้ เช่น โคลงโลกนิติ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมพระยาเดชาดิศร 3) คุณค่าทางสังคม เป็นคุณค่าในด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ ประวัติศาสตร์ เกียรติภูมิ บุคคลสำคัญของชาติ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้เข้าใจการดำเนินชีวิต และความคิดของมนุษย์ ส่งเสริมให้ผู้อ่านเห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ พัฒนาสังคม ช่วยอนุรักษ์ สิ่งที่มีคุณค่าของชาติและสนับสนุนการกระทำที่ดีงาม องอาจ โอ้โลม (2555) กล่าวถึงความสำคัญของวรรณคดีไทยไว้สรุปได้ว่า ในวรรณคดีมี เนื้อหาที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการศึกษาสังคมในด้านต่าง ๆ ซึ่งคุณค่าของวรรณคดี ไทยสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) คุณค่าด้านประวัติศาสตร์เกือบทุกเรื่องจะแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสภาพสังคม และ ประวัติศาสตร์อยู่ด้วย เพราะว่ามีหรือผู้ประพันธ์วรรณคดีไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตามมักจะใช้ สภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในสังคมสมัยนั้นเป็นข้อมูลเสมอในการแต่ง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ มีลักษณะเป็นบันทึกข้อมูลเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในสมัยต่าง ๆ เป็นสำคัญวันนี้เหล่านี้ ได้แก่คำให้การชาวกรุงเก่าพงศาวดารต่าง ๆ เป็นต้น 2) คุณค่าด้านความรู้ความคิด วรรณคดีไทยหลายเรื่อง โดยเฉพาะวรรณคดีที่มีเนื้อหา เกี่ยวกับคำสอนมันจะมุ่งให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความคิดในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เช่น สุภาษิตพระร่วงโคลงโลกนิติ เป็นต้น 3) คุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรม วรรณคดีเกือบทุกเรื่องที่มีการกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ และการดำเนินชีวิตของตัวละคร ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงแบบแผนหรือวิถีชีวิตอัน
15 เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมประเพณีของ สังคมรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าตัวละครนั้นจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือเป็นกษัตริย์หรือจะเชื้อพระวงศ์ก็ตาม 4) คุณค่าด้านจิตใจ คุณค่าของวรรณคดีด้านนี้ได้แก่ สุนทรียภาพที่ผู้อ่านได้จากวรรณคดี นั่นเอง สุนทรียภาพดังกล่าว ได้แก่ ความละเมียดละไม ความไพเราะงดงามของภาษา ทั้งด้านเสียง และ ความหมายของถ้อยคำและข้อความ จากแนวคิดที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า วรรณคดีไทยมีคุณค่าทั้งด้านเนื้อหา วรรณศิลป์ และด้านสังคม มุ่งให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามและสะเทือนใจ อีกทั้งยังสอดแทรก ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ แนวคิด คติเตือนใจ และสร้างความจรรโลงใจจากความงดงามไพเราะ ของภาษาและบทประพันธ์ 2.3 จุดมุ่งหมายของการสอนวรรณคดี ในการเรียนสอนวรรณคดีให้ได้ผลนั้น ครูต้องทราบจุดมุ่งหมายของการสอน เพื่อจัดการ เรียนการสอนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเกิดประสิทธิภาพ จากการศึกษาพบว่ามีนักวิชาการได้ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการสอนวรรณคดีไว้ ดังนี้ ประภาศรี สีหอำไพ (2550: 351-360) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีว่าควร เน้นให้นักเรียนเกิดมโนทัศน์ มีความรู้เนื้อเรื่องที่กระจ่างชัด มีความรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับ ฉันท ลักษณ์ สามารถถอดคำประพันธ์ได้ เกิดความคิด จินตนาการ และสุนทรียภาพจากเรื่องที่เรียน มี วิจารณญาณรู้จักวิจารณ์ เปรียบเทียบ และสามารถเรียนรู้วัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีจาก วรรณคดี ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดีไว้ สรุปได้ว่า การเรียน การสอนวรรณคดีเป็นการฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะทางภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่านและ เขียน เพิ่มพูน ความรู้และประสบการณ์ทางด้านภาษาและรูปแบบคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ โดยสอนให้ผู้เรียนได้รับ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้รับความไพเราะจนเกิดเป็นความซาบซึ้งใจในวรรณคดี นอกจากนี้ เนื้อหาวรรณคดียังสอดแทรกความรู้ ข้อคิด ประเพณี วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่สามารถสอนให้ผู้เรียน ได้เข้าใจสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้น ๆ รวมถึงเพื่อให้ผู้เรียนรู้จัก สังเกตลักษณะนิสัย ของตัวละคร พฤติกรรมของตัวละครมาเปรียบเทียบกับชีวิตจริง สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2538) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการสอน วรรณคดีไทยสรุปได้ว่า การสอนวรรณคดีไทยนั้นครูจะต้องสอนให้นักเรียนเรียนรู้และเข้าใจ
16 ความหมายของคำว่าวรรณคดี ให้รู้จักลักษณะ รูปแบบและข้อบังคับ ของวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ สามารถอ่านทำความเข้าใจ วิเคราะห์เรื่องราวความหมายและคำศัพท์ในเรื่องได้รวมถึงนักเรียน สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาและพฤติกรรมของตัวละคร เข้าถึงอรรถรสของเรื่องราวจนกระทั่ง เห็นคุณค่าของวรรณคดี สามารถนำคติ แนวคิด ข้อคิดต่าง ๆ จากวรรณคดีไทย มาใช้ในชีวิตได้อย่าง ถูกต้อง อีกทั้งครูยังต้องสอนวรรณคดีไทยให้สนุกสนานเพลิดเพลินและสร้างให้นักเรียนเกิดทัศนคติที่ดี ต่อวรรณคดีไทย สมถวิล วิเศษสมบัติ (2536) กล่าวว่า การสอนวรรณคดีควรมุ่งให้นักเรียนตระหนักถึงคุณค่า ของวรรณคดี และภาคภูมิใจในผลงานวรรณคดีของบรรพบุรุษ ให้เห็นสภาพชีวิตสังคมและวัฒนธรรม ที่ปรากฏในวรรณคดี ให้จินตนาการ เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และ สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้ จากเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การสอนวรรณคดีมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจวรรณคดีทั้งด้านเนื้อหาและรูปแบบฉันทลักษณ์ มุ่งให้ผู้เรียนได้รับความ สนุกสนานเพลิดเพลิน ได้ความรู้และแนวคิดต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถ วิเคราะห์ วิจารณ์เหตุการณ์หรือพฤติกรรมของตัวละครได้อย่างเหมาะสม 2.4 แนวทางการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย มีนักวิชาการได้ให้แนวทางในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีด้วยรูปแบบที่หลากหลาย และน่าสนใจ ดังนี้ บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2556: 30-33) กล่าวถึงการสอนวรรณคดีสรุปได้ว่า ครูควรเริ่มให้ นักเรียนได้ทำกิจกรรมการอ่าน โดยการให้นักเรียนอ่านตัววรรณกรรมทั้งเรื่อง จากนั้น ควรสอนให้ นักเรียนเข้าใจวรรณคดีหรือวิจักษ์ โดยครูฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดที่จะติชมหรือพิจารณาส่วนที่งาม และบกพร่องว่าอยู่ตรงไหน ตัวละครตัวใดดีหรือเลวอย่างไร เจตนาของผู้แต่งคืออะไร เมื่อครูทราบ ความคิดเห็นของนักเรียนแล้ว ครูควรบอกความคิดของครูให้นักเรียนทราบด้วย เพื่อเป็นการชี้ แนวทางหรือแนวความคิด จากนั้นให้นักเรียนตีความหรือวินิจฉัยสาร และให้พิจารณากลวิธีและ วิพากษ์วิจารณ์ ประภาศรี สีหอำไพ (2550: 351-360) กล่าวถึงวิธีการสอนวรรณคดีว่า เนื้อหาที่จะสอน ได้แก่ มโนทัศน์เนื้อหา ฉันทลักษณ์ คำศัพท์ การตีความบทประพันธ์ สุนทรียภาพ การอ่าน ทำนอง
17 เสนาะ ซึ่งครูจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ชัดเจน ส่วนในการสอนนั้นต้องให้ผู้เรียนได้ ทำกิจกรรมโดยใช้ความคิดพิจารณาด้วยตนเองเป็นสำคัญ และใช้สื่อการสอนให้เหมาะสมกับเนื้อหา ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542) กล่าวถึงแนวทางและความสำคัญในการสอนวรรณคดีไว้ สรุปได้ ดังนี้ 1) ครูควรสอนโดยการยั่วยุให้นักเรียนเกิดความคิดและตีความเรื่องราวจากวรรณคดี ให้ นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ วิจารณ์ สรุปแนวคิดต่าง ๆ จากการอ่านวรรณคดี ไม่ควรเข้มงวดหรือบังคับ ให้ผู้เรียนท่องจำเนื้อหาวรรณคดี เพราะจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย 2) ครูควรจูงใจผู้เรียนด้วยการอ่านคาประพันธ์ที่ไพเราะ ให้นักเรียนเกิดความซาบซึ้งในลีลา และความไพเราะของถ้อยคำ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกอ่านทำนองเสนาะเป็นกลุ่ม เพราะผู้เรียน แต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากัน อาจทำให้นักเรียนบางคนรู้สึกอาย 3) ครูควรบูรณาการการเรียนรู้เนื้อหาวรรณคดีวรรณกรรมกับเนื้อหาอื่น ๆ ทั้งการฟัง พูด อ่านและเขียน โดยให้สัมพันธ์กันกับกระบวนการคิด สามารถวิจารณ์บอกแก่นความคิด แนวความคิด หรือข้อคิดจากการฟังและอ่านได้ รวมถึงใช้วรรณคดีเป็นสื่อในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ เช่น คำศัพท์ สำนวน เข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์และสภาพสังคมไทย ที่เกี่ยวกับศาสนา ขนบ ความเชื่อ ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม 4) ครูควรสร้างศรัทธาให้ผู้เรียนรักและนิยมชมชอบ เนื่องจากจะเป็นการง่ายต่อการจูงใจ ชี้แนะแนวทางในการเรียนแก่ผู้เรียน 5) ครูควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกสนาน แปลกใหม่ เช่น การร้องเพลง แสดงละคร เล่น เกม แสดงบทบาสมมติ จัดนิทรรศการหรือวาดภาพ 6) ครูควรมีความเข้าใจและความคิดรวบยอดในเรื่องที่จะสอนอย่างแม่นยำ ถ่ายทอดผ่าน กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงความคิดรวบยอดนั้น ๆ ได้เอง จากแนวทางในการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีข้างต้น สรุปได้ว่า ครูผู้สอนควรจัดการ เรียนการสอนที่คำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยแสวงหาเทคนิควิธีสอนและการประเมินผลด้วยรูปแบบ ที่เหมาะสมกับผู้เรียน อีกทั้งคำนึงถึงผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนให้เกิดความซาบซึ้งในวรรณคดี มี ความรู้ที่คงทนถาวร และสามารถนำแนวคิดจากเรื่องไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
18 3. แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 3.1 ความหมายของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ นักวิชาการหลายท่านเรียกวิธีการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่แตกต่างกันไป เช่น การสอนแบบสืบสวนสอบสวน การสอนแบบสอบสวน การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ การสอนแบบ สืบเสาะ การสอนแบบสืบค้น วัฏจักรการเรียนรู้แบบ 5E เป็นต้น ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะเรียกวิธี สอนดังกล่าวว่า วิธีแบบสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งมีนักวิชาการได้นิยามความหมายของวิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ไว้ดังนี้ จันทร์เพ็ญ อัมพรวัฒนพงศ์(2560 : 2) ได้กล่าวว่าการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นการ เรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning) ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผล การเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้ (Passive Learning) เพราะกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่ เกี่ยวข้องกับความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ที่ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บความจำในระบบความจำระยะ ยาว (Long Term Memory) ทำให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่า ระยะยาวกว่าการ สอนแบบให้นักเรียนท่องจำ ทิศนา แขมมณี (2545: 7) ได้ให้นิยามการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสืบ สอบ หมายถึง การดำเนินการเรียนการสอนโดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม เกิดความคิดและลง มือเสาะหาความรู้ เพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอนช่วยอำนวยความ สะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 34) ได้กล่าวว่าการ สอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการใช้กระบวนการคิดและ ทักษะต่าง ๆ เพื่อที่จะแก้ปัญหาและคำตอบ ทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ Good (อ้างถึงใน อับดุลเลาะ อูมาร์. 2560) ให้ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ว่าเป็น เทคนิคหรือกลวิธีเฉพาะประการหนึ่งในการจัดให้เกิดการเรียนรู้เนื้อหาบางอย่างของ วิชาวิทยาศาสตร์โดยกระตุ้นให้นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็นและแสวงหาความรู้โดยการใช้คำถาม และพยายามค้นหาคำตอบให้พบด้วยตนเอง เป็นวิธีการเรียนโดยการแก้ปัญหาในกิจกรรมการเรียนที่ เกิดขึ้น (Problem-Solving) ซึ่งปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ที่นักเรียนเผชิญในแต่ละครั้งจะเป็นตัวกระตุ้นให้ เกิดการ คิดด้วยการสังเกตอย่างถี่ถ้วนเป็นระบบ ออกแบบการวัดที่ต้องการแยกแยะสิ่งที่สังเกตกับสิ่ง
19 ที่สรุป ประดิษฐ์คิดค้นตีความหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด การใช้วิธีการอย่างฉลาด สามารถทดสอบได้และการสรุปอย่างมีเหตุผล จากนิยามความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง การ จัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการคิด สามารถแก้ปัญหา และค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง ครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นความสนใจนักเรียนด้วยการใช้คำถาม ส่งเสริมให้แสวงหาความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ด้วยตนเอง 3.2 ขั้นตอนของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีนักวิชาการหลายท่านได้เสนอรูปแบบหรือ ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แตกต่างกัน ดังนี้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 219-220) ได้แบ่งขั้นตอนในการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ไว้ดังนี้ 1. การสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่ง เกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนหรือเกิดจากอภิปรายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจจะมาจากเหตุการณ์ในข่วงนั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่ง เรียนมาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่จะศึกษา ครูอาจให้ศึกษาจาก สื่อต่าง ๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอประเด็นขึ้นมาก่อน 2. การสำรวจและค้นหา (Exploration) เป็นขั้นที่มีการวางแผนกำหนดแนวทางในการ สำรวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้หลายวิธี เช่น ทำการทดลอง ทำกิจกรรม ภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการสร้างสถานการณ์จำลอง การศึกษาหาข้อมูล จากเอกสารอ้างอิง หรือจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 3. การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เป็นขั้นการนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ แปล ผล สรุปผลและนำเสนอผลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บรรยาย สร้างแบบจำลองหรือรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นนี้เป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมติฐานที่ตั้ง ไว้หรือไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ตั้งไว้ แต่ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ได้ 4. การขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยง กับ ความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนำแบบจำลอง หรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ถ้าใช้อธิบายเรื่องอื่นได้มากก็แสดงว่าข้อจำกัดน้อย ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยง กับเรื่องต่าง ๆ และทำให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น
20 5. การประเมิน (Evaluation) เป็นขั้นการประเมินความรู้ทักษะกระบวนการที่นักเรียน ได้รับและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ วีณา ประชากูล และประสาท เนืองเฉลิม (2553) ได้อธิบายขั้นตอนการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ไว้ดังนี้ 1. ขั้นนำข้าสู่บทเรียน (Engagement) ขั้นนี้มีลักษณะเป็นการแนะนาบทเรียน กิจกรรม จะประกอบด้วยการซักถามปัญหา การทบทวนความรู้เดิม การกำหนดกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในการ เรียนการสอนและเป้าหมายที่ต้องการ 2. ขั้นสำรวจ (Exploration) ขั้นนี้กระตุ้นให้ผู้เรียนได้เกิดการปรับขยายความคิด โดยที่ ผู้เรียนได้รับคาแนะนำคำชี้แจง และวัสดุอุปกรณ์อย่างเพียงพอที่มีปฏิสัมพันธ์กับแนวคิด ผู้สอนไม่ควร บอกผู้เรียนว่าจะต้องเรียนอะไรและต้องไม่อธิบายแนวคิดให้แนวทางและคำแนะนำ เพื่อให้การสำรวจ ดำเนินต่อไปนี้ ผู้เรียนรับผิดชอบต่อการสำรวจวัสดุ และเก็บรวบรวมหรือบันทึกข้อมูลเอง 3. ขั้นอธิบาย (Explanation) ขั้นนี้มุ่งหาสิ่งอานวยความสะดวกทางจิตใจให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนวางแนวคิดเกี่ยวกับบทเรียนที่จะเรียนได้รับการสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือกันระหว่างทั้ง ผู้เรียนและผู้สอนในการเลือกและจัดทาสภาพแวดล้อมของชั้นเรียน ช่วยให้เกิดการปรับขยาย โครงสร้างความคิด ผู้สอนแนะแนวผู้เรียนจนตั้งคาอธิบายของตนเองเกี่ยวกับแนวคิด ซึ่งจะนาผู้เรียน ไปสู่ระยะต่อไปโดยอัตโนมัติ 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ขั้นนี้เป็นขั้นกระตุ้นความร่วมมือของกลุ่ม ผู้เรียนได้ จัดระเบียบประสบการณ์ทางความคิดจากการค้นพบแล้วทาการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์เดิมกับ ประสบการณ์ใหม่ ในสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว แนวคิดที่สร้างขึ้นต้องเชื่อมโยงกับความคิดอื่นหรือ ประสบการณ์อื่นที่สัมพันธ์กัน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ โดยการขยายตัวอย่าง หรือโดยการจัดประสบการณ์เชิงการสารวจเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาส่วนบุคคลของผู้เรียน 5. ขั้นประเมินผล (Evaluation) ขั้นนี้เป็นการทดสอบมาตรฐานการเรียนรู้ การเรียนรู้ มักจะเกิดขึ้นในสัดส่วนของการเพิ่มขึ้นที่น้อยกว่าการยกระดับทางความคิดที่มีการหยั่งรู้จริงที่เป็นไป ได้ ดังนั้นการประเมินผลควรต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่การสิ้นสุดของบทหรือของวิธีการของหน่วยการเรียน การวัดหลายชนิดมีความจำเป็นต่อการจัดทำการประเมินโดยรวมในการเรียนรู้ของผู้เรียน และเพื่อ กระตุ้นการสร้างแนวคิดทางจิตใจและทักษะกระบวนการประเมินรวมถึงในแต่ละระยะของวัฏจักร การเรียนรู้ไม่ใช่เพียงจัดทำเฉพาะตอนสุดท้าย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 216) ได้ให้แนวทางการ จัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เน้นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็นผู้คิด ลงมือปฏิบัติ
21 ศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยกิจกรรมที่หลากหลายทั้งการทำกิจกรรมในห้องปฏิบัติการ และ ภาคสนาม ให้ผู้เรียนได้สังเกต สำรวจตรวจสอบทดลอง ด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้ผู้เรียนเกิดความ เข้าใจและเกิดการรับรู้อย่างมีความหมาย สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทำให้มีความรู้คงทน ยาวนาน สามารถนำมาใช้ได้เมื่อมีสถานการณ์ใด ๆ มาเผชิญหน้า โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหา ความรู้ เพื่อฝึกทักษะการแสวงหาความรู้และพัฒนาการคิดขั้นสูงได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท. 2546: 34-36) ได้กำหนด รูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่งอาจ เกิดขึ้นเองจากความสนใจหรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายใน กลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้นหรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับ ความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนมาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคำถาม กำหนดประเด็นที่จะศึกษา ใน กรณีที่ยังไม่มีประเด็นที่น่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่าง ๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอ ประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเด็นหรือคำถามที่ครูกำลังสนในเป็นเรื่องที่ จะใช้ศึกษา เมื่อมีคำถามที่น่าสนใจและนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นที่ต้องการศึกษาจึง ร่วมกันกำหนดขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น อาจ รวมทั้งการรวบรวมความรู้จากประสบการณ์เดิม หรือความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่จะช่วยให้นำไปสู่ความ เข้าใจเรื่องหรือประเด็นที่จะศึกษามากขึ้น และมีแนวทางที่ใช้ในการสำรวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2. ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทำความเข้าใจในประเด็นหรือคำถามที่สนใจ จะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กำหนด ทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการ ตรวจสอบอาจทำได้หลากหลายวิธี เช่น การทำการทดลอง การทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้ คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจาก เอกสารอ้างอิง หรือจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำรวจ ตรวจสอบแล้ว จึงนำข้อมูลหรือข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนำเสนอผลที่ได้ใน รูปแบบต่าง ๆ เช่น บรรยาย สรุป สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ รูปวาด หรือสร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นนี้อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำหนดไว้ แต่ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิด การเรียนรู้ได้
22 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิม หรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนำแบบจำลองหรือข้อมูลที่สรุปได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือ เหตุการณ์อื่น ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อจำกัดน้อยซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่อง ต่าง ๆ และทำให้มีความรู้กว้างขวางขึ้น 5. ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่า นักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำไปสู่การนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ จากแหล่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ตามรูปแบบของสถานบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้นสำรวจและค้นหา 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป 4) ขั้นขยายความรู้ และ 5) ขั้นประเมิน 3.3 บทบาทของครูกับกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของครูผู้สอนกับวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ มีนักวิชาการกล่าวไว้ ดังนี้ ชาตรี เกิดธรรม (อ้างถึงใน อับดุลเลาะ อูมาร์. 2560) ได้อธิบายบทบาทของครูผู้สอนใน การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ ดังนี้ 1. ครูต้องป้อนคำถามให้นักเรียนเพื่อนาไปสู่การค้นคว้า ครูจะต้องรู้จักการป้อนคำถาม จะต้องรู้ว่าถามอย่างไรนักเรียนจึงจะเกิดความคิด 2. เมื่อได้ตัวปัญหาแล้วให้นักเรียนทั้งชั้นอภิปรายวางแผนแก้ปัญหา กำหนดวิธีการ แก้ปัญหาเอง 3. ถ้าปัญหาใดแก้ยากเกินไป นักเรียนไม่สามารถวางแผนแก้ปัญหาได้ ครูกับนักเรียนอาจ ร่วมกันหาทางแก้ปัญหาต่อไป สาโรช โศภีรักข์ (อ้างถึงใน อับดุลเลาะ อูมาร์. 2560) ได้กล่าวถึงบทบาทของครูผู้สอนกับ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ไว้ สรุปได้ว่า ครูผู้สอนทาหน้าที่กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความอยากรู้อยาก
23 เห็น มีทักษะในการตั้งคำถาม ทำหน้าที่แนะแนวทางในการช่วยเหลือให้ผู้เรียนอยู่ในสถานการณ์สืบ เสาะหาความรู้และร่วมมือกับผู้เรียนเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2549) ได้กล่าวถึงบทบาทของ ครูผู้สอนกับกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ไว้ สรุปได้ ดังนี้ 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Engagement) ครูควรสร้างความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็น และตั้งคำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิดดึงเอาคำตอบ ความคิดรวบยอด หรือเนื้อหาสาระ 2. ขั้นสำรวจ (Exploration) ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนร่วมกันสำรวจตรวจสอบ สังเกต และ ฟังการโต้ตอบกันระหว่างนักเรียน ครูต้องซักถามเพื่อนาไปสู่การสำรวจตรวจสอบของนักเรียน ให้เวลา นักเรียนในการคิดข้อสงสัยตลอดจนปัญหาต่าง ๆ และทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่นักเรียน 3. ขั้นอธิบาย (Explanation) ครูควรส่งเสริมให้นักเรียนอธิบายความคิดรวบยอด แนวคิด หรือให้คำจำกัดความด้วยคำพูดของนักเรียนเอง และให้นักเรียนแสดงหลักฐานให้เหตุผล อธิบาย ให้ คำจำกัดความและบอกส่วนประกอบต่าง ๆ ในแผนภาพ ให้นักเรียนใช้ประสบการณ์เดิมของตนเป็น พื้นฐานในการอธิบายความคิดรวบยอดหรือแนวคิด 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูควรให้นักเรียนได้ใช้ประโยชน์จากการชี้บอก ส่วนประกอบต่าง ๆ ในแผนภาพคำจำกัดความและการอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว อีกทั้งส่งเสริมให้ นักเรียนนำสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้หรือขยายความรู้และทักษะในสถานการณ์ใหม่ให้ นักเรียนสามารถอธิบายอย่างหลากหลาย อ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่พร้อมทั้งแสดงหลักฐานและถามคำถาม นักเรียนว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือได้แนวคิดอะไร 5. ขั้นประเมินผล (Evaluation) ครูควรสังเกตนักเรียนในการนำความคิดรวบยอดและทักษะ ใหม่ไปประยุกต์ใช้ มีการประเมินความรู้และทักษะของนักเรียนโดยหาหลักฐานที่แสดงว่า นักเรียนได้ เปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรม เปิดโอกาสให้นักเรียนประเมินตนเองเกี่ยวกับการเรียนรู้ และทักษะ กระบวนการกลุ่ม ควรใช้คำถามปลายเปิด เช่น ทำไมนักเรียนจึงคิดเช่นนั้น มีหลักฐานอะไร นักเรียน เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้นและจะอธิบายสิ่งนั้นอย่างไร จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปบทบาทของครูผู้สอนกับกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ได้ว่า ครูผู้สอนมีบทบาททุกขั้นตอนของกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเริ่มจากการสร้างความ สนใจ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยใคร่รู้โดยการตั้งประเด็นคำถาม ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ กระบวนการสืบค้น สำรวจ หาข้อมูล รวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ให้ผู้เรียนรู้จักอธิบาย หรืออภิปรายความรู้ที่ได้จากการสืบค้น รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
24 แล้วจึงประเมินความรู้ความเข้าใจผู้เรียน ซึ่งในทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดการเรียนรู้นั้น ครู จะต้องมีบทบาทเป็นผู้คอยสังเกต ให้ความช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำนักเรียนในบางสถานการณ์ที่ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาได้ 3.4 ข้อดีและข้อจำกัดของกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ จากการศึกษาเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ พบว่ามี นักวิชาการกล่าวถึงข้อดีและข้อจำกัดไว้หลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้ ชาตรี เกิดธรรม (2545) ได้กล่าวถึงข้อดีของกระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ สรุปได้ ว่า กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดและสติปัญญาของ ตนเองอย่างอิสระ ทาให้นักเรียนเป็นคนช่างสังเกต มีเหตุผล สาโรช โศภีรักข์ (2546) ได้กล่าวถึงข้อดีของกระบวนการสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ไว้ว่า กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเป็นการฝึกผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างการ ทำงานเป็นทีมและทำงานตามความสามารถของตนเอง แต่กระบวนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ก็ มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ในเรื่องของแหล่งเรียนรู้หากมีแหล่งเรียนรู้น้อยไป จะทำให้ผู้เรียนไม่ สามารถสืบค้นหาความรู้ได้อย่างกว้างขวาง และหากมีการอภิปรายหรือรายงานที่ไม่มีประสิทธิภาพก็ จะทำให้เสียเวลามาก อีกทั้งในการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ผู้เรียนจะต้องมี วินัยและความกระตือรือร้น มิฉะนั้นจะทาให้การจัดการเรียนรู้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมถึงหาก ครูผู้สอนไม่เอาใจใส่ติดตามนักเรียนกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ก็จะไม่ประสบความสาเร็จ สุคนธ์ สินธพานนท์ (อ้างถึงใน อับดุลเลาะ อูมาร์. 2560) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ไว้ดังนี้ 1. ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรงจากการเรียนรู้ มีโอกาสได้ศึกษา สำรวจ ค้นหา รวบรวมข้อมูล บันทึก ทดสอบความคิด ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง และสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง 2. ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกันกับผู้อื่น รู้จักอภิปรายแสดงความคิดเห็น ระหว่างกัน รับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล 3. ผู้เรียนรู้จักคิดแก้ปัญหา คิดตัดสินใจ คิดอย่างมีวิจารณญาณ สร้างสรรค์ความรู้และทักษะ 4. ผู้เรียนรู้จักประเมินการทำงานด้วยตนเอง และนำผลการประเมินไปปรับปรุง และพัฒนาให้ ดีขึ้น
25 จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ได้ว่า การจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ทำให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งเสริม ให้รู้จักสืบค้นด้วยตนเอง ใช้ความคิดและสติปัญญา ฝึกฝนให้เป็นคนช่างสังเกต ใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา อนึ่ง การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ให้มี ประสิทธิภาพนั้น จะต้องจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ที่เพียงพอและเหมาะสม รวมทั้งครูผู้สอนจะต้องเตรียม ความพร้อมเป็นอย่างดี และติดตามกำกับดูแลนักเรียนตลอดทั้งการจัดการเรียนรู้ 4. แนวคิดเกี่ยวกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 4.1 ความหมายของแผนที่ความคิด ทิศนา แขมมณี (2551) ให้ความหมายของแผนที่ความคิดว่า เป็นผังที่แสดงความสัมพันธ์ ของสาระหรือความคิดต่าง ๆ ให้เป็นโครงสร้างในภาพรวม โดยใช้เส้น คำ ระยะห่างจากจุดศูนย์กลาง สี เครื่องหมาย รูปทรงเรขาคณิต และภาพแสดงความหมายและความเชื่อมโยงของความคิดหรือสาระ นั้น ๆ วรัญญา สินธุสำราญ (อ้างถึงใน รุ่งตะวัน นวลแก้ว.2560) ได้กล่าวว่า แผนที่ความคิด คือ เครื่องมือในการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงสารสนเทศต่าง ๆ ระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อย โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของสมองทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ทำให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้โดยการคิด วิเคราะห์ คํา ภาษา สัญลักษณ์ ระบบ อีกทั้งช่วยในการพัฒนาการอ่านเพื่อความ เข้าใจของนักเรียนให้ได้รับการฝึกระดมสมอง สามารถคิดเอง จัดระบบ ซึ่งจะสามารถ ทำให้จดจํา และทำความเข้าใจในเรื่องที่ฟังและอ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น สุดารัตน์ ศักดิ์คําดวง (อ้างถึงใน รุ่งตะวัน นวลแก้ว.2560) ได้กล่าวถึงแผนผังความคิดว่า เป็นแผนที่ที่แสดงความคิดหลักหนึ่งความคิด ที่ประกอบขึ้นมาจากมโนภาพของสมอง โดยความคิด หลักหนึ่ง ความคิดนั้นสามารถเชื่อมโยงไปยังความคิดอื่น ๆ ที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ซึ่งมีเส้นโยง เชื่อมความสัมพันธ์ระหวางความคิดนั้น ๆ อย่างมีทิศทาง ไสว ฟักขาว (2544) ให้ความหมายว่า แผนผังความคิด เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่ใช้ ใน การช่วยผู้เรียนในการเชื่อมโยงสารสนเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องให้เห็นเป็นรูปธรรมในลักษณะแผนภาพ อมรรัตน์ งามบุญสร้าง (อ้างถึงใน รุ่งตะวัน นวลแก้ว.2560) ได้กล่าวว่า แผนที่ความคิดเป็น แผนผังหรือแผนภาพที่แสดงความสัมพันธ์ของสาระหรือความคิดต่าง ๆ จากความคิดหลักไปสู่
26 ความคิดรองและความคิดย่อยให้เห็นในโครงสร้างในภาพรวมโดยใช้เส้น คํา สี เครื่องหมาย สัญลักษณ์ และภาพ แสดงความหมายและความเชื่อมโยงของความคิดหรือสาระนั้น ๆ Marton & Booth (1997) กล่าวว่า แผนที่ความคิดเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับการเรียนรู้ และการคิด โดยนำเสนอโครงร่างเพื่อให้เห็นลักษณะต่าง ๆ ของเรื่อง เช่น ลำดับของเหตุการณ์ ประเด็นสำคัญ ๆ เหตุและผล ความสัมพันธ์ของความคิดแต่ละอันและอื่น ๆ จากการศึกษาความหมายของแผนที่ความคิดจากเอกสารต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถ สรุปได้ว่า แผนที่ความคิด หมายถึง เทคนิคที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประเด็นหรือเนื้อหา ต่าง ๆ เป็นลำดับขั้นตอน ระหว่างความคิดหลักสู่ความคิดรองและความคิดย่อยอย่างเป็นระบบ ผ่าน การใช้เส้น สี เครื่องหมาย สัญลักษณ์หรือภาพต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการสรุปความรู้หรือ ความคิดรวบยอดในเรื่องต่าง ๆ ได้ 4.2 ขั้นตอนการสร้างแผนที่ความคิด จากการศึกษาเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีนักวิธีการหลายท่านได้เสนอขั้นตอนของ การสร้างแผนที่ความคิดไว้หลายประการ ดังนี้ ไสว ฟักขาว (ไสว ฟักขาว, 2544) ได้เสนอขั้นตอนในการสร้างแผนที่ความคิดไว้ ดังนี้ 1. เขียนมโนทัศน์หลักไว้ตรงกลาง 2. เขียนมโนทัศน์รองกระจายไปรอบ ๆ มโนทัศน์หลัก 3. ลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์หลักและมโนทัศน์รอง 4. เขียนมโนทัศน์ย่อย กระจายต่อจากมโนทัศน์รองแต่ละอัน 5. ตกแต่งแผนที่ความคิด โดยใช้สี สัญลักษณ์หรือรูปภาพให้เกิดความสวยงามและสื่อ ความหมายที่ดียิ่งขึ้น สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (สุวิทย์ มูลคา & อรทัย มูลคำ, 2545) ได้เสนอขั้นตอนใน การ สร้างแผนที่ความคิดไว้ ดังนี้ 1. เขียนหรือวาดภาพมโนทัศน์หลักหรือหัวข้อเรื่องกลางหน้ากระดาษชนิดไม่มีเส้นและวาง กระดาษในแนวนอน 2. เขียนหรือวาดภาพมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์หลักหรือหัวข้อเรื่องกระจายไป รอบ ๆ มโนทัศน์หลัก 3. เขียนหรือวาดภาพมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ โดยเขียน ข้อความไว้บนเส้นแต่ละเส้น
27 4. ใช้ภาพสื่อความหมายให้มากที่สุด 5. เขียนหรือพิมพ์คำด้วยตัวบรรจงขนาดใหญ่ 6. เขียนคำที่มีลักษณะเป็นหน่วย (เป็นคาหรือข้อความที่มีความหมายในตัวเอง) 7. เขียนคำเหนือเส้นแต่ละเส้นต้องเชื่อมโยงต่อเส้นอื่น ๆ 8. ระบายสีให้ทั่ว 9. ขณะที่เขียนควรปล่อยความคิดให้มีอิสระมากที่สุด จากขั้นตอนการสร้างแผนที่ความคิดของนักวิชาการหลายท่านที่กล่าวมาในข้างต้น จะเห็น ได้ว่ามีขั้นตอนและวิธีการที่คล้ายคลึงกัน ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาและสังเคราะห์ขั้นตอนการ สร้างแผนที่ความคิดตามแนวคิดของวิชาการท่านต่าง ๆ ไว้ ดังนี้ 1. กำหนดประเด็นหลักหรือหัวข้อหลัก โดยเขียนหรือวาดบริเวณกึ่งกลางหน้ากระดาษ 2. เขียนหรือวาดความคิดหรือมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กับความคิดหลักหรือมโนทัศน์หลัก กระจายบริเวณรอบ ๆ โดยใช้คำที่กระชับและสื่อความหมายได้ชัดเจน 3.แตกความคิดย่อยที่สัมพันธ์กับความคิดรองกระจายออกไปโดยรอบ แล้วโยงเส้น เชื่อมโยงความคิด โดยเขียนข้อความหรือคำสำคัญไว้บนเส้นแต่ละเส้น ซึ่งสามารถแตกความคิดย่อย ออกได้เรื่อย ๆ 4. เน้นคำหรือข้อความโดยการใช้สี ภาพ รูปทรงต่าง ๆ ได้ตามต้องการ 5. ระบายสีตกต่างแผนที่ความคิดให้สวยงาม 4.3 ประโยชน์ของแผนที่ความคิด ประโยชน์ของการสร้างแผนผังความคิดมีอยู่หลายประการ ทั้งการช่วยในการจํา การกระตุ้น สมอง และการรื้อฟื้นความจํา ซึ่งเกิดจากการใช้รูปภาพ สี เป็นตัวกระตุ้นให้สมองเกิด ความทรงจํา และเรียกความจําได้ง่ายยิ่งขึ้น ธัญญา ผลอนันต์และนพดล จําปา (อ้างถึงใน รุ่งตะวัน นวลแก้ว.2560) ได้เสนอแนะ ประโยชน์จากการสร้างแผนที่ความคิดไว้หลายข้อด้วยกัน ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1. ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความละเอียดซับซ้อนในแบบรูปที่รวมอยู่ในกระดาษแผนเดียว สร้างความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น 2. ช่วยกระตุ้นสมอง ทำให้เกิดการตื่นตัว อีกทั้งเป็นเครื่องมือในการจดจําและรื้อฟื้นความจํา เพราะแผนผังความคิดเต็มไปด้วยสีสันและคําที่มีคุณภาพ ทำให้สามารถจำและเรียกความจํามาได้ อย่างดีที่สุด
28 3. การใช้รูปภาพ รหัสสี และกฎเกณฑ์อื่น ๆ ในการเขียนแผนผังความคิด ช่วยให้สามารถ เข้าถึงข้อมูลได้อยางรวดเร็ว 4. ช่วยให้นักเรียนสนใจบทเรียน เกิดความร่วมมือในการเรียนการสอนมากขึ้น และใช้ แก้ปัญหานักเรียนที่มีปัญหาในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี 5. ช่วยให้ผู้อ่านดึงสาระสำคัญของเรื่องที่อ่านออกมาได้อย่างถูกต้องและด้วยความเข้าใจ ยิ่งขึ้น 6. สามารถใช้ทักษะในการคิดอยางสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง 7. เกิดการวิเคราะห์ ความร่วมมือ และการแก้ปัญหาร่วมกันภายในกลุ่ม ในกรณีของการใช้ งานแผนผังความคิดแบบกลุ่ม นวพร ทรงวิชา (อ้างถึงใน รุ่งตะวัน นวลแก้ว.2560) ได้กล่าวว่า แผนที่ความคิดมีประโยชน์ รอบด้าน สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันโดยช่วยในการวางแผนในการเรียน การทำงาน ช่วยใน การถ่ายทอดความรู้ ความคิดความเข้าใจที่มีความหมายต่อตนเองและบุคคลอื่น ช่วยกระตุ้นความคิด แลละถ่ายทอดออกมาได้อยางเป็นระบบชัดเจน ช่วยให้การติดต่อสื่อสารกบผู้อื่นง่ายขึ้น ไสว ฟักขาว (2544) กล่าวถึงประโยชน์ของแผนที่ความคิดว่า แผนที่ความคิด นั้นสามารถใช้ วิเคราะห์เนื้อหาหรืองานต่าง ๆ ใช้ในระดมสมอง จดบันทึก สรุป สร้างองค์ความรู้และ จัดระบบ ความคิด อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ จากประโยชน์ของแผนที่ความคิดที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การนำแผนที่ความคิด มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเรียบเรียงและสรุปความคิดจากเรื่องที่ เรียน อีกทั้งยังช่วยฝึกฝนทักษะความคิดสร้างสรรค์ การเชื่อมโยงเนื้อหาและการลำดับความสำคัญของ เนื้อหาต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจและจดจำเนื้อหาที่เรียนได้ง่ายยิ่งขึ้น 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เทคนิค การใช้แผนที่ความคิด และการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย พบว่ามีผู้สนใจศึกษาและทำการวิจัย เกี่ยวกับวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ดังนี้ พรสุรีย์ วิภาศรีนิมิต (2554) ได้ศึกษาทดลองการใช้แผนที่ความคิดในการเรียนรู้เพิ่มเติมวิชา RT 305 การผลิตรายการโทรทัศน์ขั้นต้น เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ให้มีผลสัมฤทธิ์ที่สูงขึ้น และปรับปรุงวิธีสอนของผู้วิจัยให้มี
29 ประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์และสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน ผลการวิจัย พบว่า ค่าคะแนนเฉลี่ยของนักศึกษาที่ทดลองใช้การเขียนแผนที่ความคิดในการเรียนรู้เพิ่มเติมในวิชา RT 305 การผลิตรายการโทรทัศน์ขั้นต้น ปีการศึกษา 2553 นั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยคะแนนของนักศึกษาที่ ไม่ได้ใช้การเขียนแผนที่ความคิดในวิชาเดียวกัน ของปีการศึกษา 2550 – 2552 และมีค่าความ แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจกับการเขียนแผนที่ความคิด ร้อยละ 94.23 จันทร์เพ็ญ อัมพรวัฒนพงศ์(2560) ได้ศึกษาผลการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E’s) ที่มี ต่อผลต่อการเรียนรู้ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องพืชและสัตว์น่ารู้ มีประสิทธิภาพของผลผลิต เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 หรือไม่ ผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบการสืบเสาะหาความรู้ (5E’s) ผลทางการเรียนมีประสิทธิภาพของผลผลิตเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E’s) อยู่ในระดับมากที่สุด ปิยนุช แหวนเพชร (2560) ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ ความคิดก่อนและหลังเรียน และศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อวิธีสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความคิดเห็นของนักเรียนมีต่อวิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก อับดุลเลาะ อูมาร์ (2560) ได้ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เรื่องสมดุลเคมี ที่มีต่อแบบจำลองทางความคิด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล จังหวัดปัตตานีผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) อยู่ในระดับมากที่สุด รุ่งตะวัน นวลแก้ว (2560) ได้ศึกษาเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านคลองวัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนและหลังเรียน โดยใช้แผนผังความคิด และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แผนผังความคิด
30 ผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แผนผังความคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แผนผังความคิดอยูในระดับมาก
31 สรุป การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับโครงสร้าง มาตรฐาน ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 เอกสารตำราเกี่ยวกับการเรียนวรรณคดี ความสำคัญและคุณค่าของการ เรียนวรรณคดีไทย ความหมายของวรรณคดี จุดมุ่งหมายของการสอนวรรณคดี และแนวทางการ จัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย จากนั้นศึกษาเอกสารเกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีสีืบ เสาะหาความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ได้แก่ ความหมาย ขั้นตอน ประโยชน์ ข้อดีและ ข้อจำกัดของวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด และศึกษางานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด จึงสรุปได้ว่า การจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด มุ่งให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะ กระบวนการคิด หาเหตุผล หลักฐาน เพื่อสืบค้นหาความรู้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อภิปรายและสรุปข้อมูล การศึกษาค้นคว้า สามารถทำให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ค้นหาความรู้และสรุปความรู้ได้ด้วย ตนเอง สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์ส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระ วรรณคดีวรรณกรรม มีทักษะการคิดขั้นสูงและมีความรู้ที่คงทน เนื่องจากเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ นักเรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
32 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๒ ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนด้วยวิธีสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ ความคิด และศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียว มีการสอบก่อนและหลังเรียน (The One Group Pretest-Posttest Design) โดยมีรูปแบบการวิจัยดังตารางต่อไปนี้ กลุ่มทดลอง T1 X T2 T1 แทนการทดสอบก่อนเรียน X แทนการทดลองสอนโดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้ แผนที่ความคิด T2 แทนการทดสอบหลังเรียน ขั้นตอนและวิธีการดำเนินการวิจัย มีดังนี้ 1. ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 1.2 ศึกษาหนังสือ ตารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน วรรณคดีวรรณกรรมไทย 1.3 ศึกษาหนังสือ ตารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีวิธีการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 1.4 ศึกษาหนังสือ ตารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแผนการจัด การ เรียนรู้ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็น
33 2. กำหนดกลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม อำเภอหนอง กี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 507 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม อำเภอ หนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 45 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดีที่ใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับแผนที่ ความคิด จำนวน 4 แผน แผนละ 1 คาบ รวมทั้งสิ้นจำนวน 4 คาบ 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ 4. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 4.2 ศึกษาตาราเอกสารในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 4.3 วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ตัวชี้วัด คำอธิบายรายวิชา และเนื้อหารายวิชาภาษาไทย 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 4.4 ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้และเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 4.6 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 3 แผน แผนละ 1 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง โดยให้ เนื้อหาการเรียนการสอนสอดคล้องกับหลักสูตรหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ตัวชี้วัด คำอธิบายรายวิชา และเนื้อหารายวิชาภาษาไทย 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย โดยมีเนื้อหาของแผน ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ความเป็นมาและประวัติผู้แต่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 วิเคราะห์เนื้อเรื่องและคำศัพท์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 วิเคราะห์เนื้อเรื่องและคำศัพท์ [2] แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 สรุปความรู้และข้อคิด
34 แผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 4 แผนข้างต้น ใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิคการใช้แผนที่ความคิด มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ขั้นสร้างความ สนใจ (Engage) เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนโดยการสร้างความสนใจของนักเรียน ผู้สอนอาจจะสร้าง สถานการณ์หรือประเด็นปัญหาโดยใช้สื่อต่าง ๆ ในการกระตุ้นและเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจ สงสัยและเกิดคำถามในการเรียน 2) ขั้นสำรวจ (Explore) ในขั้นนี้นักเรียนจะเป็นผู้กำหนดแนวทาง ในการสำรวจค้นคว้าข้อมูลที่สงสัยหรือประเด็นที่ต้องการค้นคว้าแล้วรวบรวมข้อมูล 3) ขั้นอธิบาย (Explain) เมื่อนักเรียนได้ข้อมูลจากการสำรวจ ศึกษาค้นคว้าแล้ว จึงนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์ สรุปผล เป็นความรู้หรือความคิดรวบยอดและนำเสนอในรูปแบบของแผนที่ความคิด (Mind-Mapping) 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) นักเรียนนำเสนอความรู้หรือความคิดรวบยอดจากการวิเคราะห์และ สรุปผล 5) ขั้นประเมินผล (Evaluate) ครูเป็นผู้ประเมินผลการเรียนรู้จากการสรุปและสร้างองค์ ความรู้ของผู้เรียนในรูปแบบแผนที่ความคิด (Mind-Mapping) 5.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้เสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ทางด้านเนื้อหา การใช้ถ้อยคำ จากนั้นปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสม 5.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ ( Index of Item Objective Congruence : IOC) โดยมีเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์. 2557 : 177) +1 หมายถึง แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสม -1 หมายถึง แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไม่มีความเหมาะสม สูตรการคำนวณ IOC = R เมื่อ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างแผนการจัดการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ที่ คาดหวัง R คือ ผลรวมของคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
35 โดยค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ถือว่ามีความสอดคล้องกันในเกณฑ์ที่ ยอมรับได้ ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีผลการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและการวัดและประเมินผลได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง 0.67 - 1.00 4.9 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนาของผู้เชี่ยวชาญ ในเรื่อง จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล เพื่อให้แผนการจัดการเรียนรู้มี ความถูกต้องสมบูรณ์ 4.10 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่แก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 4.11 นำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียน หนองกี่พิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 45 คน 4.12 จัดทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เป็นแบบทดสอบแบบ ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ซึ่งใช้ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) และหลังเรียน (Posttest) โดยศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 5 และหลักสูตรรายวิชาภาไทย 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนหนองกี่พิทยา คม 4.13 ศึกษาทฤษฎี หลักการ วิธีการสร้างเครื่องมือการวัดและประเมินผล วิเคราะห์ เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ที่มีสาระเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนวรรณคดี 4.14 สร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบตามแนวคิดของ Bloom โดยใช้เนื้อหาวรรณคดี วรรณกรรมไทย เรื่อง กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า มีรายละเอียด ดังตารางต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ เรื่อง ความรู้ ความจำ ความ เข้าใจ การ นำไปใช้ การ วิเคราะห์ การ สังเคราะห์ การ ประเมินค่า จำนวน ข้อ กลอนดอกสร้อย รำพึงในป่าช้า 6 4 1 6 2 1 20 4.15 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยมีสัดส่วนตามวัตถุประสงค์ 4.16 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี และตารางวิเคราะห์ข้อสอบ เสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา การใช้ภาษา เพื่อปรับปรุงและแก้ไข โดยปรับปรุงข้อคำถามที่ไม่เหมาะสม มีความกำกวม และไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ตามคำ แนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา
36 4.17 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีที่ปรับปรุงแก้ไขตาม คำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความ ตรงของเนื้อหาและความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยพิจารณาหาค่าดัชนีความ สอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) โดย กำหนดให้มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ถือว่ามีความสอดคล้องกันในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ซึ่งได้ผลการตรวจสอบค่าดัชนี ความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 - 1.00 4.18 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไป ทดลองใช้เพื่อหาคุณภาพกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 20 คน ที่เคยได้รับการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาวรรณคดี เรื่อง กลอน ดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า 4.19 นำผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีมาวิเคราะห์คุณภาพรายข้อ เพื่อหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) โดยเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 - 0.80 และมีค่าอานาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.20 - 1.00 จำนวน 20 ข้อ ซึ่งผลจากการ วิเคราะห์คุณภาพรายข้อเพื่อหาค่าความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.25 - 0.75 และมีค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.25 - 0.67 4.20 คำนวณหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของข้อสอบปรนัย โดยใช้สูตร KR-20 (Kuder and Richardson - 20) ผลปรากฏว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วรรณคดีมีค่า ความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.85 4.21 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีจำนวน 20 ข้อที่วิเคราะห์ คุณภาพและตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้วไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ก่อนเรียน (Pretest) และ หลังเรียน (Posttest) 4.22 ทำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธีสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด จำนวน 1 ฉบับ แบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 10 ข้อ ตอนที่ 2 ข้อเสนอแนะต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจโดยศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถาม จากนั้นกำหนดวัตถุประสงค์ในการสร้าง แบบสอบถาม โดยตั้งวัตถุประสงค์ของการศึกษาว่า เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้ แผนที่ความคิด
37 4.23 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด จำนวน 10 ข้อ ได้แก่ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศการเรียนและด้านประโยชน์ที่ได้รับ โดยใช้การ วัดความคิดเห็น 5 ระดับของลิเคิร์ท (Likert) จากหนังสือคู่มือการสร้างเครื่องมือวัด คุณลักษณะด้าน จิตพิสัยของสานักทดสอบทางการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศึกษาธิการ กรมวิชาการ. 2539) ได้แก่ เห็นด้วยมากที่สุด ระดับคะแนน 5 เห็นด้วยมาก ระดับคะแนน 4 เห็นด้วยปานกลาง ระดับคะแนน 3 เห็นด้วยน้อย ระดับคะแนน 2 เห็นด้วยน้อยที่สุด ระดับคะแนน 1 โดยใช้เกณฑ์การแปลผลระดับคะแนนความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอน แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด (มาเรียม นิลพันธุ์ 2557 : 196) ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.50-5.00 ระดับความคิดเห็น มากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50-4.49 ระดับความคิดเห็น มาก ค่าเฉลี่ย 2.50-3.49 ระดับความคิดเห็น ปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50-2.49 ระดับความคิดเห็น น้อย ค่าเฉลี่ย 1.00-1.49 ระดับความคิดเห็น น้อยที่สุด 4.24 นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องของเนื้อหา การใช้ภาษาเพื่อปรับปรุงและแก้ไข 4.25 นำแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนาของอาจารย์ที่ปรึกษา วิทยานิพนธ์เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมและความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยพิจารณาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การใช้ภาษา (Index of Item Objective Congruence : IOC) เพื่อตรวจสอบความตรงของเนื้อหา โดยกำหนดค่าดัชนี ความสอดคล้องตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ถือว่ามีความสอดคล้องกันในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ซึ่งผลจากการ ตรวจสอบได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 - 1.00 4.26 นำแบบสอบถามที่ได้จากการตรวจสอบมาปรับปรุงแก้ไข โดยปรับข้อคำถามให้ สื่อความหมายและเหมาะสม
38 4.27 นำแบบสอบถามไปใช้เก็บข้อมูลนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เป็นกลุ่ม ตัวอย่างหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 5. ขั้นดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยมีขั้นตอนในการทดลอง ดังนี้ 5.1 ก่อนดำเนินการทดลอง ได้มีการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) ด้วยแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ จำนวน 20 ข้อ เพื่อใช้สำหรับเปรียบเทียบ กับแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) 5.2 ตรวจให้คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) จากนั้นหาค่าเฉลี่ย (Χ̅) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนที่ได้ 5.3 ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดจำนวน 3 แผน แผนละ 1 คาบ รวมเวลาทั้งสิ้น 3 คาบ 5.4 ระยะเวลาในการทดลอง ทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 5.5 นำแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีซึ่งเป็น แบบทดสอบชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) แต่นำมาสลับข้อคำถามทดสอบกับกลุ่ม ตัวอย่าง 5.6 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปสอบถามความคิดเห็นกับกลุ่มตัวอย่าง 5.7 ตรวจให้คะแนนการทำแบบทดสอบหลังเรียน แล้วนำคะแนนมาหาค่าเฉลี่ย (Χ̅) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบสมมติฐาน 6. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำข้อมูลมาวิเคราะห์สถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผล การทดลอง ดังนี้ 6.1 วิเคราะห์ค่าสถิติของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ของกลุ่ม ตัวอย่างส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 6.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและ หลังเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการตั้งคำถามโดยใช้สถิติทดสอบแบบไม่ เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent)
39 6.3 วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (Χ̅) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) และเทียบกับเกณฑ์ระดับความคิดเห็น
40 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลัง เรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด 2) เพื่อศึกษาระดับความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผู้วิจัย เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 ค่าเฉลี่ยคะแนนคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ดังปรากฏในตารางที่ ตารางที่ ค่าความคิดเห็นเฉลี่ยของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย (̅) S.D. แปลผล 1. สาระสำคัญ 1.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 1.2 สอดคล้องกับเนื้อหา ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 1 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 สอดคล้องกับเนื้อหา 2.2 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ 2.3 สอดคล้องกับการเรียนรู้และประเมินผล ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 2 3. เนื้อหา 3.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 3.2 สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 3.3 สอดคล้องกับการวัดและประเมินผล ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 3
41 รายการประเมิน ค่าเฉลี่ย (̅) S.D. แปลผล 4. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 4.2 สอดคล้องกับเนื้อหา 4.3 สอดคล้องกับการวัดและประเมินผล ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 4 5. สื่อ 5.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 5.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 5 6. การวัดและประเมินผล 6.1 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 6.2 สอดคล้องกับเนื้อหา 6.3 สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 6 ค่าเฉลี่ยรวมด้านที่ 1-6 จากตารางที่ พบว่า ค่าดัชนีความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธี สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มี ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่ ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อน และหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ดังปรากฏใน ตารางที่ และตารางที่
42 ตารางที่คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลัง เรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด เลขที่ คะแนนก่อนเรียน (20 คะแนน) คะแนนหลังเรียน (20 คะแนน) 1 7 16 2 11 16 3 7 16 4 12 15 5 5 14 6 10 14 7 5 10 8 8 14 9 4 10 10 4 10 11 8 13 12 11 13 13 13 15 14 13 14 15 14 15 16 8 16 17 7 10 18 13 16 19 11 14 20 11 10 21 15 15 22 14 16 23 10 14 24 10 12 25 11 15 26 12 15
43 เลขที่ คะแนนก่อนเรียน (20 คะแนน) คะแนนหลังเรียน (20 คะแนน) 27 12 12 28 11 12 29 6 10 30 11 16 31 8 13 32 11 15 33 8 13 34 13 15 35 10 17 36 11 18 37 13 14 38 12 17 39 14 16 40 9 18 41 9 15 42 12 13 43 10 12 44 11 12 45 13 14 จากตารางที่ พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 หลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด สูงกว่าก่อน เรียน ซึ่งคะแนนก่อนเรียนมีคะแนนสูงสุดเท่ากับ 15 คะแนน และคะแนนต่ำสุดเท่ากับ 4 คะแนน ส่วนคะแนนหลังเรียนมีคะแนนสูงสุดเท่ากับ 18 คะแนน และคะแนนต่ำสุด 10 คะแนน ตารางที่ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและ หลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด
44 จำนวน (คน) คะแนน เต็ม (̅) S.D. df t-test Sig. (2tailed) ก่อนเรียน 45 20 10.18 2.79 7.78586 หลังเรียน 45 20 14 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ดังปรากฏในตารางที่ ตารางที่ 3 ค่าคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด รายการ (̅) S.D. แปลผล 1. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียน เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและจดจำได้นานขึ้น 2. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดน่าสนใจ กระตุ้นให้ ผู้เรียนอยากมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น 3. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ ความคิด สืบค้นความรู้ และรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง 4. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดช่วยกระตุ้นให้นักเรียน เกิดความสนใจและตั้งใจมากขึ้น 5. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนรู้
45 รายการ (̅) S.D. แปลผล 6. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดการใช้แผนที่ความคิดเปิด โอกาสให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นกับ เพื่อน 7. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดทำให้เกิดความ สนุกสนานเพลิดเพลิน 8. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดทำให้นักเรียนคิดอย่างมี เหตุผลเป็นลำดับขั้นตอน 9. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดทำให้นักเรียนพัฒนา ทักษะการแก้ปัญหาเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน 10. การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดทำให้นักเรียนพัฒนา ทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ รวมเฉลี่ย จากตารางที่ พบว่า ค่าคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิธี สอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด มีค่าคะแนนความพึงพอใจ ดังนี้ โดย มีคะแนนความพึงพอใจรวมเฉลี่ย เท่ากับ