ก
สารบัญ หนา้
1
1.1 ขัน้ ตอนท่ี 1 การสำรวจ คัดเลือก และจัดกลุ่มขอ้ มลู พืชและสมุนไพร............................ 7
1.2 ขั้นตอนที่ 2 การประเมนิ ความปลอดภัยพืชและสมนุ ไพร.............................................. 7
32
การประเมนิ ความปลอดภยั พชื และสมุนไพรในภาคเหนอื ………………………………… 50
การประเมนิ ความปลอดภัยพืชและสมนุ ไพรในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ............... 67
การประเมนิ ความปลอดภัยพืชและสมุนไพรในภาคตะวันออก............................... 87
การประเมนิ ความปลอดภยั พืชและสมุนไพรในภาคใต.้ ...........................................
การประเมินความปลอดภัยพืชและสมนุ ไพรในภาคตะวันตก.................................. 112
การประเมนิ ความปลอดภัยพชื และสมุนไพรในภาคกลาง........................................
ข
สารบญั ตาราง หน้า
ตารางที่ 1
7
1.1 การสำรวจ คดั เลอื ก และจดั กล่มุ รายชอ่ื พืชและสมนุ ไพรทม่ี กี ารบรโิ ภคใน
ประเทศไทย............................................................................................................... 32
50
1.2 พืชอาหารและสมนุ ไพรทเี่ ปน� อาหารและยาท่นี อกเหนอื ประกาศฯ ในภาคเหนอื ……. 67
87
1.3 พชื อาหารและสมนุ ไพรทีเ่ ป�นอาหารและยาทีน่ อกเหนือประกาศฯ ใน 112
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ...........................................................................................
1.4 พชื อาหารและสมุนไพรที่เปน� อาหารและยาที่นอกเหนือประกาศฯ ในภาคตะวันออก
1.5 พชื อาหารและสมนุ ไพรท่ีเป�นอาหารและยาที่นอกเหนือประกาศฯ ในภาคใต้............
1.6 พืชอาหารและสมุนไพรทเี่ ป�นอาหารและยาทนี่ อกเหนอื ประกาศฯ ในภาคตะวันตก..
1.7 พืชอาหารและสมุนไพรท่ีเป�นอาหารและยาที่นอกเหนอื ประกาศฯ ในภาคกลาง.......
สารบญั ภาพ ค
ภาพท่ี หน้า
10
1 เก๋ียงพา (Eupatorium tiplinerve Vahl. H)............................................................ 17
2 ผกั เสยี้ ว (Bauhinia purpurea L.)…………………………………………………………………. 26
3 สม้ ปอ่ ย (Acacia concinna (Willd.) DC.)……………………………………………………… 33
4 กระพงั โหม (Paederia pilifera Hook. f.)............................................................... 38
5 ขอ่ ย (Streblus asper Lour.)………………………………………………………………………… 45
6 แขยง (Limnophila aromatica (Lam.) Merr.)..................................................... 51
7 กุม่ น้ำ (Crateva religiosa)...................................................................................... 58
8 คำไทย (Bixa orellana L.)....................................................................................... 63
9 นางพญาเสือโคร่ง (Prunus cerasoides D.Don.)……………………………………………. 68
10 กระถนิ (Leucaena leucocephala (Lam.) de Wit).……………………………………. 76
11 ต้นถ่วั ฝก� ดาบ (Canavalia gladiata (Jacq.) DC.)................................................. 81
12 สาหร่ายพวงองนุ่ (Caulerpa lentillifera J. Agardh)............................................ 88
13 ขลู่ (Pluchea indica (L.) Less.)............................................................................. 97
14 ดปี ลี (Piper retrofractum Vahl.).......................................................................... 106
15 ผกั เบ้ียหนิ (Trianthema portulacastrum L.)……………………………………………… 113
16 ผักกระสัง (Piper pellucidum L.).......................................................................... 118
17 รางแดง (Ventilago denticulata Willd.).............................................................. 122
18 หูกวาง (Terminalia catappa L.)..........................................................................
ผลการศกึ ษาป�ญหาพเิ ศษหวั ขอ้ : การประเมินคว
การรายงานผลการวจิ ยั สามารถแบ่งเป�น 2 ส่วน ตามวธิ กี ารวจิ ัย ไดแ้ ก่ ข้ันต
ประเมนิ ความปลอดภยั พชื และสมุนไพร ดังนี้
1.1 ขัน้ ตอนท่ี 1 การสำรวจ คัดเลือก และจดั กลุ่มขอ้ มูลพชื และสมุนไพร
การสำรวจพืชและสมุนไพรในประเทศไทยทัง้ หมด 102 ชนิด พบพชื และสมนุ
นอกเหนือประกาศฯ ที่มีการบริโภคในประเทศไทยท้ังหมด 96 ชนิด โดยแบ่งกลุ่มออก
จำนวน 21 ชนิด กลุม่ สมนุ ไพรท่ีเปน� ยาจำนวน 16 ชนิด และกลุ่มทีม่ ปี ระวตั ิการบริโภค
ตารางท่ี 1.1 การสำรวจ คัดเลอื ก และจัดกลมุ่ รายชือ่ พชื และสมนุ ไพรทีม่ ีการบรโิ ภคใน
ลำดบั ชอื่ สว่ นท่ีนำมาใช้ ตวั อยา่ งการบริโภค
ภาคเ
1 เก๋ยี งพา ดอก ยอด ใบอ่อน บริโภคสด
2 คอนแคน ดอก ยอดอ่อน ประกอบอาหาร
3 แค ยอดอ่อน ชอ่ ดอก ฝ�กอ่อน ประกอบอาหาร
4 งวม ฝ�ก บรโิ ภคสด
5 เถาสะค้าน เถา(ลำต้น) ใบอ่อน บรโิ ภคสด ประกอบ
6 นำ้ นมราชสหี ์ ใบ ต้มด่ืมเปน� ชา
7 ผกั กาดน้ำ ใบ ตน้ ประกอบอาหาร ตม้
8 ผักก้านตรง ใบอ่อน ยอดออ่ น ประกอบอาหาร
1
วามปลอดภยั ของพืชและสมุนไพรในประเทศไทย
ตอนท่ี 1 การสำรวจ คัดเลอื ก และจัดกลุม่ ขอ้ มูลพืชและสมุนไพร และขั้นตอนท่ี 2 การ
นไพรทอ่ี ยใู่ นประกาศฯและไดร้ บั การอนุญาตจำนวน 6 ชนิด คงเหลือพืชและสมนุ ไพรที่
กเป�น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพืชอาหารจำนวน 47 ชนิด กลุ่มสมุนไพรที่เปน� อาหารและยา
คน้อยกว่า 15 ป� จำนวน 12 ชนิด ดังแสดงในตารางท่ี 4.1
นประเทศไทย ประเภทของพืชและสมุนไพร ประวัตบิ รโิ ภคมากกว่า 15 ป�
ค พชื อาหาร
เหนอื
พชื อาหาร
บอาหาร
มดืม่ เปน� ชา พชื อาหาร
พชื อาหาร
สมุนไพรทีเ่ ป�นอาหารและยา
อย่ใู นกลุ่มสมนุ ไพรทเ่ี ปน� ยา
สมุนไพรทเี่ ปน� อาหารและยา
พชื อาหาร
ลำดับ ช่อื ส่วนทีน่ ำมาใช้ ตวั อยา่ งการบริโภค
9 ผกั ขวง ยอดอ่อน ใบ ใบออ่ น บริโภคสด
10 ผักขหี้ ดู ฝ�กอ่อน ประกอบอาหาร
11 ผักคราดหวั แหวน ใบ ยอดออ่ น ดอกออ่ น บริโภคสด
12 ผกั ปลงั ทัง้ ต้น ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ประกอบอาหาร
13 ผักแปม ยอด ใบออ่ น ประกอบอาหาร
14 ผักเสี้ยว (ชงโค) ใบ ยอดออ่ น ประกอบอาหาร
15 ผักแสว้ ยอด ใบออ่ น บริโภคสด
16 ผักฮว้ นหมู ใบ ยอดออ่ น ดอกออ่ น ลำตน้ ราก ประกอบอาหาร
17 เพชรสังฆาต เถา คนั้ เอาน้ำมาดม่ื
18 เพีย้ ฟ่าน ใบ ยอดอ่อน บรโิ ภคสด
19 มะแขวน่ ผล บรโิ ภคสด ประกอบ
20 ส้มปอ่ ย ใบ ยอดอ่อน ผล เมลด็ ประกอบอาหาร
21 สะแล ใบ ยอดอ่อน ดอก ผลอ่อน ประกอบอาหาร
22 สาหรา่ ยไก ท้ังตน้ บริโภคสด ประกอบ
23 สาหรา่ ยเตา ท้งั ต้น บรโิ ภคสด ประกอบ
24 หเู สอื ใบ บริโภคสด
25 กระชับ ตน้ ออ่ น ยอดออ่ น เมล็ด ภาคตะวนั ออ
26 กระพงั โหม ใบ ใบอ่อน ยอดออ่ น ราก ดอก ประกอบอาหาร แป
27 ข่อย ใบ เมล็ด บรโิ ภคสด ประกอบ
28 ขา้ วเย็นเหนือ หัว บรโิ ภคสด ประกอบ
29 แขยง ต้นท้ังตน้ ยอดอ่อน ใบอ่อน ต้มดม่ื เป�นชา
บรโิ ภคสด ประกอบ
2
ค ประเภทของพชื และสมนุ ไพร ประวตั ิบรโิ ภคมากกว่า 15 ป�
บอาหาร สมนุ ไพรทเี่ ปน� อาหารและยา
บอาหาร
บอาหาร พืชอาหาร
อกเฉยี งเหนอื
ปรรูปเปน� แป้ง พืชอาหาร
บอาหาร
บอาหาร พืชอาหาร
บอาหาร
พืชอาหาร
พชื อาหาร
พืชอาหาร
พชื อาหาร
อยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่เป�นยา
พชื อาหาร
พืชอาหาร
สมนุ ไพรทเ่ี ป�นอาหารและยา
พืชอาหาร
ประวตั บิ รโิ ภคน้อยกวา่ 15 ป�
ประวัติบริโภคน้อยกว่า 15 ป�
สมนุ ไพรท่ีเปน� อาหารและยา
พชื อาหาร
สมุนไพรทีเ่ ป�นอาหารและยา
สมุนไพรทเ่ี ป�นอาหารและยา
อยใู่ นกลุ่มสมนุ ไพรทเ่ี ป�นยา
พืชอาหาร
ลำดับ ช่ือ สว่ นทนี่ ำมาใช้ ตวั อยา่ งการบริโภค
30 เครือหมาน้อย ใบ บริโภคสด คนั้ เอาน
31 โคคลาน เถา ตม้ ดืม่ เป�นชา
32 ตะคร้อ ผลแกแ่ ละดบิ บรโิ ภคสด
33 ตาลปต� ร�ษี ใบอ่อน ก้านใบอ่อน ก้านใบ บริโภคสด ประกอบ
ก้านดอกออ่ น ก้านดอก ดอกอ่อน
34 ติ้วขาว ยอดอ่อน ชอ่ ดอกออ่ น ใบอ่อน บริโภคสด ประกอบ
35 ถว่ั ขาว เมล็ด บรโิ ภคสด ประกอบ
36 ผักเขียด ยอดอ่อน บรโิ ภคสด
ตม้ ดม่ื เป�นชา แปรร
37 เฟอ� งฟา้ ดอก ตม้ ดืม่ เป�นชา สารให
บรโิ ภคสด ประกอบ
38 มะกล่ำตาหนู ใบ บริโภคสด
ตม้ ดื่มเป�นชา
39 มะกอก ยอดอ่อน ใบออ่ น ผลดิบและสกุ ตม้ ด่ืมเป�นชา
40 มะหวด เนื้อผล ภาคก
ตม้ ดม่ื เป�นชา
41 หนมุ านประสานกาย ใบ บรโิ ภคสด ประกอบ
บริโภคสด
42 แห้วหมู หวั ประกอบอาหาร ต้ม
บริโภคสด ประกอบ
43 ทองพันชั่ง ใบ บรโิ ภคสด ประกอบ
44 ผกั กระสัง ยอด ใบ เมล็ด
45 มะตูมแขก ใบ
46 รางแดง ใบ
47 หญ้าปก� กิง่ ใบ
48 หญา้ ไผ่น้ำ ใบ
3
ค ประเภทของพืชและสมุนไพร ประวัตบิ รโิ ภคมากกว่า 15 ป�
น้ำมาด่มื
สมุนไพรที่เปน� อาหารและยา
บอาหาร
บอาหาร อยู่ในกลุ่มสมุนไพรทเ่ี ปน� ยา
บอาหาร
พืชอาหาร
รูปเป�นเครอื่ งด่ืม
หค้ วามหวาน พชื อาหาร
บอาหาร
พชื อาหาร
กลาง
บอาหาร บัญชีรายชอ่ื พืชท่อี นญุ าตในเครือ่ งด่ืม
มด่ืมเป�นชา
บอาหาร ในภาชนะบรรจุที่ปด� สนิท พ.ศ. 2552
บอาหาร
พชื อาหาร
พืชอาหาร
พชื อาหาร
พชื อาหาร
พืชอาหาร
อยู่ในกลุ่มสมนุ ไพรทเ่ี ป�นยา
อยู่ในกลุ่มสมนุ ไพรท่ีเป�นยา
อยใู่ นกลุ่มสมุนไพรทเ่ี ป�นยา
พชื อาหาร
ประวตั ิบริโภคน้อยกว่า 15 ป�
สมนุ ไพรที่เปน� อาหารและยา
อยใู่ นกลุ่มสมนุ ไพรท่ีเปน� ยา
ประวัตบิ รโิ ภคน้อยกว่า 15 ป�
ลำดับ ชอ่ื สว่ นที่นำมาใช้ ตวั อย่างการบรโิ ภค
49 หูกวาง ยอดอ่อน ผล เมลด็ บรโิ ภคสด ประกอบ
50 กมุ่ น้ำ ยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอกอ่อน ภาคตะว
51 กุ่มบก ยอดอ่อน ใบออ่ น ช่อดอกอ่อน แปรรปู เป�นผกั ดอง
52 คนทีสอ ดอก ใบ ผล แปรรปู เปน� ผกั ดอง
53 ครอบฟ�นสี เมล็ด บรโิ ภคสด ต้มด่ืมเป
54 คำไทย เน้ือหุ้มเมล็ด บรโิ ภคสด
55 ชะมวง ยอดอ่อน ใบออ่ น ผล แปรรูปเปน� สีสำหรับ
56 นางพญาเสือโครง่ เมลด็ บริโภคสด ประกอบ
57 บวั เผอ่ื น กา้ นดอก ดอก บริโภคสด
58 เปลา้ นอ้ ย ใบ บรโิ ภคสด ประกอบ
59 ผักสาบ ยอดอ่อน ใบออ่ น ช่อดอก ผล บริโภคสด ต้มดื่มเป
60 ยา่ นางแดง ยอดอ่อน ใบออ่ น เถา แปรรปู เป�นผักดอง
61 เลบ็ ครุฑ ใบ ยอดอ่อน บริโภคสด ต้มดื่มเป
62 วา่ นสาวหลง ใบ ราก ลำต้น ประกอบอาหาร
63 หนานเฉาเหวย่ ใบ ต้มดืม่ เปน� ชา
64 เห็ดระโงก ก้านดอก ดอก บรโิ ภคสด ต้มดื่มเป
ประกอบอาหาร
65 ขลู่ ยอดอ่อน ใบอ่อน ใบ
ภาคตะ
66 เขยตายแมย่ ายปรก ใบ บริโภคสด ประกอบ
ประกอบอาหาร ตม้
67 ดีปลี ชอ่ ดอก ผลออ่ น ผลสุก บริโภคสด ประกอบ
ประกอบอาหาร
68 ตะคึก (พฤกษ)์ ยอดอ่อน ใบออ่ น ช่อดอกอ่อน
4
ค ประเภทของพืชและสมุนไพร ประวัติบรโิ ภคมากกว่า 15 ป�
บอาหาร
วนั ออก พชื อาหาร
ปน� ชา สมนุ ไพรที่เปน� อาหารและยา
บแต่งอาหาร สมนุ ไพรที่เป�นอาหารและยา
บอาหาร
ประวตั ิบริโภคน้อยกวา่ 15 ป�
บอาหาร
ปน� ชา สมุนไพรทเ่ี ป�นอาหารและยา
ปน� ชา สมนุ ไพรท่เี ป�นอาหารและยา
ป�นชา พชื อาหาร
ะวนั ตก สมุนไพรท่เี ปน� อาหารและยา
บอาหาร แปรรูปเป�นชา
มดมื่ เป�นชา อยู่ในกลุ่มสมนุ ไพรทเ่ี ปน� ยา
บอาหาร แปรรูปเป�นชา
อยใู่ นกลุ่มสมนุ ไพรที่เปน� ยา
พืชอาหาร
อยใู่ นกลุ่มสมนุ ไพรทเ่ี ปน� ยา
พชื อาหาร
อยู่ในกลุ่มสมนุ ไพรท่ีเปน� ยา
อยใู่ นกลุ่มสมุนไพรทเ่ี ป�นยา
ประวตั บิ ริโภคน้อยกว่า 15 ป�
สมุนไพรทเ่ี ปน� อาหารและยา
ประวัตบิ ริโภคน้อยกวา่ 15 ป�
สมุนไพรทเ่ี ปน� อาหารและยา
พืชอาหาร
ลำดับ ชือ่ ส่วนท่นี ำมาใช้ ตวั อยา่ งการบรโิ ภค
69 ถั่วดาวอนิ คา ใบอ่อน ยอดออ่ น เมล็ด ใบแก่ ประกอบอาหาร
เปลอื กหุม้ เมล็ด
(ดาวอนิ คา) เปลอื กตน้ ราก ฝ�ก บริโภคสด ตม้ ด่ืมเป
70 ปอกะป�ด ใบ ตม้ ดมื่ เป�นชา
71 ปเู่ ฒา่ ทงิ้ ไม้ ใบ บรโิ ภคสด ประกอบ
72 แปะตำป�ง ยอดอ่อน ลำต้นอ่อน ประกอบอาหาร
73 ผักเบ้ยี หนิ ใบ กา้ นใบ ยอดออ่ น ใบออ่ น ต้น บริโภคสด ประกอบ
74 ผักแวน่ ยอดอ่อน ใบออ่ น กา้ นใบ ดอกอ่อน ประกอบอาหาร
75 ผักหนาม ผลดิบอ่อนและแก่ ประกอบอาหาร
76 มะตาด ใบออ่ น ฝก� ออ่ น บริโภคโดยผา่ นการ
77 มะรมุ
ผลอ่อนและสกุ บริโภคสด ประกอบ
78 มะอึก ใบ ตม้ ดมื่ เป�นชา
79 ไมยราบ ลำต้น แปรรปู อบแหง้ บดผ
80 แฮม่
ใบ ภาค
81 กระดูกไกด่ ำ ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝก� อ่อน ค้ันเอานำ้ มาดืม่
82 กระถินไทย ฝก� แก่(ใช้เมล็ดในฝก� ) บริโภคสด
เถา
(กระถินบ้าน) ยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก ประกอบอาหาร ต้ม
83 กลอย ยอดอ่อน บรโิ ภคสด ประกอบ
84 ช้าเรือด ยอดอ่อน บริโภคสด
85 ตาเป�ดตาไก่ ประกอบอาหาร
86 เต่าร้างแดง
5
ค ประเภทของพชื และสมนุ ไพร ประวัตบิ รโิ ภคมากกว่า 15 ป�
พบการอนุญาตผลติ ภัณฑอ์ าหารในระบบตรวจสอบการอนญุ าต
ป�นชา
บอาหาร พบการอนุญาตผลิตภณั ฑอ์ าหารในระบบตรวจสอบการอนุญาต
บอาหาร
อยใู่ นกลุ่มสมนุ ไพรทีเ่ ปน� ยา
รปรงุ สุกดว้ ยความร้อน
บอาหาร พชื อาหาร
ผงตม้ ด่ืมเปน� ชา
คใต้ พชื อาหาร
มด่มื เปน� ชา พืชอาหาร
บอาหาร
พืชอาหาร
พชื อาหาร
บญั ชแี นบทา้ ยประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
เร่ือง รายช่ือพชื ทใ่ี ช้ไดใ้ นผลติ ภัณฑเ์ สริมอาหาร พ.ศ. 2560
พืชอาหาร
อยู่ในกลุ่มสมนุ ไพรทีเ่ ปน� ยา
อยู่ในกลุ่มสมนุ ไพรทเ่ี ป�นยา
ประวัตบิ ริโภคน้อยกวา่ 15 ป�
สมนุ ไพรที่เป�นอาหารและยา
ประวัตบิ รโิ ภคน้อยกว่า 15 ป�
พชื อาหาร
สมุนไพรท่ีเป�นอาหารและยา
พชื อาหาร
ลำดับ ช่ือ ส่วนทีน่ ำมาใช้ ตัวอยา่ งการบรโิ ภค
87 ถัว่ ฝ�กดาบ ฝ�ก ประกอบอาหาร
88 ถั่วหวั ช้าง เมลด็ ประกอบอาหาร
89 ปรงเขา ยอดอ่อน ประกอบอาหาร
90 เปราะหอม ยอดอ่อน ประกอบอาหาร
91 พนั สมอ ใบ ประกอบอาหาร
92 มะลดิ นิ ใบอ่อน บรโิ ภคสด
93 มันปู ยอดอ่อน ใบ บรโิ ภคสด
94 ลำเท็ง ยอดอ่อน บริโภคสด ประกอบ
95 ส้มโหลก ผล บริโภคสด แปรรูปโ
96 สมอจนี ผล บริโภคสด แปรรูปโ
97 สาหร่ายขนนก ท้ังตน้ บรโิ ภคสด ประกอบ
98 สาหรา่ ยพวงองนุ่ ทั้งต้น บริโภคสด
99 หญ้าคอตุง ใบ ราก ลำต้น ตม้ ดืม่ เป�นชา
100 หญา้ ดอกข้าว ใบ ราก ลำตน้ ดอก ต้มด่ืมเปน� ชา
101 เหด็ เสม็ด กา้ นดอก ดอก บริโภคโดยผา่ นการ
102 อินทนลิ น้ำ ใบออ่ น ประกอบอาหาร ต้ม
ตารางที่ 1.1 (ตอ่ )
6
ค ประเภทของพืชและสมุนไพร ประวัติบริโภคมากกว่า 15 ป�
บอาหาร พืชอาหาร
โดยการแชอ่ ม่ิ ดองหรอื กวน
โดยการดอง บญั ชีรายชื่อพชื ทอ่ี นุญาตในเครื่องดมื่
บอาหาร
ในภาชนะบรรจุที่ป�ดสนิท พ.ศ. 2552
รปรุงสกุ ด้วยความร้อน
มดืม่ เปน� ชา พืชอาหาร
สมนุ ไพรทเ่ี ปน� อาหารและยา
พืชอาหาร
พชื อาหาร
พืชอาหาร
พชื อาหาร
พชื อาหาร
บัญชแี นบท้ายประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
เรอ่ื ง รายช่ือพชื ทใ่ี ช้ไดใ้ นผลิตภัณฑเ์ สรมิ อาหาร พ.ศ. 2560
พืชอาหาร
พืชอาหาร
ประวตั บิ รโิ ภคน้อยกว่า 15 ป�
ประวัตบิ รโิ ภคน้อยกวา่ 15 ป�
ประวตั ิบรโิ ภคน้อยกว่า 15 ป�
สมุนไพรทเ่ี ปน� อาหารและยา
1.2 ขนั้ ตอนที่ 2 การประเมนิ ความปลอดภัยพืชและสมนุ ไพร
ประเมินความปลอดภัยพชื และสมนุ ไพรจาก กล่มุ พชื อาหารและกลมุ่ สมนุ ไพร
ขั้นตอนท่ี 1 จากพชื จำนวน 68 ชนิด โดยแสดงผลรายช่ือของพชื และสมนุ ไพรตามแหล
ภาคเหนือจำนวน 20 ชนิด ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือจำนวน 13 ชนดิ ภาคตะวันออกจ
จำนวน 3 ชนดิ ดังตารางท่ี 4.2 – 4.7 ตามลำดับ และแสดงตวั อย่างการศกึ ษาข้อมูลคว
ตารางที่ 1.2 พชื อาหารและสมุนไพรทีเ่ ป�นอาหารและยาที่นอกเหนอื ประกาศฯ ในภาค
ลำดับ ช่ือพืช ชื่อวทิ ยาศาสตร์ ช่ือวงศ์
1 เกี๋ยงพา Eupatorium tiplinerve Vahl. H Compositae
2 คอนแคน Dracaena angustifolia Roxb. Nolinoideae
(ค้อนหมาขาว)
3 แค Sesbania grandiflora (L.) Pers. Fabaceae
4 งวม Caesalpinia furfuracea (Prain) Hattink Fabaceae หรือ
(หนามโค้ง) Leguminosae
5 ผักกาดน้ำ Plantago major L. Plantaginaceae
6 ผกั ก้านตรง (ผกั Colubrina asiatica (L.) Brongniart Rhamnaceae
คนั ทรง)
7
รทีเ่ ปน� อาหารและยาท่นี อกเหนือประกาศฯ รวมถงึ มีประวตั ิบริโภคมากกว่า 15 ป� จาก
ลง่ ทพี่ บหรอื แหล่งทีผ่ ลติ และจำหนา่ ย แบ่งออกเป�น 6 ภูมภิ าคของประเทศไทย ไดแ้ ก่
จำนวน 8 ชนดิ ภาคใตจ้ ำนวน 15 ชนดิ ภาคตะวันตกจำนวน 9 ชนิด และภาคกลาง
วามปลอดภยั ของพชื ทนี่ ่าสนใจจำนวนภาคละ 3 ชนิด ดังน้ี
คเหนอื
ส่วนที่ใช้ วธิ กี าร
ดอก ยอด ใบอ่อน บรโิ ภคสด รับประทานเปน� ผักสดกบั ลาบ
ยอดอ่อน ดอก ปรงุ สกุ ด้วยความรอ้ นโดย ลวกต้มจม้ิ
น้ำพรกิ ปรงุ เปน� แกงผกั รวมใส่ปลายา่ ง ใส่
ชอ่ ดอก ยอดอ่อน ฝ�ก แกงแค เป�นตน้
ฝก� ปรุงสุกด้วยความรอ้ นโดย การลวกหรือผัด
ตม้ จิม้ นำ้ พริกปรุงเป�นแกงสม้
ใบ ต้น บรโิ ภคสดโดยการนำมายำ
ยอดอ่อน ใบอ่อน หรอื ปรงุ สุกดว้ ยความรอ้ นโดยเผา
รบั ประทานกบั นำ้ พรกิ
ต้มกับนำ้ เพ่อื ดื่ม ใบสด ใชเ้ ป�นอาหารได้
นิยมใชย้ ำหรือจ้ิมน้ำพริก
ปรุงสุกด้วยความร้อนโดยตม้ จิ้มน้ำพรกิ
ปรงุ เป�นแกงรว่ มกับผักอ่นื ๆ
ลำดับ ชื่อพืช ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ ช่ือวงศ์
7 ผักขวง Glinus oppositifolius (L.) Aug. DC. Molluginaceae
8
9 ผักข้หี ดู Raphanus sativus L. var. caudatus Alef. Brassicaceae
10 ผักคราดหัวแหวน Spilanthes acmella/ Asteraceae หรือ
11 (ผักเผด็ ) Spilanthes paniculate/ Compositae
12 Acmella oleracea (L.) R.K.Jansen
ผกั ปลัง Basella alba L. Basellaceae
ผกั แปม Eleutherococcus trifoliatus (L.) S. Y. Hu Araliaceae
ผักเสีย้ ว (ชงโค)
/Acanthopanax trifoliatus Merr.
Bauhinia purpurea L. Fabaceae
13 ผักแส้ว Marsdenia glabra Costantin Oleaceae
14 ผกั ฮว้ นหมู Dregea volubilis (L.f.) Benth. ex Hook.f. Asclepiadoideae
15 เพี้ยฟา่ น Macropanax dispermus Ktze. Araliaceae
16 สม้ ป่อย Acacia concinna (Willd.) DC. Fabaceae
17 สะคา้ น Piper ribesioides Wall./ Piperaceae
Piper interruptum Opiz
8
ส่วนทใ่ี ช้ วธิ กี าร
ยอดอ่อน ใบ ใบออ่ น ตน้ บรโิ ภคสด หรือปรงุ สกุ ดว้ ยความร้อนโดย
การลวกจ้ิมนำ้ พริก ปรุงเป�นแกง
ฝ�กออ่ น ปรงุ สุกด้วยความร้อน โดยการผัด นึ่งจ้ิม
นำ้ พริก และปรงุ เปน� แกงรวม
ยอดอ่อน ใบ ดอกออ่ น บรโิ ภคสด หรือปรงุ สกุ ดว้ ยความร้อนโดย
การลวกหรือต้มจ้มิ น้ำพรกิ ปรงุ เป�นแกง
ทงั้ ตน้ ยอดออ่ น
ใบออ่ น ดอกออ่ น ปรงุ สุกดว้ ยความร้อนโดยการผดั น้ำมัน
ยอด ใบอ่อน ลวกหรือนง่ึ จิม้ น้ำพรกิ ปรงุ เปน� แกง
บริโภคสดกับลาบ หรือปรุงสุกด้วยความ
ยอดอ่อน ใบ ร้อนโดยการปรุงเป�นแกงออ่ ม
ปรุงสกุ ด้วยความร้อนโดยการลวกหรอื นง่ึ
ยอด ใบออ่ น จม้ิ น้ำพรกิ ปรงุ เป�นแกงรว่ มกบั ผักชนิด
ต่างๆ
ใบ ยอดอ่อน ดอกอ่อน ลำตน้ ราก บรโิ ภคสด หรือปรงุ สกุ ด้วยความร้อนโดย
การลวกจิม้ นำ้ พรกิ ปรุงเป�นแกง
ยอดออ่ น ใบ ปรุงสุกดว้ ยความร้อนโดยการลวกหรือต้ม
ยอดอ่อน ใบ ผล เมล็ด จิ้มน้ำพริก ปรงุ เป�นแกง
ใบออ่ น เถา(ลำต้น) บริโภคสดเป�นผักจิม้ หรือกบั ลาบ
ปรงุ สุกด้วยความร้อนโดยการต้มหรอื แกง
ใบออ่ น บริโภคสด
เถา แกงเปน� เครื่องชรู ส
ลำดบั ชื่อพชื ช่ือวทิ ยาศาสตร์ ชื่อวงศ์
18 สะแล Broussonetia Kurzii (Hook.f.) Corner Moraceae
19 หปู ลาช่อน Emilia sonchifolia (L.) DC. ex Wight. Asteraceae
20 หูเสอื Plectranthus amboinicus (Lour.) Spreng Lamiaceae (Labia
สว่ นที่ใช้ 9
ยอดอ่อน ใบ ดอก ผลออ่ น วธิ กี าร
ยอดอ่อน ใบทั้งอ่อนและแก่ ปรุงสกุ ด้วยความรอ้ นโดยการแกงหรอื ลวก
จ้ิมนำ้ พริก
atae) ใบ ยอดอ่อนสามารถมาชงดืม่ ได้
บรโิ ภคสด หรือปรงุ สุกด้วยความร้อนโดย
การลวกจิ้มนำ้ พริก ปรุงเปน� แกงรว่ มกับผกั
อืน่ ๆ
บริโภคสดกบั ลาบ กอ้ ย
10
การศึกษาขอ้ มูลความปลอดภัยของพืชและสมุนไพรภาคเหนอื
(1) เกี๋ยงพา วงศ์: Compositae
ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป
1. ช่อื สามัญของพชื และสมุนไพร
ภาษาไทย: เก๋ยี งพา/เขยี งพาไย
ภาษาองั กฤษ: ไมพ่ บ
2. ช่อื วทิ ยาศาสตร์ของพชื และสมนุ ไพร
Eupatorium tiplinerve Vahl. H
ภาพที่ 1 เกยี๋ งพา (Eupatorium tiplinerve Vahl. H)
ที่มา: ฐานขอ้ มลู สมุนไพรไทยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)
3. แหล่งกระจายทางภูมิศาสตร์ หรือแหลง่ ทีม่ าของวตั ถดุ ิบ
3.1 แหล่งกระจายทางภูมศิ าสตร์
ไม่พบขอ้ มลู ท่แี น่ชดั
3.2 แหลง่ ทเี่ กบ็ ตวั อย่างพืชและสมนุ ไพร
หม่บู า้ นโปง่ แพร่ ตำบล โป่งแพร่ อำเภอ แมล่ าว จังหวัด เชียงราย
4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรือการบรโิ ภค
- จากการรวบรวมและวเิ คราะห์คุณคา่ ทางโภชนาการ ธาตุอาหารตลอดจนสารพิษในพ้นื ผกั
พืน้ บ้านของไทยที่รับประทานได้พบว่ามีการใชป้ ระโยชน์จากต้นเกี๋ยงพาในด้านอาหารโดย
มีการใช้ ดอก ยอด และใบอ่อน รับประทานเป�นผักสดกับลาบ และสำหรับประโยชน์ทาง
ยานั้นไม่พบข้อมูล และพบการรายงานคุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทาน 100
กรัม (ดอก,ยอด และใบ) พบว่ามีปริมาณน้ำ 84.93 กรัม พลังงาน 51 กิโลแคลอรี่ โปรตีน
11
2 กรัม ไขมัน 0.16 กรัม คาร์โบไฮเดรต 10.39 กรัม ใยอาหาร 1.52 กรัม แร่ธาตุและ
วิตามิน 1 กรัม แคลเซียม 280 มิลลิกรัม เหล็ก 13.4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 270 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 240 มิลลิกรัม และพบว่ามีสารพิษ ได้แก่ ไซยา
ไนต์ (HCN) ปริมาณ 0.1 มิลลิกรัม แทนนิน 0.29 มิลลิกรัม และน้ำมันหอมระเหย
(essential oil) 0.8 กรัม (กลุ่มวิจัยเกษตรเคมี สำนักวิจัยพัฒนาป�จจัยการผลิตทาง
การเกษตร กรมวชิ าการเกษตร, 2549)
5. ส่วนทน่ี ำมาใช้ (part of use)
ดอก,ยอด และใบอ่อน
6. วตั ถปุ ระสงค์การบรโิ ภค
พชื อาหาร
7. รปู แบบการบริโภค
บริโภคสด
- ดอก,ยอด และใบอ่อน รับประทานเปน� ผกั สดกับลาบ
8. กลมุ่ ผูบ้ รโิ ภค
บคุ คลทว่ั ไป
9. องค์ประกอบทางเคมี หรอื สารสำคญั
9.1 องคป์ ระกอบทางเคมี
- คุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทาน 100 กรัม (ดอก,ยอด และใบ) พบว่ามี
ปริมาณน้ำ 84.93 กรัม พลังงาน 51 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 2 กรัม ไขมัน 0.16 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 10.39 กรัม ใยอาหาร 1.52 กรัม แรธ่ าตุและวิตามนิ 1 กรัม แคลเซียม
280 มิลลิกรัม เหล็ก 13.4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 270
มิลลิกรัม แมกนีเซียม 240 มิลลิกรัม และพบว่ามีสารพิษ ได้แก่ ไซยาไนต์ (HCN)
ปริมาณ 0.1 มิลลิกรมั แทนนิน 0.29 มิลลกิ รมั และน้ำมนั หอมระเหย (essential oil)
0.8 กรัม (กลุ่มวิจัยเกษตรเคมี สำนักวิจัยพัฒนาป�จจัยการผลิตทางการเกษตร กรม
วชิ าการเกษตร, 2549)
9.2 สารสำคัญ
- สารสกัดจากเอทานอลของลำต้นและใบเกี๋ยงพาพบ γ-humulene, 2,6 dimethyl
indolizine, 3,7,11,15-tetramethyl-2-hexadecen-1-ol (phytol) ( Melo แ ล ะ
คณะ, 2013)
12
10. สารพิษ สารต้านสารอาหารในพชื
-
11. ฤทธิท์ างเภสัชวิทยา หรือสรรพคณุ พืน้ บา้ น
- ตำรายาไทยใบรสสุขุม แก้ไข้พิษ แก้ไข้หวัด ถอนพิษไข้ ผสมในยาแสงหมึก บรรเทาหัด
อีสุกอีใส ผสมในยาเขียว และเป�นยาหอมชูกำลัง บำรุงหัวใจ ใบสดขยี้ คั้นน้ำ หรือต้มน้ำ
ชุบผ้าก็อซป�ด สมานแผล ทำให้เลือดหยุด (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธาน)ี
- บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการ
แห่งชาติด้านยา ระบุการใช้ใบสันพร้าหอม ร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ใน “ตำรับยาเขียว
หอม” สรรพคุณ บรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด พิษอีสุกอีใส (บรรเทา
อาการไข้จากหัด และอีสุกอีใส) (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัย
อุบลราชธานี)
- ประโยชนท์ างยาของต้นเกี๋ยงพา (ฐานข้อมูลสมนุ ไพร แผนงานวิจัยการอนุรักษ์พันธุกรรม
และพัฒนาพืชสมุนไพรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหิดล )
- เกีย๋ งพาทำหน้าท่ีเป�นยากระตนุ้ และยาชูกำลังเม่อื รบั ประทานในปรมิ าณน้อย และเป�นยา
ระบายเมื่อรับประทานในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์สำหรับการรักษาไข้
เหลือง ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ท้องผูก ฯลฯ มีคุณสมบัติห้ามเลือด (hemostatic) บำรุง
หัวใจ (cardiotonic) ขับเหงื่อ(diaphoretic) ยาทำให้อาเจียน (emetic) ยาฆ่าเช้ือ
(antiseptic) ยาต้านจุลชีพ (antimicrobial) ป้องกันตับ (hepatoprotector) และ
คุณสมบัติเกี่ยวกับกระเพาะ (stomachic) (Gupta และคณะ, 2002; Scudeller และ
คณะ, 2009; Rajasekaran และคณะ, 2010)
- มีรายงานว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย (antibacterial) และต้านเชื้อรา (antifungal) (Gupta
และคณะ, 2002) กดประสาทสว่ นกลาง (CNS depressant) แก้ปวด (analgesic) ระงับ
ประสาท (sedative) และฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) (Kokate และ
คณะ, 1971)
ฤทธ์ิลดการกระจายของเซลลม์ ะเรง็ (Reduction of cancer)
13
- การศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดน้ำของเกี๋ยงพาต่อการยับยั้งการกระจายของเซลล์มะเร็ง
(metastatic) และยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenic potential) ที่จะนำ
สารอาหารไปยงั เซลลม์ ะเร็ง (malignant tumor cells) จากการศึกษาพบวา่ สารสกัดน้ำ
ขนาด 50 mg/kg สามารถยับยั้งการกระจายตัว (metastatic) ของเซลล์มะเร็ง เม่ือ
ทดสอบด้วยการฉีด B16F10 cells เข้าทางหลอดเลือดดำที่ผิวปอดในหนูถีบจักร
(C57BL/6J mice) สามารถลดการการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งที่อยู่บนพื้นผิวปอดใน
หนูทดลอง รวมทั้งสามารถยับยั้งการย้ายที่ (migration) และการแทรกซึม (invasion)
เข้าไปในส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ สารสกัดยังสามารถยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่
จากการกระตุ้นของเนื้องอก (tumor-induced angiogenesis) ดังนั้นจากการทดลองน้ี
แสดงว่าสารสกัดน้ำ มีฤทธิ์ในการควบคุมการกระจายตัว (metastatis) ของเซลล์มะเร็ง
ได้ (Kim และคณะ, 2014)
ฤทธิร์ ะงับอาการปวดและฤทธิ์ตา้ นการอักเสบ (Antinociceptive and Anti-inflammatory
activity)
- การศึกษาฤทธิ์ระงับอาการปวดและฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์
ของใบเกี๋ยงพา ซึ่งสารสกัดมีความปลอดภัยท่ีปริมาณ 2,000 มก./กก. ส่วนฤทธิ์ระงับ
อาการปวดของสารสกัดที่ปริมาณ 50, 100 และ 200 มก./กก. ประเมินโดยใช้
แบบจำลอง Acetic acid induced abdominal constriction, Formalin-induced
paw-licking และ Tail immersion test สำหรับฤทธ์ิต้านการอักเสบประเมินโดยใช้
แบบจำลอง Carrageenan induced hind paw edemaจากผลการทดลองพบว่าสาร
สกัดมีฤทธิ์ยับยั้งการบิดตัวหรือหดตัวในช้องท่องการลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยที่ปริมาณ
สารสกัด 100 มก./กก. มีฤทธิ์ 30.45±0.56 % และ 200 มก./กก. มีฤทธิ์ 14.83±1.49
% และเมื่อเทยี บกับยา nociception มีฤทธิ์คือ 16.57% และ 59.36% ตามลำดับ และ
สารสกัดช่วยลดอาการเลียอุ้งเท้าในหนูอย่างมีนัยสำคัญ และพบว่าอาการบวมที่หลังอุ้ง
เท้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน จากการทดลองแสดงให้เห็นว่าสารสกัดมีฤทธิ์ระงับ
อาการปวดและฤทธ์ติ ้านการอกั เสบ (Parimala และคณะ, 2012)
12. กระบวนการผลิต
-
13. สูตรส่วนประกอบ
-
14
14. รายละเอียดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จุบัน
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
-
สว่ นท่ี 2 ขอ้ มูลความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขับออกจากรา่ งกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปลยี่ นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มูล
ผลตอ่ เอนไซม์และคา่ อน่ื ทางชีวเคมี
ไมพ่ บขอ้ มลู
ปฏกิ ริ ยิ าท่เี กดิ ข้นึ และวิถี (Reaction and fate) หรือปฏิกิรยิ าตอ่ กนั (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มูล
2. การศึกษาความเปน� พิษในสัตวท์ ดลอง
การศกึ ษาความเปน� พิษเฉยี บพลัน (Acute toxicity Study)
- Melo และคณะ (2013) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันทำการทดลองกับหนูไมส์ Swiss
albino เพศเมีย โดยให้สารสกัดทีป่ ริมาณ 25, 50 และ 100 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว เป�นเวลา
14 วัน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยพบว่าสารสกัดมีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดความเป�นพิษ
การตาย การเปลี่ยนแปลงทางพฤตกิ รรม น้ำหนัก การทำงานของตับและไต หรือความผิดปกติ
ใดๆในหนู ในขณะที่ปริมาณสารสกัดที่ 100 mg/kg ต่อน้ำหนักตัวทำให้ปริมาณยูเรียในเลือด
เพิ่มขึ้นแตม่ คี า่ ไมแ่ ตกตา่ งอยา่ งมีนยั สำคัญเมอ่ื เทียบกบั ตวั อย่างทีไ่ มไ่ ด้รับสารสกดั
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, (2546) ทำการทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดใบเกีย๋ งพาด้วย
เอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป�น 500 เท่า
เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อ
น้ำหนกั ตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป�นพษิ
- Parimala และคณะ (2012) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์ของ
ใบเกี๋ยงพากับหนูไมส์ Albino ตามวิธีของ OECD 423 โดยให้สารสกัดผ่านทางช่องปากที่
ปริมาณ 2,000 มก./กก. เป�นเวลา 14 วัน จากการทดลองพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทาง
15
พฤติกรรม ความผิดปกติและไม่มีการตายในสัตว์ทดลอง แสดงให้เห็นว่าสารสกัดมีความ
ปลอดภัยที่ปรมิ าณ 2,000 มก./กก.
การศกึ ษาความเป�นพษิ ก่ึงเรื้อรงั (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มูลการศกึ ษา
การศึกษาความเป�นพษิ เรอ้ื รงั (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา
3. การศกึ ษาความเป�นพิษเฉพาะทาง (ถ้ามี)
- การศึกษาผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) รวมทั้งการเคลื่อนที่
(locomotor) ภาวะซึมเศร้า (anxiety activity) ฤทธิ์ต้านอาการปวด (antinociception)
และอนุมูลอิสระ (oxidative stress) ของสารสกัดเอทานอล 70% ของส่วนลำต้นเหนือดิน
ของต้นเกี๋ยงพาในหนูทดลอง โดยทำการป้อนสารสกัดผ่านทางช่องปากที่ปริมาณ 100 200
400 600 และ 800 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว จากการศึกษาพบว่าสารสกัดที่ปริมาณสารสกัด
200-800 มก./กก. ช่วยลดการเคลื่อนที่ในวิธี behavioral assays included open-field
(OF) และช่วยลดเวลาในการเคลื่อนตัวในวิธี forced swimming tests (FS) รวมทั้งลดการ
บิดตัวในสัตว์ทดลองในวิธี acetic acid injection และลดอัตราการเลียของสัตว์ทดลองใน
ระยะแรกของการทดสอบโดยวิธี formalin test ในขณะที่ปริมาณสารสกัด 600-800 มก./
กก. ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวจากระบบส่วนกลาง central locomotion และ open arms
entries ในวิธี OF และ forced swimming tests (FS) สำหรับการทดสอบสารต้านอนุมูล
อิสระ (oxidative stress assays)ที่เกิดขึ้นในการทดสอบความเครียดจากการว่ายน้ำในหนู
พบว่าสารสกัดช่วยลดระดับ Trolox equivalent antioxidant capacity (TEAC) ปริมาณ
Nitric Oxide และปริมาณmalondialdehyde (MDA) ในหนูทดลองได้ จากการทดลองแสดง
ให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอล 70% ของส่วนลำต้นเหนือดินของต้นเกี๋ยงพานั้นมีฤทธิ์เป�นยา
กล่อมประสาท มีฤทธิ์ลดซึมเศร้าหรือลดความวิตกกังวลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และมี
ฤทธิ์ระงับอาการปวดซึ่งไม่เกี่ยวกับระบบ opioid system จากการทดลองเหล่านี้ช่วย
สนับสนุนการใช้เกี๋ยงพาในการศึกษาเภสัชศาสตร์ชาติพันธุ์ (Ethnopharmacology) (Melo
และคณะ, 2013)
4. การศึกษาในมนุษย์ทางคลินิก หรอื ทางระบาดวิทยา (ถา้ มี)
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา
16
สรุปและข้อเสนอจากผวู้ จิ ัย
การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสัดจากเอทานอลของลำต้นและใบเก๋ียงพาพบว่าปริมาณ
สารสกัดที่ปริมาณ 25, 50 และ 100 mg/kg ต่อน้ำหนักตัว มีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดความเป�นพิษ การ
ตาย การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม น้ำหนัก การทำงานของตับและไต หรือความผิดปกติใดๆในหนู
ในขณะทีป่ รมิ าณสารสกัดท่ี 100 mg/kg ต่อน้ำหนักตัวทำให้ปริมาณยูเรยี ในเลือดเพ่ิมข้นึ
17
(2) ผักเส้ียว/ชงโค
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไป
1. ช่อื สามญั ของพืชและสมนุ ไพร
ภาษาไทย: ผกั เสย้ี ว ชงโค เส้ยี วดอกแดง
ภาษาอังกฤษ: Orchid tree, Purple orchid tree, Butterfly tree, Purple bauhinia,
Hong kong orchid tree
2. ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ของพืชและสมุนไพร
Bauhinia purpurea L. วงศ์: Fabaceae
ภาพท่ี 2 ผักเส้ียว (Bauhinia purpurea L.)
ท่มี า: ศูนยว์ ิจยั และพัฒนาชานำ้ มนั และพืชนำ้ มัน
3. แหล่งกระจายทางภูมิศาสตร์ หรอื แหล่งที่มาของวตั ถุดิบ
3.1 แหลง่ กระจายทางภูมศิ าสตร์
ถิน่ กำเนิดในเอเชยี เขตร้อนโดยตน้ แบบเก็บจากฟ�ลิปปน� ส์ ในไทยพบปลูกตามสอง
ขา้ งถนนและสวนสาธารณะ พบน้อยทก่ี ระจายในธรรมชาติ
3.2 แหล่งทเ่ี ก็บตัวอยา่ งพืชและสมุนไพร
หม่บู ้าน โป่งแพร่ ต.โป่งแพร่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย
4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรอื การบรโิ ภค (มากกว่า 15 ป)�
- จากการสำรวจข้อมูลทางคุณค่าทางโภชนาการของผักและผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนบริโภค
เป�นส่วนใหญ่ พบว่าคุณค่าทางโภชนาการของชงโคหรือผกั เสีย้ ว 100 กรัม จะประกอบไป
ด้วย น้ำ 84.5 กรัม โปรตีน 6.3 กรัม ไขมัน 0.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 7.1 กรัม ใยอาหาร
1.9 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 1.4 กรัม โดยเป�นแคลเซียม 152 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 107
มิลลิกรัม เหล็ก 2.3 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 1218 มิลลิกรัม วิตามินเอ 203 มิลลิกรัม
18
ไทอะมีน 0.09 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.07 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.9 มิลลิกรัม และวิตามิน
ซี 3 มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด 61 แคลอร่ี (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวง
สาธารณสุข, 2544)
- จากการรวบรวมและวิเคราะห์คุณคา่ ทางโภชนาการ ธาตุอาหารตลอดจนสารพิษในพ้นื ผกั
พื้นบ้านของไทยที่รับประทานได้พบว่ามีการใช้ประโยชน์จากต้นชงโคในด้านอาหารโดยมี
การใช้ ใบ รับประทานกับน้ำพริก หรือนำมาแกงกับปลา เนื้อ นิยมนำมาแกงกับเชียงคา
ชะอม ทำให้มีรสชาติอร่อย สำหรับประโยชน์ทางยาพบวา่ ใบมีรสเฝ�อน ใช้แก้ไอ ส่วนของ
ดอกและรากมีรสเฝ�อน ใชร้ ะบายพษิ ไข้ และพบการรายงานคณุ ค่าทางโภชนาการของส่วน
ที่รับประทาน 100 กรัม (ใบ) พบว่ามีปริมาณน้ำ 74.71 กรัม พลังงาน 73.18 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 4.5 กรัม ไขมัน 0.7 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12.22 กรัม ใยอาหาร 6.34 กรัม แร่ธาตุ
และวิตามิน 1.53 กรัม แคลเซียม 550 มิลลิกรัม เหล็ก 5.2 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 60
มิลลิกรัม โพแทสเซียม 320 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 120 มิลลิกรัม และพบว่ามีสารพิษ
ได้แก่ ไซยาไนต์ (HCN) ปริมาณ 0.4 มิลลิกรัม แทนนิน 0.63 มิลลิกรัม (กลุ่มวิจัยเกษตร
เคมี สำนกั วจิ ัยพัฒนาปจ� จยั การผลิตทางการเกษตร กรมวชิ าการเกษตร, 2549)
- จากการสำรวจผักพื้นบ้านในภาคเหนือพบรายงานว่ามีการใช้ส่วนใบอ่อน และยอดอ่อน
โดยนำมานึง่ ให้สกุ รับประทานเป�นผกั จ้มิ รว่ มกับน้ำพรกิ ตาแดง และนำ้ พรกิ ปลาร้า แกงกับ
ปลาแห้ง แกงแคร่วมกับผักชนิดต่างๆ หรือแกงผักรวม (ผักฮาก ผักแส้ว ยอดข่ามะเลียง
ผักเชียงดา) ใส่ปลาแห้ง และมะเขือส้ม และสำหรับทางยามีการใช้ส่วนใบแก้ไอ ดอกและ
รากใช้ระบายพิษไข้ โดยฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ได้คือฤดูฝนและแล้ง สภาพแวดล้อมท่ี
เหมาะสมในการเจริญเตบิ โตคอื เป�นพันธุ์ไม้ตา่ งประเทศ ทน่ี ำมาปลูกเป�นไมป้ ระดับมานาน
ท่วั ประเทศ พบตามหมบู่ ้านตามขา้ งทางท่ัวไป (กญั จนา ดีวิเศษ, 2548)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบรุ ีพบว่ายอดอ่อน และใบอ่อนของต้นผักเสีย้ ว
หรือชงโค นำมาต้ม ลวก รับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริก ชงโคหรือผักเสี้ยวสามารถพบได้
ตามข้างทางเดินป่า โดยในงานวิจัยนี้พบที่ อ.ทองผาภูมิ อ.ศรีสวัสดิ์ อ.ไทรโยค จังหวัด
กาญจนบุรี (อุษา ทองไพโรจน,์ 2542)
- ผักเสี้ยวจัดเป�นพืชผักพื้นบ้านตามการใช้ส่วนของใบและยอดอ่อนของพืชผักพื้นบ้านปรุง
เป�นอาหารและยา โดยการปรุงเป�นอาหารมีการต้ม แกง โดยมีรสหวาน และมีฤทธิ์ทางยา
ในการช่วยแก้กระหายนำ้ ขับป�สสาวะ บำรุงกล้ามเนื้อบำรุงกำลัง โดยสำหรับการปรุงเป�น
ยาทำได้โดยการตม้ (สุวฒั สขุ เจรญิ , 2543)
19
5. สว่ นท่นี ำมาใช้ (part of use)
ใบและยอดอ่อน
6. วัตถปุ ระสงคก์ ารบริโภค
พืชอาหาร
7. รูปแบบการบรโิ ภค
บรโิ ภคโดยผา่ นการปรุงสุกด้วยความรอ้ น
- ใบและยอดออ่ น ใช้ปรงุ เปน� อาหาร นำมาตม้ ลวก รับประทานเปน� ผักจ้มิ นำ้ พริก มีการต้ม
แกง แกงกับปลาแห้ง แกงแคร่วมกับผักชนิดต่างๆ หรือแกงผักรวม (ผักฮาก ผักแส้ว ยอด
ข่ามะเลียง ผกั เชยี งดา) ใส่ปลาแห้ง และมะเขอื สม้
8. กลุ่มผู้บริโภค
บคุ คลทวั่ ไป
9. องคป์ ระกอบทางเคมี หรอื สารสำคัญ
9.1 องค์ประกอบทางเคมี
- คุณค่าทางโภชนาการของชงโคหรือผักเสี้ยว 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ 84.5
กรัม โปรตีน 6.3 กรัม ไขมัน 0.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 7.1 กรัม ใยอาหาร 1.9 กรัม
วิตามินแร่ธาตุ 1.4 กรัม โดยเป�นแคลเซียม 152 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 107 มิลลิกรัม
เหล็ก 2.3 มลิ ลิกรมั เบต้าแคโรทีน 1218 มิลลิกรมั วติ ามินเอ 203 มิลลิกรัม ไทอะมีน
0.09 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.07 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.9 มิลลิกรัม และวิตามินซี 3
มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด 61 แคลอรี่ (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวง
สาธารณสขุ , 2544)
- คุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รบั ประทาน 100 กรัม (ใบ) พบวา่ มีปรมิ าณน้ำ 74.71
กรัม พลังงาน 73.18 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 4.5 กรัม ไขมัน 0.7 กรัม คาร์โบไฮเดรต
12.22 กรัม ใยอาหาร 6.34 กรัม แร่ธาตุและวิตามิน 1.53 กรัม แคลเซียม 550
มิลลิกรัม เหล็ก 5.2 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 320 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 120 มิลลิกรัม และพบว่ามีสารพิษ ได้แก่ ไซยาไนต์ (HCN) ปริมาณ 0.4
มิลลิกรัม แทนนิน 0.63 มิลลิกรัม (กลุ่มวิจัยเกษตรเคมี สำนักวิจัยพัฒนาป�จจัยการ
ผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร, 2549
- องค์ประกอบทางเคมีของใบพบ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และกรดอะมิโนเท่ากับ
50.0±3.46, 05.19±0.23 และ 05.95±0.88 มก./ก. ตามลำดับ ส่วนดอกพบ
20
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และกรดอะมิโนเท่ากับ 43.33±2.30, 13.39±0.23 และ
00.59±0.17 มก./ก. ตามลำดบั (Marimuthu และ Dhanalakshmi , 2014)
9.2 สารสำคญั
- สารสกัดเอทานอลของใบและฝ�กของผักเสี้ยวหรือชงโคพบ polyphenolic
compounds, flavonoids, tannins, proanthocyanidines (Lakshmi และคณะ,
2011)
- สารสกัดเอทานอลของใบของผักเสี้ยวหรือชงโคพบ steroids, phenolics,
flavonoids, saponin, glycosides, alkaloids (Chanchalและคณะ, 2020)
- สารสกัดเมทานอลและคลอโรฟอร์มของใบของผักเสี้ยวหรือชงโคพบ alkaloids,
glycosides, phytosterols, saponins, tannins และ flavonoids. (Ananth และ
คณะ, 2010; Rofiee และคณะ, 2012)
- สารสกัดคลอโรฟอร์มและน้ำของใบของผักเสี้ยวหรือชงโคพบ steroids, tannins
และ flavonoids. (Hisam และคณะ, 2012)
- สารสกัดน้ำของใบชงโคพบ flavonoids, saponins, triterpenes และ steroids
(Zakaria และคณะ, 2006)
10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-
11. ฤทธ์ิทางเภสชั วิทยา หรอื สรรพคณุ พนื้ บา้ น
- การใช้ส่วนใบแก้ไอ ดอกและรากใช้ระบายพิษไข้ โดยฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์ได้คือฤดูฝน
และแล้ง สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตคือเป�นพันธุ์ไม้ต่างประเทศ ท่ี
นำมาปลูกเป�นไม้ประดับมานานทั่วประเทศ พบตามหมู่บ้านตามข้างทางทั่วไป (กัญจนา
ดวี เิ ศษ, 2548)
- มีฤทธิ์ทางยาในการช่วยแก้กระหายน้ำ ขับป�สสาวะ บำรุงกล้ามเนื้อบำรุงกำลัง โดย
สำหรบั การปรุงเปน� ยาทำไดโ้ ดยการตม้ (สวุ ฒั สุขเจรญิ , 2543)
- รายงานว่าใบของชงโคใบมีฤทธิ์ต้านอาการท้องร่วง (antidiarrheal) (Mukherjee และ
คณะ, 1998) ลดอาการปวดเกร็งท้อง (antispasmodics) ฤทธิ์ต้านจุลชีพ
(antimicrobial) (da Silva และคณะ, 2000) ฤทธิ์ระงับปวด (antinociceptive) ฤทธิ์
ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ลดไข้ (antipyretic) (da Silva และคณะ, 2000;
Zakaria และคณะ, 2007a) และฤทธ์ิต้านอนมุ ูลอิสระ (antioxidant) (Zakaria, 2007b)
21
ฤทธล์ิ ดระดบั ไขมนั ในเลือด (Antihyperlipidemic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ลดระดับไขมันในเลือด (antihyperlipidemic) ของสารสกัดเอทานอล
จากฝ�กที่ยังไม่สุกและสารสกัดเอทานอลจากใบชงโคในหนูทดลองที่มีภาวะไขมันใน
เลอื ดสูงเกิดจากการใหอ้ าหารท่มี ีคอเลสเตอรอลสงู แก่หนูทดลองเป�นเวลา 30 วัน โดย
การทดลองแบ่งออกเป�น กลุ่มควบคุม กลุ่มไขมันในเลือดสูง กลุ่มที่การรักษาด้วยยา
atorvastatin กลุ่มที่ได้รับสารสกัดเอทานอลจากฝ�กที่ยังไม่สุก และกลุ่มที่ได้รับสาร
สกัดเอทานอลจากใบ ที่ปริมาณ 300 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว จากนั้นบันทึกการ
เปลย่ี นแปลงของน้ำหนักตัวและการวเิ คราะห์ไขมันในเลือด พบวา่ สารสกัดเอทานอล
จากฝ�กที่ยังไม่สุกและสารสกัดเอทานอลจากใบของชงโคสามารถยับยั้งภาวะไขมันใน
เลือดสูงในหนูได้อย่างมนี ัยสำคัญ โดยพบว่าน้ำหนักตัวของหนูที่ได้รับสารสกัดจากฝก�
ที่ยังไม่สุกและของชงโคนั้นมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเป�น 7.4% และ 2.0%
ตามลำดับ ซึ่งใกล้เคียงกับในกลุ่มหนูที่ได้รับยา atorvastatin มีน้ำหนักเพิ่ม 3.06%
และเมื่อเปรยี บเทียบกบั กลุ่มไขมันในเลือดสูงนัน้ มีน้ำหนักตวั เพิ่มขึ้นถึง 13.11% และ
พบว่าไขมันชนิด ไตรกลีเซอร์ไรด์ และไขมันชนิด LDL มีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะที่ช่วยเพิ่มไขมันชนิด HDL ซึ่งการที่คลอเรสเตอรอลลดลงนั้นอาจเป�นไปได้ว่า
สารสกดั มีฤทธ์ยิ บั ยง้ั การดูดซมึ คลอเรสเตอรอลซ่ึงช้ใี ห้เหน็ ถงึ ศักยภาพในการลดระดับ
ไขมันในเลือด (antihyperlipidemic) และลดภาวะโรคหลอดเลือดแข็งตัว
(antiatherogenic) ของสารสกัด (Lakshmi และคณะ, 2011)
ฤทธิก์ ารป้องกนั การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (Antiulcer activity)
- การศึกษาฤทธ์ิการป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (antiulcer) ของสารสกัด
น้ำของใบชงโคในหนูทดลอง โดยการให้สารสกัดน้ำทางปากที่ปริมาณ 100, 500
และ 1000 มก./กก. หนูถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วยวิธี
absolute ethanol-induced gastric ulcer, indomethacin-induced gastric
ulcer และ pyloric ligation ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดน้ำของใบชงโคมีฤทธิ์การ
ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (antiulcer) ในทุกวิธีใช้ในการทดสอบ และ
ในการทดสอบ pyloric ligation สารสกัดได้เพิ่มการหลั่งเมือกที่ผนังกระเพาะ
อาหาร (Zakaria และคณะ, 2011)
22
- การศึกษาฤทธิ์การป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (antiulcer) ของสารสกัด
คลอโรฟอร์มของใบชงโคในหนูทดลอง โดยการให้สารสกัดคลอโรฟอร์มทางปากที่
ปริมาณ 100-1000 มก./กก. หลังจากอดอาหาร 24 ชั่วโมง หนูถูกเหนี่ยวนำให้เกิด
แผลในกระเพาะอาหารด้วยวิธี absolute ethanol-induced gastric ulcer,
indomethacin-induced gastric ulcer และ pyloric ligation ใช้ยาโอเมพราโซล
(Omeprazole) 30 มก./กก. เป�นกลุ่มควบคุมมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ในการ
ทดสอบ ethanol-induced สารสกัดได้เพิ่มการผลิตเมือกผนังกระเพาะอาหารและ
ปรับค่า pH ให้เหมาะสมอย่างมีนัยสำคัญ ในการทดสอบ pyloric ligation สารสกัด
ได้ลดปริมาตรรวมและความเป�นกรดรวมของของเหลวในกระเพาะอาหาร จึงสรุปว่า
สารสกัดคลอโรฟอร์มของใบชงโคมีฤทธิ์การป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
(antiulcer) ฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรด (antisecretory) และฤทธิ์ปกป้องเยื่อบุทางเดิน
อาหาร (cytoprotective) ซ่ึงอาจเกิดจากสารประกอบฟลาโวนอยดแ์ ละแทนนนิ โดย
การค้นพบน้ีให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับศักยภาพของสารประกอบที่ละลายในไขมันของใน
การปอ้ งกนั และรกั ษาแผลในกระเพาะอาหาร (Hisam และคณะ, 2012)
ฤทธิ์การปอ้ งกนั การก่อตัวของนิ่วในไต (Antilithiatic activity)
- การศึกษาฤทธิ์การป้องกันการก่อตัวของนิ่วในไต (antilithiatic) ของสารสกัดเอทา
นอลของใบชงโคในหนูทดลอง โดยแบ่งหนูทดลองออกเป�น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ตัว
กลุ่มที่ 2-6 ถูกกระตุ้นให้เกิดนิ่วด้วยเอทิลีนไกลคอล (ethylene glycol) 0.75%
(v/v) ประกอบด้วย กลมุ่ ทีค่ วบคมุ กล่มุ ทเี่ กิดกอ่ ตัวของนิว่ กลุ่มทถ่ี กู รกั ษาด้วยยาซิส
โตน (cystone) กลุ่มที่ได้รับสารสกัดเอทานอลที่ปริมาณ 100, 200 และ 300 มก./
กก. ตามลำดับ พบว่า สารสกัดเอทานอลแสดงให้เห็นการขัดขวางการก่อตัวของนิ่ว
จึงให้ข้อสรุปว่าความเข้มข้นของสารสกัดเอทานอลของใบชงโคมีผลต่อการป้องกัน
การก่อตัวของนิ่วในไต (antilithiatic) โดยตรง และมีฤทธิ์ที่คล้ายคลึงกับกับยาซิส
โตน (cystone) โดยช่วยลดปริมาณแคลเซียม ออกซาเลท ฟอสฟอรัสและครเี อตินนี
ในเลอื ดให้ลดลงได้(Chanchal และคณะ, 2020)
23
ฤทธิ์ระงับอาการปวดและฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Antinociceptive and Anti-
inflammatory activity)
- การศึกษาฤทธิ์ระงับอาการปวดและฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำของใบชงโค
ที่ปริมาณ 6 30 และ 60 มก./กก. ของน้ำหนักตัว จากการทดลองพบว่าสารสกัดมี
ฤทธร์ิ ะงบั อาการปวด ต้านการอักเสบ และลดไขอ้ ยา่ งมนี ยั สำคญั (p < 0.05) ซง่ึ ไม่ได้
ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารสกัดที่ใช้ โดยสารสกัดท่ีมีความเข้มข้นสูงสุดมีประสิทธิภาพ
น้อยกว่าในการต้านการอักเสบและลดไข้ (Zakaria และคณะ, 2006)
12. กระบวนการผลติ
-
13. สูตรส่วนประกอบ
-
14. รายละเอียดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถงึ ปจ� จุบัน
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
-
สว่ นท่ี 2 ข้อมลู ความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดูดซมึ การกระจาย และการขับออกจากรา่ งกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปลี่ยนแปลงของสาร (Biotransformation)
ไมพ่ บขอ้ มูล
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละค่าอืน่ ทางชวี เคมี
ไมพ่ บข้อมูล
ปฏิกริ ยิ าทเ่ี กิดข้ึนและวิถี (Reaction and fate) หรือปฏิกริ ิยาต่อกนั (Interaction)
ไมพ่ บข้อมูล
24
2. ผลการศกึ ษาความเปน� พิษในสตั ว์ทดลอง
การศกึ ษาความเป�นพิษเฉยี บพลนั (Acute toxicity Study)
- จากการศกึ ษาความเปน� พษิ เฉียบพลันของสารสกัด ทีด่ ำเนนิ การกับหนแู รท Albino เพศผ้แู ละ
เพศเมีย ปริมาณสารที่กำหนดตาม (OECD Guideline No. 423) การศึกษาความเป�นพิษ พบ
การตายที่ขนาด 1,500 มก./กก. ดังนั้น 1/5 ของค่า LD50 คือ 300 มก./กก. ของสารสกัดเอ
ทานอลจึงถูกเลือกสำหรับการศึกษา สัตว์ทดลองถูกบำบัดด้วยสารสกัดเอทานอล จากใบและ
ฝก� เปน� เวลา 30 วนั ไม่พบรายงานการเสยี ชีวิต (Lakshmi และคณะ, 2011)
- จากการศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันการให้สารสกัดน้ำของใบชงโคผ่านทางช่องปากแก่หนู
แรท Male Sprague-Dawley ที่ขนาด 5,000 มก./กก. ไม่ก่อให้เกิดอาการหรือสัญญาณของ
ความเป�นพิษในสัตว์ทดลองที่ได้รับการบำบัดหลังจากการสังเกตเป�นเวลา 14 วัน (Zakariaa
และคณะ, 2011)
- จากการทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลันการให้สารสกัดเอทานอลของใบชงโคทางช่องปากกับ
หนูแรท Albino เพศผู้ ในค่า LD50 ที่ค่อนข้างสูงโดยกำหนดให้ขนาดยา 50, 100,150, 200,
400, 800 และ 1,000 มก./กก. และสังเกตการตายหลังจาก 24 ชั่วโมง สรุปว่าภายในช่วง
ขนาดยานี้ค่อนข้างปลอดภัยและไม่เป�นพิษต่อหนูเนื่องจากไม่มีผลความเป�นพิษเฉียบพลันท่ี
สงั เกตได้เกิดขน้ึ (Chanchal และคณะ, 2020)
- การทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเมทานอลและคลอโรฟอร์มของใบชงโคโดย
การป้อนสารสกัดทางชอ่ งปากกับหนูไมสท์ ่ปี ริมาณ 2 กรมั /กิโลกรมั และ 5 กรัม/กิโลกรัม ต่อ
นำ้ หนักตัว พบว่าไม่เกิดการตายในหนูทดลอง (Ananth และคณะ, 2010)
- การทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลันโดยการให้สารสกัดคลอโรฟอร์มจากใบชงโคที่ปริมาณ
5000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กับหนูแรท Sprague–Dawley เพศเมีย ผ่านทางช่องปากใน
ปริมาณตัวทำละลาย 10 มิลลิลิตร/กิโลกรัม ต่อน้ำหนักตัว พบว่าไม่พบอาการผิดปกติ
สัญญาณความเป�นพิษและการตายของหนูหลังจากการได้รับสารสกัดและเป�นเวลา 14 วัน
(Hisam และคณะ, 2012)
การศึกษาความเปน� พิษก่งึ เรอ้ื รงั (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา
การศึกษาความเปน� พษิ เร้ือรัง (Chronic toxicity study)
ไม่พบขอ้ มลู การศกึ ษา
25
3. การศกึ ษาความเปน� พิษเฉพาะทาง (ถา้ ม)ี
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา
4. การศึกษาในมนุษยท์ างคลินิก หรอื ทางระบาดวทิ ยา (ถา้ มี)
ไม่พบขอ้ มลู การศึกษา
สรุปและข้อเสนอจากผู้วิจยั
การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันพบว่าสารสกัดเอทานอลของใบและฝ�กของต้นชงโคที่ปริมาณ
300 มก./กก. รวมทั้งสารสกัดเอทานอลและน้ำของใบชงโคที่ปริมาณ 1,000 และ 5,000 มก./กก.
ตามลำดับมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอาการหรือสัญญาณของความเป�นพิษในสัตว์ทดลอง และสารสกัด
เมทานอลและคลอโรฟอร์มของใบชงโคที่ปริมาณ 2 ก./กก. และ 5 ก./กก. มีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิด
อาการตายหรอื สัญญาณความเป�นพษิ เชน่ เดียวกัน
26
(3) ส้มป่อย วงศ:์ FABACEAE
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป
1. ชื่อสามญั ของพชื และสมุนไพร
ภาษาไทย: ส้มป่อย
ภาษาองั กฤษ: ไม่พบ
2. ชือ่ วิทยาศาสตรข์ องพชื และสมนุ ไพร
Acacia concinna (Willd.) DC.
ภาพที่ 3 ส้มปอ่ ย (Acacia concinna (Willd.) DC.)
ทม่ี า: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)
3. แหลง่ กระจายทางภมู ศิ าสตร์ หรือแหลง่ ทีม่ าของวัตถุดิบ
3.1 แหลง่ กระจายทางภมู ิศาสตร์
พบที่อินเดีย ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย นิวกินี และฟ�ลิปป�นส์ ในไทยพบทุก
ภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ หรือป่าโปร่ง ความสูงถึงประมาณ 1400 เมตร ฝ�ก
แหง้ แช่นำ้ ใหก้ ลนิ่ หอมใช้ในพธิ ีมงคล เปลอื กบดใชเ้ บือ่ ปลา
3.2 แหล่งทีเ่ กบ็ ตวั อย่างพืชและสมุนไพร
หมู่บ้านเคหะแห่งช่าตสิ ันทราย ถนนพหลโยธนิ ต.สนั ทราย อ.เมอื ง จ.เชยี งราย
4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรอื การบริโภค
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่ายอดอ่อนและใบอ่อนมีรสเปรี้ยว
นำมาปรุงอาหาร โดยใช้เป�นผักปรุงรสอาหาร โดยใส่ในแกงส้มหรือต้มยำปลา ซึ่งช่วย
ดับกลิ่นคาวปลาได้ ยอดอ่อนและฝ�กแก่ของส้มป่อยมีขายในตลาดสด อำเภอทองผา
27
ภูมิ และอำเภอเมือง โดยส้มป่อยขึ้นในป่าและปลูกไว้ตามบ้านไว้รับประทาน (อุษา
ทองไพโรจน์, 2542)
- จากการสำรวจผักพื้นบ้านในภาคเหนือพบรายงานว่ามีการใช้ส่วนยอดมาแกงกับปลา
หรือแกงกบั เห็ด หรือนำมาต้มสม้ ปลา สำหรับทางยานั้น พบว่าส่วนใบมีรสเปรีย้ วฝาด
เล็กน้อย ต้มดื่ม ถ่ายเสมหะ ถ่ายระดูขาว แก้บิด แก้โรคตา หรือตำประคบให้เส้น
เอ็นอ่อน ส่วนดอกมีรสเปรี้ยวฝาดมัน ช่วยแก้เส้นเอ็นที่พิการให้สมบูรณ์ ส่วนฝ�กมีรส
เปรี้ยว ต้มหรือบดกินเป�นยาถ่าย ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ไข้จับสั่น ทำให้อาเจียน แก้
น้ำลายเหนียว ต้มเอาน้ำสระผมแก้รังแค ตำพอกหรือชุบสำลีป�ดแผล แก้โรคผิวหนัง
ส่วนของเปลือกฝ�ก รสขมเปรี้ยวเผ็ดปร่า ช่วยเจริญอาหาร กัดเสมหะ แก้ไป แก้ซาง
เด็ก และสามารถเอาเมล็ดที่คั่ว บดละเอียด ใช้เป่าจมูกทำให้จาม ส่วนต้นมีรสเปรี้ยว
ฝาด แก้น้ำตาพิการ และรากมีรสขมช่วยแก้ไข โดยฤดูกาลที่ใช้ประโยชน์นั้นคอื ทุกฤดู
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตคือ เกิดได้ตามที่รกร้างว่างเปล่าชายป่า
และป่าละเมาะท่ัวไป (กัญจนา ดวี ิเศษ, 2548)
- จากการรวบรวมและวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ธาตุอาหารตลอดจนสารพิษใน
พื้นผักพื้นบ้านของไทยที่รับประทานได้พบว่ามีการใช้ประโยชน์จากส้มป่อยในด้าน
อาหารโดยมีการใช้ยอดและใบมาแกงกับปลา หรือเห็ดหรือต้มส้มปลา สำหรับ
ประโยชน์ทางยานั้นพบว่า ส่วนต้น ใช้เป�นยาระบาย แก้โรคตา ส่วนใบ ช่วบฟอก
โลหิต ขับเสมหะ แก้บิด ส่วนฝ�ก ขับเสมหะ ทำให้อาเจียน แก้โรคผิวหนัง ขจัดรังแค
บำรุงผม และสว่ นยอดออ่ นชว่ ยขับป�สสาวะ พบการรายงานคณุ ค่าทางโภชนาการของ
ส่วนที่รับประทาน 100 กรัม (ยอดและใบ) พบว่ามีปริมาณน้ำ 75.56 กรัม พลังงาน
76.82 กิโลแคลอร่ี โปรตีน 6.38 กรัม ไขมนั 0.50 กรัม คาร์โบไฮเดรต 11.70 กรัม ใย
อาหาร 4.37 กรมั แร่ธาตแุ ละวิตามิน 1.49 กรมั แคลเซียม 280 มลิ ลกิ รัม เหล็ก 6.40
มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 70 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 240 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 60
มิลลิกรัม วิตามินเอ 3663 IUวิตามิน บี1 0.34 มิลลิกรัม บี2 0.63 มิลลิกรัม และ
พบว่ามีสารพิษ ได้แก่ ไซยาไนต์ 0.30 กรัม แทนนิน 0.40 มิลลิกรัม (กลุ่มวิจัยเกษตร
เคมี สำนักวจิ ยั พัฒนาป�จจยั การผลติ ทางการเกษตร กรมวชิ าการเกษตร, 2549)
- ส้มป่อยจัดเป�นพืชผักพื้นบ้านตามการใช้ส่วนใบ ยอดอ่อน ผลและเมล็ดของพืชผัก
พื้นบา้ นปรุงเปน� อาหารและยา โดยการ แกง และมีรสเปร้ยี ว (สวุ ฒั สขุ เจริญ, 2543)
28
5. ส่วนทีน่ ำมาใช้ (part of use)
ใบ ยอดออ่ น ผลและเมล็ด
6. วตั ถปุ ระสงคก์ ารบริโภค
สมุนไพรทเ่ี ป�นอาหารและยา
7. รปู แบบการบริโภค
บรโิ ภคโดยผ่านการปรุงสุกดว้ ยความรอ้ น
- ยอดอ่อนและใบออ่ นมีรสเปรี้ยว นำมาปรุงอาหาร โดยใช้เป�นผักปรงุ รสอาหาร โดยใส่
ในแกงส้มหรือตม้ ยำปลา
- ผลและเมล็ดของพืชผักพนื้ บา้ นปรุงเป�นอาหารและยา โดยการ แกง
8. กลุ่มผบู้ รโิ ภค
บคุ คลทว่ั ไป
9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ
9.1 คุณค่าทางโภชนาการ
- คุณค่าทางโภชนาการของส่วนที่รับประทาน 100 กรัม (ยอดและใบ) พบว่ามีปริมาณ
น้ำ 75.56 กรัม พลังงาน 76.82 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 6.38 กรัม ไขมัน 0.50 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 11.70 กรัม ใยอาหาร 4.37 กรัม แร่ธาตุและวิตามิน 1.49 กรัม
แคลเซยี ม 280 มิลลกิ รมั เหล็ก 6.40 มลิ ลิกรัม ฟอสฟอรสั 70 มลิ ลกิ รัม โพแทสเซยี ม
240 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 60 มิลลิกรัม วิตามินเอ 3663 IUวิตามิน บี1 0.34
มิลลิกรัม บี2 0.63 มิลลิกรัม และพบว่ามีสารพิษ ได้แก่ ไซยาไนต์ 0.30 กรัม แทน
นิน 0.40 มิลลิกรัม (กลุ่มวิจัยเกษตรเคมี สำนักวิจัยพัฒนาป�จจัยการผลิตทาง
การเกษตร กรมวชิ าการเกษตร, 2549)
9.2 สารสำคญั
- ฝ�กมีสารซาโปนิน 20.8% ได้แก่ acacinin A, B, C, D และ E ถ้าตีกับน้ำจะเกิดฟอง
(ฐานข้อมลู เครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี)
- ฝ�กพบ saponin, Alkaloid, sugar และ flavonoids (Khanpara และคณะ, 2012)
10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-
29
11. ฤทธท์ิ างเภสชั วทิ ยา หรอื สรรพคณุ พนื้ บ้าน
- สว่ นใบมีรสเปร้ยี วฝาดเลก็ นอ้ ย ตม้ ดื่ม ถ่ายเสมหะ ถา่ ยระดูขาว แกบ้ ดิ แก้โรคตา หรอื ตำ
ประคบใหเ้ ส้นเอ็นออ่ น สว่ นดอกมีรสเปรี้ยวฝาดมนั ชว่ ยแก้เสน้ เอ็นท่ีพิการใหส้ มบรู ณ์
สว่ นฝก� มีรสเปร้ยี ว ตม้ หรอื บดกินเป�นยาถ่าย ขบั เสมหะ แกไ้ อ แก้ไขจ้ ับสน่ั ทำให้อาเจยี น
แก้น้ำลายเหนยี ว ต้มเอาน้ำสระผมแกร้ ังแค ตำพอกหรือชุบสำลปี �ดแผล แก้โรคผวิ หนงั
สว่ นของเปลือกฝก� รสขมเปรย้ี วเผ็ดปรา่ ช่วยเจรญิ อาหาร กัดเสมหะ แกไ้ ป แก้ซางเด็ก
และสามารถเอาเมล็ดทีค่ ่วั บดละเอยี ด ใช้เป่าจมกู ทำใหจ้ าม สว่ นต้นมีรสเปร้ียวฝาด แก้
น้ำตาพิการ และรากมีรสขมชว่ ยแกไ้ ข (กัญจนา ดวี ิเศษ, 2548)
- พบวา่ สว่ นต้น ใชเ้ ปน� ยาระบาย แก้โรคตา สว่ นใบ ช่วบฟอกโลหติ ขับเสมหะ แก้บิด
ส่วนฝก� ขบั เสมหะ ทำใหอ้ าเจียน แกโ้ รคผิวหนงั ขจัดรงั แค บำรงุ ผม และสว่ นยอดอ่อน
ช่วยขับป�สสาวะ (กลุม่ วิจยั เกษตรเคมี สำนกั วจิ ยั พฒั นาป�จจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวชิ าการเกษตร, 2549)
- ตำรายาไทย: ใบ แก้โรคตา ชำระเมือกมันในลำไส้ ยาถ่ายเสมหะ ถ่ายระดูขาว แก้บิด
ฟอกล้างโลหิตระดู ประคบให้เส้นเอ็นหย่อน ใบใช้ในสูตรยาอบสมุนไพร มีฤทธิ์เป�นกรด
อ่อนๆ ชว่ ยชะลา้ งส่งิ สกปรก เพิม่ ความต้านทานโรคให้กับผวิ หนงั บำรงุ ผวิ พรรณ แกห้ วัด
แก้ปวดเมื่อย สูตรยาลูกประคบสมนุ ไพร ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดัน ใบตำ
ห่อผ้าประคบเส้นให้เส้นอ่อน ยากลางบ้านใช้ใบอ่อน ต้มเอาน้ำผสมกับน้ำผึ้ง กินเป�นยา
ขับปส� สาวะ ฝ�ก มรี สเปรีย้ ว เป�นยาถ่าย ขบั เสมหะ แก้ไอ แก้ไข้จบั สั่น ฝ�กป�งให้เหลือง ชง
น้ำจิบแก้ไอ ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว เป�นยาถ่ายทำให้อาเจียน ใช้สระผม ทำให้ผม
ชุ่มชื้นเป�นเงางาม ไม่มีรังแค ต้มน้ำอาบหลังคลอด ฝ�กตำพอกหรือชุบสำลีป�ดแผลโรค
ผิวหนัง เปลือกฝ�ก รสขมเปรี้ยวเผ็ดปร่า เจริญอาหาร กัดเสมหะ แก้ไอ แก้ทรางเด็ก
นอกจากนี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ
คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) ปรากฏการใช้ใบและฝ�กส้มป่อย ร่วมกับ
สมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ เป�นยารักษากลุ่มอาการทางระบบทางเดินอาหาร ตำรับ “ยา
ถ่ายดีเกลือฝรั่ง” ประกอบด้วย ดีเกลือฝรั่ง ยาดำ ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย ฝ�กคูน
รากขี้กาแดง รากขี้กาขาว รากตองแตก ฝ�กส้มป่อย สมอไทย สมอดีงู เถาวัลย์เปรียง
ขี้เหล็ก หัวหอม หญ้าไทร ใบไผ่ป่า สรรพคุณ แก้อาการท้องผูก กรณีที่ใช้ยาอื่นแล้วไม่
ได้ผล (ฐานข้อมลู เคร่อื งยาสมุนไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธาน)ี
30
- ตำรายาไทย ฝ�ก รสเปรี้ยว มีสารซาโปนินสูง ตีกับน้ำจะเกิดฟองที่คงทน ฝ�กแก่ใช้ต้ม
เอาน้ำสระผมช่วยขจัดรังแค บำรุงผม เป�นยาปลูกผมและกำจัดรังแค ต้มอาบน้ำหลัง
คลอด ตำพอกหรือชุบสำลีป�ดแผลโรคผิวหนัง ใช้ทำขี้ผึ้งป�ดแผลแก้โรคผิวหนัง ฝ�กป�ง
ให้เหลือง ชงน้ำจิบเป�นยาขับเสมหะแก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว ต้มน้ำดื่มแก้ไข้มาลาเรีย
ทำให้อาเจียน ต้มหรือบดกินเป�นยาถ่าย เปลือกฝ�ก รสขมเปรี้ยว เผ็ดปร่า ช่วยเจริญ
อาหาร กัดเสมหะ แก้ไอ แก้ซางเด็ก ต้น รสเปรี้ยวฝาด เป�นยาระบาย แก้โรคตาแดง
แก้น้ำตาพิการ ใบ รสเปรี้ยว ฝาดเล็กน้อย ต้มดื่ม ขับเสมหะ ขับระดูขาว แก้น้ำลาย
เหนียว ฟอกโลหิต แก้บิด ชำระเมือกมันในลำไส้ แก้โรคตา ตำประคบให้เส้นเอ็น
หย่อน ยอดอ่อน นำมาต้มน้ำ และผสมกับน้ำผึ้งดื่มเป�นยาช่วยขับป�สสาวะ หรือนำมา
ตำรวมกับขมิ้นอ้อย แล้วใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย หมกไฟพออุ่น นำไปพอกแก้ฝ� ดอก รส
เปรี้ยว ฝาด มัน แก้เส้นเอ็นที่พิการให้สมบูรณ์ ใบและฝ�ก ต้มอาบ ทำความสะอาด
บำรงุ ผิว ราก รสขม แกไ้ ข้ ยอดอ่อน ใบออ่ น มีรสเปรี้ยว รับประทานเปน� ผกั สด นำมา
ปรุงอาหารและช่วยดับกลิ่นคาวปลาได้(ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลยั อุบลราชธาน)ี
12. กระบวนการผลติ
-
13. สูตรสว่ นประกอบ
-
14. รายละเอยี ดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหน่ายจนถึงปจ� จุบนั
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
-
ส่วนที่ 2 ข้อมูลความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดูดซึม การกระจาย และการขบั ออกจากร่างกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปลีย่ นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มลู
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละค่าอน่ื ทางชีวเคมี
ไมพ่ บขอ้ มลู
31
ปฏกิ ิรยิ าที่เกิดขึน้ และวิถี (Reaction and fate) หรอื ปฏิกิริยาต่อกนั (Interaction)
ไม่พบขอ้ มูล
2. การศึกษาความเป�นพษิ ในสตั ว์ทดลอง
การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลนั (Acute toxicity Study)
- ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รายงานว่า
สารสกัดแอลกอฮอล์จากใบและลำต้นของส้มป่อย แก่หนูถีบจักรกินในขนาด 10 กรัม/
กิโลกรมั และเมื่อฉีดเขา้ ใต้ผวิ หนงั 10 กรัม/กโิ ลกรมั ตรวจไมพ่ บอาการเกิดพิษ
การศึกษาความเป�นพิษกงึ่ เรื้อรัง (Subchronic toxicity study)
ไม่พบข้อมลู การศกึ ษา
การศกึ ษาความเปน� พษิ เรอื้ รัง (Chronic toxicity study)
ไม่พบขอ้ มลู การศกึ ษา
3. การศึกษาความเปน� พิษเฉพาะทาง (ถา้ ม)ี
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา
4. การศกึ ษาในมนุษย์ทางคลินกิ หรือทางระบาดวทิ ยา (ถ้าม)ี
ไม่พบขอ้ มูลการศกึ ษา
สรปุ และขอ้ เสนอจากผวู้ ิจยั
การบรโิ ภคสม้ ปอ่ ยในสว่ นใบ ยอดออ่ น ผลและเมล็โใชป้ รุงอาหาร และพบว่าปรมิ าณสารสกัด
แอลกอฮอลม์ คี วามปลอดภัยท่ปี รมิ าณ 10 กรมั /กโิ ลกรัม
ตารางท่ี 1.3 พชื อาหารและสมุนไพรทเ่ี ป�นอาหารและยาทีน่ อกเหนือประกาศฯ
ลำดบั ชื่อพชื ชอ่ื วิทยาศาสตร์ ชอ่ื วงศ์
1 กระชบั Xanthium strumarium L. Asteraceae
2 กระพังโหม Paederia pilifera Hook. f. Rubiaceae
3 ขอ่ ย Streblus asper Lour. Moraceae
4 แขยง Limnophila aromatica (Lam.) Merr. / Scrophulariace
5 เครอื หมานอ้ ย Limnophila geoffrayi Bonati.
6 ตะคร้อ
Cissampelos pareira L. Menispermace
7 ตาลป�ตร�ษี Schleichera oleosa (Lour.) Merr. Sapindacese
Limnocharis flava (L.) Buchenau Alismataceae
8 ติว้ ขาว
Cratoxylum formosum (Jacq.) Benth. Hypericaceae
9 ผักเขยี ด
10 เฟ�องฟา้ / Hook.f. ex Dyer
11 มะกล่ำตาหนู
12 มะกอก Monochoria vaginalis (Burm.f.) Presl Pontederiacea
Bougainvillea glabra Choisy Nyctaginaceae
13 มะหวด Abrus precatorius L. Fabaceae
Spondias pinnata (L.f.) Kurz/ Anacardiaceae
Spondias mombin L.
Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh Sapindaceae
32
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิธกี าร
ส่วนที่ใช้
บริโภคโดยผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน
ต้นออ่ น ยอดอ่อน ต้มหรอื ลวกเปน� ผกั จมิ้ นำ้ พรกิ
ดอก ยอดอ่อน ใบอ่อน บริโภคสด หรือปรุง
ดอก ยอดออ่ น ใบอ่อน ราก สกุ ดว้ ยความรอ้ น
ราก ใชท้ ำขนม
ใบ เมล็ด ใบ แช่ในน้ำอนุ่ เพ่อื ดม่ื เป�นชา
เมลด็ คน้ั นำ้ บริโภคในรปู แบบของนม
eae ลำตน้ ท้งั ต้น ยอดออ่ น ใบอ่อน บริโภคสดโดยใส่กับ ลาบ ก้อย และเครื่อง
จมิ้ ต่างๆหรอื ปรุงสกุ ดว้ ยความรอ้ น
eae ใบ บรโิ ภคสดนำมาคัน้ เป�นน้ำด่ืม
ผลแก่และดบิ
ใบอ่อน กา้ นใบออ่ น ชอ่ ดอกออ่ น บริโภคสด
ยอดอ่อน ชอ่ ดอกออ่ น ใบอ่อน บริโภคสด หรือปรุงสุกด้วยความร้อนโดย
การต้มหรอื แกง
ae ยอดออ่ น บริโภคสด หรือปรุงสุกด้วยความร้อนโดย
e ดอก การต้มหรอื แกง
บริโภคสดรบั ประทานสดเป�นผักจม้ิ น้ำพรกิ
ใบ แปรรปู นำมาทำเป�นเคร่อื งดมื่
e ยอดออ่ นละใบอ่อน ผลดบิ ผลสกุ นำมาสกดั ได้สารใหค้ วามหวาน
รับประทานเป�นผลไม้ ใช้ตำน้ำพริกคล้ายๆ
ผล การตำนำ้ พริกมะขามอ่อน
บริโภคสดใช้รบั ประทานเป�นผลไม้
33
การศึกษาข้อมลู ความปลอดภยั ของพชื และสมุนภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื
(1) กระพงั โหม
ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ทวั่ ไป
1. ชื่อสามัญของพืชและสมุนไพร
ภาษาไทย: กระพังโหม, ตดหมูตดหมา
ภาษาอังกฤษ: Fever vine
2. ช่อื วิทยาศาสตร์ของพืชและสมนุ ไพร
Paederia pilifera Hook. f. วงศ์: Rubiaceae
ภาพที่ 4 กระพงั โหม (Paederia pilifera Hook. f.)
ที่มา: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)
3. แหลง่ กระจายทางภมู ศิ าสตร์ หรอื แหลง่ ทีม่ าของวัตถุดิบ
3.1 แหล่งกระจายทางภูมิศาสตร์
พบได้ทุกภาคในประเทศไทย พบตามชายป่าผลัดใบหรือชายป่าดิบ และป่าที่กำลังคืน
สภาพ พ้นื ท่ีเป�ดโล่ง ปา่ รกรา้ ง
3.2 แหลง่ ทเ่ี กบ็ ตัวอยา่ งพชื และสมุนไพร
อยุธยา
34
4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเป�นอาหาร หรอื การบริโภค (มากกวา่ 15 ป)�
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดนครศรีธรรมราชพบว่าใบและดอก มีกลิ่นฉุน ใช้
รับประทานสดแกล้มกับอาหารที่มีรสเผ็ดต่างๆ เช่น แกงไตปลา ขนมจีน หรือนำมาหั่นฝอย
ผสมกับข้าวยำรวมกับ ใบมะกรูด ใบยอ ใบข่าหรือใบขมิ้น มีจำหน่ายในตลาดทั่วไป (อุไร ดำ
ศร,ี 2535)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดลพบุรีพบว่าส่วนยอดอ่อนและใบอ่อนของกระพังโหมใช้
รับประทานเป�นผักสดแกล้มกับอาหารรสจัด เช่น ลาบ ยำ หรือลวกรับประทานเป�นผักจิ้ม
น้ำพรกิ
(จฑุ าทิพย์ เชียรเจริญ, 2542)
- การสำรวจพืชผักพ้ืนเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่ายอดอ่อนของกระพังโหมรับประทานเป�น
ผักดิบกับอาหารรสจัด เช่น ลาบ ใช้ใส่ในต้มไส้เนื้อหรือลวกรับประทานจิ้มน้ำพริก รากใช้ทำ
ขนมได้ (อษุ า ทองไพโรจน์, 2542)
5. สว่ นทน่ี ำมาใช้ (part of use)
ใบ ใบอ่อน ยอดอ่อน ราก และดอก
6. วตั ถปุ ระสงค์การบริโภค
บรโิ ภคเป�นอาหาร และเปน� สมุนไพร
7. รปู แบบการบรโิ ภค
บรโิ ภคสด
- ใบและดอก ใช้รับประทานสดแกล้มกับอาหารที่มีรสเผ็ดต่างๆ เช่น แกงไตปลา
ขนมจนี หรอื นำมาหนั่ ฝอยผสมกับข้าวยำรวมกบั ใบมะกรดู ใบยอ ใบข่าหรอื ใบขม้นิ
- ยอดอ่อนและใบอ่อนใช้รับประทานเป�นผักสดแกล้มกับอาหารรสจัด เช่น ลาบ ยำ
หรอื ลวกรับประทานเป�นผกั จมิ้ น้ำพริก
บริโภคโดยผ่านการปรงุ สกุ ดว้ ยความร้อน และนำมาแปรรูปเป�นผลิตภัณฑ์
- ยอดอ่อนและใบออ่ น ลวกรบั ประทานเป�นผักจิ้มนำ้ พริก
- ยอดออ่ น ใชใ้ สใ่ นต้มไสเ้ นอื้ หรอื ลวกรบั ประทานจิม้ นำ้ พริก
- รากใชท้ ำขนมได้
8. กลุม่ ผ้บู ริโภค
บคุ คลท่ัวไป
9. คณุ คา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ
9.1 คณุ คา่ ทางโภชนาการ
-
35
9.2 สารสำคญั
-
10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-
11. ฤทธท์ิ างเภสัชวทิ ยา หรือสรรพคณุ พน้ื บ้าน
- ตำรายาไทย ทั้งต้น รสขม ใช้ขับลม แก้ธาตุพิการ แก้ตานซาง แก้ท้องเสีย ลดไข้ ทำให้เจริญ
อาหาร ขบั พยาธไิ สเ้ ดือน แก้ดรี ัว่ เปน� ยาอายวุ ฒั นะ ต้มด่ืมขบั ปส� สาวะ ถอนพิษสรุ า ยาสูบ พิษ
จากอาหาร ใบ รสขม แก้พิษงู แก้ปวดฟ�น แก้รำมะนาด ตำพอก แก้เริม งูสวัด แก้ปวดแสบ
ปวดร้อน ใช้เป�นอาหารบำรุงกำลัง สำหรับคนฟ�นไข้หรือคนชรา และเป�นส่วนประกอบหลักใน
ตำรายามหาจักรใหญ่ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อในเด็ก ผล รสขมฝาด ทาฟ�นทำให้ฟ�นมีสีดำ แก้ปวด
ฟ�น ราก รสขมเย็น ฝนหยอดตา แก้ตาฟาง ตาแฉะ ตามัว ต้มดื่มทำให้อาเจียน ฝนทา แก้
ริดสีดวงทวาร ใบและเถา แก้ธาตุพิการ แก้ตานซาง แก้ดีรั่ว แก้ท้องเสีย แก้ตัวร้อน ผสมใน
ตำรับแก้ตานขโมย ขับพยาธิไส้เดือนในเด็ก เป�นยาอายุวัฒนะ (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัช
ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธาน)ี
- ใบ ลำต้นและราก ใช้เป�นยาขับลมในลำไส้ แก้ไข้ แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ท้องเสีย และระบายความ
ร้อน ใช้ทำเป�นอาหารบำรุงกำลังสำหรับคนฟ�นไข้หรือคนชรา ยอดอ่อนถ้ามีอาการท้องอืด ให้
กินยอดอ่อนหรือใบอ่อนช่วยระบายลม (กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กระทรวงสารารณสขุ )
- ใช้เป�นยารักษาโรคเริม โรคงูสวัด (นิทรรศการงานวิจัย 60 ป� มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พัฒนาคน พัฒนาชาติ ศาสตรแ์ ห่งแผน่ ดิน)
ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (Gastroprotective effects)
- ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ของสารสกัด 50% ethanol จากรากกระพัง
โหม ทดสอบในหนูแรทสายพันธุ์ albino wistar โดยเหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะ
อาหารด้วย ethanol ทดสอบโดยป้อนสารสกัดจากรากกระพังโหมขนาด 250, 500, 750
mg/kg หรือยามาตรฐาน omeprazole ขนาด 8 mg/kg แก่หนูแต่ละกลุ่ม เป�นเวลา 15
วัน ในวันที่ 15 ของการทดสอบ จึงให้ ethanol เหนี่ยนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ผลการทดสอบพบว่าค่าดัชนีการเกิดแผล (ulcer index) เท่ากับ 20.50±6.40,
15.83±1.00, 7.54±1.40 และ 31.64±0.50 ตามลำดับ และมีร้อยละการยับยั้งการเกิด
แผลในกระเพาะอาหารเท่ากับ 75.62%, 81.17%, 91.03% และ 62.37% ตามลำดับ
โดยพบว่าสารสกัดทุกขนาด ออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายามาตรฐาน omeprazole (p<0.05)
การศึกษาเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารภายใต้กล้องจุลทรรศน์พบว่าสารสกัดสามารถลดการ
36
ทำลายของเยื่อบุผิว และลดหรือไม่พบการบวม และนิวโทรฟ�ว ที่เยื่อบุผิวชั้นล่าง ผลการ
ตรวจวัดระดับสาร malondialdehyde (MDA) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยา lipidperoxidation
โดยใช้วิธีทดสอบ thiobarbituric acid reaction substances (TBARS) test และการ
ตรวจวัดระดับเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ที่บริเวณเย่ือบุผิวของกระเพาะอาหาร พบว่าสาร
สกัดทุกขนาดสามารถลดปริมาณ MDA ได้อย่างมีนัยสำคัญ และเพิ่มระดับเอนไซม์ต้าน
อนุมูลอิสระได้แก่ catalase (CAT), superoxide dismutase (SOD) และ glutathione
(GSH) ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ ethanol เพียงอย่างเดียว แต่
ไมไ่ ด้รับสารสกดั (p<0.05)โดยสารสกดั ขนาด 750 mg/kg สามารถลดปรมิ าณ MDA และ
เพิ่มระดับเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระทั้งสามชนิด ได้มากกว่ายามาตรฐาน omeprazole
ขนาด 8 mg/kg โดยสรุปสารสกัดจากรากกระพังโหม มีฤทธิ์ปกป้องการเกิดแผลใน
กระเพาะอาหารจากการเหนี่ยวนำของ ethanol ได้อย่างมีนัยสำคัญ (Saenphet, และ
คณะ, 2014)
12. กระบวนการผลติ
-
13. สูตรสว่ นประกอบ
-
14. กลุ่มผ้บู ริโภค
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
-
16. รายละเอียดผผู้ ลิต และระยะเวลาการจำหน่ายจนถงึ ปจ� จุบนั
-
สว่ นที่ 2 ขอ้ มลู ความปลอดภยั
1. ลกั ษณะทางชวี เคมี
การดูดซมึ การกระจาย และการขับออกจากรา่ งกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปล่ยี นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบข้อมูล
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละคา่ อ่ืนทางชวี เคมี
ไม่พบข้อมูล
ปฏกิ ริ ยิ าที่เกดิ ขนึ้ และวถิ ี (Reaction and fate) หรอื ปฏกิ ิริยาตอ่ กัน (Interaction)
ไมพ่ บข้อมลู
37
2. ผลการศึกษาความเป�นพษิ ในสัตว์ทดลอง
การศึกษาความเปน� พิษเฉยี บพลัน (Acute toxicity study)
การศึกษาความเปน� พษิ เฉียบพลันของสารสกดั 50% เอทานอลจากรากกระพังโหม ในขนาด 2
กรัม/กิโลกรัม แก่หนูแรท albino wistar เพียงครั้งเดียว โดยการป้อนสารสกัดทางปาก และ
สังเกตอาการจนครบ 24 ชั่วโมง ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ หรือการตายของหนู จากผลลัพธ์
ที่ได้จากการศึกษานี้ และปริมาณที่แนะนำต่อวันในมนุษย์ ปริมาณที่กำหนดสำหรับป้องกัน
ทางเดนิ อาหารถกู กำหนดให้เปน� 250, 500 และ 750 มก./กก. (Saenphet, และคณะ, 2014)
การศกึ ษาความเป�นพษิ ก่งึ เรือ้ รัง (Subchronic toxicity study)
ไม่พบข้อมลู การศกึ ษา
การศกึ ษาความเป�นพิษเร้อื รัง (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มูลการศกึ ษา
3. การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉพาะทาง (ถา้ มี)
ไมพ่ บข้อมลู การศึกษา
4. การศึกษาในมนุษยท์ างคลนิ ิก หรือทางระบาดวิทยา (ถ้ามี)
ไม่พบข้อมูลการศกึ ษา
สรปุ และข้อเสนอแนะจากผู้วจิ ัย
ใบ ใบอ่อน ยอดออ่ น และดอก ของต้นกระพงั โหมสามารถนำมาบรโิ ภคสด และสว่ นยอดอ่อน ราก
และใบออ่ นท่ผี า่ นการปรงุ สุกดว้ ยความรอ้ นสามารถนำมาใช้เป�นอาหารได้และไม่พบข้อมลู ความเปน� พษิ จาก
การบรโิ ภค ข้อมูลการศึกษาความเปน� พิษเฉียบพลนั ของสารสกดั 50% เอทานอลจากรากกระพังโหมใน
ขนาด 2 กรมั /กิโลกรมั ผา่ นทางชอ่ งปากไม่พบความเปน� พิษ