The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ผลการศึกษาเพิ่มเติม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Torres Wasin Treenet, 2022-05-26 04:29:34

ผลการศึกษาเพิ่มเติม

ผลการศึกษาเพิ่มเติม

38

(2) ข่อย
ส่วนท่ี 1 ขอ้ มลู ทวั่ ไป

1. ช่ือสามญั ของพชื และสมนุ ไพร
ภาษาไทย: ข่อย กักไมฝ้ อย สม้ พอ

ภาษาอังกฤษ: Tooth brush tree Siamese rough bush

2. ช่อื วทิ ยาศาสตร์ของพชื และสมุนไพร
Streblus asper Lour. วงศ์: Moraceae

ภาพที่ 5 ขอ่ ย (Streblus asper Lour.)
ที่มา: ฐานข้อมลู สมนุ ไพรไทยเว็บไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรอื แหลง่ ทเ่ี กบ็ ตวั อย่างพชื และสมนุ ไพร
3.1 การกระจายทางภมู ิศาสตร์
จากอินเดีย จีนตอนใต้ จนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปตามที่ลุ่มและป่า
ละเมาะ ท่ีระดับความสงู ใกล้นำ้ ทะเลจนถึง 600 ม.
3.2 แหลง่ ท่ีเก็บตวั อยา่ งพชื และสมนุ ไพร
หม่บู ้าน หนองหวาย ตำบล นาแพง อำเภอ โคกโพธไ์ิ ชย จังหวดั ขอนแกน่

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรือการบริโภค (มากกวา่ 15 ป�)
- ใบของตน้ ข่อยนำมาแชใ่ นน้ำอ่นุ (infusion) เพื่อดม่ื เป�นชา (Brown, 1920)
- นำทค่ี น้ั จากเมล็ดต้นข่อยนำมาบรโิ ภคในรปู แบบของนม (Facciola , 1998)

5. สว่ นท่ีนำมาใช้ (part of use)
ใบและเมล็ด

39

6. วัตถุประสงค์การบรโิ ภค
สมุนไพรที่เป�นอาหาร และยา

7. รปู แบบการบรโิ ภค
บริโภคสด

- เมล็ดนำมาคั้นน้ำแลว้ บรโิ ภคในรูปแบบของนม

บริโภคโดยผา่ นการปรงุ สุกด้วยความรอ้ น
- ใบนำมาแชใ่ นนำ้ อุ่น (infusion) เพื่อด่มื เป�นชา
8. กลุ่มผ้บู รโิ ภค

บคุ คลทว่ั ไป
9. คณุ คา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ

9.1 คุณคา่ ทางโภชนาการ
-

9.2 สารสำคญั
- ราก พบสารที่มีฤทธิ์ต่อหัวใจ Cardiac glycoside มากกว่า 30 ชนิด เช่น
asperoside, strebloside, glucostreblolide (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัช
ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธาน)ี
- ส่วนรากพบ cardiac glycosides (Rastogi และคณะ, 2006), glycosides,
pregnane glycoside named sioraside (Prakash และคณะ, 1992)
- เปลือกของเมล็ดพบ α-amyrin acetate, lupeol acetate, β -sitosterol, α -
amyrin, lupeol และ diol (Rastogi และคณะ, 2006)

10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
ไม่พบขอ้ มลู

11. ฤทธิ์ทางเภสชั วทิ ยา หรือสรรพคณุ พน้ื บา้ น
- ตำรายาไทย: ใช้ กิ่งสด ขนาดเล็กนำมาทุบใช้สีฟ�น ฆ่าเชื้อในปาก ทำให้เหงือกและฟ�นทน

เปลือกต้น นำมาต้มใส่เกลือให้เค็มใช้รักษาโรครำมะนาด แก้โรคฟ�น รักษาฟ�นให้แข็งแรง

แก้ปวดฟ�น ดับพิษในกระดูกในเส้น แก้พยาธิผิวหนัง เรื้อน มะเร็ง ดับพิษทั้งปวง หุงเป�น

น้ำมันทาหัวริดสีดวง ปรุงเป�นยาแก้ท้องร่วง คุมธาตุ เปลือกใช้มวนสูบรักษาริดสีดวงจมูก

เปลือกต้นต้มกับน้ำใช้ชะล้างบาดแผล สมานแผล และโรคผิวหนัง ทั้งต้น ต้มใส่เกลือ แก้

ฟ�นผุ กระพี้ แก้พยาธิ แก้มะเร็ง ฝนกับน้ำปูนใสทาแก้ผื่นคน เยื่อหุ้มกระพี้ ขูดเอามาใช้ทำ

ยาสูบแก้ริดสีดวงจมูก ตำรายาแผนไทย: ใช้กิ่งสดยาวประมาณ 5-6 นิ้ว หั่น ต้มใส่เกลือ

เคี่ยวให้งวดเหลือน้ำครึ่งหนึ่ง อมเช้า เย็น ทำให้ฟ�นทน และไม่ปวดฟ�น กิ่งข่อยขนาดเล็ก

40

ทุบให้นิ่มนำมาแปรงฟ�นให้สะอาด ฟ�นแข็งแรงไม่ผุ เปลือกต้นประมาณ 1 ฝ่ามือ สับ
ต้มกับน้ำพอควร เติมเกลือให้มีรสเค็ม ต้มนาน 10-15 นาที อมน้ำขณะอุ่น ๆ วันละ
3-4 ครั้ง ใช้บรรเทาอาการปวดฟ�น ตำรายานครราชสีมา: ใช้ เปลือกต้น แก้รำมะนาด
โดยนำเปลือกผสมกับเกลือทะเลอย่างละเท่าๆกัน ต้มให้เกลือละลาย อมเช้า-เย็น หลัง
อาหารและก่อนนอน ตำราเภสัชกรรมล้านนา: ใช้ ใบ เปลือก ราก และเมล็ด รักษา
อาการไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ รักษาเหงือก แกป้ วดฟ�น ในพม่า: เปลอื กตน้ ใช้แกท้ อ้ งรว่ ง
แก้ปวดฟ�น ช่วยให้ฟ�นแข็งแรง ต้มน้ำกินแก้ไข้ แก้บิด แก้ท้องเสีย และแก้มะเร็ง เป�นยา
อายุวฒั นะ (ฐานข้อมลู เคร่ืองยาสมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธาน)ี
- ตามท้องถิ่นของอินเดยี พชื ชนิดนี้ใชส้ ำหรบั โรคเรือ้ น โรครดิ สีดวงทวาร โรคท้องรว่ ง โรคบิด
โรคมะเรง็ (Rastogi และคณะ, 2006)
- ชนเผ่าในบังคลาเทศใช้น้ำของราก ในการรักษาประจำเดือนมาไม่ปกติ และใบจะเคี้ยวกับ
เกลือเปน� ยาถา่ ยพยาธิ (Rastogi และคณะ, 2006; Alam, 1992)
- ใช้รักษาโรคมะเร็ง, อหิวาตกโรค, อาการจุกเสียด, ท้องรวง, โรคบิด, โรคลมบาหมูและการ
อักเสบบวม (Jain, 1991; Rastogi และ Dhawan, 1990; Bhakuni และคณะ, 1969)
- รากใช้สำหรับรักษาแผล, ไซนัส, ยาแก้พิษงูกัด, โรคลมบาหมูและโรคอวน ก้านใช้สำหรับ
อาการปวดฟ�น เปลือกต้นใช้ในการรักษา โรคบิด, ท้องร่วง, ปวดท้อง, ป�สสาวะเล็ด,
ริดสีดวงทวาร, บวมน้ำ และบาดแผล ใบใช้รักษาอาการแทรกซ้อนของดวงตา เมล็ดพืช
ช่วยในการรกั ษาโรคทอ้ งรว่ ง (Rastogi และคณะ, 2009)
- นอกจากนี้มีการศึกษา พบว่าสารสกัดจากเปลือกข่อยขนาด 200 และ 400 มิลลิกรัมต่อ
กิโลกรัม สามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ท่ี เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกิดอนุมูลอิสระ
ได้แก่ GSH, CAT, SOD (Superoxide dismutase) และสามารถลด การเกิดออกซิเดชั่น
ของไขมัน lipid peroxidation ในเนื้องอกที่ตับและไตของหนูพันธุ์ Swiss albino ได้
(Kumar และคณะ, 2015)
ฤทธิ์ตา้ นเบาหวาน (Antidiabetic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ต้านเบาหวาน (antidiabetic) ของสารสกัดเอทานอลของเปลือกรากต้น
ข่อยที่ ในหนูแรทพันธุ์ Wistar albino เพศผู้ โดยวิธี single intraperitoneal injection
of streptozotocin โดยการป้อนสารสกัดปริมาณ 200 และ 400 มก./กก. ของน้ำหนัก
ตัวทุกวันเป�นเวลา 15 วัน และใช้ยา Glibenclamide (0.25 มก./กก. ) เป�นยาอ้างอิง
ระดับน้ำตาลในเลือดที่ถูกวัดทุก ๆ ห้าวันระหว่างการรักษา 15 วัน รวมทั้งประเมิน

41

ค่าพารามิเตอร์ทางชีวเคมีในซีรัม เช่น serum glutamate pyruvate transaminase
(SGPT), serum glutamate oxaloacetate transaminase (SGOT), serum alkaline
phosphatase (SALP), total cholesterol total protein แ ล ะ serum triglycerides
และมีการประเมินคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระโดยการประเมิน thiobarbituric acid
reactive substances (TBARS), reduced glutathione (GSH) แ ล ะ catalase (CAT)
จากการทดลองพบว่าหนูที่เป�นเบาหวานที่เกิดจาก STZ และได้รับสารสกัดท่ีขนาด 200
และ 400 มก./กก. ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเมื่อเปรียบเทยี บกับกลุ่มควบคมุ STZ
ระดับสารต้านอนุมูลอิสระและพารามิเตอร์ทางชีวเคมีในซีรัมได้รับการฟ�นฟูอย่างมี
นัยสำคญั สู่ระดับที่ปกติเมื่อเทยี บกับกลุ่มควบคุม สามารถสรปุ ไดว้ า่ สารสกัดเมทานอลของ
เปลือกรากต้นข่อยมีฤทธิ์ต้านเบาหวานที่โดดเด่นในหนูที่เป�นเบาหวานที่เกิดจาก STZ
ฤทธิ์ต้านเบาหวานที่อาจเกิดขึ้นเป�นไปได้เนื่องจากบทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีใน
ตน้ ข่อย (Kumar และคณะ, 2012)
- การศึกษาฤทธิ์ต้านเบาหวาน (antidiabetic) ของสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์ของเปลือก
เมล็ดต้นข่อยที่ ในหนูแรทพันธุ์ Swiss albino เพศผู้ โดยวิธี streptozotocin (STZ)-
induced diabetic rats (50 มก./กก ต่อนำ้ หนักตวั ) และให้สารสกดั ท่ปี รมิ าณ 100, 250

และ 500 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว และสาร α-amyrin acetate ที่แยกได้จากสารสกัดที่
ปริมาณ 25, 50 และ 75 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว ผ่านทางช่องปาดเป�นเวลา 15 วัน โดย
ใช้ Glibenclamide ที่ปริมาณ 0.5 มก./กก. เป�นตัวควบคุม ในการทดลองทุกๆ 5 วันมี
การวัดปริมาณน้ำตาลในเลือด ไขมันในเลือดและพารามิเตอร์ทางชีวเคมี ได้แก่ Serum
glutamic oxaloacetic transaminase (SGOT), serum glutamic pyruvic
transaminase (SGPT),
alkaline phosphatase (ALP), insulin และ glycosylated hemoglobin level จาก
การทดลองพบว่าสารสกัดส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและค่าพารามิเตอร์ทางชีวเคมี
เป�นปกติอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.01) ในหนูที่เป�นเบาหวานเมื่เทียบกับตัวอย่างที่ไม่ได้รับ
สารสกัดและสำหรับสาร α-Amyrin acetate ที่ปริมาณ 75 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว
แสดงผลการลดกลูโคสสูงสุดที่ 71.10 % ในหนูที่เป�นเบาหวานเมื่อเทียบกับขนาดยาอ่ืน
(25, 50 มก./กก.) สรุปๆได้ว่าสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์ของเปลือกเมล็ดต้นข่อยและสาร
α-amyrin acetate ที่แยกไดจ้ ากสารสกดั มีฤทธต์ิ ้านเบาหวาน (Karan และคณะ, 2013)

42

ฤทธติ์ า้ นเน้อื งอก (Antitumor effect)
- การศึกษาฤทธ์ิต้านเนื้องอกของสารสกัดเมทานอลของเปลือกเมล็ดต้นข่อยในหนูไมส์พันธ์ุ

Swiss albino เพศผู้ โดยวิธี intraperitonial inoculation of tumor (EAC) cells และ

ให้สารสกัดที่ปริมาณ 200 และ 400 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว เป�นเวลา 9 วัน จาการ

ทดลองพบว่า สารสกัดช่วยลดการแพร่กระจายของเนื้องอกและช่วงชีวิตของหนูมีมากข้ึน

อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) และค่าโลหิตทางวิทยาถูกฟ�นฟูและมีค่าใกล้เคียงค่าปกติเม่ือ

เทียบกบั ตวั อยา่ งควบคุม ถือได้วา่ สารสกดั มฤี ทธิ์ตา้ นเน้ืองอก (Kumar และคณะ, 2013)

12. กระบวนการผลติ
-

13. สตู รส่วนประกอบ
-

14. รายละเอียดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหน่ายจนถึงปจ� จบุ นั
-

15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
-

สว่ นท่ี 2 ข้อมูลความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดูดซึม การกระจาย และการขบั ออกจากรา่ งกาย
ไม่พบข้อมลู
การเปลยี่ นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มลู
ผลต่อเอนไซมแ์ ละค่าอืน่ ทางชีวเคมี
ไมพ่ บขอ้ มูล
ปฏกิ ริ ิยาทีเ่ กดิ ข้ึนและวถิ ี (Reaction and fate) หรอื ปฏกิ ริ ยิ าตอ่ กนั (Interaction)
ไมพ่ บข้อมูล
2. การศกึ ษาความเปน� พษิ ในสตั วท์ ดลอง
การศกึ ษาความเป�นพิษเฉยี บพลนั (Acute toxicity Study)
- การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของการให้สารสกัดป�โตรเลียมอีเทอรแ์ ละเมทานอลของ

ใบข่อยผ่านทางช่องปากที่ดำเนินการกับหนูไมส์พันธุ์ Swiss albino เพศผู้ ตามหลัก

OECD guidelines 423 พบว่าหลังการรับสารสกดั ป�โตรเลียมอีเทอรแ์ ละเมทานอลของใบ

ข่อยที่ปริมาณ 2,000 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัวที่ 14 วัน มี นั้นไม่ก่อให้เกิดการตายใด ๆ

43

และน้ำหนักตัวของสัตว์พบว่ามีค่าปกติ ถือได้ว่าสารสกัดทีความปลอดภัย (Kumar และ
คณะ, 2011)
- การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของการให้สารสกัดเอทานอลของเปลือกรากต้นข่อย
ผ่านทางช่องปากที่ดำเนินการกับหนูไมส์พันธุ์ Swiss albino เพศผู้ ตามหลัก OECD
guidelines 423 พบว่าสารสกัดมีความปลอดภัยที่ปริมาณสารสกัด 2000 มก./กก. ต่อ
นำ้ หนักตัว (Kumar และคณะ, 2012)
- การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันของการให้สารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์ของเปลือกเมล็ด
ต้นข่อยแก่หนูแรทพันธุ์ Swiss albino เพศผู้ ที่ปริมาณ 1,500 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัว
ผ่านทางช่องปาก หลังจาก 72 ชั่วโมง พบว่าสารสกัดมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดความ
เปน� พษิ และไม่พบการตาย (Karan และคณะ, 2013)
- การศกึ ษาความเปน� พษิ เฉียบพลนั ของการใหส้ ารสกัดเมทานอลของเปลือกเมล็ดต้นข่อยใน
หนูไมส์พันธุ์ Swiss albino อ้างอิงตามวิธี OECD 425 โดยสารสกัดมีความปลอดภัยที่
2,000 มก./กก. ต่อนำ้ หนัก (Kumar และคณะ, 2013)

การศึกษาความเป�นพษิ ก่ึงเร้ือรงั (Subchronic toxicity study)
- การศกึ ษาความเปน� พษิ กึ่งเร้อื รังโดยการให้สารสกัดปโ� ตรเลยี มอีเทอรแ์ ละเมทานอลของใบ

ข่อยผ่านทางช่องปากที่ดำเนินการกับหนูไมส์พันธุ์ Swiss albino ผ่านทางช่องปากท่ี
ปริมาณ 400 มก./กก. ต่อน้ำหนักตัวเป�นเวลา 28 วัน จากการทดลองพบว่าสารสกัดไม่
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เห็นได้ชัดเจนในพฤติกรรมทั่วไปของสัตว์ ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงที่สำคัญของน้ำหนักตัวและการรับประทานอาหาร การเจริญเติบโต การตาย
และอาการโดยรวมของความเป�นพิษที่สังเกตได้ จึงสรุปว่าผลจากการศึกษาความเป�นพิษ
กึ่งเรื้อรังของ สารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์และเมทานอลของใบข่อย พบว่าไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเจริญเติบโตของสัตว์ พารามิเตอร์ทางโลหิตวิทยาและชีวเคมี
การศกึ ษาทางจลุ พยาธิวทิ ยายงั แสดงให้เหน็ ว่าไมม่ ีการเปล่ียนแปลงในโครงสร้างเซลล์และ
สณั ฐานวทิ ยา (Kumar และคณะ, 2011)

การศึกษาความเป�นพษิ เรอ้ื รงั (Chronic toxicity study)
ไม่พบข้อมลู การศกึ ษา

3. การศกึ ษาความเป�นพษิ เฉพาะทาง (ถ้ามี)
ไม่พบข้อมลู การศึกษา

44

4. การศกึ ษาในมนษุ ย์ทางคลินิก หรอื ทางระบาดวิทยา (ถ้ามี)
ไม่พบขอ้ มลู การศึกษา

สรปุ และขอ้ เสนอจากผวู้ ิจยั
เมล็ดของต้นข่อยสามารถนำมาบริโภคสด และใบที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนโดยแช่ในน้ำอุ่น

สามารถนำมาบริโภคเป�นอาหารได้และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค ซึ่งจากข้อมูลการศึกษา
ความเป�นพิษเฉียบพลันของสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์และเมทานอลของใบข่อยที่ปริมาณ 2,000 มิลลิกรัม
ต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว และสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์ของเปลือกเมล็ดต้นข่อย ที่ปริมาณ 1,500
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว และสารสกัดเมทานอลที่ปริมาณ 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของ
น้ำหนักตัวไม่ก่อให้เกิดความเป�นพิษและไม่ส่งผลต่อการตายเฉียบพลันแก่สัตว์ทดลอง นอกจากนั้นมีข้อมูล
การศึกษาความเป�นพิษกึ่งเรื้อรังของสารสกัดป�โตรเลียมอีเทอร์และเมทานอลของใบข่อยที่ปริมาณ 400
มิลลิกรัมต่อกโิ ลกรัมของนำ้ หนักตวั นั้นพบว่าสารสกดั ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเปน� พษิ และการตายแก่สัตว์ทดลอง

45

(3) แขยง
ส่วนที่ 1 ขอ้ มลู ท่ัวไป

1. ช่อื สามญั ของพชื และสมุนไพร
ภาษาไทย: ผกั แขยง ผักกะออม ผักลืมผวั กะแยง
ภาษาอังกฤษ: Rice Paddy Herb

2. ช่อื วทิ ยาศาสตร์ของพชื และสมุนไพร
Limnophila aromatica (Lam.) Merr. (ผกั แขยงขาว) และ Limnophila geoffrayi

Bonati. (ผกั แขยงแดง:ชนดิ ต้นเล็ก พบได้มากทางภาคอีสาน) วงศ:์ SCROPHULARIACEAE

ภาพที่ 6 แขยง (Limnophila aromatica (Lam.) Merr.)
ที่มา: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเวบ็ ไซต์เมดไทย (MedThai)
3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรอื แหล่งท่เี ก็บตวั อยา่ งพืชและสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภูมิศาสตร์
พบในภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาค
ตะวนั ออก ขึ้นตามทีโ่ ล่งทช่ี น้ื แฉะ ความสงู ไมเ่ กิน 200 เมตร
3.2 แหล่งท่เี กบ็ ตวั อยา่ งพืชและสมนุ ไพร
หมู่บ้าน หนองหวาย ตำบล นาแพง อำเภอ โคกโพธ์ิไชย จงั หวดั ขอนแก่น

46

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเป�นอาหาร หรือการบรโิ ภค (มากกวา่ 15 ป)�
- ผกั แขยงถูกนำมาใช้เป�นเครื่องเทศและสมนุ ไพรไทยในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้
โดยในใชป้ รงุ แต่งกลนิ่ รสและใหก้ ล่นิ หอม สามารถรับประทานไดท้ ัง้ ดิบและสุก นยิ มใช้
เพิม่ รสชาติในอาหารไทยโดยเฉพาะภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื (Do, 1999)
- จากการสำรวจข้อมูลทางคุณค่าทางโภชนาการของผักและผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนบริโภค
เป�นส่วนใหญ่ พบว่าคุณค่าทางโภชนาการของผักแขยงหรือผักกะออม 100 กรัม จะ
ประกอบไปด้วย น้ำ 93.4 กรัม โปรตีน 1.4 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.9 กรัม
ใยอาหาร 3.3 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 1.0 กรัม โดยเป�น เบต้าแคโรทีน 3403 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 567 มิลลิกรัม ไทอะมีน 0.02 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.18 มิลลิกรัม ไนอะซิน
6.7 มิลลิกรัม และวิตามินซี 7 มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด 24 แคลอรี่ (กอง
โภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ , 2544)
- จากการสำรวจพชื ผกั ท้องถน่ิ และกลวธิ กี ารปรุงอาหารของชาวอีสานพบว่าผกั แขยงนิยมใช้
ใบอ่อนสด บริโภคกับอาหารประเภทส้มตำ ป่นปลา ลาบ ก้อย และเครื่องจิ้มต่างๆ
นอกจากน้นั อาจนำมาประกอบในแกงต่างๆ เช่น แกงออ่ มกบ อ่อมเขยี ด ออ่ มปลา แกงส้ม
ปลา แกงหน่อไม้ หรือประเภทห่อหมกเขียด ห่อหมกไก่ ห่อหมกปลาซิว ซ่วยดับกลิ่น ทำ
ใหม้ กี ลนิ่ หอม และมีรสขมเล็กนอ้ ย (อรชร พรประเสรฐิ , 2537)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดอุดรธานีพบว่าผักแขยงนำส่วนลำต้นทั้งต้น ยอดอ่อน
ใบอ่อน รับประทานสดๆ กับ ลาบ ก้อย และซุปหน่อไม้ มักจำทำให้สุกโดยการใส่รวมกับ
หอย ปลา กบ เขียด ทำเป�นแกงอ่อมของชาวอีสาน ชาวบ้านนิยมรับประทานโดยเฉพาะ
ในช่วงฤดฝู นและมจี ำหนา่ ยตามตลาดสดโดยท่ัวๆไป (มานติ ย์ ออพานชิ กจิ , 2530)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่ายอดอ่อน และใบอ่อนของผักแขยง
รบั ประทานแกล้มกบั ลาบหรือใชใ้ สป่ นในแกงเผ็ดหน่อไม้ (อษุ า ทองไพโรจน,์ 2542)

5. สว่ นทีน่ ำมาใช้ (part of use)
ต้นท้งั ต้น ยอดออ่ น ใบออ่ น

6. วตั ถุประสงค์การบริโภค
บริโภคเป�นอาหาร

7. รปู แบบการบริโภค
บริโภคสด
- ต้นทั้งต้น ยอดอ่อน ใบอ่อน รับประทานสดๆ กับ ลาบ ก้อย ซุปหน่อไม้ ส้มตำ ป่นปลา
ลาบ กอ้ ย และเครือ่ งจิม้ ตา่ งๆ

47

บรโิ ภคโดยผ่านการปรงุ สุกดว้ ยความร้อน
- ลำต้นทั้งต้น ยอดอ่อน ใบอ่อน ทำให้สุกโดยการใส่รวมกับ หอย ปลา กบ เขียด ทำเป�น
แกงอ่อมของชาวอีสาน แกงส้มปลา แกงหน่อไม้ หรือประเภทห่อหมกเขียด ห่อหมกไก่
ห่อหมกปลาซวิ ชว่ ยดบั กล่นิ ทำให้มกี ลิน่ หอม และมีรสขมเล็กนอ้ ย
8. กลมุ่ ผบู้ ริโภค
บคุ คลทว่ั ไป
9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ
9.1 คณุ ค่าทางโภชนาการ
- คุณค่าทางโภชนาการของผักแขยงหรือผักกะออม 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ

93.4 กรัม โปรตีน 1.4 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.9 กรัม ใยอาหาร 3.3

กรัม วิตามินแร่ธาตุ 1.0 กรัม โดยเป�น เบต้าแคโรทีน 3403 มิลลิกรัม วิตามินเอ 567

มิลลิกรัม ไทอะมีน 0.02 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.18 มิลลิกรัม ไนอะซิน 6.7

มิลลิกรัม และวิตามินซี 7 มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด 24 แคลอรี่ (กอง

โภชนาการ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข, 2544)

9.2 สารสำคัญ
- ต้นแขยงพบสาร terpenoids, phenolics และ flavonoids มาก (Gorai และคณะ,

2014)

- ใบมีน้ำมันหอมระเหยประมาณ 0.1% ซึ่งมีสาร limonene เป�นองค์ประกอบส่วน

ใหญ่ นอกจากนี้พบสาร perillaldehyde และ monoterpenoid ketone ชื่อ cis-

4-caranone (ฐานข้อมูลสมุนไพร แผนงานวิจัยการอนุรักษ์พันธุกรรมและพัฒนาพืช

สมนุ ไพรเพอ่ื ใชป้ ระโยชนอ์ ย่างยั่งยืน คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล)

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
- ในผักแขยงขาวและแดงสดพบ ออกซาเลตทั้งหมด 56.03 ± 0.99 และ 48.55 ± 1.44

มก./ก ของน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ โดยผักแขยงขาวและแดงสดนั้นพบออกซาเลตที่

ละลายน้ำได้เท่ากับ 8.95 ± 0.69 และ 4.91 ± 0.09 มก./ก ของน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ

ส่วนปริมาณออกซาเลตที่ไม่ละลายน้ำเท่ากับ 47.04 ± 1.41 และ 43.64 ± 1.35 มก./ก

ของน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ และพบว่าทำแห้งของผักแขยงด้วยลมร้อยนั้นเพิ่มปริมาณ

ออกซาเลตที่ละลายน้ำได้ ในขณะที่ปริมาณออกซาเลตโดยรวมและออกซาเลตที่ไม่

ละลายน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และการต้มช่วยลดปริมาณออกซาเลตในผักแขยงขาว

และแดงลง 30% และ 46 % ตามลำดับ (Wanyo และคณะ, 2020)

48

11. ฤทธิ์ทางเภสชั วิทยา หรือสรรพคณุ พน้ื บา้ น
- ตำรายาพื้นบา้ นอีสาน ใช้ ทั้งต้น เป�นยาขบั น้ำนม ขับลม และเป�นยาระบายท้อง น้ำคัน้

จากต้นใช้แก้ไข้(นำต้นสด 15-30 กรัม มาต้มน้ำกิน) แก้คัน ฝ� และกลาก แก้อาการบวม

เป�นยาระบายอ่อนๆ แก้พิษงู ให้นำต้นสด ประมาณ 15 กรัม ตำให้ละเอียด ผสมกับต้น

ฟ้าทะลายโจรสด 30 กรัม นำไปผสมกับน้ำส้มปริมาณพอควร คั้นแล้วทานน้ำส่วนกาก

พอกรอบๆแผล อย่าพอกบนแผล ทงั้ ตน้ แหง้ ที่เก็บไวน้ าน 1 ป� ตม้ น้ำดม่ื แกพ้ ิษเบอ่ื เมา

(ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี)

- มีรสเผ็ดร้อน ใช้ขับลม ช่วยให้เจริญอาหาร เป�นยาระบายอ่อนๆ แก้อาการบวม แก้คัน

และลดไข้ ชาวเวียดนามนิยมรับประทานเป�นเครื่องเทศ ในซุปปลา หรือรับประทานสด

เชื่อกันว่าบำรุงสมอง ทำให้ความจำดี (ฐานข้อมูลสมุนไพร แผนงานวิจัยการอนุรักษ์

พันธุกรรมและพัฒนาพืชสมุนไพรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน คณะเภสัชศาสตร์

มหาวิทยาลยั มหดิ ล)

- มีฤทธิ์ขับป�สสาวะ คลายกล้ามเนื้อ และฤทธิ์ต้านการกระสับกระส่าย และมีการนำมาใช้

รกั ษา นวิ่ ในไต ปวดเมอื่ ย และรกั ษาแผล (Do, 1999; Do และคณะ, 2013))

ฤทธิ์ปกปอ้ งหลอดเลือด (Vascular protective activity)
- การศึกษาฤทธิ์ปกป้องหลอดเลือดของสารสกัดน้ำของผักแขยงในหนูแรท Sprague-
Dawley เพศผู้ โดยการป้อนสารสกัดผ่านทางช่องปากที่ปริมาณ 1 ก./กก. แก่หนูที่ถูก
เหนี่ยวนำด้วย henylhydrazine (PHZ) ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกอย่างรุนแรงและ
ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิต จากการทดลองพบว่าสารสกัดช่วยป้องกันการสูญเสีย
เลือด ลดกลูตาไธโอนและยับยั้งการก่อตัวของ malondialdehyde ในพลาสมา และ
plasma NO metabolitesรวมทั้งซูเปอร์ออกไซด์ แอนไอออน ในเลือด สรุปได้ว่าสารสกัด
จากพืช มบี ทบาทในการปกปอ้ งความผิดปกตหิ ลอดเลอื ด เนื่องจากการมีสารตา้ นอนุมลู อิสระ
ในผกั แขยง (Kukongviriyapan และคณะ, 2007)
12. กระบวนการผลติ

-
13. สตู รส่วนประกอบ

-
14. รายละเอยี ดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จุบนั

-

49

15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
- ผักแขยงมีสารแคลเซียมออกซาเลต (oxalate) ในปริมาณสูง โดยสารชนิดนี้จะไปสะสม

ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไต กระเพาะป�สสาวะ ซึ่งเป�นสาเหตุทำให้เกิดนิ่วในอวัยวะต่าง ๆ

ได้ จึงควรระมัดระวังในการรับประทานในปริมาณมากและเป�นประจำ (หนังสือ

พจนานุกรมสมนุ ไพรไทย)

ส่วนท่ี 2 ข้อมลู ความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชวี เคมี
การดดู ซมึ การกระจาย และการขบั ออกจากร่างกาย
ไมพ่ บข้อมูล
การเปล่ยี นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบข้อมูล
ผลต่อเอนไซม์และคา่ อ่นื ทางชวี เคมี
ไมพ่ บขอ้ มูล
ปฏกิ ริ ิยาทีเ่ กดิ ขึน้ และวิถี (Reaction and fate) หรอื ปฏิกริ ยิ าต่อกนั (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มูล
2. การศกึ ษาความเป�นพิษในสัตว์ทดลอง
การศกึ ษาความเปน� พิษเฉียบพลนั (Acute toxicity Study)
ไมพ่ บข้อมูลการศึกษา
การศกึ ษาความเป�นพษิ กง่ึ เร้อื รงั (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มลู การศึกษา
การศึกษาความเป�นพิษเรอ้ื รัง (Chronic toxicity study)
ไม่พบข้อมลู การศึกษา
3. การศกึ ษาความเปน� พิษเฉพาะทาง (ถา้ ม)ี
ไม่พบขอ้ มลู การศึกษา
4. การศึกษาในมนุษย์ทางคลนิ ิก หรอื ทางระบาดวทิ ยา (ถ้าม)ี
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา

สรปุ และขอ้ เสนอแนะจากผู้วจิ ัย
ส่วนต้นทั้งต้น ยอดอ่อน ใบอ่อนของผักแขยงที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนโดยต้มสามารถนำมา

บริโภคเป�นอาหารได้และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภคและการศึกษาความเป�นพิษใน
สัตวท์ ดลอง

ตารางท่ี 1.4 พชื อาหารและสมุนไพรทเ่ี ปน� อาหารและยาที่นอกเหนอื ประกาศฯ ในภาค

ลำดบั ชื่อพชื ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ ชอ่ื วงศ์

1 กุ่มน้ำ Crateva religiosa Capparaceae

2 กุ่มบก Crateva adansonii DC. Capparaceae

3 ครอบฟน� สี Abutilon indicum (L.) Sweet. Solanaceae

4 คำไทย Bixa orellana L. Bixaceae

5 ชะมวง Garcinia cowa Roxb. ex DC. Clusiaceae

6 นางพญาเสอื โครง่ Prunus cerasoides D.Don. Rosaceae
7 ผกั สาบ Adenia viridiflora Craib Passifloraceae

8 เลบ็ ครุฑ Polyscias fruticosa (L.) Harms. Araliaceae

คตะวันออก 50
สว่ นทีใ่ ช้
วิธีการ
ยอดออ่ น ใบออ่ น ช่อดอกอ่อน
ยอดออ่ น ใบอ่อน ช่อดอกอ่อน บรโิ ภคโดยผ่านการแปรรูปโดยนำมาดองเกลือ
เมลด็ บรโิ ภคโดยผ่านการแปรรปู โดยนำมาดองเกลอื
เนื้อหมุ้ เมลด็ บรโิ ภคสด
บริโภคโดยผ่านการแปรรูปใช้ทำเป�นสีสำหรับ
ยอดออ่ น ใบออ่ น ผล แต่งอาหาร แต่งสีเนย สีไอศกรีม ฝอยทอง
น้ำมนั หรอื เพอ่ื เพ่มิ ความเข้มของไขแ่ ดง
เมล็ด บริโภคสด หรือปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการ
ยอดออ่ น ใบออ่ น ตม้ หรอื แกง
บริโภคสด
ยอดออ่ น ใบ ปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการต้มหรือแกง
ดองดว้ ยนำ้ เกลือ
บริโภคโดยผา่ นการปรงุ สุกด้วยความร้อน

51

การศกึ ษาข้อมลู ความปลอดภัยของพืชและสมุนไพรภาคตะวันออก

(1) กุ่มนำ้
ส่วนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไป

1. ชอ่ื สามัญของพชื และสมนุ ไพร
ภาษาไทย: กุม่ นำ้
ภาษาอังกฤษ: Crataeva

2. ช่ือวิทยาศาสตรข์ องพชื และสมุนไพร
Crateva religiosa วงศ:์ CAPPARACEAE

ภาพที่ 7 กุ่มนำ้ (Crateva religiosa)
ทมี่ า: ฐานขอ้ มลู สมุนไพรไทยเวบ็ ไซต์เมดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรือแหลง่ ทเ่ี กบ็ ตัวอยา่ งพืชและสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภูมศิ าสตร์
ไม่พบข้อมูลที่แนช่ ดั
3.2 แหลง่ ทีเ่ ก็บตวั อยา่ งพชื และสมนุ ไพร
หมบู่ า้ น หนองหวาย ตำบล นาแพง อำเภอ โคกโพธไ์ิ ชย จังหวัดขอนแก่น

52

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเป�นอาหาร หรอื การบริโภค (มากกว่า 15 ป�)
- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่ายอดอ่อน ช่อดอก ของกุ่มน้ำนำมาดอง

เกลือรับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริกและฝ�กของต้นแคนำมาลวกหรือผัดจิ้มน้ำพริก พบขึ้นริม
ธารน้ำในป่า (อษุ า ทองไพโรจน,์ 2542)
- จากการสำรวจข้อมูลทางคุณค่าทางโภชนาการของผักและผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนบริโภคเป�น
ส่วนใหญ่ พบว่าคุณค่าทางโภชนาการของกุ่มน้ำดอง 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ 73.4
กรมั โปรตนี 3.4 กรมั ไขมนั 1.3 กรัม คารโ์ บไฮเดรต 15.7 กรมั ใยอาหาร 4.9 กรมั วติ ามินแร่
ธาตุ 1.3 กรัม โดยเป�นแคลเซียม 124 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม เหล็ก 5.3 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 608 มิลลิกรัม วิตามินซี 5 มิลลิกรัม วิตามินบี 1 0.08 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.25
มิลลิกรัม วิตามินบี 3 1.5 มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด 108 แคลอรี่ (กองโภชนาการ กรม
อนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2544)
- การสำรวจพืชผกั พ้นื เมืองในจังหวัดนครศรธี รรมราชพบว่ายอดอ่อน และใบอ่อน ของผักกุ่มบก
นำมาดองเกลือเหมอื นกับผักเส้ยี น รบั ประทานกับนำ้ พริก และแกลม้ กับอาหารที่มีรสเผ็ดต่างๆ
แกงส้มกับปลาสด ปกติไม่มีการนำมาจำหนา่ ยในตลาดทั่วไป เป�นพันธุ์ไม้ที่หายาก (อุไร ดำศร,ี
2535)
- การสำรวจพืชผักพืน้ เมืองในจังหวัดลพบุรีพบว่าได้ส่วนยอดอ่อน ใบอ่อน และช่อดอกอ่อนของ
ผักกุ่มนำมาดองโดยการหมักกับน้ำเกลือและน้ำซาวข้าว ทิ้งไว้ 2-3 วัน จึงนำมารับประทาน
เป�นผักจิ้มน้ำพริก หรือนำมาต้มคั้นน้ำทิ้ง 1-2 ครั้ง เพื่อลดความขมแล้วนำไปแกงคล้ายแกง
ขี้เหล็ก โดยปรุงรสด้วยข่าอ่อน ตะไคร้ น้ำปลาร้า และข้าวสารเล็กน้อย ซึ่งพบได้ทั่วไปตามริม
ฝ�งแม่น้ำ ลำคลอง บึง ตั้งแต่ระดับความสูงระดับน้ำทะเลถึง 600 เมตร (จุฑาทิพย์ เชียรเจริญ,
2542)
- ยอดอ่อนของกุ่มนำ้ นำมาน่งึ ดองรบั ประทานกบั นำ้ พรกิ (วชั รี ประชาศรยั สรเดช, 2548)
- จากการสำรวจผักพื้นบ้านในภาคเหนือพบรายงานว่ามีการใช้ส่วนยอดอ่อนและดอกอ่อน มา
ดองกับน้ำเกลือ รับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริกแดง น้ำพริกปลาร้า หรือนำมายำกับปลาทูนึ่ง
และสำหรับทางยามีการใช้ส่วนลูก แก้ไข ส่วนใบขับเหงื่อ แก้ไข เจริญอาหาร ระบายขับพยาธิ
แก้ปวดฟ�น แก้อัมพาต แก้ไขข้ออักเสบ ขับผายลม ดอก แก้เจ็บตา แก้เจ็บคอ แก้ไข้ครั่นเนื้อ
ครน่ั ตวั เปลือกของต้น แกกษยั แก้ในกองลใ แกไ้ ขข้ บั น้ำดี ขบั นิ่วในทางเดนิ ป�สสาวะ ระงับพิษ
ที่ผิวหนังใบแก้ไอ ดอกและรากใช้ระบายพิษไข้ โดยฤดูกาลที่ใชป้ ระโยชนไ์ ด้คือฤดูฝนและแลง้

53

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตคือสามารถขึ้นได้ทั่วไป ตามริมฝ�งแม่น้ำ ขอบบึง

(กัญจนา ดวี เิ ศษ, 2548)

- การสำรวจพืชผกั พื้นเมอื งในจังหวดั อดุ รธานพี บวา่ ยอดอ่อน ใบออ่ น และชอ่ ดอกออ่ นนำไปดอง

ด้วยน้ำเกลือและตากแดดทิง้ ไว้ประมาณ 2-3วัน แลว้ นำไปปรุงอาหารโดยการผัดหรือแกง หรือ

หมักให้มีรสเปรี้ยว รับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริก รับประทานร่วมกับป่นปลา พบขึ้นทั่วไปใน

ปา่ ท่มี นี ำ้ รมิ ฝง� แม่นำ้ ขอบบึงและคลอง (มานติ ย์ ออพานชิ กจิ , 2530)

5. ส่วนทีน่ ำมาใช้ (part of use)
ยอดอ่อน ใบอ่อน และชอ่ ดอกออ่ น

6. วตั ถุประสงค์การบริโภค
สมนุ ไพรทเี่ ป�นอาหาร และยา

7. รปู แบบการบรโิ ภค
บริโภคโดยผ่านการแปรรปู
ยอดออ่ น ใบออ่ น และชอ่ ดอกอ่อน นำมาดองเกลอื เป�นผักจ้ิมนำ้ พรกิ

8. กลุ่มผบู้ รโิ ภค
บุคคลทวั่ ไป

9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคญั
9.1 คณุ ค่าทางโภชนาการ
- คุณค่าทางโภชนาการของกุ่มน้ำดอง 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ 73.4 กรัม
โปรตีน 3.4 กรัม ไขมัน 1.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 15.7 กรัม ใยอาหาร 4.9 กรัม
วิตามินแร่ธาตุ 1.3 กรัม โดยเป�นแคลเซียม 124 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
เหล็ก 5.3 มิลลิกรัม วิตามนิ เอ 608 มิลลิกรมั วิตามินซี 5 มลิ ลิกรัม วิตามนิ บี 1 0.08
มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.25 มิลลิกรัม วิตามินบี 3 1.5 มิลลิกรัม และมีพลังงาน
ทั้งหมด 108 แคลอรี่ (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ , 2544)
9.2 สารสำคัญ
- เปลือกต้นพบสาร epiafzelechin 5-glucoside สารไตรเทอร์ป�นอยด์ diosgenin,
phragmalin triacetate, lupeol สารอัลคาลอยด์ ได้แก่ cadabicine และ
cadabcine diacetate (Patil and Gaikwad, 2011)

10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
- กมุ่ น้ำ ก่ิงและใบมสี ารไฮโดรเจนไซยาไนดซ์ ่ึงเป�นพิษ ไม่ควรใช้รบั ประทานสด ๆ แต่ควร
ทำใหส้ ุกก่อน ดว้ ยการนำมาดองหรือตม้ เพือ่ กำจัดพิษก่อนนำมารับประทาน ใบแก่มีพิษ มี
ฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ทำให้อาเจียน มึนงง ไม่รู้สึกตัว มีอาการหายใจลำบาก
กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย กระตุก ชักก่อนจะหมดสติ หากได้รับในปริมาณมาก อาจเกิดอาการ

54

รุนแรงได้ภายใน 10-15 นาที แต่ถ้าหากใช้ในปริมาณเล็กน้อยจะมีสรรพคุณเป�นยาระบาย
(ฐานขอ้ มูลสมุนไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี)

11. ฤทธิท์ างเภสัชวิทยา หรอื สรรพคณุ พน้ื บ้าน
- ตำรายาไทย เปลือกต้นรสขมหอม แก้สะอึก ขับผายลม ขับลมในลำไส้ ขับเหงื่อ แก้ใน
กองลม แก้กระษยั แกร้ ิดสดี วงผอมแหง้ ระงบั พิษที่ผวิ หนัง แกไ้ ข้ ขับน้ำเหลอื งเสีย เป�นยา
บำรุง ขับน้ำดี ขับนิ่วในทางเดินป�สสาวะ แก้อาเจียน แก้ลมทำให้เรอ ผสมรวมกับเปลือก
กุ่มบก เปลือกทองหลางใบมน ต้มน้ำดื่ม เป�นยาขับลม แก้สะอึก บัญชียาจากสมุนไพร: ที่
มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ใน
บัญชียาหลักแห่งชาติ ระบกุ ารใช้กุ่มน้ำในตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของ
เปลือกต้นกุ่มน้ำร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดตาม
เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา (ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยอบุ ลราชธานี)
- ตำรายาไทยใช้ ใบ ขับเหงื่อ ดอก แก้เจ็บคอ ผล แก้ไข้ เปลือกต้น ผสมรวมกับเปลือกกุ่ม
บก เปลอื กทองหลางใบมน ต้มน้ำด่ืมเป�นยาขับลม แก้สะอกึ กระพ้ี แก้รดิ สีดวงทวาร แก่น
แก้นิ่ว ราก แช่น้ำกิน บำรุงธาตุ ใบและกิ่งมีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ซึ่งเป�นพิษได้ เมื่อกิน
สด ควรดอง หรือต้มกำจัดพิษเสียก่อน (ฐานข้อมูลสมุนไพร แผนงานวิจัยการอนุรักษ์
พันธุกรรมและพัฒนาพืชสมุนไพรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล )
- ฤทธ์ิลดปวด ลดการอักเสบข้อ สารสกัดเอทานอลจากเปลือก ลดการปวดในหนูถีบจักรที่
เกิดจากการเหนี่ยวนำความเจ็บปวดด้วยกรดอะซิติกได้อย่างมีนัยสำคัญ (Patil and
Gaikwad, 2011) สารไตรเทอร์ป�น lupeol และ lupeol linolate ที่แยกได้จากเปลือก
ต้น มีฤทธิ์ลดการอักเสบข้อในหนูขาว เมื่อทดสอบด้วยวิธีการฉีดสารกระตุ้นการอักเสบข้อ
(Freund’s adjuvant) โดย lupeol linolateออกฤทธิ์ได้ดีกว่า lupeolนอกจากนี้สารทั้ง
สองชนิดสามารถลดการบวมท่ีอุ้งเทา้ สตั ว์ทดลองได้ (Patil and Gaikwad, 2011)
- ฤทธ์ิยับยั้งการเกิดนิ่วที่ไต สารสกัดน้ำจากเปลือกป้องกันการเกิดนิ่วที่ทางเดินป�สสาวะท่ี
เกิดจากสารออกซาเลต เมื่อทดสอบในหนูตะเภาที่ได้รับ sodium oxalate ร่วมกับ
methionine และมีรายงานว่าสารสกัดน้ำจากเปลือกต้น ช่วยขับก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นที่ไตได้
(Patil and Gaikwad, 2011) สารไตรเทอร์ป�น lupeol และ betulin (อนุพันธ์ของ

55

lupeol) ที่แยกได้จากเปลือกต้น เมื่อนำมาทดสอบในหนูขาวที่มีการขับ oxalate ออก
ทางป�สสาวะมาก (hyperoxaluric) พบว่าสามารถลดการทำลายของท่อไต และลดผลึกที่
จะทำให้เกิดเป�นก้อนนิ่วที่ไตได้ โดย lupeol มีฤทธิ์ดีกว่า betulin และมีรายงานว่า
lupeol ลดการสะสะมของแคลเซียม และออกซาเลตที่ไต โดยยับยั้งการทำงานของ
glycolic acid oxidase ที่ตับ ทำให้การรวมตัวของสารที่จะทำให้เกิดก้อนนิ่วที่ไตลดลง
(Patil and Gaikwad, 2011)
- ฤทธ์ิลดความเป�นพิษต่อไต สารไตรเทอร์ป�น lupeol ที่แยกได้จากเปลือกต้นมีฤทธิ์ลด
ความเป�นพษิ ต่อไตในสตั วท์ ดลองท่ีถกู เหนีย่ วนำความเป�นพษิ ต่อไตด้วย cisplatin โดยทำ
ให้ระดับของ BUN, creatinine และ lipid peroxidation ที่บ่งบอกความเป�นพิษต่อไต
ลดลงได้ และสามารถเพิ่มระดับเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระglutathione และ catalase
(Patil and Gaikwad, 2011)
- ฤทธิ์ปกป้องตับ การทดสอบในหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้ตับเป�นพิษด้วยแคดเมียม เป�นผลให้
ระดับสาร malondialdehyde เพิ่มขึ้น และระดับเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระในตับลดลง
เมื่อป้อนสารไตรเทอร์ป�น lupeol หรือ lupeol linolate ที่แยกได้จากเปลือกต้นแก่หนู
พบว่าทำให้เนื้อเย่ือตับกลับสู่ปกติได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการยับยั้งอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น
และทำให้ระดับเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น โดยสาร lupeol linolateออกฤทธิ์ได้
ดกี ว่า lupeol (Patil and Gaikwad, 2011) การทดสอบในหนูขาวท่ีเหนีย่ วนำให้ตับเป�น
พิษด้วยเชื้อรา aflatoxin B1 เป�นผลให้ระดับสาร lactate dehydrogenase (LDH),
alkaline phosphatase, alanine และ aspartate aminotransferase และเกิด lipid
peroxide เพิ่มขึ้น ในขณะที่ระดับเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระในตับลดลง เมื่อป้อนสาร
lupeol ที่แยกได้จากเปลือกต้นแก่หนู พบว่าทำให้เนื้อเยื่อตับ และค่าระดับเอนไซม์ต่างๆ
กลับสู่ปกตไิ ด้ โดยเปรียบเทยี บกับยามาตรฐาน silymarin ซ่ึงแสดงว่าสาร lupeolมีฤทธิ์ดี
มากในการปกปอ้ งตบั จากเชื้อรา aflatoxin B1(Patil and Gaikwad, 2011)
12. กระบวนการผลติ
-
13. สตู รสว่ นประกอบ
-
14. รายละเอียดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จุบัน
-

56

15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
- เปลือกต้นสดมีสารไซยาโนเจเนติกไกลโคไซด์ ที่สลายตัวให้ก๊าซไซยาไนด์ได้ การนำมาทำ

ยาจึงต้องใช้เปลือกแห้งจึงจะไม่เกิดอันตราย (ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัช

ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี)

- กุม่ น้ำ กิง่ และใบมสี ารไฮโดรเจนไซยาไนดซ์ ่ึงเป�นพิษ ไม่ควรใช้รับประทานสด ๆ แตค่ วรทำ

ให้สุกก่อน ด้วยการนำมาดองหรือต้มเพื่อกำจัดพิษก่อนนำมารับประทาน ใบแก่มีพิษ มี

ฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต ทำให้อาเจียน มึนงง ไม่รู้สึกตัว มีอาการหายใจลำบาก

กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย กระตุก ชักก่อนจะหมดสติ หากได้รับในปริมาณมาก อาจเกิดอาการ

รุนแรงได้ภายใน 10-15 นาที แต่ถ้าหากใช้ในปริมาณเล็กน้อยจะมีสรรพคณุ เป�นยาระบาย

(ฐานข้อมลู สมุนไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธาน)ี

สว่ นที่ 2 ข้อมูลความปลอดภยั
1. ลักษณะทางชีวเคมี
การดูดซมึ การกระจาย และการขับออกจากร่างกาย
ไม่พบข้อมูล
การเปลยี่ นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มูล
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละค่าอ่นื ทางชีวเคมี
ไมพ่ บขอ้ มลู
ปฏิกิริยาทีเ่ กิดขึน้ และวิถี (Reaction and fate) หรือปฏิกริ ิยาต่อกัน (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มูล
2. การศกึ ษาความเปน� พษิ ในสตั วท์ ดลอง
การศึกษาความเป�นพษิ เฉียบพลัน (Acute toxicity Study)
- การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันในช่องปากของสารสกัดในหนูได้รับสารสกัดจากเอทา

นอลของรากผักกุ่มน้ำในปริมาณต่างๆ (500-2,000 มก./กก.) ทางปากโดยทางสายยาง

สังเกตอาการทเ่ี ป�นพษิ อย่างต่อเนื่องหลังจากผ่านไป 24 ชวั่ โมง ในการศกึ ษาความเป�นพิษ

ไมพ่ บการตายเกิดข้นึ (R. Meera and N.Chidambaranathan, 2012)

การศึกษาความเปน� พษิ กึง่ เร้ือรงั (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา

การศกึ ษาความเปน� พิษเรอ้ื รงั (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา

57

3. การศึกษาความเปน� พิษเฉพาะทาง (ถ้าม)ี
ไม่พบข้อมลู การศกึ ษา

4. การศกึ ษาในมนุษย์ทางคลินกิ หรอื ทางระบาดวทิ ยา (ถ้าม)ี
ไม่พบขอ้ มูลการศกึ ษา

สรปุ และขอ้ เสนอจากผวู้ จิ ยั
ยอดอ่อน ใบอ่อน และช่อดอกอ่อน สามารถนำมาบริโภคเปน� อาหารไดโ้ ดยผ่านการแปรรปู ด้วยการ

นำมาดองเกลือและไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษ
เฉียบพลนั ของสารสกัดสารสกัดจากเอทานอล ท่ปี ริมาณ 500-2,000 มลิ ลกิ รัมตอ่ กิโลกรมั ของน้ำหนกั ตวั ไม่
ก่อให้เกิดความเป�นพิษและไมส่ ่งผลตอ่ การตายเฉียบพลนั แกส่ ัตวท์ ดลอง และมขี ้อควรระวังในการบรโิ ภคคอื
กิ่งและใบมีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ซึ่งเป�นพิษ ไม่ควรใช้รับประทานสด ๆ แต่ควรทำให้สุกก่อน ด้วยการ
นำมาดองหรือตม้ เพ่ือกำจัดพษิ กอ่ นนำมารับประทาน

58

(2) คำไทย

ส่วนที่ 1 ข้อมูลทว่ั ไป
1. ช่อื สามัญของพชื และสมนุ ไพร
ภาษาไทย: คำไทย, คำเงาะ
ภาษาองั กฤษ: -
2. ชือ่ วทิ ยาศาสตรข์ องพชื และสมุนไพร
Bixa orellana L. วงศ์: Bixaceae

ภาพที่ 8 คำไทย (Bixa orellana L.)
ทม่ี า: ฐานข้อมลู สมนุ ไพรไทยเวบ็ ไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภมู ิศาสตร์ หรือแหลง่ ท่ีเก็บตวั อย่างพชื และสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภมู ิศาสตร์
มีถ่ินกำเนดิ ในอเมรกิ าเขตร้อน
3.2 แหลง่ ท่เี ก็บตัวอยา่ งพชื และสมนุ ไพร
อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี

4. ประวตั ิการบรโิ ภคเปน� อาหาร หรือการบรโิ ภค (มากกว่า 15 ป)�
- เนื้อหุ้มเมลด็ ใชท้ ำเป�นสีสำหรับแตง่ อาหาร แต่งสีเนย สีไอศกรีม ฝอยทอง นำ้ มนั หรือเพ่อื
เพมิ่ ความเขม้ ของไขแ่ ดง เปน� ต้น (วิทย์ เทย่ี งบรู ณธรรมส, 2542.)

5. สว่ นท่นี ำมาใช้ (part of use)
เนือ้ หุ้มเมล็ด

59

6. วัตถปุ ระสงค์การบริโภค
สมนุ ไพรท่เี ปน� อาหารและยา

7. รูปแบบการบริโภค
บริโภคโดยผ่านการแปรรปู
- เนื้อหุ้มเมล็ด ใช้ทำเป�นสีสำหรับแต่งอาหาร แต่งสีเนย สีไอศกรีม ฝอยทอง น้ำมัน หรือ

เพอื่ เพิ่มความเขม้ ของไขแ่ ดง
8. กลมุ่ ผ้บู ริโภค

บคุ คลทว่ั ไป
9. คณุ คา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ

9.1 คณุ ค่าทางโภชนาการ
-

9.2 สารสำคัญ
- สารที่ใหส้ ีคอื bixin, norbixin มีสารขม และสารอ่ืนๆ เช่น orellin (ฐานขอ้ มลู

เครอ่ื งยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี)

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยา หรือสรรพคณุ พน้ื บ้าน
- คำไทยมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านไวรัส ต้านปรสิต โปรโตซัว กดระบบประสาท
ส่วนกลาง ลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
ยับยั้งการหลั่งของกระเพาะอาหาร คลายกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้ ยับยั้งการสร้างโพ
รสตาแกลนดิน (อังกฤษ: prostaglandin) ยับยั้งเอนไซม์ Aldolase ยับยั้งการเจริญ
ของเซลล์ ทำให้แพ้ ไล่แมลง ฆ่าแมลง ดึงดูดแมลง และเร่งการงอกของพืช[6] บ้างว่า
มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ขับป�สสาวะ ต้านการอักเสบ ต้านอาการชัก ลดระดับ
คอเลสเตอรอล ลดการหล่งั ของกรดในหนู ต้านพิษงู และมฤี ทธฆิ์ ่าเชื้อแบคทเี รยี (กลมุ่
รักษเ์ ขาใหญ่. “คําไทย หน้าตาสดใส เลอื ดลมด)ี
- ตำรายาไทย: ใช้เมล็ด เป�นยาหอม แก้ลม เป�นยาฝาดสมาน สมานบาดแผล แก้ไข้

ถ่ายเสมหะ แก้โรคผิวหนัง ขับระดู ตำพอกหรือทาแก้ปวดบวม ตำพอกหัวหน่าว แก้

ปวดมดลูกหลังคลอด รักษาโรคหนองใน ไข้มาลาเรีย โรคพิษจากมันสำปะหลังและ

สบู่แดง รก(เนื้อหุ้มเมล็ด) รสหวานร้อน เป�นยาระบายท้อง ทา ขับพยาธิ รักษาโรค

ผวิ หนงั นำ้ มันจากเมล็ด รสรอ้ น แก้อมั พฤกษ์อัมพาต แก้ขัดตามขอ้ (ฐานขอ้ มูลเคร่ือง

ยาสมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี)

60

- ตำรายาไทยใช้ดอกต้มกินเป�นยาบำรุงโลหิต แก้โรคโลหิตจาง แก้บิด นำเมล็ด มาแช่
น้ำกรองเพื่อแยกส่วนเมล็ดออกจากสีทิ้งไว้ระยะหนึ่ง ผงสีส้มชื่อ bixin จะตกตะกอน
ใช้แต่งสีอาหารและย้อมผ้าฝ้ายและไหม ฐานข้อมลู สมุนไพร แผนงานวิจัยการอนรุ กั ษ์
พันธุกรรมและพัฒนาพืชสมุนไพรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหิดล )

- คำไทยเป�นยาป้องกนั พิษ (alexipharmic); มีประโยชน์รักษาอาการปวดหัว โรคเลือด
(blood disorders) แก้อาเจียน (anti-emetic) และแก้กระหายน้ำ เมล็ดช่วยบำรุง
หัวใจ (cordial) สมานแผล (astringent) ลดไข้ (febrifuge) และรักษาโรคหนองใน
(gonorrhoea) (Yusuf และคณะ, 1994; Kirtikar และ Basu, 1999) เปลือกรากช่วย
รักษาโรคหนองใน (gonorrhoea) (Yusuf และคณะ, 1994; Ghani, 2003) และลด
ไข้ (antiperiodic) แก้ไข้ (antipyretic) (Kirtikar และ Basu, 1999) การชาจากใบ
และรากมีประโยชน์ต่อโรคลมชัก (epilepsy) โรคบิด (dysentery) ไข้ (fever) และ
โรคดีซ่าน (jaundice) (Perry, 1980; Joshi, 2000; Ghani, 2003) คนในท้องถิ่นใน
เขต Khulna ในบังคลาเทศใช้ใบของพืชเพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น อาการท้องร่วง
(diarrhoea) การนอนไม่หลับ (sleeplessness) และโรคผิวหนงั (skin diseases)

- การศึกษาทางเภสัชวิทยาก่อนหน้านี้เป�ดเผยว่าสารสกัดคำไทย มีฤทธิ์ต้านโปรโตซัว
(antiprotozoal) ฤทธิ์ถ่ายพยาธิ (anthelmintic) และต้านเกล็ดเลือด (platelet
antiaggregant) (Villar และคณะ, 1997; Barrio และคณะ, 2004) มีรายงานว่าสาร
สกัดจากรากมฤี ทธ์กิ ระตุ้นการหดเกรง็ ของกลา้ มเนือ้ (spasmolytic activity) (Mans
และคณะ, 2004) สารสกัดจากใบและกิ่งก้านได้แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการ
ทำใหพ้ ษิ งูเป�นกลาง (Nunez และคณะ, 2004) สารสกัดจากส่วนต่างๆ (โดยเฉพาะใบ
และเมล็ด) ได้แสดงฤทธิ์ต้านจุลชีพ (antimicrobial) ในหลอดทดลอง (in vitro)
(Irobi และคณะ, 1996; Castello และคณะ, 2002; Fleischer และคณะ, 2003) มี
รายงานว่าสารสกัดจากเมล็ดพืชมีฤทธิ์ป้องกันการก่อมะเร็ง (chemoprevention)
(Agner และคณะ, 2005) และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) (Martinez-
Tome และคณะ, 2001) นอกจากนี้ยังพบว่าคำไทยมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไมโคร
นวิ เคลยี ส (anticlastogenic) (Antunes และคณะ, 2005)

- การศกึ ษาทางเภสชั วิทยาเบ้อื งต้นของสารสกัดเมทานอลจากใบคำไทย เพ่ือศึกษาฤทธ์ิ
ท า ง ป ร ะ ส า ท เ ภ ส ั ช ว ิ ท ย า ( neuropharmacological) ต ้ า น อ า ก า ร ชั ก
(anticonvulsant) ระงับปวด (analgesic) ป้องกันอาการท้องร่วง (antidiarrhoeal)
และผลต่อการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal motility)
การศึกษาทั้งหมดดำเนินการในหนู Swiss Albinoโดยให้สารสกัดทางปากที่ปริมาณ
125, 250 และ 500 มก./กก. ในการทดสอบ pentobarbitone-induced hypnosis

61

สารสกัดได้ลดเวลาในการเริ่มนอนหลับลงทางสถิติที่ขนาด 500 มก./กก. และเพิ่ม
ระยะเวลานอนหลับรวมที่ปริมาณ 250 และ 500 มก./กก. (ขึ้นกับปริมาณของสาร
สกัด) พฤติกรรมการเคลื่อนไหวลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกปริมาณในการ
ท ด ส อ บ open-field แ ล ะ hole-cross ใ น ก า ร ท ด ส อ บ strychnine-induced
anticonvulsant สารสกัดเพิ่มเวลาการอยู่รอดเฉลี่ยของสตั ว์ทดลอง (มีนัยสำคญั ทาง
สถิติที่ 250 และ 500 มก./กก.) สารสกัดลด righting reflex อย่างมีนัยสำคัญและ
ขึ้นกับปริมาณในการทดสอบ acetic acid-induced writhing ฤทธิ์ป้องกันอาการ
ท้องร่วงได้รับการสนับสนนุ จากการลดลงของจำนวนอุจจาระทัง้ หมดอย่างมีนัยสำคญั
(รวมถึงอุจจาระเป�ยก) ใน castor oil-induced diarrhoea model พบความล่าช้า
ในการเคลื่อนที่ของอาหารที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 500 มก./กก. ในการทดสอบการ
เคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร สารสกัดได้รับการประเมินเพิ่มเติมสำหรับฤทธ์ิ
ต้านอนุมูลอิสระและต้านเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดลอง โดยแสดงให้เห็นคุณสมบัติ
การขับออกอย่างรุนแรงในการทดสอบ DPPH (IC50 = 22.36 ไมโครกรัม/มล.) และ
ฤทธิ์ต้านแบคทีเรียกับตัวแทนที่เป�นสาเหตุของโรคท้องร่วงและโรคบิด ซึ่งรวมถึงโรค
บิดชิเกลลา (Ahmad และคณะ, 2016)
12. กระบวนการผลิต
-
13. สูตรสว่ นประกอบ
-
14. รายละเอียดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จุบัน
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
-
ส่วนท่ี 2 ข้อมูลความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชวี เคมี
การดูดซึม การกระจาย และการขับออกจากร่างกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปล่ยี นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไมพ่ บข้อมูล
ผลต่อเอนไซม์และคา่ อน่ื ทางชีวเคมี
- ดอกช่วยรักษาอาการไตพิการ (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์

มหาวทิ ยาลยั อบุ ลราชธานี)

62

2. การศกึ ษาความเป�นพษิ ในสตั วท์ ดลอง
การศึกษาความเปน� พิษเฉยี บพลนั (Acute toxicity Study)
- เมื่อให้สารสกัดเมล็ดคำไทยทางปากแก่หนูถีบจักร ในขนาด 16 กรัม/กิโลกรัม โดย
แบ่งให้ 2 ครั้ง ครั้งละ 8 กรัม/กิโลกรัม พบว่าไม่เกิดพิษเฉียบพลันใดๆ การศึกษาพิษ
กึ่งเฉียบพลัน เป�นระยะเวลา 28 วัน แก่หนูวิสตาร์ ในขนาด 0.24, 2.4, 12.0, 60.0
มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ หรือพฤติกรรมของหนู
เปลี่ยนแปลงไป ค่าโลหิตวิทยา เคมีคลินิก จุลพยาธิ ไม่ผิดปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ควร
ใชใ้ นปริมาณพอเหมาะ ไม่เข้มข้นมากเกินไป (ฐานข้อมูลเครือ่ งยาสมนุ ไพร คณะเภสัช
ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี)

การศึกษาความเป�นพษิ กึง่ เรอ้ื รงั (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมลู การศึกษา

การศกึ ษาความเป�นพษิ เรอ้ื รงั (Chronic toxicity study)
ไม่พบข้อมูลการศกึ ษา

3. การศกึ ษาความเป�นพษิ เฉพาะทาง (ถา้ มี)
ไม่พบขอ้ มลู การศกึ ษา

4. การศึกษาในมนุษยท์ างคลนิ กิ หรอื ทางระบาดวทิ ยา (ถ้ามี)
ไม่พบขอ้ มลู การศึกษา

สรปุ และขอ้ เสนอจากผู้วิจัย
เนื้อหุ้มเมล็ดของต้นคำไทยสามารถนำมาใช้ทำเป�นสีสำหรับแต่งอาหาร แต่งสีเนย สีไอศกรีม

ฝอยทอง น้ำมัน หรือเพื่อเพิ่มความเข้มของไข่แดงและไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค และข้อมูล
การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันในสัตว์ทดลองพบว่าสารสกัดเมล็ดคำไทยที่ปริมาณ 8 กรัม/กิโลกรัม
พบว่าไม่เกิดพิษเฉยี บพลันและกึ่งเฉียบพลันใดๆ

63

(3) นางพญาเสือโครง่
ส่วนที่ 1 ข้อมลู ทวั่ ไป

1. ช่อื สามญั ของพชื และสมุนไพร
ภาษาไทย: นางพญาเสอื โคร่ง

ภาษาอังกฤษ: Wild Himalayan Cherry, Sour cherry

2. ช่อื วทิ ยาศาสตร์ของพืชและสมนุ ไพร
Prunus cerasoides D.Don. วงศ:์ Rosaceae

ภาพที่ 9 นางพญาเสอื โคร่ง (Prunus cerasoides D.Don.)
ทมี่ า: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเวบ็ ไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรอื แหลง่ ทีเ่ กบ็ ตัวอย่างพชื และสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภูมิศาสตร์
พบที่เนปาล อินเดีย จีนตอนใต้ พม่า ลาว และเวียดนามตอนบน ในไทยพบทางภาคเหนอื
ทเ่ี ชียงใหม่ ข้นึ ตามป่าดิบเขา ความสงู ถึงประมาณ 1500 เมตร เป�นไมป้ ระดบั ในทีส่ งู
3.2 แหลง่ ทเ่ี ก็บตวั อยา่ งพืชและสมนุ ไพร
อำเภอไทรโยค กาญจนบรุ ี

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรอื การบรโิ ภค (มากกว่า 15 ป)�
- ผลของนางพญาเสือโคร่งมีรสเปรี้ยว สามารถนำมารับประทานได้ โดยมีคุณค่าทาง
โภชนาการในส่วนของเมล็ด 100 กรัม จะประกอบไปด้วย น้ำ 83 กรัม โปรตีน 3.5 กรมั

64

ไขมัน 0.59 กรัม คาร์โบไฮเดรต 8.4 กรัม ใยอาหาร 5.1 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 3.11 กรัม
วิตามินซี 0.319 กรัม (Manju, 1999)
5. สว่ นทน่ี ำมาใช้ (part of use)
เมลด็
6. วตั ถปุ ระสงค์การบริโภค
สมนุ ไพรทีเ่ ป�นอาหารและยา
7. รปู แบบการบรโิ ภค
บริโภคสด
- ส่วนของเมล็ด
8. กลุ่มผ้บู รโิ ภค
บคุ คลทว่ั ไป
9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคญั
9.1 คุณคา่ ทางโภชนาการ

- คุณค่าทางโภชนาการในสว่ นของเมลด็ 100 กรมั จะประกอบไปดว้ ย นำ้ 83 กรัม
โปรตีน 3.5 กรัม ไขมัน 0.59 กรัม คาร์โบไฮเดรต 8.4 กรัม ใยอาหาร 5.1 กรัม
วิตามินแรธ่ าตุ 3.11 กรมั วติ ามนิ ซี 0.319 กรัม (Manju, 1999)

9.2 สารสำคญั
-

10. สารพิษ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธิท์ างเภสชั วิทยา หรือสรรพคณุ พนื้ บ้าน
- สารสกัดจากลำต้นนางพญาเสือโคร่งด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้
สัตว์ทดลอง ชาวเขาเผ่ามูเซอจะใช้เปลือกต้นนางพญาเสือโคร่งเป�นยาแก้ไอ ลดน้ำมูก
แก้อาการคัดจมูก และเป�นยาแก้เลือดกำเดาไหล ตำคั้นเอาน้ำทาหรือพอกแก้ฟกช้ำ
แก้ขอ้ แพลง ปวดขอ้ (หนังสือสมุนไพรพนื้ บา้ นลา้ นนา)
- เปลอื กต้นใชต้ ้มกับน้ำ ดื่มรกั ษาอาการหนาวสัน่ จากอาการไข้ แกอ้ าการท้องเสยี
(สวนพฤกษศาสตร์ ตามพระราชเสาวนยี ฯ์ , กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุ์
พชื .)
- ลำต้นของพืชมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา เช่น ลดไข้ (antipyretic) และทำความเย็น
(refrigerants) แก่นไม้ เช่น บรรเทาอาการระคายเคือง (demulcent) สมานแผล
(astringent) ทำความเย็น (refrigerants) ลดไข้ (antipyretic) และชูกำลัง (tonic)
เปลือกต้นใช้แก้อักเสบ (anti-inflammatory) ผลใช้สมานแผล (astringent) และ
ช่วยย่อยอาหาร (digestive) น้ำมันจากเมล็ดให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง (emollient)

65

(Kirtikar และ Basu, 1989; Nadakarni, 2002) และเป�นประโยชน์ต่ออาการปวด
ท้อง (stomach trouble) น้ำอสุจิอ่อนแอ (seminal weakness) โรคเรื้อน
(leprosy) ประสาทหลอน (hallucinations) รอยด่างขาว (leukoderma) โรคไฟ
ลามทุ่ง (erysipelas) แสบร้อน (burnings) อาเจียน (vomiting) หอบหืด (asthma)
อาการสะอึก (hiccough) เคล็ด (sprains) บาดแผล (wounds) ฝ� (ulcers) สีผิว
ผิดปกติ (skin discolouration) ท้องร่วง (diarrhoea) และสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
หัวใจ (cardiac debility) (Pullaiah, 2006) เมล็ดใช้รักษานิ่วในไต (Chatterjee
และ Pakrashi, 1992) มีรายงานว่าเปลือกต้นและกิ่งก้านของพืชมีฤทธิ์แก้เกร็ง
(antispasmodic) (Dhar และคณะ, 1968) และฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
(antibacterial) (Sharma, 2013) ในขณะที่ลำต้น ผล และยาง มีประสิทธิภาพใน
การต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) (Rana และ Singh, 2013; Malsawmtluangi
และคณะ, 2014) ในอนิ โดจนี จะใช้เปลือกไม้รกั ษาอาการบวมน้ำ (dropsy) ดอกถกู ใช้
ขับป�สสาวะ (diuretic) และยาระบาย (laxatives) เมล็ดใชถ้ ่ายพยาธิ (anthelmintic)
ในประเทศจีน เมล็ดใช้สำหรับอาการไอ (cough) โรคเลือด (blood disease) และ
โรคไขข้อ (rheumatism) สารสกัดจากใบใช้เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก (prostate) และ
โรคทางเดินปส� สาวะ (urinary disorder) (Anonymous, 2003; Kirtikar และ Basu,
2005)
12. กระบวนการผลติ
-
13. สูตรส่วนประกอบ
-
14. รายละเอียดผผู้ ลิต และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จบุ ัน
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
-
สว่ นท่ี 2 ข้อมลู ความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชวี เคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขบั ออกจากรา่ งกาย
ไม่พบข้อมลู
การเปลี่ยนแปลงของสาร (Biotransformation)
ไมพ่ บข้อมลู
ผลต่อเอนไซมแ์ ละคา่ อืน่ ทางชีวเคมี
ไมพ่ บขอ้ มลู

66

2. การศึกษาความเปน� พิษในสัตวท์ ดลอง
การศกึ ษาความเป�นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity Study)
- ไม่พบสัญญาณของความเป�นพิษหรือสภาวะผิดปกติในสัตว์ที่ได้รับสารสกัดเอทานอล
ของผลนางพญาเสือโคร่ง 2,000 มก./กก. ดังนั้น LD50 ของสารสกัด จึงถูกพิจารณา
ว่ามากกว่า 2000 มก./กก.เนื่องจากขนาดยาที่มีประสิทธิผลเฉลี่ย (ED50) คือหนึ่งใน
สบิ ของ LD50 ดงั นัน้ 200 มก./กก. กลายเป�น ED50 ของสารสกดั (Bawari และคณะ
, 2021)

การศกึ ษาความเป�นพิษกง่ึ เรือ้ รงั (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มลู การศกึ ษา

การศกึ ษาความเปน� พิษเรื้อรัง (Chronic toxicity study)
ไมพ่ บขอ้ มูลการศึกษา

3. การศึกษาความเป�นพิษเฉพาะทาง (ถ้ามี)
ไม่พบข้อมลู การศึกษา

4. การศกึ ษาในมนุษยท์ างคลนิ ิก หรอื ทางระบาดวิทยา (ถ้าม)ี
ไม่พบขอ้ มูลการศกึ ษา

สรุปและขอ้ เสนอจากผูว้ ิจัย
ผลของต้นนางพญาเสือโคร่งสามารถนำมาบริโภคสดได้และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการ

บรโิ ภค และขอ้ มูลการศึกษาความเป�นพษิ เฉยี บพลันในสัตวท์ ดลองพบวา่ สารสกดั เอทานอลของผลนางพญา
เสือโครง่ 2,000 มิลลกิ รมั /กโิ ลกรัม นน้ั ไมก่ ่อใหเ้ กดิ ความเปน� พษิ ในสตั ว์ทดลอง

ตารางที่ 1.5 พืชอาหารและสมนุ ไพรท่เี ป�นอาหารและยาทีน่ อกเหนือประกาศฯ ในภาค

ลำดับ ชอ่ื พชื ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ ชอ่ื วงศ์

1 กระถนิ ไทย Leucaena leucocephala (Lam.) de Wit Fabaceae

(กระถนิ บา้ น)

2 ชา้ เรอื ด Caesalpinia mimosoides Larn. Fabaceae

3 ตาเป�ดตาไก่ Ardisia crenata Sims Primulaceae
4 เตา่ ร้างแดง Caryota mitis Lour. Arecaceae
5 ถ่ัวฝ�กดาบ Canavalia gladiata (Jacq.) DC. Fabaceae
6 ปรงเขา Cycas pectinata Buch-Ham. Cycadaceae
Kaempferia galanga linn. Zingiberaceae
7 เปราะหอม Gynochthodes sublanceolata Miq. Rubiaceae
8 พนั สมอ

9 มะลดิ นิ Geophila repens (L.) I. M. Johnst. Rubiaceae
10 มันปู Glochidion littorale Blume Phyllanthaceae
11 ลำเท็ง Stenochlaena palustris (Burm. f) Bedd. Blechnaceae

12 สม้ โหลก Baccaurea lanceolata (Miq.) Muell. Arg. Caulerpaceae

13 สาหรา่ ยขนนก Lasia spinosa (L.) Thwaites Araceae
14 สาหรา่ ยพวงองุ่น Caulerpa lentillifera J. Agardh Caulerpaceae
15 อนิ ทนิลน้ำ Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. Lythraceae

67

คใต้ วธิ กี าร
ส่วนท่ีใช้
บรโิ ภคสดเปน� ผกั จม้ิ นำ้ พริก
ยอดออ่ น ใบออ่ น ดอกอ่อน ฝ�กออ่ น
ฝ�กแก(่ ใช้เมลด็ ในฝ�ก) บริโภคสด หรือปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการ
ยอดออ่ น ใบอ่อน ช่อดอก ตม้ หรอื แกง
บริโภคสด
ยอดออ่ น บริโภคโดยผ่านการปรงุ สกุ ด้วยความรอ้ น
ยอดออ่ น บรโิ ภคโดยผา่ นการปรงุ สุกดว้ ยความรอ้ น
ฝก� บริโภคโดยผา่ นการปรุงสกุ ดว้ ยความรอ้ น
ยอดอ่อน บริโภคโดยผ่านการปรงุ สุกดว้ ยความร้อน
ยอดออ่ น บริโภคโดยผา่ นการปรุงสุกด้วยความรอ้ น
ใบ

ใบออ่ น บรโิ ภคสด
e ยอดออ่ น ใบ บริโภคสด
บริโภคสด หรือปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการ
ยอดอ่อน ต้มหรอื แกง
บริโภคสด
ผล แปรรูปโดยการแชอ่ ่ิม ดองหรือกวน
บรโิ ภคสด หรือปรงุ สุกดว้ ยความรอ้ น
ท้ังตน้ บรโิ ภคสด
ท้ังตน้ บริโภคโดยผา่ นการปรงุ สุกดว้ ยความร้อน
ใบอ่อน

68

การศึกษาขอ้ มลู ความปลอดภัยของพชื และสมนุ ไพรภาคใต้

(1) กระถนิ ไทย (กระถนิ บ้าน)
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มลู ทว่ั ไป

1. ช่อื สามญั ของพืชและสมนุ ไพร
ภาษาไทย: กระถิน (kra thin) กระถินไทย (kra thin thai) กระถนิ บ้าน (kra thin ban)

ภาษาอังกฤษ: Horse tamarind, False koa

2. ชือ่ วิทยาศาสตรข์ องพชื และสมุนไพร
Leucaena leucocephala (Lam.) de Wit วงศ:์ FABACEAE

ภาพท่ี 10 กระถิน (Leucaena leucocephala (Lam.) de Wit)
ท่มี า: ฐานขอ้ มลู สมนุ ไพรไทยเวบ็ ไซตเ์ มดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมิศาสตร์ หรอื แหลง่ ทเี่ กบ็ ตวั อย่างพืชและสมนุ ไพร
3.1 การกระจายทางภมู ศิ าสตร์
พบตามพื้นที่เกษตรกรรม ชายฝ�งทะเล ป่าธรรมชาติ ป่าปลูก ทุ่งหญ้า แหล่งชุมชนใกล้
ชายฝ�งแม่น้ำลำคลอง พื้นที่ถูกรบกวน ป่าละเมาะ ชายป่า พื้นที่อยู่อาศัยในเมือง ถิ่น
กำเนิด ทวีปอเมริกาใตแ้ ละอเมริกากลาง ในเขตรอ้ น
3.2 แหลง่ ทีเ่ กบ็ ตวั อย่างพืชและสมนุ ไพร
หมู่บ้านเขาวอ ตำบลบา้ นควน อำเภอหลงั สวน จงั หวดั ชุมพร

4. ประวตั ิการบรโิ ภคเป�นอาหาร หรอื การบรโิ ภค (มากกวา่ 15 ป)�
กระถนิ พบขอ้ มูลประวตั ิการบริโภคเปน� อาหารในประเทศไทยเปน� ระยะเวลาอย่างน้อย 29 ป�
และยงั เป�นผกั ทีป่ ระชาชนบริโภคเป�นสว่ นใหญ่จากการสำรวจของกรมอนามัย กระทรวง
สาธารณสขุ เมอื่ ป� พ.ศ.2544 ดังนี้

69

- การสำรวจข้อมูลทางคุณค่าทางโภชนาการของผักและผลิตภัณฑ์ที่ประชาชนบริโภคเป�น
ส่วนใหญ่ พบข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของกระถินส่วนของยอดอ่อนใน 100 กรัม จะ
ประกอบไปด้วย น้ำ 80.7 กรัม โปรตีน 8.4 กรัม ไขมัน 0.9 กรัม คาร์โบไฮเดรต 8.8 กรัม
ใยอาหาร 3.8 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 1.2 กรัม โดยเป�นแคลเซียม 137 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส
11 มิลลิกรัม เหล็ก 9.2 มิลลิกรัม ไทอะมีน 0.33 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.09 มิลลิกรัม
ไนอะซนิ 1.7 มลิ ลกิ รัม วติ ามนิ เอ 788 มิลลิกรัม และวิตามนิ ซี 8 มลิ ลิกรัม และมีพลังงาน
ทงั้ หมด 77 แคลอรี่ (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2544)

- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดลพบุรีพบว่าได้ส่วนยอดอ่อน ใบอ่อน ฟ�กอ่อน ของต้น
กระถินมารับประทานเป�นผักสดจิ้มกับน้ำพริก และส่วนของฝ�กอ่อน และเมล็ดอ่อน
รับประทานรว่ มกับส้มตำ (จฑุ าทพิ ย์ เชยี รเจรญิ , 2542)

- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดอุดรธานีพบว่ายอดอ่อน ใบอ่อน ฝ�กอ่อน และดอก
อ่อนที่ยังมีสีเขียวอ่อนๆ รับประทานสดๆ เป�นผักจิ้มน้ำพริก หรือรับประทานกับ แจ่ว
ส้มตำ ลาบ ก้อย กว๋ ยเตีย๋ วผัดของชาวอสี าน ชาวบ้านนิยมรับประทาน และมจี ำหนา่ ยตาม
ตลาดสดในบ้างท้องที่ โดยพบว่ากระถินขึ้นตามป่าละเมาะ ริมทางเดิน ตามถนนหลวง ทุ่ง
นา หรือทร่ี กร้างทั่วไป นอกจากน้ันยังมกี ารปลกู ตามสวนหลังบ้านหรือปลกู ทำรั้ว (มานิตย์
ออพานชิ กิจ, 2530)

- ยอด ฝ�กอ่อนและเมล็ดรับประทานกับส้มตำ น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกกะป� ยอดอ่อน
รับประทานกับหอยนางรม และสรรพคุณทางสมุนไพรของต้นกระถินคือส่วนรากช่วยขับ
ระดูขาว ขับผายลม เป�นยาอายุวัฒนะ แก้ท้องร่วง อาเจียน สมานแผล ห้ามเลือด แก้ท่อง
ร่วง อาเจยี น สว่ นเปลอื กมีฤทธแิ์ กท้ ้องรว่ ง สมานแผล หา้ มเลือด สว่ นใบชว่ ยบำรุงร่างกาย
ขับพยาธิ ส่วนดอกช่วยบำรุงตับ ส่วนเมล็ดมีฟอสฟอรัสมากช่วยสร้างกระดูกและลดการ
เกิดนวิ่ ในกระเพาะปส� สาวะ (วชั รี ประชาศรัยสรเดช, 2548)

- การศึกษาการใช้ผักพื้นบ้านเป�นอาหารและยาของชาวบ้าน อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
พบว่ามีการใช้ส่วนยอดอ่อนและเมล็ดในฝ�กของกระถินมารับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริก
นำ้ บดู ู และนำมารับประทานสดกับขนมจีน และข้าวยำ (สาปน� ะห์ แมงสาโมง, 2547)

- ยอดอ่อนและฝ�กอ่อนกินเป�นผักสด ผักจิ้ม (สุธรรม อารีกุล และอำนวย อ่อนละมูล, 2521
อ้างถึงใน สุธรรม อารีกุล, 2552)

- การสำรวจพชื ผักท้องถ่นิ และกลวิธีการปรงุ อาหารของชาวอีสานพบว่ากระถนิ มีการบริโภค
ใบโดยเฉพาะส่วนที่เป�นใบอ่อน และส่วนฝ�กทั้งฝ�กอ่อนและฝ�กแก่ ฝ�กอ่อนบริโภคทั้งฝ�ก
ส่วนฝ�กแก่บริโภคเฉพาะเมล็ดข้างใน โดยนิยมบริโภคแบบดิบทั้งใบและฝ�ก โดยบริโภคกับ
ส้มตำ แจ่วต่างๆ ลาบ ก้อย ในใบและเมล็ดมีสารมิโมซีน (Mimosine) ที่ทำให้ผมร่วงได้
จงึ ไมค่ วรบรโิ ภคมากเกินไป (อรชร พรประเสรฐิ , 2537)

70

- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดกาญจนบุรีพบว่ายอดอ่อนของต้นกระถินใช้
รับประทานเป�นผักดิบร่วมกับอาหารรสจัดหลายชนิด เช่น แจ่ว น้ำพริก (อุษา ทอง
ไพโรจน์, 2542)

- การสำรวจพืชผักพื้นเมืองในจังหวัดนครศรีธรรมราชพบว่ายอดอ่อน ฝ�กอ่อนและเมล็ด
นิยมรับประทานจิ้มนำ้ พริก และแกลม้ กับอาหารหลายชนิด เช่น แกงเผด็ แกงส้ม ขนมจนี
แกงไตปลา ข้าวยำ และมีจำหน่ายในตลาดทั่วไป โดยกระถินพบได้ทั่วไป ปลูกเป�นอาหาร
และเปน� เช้ือเพลงิ (อุไร ดำศร,ี 2535)

นอกจากนี้ ยังพบการบริโภคใบอ่อน เมล็ด ดอกตูม ฝ�กอ่อนของกระถิน โดยใช้ในสลัดหรือ
ประกอบอาหารหลายอยา่ งในประเทศอนิ โดนีเซยี อนิ เดีย และไทย เมล็ดแกย่ ังใช้แทนกาแฟได้
ชาวพื้นเมืองของเม็กซิโกและอเมริกากลางใช้ฝ�กและเมล็ดทีส่ ดเป�นอาหารมาตั้งแต่สมัยโบราณ
(Lim, 2012) ส่วนใบและเมล็ดพืชของกระถินใช้เป�นอาหารของมนุษย์ในอเมริกากลาง
อินโดนีเซีย และไทย แต่ไม่แนะนำสำหรับการบริโภคของมนุษย์อย่างมากมาย เนื่องจากมี
สว่ นประกอบท่ีเปน� พิษจากไมโมซีน (Rushkin, 1984)
5. ส่วนท่ีนำมาใช้ (part of use)

ยอดออ่ น ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝ�กออ่ น และฝ�กแก่ (ใชเ้ มล็ดในฝก� )
6. วตั ถุประสงค์การบริโภค

สมนุ ไพรทีเ่ ปน� อาหารและยา
7. รปู แบบการบรโิ ภค

บริโภคสด
- ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝ�กอ่อน และฝ�กแก่ (ใช้เมล็ดในฝ�ก) รับประทานเป�นผักจ้ิม

นำ้ พริก น้ำบดู ู ส้มตำ แจว่ ต่างๆ ลาบ กอ้ ย ขนมจีน และขา้ วยำ
8. กลมุ่ ผ้บู ริโภค

บคุ คลทวั่ ไป
9. คุณคา่ ทางโภชนาการ และสารสำคัญ

9.1 คุณค่าทางโภชนาการ
- องค์ประกอบทางเคมีของต้นกระถินส่วนของยอดอ่อนใน 100 กรัม จะประกอบไป
ด้วย น้ำ 80.7 กรัม โปรตีน 8.4 กรัม ไขมัน 0.9 กรัม คาร์โบไฮเดรต 8.8 กรัม ใย
อาหาร 3.8 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 1.2 กรัม โดยเป�นแคลเซียม 137 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 11 มิลลิกรัม เหล็ก 9.2 มิลลิกรัม ไทอะมีน 0.33 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน
0.09 มิลลิกรัม ไนอะซิน 1.7 มิลลิกรัม วิตามินเอ 788 มิลลิกรัม และวิตามินซี 8
มิลลิกรัม และมีพลังงานทั้งหมด 77 แคลอรี่ (กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวง
สาธารณสุข, 2544)

71

9.2 สารสำคญั
- สารที่สำคัญที่พบในใบกระถิน ได้แก่ Squalene (41.02%), Phytol (33.80%),
3 ,7 ,1 1 ,1 5 - Tetramethyl-2 - hexadecen-1 - ol (3 0 . 8 6 % ) แ ล ะ 3,7,1 1 -
Tridecatrienenitrile, 4,8,12-trimethyl (25.64%) โดยมีรายงานว่าสารเหล่านี้มี
ฤทธิ์ทางชีวภาพ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านจุลินทรีย์ ต้านปรสิต ต้านมะเร็ง
ปอ้ งกันหลอดเลือดหวั ใจ เป�นตน้ (Zayed and Samling, 2016)

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
- เมล็ดกระถินพบสารต้านโภชนาการ (Antinutrient) ได้แก่ มิโมซีน (mimosine) กรดอะมิ
โนนอน-โปรตีโนเจนิก (non-proteinogenic amino acid) เป�นส่วนประกอบ 14.8% ของ
ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดในเมล็ดกระถิน โดยมีปริมาณมิโมซีนแตกต่างกันไปตั้งแต่ 2.2%
ถึง 10% และมีปริมาณแทนนิน (tannin) ที่ต่ำ (1.2%) ตรงกันข้ามกับปริมาณท่ีสูงในฝ�ก
แห้งและเปลือก (16.3%) นอกจากนี้ ยังพบ Haemagglutinins (Sethi และ Kulkarni,
1995)

11. ฤทธท์ิ างเภสชั วิทยา หรือสรรพคณุ พนื้ บ้าน
- รูปแบบซัลเฟตไกลโคซิเลตของโพลีแซ็กคาไรด์จากเมล็ดกระถินมีรายงานว่ามีฤทธิ์ในการ
ป้องกันเคมีบำบัดและต่อต้านการงอกขยายของมะเร็งอย่างมีนัยสำคัญ (Gamal-eldeen
และคณะ, 2007) นอกจากนี้ มีรายงานว่ามิโมซีน (Mimosine) ซึ่งเป�นกรดอะมิโนจากเมลด็
พืชมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเส้นผม (Crounse และคณะ, 1962;
Chang และคณะ, 1999) การศึกษาอื่นๆ เกี่ยวกับสารสกัดจากเมล็ดกระถินได้แสดงให้เห็น
กิจกรรมที่หลากหลาย รวมทั้งฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ฤทธิ์ขับพยาธิ (Anthelmintic)
และฤทธิ์ต้านเบาหวาน (Antidiabetic) (Irene และคณะ, 1997; Ademola และคณะ,
2005; Syamsudin และคณะ, 2010)
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลอื ด (Hyperglycemic activity)
- การศึกษาผลของสารสกัดเมล็ดกระถินต่อระดับน้ำตาลในเลือด โดยนำเมล็ดกระถินมา
สกัดด้วยน้ำเพื่อให้ได้สารสกัด การทดลองแบ่งหนูทดลองออกเป�น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 8 ตัว
ไดแ้ ก่ กลมุ่ หนปู กติ กลุ่มหนทู ี่เปน� เบาหวานได้รับสารละลายน้ำ 1 มิลลิลิตรต่อวันเป�นเวลา
14 วนั กล่มุ หนทู เ่ี ป�นเบาหวานทไ่ี ดร้ บั สารสกดั จากเมลด็ กระถินปรมิ าณ 0.25, 0.5, 1 กรมั
ต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ตามลำดับ ทุกวันเป�นเวลา 14 วัน และกลุ่มหนูที่เป�นเบาหวานที่
ได้รับคลอร์โพรพาไมด์ (Chlorpropamide) 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ต่อวัน
เป�นเวลา 14 วัน จากนั้นเก็บตัวอย่างเลือดจากสัตว์ทดลองแต่ละตัวในวันที่ 0, 3, 7 และ
14 วันเพื่อวิเคราะห์ระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป�น
เบาหวานพบว่า หลังจากให้สารสกัดจากเมล็ดกระถิน ได้รับ 1 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว
เป�นเวลา 14 วัน สเตรปโตโซโตซินลดลงและกลบั สู่ภาวะปกติในวันท่ี 14 กลไกที่เป�นไปได้

72

ที่สารสกัดจากเมล็ดกระถินทำให้เกิดฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด อาจเกิดจากการหล่ัง

อินซูลินในตับอ่อนจากเซลล์ β และให้ข้อสรุปว่าสารสกัดน้ำของเมล็ดกระถินมีฤทธิ์ต้าน
เบาหวานอย่างมีนัยสำคัญในหนูทเี่ ปน� เบาหวานหลังการใหส้ ารสกัดทางปาก (Syamsudin
และคณะ, 2006)
- การศึกษาฤทธิ์ต้านเบาหวานของสารสกัดเอทานอล 80% ของเมล็ดกระถินในหนูทดลอง
โดยแบ่งหนูทดลองออกเป�น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 8 ตัว ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุมปกติ กลมุ่
2 กลุ่มหนูปกติที่ได้รับสารสกัดเอทานอลของเมล็ดกระถิน 250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
น้ำหนักตัว กลุ่มที่ 3 กลุ่มควบคุมโรคเบาหวาน และกลุ่มท่ี 4 กลุ่มหนูที่เป�นเบาหวานและ
ได้รับสารสกัดเอทานอลของเมล็ดกระถิน 250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ตามลำดับ
พบว่าการให้สารสกัดเอทานอลของเมล็ดกระถินที่ปริมาณ 250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
น้ำหนักตัวแก่หนูวันละครั้งเป�นเวลา 6 สัปดาห์ แสดงให้เห็นฤทธิ์ต้านเบาหวานของสาร
สกัดโดยการลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเพิ่มระดับของอินซูลินใน
ซรี มั ในหนทู เ่ี ป�นเบาหวาน (Chowtivannakul และคณะ, 2016)
- การศึกษาฤทธิ์การลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดจากเอทานอลของใบกระถินโดย
ทดสอบกับหนูไมส์หรือหนูขาว 30 ตัว โดยแบ่งออกเป�น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 (กลุ่ม
ควบคุมปกติ) กลุ่มที่ 2 (กลุ่มควบคุมเชิงลบ โดยหนูถูกเหนี่ยวนำด้วย alloxan 200
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว และน้ำกลั่น) กลุ่มที่ 3 (ถูกเหนี่ยวนำด้วย alloxan และ
glibenclamide 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว) กลุ่ม 4 (ถูกเหนี่ยวนำด้วย alloxan
และได้รับสารสกัดจากใบกระถิน 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว) กลุ่ม 5 (ถูก
เหนี่ยวนำด้วย alloxan และได้รับสารสกัดจากใบกระถิน 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
น้ำหนักตัว) กลุ่ม 6 (ถูกเหนี่ยวนำด้วย alloxan และได้รับสารสกัดจากใบ กระถิน 300
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว) ทุกกลุ่มได้รับการรักษาเป�นเวลา 14 วัน และวัดระดับ
น้ำตาลในเลือดในวันที่ 0, 3, 10 และ 17 ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดเอทานอลของใบ
กระถินมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย alloxan ปริมาณทดสอบของ
สารสกัดเอทานอลจากใบกระถิน 600 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนกั ตัว มีฤทธิ์ลดน้ำตาลใน
เลือดสูงกว่าเมื่อเทียบกับ 400 และ 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวเมื่อเทียบได้กับ
กลุ่มควบคุม (Widyasti และคณะ, 2019)
- การศึกษาฤทธิ์ลดระดบั น้ำตาลในเลือดของสารสกัดนำ้ จากเมลด็ กระถินโดยทำการทดลอง
ในหนูที่เป�นเบาหวานจากการเหน่ียวนำด้วย streptozotocin หนูถูกแบ่งออกเป�น 6 กลมุ่
ได้แก่ กลุ่ม 1 เป�นกลุ่มควบคุมมีสภาวะปกติและไม่ได้รับการรักษา กลุ่ม 2 หนูเป�น
เบาหวาน และรับน้ำ 1 มล.ในทุกวันเป�นเวลา 14 วัน กลุ่ม 3 หนูเป�นเบาหวาน และรับ
สารสกัดที่ 0.25 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว เป�นเวลา 14 วัน กลุ่ม 4 หนูเป�นเบาหวาน
และรับสารสกัดที่ 0.5 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว เป�นเวลา 14 วัน กลุ่ม 5 หนูเป�น

73

เบาหวาน และรับสารสกัดที่ 1 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว เป�นเวลา 14 วัน กลุ่ม 6 หนู
เป�นเบาหวาน และรับ chlorpropamide 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว เป�นเวลา
14 วัน โดยมีการวัดระดับน้ำตาลในเลือด การสร้างเซลล์ของตับอ่อน (regeneration of
pancreatic islets) รวมทั้งระดับไขมัน ที่ 0 3 7 และ 14 วัน หลังจากเหนี่ยวนำด้วย
streptozotocin ผลจากการวิจยั พบว่าหนทู ีถ่ กู เหนย่ี วนำโดย streptozotoci มคี า่ น้ำตาล
ในเลือดสูงถึง 313-350 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และพบว่ามีไขมันในเลือดที่สูงขึ้นเนื่องจาก
อินซูลินยับยั้งไลเปสทำให้มีคลอเรสเตอรอลที่สูง และเมื่อรับสารสกัดเป�นเวลา 14 วัน
พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงสู่สภาวะปกติโดยเฉพาะที่สารสกัดที่ 1 กรัมต่อกิโลกรัม
น้ำหนักตัว รวมทั้งลดระดับไขมันที่สูงขึ้น และเพิ่มจำนวนเซลล์ตับอ่อนต่อหน่วยพื้นที่อย
ย่างมีนัยสำคัญ จึงสรุปได้ว่าสารสกัดน้ำจากเมล็ดกระถินช่วยลดน้ำตาลในเลือดโดยการ
เพิ่มจำนวนเซลล์ beta-cell ของตับอ่อนในหนูที่เป�นเบาหวาน (Syamsudin และคณะ,
2010)
ฤทธ์ิตา้ นอาการท้องร่วง (Antidiarrheal activity)
- การศึกษาฤทธิ์ต้านอาการท้องร่วงของสารสกัดเอทานอล 80% ของเมล็ดกระถินในหนู
ทดลอง โดยแบ่งหนูทดลองออกเป�น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ตัว กลุ่มหนูถูกแบ่งออกเป�นกลุ่ม
ควบคุมเชิงลบ กลุ่มควบคุมเชิงบวก และกลุ่มทดลอง ก่อนการศึกษาหนูทุกตัวไม่ได้รับ
อาหารเป�นเวลา 18 ชวั่ โมง แต่สามารถกนิ น้ำได้ หนูแตล่ ะตวั ไดร้ ับนำ้ มนั ละหุ่ง 2 มิลลิลิตร
เพื่อให้เกิดอาการท้องร่วง จากนั้นหลังจาก 1 ชั่วโมง หนูกลุ่มแรกได้รับสาร 0.5% Na-
CMC ที่ปริมาณ 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว กลุ่มที่สองได้รับสารโลเพอราไมด์
(Loperamide) ที่ปริมาณ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเอ
ทานอลของเมล็ดกระถินที่ปริมาณ 50, 100, 200 และ 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนัก
ตัว ตามลำดับ จากการศึกษาให้ข้อสรุปว่า สารสกัดเอทานอลของเมล็ดกระถินช่วยลดการ
เริ่มมีอาการท้องร่วง ความถี่ของอาการท้องร่วง ความสม่ำเสมอ และน้ำหนักของอุจจาระ
และระยะเวลาของอาการท้องร่วงในหนูหลังจากกระตุ้นด้วยน้ำมันละหุ่ง นอกจากนี้สาร
สกัดยังลดการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารซึ่งระบุด้วยค่าดัชนีการบีบตัวของ
กล้ามเนื้อเป�นคลื่นๆ ของระบบทางเดินอาหาร (Peristaltic) ซึ่งเมล็ดกระถินมีศักยภาพที่
จะพัฒนาเป�นสารต้านอาการท้องร่วงชนิดใหม่และจำเป�นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพ่ือ
อธิบายกลไกในการรักษาอาการท้องรว่ ง (Husein และคณะ, 2020)
ฤทธยิ์ าแก้ปวด (Analgesic activity)
- การศกึ ษาฤทธิ์ระงบั อาการปวดของสารสกัดจากใบกระถินท่ปี ริมาณ 0.54 0.72 และ 1.08
กรัมต่อน้ำหนักตัวในหนูขาวเพศผู้ 15 ตัว โดยแบ่งหนูออกเป�น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคมุ
เชิงลบ (CMC 1%) กลุ่มควบคุมเชิงบวก (พาราเซตามอล) และกลุ่มบำบัด (สารสกัดจาก
ใบกระถิน) ฤทธ์ิระงับปวดได้รับการทดสอบโดยใช้การกระตุ้นด้วยความร้อนที่อุณหภูมิ

74

55ºC โดยการตอบสนองที่สังเกตได้ของหนูนั้นอยู่ในรูปแบบของการเลียและการกระโดด
ของหนู เป�นเวลา 1 นาที และในเวลา 30, 60, 90 และ 120 นาที ผลการศึกษาพบว่า สาร
สกัดจากใบกระถินที่ปริมาณ 0.54 กรัม 0.72 กรัม และ 1.08 กรัม มีฤทธิ์ระงับปวดในหนู
ขาวเพศผู้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบกระถินมีฤทธิ์ระงับปวดในหนูขาวเพศผู้ที่เกิด
จากการกระตุ้นด้วยความร้อน (Ishak และ Uji, 2017)
12. กระบวนการผลติ
-
13. สูตรส่วนประกอบ
-
14. รายละเอียดผผู้ ลิต และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จบุ ัน
-
15. คำแนะนำ หรอื คำเตือน
- ไม่ควรรับประทานเป�นประจำเพราะมีสารสารมิโมซีน (Mimosine) ในใบและเมล็ดที่ทำให้
ผมรว่ งได้
สว่ นท่ี 2 ขอ้ มูลความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดดู ซึม การกระจาย และการขับออกจากร่างกาย
ไมพ่ บขอ้ มลู
การเปลี่ยนแปลงของสาร (Biotransformation)
ไม่พบขอ้ มูล
ผลตอ่ เอนไซม์และค่าอื่นทางชีวเคมี
ไม่พบขอ้ มูล
ปฏิกิริยาทเี่ กดิ ขึน้ และวถิ ี (Reaction and fate) หรือปฏกิ ริ ยิ าตอ่ กนั (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มูล
2. การศึกษาความเปน� พิษในสตั ว์ทดลอง
การศึกษาความเปน� พิษเฉียบพลัน (Acute toxicity Study)
- Chowtivannakul และคณะ (2016) ศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันตามหลักเกณฑ์ OECD
423 ในหนูแรทสายพันธุ์ Wistar ที่ได้รับสารสกัดเอทานอลของเมล็ดกระถินที่ปริมาณ 5,
50, 300, 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวผ่านทางปาก โดยจากการทดลองไม่พบการ
เปลี่ยนแปลงใดๆ ในรูปแบบพฤติกรรม และไม่มีอาการแสดงของความเป�นพิษ ไม่มีบันทึก
การตายในช่วงระยะเวลาของการสังเกต (24 ชั่วโมง และ 14 วัน) สารสกัดไม่เกิดผลอาการ
ที่เป�นพิษหรือการเสียชีวิตที่ระดับ 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวในหนู โดยค่า EC50

75

นั้นมีค่ามากกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว สารสกัดจึงถือว่าปลอดภัย และไม่มี
ความเป�นพิษ
- Fanany และคณะ (2021) ทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลันโดยป้อนสารสกัดเอทานอลของ
เมล็ดกระถินกับหนูแรทสายพันธุ์ Wistar ผ่านทางช่องปากที่ปริมาณ 5, 50, 300, 2000
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว โดยวิธีการทดสอบอ้างอิงตามวิธี OECD 420 จากผลการ
ทดลองพบว่าไม่อาการของความเป�นพิษ เช่น ท้องร่วง น้ำลายไหล อ่อนแรง ตัวสั่น หรือ
พฤติกรรมที่ผิดปกติ ในช่วงเวลาการทดลองที่ 24 ชั่วโมงและ 14 วัน และไม่มีการตาย
ในทันทีหลังรับสารสกัด ดังนั้นค่า LD50 มีค่าที่สูงกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว
สารสกดั จงึ ถอื วา่ มีความปลอดภัยในทางปฏิบตั ิ
การศกึ ษาความเปน� พิษกงึ่ เรอื้ รัง (Subchronic toxicity study)

ไม่พบขอ้ มูลการศกึ ษา
การศึกษาความเปน� พษิ เรอื้ รงั (Chronic toxicity study)

ไม่พบขอ้ มลู การศึกษา
3. การศึกษาความเปน� พิษเฉพาะทาง (ถ้าม)ี

ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา
4. การศึกษาในมนษุ ย์ทางคลนิ กิ หรือทางระบาดวิทยา (ถา้ มี)

ไมพ่ บขอ้ มลู การศกึ ษา

สรปุ และขอ้ เสนอจากผูว้ ิจยั
ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ฝก� ออ่ น และเมลด็ ในฝ�กแกข่ องกระถินสามารถนำมาบริโภคเปน� อาหาร

ในรูปแบบสดได้โดยรับประทานเป�นเครื่องเคียง และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค โดยส่วนของ
ใบและเมล็ดของกระถินไม่ควรรับประทานเป�นประจำเนื่องจากมีสารมิโมซีน (Mimosine) ที่ทำใหผ้ มรว่ งได้
ซึ่งจากข้อมูลศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันตามหลักเกณฑ์ OECD ในหนูแรทสายพันธุ์ Wistar ที่ได้รับสาร
สกัดเอทานอลของเมล็ดกระถินที่ปริมาณ 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวโดยสังเกตระยะเวลา 24
ช่วั โมง และ 14 วัน พบว่าไม่กอ่ ใหเ้ กิดความเป�นพิษและไมส่ ง่ ผลต่อการตายเฉียบพลันแก่สัตวท์ ดลอง ดังน้ัน
มีค่า LD50 ที่สูงกว่า 2000 มิลลิกรัมต่อกโิ ลกรัมน้ำหนักตัว นอกจากนี้ ยังพบว่าสารสกัดน้ำจากเมล็ดกระถนิ
มฤี ทธิ์ลดระดบั น้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง

76

(2) ถวั่ ฝก� ดาบ
สว่ นท่ี 1 ข้อมูลทัว่ ไป

1. ชือ่ สามญั ของพืชและสมุนไพร
ภาษาไทย: ถ่ัวฝก� ดาบ

ภาษาอังกฤษ: Jack Bean

2. ชือ่ วิทยาศาสตร์ของพชื และสมนุ ไพร
Canavalia gladiata (Jacq.) DC. วงศ:์ FABACEAE

ภาพท่ี 11 ต้นถ่ัวฝก� ดาบ (Canavalia gladiata (Jacq.) DC.)
ทมี่ า: ฐานขอ้ มลู พันธุ์พชื พนั ธุ์สัตว์ มหาวิทยาลยั แม่โจ้

3. การกระจายทางภมู ศิ าสตร์ หรือแหล่งที่เกบ็ ตวั อย่างพืชและสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภูมศิ าสตร์
ไมพ่ บข้อมูลท่ีแน่ชัด
3.2 แหลง่ ทเ่ี ก็บตวั อยา่ งพชื และสมุนไพร
อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส

4. ประวตั กิ ารบรโิ ภคเปน� อาหาร หรอื การบริโภค (มากกว่า 15 ป�)
ถั่วฝ�กดาบพบข้อมูลประวัติการบริโภคเป�นอาหารในประเทศไทยเป�นระยะเวลาอย่างน้อย 17
ป� ดังน้ี
- การศึกษาการใช้ผักพื้นบ้านเป�นอาหารและยาของชาวบ้าน อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส
พบว่าต้นถั่วฝ�กดาบหรือที่ชาวบ้านเรียกเป�นภาษามลายูว่า กาแจฆอเลาะ ชาวบ้านใน
อำเภอแว้งนำมาใช้เป�นอาหาร โดยการนำผลมาต้มหรือลวกรับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริก
น้ำบูดู และนำมาประกอบอาหารประเภทยำเช่นเดียวกับถั่วพู (สาป�นะห์ แมงสาโมง,
2547)

77

นอกจากนี้ อเมริกาและแคริบเบียนใช้ฝ�กอ่อนและเมล็ดอ่อนเป�นผัก เมล็ดมีพิษเล็กน้อยและ
การบริโภคในปริมาณมากอาจส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การต้มสามารถกำจดั
ความเป�นพิษออกจากเมล็ดได้ (Sivaraj และคณะ, 2010) โดยในเอเชียใช้ฝ�กอ่อนและเมล็ดพืช
ของถั่วฝ�กดาบถูกใช้เป�นผัก เมล็ดมักถูกใช้ในแกงกะหรี่และใช้แทนมันฝรั่งบด และฝ�กอ่อนมัก
ตม้ กบั นำ้ ในประเทศศรีลงั กา เมล็ดคว่ั ใช้เตรียมเคร่ืองด่ืมคลา้ ยกาแฟในลาตนิ อเมรกิ า (Vadivel
และคณะ, 1998; Eknayake และคณะ,1999)
5. สว่ นท่นี ำมาใช้ (part of use)

ฝ�ก
6. วตั ถุประสงค์การบริโภค

พชื อาหาร
7. รูปแบบการบริโภค

บรโิ ภคโดยผา่ นการปรงุ สกุ ดว้ ยความร้อน
- ฝ�ก ใช้ปรุงเป�นอาหาร โดยนำมาต้มหรือลวกรับประทานเป�นผักจิ้มน้ำพริก น้ำบูดู และ

นำมาประกอบอาหารประเภทยำเช่นเดียวกับถั่วพู
8. กล่มุ ผู้บรโิ ภค

บคุ คลทัว่ ไป
9. องค์ประกอบทางเคมี หรือสารสำคญั

9.1 องคป์ ระกอบทางเคมี
- องค์ประกอบทางเคมีของถั่วฝ�กดาบต่อน้ำหนักแห้งของตัวอย่าง 100 กรัม จะ
ประกอบไปด้วย น้ำ 7.58 กรัม โปรตีน 27.48 กรัม ไขมัน 5.60 กรัม คาร์โบไฮเดรต
61.15 กรัม ใยอาหาร 2.05 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 3.72 กรัม โซเดียม 5.64 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 2280.51 มิลลิกรัม แคลเซียม 310 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 71.30
มลิ ลิกรัม ฟอสฟอรสั 262.50 มิลลิกรัม เหลก็ 1.48 มลิ ลกิ รมั คอปเปอร์ 0.36 ซงิ ค์ 2
มิลลิกรมั และแมงกานสี 0.24 มลิ ลกิ รมั (Rajaram and Janardhanan, 1992)

9.2 สารสำคัญ
- สารสกัดน้ำจากผลถั่วฝ�กดาบพบ saponins, tannins, flavonoids, steroids และ
alkaloids (Olugboyega และ Edem, 2018)

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
- การวิเคราะห์สารต้านโภชนาการ (Antinutrient) ในเมล็ดของถั่วฝ�กดาบพบปริมาณซาโป
นิน 20.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม แทนนิน 20.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ฟลาโวนอยด์ 20.3
มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม อัลคาลอยด์ 22.4 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ออกซาเลต 21.0
มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม กรดไฮโดรไซยานิก (HCN) 19.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ไฟเตท
25.2 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โดยเมล็ดถั่วฝ�กดาบที่นำมาวิเคราะห์นี้มีปริมาณสารต้าน

78

โภชนาการท่ีต่ำ จึงแนะนำว่าอาจปลอดภัยสำหรับการบริโภคของมนุษย์เนื่องจากต่ำกว่า
ขีดจำกัดของปริมาณที่ทำใหเ้ กิดอนั ตราย (Otori และ Mann, 2014)
11. ฤทธทิ์ างเภสชั วทิ ยา หรอื สรรพคณุ พนื้ บ้าน
- มีรายงานผลของถั่วฝ�กดาบว่าส่งผลต่อ โรคทางภูมิแพ้ (allergy) (Kim และคณะ, 2015)
การอักเสบ (inflammation) (Han และคณะ, 2015) โรคมะเร็ง (cancer) (Jeon และ
คณะ, 2005) โรคกระเพาะ gastritis (Kim และคณะ, 2013) และสารต้านอนุมูลอิสระ
(antioxidant) (Byun และคณะ, 2010)
ฤทธิ์ปอ้ งกันความเป�นพิษต่อเซลลต์ บั (hepatoprotective)
- การศึกษาฤทธิ์ป้องกันความเป�นพิษต่อเซลล์ตับ (hepatoprotective) ของสารสกัดเมทา
นอลของเมล็ดถั่วฝ�กดาบในหนูที่มีอาการมึนเมาอะซาไธโอพรีน (azathioprine) 1
มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรถูกให้เป�นเวลา 22 วันเพื่อกระตุ้นความเป�นพิษต่อตับในหนูทดลอง
โดยแบ่งหนูทดลองออกเป�น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ตัว ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มควบคุม กลุ่ม 2
กลุ่มหนูที่ได้รับอะซาไธโอพรีน (azathioprine) กลุ่มที่ 3 และ 4 กลุ่มหนูที่ได้รับสารสกัด
เมทานอลของเมล็ดถั่วฝ�กดาบ 100 และ 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ตามลำดับ
และกลุ่มที่ 5 กลุ่มหนูที่ได้รับซิลิบินิน (Silymarin) (ยามาตรฐาน) ที่ 100 มิลลิกรัมต่อ
กิโลกรัม จากนั้นตรวจสอบกิจกรรมในการป้องกันตับโดยการวัดค่าตัวบ่งชี้ความเสียหาย
ของเนื้อเยื่อตับ เช่น ระดับซีรัมกลูตามิกไพรูวิคทรานส์อะมิเนส กลูตามิกออกซาโลอะซี
เตตทรานส์อะมิเนส อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส และระดับบิลิรูบิน ระดับของสัญญาณเหล่านี้
ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับกลุ่มอะซาไธโอพรีน (azathioprine) โดยสารสกัดเมทา
นอลของเมล็ดถั่วฝ�กดาบที่ปริมาณ 100 และ 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ลดความเป�นพิษ
ต่อตับที่เกิดจากอะซาไธโอพรีน (azathioprine) อย่างมีนัยสำคัญ (Kumar และ Reddy,
2014)
ฤทธย์ิ ับยง้ั การสร้างหลอดเลือดใหม่ (Antiangiogenic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Antiangiogenic activity) ของสาร 4-O-
methylgallic acid (4-OMGA) จากเมล็ดถั่วฝ�กดาบโดยทำการศึกษาการผลของสารต่อ
ยับยั้งเซลล์บุผนังหลอดเลือดเอออร์ตา (bovine aortic endotheliagl cells : BAECs)
เซลลต์ ับ (immortalized hepatocyte derived from normal human liver : CHANG)
เซลล์เนื้องอก (tumor cell lines : HT1080) เซลล์มะเร็งลำไส้ (colon carcinoma:
HT29) เซลล์มะเร็งตับ (hepatocarcinoma: HepG2) และเซลล์มะเร็งเต้านม (breast
carcinoma : MCF-7) จากการทดลองพบว่าสาร 4-OMGA สามารถยับยั้งการสร้างเซลล์
หลอดเลือดใหม่ภายใต้สภาวะมีหรือไม่มีออกซิเจนในระดับปริมาณสารที่ต่ำโดยไม่แสดง
ความเปน� พิษต่อเซลล์ สว่ นเซลล์อื่นๆ ไมส่ ่งผลอย่างมนี ยั สำคญั (Jeon และคณะ, 2005)

79

12. กระบวนการผลติ
-

13. สตู รส่วนประกอบ
-

14. รายละเอยี ดผผู้ ลติ และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถึงปจ� จุบัน
-

15. คำแนะนำ หรอื คำเตอื น
-

สว่ นท่ี 2 ข้อมลู ความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชวี เคมี
การดดู ซมึ การกระจาย และการขับออกจากร่างกาย
ไมพ่ บขอ้ มูล
การเปลี่ยนแปลงของสาร (Biotransformation)
ไมพ่ บขอ้ มลู
ผลตอ่ เอนไซมแ์ ละคา่ อน่ื ทางชวี เคมี
ไมพ่ บข้อมูล
ปฏกิ ิริยาทีเ่ กดิ ข้ึนและวถิ ี (Reaction and fate) หรือปฏิกิรยิ าตอ่ กัน (Interaction)
ไม่พบขอ้ มูล
2. การศึกษาความเปน� พษิ ในสัตว์ทดลอง
การศกึ ษาความเปน� พิษเฉียบพลัน (Acute toxicity Study)
- Kumar และ Reddy (2014) การศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันเมทานอลของเมล็ดถั่วฝ�ก
ดาบกับหนูแรทสายพันธุ์ Wistar ผ่านทางปากโดยได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของ
OECD 423 พบวา่ ไมม่ ีความผดิ ปกติใดๆ หรือการเสียชวี ติ นานหลังจาก 48 ชว่ั โมง ท่รี ะดบั
ปริมาณสารสกัดที่ขนาดสูงสุดเท่ากับ 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว จึงถือว่าเป�น
ปริมาณที่ปลอดภัย
การศึกษาความเป�นพษิ กง่ึ เรอ้ื รัง (Subchronic toxicity study)
ไม่พบข้อมูลการศึกษา
การศกึ ษาความเปน� พษิ เรื้อรัง (Chronic toxicity study)
ไม่พบข้อมูลการศึกษา
3. การศึกษาความเป�นพษิ เฉพาะทาง (ถา้ มี)
ไม่พบขอ้ มูลการศึกษา
4. การศกึ ษาในมนษุ ย์ทางคลนิ กิ หรือทางระบาดวิทยา (ถา้ ม)ี
ไมพ่ บขอ้ มูลการศึกษา

80

สรปุ และข้อเสนอจากผูว้ ิจยั
ผลของถั่วฝ�กดาบที่ผ่านการปรุงสุกด้วยความร้อนโดยการลวกหรือต้มสามารถนำมาบริโภคเป�น

อาหารได้และไม่พบข้อมูลความเป�นพิษจากการบริโภค ซึ่งจากข้อมูลการศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันตาม
หลักเกณฑ์ OECD 423 ของสารสกัดจากเมล็ดของถั่วฝ�กดาบด้วยเมทานอลแก่หนูแรทสายพันธุ์ Wistar ที่
ปริมาณ 2000 มิลลกิ รัมต่อกโิ ลกรัมนำ้ หนักตวั ผ่านทางปาก พบว่าไม่ก่อให้เกิดความเป�นพิษและไม่ส่งผลต่อ
การตายเฉียบพลนั แกส่ ัตว์ทดลอง

81

(3) สาหร่ายพวงองนุ่
สว่ นที่ 1 ขอ้ มลู ทั่วไป

1. ชอื่ สามญั ของพืชและสมุนไพร
ภาษาไทย: สาหร่ายพวงองุน่

ภาษาอังกฤษ: Sea grapes, green caviers

2. ชื่อวทิ ยาศาสตร์ของพืชและสมนุ ไพร
Caulerpa lentillifera J. Agardh วงศ:์ CAULERPACEAE

ภาพท่ี 12 สาหร่ายพวงองุ่น (Caulerpa lentillifera J. Agardh)
ท่ีมา: ฐานข้อมลู สมนุ ไพรไทยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai)

3. การกระจายทางภูมศิ าสตร์ หรอื แหล่งทีเ่ ก็บตัวอยา่ งพชื และสมุนไพร
3.1 การกระจายทางภมู ิศาสตร์
แพร่กระจายอยู่ในเขต tropical และ subtropical เจริญบนโขดหิน ก้อนกรวด และพื้น
ทราย ในเขตน้ำขึ้น-นำ้ ลง ไปจนถงึ เขตน้ำลงต่ำสดุ บรเิ วณชายฝ�งท่มี คี ลน่ื ไมร่ ุนแรง
3.2 แหล่งท่เี ก็บตัวอยา่ งพชื และสมนุ ไพร
จังหวัดเพชรบุรี

4. ประวตั กิ ารบริโภคเป�นอาหาร หรือการบรโิ ภค (มากกว่า 15 ป�)
สาหร่ายพวงองุ่นพบข้อมูลประวัติการบริโภคเป�นอาหารในประเทศไทยเป�นระยะเวลาอย่าง
นอ้ ย 16 ป� ดงั น้ี

82

- สาหร่ายพวงองุ่นเป�นหนึ่งในสาหร่ายที่รับประทานได้ของประเทศไทย มีคุณสมบัติทั่วไป
เช่นเดียวกับพืชบกที่มีโปรตีนและไขมันไม่มาก มีแคลอรี่ต่ำและมีกากใยอาหารสูง แต่ที่
แตกต่างจากพืชบกตรงที่มีปริมาณวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายมนุษย์ต้องการสูง ได้แก่
วิตามินอี และวิตามินซี แร่ธาตุได้แก่ แมกนีเซียม ชาวบ้านที่อยู่ตามเกาะและบริเวณชายฝ�ง
นำมาประกอบอาหารในชีวิตประจำวันโดยนำมาจิ้มน้ำพริก ยำ หรือใช้แทนผักใบ รับประทาน
สดปรุงเป�นสลัด (กาญจนภาชน์ ลว่ิ มโนมนต,์ 2548)

- นอกจากนี้ สาหร่ายพวงองุ่นมีการกระจายตามธรรมชาติในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน มีลักษณะ

เหมือนองุ่น และใช้ในสลัดเป�นผักในญี่ปุ่น เกาหลี ฟ�ลิปป�นส์ และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย

ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (Nguyen และคณะ, 2011)

- รวมทั้ง มีการบริโภคทั่วทั้งแปซิฟ�กและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีการซื้อขายระหว่าง

ประเทศจากฟ�ลิปป�นส์และเวียดนามไปยังญี่ปุ่น (Paul และคณะ, 2014) โดยในประเทศ

มาเลเซียมีการรายงานว่าสาหร่ายพวงองุ่นสามารถนำมาลวกหรือรับประทานสดในรูปแบบ

สลดั (Phang S. M., 2006)

5. สว่ นทน่ี ำมาใช้ (part of use)
ทงั้ ต้น

6. วตั ถุประสงค์การบรโิ ภค
พืชอาหาร

7. รปู แบบการบริโภค
บรโิ ภคสด

- ทั้งต้น รับประทานสด โดยนำมาจิ้มน้ำพริก ยำ หรือใช้แทนผักใบ รับประทานสดปรุงเป�น
สลัด

8. กลุ่มผู้บรโิ ภค
บุคคลท่ัวไป

9. คณุ คา่ ทางโภชนาการ และสารสำคญั
9.1 คณุ คา่ ทางโภชนาการ
- องค์ประกอบทางเคมีของสาหร่ายพวงองุ่นต่อน้ำหนกั แห้ง 100 กรัม จะประกอบไปด้วย
น้ำ 25.31 ± 1.15 กรัม โปรตีน 12.49 ± 0.3 กรัม ไขมัน 0.86 ± 0.10 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 59.27 กรัม ใยอาหาร 3.17 ± 0.21 กรัม วิตามินแร่ธาตุ 24.21±1.7 กรัม
ปริมาณโพแทสเซียม 1030 มิลลิกรัม แคลเซียม 780 มิลลิกรัม โซเดียม 970 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม 630 มิลลิกรัม เหล็ก 9.3 มิลลิกรัม ซิงค์ 2.6 มิลลิกรัม คอปเปอร์ 2200
ไมโครกรมั และแมงกานสี 7.9 มลิ ลิกรมั (Ratana-arporn และ Chirapart, 2006)

83

9.2 สารสำคญั
-

10. สารพษิ สารตา้ นสารอาหารในพชื
-

11. ฤทธ์ิทางเภสัชวทิ ยา หรอื สรรพคณุ พน้ื บา้ น
- สาหร่ายพวงองุ่นมีการใช้แบบดัง้ เดิมเพื่อรักษาความดันโลหิตสงู เบาหวาน โรคไขข้อ และ
การติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในฟ�ลิปป�นส์ และมีรายงานฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน ต้าน
มะเร็งและฤทธิ์ลดไขมัน (Sharma และคณะ, 2015) เป�นสารต้านมะเร็ง สามารถเพิ่มภูมิ
ตา้ นทานใหก้ ับมนษุ ย์ (Manoj และคณะ, 2011)
- สารสกัดของสาหร่ายพวงองุ่นมีคุณสมบัติเป�นสารต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ต้าน
เบาหวาน สารกันเลือด กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และกิจกรรมลดไขมัน (Matanjun และคณะ,
2008)
- สาหร่ายพวงองุ่นมีองค์ประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ เช่น โปรตีน โพลีแซ็กคาไรด์
และสารทตุ ยิ ภูมิ พบว่าการมีอยู่ของสารประกอบออกฤทธท์ิ างชวี ภาพนน้ั มีส่วนช่วยในการ
ตา้ นการอักเสบ สารตา้ นอนุมลู อิสระ และคณุ สมบตั ติ า้ นจุลชพี (Yap และคณะ, 2019)
ฤทธิ์ลดระดับนำ้ ตาลในเลือด (Hyperglycemic activity)
- การศึกษาฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสารสกัดเอทานอลของสาหร่ายพวงองุ่นในหนูที่
ปริมาณ 250 และ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และยา rosiglitazone ที่ปริมาณ 10
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป�นเวลา 6 สัปดาห์ จากนั้นทำการทดสอบความทนทานต่อกลูโคส
ในช่องปาก (oral glucose tolerance test: OGTT) และการทดสอบความทนทานต่อ
อนิ ซลู ินในชอ่ งทอ้ งและเลือด (intraperitoneal insulin tolerance test : IPITT) ปริมาณ
อินซูลินในพลาสมา ปริมาณไกลโคเจนในตับ และผลของ insulin-signaling proteins ใน
กล้ามเนื้อ จากผลการทดลองพบว่าสารสกัดเอทานอลของสาหร่ายพวงองุ่นช่วยลดระดับ
น้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ โดยระดับกลูโคสใน OGTT และ IPITT รวมทั้งอินซูลินใน
พลาสมาในแบบจำลอง omeostatic model assessment-insulin resistant (HOMA-

IR) มีค่าลดลง และสารสกัดยังส่งผลให้ปริมาณ inflammatory markers (TNF-α และ
IL-6), plasma free fatty acid, markers of insulin resistance (TG และ TC) และ
ปริมาณไกลโคเจนในตับในหนูทดลองมีค่าลดลงอีกด้วย และสารสกัดส่งผลให้ insulin-
signaling proteins ได้แก่ RS, AKT, PI3K และ GLUT4 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป�น
ผลมาจาก PI3K/AKT pathway ใน L6 myocytes และในกล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal
muscles) ของหนูทดลอง จากการทดลองพบว่าสารสกัดของสาหร่ายยพวงองุ่นมี
ศกั ยภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือด (Sharma และคณะ, 2015)

84

- การศกึ ษาฤทธ์ลิ ดนำ้ ตาลในเลือดของสารสกัดเอทานอล 80% สาหรา่ ยพวงองุ่นในหนูที่ถูก
เหนี่ยวนำให้เป�นเบาหวานด้วยโคตินาไมด์ในช่องท้อง (120 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนัก
ตัว) และให้สารสกัดที่ 10 หรือ 50 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป�นเวลา 1 สัปดาห์ ฤทธิ์ต้าน
เบาหวานได้รับการประเมินโดยการตรวจหาความเข้มข้นของกลูโคสในซีรัมที่ภาวะอด
อาหาร และหลังจาก 2 ชั่วโมงของการป้อนกลูโคสในช่องปาก จากการทดลองพบว่าสาร
สกัดจากสาหร่ายพวงองุ่นมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดมากที่สุดเมื่อเทียบกับสาหร่ายชนิดอื่น
ในการทดลอง เช่น Enteromorpha intestinalis, Spirulina versicolor และ Ulva
lactuca สรุปได้ว่าสาหร่ายพวงองุ่นมีศักยภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดแต่ควรมี
การศึกษาเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อตรวจสอบปริมาณสารตะกั่วจากพืชและลักษณะการออก
ฤทธ์ิของสารสกัดเพิ่มเตมิ ในอนาคต (AbouZid และคณะ, 2014)

ฤทธติ์ ้านเบาหวาน (Antidiabetic)
- การศึกษาฤทธิ์ต้านเบาหวานโดยการกระตุ้นการหลั่งของอินซูลินในเซลล์ตับอ่อน (เบต้า

เซลล์) และการเพิ่มการดูดซึมกลูโคสในเซลล์ไขมัน (adipocytes) ของสารสกัดเอทานอล

สาหร่ายพวงองุ่นโดยวัดผลเอมไซม์ dipeptidyl peptidase-IV และ α-glucosidase ใน

เซลล์อิสระ จากนั้น interleukin-1β และ interferon-γ ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการตายของ
เซลล์และการหลั่งอินซูลินถูกวัดในเซลล์ของหนูอินซูลิน (rat insulinoma: RIN) โดย 3-
( 4 ,5 - dimethylthiazol-2 - yl)-2 ,5 - diphenyltetrazolium bromide assay แ ล ะ ชุ ด
ทดสอบ ELISA ตามลำดับ จากการทดลองพบว่าสารสกัดเอทาอนอลสาหร่ายพวงองุ่น

สามารถลดกิจกรรมของเอมไซม์ dipeptidyl peptidase-IV และ α-glucosidase อย่าง

มีนัยสำคญั และยบั ยั้งการตายของเซลลก์ ารแสดงออกของ iNOS ในเซลล์ interleukin-1β

และ interferon-γ นอกจากนี้สารสกัดเอทานอลสาหร่ายพวงองุ่นยังช่วยเพิ่มการหล่ัง
อินซูลินในเซลล์ RIN และการแสดงออกของตัวขนส่งกลูโคสและการดูดซึมกลูโคสใน
adipocytes 3T3-L1 สรุปได้ว่าสารสกัดเอทานอลจากสาหร่ายพวงองุ่นเป�นสารต้าน
เบาหวานได้ (Sharma และ Rhyu , 2014)
ฤทธ์ลิ ดไข้ (antipyretic action)
- การศึกษาฤทธ์ิลดไข้ของสารสกัดน้ำของสาหร่ายพวงองุ่นในหนูทดลองที่ทำการเหนี่ยวนำ
ให้เป�นไข้โดยการฉีดสารแขวนลอยของยีสต์ที่ 0.1 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว และให้สาร
สกัดทางปากที่ปริมาณ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว เทียบกับหนูกลุ่มที่ได้รับ
acetaminophen 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวเป�นตัวอย่างควบคุม จากการ
ทดลองพบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ลดไข้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยอุณหภูมิในทวารหนัก
ของหนลู ดลง 1.15 องศาเซลเซียส ใน 5 ชว่ั โมงหลงั รับสารสกัด (Daud และคณะ, 2016)

85

12. กระบวนการผลติ
-

13. สูตรส่วนประกอบ
-

14. รายละเอียดผูผ้ ลิต และระยะเวลาการจำหนา่ ยจนถงึ ป�จจบุ นั
-

15. คำแนะนำ หรือคำเตอื น
-

สว่ นที่ 2 ข้อมูลความปลอดภัย
1. ลกั ษณะทางชีวเคมี
การดดู ซมึ การกระจาย และการขบั ออกจากรา่ งกาย
ไม่พบขอ้ มลู
การเปลย่ี นแปลงของสาร (Biotransformation)
ไมพ่ บข้อมลู
ผลต่อเอนไซมแ์ ละคา่ อืน่ ทางชวี เคมี
ไม่พบข้อมลู
ปฏิกริ ิยาทเ่ี กดิ ขนึ้ และวถิ ี (Reaction and fate) หรอื ปฏกิ ิรยิ าต่อกัน (Interaction)
ไมพ่ บขอ้ มลู
2. การศกึ ษาความเป�นพิษในสัตว์ทดลอง
การศึกษาความเป�นพิษเฉยี บพลัน (Acute toxicity Study)
- Sharma และคณะ (2015) ทำการศึกษาความเป�นพิษเฉียบพลันกับหนูไมซ์ผ่านทางปาก
ไม่พบการเสียชีวิตในปริมาณสารสกัดที่สูงถึง 2 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว โดยในการทำ
การทดสอบผลของสารสกัดต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือดเลือกใช้ปริมาณสารสกัดท่ี
ปริมาณ 200–1000 มิลลิกรมั ต่อกิโลกรัมในหนทู ดลอง
- AbouZid และคณะ (2014) ทดสอบความเป�นพิษเฉียบพลันโดยป้อนสารสกัดเอทานอล
ของสาหร่ายพวงองุ่นผ่านทางช่องปากกับหนูไมซ์ที่ปริมาณ 2000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
น้ำหนักตัว พบว่าหลังจาก 48 ชวั่ โมงหลังจากได้รบั สารสกดั ไม่พบการตายในการทดลอง
การศึกษาความเปน� พษิ กึ่งเรอ้ื รัง (Subchronic toxicity study)
ไมพ่ บข้อมูลการศกึ ษา
การศกึ ษาความเป�นพษิ เรื้อรงั (Chronic toxicity study)
ไม่พบข้อมูลการศึกษา
3. การศกึ ษาความเป�นพิษเฉพาะทาง (ถา้ มี)
ไมพ่ บข้อมลู การศกึ ษา


Click to View FlipBook Version