The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลการศึกษาเพิ่มเติม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Torres Wasin Treenet, 2022-05-26 04:29:34

ผลการศึกษาเพิ่มเติม

ผลการศึกษาเพิ่มเติม

86

4. การศึกษาในมนษุ ย์ทางคลินกิ หรือทางระบาดวทิ ยา (ถ้าม)ี
ไมพ่ บขอ้ มูลการศกึ ษา

สรปุ และข้อเสนอจากผูว้ จิ ยั
สาหร่ายพวงองุ่นสามารถนำมาบริโภคเป�นอาหารได้ในรูปแบบของการรับประทานสด และไม่พบ

ข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเอทานอล
ของสาหร่ายพวงองุ่นท่ีปริมาณ 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมนำ้ หนักตัวไม่ก่อให้เกิดความเป�นพิษและไม่สง่ ผล
ตอ่ การตายเฉียบพลนั แกส่ ัตว์ทดลอง

ตารางท่ี 1.6 พืชอาหารและสมุนไพรทเี่ ป�นอาหารและยาท่นี อกเหนือประกาศฯ ในภาค

ลำดบั ชอื่ พชื ชื่อวทิ ยาศาสตร์ ชือ่ วงศ์

1 ขลู่ Pluchea indica (L.) Less. Asteraceae

2 ดปี ลี Piper retrofractum Vahl. Piperaceae

3 ตะคึก (พฤกษ)์ Albizia lebbeck (L.) Benth Fabaceae
4 แปะตำป�ง Gynura divaricata (L.) DC, Asteraceae
Gynura procumbens (Lour.) Merr.
5 ผกั เบีย้ หิน Trianthema portulacastrum L. Aizoaceae
6 ผกั แว่น Marsilea crenata C. Presl. Marsileaceae

7 ผักหนาม Lasia spinosa (L.) Thwaites Araceae

8 มะตาด Dillenia indica L. Dilleniaceae

9 มะอึก Solanum stramoniifolium Jacq. Solanaceae

87

คตะวนั ตก วิธกี าร
ส่วนทใ่ี ช้
ยอดอ่อน และใบออ่ น บรโิ ภคสด
ยอดออ่ น ใบอ่อน หรือปรุงสุกดว้ ยความรอ้ นโดยการต้ม
ใบแห้ง นำมาทำเป�นชา
ชอ่ ดอก ผลอ่อน ชอ่ ดอก ปรงุ แต่งอาหาร
ผลอ่อน บริโภคสด หรอื นำมาใช้ปรงุ อาหาร
ใบออ่ น ยอดออ่ น ช่อดอกอ่อน ปรงุ สุกดว้ ยความร้อนโดยการลวกหรอื ตม้
ใบ บรโิ ภคสด จ้มิ น้ำพริก
หรือนำมาใช้ปรงุ สุกดว้ ยความรอ้ น
ยอดออ่ น ลำต้นออ่ น ปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการผดั หรอื ทอด
ใบ กา้ นใบ ยอดออ่ น ใบออ่ น ต้น บริโภคสด หรือปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการ
ต้มหรือแกง
ยอดออ่ น ใบออ่ น ปรุงสุกดว้ ยความรอ้ นโดยการต้มหรือแกง
หรือดองดว้ ยน้ำเกลือ
ผลออ่ น ผลแก่ ปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการปรุงเป�นแกงส้ม
หรอื แกงคั่วหรอื ตม้ จิม้ น้ำพริก
ผลอ่อน ผลสกุ บริโภคสดโดยใส่ในน้ำพริกหรือส้มตำหรือยำ
หรอื ปรุงสกุ ดว้ ยความร้อน

88

การศกึ ษาขอ้ มลู ความปลอดภัยของพืชและสมุนไพรภาคตะวนั ตก

(1) ขลู่
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลท่ัวไป

1. ชอื่ สามัญของพืชและสมนุ ไพร
ภาษาไทย: ขลู่ (khlu) หนาดวัว (nat wua)
ภาษาอังกฤษ: Indian marsh fleabane

2. ช่ือวทิ ยาศาสตรข์ องพืชและสมุนไพร
Pluchea indica (L.) Less. วงศ:์ ASTERACEAE

ภาพท่ี 13 ขลู่ (Pluchea indica (L.) Less.)
ท่มี า: ฐานข้อมลู สมนุ ไพรไทยเวบ็ ไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. แหลง่ กระจายทางภูมิศาสตร์ หรอื แหลง่ ที่มาของวัตถดุ ิบ
3.1 แหลง่ กระจายทางภมู ิศาสตร์
พบที่อินเดีย พม่า ไห่หนาน ไต้หวัน ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ในไทยพบทางภาค
กลาง ภาคตะวันตกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ขนึ้ ตามชายฝง� ทะเล ชายป่าโกงกาง
3.2 แหลง่ ทเี่ กบ็ ตัวอยา่ งพืชและสมุนไพร
กลมุ่ วสิ าหกจิ ชุมชนชาขลรู่ ักษ์สมนุ ไพรหว้ ยทรายใต้ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรอื การบริโภค (มากกวา่ 15 ป�)
ขลพู่ บขอ้ มลู ประวตั กิ ารบริโภคเปน� อาหารในประเทศไทยเปน� ระยะเวลาอยา่ งนอ้ ย 29 ป� ดังน้ี

89

- การผลิตชาเขียว ชาจีน และชาผงจากใบขลู่เพื่อผลิตเป�นชาสมุนไพร โดยชาสมุนไพรจาก
ใบขลมู่ ีกลิ่นหอมและกลน่ิ น้ำมันหอมระเหย มีแทนนินซง่ึ ทำให้มรี สฝาดซ่ึงใช้แทนใบชาได้
(กุลยา จันทร์อรุณ, 2545)

- การศึกษาพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดอุดรธานีพบว่าต้นขลู่พบทั่วไปตามป่าละเมาะที่รกร้าง
ริมทางทั้งในที่ร่มเงาและกลางแจ้ง หรือตามริมน้ำที่ลุ่ม ชื้นแฉะ โดยพบว่าส่วนที่นำมาใช้
เป�นอาหาร คือ ยอดอ่อนที่มีสีเขียวอ่อนๆ ของขลู่ รับประทานสด ร่วมกับลาบ ก้อย ของ
ชาวอีสาน ในบางท้องที่ใส่ร่วมกับแกงรับประทานเป�นแกงอ่อม (มานิตย์ ออพานิชกิจ,
2530)

- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่าต้นขลู่พบขึ้นตามที่ลุ่มน้ำขัง ข้าง
ถนน และปา่ ละเมาะ ซึง่ ในงานวจิ ัยพบตน้ ขลทู่ ่ี อ. บอ่ พลอย และ อ. หว้ ยกระเจา จังหวัด
กาญจนบุรี โดยส่วนที่นำมาใช้เป�นอาหาร คือ ยอดอ่อนและใบอ่อน รับประทานแบบดิบ
เปน� ผกั จิม้ นำ้ พรกิ หรอื ใชแ้ กล้มกับอาหารรสจัดชนดิ อื่นๆ (อุษา ทองไพโรจน,์ 2542)

นอกจากนี้ ยังพบการบริโภคใบขลู่ในรูปแบบของชาในประเทศเวียดนามและกัมพูชา

(Raharjo I. & Horsten S. F. A. J., 2001)

5. ส่วนทน่ี ำมาใช้ (part of use)
ยอดออ่ น ใบอ่อน และใบ

6. วตั ถปุ ระสงค์การบริโภค
บรโิ ภคเป�นอาหาร และเปน� สมนุ ไพร

7. รูปแบบการบริโภค
บรโิ ภคสด บรโิ ภคโดยผ่านการปรงุ สุกดว้ ยความรอ้ น และนำมาแปรรูปเป�นผลติ ภณั ฑ์

- ยอดออ่ น หรอื ใบอ่อนนำมารบั ประทานสด หรอื ใชป้ รุงอาหารใส่ในแกง เชน่ แกงออ่ ม
- ใบ นำมาเป�นผลติ เป�นชาสมุนไพร
8. กล่มุ ผ้บู รโิ ภค

บุคคลทว่ั ไป
9. คณุ คา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ

9.1 คุณคา่ ทางโภชนาการ
- องค์ประกอบทางเคมีของใบขลู่ใน 100 กรัม ประกอบไปด้วยน้ำ 87.53 กรัม โปรตีน
1.79 กรัม ไขมนั 0.49 กรัม คารโ์ บไฮเดรต 8.65 กรมั ใยอาหารท้งั หมด 1.34 กรมั ใย
อาหารไม่ละลายน้ำ 0.89 กรัม ใยอาหารละลายน้ำ 0.45 กรัม วิตามินและแร่ธาตุ
0.20 กรัม ได้แก่ แคลเซียม 251 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 1,225 ไมโครกรัม และ
วิตามนิ ซี 30.17 ไมโครกรัม (Suriyaphan, 2014)

90

9.2 สารสำคญั
- สารสำคัญในใบขลู่สด 100 กรัม ประกอบไปด้วย Total phenolic acids 28.48
ม ิ ล ล ิ ก ร ั ม (Chlorogenic acid แ ล ะ Caffeic acid) , Total flavonoids 6.39
มิลลิกรัม (Quercetin, Kaempferol และ Myricetin), Total anthocyanins 0.27
มิลลิกรัม, β-carotene 1.70 มิลลิกรัม และ Total carotenoids 8.74 มิลลิกรัม
(Suriyaphan, 2014)
- สารสกัดน้ำ เมทานอลและเอทิลอะซิเตตของใบขลู่ ได้แก่ alkaloid, flavonoid,
phenolic, sterol, terpenoid, saponin, tannin, cardiac แ ล ะ glycoside
(Widyawati และคณะ, 2015)
- พบสารอนุพันธ์ของ eudesmane กลุ่ม cauhtemone และพบเกลือแร่ sodium
chloride เนื่องจากชอบขึ้นที่น้ำทะเลขึ้นถึง (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี)
- ใบขลู่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพกลุ่มที่สำคัญคือกลุ่ม phenolic และ flavonoid
โดยใบขลู่ 100 กรมั มี chlorogenic acid 20 มลิ ลกิ รมั caffeic acid 8.65 มิลลิกรมั
และ quercetin 5.21 มิลลิกรมั (Andarwulan และคณะ, 2012)

10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธ์ทิ างเภสชั วิทยา หรือสรรพคณุ พน้ื บ้าน
- ใบมีกลิ่นหอม มีสรรพคุณด้านสมุนไพรหลายอย่าง เช่น ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ ขับเหง่ือ
ขับปส� สาวะ บรรเทาโรคเบาหวาน เป�นตน้ (กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม,
2558)
- ตำรายาไทยใชใ้ บของต้นขลูซ่ ง่ึ มีรสหอมฝาดเมาเค็มเป�นยาขบั ปส� สาวะ แก้เบาหวาน ขับนว่ิ
นำใบสดแก่มาตำแล้วบีบเอาน้ำทาตรงหัวริดสีดวงทวารทำให้หัวริดสีดวงหดหายไป แก้
กระษัย ยาอายุวัฒนะ สมานภายนอกและภายใน แก้ไข้ ขับเหงื่อ นำใบมาตำผสมกับเกลอื
กินรกั ษากล่ินปาก และระงบั กลิน่ ตวั นำใบมาตม้ ดม่ื แทนชาลดนำ้ หนัก บรรเทาอาการปวด
เมื่อย มุตกิด น้ำคั้นจากใบสดรักษาริดสีดวงทวาร ใบต้มน้ำอาบแก้ผื่นคัน บำรุงประสาท
เป�นยาบีบมดลูก น้ำคั้นใบสดรักษาริดสีดวงทวาร โรคบิด ใบและต้นอ่อนบรรเทาอาการ
ปวดข้อในโรคไขข้ออักเสบ รักษาประดง เลือดลม ตำผสมกับแอลกอฮอล์ทาหลังบริเวณ
เหนือไตบรรเทาอาการปวดเอว ต้มน้ำอาบรักษาหิด ขี้เรื้อน ใบและรากเป�นยาฝาดสมาน
แก้ไข้ ขับเหงื่อ พอกแก้แผลอักเสบ ผสมกับสมุนไพรอื่นต้มน้ำอาบรักษาเส้นตึง และทำ
เป�นขผ้ี งึ้ ทาแผลเรือ้ รงั เปลอื กต้น นำมาสับเปน� ช้นิ มวนบหุ ร่สี ูบแก้โพรงจมกู อับเสบ (ไซนัส)
ดอกมีรสหอมฝาดเมาเค็มแก้นิ่ว รากมีรสหอมฝาดเมาเค็ม แก้กระษัย ขับนิ่ว ทั้งต้นมีรส
หอมฝาดเมาเค็มใช้ต้มกินรักษาอาการขัดเบา แก้นิ่วในไต ขับป�สสาวะ แก้ป�สสาวะพิการ

91

แก้ริดสีดวงทวาร แก้มุตกิดระดูขาว แก้ตานขโมย แก้เบาหวาน รักษาวัณโรคที่ต่อม
นำ้ เหลือง ต้มอาบ แกผ้ นื่ คนั แกป้ ระดง เลือดลม และแกโ้ รคผิวหนงั เปลือกต้นมีรสเมาขื่น
หอม แก้ริดสีดวงจมูก ริดสีดวงทวาร แก้กระษัย ขูดเอาขนออกให้สะอาด ลอกเอาแต่
เปลือก หั่นเป�นเส้นมวนสูบ แก้ริดสีดวงจมูก หรือต้มรมริดสีดวงทวารหนัก (ฐานข้อมูล
สมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี)
- ขลู่พบว่ามีการใช้ในรูปยาแบบธรรมชาติในรูปแบบยาต้ม พอกและแช่ โดยพบว่าใน
ประเทศไทยมีการใช้ส่วนเมล็ดเป�นยาต้มในการรักษานิ่วในไต การใช้ส่วนเปลือกไม้มาต้ม
ในการรักษาริดสีดวงทวาร การใช้ใบสดในการพอกรักษาแผล หรือใช้เป�นยาต้มในการ
บำรุงเสน้ ประสาท รกั ษาอาการอักเสบ ปวดเอวและตกขาว ในประเทศอนิ เดียพบว่าการใช้
รากเป�นยาต้มเพื่อสมานแผลและลดไข้ ประเทศอินโดนีเซียในการต้มดื่มเพื่อกระตุ้นความ
อยากอาหาร ย่อยอาหาร ระงับกลิ่นกาย ต้านเชื้อแบคทีเรีย แก้ท้องร่วง (Suriyaphan,
2014)
- สารสกดั จากขลู่มฤี ทธท์ิ างเภสชั วทิ ยา ได้แก่ ป้องกันแผล (anti-ulcer) ตา้ นการปวด (anti-
nociceptive)ฤทธิข์ บั ป�สสาวะ (anti-diuretic) ฤทธต์ิ ้านการอักเสบ (antiinflammatory)
(Arsiningtyas และคณะ, 2014)
ฤทธ์ิตา้ นการอกั เสบ (Anti-inflammation activity)
- การศึกษาฤทธิ๋ต้านการอักเสบและต้านการอาการปวดของสารสกัดเอทานอลของใบขลู่
พบว่าสารสกัดมีฤทธิ๋ต้านการอักเสบโดยที่ปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว มี
ฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบและลดอาการบวมมากที่สุดเท่ากับ 82.9% เมื่อเทียบกับยา
Indomethacin ที่ปริมาณ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีฤทธิ์เท่ากับ 92.7% ในขณะท่ี
ปรมิ าณสารสกดั ที่ 10, 30 และ 100 มิลลกิ รัมต่อกิโลกรัม ไม่มีค่าแตกตา่ งอยา่ งมีนัยสำคัญ
ในการตอบสนองต่อการอักเสบ และการทดลองการต้านการอักเสบโดยวิธี 0.6 % acetic
acid induced writhing test ซึ่งเป�นการฉีดกรดอะซิติกเข้าช่องท้องเพื่อให้เกิดอาการ
เจบ็ ปวดและสงั เกตการหดตวั ของชอ่ งทอ้ ง จากการทดลองหลังรับสารสกัด 15 นาที พบวา่
สารสกัดช่วยยับยั้งการบิดตัวของหนูได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยปริมาณสารสกัดที่ 10, 30,
100 และ 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีค่าการยับยั้งเท่ากับ 33.0 ± 3.9, 27.2 ±7.7, 21.8
± 3.7 และ 20.3 ± 2.5 ตามลำดับ โดยปริมาณสาสกัดที่ 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีค่า
การยับยั้งการบิดตัวของช่องท้องเทียบเท่ากับยา Indomethacin ที่ปริมาณ 10 มิลลิกรัม
ต่อกิโลกรัม ซึ่งมีฤทธ์ิเท่ากับ 19.0 ± 2.4 ในการศึกษานีแ้ สดงให้เห็นแลว้ ว่าสารสกัดเอทา
นอลของใบขลู่มีทการตอบสนองต่อการอักเสบและการต่อต้านอาการปวดดังนั้นควร
ทำการศึกษาเพิ่มเติมเพื่ออธิบายการทำงานของสารในสารสกัดใบขลู่เพิ่มเติม (Roslida
และคณะ, 2008)

92

ฤทธ์ิขับป�สสาวะ (Diuretic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ขับป�สสาวะในหนูและในคนปกติโดยการฉีดสารสกัดต้นขลู่ 5% ให้กับหนู

ขาวทางช่องท้องในขนาด 0.2, 0.4 และ 0.8 มิลลิลิตร และสารสกัดต้นขลู่ 5 % เตรียมใน
รูปของเหลวให้คนปกติ 30 ราย ดื่มในปริมาตร 250 ซีซี. พบว่าสารสกัดขลู่มีฤทธิ์ขับ
ป�สสาวะสูงกว่ายาขับป�สสาวะไฮโดรคลอโรไธอะไซด์ (Hydrochlorothiazide: HCTZ)
ขนาด 50 มิลลิกรัมประมาณ 1.9 เท่า และมีข้อดีคือ สูญเสียเกลือแร่น้อยกว่า และยังพบ
การศึกษาในผู้ป่วย 5 รายท่เี ตรียมตวั มาสลายนวิ่ ทีโ่ รงพยาบาลรามาธิบดโี ดยใหผ้ ้ปู ่วยได้รับ
น้ำดื่มอย่างพอเพียงและได้รับอาหารที่มีปริมาณเกลือปกติเปรียบเทียบประสิทธิภาพการ
ให้น้ำดื่ม ยาขับป�สสาวะ HCTZ 50 มิลลิกรัม กับให้สารสกัดน้ำของขลู่ชนิดแคปซูล
(Freeze dried extract) 12 แคปซูล (1 แคปซูลเทียบเท่าขลู่ 1.2 กรัม) เมื่อวัดปริมาตร
ป�สสาวะรวมภายหลังให้ยา 6 =ชั่วโมง พบว่าประสิทธิภาพในการขับป�สสาวะของขลู่
ชัดเจนในผู้ป่วย 3 ราย คิดเป�น 60% ส่วนที่เหลืออีก 2 ราย ไม่ได้ผล คณะผู้วิจัยสรุปว่า
ควรเพิ่มจำนวนผู้ป่วยให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้ศึกษาให้แน่ชัดว่าขลู่มีประสิทธิภาพในการใช้
เป�นยาขับป�สสาวะได้หรือไม่ รวมทั้งมีการทดสอบการศึกษาฤทธิ์ขับป�สสาวะแบบไขว้กลุ่ม
(Crossover study) ในอาสาสมัครชายไทย 15 คน อายุระหว่าง 30 - 68 ป� และคนไข้โรค
นิ่วในไต 30 คน พบว่าปริมาตรป�สสาวะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับ
ยา HCTZ โดยมีการขับป�สสาวะมากกว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดขลู่ นอกจากนี้ยังพบว่า
อาสาสมัคร 8 คน หรอื 53% และคนไข้ 7 คน หรือ 23% เป�นผทู้ ใ่ี ห้ผลตอบสนองต่อการ
ขับป�สสาวะของสารสกัดขลู่ และเช่นเดียวกันกับ 87% ของอาสาสมัคร และ 67% ของ
คนไข้ที่ให้ผลตอบสนองต่อ HCTZ และผู้ที่อายุ 31-40 ป� ได้ผลดีกว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า
จากการศึกษานี้สรุปได้ว่าสารสกัดขลู่มีสรรพคุณเป�นยาขับป�สสาวะแต่น้อยกว่ายาแผน
ป�จจุบัน HCTZ จะเห็นได้ว่าขลู่มีฤทธิ์ในการขับป�สสาวะได้ดีระดับหนึ่ง แต่ดีไม่เท่ากับยา
แผนป�จจบุ ัน (สำนกั งานข้อมูลสมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล)
- จากการศึกษาฤทธิ์ขับป�สสาวะของสารสกัดเอทานอลจากใบของขลู่ โดยใช้สาร
Frusemide 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว เป�นตัวอย่างควบคุม โดยจากการทดลอง
ในหนูทดลอง Wistar albino พบว่าปริมาณสารสกัดที่ 100 200 และ 300 มิลลิกรัมต่อ
กิโลกรัมน้ำหนักตัว ส่งผลให้ปริมาณป�สสาวะและปริมาณ NA+ K+ และ CL- ในป�สสาวะ
ของหนูมีค่าเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่ามีค่าเพิ่มขึ้นตามปริมาณสารสกัด จาก
การทดลองพบว่าสารสกัดมีค่า LD50 หรือค่าความเข้มข้นที่ทำให้สัตว์ทดลองตายลง
ครึ่งหนึ่งของจำนวนเริ่มต้นของสารสกัดเท่ากับ 2,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว
(Pramanik และคณะ ,2007)

93

ฤทธิ์ลดระดบั นำ้ ตาลในเลือด (Hypoglycemic activity)
- จากการศึกษาฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดเมทานอลของใบขลู่ในหนูแรทที่ปกติ

และที่ป่วยเป�นเบาหวานโดยการเหนี่ยวนำจาก Streptozotocin จากการทดลองพบว่า
สารสกัด 200 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังรับ
สารสกัดที่ 4 ชั่วโมงในและพบว่ามีประสิทธิภาพนานถึง 24 ชั่วโมงหลังการรักษาเม่ือ
เปรียบเทียบผลกับยา Glibenclamide ที่ปริมาณ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยฤทธิ์ใน
การลดระดับน้ำตาลในเลือดที่ 24 ชั่วโมงที่ทดลองในหนูปกติมีค่าที่ 35.12% และ
36.01% ตามลำดับ และในหนูที่เป�นเบาหวานเท่ากับ 36.10% และ 41.87% ส่วนใน
ตัวอย่างควบคุมที่ได้รับ Glibenclamide ที่ปริมาณ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม พบว่ามีฤทธิ์
ลดน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 43.50% จากการทดลองพบว่าสารสกัดมีความปลอดภัยที่ 3.2
กรัมต่อกโิ ลกรมั น้ำหนกั ตวั (Pramanik และคณะ, 2006)
- จากการศึกษาฤทธิ์การต้านเบาหวานของสารสกัดเมทานอล น้ำ และเอทิลอซิเตทของใบ
ขลู่ โดยในการทดลอง มีหนูกลุ่มแรกเป�นตัวควบคุมโดยรับยา Glibenclamide และกลุ่ม
อื่นที่ได้รับสารสกัดเมทานอล น้ำ และเอทิลอซิเตทของใบขลู่ที่ปริมาณ 1.3 และ 2.6
มิลลิกรัมต่อ 20 กรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดน้ำมีศักยภาพสูงสุดในการต่อต้าน
โรคเบาหวาน โดยพบว่าความสามารถในการลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูสายพันธ์ุ
Rattus Norvegicus Rats Wistar มีค่าเท่ากับ 56.37% ซึ่งสูงกว่า Glibenclamide
(49.59%) และสารสกัดอื่นๆ (สารสกัดเอทิลอะซิเตทมีความสามารถในการลดระดับ
น้ำตาลในเลือดเท่ากับ 19.11% และสารสกัดเมทานอลมีค่าเท่ากับ 24.27%) และยัง
พบวา่ สารสกดั นำ้ ของใบขลมู่ ีความปลอดภยั มากท่สี ุด โดยการป้อนสารสกัดทางปากแก่หนู
เพศผทู้ ่ี 2.6 มิลลิกรัมต่อ 20 กรัมน้ำหนกั ตัวสง่ ผลใหก้ ารเคล่ือนไหวของหนูเพ่มิ ข้นึ ในขณะ
ที่ เมื่อให้สารสกัดทางปากแก่หนูเพศเมียท่ี 1.3 และ 2.6 มิลลิกรัมต่อ 20 กรัมน้ำหนักตัว
ตามลำดับ ส่งผลใหก้ ารเคล่ือนไหวของหนเู พม่ิ ขนึ้ (Widyawati และคณะ, 2015)
- การศึกษาฤทธิ์การลดระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือดสูง และต้านความอ้วนในหนูที่
ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงของชาสกัดจากใบขลู่ (ใบขลู่แห้ง 3 กรัม ในน้ำ 100 มิลลิลิตรที่
80 องศาเซลเซียส เป�นเวลา 5 นาที จากนั้นกรองด้วยกระดาษกรองเบอร์ 1) จากการ
ทดลองพบว่าสารสกัดชาใบขลู่ที่ปริมาณ 400 และ 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว
ช่วยลดน้ำตาลในเลือดในหนูอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับตัวอย่างที่ไม่ได้รักการรรักษา
และพบว่ามีปริมาณคอเลสเตอรอลรวม ไขมันชนิด LDL และน้ำหนักไขมันรอบอกลดลง
อย่างมีนัยสำคัญ (P < 0.05) เมื่อเทียบกับหนูที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงแต่ไม่ได้รับสาร
สกัด ในขณะที่ปริมาณไขมัน HDL ในหนูที่ได้รับสารสกัดมีค่าเพิ่มขึ้นแต่มีค่าไม่แตกต่าง
อย่างมีนัยสำคัญ (P > 0.05) ในหนูได้รับอาหารที่มีไขมันสูงแต่ไม่ได้รับสารสกัด (P >
0.05) น้ำหนักของ ตับ หัวใจ ไต ปอด และม้ามของตัวอย่างที่ได้รับไขมันในปริมาณสูง

94

และในหนูที่ได้รับไขมันในปริมาณสูงพร้อมกับสารสกัดที่ปริมาณ 400 และ 600 มิลลิกรัม
ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว มีค่าไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เอมไซม์ Creatinine alanine
transaminase (ALT) alkaline phosphatase (ALP) แ ล ะ complete blood count
(CBC) ถกู ประเมนิ เพอื่ ทดสอบความเปน� พิษของตับ รวมทง้ั ปริมาณเซลล์เมด็ เลอื ดแดงและ
ขาว จากการทดลองพบว่ามีค่าไม่แตกกต่างอย่างมีนัยสำคัญในทุกกลุ่มการทดลอง โดย
ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดไม่มีอันตรายต่อตับ ไต และผลของเลือดในหนูทดลอง และมีศักยภาพ
ในการพัฒนาเป�นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ภาวะไขมันใน
เลือดสูง และภาวะโรคอ้วน อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัช
วิทยาของสารสกัดและความปลอดภัยในมนุษย์เพิ่มมากขึ้น (Sirichaiwetchakoon และ
คณะ, 2020)
12. กระบวนการผลิต
- การผลิตชาเขยี ว
นำส่วนใบขลู่มา หั่นให้มีขนาด 0.5x1.0 cm นำใบไปลวกในน้ำร้อน 30 วินาที หรือใช้การ
นึ่ง 1-2 นาที จากนั้นจุ่มในนำ้ เย็นทันทีแลว้ ผึ่งลมให้แห้ง นำไปคั่วในกระทะไปอ่อนๆ ประมาณ

20 นาที แล้วอบในตู้อบแก๊สที่อุณหภูมิ 80 ◦C 1 ชั่วโมง จากนั้นอบที่ตู้อบไฟฟ้า 80 ◦C 1
ชว่ั โมง (กุลยา จนั ทรอ์ รุณ, 2545)
- การทำชาจนี

นำสว่ นใบขลมู่ าหน่ั ให้มีขนาด 0.5x1.0 cm คว่ั ในกระทะไปอ่อนๆ ประมาณ 20 นาที แล้ว

อบในตู้อบแก๊สที่อุณหภูมิ 80 ◦C 1 ชั่วโมง จากนั้นอบที่ตู้อบไฟฟ้า 80 ◦C 1 ชั่วโมง (กุลยา
จันทร์อรณุ , 2545)
- การทำชาผง

นำส่วนใบขลู่มา หั่นให้มีขนาด 0.5x1.0 cm คั่วในกระทะไปอ่อนๆ ประมาณ 20 นาที
ขณะคั่วให้นวดใบแรงๆเพื่อให้เซลล์แตกช้ำจนใบแห้งกรอบ แล้วอบในตู้อบแก๊สที่อุณหภูมิ 80

◦C 1 ชั่วโมง จากนั้นอบที่ตู้อบไฟฟ้า 80 ◦C 1 ชั่วโมง จากนั้นนำไปบดจนร่วนเป�นผง (กุลยา
จันทรอ์ รณุ , 2545)
13. สูตรส่วนประกอบ

ใบขลู่
14. กลุม่ ผบู้ รโิ ภค

บุคคลทั่วไป กลุ่มทร่ี ับประทานชา กล่มุ รกั สุขภาพ
15. รายละเอยี ดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถงึ ปจ� จบุ นั

- ชาใบขลูผ่ สมเตยหอม: วิสาหกจิ ชมุ ชนกลุ่มแมบ่ า้ นเกษตรและสตรชี ากคา
- ชาเขยี วใบขลู่ชนดิ ใบและชง: วสิ าหกจิ ชมุ ชนเรือนไมห้ อม จังหวัดสมุทรสงคราม

95

- ชาใบขลู่บ้านดอนคด:ี บ้านดอนคดี ตำบลแหลมผกั เบย้ี จังหวดั เพชรบรุ ี
- ชาใบขลู:่ OTOP กล่มุ วสิ าหกจิ ชุมชนชาขลู่รักษส์ มุนไพรห้วยทรายใต้ อำเภอชะอำ จังหวัด

เพชรบรุ ี

สว่ นที่ 2 ขอ้ มลู ความปลอดภัย
1. ลักษณะทางชีวเคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขับออกจากรา่ งกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปลีย่ นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบข้อมลู
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละคา่ อืน่ ทางชีวเคมี
ไม่พบข้อมูล
ปฏิกริ ยิ าที่เกดิ ข้ึนและวถิ ี (Reaction and fate) หรอื ปฏกิ ิรยิ าตอ่ กนั (Interaction)
ไม่พบข้อมูล

2. ผลการศึกษาความเปน� พษิ ในสัตว์ทดลอง
การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉียบพลนั (Acute toxicity study)
- Pramanik และคณะ (2006) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันโดยทำการทดลองกับหนูไมซ์
(Swiss albino mice) และหนูแรท (Wistar albino rats) โดยให้สารสกัดจากใบขลู่ด้วย
เมทานอลทางช่องปากพบว่าหนูทั้งหมดจำนวน 20 ตัว พบว่าหนูสามารถอยู่รอดได้เม่ือ
ได้รับสารสกัดถึง 3.2 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว โดยค่า LD50 มีค่าเท่ากับ 3.2 กรัมต่อ
กิโลกรมั นำ้ หนักตวั
- Pramanik และคณะ (2007) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันโดยการให้สารสกัดจากใบขลู่
ด้วยเมทานอลทางช่องปากกบั หนแู รทพันธุ์ Wistar albino พบวา่ มคี ่า LD50 หรอื ค่าความ
เข้มข้นที่ทำให้สัตว์ทดลองตายลงครึ่งหนึ่งของจำนวนเริ่มต้นของสารสกัด MEPI เท่ากับ
2825 มลิ ลิกรัมต่อกโิ ลกรมั นำ้ หนักตวั
การศึกษาความเป�นพิษกงึ่ เรอื้ รงั (Subchronic toxicity study)
- Widyawati และคณะ (2015) ศึกษาความเป�นพิษแบบกึ่งเรื้อรังกับหนูไมซ์พันธุ์ Mus
Musculus และหนูแรทพันธุ์ Rattus Norvegicus พบว่า สารสกัดน้ำของใบขลู่มีความ
ปลอดภัย แต่เมื่อให้สารสกัดทางปากแก่หนูเพศผู้ที่ 2.6 มิลลิกรัมต่อ 20 กรัมน้ำหนักตัว
ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของหนูเพิ่มขึ้น ในขณะที่ เมื่อให้สารสกัดทางปากแก่หนูเพศเมียที่
1.3 และ 2.6 มิลลิกรัมต่อ 20 กรัมน้ำหนักตัวตามลำดับส่งผลให้การเคลื่อนไหวของหนู
เพมิ่ ข้ึน

96

การศึกษาความเป�นพษิ เรอ้ื รงั (Chronic toxicity study)

ไม่พบข้อมูลการศึกษา

3. การศึกษาความเปน� พษิ เฉพาะทาง (ถา้ มี)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา

4. การศึกษาในมนษุ ย์ทางคลนิ ิก หรอื ทางระบาดวทิ ยา (ถ้ามี)
ไม่พบขอ้ มูลการศกึ ษา

สรุปและขอ้ เสนอแนะจากผวู้ จิ ัย
ยอดอ่อน และใบอ่อนของต้นขลู่ที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการต้มหรือการบริโภคสด

สามารถนำมาใช้เป�นอาหารได้และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค ส่วนการนำมาแปรรูปเป�น
ผลิตภัณฑ์ชาจากใบขลู่ พบข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษแบบกึ่งเรื้อรังของสารสกัดใบขลู่ด้วยน้ำแก่หนูท่ี
ปริมาณต่ำกว่า 1.3 มิลลิกรัมต่อ 20 กรัมน้ำหนักตัวไม่พบความเป�นพิษ และพบว่าสารสกัดชาใบขลู่ท่ี
ปริมาณ 400 และ 600 มลิ ลกิ รัมต่อกโิ ลกรัมนำ้ หนักตัวช่วยลดนำ้ ตาลในเลือดในหนอู ยา่ งมีนยั สำคัญ

97

(2) ดีปลี
ส่วนที่ 1 ขอ้ มูลทวั่ ไป

1. ช่อื สามญั ของพชื และสมนุ ไพร
ภาษาไทย: ดปี ลี
ภาษาอังกฤษ: Long pepper, Indian long pepper, Javanese long pepper

2. ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ของพืชและสมุนไพร
Piper retrofractum Vahl. วงศ:์ PIPERACEAE
Piper longum

ภาพท่ี 14 ดปี ลี (Piper retrofractum Vahl.)
ที่มา: ฐานข้อมลู สมุนไพรไทยเวบ็ ไซต์เมดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรือแหล่งท่เี ก็บตัวอย่างพชื และสมนุ ไพร
3.1 การกระจายทางภมู ิศาสตร์
มีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว และกัมพูชา ถึงเกาะชวา เกาะสุ
มาตราในประเทศอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบในพื้นที่ฝนตกชุก อากาศร้อนชื้น โดยพบใน
ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคกลาง บริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด กาญจนบุรี และ
ราชบรุ ี
3.2 แหลง่ ท่เี ก็บตัวอย่างพชื และสมุนไพร
หมทู่ ่ี 7 ตำบลตาลเสย้ี น อำเภอท่าม่วง จังหวดั กาญจนบรุ ี

4. ประวตั ิการบรโิ ภคเปน� อาหาร หรือการบริโภค (มากกวา่ 15 ป�)

98

ดีปลีพบข้อมูลประวัติการบริโภคเป�นอาหารในประเทศไทยเป�นระยะเวลาอย่างน้อย 22 ป�
ดงั น้ี
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดลพบุรีมีการใช้ดีปลีในส่วนของผลสุกเป�นเครื่องเทศ

แต่งกลิ่นอาหารและผลอ่อนรับประทานเป�นผักให้รสเผ็ดร้อน โดยดีปลีชอบขึ้นในที่มี
ความช้นื สูง หรอื มีฝนตกชุก (จุฑาทพิ ย์ เชียรเจริญ, 2542)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่าใช้ช่อดอกในการปรุงแต่งอาหาร
และพบวา่ มีการปลูกดปี ลตี ามบ้าน (อษุ า ทองไพโรจน์, 2542)
5. สว่ นท่ีนำมาใช้ (part of use)
ช่อดอก ผลออ่ น และผลสุก
6. วตั ถุประสงค์การบริโภค
บริโภคเปน� อาหาร เคร่อื งเทศ และเปน� สมนุ ไพร
7. รูปแบบการบริโภค
บรโิ ภคโดยผา่ นการปรงุ สุกด้วยความร้อน
- ช่อดอก ใชป้ รงุ อาหาร
- ผลสกุ ใชป้ รุงอาหาร (เครื่องเทศ) และใช้เป�นชาสมนุ ไพร
บรโิ ภคสด
- ผลอ่อน รับประทานสดเป�นผักโดยให้รสเผด็
8. กลุม่ ผู้บริโภค
บุคคลทวั่ ไป กลุ่มที่รับประทานชา กลมุ่ รกั สขุ ภาพ
9. คุณคา่ ทางโภชนาการ หรือสารสำคญั
9.1 คุณค่าทางโภชนาการ
- องค์ประกอบทางเคมีของผลดีปลี จะประกอบไปด้วย น้ำ 18 % โปรตีน 11.4 %

ไขมัน 2.97 % คาร์โบไฮเดรต 63.4 % ใยอาหารทั้งหมด 28.8 % วิตามินแร่ธาตุ
4.29 % และให้พลังงาน 326 แคลอรี่ต่อปริมาณ 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม
แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม มีปริมาณเท่ากับ 361.0324.00,
414.97±5.85, 203.30±0.26 และ 166.4±0.8 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ตามลำดับ
(Jadid และคณะ, 2018)
9.2 สารสำคัญ
- สารสกัดจากเมทานอลของผลดีปลีประกอบไปด้วย sterols, glycosides, flavones,
tannin และ alkaloids สารสกัดจากเฮกเซนของผลดีปลี ประกอบไปด้วย quinone,
sterols, glycosides, และ alkaloids และสารสกัดจากเอทิลอซิเตทของผลดีปลี
ประกอบไปด้วย quinone, sterols, glycosides, tannin และ alkaloids (Jadid
และคณะ, 2018)

99

- ดีปลีมีองค์ประกอบทางเคมีเป�นน้ำมันระเหยง่าย (Volatile oil) และแอลคาลอยด์
(Alkaloids) หลายชนิด เช่น พิเพอรีน (Piperine) พิเพอรานีน (Piperanine) พิเพอร์
โนนาลีน (Pipernonaline) ดีไฮโดรพิเพอร์โนนาลีน (Dehydropipernonaline) พิ
เพอรล์ องกมู ินีน (Piperlonguminine) เมทลิ พเิ พอเรต (Methylpiperate) และเซซา
มนิ (Sesamin) เป�นตน้ (กรมการแพทยแ์ พทยไ์ ทยและการแพทย์ทางเลอื ก, ม.ป.ป.)

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธทิ์ างเภสัชวทิ ยา หรอื สรรพคณุ พนื้ บ้าน
- ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของดีปลีพบว่ามีรายงานว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย เชื้อรา โรคติดเชื้อลิ
ชมาเนีย (Anti-leishmanial effect) โรคมาลาเรยี ป้องกนั ปรสิต (Anti-parasitic effect)
ฤทธิป์ อ้ งกันมะเรง็ ปอ้ งกันการกอ่ ตวั ของไขมนั (Adipogenesis effect) ฤทธิ์ป้องกันความ
เป�นพิษต่อตับ (Hepatoprotective effect) ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
(Gastro-protective effect) ฤทธิ์ต้านเบาหวาน (Antidiabetic effect) และเสริมสร้าง
ภูมิคุ้มกัน (Immunomodulatory effect) ฤทธิ์ลดความดันโลหิต (antihypertensive)
มีฤทธิ์แก้ปวด (analgesic) ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ช่วยลดไข้
(antipyretic) ฤทธิ์ป้องกนั แผลเป�อย (anti-ulcer) (Islam และคณะ, 2020)
- ผลแก่แห้ง ผลแก่จัด แก้อัมพาต แก้เส้นป�ตตะฆาต แก้เส้นอัมพฤกษ์ แก้คุดทะราดให้ป�ด
ธาตุ แก้โรคหลอดลมอักเสบ เป�นยาขับระดู เป�นยาธาตุ ทาแก้ปวดอักเสบของกล้ามเนื้อ
ระงับอชิณโรค บำรุงธาตุ ขับลม ขับลมให้กระจาย ขับผายลม แก้ลม ขับลมในลำไส้ แก้
ท้องร่วง แก้ธาตุพิการ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้ปฐวีธาตุพิการ แก้วิสติป�ฏฐี แก้ป�ถวีธาตุ 20
ประการ บำรุงร่างกาย เจริญอาหาร แก้จุกเสียด เจริญไฟธาตุ แก้ปวดท้อง ขับเสมหะใน
โรคหืด แก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก) ปรุงเป�นยาประจำ ป�ถวีธาตุ เป�นยาขับรกใหร้ ก
ออกง่ายภายหลังจากการคลอดบุตรและใช้เวลาโลหิตตกมาก แก้เสมหะ แก้หืดไอ แก้ลม
วงิ เวียน แก้รดิ สดี วงทวาร แก้คุดทะราด แก้อาการท้องอดื ท้องเฟ้อ แก้อาการคลน่ื ไส้ (เกิด
จากธาตไุ ม่ปกต)ิ (สำนักงานขอ้ มลู สมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล)
- ตำรายาไทย ผล รสเผ็ดร้อนขม ใช้เป�นเครื่องเทศมีกลิ่นหอม และเผ็ดมากกว่าพรกิ ไทย รส
คล้ายขิง ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ ขับลมเย็น แก้ปวดกระเพาะ
ปวดทอ้ ง อาเจยี น เรอเปรย้ี ว ท้องเสยี แก้บดิ ทำให้เจรญิ อาหาร โดยกระตุ้นให้น้ำลายไหล
ออกมาและทำให้เกิดการชาในปาก แก้กระษัยลมเย็น แก้ปวดหัว ปวดฟ�น ไซนัส แก้หืดไอ
แก้หลอดลมอักเสบ แก้ลมวิงเวียน ฟกช้ำบวมปวด ขับระดู แก้สตรีที่เลือดลมไม่ดี
ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ตกเลือด แก้ริดสีดวงทวารหนัก แก้โรคนอนไม่
หลับ โรคลมบ้าหมู ขับน้ำดี ขับพยาธิ ใช้ภายนอกแก้ปวดกล้ามเนื้อ รักษาอาการอักเสบ
ผลดีปลีใช้เป�นเครื่องเทศโดยใช้แต่งกลิ่นผักดองและช่วยถนอมอาหารมิให้เกิดการบูด ใบ

100

รสเผ็ดร้อน ใช้เป�นยาขับลม แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยย่อยอาหาร เถา รสเผ็ดร้อน แก้
เสมหะพิการ แก้ปวดท้อง จุกเสียด แก้ริดสีดวงทวาร แก้ลม เจริญอาหาร ลดอาการเกร็ง
ของกล้ามเนื้อเรยี บ เถาและกิ่ง ฝนกับน้ำ ทาแก้ฟกบวม ใส่ฟ�น แก้ปวดฟ�น รากสด และใบ
สด แก้ฟกช้ำ โดยตำให้แหลกผสมกับเหล้า พอกบริเวณที่เป�น ราก รสเผ็ดร้อนขม แก้เส้น
อัมพฤกษ์อัมพาต แก้หืดไอ แก้ลมวิงเวียน แก้เสมหะ แก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ รักษาโรค
ลำไส้ใหญ่อักเสบ ต้น แก้เสมหะพิการ ราก ผล ดอก ปรุงเป�นยาแก้หืดและไอ แก้ลม
วิงเวียน ดอก แก้ท้องร่วง ขับลมในลำไส้ แก้ลมวิงเวียน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยให้เจริญ
อาหาร (ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธาน)ี
- ตำรายาแผนโบราณกล่าวว่า ผลแก้อัมพาต แก้เส้นป�ตตะฆาต แก้เส้นอัมพฤกษ์ แก้
คุดทะราดให้ป�ดธาตุ แก้โรคหลอดลมอักเสบ เป�นยาขับระดู เป�นยาธาตุ ทาแก้ปวดอักเสบ
ของกล้ามเนื้อ ระงับอชิณโรค บำรุงธาตุ ขับลม ขับลมให้กระจาย ขับผายลม แก้ลม ขับ
ลมในลำไส้ แก้ท้องร่วง แก้ธาตุพิการ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้ปฐวีธาตุพิการ แก้วิสติป�ฏฐี แก้
ป�ถวีธาตุ 20 ประการ บำรุงร่างกาย เจริญอาหาร แก้จุกเสียด เจริญไฟธาตุ แก้ปวดท้อง
ขับเสมหะในโรคหืด แก้อุระเสมหะ (เสมหะในทรวงอก) ปรุงเป�นยาประจำ ป�ถวีธาตุ เป�น
ยาขับรกให้รกออกง่ายภายหลังจากการคลอดบุตรและใช้เวลาโลหิตตกมาก แก้เสมหะ แก้
หืดไอ แก้ลมวิงเวียน แก้ริดสีดวงทวาร แก้คุดทะราด แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้
อาการคลื่นไส้ (เกิดจากธาตุไม่ปกติ) (ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยอุบลราชธานี)
- พิกัดยาไทย: ดีปลีจัดอยู่ใน “พิกัดตรีก��ก” แปลว่าของที่มีรสร้อน 3 อย่าง เป�นพิกัดยาท่ี
ประกอบด้วยเครื่องยา 3 อย่าง ในปริมาณเสมอกันคือ พริกไทย ขิงแห้ง และดีปลี มี
สรรพคุณแก้โรคที่เกิดจากวาตะ(ลม) เสมหะ และป�ตตะ(ดี) ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ
และกองสมุฏฐาน “พิกัดตรีสันนิบาตผล(ตรีสัพโลหิตผล)" คือการจำกัดตัวยาแก้
ไข้สันนิบาต 3 อย่าง คือ ผลดีปลี รากพริกไทย และรากกระเพราแดง มีสรรพคุณแก้
ไข้สันนิบาต แก้ในกองลม บำรุงธาตุ แก้ปถวีธาตุ 20 ประการ “พิกัดตัวยาเผ็ดร้อน 6
ชนิด” คือการจำกัดจำนวนตัวยาเผ็ดร้อน 6 ชนิด คือ ดีปลี พริกไทย ผลผักชีลา ใบแมงลัก
ผลกระวาน ใบโหระพา มีสรรพคุณแก้ลมจุกเสียด ช้ำบวม ช่วยย่อยอาหาร “พิกัดเบญจ
กลู ” คอื การจำกัดจำนวนตระกูลยาที่มรี สรอ้ น 5 อยา่ ง มี เหงา้ ขิงแห้ง ดอกดปี ลี รากช้าพลู
เถาสะค้าน รากเจตมูลเพลิง มีสรรพคุณกระจายกองลมและโลหิต แก้คูถเสมหะ แก้ลม
พานไส้ บำรุงกองธาตุทั้ง 4 ให้บริบูรณ์ (ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี)
- ตำรายาพระโอสถพระนารายณ์:ปรากฏตำรับ “ยาอาภิสะ” มีดีปลีเป�นองค์ประกอบหลัก
ร่วมกับสมุนไพรอื่นอีกหลายชนิด มีสรรพคุณแก้ริดสีดวง ไอ ผอมแห้ง แก้เสมหะในทรวง
อกและลำคอ (ฐานขอ้ มลู เครือ่ งยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี)

101

- บัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิมตามประกาศคณะกรรมการพัฒนา
ระบบยาแห่งชาติในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้ดีปลีในยารักษาอาการโรคใน
ระบบต่างๆของร่างกาย ได้แก่ ”ยาหอมนวโกฐ” มีส่วนประกอบของดีปลีร่วมกับสมุนไพร
ชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณในการแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืด ตาลาย ใจส่ัน
คล่ืนเหียน อาเจยี น แกล้ มจกุ แนน่ ในท้อง ตำรับ “ยาธาตุบรรจบ” มีส่วนประกอบของดีปลี
ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ และอาการ
อุจจาระธาตุพิการ ท้องเสียที่ไม่ติดเชื้อ ตำรับ “ยาประสะกานพลู” มีส่วนประกอบของ
ดีปลีร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่น
เฟ้อจากอาหารไม่ย่อย เนื่องจากธาตุไม่ปกติ ตำรับ”ยาเหลืองป�ดสมุทร” มีส่วนประกอบ
ของดีปลี ร่วมกับสมุนไพรอื่นอีก 12 ชนิดในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องเสียชนิด
ที่ไม่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น อุจจาระไม่เป�นมูก หรือมีเลือดปนและท้องเสียชนิดที่ไม่มีไข้
ตำรับ “ยาประสะไพล” มีส่วนประกอบของดีปลีร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ ใช้ใน
สตรีที่ระดูมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาน้อยกว่าปกติ ตำรับ “ยาเบญจกูล” มีส่วนประกอบของ
ผลดีปลีร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
บำรุงธาตุ แก้ธาตุให้ปกติ ตำรับ "ยาเลือดงาม" มีส่วนประกอบของดีปลี ร่วมกับสมุนไพร
ชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยให้ประจำเดือนมาเปน�
ปกติ แก้มุตกิด ตำรับ ”ยาเหลืองป�ดสมุทร” มีส่วนประกอบของดีปลี ร่วมกับสมุนไพรอนื่
ๆ ในตำรบั มีสรรพคณุ บรรเทาอาการท้องเสียชนดิ ท่ีไม่เกิดจากการติดเช้ือ เชน่ อุจจาระไม่
เป�นมูก หรือมีเลือดปนและท้องเสียชนิดที่ไม่มไี ข้ (ฐานข้อมูลเคร่ืองยาสมุนไพร คณะเภสัช
ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธาน)ี

- รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา: อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง และแก้อาการคลื่นไส้
อาเจียนที่เกิดจากธาตุไมป่ กติ โดยใช้ผลดีปลแี กแ่ ห้ง 1 กำมือ (ประมาณ 10-12 ผล) เติม
น้ำ 2 ถ้วยแก้ว ต้ม 10-15 นาที ดื่มแต่น้ำวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร อาการไอ และขับ
เสมหะ โดยใช้ผลแก่แห้งประมาณครึ่งผลฝนกับน้ำมะนาวแทรกเกลือเล็กน้อย กวาดคอ
หรือจิบบ่อยๆ ให้เติมน้ำพอควร (ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธาน)ี

- สารสกัดเมทานอลจากผลดีปลีสามารถลดการแตกตัวของ mast cell (mast cell
degranulation) โดยพบว่าสารสกัดที่ขนาด 100 และ 200 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรทำให้
mast cell เกิดการแตกตัว 40.96% และ 32.83% ตามลำดับ ในขณะที่สารมาตรฐาน
aminophylline ขนาด 100 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ซึ่งใช้เป�นสารเปรียบเทียบ ทำให้
mast cell เกิดการแตกตัว 40.97% ส่วน mast cell ที่ไม่ได้รับสารทดสอบใดๆ เกิดการ
แตกตัว 91.39% เมื่อสังเกตความเป�นพิษต่อเซลล์พบว่าสารสกัดที่ขนาด 100 และ 200
ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรทำให้เซลล์มีอัตราการรอดชีวิต 94.10% และ 75% ตามลำดับทำ

102

ให้สามารถสรุปได้ว่า สารสกัดเมทานอลจากผลดีปลีน่าจะมีประสิทธิภาพในการใช้เป�นยา
ต้านการแพ้ โดยที่ขนาด 100 มคก./มล. น่าจะมีทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยมาก
ทสี่ ดุ (Jadid และคณะ, 2016)
- การทดสอบฤทธิ์ต้านการเพ่ิมขึ้นของไขมันในหนูเมาส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้อ้วนด้วยอาหาร
ไขมันสูง ทำการทดลองด้วยการให้สารสกัด piperidine alkaloids จากผลดีปลี
(ประกอบด้วย piperine, pipernonaline และ dehydropipernonaline) ขนาด 50,
100 และ 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ป้อนให้แก่หนูทดลองเป�นเวลา 8 สัปดาห์ ผล
การทดลองพบว่ามีการลดลงของน้ำหนักของหนูทดลอง เซลล์ไขมัน คอเลสเตอรอลรวม
low-density lipoprotein (LDL), total lipid, leptin และ lipase นอกจากนี้ยังมีฤทธ์ิ
ในการลดไขมันสะสมที่ตับ จึงทำให้ร่างกายมีปริมาณไขมันลดลง สามารถทำให้น้ำหนัก
ของหนูทดลองลดลงไดใ้ นขณะที่มกี ารใหอ้ าหารในปรมิ าณเทา่ กันในทกุ วัน (Kim และคณะ
, 2011)
- การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดในหนูถีบจักรเพศผู้สายพันธุ์ ICR โดยแบ่งหนูเป�น 6 กลุ่ม กลุ่ม
ละ 6 ตัวหนูแต่ละกลุ่มจะได้รับสารสกัดเอทานอลจากผลดีปลี ในขนาด 300, 600 และ
1,200 mg/kg ตามลำดบั ซึ่งกลุ่มควบคมุ จะได้รบั 5% Tween80 และกลมุ่ อ้างอิงจะไดร้ บั
aspirin (300 มก./กก.) และ morphine (10 มก./กก.) วิธีทดสอบ Formalin Test แบ่ง
ออกเป�น 2 phase คือ ระยะ early phase จะป้อนสารสกัดแก่หนูก่อน หลังจากนั้น 1

ชั่วโมง จึงฉีด 1% formalin, 20 μL เข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังบริเวณด้านหลังเท้าซ้ายของ
หนู (หากเป�น morphine จะฉีดเข้าช่องท้องหนูเป�นเวลา 30 นาที ก่อนฉีด formalin)
บันทึกระยะเวลาที่หนูยกเท้าขึ้นเลีย ภายในเวลา 5 นาที หลังฉีด formalin,ระยะ late
phase จะฉีด formalin หลังป้อนสารสกัดแล้ว 40 นาที หรือหลังจากฉีด morphine
แล้ว 10 นาที บันทึกระยะเวลาที่หนูยกเท้าขึ้นเลีย ภายในเวลา 20-30 นาที หลังฉีด
formalin ผลการทดสอบพบวา่ สารสกดั ดปี ลีทุกขนาด สามารถยับยั้งอาการปวดได้อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติ โดยออกฤทธิ์ต่อระยะ late phase ได้ดีกว่าระยะ early phase
เชน่ เดยี วกบั ยามาตรฐาน aspirin และ morphine (Sireeratawong และคณะ, 2012)
ฤทธ์ิตา้ นการอกั เสบ (Anti-inflammation activity
- ผลดีปลีมีฤทธิ์ต้านการอักเสบด้วยกลไกในการยับยั้งการหลั่งเอนไซม์ cyclooxygenase II
(COX-II) แ ล ะ ย ั บ ย ั ้ ง tumor necrosis factor-a (TNF-a) โ ด ย ม ี ค ่ า IC50 เ ท ่ า กั บ
23.08±1.79 และ 15.74±2.50 ไมโครกรัมต่อมลิ ลลิ ติ ร ตามลำดับ (Kakatum, 2011)
- การศึกษาฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยให้สารสกัดเอทานอลจากผลดีปลีทาที่หูหนูขาวเพศผู้

สายพันธุ์ Sprague-Dawley ขนาด 1 มก. (20 μL) ต่อหูหนู 1 ข้าง ก่อนที่จะกระตุ้นให้หู
หนูเกิดการบวมดว้ ยการทา ethyl-Phenylpropiolate (EPP) ในขนาด 1 มลิ ลกิ รัมตอ่ 20

μL ตอ่ หูหนู 1 ข้าง จากการทดลองพบว่าสารสกดั จากผลดีปลี สามารถยับยั้งการบวมของ

103

ใบหูหนูได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งได้แก่
phenylbutazone 1 mg พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการบวมของหูหนูได้ไม่แตกต่างกัน ฤทธิ์ต้าน
การอกั เสบเม่อื เหนี่ยวนำให้องุ้ เทา้ หนูบวมด้วยการฉดี คาราจแี นน ผลการทดสอบพบว่าเมอ่ื
ป้อนสารสกัดขนาด 1200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป�นเวลา1 ชั่วโมงก่อนให้คาราจีแนน
สามารถลดการบวมไดต้ ้งั แตช่ ่วั โมงท่ี 3 และ 5 (Sireeratawong และคณะ, 2012)
ฤทธิต์ ้านการเกดิ แผลในกระเพาะอาหาร (Antigastric-ulcer activity)

- สารสกัดจากผลดีปลีด้วย 80% อะซีโตน มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของ
หนขู าวท่ีเหนย่ี วนำใหเ้ กดิ แผลในกระเพาะอาหารด้วยเอทานอล และ indomethacin โดย
มีค่า ED50 เท่ากับ 14 และ 12 มก./กก. ตามลำดับ เมื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของ
สารสกัดผลดีปลี พบว่าประกอบด้วยสารในกลุ่ม amide ได้แก่ piperchabamides A, B,
C และ D (1-4) นอกจากน้ียังพบสารสำคัญอ่นื ๆ ในดีปลี ได้แก่ piperine (5), piperanine
(6 ) , pipernonaline (7 ) , dehydropipernonaline (8 ) , piperlonguminine (9 )
retrofractamide B (1 0 ) , guineensine (1 1 ) , N-isobutyl-(2 E,4 E)-
octadecadienamide (12) และ N-isobutyl-(2E,4E,14Z)-eicosatrienamide (13)
และ methyl piperate (14) มีฤทธ์ิตา้ นการเกดิ แผลในกระเพาะอาหารของหนู โดยท่สี าร
5-10 และ 12-14 ในขนาด 25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมมีนัยสำคัญในการต้านการเกิดแผลใน
กระเพาะอาหารของหนูที่เหนี่ยวนำให้เกิดแผลด้วยเอทานอล สาร 5, 7, 8, 10, 12 และ
13 มีนัยสำคัญในการต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารของหนูที่เหนี่ยวนำให้เกิดแผล
ด้วย indomethacin เมอ่ื ใช้ในขนาดเดียวกนั (Morikawa และคณะ, 2004)

12. กระบวนการผลิต
-

13. สตู รส่วนประกอบ
ผล

14. รายละเอยี ดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหน่ายจนถงึ ปจ� จุบัน
- ชาดปี ลีเชอื ก : กลุ่มสมุนไพรดีปลเี ชือกพริกไทย อ. จฬุ าภรณ์ จ.นครศรธี รรมราช
- ชาสมนุ ไพร "จตุวัฒนะ (พรกิ ไทยดำ ดีปลี ผกั เสย้ี นผี มะตูม) : ลำปางรักษส์ มุนไพร ตำบล
บ่อแฮ้ว อำเภอเมอื งลำปาง จงั หวัดลำปาง

15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
- ไม่ควรบริโภคปริมาณมากเกินไป จะทำให้กระเพาะอักเสบ แสบทวารเวลาถ่าย คนมีไข้ไม่
ควรกินจะทำให้ร้อนใน หญิงมีครรภ์ห้ามกินเพราะอาจทำให้แท้งได้ (สำนักงานข้อมูล
สมุนไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล)

104

ส่วนท่ี 2 ขอ้ มูลความปลอดภยั
1. ลักษณะทางชีวเคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขบั ออกจากร่างกาย
ไมพ่ บข้อมูล
การเปลีย่ นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มูล
ผลต่อเอนไซมแ์ ละคา่ อนื่ ทางชวี เคมี
ไมพ่ บขอ้ มลู
ปฏิกริ ยิ าทเ่ี กดิ ขึ้นและวิถี (Reaction and fate) หรอื ปฏกิ ริ ยิ าตอ่ กัน (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มูล
2. ผลการศกึ ษาความเป�นพิษในสัตวท์ ดลอง
การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉยี บพลนั (Acute toxicity Study)
- Jaijoy และคณะ (2011) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันโดยทดลองกับหนูแรทสายพันธ์ุ
Sprague-Dawley ซึ่งศึกษาตามหลักเกณฑ์ OECD โดยให้สารสกัดน้ำของใบดีปลี 5000
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวผ่านทางช่องปาก ซึ่งสังเกตเป�นระยะเวลา 14 วัน พบว่า
สารสกัดน้ำของใบดีปลีไม่แสดงความเป�นพิษต่อหนูทั้งในด้านน้ำหนักตัว น้ำหนักของ
อวยั วะภายใน และพฤตกิ รรมทว่ั ไป
การศึกษาความเป�นพษิ กง่ึ เรอื้ รัง (Subchronic toxicity study)
- Jaijoy และคณะ (2011) ศึกษาความเป�นพิษกึ่งเรื้อรังโดยทดลองกับหนูแรทสายพันธ์ุ
Sprague-Dawley ซึ่งศึกษาตามหลักเกณฑ์ OECD ซึ่งให้สารสกัดน้ำของใบดีปลี 300,
600 และ 1200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวผ่านทางช่องปากเป�นเวลา 90 วัน และมี
การศึกษาในกลุ่ม satellite group เป�นกลุ่มศึกษาผลย้อนกลับหลังหยุดให้สารสกัดดีปลี
ในน้ำ โดยให้สารสกัดดีปลีขนาด 1200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป�นระยะเวลา 90 วัน
แล้วหยุดให้แล้วสังเกตอาการต่ออีก 28 วัน ผลการศึกษาพบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัด
ดีปลีไม่มีความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยทั้ง
กลมุ่ ทดลอง และกลุ่มควบคมุ ไมพ่ บความผิดปกตขิ องอวัยวะ
การศึกษาความเปน� พษิ เรอ้ื รงั (Chronic toxicity study)
ไม่พบข้อมูลการศกึ ษา
3. การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉพาะทาง (ถ้าม)ี
การศกึ ษาความเป�นพิษตอ่ ระบบประสาท
- การศกึ ษาฤทธิ์ลดอาการวิตกกังวล โดยการให้สกดั สารจากผลดีปลแี ล้วนำมาป้อนให้แก่หนู
เมาส์ในขนาด 300 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมติดต่อกันเป�นเวลา 21 วัน ประเมินผลการทำงาน
ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยการทดสอบด้วยวิธี cage crossing, head dips, swim

105

test และ light and dark test เพื่อให้หนูอยู่ในภาวะเครียดต่างๆ และดูพฤติกรรมของ
หนู ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดจากดีปลี ทำให้หนูทดลองลดอาการวิตกกังวลลงในระดับ
อ่อนมีผลกดระบบประสาทส่วนกลาง และมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน (Sarfaraz และคณะ,
2014)
4. การศกึ ษาในมนุษยท์ างคลนิ ิก หรือทางระบาดวทิ ยา (ถา้ มี)
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา

สรุปและข้อเสนอแนะจากผูว้ จิ ัย
ช่อดอกและผลสุกของดีปลีที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน และผลอ่อนที่นำมาบริโภคสดสามารถ

นำมาบริโภคเป�นอาหารได้ แต่ไมค่ วรบรโิ ภคปริมาณมากเกินไปเนือ่ งจากมรี สเผ็ดรอ้ น
ส่วนข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสกัดน้ำของใบดีปลี 5000 มิลลิกรัมต่อ

กิโลกรัมน้ำหนักตัวกับหนูแรทสายพันธุ์ Sprague-Dawleyผ่านทางช่องปากซึ่งสังเกตเปน� ระยะเวลา 14 วัน
ไม่พบความเป�นพิษ และการศึกษาความเป�นพิษกึ่งเรื้อรังของสารสกัดน้ำของใบดีปลีขนาด 1200 มิลลิกรัม
ต่อกิโลกรัมต่อวันกับหนูแรทสายพันธุ์ Sprague-Dawley ผ่านทางช่องปากเป�นระยะเวลา 90 วันไม่พบ
ความผิดปกติของอวยั วะ

106

(3) ผักเบี้ยหิน
ส่วนที่ 1 ขอ้ มูลท่วั ไป

1. ช่อื สามัญของพชื และสมุนไพร
ภาษาไทย: ผกั เบย้ี หนิ ผกั โขมหิน

ภาษาอังกฤษ: House purslane

2. ชอ่ื วทิ ยาศาสตรข์ องพืชและสมนุ ไพร
Trianthema portulacastrum L.วงศ:์ AIZOACEAE

ภาพท่ี 15 ผกั เบ้ียหนิ (Trianthema portulacastrum L.)
ทม่ี า: ฐานขอ้ มลู สมุนไพรไทยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภมู ศิ าสตร์ หรอื แหล่งท่ีเกบ็ ตวั อย่างพชื และสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภูมิศาสตร์
พบท่วั ไปในทล่ี ่มุ ชื้นแฉะในเขตรอ้ นและก่งึ เขตร้อน
3.2 แหล่งทเี่ กบ็ ตวั อยา่ งพืชและสมุนไพร
หมทู่ ี่ 7 ตำบลหนองตากยา อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี

4. ประวตั ิการบรโิ ภคเป�นอาหาร หรือการบรโิ ภค (มากกวา่ 15 ป)�
ผักเบี้ยหินพบข้อมูลประวัติการบริโภคเป�นอาหารในประเทศไทยเป�นระยะเวลาอย่างน้อย 22
ป� ดงั นี้

107

- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่าผักเบี้ยหินนั้นนำส่วนของยอดอ่อน
และลำต้นอ่อนนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ หรือชุบแป้งทอด โดยผักเบี้ยหินพบได้ในตามไร่
รมิ ทางเดินหรือเปน� วัชพชื ในสวน (อุษา ทองไพโรจน,์ 2542)

นอกจากนี้ ยังพบว่าผักเบี้ยหินเป�นพืชที่มีการบริโภคเป�นอาหารในประเทศปากีสถาน (Khan,
W. และคณะ, 2013)
5. ส่วนท่ีนำมาใช้ (part of use)

ยอดออ่ น ลำตน้ ออ่ น
6. วตั ถปุ ระสงค์การบริโภค

บริโภคเปน� อาหาร
7. รปู แบบการบริโภค

บริโภคโดยผ่านการปรงุ สกุ ดว้ ยความร้อน
- ยอดอ่อน และลำต้นอ่อน ใช้ปรุงเป�นอาหาร โดยนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ต่างๆ หรือชุบแป้ง

ทอด
8. กลุ่มผ้บู ริโภค

บุคคลทัว่ ไป
9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ

9.1 คุณคา่ ทางโภชนาการ
- ผักเบี้ยหินมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้ ความชื้น 80.0±2.2 มิลลิกรัมต่อกรัม เถ้า
348.0±6.2 มิลลิกรมั ตอ่ กรมั ไขมันทง้ั หมด 20.0±0.6 มลิ ลิกรมั ต่อกรมั (Saponifiacle
lipid 11.2±0.8 มิลลิกรัมต่อกรัม และ Non saponifiable lipid 8.8±0.2 มิลลิกรัม
ต่อกรัม) โปรตีนทั้งหมด 91.9±3.2 มิลลิกรัมต่อกรัม ใยอาหาร 430.0±8.2 มิลลิกรัม
ตอ่ กรมั คาร์โบไฮเดรต 30.2±1.2 มิลลิกรมั ต่อกรัม และพลงั งาน 76.01 กิโลแคลอรีต่อ
100 กรัม นอกจากนี้ ผักเบี้ยหินมีวิตามินและแร่ธาตุ ดังนี้ วิตามิน A 0.81±0.2
มิลลิกรมั ตอ่ กรัม วิตามนิ B2 2.02±0.3 มิลลกิ รัมตอ่ กรัม โซเดียม 44.00±1.4 มลิ ลกิ รมั
ต่อกรัม โพแทสเซียม 51.60±5.2 มิลลิกรัมต่อกรัม สังกะสี 0.20±0.02 มิลลิกรัมต่อ
กรมั ทองแดง 0.02±0.1 มลิ ลิกรัมตอ่ กรมั เหล็ก 6.44±0.4 มิลลิกรัมต่อกรัม แมงกานสี
0.04±0.01 มิลลิกรัมต่อกรัม และนิกเกิล 0.03±0.006 มิลลิกรัมต่อกรัม (Khan, W.
และคณะ, 2013)
- ผักเบี้ยหินมีปริมาณคารโ์ บไฮเดรต 3% โปรตีน 9% ไขมัน 2% ในใบมีใยอาหารมากถึง
43% และในผักเบี้ยหินพบวิตามิน A (~0.8 มิลลิกรัมต่อกรัม) วิตามิน B2 (~2.02
มิลลิกรัมต่อกรัม) วิตามิน B3 วิตามิน C โซเดียม (~44 มิลลิกรัมต่อกรัม) โพแทสเซียม
(~51.6 มิลลิกรัมต่อกรัม) คอปเปอร์ (~20 มิลลิกรัมต่อกรัม) ซิงค์ (~200 มิลลิกรัมต่อ

108

กรัม) และแมงกานีส (~40 มิลลิกรัมต่อกรัม) และให้พลังงาน 76 กิโลแคลลอรี่ต่อ100
กรัม (Uttam Das และคณะ, 2020)
9.2 สารสำคญั
- สารสกัดจากน้ำของใบผักเบี้ยหินพบ alkaloid, saponin, anthraquinone และ
flavonoids (Asif และคณะ, 2014)
- สารสกัดเอทานอล คลอโรฟอร์ม เอทิลอะซิเตท และ n-butanol ของใบผักเบี้ยหินพบ
flavonoids (Yadav และคณะ, 2017)
- สารสกัดของต้นผักเบี้ยหินจากป�โตรเลียมเบนซิน และเมทานอลพบ saponin,
flavonoids, alkaloid, terpenoid และ phenolic compound (Sunder และคณะ,
2019)
10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
- ใบของต้นผักเบ้ยี หนิ พบสารต้านโภชนาการ (Antinutrients) ไดแ้ ก่ Phytate 10.14±2.44
มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักแห้ง Oxalate 6806.25±590.85 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
น้ำหนักแห้ง HCN 45.36±2.16 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักแห้ง และ Nitrate
0.04±0.01 มิลลกิ รมั ตอ่ 100 กรมั น้ำหนักแห้ง (Hassan, L. G และคณะ, 2011)
11. ฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยา หรือสรรพคณุ พนื้ บา้ น
- ต้นของผักเบี้ยหินปรุงยาขับลม แก้เสมหะและดีพิการ ดอกบำรุงโลหิต รากขับระดู แก้
ลมอัณฑพฤกษ์ รักษาริดสีดวงทวาร แก้เสมหะ เจริญไฟธาตุ แก้ฟกบวมในท้อง (ณุฉัตรา
จันทร์สุวานชิ ย์ และชาตรี ชาญประเสริฐ, 2535)
- ผักเบี้ยหินมีสารพฤกษเคมีหลายชนิดที่ช่วยฟ�นฟูหรือควบคุมโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ดี
ซา่ น การอกั เสบ ความผิดปกตขิ องไต โลหิตจาง และมะเร็ง รวมทง้ั มฤี ทธ์ทิ างเภสัชวิทยาท่ี
สามารถนำไปใช้เป�นส่วนประกอบเสริมในยา เช่น คุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระ
(Antioxidant properties) ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory activities)
ป้องกันความเป�นพิษต่อเซลล์ตับ (hepatoprotective) ฤทธิ์ป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือด
ต่ำ (Antihyperglycemic potential) ฤทธิ์ต้านมะเร็งและสารต้านจุลินทรีย์
(Sukalingam และคณะ, 2017) ฤทธิ์ระงับปวด (Analgesic activity) ฤทธิ์ต้านการ
แข็งตัวของเลือด (antinociceptive activity) ฤทธิ์ช่วยลดลดไขมันในเลือด
(Hypolipidemic activity) ฤทธยิ์ บั ยั้งความเปน� พิษตอ่ ตบั (Hepatoprotective activity)
(Shivhare และคณะ , 2012)
- ผกั เบ้ยี หนิ ทง้ั ตน้ มกี ารนำมาใช้ในทางยา ไดแ้ ก่ แก้ปวด เป�นยาระบาย แก้ท้องอดื ใชใ้ นการ
รักษาโรคโลหิตจาง โรคหลอดลมอักเสบ ริดสีดวงทวาร การอักเสบ โรคเกี่ยวกับตับ หอบ
หืด อาการคัน แผลเรื้อรัง ตาบอดกลางคืน และโรคที่เกี่ยวกับเลือดและผิวหนัง (Shah, S.
R. U. และคณะ, 2006)

109

ฤทธ์ิขบั ปส� สาวะ (Diuretic activity)
- การศึกษาฤทธิ์การขับป�สสาวะของสารสกัดหยาบของต้นผักเบี้ยหินแก่หนูโดยการฉีดเข้า

ช่องท้อง (IP) ที่ปริมาณ 10, 30 และ 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวพบว่าสารสกัดมี
ฤทธิ์ช่วยในการขับป�สสาวะข้ึนอยู่กับปริมาณสารสกัดโดยปริมาณสารสกัดที่ 50 มิลลิกรัม
ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวมีฤทธิ์การขับป�สสาวะมากที่สุดอยู่ที่ 79% และช่วยเพิ่มปริมาณสาร
อเิ ลก็ โทรไลต์ ได้แก่ โซเดียม โพแทสเซียม ในปส� สาวะอยา่ งมนี ัยสำคญั และพบวา่ คา่ ความ
เป�นกรดด่างของป�สสาวะในหนูที่ได้รับสารสกัดไม่มีค่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญกับ
ตัวอย่างควบคมุ (Asif และคณะ, 2014)
ฤทธ์ิลดระดับนำ้ ตาลในเลือด (Hypoglycemic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของผักเบี้ยหินทั้งต้นแก่หนูโดยแบ่งหนูแรทที่ถูก
กระตุ้นให้เป�นเบาหวานด้วย streptozotocin ออกเป�น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว แบ่งเป�น
กลุ่มควบคุม กลุ่มที่รักษาด้วยยามาตรฐานซึ่งใช้ลดน้ำตาลในเลือด (Glibenclamide) ใน
ขนาด 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนอีก 2 กลุ่มให้สารสกัดเมทานอลของผักเบี้ยหินทั้งต้น
ขนาด 100 และ 200 มลิ ลกิ รมั ตอ่ กโิ ลกรัม ตามลำดบั พบวา่ สารสกดั เมทานอลของผักเบย้ี
หินสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูแรทได้อย่างมีนัยสำคัญหลังกินเข้าไป 1
ชั่วโมง และจะออกฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลได้ดีท่ีสุดหลังกินเข้าไป 4 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่า
สารดังกล่าวมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป�นเบาหวานได้เทียบเท่ากับการ
รักษาโดยใช้ยามาตรฐานที่ใช้ลดน้ำตาลในเลือด (Glibenclamide) (Sunder และคณะ,
2009)
ฤทธติ์ า้ นการเจรญิ พันธุ์ (Antifertility activity)
- มีการรายงานว่าผักเบี้ยหินมีฤทธิ์ในการต่อต้านการเจริญพันธุ์และมีการใช้โดยชนเผ่า

อินเดียนและชุมชนในชนบทเพื่อเป�นยาทำแท้งและยาคุมกำเนิด โดยฤทธิ์การต่อต้านการ

เจริญพันธุ์นั้นเกิดจากสเตียรอยด์ (Steroid) เอคไดสเตอโรน (Ecdysterone) ซึ่งเป�น

องคป์ ระกอบทางเคมีที่สำคญั ของผักเบ้ยี หนิ (Shivhare และคณะ, 2012) Pare และคณะ

(2013) ได้สำรวจผลการแท้งที่อาจเกิดขึ้นของสารสกัดจากน้ำ คลอโรฟอร์ม และ

แอลกอฮอล์ของส่วนลำต้น ใบ และรากของผักเบี้ยหินในหนูแรท จากการทดลองพบว่า

สารสกัดมีฤทธิ์ในการสกัดกั้นการตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญที่ปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อ

กิโลกรัมน้ำหนักตัว โดยสารสกัดจากน้ำ คลอโรฟอร์ม และแอลกอฮอล์แสดงฤทธิ์สกัดก้ัน

การตงั้ ครรภ์ท่ี 64%, 73% และ 94% ตามลำดบั และที่ปรมิ าณสารสกัดตำ่ กวา่ 100 และ

200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แสดงฤทธิ์ในสกัดกั้นการตั้งครรภ์ประมาณ 23% และ 48%

ตามลำดับ เปอร์เซ็นต์ดัชนีการสลายของทารกในครรภ์เพิ่มขึ้นจาก 0% ในกลุ่มควบคุม

110

เป�น 94.02% ในหนูที่ได้รับสกัดแอลกอฮอล์ปริมาณ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตวั

(Pare และคณะ, 2013) ดังนั้น การศึกษานี้มีการทดลองแบบควบคุมในแบบจำลองของ

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเกี่ยวข้องกับการแท้ง (Abortifacient activity) ของผักเบี้ยหิน

ในขณะที่การศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าผักเบี้ยหินสามารถแสดงผลการต้านการเจริญ

พันธุ์ไดเ้ น่ืองจากส่วนประกอบของสเตยี รอยด์ เอคไดสเตอโรน ซง่ึ สังเกตวา่ พบได้เฉพาะใน

แบบจำลองของสัตว์และการสังเกตนี้อาจไม่จำเป�นในมนษุ ย์ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ผลของ

เอคไดสเตอโรนในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้รับการประเมินแล้วและไม่พบผลกระทบที่สังเกต

พบในมนษุ ยเ์ มอ่ื ทำการศึกษา (Wilborn และคณะ, 2006)

12. สูตรสว่ นประกอบ
-

13. รายละเอยี ดผผู้ ลิต และระยะเวลาการจำหน่ายจนถึงปจ� จุบัน
-

14. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
-

ส่วนที่ 2 ขอ้ มลู ความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชวี เคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขับออกจากร่างกาย
ไม่พบข้อมูล
การเปล่ยี นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไมพ่ บขอ้ มูล
ผลต่อเอนไซม์และคา่ อ่นื ทางชีวเคมี
ไม่พบขอ้ มูล
ปฏิกิริยาที่เกดิ ขึ้นและวิถี (Reaction and fate) หรอื ปฏิกริ ิยาตอ่ กนั (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มลู
2. ผลการศึกษาความเป�นพษิ ในสัตวท์ ดลอง
การศึกษาความเป�นพษิ เฉยี บพลัน
- Asif และคณะ (2014) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันโดยให้สารสกัดหยาบของต้นผักเบี้ย
หินแก่หนูแรทผ่านทางปาก พบว่าสารสกัดหยาบของต้นผกั เบี้ยหินปลอดภัยแม้ในปริมาณ
3000 มิลลิกรัมต่อกโิ ลกรัม โดยไมก่ ่อให้เกดิ ความเปน� พิษ ความเครยี ด หรือพฤติกรรมทีไ่ ม่
พึงประสงค์ นอกจากนี้ยังไม่มีอาการท้องร่วงและไม่มีการตายภายใน 24 ชั่วโมงของการ
ทดลอง

111

- Yadav และคณะ (2017) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันในหนูแรทสายพันธุ์ Wistar โดย
ให้สารสกัดของใบผักเบี้ยหินด้วยเอทานอลที่ปริมาณ 2000, 3000, 4000 และ 5000
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมแก่หนูผ่านทางปากเป�นเวลา 14 วัน ตามแนวทางของ OECD
guidelines พบวา่ สารสกดั มีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดความเปน� พษิ หรือการตาย โดยค่า
LD50 ของสารสกัดมีค่ามากกว่า 5000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งเท่ากับ 2800 เท่าของ
ปรมิ าณ 200 มิลลิกรัมตอ่ 70 กโิ ลกรมั ของน้ำหนกั ตัว

การศกึ ษาความเป�นพิษก่งึ เรอื้ รงั (Subchronic toxicity study)
ไม่พบขอ้ มลู การศึกษา

การศึกษาความเปน� พิษเร้อื รัง (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา

3. การศกึ ษาความเป�นพษิ เฉพาะทาง (ถ้าม)ี
ไมพ่ บข้อมลู การศึกษา

4. การศกึ ษาในมนุษยท์ างคลินิก หรือทางระบาดวทิ ยา (ถ้ามี)
ไม่พบข้อมลู การศึกษา

สรปุ และขอ้ เสนอจากผ้วู จิ ัย
ยอดอ่อน และลำต้นอ่อนของผักเบี้ยหินที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการผัดหรือทอด

สามารถนำมาบริโภคเป�นอาหารได้และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค ซึ่งจากข้อมูลการศึกษา
ความเป�นพิษเฉียบพลันพบว่าการให้สารสกัดจากของต้นผักเบี้ยหินด้วยเมทานอลแก่หนูแรทผ่านทางปากท่ี
ปริมาณ 3000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัวไม่มีอาการท้องร่วงและไม่มีการตายภายใน 24 ชั่วโมง
และสารสกัดของใบผักเบี้ยหินด้วยเอทานอลแก่หนูแรทสายพันธุ์ Wistar ทางปากเป�นวเวลา 14 วัน ซึ่งท่ี
ปริมาณ 5000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมแก่หนูไม่ก่อให้เกิดความเป�นพิษและไม่ส่งผลต่อการตายเฉียบพลันแก่
สัตว์ทดลอง ดงั นน้ั ค่า LD50 ของสารสกดั มีค่ามากกว่า 5000 มิลลิกรมั ตอ่ กิโลกรัม

ตารางที่ 1.7 พชื อาหารและสมนุ ไพรท่ีเป�นอาหารและยาทนี่ อกเหนือประกาศฯ ในภาค

ลำดับ ช่ือพืช ชือ่ วิทยาศาสตร์ ชื่อวงศ์

1 ผกั กระสัง Piper pellucidum L. Piperaceae

2 รางแดง Ventilago denticulata Willd. Rhamnaceae

3 หกู วาง Terminalia catappa L. Combretaceae

คกลาง 112
สว่ นทใ่ี ช้
วธิ ีการ
ยอด ใบ เมลด็
ใบ บรโิ ภคสด ปรงุ สุกด้วยความรอ้ นโดยการลวก
บรโิ ภคโดยผ่านการปรงุ สกุ ด้วยความร้อน
e ยอดอ่อน ผล เมลด็ นำมาปง� ไฟให้กรอบชงดืม่ เปน� นำ้ ชา
บริโภคสด ปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการต้มใบ
หรือรมควันเมลด็

113

การศกึ ษาขอ้ มลู ความปลอดภยั ของพชื และสมนุ ไพรภาคกลาง

(1) ผักกระสัง
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลทว่ั ไป

1. ชอ่ื สามญั ของพชื และสมุนไพร
ภาษาไทย: ผกั กระสัง
ภาษาอังกฤษ: Pepper elder

2. ชอ่ื วิทยาศาสตร์ของพชื และสมนุ ไพร
Piper pellucidum L. วงศ์: Piperaceae

ภาพท่ี 16 ผักกระสัง (Piper pellucidum L.)
ท่มี า: ฐานขอ้ มลู สมุนไพรไทยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภมู ิศาสตร์ หรือแหลง่ ที่เก็บตัวอย่างพชื และสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภูมิศาสตร์
มถี ่นิ กำเนดิ ในอเมริกา ข้ึนเปน� วัชพชื ทว่ั ไป ทงั้ ตน้ กินเปน� ผกั สดหรอื ปรงุ สุก
3.2 แหล่งท่เี ก็บตวั อยา่ งพืชและสมนุ ไพร
นนทบุรี

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรอื การบริโภค (มากกวา่ 15 ป�)
- จากการสำรวจข้อมูลทางคุณค่าทางโภชนาการของผักและผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนบริโภค

เปน� สว่ นใหญ่ พบวา่ คณุ ค่าทางโภชนาการของผักกระสัง 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ
96.4 กรัม โปรตีน 0.6 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.1 กรัม ใยอาหาร 0.6 กรัม

วิตามินแร่ธาตุ 0.7 กรมั โดยเป�นแคลเซยี ม 63 มลิ ลิกรมั เหล็ก 0.6 มิลลกิ รมั ไรโบฟลาวิน

114

0.24 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.7 มิลลิกรัม และวิตามินซี 15 มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด

13 แคลอร่ี (กองโภชนาการ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข, 2544)

- ผักกระสังถูกจัดจำแนกเป�นพืชล้มลุกโดยใช้รับประทานยอด ใบ เป�นต้น (สำนักงาน

สาธารณสขุ มูลฐาน, 2538)

- กระสังเป�นตน้ ไมก้ นิ ได้มรี สชาติเผด็ นดิ ๆ ซ่าลน้ิ เพราะความเผ็ดจากเมล็ดที่เกาะกันเป�นช่อ

เหมือนเมล็ดพริกไทยแต่ต่างกันที่ขนาดเล็กกว่า ประกอบกันเป�นต้นไม้อวบน้ำ มีน้ำเป�น

ส่วนประกอบเป�นจำนวนมาก จึงไม่เผ็ดมาก สามารถกินกับน้ำพริก กินสดหรือลวก จาก

การวเิ คราะหข์ องสถาบันวิจยั โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบวา่ ในกระสงั 100 กรัม มี

ไนอซิน วิตามินซี 15 มิลลิกรัม แคลเซียม 63 มิลลิกรัม เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม โปรตีน 0.6

กรัม และมีเบต้าแคโรทีนประมาณ 285 ไมโครกรัม เทียบเท่าเรตินัลเป�นเบต้าแคโรทีน

แท้ๆสดๆ ซึ่งไม่มีที่อื่นนอกจากในใบผักสด เบต้าแคโรทีนนี้สามารถช่วยป้องกันการเกิด

มะเรง็ และโรคหัวใจขาดเลือด โดยทำหนา้ ที่ต้านขบวนการเกิด oxidation ทท่ี ำให้เซลล์ใน

ร่างกายเสียหายกลายเป�นเซลลม์ ะเร็ง (วิวัฒน์ อิงคะประดิษฐ,์ 2542)

5. ส่วนทน่ี ำมาใช้ (part of use)
ยอด ใบและเมลด็

6. วตั ถปุ ระสงคก์ ารบริโภค
พืชอาหาร

7. รูปแบบการบรโิ ภค
รบั ประทานสด
- ยอด ใบ และเมลด็ มารับประทานสดจ้ิมนำ้ พริก
บรโิ ภคโดยผา่ นการปรงุ สกุ ดว้ ยความร้อน
- ยอด ใบ และเมล็ดมาลวกจ้ิมนำ้ พริก

8. กลุ่มผูบ้ ริโภค
บคุ คลทว่ั ไป

9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคญั
9.1 คณุ ค่าทางโภชนาการ
- คุณค่าทางโภชนาการของผักกระสัง 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ 8.33 ± 0.33

กรัม 10.63 ± 0.07 กรมั ไขมัน 3.24 ± 0.28กรมั คาร์โบไฮเดรต 46.58 ± 2.74 กรัม

วิตามินแร่ธาตุ 31.22 ± 2.06 กรัม โดยเป�น โพแทสเซียม 6977 ± 4.24 มิลลิกรัม

แคลเซยี ม 483 ± 97.02 มิลลิกรมั เหล็ก 119.3 ± 20.33 มลิ ลกิ รัม โซเดียม 53.92 ±

115

0.37 มิลลิกรัม ซิงค์ 12.59 ± 0.25 มิลลิกรัม คอปเปอร์ 3.10 ± 0.33 มิลลิกรัม

และมีพลงั งานทง้ั หมด 258/1080 กโิ ลแคลอรีต่ ่อกโิ ลแคลจลู (Ooi และคณะ, 2012)

9.2 สารสำคญั
-

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธ์ทิ างเภสัชวทิ ยา หรอื สรรพคณุ พนื้ บ้าน
- ใบของต้นกระสงั ถกู ใชร้ กั ษาอาการปวดหัว ไข้ กลาก ปวดทอ้ งและอาการชกั (Ghani และ
คณะ, 1998)
- ผู้คนท้องถ่ินในจังหวัด Lakshmipur ของประเทศบงั คลาเทศมีการใช้ส่วนของใบกระสังใน
การรักษาความผิดปกติทางจิตจากการตกใจ (excited mental disorder) และสมาคม
การแพทยม์ ะนิลารายงานว่ามีการกระสังช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ และอาจทำใหก้ ด
การทำงานของสมอง หรือกดประสาท (CNS depression) (Calimag และคณะ, 2007)
มีรายงานเพิ่มเติมว่าต้นกระสังมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ และแก้ปวด ต้าน
เชอื้ รา และตา้ นมะเร็ง (Arrigoni-Blank และคณะ, 2004; Aziba และคณะ, 2001; Khan
และคณะ, 2004; Ragasa และคณะ, 1998 ; Xu และคณะ, 2006) การรักษาโรค
ไข้เลือดออกในประเทศโบลิเวีย (Muñoz และคณะ, 2000) ลดคลอเลสเตอรอลในบราซิล
(Bayma และคณะ, 2000) และใช้ในการรักษาป�ญหาเกี่ยวกับไตและกรดยูริคในประเทศ
ฟล� ิปปน� ส์ (Arrigoni-Blank และคณะ, 2004)
ฤทธิ์ตา้ นการอกั เสบและฤทธ์แกป้ วด (anti-inflammatory and analgesic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยวิธี pawedema induced by carrageenin และ

arachidonic acid และฤทธแ์ิ กป้ วดโดยวธิ ี abdominal writhes และ hot plate ในสาร

สกดั ของส่วนลำต้นเหลือดินของผกั กระสงั ต่อหนทู ดลอง โดยการใหส้ ารสกัดผ่านทางชอ่ งท่ี

100, 200 และ 400 มก./กก. พบว่าสารสกัดทั้งสองขนาดมีฤทธ์ิต้านการอักเสบ และที่

ปรมิ าณ 400 มก./กก. มีฤทธิ์แกป้ วดไดส้ งู ท่สี ุดในวิธีนการทดสอบการบิดตัวของชอ่ งท้องที่

เกิดจากกรดอะซิติก ส่วนวิธี hot plate นั้นพว่าขนาดที่ดีที่สุดคือ 100 มก./กก.

(Arrigoni-Blank และคณะ, 2004)

12. กระบวนการผลติ
-

13. สูตรสว่ นประกอบ
-

116

14. รายละเอยี ดผผู้ ลิต และระยะเวลาการจำหน่ายจนถงึ ปจ� จุบัน
-

15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
-

สว่ นที่ 2 ข้อมลู ความปลอดภัย

1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขับออกจากรา่ งกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปลี่ยนแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มลู
ผลต่อเอนไซม์และค่าอื่นทางชีวเคมี
ไม่พบข้อมูล
ปฏกิ ริ ิยาทเ่ี กิดขน้ึ และวิถี (Reaction and fate) หรือปฏิกริ ยิ าต่อกนั (Interaction)
ไม่พบข้อมูล

2. การศกึ ษาความเปน� พิษในสตั ว์ทดลอง
การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉยี บพลัน (Acute toxicity Study)
- Khan และคณะ (2007) ทำการทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลัน โดยการให้สารสกัด

ป�โตรเลียมอีเทอร์และเอทิลอะซิเตทของใบผักกระสังกับหนูไมส์ที่ปริมาณ 200 - 1600

มก./กก. ต่อน้ำหนกั ตวั จากการทดลองพบว่าหลังจาก 2 ชั่วโมง ถึง 24 ชั่วโมงหลังรับสาร

สกัดไม่พบการตายหรอื ความเปน� พษิ ใดๆ

- Arrigoni-Blank และคณะ (2004) การทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลัน โดยการให้สาร

สกัดของสว่ นลำต้นเหลอื ดินของผักกระสังกับหนูไมสท์ ี่ปริมาณ 5000 มก./กก. ต่อน้ำหนัก

ตัว จากการทดลองพบวา่ หลงั จาก 48 ชวั่ โมง และ 14 วันหลังรับสารสกดั ไม่พบพฤตกิ รรม

และน้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงไปสารสกัดถือว่ามีความเป�นพิษที่ต่ำ เมื่อมีค่า LD50 ที่สูงกว่า

5000 มก./กก.

การศึกษาความเปน� พิษกง่ึ เรอ้ื รงั (Subchronic toxicity study)
ไม่พบขอ้ มูลการศกึ ษา

การศึกษาความเป�นพิษเรอื้ รัง (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มูลการศึกษา

117

3. การศกึ ษาความเปน� พิษเฉพาะทาง (ถ้าม)ี
- การศึกษาผลของสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์และเอทิลอะซิเตทของใบผักกระสังที่กระทบ

ต่อระบบประสาท โดยวิธี duration of diazepam-induced sleep, nikethamide-

induced toxicity, light-dark test และ force swimming test กับหนูไมส์ที่ปริมาณ

สารสกัด 50, 100 และ200 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว จากการทดลองพบว่าสารสกัดส่งผล

ให้เวลานอนหลับนานขึ้นในหนูทดลองในวิธี duration of diazepam-induced sleep

และพบว่าปรมิ าณสารสกัดเพ่ิมมากขึ้นส่งผลให้การตอบสนองต่อการเสียชีวิตล่าช้ามากข้ึน

ในวิธี nikethamide-induced toxicity ซึ่งเกิดจากสารสกัดรบกวนการทำงานของระบบ

ส่วนกลางส่งผลให้การเสียชีวิตล่าช้ามากขึ้น โดยจากการวิจัยพบว่าผลต่อระบบประสาท

ขึ้นอยกู่ บั ปรมิ าณสารสกดั (Khan และคณะ, 2007)
4. การศกึ ษาในมนษุ ยท์ างคลินกิ หรือทางระบาดวิทยา (ถา้ มี)

ไมพ่ บขอ้ มลู การศกึ ษา
สรุปและขอ้ เสนอจากผวู้ จิ ยั

ยอด ใบ และเมล็ดมาของต้นกระสังสามารถนำมาบริโภคสด และผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน
สามารถนำมาบริโภคเป�นอาหารได้ ส่วนข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสกัดป�โตรเลียม
อีเทอร์และเอทิลอะซเิ ตทของใบผักกระสงั ท่ี 1600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว รวมทั้งสารสกัดของสว่ น
ลำตน้ เหลอื ดินของผักกระสงั กบั หนไู มสท์ ีป่ ริมาณ 5000 มก./กก. ต่อนำ้ หนักตวั ไมพ่ บความเป�นพิษ

118

(2) รางแดง
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทว่ั ไป

1. ชอื่ สามญั ของพืชและสมนุ ไพร
ภาษาไทย: รางแดง

ภาษาอังกฤษ: ไม่พบ

2. ชื่อวทิ ยาศาสตร์ของพืชและสมุนไพร
Ventilago denticulata Willd. วงศ:์ RHAMNACEAE

ภาพท่ี 17 รางแดง (Ventilago denticulata Willd.)
ท่ีมา: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเว็บไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภมู ศิ าสตร์ หรือแหล่งทเ่ี กบ็ ตวั อยา่ งพชื และสมนุ ไพร
3.1 การกระจายทางภมู ิศาสตร์
พบในประเทศอนิ เดียและทวีบเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้
3.2 แหล่งท่ีเกบ็ ตวั อยา่ งพืชและสมนุ ไพร
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

4. ประวตั ิการบรโิ ภคเป�นอาหาร หรอื การบริโภค (มากกวา่ 15 ป)�
- ยาพื้นบ้านล้านนาใช้ ราก ผสมสมุนไพรตำรับที่ 65 ฝนใส่ข้าวเจ้าสุกกิน แก้ผิดสาบ ตำรา
ยาไทยใช้ เถา ตากแห้งแกกษัย แก้กร่อนลงฝ�กและกร่อนทุกชนิด ใบ นำมาป�งไฟให้กรอบ
ชงน้ำดื่มเป�นน้ำชา ขับป�สสาวะ แก้เส้นเอ็นตึง ยาพื้นบ้านใช้ เถา ผสมสมุนไพรตำรับที่ 66
ตม้ น้ำด่ืม ชว่ ยใหเ้ จริญอาหารเปน� ยาอายุวัฒนะ (กมลทิพย์ , 2539)

5. สว่ นท่นี ำมาใช้ (part of use)
ใบ

119

6. วตั ถุประสงคก์ ารบรโิ ภค
สมนุ ไพรท่เี ปน� อาหารและยา

7. รปู แบบการบรโิ ภค
บรโิ ภคโดยผา่ นการปรุงสกุ ดว้ ยความร้อน

- ใบ นำมาปง� ไฟให้กรอบชงดม่ื เปน� นำ้ ชา
8. กล่มุ ผ้บู รโิ ภค

บุคคลทั่วไป
9. คณุ คา่ ทางโภชนาการ และสารสำคญั

9.1 คณุ คา่ ทางโภชนาการ
-

9.2 สารสำคญั
-

10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธ์ทิ างเภสัชวิทยา หรอื สรรพคณุ พนื้ บ้าน
- ยาพื้นบ้านล้านนาใช้ ราก ผสมสมุนไพรตำรับที่ 65 ฝนใส่ข้าวเจ้าสุกกิน แก้ผิดสาบ ตำรา
ยาไทยใช้ เถา ตากแห้งแกกษัย แก้กร่อนลงฝ�กและกร่อนทุกชนิด ใบ นำมาป�งไฟให้กรอบ
ชงน้ำดื่มเป�นน้ำชา ขับป�สสาวะ แก้เส้นเอ็นตึง ยาพื้นบ้านใช้ เถา ผสมสมุนไพรตำรับที่ 66
ตม้ น้ำดม่ื ช่วยใหเ้ จริญอาหารเป�นยาอายวุ ัฒนะ (กมลทิพย์ , 2539)
- การสำรวจพืชสมุนไพรตามภูมิป�ญญาชาวบ้านตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ เช่น มีรายงาน
การศึกษาวิจัยเรื่องความหลายหลายของพืชสมุนไพรสำหรับรักษาอาการไข้จากอุทยาน
แห่งชาติเขาพนมเบญจาจังหวัดกระบี่ ในวารสารวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย
ระบวุ ่าเปลอื กตน้ และเนอื้ ไม้ของรางแดง (Ventilago denticulate Willd.) สามารถรักษา
อาการไข้ และมีฤทธทิ์ างชีวภาพในการตา้ นการอกั เสบได้ (ปฐมา และคณะ, 2557)

12. กระบวนการผลติ
-

13. สตู รสว่ นประกอบ
-

120

14. รายละเอียดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหน่ายจนถงึ ปจ� จบุ ัน
- ชารางแดง : วัญเพ็ญ ตน้ ตำรบั เจ้าแรกปากเก็รด นนทบุรี

- ชารางแดง : มงคล สนิ คา้ OTOP อ. ปากเกรด็ นนทบุรี

- ชารางแดง-ใบเตย : สมุนไพรไทยโบราณ อ. ปากเกรด็ นนทบรุ ี

15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
-

ส่วนที่ 2 ขอ้ มลู ความปลอดภัย
1. ลักษณะทางชวี เคมี
การดูดซมึ การกระจาย และการขบั ออกจากร่างกาย
ไม่พบขอ้ มลู
การเปล่ียนแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบข้อมลู
ผลตอ่ เอนไซม์และค่าอ่ืนทางชวี เคมี
- ข้อมลู การศกึ ษาวิจยั ของรางแดงมนี อ้ ยมากท้ังในไทยและในตา่ งประเทศ แตท่ ี่น่าสนใจคอื

ประมาณ พ.ศ.2548 มีรายงานการศึกษาวิจัยการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์

phosphodiesterase (เอนไซม์ phosphodiesterase เป�นเอนไซม์ จะทำหน้าที่ย่อย

สลาย cyclic CMP และ cyclic GMP ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้ควบคุมกลไกการทำงานใน

ระดับเซลล์ โดยเกี่ยวข้องกับระบบของร่างกายหลายระบบ เช่น การหดตัวของกล้ามเนือ้

หัวใจ การคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ ระบบภูมิคุ้มกัน เป�น

ต้น) โดยคัดเลือกสมุนไพรไทยที่หมอยาพ้ืนบ้านใช้เป�นยาบำรุงกำหนัดและยาบำรุงสมอง

19 ชนิด พบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ดังกล่าวอยู่ 7 ชนิด หนึ่งในนั้นก็คือ รางแดง (รางแดง

ประโยชนด์ ีๆ สรรพคุณเด่นๆ และขอ้ มลู งานวจิ ยั )

ปฏิกริ ยิ าที่เกิดขึ้นและวิถี (Reaction and fate) หรือปฏกิ ิริยาต่อกนั (Interaction)
ไม่พบขอ้ มลู

2. การศึกษาความเป�นพษิ ในสัตวท์ ดลอง
การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉยี บพลนั (Acute toxicity Study)
- รายงานการศึกษาความเป�นพิษของรางแดงเพียง 1 การวิจัยเท่านั้น คือ มีการทดสอบ

ความเป�นพิษพบว่าเมื่อฉีดสารสกัดจากทั้งต้นรางแดงด้วยแอลกอฮอลล์และน้ำ ใน

อัตราสว่ น 1:1 เข้าทชี่ อ่ งทอ้ งของหนถู ีบจกั รทดลอง พบวา่ ในขนาดท่ีทำใหส้ ัตวท์ ดลองตาย

ครึง่ หนง่ึ (ค่าLD50) คอื 800 มลิ ลกิ รมั ต่อกิโลกรมั จึงเรยี กได้วา่ รางแดงมคี วามเป�นพิษน้อย

121

(รางแดง รักษาเบาหวาน.กระดานถามตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหิดล.)

การศึกษาความเปน� พิษกึง่ เร้ือรัง (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มลู การศึกษา

การศึกษาความเปน� พษิ เรื้อรงั (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มูลการศึกษา

3. การศึกษาความเป�นพิษเฉพาะทาง (ถ้าม)ี
ไม่พบข้อมูลการศึกษา

4. การศกึ ษาในมนุษย์ทางคลินิก หรือทางระบาดวทิ ยา (ถา้ มี)
ไมพ่ บข้อมลู การศึกษา

สรปุ และข้อเสนอจากผ้วู จิ ยั
ใบของต้นรางแดงที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการป�งไฟแล้วมาทำเป�นชาชงดื่มได้และพบ

ขอ้ มลู การศึกษาความเป�นพษิ เฉียบพลนั ของสารสกดั แอลกอฮอลลแ์ ละน้ำในอตั ราส่วน 1:1 พบว่าในขนาดท่ี
ทำให้สัตว์ทดลองตายครึ่งหน่ึง (ค่าLD50) คือ 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จึงเรียกได้ว่ารางแดงมีความเป�นพิษ
น้อย

122

(3) หกู วาง
สว่ นที่ 1 ข้อมลู ทว่ั ไป

1. ช่ือสามญั ของพชื และสมนุ ไพร
ภาษาไทย: หูกวาง
ภาษาอังกฤษ: Bengal almond, Indian almond, Olive-bark tree, Sea almond,
Singapore almond, Tropical Almond, Umbrella Tree

2. ชอื่ วทิ ยาศาสตรข์ องพชื และสมุนไพร
Terminalia catappa L. วงศ:์ COMBRETACEAE

ภาพท่ี 18 หูกวาง (Terminalia catappa L.)
ทมี่ า: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเวบ็ ไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรือแหล่งท่เี กบ็ ตวั อย่างพืชและสมนุ ไพร
3.1 การกระจายทางภมู ิศาสตร์
พบบริเวณชายป่าหรอื พ้นื ทโ่ี ลง่ ริมถนน
3.2 แหลง่ ทเ่ี ก็บตัวอย่างพชื และสมุนไพร
เขต บึงกุม่ แขวง นวมินทร์ กรงุ เทพมหานคร

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเป�นอาหาร หรอื การบริโภค (มากกวา่ 15 ป�)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดลพบุรีมีการใช้หูกวางในส่วนของยอดอ่อนมา
รับประทานสด หรือลวกจ้ิมน้ำพรกิ โดยหกู วางขึน้ กระจายตามชายฝ�งทะเลในเขตร้อน มัก
นิยมปลูกเป�นไม้ประดับ โดยใบจะเปลี่ยนเป�นสีเหลืองและสีแดงก่อนผลัดใบ (จุฑาทิพย์
เชียรเจริญ, 2542)
- มีรายงานว่าส่วนเนื้อด้านนอกของผลสดของหูกวางสามารถรับประทานได้ และใน
ประเทศฟล� นิ ปน� สม์ ีการทำไวนจ์ ากผลหกู วาง มีรายงานเพม่ิ เตมิ วา่ ผลของหูกวางนำมาแยก
เปลือกออกแล้วทำแห้งหรือรมควันสามารถรับประทานเมล็ดด้านในรูปแบบของถั่ว ซึ่ง

123

สามารถเก็บรักษาได้เป�นป� และยังสามารสกัดน้ำมันออกจากเมล็ดได้อีกด้วย (Thomson
และคณะ, 2006).
5. สว่ นทน่ี ำมาใช้ (part of use)
ยอดอ่อน ผล และเมลด็
6. วตั ถุประสงคก์ ารบริโภค
พืชอาหาร
7. รูปแบบการบรโิ ภค
รบั ประทานสด
- ยอดออ่ นมารับประทานสด
- ผล รบั ประทานสดในเน้ือผลดา้ นนอก
บริโภคโดยผา่ นการปรุงสุกดว้ ยความร้อน
- ยอดออ่ นนำมาลวกจมิ้ นำ้ พรกิ

- เมล็ดด้านในผลโดยนำมาแยกเปลือกออกแล้วทำแห้งหรือรมควันรับประทานในรูปแบบ

ของถัว่

8. กลมุ่ ผบู้ ริโภค
บคุ คลทัว่ ไป

9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ
9.1 คณุ ค่าทางโภชนาการ
- ผลของต้นหูกวางมี โปรตีน 1.95 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12.03 กรัม เถ้า 1.21 กรัม

เบต้า-แคโรทีน 2,090 ไมโครกรมั และวติ ามินซี 138.6 มก. เมล็ดมี ความช้ืน 4.13%,

ใยอาหาร 4.94% โปรตีน 23.78% เถ้า 4.27% ไขมัน 51.80% และคาร์โบไฮเดรต

16.02% ให้พลังงานรวม 548.78 kcal และมีน้ำมัน 51.2%, olein 54% และ

stearin 46% (Gao และคณะ, 2004) รวมทง้ั พบ pentosans, corilagin, brevifolin

carboxylic acid, β‑carotene, cyanidin‑3‑glucoside, ellagic acid, gallic acid

และ tannin (Dukes และคณะ, 2008)

9.2 สารสำคญั
- ใ บ ห ู ก ว า ง พ บ hydrolyzable tannins ไ ด ้ แ ก่ terflavins A (1 ) แ ล ะ B (2 ) ,
tergallagin (3) tercatain (4) punicalin (5), punicalagin (6), chebulagic acid
(7), geraniin (8), granatin B (9), 1-desgalloyleugeniin (10), corilagin (11)
แ ล ะ 2 , 3 - [ ( S)-4 , 4 ', 5 , 5 ', 6 , 6 '-hexahydroxydiphenoyl]-D-glucose (1 2 )
(Tanaka และคณะ, 1986)

124

- ใบหูกวางพบ 1 ‑ degalloyl ‑ eugeniin, 2,3 ‑ (4,4’,5,5’,6,6’‑ hexahydroxy

‑diphenoyl)‑glucose, chebulagic acid, gentisic acid, corilagin, geraniin,
granatin B, kaempferol, punicalagin, punicalin, quercetin, tercatain,
tergallagin, terflavin A แ ล ะ terflavin B ( Dukes แ ล ะ ค ณ ะ , 2008) ร ว ม ท้ั ง
flavonoids, carotenoids, และ phenolic compounds (Mandloi และคณะ,
2013)
- ใบหูกวางที่แห้งพบ flavone glycosides ที่ประกอบไปด้วย galloyl substitution

คือapigenin 6-C-(2" -O-galloyl)-13-D-glucopyranoside (1) และ apigenin 8-

C-(2" -O-galloy1)-13- D-glucopyranoside (2), flavone glycosides, isovitexin,

vitexin, isoorientin, และ rutin (Lin และคณะ, 2000)

- เปลือกไม้ของต้นหูกวางพบ glycoside, cardiac tannins, volatile oils, saponin,

steroid, glycosides, phenols, oleic (31.48%) แ ล ะ linoleic (28.93%) ( Gao

และคณะ, 2004)

10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธท์ิ างเภสชั วทิ ยา หรือสรรพคณุ พน้ื บา้ น
- ใบ เปลือกและผลของต้นไม้ นิยมใช้เป�นยาพื้นบ้านสำหรับแก้ท้องร่วง ลดไข้ และห้าม
เลือด (Tanaka และคณะ, 1986) และมีรายงานว่าใบของต้นหูกวางถูกนำมาใช้ในการ
ปอ้ งกันและรกั ษาโรคตบั อกั เสบและโรคทเี่ กีย่ วข้องกับตบั (Lin และ Kan, 1990)
- ใบ เปลือก เมล็ดและผลของต้นหูกวางมีการใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ในการแพทย์แผน
โบราณ เช่น โรคผิวหนัง โรคหนอนพยาธิ และตับอักเสบ (Fan และคณะ, 2004) ท้องร่วง
สารต้านอนุมูลอิสระ (Chen และคณะ, 2006) เบาหวาน (Nagappa และคณะ, 2003;
Ahmed และคณะ, 2005) การติดเชื้อ เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย และปรสิต (Pawar และ
คณะ, 2002; Goun และคณะ, 2003)
- มีรายว่าหูกวางมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์สมานแผล ต้านเบาหวาน
ป้องกันความเป�นพษิ ต่อเซลลต์ ับ ต้านมะเรง็ และช่วยชะลอวยั (Anand และคณะ, 2015)
ฤทธ์ิป้องกนั ความเป�นพษิ ต่อเซลล์ตับ (Hepatoprotective activity)
- การศึกษาฤทธิ์ป้องกันความเป�นพิษต่อเซลล์ตับของสารสกัดคลอโรฟอร์มจากใบหูกวางท่ี

ปริมาณ 50 และ 100 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว โดยวิธี carbon tetrachloride (CCl4)-

induced acute liver damage แ ล ะ D-galactosamine ( D-GalN)-induced

hepatocyte injury จากการทดลองพบว่าสารสกัดส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของ serum

125

alanine aminotransferase และ spartate aminotransferase ในการทดลองลดลง

อย่างมีนัยสำคัญในหนูที่ได้รับสารสกัด ถือได้ว่าสารสกัดมีฤทธ์ิป้องกันความเป�นพิษต่อ

เซลลต์ ับ (Gao และคณะ, 2004)

12. กระบวนการผลิต
-

13. สูตรสว่ นประกอบ
-

14. รายละเอยี ดผผู้ ลิต และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถงึ ปจ� จบุ นั
-

15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
-

สว่ นท่ี 2 ขอ้ มลู ความปลอดภยั

1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขับออกจากร่างกาย
ไมพ่ บข้อมูล
การเปลย่ี นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบข้อมลู
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละค่าอ่นื ทางชวี เคมี
- จากการศึกษาผลของสารสกัดสารสกัดน้ำของใบหูกวางท่ีปริมาณ 100, 200 และ 400
มก./กก เป�นเวลา 6 อาทิตย์ พบว่าสารสกัดไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อค่าพารามิเตอร์
ทางชีวเคมี ได้แก่ Serum Gluconate – Oxaloacetate Transaminase (SGOT) ,
Serum Glutamate – Pyruvate Transaminase ( SGPT) , cholesterol, creatinine,
urea, uric acid, protein and glucose แ ล ะ Serum Alkaline Phosphatase
activities (Arjariya และคณะ, 2013)
- การศึกษาผลของสารสกัดเมทานอลของเมล็ดหูกวาง ปริมาณ 5000, 1000 และ 3000
มก./กก ต่อน้ำหนักตัว เป�นเวลา 42 วัน ต่อพารามิเตอร์ทางชีวเคมีของตับในหนูทดลอง
ได้แก่ ค่า AST, ALT, ALP, Total protein, Albumin และ Total bilirubin พบว่าสาร
สกัดไม่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ (p>0.05) ต่อค่าพารามิเตอร์ทั้งหมด (Batubo และคณะ,
2018)
ปฏิกิรยิ าที่เกดิ ขน้ึ และวิถี (Reaction and fate) หรือปฏิกิรยิ าต่อกนั (Interaction)
ไม่พบขอ้ มลู

126

2. การศึกษาความเปน� พิษในสัตว์ทดลอง
การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉียบพลนั (Acute toxicity Study)
- PinheiroSilva และคณะ (2015) ทำการศึกษาความเป�นพิษกึ่งเฉียบพลัน (sub acute
toxicity) โดยการให้สารสกัดน้ำของใบหูกวางกับหนูแรทผ่านทางช่องปากที่ปริมาณ 25
มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว เป�นเวลา 14 วัน จากการทดลองพบว่าไม่พบการตาย การ
เปล่ียนแปลงของนำ้ หนกั ตัวอย่างมนี ัยสำคัญหรือความเปน� พิษใดๆ
- Arjariya และคณะ (2013) ทำการทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลัน โดยการใหส้ ารสกัดนำ้
ของใบหูกวางกับหนูแรทผ่านทางช่องปากที่ปริมาณ 2000, 300, 50 และ 5 มก./กก. ต่อ
นำ้ หนักตวั โดยหลังจาก 14 วนั หลงั รบั สารสกัด พบวา่ น้ำหนักของหนูมคี ่าเพ่มิ ข้นึ แตไ่ ม่มี
การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง ขน ตา ระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบ
ประสาท พฤติกรรมต่างๆ ไม่มีอาการชัก ท้องร่วงหรือเซื่องซึม ไม่พบการตายญหรือความ
เป�นพิษใดๆที่ปริมาณสารสกัด 2000 mg/kg ต่อน้ำหนักตัว ถือได้ว่าสารสกัดมีความ
ปลอดภัย และสำหรับการทดสอบความเป�นพิษเรื้อรังโดยการให้สารสกัดน้ำของใบหูกวาง
กับหนูแรทผ่านทางช่องปากที่ปริมาณ 100, 200 และ 400 mg/kg ต่อน้ำหนักตัว เป�น
เวลา 6 อาทติ ย์ จากการทดลองพบว่าไมพ่ บพฤตกิ รรมท่ีเปลี่ยนไป นำ้ หนกั ตัว หรือการกิน
อาหารที่เปลี่ยนไป และไม่มีความผิดปกติใดๆทางโลหิตวิทยา ไม่มีความผิดปกติของเซลล์
ของเม็ดเลอื ดแดงและขาวของหนูในการทดลองนี้
การศึกษาความเป�นพษิ กึง่ เรือ้ รัง (Subchronic toxicity study)
ไม่พบข้อมลู การศึกษา
การศึกษาความเป�นพิษเรอ้ื รัง (Chronic toxicity study)
- Batubo และคณะ (2018) ทำการทดสอบความเป�นพิษเรื้อรังโดยการให้สารสกัดเมทา
นอลของเมลด็ หูกวางกบั หนูแรทผา่ นทางช่องปากทปี่ ริมาณ 5000, 1000 และ 3000 มก./
กก ต่อน้ำหนักตวั เปน� เวลา 42 วนั จากการทดลองพบว่าไม่พบการตาย ความผิดปกตทิ าง
กายภาพ น้ำหนักตัว การกินน้ำและอาหารหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติของหนูในการทดลอง
นี้
- Arjariya และคณะ (2013) ทำการทดสอบความเป�นพิษเรื้อรังโดยการให้สารสกัดน้ำของ
ใบหูกวางกับหนูแรทผ่านทางช่องปากทีป่ ริมาณ 100, 200 และ 400 มก./กก. ต่อน้ำหนกั
ตัว เป�นเวลา 6 อาทิตย์ จากการทดลองพบว่าไม่พบพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป น้ำหนักตัว
หรือการกินอาหารที่เปลี่ยนไป และไม่มีความผิดปกติใดๆทางโลหิตวิทยา ไม่มีความ
ผดิ ปกติของเซลลข์ องเม็ดเลอื ดแดงและขาวของหนูในการทดลองน้ี

3. การศกึ ษาความเป�นพษิ เฉพาะทาง (ถา้ มี)
ไมพ่ บขอ้ มูลการศกึ ษา

127

4. การศกึ ษาในมนุษย์ทางคลนิ กิ หรอื ทางระบาดวทิ ยา (ถ้ามี)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา

สรปุ และขอ้ เสนอจากผู้วิจัย
ยอดอ่อนและผลของหกู วางท่ีนำมาบริโภคสด และ เมลด็ ดา้ นในผลทผ่ี ่านการปรุงสุกด้วยความร้อน

สามารถนำมาบริโภคเป�นอาหารได้ ส่วนข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษกึ่งเฉียบพลันของสารสกัดน้ำของใบหู
กวาง 25 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวผ่านทางช่องปาก ไม่พบความเป�นพิษ และการศึกษาความเป�นพิษ
เฉียบพลันของสารสกัดน้ำของใบหูกวาง 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมรวมทั้งสารสกัดเมทานอลของเมล็ดหู
กวางที่ปริมาณ 3000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวผ่านทางช่องปากนั้นไม่พบความเป�นพิษ สำหรับ
การศึกษาความเป�นพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำของใบหูกวางขนาด 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวันผ่านทาง
ชอ่ งปากเปน� ระยะเวลา 6 อาทติ ยน์ ั้นไม่พบความผิดปกติ


Click to View FlipBook Version