The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

การเลือกพุทธศาสนาเปนทีพ่ งึ่ ทางใจของผูหญงิ ไทยในสังคมสมยั ใหม
กรณีศึกษา สํานกั วปิ ส สนากมั มัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวิหาร

โดย
นางสาวอธิชญา สขุ ธรรมรัตน

รายงานการศกึ ษาคน ควา เฉพาะบุคคล (Individual Study) เปน สว นหนงึ่ ของการศกึ ษา
ตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบณั ฑิต

ภาควชิ ามานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ปการศึกษา 2560

การเลือกพุทธศาสนาเปนทีพ่ งึ่ ทางใจของผูหญงิ ไทยในสังคมสมยั ใหม
กรณีศึกษา สํานกั วปิ ส สนากมั มัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวิหาร

โดย
นางสาวอธิชญา สขุ ธรรมรัตน

รายงานการศกึ ษาคน ควา เฉพาะบุคคล (Individual Study) เปน สว นหนงึ่ ของการศกึ ษา
ตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบณั ฑิต

ภาควชิ ามานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
ปการศึกษา 2560

ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อนุมัติใหรายงานการศึกษา
เฉพาะบุคคลเรอ่ื ง “การเลือกพทุ ธศาสนาเปน ท่ีพึ่งทางใจของผหู ญิงไทยในสังคมสมัยใหม กรณีศึกษา
สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร” เสนอโดย นางสาวอธิชญา สุขธรรมรัตน
เปน สว นหน่งึ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู รศิลปศาสตรบัณฑิต สาขามานษุ ยวทิ ยา

…………………………………………………
(ผชู วยศาสตราจารย ดร. ดาํ รงพล อนิ ทรจ ันทร)

หวั หนา ภาควชิ ามานุษยวิทยา
วันท.่ี .......เดือน.................พ.ศ.......

อาจารยทป่ี รกึ ษา
...................................................
(ผูชวยศาสตราจารย ดร. ดาํ รงพล อินทรจ นั ทร)
……/……./……
กรรมการสอบ
.................................................
(ผูชวยศาตราจารยก ุลศริ ิ อรุณภาคยก ุล)
……/……./……

กิตตกิ รรมประกาศ

สง่ิ ท่มี กั จะตระหนักกับตัวเองตลอดชวงระยะเวลาท่ีผานมา คือไมวาอะไรก็ตามท่ีเรากําลัง
ไดพบไดเ จออยนู ้ี เปนบทเรยี นชีวิตหนึ่งทจี่ ะเปล่ียนเราใหกลายเปน คนที่ดขี ึน้ นึกถงึ คําพูดของปาที่เคย
บอกตอนยังเด็กวาไมอยากใหลูกตองมีประสบการณที่แลกมาดวยความเจ็บปวด แตกลับเปนเราที่
ตองการกาวออกไปเผชิญโลกท่ีปราศจากกรอบที่โอบลอมปองกันจากอันตรายนั้นเอง ถารูวาตอง
ลมลกุ คลุกคลานตลอดการเดนิ ทาง จะยงั เลือกเสนทางนีอ้ ยไู หม ใครตอ ใครบอกวา การใชชวี ติ บนโลกน้ี
มันไมงาย และความยากเย็นของบทเรียนท่ีวาดวยการเขาใจมนุษยคือการท่ีจะตองยอมรับความ
แตกตา ง หรืออะไรก็ตามท่เี กิดขึน้ โดยที่เราไมสามารถควบคุมไดอยูเสมอ ทั้งความเหน็ดเหนื่อยจาก
การพยายามเขา ใจคนอน่ื การพยายามรักษาสมดลุ ทางอารมณของตวั เอง คงเพราะเปนคนที่คิดเยอะ
และผดิ หวงั มาต้งั แตเดก็ ความเจบ็ ปวดแตละคร้งั จึงทําใหเตบิ โตขึ้น ปรบั ตวั ปรับใจไดมากขึ้น ต้ังใจใช
ชวี ิต มงุ ไปที่อนาคตขางหนา เพ่ือเปา หมายคอื การไดเ ปนตัวเองในแบบทีอ่ ยากจะเปน

ต้ังแตว ันแรกท่ีเขามาเปนเด็กศิลปากร เลือกเรียนมานุษยวิทยา ก็ไดรูจักคนมากมายหลาย
รปู แบบ วันเวลาทมี่ ีความสุขที่สดุ เกดิ ขึ้นทนี่ ี่ เชน เดยี วกบั วันเวลาทต่ี องทกุ ขทนอยา งที่ไมเคยมากอนก็
เกดิ ข้นึ ท่นี ่ดี วยเชนกนั มานุษยวิทยาสอนใหทาํ ความเขาใจคนอ่ืนไปพรอมกบั การทาํ ความเขาใจตัวเอง
เปน ชวงชวี ิตท่ีไดเรยี นรคู วามเปน มนุษยโ ดยแทจริง อยางนอยก็มีความกลาหาญมากพอที่จะเลือกใช
ชีวติ ในแบบของตวั เอง ถอื เปน ความสาํ เรจ็ ของการคน หาตวั เองในชว งชีวิตวัยรุนก็วาได

ขอขอบคณุ ทุกคนที่อยเู บ้อื งหลงั เสน ทางน้ี เริ่มจากปากับมาผูคอยสนับสนุนความสุขของลูก
อยเู สมอ ขอบคุณอาจารยด ําท่ีเห็นถงึ ความต้ังใจ รบั ฟง และใหกาํ ลังใจแกเด็กในที่ปรึกษาคนนี้มาโดย
ตลอด ขอบคณุ อาจารยท ุกทา นที่มอบความรูแ ละประสบการณใ หไดน ํากลับมาพฒั นาตัวเอง ขอบคุณ
เพื่อนคณะโบราณคดที ี่ผา นเรอ่ื งราวทุกขสุขมาดว ยกนั ขอบคณุ กลุม เพอื่ นจูมาทน่ี ดั เจอกนั ก่คี รงั้ กท็ าํ ให
รูสึกสบายใจเหมือนเดิม ขอบคุณแมชีและพี่ๆ วัดสัมพันธวงศฯ ที่ใหความกรุณาในการคนควาหา
ความรูมาทํางานวิจัยคร้ังน้ี และสุดทายคนที่เคยอยูขางกันแตวันน้ีไมอยูแลว ขอบคุณทุกความใสใจ
ความชวยเหลอื คําปลอบโยน คําชืน่ ชม และกาํ ลงั ใจท่ีเติมเตม็ ใหกนั ในวันทีข่ าดหาย มันมีความหมาย
มากจริงๆ ขอบคุณทกุ คนทท่ี าํ ใหร ูสึกวา ส่ิงทีเ่ รากําลังทําอยมู นั มีคา ขอบคณุ ท่ีศรัทธาในตัวเรา ไมว าทุก
อยางจะผานไปไดด ว ยดีหรอื ไม ความทรงจาํ เหลา นี้จะเปน พลังในการใชช ีวิตใหแกก ันเสมอไป

อธชิ ญา สุขธรรมรัตน



หัวขอ การศึกษา การเลอื กพุทธศาสนาเปนทพ่ี งึ่ ทางใจของผหู ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหม
กรณีศกึ ษา สํานักวปิ ส สนากมั มัฏฐาน วัดสมั พนั ธวงศารามวรวิหาร
คาํ สาํ คญั ผหู ญงิ ไทย, พทุ ธศาสนา, ท่พี ึ่งทางใจ, วาทกรรม, เทคโนโลยกี ารสรา งตัวตน
ผูศกึ ษา นางสาวอธชิ ญา สุขธรรมรตั น รหสั นกั ศึกษา 03570112
ภาควชิ า มานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร
อาจารยท ี่ปรกึ ษา ผูชวยศาสตราจารย ดร.ดาํ รงพล อินทรจ ันทร
ปก ารศึกษา 2560
จํานวนหนา 106

บทคดั ยอ

งานศกึ ษาชน้ิ นี้มงุ ทาํ ความเขาใจเร่ืองการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยใน
สงั คมสมัยใหม มวี ตั ถุประสงคเ พอื่ พจิ ารณาถึงเหตปุ จจยั ท่สี งผลตอการตัดสนิ ใจเลอื ก รวมถึงพิจารณา
ในแงมุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นตอตัวตนของผูหญิง ภายใตกรณีศึกษา สํานักวิปสสนา
กัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร โดยใชแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสราง
ตวั ตน (Technologies of the self) มาพจิ ารณาเกี่ยวกบั การทผ่ี ูห ญงิ กลมุ นีใ้ ชแนวคิดและหลักปฏิบตั ิ
ทางพุทธศาสนามาพัฒนาตนเอง และแนวคิดวาทกรรมความเปนหญิง (Discourse on female)
มาพิจารณารวมกับขอมูลภูมิหลัง ประสบการณ ความเชื่อ และทัศนคติของผูหญิงที่มาบวชและ
ปฏบิ ัติธรรม ชว งอายุระหวาง 30-60 ป จํานวน 10 คน แบงเปนแมชี 3 คน และฆราวาสทั่วไป 7 คน
ดวยวิธกี ารสัมภาษณเชงิ ลึกรายบคุ คล

ผลการศึกษาพบวา ระบบความคิดเกี่ยวกับคานิยมทางเพศท่ีผูหญิงถูกปลูกฝงใหยอมรับ
และยึดถือมาตั้งแตเกิด เปนเพียงปจจัยหนึ่งที่สงผลตอการเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจของ
ผูห ญิงไทยในสังคมสมัยใหม ซง่ึ ทําใหตองพิจารณาเปนรายบุคคล เพราะไมใชผูหญิงทุกคนท่ีมาบวช
และปฏิบัตธิ รรมจะตอ งประสบกับความทกุ ขด ว ยสาเหตจุ ากวาทกรรมเร่ืองความเปนหญิงที่ดีมากอน
แมบางคนจะไดร บั ผลกระทบทางใจจากวาทกรรมเร่ืองเพศ จนเกิดปญ หาความทุกขช ดั เจนเมอื่ รสู ึกวา
ตนเองไมส ามารถดําเนนิ ชวี ิตใหเปนไปตามอุดมคติของความเปน หญิงทีด่ เี หลานน้ั ได หากบางคนกลับ
มองวาปจ จัยเร่ืองเพศเปนเพียงสว นหนึ่งในการเลือกพุทธศาสนาของตนเอง แตก็ไมอาจปฏิเสธไดวา
คา นยิ มทางเพศนเี้ ปนปจจัยสว นหน่ึงท่ีสงผลตอการคิดตดั สินใจ อยางไรก็ตามจุดรวมท่ีพบจากผูหญิง



ทุกคนคือพวกเขาเห็นวาพุทธศาสนาชวยพัฒนาตัวตนทางดานจิตใจใหสามารถรับมือกับความรูสึก
ไมม ั่นคงที่เกิดขนึ้ ในชวี ิตประจาํ วนั ได ตงั้ แตศึกษาเรยี นรจู นกระทัง่ ลองปฏบิ ตั ิกเ็ กิดการเปลย่ี นแปลงตอ
ตวั เองซ่งึ เปนไปในทางท่ดี ี ทําใหใชชวี ิตไดอ ยา งราบรนื่ มีความสขุ มากข้ึน ดงั นน้ั การตดั สนิ ใจเลือกท่ีพ่ึง
ทางใจเปนพุทธศาสนาคือหน่ึงในทางเลือกสําหรับผูหญิงไทยสมัยใหมที่เติบโตมากับการหลอหลอม
ความคิด ความเชื่อ เก่ียวกับความเปนหญิงผานมายาคติท่ีสังคมสรางข้ึน แตเม่ือพวกเขาเห็นวา
พทุ ธศาสนาสามารถใชปรับปรงุ พัฒนาตัวเองได จึงเลือกนํามาเปนที่พึ่งทางใจท่ีใชในการดําเนินชีวิต
ภายใตก ารเปล่ียนแปลงในโลกสังคมสมยั ใหม

ภาควิชามานุษยวทิ ยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ปการศึกษา 2560
ลายมอื ชอื่ นักศึกษา………………………………………………………………………………….
ลายมอื ชื่ออาจารยทป่ี รกึ ษา………………………………………………………………………



Individual Study Title The preference of Buddhism as a spiritual
anchor of Thai women : a case study of
Keywords Vipassana Meditation at Wat Samphanthawong
Thai women in Buddhism, Spiritual anchor,
Author Discourse, Technologies of the self
Degree Ms. Athichaya Sukthammarat
Department/ Faculty/ University Bachelor of Arts
Individual StudyAdvisor Anthropology/ Archaeology/ Silpakorn
Academic years Assistant Professor Dr. Damrongphon Inchan
Pages 2017
106

Abstract

Currently, many women in Thailand have been suffocating from being
a good woman limited by society. If women who perform the duty well, they will be
warmly welcomed by the society. Whereas, women who cannot continue performing
the role. They will be judged by the society as well. Consequently, this individual
study aims to comprehend the preference of religion as a spiritual anchor of women
in the present. Also, to examine factors those cause a decision and change women's
aspect towards themselves. The data was collected from 10 Buddhist women
between 30 to 60 years old, including 3 nuns and 7 general women in the Vipassana
Meditation at Samphanthawongsaramworawihan temple in Bangkok. The result
revealed that choosing religion as a spiritual anchor is one of the other choices for
women nowadays who have been implanted a mindset created to restrain women
from gender equality. Yet, the discourse on females is also another condition that
conducts women to rely on a spiritual anchor. However, women acknowledge that
Buddhism can improve themselves, so they undoubtedly choose Buddhism as their
spiritual anchor to run a motivation in their life under the changes.



_________________________________________________________________________
Department of Anthropology, Faculty of Archaeology, Silpakorn University
Academic Years 2017

Student Signature …………………………………………………………………………………………………
Individual Study Advisor Signature ………………………………………………………………………



บทท่ี 1

บทนา

ความเปน็ มาและความสาคัญ

หากกล่าวถึงผู้หญิงโดยท่ัวไปเรามักจะนึกถึงมนุษย์เพศท่ีมีความอ่อนโยน อ่อนไหว
สลับซับซ้อน ทั้งในด้านสรีระ อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมที่แตกต่างจากผู้ชาย ข้อกาหนดทาง
ชีววิทยาอาจเป็นส่วนหนึ่งท่ีสนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาทหน้าท่ีผูกติดอยู่กับความเป็นแม่และงานใน
ครัวเรือน ทั้งน้ีเนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมจาเป็นที่จะต้องมีการปฏิสัมพันธ์ มีการอยู่
ร่วมกันเป็นกลุ่ม และมีการจัดระเบียบทางสังคม เพ่ือควบคุมให้สังคมเกิดเสถียรภาพและความมั่นคง
ต่อสมาชิก แต่แท้จริงแล้วเงื่อนไขของบริบททางสังคมและสภาวะแวดล้อมเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้
มนุษย์แบ่งแยกสถานะและบทบาททางเพศท่ีแตกต่างกันระหว่างหญิงชายข้ึนมาในโครงสร้างสังคม
เมื่อสังเกตจะพบว่าค่านิยมทางเพศในสังคมส่วนใหญ่ของมนุษย์ กาหนดให้ผู้ชายมีสถานะเป็น
ผ้ปู กครองและมอี านาจเหนือกว่าผหู้ ญงิ ตลอดจนมีโอกาสในการใช้ชีวิตสาธารณะทางสังคมวัฒนธรรม
มากกว่าผหู้ ญิง ในขณะท่ีผู้หญิงถูกกาหนดให้มีบทบาทหน้าที่ที่สอดรับกับการสนับสนุนผู้ชายมาต้ังแต่
กาเนิด ด้วยเหตุน้ีอุดมการณ์ทางสังคมแบบชายเป็นใหญ่จึงกลายเป็นระบบความคิดที่มีอิทธิพลต่อ
มนษุ ยแ์ ละไดร้ ับการสืบทอดมาจนถึงปจั จบุ นั

สังคมไทยเป็นสังคมที่ยึดระบบการปกครองแบบชายเป็นใหญ่ในลักษณะพ่อปกครองลูกมา
ยาวนานต้ังแต่อดีต ด้วยอานาจของสถาบันกษัตริย์และอิทธิพลของการรับเอาวัฒนธรรมทางศาสนา
เขา้ มาในสงั คม ส่งผลให้เกดิ ระบบความคดิ เรอ่ื งเพศที่ยกย่องผู้ชายและกีดกันผู้หญิงให้ตกอยู่ในสถานะ
ที่เป็นรอง ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมท่ีหล่อหลอมความเป็นหญิงให้คนในสังคมไทยรับรู้และ
ปฏบิ ัติรว่ มกนั โดยเริ่มตน้ ต้งั แตส่ ถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันการศึกษา ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่จึงมัก
เข้าใจว่าตนเองสามารถเป็นผู้หญิงท่ีดีไดจ้ ากการทาหน้าท่ีในฐานะลูกสาว เมีย และแม่เท่าน้ัน (กรวิภา
บุญซ่อื , 2545)

โดยเฉพาะสถานะของผู้หญิงชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในสังคมเมือง ซ่ึงแตกต่างอย่างส้ินเชิง
กับผู้หญิงไทยในสังคมท้องถ่ิน เน่ืองจากระบบความคิดเรื่องเพศของสังคมท้องถ่ินทั่วไปค่อนข้างให้

1

2

ความสาคัญกับผู้หญิง สังเกตได้จากความเช่ือท้องถิ่นในสังคมเกษตรกรรม ซ่ึงยกย่องผู้หญิงในฐานะ
ผู้ให้กาเนิดและสัญลกั ษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงค่านิยมทางเพศอื่นๆ เช่น การสืบเชื้อสายทาง
ฝาุ ยหญิง การต้ังถนิ่ ฐานกับครอบครวั ของฝาุ ยหญิงหลังการแต่งงาน หรือการท่ีผู้หญิงเป็นเจ้าของท่ีดิน
การผลิตและเป็นผู้รับผิดชอบในการประกอบพิธีกรรมในวัฒนธรรมของตนเอง ส่วนหน้าที่ของผู้ชาย
คือการออกไปทางานข้างนอก หรือช่วยกันทามาหากินในครอบครัวของฝุายหญิง สิ่งเหล่านี้แสดงให้
เห็นวา่ สงั คมทอ้ งถิ่นของไทยมคี วามสัมพันธ์ทางเพศที่เอ้ือเฟ้ือต่อการช่วยเหลือเก้ือกูลกัน เช่นเดียวกับ
สงั คมไทยสมยั กอ่ นที่ไม่เห็นความแตกต่างในด้านสถานะและบทบาททางเพศชัดเจนนัก เพราะทุกคนมี
หน้าที่ร่วมกันในระบบการผลิต แต่ภายหลังจากที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอ่ืนๆ อย่างวัฒนธรรม
ความเช่ือจากศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา สังคมไทยก็เร่ิมมีการ
เปลี่ยนแปลงในระบบความคิดเก่ียวกับค่านิยมทางเพศ จนกระทั่งคติความเช่ือเรื่องการยกย่องผู้ชาย
และการรับเอารูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมแบบชายเป็นใหญ่ได้แพร่กระจายและเป็นท่ียอมรับ
ร่วมกนั ในสงั คม (สรุ ยิ า สมทุ คปุ ต,ิ์ พัฒนา กติ ิอาษา และนันทยิ า พทุ ธะ, 2537)

นอกจากน้กี ารเข้ามาของวัฒนธรรมแบบตะวนั ตกและความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
ยังส่งผลให้คนในสังคมไทยมีค่านิยมแบบวัตถุนิยมมากขึ้น ผู้คนหันไปแสวงหาสิ่งที่สามารถตอบสนอง
ต่อความต้องการของตนเองด้วยสรรพสิ่งทางโลก กระทั่งความเจริญทางด้านวัตถุสวนทางกับความ
เจริญทางด้านจิตใจ เป็นเหตุให้สังคมเกิดความขัดแย้งและการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกันโดยง่าย ทั้งน้ี
เพื่อให้สามารถเอาตัวรอดบนโลกท่ีมีแต่ความไม่แน่นอนในชีวิต นับว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้าน
เทคโนโลยี มีผลทาให้ความม่ันคงทางจิตใจของมนุษย์ตกต่าลง ผู้คนต่างทาเพื่ออานาจและประโยชน์
ส่วนตน มีวิถีชีวิตผูกติดอยู่กับค่านิยมสมัยใหม่ และพยายามด้ินรนปรับตัวสู่ความเป็นอุดมคติที่สังคม
สร้างข้ึน จนหลายคนเกิดความทุกข์ อ่อนไหวต่อสิ่งต่างๆ ง่ายขึ้น ย่ิงโดยเฉพาะธรรมชาติของมนุษย์
เพศหญิงที่มีความซับซ้อนทางร่างกายและจิตใจมากกว่าผู้ชาย จึงเป็นเหตุให้ทุกคนด้ินรนหาหนทาง
แก้ไขปัญหาในแนวทางที่แตกต่างกัน เพ่ือเป็นหลักไว้ยึดเหนี่ยวยามประสบกับความทุกข์หรือความ
กงั วลในชีวิต

การหาทพ่ี ึง่ ทางจิตใจเปน็ ทางออกที่ดใี นการรับมือกับความทุกข์และปัญหาทางโลกในรูปแบบ
ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทากิจกรรมทางสังคม การรวมกลุ่มสังสรรค์ หรือการหลบอยู่ในโลกส่วนตัว
เมือ่ ตอ้ งการปกปูองตนเองจากสภาวะกดดันทางสังคม บางคนพยายามหาท่ีพ่ึงทางใจในรูปแบบความ
บันเทิงเพื่อสร้างกาลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ บางคนเลือกพุทธศาสนามาเยียวยาแก้ปัญหาจิตใจให้เกิด

3

ความสงบ โดยเช่อื ว่าหลักธรรมคาสอนและวิถีปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์จะช่วยให้สามารถ
หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ ดังแนวคิดของมาลินอฟกี (Bronislaw Malinowski, 1884-1942) ท่ีเชื่อว่า
ศาสนามีบทบาทหน้าท่ีสาคัญในการตอบสนองต่อความต้องการทางด้านจิตวิทยาและกายภาพของ
ปจั เจกบคุ คล เนอ่ื งจากปัจเจกบคุ คลมีแนวโน้มที่จะกระวนกระวาย วิตกกังวลในช่วงเวลาท่ีไม่แน่นอน
อกี ทัง้ ยงั หวาดกลวั สับสน และขัดแยง้ ทางจิตใจ เม่อื ตอ้ งเผชิญอยู่กับสงิ่ เหนอื ความรู้และประสบการณ์
ของตน การหันไปพึ่งศาสนาจึงเป็นแนวทางท่ีดีในการช่วยลดปัญหาความกลัว ความวุ่นวายทางจิตใจ
อีกท้ังยังช่วยสนับสนุนขวัญกาลังใจของมนุษย์ เสริมสร้ างทัศนคติที่มีคุณค่าในการดาเนิน
ชีวิตประจาวัน ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับมนุษย์มาโดยตลอด (ดุษฎี วิวรรธนาภิรักษ์,
2547)

แม้ว่าข้อจากัดทางเพศท่ีถูกสร้างข้ึนจากความเชื่อทางศาสนาและสังคมแบบชายเป็นใหญ่
จะส่งผลให้ผู้หญิงมีสถานะที่เป็นรองในสังคมไทย หากแต่การปลูกฝังทางวัฒนธรรมก็ทาให้ผู้หญิง
เรียนรทู้ ่ีจะยอมรบั เง่อื นไขเหลา่ นน้ั เพราะถือวา่ บทบาทหนา้ ท่ีของผหู้ ญิงท่ีคอยเกื้อหนุนพุทธศาสนาได้
สร้างผลบุญและประโยชน์ทางใจให้กับตนเอง ทุกวันนี้มีผู้หญิงจานวนมากที่ให้ความสนใจในพุทธ
ศาสนาและเลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพึ่งทางใจแทนสรรพสิ่งทางโลก เนื่องจากในสังคมปัจจุบันผู้คนต่าง
ประสบกับสภาวะความวุ่นวายในการดาเนินชีวิต การประกอบอาชีพ และสภาพแวดล้อมท่ี
เปลี่ยนแปลง อนั ส่งผลให้เกดิ ความสบั สน ความรสู้ ึกไม่มั่นคงและไม่มั่นใจในส่ิงที่สังคมพยายามปลูกฝัง
หล่อหลอมให้คิดและเชื่อ กระท่ังจมอยู่กับความทุกข์และอุปสรรคในชีวิต ไม่มีท่ียึดเหน่ียวจิตใจ
นอกจากตัวตนและความต้องการของตนเอง ด้วยเหตุน้ีคนไทยหลายคนจึงหันมาพัฒนาจิตใจและ
พฒั นาตัวตนของตนเองดว้ ยวิธีต่างๆ “พุทธศาสนา” เป็นหนึ่งในทางเลือกของคนเหล่าน้ัน เม่ือประสบ
กบั ความทกุ ขท์ ไ่ี ม่อาจหลกี เลี่ยงหรอื จัดการควบคุมได้ เนือ่ งจากพุทธศาสนาช้ีนาให้มนุษย์มีสติ ยอมรับ
ความจริง เข้าใจความธรรมดาของโลกและสามารถปล่อยวาง รักษาภาวะมั่นคงทางจิตใจ ปลงใจต่อ
ความไมร่ ูท้ น่ี ามาซ่ึงการยดึ ติดอันเป็นเหตแุ ห่งทุกขต์ ่างๆ

ตัง้ แตอ่ ดีตพุทธศาสนามสี ่วนร่วมสาคัญในการพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด ทั้งในลักษณะ
รูปธรรมและนามธรรม โดยพุทธศาสนาในแบบรูปธรรมน้ัน ได้แก่ ศาสนสถานและศาสนบุคคล
ส่วนรูปแบบนามธรรม ได้แก่ ธรรมะของพระพุทธองค์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการเข้าวัด ทาบุญ ทาทาน
การเขา้ ร่วมกจิ กรรมทางศาสนาการสวดมนต์ การฟังเทศน์ การรักษาศีล การอ่านหนังสือธรรมะ หรือ
การปฏิบัติธรรมของผู้คน ก็ล้วนแต่เป็นการแสวงหาท่ีพ่ึงทางใจด้วยแนวทางแบบพุทธศาสนาทั้งส้ิน

4

แม้ว่าบทบาทของพระและวัดในปัจจบุ ันนจี้ ะไม่ไดต้ อบสนองต่อความต้องการของคนไทยเท่าสมัยก่อน
แต่ปัจจุบันก็มีหลายคนที่ยังเห็นว่าคาสอนและข้อปฏิบัติทางพุทธศาสนาเป็นประโยชน์ทางใจต่อการ
ดาเนนิ ชวี ิตของตน

แม้กระท่ังการมีอยู่ขององค์กรทางศาสนาในสังคมปัจจุบัน อย่างสถานที่ปฏิบัติธรรมและวัด
ต่างๆ ก็สามารถตอบสนองต่อคนในชุมชนเมืองสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะองค์กรทางพุทธศาสนา
เหล่าน้ีทาหน้าท่ีเป็นแหล่งพ่ึงพิงทางใจแก่คนเมืองท่ีหาเวลาเยียวยาจิตใจตนเองสู่ความสงบได้ยาก
โดยเฉพาะสถานที่ปฏิบัติธรรม อันเป็นองค์กรทางศาสนาแบบใหม่ท่ีคนมักนิยมเข้าไปพักฟื้นฟูจิตใจ
พัฒนาจิตใจให้สงบ ยามประสบกับความทุกข์ที่ไม่อาจหาทางออกได้ ซึ่งแต่ละที่อาจมีแนวทางการ
ปฏิบัติและวิธีการสอนแตกต่างกันไป หากล้วนต้ังอยู่บนฐานของจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเผยแผ่
หลกั ธรรมให้บุคคลทว่ั ไปสามารถเรียนรูแ้ ละเขา้ ใจธรรมะได้โดยงา่ ย

สานกั วปิ ัสสนากัมมฏั ฐาน เป็นสานักปฏบิ ตั ิธรรม ณ อาคารสามัคคีมีบุญ วัดสัมพันธวงศาราม
วรวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ทตี่ ้งั อยู่บริเวณใกลเ้ คยี งกับถนนเยาวราช ซ่ึงเรียกได้ว่าเป็นชุมชนแห่งธุรกิจ
การค้า รวมถึงเป็นแหล่งท่องเท่ียวของชาวต่างชาติและชาวไทย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของความ
เปน็ เมอื งทเ่ี ตม็ ไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่สถานที่ปฏิบัติธรรมดังกล่าวกลับมีผู้ท่ีสนใจ
การปฏิบัติธรรมแวะเวียนเข้ามาอยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทางานทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อันสะท้อน
ให้เห็นถึงการที่ยังคงมีกลุ่มคนท่ีศรัทธาและมองเห็นประโยชน์ของการดับทุกข์ด้วยแนวทางพุทธ
ศาสนา นี่จงึ เปน็ จดุ เรมิ่ ต้นของการศึกษาวิจัยคร้ังนี้ เพราะถึงแม้ว่าความเป็นสมัยใหม่ในสังคมปัจจุบัน
ที่อุดมไปด้วยความเจริญทางด้านวัตถุ จะทาให้วิถีชีวิตของคนไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพุทธ
ศาสนาน้อยลงจากในอดีต แต่เม่ือสังเกตกลับพบว่าทั้งผู้คนและศาสนาต่างก็มีการปรับตัว เพ่ือให้
สามารถตอบสนองตอ่ กันและกันในสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ด้วยเหตุน้ีจึงนามาซึ่งประเด็นศึกษาเกี่ยวกับการเลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพ่ึงทางใจของ
ผหู้ ญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ ภายใต้กรณศี กึ ษา สานกั วปิ ัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
เนื่องจากผู้ศึกษาสังเกตเห็นว่าสานักวิปัสสนากัมมัฏฐานแห่งนี้มีผู้หญิงวัยทางานที่มีลักษณะแตกต่าง
กันมากมายเข้ามาปฏิบัติธรรมอย่างสม่าเสมอ หากศึกษาทัศนคติ ความคิด และประสบการณ์
ส่วนบุคคลของกลุ่มผู้หญิงในพื้นท่ีดังกล่าว อาจทาให้เข้าใจมุมมองของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ท่ี
เลือกการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนามาเป็นที่พึ่งทางใจได้มากข้ึน ท้ังน้ีผู้ศึกษามุ่งเน้นท่ี 3
ประเด็นหลัก ประเด็นแรก คือ การค้นหาว่าผู้หญิงที่เลือกมาปฏิบัติธรรมและบวชท่ีสานักวิปัสสนา

5

กัมมัฏฐานแห่งนม้ี ีปจั จัยในการเลอื กพุทธศาสนาเปน็ ทพ่ี ึ่งทางใจในชีวิตอย่างไร ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่
เส้นทางการปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งจริงจังจนไม่คิดละทิ้งหรือเปล่ียนไปหาที่พ่ึงทางใจอ่ืน รวมถึงพิจารณาว่า
ประสบการณแ์ ละทัศนคติที่แตกต่างกันของผู้หญิงแตล่ ะคน มจี ุดรว่ มทที่ าให้เลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพึ่ง
ทางใจเหมือนกันหรือไม่ ประเด็นต่อมา คือ หลังจากที่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐานที่
สานกั วิปสั สนากัมมฏั ฐานแลว้ กลุ่มผูห้ ญงิ เหลา่ นพี้ บการเปล่ยี นแปลงทม่ี ผี ลต่อชีวิตของตนเองในแง่มุม
ใดบ้าง จึงเป็นเหตุผลที่ทาให้เชื่อม่ันว่าพุทธศาสนาคือที่พึ่งทางใจท่ีดีที่สุดในฐานะมนุษย์คนหน่ึง
ประเด็นสุดท้าย คือ ผู้ศึกษามองว่าการเลือกบวชหรือปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา อาจเป็น
การปรับตัวรูปแบบหนึ่งของผู้หญิงต่อค่านิยมทางเพศและค่านิยมอ่ืนๆ ในสังคมไทย ซ่ึงต้องไป
พิจารณาจากผู้หญิงในกลุ่มที่เข้าไปศึกษาว่าการบวชชีและการเป็นนักปฏิบัติธรรมในฐานะฆราวาส
มีผลต่อตัวตนของปัจเจกบุคคลเช่นไร

ผ้ศู กึ ษาพิจารณาวา่ การทก่ี ลุ่มผู้หญงิ ในสงั คมไทยเหลา่ นีพ้ ยายามเข้าหาพทุ ธศาสนา ท้ังการถือ
ศลี บวชชีอย่างเคร่งครัด การปฏิบตั ิธรรม รวมถงึ การทากิจกรรมทางศาสนาแบบทั่วไป เช่น การเข้าวัด
การทาบุญ การให้ทาน การสวดมนต์ และการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ อาจเป็นผลมาจาก
การปรับตวั ต่อคา่ นิยมในสังคม ไม่ว่าจะเป็นค่านิยมการบริโภควัตถุนิยมหรือค่านิยมทางเพศที่ผู้หญิงมี
สถานะและบทบาทหนา้ ทีท่ ่เี ป็นรองจากผชู้ าย ซึง่ มีผลทาให้ผู้หญิงกลุ่มน้ีต้องแสวงหาพื้นท่ีอันเป็นท่ีพึ่ง
ทางใจ เพื่อแสดงจดุ ยืนในการใช้ชวี ติ ของตนเอง โดยไม่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ทางสังคม ด้วยเหตุน้ีผู้ศึกษา
จึงเลือกใช้แนวคิด “เทคโนโลยีการสร้างตัวตน” ของฟูโกต์ที่อธิบายถึงการที่ผู้หญิงดูแลตนเอง
โดยปรับตวั ไปตามความจรงิ ที่สังคมสร้างขนึ้ ด้วยกระบวนการสร้างตวั ตนอยา่ งการเอาตนเองเข้าสู่วาท
กรรมทางพุทธศาสนา เพ่ือจุดประสงค์ในการทบทวนตนเอง ทาความเข้าใจตนเองและส่ิงต่างๆ ที่มา
กาหนดควบคมุ กระท่งั เปน็ อิสระทางจิตใจ รู้เท่าทันว่าจะสามารถปรับตัวและดารงอยู่ภายใต้ข้อจากัด
นนั้ ตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งไร นอกจากนี้ผศู้ ึกษายังใชแ้ นวคิดเรื่อง “วาทกรรม อานาจ และความรู้เก่ียวกับความ
เป็นเพศ” มาพิจารณาโครงสร้างทางความคิดเรื่องความเป็นผู้หญิงในสังคมไทยร่วมด้วย ทั้งน้ีเพ่ือทา
ความเข้าใจระบบความคิดเร่ืองความเป็นหญิง ก่อนจะนาไปศึกษากลุ่มผู้หญิงในสังคมไทยสมัยใหม่ที่
เลอื กพทุ ธศาสนามาตอบสนองต่อความต้องการทางดา้ นจิตใจใหเ้ ข้าใจละเอยี ดลึกซึ้งมากยิง่ ขึ้น

6

วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษา
1) เพื่อให้ทราบถึงเหตุปัจจัยท่ีทาให้ผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่เลือกที่พึ่งทางใจเป็นพุทธ

ศาสนาแทนการเลือกทพ่ี ่ึงทางใจอน่ื
2) เพือ่ ทาความเข้าใจถึงการเปล่ียนแปลงท่ีมีผลต่อตัวตนของผู้หญิงท่ีเลือกพุทธศาสนาเป็น

ที่พงึ่ ทางใจ

สมมตฐิ านของการศกึ ษา
การเลอื กพุทธศาสนาเป็นทีพ่ ง่ึ ทางใจของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ ถือเป็นความพยายามท่ี

จะปรับตัวต่อค่านิยมในสังคม โดยแสวงหาแนวทางการใช้ชีวิตท่ีช่วยให้สามารถรับมือและจัดการกับ
อารมณค์ วามรูส้ กึ ท่ีไม่มนั่ คงทางจิตใจของตนเอง เมื่อต้องดารงอยู่ในสังคมท่ีอ่อนไหวต่อการเกิดปัญหา
ความทุกข์ ด้วยเพราะถูกครอบงาจากวาทกรรมหลักในสังคม ทัศนคติและประสบการณ์ส่วนตัวของ
ผ้หู ญงิ แต่ละคนที่เข้าไปศึกษาจะสะท้อนให้เห็นว่า การเข้าวัดฝึกปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา
คือการสร้างตัวตนรูปแบบหนึ่งที่ปัจเจกบุคคลเลือกให้เป็นพ้ืนที่เฉพาะ เอาตนเองเข้าสู่กระบวนการ
สร้างตวั ตนด้วยวาทกรรมทางพุทธศาสนาที่มีหลักคาสอนและแนวทางการปฏิบัติเป็นเครื่องมือในการ
เรียนรู้วิธีท่ีจะทาให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงได้ดีขึ้น มีสติปัญญาในการคิดการตัดสินใจดีขึ้น
จากการทบทวนตนเอง เขา้ ใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ รู้จักปล่อยวางจากสิ่งท่ีทาให้เกิดทุกข์
และมุ่งสกู่ ารละทิ้งตัวตนเพ่ือหลุดพน้ จากวาทกรรมต่างๆ ในท้ายท่ีสดุ

ขอบเขตของการศกึ ษา
1) ขอบเขตเชิงเนื้อหาและการวเิ คราะห์
นาเสนอประสบการณ์และทัศนคติที่แตกต่างกันของผู้หญิงแต่ละคนท่ีเข้ามาบวชและ

ปฏิบตั ิธรรมทสี่ านักวิปัสสนากมั มฏั ฐาน วดั สัมพันธวงศารามวรวิหาร เพ่อื ทาความเขา้ ใจถึงเหตุปัจจัยท่ี
สนับสนุนให้ผู้หญิงกลุ่มนี้เลือกพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ และมารวมกลุ่มกันที่สถานท่ีปฏิบัติธรรม
แห่งน้ี รวมถึงพิจารณาในแง่มุมเก่ียวกับการปรับตัวของผู้หญิงต่อค่านิยมทางเพศในสังคมไทย โดยใช้
แนวคิดเรื่องวาทกรรมเก่ียวกับความเป็นเพศและแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสร้างตัวตน เป็นฐานใน

7

การวิเคราะหก์ ลมุ่ ผูห้ ญงิ ที่เข้าไปศึกษาวา่ แนวคดิ คาสอนและหลักในการปฏบิ ตั ิธรรมตามแนวทางพุทธ
ศาสนามีผลตอ่ การมองตัวตนของผู้หญิงทแี่ ตกต่างจากก่อนเลือกพทุ ธศาสนาเปน็ ท่พี ึ่งทางใจอย่างไร

2) ขอบเขตเชงิ ภาคสนาม
ผู้ศึกษาเลือกสานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

เป็นพ้ืนที่สนามในการศึกษาทาความเข้าใจมุมมองของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ท่ีศรัทธาในพุทธ
ศาสนาและการปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐาน เนื่องจากพ้ืนท่ีดังกล่าวเป็นองค์กรทางศาสนา
รูปแบบใหม่ ท่ีตั้งอยู่บริเวณชุมชนเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีผู้คนเข้ามาฝึกภาวนาเจริญสติมาก
จานวนหน่ึง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัยทางาน จึงทาให้ผู้ศึกษามีความสนใจในทัศนคติมุมมองและ
ประสบการณ์ของผ้หู ญงิ ที่มาท่ีน่ี เพอ่ื ใช้พทุ ธศาสนาเป็นทีพ่ ่งึ ทางใจให้กบั ตนเอง โดยจะศึกษาผ่านกลุ่ม
ประชากรตัวอยา่ งทพ่ี บในพ้นื ที่ ดงั น้ี

2.1) กลุ่มผู้หญิงท่ัวไปท่ีเข้ามาปฏิบัติธรรม ณ สานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศาราม
วรวหิ าร เพื่อทาความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งทางใจ ในแง่ท่ี
มผี ลตอ่ ตัวตนและการใชช้ ีวติ ในฐานะนักปฏบิ ัติของผหู้ ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหม่

2.2) กลุ่มแม่ชีท่ีพานักอยู่ท่ีสานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เพื่อทา
ความเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติมุมมองในการตัดสินใจเลือกบวชและปฏิบัติธรรมตามวิถีทางแห่งพุทธ
ศาสนาอยา่ งเครง่ ครัดในแงท่ ี่มีผลตอ่ ตวั ตนและการใช้ชีวติ ในฐานะแมช่ ีในสงั คมไทยปจั จบุ ัน

สถานทใ่ี นการศกึ ษา
สานกั วิปัสสนากมั มฏั ฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวิหาร
เลขที่ 579 ถนนวานิช 1 แขวงสมั พันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ จังหวัดกรงุ เทพมหานคร 10100

ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รบั
1) เขา้ ใจถึงเหตุปัจจยั ที่ทาให้ผู้หญิงไทยในสังคมสมยั ใหม่บางคนเลอื กเข้าวดั และปฏบิ ัติ
ธรรมแทนการเลือกที่พึง่ ทางใจอื่น
2) ทราบถงึ ประโยชนข์ องการเลือกพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจในแง่ที่มีผลต่อตวั ตนของผู้
หญิงไทยในสงั คมสมัยใหม่

8

3) เป็นขอ้ มูลแกผ่ ู้ทีส่ นใจวถิ ีชวี ิตของผูห้ ญิงไทยท่ีศรัทธาในพทุ ธศาสนาและการปฏิบัติธรรม

ระเบียบวธิ วี จิ ยั

การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเป็นที่พ่ึงทางใจของผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่
กรณีศึกษา สานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร” ผู้ศึกษาใช้
ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นหลักในการศึกษา เพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูล
เชิงลึก ท้ังจากการรวบรวมข้อมูลแบบปฐมภูมิและทุติยภูมิ ซึ่งคัดเลือกโดยพิจารณาเน้ือหาที่สัมพันธ์
กับประเด็นศึกษา แบ่งออกเปน็ ข้ันตอนดงั น้ี

1) การศึกษาข้อมูลและค้นคว้าข้อมูลเบ้ืองต้น (แบบทุติยภูมิ) โดยรวบรวมงานวิจัยเชิง
เอกสารในรูปแบบหนังสอื วทิ ยานพิ นธ์ บทความในวารสาร และสือ่ ออนไลนต์ ่างๆ ที่มีเน้ือหาเก่ียวข้อง
กบั เรื่องเพศ สตรีศึกษา และพุทธศาสนา เพ่ือทาความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นผู้หญิง ท้ังในแง่มุมของ
บทบาท สถานะ และวัฒนธรรมที่แตกต่างของผู้หญิงแต่ละสังคม ตลอดจนเรื่องราวที่สัมพันธ์กับพุทธ
ศาสนาภายใตบ้ ริบทสังคมไทย เพอ่ื นาไปสนบั สนุนการศกึ ษาขอ้ มูลภาคสนามเบอ้ื งต้น

2) การเกบ็ ขอ้ มูลภาคสนาม (แบบปฐมภูมิ) ใชว้ ิธีการสงั เกตการณอ์ ยา่ งมีส่วนร่วม โดยเรียนรู้
แนวทางการปฏิบัติ และพดู คยุ สัมภาษณ์กลมุ่ ผู้หญิงทม่ี าปฏบิ ตั ิธรรมในช่วงเวลาท่ีเข้าไปศึกษา จานวน
7 คน จากกลุม่ ประชากรหญิงชายทั้งหมด ท้ังนี้ผู้ศึกษาสุ่มเลือกจากผู้หญิงที่มีอายุ อาชีพ และพ้ืนฐาน
ทางสังคมแตกต่างกัน เพ่ือให้เห็นความหลากหลายของทัศนคติและประสบการณ์ของผู้หญิง รวมถึง
เลือกสัมภาษณ์กลมุ่ แมช่ ีทพ่ี านกั อยู่ ณ สถานปฏบิ ัติธรรมแห่งนี้ จานวน 3 คน เพ่ือเป็นภาพสะท้อนให้
เห็นถึงมุมมองของผู้หญิงที่มีต่อพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมตามแบบวิปัสสนากรรมฐาน
ท้ังประสบการณ์ก่อนและหลังฝึกปฏิบัติ ตลอดจนผลลัพธ์ที่มีต่อตัวตนของผู้หญิงท่ีเลือกพุทธศาสนา
เปน็ ที่พึง่ ทางใจ รวมท้ังสิน้ 10 คน 10 ตวั อย่าง

3) รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการค้นคว้าข้อมูลเบ้ืองต้น การสังเกตการณ์อย่างมีส่วน
รว่ มและการสัมภาษณ์มาจัดเรียบเรียง เพ่ือนาไปพิจารณาตีความและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ จนได้
ผลสรุปท่ีสามารถอธิบายประเด็นเร่ืองการเลือกพุทธศาสนาเป็นท่ีพึ่งทางใจ ของผู้หญิงไทยในสังคม
สมัยใหม่

9

กรอบแนวคิดทฤษฎี

การศกึ ษาวิจัยครงั้ นี้ ผู้ศกึ ษาเลือกใช้แนวคดิ เรื่อง วาทกรรม อานาจ และความร้เู ก่ียวกับความ
เป็นเพศ เป็นกรอบแนวคิดหลักในพิจารณาเก่ียวกับ “ความเป็นผู้หญิงไทย” ท่ีสังคมสร้างข้ึนเป็น
ความรูแ้ ละความจรงิ ให้คนไทยยอมรับร่วมกัน พร้อมกับการพิจารณาถึงการขับเคล่ือนของสังคมไทยสู่
ความเป็นสังคมสมัยใหม่ อันก่อให้เกิดค่านิยมแบบสังคมบริโภค ซ่ึงผู้ศึกษามองว่าสองปัจจัยดังกล่าว
เป็นส่วนหนึ่งท่ีทาให้ผู้หญิงสมัยใหม่พยายามแสวงหาท่ีพ่ึงทาง ใจเพ่ือปรับตัว ต่อค่านิยมในสังคม
ทั้งค่านิยมทางเพศท่ีผู้หญิงมีสถานะและบทบาทหน้าที่ท่ีเป็นรองจากผู้ชายและค่านิยมในการบริโภค
วัตถุนิยม ซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเหตุน้ีผู้ศึกษาจึงเลือกใช้แนวคิดเร่ือง เทคโนโลยี
การสรา้ งตัวตน มาอธบิ ายวธิ ีการปรับตวั ตามความจรงิ ทางสังคมของผหู้ ญงิ ไทยบางกลุ่ม ด้วยการเลือก
พุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเป็นการถือศีลบวชชีอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติธรรม หรือการทา
กิจกรรมทางศาสนาแบบทั่วไป เช่น การเข้าวัด การทาบุญ การให้ทาน การสวดมนตร์ และการเข้า
ร่วมพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เพื่อแสดงจุดยืนในการใช้ชีวิตของตนเอง โดยไม่ยึดติดอยู่กับกรอบ
ความคิดเรือ่ งเพศทสี่ ังคมไทยกาหนด ทงั้ นีผ้ ู้ศกึ ษาได้ทาแผนภาพกรอบความคิดที่เชื่อมโยงกับขอบเขต
การศึกษาท้ังหมด เพื่อความสะดวกต่อการทาความเข้าใจกลุ่มผู้หญิงไทยที่เลือกพุทธศาสนาเป็นที่พ่ึง
ทางใจในสังคมสมัยใหม่

10

การสร้างวาทกรรม อานาจ และความรู้ การพฒั นาสคู่ วามเปน็ สังคมสมยั ใหม่
เก่ียวกบั ความเป็นเพศ ค่านิยมแบบสังคมบรโิ ภคนิยม

ค่านยิ มทางเพศเก่ียวกบั
ความเป็นผู้หญิงในสงั คมไทย

การแสวงหาท่พี ึง่ ทางใจ
ขอ

การปรับตัวต่อคา่ นยิ มทางสังคม
ดว้ ยพุทธศาสนา

การบวชชี การปฏบิ ัตธิ รรม การทากจิ กรรมทางศาสนา

เทคโนโลยีการสร้างตวั ตน
(Technologies of the self)

ภาพที่ 1.1 กรอบแนวคดิ และขอบเขตการศกึ ษา
กลุ่มผู้หญงิ ไทยในสงั คมสมยั ใหมท่ ่ีเลอื กพุทธศาสนาเป็นท่ีพ่ึงทางใจ

ภาพโดย อธชิ ญา สขุ ธรรมรัตน์ เม่อื 8 พฤศจกิ ายน 2560

11

โครงสร้างของรายงานการศึกษาเฉพาะบุคคล

ในงานศึกษาวิจัยคร้ังน้ี ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าและการลงพื้นที่ภาคสนามมา
อธิบายประเด็นที่เชื่อมโยงเก่ียวกับการทาความเข้าใจกลุ่มผู้หญิงไทยในสังคมสมัยใหม่ท่ีเลือกพุทธ
ศาสนาเป็นที่พงึ่ ทางใจ โดยแบ่งเนอ้ื หาออกเป็น 5 บท ดงั นี้

บทท่ี 1 บทนา กล่าวถึงท่ีมาของความสนใจในประเด็นที่ทาการศึกษา ความเป็นมาและ
ความสาคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ สมมติฐาน ขอบเขตของการศึกษา ระเบียบวิธีการวิจัย
ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ กรอบแนวคิดที่ใช้ในการศึกษา และแผนการดาเนินงานวิจัย เพ่ือให้ทราบ
ถงึ รายละเอยี ดของงานศึกษาวิจยั ชนิ้ น้ี

บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง แบ่งเน้ือหาออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ
การอธิบายถึงแนวคิดที่ใช้ในการศึกษาวิจัย ได้แก่ แนวคิดเร่ืองวาทกรรม อานาจและความรู้เก่ียวกับ
ความเป็นเพศ และแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสร้างตัวตน ส่วนที่สองคือการนาข้อมูลที่ได้จากการ
ค้นคว้าข้อมูลเอกสาร หนังสือวิทยานิพนธ์ งานวิจัย บทความในวารสาร และส่ือออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง
กบั ประเดน็ ศกึ ษา มารวบรวมเพอื่ ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการอ้างองิ และการพจิ ารณาทาความเข้าใจให้
เหน็ ถงึ แนวทางการศกึ ษาต่อไป

บทท่ี 3 ผู้หญิงกับการนับถือพุทธศาสนา เสนอภาพรวมของผู้หญิงกับการนับถือพุทธศาสนา
ต้ังแตจ่ ุดเรมิ่ ต้นของผูห้ ญิงทีน่ บั ถอื พทุ ธศาสนาต้งั แต่แรกเริ่มในพุทธกาล จนถึงการนับถือของผู้หญิงใน
สังคมไทย และวิถีแห่งการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนาภายใต้บริบทผู้หญิงไทยในสังคม
สมยั ใหม่ ท่สี ามารถนาไปใช้เป็นข้อมลู พน้ื ฐานในการศึกษาทาความเขา้ ใจกล่มุ ผู้หญิงในพื้นทส่ี นาม

บทที่ 4 สานักวิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร อธิบายต้ังแต่ประวัติความ
เป็นมาของสานักปฏิบัติธรรม ผู้นาที่มีบทบาทสาคัญในการฝึกปฏิบัติธรรม ตลอดจนถึงแนวทางการ
ปฏบิ ตั ิทีส่ านักแห่งน้ใี ช้อบรมแกผ่ ูท้ ่สี นใจ

บทท่ี 5 10 ภาพสะท้อนของผู้หญิงที่เลือกพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ นาเสนอประสบการณ์
และทัศนคติของผู้หญิงในกลุ่มประชากรตัวอย่างท่ีมาปฏิบัติธรรมและบวชชีรักษาศีลอยู่ท่ีสานัก
วิปัสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร โดยรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากการสัมภาษณ์และการ
สังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม มาอธิบายภาพสะท้อนของผู้หญิงท่ีศรัทธาในพุทธศาสนาและเลือกพุทธ
ศาสนาเปน็ ท่ีพงึ่ ทางใจ สาหรับใช้เปน็ ขอ้ มูลเพื่อการตคี วามวเิ คราะหใ์ นบทถดั ไป

12

บทที่ 6 วเิ คราะห์และสรปุ ผลการศึกษา คือการนาข้อมูลทั้งหมดท่ีได้มาวิเคราะห์เชื่อมโยงกับ
แนวคดิ เร่ืองวาทกรรม อานาจและความรู้เกี่ยวกับความเป็นเพศ และแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสร้าง
ตัวตน ภายใต้ขอบเขตท่ีกาหนด หลงั จากนัน้ จงึ สรปุ ผลการศึกษาออกมาเปน็ รปู ธรรมอยา่ งสมบรู ณ์

แผนการดาเนนิ งานและระยะเวลาทาการวจิ ยั

งานศึกษาวิจัยคร้ังนี้ใช้ระยะเวลาในการศึกษารวมทั้งสิ้น 10 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม
2560 จนถงึ เดือนพฤษภาคม 2561 แบง่ ออกเปน็ ช่วงเวลาดังนี้

สิงหาคม - พฤศจิกายน 2560 คน้ ควา้ ข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกบั ประเดน็ ท่สี นใจ
จากงานวจิ ัยเชิงเอกสาร หนังสือ วิทยานพิ นธ์
บทความในวารสาร ส่อื ออนไลน์ เพอื่ ทาความเข้าใจ
กลุม่ คนท่ีต้องการศึกษาและหาแนวทางการศึกษาตอ่ ไป

กนั ยายน - ธนั วาคม 2560 ลงพ้นื ทีเ่ ก็บข้อมลู ภาคสนาม โดยการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ
และการสงั เกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม เรยี นรวู้ ิธีปฏบิ ตั ิ

พดู คยุ สอบถามเกย่ี วกับมุมมอง ทัศนคติและ
ประสบการณ์ท่ีแตกตา่ งกันของผหู้ ญงิ แตล่ ะคน

มกราคม - มนี าคม 2561 นาข้อมูลที่ได้จากการเกบ็ ข้อมูลทงั้ สองส่วน
มารวบรวมตีความ และวเิ คราะห์เช่อื มโยงกับแนวคิด

ทฤษฎีทเี่ ลือกใชใ้ นประเด็นที่ทาการศึกษา

เมษายน - พฤษภาคม 2561 สรปุ ตรวจทาน แก้ไข และจดั ทารูปเล่ม

บทที่ 2
แนวคดิ ทฤษฎแี ละวรรณกรรมที่เกยี่ วขอ ง

การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยในสังคมสมัยใหม
กรณีศึกษา สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร” ผูศึกษาได
ทําการทบทวนแนวคิดทฤษฎีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวของกับประเด็นดังกลาว โดยจะนําเสนอเปน
2 สว นในบทนี้

สวนแรก คือแนวคิดและทฤษฎีท่ีเก่ียวของ ผูศึกษาเลือกใชแนวคิดเร่ือง วาทกรรม อํานาจ
และความรเู ก่ยี วกบั ความเปน เพศ และแนวคดิ เรื่องเทคโนโลยีการสรา งตัวตน (Technologies of the
self) สว นทีส่ อง คอื งานวิจยั และวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวของ แบงออกเปน 2 ประเด็น ไดแก วรรณกรรม
เก่ยี วกบั ผูหญิงในสังคมไทยและวรรณกรรมเก่ยี วกับผูหญงิ ในแงม ุมทางพทุ ธศาสนา เพอื่ เปนประโยชน
ในการนํามาวิเคราะหแ ละเช่ือมโยงกบั ประเด็นที่ทาํ การศกึ ษา

แนวคิดและทฤษฎีที่เกยี่ วขอ ง
แนวคดิ เรอ่ื งวาทกรรม อํานาจ และความรเู กย่ี วกบั ความเปนเพศ
ทัศนะของมเิ ชล ฟโู กต (Michel Foucault, 1926-1984) กลาววา “อํานาจ” มีอยูทุกที่และ

อยูในทุกปฏิสัมพันธทางสังคมของมนุษย มีหลากหลายศูนยกลาง และไมไดถูกจัดระเบียบดวย
หลักการเดียวหรือดํารงอยูท่ีสถาบันใดสถาบันหนึ่ง แตอํานาจแฝงอยูในทุกแงมุมทางสังคม
โดยดาํ เนนิ การผา นปฏิบัติการทางวาทกรรม ผลิตสรางความคิดในเร่ืองความจริงข้ึนมาใหกลายเปน
ความรูความเขา ใจเกีย่ วกับสง่ิ ตางๆ (วารณุ ี ภรู สิ ินสทิ ธ์,ิ 2545: 166)

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตรก อใหเ กิดระบบการผลติ ชดุ ความรใู นรปู ของศาสตรที่หลากหลาย
เพื่อสรางคําอธิบายตอสิ่งตางๆ โดยอางความถูกตองในวิธีการศึกษาและการไดมาซ่ึงขอมูลเชิง
ประจักษ ผูเช่ียวชาญแตละศาสตรจะไดรับการสถาปนาและสิทธิอํานาจในการสรางความรู ตัวบท
(text) ถอ ยแถลง (statement) อกี ทง้ั ยงั กําหนดวาจะสรางความรูใดบาง ใชวิธีการอยางไร และเพื่อ

13

14

ประโยชนข องใคร สิ่งใดผดิ สง่ิ ใดถกู ความชอบธรรมเหลา นที้ าํ ใหความรูท่ีถูกสรางขึ้น มีอิทธิพลตอวิธี
คิด ความคิด และความเชื่อของสาธารณชน นําไปสูการใหคุณคา การวางกฎเกณฑกติกา การบังคับ
ทั้งทางตรงและทางออมใหสมาชิกในสังคมยึดถือและปฏิบัติตามรวมกัน (McNay, 1992 อางถึงใน
นภาภรณ หะวานนท, 2555: 30-31)

ฟูโกตช้ีใหเห็นวา เม่ือมีการผลิตความรู ยอมมีการตอยอดความรู และการไหลเวียนของ
ความรู กอ เกิดเปนชดุ ของวาทกรรม อนั หมายถึงชุดของกฎเกณฑท ถ่ี กู สรา งข้ึน ดวยจดุ มุง หมายในการ
สถาปนามโนทัศนของสิง่ ใดสงิ่ หนงึ่ ใหกลายเปน ท่ียอมรับรวมกันวา เปน ความจริงทางสังคม สรรพสิ่งที่
ดาํ รงอยูในสงั คมลว นเปน ผลผลติ ของวาทกรรมแทบท้ังสิน้ รวมถึงเปนตัวกําหนดการกระทําและการ
ปฏสิ มั พนั ธร ะหวา งบคุ คล อํานาจของวาทกรรมจงึ แพรกระจายอยทู ั่วไป ไมเ พียงจํากัดเฉพาะกลุมคน
แตแ ทรกอยูในเครอื ขายของความสัมพันธท่ีกอตัวเปนโครงสรางสังคม โดยสมาชิกจะกระทํา ปฏิบัติ
และแสดงออกตามกฎเกณฑกตกิ า ตลอดจนพยายามควบคุมตัวเองและควบคุมผูอ่ืน เพ่ือใหสามารถ
ดาํ รงชวี ติ อยูในสังคมนั้นได (นภาภรณ, 2555: 30-31)

วาทกรรมและความรู (Discourse and Knowledge) ตามแนวคิดของฟูโกต ไมเพียงแตทํา
หนา ท่ีสรา งความจริงข้นึ มาวาส่ิงใดที่สามารถพดู คดิ หรือใหอํานาจในการแสดงออกวา บคุ คลสามารถ
ทําอะไร ที่ไหน เวลาใดไดเทาน้ัน หากแตยังเปนตัวกําหนดความหมายและความสัมพันธทางสังคม
ดวยการสรา งผกู ระทําและความสัมพนั ธเ ชิงอํานาจข้ึน ขณะเดียวกันก็กีดกันหรือแทนท่ีสิ่งที่มีลักษณะ
แตกตา งออกไป ฟูโกตเห็นวาการจัดกระทําสิ่งใดตองมีอํานาจที่เขามากํากับ เพ่ือใหเกิดการยินยอม
และการยอมรับ ซึง่ อํานาจรปู แบบหนง่ึ ท่เี ขาเห็นวา มคี วามสําคัญคืออํานาจของความรู เพราะความรู
สามารถแสดงถงึ สภาพของความเปน จรงิ ได ดงั เชน ความรทู ี่ต้งั อยูบนหลักการทางวิทยาศาสตรและวิธี
วิจัยทางวิทยาศาสตร อันเปนวิธีการคนหาความจริงของโลก ซ่ึงไดรับการยอมรับอยางเปนสากล
ความรใู นลักษณะน้จี งึ เปรียบเสมือนความจรงิ ท่ีพจิ ารณาวา มอี ํานาจมาก เนือ่ งจากเปนวิธกี ารท่ชี วยให
คนตระหนกั ถงึ การมีเหตผุ ล ปลดปลอ ยจากอาํ นาจเดมิ ทีค่ รอบงํา ตลอดจนสามารถแสดงออกถงึ ความ
เปน ตัวของตวั เองและพฒั นาตัวเองไดอ ยา งอสิ ระเตม็ ที่ (Usher & Edwards, 1994 อางถึงใน อุษณีย
ธโนศวรรย, 2555: 52-53)

การแบง แยกความแตกตา งทางเพศทพ่ี บเหน็ ในทุกสังคมโลก ก็ถือเปนอํานาจของวาทกรรม
อยา งหน่ึงท่เี กิดจากความตองการในการจดั ระเบียบทางสงั คมของมนษุ ย วาทกรรมวาดว ยเร่ืองเพศนน้ั
ถูกสรางขึ้นผานความรูชุดตางๆ ที่นําไปสูการสรางกฎเกณฑกติกาหรือบรรทัดฐานใหคนในสังคม

15

ปฏิบัติตาม อํานาจท่ีสรางผานความรูดังกลาวสามารถเขาไปจัดการกับบุคคลในระดับความเชื่อ
เพราะทาํ ใหผ ูคนยอมรบั และเขาใจวาเปนความจริงหรือเปนธรรมชาติที่ไมอาจเปล่ียนแปลงได (นภา
ภรณ, 2555: 42)

หากพิจารณาจะพบวา เรือ่ งเพศอยใู นทกุ แงมมุ ทางสงั คม ปจ เจกบุคคลมักถกู ควบคุมผานการ
เปน เพศใดเปน เพศหนึ่งเสมอ สงั คมกาํ หนดความเปนหญิงและความเปนชายในลักษณะคูสัมพันธกัน
เพ่ือเปนบรรทัดฐานทางสังคมท่ีทําใหคนตระหนักถึงความเปนตัวเองและการแสดงออกในเพศวิถี
(Sexuality)1 ของตนเอง สังคมสวนใหญท่ัวโลกที่มีระบบสังคมแบบชายเปนใหญ ลวนใชวาทกรรม
ทางวิทยาศาตรท เี่ ก่ยี วกับมนษุ ยและปฏิบตั กิ ารทเ่ี กยี่ วของกบั วาทกรรมในการดาํ เนนิ ชีวติ ท่ีสงเสริมให
ผูชายควรไดรับโอกาสและอํานาจทางสังคมมากกวาผูหญิง มาประกอบสรางความเปนหญิงใหคนใน
สงั คมยอมรบั รวมกนั เปนความรแู ละความจริง (เพ่งิ อา ง: 29)

บรรทัดฐานทางเพศที่สังคมสรางขึน้ นเ้ี ปนรปู แบบหนึง่ ของอาํ นาจท่ีสงผานระบบความรเู ขา ไป
กําหนดใหค วามเปนหญิงมีสถานะและบทบาทหนาท่ีดอยกวา ผูชายดว ยเพศสภาพ อาจกลา วไดวาเพศ
เปนความจริงที่ถูกประดิษฐขึ้นโดยเทคโนโลยีของอํานาจเพื่อใชกําหนดอัตลักษณใหกับบุคคล
ปจเจกชนจงึ เปนทัง้ วัตถุ เครือ่ งมอื และสื่อทีใ่ ชใ นการบรหิ ารอาํ นาจ ไมเ พียงแตไดร ับการกลอมเกลาให
ความรเู รอ่ื งเพศ จากการอบรมสง่ั สอนของครอบครัว สถานศึกษา หรือชุมชนเทานั้น หากแตยังไดรับ
การหลอหลอมทัศนคติ บรรทัดฐาน คานิยมทางเพศ ตามชวงชั้นที่สังคมกําหนดดวยระเบียบวินัย
อนั เปนกฎกตกิ าความรวู าดว ยการอยูรวมกนั ในสงั คม ทั้งนเ้ี พ่อื จัดระเบียบและควบคุมพฤติกรรมของ
สมาชกิ ในสงั คมใหเปน ไปในทิศทางท่ีตอ งการ (อุษณยี , 2555: 55)

สังคมใดกต็ ามท่ใี หความสาํ คัญและอํานาจแกผ ชู าย พืน้ ทสี่ าํ หรับผูหญิงมักปรากฏในรปู แบบท่ี
ใหการสนับสนุนตอความตองการของเพศชายเทานั้น ถือวาการกําหนดสรางความรูเร่ืองเพศเปน
ยุทธศาสตรของการปกครองและการควบคมุ ความสมั พันธข องมนุษย ยกตวั อยา งเชน คานยิ มของการ

1 เพศวิถี (Sexuality) หมายถึง ภาพตัวแทนหรือชุดของพฤติกรรมหรือขอกําหนดในฐานะ
บรรทัดฐานเร่ืองเพศที่ทําใหบุคคลรูสึก เขาใจ กระทํา และจัดระเบียบชีวิตของตนไปในลักษณะใด
ลักษณะหนง่ึ (Martinsson et al., 2007 อา งถงึ ใน นภาภรณ, 2555: 29)

16

เปนหญิงทด่ี ีในสังคมไทย ก็เปนวาทกรรมทางเพศอยา งหนง่ึ ท่แี สดงใหเ ห็นถึงการกาํ กับความคดิ ของคน
ไทยวาผูห ญงิ จะตองบรสิ ุทธิ์ ไมควรมีความรหู รอื มีความตอ งการทางเพศ (เพิ่งอา ง: 55)

ในหนังสอื “การสรางความฉลาดรูเ รอื่ งเพศในวัฒนธรรมบริโภค” อษุ ณีย ธโนศวรรย (2555)
ไดอธิบายถงึ ความรูเรอื่ งเพศในสงั คมไทย โดยแบงออกเปน 3 ชวงสมัย ดังน้ี

1) ยคุ กอ นเปด รบั อารยธรรมตะวันตก

ในยคุ นส้ี ังคมไทยมีความผูกพนั ใกลช ดิ กับพทุ ธศาสนามาก ฐานะทางสังคมของผูชายกบั ผหู ญงิ
อยใู นระดบั ที่แตกตางกันอยางชัดเจน ผูชายมีสถานะเหนือกวาเพราะเปนผูสืบวงศสกุลและเปนผูท่ี
สามารถบวชเรียนได สวนผูหญิงมีบทบาททางสังคมโดยการอิงกับผูชาย สนับสนุนผูชาย ผลิตลูก
เล้ียงดูลูก และทํางานในครัวเรือน ไมมีโอกาสไดรับการศึกษาหรือบวชเรียนในวัด ซึ่งเปนแหลงให
ความรทู ่สี ําคญั ท่สี ุดแกประชาชนคนไทยสมัยโบราณกาล

การสรางความรเู รอื่ งเพศในยคุ สมัยน้ถี ูกมองในแงของความอุดมสมบูรณ เร่ืองเพศเปนเร่ือง
ธรรมชาติและปกติธรรมดาของชีวิตโลก แตค วามเปนชายและความเปนหญงิ กม็ กี ารอบรมสัง่ สอนผา น
คุณลักษณะที่พึงประสงค เพื่อกํากับพฤติกรรมทางเพศ หากสังเกตจะพบวาสุภาษิต โคลง กลอน
วรรณกรรม หรือภาพจิตรกรรมฝาผนงั ในวดั จะมีการปลูกฝงคานิยม ความคิด ความเช่ือ ซ่ึงสะทอน
เรื่องเพศในแงว ถิ ีชวี ติ บทบาทหนาท่ี รวมถงึ การกระทําทางเพศท้ังในเชิงขบขันและเชิงสังวาส ท้ังยัง
สอดแทรกคําสอนทางพุทธศาสนาไวดวย เพื่อใหผูคนพิจารณาวา แมความตองการทางเพศจะเปน
องคประกอบหน่ึงของการดาํ เนนิ ชีวติ แตกเ็ ปนตณั หาที่ทําใหเ กิดทกุ ข ฉุดรัง้ มนุษยจ ากการบรรลุธรรม

นอกจากน้ีอทิ ธิพลของหลกั ธรรมคาํ สอนที่พระพุทธองคบัญญัติสิกขาบทไวเม่ือคร้ังยังมีชีวิต
อยู ไดกลาวถึงการปฏิบัติตนของสงฆกับฆราวาสหญิง เชน การรับของประเคน การจับตองกาย
การปฏิบัตติ นระหวา งภิกษุกับภิกษณุ ี การหามมิใหภิกษุณีมีคูครองหรือเสพกามคุณ การปฏิบัติตนที่
เหมาะสมในฐานะบดิ า มารดา อาจารย บุตร ภรรยา มิตร สมณพราหมณ หรือท่ีเรียกวาทิศหกตาม
หลกั ทางพทุ ธศาสนา กย็ งั มีความสําคญั ตอคนในสมยั นี้ จงึ สะทอ นใหเห็นวาการสรางความรูเร่ืองเพศ
ยคุ กอนเปด รับอารยธรรมตะวนั ตก ต้ังอยบู นอดุ มการณทางศาสนา โดยปลูกฝงวาเปาหมายของชีวิต
คอื การหลุดพน จากวฏั สงสาร หากแตอ ปุ สรรคสาํ คญั ที่ทําใหคนตดิ กบั ดัก คอื เร่อื งเพศและการเสพกาม
คุณ หรอื การลุมหลงในรูป รส กลนิ่ เสยี ง สมั ผัส ดังน้ันการสรางความรูเรื่องเพศจึงเปนส่ิงท่ีสามารถ
เขามาควบคุมผานการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว สถาบันการศึกษา และบรรทัดฐานในสังคมที่
สมาชิกอาศัยอยู

17

2) ยุคการพัฒนาประเทศไปสคู วามทันสมัย

เร่มิ ตงั้ แตท ่ปี ระเทศไทยมกี ารตดิ ตอสัมพันธท างการคา กับประเทศตะวนั ตกในชวงรัชกาลท่ี 5
ทําใหเกิดการรับเอาวัฒนธรรม ความรู วิทยาการทางการแพทยแบบสมัยใหมเขามามีอิทธิพลตอ
อุดมการณความคิดเกี่ยวกับการจัดระเบียบเรื่องเพศ จากแตเดิมท่ีการกํากับพฤติกรรมทางเพศจัด
กระทําในรปู แบบของการใหค วามรเู ร่ืองเพศ ผานหลกั คําสอนทางพุทธศาสนา การอบรมส่ังสอนโดย
ครอบครวั และบรรทดั ฐานของสังคมหรอื ชมุ ชน ถกู ปรบั รูปแบบและเน้อื หาไปอยูในวิชาเพศศึกษาท่ีมี
การจัดการเรียนการสอนในระบบโรงเรียน หากแตขอบขายของวิชาดังกลาวกลับอยูในกรอบของ
การศกึ ษาเรอื่ งกายวิภาค สรรี วทิ ยา ระบบสืบพนั ธุของเพศชายและหญิง การทําใหเกดิ ทารก และการ
เรียนรจู ติ วิทยาระหวางเพศเทา นนั้

สังคมไทยในยคุ นม้ี องเร่ืองเพศเปน เพยี งเรือ่ งของการเจริญพันธุ การมีเพศสัมพนั ธเปนไปเพ่ือ
การใหกาํ เนิดมนษุ ย สวนเรอ่ื งเพศทอ่ี ยใู นมติ อิ ่ืนไดร บั การพจิ ารณาวา อนาจาร ไมจัดวาเปน ความรูแ ละ
ถูกสงั คมมองวาเปนเรือ่ งไมเ หมาะสม ลักษณะการถา ยทอดระบบคิดดังกลาวไดรับอิทธิพลมาจากยุค
วิคตอเรยี ในประเทศองั กฤษ งานศึกษาประวัติศาสตรเ พศวถิ ใี นสงั คมตะวันตกของฟูโกต (1978 อางถงึ
ใน นภาภรณ, 2555: 31-32) แสดงใหเห็นวา ในชวงยุควิคตอเรียเร่ืองเพศเปนเร่ืองท่ีถูกกดทับไว
ไมค วรพูดถงึ ในทีส่ าธารณะ เพราะเปนเร่ืองในบานหรือในครอบครัว เม่ือบุคคลพูด คิด หรือกระทํา
ทางเพศท่ีตนเองเชอื่ วาไมถูกตอ ง ไมเหมาะสม จะตองไปสารภาพบาป ที่โบสถ ซ่ึงเปน พื้นท่ีสาํ หรบั ผูท่ี
ตองการปลดปลอยตนเองจากการประพฤตผิ ิดในเร่ืองเพศ ฟูโกตเ สนอวาการทําใหเร่ืองเพศเปนเรื่อง
ปกปดหรอื ไมสมควรถกู พดู ถึงนถ้ี ือเปน การจัดระเบยี บทางทางสงั คมรูปแบบหนงึ่ โดยผทู ีม่ อี ํานาจทาง
ศาสนาจะเปนผูกําหนดควบคุมคนท่ัวไปวาอะไรสามารถทําไดและอะไรท่ีไมสามารถทําไดในเร่ือง
เกย่ี วกับเพศ การสารภาพบาปจงึ เปน กิจกรรมที่ทําใหเ ร่ืองเพศจํากดั ปรมิ ณฑลอยูที่พระกับผูสารภาพ
เรียกไดว า ในยคุ นผี้ ทู ่ีมอี าํ นาจทางศาสนาคือผทู ม่ี ีอิทธิพลตอทัศนคติ คานิยม ความคิด ความเช่ือของ
สมาชกิ ในสังคม ไมว า จะเปน พทุ ธศาสนาหรือครสิ ตศาสนา ความรเู ร่อื งเพศไดถกู ทําใหเ ปน เครอ่ื งมือใน
การกําหนดพฤติกรรมของคน เพื่อจัดระเบียบไมใหเกิดความวุนวาย และควบคุมคนใหเปนไปตาม
อดุ มการณของผทู ม่ี อี ํานาจในสังคมนนั้ (อางแลว: 64)

อยางไรกต็ าม แมสงั คมไทยจะรบั เอาอารยธรรมตะวันตกและความทันสมัยเขามา ทั้งวิถีชีวิต
แบบคนทันสมัยดวยการใชส อ่ื ตางๆ การศึกษาเลาเรียนท่ีตา งประเทศ หรอื การรบั เอาความหมายเรอ่ื ง
เพศแบบใหมจนทําใหคนไทยเปดรับคานิยมเก่ียวกับการแสดงออกทางเพศและพฤติกรรมทางเพศ

18

อยางเปด เผยมากขึน้ สงั เกตไดจากการปรับเปล่ยี นกฎหมายหรือคานยิ มทางเพศบางอยาง เชน การมี
ครอบครัวแบบผัวเดยี วเมยี เดียว การจดทะเบยี นสมรสเพ่อื เปนสัญญาที่บงบอกถึงการเปลี่ยนสถานะ
ทางสงั คม และอ่นื ๆ ตามท่ีพบเหน็ ในปจ จบุ นั แตท วา การใหค ณุ คา ตอ ความเปนเพศหญิงในสังคมไทย
กลับไมเปลย่ี นแปลงตามไปดวย

จากงานวจิ ัยของจักรกฤษณ พญิ ญาพงษ (2552 อา งถงึ ใน อษุ ณีย ธโนศวรรย, 2555: 68-69)
ไดศ ึกษาเกี่ยวกับเพศวิถีในสังคมไทย โดยรวบรวมทัศนคติความเชื่อทางเพศท่ียังคงหลงเหลืออยูใน
สังคมไทยปจจุบันไวห ลายประการ ดังนี้

1) ความเช่อื วา ผชู ายเปนมนษุ ยเ พศท่เี หนอื กวา ผหู ญิง และผูหญงิ ออนแอกวาผูช าย
2) ความเชอ่ื วาผหู ญิงเปนเพยี งสมบัตขิ องผชู าย
3) ความเช่ือวาความตองการทางเพศของผูชายเปนสิ่งจําเปนที่จะตองหาทางปลดปลอยหรือ
ตอบสนองอยางนาเห็นใจ ขณะที่ความตอ งการทางเพศของผหู ญิงไมจาํ เปนตองทําเชนนน้ั
4) ความเชอ่ื วาผูช ายท่ีแทหรอื ชายชาตรตี อ งมคี วามตอ งการทางเพศสงู
5) ความเชือ่ วา ผูชายมีความตอ งการทางเพศสงู กวา ผูหญงิ
6) ความเชื่อวาเปน เรอื่ งธรรมดาทีผ่ ูชายจะมีเพศสมั พันธก ับผหู ญิงหลายคน
7) ความเช่ือวาเปน เรอื่ งปกติที่ผชู ายสามารถออกไปหาความสุขทางเพศนอกบา นได
8) ความเชอ่ื วาโสเภณมี ีไวเพ่ือแกป ญหาความตองการทางเพศของผชู าย
9) ความเช่อื วา การเทย่ี วโสเภณเี ปน ความชอบธรรม เพราะผหู ญิงไดเ งนิ ตราเปน การตอบแทน
10) ความเชอ่ื วาผหู ญงิ เปน วัตถทุ างเพศ (Sexual Object) หรอื ส่ิงทสี่ ามารถหาซ้ือไดด วยเงินตรา
อาจมสี ภาพเหมือนเคร่อื งเลน หรอื นางทาสบนเตียง
11) ความเชื่อวาผชู ายไมม ีความจาํ เปนตอ งรับผิดชอบหลงั มเี พศสัมพนั ธ

คุณสมบัติของชายชาตรีเหลา นก้ี อ เกิดเปนมายาคตทิ ีท่ าํ ใหคนในสังคมไทยยอมรับวา ผูชายมี
อํานาจเหนือกวาผูหญิงในระบบความสัมพันธระหวางเพศ ท้ังเรื่องการแสดงออก ประสบการณ
ความตองการ ผลผลติ (เดก็ ท่ีคลอดออกมาใชนามสกุลตามพอ ) สวนเพศหญงิ ตกอยใู นฐานะทีเ่ ปน รอง
มีหนาท่ีตอบสนองความตอ งการทางเพศใหก ับฝา ยชาย และจะไดร ับการยอมรับในการแสดงออกทาง
เพศก็ตอเม่ืออยูในสถาบันการแตงงาน กรณีที่ไมอยูในสถาบันการแตงงาน การมีเพศสัมพันธของ
ผูหญิงถือเปนเรื่องไมถูกตอง และหากเกิดการต้ังครรภข้ึน ท้ังฝายหญิงที่ตั้งครรภและฝายชายที่ไม
รับผิดชอบจะถกู ตําหนแิ ละผลักใหอยนู อกกรอบของการยอมรับจากสังคม (อษุ ณยี , 2555: 69-70)

19

การกําหนดใหผูช ายเทานั้นที่มบี ทบาทนําในเรอ่ื งเพศ ผหู ญิงตอ งไมเ ดียงสาเรื่องเพศจงึ จะเปน
ผูบริสุทธ์ิสะอาด เปนกุลสตรี สงผลใหความรูเรื่องเพศในสังคมไทยยุคนี้เปนเรื่องของผูชายเทาน้ัน
ซ่งึ ผูช ายสามารถเขา ถงึ ไดต ลอดเวลา ไมว าจะโดยผานการพูดคุยแลกเปล่ียน การหาประสบการณจริง
กับหญิงขายบริการ หรือการเรียนรูผานสื่อตางๆ ในขณะที่ผูหญิงสามารถเขาถึงเร่ืองเพศไดอยาง
เหมาะสมเมอื่ แตง งาน จงึ เปน เหตทุ ่ีทาํ ใหผหู ญงิ มีโอกาสเขาถึงความรูเรื่องเพศและเรื่องอื่นๆ ไดนอย
กวาผูชายและอาจแตกตางกันตามระดับชนชั้น เพราะถึงแมผูหญิงที่ไดรับการการศึกษาจะเริ่มมี
บทบาททางสงั คมและเศรษฐกิจมากขึ้น จนสามารถเลือกอาชีพไดอยางหลากหลาย แตความรูเรื่อง
เพศเก่ียวกับผูหญิงของสังคมไทยยุคนยี้ งั อยใู นกรอบทจี่ ํากดั (เพ่งิ อา ง: 72)

3) ยุควฒั นธรรมบรโิ ภคนยิ ม

เม่ือสังคมเคล่ือนตัวเขาสูวัฒนธรรมบริโภคดวยแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตาม
แนวเสรีประชาธิปไตย ผนวกกับการเขามาของระบบทุนนิยมท่ีใชเงินตราเปนสื่อกลางในการ
แลกเปล่ียนสินคาและบริการ ความหมายของส่ิงตางๆ ที่คนเคยยึดถือรวมกันก็เริ่มเปล่ียนแปลงไป
เนื่องจากความทนั สมยั ของสังคมโลกซ่ึงใหความสําคัญกับการพัฒนาทางดานเทคโนโลยี โดยเฉพาะ
การติดตอสอื่ สารผา นสอื่ อิเล็กทรอนกิ ส สามารถสงผานและถายทอดวัฒนธรรม คานิยม พฤติกรรม
ใหก ับคนในสังคมทั่วโลกไดอ ยา งรวดเรว็ จนผคู นมคี วามหลากหลายของความรแู ละประสบการณมาก
ข้ึน ตลอดจนมีทางเลือกใหกับตนเองมากข้ึน เพราะความเชื่อเก่ียวกับเพศวิถีแบบเกาๆ ถูกร้ือถอน
นิยามตายตวั ทีเ่ คยปดกั้นความคิดวาเปนความจริงหนึ่งเดียวกลายเปนส่ิงท่ีพนสมัย เรียกไดวาสังคม
สมัยใหมทําใหคนเปดรับความแตกตางอยางที่ไมเคยเปนมากอน นอกจากนี้วัฒนธรรมบริโภคยัง
กอ ใหเ กิดพ้ืนท่ีใหผ ูหญงิ ขัดขนื และทาทายตอ กฎเกณฑทีส่ ังคมสรางไว ดังจะเห็นไดวาผูหญิงไทยเร่ิมมี
อิสระในการแสดงออกมากข้ึน ไมวาจะเปนการแสดงออกทางดานรางกาย การแสดงออกทางดาน
อารมณค วามรสู ึก การแสดงออกทางดานความคดิ เห็นการแสดงออกในเร่ืองเรื่องเพศ หรือแมกระท่ัง
การสวมใสเสื้อผา ซึ่งแตเดิมผูหญิงตองอยูภายใตอัตลักษณความเปนหญิงท่ีสังคมจํากัดสิทธิบาง
ประการมาโดยตลอด (นภาภรณ และอษุ ณีย, 2555: 39, 74)

จากสงั คมประเพณีดั้งเดิม อันเปนสังคมท่ีปจเจกบุคคลถูกกําหนดใหทําตามส่ิงท่ีจารีตของ
สงั คมกาํ หนดสูการเปน สงั คมสมยั ใหมท ่ีปจ เจกบุคคลสามารถถอนตัวเองออกจากขอผูกมัดทางสังคม
เพราะสือ่ ท่ีไดรับสงผานขอมูล ขาวสาร ภาพลักษณ ภาพตัวแทนในเร่ืองคุณคา ความงาม ความพึง

20

พอใจ และการดํารงชีวติ ในรูปแบบตา งๆมายังปจเจกบคุ คล ทาํ ใหค นสามารถตั้งคาํ ถามกบั ตนเองไดว า
ตองการอะไร และจะมีปฏสิ มั พันธก บั ผูอื่นอยางไร เมื่อปจ เจกบคุ คลรจู ักอํานาจในตนเองจึงเริม่ ตอ รอง
กับสงิ่ ทีส่ งั คมกําหนดและพยายามมองหาพ้นื ทท่ี างสังคมสาํ หรับการสรางอัตลักษณทีต่ นเองปรารถนา
ดวยเหตผุ ลและวธิ กี ารมองโลกในแบบของตนเอง (นภาภรณ, 2555: 5)

เมื่อพิจารณาความรูเรื่องเพศในสังคมไทย ท่ีแตกตางกันใน 3 ชวงสมัยดังกลาว จะพบวา
วิวัฒนาการของความรูเรื่องเพศ ต้ังแตกอนสังคมทันสมัยท่ีเรื่องเพศผูกโยงอยูกับหลักปฏิบัติทาง
ศาสนา กระทงั่ เปลยี่ นไปผกู โยงกบั วิทยาศาสตรและการเจรญิ พันธุในยุคพัฒนาสูความทันสมัย จนถึง
ยุควัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ปจเจกบุคคลมีอิสระในการปรับตัวและเขาถึงอัตลักษณและตัวตนของ
ตนเองไดม ากข้นึ สะทอนใหเหน็ ถึงการทีค่ วามรเู รื่องเพศเปนวาทกรรมท่ีถูกผลิตซํ้าใหเ ปนภาพตายตัว
เพื่อใชเ ปนเคร่ืองมือในการบรรลุเปาหมายของสังคม แตขณะเดียวกันวาทกรรมเรื่องเพศก็ถูกทําให
เปนสงิ่ ท่ไี มสมควรคดิ พูด หรอื กระทําไดอยางเปดเผยเทา สงั คมตะวันตก เน่ืองจากการใหความรูเร่ือง
เพศในระบบการศึกษาไมไ ดปรับตัวตามไปดวย ดังนั้นคนในสังคมไทยสวนใหญจึงรับรูเร่ืองเพศที่ถูก
สรางขนึ้ เปนความจรงิ เพียงบางสว น (อษุ ณีย, 2555: 78-79)

ผูศึกษาเห็นวา แนวคิดเร่ืองวาทกรรม อํานาจและความรูเกี่ยวกับความเปนเพศของมิเชล
ฟูโกต สามารถนํามาใชพ ิจารณาศกึ ษาเกี่ยวกับ “การเลอื กพทุ ธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจของผูหญิงไทย
ในสงั คมสมยั ใหม กรณีศกึ ษา สํานกั วิปส สนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร” ได เน่ืองจาก
การที่จะทําความเขาใจถึงการตัดสินใจเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงแตละคนนั้น
ตองยอ นดูถึงโครงสรางความคิด อนั รวมถงึ ความรูเ ก่ยี วกับความเปนเพศทค่ี นไทยถูกสังคมหลอหลอม
มาเสียกอน เพื่อทําความเขาใจสถานการณที่ปจเจกบุคคลเคยหรือกําลังเผชิญ จนเปนเหตุจูงใจ
ประการหนึง่ ท่สี งผลใหผ หู ญิงบางกลมุ เลง็ เหน็ วาการบวชและการปฏบิ ัติธรรมนน้ั สามารถเตมิ เตม็ ความ
มัน่ คงขา งในจติ ใจ

21

แนวคดิ เรื่องเทคโนโลยีการสรางตวั ตน (Technologies of the self)

แมค วามเปน หญิงทสี่ งั คมสรางขึ้นจะทาํ ใหบ ุคคลเช่ือวา ตองดําเนินชีวิตตามกรอบแนวคดิ เร่ือง
เพศท่ีสังคมกํากับถึงจะเปนท่ียอมรับโดยปกติ แตวิถีทางเพศของมนุษยไมจําเปนตองมีแบบแผน
ตายตัว หากสังเกตในสงั คมปจจบุ นั จะพบวาไมใชทุกคนท่ียอมสยบตอ วาทกรรมความเปนเพศที่จํากัด
สิทธิบางประการในชีวติ โดยไมตั้งคําถามหรือทําตามอยางไมขัดขืน ย่ิงเม่ือบุคคลนั้นรูจักตนเอง รูวา
อะไรเปนสิง่ ท่ตี อ งการและเหมาะสมกบั ตน กส็ ามารถดํารงอยูใ นสงั คมไดอยา งรเู ทา ทันกฎเกณฑกตกิ า
ที่สังคมบีบรดั อยู

หนังสือ The Archaeology of Knowledge ฟูโกต (1978 อางถึงใน อานันท, 2552: 50)
ไดชี้ใหเ ห็นวา วาทกรรมท่ีถกู สรางข้ึนในแตล ะชว งสมยั ของประวัติศาสตรเปนความรูและความจริงท่ีมี
อสิ ระในตวั เอง จงึ สงผลใหว าทกรรมมีอาํ นาจในการกําหนดบงการผูท่ีอยูภายใตวาทกรรม จนบุคคล
เหลาน้นั กลายเปนเพียงรางกายใตบงการ ซึ่งหมายถึงการถูกกระทําครอบงําดวยความรูทั้งท่ีเจาตัว
ยนิ ยอม ดงั เชน วาทกรรมเกยี่ วกบั ความเปนหญิงในสังคมไทยท่ีมีมาตั้งแตอดีต ก็สะทอนใหเห็นไดวา
เราตกอยใู นวาทกรรมความเปนเพศจากนิยามทผี่ ูมอี าํ นาจในสงั คมผลติ ข้ึนมา เพือ่ ใหเ ปน ความจรงิ ทาง
สังคมทีท่ าํ หนา ทีค่ วบคมุ ตวั ตนของปจ เจกบคุ คล กระทั่งคนในสังคมเช่ือวาตนเองตองปฏิบัติตามเพศ
วถิ ที ีส่ ังคมกํากับจึงจะถือวาถูกตองและไดรับการยอมรับ ในขณะที่สูญเสียความเปนตัวเองจากการ
ยอมรบั วาทกรรมดังกลาว

ฟโู กตเสนอวา การทําความเขา ใจความจรงิ ทีส่ งั คมกําหนดไปพรอมกับการทําความเขา ใจความ
จริงของตัวปจเจกเอง จะทําใหมนุษยสามารถหลุดพนจากวาทกรรมหลักในสังคมได เขาจึงมุงเนน
ศึกษาทป่ี ฏิบัติการของวาทกรรม ดวยเล็งเห็นวา การที่มนษุ ยถูกควบคุมและยอมรับวาทกรรมท่ีสังคม
กําหนด เทากับเปนการยนิ ยอมใหป จเจกบุคคลไมม ีอิสระในการคิดหรือเขาใจโลกในแบบของตนเอง
ซึ่งแทจ รงิ แลวมนษุ ยเ รามสี องดานทข่ี ัดแยง กัน ดานหนงึ่ ตกอยูในวาทกรรมหรือโครงสรางของสังคมที่
เขามาควบคุมตัวตน อีกดานหนึ่งมนุษยตางมีอิสระเสรีที่จะควบคุมตนเองใหเปนไปในลักษณะท่ี
ตองการ พลังท่ีขัดแยงในตนเองน้จี ะเปนสิง่ ท่ีชว ยปลดปลอยมนุษยออกจากวาทกรรมหลักของสังคม
สาํ หรบั บางคนอาจเลือกเขาสวู าทกรรมอ่ืนที่ตนเองยินยอม เพือ่ หลดุ ออกจากวาทกรรมเดิมท่ีกําหนด
ควบคุมอยู ดว ยการสรา งตัวตนของตนเองข้ึนมาผานวาทกรรมใหม (อานันท, 2552: 105)

ทุกคนมีสิทธิที่จะตอรองโดยสรางอัตลักษณ (Identity) หรืออัตตา (Self) ใหกับตนเอง
ไมจ าํ เปน ตอ งขน้ึ อยกู บั วาทกรรมหลกั หรืออดุ มคตขิ องสงั คมที่เขา มาบงการตัวเรา กลาวคอื ถา เรามอง

22

วาความคดิ ของแตล ะคนมอี ํานาจและอสิ ระในตัวเอง เราก็จะสามารถยอมรับความคิดของแตละคนได
วาเปนความจริงในแบบของตนเอง ฟูโกตใหความสําคัญกับอัตตาดวยความเชื่อที่วา มนุษยเราจะ
ตอ รองกบั วาทกรรมในสงั คมไดก ต็ อเม่ือบคุ คลนั้นรูจักตนเอง จากการทบทวนตนเอง ทําความเขาใจ
ตนเอง ทําความเขาใจความจริงทสี่ งั คมกาํ กับ สามารถสรางตัวตนใหกับตนเอง เพอ่ื หลดุ พน จากกรอบ
คา นยิ มหรือวาทกรรมทีส่ ังคมควบคุมใหเรายอมรับและยึดถือปฏิบัติได ตัวอยางเชน วาทกรรมเร่ือง
ความงาม หากเราทําความเขาใจวาวาทกรรมความงามที่สังคมสรางข้ึน เปนเพียงรูปแบบหนึ่งของ
ความจริงเก่ยี วกบั ความงามทีถ่ ูกประกอบขนึ้ มาใหค นในสังคมมีความพอใจในมายาคติเกี่ยวกับความ
งามในลกั ษณะเดียวกัน อันเปนการบรรลุวัตถุประสงคบางอยาง ซึ่งในโลกนี้ยังมีความงามอีกหลาย
แบบทเี่ ปนความจรงิ เชน กัน การทเี่ รารจู กั ตัวเองวามมี มุ มองตอความงามอยางไร จะทําใหเราไมยึดติด
อยกู ับคา นยิ มหรือมายาคตนิ ั้น อีกท้งั ยงั สามารถมคี วามสุขกับความงามในแบบของตนเองเขาใจหรือ
แบบทีต่ นเองสรา งข้ึนได (อานนั ท, 2552: 94-95)

นอกจากน้ีฟูโกตยังพิจารณาถึงปญหาของอัตตา และไดสรางกระบวนการคิดที่เรียกวา
“การเจริญสติเชิงวิพากษ” ขึ้นมา โดยหมายถึงการทบทวนตนเองอยางวิพากษวิจารณ เพ่ือใหเกิด
ความตระหนกั รู มิใชเ พ่อื สงเสริมวาตนเองทําดแี ลว แตห ากเปนการวิพากษวิจารณตนเองใหรูจักและ
เขา ใจตนเองอยเู สมอ ซงึ่ ถอื เปนคุณลักษณะของมนุษยส มยั ใหมทม่ี ีความสรา งสรรคในตนเอง (อานนั ท,
2552: 185-186)

ตอมาจึงเกิดแนวคิด “เทคโนโลยีการสรางตัวตน” หรือเทคโนโลยีท่ีอธิบายถึงการที่มนุษย
สามารถพิจารณาไดว าอะไรคือความจรงิ สําหรบั ตนเอง อันเปนวิธีการดูแลตนเองแบบหน่ึง ดวยหลัก
วิธกี ารดงั ตอไปนี้

1) ทบทวนความคิดของตนเองท่ีผูกตดิ อยูกับกฎเกณฑกตกิ าของสังคม
2) ทําความเขาใจความคดิ ทฝ่ี ง อยภู ายในกับความบริสุทธ์ิท่ฝี ง อยใู นตน
3) ทบทวนวาความคิดของตนเองตอบสนองตอสง่ิ ทเ่ี ชอ่ื วาเปน ความจรงิ อยางไร

การท่ีผูหญิงในสังคมไทยพยายามหาทางออกดวยการเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ
ก็ถอื เปน แนวทางที่ปจ เจกบุคคลมองหาพืน้ ท่เี ฉพาะเพือ่ ทบทวนความจริงภายในจิตใจของตน ผานการ
กระทําตอรางกาย จิตวิญญาณ ความคิด และวัตรปฏิบตั ิของตนเอง โดยใชแนวคดิ และหลักปฏิบตั ิทาง
พุทธศาสนาเปน เคร่ืองมือในกระบวนการสรา งตวั ตน เพ่ือเปนจุดยนื ในการใชก ารชวี ติ และเปลยี่ นแปลง
ตนเองใหม หัวใจสําคัญของเทคโนโลยีการสรางตัวตนคือการทบทวนและสรางความจริงข้ึนมาบน

23

พื้นฐานของการตระหนักรูในปญหาของตนเอง เพ่ือใหบุคคลเขาใจตนเองและสามารถปรับตัวให
ดาํ เนินชวี ติ อยใู นสงั คมที่เตม็ ไปดว ยวาทกรรมและขอ กําหนดตา งๆ ได (นภาภรณ, 2555: 46)

ฟโู กตมองวาหากเรายอมสยบตอ วาทกรรมทส่ี ังคมกําหนด อาจทําใหเราหมดความเปน มนุษย
ลงในท่สี ดุ เขาจึงเสนอประเดน็ เก่ียวกบั การท่มี นษุ ยสมยั ใหมควรมคี วามสามารถในการวิพากษวจิ ารณ
ตนเอง รูจักทบทวนตนเอง ทําความเขาใจตนเอง พัฒนาตนเองใหมีสติ และนิยามความจริงในแบบ
ของตนเองได อนั เปนการสรางสรรควธิ ีการใชชีวิตดว ยการมองอัตตาในเชิงบวก ฟูโกตใหความสําคัญ
กับความเปนปจเจกชนแบบกา วหนา ผา นแนวคิดกระบวนการสรา งตวั ตนและการแยกตวั เองออกจาก
วาทกรรมท่ีครอบงําอยู ซึ่งเปนปฏิบัติการทางอัตตาที่อยูในระดับจริยธรรม โดยกาวกระโดดจาก
ชุดความคิดหนึ่งไปสูอีกชุดความคิดหนึ่งจนทําใหตระหนักรูในตัวตน กระท่ังหลุดพนออกจากการ
ครอบงําของวาทกรรมหลัก เขาใหความสําคญั กับจรยิ ธรรมในการดาํ รงชีวติ มองวาเปนความสามารถ
ของมนุษยใ นการดํารงตวั ตนใหอยูในสังคม โดยไมตกเปน ทาสของความปกติธรรมดาท่ีสังคมพยายาม
ยดั เยียดใหเ ปนความจรงิ เพยี งหน่ึงเดยี ว

แนวทางของฟูโกตที่เนนความเปนปจ เจกชนแบบกาวหนา นี้ มีสาระสําคัญในการเคารพสิทธิ
ของผูอ่นื ยอมรับความแตกตางของมนษุ ย ไมใ ชการยดึ เอาตนเองเปน ใหญ แตเปน การรจู ักตนเองและ
ไมปลอ ยใหต นเองเปน ทาสของการถกู ควบคมุ โดยสังคมโลก เขาใจวาทุกอยางเปนเร่ืองปกติธรรมดา
และไมจาํ เปนท่สี ังคมตอ งบบี บงั คับใหทกุ คนเดินไปในทางเดียวกันหมด หากยอมรับและเขาใจความ
เปนปจเจกของกนั และกันก็สามารถทําใหอ ยรู ว มกันในสังคมอยา งปกติสขุ ได ท้ังน้ีไมไดหมายความวา
เขาจะละเลยความสัมพนั ธเ ชงิ อาํ นาจท่ีแฝงอยภู ายใตโ ครงสรา งสงั คมอยา งสถาบนั ตางๆ แตเขาเช่ือวา
ทกุ ความสัมพนั ธเ ชงิ อํานาจมที างหนีทไี ลและทางออก ไมมีความสัมพันธเชิงอํานาจใดสามารถกํากับ
ควบคุมทุกชีวิตในสังคมได จึงเปนธรรมดาที่จะเกิดการตอตานหรือการตอสูของบุคคล เพื่อนําไปสู
ความสมั พันธเ ชิงอาํ นาจแบบใหมทใ่ี หผ ลลัพธต อ มนษุ ยในลักษณะท่แี ตกตางกันออกไป

การเลือกพุทธศาสนาเปนทพี่ ง่ึ ทางใจของผูหญิงทีเ่ ขามาปฏิธรรม ณ สาํ นักวปิ ส สนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ถือเปนวิธีการสรางตัวตนของผูหญิงกลุมหน่ึงท่ีพยายามแสวงหาพ้ืนท่ี
ทางใจและแนวทางการใชชีวิต เพ่ือเปนหลักยึดเหน่ียวใหตนเองดําเนินไปสูการหลุดพนจากปญหา
ความไมมน่ั คงทางจิตใจ ซง่ึ เกิดจากวาทกรรมตา งๆ ในสงั คม ดว ยวธิ ีการปฏบิ ัติธรรมตามแนวทางของ
สํานกั ท่ชี วยใหต ัวปจเจกบุคคลไดทบทวนตนเอง ทําความเขาใจตนเอง และรูจักตนเองวาจะใชชีวิต
ตอไปอยา งไร ผา นวาทกรรมความเช่อื กฎเกณฑ และขอปฏิบตั ทิ างพทุ ธศาสนา ซง่ึ เปนเคร่ืองมือที่ถูก

24

สรางขนึ้ ในการใชค วบคุมตัวตนใหเขา สกู ระบวนการละท้งิ ตัวตนในทายท่ีสดุ เพราะหากไมมีกฎเกณฑ
หรือขอปฏิบัติท่ีถูกตองก็อาจทําใหบุคคลน้ันหลงอยูในกับดักที่ตัวเองสรางข้ึน หรือติดอยูกับหลัก
เหตุผล หลงในอัตตาตวั ตนมากเกนิ ไป จนไมส ามารถแกไ ขปญหาหรือตอ รองอาํ นาจของวาทกรรมหลกั
ไดอยางแทจริง ผลสุดทายก็อาจตกอยูในวาทกรรมที่ตนเองสรางขึ้นเพราะตีความและปฏิบัติอยาง
ไมถกู ตอง

กฎเกณฑและหลักวิธีในการปฏิบัติทางพุทธศาสนาเปนองคประกอบของกระบวนการสราง
ตัวตนท่ีนําไปสูการหลุดพนจากวาทกรรมในสังคมท่ีครอบงําอยู อยางไรก็ตาม การหลุดพนดวย
พุทธศาสนาไมจ าํ เปน วา จะตองดําเนนิ ไปในวถิ ีทางเดียว จะเห็นไดวาแมคนไทยจะนับถือศาสนาพุทธ
แตกม็ กี ารตีความศาสนาในลกั ษณะทแ่ี ตกตางกนั เชน ลทั ธิธรรมกาย ลัทธิเซน หรือแมแตการปฏิบัติ
ธรรมก็มีหลากหลายแนวทางในการปฏิบัติ ที่เปนเชนน้ีก็เพราะมนุษยมีความรูสึกนึกคิด
มีความสามารถในการใหค วามหมายท่ไี มเ หมือนกนั ท้ังน้ีขึ้นอยูกับความตองการของปจเจกบุคคลวา
จะเลอื กทพี่ ่ึงทางใจใหกบั ตนเองดว ยวิธกี ารหรือแนวทางแบบใด เพือ่ ใชในการตอรองรบั มอื กับปญ หาท่ี
พบเจอในชีวติ ประจาํ วัน

ผศู กึ ษาพจิ ารณาวา การเลอื กใชแนวคิดเทคโนโลยีการสรางตัวตนมาทําความเขาใจประเด็น
ศกึ ษาเร่อื ง “การเลอื กพทุ ธศาสนาเปนทพ่ี ่งึ ทางใจของผูห ญงิ ไทยในสังคมสมัยใหม กรณีศึกษา สํานัก
วปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวหิ าร” มีขอ ดีตรงทีม่ ุงเนน ทาํ ความเขาใจตนเองของผูหญิง
บางคนท่ีเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจ รวมถึงทําความเขาใจบริบททางสังคมและเงื่อนไขของ
ความจริงในสังคม ฟูโกตทําใหตระหนักไดวาบริบททางสังคมหน่ึงอาจมีการตีความสิ่งตางๆ
ไดหลากหลายความหมาย ไมม สี ่ิงใดตายตัว เราจึงไมควรยึดมั่นถือม่ันกับความคิดใดความคิดหนึ่งวา
เปนความจริง แตควรทําความเขาใจวามีความจริงอีกหลายชุดท่ีเกิดจากความแตกตางของบุคคล
และการที่เราจะสามารถหลุดพนจากวาทกรรมท่ีครอบงําซอนทับตัวตนเราอยู จําเปนที่จะตองทํา
ความเขา ใจความจริงทางสังคมและความจริงในตวั ปจเจกเองดว ย ไมควรยึดติดอยูกับมุมมองใดเพียง
มุมมองเดียว

แ ม แ น ว คิ ด ข อ ง ฟู โ ก ต จ ะ ไ ด รั บ ก า ร วิ พ า ก ษ วิ จ า ร ณ ว า เ ท ค โ น โ ล ยี ก า ร ส ร า ง ตั ว ต น เ ป น
ความพยายามท่จี ะหลุดพน ออกจากวาทกรรมหลัก แตขณะเดียวกันอาจตกอยูในวาทกรรมอื่นจนไม
สามารถเปนอิสระไดอยางแทจริง เพราะวาทกรรมท่ีปจเจกบุคคลสรางตัวตนขึ้น ก็มีกฎเกณฑขอ
ปฏิบัตอิ ีกชุดหน่งึ ครอบงาํ ตวั ตนอยู อันจะกอใหเกิดความซบั ซอนตอ ตาํ แหนงแหงท่ีของบุคคลมากขึ้น

25

ไปอีก ซึง่ ในท่นี ้ีผูศึกษามองวาอยางนอยการสรางตัวตนก็เปนกระบวนการที่ทําใหมนุษยไดทําความ
เขาใจถงึ ความจรงิ ท่ีสังคมสรา งข้ึนกับความจริงที่อยูในภายในตัวบุคคล ไดพิจารณาความรูสึกนึกคิด
เพื่อใหรูวาตนเองเปนใคร สามารถอธิบายและตอรองกับอํานาจท่ีครอบงําอิสระในตัวบุคคลได
ซ่ึงฟูโกตเรียกกระบวนการน้ีอีกอยางหนึ่งวาเปนศิลปะในการดํารงชีวิตของตนเอง (Art of Self)
เน่ืองจากเปนวิถีทางท่ีมนุษยรูจักสรางความหมายของการดํารงชีวิตใหกับตนเอง (อานันท, 2552:
116-117)

การท่ีผูห ญงิ ดูแลตนเองโดยเลอื กพทุ ธศาสนาเปน ท่พี ึง่ ทางใจ บวชชี และปฏิบัติธรรม เช่ือมั่น
ในหลักคําสอนของพระพุทธเจาดังที่กลาวไววา เพศใดก็สามารถบรรลุธรรมและหลุดพนจากทุกข
ท้ังปวงได แมไมไดอยูในฐานะภิกษุ จึงเปนโอกาสท่ีทําใหผูหญิงมีพื้นท่ีในการสรางตัวตนขึ้นมาใหม
โดยเรยี นรจู ากแนวทางการปฏิบตั ิและการทบทวนจิตใจของตนเอง คนหาวาอะไรคือความจริงในการ
ใชช ีวิตสาํ หรับตนเอง และดํารงอยูภายใตว าทกรรมใหมอนั เปน กระบวนการที่นําไปสูการละทิ้งตัวตน
เพอ่ื ปลอยวางจากการยึดมน่ั ถือมนั่ ในส่งิ ตา งๆ ตลอดจนรูจักและเขาใจตนเองมากขึ้น สามารถรับมือ
กบั ความไมม น่ั คงทางจติ ใจไดม ากขึน้ แตอยา งไรก็ตามการปฏิธรรมของสํานักน้ีเปน เพียงหนทางหนึง่ ที่
ชว ยประคับประคองใหปจเจกมีที่พึ่งทางใจ การท่ีจะปจเจกจะบรรลุจุดมุงหมายแหงความสมบูรณ
พรอมในแบบของตนเองได ตองขึ้นอยูกับปจเจกดวยวาปฏิบัติไดถูกทางหรือไม หากลุมหลงอยูกับ
อัตตาตัวตนมากไป ก็อาจเปนเหตุใหตกอยูภายใตการครอบงําของวาทกรรมที่ตนเองสรางข้ึนมา
ฉะนน้ั จงึ ตอ งคํานกึ ถึงหลกั ของการปฏิบัติธรรมวาเปนการเจริญสติเพ่ือรูทันและเขาใจตนเองเปนสิ่ง
สําคัญ

งานวิจยั และวรรณกรรมทีเ่ กี่ยวขอ ง

การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยในสังคมเมือง
กรณศี กึ ษา สาํ นกั วิปสสนากมั มัฏฐาน วดั สัมพนั ธวงศารามวรวหิ าร กรุงเทพมหานคร” ผูศึกษาเห็นวา
การทจี่ ะทาํ ความเขา ใจกลมุ ผหู ญงิ ท่ีเลือกที่พงึ่ ทางใจใหกับตนเองไดนั้น จําเปนท่ีจะตองยอนกลับไป
พิจารณาถงึ บริบททางประวัตศิ าสตรข องความเปนหญงิ ในสงั คมไทยดว ย เพ่ือใหรูถึงระบบความคิดที่
สัมพันธกับเรื่องเพศ ซึ่งสังคมไดปลูกฝงเอาไวใหคนยอมรับรวมกันตั้งแตอดีตจนกระทั่งถึงปจจุบัน
โดยผศู กึ ษาไดพ ยายามสืบคนเอกสารงานวจิ ัยและวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วขอ งและคาดวามปี ระโยชนต อ การ
นํามาเปน ขอ มลู พ้ืนฐาน จงึ นาํ เสนอเปน ประเภทวรรณกรรมเปน 2 สวน สวนแรก คือ วรรณกรรมท่ี

26

เก่ยี วกับผูห ญงิ ในสังคมไทย และ สวนทสี่ อง คือ วรรณกรรมทเี่ กี่ยวกบั ผหู ญิงในแงม ุมทางพุทธศาสนา
ท้งั น้เี พอ่ื อธบิ ายใหเหน็ ภาพชัดของประเด็นทท่ี ําการศกึ ษาดังตอไปนี้

วรรณกรรมท่ีเกย่ี วกับผูหญิงในสงั คมไทย

ศึกษามงุ เนน ไปที่ประเด็นเกี่ยวกับความเปนหญิงในสังคมไทย สถานะและบทบาททางเพศ
ของผูห ญงิ ในสงั คมไทย รวมไปถงึ เพศวถิ ขี องผหู ญงิ ในสงั คมสมัยใหม

ความเปน หญงิ ในสังคมไทย

ธรรมชาติของผูหญิงและผูชายมีความแตกตางกัน อริสโตเติล (อางถึงใน วารุณี, 2545)
เสนอถงึ ความแตกตา งของผหู ญิงและผูชายเอาไวว า ผูหญิงมีความนมุ นวลและมีความละเอียดซับซอน
กวาผูชายในการจัดการเรื่องตางๆ เชนเดียวกับเพลโตท่ีมองวาผูหญิงมีหนาท่ีอยูในครัวเรือน
ดวยคณุ สมบัติที่สัมพันธใกลชดิ กับธรรมชาติ ท้ังปจจัยทางชีวภาพและปจจัยทางสภาพแวดลอมของ
สงั คมสวนใหญ ทําใหเ หมาะแกการดูแลบา นและเล้ียงดลู กู จากแนวคดิ ดงั กลาวสะทอ นใหเ ห็นถงึ ความ
เชื่อแบบตะวันตก ซ่ึงพิจารณาวาผูหญิงเปนเพศที่สอง มีความสมบูรณในความเปนมนุษยนอยกวา
เพศชาย เนื่องจากผูชายมีความสามารถในการมีเหตุมีผล อันเปนอุดมคติของมนุษย ตลอดจนมี
ลกั ษณะทางกายภาพทีพ่ รอมตอ การผลิตและใชชีวิตสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม คานิยมทาง
เพศของสงั คมสว นใหญจ งึ กาํ หนดใหผชู ายมีสถานะเปน ผูปกครองและมีอํานาจเหนอื กวาผูหญิง

ตามท่ีไดกลาวไปแลวในสวนเนื้อหาเกี่ยวกับวาทกรรมความรูเร่ืองเพศในสังคมไทยวา
อุดมการณชายเปนใหญมีอิทธิพลตอระบบคิดทางสังคมของคนไทยและไดรับการสืบทอดมาเปน
เวลานาน ในลกั ษณะการปกครองแบบราชาธิปไตย รวมถึงอิทธิพลของคติความเชื่อทางพุทธศาสนา
อันเปนสถาบนั ทางสังคมท่หี ลอหลอมคานยิ มทางเพศใหยกยองผูช ายและกีดกนั ผหู ญงิ ดว ยเหตนุ ที้ าํ ให
โครงสรางความคิดเร่อื งเพศของคนไทย โดยเฉพาะสงั คมชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง มักใหคํานิยามทาง
เพศภาวะวาผูชายเปนผูที่เหมาะสมแกอํานาจในการปกครอง เนื่องจากผูชายมีโอกาสและ
ความสามารถในการเรียนรู รวมถงึ เขารว มกจิ กรรมทางสงั คมไดม ากกวา

ขณะเดียวกนั การใหคาํ นิยามทางเพศภาวะของผูหญิงในสังคมไทย ก็ถูกเชื่อมโยงกับอัตลักษณ
และบทบาททางเพศทร่ี ฐั กําหนด เพือ่ จุดประสงคใ นการควบคุมคนในสังคมใหเปนไปตามอุดมการณ
อยางมีเสถียรภาพ จากหนังสือ “ลูกสาวเล้ียงกันยังไงดี” ของ Gisela Preuschoff แปลโดย
อภิญญา พันธุสุวรรณ (2548) แสดงใหเห็นถึงลักษณะการสอนเด็กผูหญิงโดยทั่วไปของมนุษยท่ี

27

หลอหลอมใหเปนไปตามคานิยมท่ีสังคมกําหนด โดยมักเปรียบลูกสาววาเปนภาพสะทอนของแม
เน่ืองจากสวนใหญแมเปนผูที่ถายทอดทัศนคติ ประสบการณ และความเปนหญิงใหแกลูกไดอยาง
ใกลชิดท่ีสุด การหลอหลอมบุคลิกภาพความเปนหญิงดวยกระบวนการปลูกฝงต้ังแตเยาววัย
เปน สิ่งสาํ คัญท่ีคนไทยใชในการจัดระเบียบทางสงั คม เพราะกระบวนการดังกลาวเร่ิมตนจากสถาบัน
ครอบครัวไปจนถึงสถาบันการศึกษา อนั เปนสว นหนึง่ ที่สง ผลใหผ ูห ญิงไทยสวนใหญไดรับความกดดัน
และความคาดหวงั จากพอ แม กระท่ังขาดอิสระในการใชชีวิตในแบบของตนเอง

เมือ่ พิจารณาเหน็ แลววา โครงสรางความคดิ เรือ่ งเพศที่สงั คมไทยกําหนดนิยามความเปนหญิง
มีขอ จาํ กดั อยูใ นกรอบอันคับแคบ ท้ังดานวิถีชีวิต อาชีพ และการวางตัวในสังคม จึงถือวาการศึกษา
ขอ มลู จากหนังสือเลม นเี้ ปนจดุ เรมิ่ ตนท่ดี ี เนอื่ งจากทําใหไ ดมองยอนกลับไปถึงรากฐานของโครงสราง
ทางสงั คมทกี่ ําหนดสถานะและบทบาททางเพศขนึ้ มา จนทาํ ใหเขาใจสภาพความเปนอยูของผูหญิงใน
สงั คมไทยมากขึน้ อยา งไรก็ตามมีงานศึกษาหลายช้ินท่ีชี้ใหเห็นวา ผูหญิงไทยบางสังคมโดยเฉพาะใน
สงั คมเกษตรกรรมสมยั กอนเคยไดรับการยกยองใหมีสถานะเหนือกวาผูชายในฐานะผูใหกําเนิดและ
สัญลกั ษณของความอดุ มสมบรู ณผ า นความเชอ่ื ทองถน่ิ ตางๆ แตห ลังจากทวี่ ฒั นธรรมศาสนาเริ่มเขา มา
มีอิทธพิ ล คติความเช่อื เรื่องการยกยองผูชายและการรับเอารปู แบบการจดั ระเบยี บทางสังคมในระบบ
ปต าธิปไตยกเ็ รมิ่ มบี ทบาทกระจายไปทวั่ ทกุ สังคม หากแตก ลุม ผหู ญงิ ในสังคมชนช้นั สงู และชนชน้ั กลาง
เปนกลมุ ที่สะทอนใหเ หน็ ถึงสถานะและบทบาททางเพศทเ่ี ปน รองไดอยา งชัดเจนทสี่ ดุ

สถานะและบทบาททางเพศของผูหญงิ ในสังคมไทย

เม่อื พจิ ารณาทาํ ความเขาใจเก่ียวกับความเปน หญิงในสงั คมไทยเบ้ืองตน แลว จะพบวา สถานะ
และบทบาททางเพศของผหู ญงิ ไทย อาจแบงออกไดเ ปน 3 บทบาท คือ บทบาทลูกสาว บทบาทเมีย
และบทบาทแม บทความวิจัยในวารสารเพศวิถีเร่ือง “ขอวิพากษมโนทัศนเรื่องเมียในสังคมไทย
พ.ศ. 2394-2478” ของ อมัยษา ไทรงาม-สินสกุล (2554) ไดนําเสนอระบบคิดของการให
ความหมายแกความเปนหญิงในสังคมไทย โดยยกตัวอยางผานสถานะเมีย เพื่อทําความเขาใจ
โครงสรางของการจดั การความสัมพันธท่สี งั คมกําหนด ซงึ่ ขอมูลทางประวตั ิศาสตรท ี่ผูเ ขียนศึกษาจาก
กฎหมายไทย ต้ังแตยุคที่วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเขามามีอิทธิพล จนถึงยุคท่ีมีการสรางกฎหมาย
ครอบครัวขึ้นมาใหมในพุทธศักราช 2478 ไดแสดงใหเห็นภาพของกระบวนการคิดและการกําหนด
บทบาทของผูหญงิ ไทยผานความเช่อื และคานิยมในลกั ษณะตางๆ

28

บทความวจิ ัยเสนอวา มโนทศั นเรอื่ งผูหญิงในสังคมไทย ปรากฏแตกตา งกันโดยแบงออกเปน
3 ชวงสมยั ชวงแรกคือ ยุคกอ นปฏริ ูปประเทศสมัยรัชกาลท่ี 4 เปนชวงที่ระบบคิดของความเปนหญิง
ท่ดี ถี ูกปลูกฝงใหเ รียนรูเพียงการเปน แมศรีเรอื น ทัง้ ในกลมุ ชนช้นั ปกครองและกลุมสามัญชนธรรมดา
เน่อื งจากสังคมไทยมกี ลไกทางสงั คมหลายอยา งทก่ี ําหนดใหความเปน ชายอยเู หนือกวาความเปนหญิง
ไมวาจะเปนปจจัยจากการแบงชนชั้นทางสังคมและปจจัยจากความเช่ือทางพุทธศาสนาท่ีสงผลให
ผูชายมีสถานะสูงกวา ยกตวั อยา งท่สี ังเกตเหน็ ไดชดั คือการบวชเรียน ซึ่งเปน ชองทางการเขา ถึงความรู
ที่เปดโอกาสใหผ ูช ายเปน หลัก สวนการเรียนรูชีวิตของผูหญิงน้ันไมแยกขาดจากงานในครัวหรืองาน
ดแู ลปรนนิบัติสามีและครอบครัว แมหญิงที่มีฐานะสูงศักดิ์จะไมตองทํางานหาเล้ียงชีพเหมือนหญิง
สามัญชน แตบทบาทหนาท่ีสําคัญก็ยังคงปรากฏในลักษณะของการเปนเครื่องมือ เพ่ือสราง
ความสัมพนั ธระหวางครอบครัวดวยการแตงงาน รวมเครือฐาติกับชนช้ันเดียวกัน อันแสดงถึงการท่ี
ผหู ญงิ ในชวงสมัยน้ันตา งกม็ พี นั ธะเชน เดียวกนั คือการจงรักภักดีตอผูชายในครอบครัว ดังท่ีเห็นไดวา
ผูช ายมเี มยี หลายคนเปน เร่อื งธรรมดา แตห ากผหู ญิงคดิ มชี ูตองถกู ลงโทษอยางหนกั

ชว งทส่ี องคอื ยคุ ปฏิรูปประเทศและสถาปนารัฐใหเปนสังคมสมัยใหม หรือประมาณสมัย
รชั กาลท่ี 5-7 ความเปนหญงิ ในยุคนี้มกี ารผสมผสานลกั ษณะแนวคิดด้ังเดมิ ของสงั คมไทยกับความเปน
สมัยใหมแบบตะวนั ตกเขาดว ยกนั กลา วคือ ผูหญิงท่ีดตี อ งเปนคคู ดิ ของผูชายหรือผูเปนสามี มีความรู
มีการศึกษา เพื่อเสริมเกียรติและสถานะทางสังคมใหกับผูชาย ตลอดจนชวยแบงเบาภาระของ
ครอบครัว ทุมเทเสียสละเพ่ือครอบครัวได อันเปนแนวคิดแบบกาวหนาท่ีมองวาผูหญิงก็มีสิทธิ
มีความสามารถในการเรยี นรู และมบี ทบาทหนาท่ีในสังคมไมตางจากผูชาย แตก็ยังคงอยูภายใตการ
ปกครองของผูช ายเชนเดิม

สวนชว งที่สาม คอื ยุคปจจบุ นั เรม่ิ ตนต้งั แตท ี่สังคมมกี ารประกาศใชกฎหมายครอบครัวใหม
ในพุทธศักราช 2478 อันไดแก กฎหมายเกี่ยวกับการมีครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว ซึ่งเปน
อดุ มการณข องรัฐทต่ี องการแสดงความเปนอารยะใหสังคมไทยเชนเดียวกับสังคมตะวันตก มโนทัศน
เรอ่ื งผูห ญงิ จึงเปลยี่ นแปลงจากลกั ษณะเดิมไปในยคุ น้ี กลา วคือ ความเปน หญงิ ถูกสรางขน้ึ ใหม เพื่อใช
เปนเคร่ืองมือในการแสดงออกความเปนรัฐชาติ จะเห็นไดวาความเปนสมัยใหมที่เขามา สงผลให
โครงสรา งทางความคิดเกีย่ วกบั ความเปน หญงิ ในสงั คมไทยมีการเปลยี่ นแปลง ความหมายจากบรรทัด
ฐานหรือจารตี ด้งั เดมิ ไปสูมมุ มองเร่ืองเพศวิถีแบบใหมทีผ่ ูหญิงมสี ทิ ธิในการทํากิจกรรมทางสังคมและ
แสดงออกในดานตางๆ ไดมากขนึ้ (อมรา พงศาพิชญ, 2548)

29

มโนทศั นเร่อื งความเปน หญงิ เหลานีท้ าํ ใหพบแนวทางการศกึ ษาเพิม่ เตมิ วา การทําความเขาใจ
เก่ียวกบั ผูหญงิ ในแตละสังคมวัฒนธรรม ตอ งคํานึงถงึ บรบิ ทและเงอื่ นไขทางสังคมเปนสําคัญ เน่ืองจาก
คานิยมท่ีผูหญิงมีสถานะและบทบาททางเพศท่ีเปนรอง ไมไดมีท่ีมาจากปจจัยทางดานสรีระหรือ
พฤตกิ รรมเพยี งอยางเดยี ว แตปจจยั ทางสภาพแวดลอมอ่ืนก็มีสวนสําคัญในการหลอหลอมความเปน
หญงิ ทีด่ ใี นสังคมไทยขน้ึ มาดว ยเชนกนั

เพศวถิ ขี องผหู ญิงในสงั คมสมยั ใหม

การพัฒนาสูความเปนสมัยใหมของสังคมเมือง กอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงตอผูคนใน
หลากหลายดาน อาทิเชน ดานเศรษฐกิจที่คนในสังคมดํารงอยูไดดวยระบบทุนนิยม อันเปนผลให
นิยามความเปนหญิงทม่ี บี ทบาทหนา ทเี่ ฉพาะในครัวเรอื นนน้ั ถกู ลดคณุ คาลง เพราะผูหญิงหลายคนใช
ความสามารถในครวั เรือนเพื่อแสวงหารายไดเสริม อันเปนเศรษฐกิจแบบยังชีพ นอกจากน้ีการเขาสู
ตลาดแรงงานของผชู าย ก็ทําใหผ ชู ายเร่ิมมีอํานาจทางเศรษฐกิจในครวั เรอื นมากขึน้ จนอยเู หนือผูหญิง
สว นการเปลี่ยนแปลงในดา นการศึกษา จะพบวาระบบการศึกษาถูกใชเปนเครื่องมือในการถายทอดคติ
ความเช่ือของผูมีอํานาจทางสังคมอยางชนช้ันสูงและชนช้ันกลาง ใหผูคนชนชั้นลางเรียนรูเก่ียวกับ
าทกรรมความเปนหญิงที่ลดคุณคาของความสามารถอื่นๆ ท่ีผูหญิงมีลงไปใหเหลือแตเพียงการเปน
แมบา น เรียกไดว าการเปล่ียนแปลงดังกลาวไดสรางความเปนหญิงขึ้นมาใหม เพื่อใชในการกําหนด
โครงสรางความคิดของคนในสังคมไทยใหยอมรับในความเปนหญิงท่ีดีรวมกัน (พนิดา หันสวาสด์ิ,
2544)

นอกจากนี้อิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงสูความเปนสังคมสมัยใหม ยังสงผลใหคนไทย
สวนใหญตกเปน ทาสของวัตถุนยิ ม ผคู นออ นไหวตอ สิ่งตา งๆ งา ยขึ้น หลายคนเปนทกุ ขเ พราะตดิ อยกู ับ
กรอบคา นยิ มทสี่ ังคมสราง ผูหญิงซึ่งเปน เพศที่อยภู ายใตคานิยมทางเพศที่ผูชายกําหนดใหตองอยูกับ
การวางตนเปนหญงิ ในอุดมคติ ตอ งใสใ จเรอ่ื งความสวยความงาม ยอ มไดรบั ผลกระทบจากการปรับตวั
ตอกระแสการเปล่ียนแปลงทางสังคมเชนนี้ แมปจจุบันผูหญิงไทยจะสามารถแสดงออกถึงความ
ตองการของตนเองไดมากขึ้นแลว แตกย็ ังถกู ครอบงาํ ดวยคา นิยมทางเพศแบบเดมิ เนอื่ งจากวาทกรรม
ท่ีไดรับการปลูกฝงมาตั้งแตเด็กนั้นสงผลระยะยาวไปถึงเม่ือโตขึ้น จะเห็นไดวาแมในปจจุบันผูหญิง
บางคนกย็ งั คงมคี วามคิด ความเชือ่ และความพยายามที่จะเปน ผูหญงิ ในแบบทีส่ งั คมยอมรับ

30

บทความวิจัยในวารสารเพศวิถีศึกษาเรื่อง “เพศภาวะและเพศวิถีขามวัฒนธรรม
กรณีศึกษาการยายถ่ินและการแตงงานขามวัฒนธรรมของผูหญิงไทยกับสามีชาวตะวันตก
ในสงั คมปจจบุ นั ” ของ ปณิธี สุขสมบูรณ (2554) ทําใหเห็นวาผลกระทบของการดํารงอยูภายใต
โครงสรา งทางสงั คมท่ีมีคา นิยมทางเพศและแนวคิดเก่ียวกบั ความเปน หญิงท่ีดีซึ่งกําหนดโดยรัฐน้ี ทาํ ให
ผหู ญิงหลายคนเกดิ สภาวะความกดดนั และปญ หาสว นตัวจากกรอบท่ีสังคมสรางข้ึน จึงพยายามที่จะ
มองหาทีพ่ ึง่ หรือแนวทาการดําเนนิ ชวี ิตทช่ี ว ยใหสามารถอยูรอด หลุดพน จากปญ หาความทกุ ขท ี่ตนเอง
ไดรับ ดงั กรณีศึกษาในบทความวิจัยที่ผูหญิงเลือกแตงงานกับสามีชาวดัตช ดวยปจจัยจากแรงจูงใจ
ทางดานเศรษฐกิจและมุมมองที่ชาวตางชาติมีตอผูหญิงไทยในลักษณะท่ีแตกตางจากคานิยมใน
สงั คมไทย อันเปนเหตใุ หผ ูหญงิ บางกลมุ เลอื กแตงงานขา มวฒั นธรรม โดยการทช่ี าวตา งชาตมิ ีภาพรวม
เชงิ เพศภาวะเกี่ยวกบั ผหู ญิงเอเชียท่ีแตกตางจากสังคมของตนเอง เนนย้ําใหเห็นวาแนวคิดเร่ืองเพศ
ภาวะและเพศวิถใี นแตละสงั คมไมเหมอื นกนั ทงั้ น้ีขึน้ อยูกบั จดุ ประสงคท่ีรัฐตองการจัดระเบียบคนใน
สงั คมใหเปนไปตามอดุ มการณ

ปจ จบุ ันผูห ญิงในสังคมสมัยใหมม ที างเลอื กมากขึน้ สังเกตไดจากความตอ งการตอรองอํานาจ
ในตนของผหู ญิงหลายคนทพ่ี ยายามหาตําแหนงแหงท่ี สรา งความเปน ตัวตน และวิธีจัดการกับปญหา
ตา งๆ ดวยตนเอง แตอ ยา งไรกต็ าม ผหู ญงิ สวนหนึ่งก็ยังคงยอมรบั ยดึ ถือกับคานยิ มทางเพศแบบเดมิ ใน
สงั คมไทยท่ผี ชู ายมเี พศสภาวะเหนอื กวา เนอ่ื งจากเหน็ วาสถานะและบทบาททางเพศที่มีอยู ไมไดทํา
ใหชวี ติ สวนตัวเกดิ ปญหาหรอื ขอบกพรอง ทั้งยงั ไดป ระโยชนจากการแบง หนาท่ตี ามเพศสภาวะอีกดวย
ท้ังประโยชนทางดานเศรษฐกิจในครอบครัวจากการแบงหนาที่ท่ีผูชายเปนฝายทํางานหาเงิน
สวนผูหญิงเปน คนทาํ งานในบา นและอยูภายใตอาํ นาจของชายทีป่ กครอง หรือแมกระท่ังการที่ผูหญิง
ไดรับการปกปองดูแลจากงานหนักหรือสถานการณเสี่ยงอันตราย เพราะถูกมองวาเปนเพศท่ี
ออนแอกวา เปน ตน

ทกุ สงั คมลว นมคี วามแตกตางหลากหลายเฉพาะตวั ของปจ เจกบุคคล ดงั น้ันการท่ีจะทําความ
เขาใจกลุมผูหญิงที่เขาไปศึกษาในพื้นที่ภาคสนาม จึงตองพิจารณาถึงประสบการณและทัศนคติท่ี
แตกตางกันของบุคคลดวย เพื่อดูวาเบื้องลึกเบื้องหลังการตัดสินใจของแตละคนนั้นเปนอยางไร
มีแรงจงู ใจและระบบความคดิ เชน ไรท่ีทาํ ใหย ึดมนั่ ศรทั ธาในเสน ทางแหง การปฏิบัติธรรมตามแนวทาง
พุทธศาสนา

31

วรรณกรรมท่ีเกีย่ วกับผหู ญิงในแงมมุ ทางพุทธศาสนา

ศึกษามงุ เนน ไปที่เรื่องราวเกี่ยวกับสถานะของผูหญิงไทยในพื้นที่ทางพุทธศาสนา กลุมสตรี
เพศในพุทธศาสนา และบทบาทของพทุ ธศาสนาทมี่ ตี อผหู ญิงในชุมชนเมอื งสมัยใหม

สถานะของผหู ญิงไทยในพื้นทท่ี างพทุ ธศาสนา

ทัศนะคําสอนของพระพุทธองคกลาวไววา มนุษยทุกคนมีธรรมชาติแหงความเปนพุทธะ
อนั เปน ธรรมชาตแิ หงความสะอาด สวาง สงบ ไมวาหญิงหรือชายตางก็มีศักยภาพและโอกาสในการ
บรรลเุ ขา ถงึ ธรรม ดังนั้นหากพิจารณาในฐานะหลักคําสอน อุดมคติทางพุทธศาสนาอยางการบรรลุ
ธรรมมไิ ดจ าํ กดั เพศ แตกลบั มองวา ผหู ญงิ มีโอกาสเทาเทียมกับผูชาย เห็นไดจากคัมภีรพุทธศาสนาท่ี
ปรากฏความสําเร็จทางธรรมของผูหญิงมากมาย แตเม่ือพิจารณาพุทธศาสนาในฐานะสถาบันทาง
สังคม กลบั พบวามกี ารกีดกนั สทิ ธทิ างศาสนาของผหู ญิงมาโดยตลอด โดยเฉพาะอยา งย่งิ ประเทศท่ีนบั
ถอื พุทธศาสนาฝา ยเถรวาท ซง่ึ นอกจากจะรดิ รอนสทิ ธใิ นการอุปสมบทของผูหญิง การสังคายนาคร้ัง
แรกภายหลงั การปรินพิ พานของพระพุทธองคก็ไมพบผูหญิงในท่ีประชุม เพราะความเชื่อที่วาผูหญิง
เปนผทู ีน่ าํ มาซ่ึงความเส่ือมสูพ ุทธศาสนา ดวยเหตุน้ีจึงสะทอนใหเห็นวาสถาบันพุทธศาสนาในสังคม
ยังคงอคตติ อผหู ญงิ แมเ วลาตอมาคานยิ มเหลา นัน้ จะไดรบั การพสิ ูจนแลว วาผดิ เนอ่ื งจากไมม ีหลกั ฐาน
ทางประวัตศิ าสตรใ ดที่บงช้วี า ผูหญิงทําใหพทุ ธศาสนาตกตา่ํ แตค ตคิ วามเช่อื เรอ่ื งชายเปนใหญก ย็ ังคงมี
อิทธพิ ลตอ ระบบความคิดของผูคน สวนหนึ่งนั้นเปนเพราะสถาบันศาสนาไดใชคติความเชื่อดังกลาว
ควบคุมจัดระเบียบคนในสังคมมานานจนกลายเปนเร่ืองปกติ (ทวีวัฒน ปุณฑริกวิวัฒน, 2560:
ออนไลน)

ทุกเรื่องราวในสังคม ลวนมีมิติทางเพศเปนฐานหรือซอนเรนอยูภายในทั้งสิ้น เชนเดียวกับ
สังคมไทยที่มีพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ สืบเนื่องจากศูนยกลางของคนไทยคือสถาบัน
พระมหากษัตริย ซึง่ ทาํ หนา ทเี่ ปนองคศ าสนูปถมั ภกของศาสนามาตง้ั แตอดตี เมื่อรวมเขากับระบบการ
ปกครองแบบปตาธิปไตย และอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกแบบวิคตอเรียน ทําใหผูหญิงใน
สังคมไทยไมมีสถานะศักดิ์สิทธิ์ชัดเจนเทาผูชาย แมในสมัยกอนท่ีศาสนาจะเขามามีอิทธิพลใน
สังคมไทย สถานะของผูห ญงิ จะไมไดตกอยใู นภาวะทเี่ ปน รองจากผชู ายมากนัก เพราะผูหญิงในสังคม
สมัยน้ันมีวิถีชีวิตแบบทองถิ่น ทุกคนชวยกันทํามาหากิน และผูหญิงคอนขางมีบทบาทสําคัญใน
ครอบครัว รวมถึงบทบาทในการเปนผูนําประกอบพิธีกรรมตามความเช่ือทองถ่ิน หนังสือเรื่อง

32

“วาดวยเพศ ความคิด ตัวตน และอคติทางเพศ ผูหญิง เกย เพศศึกษา และกามารมณ” ของ
นิธิ เอียวศรีวงศ (2545) ไดเนนย้ําใหเห็นวา แมศาสนาเร่ิมเขามามีอิทธิพลตอชนชั้นนําสังคมไทย
กลุมผหู ญงิ ในสงั คมทอ งถิน่ กย็ งั คงมีวถิ ชี วี ิตทเี่ ปนอสิ ระ กลาคดิ กลา ทาํ มากกวา หญิงชนช้นั สูง ตลอดจน
มีสํานึกในความเปนผูหญิงอยางชัดเจน ขณะที่กลุมผูหญิงชนชั้นสูงและชนชั้นกลางที่อยูภายใต
โครงสรางสถาบันแหงอาํ นาจอยางสถาบันพระมหากษัตริยแ ละสถาบันศาสนาสวนใหญ กลับยินยอม
ในสถานะที่เปนรองของตนเองมากกวา รวมถึงไมตองการมีอัตลักษณของตนเองแยกออกจากผูชาย
จึงอาจพิจารณาไดว า การอยูในพ้ืนท่ีท่ีหางไกลจากความเจริญ มีผลทําใหเกิดสํานึกความเปนผูหญิง
มากกวา แมตอมาความเปนสมัยใหมจะเร่ิมมีบทบาทในสังคมไทย ดวยอิทธิพลของประเทศ
สหรัฐอเมรกิ าทีส่ รางอุดมการณเ กี่ยวกับการเรียกรองสิทธิเสรีภาพของผูหญิงจนเปนที่นิยมไปทั่วทุก
สังคมโลก แตสังคมไทยกลับมีขอจํากัดหลายประการท่ีเกิดจากอคติทางเพศเหลาน้ี ผูหญิงจึงไม
สามารถมบี ทบาทในพ้นื ท่ที างสังคมและพุทธศาสนาไดเ ทา เทียมกับผชู าย

นอกจากนี้หนังสือเร่ือง “เพศและวัฒนธรรม” ของ ปรานี วงษเทศ (2559) มีสวนทําให
ผศู ึกษาเหน็ ภาพของการทสี่ ถาบันศาสนาเปนปจ จยั ท่ีกําหนดบทบาทและสถานะทางเพศใหกับคนใน
สังคมไดชัดขน้ึ โดยจดุ ประสงคท ่ีสงั คมไทยรับเอาพุทธศาสนาเขามา คือ การชวยสนับสนุนคํ้าจุนคน
2 กลุม ไดแ ก กลมุ ชนช้ันผูน ํากับกลุมชนชั้นผูถูกปกครอง เพ่ือใหสามารถดํารงอยูในสังคมไดอยางมี
ระบบระเบียบและมีเสถียรภาพ ผานการปลูกฝงคานิยม คติความเช่ือ พิธีกรรม และประเพณี
จนกระทง่ั คนไทยซึมซบั วฒั นธรรมอนั เกดิ ข้นึ จากพุทธศาสนา อยา งการยกยอ งเพศชายและกดี กันสทิ ธิ
บทบาททางศาสนาของผหู ญิงใหจ าํ กัดอยแู คทางโลก ตามความเช่ือที่วาผูหญิงเกิดมาจากกรรมชั่วใน
อดตี ชาติ หรือการสรางบญุ มาไมพ อทําใหต อ งเกิดมาเปนผหู ญิง ตา งจากผูชายที่มีบุญ เพราะสามารถ
บวชเปนภกิ ษเุ พือ่ ตอบแทนบุญคุณพอแม และมีโอกาสตัดกิเลสเพ่ือเขาสูนิพพานไดมากกวา ขณะท่ี
ผหู ญงิ สามารถตอบแทนบญุ คุณเพยี งการเลี้ยงดูพอแม สามี ลูก และชวยเหลืองานในครอบครัวเปน
หลัก ไมเวนแมแตผูหญิงในสังคมชนชั้นสูง ถึงจะไมตองด้ินรนทํางานหนักเชนเดียวกับชนช้ันผูถูก
ปกครอง แตกลับมีบทบาทหนาที่เฉพาะในการปรนนิบัติดูแลคนในครอบครัวเทานั้น สวนบทบาท
ทางดานศาสนา โดยท่ัวไปคือการทํางานสาธารณะ ชวยเหลือคณะสงฆ และกิจทางศาสนาอื่นๆ
อนั เปน พ้นื ทีท่ ถ่ี ูกสรา งขึน้ เพอ่ื ทดแทนสิทธิท่ถี กู กีดกนั จากระบบชายเปนใหญของความเชือ่ ทางศาสนา

ดังนั้นพื้นที่ในพุทธศาสนาของผูหญิงคือการทําภารกิจท่ีเก่ียวของกับกิจกรรมทางโลก
เพอ่ื เกอื้ หนนุ กันและกัน เชน งานทํานบุ าํ รงุ คณะสงฆ จดั หาภัตตาหารและปจจัยตางๆ นําไปถวายแด
พระสงฆ การใหกําเนดิ บตุ รชาย เลยี้ งดูจนเติบใหญจนสามารถบวชเรียนไปชวยเหลือสังคม เพื่ออุทิศ

33

ตนใหกบั ภารกิจทางศาสนาและการศึกษาไดอยางเต็มท่ี ในหนังสือ “แมญิงตองตํ่าหูก: พัฒนาการ
ของกร ะบ วนกา รทอผา และ การ เ ปล่ี ย นแป ลงบ ทบ า ทข องผู หญิงใ นหมู บา น อีส า นป จจุบั น ”
ของ สุริยา สมุทคุปติ์, พัฒนา กิติอาษา และนันทิยา พุทธะ (2537) นําเสนอถึงโลกทัศนและ
ความเช่ือทางศาสนาเกี่ยวกับผูหญิงในสังคมไทยทองถิ่นวา มีการยึดถือความเช่ือด้ังเดิมของระบบ
ศาสนาแบบผสมผสานระหวา งศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ศาสนาพราหมณ และศาสนาผหี รือวิญญาณ
ในทองถ่ิน สงผลใหวิถีชีวิตคนไทยในสังคมทองถิ่นเต็มไปดวยรองรอยของพิธีกรรมและประเพณี
เก่ียวกบั คติความเชอ่ื แมวาพ้ืนท่ีของผูหญิงในพุทธศาสนาจะถูกจํากัดในกิจกรรมบางอยาง แตพุทธ
ศาสนาก็สรางพ้ืนที่ใหผูหญิงมีสวนรวมในกิจกรรมทางพุทธศาสนา โดยเปนไปในลักษณะสนับสนุน
เกือ้ กลู ผูชาย

กลุมสตรีเพศในพทุ ธศาสนา

พระพทุ ธองคม ไิ ดปด โอกาสผูหญงิ ในการศึกษาปฏิบัติธรรม จึงถือวาพุทธศาสนาเปนศาสนา
แรกท่ีมองเหน็ ศักยภาพในความเปน มนุษยของผูหญงิ เราจงึ พบเห็นกลมุ สตรีเพศในพุทธศาสนาเกดิ ขนึ้
มากมาย ทั้งในฐานะภิกษุณี สามเณรี แมชี และอุบาสิกาฆราวาสทั่วไป หากแตในสังคมไทยภิกษุณี
และสามเณรยี งั ไมถ กู ยอมรบั จากคณะสงฆและกฎหมายในฐานะนักบวช แมวากลุมผูหญิงเหลานี้จะ
พยายามตอสแู ละสรางพน้ื ที่แหงความศรัทธา โดยการเขารวมกิจกรรมทางศาสนาและแสดงออกถึง
การมอี ยู เพือ่ ใหค นในสังคมไทยยอมรับสถานะของนักบวชหญิง และมองเห็นศกั ยภาพในการทําหนา ที่
สบื ทอดพทุ ธศาสนาของตนเองแลวก็ตาม มเี พียงกลุมแมชีและกลุมอุบาสิกาท่ัวไปเทาน้ันที่มีบทบาท
ทางศาสนาในสงั คมไทย จากบทความวิจัยเร่ือง “ขบวนการพุทธใหม : ผูหญิงกับพื้นท่ีทางศาสนา
ของประเทศไทย” ของ พระระพิน พุทธิสาโร (2560) ไดอธิบายถึงลักษณะของแมชีในสังคมไทย
วาเปน กลุม สตรเี พศท่เี ขา มาบวช ถอื ศีล 8 โกนผม โกนคิ้ว หมผาขาวสมาทานถือวัตรปฏิบัติตามหลัก
พระพุทธศาสนา ซึ่งจากจดหมายเหตุของนิโคลาส แซแวส แสดงใหเ ห็นถึงสถานภาพและบทบาทของ
แมช ีในสมยั อยธุ ยาท่ีตอ งมีอายุตง้ั แต 50 ปข้ึนไป เพื่อปองกันการถูกครหานินทา เน่ืองจากสมัยกอน
เคยมีนางชที ําเรอ่ื งออ้ื ฉาวกับพระภกิ ษวุ ัด สง ผลใหกลมุ ผหู ญิงที่เขามาบวชนั้นถูกมองวาเปนอันตราย
และเสีย่ งตอการนํามาซ่ึงความเสอ่ื มเสยี แกพทุ ธศาสนา อกี ท้งั ยงั มบี นั ทึกเกยี่ วกบั แมชแี ละสถานะของ
แมชีท่ีเต็มไปดวยอคติทางเพศวา แมชีเปนหญิงมายที่ไรอนาคต จึงมานุงขาวหมขาว รับปฏิบัติพระ
ไมไ ดมีผลบุญตอพอแม เพยี งตอ งการหลีกเล่ยี งจากปญ หาทางโลกเทาน้ัน

34

งานวิจยั ของสุขสนั ต จันทะโชโต (อา งถงึ ใน พระระพิน พุทธิสาโร, 2560) แบงกลุมสตรีเพศ
ในพุทธศาสนาทีเ่ คยปรากฏในสงั คมไทยออกเปนหลายคณะ ไดแก

1) คณะนุงหมสีกรัก โกนผม โกนค้ิว สมาทานศีล 10 ซึ่งเปนศีลของสามเณร เรียกวา
ศีลจาริณี

2) คณะทีค่ รองจีวรสีน้ําตาลเขม โกนผม โกนค้ิว สมาทานศีล 10 เรียกวา แมกรัก แมเณร
หรอื สิกขมาตุ

3) คณะนุง หมเหลอื ง โกนผม โกนค้ิว สมาทานศลี 10 เรยี กวา สงั ฆณี
4) คณะนุงขาวหมขาว ไมโกนผม ไมโกนค้ิว สมาทานศีล 8 ถือบวชช่ัวคราว ประพฤติ
พรหมจรรย เรียกวา ชีพราหมณ
5) คณะนุงขาวหมขาว โกนผม โกนค้ิว สมาทานศีล 8 หรือศีล 10 ประพฤติพรหมจรรย
เรยี กวา แมช ี

ในสังคมไทยพบกลุมสตรีเพศในพุทธศาสนาหลงเหลืออยูเพียง 2 ประเภท ไดแก กลุมชี
พราหมณและกลุมแมชี ซ่ึงมักปรากฏใหพบเห็นในฐานะผูสมาทานอุโบสถศีล ผูศึกษาดานธรรมะ
ผูอบรมธรรมะ ทํางานปรนนิบัติรับใชสงฆ ชวยเหลือผูคน และดูแลองคกรทางศาสนาอยางวัดหรือ
สาํ นักทางเศรษฐกจิ ซึ่งแตเ ดิมทําหนา ทเ่ี พยี งทาํ นุบาํ รงุ ศาสนา ชว ยเหลือคณะสงฆตามเง่ือนไขของวัด
ทอี่ าศัยอยู หากทุกวนั น้ีบทบาทหนาท่ีของกลุมสตรีเพศดังกลาวขยายออกไปตามความรูความสามารถ
ของปจเจก มที ้ังรวมตวั กันเปนกลมุ เพื่อดําเนินกจิ กรรมและแยกกันดําเนนิ กิจกรรม อันสะทอนใหเห็น
ถึงพนื้ ทใี่ นพทุ ธศาสนาของกลมุ ผูหญิงที่แมไมไ ดมีสถานะและโอกาสทางสงั คมเทากับผชู าย แตก ย็ งั คงมี
บทบาทหนาท่ีอน่ื ท่ีเปนไปในลักษณะเกื้อหนนุ กันในโครงสรา งสังคม (อารี พลอยนชุ , 2537)

นอกจากนี้กลุมสตรีเพศในฐานะอุบาสิกาฆราวาสท่ัวไป ก็นับวามีบทบาทรวมทางศาสนา
ท่สี ําคญั ในสงั คมไทย เนื่องจากเปนกลุมที่ขับเคล่ือนภาพของสตรีเพศในการทํางานเพ่ือพุทธศาสนา
ไดเชนเดียวกับภาพลักษณของผูเปนนักบวช จากหนังสือ “ฆราวาสบรรลุธรรม เลม 2” ของ
อัจฉราวดี วงศสกล (2560) ผเู ปนวิปสสนาจารยสอนการปฏบิ ตั วิ ิปสสนากรรมฐานในสายธรรมเตโช
วปิ ส สนา อนั เปนเทคนิคเผากิเลสภายในจติ ของมนุษยท่ีเกดิ จากธาตุไฟในกาย โดยสมเดจ็ พฒุ าจารยโ ต
พรหมรังสี ไดเมตตาสื่อจิตสอนอาจารยจนรูแจงประจักษเห็นจริงในธรรม จึงนํามาชวยเหลือแกผูท่ี
สนใจเลือกพุทธศาสนาเปนหนทางดบั ทกุ ข

35

อจั ฉราวดี คอื บคุ คลทเ่ี ปน ภาพตัวอยางของฆราวาสเพศหญิงทีม่ ีสถานะเปนผูครองเรือนและ
ผทู ่ีมพี รอ มดวยความสําเร็จทางโลก แตกลับมุงมั่นปฏิบัติธรรมจนพิสูจนใหเห็นวา ฆราวาสทั่วไปไม
จําเปนตองบวชก็สามารถเขาถึงธรรมะอันประเสริฐของพระพุทธองคได โดยตลอดเวลาท่ีผานมา
อาจารยอัจฉราวดีไดทําหนาท่ีอุบาสิกาผูม่ันคงในพระรัตนตรัย พรอมทั้งเปนผูปฏิบัติและผูเผยแผ
พระพทุ ธศาสนาอยา งแขง็ ขัน จนมลี ูกศิษยเคารพนบั ถือและคน พบแนวทางละจากกิเลสและความทกุ ข
ตางๆ ดว ยตนเอง สงิ่ เหลาน้ีสะทอ นความจริงเกีย่ วกบั ผหู ญิงในแงมมุ ทางพุทธศาสนาวา สงั คมไทยเปด
โอกาสใหพ น้ื ที่ทางศาสนากับผหู ญิงมากข้นึ ยอมรบั ในภาพลักษณและศกั ยภาพในการทํางานเพอ่ื พุทธ
ศาสนา ไมใหเกิดความเปนอ่ืนเพราะถูกจํากัดอยูในสถานะและบทบาทที่เปนรองเหมือนสมัยกอน
อีกท้งั ยงั สนบั สนนุ ใหค ณุ คาตอผหู ญิงในฐานะทีเ่ ปนพุทธศาสนกิ ชนเชน เดยี วกับผูชายอกี ดว ย

หากสังเกตจะพบวา มีองคก รทางพทุ ธศาสนามากมายท่ีปรากฏกลุมผูหญิงเปนผูทํางานเพื่อ
พทุ ธศาสนา ชวยเหลอื สังคม อยา งทีพ่ บในสารนิพนธเรื่อง “บทบาทพุทธศาสนาในสังคมไทยปจจบุ ัน
ศึกษาเฉพาะกรณีบานสายสัมพันธโครงการเสถียรธรรมสถาน” ของ ธนาพร เทียมศรีรัชกร
(2539) ที่นําเสนอเรอื่ งราวเก่ียวกับบทบาทของศาสนสถานอยางเสถียรธรรมสถาน ภายใตโครงการ
บา นสายสมั พันธ ซึ่งมีจุดมงุ หมายหลกั ในการชว ยเหลอื เยียวยาจติ ใจของหญงิ ที่ถูกสามีทอดท้ิง ทั้งที่มี
ลูกหรือถกู ขม ขืนจนตัง้ ครรภแ ละตอ งเล้ยี งดลู กู ตามลําพงั รวมถงึ ชว ยสานสมั พนั ธระหวางแมกับลูกให
แนน แฟน มากขนึ้ โดยกลมุ แมช จี ะเปนผูทคี่ อยใหค าํ ปรึกษา ชแ้ี นะแนวทางปลดเปลื้องจากความทุกข
สรางกจิ กรรมบรรเทาความเจ็บปวดขางในจติ ใจ สนบั สนนุ ผูหญิงที่ประสบปญหาสังคมหรือตกอยูใน
สถานการณยากลําบากใหมีกําลังใจใชชีวิตตอไป ดวยการใชความเขาอกเขาใจในฐานะผูหญิงกับ
หลักแนวคดิ ทางพทุ ธศาสนา จึงถือวากลุมสตรีเพศเหลาน้ีก็สามารถทําหนาที่ขับเคล่ือนพุทธศาสนา
ดวยธรรมะของพระพุทธองคไดไมต างจากผูชาย

บทบาทของพุทธศาสนาที่มตี อผูหญงิ ในชมุ ชนเมอื งสมยั ใหม

ภายใตความเปน สังคมสมยั ใหมในชมุ ชนเมืองท่ีเต็มไปดวยความเจรญิ ทางดานวัตถุและความ
สะดวกสบายในการบริโภค มีผลทาํ ใหรปู แบบการดําเนนิ ชวี ติ ของผูคนเปน ไปในลกั ษณะตางคนตางอยู
อันกลายเปน เหตุทน่ี ําไปสคู วามขัดแยงและปญหาสังคมมากมาย หากแตความทุกขบางอยางไมอาจ
แกไขไดด ว ยสรรพส่ิงทางโลก สําหรับคนไทยบางคนการหันเขาหาธรรมะ ดูจะเปนหนทางสุดทายท่ี
ชวยเยียวยาสภาพจิตใจท่ีขุนมัวของตนเอง ฉะนั้นการมีอยูขององคกรทางศาสนาตางๆ

36

จึงเปรยี บเสมือนแหลงที่พ่งึ ทางใจสาํ หรับคนที่ไมรู หวาดกลัว และเบื่อหนายในความไมแนนอนของ
ชีวิต สารนิพนธเร่ือง “เสถียรธรรมสถาน : พ้ืนท่ีทางความคิด แหลงพ่ึงพิงทางใจ สําหรับ
คนเมอื ง” ของ ดุษฎี วิวรรธนาภิรักษ (2547) แสดงใหเห็นถึงการท่ีศาสนสถานแหงหนึ่ง ซึ่งต้ังอยู
ในชุมชนเมือง ไดกลายเปนทนี่ ิยมของผูที่ตองการฟนฟูจิตใจจากสภาพความวุนวายในสังคมไดอยาง
เหน็ ภาพชัดเจน เน่ืองจากเสถียรธรรมสถานถูกทําใหเปนชุมชนแหงการเรียนรู ดวยการสรางสรรค
กิจกรรม ปรบั เปลย่ี นรปู แบบวธิ กี ารเผยแผศาสนา โดยใชสภาพแวดลอมของธรรมชาติดึงดูดใหผูคน
เขามาปฏิบัติธรรม ผสมกับการนําเอาหลักธรรมคําสอนมาประยุกต เพ่ือใหคนท่ัวไปสามารถเขาถึง
ธรรมะไดงายขึ้น ทุกวันน้ีคนไทยในสังคมเมืองหลายคนจึงมีทางเลือกที่เปนพื้นท่ีท่ีตนเองสามารถ
เขา มาพฒั นาจติ ใจ ขัดเกลาอารมณรกั โลภโกรธหลงใหส งบมนั่ คง ใชเ ปนแหลง พงึ่ พิงทางใจมากขนึ้

แมการเปลี่ยนแปลงสคู วามเปน สมยั ใหม อาจสง ผลใหคนไทยหางเหนิ จากพทุ ธศาสนามากขึ้น
แตก็ถือวาเปนจุดเปล่ียนที่ทําใหเห็นถึงการปรับตัวของผูคนและการปรับตัวขององคกรทางศาสนา
ดงั ที่ปรากฏในงานวิจัยเร่ือง “ศาสนทัศนของชุมชนเมืองสมัยใหม ศึกษากรณีวัดพระธรรมกาย”
ของ อภญิ ญา เฟอ งฟูสกลุ (2541) ซง่ึ เปนภาพสะทอนท่ีเกิดจากการปรับตัวขององคกรทางศาสนา
รูปแบบใหม โดยยอ นกลับไปทําความเขา ใจตั้งแตสงั คมไทยในอดีตท่บี ทบาทของวัด เคยเปนทง้ั สถาบนั
ศาสนา สถาบันการศึกษา และพื้นที่ในการรวมกลุมกันของคนในชุมชน แตภายหลังจากท่ีกาวเขาสู
ความเปนสังคมสมัยใหม วัดกค็ อยๆ สูญเสียบทบาทของการเปน ผูน ําทางปญญาและความสัมพนั ธทาง
สังคมไป เนื่องจากสังคมไทยไดสรางวาทกรรมทางการเมืองและวาทกรรมทางสังคมขึ้นมาใหม
จนความเปนพทุ ธถกู นํามาตคี วามอยา งหลากหลายในขบวนการตางๆ ไมวาจะเปนขบวนการท่ีแฝงไว
ดวยการเมือง ขบวนการที่แฝงดวยการคา หรือการสรางพุทธศาสนาแบบทวนกระแสขึ้นมา กระทั่ง
ทุกวนั น้มี คี นไทยหลายคนสบั สนวาสงิ่ ไหนคือถูกและผดิ ตามหลกั พุทธศาสนา

พุทธศาสนาในสังคมไทยไดถูกนําไปตีความใหมมากมาย จนความเขาใจของคนไทยที่มีตอ
พุทธธรรมคลาดเคลื่อนจากเดิมมาก ลัทธิวัดพระธรรมกายก็เปนขบวนการทางสังคมรูปแบบหน่ึงท่ี
เกดิ ขึน้ จากการปรับตัวขององคกรทางศาสนา เพอ่ื ตอบสนองตอกลุมคนท่ีศรัทธาในพุทธศาสนาแบบ
ตีความใหม ซึ่งตอมากลับถูกสังคมวิพากษวิจารณวาเปนองคกรทางศาสนาแบบพุทธพาณิชย
เนื่องจากดงึ ดูดแตก ลมุ คนชนช้ันกลางใหยึดม่ันรวมกันสรางอัตลักษณของความเปนธรรมกายขึ้นมา
ผสมผสานความเช่ือเรื่องบุญกับทุนนิยม ผลที่ไดรับก็คือคนไทยบางกลุมตอตานอยางรุนแรง
เพราะเหน็ วา ขดั ตอ ธรรมะทีพ่ ระพุทธองคสอน กระทงั่ กอใหเกิดความสับสนและความขัดแยงอยางท่ี
พบเหน็ ในปจ จบุ ัน

37

อยา งไรก็ตาม ไมว าจะเปน การเลอื กพุทธศาสนาแบบใดเปน ทีพ่ ึง่ ทางใจ กล็ วนแตเ ปนเร่อื งของ
การท่ีบุคคลรับรูตอตนเองเมื่อไดปฏิบัติศรัทธานับถือ ความหลากหลายของปจเจกเปนสิ่งที่ไมควร
มองขาม เนื่องจากแตละคนมีหนทางในการปรับตัวตอความไมแนนอนของชีวิตแตกตางกัน
เชนเดียวกับพัฒนาการขององคกรทางพุทธศาสนาในชุมชนเมืองสมัยใหมที่เปล่ียนไปพรอมกับผูคน
ก็เปน สวนหนงึ่ ในการปรับตัวของคนไทยท่ีศรทั ธาในพทุ ธศาสนา ส่ิงสําคัญจึงอยูท่ีบุคคลผูน้ันสามารถ
นาํ เอาหลกั คาํ สอนทพี่ ระพุทธองคใ หไวม าเยยี วยาแกป ญหาทัง้ ระดับโครงสรางและระดบั ปจเจกบคุ คล
เพ่อื เปน หลกั ที่พง่ึ ใหก ับชีวติ จติ ใจ ตลอดจนแกไขปญหาความทุกขต า งๆ ไดอ ยา งไร

การทบทวนวรรณกรรมเหลานี้ มีสวนชวยทําใหผูศึกษาเขาใจและเห็นภาพชัดของ
ความสมั พันธร ะหวางผหู ญิงไทยกับพุทธศาสนาต้ังแตอดีตจนถึงปจจุบัน จนนําไปสูการต้ังคําถามตอ
กลมุ ผูหญงิ ในประเดน็ ท่ีศึกษาวา เพราะเหตุใดถึงเลอื กมาปฏิบตั ิธรรมทส่ี าํ นักวปิ สสนากัมมฏั ฐานแหง น้ี
แนวทางการปฏิบตั ิของสาํ นักนี้เปน อยา งไร อะไรเปน ปจจัยท่ีกอ ใหเกิดความคิด ความเช่ือ และความ
ศรัทธาในพุทธศาสนา ชีวิตกอนปฏิบัติธรรมและหลังปฏิบัติธรรมของผูหญิงแตละคนมีการ
เปลี่ยนแปลงไปเชนไรบาง รวมถึงสิ่งที่แตละปจเจกบุคคลมองตนเอง มีการรับรูตอตนเองอยางไร
เมอื่ เลือกพุทธศาสนาเปนที่พึง่ ทางใจ อันเปนจุดมุงหมายสําคัญของงานวิจัยที่ผูศึกษาตองการคนหา
คาํ ตอบ ดงั นนั้ หากพิจารณาจากขอมูลภาคสนามเก่ียวกับเร่ืองราวในชีวิตและทัศนคติที่แตกตางกัน
ของผหู ญิงแตล ะคน จงึ นาจะชวยใหพ บจุดรวมของประสบการณทท่ี ําใหเ ขาใจการตัดสินใจเลือกที่พ่ึง
ทางใจเปนพุทธศาสนาของผหู ญงิ กลมุ น้ีมากข้ึน

บทท่ี 3

ผูหญงิ กับการนบั ถือพุทธศาสนา

เ นื้ อ ห า บ ท น้ี เ ป น ก า ร นํ า เ ส น อ ภ า พ ร ว ม ข อ ง ผู ห ญิ ง ไ ท ย กั บ ก า ร นั บ ถื อ พุ ท ธ ศ า ส น า
ต้ังแตจุดเร่ิมตนของการนับถือ ตลอดจนถึงวิถีแหงการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนาของ
ผหู ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหม เพ่อื อธิบายใหเ หน็ เหตปุ จ จยั เบ้ืองตน ในการตดั สินใจเลอื กธรรมะเปนทย่ี ึด
เหนย่ี วจิตใจของกลมุ ผหู ญงิ ในพืน้ ท่ีที่ทาํ การศกึ ษา ซ่ึงสามารถนํามาใชเ ปน ขอมูลพ้ืนฐานในการศึกษา
พจิ ารณาทาํ ความเขาใจกลุมผูหญงิ ท่เี ขา มาปฏิบัติธรรมในสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวหิ ารตอไป

การนับถือพทุ ธศาสนาของผหู ญงิ ในสมยั กอ นและหลงั พทุ ธกาล

การศึกษาพิจารณาเกย่ี วกบั การนบั ถอื พทุ ธศาสนาของผูหญงิ อาจตองมองยอนกลับไปตั้งแต
กอ นสมยั พทุ ธกาลที่พุทธศาสนายังไมถือกําเนิดข้ึน จากหลักฐานทางประวัติศาสตรและวรรณคดีได
สะทอ นใหเ หน็ วา ผูหญิงอนิ เดยี ยคุ กอ นพทุ ธกาลมบี ทบาทในแงความเชื่อและจิตวิญญาณเชนเดียวกับ
ผชู าย ทั้งมสี ิทธิทจี่ ะเขารวมการประกอบพิธีกรรมและพิธีบวงสรวงสง่ิ เหนือธรรมชาติ ตลอดจนมีสิทธิ
ทีจ่ ะไดรบั การศึกษา ซ่ึงหากผูหญิงคนใดมีความรูทางดานปรัชญาก็จะทําใหบุคคลนั้นมีบทบาทเดน
เชน เดียวกับผูชายไปดวย แตอ ยางไรก็ตามแมสังคมอินเดียในชวงเวลาดังกลาวผูหญิงจะมีอิสระท่ีจะ
แสดงออกทางความคิดเกี่ยวกับความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา หากแตก็ยังคงถูกจํากัดใหอยู
ภายใตกรอบของระบบการปกครองแบบชายเปนใหญและระบบวรรณะในศาสนาพราหมณ
(ฉัตรสมุ าลย กบลิ สิงห, 2528: 4-9)

เมื่อเขา สูสมัยพทุ ธกาล หลงั จากทพ่ี ระพุทธเจาทรงตรัสรแู ละเผยแผศ าสนาแกค นอินเดยี ในยคุ
สมัยนั้น ผูหญิงท่ีมีจิตใจฝกใฝในทางความเช่ือและจิตวิญญาณก็หันมานับถือพุทธศาสนามากข้ึน
เน่อื งจากพุทธศาสนาทําใหผ ูหญงิ เหลา น้ไี มตองยดึ ตดิ กับคานิยมความเช่ือด้ังเดิมของสังคม ซึ่งใชชีวิต
ไปกับการอุทิศตนเพ่ือปรนนิบัติสามี ดูแลครอบครัวและงานในครัวเรือนเทาน้ัน กลาวไดวาในสมัย
พุทธกาลการมีอยูของพุทธศาสนาชวยใหผูหญิงอินเดียมีอิสระทางใจมากขึ้น (เพิ่งอาง: 4-9)

38

39

แมว า ระยะแรกพระพุทธองคจะมองวาผูหญิงเปนอุปสรรคสําคัญในพุทธศาสนา ดวยเพราะ
สังเกตจากธรรมชาติของบรรดาผูหญิงที่เคยเขามารับใชพระองคเม่ือครั้งยังไมเสด็จออกผนวช
สว นใหญนน้ั มวั แตใ หความสําคัญกบั เร่อื งทางโลกของตัวเอง อีกท้ังยงั ออ นไหว ถนดั ใชอ ารมณมากกวา
เหตผุ ล แตหลงั จากท่ีไดใชว ิจารณญาณอยา งรอบคอบกท็ ําใหเขา ใจวา ลักษณะของผูหญิงดังกลาวมิได
เปนลักษณะของผูห ญิงท้ังหมด หากแตมีปจ จัยทางดา นสงั คม วัฒนธรรม และสภาวะแวดลอมอ่ืนดวย
ซ่งึ การทีผ่ ูห ญงิ เคยชินกบั การอยูภายใตอ าํ นาจการปกครองของผูชาย ก็เปน สว นหนงึ่ ทส่ี ง ผลใหบ างคน
ขาดความสามารถในการตัดสินใจท่ีใชตรรกะเหตุผล แตมิไดเปนตัวตัดสินวาผูหญิงจะไมสามารถ
ประสบความสําเร็จทางธรรมไดเ ชน เดยี วกบั ผูช าย (อา งแลว: 11, 16)

พระนางมหาปชาบดีโคตมี ผมู ศี ักดิเ์ ปนนาและแมบ ุญธรรมของพระพทุ ธองคไดท าํ ใหพ ระองค
เล็งเหน็ วา ผูหญงิ เปนมนุษยท ม่ี ศี รัทธาและปณิธานอนั แรงกลา เนอ่ื งจากเดิมทีพระพทุ ธองคไมประสงค
ใหม ีพระภิกษุณีเกิดข้ึน ดวยพิจารณาวาผูหญิงเปนตนเหตุแหงความวุนวายและอาจนํามาซ่ึงปญหา
สงั คมในภายหลัง อีกทงั้ พระนางมหาปชาบดโี คตมีเองก็คุนเคยอยูแตในวังที่มีพรอมไปดวยสิ่งอํานวย
ความสะดวกสบาย พระพทุ ธองคจงึ เกรงวายากทจี่ ะสามารถบรรลุเขาถงึ ธรรมได หากแตพระนางก็ได
พสิ จู นตนเองดวยความตง้ั พระทยั อยา งเดด็ เด่ยี ว เมื่อยังไมไดรับการยอมรับจากพระพุทธองคก็เสด็จ
ออกเดินทางธุดงคพรอมกับบรรดาผูหญิงท่ีติดตามมา เพื่อเผชิญกับความยากลําบากไปดวยกันถึง
500 นาง ตลอดท้ังสามีของผูหญิงเหลาน้ีก็หันมาออกบวชเปนพระภิกษุสงฆจนกระทั่งบรรลุมรรค
ผลไดเชนกัน จากเหตุการณดังกลาวไดทําพระพุทธองคเห็นแกความเพียรและความต้ังใจจริงของ
มนษุ ยส ตรเี พศ จึงยอมรับพระนางมหาปชาบดโี คตมีเขา ไวในสังกดั ของพระพทุ ธองค อันกลายเปนตน
กําเนดิ แหง ภกิ ษุณี ผูหญงิ คนแรกในพทุ ธศาสนา (อางแลว : 9-10, 34)

เชนเดียวกับพระนางยโสธราหรือพระนางพิมพา พระชายาของเจาชายสิทธัตถะกอนที่จะ
เสดจ็ ออกผนวช ก็เปนบุคคลท่ีทําใหพระพุทธองคเห็นวา ผูหญิงไมไดเปนอุปสรรคหรือส่ิงชั่วรายใน
พุทธศาสนา เม่ือพระนางเห็นพระสวามีทรงถือเพศบรรพชิต แมชวงแรกจะไมเขาใจคิดนอยใจ
พระพุทธองคที่สละทิ้งราชสมบัติและครอบครวั แตเวลาตอมาความจงรักภักดีและความซื่อสัตยของ
พระนางยโสธราก็บันดาลใหพระนางหันมาถือปฏิบัติตนเยี่ยงบรรพชิตดวย ซ่ึงตอมาไมนาน
ความศรัทธาและความตัง้ ใจจรงิ กไ็ ดทําใหพ ระนางตัดสนิ ใจออกผนวชเปนพระภิกษุณีเขาสูวิถีทางแหง
ความสงบสขุ ในท่ีสดุ (อางแลว : 10-13)

40

การพบหนทางสงบดว ยคําสอนของพระพทุ ธองค เปน ผลสบื เนื่องมาจากการท่ีพระพุทธองค
ทรงชี้ใหม นษุ ยเ หน็ ถงึ ความเปนจรงิ ของสภาวะธรรมชาติ กระท่ังผูห ญงิ บางคนในสงั คมยุคน้ันสามารถ
บรรลุความหลุดพนไดดวยตนเองโดยไมตองพ่ึงสามีหรือบุตร อีกทั้งยังเปนอิสระจากกฎเกณฑของ
ศาสนาและระบบสังคมแบบชายเปนใหญ ซึ่งแนวความเช่ือเชนนี้เปดโอกาสใหมีภิกษุณีหรือนักบวช
หญงิ ที่ตอ งรกั ษาศลี เชนเดียวกับพระภิกษสุ งฆเกิดขน้ึ มากมายในเวลาตอ มา (อา งแลว : 15-20)

ถือไดวา พทุ ธศาสนาเปนจุดเรมิ่ ตน ของการเปล่ยี นแปลงทางมนษุ ยชาติเกี่ยวกับปรากฎการณ
ทางจติ เพราะมแี นวความคิดทส่ี นบั สนุนเรอ่ื งการหลดุ พนโดยมิไดจ ํากัดเพศ หากผูหญงิ มีความเคารพ
ในตนเองก็ไมจําเปนตอ งตกอยใู นบว งของคานิยมในสงั คมและจารตี ประเพณีด้งั เดิมอีกตอไป

การนบั ถอื พุทธศาสนาของผหู ญิงในสังคมไทย

พุทธศาสนาแบบเถรวาทเร่ิมเขา มามอี ทิ ธพิ ลในสังคมไทยเมือ่ ประมาณพ.ศ. 236 ต้ังแตยงั เปน
พ้ืนทที่ ่ีอยูใ นดินแดนสวุ รรณภูมิ ซึง่ มีประเทศในปจจุบนั รวมกันอยใู นดินแดนแหงนที้ งั้ หมด 7 ประเทศ
ไดแ ก ไทย พมา ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ดวยการเขามาเผยแผศาสนาของพระโสณะ
และพระอุตตระ ผเู ปน พระสมณทูตในการอปุ ถมั ปของพระเจาอโศกมหาราช กษัตริยแหงแควนมคธ
ประเทศอนิ เดยี จนทาํ ใหผูค นหญงิ ชายในยุคสมัยน้ันมีความศรัทธาและความเลื่อมใสในพุทธศาสนา
เปนจาํ นวนมาก (พระธรรมปฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543)

เดิมทีคนไทยมีความเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณนิยมเปนรากฐาน แตเม่ือเห็นวาความเช่ือที่ได
รบั มาจากพทุ ธศาสนาไมไ ดขัดตอ วิถีการดําเนินชีวิต รูปแบบความเช่ือทั้งสองจึงคงอยูรวมกันมานาน
จนถึงปจ จบุ ัน โดยจากขอมูลทางประวตั ศิ าสตรทพ่ี บในจารึกสมยั สโุ ขทยั ไดแ สดงใหเห็นวา หลังจากท่ี
พอ ขนุ ศรีอนิ ทราทิตยไ ดสถาปนากรงุ สโุ ขทัยและรับเอาพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ ผูหญิงใน
สมัยกรงุ สุโขทัยนน้ั ก็มวี ถิ ีชีวิตทผี่ ูกพนั กบั พุทธศาสนาเร่ือยมา หากแตเมื่อถึงสมัยอยุธยา สถานะของ
ผหู ญิงในพทุ ธศาสนาก็เร่มิ มีการเปลย่ี นแปลง (ฉตั รสมุ าลย, 2528)

กลา วคอื ในสมัยของพระบรมราชาธิราชที่ 2 (พ.ศ.1967-1991) หลังจากท่ีอโยธยาเขาตีเมือง
นครธมของเขมรไดส ําเร็จ บรรดาโหราจารยและพราหมณาจารยของราชสาํ นกั เขมรก็ถูกกวาดตอ นลง
มายงั กรงุ ศรอี ยุธยา สง ผลใหต ัง้ แตนน้ั มามีการรบั เอาขนบธรรมเนียมประเพณีของพราหมณเขามาใน
ราชสํานักไทย ซึ่งอิทธิพลของความเชื่อทางศาสนาพราหมณที่มีลักษณะชายเปนใหญ ทําใหบทบาท
สถานะของผหู ญิงไทยตกต่ําลงไปในยคุ สมัยนี้ เนอื่ งจากกษัตริยสวนใหญในสมัยน้ันเห็นวา คุณสมบัติ

41

สําคญั ของผูส ืบทอดราชสมบตั ิคอื การใชอ ํานาจ มใิ ชการสบื ทอดราชสมบตั ทิ างสายเลือด ดังนั้นหากผู
ท่คี รองบลั ลังกจาํ เปน ทจ่ี ะตองเปนผมู อี ํานาจมาก และแนวความคิดความเชื่อทางศาสนาพราหมณก็
สามารถนาํ มาสนบั สนนุ อาํ นาจการปกครองของตนเองได (ฉตั รสุมาลย: 22-31)

ตั้งแตศาสนาพราหมณเขามามีบทบาทในราชสํานัก ก็กอใหเกิดการกดขี่และลดฐานะของ
ผูหญิงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ชวงแรกศาสนาพราหมณมีอิทธิพลเฉพาะกลุมเจานายและขาราชการ
แมเ ปนผหู ญงิ ในราชนกิ ูลกไ็ มไดรบั การสนับสนุนใหไ ดรับการศกึ ษา แตตอมาไดแพรกระจายออกไปสู
ประชาชนทั่วไป ผูหญิงสามัญชนจึงขาดการศึกษาโดยส้ินเชิง กลับกลายเปนวาสังคมไทยมีระบบ
ความคิดที่จํากัดผูหญิงใหมีบทบาทหนาท่ีเฉพาะในครัวเรือนและมีหนาท่ีจํากัดเฉพาะภายในบาน
เทา น้นั (ฉัตรสุมาลย: 22-31)

เมือ่ เขาสูส มยั กรงุ ธนบุรี ดว ยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระเจาตากสินมหาราชท่ีกอบกู
บา นเมอื งจากสงครามสรู บในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทําใหพุทธศาสนาในประเทศไทยไดรับการฟนฟูให
รุงเรอื งอีกครง้ั มีการสรา งบานเมืองและบูรณะวัดวาอารามข้ึนใหม สืบตอมากระท่ังพระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟาจุฬาโลกไดทรงสถาปนาราชวงศจ กั รีและทําการอุปถมั ภส ังคายนาชําระพระไตรปฎก
เพอื่ เปน ตนฉบบั สังคมไทยจึงมพี ทุ ธศาสนาเปนสถาบันคูชาตมิ าจนถึงทุกวันน้ี (ฉัตรสุมาลย: 117-119)

ในชว งกรุงรตั นโกสนิ ทรตอนตน ฐานะของผูหญิงยังไมแตกตางจากสมัยกรุงศรีอยุธยามากนัก
พบขอมูลเก่ียวกับบทบาทของสตรีในราชการงานเมืองนอยมาก เรียกไดวาผูหญิงแทบไมไดเปน
จุดสนใจของผูบันทึกเหตุการณบานเมืองในชวงน้ัน โดยท่ัวไปคนมักนิยามถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร
ตอนตนวาเปนยุคสมัยแหงการสรางบานสรางเมือง รวมทั้งสรางวัดอันเปนกุศลสูง หากเปนพวก
เจานายหรอื หญงิ ผูม ีฐานะจะนยิ มสรางและบูรณะวดั สวนผูหญิงทั่วไปก็เขารวมทํากิจกรรมทางพุทธ
ศาสนา ทําบุญตกั บาตรในวันพระวันโกนเปนปรกติ แตไ มไดมีโอกาสบวชเรียนเหมือนผูชายเพ่ือเขาสู
วถิ แี หง การถอื ศีลอยางเครง ครดั (ฉัตรสมุ าลย: 119-121)

ตอมาเมือ่ ถึงยุคสมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลาเจาอยูหัว หรือรัชกาลท่ี 4 (พ.ศ.2394-
2411) อิทธิพลจากการติดตอกบั ประเทศตะวันตกไดกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสรางทางสังคม
ไมวาจะเปนการยกเลิกระบบทาส และการพัฒนาโลกทัศนเก่ียวกับบทบาทของผูหญิง โดยกอนที่
พระองคจ ะทรงขึ้นครองราชยเปนพระมหากษัตริยนั้น พระองคใชเวลานานกวา 27 ปในการศึกษา
คนควาพระพุทธศาสนา เรียนรูพระธรรมวินัยจนแตกฉาน อีกทั้งยังศึกษาวัฒนธรรมและภาษา
จนสามารถใชภ าษาอังกฤษและภาษาละตนิ ไดอยา งคลอ งแคลว จึงเปนผลท่ีทําใหพระองคคุนเคยกับ

42

วัฒนธรรมตะวันตกและแนวความคิดแบบชาวตะวันตกไปดวย ประสบการณและพระปรีชาสามารถ
เหลา น้ีกลายเปนประโยชนเมอื่ พระองคท รงรบั พระสมบัตสิ ืบทอดจากพระเชษฐา เนอ่ื งจากพระองคไ ด
ปรับเปลยี่ นวธิ ีการปกครองใหสอดคลองกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคสมัยนั้น คือปลดปลอย
ประเทศชาติใหเ ปนอสิ ระจากคา นิยมอนั เตม็ ไปดวยจารีตประเพณีและขนบธรรมเนียมท่ีส่ังสมมาเปน
เวลานาน ปรบั เปลี่ยนดดั แปลงประเพณีพระราชพิธีพราหมณ จนเหลอื เพยี งแตหลักพิธีทางพราหมณ
เปน สว นประกอบเทานัน้ ถือไดวา การลดบทบาทของศาสนาพราหมณ ทําใหผูหญิงเริ่มมีบทบาททาง
ศาสนาและกจิ กรรมทางสงั คมมากขนึ้ (ฉัตรสมุ าลย: 24-25)

ครัน้ เมอ่ื ถงึ สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวหรือรัชกาลท่ี 5 บทบาทและ
สถานะของผูหญิงก็ปรากฏใหพบเห็นมากข้ึน ในชวงที่สมเด็จพระเจาอยูหัวเสด็จประพาสยุโรป
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถหรือสมเด็จพระบรมพระราชินีไดทรงเขามาบริหารราชการ
แผนดินแทน รวมถึงพระขนิษฐาและราชนิกูลที่เปนบุตรีหลายพระองคก็ไดรับการศึกษาอยางดี
เชนเดียวกับผูชาย ทําหนาที่เปนกําลังสําคัญในงานตางๆ อาทิเชน มีการตั้งโรงเรียนสําหรับผูหญิง
การตง้ั โรงพยาบาลและงานสาธารณสุขมากมาย ตลอดทั้งมีบทบาทสําคัญในการทํานุบํารุงสงเสริม
ศาสนา (ฉตั รสุมาลย: 122-124)

ยกตวั อยางจากพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ผูทรงปฎิบัติ
หนา ท่ีเนนหนกั ในดา นการศึกษาและการแพทย ซ่ึงเปน ส่งิ ท่ปี ระเทศชาติบานเมืองเวลานั้นขาดแคลน
ทรงโปรดฯใหสรางโรงพยาบาลศิริราชเม่ือป พ.ศ. 2431 และสภาอุณาโลมแดง (โรงพยาบาล
จุฬาลงกรณ) เมือ่ ป พ.ศ. 2436 รวมถงึ โรงเรียนแพทยผดุงครรภ โรงเรียนราชินี โรงเรียนวิเชียรมาตุ
โรงเรียนราชินีบูรณะ และโรงเรียนจอมสุรางคอุปถัมภขึ้นในเวลาตอมา นอกจากนี้ยังทรงโปรดฯ
ใหสรางพระวิหารสมเด็จในวัดเบญจมบพิตร เพื่อใชเปนสถานท่ีสําหรับรวบรวมพระพุทธรูปแบบ
โบราณและอ่ืนๆ อีกมากมาย จึงเห็นไดอ ยางชัดเจนวาผูหญิงกาวขึ้นมามีบทบาทหนาที่และตําแหนง
การงานมากกวาผูหญิงสมยั อ่นื ในประวตั ิศาสตรไทย จวบจนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 เม่ือพระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ออกผนวชตามโบราณราชประเพณีอยูระยะหน่ึง สมเด็จพระนาง
เจาสิรกิ ิติ์ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงวาราชการแผนดินแทนพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว อีกท้ังยัง
เปน ตวั อยา งอันดงี ามในงานสงั คมสงเคราะหตา งๆ แตอยางไรก็ตามผูหญิงสามัญชนทั่วไปก็ยังคงไมมี
บทบาทในพืน้ ทที่ างศาสนามากนัก (ฉัตรสุมาลย: 25)


Click to View FlipBook Version