การเลือกพุทธศาสนาเปนทีพ่ งึ่ ทางใจของผูหญงิ ไทยในสังคมสมยั ใหม
กรณีศึกษา สํานกั วปิ ส สนากมั มัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวิหาร
โดย
นางสาวอธิชญา สขุ ธรรมรัตน
รายงานการศกึ ษาคน ควา เฉพาะบุคคล (Individual Study) เปน สว นหนงึ่ ของการศกึ ษา
ตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบณั ฑิต
ภาควชิ ามานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ปการศึกษา 2560
การเลือกพุทธศาสนาเปนทีพ่ งึ่ ทางใจของผูหญงิ ไทยในสังคมสมยั ใหม
กรณีศึกษา สํานกั วปิ ส สนากมั มัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวิหาร
โดย
นางสาวอธิชญา สขุ ธรรมรัตน
รายงานการศกึ ษาคน ควา เฉพาะบุคคล (Individual Study) เปน สว นหนงึ่ ของการศกึ ษา
ตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบณั ฑิต
ภาควชิ ามานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ปการศึกษา 2560
ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อนุมัติใหรายงานการศึกษา
เฉพาะบุคคลเรอ่ื ง “การเลือกพทุ ธศาสนาเปน ท่ีพึ่งทางใจของผหู ญิงไทยในสังคมสมัยใหม กรณีศึกษา
สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร” เสนอโดย นางสาวอธิชญา สุขธรรมรัตน
เปน สว นหน่งึ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบัณฑิต สาขามานษุ ยวทิ ยา
…………………………………………………
(ผชู วยศาสตราจารย ดร. ดาํ รงพล อนิ ทรจ ันทร)
หวั หนา ภาควชิ ามานุษยวิทยา
วันท.่ี .......เดือน.................พ.ศ.......
อาจารยทป่ี รกึ ษา
...................................................
(ผูชวยศาสตราจารย ดร. ดาํ รงพล อินทรจ นั ทร)
……/……./……
กรรมการสอบ
.................................................
(ผูชวยศาตราจารยก ุลศริ ิ อรุณภาคยก ุล)
……/……./……
กิตตกิ รรมประกาศ
สง่ิ ท่มี กั จะตระหนักกับตัวเองตลอดชวงระยะเวลาท่ีผานมา คือไมวาอะไรก็ตามท่ีเรากําลัง
ไดพบไดเ จออยนู ้ี เปนบทเรยี นชีวิตหนึ่งทจี่ ะเปล่ียนเราใหกลายเปน คนที่ดขี ึน้ นึกถงึ คําพูดของปาที่เคย
บอกตอนยังเด็กวาไมอยากใหลูกตองมีประสบการณที่แลกมาดวยความเจ็บปวด แตกลับเปนเราที่
ตองการกาวออกไปเผชิญโลกท่ีปราศจากกรอบที่โอบลอมปองกันจากอันตรายนั้นเอง ถารูวาตอง
ลมลกุ คลุกคลานตลอดการเดนิ ทาง จะยงั เลือกเสนทางนีอ้ ยไู หม ใครตอ ใครบอกวา การใชชวี ติ บนโลกน้ี
มันไมงาย และความยากเย็นของบทเรียนท่ีวาดวยการเขาใจมนุษยคือการท่ีจะตองยอมรับความ
แตกตา ง หรืออะไรก็ตามท่เี กิดขึน้ โดยที่เราไมสามารถควบคุมไดอยูเสมอ ทั้งความเหน็ดเหนื่อยจาก
การพยายามเขา ใจคนอน่ื การพยายามรักษาสมดลุ ทางอารมณของตวั เอง คงเพราะเปนคนที่คิดเยอะ
และผดิ หวงั มาต้งั แตเดก็ ความเจบ็ ปวดแตละคร้งั จึงทําใหเตบิ โตขึ้น ปรบั ตวั ปรับใจไดมากขึ้น ต้ังใจใช
ชวี ิต มงุ ไปที่อนาคตขางหนา เพ่ือเปา หมายคอื การไดเ ปนตัวเองในแบบทีอ่ ยากจะเปน
ต้ังแตว ันแรกท่ีเขามาเปนเด็กศิลปากร เลือกเรียนมานุษยวิทยา ก็ไดรูจักคนมากมายหลาย
รปู แบบ วันเวลาทมี่ ีความสุขที่สดุ เกดิ ขึ้นทนี่ ี่ เชน เดยี วกบั วันเวลาทต่ี องทกุ ขทนอยา งที่ไมเคยมากอนก็
เกดิ ข้นึ ท่นี ่ดี วยเชนกนั มานุษยวิทยาสอนใหทาํ ความเขาใจคนอ่ืนไปพรอมกบั การทาํ ความเขาใจตัวเอง
เปน ชวงชวี ิตท่ีไดเรยี นรคู วามเปน มนุษยโ ดยแทจริง อยางนอยก็มีความกลาหาญมากพอที่จะเลือกใช
ชีวติ ในแบบของตวั เอง ถอื เปน ความสาํ เรจ็ ของการคน หาตวั เองในชว งชีวิตวัยรุนก็วาได
ขอขอบคณุ ทุกคนที่อยเู บ้อื งหลงั เสน ทางน้ี เริ่มจากปากับมาผูคอยสนับสนุนความสุขของลูก
อยเู สมอ ขอบคุณอาจารยด ําท่ีเห็นถงึ ความต้ังใจ รบั ฟง และใหกาํ ลังใจแกเด็กในที่ปรึกษาคนนี้มาโดย
ตลอด ขอบคณุ อาจารยท ุกทา นที่มอบความรูแ ละประสบการณใ หไดน ํากลับมาพฒั นาตัวเอง ขอบคุณ
เพื่อนคณะโบราณคดที ี่ผา นเรอ่ื งราวทุกขสุขมาดว ยกนั ขอบคณุ กลุม เพอื่ นจูมาทน่ี ดั เจอกนั ก่คี รงั้ กท็ าํ ให
รูสึกสบายใจเหมือนเดิม ขอบคุณแมชีและพี่ๆ วัดสัมพันธวงศฯ ที่ใหความกรุณาในการคนควาหา
ความรูมาทํางานวิจัยคร้ังน้ี และสุดทายคนที่เคยอยูขางกันแตวันน้ีไมอยูแลว ขอบคุณทุกความใสใจ
ความชวยเหลอื คําปลอบโยน คําชืน่ ชม และกาํ ลงั ใจท่ีเติมเตม็ ใหกนั ในวันทีข่ าดหาย มันมีความหมาย
มากจริงๆ ขอบคุณทกุ คนทท่ี าํ ใหร ูสึกวา ส่ิงทีเ่ รากําลังทําอยมู นั มีคา ขอบคณุ ท่ีศรัทธาในตัวเรา ไมว าทุก
อยางจะผานไปไดด ว ยดีหรอื ไม ความทรงจาํ เหลา นี้จะเปน พลังในการใชช ีวิตใหแกก ันเสมอไป
อธชิ ญา สุขธรรมรัตน
จ
หัวขอ การศึกษา การเลอื กพุทธศาสนาเปนทพ่ี งึ่ ทางใจของผหู ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหม
กรณีศกึ ษา สํานักวปิ ส สนากมั มัฏฐาน วัดสมั พนั ธวงศารามวรวิหาร
คาํ สาํ คญั ผหู ญงิ ไทย, พทุ ธศาสนา, ท่พี ึ่งทางใจ, วาทกรรม, เทคโนโลยกี ารสรา งตัวตน
ผูศกึ ษา นางสาวอธชิ ญา สุขธรรมรตั น รหสั นกั ศึกษา 03570112
ภาควชิ า มานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร
อาจารยท ี่ปรกึ ษา ผูชวยศาสตราจารย ดร.ดาํ รงพล อินทรจ ันทร
ปก ารศึกษา 2560
จํานวนหนา 106
บทคดั ยอ
งานศกึ ษาชน้ิ นี้มงุ ทาํ ความเขาใจเร่ืองการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยใน
สงั คมสมัยใหม มวี ตั ถุประสงคเ พอื่ พจิ ารณาถึงเหตปุ จจยั ท่สี งผลตอการตัดสนิ ใจเลอื ก รวมถึงพิจารณา
ในแงมุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นตอตัวตนของผูหญิง ภายใตกรณีศึกษา สํานักวิปสสนา
กัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยใชแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสราง
ตวั ตน (Technologies of the self) มาพจิ ารณาเกี่ยวกบั การทผ่ี ูห ญงิ กลมุ นีใ้ ชแนวคิดและหลักปฏิบตั ิ
ทางพุทธศาสนามาพัฒนาตนเอง และแนวคิดวาทกรรมความเปนหญิง (Discourse on female)
มาพิจารณารวมกับขอมูลภูมิหลัง ประสบการณ ความเชื่อ และทัศนคติของผูหญิงที่มาบวชและ
ปฏบิ ัติธรรม ชว งอายุระหวาง 30-60 ป จํานวน 10 คน แบงเปนแมชี 3 คน และฆราวาสทั่วไป 7 คน
ดวยวิธกี ารสัมภาษณเชงิ ลึกรายบคุ คล
ผลการศึกษาพบวา ระบบความคิดเกี่ยวกับคานิยมทางเพศท่ีผูหญิงถูกปลูกฝงใหยอมรับ
และยึดถือมาตั้งแตเกิด เปนเพียงปจจัยหนึ่งที่สงผลตอการเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจของ
ผูห ญิงไทยในสังคมสมัยใหม ซง่ึ ทําใหตองพิจารณาเปนรายบุคคล เพราะไมใชผูหญิงทุกคนท่ีมาบวช
และปฏิบัตธิ รรมจะตอ งประสบกับความทกุ ขด ว ยสาเหตจุ ากวาทกรรมเร่ืองความเปนหญิงที่ดีมากอน
แมบางคนจะไดร บั ผลกระทบทางใจจากวาทกรรมเร่ืองเพศ จนเกิดปญ หาความทุกขช ดั เจนเมอื่ รสู ึกวา
ตนเองไมส ามารถดําเนนิ ชวี ิตใหเปนไปตามอุดมคติของความเปน หญิงทีด่ เี หลานน้ั ได หากบางคนกลับ
มองวาปจ จัยเร่ืองเพศเปนเพียงสว นหนึ่งในการเลือกพุทธศาสนาของตนเอง แตก็ไมอาจปฏิเสธไดวา
คา นยิ มทางเพศนเี้ ปนปจจัยสว นหน่ึงท่ีสงผลตอการคิดตดั สินใจ อยางไรก็ตามจุดรวมท่ีพบจากผูหญิง
ก
ทุกคนคือพวกเขาเห็นวาพุทธศาสนาชวยพัฒนาตัวตนทางดานจิตใจใหสามารถรับมือกับความรูสึก
ไมม ั่นคงที่เกิดขนึ้ ในชวี ิตประจาํ วนั ได ตงั้ แตศึกษาเรยี นรจู นกระทัง่ ลองปฏบิ ตั ิกเ็ กิดการเปลย่ี นแปลงตอ
ตวั เองซ่งึ เปนไปในทางท่ดี ี ทําใหใชชวี ิตไดอ ยา งราบรนื่ มีความสขุ มากข้ึน ดงั นน้ั การตดั สนิ ใจเลือกท่ีพ่ึง
ทางใจเปนพุทธศาสนาคือหน่ึงในทางเลือกสําหรับผูหญิงไทยสมัยใหมที่เติบโตมากับการหลอหลอม
ความคิด ความเชื่อ เก่ียวกับความเปนหญิงผานมายาคติท่ีสังคมสรางข้ึน แตเม่ือพวกเขาเห็นวา
พทุ ธศาสนาสามารถใชปรับปรงุ พัฒนาตัวเองได จึงเลือกนํามาเปนที่พึ่งทางใจท่ีใชในการดําเนินชีวิต
ภายใตก ารเปล่ียนแปลงในโลกสังคมสมยั ใหม
ภาควิชามานุษยวทิ ยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ปการศึกษา 2560
ลายมอื ชอื่ นักศึกษา………………………………………………………………………………….
ลายมอื ชื่ออาจารยทป่ี รกึ ษา………………………………………………………………………
ข
Individual Study Title The preference of Buddhism as a spiritual
anchor of Thai women : a case study of
Keywords Vipassana Meditation at Wat Samphanthawong
Thai women in Buddhism, Spiritual anchor,
Author Discourse, Technologies of the self
Degree Ms. Athichaya Sukthammarat
Department/ Faculty/ University Bachelor of Arts
Individual StudyAdvisor Anthropology/ Archaeology/ Silpakorn
Academic years Assistant Professor Dr. Damrongphon Inchan
Pages 2017
106
Abstract
Currently, many women in Thailand have been suffocating from being
a good woman limited by society. If women who perform the duty well, they will be
warmly welcomed by the society. Whereas, women who cannot continue performing
the role. They will be judged by the society as well. Consequently, this individual
study aims to comprehend the preference of religion as a spiritual anchor of women
in the present. Also, to examine factors those cause a decision and change women's
aspect towards themselves. The data was collected from 10 Buddhist women
between 30 to 60 years old, including 3 nuns and 7 general women in the Vipassana
Meditation at Samphanthawongsaramworawihan temple in Bangkok. The result
revealed that choosing religion as a spiritual anchor is one of the other choices for
women nowadays who have been implanted a mindset created to restrain women
from gender equality. Yet, the discourse on females is also another condition that
conducts women to rely on a spiritual anchor. However, women acknowledge that
Buddhism can improve themselves, so they undoubtedly choose Buddhism as their
spiritual anchor to run a motivation in their life under the changes.
ค
_________________________________________________________________________
Department of Anthropology, Faculty of Archaeology, Silpakorn University
Academic Years 2017
Student Signature …………………………………………………………………………………………………
Individual Study Advisor Signature ………………………………………………………………………
ง
บทท่ี 1
บทนา
ความเปน็ มาและความสาคัญ
หากกล่าวถึงผู้หญิงโดยท่ัวไปเรามักจะนึกถึงมนุษย์เพศท่ีมีความอ่อนโยน อ่อนไหว
สลับซับซ้อน ทั้งในด้านสรีระ อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมที่แตกต่างจากผู้ชาย ข้อกาหนดทาง
ชีววิทยาอาจเป็นส่วนหนึ่งท่ีสนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาทหน้าท่ีผูกติดอยู่กับความเป็นแม่และงานใน
ครัวเรือน ทั้งน้ีเนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมจาเป็นที่จะต้องมีการปฏิสัมพันธ์ มีการอยู่
ร่วมกันเป็นกลุ่ม และมีการจัดระเบียบทางสังคม เพ่ือควบคุมให้สังคมเกิดเสถียรภาพและความมั่นคง
ต่อสมาชิก แต่แท้จริงแล้วเงื่อนไขของบริบททางสังคมและสภาวะแวดล้อมเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้
มนุษย์แบ่งแยกสถานะและบทบาททางเพศท่ีแตกต่างกันระหว่างหญิงชายข้ึนมาในโครงสร้างสังคม
เมื่อสังเกตจะพบว่าค่านิยมทางเพศในสังคมส่วนใหญ่ของมนุษย์ กาหนดให้ผู้ชายมีสถานะเป็น
ผ้ปู กครองและมอี านาจเหนือกว่าผหู้ ญงิ ตลอดจนมีโอกาสในการใช้ชีวิตสาธารณะทางสังคมวัฒนธรรม
มากกว่าผหู้ ญิง ในขณะท่ีผู้หญิงถูกกาหนดให้มีบทบาทหน้าที่ที่สอดรับกับการสนับสนุนผู้ชายมาต้ังแต่
กาเนิด ด้วยเหตุน้ีอุดมการณ์ทางสังคมแบบชายเป็นใหญ่จึงกลายเป็นระบบความคิดที่มีอิทธิพลต่อ
มนษุ ยแ์ ละไดร้ ับการสืบทอดมาจนถึงปจั จบุ นั
สังคมไทยเป็นสังคมที่ยึดระบบการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ในลักษณะพ่อปกครองลูกมา
ยาวนานต้ังแต่อดีต ด้วยอานาจของสถาบันกษัตริย์และอิทธิพลของการรับเอาวัฒนธรรมทางศาสนา
เขา้ มาในสงั คม ส่งผลให้เกดิ ระบบความคดิ เรอ่ื งเพศที่ยกย่องผู้ชายและกีดกันผู้หญิงให้ตกอยู่ในสถานะ
ที่เป็นรอง ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมท่ีหล่อหลอมความเป็นหญิงให้คนในสังคมไทยรับรู้และ
ปฏบิ ัติรว่ มกนั โดยเริ่มตน้ ต้งั แตส่ ถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันการศึกษา ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่จึงมัก
เข้าใจว่าตนเองสามารถเป็นผู้หญิงท่ีดีไดจ้ ากการทาหน้าท่ีในฐานะลูกสาว เมีย และแม่เท่าน้ัน (กรวิภา
บุญซ่อื , 2545)
โดยเฉพาะสถานะของผู้หญิงชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในสังคมเมือง ซ่ึงแตกต่างอย่างส้ินเชิง
กับผู้หญิงไทยในสังคมท้องถ่ิน เน่ืองจากระบบความคิดเรื่องเพศของสังคมท้องถ่ินทั่วไปค่อนข้างให้
1
2
ความสาคัญกับผู้หญิง สังเกตได้จากความเช่ือท้องถิ่นในสังคมเกษตรกรรม ซ่ึงยกย่องผู้หญิงในฐานะ
ผู้ให้กาเนิดและสัญลกั ษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงค่านิยมทางเพศอื่นๆ เช่น การสืบเชื้อสายทาง
ฝาุ ยหญิง การต้ังถนิ่ ฐานกับครอบครวั ของฝาุ ยหญิงหลังการแต่งงาน หรือการท่ีผู้หญิงเป็นเจ้าของท่ีดิน
การผลิตและเป็นผู้รับผิดชอบในการประกอบพิธีกรรมในวัฒนธรรมของตนเอง ส่วนหน้าที่ของผู้ชาย
คือการออกไปทางานข้างนอก หรือช่วยกันทามาหากินในครอบครัวของฝุายหญิง สิ่งเหล่านี้แสดงให้
เห็นวา่ สงั คมทอ้ งถิ่นของไทยมคี วามสัมพันธ์ทางเพศที่เอ้ือเฟ้ือต่อการช่วยเหลือเก้ือกูลกัน เช่นเดียวกับ
สงั คมไทยสมยั กอ่ นที่ไม่เห็นความแตกต่างในด้านสถานะและบทบาททางเพศชัดเจนนัก เพราะทุกคนมี
หน้าที่ร่วมกันในระบบการผลิต แต่ภายหลังจากที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอ่ืนๆ อย่างวัฒนธรรม
ความเช่ือจากศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา สังคมไทยก็เร่ิมมีการ
เปลี่ยนแปลงในระบบความคิดเก่ียวกับค่านิยมทางเพศ จนกระทั่งคติความเช่ือเรื่องการยกย่องผู้ชาย
และการรับเอารูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมแบบชายเป็นใหญ่ได้แพร่กระจายและเป็นท่ียอมรับ
ร่วมกนั ในสงั คม (สรุ ยิ า สมทุ คปุ ต,ิ์ พัฒนา กติ ิอาษา และนันทยิ า พทุ ธะ, 2537)
นอกจากน้กี ารเข้ามาของวัฒนธรรมแบบตะวนั ตกและความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
ยังส่งผลให้คนในสังคมไทยมีค่านิยมแบบวัตถุนิยมมากขึ้น ผู้คนหันไปแสวงหาสิ่งที่สามารถตอบสนอง
ต่อความต้องการของตนเองด้วยสรรพสิ่งทางโลก กระทั่งความเจริญทางด้านวัตถุสวนทางกับความ
เจริญทางด้านจิตใจ เป็นเหตุให้สังคมเกิดความขัดแย้งและการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกันโดยง่าย ทั้งน้ี
เพื่อให้สามารถเอาตัวรอดบนโลกท่ีมีแต่ความไม่แน่นอนในชีวิต นับว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
เทคโนโลยี มีผลทาให้ความม่ันคงทางจิตใจของมนุษย์ตกต่าลง ผู้คนต่างทาเพื่ออานาจและประโยชน์
ส่วนตน มีวิถีชีวิตผูกติดอยู่กับค่านิยมสมัยใหม่ และพยายามด้ินรนปรับตัวสู่ความเป็นอุดมคติที่สังคม
สร้างข้ึน จนหลายคนเกิดความทุกข์ อ่อนไหวต่อสิ่งต่างๆ ง่ายขึ้น ย่ิงโดยเฉพาะธรรมชาติของมนุษย์
เพศหญิงที่มีความซับซ้อนทางร่างกายและจิตใจมากกว่าผู้ชาย จึงเป็นเหตุให้ทุกคนด้ินรนหาหนทาง
แก้ไขปัญหาในแนวทางที่แตกต่างกัน เพ่ือเป็นหลักไว้ยึดเหนี่ยวยามประสบกับความทุกข์หรือความ
กงั วลในชีวิต
การหาทพ่ี ึง่ ทางจิตใจเปน็ ทางออกที่ดใี นการรับมือกับความทุกข์และปัญหาทางโลกในรูปแบบ
ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทากิจกรรมทางสังคม การรวมกลุ่มสังสรรค์ หรือการหลบอยู่ในโลกส่วนตัว
เมือ่ ตอ้ งการปกปูองตนเองจากสภาวะกดดันทางสังคม บางคนพยายามหาท่ีพ่ึงทางใจในรูปแบบความ
บันเทิงเพื่อสร้างกาลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ บางคนเลือกพุทธศาสนามาเยียวยาแก้ปัญหาจิตใจให้เกิด
3
ความสงบ โดยเช่อื ว่าหลักธรรมคาสอนและวิถีปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์จะช่วยให้สามารถ
หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ดังแนวคิดของมาลินอฟกี (Bronislaw Malinowski, 1884-1942) ท่ีเชื่อว่า
ศาสนามีบทบาทหน้าท่ีสาคัญในการตอบสนองต่อความต้องการทางด้านจิตวิทยาและกายภาพของ
ปจั เจกบคุ คล เนอ่ื งจากปัจเจกบคุ คลมีแนวโน้มที่จะกระวนกระวาย วิตกกังวลในช่วงเวลาท่ีไม่แน่นอน
อกี ทัง้ ยงั หวาดกลวั สับสน และขัดแยง้ ทางจิตใจ เม่อื ตอ้ งเผชิญอยู่กับสงิ่ เหนอื ความรู้และประสบการณ์
ของตน การหันไปพึ่งศาสนาจึงเป็นแนวทางท่ีดีในการช่วยลดปัญหาความกลัว ความวุ่นวายทางจิตใจ
อีกท้ังยังช่วยสนับสนุนขวัญกาลังใจของมนุษย์ เสริมสร้ างทัศนคติที่มีคุณค่าในการดาเนิน
ชีวิตประจาวัน ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับมนุษย์มาโดยตลอด (ดุษฎี วิวรรธนาภิรักษ์,
2547)
แม้ว่าข้อจากัดทางเพศท่ีถูกสร้างข้ึนจากความเชื่อทางศาสนาและสังคมแบบชายเป็นใหญ่
จะส่งผลให้ผู้หญิงมีสถานะที่เป็นรองในสังคมไทย หากแต่การปลูกฝังทางวัฒนธรรมก็ทาให้ผู้หญิง
เรียนรทู้ ่ีจะยอมรบั เง่อื นไขเหลา่ นน้ั เพราะถือวา่ บทบาทหนา้ ท่ีของผหู้ ญิงท่ีคอยเกื้อหนุนพุทธศาสนาได้
สร้างผลบุญและประโยชน์ทางใจให้กับตนเอง ทุกวันนี้มีผู้หญิงจานวนมากที่ให้ความสนใจในพุทธ
ศาสนาและเลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพึ่งทางใจแทนสรรพสิ่งทางโลก เนื่องจากในสังคมปัจจุบันผู้คนต่าง
ประสบกับสภาวะความวุ่นวายในการดาเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และสภาพแวดล้อมท่ี
เปลี่ยนแปลง อนั ส่งผลให้เกดิ ความสบั สน ความรสู้ ึกไม่มั่นคงและไม่มั่นใจในส่ิงที่สังคมพยายามปลูกฝัง
หล่อหลอมให้คิดและเชื่อ กระท่ังจมอยู่กับความทุกข์และอุปสรรคในชีวิต ไม่มีท่ียึดเหน่ียวจิตใจ
นอกจากตัวตนและความต้องการของตนเอง ด้วยเหตุน้ีคนไทยหลายคนจึงหันมาพัฒนาจิตใจและ
พฒั นาตัวตนของตนเองดว้ ยวิธีต่างๆ “พุทธศาสนา” เป็นหนึ่งในทางเลือกของคนเหล่าน้ัน เม่ือประสบ
กบั ความทกุ ขท์ ไ่ี ม่อาจหลกี เลี่ยงหรอื จัดการควบคุมได้ เนือ่ งจากพุทธศาสนาช้ีนาให้มนุษย์มีสติ ยอมรับ
ความจริง เข้าใจความธรรมดาของโลกและสามารถปล่อยวาง รักษาภาวะมั่นคงทางจิตใจ ปลงใจต่อ
ความไมร่ ูท้ น่ี ามาซ่ึงการยดึ ติดอันเป็นเหตแุ ห่งทุกขต์ ่างๆ
ตัง้ แตอ่ ดีตพุทธศาสนามสี ่วนร่วมสาคัญในการพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด ทั้งในลักษณะ
รูปธรรมและนามธรรม โดยพุทธศาสนาในแบบรูปธรรมน้ัน ได้แก่ ศาสนสถานและศาสนบุคคล
ส่วนรูปแบบนามธรรม ได้แก่ ธรรมะของพระพุทธองค์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเข้าวัด ทาบุญ ทาทาน
การเขา้ ร่วมกจิ กรรมทางศาสนาการสวดมนต์ การฟังเทศน์ การรักษาศีล การอ่านหนังสือธรรมะ หรือ
การปฏิบัติธรรมของผู้คน ก็ล้วนแต่เป็นการแสวงหาท่ีพ่ึงทางใจด้วยแนวทางแบบพุทธศาสนาทั้งส้ิน
4
แม้ว่าบทบาทของพระและวัดในปัจจบุ ันนจี้ ะไม่ไดต้ อบสนองต่อความต้องการของคนไทยเท่าสมัยก่อน
แต่ปัจจุบันก็มีหลายคนที่ยังเห็นว่าคาสอนและข้อปฏิบัติทางพุทธศาสนาเป็นประโยชน์ทางใจต่อการ
ดาเนนิ ชวี ิตของตน
แม้กระท่ังการมีอยู่ขององค์กรทางศาสนาในสังคมปัจจุบัน อย่างสถานที่ปฏิบัติธรรมและวัด
ต่างๆ ก็สามารถตอบสนองต่อคนในชุมชนเมืองสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะองค์กรทางพุทธศาสนา
เหล่าน้ีทาหน้าท่ีเป็นแหล่งพ่ึงพิงทางใจแก่คนเมืองท่ีหาเวลาเยียวยาจิตใจตนเองสู่ความสงบได้ยาก
โดยเฉพาะสถานที่ปฏิบัติธรรม อันเป็นองค์กรทางศาสนาแบบใหม่ท่ีคนมักนิยมเข้าไปพักฟื้นฟูจิตใจ
พัฒนาจิตใจให้สงบ ยามประสบกับความทุกข์ที่ไม่อาจหาทางออกได้ ซึ่งแต่ละที่อาจมีแนวทางการ
ปฏิบัติและวิธีการสอนแตกต่างกันไป หากล้วนต้ังอยู่บนฐานของจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเผยแผ่
หลกั ธรรมให้บุคคลทว่ั ไปสามารถเรียนรูแ้ ละเขา้ ใจธรรมะได้โดยงา่ ย
สานกั วปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน เป็นสานักปฏบิ ตั ิธรรม ณ อาคารสามัคคีมีบุญ วัดสัมพันธวงศาราม
วรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ทตี่ ้งั อยู่บริเวณใกลเ้ คยี งกับถนนเยาวราช ซ่ึงเรียกได้ว่าเป็นชุมชนแห่งธุรกิจ
การค้า รวมถึงเป็นแหล่งท่องเท่ียวของชาวต่างชาติและชาวไทย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของความ
เปน็ เมอื งทเ่ี ตม็ ไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่สถานที่ปฏิบัติธรรมดังกล่าวกลับมีผู้ท่ีสนใจ
การปฏิบัติธรรมแวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทางานทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อันสะท้อน
ให้เห็นถึงการที่ยังคงมีกลุ่มคนท่ีศรัทธาและมองเห็นประโยชน์ของการดับทุกข์ด้วยแนวทางพุทธ
ศาสนา นี่จงึ เปน็ จดุ เรมิ่ ต้นของการศึกษาวิจัยคร้ังนี้ เพราะถึงแม้ว่าความเป็นสมัยใหม่ในสังคมปัจจุบัน
ที่อุดมไปด้วยความเจริญทางด้านวัตถุ จะทาให้วิถีชีวิตของคนไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพุทธ
ศาสนาน้อยลงจากในอดีต แต่เม่ือสังเกตกลับพบว่าทั้งผู้คนและศาสนาต่างก็มีการปรับตัว เพ่ือให้
สามารถตอบสนองตอ่ กันและกันในสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ด้วยเหตุน้ีจึงนามาซึ่งประเด็นศึกษาเกี่ยวกับการเลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพ่ึงทางใจของ
ผหู้ ญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ ภายใต้กรณศี กึ ษา สานกั วปิ ัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
เนื่องจากผู้ศึกษาสังเกตเห็นว่าสานักวิปัสสนากัมมัฏฐานแห่งนี้มีผู้หญิงวัยทางานที่มีลักษณะแตกต่าง
กันมากมายเข้ามาปฏิบัติธรรมอย่างสม่าเสมอ หากศึกษาทัศนคติ ความคิด และประสบการณ์
ส่วนบุคคลของกลุ่มผู้หญิงในพื้นท่ีดังกล่าว อาจทาให้เข้าใจมุมมองของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ท่ี
เลือกการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนามาเป็นที่พึ่งทางใจได้มากข้ึน ท้ังน้ีผู้ศึกษามุ่งเน้นท่ี 3
ประเด็นหลัก ประเด็นแรก คือ การค้นหาว่าผู้หญิงที่เลือกมาปฏิบัติธรรมและบวชท่ีสานักวิปัสสนา
5
กัมมัฏฐานแห่งนม้ี ีปจั จัยในการเลอื กพุทธศาสนาเปน็ ทพ่ี ึ่งทางใจในชีวิตอย่างไร ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่
เส้นทางการปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งจริงจังจนไม่คิดละทิ้งหรือเปล่ียนไปหาที่พ่ึงทางใจอ่ืน รวมถึงพิจารณาว่า
ประสบการณแ์ ละทัศนคติที่แตกต่างกันของผู้หญิงแตล่ ะคน มจี ุดรว่ มทที่ าให้เลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพึ่ง
ทางใจเหมือนกันหรือไม่ ประเด็นต่อมา คือ หลังจากที่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐานที่
สานกั วิปสั สนากัมมฏั ฐานแลว้ กลุ่มผูห้ ญงิ เหลา่ นพี้ บการเปล่ยี นแปลงทม่ี ผี ลต่อชีวิตของตนเองในแง่มุม
ใดบ้าง จึงเป็นเหตุผลที่ทาให้เชื่อม่ันว่าพุทธศาสนาคือที่พึ่งทางใจท่ีดีที่สุดในฐานะมนุษย์คนหน่ึง
ประเด็นสุดท้าย คือ ผู้ศึกษามองว่าการเลือกบวชหรือปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา อาจเป็น
การปรับตัวรูปแบบหนึ่งของผู้หญิงต่อค่านิยมทางเพศและค่านิยมอ่ืนๆ ในสังคมไทย ซ่ึงต้องไป
พิจารณาจากผู้หญิงในกลุ่มที่เข้าไปศึกษาว่าการบวชชีและการเป็นนักปฏิบัติธรรมในฐานะฆราวาส
มีผลต่อตัวตนของปัจเจกบุคคลเช่นไร
ผ้ศู กึ ษาพิจารณาวา่ การทก่ี ลุ่มผู้หญงิ ในสงั คมไทยเหลา่ นีพ้ ยายามเข้าหาพทุ ธศาสนา ท้ังการถือ
ศลี บวชชีอย่างเคร่งครัด การปฏิบตั ิธรรม รวมถงึ การทากิจกรรมทางศาสนาแบบทั่วไป เช่น การเข้าวัด
การทาบุญ การให้ทาน การสวดมนต์ และการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ อาจเป็นผลมาจาก
การปรับตวั ต่อคา่ นิยมในสังคม ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมการบริโภควัตถุนิยมหรือค่านิยมทางเพศที่ผู้หญิงมี
สถานะและบทบาทหนา้ ทีท่ ่เี ป็นรองจากผชู้ าย ซึง่ มีผลทาให้ผู้หญิงกลุ่มน้ีต้องแสวงหาพื้นท่ีอันเป็นท่ีพึ่ง
ทางใจ เพื่อแสดงจดุ ยืนในการใช้ชวี ติ ของตนเอง โดยไม่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ทางสังคม ด้วยเหตุน้ีผู้ศึกษา
จึงเลือกใช้แนวคิด “เทคโนโลยีการสร้างตัวตน” ของฟูโกต์ที่อธิบายถึงการที่ผู้หญิงดูแลตนเอง
โดยปรับตวั ไปตามความจรงิ ที่สังคมสร้างขนึ้ ด้วยกระบวนการสร้างตวั ตนอยา่ งการเอาตนเองเข้าสู่วาท
กรรมทางพุทธศาสนา เพ่ือจุดประสงค์ในการทบทวนตนเอง ทาความเข้าใจตนเองและส่ิงต่างๆ ที่มา
กาหนดควบคมุ กระท่งั เปน็ อิสระทางจิตใจ รู้เท่าทันว่าจะสามารถปรับตัวและดารงอยู่ภายใต้ข้อจากัด
นนั้ ตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งไร นอกจากนี้ผศู้ ึกษายังใชแ้ นวคิดเรื่อง “วาทกรรม อานาจ และความรู้เก่ียวกับความ
เป็นเพศ” มาพิจารณาโครงสร้างทางความคิดเรื่องความเป็นผู้หญิงในสังคมไทยร่วมด้วย ทั้งน้ีเพ่ือทา
ความเข้าใจระบบความคิดเร่ืองความเป็นหญิง ก่อนจะนาไปศึกษากลุ่มผู้หญิงในสังคมไทยสมัยใหม่ที่
เลอื กพทุ ธศาสนามาตอบสนองต่อความต้องการทางดา้ นจิตใจใหเ้ ข้าใจละเอยี ดลึกซึ้งมากยิง่ ขึ้น
6
วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา
1) เพื่อให้ทราบถึงเหตุปัจจัยท่ีทาให้ผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่เลือกที่พึ่งทางใจเป็นพุทธ
ศาสนาแทนการเลือกทพ่ี ่ึงทางใจอน่ื
2) เพือ่ ทาความเข้าใจถึงการเปล่ียนแปลงท่ีมีผลต่อตัวตนของผู้หญิงท่ีเลือกพุทธศาสนาเป็น
ที่พงึ่ ทางใจ
สมมตฐิ านของการศกึ ษา
การเลอื กพุทธศาสนาเป็นทีพ่ ง่ึ ทางใจของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ ถือเป็นความพยายามท่ี
จะปรับตัวต่อค่านิยมในสังคม โดยแสวงหาแนวทางการใช้ชีวิตท่ีช่วยให้สามารถรับมือและจัดการกับ
อารมณค์ วามรูส้ กึ ท่ีไม่มนั่ คงทางจิตใจของตนเอง เมื่อต้องดารงอยู่ในสังคมท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดปัญหา
ความทุกข์ ด้วยเพราะถูกครอบงาจากวาทกรรมหลักในสังคม ทัศนคติและประสบการณ์ส่วนตัวของ
ผ้หู ญงิ แต่ละคนที่เข้าไปศึกษาจะสะท้อนให้เห็นว่า การเข้าวัดฝึกปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา
คือการสร้างตัวตนรูปแบบหนึ่งที่ปัจเจกบุคคลเลือกให้เป็นพ้ืนที่เฉพาะ เอาตนเองเข้าสู่กระบวนการ
สร้างตวั ตนด้วยวาทกรรมทางพุทธศาสนาที่มีหลักคาสอนและแนวทางการปฏิบัติเป็นเครื่องมือในการ
เรียนรู้วิธีท่ีจะทาให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงได้ดีขึ้น มีสติปัญญาในการคิดการตัดสินใจดีขึ้น
จากการทบทวนตนเอง เขา้ ใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ รู้จักปล่อยวางจากสิ่งท่ีทาให้เกิดทุกข์
และมุ่งสกู่ ารละทิ้งตัวตนเพ่ือหลุดพน้ จากวาทกรรมต่างๆ ในท้ายท่ีสดุ
ขอบเขตของการศกึ ษา
1) ขอบเขตเชิงเนื้อหาและการวเิ คราะห์
นาเสนอประสบการณ์และทัศนคติที่แตกต่างกันของผู้หญิงแต่ละคนท่ีเข้ามาบวชและ
ปฏิบตั ิธรรมทสี่ านักวิปัสสนากมั มฏั ฐาน วดั สัมพันธวงศารามวรวิหาร เพ่อื ทาความเขา้ ใจถึงเหตุปัจจัยท่ี
สนับสนุนให้ผู้หญิงกลุ่มนี้เลือกพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ และมารวมกลุ่มกันที่สถานท่ีปฏิบัติธรรม
แห่งน้ี รวมถึงพิจารณาในแง่มุมเก่ียวกับการปรับตัวของผู้หญิงต่อค่านิยมทางเพศในสังคมไทย โดยใช้
แนวคิดเรื่องวาทกรรมเก่ียวกับความเป็นเพศและแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสร้างตัวตน เป็นฐานใน
7
การวิเคราะหก์ ลมุ่ ผูห้ ญงิ ที่เข้าไปศึกษาวา่ แนวคดิ คาสอนและหลักในการปฏบิ ตั ิธรรมตามแนวทางพุทธ
ศาสนามีผลตอ่ การมองตัวตนของผู้หญิงทแี่ ตกต่างจากก่อนเลือกพทุ ธศาสนาเปน็ ท่พี ึ่งทางใจอย่างไร
2) ขอบเขตเชงิ ภาคสนาม
ผู้ศึกษาเลือกสานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
เป็นพ้ืนที่สนามในการศึกษาทาความเข้าใจมุมมองของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ท่ีศรัทธาในพุทธ
ศาสนาและการปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐาน เนื่องจากพ้ืนท่ีดังกล่าวเป็นองค์กรทางศาสนา
รูปแบบใหม่ ท่ีตั้งอยู่บริเวณชุมชนเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้คนเข้ามาฝึกภาวนาเจริญสติมาก
จานวนหน่ึง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัยทางาน จึงทาให้ผู้ศึกษามีความสนใจในทัศนคติมุมมองและ
ประสบการณ์ของผ้หู ญงิ ที่มาท่ีน่ี เพอ่ื ใช้พทุ ธศาสนาเป็นทีพ่ ่งึ ทางใจให้กบั ตนเอง โดยจะศึกษาผ่านกลุ่ม
ประชากรตัวอยา่ งทพ่ี บในพ้นื ที่ ดงั น้ี
2.1) กลุ่มผู้หญิงท่ัวไปท่ีเข้ามาปฏิบัติธรรม ณ สานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศาราม
วรวหิ าร เพื่อทาความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งทางใจ ในแง่ท่ี
มผี ลตอ่ ตัวตนและการใชช้ ีวติ ในฐานะนักปฏบิ ัติของผหู้ ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหม่
2.2) กลุ่มแม่ชีท่ีพานักอยู่ท่ีสานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เพื่อทา
ความเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติมุมมองในการตัดสินใจเลือกบวชและปฏิบัติธรรมตามวิถีทางแห่งพุทธ
ศาสนาอยา่ งเครง่ ครัดในแงท่ ี่มีผลตอ่ ตวั ตนและการใช้ชีวติ ในฐานะแมช่ ีในสงั คมไทยปจั จบุ ัน
สถานทใ่ี นการศกึ ษา
สานกั วิปัสสนากมั มฏั ฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวิหาร
เลขที่ 579 ถนนวานิช 1 แขวงสมั พันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ จังหวัดกรงุ เทพมหานคร 10100
ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รบั
1) เขา้ ใจถึงเหตุปัจจยั ที่ทาให้ผู้หญิงไทยในสังคมสมยั ใหม่บางคนเลอื กเข้าวดั และปฏบิ ัติ
ธรรมแทนการเลือกที่พึง่ ทางใจอื่น
2) ทราบถงึ ประโยชนข์ องการเลือกพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจในแง่ที่มีผลต่อตวั ตนของผู้
หญิงไทยในสงั คมสมัยใหม่
8
3) เป็นขอ้ มูลแกผ่ ู้ทีส่ นใจวถิ ีชวี ิตของผูห้ ญิงไทยท่ีศรัทธาในพทุ ธศาสนาและการปฏิบัติธรรม
ระเบียบวธิ วี จิ ยั
การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเป็นที่พ่ึงทางใจของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่
กรณีศึกษา สานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร” ผู้ศึกษาใช้
ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นหลักในการศึกษา เพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูล
เชิงลึก ท้ังจากการรวบรวมข้อมูลแบบปฐมภูมิและทุติยภูมิ ซึ่งคัดเลือกโดยพิจารณาเน้ือหาที่สัมพันธ์
กับประเด็นศึกษา แบ่งออกเปน็ ข้ันตอนดงั น้ี
1) การศึกษาข้อมูลและค้นคว้าข้อมูลเบ้ืองต้น (แบบทุติยภูมิ) โดยรวบรวมงานวิจัยเชิง
เอกสารในรูปแบบหนังสอื วทิ ยานพิ นธ์ บทความในวารสาร และสือ่ ออนไลนต์ ่างๆ ที่มีเน้ือหาเก่ียวข้อง
กบั เรื่องเพศ สตรีศึกษา และพุทธศาสนา เพ่ือทาความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นผู้หญิง ท้ังในแง่มุมของ
บทบาท สถานะ และวัฒนธรรมที่แตกต่างของผู้หญิงแต่ละสังคม ตลอดจนเรื่องราวที่สัมพันธ์กับพุทธ
ศาสนาภายใตบ้ ริบทสังคมไทย เพอ่ื นาไปสนบั สนุนการศกึ ษาขอ้ มูลภาคสนามเบอ้ื งต้น
2) การเกบ็ ขอ้ มูลภาคสนาม (แบบปฐมภูมิ) ใชว้ ิธีการสงั เกตการณอ์ ยา่ งมีส่วนร่วม โดยเรียนรู้
แนวทางการปฏิบัติ และพดู คยุ สัมภาษณ์กลมุ่ ผู้หญิงทม่ี าปฏบิ ตั ิธรรมในช่วงเวลาท่ีเข้าไปศึกษา จานวน
7 คน จากกลุม่ ประชากรหญิงชายทั้งหมด ท้ังนี้ผู้ศึกษาสุ่มเลือกจากผู้หญิงที่มีอายุ อาชีพ และพ้ืนฐาน
ทางสังคมแตกต่างกัน เพ่ือให้เห็นความหลากหลายของทัศนคติและประสบการณ์ของผู้หญิง รวมถึง
เลือกสัมภาษณ์กลมุ่ แมช่ ีทพ่ี านกั อยู่ ณ สถานปฏบิ ัติธรรมแห่งนี้ จานวน 3 คน เพ่ือเป็นภาพสะท้อนให้
เห็นถึงมุมมองของผู้หญิงที่มีต่อพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมตามแบบวิปัสสนากรรมฐาน
ท้ังประสบการณ์ก่อนและหลังฝึกปฏิบัติ ตลอดจนผลลัพธ์ที่มีต่อตัวตนของผู้หญิงท่ีเลือกพุทธศาสนา
เปน็ ที่พึง่ ทางใจ รวมท้ังสิน้ 10 คน 10 ตวั อย่าง
3) รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการค้นคว้าข้อมูลเบ้ืองต้น การสังเกตการณ์อย่างมีส่วน
รว่ มและการสัมภาษณ์มาจัดเรียบเรียง เพ่ือนาไปพิจารณาตีความและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ จนได้
ผลสรุปท่ีสามารถอธิบายประเด็นเร่ืองการเลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพึ่งทางใจ ของผู้หญิงไทยในสังคม
สมัยใหม่
9
กรอบแนวคิดทฤษฎี
การศกึ ษาวิจัยครงั้ นี้ ผู้ศกึ ษาเลือกใช้แนวคดิ เรื่อง วาทกรรม อานาจ และความร้เู ก่ียวกับความ
เป็นเพศ เป็นกรอบแนวคิดหลักในพิจารณาเก่ียวกับ “ความเป็นผู้หญิงไทย” ท่ีสังคมสร้างข้ึนเป็น
ความรูแ้ ละความจรงิ ให้คนไทยยอมรับร่วมกัน พร้อมกับการพิจารณาถึงการขับเคล่ือนของสังคมไทยสู่
ความเป็นสังคมสมัยใหม่ อันก่อให้เกิดค่านิยมแบบสังคมบริโภค ซ่ึงผู้ศึกษามองว่าสองปัจจัยดังกล่าว
เป็นส่วนหนึ่งท่ีทาให้ผู้หญิงสมัยใหม่พยายามแสวงหาท่ีพ่ึงทาง ใจเพ่ือปรับตัว ต่อค่านิยมในสังคม
ทั้งค่านิยมทางเพศท่ีผู้หญิงมีสถานะและบทบาทหน้าที่ท่ีเป็นรองจากผู้ชายและค่านิยมในการบริโภค
วัตถุนิยม ซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุน้ีผู้ศึกษาจึงเลือกใช้แนวคิดเร่ือง เทคโนโลยี
การสรา้ งตัวตน มาอธบิ ายวธิ ีการปรับตวั ตามความจรงิ ทางสังคมของผหู้ ญงิ ไทยบางกลุ่ม ด้วยการเลือก
พุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเป็นการถือศีลบวชชีอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติธรรม หรือการทา
กิจกรรมทางศาสนาแบบทั่วไป เช่น การเข้าวัด การทาบุญ การให้ทาน การสวดมนตร์ และการเข้า
ร่วมพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เพื่อแสดงจุดยืนในการใช้ชีวิตของตนเอง โดยไม่ยึดติดอยู่กับกรอบ
ความคิดเรือ่ งเพศทสี่ ังคมไทยกาหนด ทงั้ นีผ้ ู้ศกึ ษาได้ทาแผนภาพกรอบความคิดที่เชื่อมโยงกับขอบเขต
การศึกษาท้ังหมด เพื่อความสะดวกต่อการทาความเข้าใจกลุ่มผู้หญิงไทยที่เลือกพุทธศาสนาเป็นที่พ่ึง
ทางใจในสังคมสมัยใหม่
10
การสร้างวาทกรรม อานาจ และความรู้ การพฒั นาสคู่ วามเปน็ สังคมสมยั ใหม่
เก่ียวกบั ความเป็นเพศ ค่านิยมแบบสังคมบรโิ ภคนิยม
ค่านยิ มทางเพศเก่ียวกบั
ความเป็นผู้หญิงในสงั คมไทย
การแสวงหาท่พี ึง่ ทางใจ
ขอ
การปรับตัวต่อคา่ นยิ มทางสังคม
ดว้ ยพุทธศาสนา
การบวชชี การปฏบิ ัตธิ รรม การทากจิ กรรมทางศาสนา
เทคโนโลยีการสร้างตวั ตน
(Technologies of the self)
ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคดิ และขอบเขตการศกึ ษา
กลุ่มผู้หญงิ ไทยในสงั คมสมยั ใหมท่ ่ีเลอื กพุทธศาสนาเป็นท่ีพ่ึงทางใจ
ภาพโดย อธชิ ญา สขุ ธรรมรัตน์ เม่อื 8 พฤศจกิ ายน 2560
11
โครงสร้างของรายงานการศึกษาเฉพาะบุคคล
ในงานศึกษาวิจัยคร้ังน้ี ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าและการลงพื้นที่ภาคสนามมา
อธิบายประเด็นที่เชื่อมโยงเก่ียวกับการทาความเข้าใจกลุ่มผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ท่ีเลือกพุทธ
ศาสนาเป็นที่พงึ่ ทางใจ โดยแบ่งเนอ้ื หาออกเป็น 5 บท ดงั นี้
บทท่ี 1 บทนา กล่าวถึงท่ีมาของความสนใจในประเด็นที่ทาการศึกษา ความเป็นมาและ
ความสาคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ สมมติฐาน ขอบเขตของการศึกษา ระเบียบวิธีการวิจัย
ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ กรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษา และแผนการดาเนินงานวิจัย เพ่ือให้ทราบ
ถงึ รายละเอยี ดของงานศึกษาวิจยั ชนิ้ น้ี
บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง แบ่งเน้ือหาออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ
การอธิบายถึงแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ได้แก่ แนวคิดเร่ืองวาทกรรม อานาจและความรู้เก่ียวกับ
ความเป็นเพศ และแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสร้างตัวตน ส่วนที่สองคือการนาข้อมูลที่ได้จากการ
ค้นคว้าข้อมูลเอกสาร หนังสือวิทยานิพนธ์ งานวิจัย บทความในวารสาร และส่ือออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง
กบั ประเดน็ ศกึ ษา มารวบรวมเพอื่ ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการอ้างองิ และการพจิ ารณาทาความเข้าใจให้
เหน็ ถงึ แนวทางการศกึ ษาต่อไป
บทท่ี 3 ผู้หญิงกับการนับถือพุทธศาสนา เสนอภาพรวมของผู้หญิงกับการนับถือพุทธศาสนา
ต้ังแตจ่ ุดเรมิ่ ต้นของผูห้ ญิงทีน่ บั ถอื พทุ ธศาสนาต้งั แต่แรกเริ่มในพุทธกาล จนถึงการนับถือของผู้หญิงใน
สังคมไทย และวิถีแห่งการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนาภายใต้บริบทผู้หญิงไทยในสังคม
สมยั ใหม่ ท่สี ามารถนาไปใช้เป็นข้อมลู พน้ื ฐานในการศึกษาทาความเขา้ ใจกล่มุ ผู้หญิงในพื้นทส่ี นาม
บทที่ 4 สานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร อธิบายต้ังแต่ประวัติความ
เป็นมาของสานักปฏิบัติธรรม ผู้นาที่มีบทบาทสาคัญในการฝึกปฏิบัติธรรม ตลอดจนถึงแนวทางการ
ปฏบิ ตั ิทีส่ านักแห่งน้ใี ช้อบรมแกผ่ ูท้ ่สี นใจ
บทท่ี 5 10 ภาพสะท้อนของผู้หญิงที่เลือกพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ นาเสนอประสบการณ์
และทัศนคติของผู้หญิงในกลุ่มประชากรตัวอย่างท่ีมาปฏิบัติธรรมและบวชชีรักษาศีลอยู่ท่ีสานัก
วิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร โดยรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์และการ
สังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม มาอธิบายภาพสะท้อนของผู้หญิงท่ีศรัทธาในพุทธศาสนาและเลือกพุทธ
ศาสนาเปน็ ท่ีพงึ่ ทางใจ สาหรับใช้เปน็ ขอ้ มูลเพื่อการตคี วามวเิ คราะหใ์ นบทถดั ไป
12
บทที่ 6 วเิ คราะห์และสรปุ ผลการศึกษา คือการนาข้อมูลทั้งหมดท่ีได้มาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับ
แนวคดิ เร่ืองวาทกรรม อานาจและความรู้เกี่ยวกับความเป็นเพศ และแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสร้าง
ตัวตน ภายใต้ขอบเขตท่ีกาหนด หลงั จากนัน้ จงึ สรปุ ผลการศึกษาออกมาเปน็ รปู ธรรมอยา่ งสมบรู ณ์
แผนการดาเนนิ งานและระยะเวลาทาการวจิ ยั
งานศึกษาวิจัยคร้ังนี้ใช้ระยะเวลาในการศึกษารวมทั้งสิ้น 10 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม
2560 จนถงึ เดือนพฤษภาคม 2561 แบง่ ออกเปน็ ช่วงเวลาดังนี้
สิงหาคม - พฤศจิกายน 2560 คน้ ควา้ ข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกบั ประเดน็ ท่สี นใจ
จากงานวจิ ัยเชิงเอกสาร หนังสือ วิทยานพิ นธ์
บทความในวารสาร ส่อื ออนไลน์ เพอื่ ทาความเข้าใจ
กลุม่ คนท่ีต้องการศึกษาและหาแนวทางการศึกษาตอ่ ไป
กนั ยายน - ธนั วาคม 2560 ลงพ้นื ทีเ่ ก็บข้อมลู ภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ
และการสงั เกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม เรยี นรวู้ ิธีปฏบิ ตั ิ
พดู คยุ สอบถามเกย่ี วกับมุมมอง ทัศนคติและ
ประสบการณ์ท่ีแตกตา่ งกันของผหู้ ญงิ แตล่ ะคน
มกราคม - มนี าคม 2561 นาข้อมูลที่ได้จากการเกบ็ ข้อมูลทงั้ สองส่วน
มารวบรวมตีความ และวเิ คราะห์เช่อื มโยงกับแนวคิด
ทฤษฎีทเี่ ลือกใชใ้ นประเด็นที่ทาการศึกษา
เมษายน - พฤษภาคม 2561 สรปุ ตรวจทาน แก้ไข และจดั ทารูปเล่ม
บทที่ 2
แนวคดิ ทฤษฎแี ละวรรณกรรมที่เกยี่ วขอ ง
การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยในสังคมสมัยใหม
กรณีศึกษา สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร” ผูศึกษาได
ทําการทบทวนแนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวของกับประเด็นดังกลาว โดยจะนําเสนอเปน
2 สว นในบทนี้
สวนแรก คือแนวคิดและทฤษฎีท่ีเก่ียวของ ผูศึกษาเลือกใชแนวคิดเร่ือง วาทกรรม อํานาจ
และความรเู ก่ยี วกบั ความเปน เพศ และแนวคดิ เรื่องเทคโนโลยีการสรา งตัวตน (Technologies of the
self) สว นทีส่ อง คอื งานวิจยั และวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวของ แบงออกเปน 2 ประเด็น ไดแก วรรณกรรม
เก่ยี วกบั ผูหญิงในสังคมไทยและวรรณกรรมเก่ยี วกับผูหญงิ ในแงม ุมทางพทุ ธศาสนา เพอื่ เปนประโยชน
ในการนํามาวิเคราะหแ ละเช่ือมโยงกบั ประเด็นที่ทาํ การศกึ ษา
แนวคิดและทฤษฎีที่เกยี่ วขอ ง
แนวคดิ เรอ่ื งวาทกรรม อํานาจ และความรเู กย่ี วกบั ความเปนเพศ
ทัศนะของมเิ ชล ฟโู กต (Michel Foucault, 1926-1984) กลาววา “อํานาจ” มีอยูทุกที่และ
อยูในทุกปฏิสัมพันธทางสังคมของมนุษย มีหลากหลายศูนยกลาง และไมไดถูกจัดระเบียบดวย
หลักการเดียวหรือดํารงอยูท่ีสถาบันใดสถาบันหนึ่ง แตอํานาจแฝงอยูในทุกแงมุมทางสังคม
โดยดาํ เนนิ การผา นปฏิบัติการทางวาทกรรม ผลิตสรางความคิดในเร่ืองความจริงข้ึนมาใหกลายเปน
ความรูความเขา ใจเกีย่ วกับสง่ิ ตางๆ (วารณุ ี ภรู สิ ินสทิ ธ์,ิ 2545: 166)
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตรก อใหเ กิดระบบการผลติ ชดุ ความรใู นรปู ของศาสตรที่หลากหลาย
เพื่อสรางคําอธิบายตอสิ่งตางๆ โดยอางความถูกตองในวิธีการศึกษาและการไดมาซ่ึงขอมูลเชิง
ประจักษ ผูเช่ียวชาญแตละศาสตรจะไดรับการสถาปนาและสิทธิอํานาจในการสรางความรู ตัวบท
(text) ถอ ยแถลง (statement) อกี ทง้ั ยงั กําหนดวาจะสรางความรูใดบาง ใชวิธีการอยางไร และเพื่อ
13
14
ประโยชนข องใคร สิ่งใดผดิ สง่ิ ใดถกู ความชอบธรรมเหลา นที้ าํ ใหความรูท่ีถูกสรางขึ้น มีอิทธิพลตอวิธี
คิด ความคิด และความเชื่อของสาธารณชน นําไปสูการใหคุณคา การวางกฎเกณฑกติกา การบังคับ
ทั้งทางตรงและทางออมใหสมาชิกในสังคมยึดถือและปฏิบัติตามรวมกัน (McNay, 1992 อางถึงใน
นภาภรณ หะวานนท, 2555: 30-31)
ฟูโกตช้ีใหเห็นวา เม่ือมีการผลิตความรู ยอมมีการตอยอดความรู และการไหลเวียนของ
ความรู กอ เกิดเปนชดุ ของวาทกรรม อนั หมายถึงชุดของกฎเกณฑท ถ่ี กู สรา งข้ึน ดวยจดุ มุง หมายในการ
สถาปนามโนทัศนของสิง่ ใดสงิ่ หนงึ่ ใหกลายเปน ท่ียอมรับรวมกันวา เปน ความจริงทางสังคม สรรพสิ่งที่
ดาํ รงอยูในสงั คมลว นเปน ผลผลติ ของวาทกรรมแทบท้ังสิน้ รวมถึงเปนตัวกําหนดการกระทําและการ
ปฏสิ มั พนั ธร ะหวา งบคุ คล อํานาจของวาทกรรมจงึ แพรกระจายอยทู ั่วไป ไมเ พียงจํากัดเฉพาะกลุมคน
แตแ ทรกอยูในเครอื ขายของความสัมพันธท่ีกอตัวเปนโครงสรางสังคม โดยสมาชิกจะกระทํา ปฏิบัติ
และแสดงออกตามกฎเกณฑกตกิ า ตลอดจนพยายามควบคุมตัวเองและควบคุมผูอ่ืน เพ่ือใหสามารถ
ดาํ รงชวี ติ อยูในสังคมนั้นได (นภาภรณ, 2555: 30-31)
วาทกรรมและความรู (Discourse and Knowledge) ตามแนวคิดของฟูโกต ไมเพียงแตทํา
หนา ท่ีสรา งความจริงข้นึ มาวาส่ิงใดที่สามารถพดู คดิ หรือใหอํานาจในการแสดงออกวา บคุ คลสามารถ
ทําอะไร ที่ไหน เวลาใดไดเทาน้ัน หากแตยังเปนตัวกําหนดความหมายและความสัมพันธทางสังคม
ดวยการสรา งผกู ระทําและความสัมพนั ธเ ชิงอํานาจข้ึน ขณะเดียวกันก็กีดกันหรือแทนท่ีสิ่งที่มีลักษณะ
แตกตา งออกไป ฟูโกตเห็นวาการจัดกระทําสิ่งใดตองมีอํานาจที่เขามากํากับ เพ่ือใหเกิดการยินยอม
และการยอมรับ ซึง่ อํานาจรปู แบบหนง่ึ ท่เี ขาเห็นวา มคี วามสําคัญคืออํานาจของความรู เพราะความรู
สามารถแสดงถงึ สภาพของความเปน จรงิ ได ดงั เชน ความรทู ี่ต้งั อยูบนหลักการทางวิทยาศาสตรและวิธี
วิจัยทางวิทยาศาสตร อันเปนวิธีการคนหาความจริงของโลก ซ่ึงไดรับการยอมรับอยางเปนสากล
ความรใู นลักษณะน้จี งึ เปรียบเสมือนความจรงิ ท่ีพจิ ารณาวา มอี ํานาจมาก เนือ่ งจากเปนวิธกี ารท่ชี วยให
คนตระหนกั ถงึ การมีเหตผุ ล ปลดปลอ ยจากอาํ นาจเดมิ ทีค่ รอบงํา ตลอดจนสามารถแสดงออกถงึ ความ
เปน ตัวของตวั เองและพฒั นาตัวเองไดอ ยา งอสิ ระเตม็ ที่ (Usher & Edwards, 1994 อางถึงใน อุษณีย
ธโนศวรรย, 2555: 52-53)
การแบง แยกความแตกตา งทางเพศทพ่ี บเหน็ ในทุกสังคมโลก ก็ถือเปนอํานาจของวาทกรรม
อยา งหน่ึงท่เี กิดจากความตองการในการจดั ระเบียบทางสงั คมของมนษุ ย วาทกรรมวาดว ยเร่ืองเพศนน้ั
ถูกสรางขึ้นผานความรูชุดตางๆ ที่นําไปสูการสรางกฎเกณฑกติกาหรือบรรทัดฐานใหคนในสังคม
15
ปฏิบัติตาม อํานาจท่ีสรางผานความรูดังกลาวสามารถเขาไปจัดการกับบุคคลในระดับความเชื่อ
เพราะทาํ ใหผ ูคนยอมรบั และเขาใจวาเปนความจริงหรือเปนธรรมชาติที่ไมอาจเปล่ียนแปลงได (นภา
ภรณ, 2555: 42)
หากพิจารณาจะพบวา เรือ่ งเพศอยใู นทกุ แงมมุ ทางสงั คม ปจ เจกบุคคลมักถกู ควบคุมผานการ
เปน เพศใดเปน เพศหนึ่งเสมอ สงั คมกาํ หนดความเปนหญิงและความเปนชายในลักษณะคูสัมพันธกัน
เพ่ือเปนบรรทัดฐานทางสังคมท่ีทําใหคนตระหนักถึงความเปนตัวเองและการแสดงออกในเพศวิถี
(Sexuality)1 ของตนเอง สังคมสวนใหญท่ัวโลกที่มีระบบสังคมแบบชายเปนใหญ ลวนใชวาทกรรม
ทางวิทยาศาตรท เี่ ก่ยี วกับมนษุ ยและปฏิบตั กิ ารทเ่ี กยี่ วของกบั วาทกรรมในการดาํ เนนิ ชีวติ ท่ีสงเสริมให
ผูชายควรไดรับโอกาสและอํานาจทางสังคมมากกวาผูหญิง มาประกอบสรางความเปนหญิงใหคนใน
สงั คมยอมรบั รวมกนั เปนความรแู ละความจริง (เพ่งิ อา ง: 29)
บรรทัดฐานทางเพศที่สังคมสรางขึน้ นเ้ี ปนรปู แบบหนึง่ ของอาํ นาจท่ีสงผานระบบความรเู ขา ไป
กําหนดใหค วามเปนหญิงมีสถานะและบทบาทหนาท่ีดอยกวา ผูชายดว ยเพศสภาพ อาจกลา วไดวาเพศ
เปนความจริงที่ถูกประดิษฐขึ้นโดยเทคโนโลยีของอํานาจเพื่อใชกําหนดอัตลักษณใหกับบุคคล
ปจเจกชนจงึ เปนทัง้ วัตถุ เครือ่ งมอื และสื่อทีใ่ ชใ นการบรหิ ารอาํ นาจ ไมเ พียงแตไดร ับการกลอมเกลาให
ความรเู รอ่ื งเพศ จากการอบรมสง่ั สอนของครอบครัว สถานศึกษา หรือชุมชนเทานั้น หากแตยังไดรับ
การหลอหลอมทัศนคติ บรรทัดฐาน คานิยมทางเพศ ตามชวงชั้นที่สังคมกําหนดดวยระเบียบวินัย
อนั เปนกฎกตกิ าความรวู าดว ยการอยูรวมกนั ในสงั คม ทั้งนเ้ี พ่อื จัดระเบียบและควบคุมพฤติกรรมของ
สมาชกิ ในสงั คมใหเปน ไปในทิศทางท่ีตอ งการ (อุษณยี , 2555: 55)
สังคมใดกต็ ามท่ใี หความสาํ คัญและอํานาจแกผ ชู าย พืน้ ทสี่ าํ หรับผูหญิงมักปรากฏในรปู แบบท่ี
ใหการสนับสนุนตอความตองการของเพศชายเทานั้น ถือวาการกําหนดสรางความรูเร่ืองเพศเปน
ยุทธศาสตรของการปกครองและการควบคมุ ความสมั พันธข องมนุษย ยกตวั อยา งเชน คานยิ มของการ
1 เพศวิถี (Sexuality) หมายถึง ภาพตัวแทนหรือชุดของพฤติกรรมหรือขอกําหนดในฐานะ
บรรทัดฐานเร่ืองเพศที่ทําใหบุคคลรูสึก เขาใจ กระทํา และจัดระเบียบชีวิตของตนไปในลักษณะใด
ลักษณะหนง่ึ (Martinsson et al., 2007 อา งถงึ ใน นภาภรณ, 2555: 29)
16
เปนหญิงทด่ี ีในสังคมไทย ก็เปนวาทกรรมทางเพศอยา งหนง่ึ ท่แี สดงใหเ ห็นถึงการกาํ กับความคดิ ของคน
ไทยวาผูห ญงิ จะตองบรสิ ุทธิ์ ไมควรมีความรหู รอื มีความตอ งการทางเพศ (เพิ่งอา ง: 55)
ในหนังสอื “การสรางความฉลาดรูเ รอื่ งเพศในวัฒนธรรมบริโภค” อษุ ณีย ธโนศวรรย (2555)
ไดอธิบายถงึ ความรูเรอื่ งเพศในสงั คมไทย โดยแบงออกเปน 3 ชวงสมัย ดังน้ี
1) ยคุ กอ นเปด รบั อารยธรรมตะวันตก
ในยคุ นส้ี ังคมไทยมีความผูกพนั ใกลช ดิ กับพทุ ธศาสนามาก ฐานะทางสังคมของผูชายกบั ผหู ญงิ
อยใู นระดบั ที่แตกตางกันอยางชัดเจน ผูชายมีสถานะเหนือกวาเพราะเปนผูสืบวงศสกุลและเปนผูท่ี
สามารถบวชเรียนได สวนผูหญิงมีบทบาททางสังคมโดยการอิงกับผูชาย สนับสนุนผูชาย ผลิตลูก
เล้ียงดูลูก และทํางานในครัวเรือน ไมมีโอกาสไดรับการศึกษาหรือบวชเรียนในวัด ซึ่งเปนแหลงให
ความรทู ่สี ําคญั ท่สี ุดแกประชาชนคนไทยสมัยโบราณกาล
การสรางความรเู รอื่ งเพศในยคุ สมัยน้ถี ูกมองในแงของความอุดมสมบูรณ เร่ืองเพศเปนเร่ือง
ธรรมชาติและปกติธรรมดาของชีวิตโลก แตค วามเปนชายและความเปนหญงิ กม็ กี ารอบรมสัง่ สอนผา น
คุณลักษณะที่พึงประสงค เพื่อกํากับพฤติกรรมทางเพศ หากสังเกตจะพบวาสุภาษิต โคลง กลอน
วรรณกรรม หรือภาพจิตรกรรมฝาผนงั ในวดั จะมีการปลูกฝงคานิยม ความคิด ความเช่ือ ซ่ึงสะทอน
เรื่องเพศในแงว ถิ ีชวี ติ บทบาทหนาท่ี รวมถงึ การกระทําทางเพศท้ังในเชิงขบขันและเชิงสังวาส ท้ังยัง
สอดแทรกคําสอนทางพุทธศาสนาไวดวย เพื่อใหผูคนพิจารณาวา แมความตองการทางเพศจะเปน
องคประกอบหน่ึงของการดาํ เนนิ ชีวติ แตกเ็ ปนตณั หาที่ทําใหเ กิดทกุ ข ฉุดรัง้ มนุษยจ ากการบรรลุธรรม
นอกจากน้ีอทิ ธิพลของหลกั ธรรมคาํ สอนที่พระพุทธองคบัญญัติสิกขาบทไวเม่ือคร้ังยังมีชีวิต
อยู ไดกลาวถึงการปฏิบัติตนของสงฆกับฆราวาสหญิง เชน การรับของประเคน การจับตองกาย
การปฏิบัตติ นระหวา งภิกษุกับภิกษณุ ี การหามมิใหภิกษุณีมีคูครองหรือเสพกามคุณ การปฏิบัติตนที่
เหมาะสมในฐานะบดิ า มารดา อาจารย บุตร ภรรยา มิตร สมณพราหมณ หรือท่ีเรียกวาทิศหกตาม
หลกั ทางพทุ ธศาสนา กย็ งั มีความสําคญั ตอคนในสมยั นี้ จงึ สะทอ นใหเห็นวาการสรางความรูเร่ืองเพศ
ยคุ กอนเปด รับอารยธรรมตะวนั ตก ต้ังอยบู นอดุ มการณทางศาสนา โดยปลูกฝงวาเปาหมายของชีวิต
คอื การหลุดพน จากวฏั สงสาร หากแตอ ปุ สรรคสาํ คญั ที่ทําใหคนตดิ กบั ดัก คอื เร่อื งเพศและการเสพกาม
คุณ หรอื การลุมหลงในรูป รส กลนิ่ เสยี ง สมั ผัส ดังน้ันการสรางความรูเรื่องเพศจึงเปนส่ิงท่ีสามารถ
เขามาควบคุมผานการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว สถาบันการศึกษา และบรรทัดฐานในสังคมที่
สมาชิกอาศัยอยู
17
2) ยุคการพัฒนาประเทศไปสคู วามทันสมัย
เร่มิ ตงั้ แตท ่ปี ระเทศไทยมกี ารตดิ ตอสัมพันธท างการคา กับประเทศตะวนั ตกในชวงรัชกาลท่ี 5
ทําใหเกิดการรับเอาวัฒนธรรม ความรู วิทยาการทางการแพทยแบบสมัยใหมเขามามีอิทธิพลตอ
อุดมการณความคิดเกี่ยวกับการจัดระเบียบเรื่องเพศ จากแตเดิมท่ีการกํากับพฤติกรรมทางเพศจัด
กระทําในรปู แบบของการใหค วามรเู ร่ืองเพศ ผานหลกั คําสอนทางพุทธศาสนา การอบรมส่ังสอนโดย
ครอบครวั และบรรทดั ฐานของสังคมหรอื ชมุ ชน ถกู ปรบั รูปแบบและเน้อื หาไปอยูในวิชาเพศศึกษาท่ีมี
การจัดการเรียนการสอนในระบบโรงเรียน หากแตขอบขายของวิชาดังกลาวกลับอยูในกรอบของ
การศกึ ษาเรอื่ งกายวิภาค สรรี วทิ ยา ระบบสืบพนั ธุของเพศชายและหญิง การทําใหเกดิ ทารก และการ
เรียนรจู ติ วิทยาระหวางเพศเทา นนั้
สังคมไทยในยคุ นม้ี องเร่ืองเพศเปน เพยี งเรือ่ งของการเจริญพันธุ การมีเพศสัมพนั ธเปนไปเพ่ือ
การใหกาํ เนิดมนษุ ย สวนเรอ่ื งเพศทอ่ี ยใู นมติ อิ ่ืนไดร บั การพจิ ารณาวา อนาจาร ไมจัดวาเปน ความรูแ ละ
ถูกสงั คมมองวาเปนเรือ่ งไมเ หมาะสม ลักษณะการถา ยทอดระบบคิดดังกลาวไดรับอิทธิพลมาจากยุค
วิคตอเรยี ในประเทศองั กฤษ งานศึกษาประวัติศาสตรเ พศวถิ ใี นสงั คมตะวันตกของฟูโกต (1978 อางถงึ
ใน นภาภรณ, 2555: 31-32) แสดงใหเห็นวา ในชวงยุควิคตอเรียเร่ืองเพศเปนเร่ืองท่ีถูกกดทับไว
ไมค วรพูดถงึ ในทีส่ าธารณะ เพราะเปนเร่ืองในบานหรือในครอบครัว เม่ือบุคคลพูด คิด หรือกระทํา
ทางเพศท่ีตนเองเชอื่ วาไมถูกตอ ง ไมเหมาะสม จะตองไปสารภาพบาป ที่โบสถ ซ่ึงเปน พื้นท่ีสาํ หรบั ผูท่ี
ตองการปลดปลอยตนเองจากการประพฤตผิ ิดในเร่ืองเพศ ฟูโกตเ สนอวาการทําใหเร่ืองเพศเปนเรื่อง
ปกปดหรอื ไมสมควรถกู พดู ถึงนถ้ี ือเปน การจัดระเบยี บทางทางสงั คมรูปแบบหนงึ่ โดยผทู ีม่ อี ํานาจทาง
ศาสนาจะเปนผูกําหนดควบคุมคนท่ัวไปวาอะไรสามารถทําไดและอะไรท่ีไมสามารถทําไดในเร่ือง
เกย่ี วกับเพศ การสารภาพบาปจงึ เปน กิจกรรมที่ทําใหเ ร่ืองเพศจํากดั ปรมิ ณฑลอยูที่พระกับผูสารภาพ
เรียกไดว า ในยคุ นผี้ ทู ่ีมอี าํ นาจทางศาสนาคือผทู ม่ี ีอิทธิพลตอทัศนคติ คานิยม ความคิด ความเช่ือของ
สมาชกิ ในสังคม ไมว า จะเปน พทุ ธศาสนาหรือครสิ ตศาสนา ความรเู ร่อื งเพศไดถกู ทําใหเ ปน เครอ่ื งมือใน
การกําหนดพฤติกรรมของคน เพื่อจัดระเบียบไมใหเกิดความวุนวาย และควบคุมคนใหเปนไปตาม
อดุ มการณของผทู ม่ี อี ํานาจในสังคมนนั้ (อางแลว: 64)
อยางไรกต็ าม แมสงั คมไทยจะรบั เอาอารยธรรมตะวันตกและความทันสมัยเขามา ทั้งวิถีชีวิต
แบบคนทันสมัยดวยการใชส อ่ื ตางๆ การศึกษาเลาเรียนท่ีตา งประเทศ หรอื การรบั เอาความหมายเรอ่ื ง
เพศแบบใหมจนทําใหคนไทยเปดรับคานิยมเก่ียวกับการแสดงออกทางเพศและพฤติกรรมทางเพศ
18
อยางเปด เผยมากขึน้ สงั เกตไดจากการปรับเปล่ยี นกฎหมายหรือคานยิ มทางเพศบางอยาง เชน การมี
ครอบครัวแบบผัวเดยี วเมยี เดียว การจดทะเบยี นสมรสเพ่อื เปนสัญญาที่บงบอกถึงการเปลี่ยนสถานะ
ทางสงั คม และอ่นื ๆ ตามท่ีพบเหน็ ในปจ จบุ นั แตท วา การใหค ณุ คา ตอ ความเปนเพศหญิงในสังคมไทย
กลับไมเปลย่ี นแปลงตามไปดวย
จากงานวจิ ัยของจักรกฤษณ พญิ ญาพงษ (2552 อา งถงึ ใน อษุ ณีย ธโนศวรรย, 2555: 68-69)
ไดศ ึกษาเกี่ยวกับเพศวิถีในสังคมไทย โดยรวบรวมทัศนคติความเชื่อทางเพศท่ียังคงหลงเหลืออยูใน
สังคมไทยปจจุบันไวห ลายประการ ดังนี้
1) ความเช่อื วา ผชู ายเปนมนษุ ยเ พศท่เี หนอื กวา ผหู ญิง และผูหญงิ ออนแอกวาผูช าย
2) ความเชอ่ื วาผหู ญิงเปนเพยี งสมบัตขิ องผชู าย
3) ความเช่ือวาความตองการทางเพศของผูชายเปนสิ่งจําเปนที่จะตองหาทางปลดปลอยหรือ
ตอบสนองอยางนาเห็นใจ ขณะที่ความตอ งการทางเพศของผหู ญิงไมจาํ เปนตองทําเชนนน้ั
4) ความเชอ่ื วาผูช ายท่ีแทหรอื ชายชาตรตี อ งมคี วามตอ งการทางเพศสงู
5) ความเชือ่ วา ผูชายมีความตอ งการทางเพศสงู กวา ผูหญงิ
6) ความเชื่อวาเปน เรอื่ งธรรมดาทีผ่ ูชายจะมีเพศสมั พันธก ับผหู ญิงหลายคน
7) ความเช่ือวาเปน เรอื่ งปกติที่ผชู ายสามารถออกไปหาความสุขทางเพศนอกบา นได
8) ความเชอ่ื วาโสเภณมี ีไวเพ่ือแกป ญหาความตองการทางเพศของผชู าย
9) ความเช่อื วา การเทย่ี วโสเภณเี ปน ความชอบธรรม เพราะผหู ญิงไดเ งนิ ตราเปน การตอบแทน
10) ความเชอ่ื วาผหู ญงิ เปน วัตถทุ างเพศ (Sexual Object) หรอื ส่ิงทสี่ ามารถหาซ้ือไดด วยเงินตรา
อาจมสี ภาพเหมือนเคร่อื งเลน หรอื นางทาสบนเตียง
11) ความเชื่อวาผชู ายไมม ีความจาํ เปนตอ งรับผิดชอบหลงั มเี พศสัมพนั ธ
คุณสมบัติของชายชาตรีเหลา นก้ี อ เกิดเปนมายาคตทิ ีท่ าํ ใหคนในสังคมไทยยอมรับวา ผูชายมี
อํานาจเหนือกวาผูหญิงในระบบความสัมพันธระหวางเพศ ท้ังเรื่องการแสดงออก ประสบการณ
ความตองการ ผลผลติ (เดก็ ท่ีคลอดออกมาใชนามสกุลตามพอ ) สวนเพศหญงิ ตกอยใู นฐานะทีเ่ ปน รอง
มีหนาท่ีตอบสนองความตอ งการทางเพศใหก ับฝา ยชาย และจะไดร ับการยอมรับในการแสดงออกทาง
เพศก็ตอเม่ืออยูในสถาบันการแตงงาน กรณีที่ไมอยูในสถาบันการแตงงาน การมีเพศสัมพันธของ
ผูหญิงถือเปนเรื่องไมถูกตอง และหากเกิดการต้ังครรภข้ึน ท้ังฝายหญิงที่ตั้งครรภและฝายชายที่ไม
รับผิดชอบจะถกู ตําหนแิ ละผลักใหอยนู อกกรอบของการยอมรับจากสังคม (อษุ ณยี , 2555: 69-70)
19
การกําหนดใหผูช ายเทานั้นที่มบี ทบาทนําในเรอ่ื งเพศ ผหู ญิงตอ งไมเ ดียงสาเรื่องเพศจงึ จะเปน
ผูบริสุทธ์ิสะอาด เปนกุลสตรี สงผลใหความรูเรื่องเพศในสังคมไทยยุคนี้เปนเรื่องของผูชายเทาน้ัน
ซ่งึ ผูช ายสามารถเขา ถงึ ไดต ลอดเวลา ไมว าจะโดยผานการพูดคุยแลกเปล่ียน การหาประสบการณจริง
กับหญิงขายบริการ หรือการเรียนรูผานสื่อตางๆ ในขณะที่ผูหญิงสามารถเขาถึงเร่ืองเพศไดอยาง
เหมาะสมเมอื่ แตง งาน จงึ เปน เหตทุ ่ีทาํ ใหผหู ญงิ มีโอกาสเขาถึงความรูเรื่องเพศและเรื่องอื่นๆ ไดนอย
กวาผูชายและอาจแตกตางกันตามระดับชนชั้น เพราะถึงแมผูหญิงที่ไดรับการการศึกษาจะเริ่มมี
บทบาททางสงั คมและเศรษฐกิจมากขึ้น จนสามารถเลือกอาชีพไดอยางหลากหลาย แตความรูเรื่อง
เพศเก่ียวกับผูหญิงของสังคมไทยยุคนยี้ งั อยใู นกรอบทจี่ ํากดั (เพ่งิ อา ง: 72)
3) ยุควฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ ม
เม่ือสังคมเคล่ือนตัวเขาสูวัฒนธรรมบริโภคดวยแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตาม
แนวเสรีประชาธิปไตย ผนวกกับการเขามาของระบบทุนนิยมท่ีใชเงินตราเปนสื่อกลางในการ
แลกเปล่ียนสินคาและบริการ ความหมายของส่ิงตางๆ ที่คนเคยยึดถือรวมกันก็เริ่มเปล่ียนแปลงไป
เนื่องจากความทนั สมยั ของสังคมโลกซ่ึงใหความสําคัญกับการพัฒนาทางดานเทคโนโลยี โดยเฉพาะ
การติดตอสอื่ สารผา นสอื่ อิเล็กทรอนกิ ส สามารถสงผานและถายทอดวัฒนธรรม คานิยม พฤติกรรม
ใหก ับคนในสังคมทั่วโลกไดอ ยา งรวดเรว็ จนผคู นมคี วามหลากหลายของความรแู ละประสบการณมาก
ข้ึน ตลอดจนมีทางเลือกใหกับตนเองมากข้ึน เพราะความเชื่อเก่ียวกับเพศวิถีแบบเกาๆ ถูกร้ือถอน
นิยามตายตวั ทีเ่ คยปดกั้นความคิดวาเปนความจริงหนึ่งเดียวกลายเปนส่ิงท่ีพนสมัย เรียกไดวาสังคม
สมัยใหมทําใหคนเปดรับความแตกตางอยางที่ไมเคยเปนมากอน นอกจากนี้วัฒนธรรมบริโภคยัง
กอ ใหเ กิดพ้ืนท่ีใหผ ูหญงิ ขัดขนื และทาทายตอ กฎเกณฑทีส่ ังคมสรางไว ดังจะเห็นไดวาผูหญิงไทยเร่ิมมี
อิสระในการแสดงออกมากข้ึน ไมวาจะเปนการแสดงออกทางดานรางกาย การแสดงออกทางดาน
อารมณค วามรสู ึก การแสดงออกทางดานความคดิ เห็นการแสดงออกในเร่ืองเรื่องเพศ หรือแมกระท่ัง
การสวมใสเสื้อผา ซึ่งแตเดิมผูหญิงตองอยูภายใตอัตลักษณความเปนหญิงท่ีสังคมจํากัดสิทธิบาง
ประการมาโดยตลอด (นภาภรณ และอษุ ณีย, 2555: 39, 74)
จากสงั คมประเพณีดั้งเดิม อันเปนสังคมท่ีปจเจกบุคคลถูกกําหนดใหทําตามส่ิงท่ีจารีตของ
สงั คมกาํ หนดสูการเปน สงั คมสมยั ใหมท ่ีปจ เจกบุคคลสามารถถอนตัวเองออกจากขอผูกมัดทางสังคม
เพราะสือ่ ท่ีไดรับสงผานขอมูล ขาวสาร ภาพลักษณ ภาพตัวแทนในเร่ืองคุณคา ความงาม ความพึง
20
พอใจ และการดํารงชีวติ ในรูปแบบตา งๆมายังปจเจกบคุ คล ทาํ ใหค นสามารถตั้งคาํ ถามกบั ตนเองไดว า
ตองการอะไร และจะมีปฏสิ มั พันธก บั ผูอื่นอยางไร เมื่อปจ เจกบคุ คลรจู ักอํานาจในตนเองจึงเริม่ ตอ รอง
กับสงิ่ ทีส่ งั คมกําหนดและพยายามมองหาพ้นื ทท่ี างสังคมสาํ หรับการสรางอัตลักษณทีต่ นเองปรารถนา
ดวยเหตผุ ลและวธิ กี ารมองโลกในแบบของตนเอง (นภาภรณ, 2555: 5)
เมื่อพิจารณาความรูเรื่องเพศในสังคมไทย ท่ีแตกตางกันใน 3 ชวงสมัยดังกลาว จะพบวา
วิวัฒนาการของความรูเรื่องเพศ ต้ังแตกอนสังคมทันสมัยท่ีเรื่องเพศผูกโยงอยูกับหลักปฏิบัติทาง
ศาสนา กระทงั่ เปลยี่ นไปผกู โยงกบั วิทยาศาสตรและการเจรญิ พันธุในยุคพัฒนาสูความทันสมัย จนถึง
ยุควัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ปจเจกบุคคลมีอิสระในการปรับตัวและเขาถึงอัตลักษณและตัวตนของ
ตนเองไดม ากข้นึ สะทอนใหเหน็ ถึงการทีค่ วามรเู รื่องเพศเปนวาทกรรมท่ีถูกผลิตซํ้าใหเ ปนภาพตายตัว
เพื่อใชเ ปนเคร่ืองมือในการบรรลุเปาหมายของสังคม แตขณะเดียวกันวาทกรรมเรื่องเพศก็ถูกทําให
เปนสงิ่ ท่ไี มสมควรคดิ พูด หรอื กระทําไดอยางเปดเผยเทา สงั คมตะวันตก เน่ืองจากการใหความรูเร่ือง
เพศในระบบการศึกษาไมไ ดปรับตัวตามไปดวย ดังนั้นคนในสังคมไทยสวนใหญจึงรับรูเร่ืองเพศที่ถูก
สรางขนึ้ เปนความจรงิ เพียงบางสว น (อษุ ณีย, 2555: 78-79)
ผูศึกษาเห็นวา แนวคิดเร่ืองวาทกรรม อํานาจและความรูเกี่ยวกับความเปนเพศของมิเชล
ฟูโกต สามารถนํามาใชพ ิจารณาศกึ ษาเกี่ยวกับ “การเลอื กพทุ ธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจของผูหญิงไทย
ในสงั คมสมยั ใหม กรณีศกึ ษา สํานกั วิปส สนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร” ได เน่ืองจาก
การที่จะทําความเขาใจถึงการตัดสินใจเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงแตละคนนั้น
ตองยอ นดูถึงโครงสรางความคิด อนั รวมถงึ ความรูเ ก่ยี วกับความเปนเพศทค่ี นไทยถูกสังคมหลอหลอม
มาเสียกอน เพื่อทําความเขาใจสถานการณที่ปจเจกบุคคลเคยหรือกําลังเผชิญ จนเปนเหตุจูงใจ
ประการหนึง่ ท่สี งผลใหผ หู ญิงบางกลมุ เลง็ เหน็ วาการบวชและการปฏบิ ัติธรรมนน้ั สามารถเตมิ เตม็ ความ
มัน่ คงขา งในจติ ใจ
21
แนวคดิ เรื่องเทคโนโลยีการสรางตวั ตน (Technologies of the self)
แมค วามเปน หญิงทสี่ งั คมสรางขึ้นจะทาํ ใหบ ุคคลเช่ือวา ตองดําเนินชีวิตตามกรอบแนวคดิ เร่ือง
เพศท่ีสังคมกํากับถึงจะเปนท่ียอมรับโดยปกติ แตวิถีทางเพศของมนุษยไมจําเปนตองมีแบบแผน
ตายตัว หากสังเกตในสงั คมปจจบุ นั จะพบวาไมใชทุกคนท่ียอมสยบตอ วาทกรรมความเปนเพศที่จํากัด
สิทธิบางประการในชีวติ โดยไมตั้งคําถามหรือทําตามอยางไมขัดขืน ย่ิงเม่ือบุคคลนั้นรูจักตนเอง รูวา
อะไรเปนสิง่ ท่ตี อ งการและเหมาะสมกบั ตน กส็ ามารถดํารงอยูใ นสงั คมไดอยา งรเู ทา ทันกฎเกณฑกตกิ า
ที่สังคมบีบรดั อยู
หนังสือ The Archaeology of Knowledge ฟูโกต (1978 อางถึงใน อานันท, 2552: 50)
ไดชี้ใหเ ห็นวา วาทกรรมท่ีถกู สรางข้ึนในแตล ะชว งสมยั ของประวัติศาสตรเปนความรูและความจริงท่ีมี
อสิ ระในตวั เอง จงึ สงผลใหว าทกรรมมีอาํ นาจในการกําหนดบงการผูท่ีอยูภายใตวาทกรรม จนบุคคล
เหลาน้นั กลายเปนเพียงรางกายใตบงการ ซึ่งหมายถึงการถูกกระทําครอบงําดวยความรูทั้งท่ีเจาตัว
ยนิ ยอม ดงั เชน วาทกรรมเกยี่ วกบั ความเปนหญิงในสังคมไทยท่ีมีมาตั้งแตอดีต ก็สะทอนใหเห็นไดวา
เราตกอยใู นวาทกรรมความเปนเพศจากนิยามทผี่ ูมอี าํ นาจในสงั คมผลติ ข้ึนมา เพือ่ ใหเ ปน ความจรงิ ทาง
สังคมทีท่ าํ หนา ทีค่ วบคมุ ตวั ตนของปจ เจกบคุ คล กระทั่งคนในสังคมเช่ือวาตนเองตองปฏิบัติตามเพศ
วถิ ที ีส่ ังคมกํากับจึงจะถือวาถูกตองและไดรับการยอมรับ ในขณะที่สูญเสียความเปนตัวเองจากการ
ยอมรบั วาทกรรมดังกลาว
ฟโู กตเสนอวา การทําความเขา ใจความจรงิ ทีส่ งั คมกําหนดไปพรอมกับการทําความเขา ใจความ
จริงของตัวปจเจกเอง จะทําใหมนุษยสามารถหลุดพนจากวาทกรรมหลักในสังคมได เขาจึงมุงเนน
ศึกษาทป่ี ฏิบัติการของวาทกรรม ดวยเล็งเห็นวา การที่มนษุ ยถูกควบคุมและยอมรับวาทกรรมท่ีสังคม
กําหนด เทากับเปนการยนิ ยอมใหป จเจกบุคคลไมม ีอิสระในการคิดหรือเขาใจโลกในแบบของตนเอง
ซึ่งแทจ รงิ แลวมนษุ ยเ รามสี องดานทข่ี ัดแยง กัน ดานหนงึ่ ตกอยูในวาทกรรมหรือโครงสรางของสังคมที่
เขามาควบคุมตัวตน อีกดานหนึ่งมนุษยตางมีอิสระเสรีที่จะควบคุมตนเองใหเปนไปในลักษณะท่ี
ตองการ พลังท่ีขัดแยงในตนเองน้จี ะเปนสิง่ ท่ีชว ยปลดปลอยมนุษยออกจากวาทกรรมหลักของสังคม
สาํ หรบั บางคนอาจเลือกเขาสวู าทกรรมอ่ืนที่ตนเองยินยอม เพือ่ หลดุ ออกจากวาทกรรมเดิมท่ีกําหนด
ควบคุมอยู ดว ยการสรา งตัวตนของตนเองข้ึนมาผานวาทกรรมใหม (อานันท, 2552: 105)
ทุกคนมีสิทธิที่จะตอรองโดยสรางอัตลักษณ (Identity) หรืออัตตา (Self) ใหกับตนเอง
ไมจ าํ เปน ตอ งขน้ึ อยกู บั วาทกรรมหลกั หรืออดุ มคตขิ องสงั คมที่เขา มาบงการตัวเรา กลาวคอื ถา เรามอง
22
วาความคดิ ของแตล ะคนมอี ํานาจและอสิ ระในตัวเอง เราก็จะสามารถยอมรับความคิดของแตละคนได
วาเปนความจริงในแบบของตนเอง ฟูโกตใหความสําคัญกับอัตตาดวยความเชื่อที่วา มนุษยเราจะ
ตอ รองกบั วาทกรรมในสงั คมไดก ต็ อเม่ือบคุ คลนั้นรูจักตนเอง จากการทบทวนตนเอง ทําความเขาใจ
ตนเอง ทําความเขาใจความจริงทสี่ งั คมกาํ กับ สามารถสรางตัวตนใหกับตนเอง เพอ่ื หลดุ พน จากกรอบ
คา นยิ มหรือวาทกรรมทีส่ ังคมควบคุมใหเรายอมรับและยึดถือปฏิบัติได ตัวอยางเชน วาทกรรมเร่ือง
ความงาม หากเราทําความเขาใจวาวาทกรรมความงามที่สังคมสรางข้ึน เปนเพียงรูปแบบหนึ่งของ
ความจริงเก่ยี วกบั ความงามทีถ่ ูกประกอบขนึ้ มาใหค นในสังคมมีความพอใจในมายาคติเกี่ยวกับความ
งามในลกั ษณะเดียวกัน อันเปนการบรรลุวัตถุประสงคบางอยาง ซึ่งในโลกนี้ยังมีความงามอีกหลาย
แบบทเี่ ปนความจรงิ เชน กัน การทเี่ รารจู กั ตัวเองวามมี มุ มองตอความงามอยางไร จะทําใหเราไมยึดติด
อยกู ับคา นยิ มหรือมายาคตนิ ั้น อีกท้งั ยงั สามารถมคี วามสุขกับความงามในแบบของตนเองเขาใจหรือ
แบบทีต่ นเองสรา งข้ึนได (อานนั ท, 2552: 94-95)
นอกจากน้ีฟูโกตยังพิจารณาถึงปญหาของอัตตา และไดสรางกระบวนการคิดที่เรียกวา
“การเจริญสติเชิงวิพากษ” ขึ้นมา โดยหมายถึงการทบทวนตนเองอยางวิพากษวิจารณ เพ่ือใหเกิด
ความตระหนกั รู มิใชเ พ่อื สงเสริมวาตนเองทําดแี ลว แตห ากเปนการวิพากษวิจารณตนเองใหรูจักและ
เขา ใจตนเองอยเู สมอ ซงึ่ ถอื เปนคุณลักษณะของมนุษยส มยั ใหมทม่ี ีความสรา งสรรคในตนเอง (อานนั ท,
2552: 185-186)
ตอมาจึงเกิดแนวคิด “เทคโนโลยีการสรางตัวตน” หรือเทคโนโลยีท่ีอธิบายถึงการที่มนุษย
สามารถพิจารณาไดว าอะไรคือความจรงิ สําหรบั ตนเอง อันเปนวิธีการดูแลตนเองแบบหน่ึง ดวยหลัก
วิธกี ารดงั ตอไปนี้
1) ทบทวนความคิดของตนเองท่ีผูกตดิ อยูกับกฎเกณฑกตกิ าของสังคม
2) ทําความเขาใจความคดิ ทฝ่ี ง อยภู ายในกับความบริสุทธ์ิท่ฝี ง อยใู นตน
3) ทบทวนวาความคิดของตนเองตอบสนองตอสง่ิ ทเ่ี ชอ่ื วาเปน ความจรงิ อยางไร
การท่ีผูหญิงในสังคมไทยพยายามหาทางออกดวยการเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ
ก็ถอื เปน แนวทางที่ปจ เจกบุคคลมองหาพืน้ ท่เี ฉพาะเพือ่ ทบทวนความจริงภายในจิตใจของตน ผานการ
กระทําตอรางกาย จิตวิญญาณ ความคิด และวัตรปฏิบตั ิของตนเอง โดยใชแนวคดิ และหลักปฏิบตั ิทาง
พุทธศาสนาเปน เคร่ืองมือในกระบวนการสรา งตวั ตน เพ่ือเปนจุดยนื ในการใชก ารชวี ติ และเปลยี่ นแปลง
ตนเองใหม หัวใจสําคัญของเทคโนโลยีการสรางตัวตนคือการทบทวนและสรางความจริงข้ึนมาบน
23
พื้นฐานของการตระหนักรูในปญหาของตนเอง เพ่ือใหบุคคลเขาใจตนเองและสามารถปรับตัวให
ดาํ เนินชวี ติ อยใู นสงั คมที่เตม็ ไปดว ยวาทกรรมและขอ กําหนดตา งๆ ได (นภาภรณ, 2555: 46)
ฟโู กตมองวาหากเรายอมสยบตอ วาทกรรมทส่ี ังคมกําหนด อาจทําใหเราหมดความเปน มนุษย
ลงในท่สี ดุ เขาจึงเสนอประเดน็ เก่ียวกบั การท่มี นษุ ยสมยั ใหมควรมคี วามสามารถในการวิพากษวจิ ารณ
ตนเอง รูจักทบทวนตนเอง ทําความเขาใจตนเอง พัฒนาตนเองใหมีสติ และนิยามความจริงในแบบ
ของตนเองได อนั เปนการสรางสรรควธิ ีการใชชีวิตดว ยการมองอัตตาในเชิงบวก ฟูโกตใหความสําคัญ
กับความเปนปจเจกชนแบบกา วหนา ผา นแนวคิดกระบวนการสรา งตวั ตนและการแยกตวั เองออกจาก
วาทกรรมท่ีครอบงําอยู ซึ่งเปนปฏิบัติการทางอัตตาที่อยูในระดับจริยธรรม โดยกาวกระโดดจาก
ชุดความคิดหนึ่งไปสูอีกชุดความคิดหนึ่งจนทําใหตระหนักรูในตัวตน กระท่ังหลุดพนออกจากการ
ครอบงําของวาทกรรมหลัก เขาใหความสําคญั กับจรยิ ธรรมในการดาํ รงชีวติ มองวาเปนความสามารถ
ของมนุษยใ นการดํารงตวั ตนใหอยูในสังคม โดยไมตกเปน ทาสของความปกติธรรมดาท่ีสังคมพยายาม
ยดั เยียดใหเ ปนความจรงิ เพยี งหน่ึงเดยี ว
แนวทางของฟูโกตที่เนนความเปนปจ เจกชนแบบกาวหนา นี้ มีสาระสําคัญในการเคารพสิทธิ
ของผูอ่นื ยอมรับความแตกตางของมนษุ ย ไมใ ชการยดึ เอาตนเองเปน ใหญ แตเปน การรจู ักตนเองและ
ไมปลอ ยใหต นเองเปน ทาสของการถกู ควบคมุ โดยสังคมโลก เขาใจวาทุกอยางเปนเร่ืองปกติธรรมดา
และไมจาํ เปนท่สี ังคมตอ งบบี บงั คับใหทกุ คนเดินไปในทางเดียวกันหมด หากยอมรับและเขาใจความ
เปนปจเจกของกนั และกันก็สามารถทําใหอ ยรู ว มกันในสังคมอยา งปกติสขุ ได ท้ังน้ีไมไดหมายความวา
เขาจะละเลยความสัมพนั ธเ ชงิ อาํ นาจท่ีแฝงอยภู ายใตโ ครงสรา งสงั คมอยา งสถาบนั ตางๆ แตเขาเช่ือวา
ทกุ ความสัมพนั ธเ ชงิ อํานาจมที างหนีทไี ลและทางออก ไมมีความสัมพันธเชิงอํานาจใดสามารถกํากับ
ควบคุมทุกชีวิตในสังคมได จึงเปนธรรมดาที่จะเกิดการตอตานหรือการตอสูของบุคคล เพื่อนําไปสู
ความสมั พันธเ ชิงอาํ นาจแบบใหมทใ่ี หผ ลลัพธต อ มนษุ ยในลักษณะท่แี ตกตางกันออกไป
การเลือกพุทธศาสนาเปนทพี่ ง่ึ ทางใจของผูหญิงทีเ่ ขามาปฏิธรรม ณ สาํ นักวปิ ส สนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ถือเปนวิธีการสรางตัวตนของผูหญิงกลุมหน่ึงท่ีพยายามแสวงหาพ้ืนท่ี
ทางใจและแนวทางการใชชีวิต เพ่ือเปนหลักยึดเหน่ียวใหตนเองดําเนินไปสูการหลุดพนจากปญหา
ความไมมน่ั คงทางจิตใจ ซง่ึ เกิดจากวาทกรรมตา งๆ ในสงั คม ดว ยวธิ ีการปฏบิ ัติธรรมตามแนวทางของ
สํานกั ท่ชี วยใหต ัวปจเจกบุคคลไดทบทวนตนเอง ทําความเขาใจตนเอง และรูจักตนเองวาจะใชชีวิต
ตอไปอยา งไร ผา นวาทกรรมความเช่อื กฎเกณฑ และขอปฏิบตั ทิ างพทุ ธศาสนา ซง่ึ เปนเคร่ืองมือที่ถูก
24
สรางขนึ้ ในการใชค วบคุมตัวตนใหเขา สกู ระบวนการละท้งิ ตัวตนในทายท่ีสดุ เพราะหากไมมีกฎเกณฑ
หรือขอปฏิบัติท่ีถูกตองก็อาจทําใหบุคคลน้ันหลงอยูในกับดักที่ตัวเองสรางข้ึน หรือติดอยูกับหลัก
เหตุผล หลงในอัตตาตวั ตนมากเกนิ ไป จนไมส ามารถแกไ ขปญหาหรือตอ รองอาํ นาจของวาทกรรมหลกั
ไดอยางแทจริง ผลสุดทายก็อาจตกอยูในวาทกรรมที่ตนเองสรางขึ้นเพราะตีความและปฏิบัติอยาง
ไมถกู ตอง
กฎเกณฑและหลักวิธีในการปฏิบัติทางพุทธศาสนาเปนองคประกอบของกระบวนการสราง
ตัวตนท่ีนําไปสูการหลุดพนจากวาทกรรมในสังคมท่ีครอบงําอยู อยางไรก็ตาม การหลุดพนดวย
พุทธศาสนาไมจ าํ เปน วา จะตองดําเนนิ ไปในวถิ ีทางเดียว จะเห็นไดวาแมคนไทยจะนับถือศาสนาพุทธ
แตกม็ กี ารตีความศาสนาในลกั ษณะทแ่ี ตกตางกนั เชน ลทั ธิธรรมกาย ลัทธิเซน หรือแมแตการปฏิบัติ
ธรรมก็มีหลากหลายแนวทางในการปฏิบัติ ที่เปนเชนน้ีก็เพราะมนุษยมีความรูสึกนึกคิด
มีความสามารถในการใหค วามหมายท่ไี มเ หมือนกนั ท้ังน้ีขึ้นอยูกับความตองการของปจเจกบุคคลวา
จะเลอื กทพี่ ่ึงทางใจใหกบั ตนเองดว ยวิธกี ารหรือแนวทางแบบใด เพือ่ ใชในการตอรองรบั มอื กับปญ หาท่ี
พบเจอในชีวติ ประจาํ วัน
ผศู กึ ษาพจิ ารณาวา การเลอื กใชแนวคิดเทคโนโลยีการสรางตัวตนมาทําความเขาใจประเด็น
ศกึ ษาเร่อื ง “การเลอื กพทุ ธศาสนาเปนทพ่ี ่งึ ทางใจของผูห ญงิ ไทยในสังคมสมัยใหม กรณีศึกษา สํานัก
วปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวหิ าร” มีขอ ดีตรงทีม่ ุงเนน ทาํ ความเขาใจตนเองของผูหญิง
บางคนท่ีเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจ รวมถึงทําความเขาใจบริบททางสังคมและเงื่อนไขของ
ความจริงในสังคม ฟูโกตทําใหตระหนักไดวาบริบททางสังคมหน่ึงอาจมีการตีความสิ่งตางๆ
ไดหลากหลายความหมาย ไมม สี ่ิงใดตายตัว เราจึงไมควรยึดมั่นถือม่ันกับความคิดใดความคิดหนึ่งวา
เปนความจริง แตควรทําความเขาใจวามีความจริงอีกหลายชุดท่ีเกิดจากความแตกตางของบุคคล
และการที่เราจะสามารถหลุดพนจากวาทกรรมท่ีครอบงําซอนทับตัวตนเราอยู จําเปนที่จะตองทํา
ความเขา ใจความจริงทางสังคมและความจริงในตวั ปจเจกเองดว ย ไมควรยึดติดอยูกับมุมมองใดเพียง
มุมมองเดียว
แ ม แ น ว คิ ด ข อ ง ฟู โ ก ต จ ะ ไ ด รั บ ก า ร วิ พ า ก ษ วิ จ า ร ณ ว า เ ท ค โ น โ ล ยี ก า ร ส ร า ง ตั ว ต น เ ป น
ความพยายามท่จี ะหลุดพน ออกจากวาทกรรมหลัก แตขณะเดียวกันอาจตกอยูในวาทกรรมอื่นจนไม
สามารถเปนอิสระไดอยางแทจริง เพราะวาทกรรมท่ีปจเจกบุคคลสรางตัวตนขึ้น ก็มีกฎเกณฑขอ
ปฏิบัตอิ ีกชุดหน่งึ ครอบงาํ ตวั ตนอยู อันจะกอใหเกิดความซบั ซอนตอ ตาํ แหนงแหงท่ีของบุคคลมากขึ้น
25
ไปอีก ซึง่ ในท่นี ้ีผูศึกษามองวาอยางนอยการสรางตัวตนก็เปนกระบวนการที่ทําใหมนุษยไดทําความ
เขาใจถงึ ความจรงิ ท่ีสังคมสรา งข้ึนกับความจริงที่อยูในภายในตัวบุคคล ไดพิจารณาความรูสึกนึกคิด
เพื่อใหรูวาตนเองเปนใคร สามารถอธิบายและตอรองกับอํานาจท่ีครอบงําอิสระในตัวบุคคลได
ซ่ึงฟูโกตเรียกกระบวนการน้ีอีกอยางหนึ่งวาเปนศิลปะในการดํารงชีวิตของตนเอง (Art of Self)
เน่ืองจากเปนวิถีทางท่ีมนุษยรูจักสรางความหมายของการดํารงชีวิตใหกับตนเอง (อานันท, 2552:
116-117)
การท่ีผูห ญงิ ดูแลตนเองโดยเลอื กพทุ ธศาสนาเปน ท่พี ึง่ ทางใจ บวชชี และปฏิบัติธรรม เช่ือมั่น
ในหลักคําสอนของพระพุทธเจาดังที่กลาวไววา เพศใดก็สามารถบรรลุธรรมและหลุดพนจากทุกข
ท้ังปวงได แมไมไดอยูในฐานะภิกษุ จึงเปนโอกาสท่ีทําใหผูหญิงมีพื้นท่ีในการสรางตัวตนขึ้นมาใหม
โดยเรยี นรจู ากแนวทางการปฏิบตั ิและการทบทวนจิตใจของตนเอง คนหาวาอะไรคือความจริงในการ
ใชช ีวิตสาํ หรับตนเอง และดํารงอยูภายใตว าทกรรมใหมอนั เปน กระบวนการที่นําไปสูการละทิ้งตัวตน
เพอ่ื ปลอยวางจากการยึดมน่ั ถือมนั่ ในส่งิ ตา งๆ ตลอดจนรูจักและเขาใจตนเองมากขึ้น สามารถรับมือ
กบั ความไมม น่ั คงทางจติ ใจไดม ากขึน้ แตอยา งไรก็ตามการปฏิธรรมของสํานักน้ีเปน เพียงหนทางหนึง่ ที่
ชว ยประคับประคองใหปจเจกมีที่พึ่งทางใจ การท่ีจะปจเจกจะบรรลุจุดมุงหมายแหงความสมบูรณ
พรอมในแบบของตนเองได ตองขึ้นอยูกับปจเจกดวยวาปฏิบัติไดถูกทางหรือไม หากลุมหลงอยูกับ
อัตตาตัวตนมากไป ก็อาจเปนเหตุใหตกอยูภายใตการครอบงําของวาทกรรมที่ตนเองสรางข้ึนมา
ฉะนน้ั จงึ ตอ งคํานกึ ถึงหลกั ของการปฏิบัติธรรมวาเปนการเจริญสติเพ่ือรูทันและเขาใจตนเองเปนสิ่ง
สําคัญ
งานวิจยั และวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวขอ ง
การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยในสังคมเมือง
กรณศี กึ ษา สาํ นกั วิปสสนากมั มัฏฐาน วดั สัมพนั ธวงศารามวรวหิ าร กรุงเทพมหานคร” ผูศึกษาเห็นวา
การทจี่ ะทาํ ความเขา ใจกลมุ ผหู ญงิ ท่ีเลือกที่พงึ่ ทางใจใหกับตนเองไดนั้น จําเปนท่ีจะตองยอนกลับไป
พิจารณาถงึ บริบททางประวัตศิ าสตรข องความเปนหญงิ ในสงั คมไทยดว ย เพ่ือใหรูถึงระบบความคิดที่
สัมพันธกับเรื่องเพศ ซึ่งสังคมไดปลูกฝงเอาไวใหคนยอมรับรวมกันตั้งแตอดีตจนกระทั่งถึงปจจุบัน
โดยผศู กึ ษาไดพ ยายามสืบคนเอกสารงานวจิ ัยและวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วขอ งและคาดวามปี ระโยชนต อ การ
นํามาเปน ขอ มลู พ้ืนฐาน จงึ นาํ เสนอเปน ประเภทวรรณกรรมเปน 2 สวน สวนแรก คือ วรรณกรรมท่ี
26
เก่ยี วกับผูห ญงิ ในสังคมไทย และ สวนทสี่ อง คือ วรรณกรรมทเี่ กี่ยวกบั ผหู ญิงในแงม ุมทางพุทธศาสนา
ท้งั น้เี พอ่ื อธบิ ายใหเหน็ ภาพชัดของประเด็นทท่ี ําการศกึ ษาดังตอไปนี้
วรรณกรรมท่ีเกย่ี วกับผูหญิงในสงั คมไทย
ศึกษามงุ เนน ไปที่ประเด็นเกี่ยวกับความเปนหญิงในสังคมไทย สถานะและบทบาททางเพศ
ของผูห ญงิ ในสงั คมไทย รวมไปถงึ เพศวถิ ขี องผหู ญงิ ในสงั คมสมัยใหม
ความเปน หญงิ ในสังคมไทย
ธรรมชาติของผูหญิงและผูชายมีความแตกตางกัน อริสโตเติล (อางถึงใน วารุณี, 2545)
เสนอถงึ ความแตกตา งของผหู ญิงและผูชายเอาไวว า ผูหญิงมีความนมุ นวลและมีความละเอียดซับซอน
กวาผูชายในการจัดการเรื่องตางๆ เชนเดียวกับเพลโตท่ีมองวาผูหญิงมีหนาท่ีอยูในครัวเรือน
ดวยคณุ สมบัติที่สัมพันธใกลชดิ กับธรรมชาติ ท้ังปจจัยทางชีวภาพและปจจัยทางสภาพแวดลอมของ
สงั คมสวนใหญ ทําใหเ หมาะแกการดูแลบา นและเล้ียงดลู กู จากแนวคดิ ดงั กลาวสะทอ นใหเ ห็นถงึ ความ
เชื่อแบบตะวันตก ซ่ึงพิจารณาวาผูหญิงเปนเพศที่สอง มีความสมบูรณในความเปนมนุษยนอยกวา
เพศชาย เนื่องจากผูชายมีความสามารถในการมีเหตุมีผล อันเปนอุดมคติของมนุษย ตลอดจนมี
ลกั ษณะทางกายภาพทีพ่ รอมตอ การผลิตและใชชีวิตสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม คานิยมทาง
เพศของสงั คมสว นใหญจ งึ กาํ หนดใหผชู ายมีสถานะเปน ผูปกครองและมีอํานาจเหนอื กวาผูหญิง
ตามท่ีไดกลาวไปแลวในสวนเนื้อหาเกี่ยวกับวาทกรรมความรูเร่ืองเพศในสังคมไทยวา
อุดมการณชายเปนใหญมีอิทธิพลตอระบบคิดทางสังคมของคนไทยและไดรับการสืบทอดมาเปน
เวลานาน ในลกั ษณะการปกครองแบบราชาธิปไตย รวมถึงอิทธิพลของคติความเชื่อทางพุทธศาสนา
อันเปนสถาบนั ทางสังคมท่หี ลอหลอมคานยิ มทางเพศใหยกยองผูช ายและกีดกนั ผหู ญงิ ดว ยเหตนุ ที้ าํ ให
โครงสรางความคิดเร่อื งเพศของคนไทย โดยเฉพาะสงั คมชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง มักใหคํานิยามทาง
เพศภาวะวาผูชายเปนผูที่เหมาะสมแกอํานาจในการปกครอง เนื่องจากผูชายมีโอกาสและ
ความสามารถในการเรียนรู รวมถงึ เขารว มกจิ กรรมทางสงั คมไดม ากกวา
ขณะเดียวกนั การใหคาํ นิยามทางเพศภาวะของผูหญิงในสังคมไทย ก็ถูกเชื่อมโยงกับอัตลักษณ
และบทบาททางเพศทร่ี ฐั กําหนด เพือ่ จุดประสงคใ นการควบคุมคนในสังคมใหเปนไปตามอุดมการณ
อยางมีเสถียรภาพ จากหนังสือ “ลูกสาวเล้ียงกันยังไงดี” ของ Gisela Preuschoff แปลโดย
อภิญญา พันธุสุวรรณ (2548) แสดงใหเห็นถึงลักษณะการสอนเด็กผูหญิงโดยทั่วไปของมนุษยท่ี
27
หลอหลอมใหเปนไปตามคานิยมท่ีสังคมกําหนด โดยมักเปรียบลูกสาววาเปนภาพสะทอนของแม
เน่ืองจากสวนใหญแมเปนผูที่ถายทอดทัศนคติ ประสบการณ และความเปนหญิงใหแกลูกไดอยาง
ใกลชิดท่ีสุด การหลอหลอมบุคลิกภาพความเปนหญิงดวยกระบวนการปลูกฝงต้ังแตเยาววัย
เปน สิ่งสาํ คัญท่ีคนไทยใชในการจัดระเบียบทางสงั คม เพราะกระบวนการดังกลาวเร่ิมตนจากสถาบัน
ครอบครัวไปจนถึงสถาบันการศึกษา อนั เปนสว นหนึง่ ที่สง ผลใหผ ูห ญิงไทยสวนใหญไดรับความกดดัน
และความคาดหวงั จากพอ แม กระท่ังขาดอิสระในการใชชีวิตในแบบของตนเอง
เมือ่ พิจารณาเหน็ แลววา โครงสรางความคดิ เรือ่ งเพศที่สงั คมไทยกําหนดนิยามความเปนหญิง
มีขอ จาํ กดั อยูใ นกรอบอันคับแคบ ท้ังดานวิถีชีวิต อาชีพ และการวางตัวในสังคม จึงถือวาการศึกษา
ขอ มลู จากหนังสือเลม นเี้ ปนจดุ เรมิ่ ตนท่ดี ี เนอื่ งจากทําใหไ ดมองยอนกลับไปถึงรากฐานของโครงสราง
ทางสงั คมทกี่ ําหนดสถานะและบทบาททางเพศขนึ้ มา จนทาํ ใหเขาใจสภาพความเปนอยูของผูหญิงใน
สงั คมไทยมากขึน้ อยา งไรก็ตามมีงานศึกษาหลายช้ินท่ีชี้ใหเห็นวา ผูหญิงไทยบางสังคมโดยเฉพาะใน
สงั คมเกษตรกรรมสมยั กอนเคยไดรับการยกยองใหมีสถานะเหนือกวาผูชายในฐานะผูใหกําเนิดและ
สัญลกั ษณของความอดุ มสมบรู ณผ า นความเชอ่ื ทองถน่ิ ตางๆ แตห ลังจากทวี่ ฒั นธรรมศาสนาเริ่มเขา มา
มีอิทธพิ ล คติความเช่อื เรื่องการยกยองผูชายและการรับเอารปู แบบการจดั ระเบยี บทางสังคมในระบบ
ปต าธิปไตยกเ็ รมิ่ มบี ทบาทกระจายไปทวั่ ทกุ สังคม หากแตก ลุม ผหู ญงิ ในสังคมชนช้นั สงู และชนชน้ั กลาง
เปนกลมุ ที่สะทอนใหเ หน็ ถึงสถานะและบทบาททางเพศทเ่ี ปน รองไดอยา งชัดเจนทสี่ ดุ
สถานะและบทบาททางเพศของผูหญงิ ในสังคมไทย
เม่อื พจิ ารณาทาํ ความเขาใจเก่ียวกับความเปน หญิงในสงั คมไทยเบ้ืองตน แลว จะพบวา สถานะ
และบทบาททางเพศของผหู ญงิ ไทย อาจแบงออกไดเ ปน 3 บทบาท คือ บทบาทลูกสาว บทบาทเมีย
และบทบาทแม บทความวิจัยในวารสารเพศวิถีเร่ือง “ขอวิพากษมโนทัศนเรื่องเมียในสังคมไทย
พ.ศ. 2394-2478” ของ อมัยษา ไทรงาม-สินสกุล (2554) ไดนําเสนอระบบคิดของการให
ความหมายแกความเปนหญิงในสังคมไทย โดยยกตัวอยางผานสถานะเมีย เพื่อทําความเขาใจ
โครงสรางของการจดั การความสัมพันธท่สี งั คมกําหนด ซงึ่ ขอมูลทางประวตั ิศาสตรท ี่ผูเ ขียนศึกษาจาก
กฎหมายไทย ต้ังแตยุคที่วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเขามามีอิทธิพล จนถึงยุคท่ีมีการสรางกฎหมาย
ครอบครัวขึ้นมาใหมในพุทธศักราช 2478 ไดแสดงใหเห็นภาพของกระบวนการคิดและการกําหนด
บทบาทของผูหญงิ ไทยผานความเช่อื และคานิยมในลกั ษณะตางๆ
28
บทความวจิ ัยเสนอวา มโนทศั นเรอื่ งผูหญิงในสังคมไทย ปรากฏแตกตา งกันโดยแบงออกเปน
3 ชวงสมยั ชวงแรกคือ ยุคกอ นปฏริ ูปประเทศสมัยรัชกาลท่ี 4 เปนชวงที่ระบบคิดของความเปนหญิง
ท่ดี ถี ูกปลูกฝงใหเ รียนรูเพียงการเปน แมศรีเรอื น ทัง้ ในกลมุ ชนช้นั ปกครองและกลุมสามัญชนธรรมดา
เน่อื งจากสังคมไทยมกี ลไกทางสงั คมหลายอยา งทก่ี ําหนดใหความเปน ชายอยเู หนือกวาความเปนหญิง
ไมวาจะเปนปจจัยจากการแบงชนชั้นทางสังคมและปจจัยจากความเช่ือทางพุทธศาสนาท่ีสงผลให
ผูชายมีสถานะสูงกวา ยกตวั อยา งท่สี ังเกตเหน็ ไดชดั คือการบวชเรียน ซึ่งเปน ชองทางการเขา ถึงความรู
ที่เปดโอกาสใหผ ูช ายเปน หลัก สวนการเรียนรูชีวิตของผูหญิงน้ันไมแยกขาดจากงานในครัวหรืองาน
ดแู ลปรนนิบัติสามีและครอบครัว แมหญิงที่มีฐานะสูงศักดิ์จะไมตองทํางานหาเล้ียงชีพเหมือนหญิง
สามัญชน แตบทบาทหนาท่ีสําคัญก็ยังคงปรากฏในลักษณะของการเปนเครื่องมือ เพ่ือสราง
ความสัมพนั ธระหวางครอบครัวดวยการแตงงาน รวมเครือฐาติกับชนช้ันเดียวกัน อันแสดงถึงการท่ี
ผหู ญงิ ในชวงสมัยน้ันตา งกม็ พี นั ธะเชน เดียวกนั คือการจงรักภักดีตอผูชายในครอบครัว ดังท่ีเห็นไดวา
ผูช ายมเี มยี หลายคนเปน เร่อื งธรรมดา แตห ากผหู ญิงคดิ มชี ูตองถกู ลงโทษอยางหนกั
ชว งทส่ี องคอื ยคุ ปฏิรูปประเทศและสถาปนารัฐใหเปนสังคมสมัยใหม หรือประมาณสมัย
รชั กาลท่ี 5-7 ความเปนหญงิ ในยุคนี้มกี ารผสมผสานลกั ษณะแนวคิดด้ังเดมิ ของสงั คมไทยกับความเปน
สมัยใหมแบบตะวนั ตกเขาดว ยกนั กลา วคือ ผูหญิงท่ีดตี อ งเปนคคู ดิ ของผูชายหรือผูเปนสามี มีความรู
มีการศึกษา เพื่อเสริมเกียรติและสถานะทางสังคมใหกับผูชาย ตลอดจนชวยแบงเบาภาระของ
ครอบครัว ทุมเทเสียสละเพ่ือครอบครัวได อันเปนแนวคิดแบบกาวหนาท่ีมองวาผูหญิงก็มีสิทธิ
มีความสามารถในการเรยี นรู และมบี ทบาทหนาท่ีในสังคมไมตางจากผูชาย แตก็ยังคงอยูภายใตการ
ปกครองของผูช ายเชนเดิม
สวนชว งที่สาม คอื ยุคปจจบุ นั เรม่ิ ตนต้งั แตท ี่สังคมมกี ารประกาศใชกฎหมายครอบครัวใหม
ในพุทธศักราช 2478 อันไดแก กฎหมายเกี่ยวกับการมีครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเปน
อดุ มการณข องรัฐทต่ี องการแสดงความเปนอารยะใหสังคมไทยเชนเดียวกับสังคมตะวันตก มโนทัศน
เรอ่ื งผูห ญงิ จึงเปลยี่ นแปลงจากลกั ษณะเดิมไปในยคุ น้ี กลา วคือ ความเปน หญงิ ถูกสรางขน้ึ ใหม เพื่อใช
เปนเคร่ืองมือในการแสดงออกความเปนรัฐชาติ จะเห็นไดวาความเปนสมัยใหมที่เขามา สงผลให
โครงสรา งทางความคิดเกีย่ วกบั ความเปน หญงิ ในสงั คมไทยมีการเปลยี่ นแปลง ความหมายจากบรรทัด
ฐานหรือจารตี ด้งั เดมิ ไปสูมมุ มองเร่ืองเพศวิถีแบบใหมทีผ่ ูหญิงมสี ทิ ธิในการทํากิจกรรมทางสังคมและ
แสดงออกในดานตางๆ ไดมากขนึ้ (อมรา พงศาพิชญ, 2548)
29
มโนทศั นเร่อื งความเปน หญงิ เหลานีท้ าํ ใหพบแนวทางการศกึ ษาเพิม่ เตมิ วา การทําความเขาใจ
เก่ียวกบั ผูหญงิ ในแตละสังคมวัฒนธรรม ตอ งคํานึงถงึ บรบิ ทและเงอื่ นไขทางสังคมเปนสําคัญ เน่ืองจาก
คานิยมท่ีผูหญิงมีสถานะและบทบาททางเพศท่ีเปนรอง ไมไดมีท่ีมาจากปจจัยทางดานสรีระหรือ
พฤตกิ รรมเพยี งอยางเดยี ว แตปจจยั ทางสภาพแวดลอมอ่ืนก็มีสวนสําคัญในการหลอหลอมความเปน
หญงิ ทีด่ ใี นสังคมไทยขน้ึ มาดว ยเชนกนั
เพศวถิ ขี องผหู ญิงในสงั คมสมยั ใหม
การพัฒนาสูความเปนสมัยใหมของสังคมเมือง กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงตอผูคนใน
หลากหลายดาน อาทิเชน ดานเศรษฐกิจที่คนในสังคมดํารงอยูไดดวยระบบทุนนิยม อันเปนผลให
นิยามความเปนหญิงทม่ี บี ทบาทหนา ทเี่ ฉพาะในครัวเรอื นนน้ั ถกู ลดคณุ คาลง เพราะผูหญิงหลายคนใช
ความสามารถในครวั เรือนเพื่อแสวงหารายไดเสริม อันเปนเศรษฐกิจแบบยังชีพ นอกจากน้ีการเขาสู
ตลาดแรงงานของผชู าย ก็ทําใหผ ชู ายเร่ิมมีอํานาจทางเศรษฐกิจในครวั เรอื นมากขึน้ จนอยเู หนือผูหญิง
สว นการเปลี่ยนแปลงในดา นการศึกษา จะพบวาระบบการศึกษาถูกใชเปนเครื่องมือในการถายทอดคติ
ความเช่ือของผูมีอํานาจทางสังคมอยางชนช้ันสูงและชนช้ันกลาง ใหผูคนชนชั้นลางเรียนรูเก่ียวกับ
าทกรรมความเปนหญิงที่ลดคุณคาของความสามารถอื่นๆ ท่ีผูหญิงมีลงไปใหเหลือแตเพียงการเปน
แมบา น เรียกไดว าการเปล่ียนแปลงดังกลาวไดสรางความเปนหญิงขึ้นมาใหม เพื่อใชในการกําหนด
โครงสรางความคิดของคนในสังคมไทยใหยอมรับในความเปนหญิงท่ีดีรวมกัน (พนิดา หันสวาสด์ิ,
2544)
นอกจากนี้อิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงสูความเปนสังคมสมัยใหม ยังสงผลใหคนไทย
สวนใหญตกเปน ทาสของวัตถุนยิ ม ผคู นออ นไหวตอ สิ่งตา งๆ งา ยขึ้น หลายคนเปนทกุ ขเ พราะตดิ อยกู ับ
กรอบคา นยิ มทสี่ ังคมสราง ผูหญิงซึ่งเปน เพศที่อยภู ายใตคานิยมทางเพศที่ผูชายกําหนดใหตองอยูกับ
การวางตนเปนหญงิ ในอุดมคติ ตอ งใสใ จเรอ่ื งความสวยความงาม ยอ มไดรบั ผลกระทบจากการปรับตวั
ตอกระแสการเปล่ียนแปลงทางสังคมเชนนี้ แมปจจุบันผูหญิงไทยจะสามารถแสดงออกถึงความ
ตองการของตนเองไดมากขึ้นแลว แตกย็ ังถกู ครอบงาํ ดวยคา นิยมทางเพศแบบเดมิ เนอื่ งจากวาทกรรม
ท่ีไดรับการปลูกฝงมาตั้งแตเด็กนั้นสงผลระยะยาวไปถึงเม่ือโตขึ้น จะเห็นไดวาแมในปจจุบันผูหญิง
บางคนกย็ งั คงมคี วามคิด ความเชือ่ และความพยายามที่จะเปน ผูหญงิ ในแบบทีส่ งั คมยอมรับ
30
บทความวิจัยในวารสารเพศวิถีศึกษาเรื่อง “เพศภาวะและเพศวิถีขามวัฒนธรรม
กรณีศึกษาการยายถ่ินและการแตงงานขามวัฒนธรรมของผูหญิงไทยกับสามีชาวตะวันตก
ในสงั คมปจจบุ นั ” ของ ปณิธี สุขสมบูรณ (2554) ทําใหเห็นวาผลกระทบของการดํารงอยูภายใต
โครงสรา งทางสงั คมท่ีมีคา นิยมทางเพศและแนวคิดเก่ียวกบั ความเปน หญิงท่ีดีซึ่งกําหนดโดยรัฐน้ี ทาํ ให
ผหู ญิงหลายคนเกดิ สภาวะความกดดนั และปญ หาสว นตัวจากกรอบท่ีสังคมสรางข้ึน จึงพยายามที่จะ
มองหาทีพ่ ึง่ หรือแนวทาการดําเนนิ ชวี ิตทช่ี ว ยใหสามารถอยูรอด หลุดพน จากปญ หาความทกุ ขท ี่ตนเอง
ไดรับ ดงั กรณีศึกษาในบทความวิจัยที่ผูหญิงเลือกแตงงานกับสามีชาวดัตช ดวยปจจัยจากแรงจูงใจ
ทางดานเศรษฐกิจและมุมมองที่ชาวตางชาติมีตอผูหญิงไทยในลักษณะท่ีแตกตางจากคานิยมใน
สงั คมไทย อันเปนเหตใุ หผ ูหญงิ บางกลมุ เลอื กแตงงานขา มวฒั นธรรม โดยการทช่ี าวตา งชาตมิ ีภาพรวม
เชงิ เพศภาวะเกี่ยวกบั ผหู ญิงเอเชียท่ีแตกตางจากสังคมของตนเอง เนนย้ําใหเห็นวาแนวคิดเร่ืองเพศ
ภาวะและเพศวิถใี นแตละสงั คมไมเหมอื นกนั ทงั้ น้ีขึน้ อยูกบั จดุ ประสงคท่ีรัฐตองการจัดระเบียบคนใน
สงั คมใหเปนไปตามอดุ มการณ
ปจ จบุ ันผูห ญิงในสังคมสมัยใหมม ที างเลอื กมากขึน้ สังเกตไดจากความตอ งการตอรองอํานาจ
ในตนของผหู ญิงหลายคนทพ่ี ยายามหาตําแหนงแหงท่ี สรา งความเปน ตัวตน และวิธีจัดการกับปญหา
ตา งๆ ดวยตนเอง แตอ ยา งไรกต็ าม ผหู ญงิ สวนหนึ่งก็ยังคงยอมรบั ยดึ ถือกับคานยิ มทางเพศแบบเดมิ ใน
สงั คมไทยท่ผี ชู ายมเี พศสภาวะเหนอื กวา เนอ่ื งจากเหน็ วาสถานะและบทบาททางเพศที่มีอยู ไมไดทํา
ใหชวี ติ สวนตัวเกดิ ปญหาหรอื ขอบกพรอง ทั้งยงั ไดป ระโยชนจากการแบง หนาท่ตี ามเพศสภาวะอีกดวย
ท้ังประโยชนทางดานเศรษฐกิจในครอบครัวจากการแบงหนาที่ท่ีผูชายเปนฝายทํางานหาเงิน
สวนผูหญิงเปน คนทาํ งานในบา นและอยูภายใตอาํ นาจของชายทีป่ กครอง หรือแมกระท่ังการที่ผูหญิง
ไดรับการปกปองดูแลจากงานหนักหรือสถานการณเสี่ยงอันตราย เพราะถูกมองวาเปนเพศท่ี
ออนแอกวา เปน ตน
ทกุ สงั คมลว นมคี วามแตกตางหลากหลายเฉพาะตวั ของปจ เจกบุคคล ดงั น้ันการท่ีจะทําความ
เขาใจกลุมผูหญิงที่เขาไปศึกษาในพื้นที่ภาคสนาม จึงตองพิจารณาถึงประสบการณและทัศนคติท่ี
แตกตางกันของบุคคลดวย เพื่อดูวาเบื้องลึกเบื้องหลังการตัดสินใจของแตละคนนั้นเปนอยางไร
มีแรงจงู ใจและระบบความคดิ เชน ไรท่ีทาํ ใหย ึดมนั่ ศรทั ธาในเสน ทางแหง การปฏิบัติธรรมตามแนวทาง
พุทธศาสนา
31
วรรณกรรมท่ีเกีย่ วกับผหู ญิงในแงมมุ ทางพุทธศาสนา
ศึกษามงุ เนน ไปที่เรื่องราวเกี่ยวกับสถานะของผูหญิงไทยในพื้นที่ทางพุทธศาสนา กลุมสตรี
เพศในพุทธศาสนา และบทบาทของพทุ ธศาสนาทมี่ ตี อผหู ญิงในชุมชนเมอื งสมัยใหม
สถานะของผหู ญิงไทยในพื้นทท่ี างพทุ ธศาสนา
ทัศนะคําสอนของพระพุทธองคกลาวไววา มนุษยทุกคนมีธรรมชาติแหงความเปนพุทธะ
อนั เปน ธรรมชาตแิ หงความสะอาด สวาง สงบ ไมวาหญิงหรือชายตางก็มีศักยภาพและโอกาสในการ
บรรลเุ ขา ถงึ ธรรม ดังนั้นหากพิจารณาในฐานะหลักคําสอน อุดมคติทางพุทธศาสนาอยางการบรรลุ
ธรรมมไิ ดจ าํ กดั เพศ แตกลบั มองวา ผหู ญงิ มีโอกาสเทาเทียมกับผูชาย เห็นไดจากคัมภีรพุทธศาสนาท่ี
ปรากฏความสําเร็จทางธรรมของผูหญิงมากมาย แตเม่ือพิจารณาพุทธศาสนาในฐานะสถาบันทาง
สังคม กลบั พบวามกี ารกีดกนั สทิ ธทิ างศาสนาของผหู ญิงมาโดยตลอด โดยเฉพาะอยา งย่งิ ประเทศท่ีนบั
ถอื พุทธศาสนาฝา ยเถรวาท ซง่ึ นอกจากจะรดิ รอนสทิ ธใิ นการอุปสมบทของผูหญิง การสังคายนาคร้ัง
แรกภายหลงั การปรินพิ พานของพระพุทธองคก็ไมพบผูหญิงในท่ีประชุม เพราะความเชื่อที่วาผูหญิง
เปนผทู ีน่ าํ มาซ่ึงความเส่ือมสูพ ุทธศาสนา ดวยเหตุน้ีจึงสะทอนใหเห็นวาสถาบันพุทธศาสนาในสังคม
ยังคงอคตติ อผหู ญงิ แมเ วลาตอมาคานยิ มเหลา นัน้ จะไดรบั การพสิ ูจนแลว วาผดิ เนอ่ื งจากไมม ีหลกั ฐาน
ทางประวัตศิ าสตรใ ดที่บงช้วี า ผูหญิงทําใหพทุ ธศาสนาตกตา่ํ แตค ตคิ วามเช่อื เรอ่ื งชายเปนใหญก ย็ ังคงมี
อิทธพิ ลตอ ระบบความคิดของผูคน สวนหนึ่งนั้นเปนเพราะสถาบันศาสนาไดใชคติความเชื่อดังกลาว
ควบคุมจัดระเบียบคนในสังคมมานานจนกลายเปนเร่ืองปกติ (ทวีวัฒน ปุณฑริกวิวัฒน, 2560:
ออนไลน)
ทุกเรื่องราวในสังคม ลวนมีมิติทางเพศเปนฐานหรือซอนเรนอยูภายในทั้งสิ้น เชนเดียวกับ
สังคมไทยที่มีพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ สืบเนื่องจากศูนยกลางของคนไทยคือสถาบัน
พระมหากษัตริย ซึง่ ทาํ หนา ทเี่ ปนองคศ าสนูปถมั ภกของศาสนามาตง้ั แตอดตี เมื่อรวมเขากับระบบการ
ปกครองแบบปตาธิปไตย และอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกแบบวิคตอเรียน ทําใหผูหญิงใน
สังคมไทยไมมีสถานะศักดิ์สิทธิ์ชัดเจนเทาผูชาย แมในสมัยกอนท่ีศาสนาจะเขามามีอิทธิพลใน
สังคมไทย สถานะของผูห ญงิ จะไมไดตกอยใู นภาวะทเี่ ปน รองจากผชู ายมากนัก เพราะผูหญิงในสังคม
สมัยน้ันมีวิถีชีวิตแบบทองถิ่น ทุกคนชวยกันทํามาหากิน และผูหญิงคอนขางมีบทบาทสําคัญใน
ครอบครัว รวมถึงบทบาทในการเปนผูนําประกอบพิธีกรรมตามความเช่ือทองถ่ิน หนังสือเรื่อง
32
“วาดวยเพศ ความคิด ตัวตน และอคติทางเพศ ผูหญิง เกย เพศศึกษา และกามารมณ” ของ
นิธิ เอียวศรีวงศ (2545) ไดเนนย้ําใหเห็นวา แมศาสนาเร่ิมเขามามีอิทธิพลตอชนชั้นนําสังคมไทย
กลุมผหู ญงิ ในสงั คมทอ งถิน่ กย็ งั คงมีวถิ ชี วี ิตทเี่ ปนอสิ ระ กลาคดิ กลา ทาํ มากกวา หญิงชนช้นั สูง ตลอดจน
มีสํานึกในความเปนผูหญิงอยางชัดเจน ขณะที่กลุมผูหญิงชนชั้นสูงและชนชั้นกลางที่อยูภายใต
โครงสรางสถาบันแหงอาํ นาจอยางสถาบันพระมหากษัตริยแ ละสถาบันศาสนาสวนใหญ กลับยินยอม
ในสถานะที่เปนรองของตนเองมากกวา รวมถึงไมตองการมีอัตลักษณของตนเองแยกออกจากผูชาย
จึงอาจพิจารณาไดว า การอยูในพ้ืนท่ีท่ีหางไกลจากความเจริญ มีผลทําใหเกิดสํานึกความเปนผูหญิง
มากกวา แมตอมาความเปนสมัยใหมจะเร่ิมมีบทบาทในสังคมไทย ดวยอิทธิพลของประเทศ
สหรัฐอเมรกิ าทีส่ รางอุดมการณเ กี่ยวกับการเรียกรองสิทธิเสรีภาพของผูหญิงจนเปนที่นิยมไปทั่วทุก
สังคมโลก แตสังคมไทยกลับมีขอจํากัดหลายประการท่ีเกิดจากอคติทางเพศเหลาน้ี ผูหญิงจึงไม
สามารถมบี ทบาทในพ้นื ท่ที างสังคมและพุทธศาสนาไดเ ทา เทียมกับผชู าย
นอกจากนี้หนังสือเร่ือง “เพศและวัฒนธรรม” ของ ปรานี วงษเทศ (2559) มีสวนทําให
ผศู ึกษาเหน็ ภาพของการทสี่ ถาบันศาสนาเปนปจ จยั ท่ีกําหนดบทบาทและสถานะทางเพศใหกับคนใน
สังคมไดชัดขน้ึ โดยจดุ ประสงคท ่ีสงั คมไทยรับเอาพุทธศาสนาเขามา คือ การชวยสนับสนุนคํ้าจุนคน
2 กลุม ไดแ ก กลมุ ชนช้ันผูน ํากับกลุมชนชั้นผูถูกปกครอง เพ่ือใหสามารถดํารงอยูในสังคมไดอยางมี
ระบบระเบียบและมีเสถียรภาพ ผานการปลูกฝงคานิยม คติความเช่ือ พิธีกรรม และประเพณี
จนกระทง่ั คนไทยซึมซบั วฒั นธรรมอนั เกดิ ข้นึ จากพุทธศาสนา อยา งการยกยอ งเพศชายและกดี กันสทิ ธิ
บทบาททางศาสนาของผหู ญิงใหจ าํ กัดอยแู คทางโลก ตามความเช่ือที่วาผูหญิงเกิดมาจากกรรมชั่วใน
อดตี ชาติ หรือการสรางบญุ มาไมพ อทําใหต อ งเกิดมาเปนผหู ญิง ตา งจากผูชายที่มีบุญ เพราะสามารถ
บวชเปนภกิ ษเุ พือ่ ตอบแทนบุญคุณพอแม และมีโอกาสตัดกิเลสเพ่ือเขาสูนิพพานไดมากกวา ขณะท่ี
ผหู ญงิ สามารถตอบแทนบญุ คุณเพยี งการเลี้ยงดูพอแม สามี ลูก และชวยเหลืองานในครอบครัวเปน
หลัก ไมเวนแมแตผูหญิงในสังคมชนชั้นสูง ถึงจะไมตองด้ินรนทํางานหนักเชนเดียวกับชนช้ันผูถูก
ปกครอง แตกลับมีบทบาทหนาที่เฉพาะในการปรนนิบัติดูแลคนในครอบครัวเทานั้น สวนบทบาท
ทางดานศาสนา โดยท่ัวไปคือการทํางานสาธารณะ ชวยเหลือคณะสงฆ และกิจทางศาสนาอื่นๆ
อนั เปน พ้นื ทีท่ ถ่ี ูกสรา งขึน้ เพอ่ื ทดแทนสิทธิท่ถี กู กีดกนั จากระบบชายเปนใหญของความเชือ่ ทางศาสนา
ดังนั้นพื้นที่ในพุทธศาสนาของผูหญิงคือการทําภารกิจท่ีเก่ียวของกับกิจกรรมทางโลก
เพอ่ื เกอื้ หนนุ กันและกัน เชน งานทํานบุ าํ รงุ คณะสงฆ จดั หาภัตตาหารและปจจัยตางๆ นําไปถวายแด
พระสงฆ การใหกําเนดิ บตุ รชาย เลยี้ งดูจนเติบใหญจนสามารถบวชเรียนไปชวยเหลือสังคม เพื่ออุทิศ
33
ตนใหกบั ภารกิจทางศาสนาและการศึกษาไดอยางเต็มท่ี ในหนังสือ “แมญิงตองตํ่าหูก: พัฒนาการ
ของกร ะบ วนกา รทอผา และ การ เ ปล่ี ย นแป ลงบ ทบ า ทข องผู หญิงใ นหมู บา น อีส า นป จจุบั น ”
ของ สุริยา สมุทคุปติ์, พัฒนา กิติอาษา และนันทิยา พุทธะ (2537) นําเสนอถึงโลกทัศนและ
ความเช่ือทางศาสนาเกี่ยวกับผูหญิงในสังคมไทยทองถิ่นวา มีการยึดถือความเช่ือด้ังเดิมของระบบ
ศาสนาแบบผสมผสานระหวา งศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ศาสนาพราหมณ และศาสนาผหี รือวิญญาณ
ในทองถ่ิน สงผลใหวิถีชีวิตคนไทยในสังคมทองถิ่นเต็มไปดวยรองรอยของพิธีกรรมและประเพณี
เก่ียวกบั คติความเชอ่ื แมวาพ้ืนท่ีของผูหญิงในพุทธศาสนาจะถูกจํากัดในกิจกรรมบางอยาง แตพุทธ
ศาสนาก็สรางพ้ืนที่ใหผูหญิงมีสวนรวมในกิจกรรมทางพุทธศาสนา โดยเปนไปในลักษณะสนับสนุน
เกือ้ กลู ผูชาย
กลุมสตรีเพศในพทุ ธศาสนา
พระพทุ ธองคม ไิ ดปด โอกาสผูหญงิ ในการศึกษาปฏิบัติธรรม จึงถือวาพุทธศาสนาเปนศาสนา
แรกท่ีมองเหน็ ศักยภาพในความเปน มนุษยของผูหญงิ เราจงึ พบเห็นกลมุ สตรีเพศในพุทธศาสนาเกดิ ขนึ้
มากมาย ทั้งในฐานะภิกษุณี สามเณรี แมชี และอุบาสิกาฆราวาสทั่วไป หากแตในสังคมไทยภิกษุณี
และสามเณรยี งั ไมถ กู ยอมรบั จากคณะสงฆและกฎหมายในฐานะนักบวช แมวากลุมผูหญิงเหลานี้จะ
พยายามตอสแู ละสรางพน้ื ที่แหงความศรัทธา โดยการเขารวมกิจกรรมทางศาสนาและแสดงออกถึง
การมอี ยู เพือ่ ใหค นในสังคมไทยยอมรับสถานะของนักบวชหญิง และมองเห็นศกั ยภาพในการทําหนา ที่
สบื ทอดพทุ ธศาสนาของตนเองแลวก็ตาม มเี พียงกลุมแมชีและกลุมอุบาสิกาท่ัวไปเทาน้ันที่มีบทบาท
ทางศาสนาในสงั คมไทย จากบทความวิจัยเร่ือง “ขบวนการพุทธใหม : ผูหญิงกับพื้นท่ีทางศาสนา
ของประเทศไทย” ของ พระระพิน พุทธิสาโร (2560) ไดอธิบายถึงลักษณะของแมชีในสังคมไทย
วาเปน กลุม สตรเี พศท่เี ขา มาบวช ถอื ศีล 8 โกนผม โกนคิ้ว หมผาขาวสมาทานถือวัตรปฏิบัติตามหลัก
พระพุทธศาสนา ซึ่งจากจดหมายเหตุของนิโคลาส แซแวส แสดงใหเ ห็นถึงสถานภาพและบทบาทของ
แมช ีในสมยั อยธุ ยาท่ีตอ งมีอายุตง้ั แต 50 ปข้ึนไป เพื่อปองกันการถูกครหานินทา เน่ืองจากสมัยกอน
เคยมีนางชที ําเรอ่ื งออ้ื ฉาวกับพระภกิ ษวุ ัด สง ผลใหกลมุ ผหู ญิงที่เขามาบวชนั้นถูกมองวาเปนอันตราย
และเสีย่ งตอการนํามาซ่ึงความเสอ่ื มเสยี แกพทุ ธศาสนา อกี ท้งั ยงั มบี นั ทึกเกยี่ วกบั แมชแี ละสถานะของ
แมชีท่ีเต็มไปดวยอคติทางเพศวา แมชีเปนหญิงมายที่ไรอนาคต จึงมานุงขาวหมขาว รับปฏิบัติพระ
ไมไ ดมีผลบุญตอพอแม เพยี งตอ งการหลีกเล่ยี งจากปญ หาทางโลกเทาน้ัน
34
งานวิจยั ของสุขสนั ต จันทะโชโต (อา งถงึ ใน พระระพิน พุทธิสาโร, 2560) แบงกลุมสตรีเพศ
ในพุทธศาสนาทีเ่ คยปรากฏในสงั คมไทยออกเปนหลายคณะ ไดแก
1) คณะนุงหมสีกรัก โกนผม โกนค้ิว สมาทานศีล 10 ซึ่งเปนศีลของสามเณร เรียกวา
ศีลจาริณี
2) คณะทีค่ รองจีวรสีน้ําตาลเขม โกนผม โกนค้ิว สมาทานศีล 10 เรียกวา แมกรัก แมเณร
หรอื สิกขมาตุ
3) คณะนุง หมเหลอื ง โกนผม โกนค้ิว สมาทานศลี 10 เรยี กวา สงั ฆณี
4) คณะนุงขาวหมขาว ไมโกนผม ไมโกนค้ิว สมาทานศีล 8 ถือบวชช่ัวคราว ประพฤติ
พรหมจรรย เรียกวา ชีพราหมณ
5) คณะนุงขาวหมขาว โกนผม โกนค้ิว สมาทานศีล 8 หรือศีล 10 ประพฤติพรหมจรรย
เรยี กวา แมช ี
ในสังคมไทยพบกลุมสตรีเพศในพุทธศาสนาหลงเหลืออยูเพียง 2 ประเภท ไดแก กลุมชี
พราหมณและกลุมแมชี ซ่ึงมักปรากฏใหพบเห็นในฐานะผูสมาทานอุโบสถศีล ผูศึกษาดานธรรมะ
ผูอบรมธรรมะ ทํางานปรนนิบัติรับใชสงฆ ชวยเหลือผูคน และดูแลองคกรทางศาสนาอยางวัดหรือ
สาํ นักทางเศรษฐกจิ ซึ่งแตเ ดิมทําหนา ทเ่ี พยี งทาํ นุบาํ รงุ ศาสนา ชว ยเหลือคณะสงฆตามเง่ือนไขของวัด
ทอี่ าศัยอยู หากทุกวนั น้ีบทบาทหนาท่ีของกลุมสตรีเพศดังกลาวขยายออกไปตามความรูความสามารถ
ของปจเจก มที ้ังรวมตวั กันเปนกลมุ เพื่อดําเนินกจิ กรรมและแยกกันดําเนนิ กิจกรรม อันสะทอนใหเห็น
ถึงพนื้ ทใี่ นพทุ ธศาสนาของกลมุ ผูหญิงที่แมไมไ ดมีสถานะและโอกาสทางสงั คมเทากับผชู าย แตก ย็ งั คงมี
บทบาทหนาท่ีอน่ื ท่ีเปนไปในลักษณะเกื้อหนนุ กันในโครงสรา งสังคม (อารี พลอยนชุ , 2537)
นอกจากนี้กลุมสตรีเพศในฐานะอุบาสิกาฆราวาสท่ัวไป ก็นับวามีบทบาทรวมทางศาสนา
ท่สี ําคญั ในสงั คมไทย เนื่องจากเปนกลุมที่ขับเคล่ือนภาพของสตรีเพศในการทํางานเพ่ือพุทธศาสนา
ไดเชนเดียวกับภาพลักษณของผูเปนนักบวช จากหนังสือ “ฆราวาสบรรลุธรรม เลม 2” ของ
อัจฉราวดี วงศสกล (2560) ผเู ปนวิปสสนาจารยสอนการปฏบิ ตั วิ ิปสสนากรรมฐานในสายธรรมเตโช
วปิ ส สนา อนั เปนเทคนิคเผากิเลสภายในจติ ของมนุษยท่ีเกดิ จากธาตุไฟในกาย โดยสมเดจ็ พฒุ าจารยโ ต
พรหมรังสี ไดเมตตาสื่อจิตสอนอาจารยจนรูแจงประจักษเห็นจริงในธรรม จึงนํามาชวยเหลือแกผูท่ี
สนใจเลือกพุทธศาสนาเปนหนทางดบั ทกุ ข
35
อจั ฉราวดี คอื บคุ คลทเ่ี ปน ภาพตัวอยางของฆราวาสเพศหญิงทีม่ ีสถานะเปนผูครองเรือนและ
ผทู ่ีมพี รอ มดวยความสําเร็จทางโลก แตกลับมุงมั่นปฏิบัติธรรมจนพิสูจนใหเห็นวา ฆราวาสทั่วไปไม
จําเปนตองบวชก็สามารถเขาถึงธรรมะอันประเสริฐของพระพุทธองคได โดยตลอดเวลาท่ีผานมา
อาจารยอัจฉราวดีไดทําหนาท่ีอุบาสิกาผูม่ันคงในพระรัตนตรัย พรอมทั้งเปนผูปฏิบัติและผูเผยแผ
พระพทุ ธศาสนาอยา งแขง็ ขัน จนมลี ูกศิษยเคารพนบั ถือและคน พบแนวทางละจากกิเลสและความทกุ ข
ตางๆ ดว ยตนเอง สงิ่ เหลาน้ีสะทอ นความจริงเกีย่ วกบั ผหู ญิงในแงมมุ ทางพุทธศาสนาวา สงั คมไทยเปด
โอกาสใหพ น้ื ที่ทางศาสนากับผหู ญิงมากข้นึ ยอมรบั ในภาพลักษณและศกั ยภาพในการทํางานเพอ่ื พุทธ
ศาสนา ไมใหเกิดความเปนอ่ืนเพราะถูกจํากัดอยูในสถานะและบทบาทที่เปนรองเหมือนสมัยกอน
อีกท้งั ยงั สนบั สนนุ ใหค ณุ คาตอผหู ญิงในฐานะทีเ่ ปนพุทธศาสนกิ ชนเชน เดยี วกับผูชายอกี ดว ย
หากสังเกตจะพบวา มีองคก รทางพทุ ธศาสนามากมายท่ีปรากฏกลุมผูหญิงเปนผูทํางานเพื่อ
พทุ ธศาสนา ชวยเหลอื สังคม อยา งทีพ่ บในสารนิพนธเรื่อง “บทบาทพุทธศาสนาในสังคมไทยปจจบุ ัน
ศึกษาเฉพาะกรณีบานสายสัมพันธโครงการเสถียรธรรมสถาน” ของ ธนาพร เทียมศรีรัชกร
(2539) ที่นําเสนอเรอื่ งราวเก่ียวกับบทบาทของศาสนสถานอยางเสถียรธรรมสถาน ภายใตโครงการ
บา นสายสมั พันธ ซึ่งมีจุดมงุ หมายหลกั ในการชว ยเหลอื เยียวยาจติ ใจของหญงิ ที่ถูกสามีทอดท้ิง ทั้งที่มี
ลูกหรือถกู ขม ขืนจนตัง้ ครรภแ ละตอ งเล้ยี งดลู กู ตามลําพงั รวมถงึ ชว ยสานสมั พนั ธระหวางแมกับลูกให
แนน แฟน มากขนึ้ โดยกลมุ แมช จี ะเปนผูทคี่ อยใหค าํ ปรึกษา ชแ้ี นะแนวทางปลดเปลื้องจากความทุกข
สรางกจิ กรรมบรรเทาความเจ็บปวดขางในจติ ใจ สนบั สนนุ ผูหญิงที่ประสบปญหาสังคมหรือตกอยูใน
สถานการณยากลําบากใหมีกําลังใจใชชีวิตตอไป ดวยการใชความเขาอกเขาใจในฐานะผูหญิงกับ
หลักแนวคดิ ทางพทุ ธศาสนา จึงถือวากลุมสตรีเพศเหลาน้ีก็สามารถทําหนาที่ขับเคล่ือนพุทธศาสนา
ดวยธรรมะของพระพุทธองคไดไมต างจากผูชาย
บทบาทของพุทธศาสนาที่มตี อผูหญงิ ในชมุ ชนเมอื งสมยั ใหม
ภายใตความเปน สังคมสมยั ใหมในชมุ ชนเมืองท่ีเต็มไปดวยความเจรญิ ทางดานวัตถุและความ
สะดวกสบายในการบริโภค มีผลทาํ ใหรปู แบบการดําเนนิ ชวี ติ ของผูคนเปน ไปในลกั ษณะตางคนตางอยู
อันกลายเปน เหตุทน่ี ําไปสคู วามขัดแยงและปญหาสังคมมากมาย หากแตความทุกขบางอยางไมอาจ
แกไขไดด ว ยสรรพส่ิงทางโลก สําหรับคนไทยบางคนการหันเขาหาธรรมะ ดูจะเปนหนทางสุดทายท่ี
ชวยเยียวยาสภาพจิตใจท่ีขุนมัวของตนเอง ฉะนั้นการมีอยูขององคกรทางศาสนาตางๆ
36
จึงเปรยี บเสมือนแหลงที่พ่งึ ทางใจสาํ หรับคนที่ไมรู หวาดกลัว และเบื่อหนายในความไมแนนอนของ
ชีวิต สารนิพนธเร่ือง “เสถียรธรรมสถาน : พ้ืนท่ีทางความคิด แหลงพ่ึงพิงทางใจ สําหรับ
คนเมอื ง” ของ ดุษฎี วิวรรธนาภิรักษ (2547) แสดงใหเห็นถึงการท่ีศาสนสถานแหงหนึ่ง ซึ่งต้ังอยู
ในชุมชนเมือง ไดกลายเปนทนี่ ิยมของผูที่ตองการฟนฟูจิตใจจากสภาพความวุนวายในสังคมไดอยาง
เหน็ ภาพชัดเจน เน่ืองจากเสถียรธรรมสถานถูกทําใหเปนชุมชนแหงการเรียนรู ดวยการสรางสรรค
กิจกรรม ปรบั เปลย่ี นรปู แบบวธิ กี ารเผยแผศาสนา โดยใชสภาพแวดลอมของธรรมชาติดึงดูดใหผูคน
เขามาปฏิบัติธรรม ผสมกับการนําเอาหลักธรรมคําสอนมาประยุกต เพ่ือใหคนท่ัวไปสามารถเขาถึง
ธรรมะไดงายขึ้น ทุกวันน้ีคนไทยในสังคมเมืองหลายคนจึงมีทางเลือกที่เปนพื้นท่ีท่ีตนเองสามารถ
เขา มาพฒั นาจติ ใจ ขัดเกลาอารมณรกั โลภโกรธหลงใหส งบมนั่ คง ใชเ ปนแหลง พงึ่ พิงทางใจมากขนึ้
แมการเปลี่ยนแปลงสคู วามเปน สมยั ใหม อาจสง ผลใหคนไทยหางเหนิ จากพทุ ธศาสนามากขึ้น
แตก็ถือวาเปนจุดเปล่ียนที่ทําใหเห็นถึงการปรับตัวของผูคนและการปรับตัวขององคกรทางศาสนา
ดงั ที่ปรากฏในงานวิจัยเร่ือง “ศาสนทัศนของชุมชนเมืองสมัยใหม ศึกษากรณีวัดพระธรรมกาย”
ของ อภญิ ญา เฟอ งฟูสกลุ (2541) ซง่ึ เปนภาพสะทอนท่ีเกิดจากการปรับตัวขององคกรทางศาสนา
รูปแบบใหม โดยยอ นกลับไปทําความเขา ใจตั้งแตสงั คมไทยในอดีตท่บี ทบาทของวัด เคยเปนทง้ั สถาบนั
ศาสนา สถาบันการศึกษา และพื้นที่ในการรวมกลุมกันของคนในชุมชน แตภายหลังจากท่ีกาวเขาสู
ความเปนสังคมสมัยใหม วัดกค็ อยๆ สูญเสียบทบาทของการเปน ผูน ําทางปญญาและความสัมพนั ธทาง
สังคมไป เนื่องจากสังคมไทยไดสรางวาทกรรมทางการเมืองและวาทกรรมทางสังคมขึ้นมาใหม
จนความเปนพทุ ธถกู นํามาตคี วามอยา งหลากหลายในขบวนการตางๆ ไมวาจะเปนขบวนการท่ีแฝงไว
ดวยการเมือง ขบวนการที่แฝงดวยการคา หรือการสรางพุทธศาสนาแบบทวนกระแสขึ้นมา กระทั่ง
ทุกวนั น้มี คี นไทยหลายคนสบั สนวาสงิ่ ไหนคือถูกและผดิ ตามหลกั พุทธศาสนา
พุทธศาสนาในสังคมไทยไดถูกนําไปตีความใหมมากมาย จนความเขาใจของคนไทยที่มีตอ
พุทธธรรมคลาดเคลื่อนจากเดิมมาก ลัทธิวัดพระธรรมกายก็เปนขบวนการทางสังคมรูปแบบหน่ึงท่ี
เกดิ ขึน้ จากการปรับตัวขององคกรทางศาสนา เพอ่ื ตอบสนองตอกลุมคนท่ีศรัทธาในพุทธศาสนาแบบ
ตีความใหม ซึ่งตอมากลับถูกสังคมวิพากษวิจารณวาเปนองคกรทางศาสนาแบบพุทธพาณิชย
เนื่องจากดงึ ดูดแตก ลมุ คนชนช้ันกลางใหยึดม่ันรวมกันสรางอัตลักษณของความเปนธรรมกายขึ้นมา
ผสมผสานความเช่ือเรื่องบุญกับทุนนิยม ผลที่ไดรับก็คือคนไทยบางกลุมตอตานอยางรุนแรง
เพราะเหน็ วา ขดั ตอ ธรรมะทีพ่ ระพุทธองคสอน กระทงั่ กอใหเกิดความสับสนและความขัดแยงอยางท่ี
พบเหน็ ในปจ จบุ ัน
37
อยา งไรก็ตาม ไมว าจะเปน การเลอื กพุทธศาสนาแบบใดเปน ทีพ่ ึง่ ทางใจ กล็ วนแตเ ปนเร่อื งของ
การท่ีบุคคลรับรูตอตนเองเมื่อไดปฏิบัติศรัทธานับถือ ความหลากหลายของปจเจกเปนสิ่งที่ไมควร
มองขาม เนื่องจากแตละคนมีหนทางในการปรับตัวตอความไมแนนอนของชีวิตแตกตางกัน
เชนเดียวกับพัฒนาการขององคกรทางพุทธศาสนาในชุมชนเมืองสมัยใหมที่เปล่ียนไปพรอมกับผูคน
ก็เปน สวนหนงึ่ ในการปรับตัวของคนไทยท่ีศรทั ธาในพทุ ธศาสนา ส่ิงสําคัญจึงอยูท่ีบุคคลผูน้ันสามารถ
นาํ เอาหลกั คาํ สอนทพี่ ระพุทธองคใ หไวม าเยยี วยาแกป ญหาทัง้ ระดับโครงสรางและระดบั ปจเจกบคุ คล
เพ่อื เปน หลกั ที่พง่ึ ใหก ับชีวติ จติ ใจ ตลอดจนแกไขปญหาความทุกขต า งๆ ไดอ ยา งไร
การทบทวนวรรณกรรมเหลานี้ มีสวนชวยทําใหผูศึกษาเขาใจและเห็นภาพชัดของ
ความสมั พันธร ะหวางผหู ญิงไทยกับพุทธศาสนาต้ังแตอดีตจนถึงปจจุบัน จนนําไปสูการต้ังคําถามตอ
กลมุ ผูหญงิ ในประเดน็ ท่ีศึกษาวา เพราะเหตุใดถึงเลอื กมาปฏิบตั ิธรรมทส่ี าํ นักวปิ สสนากัมมฏั ฐานแหง น้ี
แนวทางการปฏิบตั ิของสาํ นักนี้เปน อยา งไร อะไรเปน ปจจัยท่ีกอ ใหเกิดความคิด ความเช่ือ และความ
ศรัทธาในพุทธศาสนา ชีวิตกอนปฏิบัติธรรมและหลังปฏิบัติธรรมของผูหญิงแตละคนมีการ
เปลี่ยนแปลงไปเชนไรบาง รวมถึงสิ่งที่แตละปจเจกบุคคลมองตนเอง มีการรับรูตอตนเองอยางไร
เมอื่ เลือกพุทธศาสนาเปนที่พึง่ ทางใจ อันเปนจุดมุงหมายสําคัญของงานวิจัยที่ผูศึกษาตองการคนหา
คาํ ตอบ ดงั นนั้ หากพิจารณาจากขอมูลภาคสนามเก่ียวกับเร่ืองราวในชีวิตและทัศนคติที่แตกตางกัน
ของผหู ญิงแตล ะคน จงึ นาจะชวยใหพ บจุดรวมของประสบการณทท่ี ําใหเ ขาใจการตัดสินใจเลือกที่พ่ึง
ทางใจเปนพุทธศาสนาของผหู ญงิ กลมุ น้ีมากข้ึน
บทท่ี 3
ผูหญงิ กับการนบั ถือพุทธศาสนา
เ นื้ อ ห า บ ท น้ี เ ป น ก า ร นํ า เ ส น อ ภ า พ ร ว ม ข อ ง ผู ห ญิ ง ไ ท ย กั บ ก า ร นั บ ถื อ พุ ท ธ ศ า ส น า
ต้ังแตจุดเร่ิมตนของการนับถือ ตลอดจนถึงวิถีแหงการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนาของ
ผหู ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหม เพ่อื อธิบายใหเ หน็ เหตปุ จ จยั เบ้ืองตน ในการตดั สินใจเลอื กธรรมะเปนทย่ี ึด
เหนย่ี วจิตใจของกลมุ ผหู ญงิ ในพืน้ ท่ีที่ทาํ การศกึ ษา ซ่ึงสามารถนํามาใชเ ปน ขอมูลพ้ืนฐานในการศึกษา
พจิ ารณาทาํ ความเขาใจกลุมผูหญงิ ท่เี ขา มาปฏิบัติธรรมในสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวหิ ารตอไป
การนับถือพทุ ธศาสนาของผหู ญงิ ในสมยั กอ นและหลงั พทุ ธกาล
การศึกษาพิจารณาเกย่ี วกบั การนบั ถอื พทุ ธศาสนาของผูหญงิ อาจตองมองยอนกลับไปตั้งแต
กอ นสมยั พทุ ธกาลที่พุทธศาสนายังไมถือกําเนิดข้ึน จากหลักฐานทางประวัติศาสตรและวรรณคดีได
สะทอ นใหเ หน็ วา ผูหญิงอนิ เดยี ยคุ กอ นพทุ ธกาลมบี ทบาทในแงความเชื่อและจิตวิญญาณเชนเดียวกับ
ผชู าย ทั้งมสี ิทธิทจี่ ะเขารวมการประกอบพิธีกรรมและพิธีบวงสรวงสง่ิ เหนือธรรมชาติ ตลอดจนมีสิทธิ
ทีจ่ ะไดรบั การศึกษา ซ่ึงหากผูหญิงคนใดมีความรูทางดานปรัชญาก็จะทําใหบุคคลนั้นมีบทบาทเดน
เชน เดียวกับผูชายไปดวย แตอ ยางไรก็ตามแมสังคมอินเดียในชวงเวลาดังกลาวผูหญิงจะมีอิสระท่ีจะ
แสดงออกทางความคิดเกี่ยวกับความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา หากแตก็ยังคงถูกจํากัดใหอยู
ภายใตกรอบของระบบการปกครองแบบชายเปนใหญและระบบวรรณะในศาสนาพราหมณ
(ฉัตรสมุ าลย กบลิ สิงห, 2528: 4-9)
เมื่อเขา สูสมัยพทุ ธกาล หลงั จากทพ่ี ระพุทธเจาทรงตรัสรแู ละเผยแผศ าสนาแกค นอินเดยี ในยคุ
สมัยนั้น ผูหญิงท่ีมีจิตใจฝกใฝในทางความเช่ือและจิตวิญญาณก็หันมานับถือพุทธศาสนามากข้ึน
เน่อื งจากพุทธศาสนาทําใหผ ูหญงิ เหลา น้ไี มตองยดึ ตดิ กับคานิยมความเช่ือด้ังเดิมของสังคม ซึ่งใชชีวิต
ไปกับการอุทิศตนเพ่ือปรนนิบัติสามี ดูแลครอบครัวและงานในครัวเรือนเทาน้ัน กลาวไดวาในสมัย
พุทธกาลการมีอยูของพุทธศาสนาชวยใหผูหญิงอินเดียมีอิสระทางใจมากขึ้น (เพิ่งอาง: 4-9)
38
39
แมว า ระยะแรกพระพุทธองคจะมองวาผูหญิงเปนอุปสรรคสําคัญในพุทธศาสนา ดวยเพราะ
สังเกตจากธรรมชาติของบรรดาผูหญิงที่เคยเขามารับใชพระองคเม่ือครั้งยังไมเสด็จออกผนวช
สว นใหญนน้ั มวั แตใ หความสําคัญกบั เร่อื งทางโลกของตัวเอง อีกท้ังยงั ออ นไหว ถนดั ใชอ ารมณมากกวา
เหตผุ ล แตหลงั จากท่ีไดใชว ิจารณญาณอยา งรอบคอบกท็ ําใหเขา ใจวา ลักษณะของผูหญิงดังกลาวมิได
เปนลักษณะของผูห ญิงท้ังหมด หากแตมีปจ จัยทางดา นสงั คม วัฒนธรรม และสภาวะแวดลอมอ่ืนดวย
ซ่งึ การทีผ่ ูห ญงิ เคยชินกบั การอยูภายใตอ าํ นาจการปกครองของผูชาย ก็เปน สว นหนงึ่ ทส่ี ง ผลใหบ างคน
ขาดความสามารถในการตัดสินใจท่ีใชตรรกะเหตุผล แตมิไดเปนตัวตัดสินวาผูหญิงจะไมสามารถ
ประสบความสําเร็จทางธรรมไดเ ชน เดยี วกบั ผูช าย (อา งแลว: 11, 16)
พระนางมหาปชาบดีโคตมี ผมู ศี ักดิเ์ ปนนาและแมบ ุญธรรมของพระพทุ ธองคไดท าํ ใหพ ระองค
เล็งเหน็ วา ผูหญงิ เปนมนุษยท ม่ี ศี รัทธาและปณิธานอนั แรงกลา เนอ่ื งจากเดิมทีพระพทุ ธองคไมประสงค
ใหม ีพระภิกษุณีเกิดข้ึน ดวยพิจารณาวาผูหญิงเปนตนเหตุแหงความวุนวายและอาจนํามาซ่ึงปญหา
สงั คมในภายหลัง อีกทงั้ พระนางมหาปชาบดโี คตมีเองก็คุนเคยอยูแตในวังที่มีพรอมไปดวยสิ่งอํานวย
ความสะดวกสบาย พระพทุ ธองคจงึ เกรงวายากทจี่ ะสามารถบรรลุเขาถงึ ธรรมได หากแตพระนางก็ได
พสิ จู นตนเองดวยความตง้ั พระทยั อยา งเดด็ เด่ยี ว เมื่อยังไมไดรับการยอมรับจากพระพุทธองคก็เสด็จ
ออกเดินทางธุดงคพรอมกับบรรดาผูหญิงท่ีติดตามมา เพื่อเผชิญกับความยากลําบากไปดวยกันถึง
500 นาง ตลอดท้ังสามีของผูหญิงเหลาน้ีก็หันมาออกบวชเปนพระภิกษุสงฆจนกระทั่งบรรลุมรรค
ผลไดเชนกัน จากเหตุการณดังกลาวไดทําพระพุทธองคเห็นแกความเพียรและความต้ังใจจริงของ
มนษุ ยส ตรเี พศ จึงยอมรับพระนางมหาปชาบดโี คตมีเขา ไวในสังกดั ของพระพทุ ธองค อันกลายเปนตน
กําเนดิ แหง ภกิ ษุณี ผูหญงิ คนแรกในพทุ ธศาสนา (อางแลว : 9-10, 34)
เชนเดียวกับพระนางยโสธราหรือพระนางพิมพา พระชายาของเจาชายสิทธัตถะกอนที่จะ
เสดจ็ ออกผนวช ก็เปนบุคคลท่ีทําใหพระพุทธองคเห็นวา ผูหญิงไมไดเปนอุปสรรคหรือส่ิงชั่วรายใน
พุทธศาสนา เม่ือพระนางเห็นพระสวามีทรงถือเพศบรรพชิต แมชวงแรกจะไมเขาใจคิดนอยใจ
พระพุทธองคที่สละทิ้งราชสมบัติและครอบครวั แตเวลาตอมาความจงรักภักดีและความซื่อสัตยของ
พระนางยโสธราก็บันดาลใหพระนางหันมาถือปฏิบัติตนเยี่ยงบรรพชิตดวย ซ่ึงตอมาไมนาน
ความศรัทธาและความตัง้ ใจจรงิ กไ็ ดทําใหพ ระนางตัดสนิ ใจออกผนวชเปนพระภิกษุณีเขาสูวิถีทางแหง
ความสงบสขุ ในท่ีสดุ (อางแลว : 10-13)
40
การพบหนทางสงบดว ยคําสอนของพระพทุ ธองค เปน ผลสบื เนื่องมาจากการท่ีพระพุทธองค
ทรงชี้ใหม นษุ ยเ หน็ ถงึ ความเปนจรงิ ของสภาวะธรรมชาติ กระท่ังผูห ญงิ บางคนในสงั คมยุคน้ันสามารถ
บรรลุความหลุดพนไดดวยตนเองโดยไมตองพ่ึงสามีหรือบุตร อีกทั้งยังเปนอิสระจากกฎเกณฑของ
ศาสนาและระบบสังคมแบบชายเปนใหญ ซึ่งแนวความเช่ือเชนนี้เปดโอกาสใหมีภิกษุณีหรือนักบวช
หญงิ ที่ตอ งรกั ษาศลี เชนเดียวกับพระภิกษสุ งฆเกิดขน้ึ มากมายในเวลาตอ มา (อา งแลว : 15-20)
ถือไดวา พทุ ธศาสนาเปนจุดเรมิ่ ตน ของการเปล่ยี นแปลงทางมนษุ ยชาติเกี่ยวกับปรากฎการณ
ทางจติ เพราะมแี นวความคิดทส่ี นบั สนุนเรอ่ื งการหลดุ พนโดยมิไดจ ํากัดเพศ หากผูหญงิ มีความเคารพ
ในตนเองก็ไมจําเปนตอ งตกอยใู นบว งของคานิยมในสงั คมและจารตี ประเพณีด้งั เดิมอีกตอไป
การนบั ถอื พุทธศาสนาของผหู ญิงในสังคมไทย
พุทธศาสนาแบบเถรวาทเร่ิมเขา มามอี ทิ ธพิ ลในสังคมไทยเมือ่ ประมาณพ.ศ. 236 ต้ังแตยงั เปน
พ้ืนทที่ ่ีอยูใ นดินแดนสวุ รรณภูมิ ซึง่ มีประเทศในปจจุบนั รวมกันอยใู นดินแดนแหงนที้ งั้ หมด 7 ประเทศ
ไดแ ก ไทย พมา ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ดวยการเขามาเผยแผศาสนาของพระโสณะ
และพระอุตตระ ผเู ปน พระสมณทูตในการอปุ ถมั ปของพระเจาอโศกมหาราช กษัตริยแหงแควนมคธ
ประเทศอนิ เดยี จนทาํ ใหผูค นหญงิ ชายในยุคสมัยน้ันมีความศรัทธาและความเลื่อมใสในพุทธศาสนา
เปนจาํ นวนมาก (พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543)
เดิมทีคนไทยมีความเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณนิยมเปนรากฐาน แตเม่ือเห็นวาความเช่ือที่ได
รบั มาจากพทุ ธศาสนาไมไ ดขัดตอ วิถีการดําเนินชีวิต รูปแบบความเช่ือทั้งสองจึงคงอยูรวมกันมานาน
จนถึงปจ จบุ ัน โดยจากขอมูลทางประวตั ศิ าสตรทพ่ี บในจารึกสมยั สโุ ขทยั ไดแ สดงใหเห็นวา หลังจากท่ี
พอ ขนุ ศรีอนิ ทราทิตยไ ดสถาปนากรงุ สโุ ขทัยและรับเอาพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ ผูหญิงใน
สมัยกรงุ สุโขทัยนน้ั ก็มวี ถิ ีชีวิตทผี่ ูกพนั กบั พุทธศาสนาเร่ือยมา หากแตเมื่อถึงสมัยอยุธยา สถานะของ
ผหู ญิงในพทุ ธศาสนาก็เร่มิ มีการเปลย่ี นแปลง (ฉตั รสมุ าลย, 2528)
กลา วคอื ในสมัยของพระบรมราชาธิราชที่ 2 (พ.ศ.1967-1991) หลังจากท่ีอโยธยาเขาตีเมือง
นครธมของเขมรไดส ําเร็จ บรรดาโหราจารยและพราหมณาจารยของราชสาํ นกั เขมรก็ถูกกวาดตอ นลง
มายงั กรงุ ศรอี ยุธยา สง ผลใหต ัง้ แตนน้ั มามีการรบั เอาขนบธรรมเนียมประเพณีของพราหมณเขามาใน
ราชสํานักไทย ซึ่งอิทธิพลของความเชื่อทางศาสนาพราหมณที่มีลักษณะชายเปนใหญ ทําใหบทบาท
สถานะของผหู ญิงไทยตกต่ําลงไปในยคุ สมัยนี้ เนอื่ งจากกษัตริยสวนใหญในสมัยน้ันเห็นวา คุณสมบัติ
41
สําคญั ของผูส ืบทอดราชสมบตั ิคอื การใชอ ํานาจ มใิ ชการสบื ทอดราชสมบตั ทิ างสายเลือด ดังนั้นหากผู
ท่คี รองบลั ลังกจาํ เปน ทจ่ี ะตองเปนผมู อี ํานาจมาก และแนวความคิดความเชื่อทางศาสนาพราหมณก็
สามารถนาํ มาสนบั สนนุ อาํ นาจการปกครองของตนเองได (ฉตั รสุมาลย: 22-31)
ตั้งแตศาสนาพราหมณเขามามีบทบาทในราชสํานัก ก็กอใหเกิดการกดขี่และลดฐานะของ
ผูหญิงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชวงแรกศาสนาพราหมณมีอิทธิพลเฉพาะกลุมเจานายและขาราชการ
แมเ ปนผหู ญงิ ในราชนกิ ูลกไ็ มไดรบั การสนับสนุนใหไ ดรับการศกึ ษา แตตอมาไดแพรกระจายออกไปสู
ประชาชนทั่วไป ผูหญิงสามัญชนจึงขาดการศึกษาโดยส้ินเชิง กลับกลายเปนวาสังคมไทยมีระบบ
ความคิดที่จํากัดผูหญิงใหมีบทบาทหนาท่ีเฉพาะในครัวเรือนและมีหนาท่ีจํากัดเฉพาะภายในบาน
เทา น้นั (ฉัตรสุมาลย: 22-31)
เมือ่ เขาสูส มยั กรงุ ธนบุรี ดว ยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระเจาตากสินมหาราชท่ีกอบกู
บา นเมอื งจากสงครามสรู บในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทําใหพุทธศาสนาในประเทศไทยไดรับการฟนฟูให
รุงเรอื งอีกครง้ั มีการสรา งบานเมืองและบูรณะวัดวาอารามข้ึนใหม สืบตอมากระท่ังพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟาจุฬาโลกไดทรงสถาปนาราชวงศจ กั รีและทําการอุปถมั ภส ังคายนาชําระพระไตรปฎก
เพอื่ เปน ตนฉบบั สังคมไทยจึงมพี ทุ ธศาสนาเปนสถาบันคูชาตมิ าจนถึงทุกวันน้ี (ฉัตรสุมาลย: 117-119)
ในชว งกรุงรตั นโกสนิ ทรตอนตน ฐานะของผูหญิงยังไมแตกตางจากสมัยกรุงศรีอยุธยามากนัก
พบขอมูลเก่ียวกับบทบาทของสตรีในราชการงานเมืองนอยมาก เรียกไดวาผูหญิงแทบไมไดเปน
จุดสนใจของผูบันทึกเหตุการณบานเมืองในชวงน้ัน โดยท่ัวไปคนมักนิยามถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร
ตอนตนวาเปนยุคสมัยแหงการสรางบานสรางเมือง รวมทั้งสรางวัดอันเปนกุศลสูง หากเปนพวก
เจานายหรอื หญงิ ผูม ีฐานะจะนยิ มสรางและบูรณะวดั สวนผูหญิงทั่วไปก็เขารวมทํากิจกรรมทางพุทธ
ศาสนา ทําบุญตกั บาตรในวันพระวันโกนเปนปรกติ แตไ มไดมีโอกาสบวชเรียนเหมือนผูชายเพ่ือเขาสู
วถิ แี หง การถอื ศีลอยางเครง ครดั (ฉัตรสมุ าลย: 119-121)
ตอมาเมือ่ ถึงยุคสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลาเจาอยูหัว หรือรัชกาลท่ี 4 (พ.ศ.2394-
2411) อิทธิพลจากการติดตอกบั ประเทศตะวันตกไดกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสรางทางสังคม
ไมวาจะเปนการยกเลิกระบบทาส และการพัฒนาโลกทัศนเก่ียวกับบทบาทของผูหญิง โดยกอนที่
พระองคจ ะทรงขึ้นครองราชยเปนพระมหากษัตริยนั้น พระองคใชเวลานานกวา 27 ปในการศึกษา
คนควาพระพุทธศาสนา เรียนรูพระธรรมวินัยจนแตกฉาน อีกทั้งยังศึกษาวัฒนธรรมและภาษา
จนสามารถใชภ าษาอังกฤษและภาษาละตนิ ไดอยา งคลอ งแคลว จึงเปนผลท่ีทําใหพระองคคุนเคยกับ
42
วัฒนธรรมตะวันตกและแนวความคิดแบบชาวตะวันตกไปดวย ประสบการณและพระปรีชาสามารถ
เหลา น้ีกลายเปนประโยชนเมอื่ พระองคท รงรบั พระสมบัตสิ ืบทอดจากพระเชษฐา เนอ่ื งจากพระองคไ ด
ปรับเปลยี่ นวธิ ีการปกครองใหสอดคลองกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคสมัยนั้น คือปลดปลอย
ประเทศชาติใหเ ปนอสิ ระจากคา นิยมอนั เตม็ ไปดวยจารีตประเพณีและขนบธรรมเนียมท่ีส่ังสมมาเปน
เวลานาน ปรบั เปลี่ยนดดั แปลงประเพณีพระราชพิธีพราหมณ จนเหลอื เพยี งแตหลักพิธีทางพราหมณ
เปน สว นประกอบเทานัน้ ถือไดวา การลดบทบาทของศาสนาพราหมณ ทําใหผูหญิงเริ่มมีบทบาททาง
ศาสนาและกจิ กรรมทางสงั คมมากขนึ้ (ฉัตรสมุ าลย: 24-25)
ครัน้ เมอ่ื ถงึ สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวหรือรัชกาลท่ี 5 บทบาทและ
สถานะของผูหญิงก็ปรากฏใหพบเห็นมากข้ึน ในชวงที่สมเด็จพระเจาอยูหัวเสด็จประพาสยุโรป
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถหรือสมเด็จพระบรมพระราชินีไดทรงเขามาบริหารราชการ
แผนดินแทน รวมถึงพระขนิษฐาและราชนิกูลที่เปนบุตรีหลายพระองคก็ไดรับการศึกษาอยางดี
เชนเดียวกับผูชาย ทําหนาที่เปนกําลังสําคัญในงานตางๆ อาทิเชน มีการตั้งโรงเรียนสําหรับผูหญิง
การตง้ั โรงพยาบาลและงานสาธารณสุขมากมาย ตลอดทั้งมีบทบาทสําคัญในการทํานุบํารุงสงเสริม
ศาสนา (ฉตั รสุมาลย: 122-124)
ยกตวั อยางจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ผูทรงปฎิบัติ
หนา ท่ีเนนหนกั ในดา นการศึกษาและการแพทย ซ่ึงเปน ส่งิ ท่ปี ระเทศชาติบานเมืองเวลานั้นขาดแคลน
ทรงโปรดฯใหสรางโรงพยาบาลศิริราชเม่ือป พ.ศ. 2431 และสภาอุณาโลมแดง (โรงพยาบาล
จุฬาลงกรณ) เมือ่ ป พ.ศ. 2436 รวมถงึ โรงเรียนแพทยผดุงครรภ โรงเรียนราชินี โรงเรียนวิเชียรมาตุ
โรงเรียนราชินีบูรณะ และโรงเรียนจอมสุรางคอุปถัมภขึ้นในเวลาตอมา นอกจากนี้ยังทรงโปรดฯ
ใหสรางพระวิหารสมเด็จในวัดเบญจมบพิตร เพื่อใชเปนสถานท่ีสําหรับรวบรวมพระพุทธรูปแบบ
โบราณและอ่ืนๆ อีกมากมาย จึงเห็นไดอ ยางชัดเจนวาผูหญิงกาวขึ้นมามีบทบาทหนาที่และตําแหนง
การงานมากกวาผูหญิงสมยั อ่นื ในประวตั ิศาสตรไทย จวบจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 เม่ือพระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ออกผนวชตามโบราณราชประเพณีอยูระยะหน่ึง สมเด็จพระนาง
เจาสิรกิ ิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงวาราชการแผนดินแทนพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว อีกท้ังยัง
เปน ตวั อยา งอันดงี ามในงานสงั คมสงเคราะหตา งๆ แตอยางไรก็ตามผูหญิงสามัญชนทั่วไปก็ยังคงไมมี
บทบาทในพืน้ ทที่ างศาสนามากนัก (ฉัตรสุมาลย: 25)