The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

93

และเทคนคิ วิธีในการเจรญิ สตแิ บบวปิ ส สนากรรมฐาน มาใชเ ปนเครื่องมือในการพัฒนาจิตใจไปสูการ
หลุดพนจากความทุกข ซ่ึงการออกจากวาทกรรมหนึ่งไปสูอีกวาทกรรมหน่ึงน้ี แมจะดูเปนพลังท่ี
ขัดแยง ในตนเอง แตก ลับมพี ลงั กลไกทช่ี วยทาํ ผูห ญงิ ไดก ลบั มาทบทวนตวั เอง ผานการเขาสูวาทกรรม
ทางพทุ ธศาสนาท่วี า ดว ยการทาํ ความเขาใจความจริงของชีวติ จากหลักธรรมและการฝกเจริญสติใหรู
วธิ ีหลุดพน จากความทุกข รูทนั สิ่งที่เกิดข้ึนกับตัวเอง เพื่อใหสามารถยอมรับ ปรับตัว และปลอยวาง
จากสรรพสิง่ ทางโลกไดม ากข้ึน

บทที่ 6

วิเคราะหแ ละสรปุ ผลการศึกษา

การศึกษาเรื่อง “การเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจของผูหญิงไทยในสังคมสมัยใหม
กรณีศึกษา สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร” มีจุดมุงหมายสําคัญเพ่ือทํา
ความเขา ใจถึงเหตปุ จจัยที่ผหู ญิงไทยในสงั คมสมัยใหมบางคนเลือกท่พี ง่ึ ทางใจเปนพุทธศาสนา รวมถึง
พิจารณาในแงม ุมเก่ยี วกับการเปลยี่ นแปลงท่ีเกิดข้ึนตอตัวตนของผูหญิงท่ีเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่ง
ทางใจ โดยผูศ กึ ษาใชแนวคิดเรื่องวาทกรรม อํานาจ และความรูเก่ียวกับความเปนเพศ และแนวคิด
เรอื่ งเทคโนโลยีการสรา งตวั ตนมาใชใ นการวิเคราะห รว มกบั การศึกษาขอมลู จากการทบทวนงานวิจัย
วรรณกรรมท่ีเก่ียวของ และขอมูลจากภูมิหลัง ประสบการณ ความเชื่อ ทัศนคติของผูหญิงกลุม
ตัวอยางดวยวิธีการสัมภาษณเชิงลึกรายบุคคล จํานวน 10 คนที่มาบวชและปฏิบัติธรรม ณ สํานัก
วิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร แบงออกเปนแมชี 3 คน ฆราวาสท่ัวไป 7 คน
ชวงอายุระหวาง 30-60 ป เน่ืองดวยผูศึกษาสังเกตเห็นวาสํานักวิปสสนาแหงน้ี มีผูหญิงที่ฝกใฝใน
พุทธศาสนา เขามาบวชชี และเขารวมการสอนอบรมปฏิบัติธรรมจํานวนมาก จึงพิจารณาวาหาก
ทาํ การศึกษาทศั นคติ ความคดิ และประสบการณส ว นบคุ คลของกลุม ผหู ญิงในพนื้ ท่ีดังกลา ว อาจทาํ ให
เขา ใจมุมมองของผูหญงิ ไทยในสงั คมสมยั ใหมที่เลอื กพุทธศาสนามาเปนท่ีพงึ่ ทางใจไดม ากข้นึ

ผูศึกษาไดต งั้ สมมตฐิ านเอาไววา การที่ผูหญิงไทยสมัยใหมเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจ
คอื ความพยายามในการปรบั ตัวตอ คา นิยมทางสังคม ดว ยเพราะถูกครอบงําจากวาทกรรมหลัก ไมวา
จะเปนคานยิ มทางเพศหรอื คานยิ มอ่ืนๆ ทีก่ อ ใหเ กดิ ปญหาความทกุ ข เมอ่ื พวกเขาเห็นวาแนวทางการ
มองโลกแบบพุทธศาสนา สามารถชว ยใหพวกเขารับมือและจดั การกบั อารมณค วามรสู กึ ท่ไี มม ่ันคงทาง
จิตใจของตนเองไดมากข้นึ จงึ เลอื กเปน ทีพ่ ่งึ ทางใจ ทั้งนี้ผศู ึกษามุงคนหาวาผูหญิงที่เลือกมาบวชและ
ปฏิบัติธรรม ณ สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานแหงนี้มีท่ีมาท่ีไปในการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจ
อยางไร เก่ียวของกับการถูกกดดันภายใตวาทกรรมความเปนหญิงหรือไม รวมถึงคนหาจุดรวมของ
ประสบการณและทัศนคตทิ ีแ่ ตกตา งกันของผหู ญงิ แตล ะคนที่ทําใหพวกเขาเลอื กพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่ง
ทางใจเชน เดยี วกัน

94

95

ผูศ ึกษาไดทบทวนวรรณกรรมเพ่ือศึกษาขอมูลเบื้องตนจากงานวิจัย เอกสาร หนังสือ และ
แหลงขอมูลตางๆ อันเกี่ยวของกับผูหญิงในสังคมไทย แบงออกเปนประเด็นเรื่องความเปนหญิงใน
สังคมไทย เรอื่ งสถานะและบทบาททางเพศของผูหญิงในสงั คมไทย เรือ่ งเพศวิถีของผูหญงิ ไทยในสงั คม
สมยั ใหม จนพบวา สังคมไทยมีโครงสรางทางความคิดเกี่ยวกบั มายาคติความเปนหญิงทีด่ ีผา นคา นยิ มท่ี
สงผลตอการใชชีวิตของผูหญิงมาต้ังแตอดีตจนถึงปจจุบัน เห็นไดชัดจากบทความวิจัยที่นําเสนอ
มโนทัศนเรอ่ื งผหู ญงิ ในสงั คมไทยวาแมจะมกี ารเปลยี่ นแปลงมุมมองเรอ่ื งสถานะ บทบาท และเพศวิถี
ของผูหญิงใหเปนอิสระมากข้ึนในสังคมสมัยใหม แตก็ไมอาจหลุดพนออกจากชุดวาทกรรมเรื่อง
ความเปน หญงิ ทีด่ ีได

นอกจากนี้ผูศึกษายังทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวของกับผูหญิงในแงมุมทางพุทธศาสนา
เพ่ือพิจารณาเรื่องสถานะของผูหญิงไทยในพื้นที่ทางพุทธศาสนา กลุมสตรีเพศในพุทธศาสนา และ
บทบาทของพุทธศาสนาที่มีตอผูหญิงในชุมชนเมืองสมัยใหม ซึ่งทําใหพบวาสวนใหญพ้ืนที่ในพุทธ
ศาสนาของผูหญิงไทยไมไ ดมีโอกาสในการทาํ กิจกรรมตา งๆ เทากับผูชาย เพราะโดยทั่วไปผูหญิงไทย
มักมบี ทบาทในการสนับสนนุ ทาํ นุบาํ รุงพุทธศาสนา ดวยการทาํ หนา ที่กิจกรรมทางโลกมากกวา ถึงแม
จะบวชเปน แมชกี ย็ ังคงมีสถานะทเ่ี ปน รองจากพระ เวนเสียแตวาจะพจิ ารณาในแงมุมทางจิตใจ คอื การ
ทีผ่ ูหญงิ ใชพุทธศาสนาเปน ทพ่ี ่งึ ทางใจใหกับตัวเอง ศกึ ษาหลกั ธรรม นําคาํ สอนและการปฏิบัตธิ รรมมา
พัฒนาตนเอง ก็ถือไดว า ไมตา งจากผชู ายมากนัก

เมือ่ นาํ ขอมลู เบือ้ งตน ทีไ่ ดจ ากทบทวนวรรณกรรมมาพจิ ารณารว มกับแนวคิดท่ใี ชในการศึกษา
อยา งวาทกรรมเรือ่ งความเปนหญิงในสงั คมไทย กพ็ บวา วาทกรรมดงั กลา วสรา งระบบความคดิ เกยี่ วกบั
ความเปนหญิงอนั สงผลตอ ทศั นคติ ความเชอ่ื คา นยิ ม และประสบการณ ซ่ึงถอื เปนปจจัยหน่ึงที่ทําให
เกดิ การตัดสินใจเลอื กท่ีพึง่ ทางใจเปนพุทธศาสนา อีกทั้งยังเลือกใชแนวคิดเร่ืองเทคโนโลยีการสราง
ตวั ตนมาพิจารณารวม จนเห็นไดวา ผูหญิงกลุมน้ีใชแนวคิดและหลักปฏิบัติธรรมมาพัฒนาทางดาน
จิตใจใหกับตนเอง สรางตัวตนของตนเองข้ึนมาใหมผานวาทกรรมทางพุทธศาสนาในลักษณะของ
การทบทวนตัวเอง เพื่อทําความเขาใจโลก ทําความเขาใจความจริง กระท่ังรูทันการมีอยูของส่ิงที่
เกิดขึ้นหรอื สง่ิ ทกี่ ําลังกาํ หนดควบคมุ อยู ตลอดจนสามารถหาทางปรบั ตัว แกไ ข พัฒนาจิตใจตัวเองให
มีสติ ใชช ีวิตไดอ ยางราบรนื่ ม่ันคงมากขึ้น ใชเวลาจัดการกับความรูสึกไมม่ันคงหรือปญหาความทุกข
ไดเร็วข้ึน ซ่งึ ถอื เปนการพัฒนาตวั เองทช่ี ว ยใหหลุดพน จากการครอบงาํ ทางความคดิ ไดใ นระดับหนึ่ง

96

ตอ มาผูศกึ ษาไดเขาไปสัมภาษณผูหญิง 10 คนที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร และนําขอมูลที่พบจากกลุมตัวอยางมาพิจารณาประกอบกับขอมูลเบื้องตนจากการ
ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกย่ี วขอ ง ก็พบขอ มลู เพมิ่ เติมที่สนบั สนุนถงึ ขอ เทจ็ จริงทีว่ า ผหู ญงิ ใน
สังคมไทยถูกหลอหลอมระบบความคิดเก่ียวกับวาทกรรมเร่ืองอุดมคติความเปนหญิงท่ีดีมาเน่ินนาน
แมยุคสมัยจะเปลยี่ นไป สงั คมไทยมคี วามเจรญิ ทางดานเทคโนโลยีสมัยใหมเขามาวาทกรรมดังกลาว
กลบั ยง่ิ ถูกผลิตซ้าํ และถูกสรางข้ึนมาใหม ที่เปนเชนน้ีเนื่องจากวาทกรรมความเปนหญิงท่ีดีเกิดจาก
อํานาจของผูชายท่ีใชในการจัดระเบียบทางสังคม ควบคุมใหชายและหญิงแบงแยกกันในบทบาท
สถานะ อกี ทงั้ ยังนําความรทู ่เี ปน วทิ ยาการมาสนับสนนุ ปลกู ฝงใหเปนมายาคติ คานิยม ความเช่ือตอ
กนั มาเนิ่นนานจนคนไทยยอมรับรวมกนั

ขอมลู จากการสัมภาษณแ สดงใหเห็นวาภูมหิ ลงั ชีวติ ของผหู ญิงแตล ะคนกอนท่ีจะมาบวชหรือ
ปฏิบัตธิ รรม ตางเตบิ โตมาจากการหลอหลอมชดุ ความคิดเรอื่ งความเปนหญงิ ในอุดมคตเิ หลา นี้ สาํ หรบั
บางคนวาทกรรมดงั กลาวสง ผลกระทบรนุ แรง เปน ปญหาความทุกข ในกรณีท่ีรูส ึกวา ตนเองไมสามารถ
ดาํ เนินตนใหเ ปน ไปตามสิ่งทสี่ งั คมสรา งมายาคติขึ้นมาได ขณะทีบ่ างคนอุดมคติเหลาน้ันก็ไมไ ดม ผี ลตอ
จิตใจมากนัก พวกเขาเลือกที่จะใชชีวิตในแบบท่ีตนเองตองการ แสวงหาที่พ่ึงทางใจใหกับตนเอง
เชนเดียวกับเลือกพุทธศาสนาที่มีจุดมุงหมายในการพัฒนาตัวตน พัฒนาจิตใจใหสามารถใชชีวิตได
อยา งราบรื่นม่นั คงมากข้ึน

นอกจากน้ขี อมูลของผูหญิงในกลุมตัวอยางสะทอนใหเห็นอีกวา วาทกรรมเกี่ยวกับอุดมคติ
ความเปนหญิงในสังคมไทยนน้ั เปนเพียงปจ จยั สว นหนึง่ ที่สงผลกระทบตอชีวติ ของผหู ญงิ ท่ีเขามาบวช
และปฏิบัตธิ รรมทีส่ ํานกั วปิ ส สนากมั มฏั ฐาน เนอื่ งจากบางคนกไ็ มไ ดรบั ผลกระทบจากวาทกรรมความ
เปน หญงิ อยางชัดเจนมากนัก เพียงอยูในระดับท่ีถูกปลูกฝงใหมีระบบความคิดอันเปนภาพมายาคติ
มาเนนิ่ นานจนกระทัง่ ขาดการตระหนกั รใู นตวั เอง ขณะทบี่ างคนกลบั เปน ทุกขหนักเมอ่ื พบเหตุการณท ่ี
ทาํ ใหร สู กึ วา ตนเองไมสามารถดําเนินตนใหเ ปน ไปตามวาทกรรมความเปนหญงิ ท่ีดีเหลานั้นได

ถือวา พุทธศาสนาคอื ที่พง่ึ ทางใจท่ีดสี าํ หรบั ผหู ญิงสมัยใหม เพราะตัวหลักธรรมที่เปนแนวคิด
และวธิ ีการฝก เจริญสติทีไ่ มไ ดม ีการจํากัดความสามารถของผูหญิงในการเขาถึงแกนของพุทธศาสนา
เพ่ือนาํ ไปใชพัฒนาตนเอง วากันวาจิตใจของมนุษยท่ีถูกฝกใหเจริญทางสติแลวนั้น คือกุญแจสําคัญ
สูการหลุดพนความทุกข อันเกิดจากการยึดติด มนุษยจะเกิดมาเปนเพศใดก็ตาม เม่ือปฏิบัติธรรม
ไมวา ดํารงตนอยใู นฐานะนักบวชหรอื ไมไดบ วชกถ็ อื เปนการสรางตัวตนข้ึนมาใหม ตัวตนน้ันคือตัวตน

97

ของปจ เจกบุคคลท่ใี ชชวี ติ ดวยการมองโลกทางธรรม เขา ใจธรรมชาตแิ ละการมอี ยูของตนเอง มีสติอยู
กบั ปจจบุ ันขณะ ละวางจากการปรุงแตงความคิดที่กอใหเกิดอารมณความรูสึกที่ไมม่ันคงจนนําไปสู
ความลมุ หลง ซงึ่ แมไมไดปฏบิ ตั ิจนถึงระดับตรัสรูห ลุดพนจากทกุ ขท ้งั ปวงไดอยางพระพทุ ธเจา แตกถ็ ือ
วาพทุ ธศาสนาชว ยใหผหู ญงิ เหลา นี้รบั มอื กบั ปญหาความทุกขข องตวั เองไดด ีขึน้ กวา แตก อ น

ดวยแนวทางการปฏิบัติของสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารท่ีสอน
วธิ กี ารเจรญิ สติแบบวปิ ส สนากรรมฐาน โดยพิจารณาจากลักษณะนิสัยที่เปนธรรมชาติของผูท่ีเขามา
บวชหรือปฏิบัติ ทําใหบรรยากาศของการสอนปฏิบัติธรรมเปนไปในลักษณะของพี่นองครอบครัว
ทเ่ี ขา อกเขา ใจกัน ไมว า หญงิ หรอื ชายตา งไดรับความใสใจ โดยเฉพาะในปจจุบันที่ผูสอนเปนฆราวาส
คนที่ใชช ีวติ ทางธรรมในสงั คมทางโลก นําแนวคิดและหลกั ปฏบิ ตั ิที่ไดเรียนรูมาจากแมชี บุญมีมาสอน
แกลูกศิษย ทาํ ใหความสมั พันธข องคนกลมุ น้มี ีลกั ษณะชวยเหลือกันสวนหน่ึงเพราะพื้นฐานยังตองใช
ชีวิตทางโลก รับผิดชอบครอบครัวและหนาที่การงานไมตางกัน จึงมีความเขาใจและสามารถ
แลกเปล่ียนประสบการณ ความรู และทัศนคติตางๆ ได หรือหากบางคนท่ีละท้ิงชีวิตทางสังคม
ในหนา ทก่ี ารงานแลว ก็ยงั นาํ ประสบการณในอดตี มาชวยเหลือคนอนื่

การปฏบิ ัตธิ รรมตามแบบวิปส สนากรรมฐาน ไมมกี ารแบง แยกเพศหรือมีขอกําหนดวาผูหญิง
และผชู ายจะตองมแี นวทางการปฏบิ ัตติ า งกนั เปา หมายของการปฏิบตั คิ อื การพัฒนาจิตใจของตนเอง
เปนหลกั เดิมทีแมชีบุญมเี ปน ผสู อนวิปสสนากรรมฐานแกล กู ศิษยทส่ี ํานกั ตอมาหลังจากแมชีบุญมีได
ละสังขารไปแลว อาจารยชัยพรซ่ึงเปนผูชายที่แมชีบุญมีมอบหมายใหทําหนาที่แทนก็ปฏิบัติตน
ไดอ ยา งไมข าดตกบกพรอ ง จึงเปนขอสงั เกตไดวาแนวทางของสาํ นกั แหง นีไ้ มไดม องวาเพศใดเหนอื กวา
เหมือนกรอบคานิยมทางเพศในความเช่ือพุทธศาสนาท่ีมีลําดับชนช้ัน แตกลับใหความสําคัญกับ
การสอนใหผูปฏิบัติธรรมสามารถนําเอาคาํ สอนและหลักวิธกี ารเจริญสตไิ ปใชพัฒนาตนเอง ใหใชชีวิต
อยใู นสภาพสงั คมที่เตม็ ไปดวยกฎเกณฑไดอ ยางมสี ติ

การท่ีผูหญิงนําแนวคิดและหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนามาเปนท่ีพึ่งใหกับตนเอง ถือวาเปน
กระบวนการสรางตัวตนขึ้นมาใหม คือตัวตนของแมชี ตัวตนของนักปฏิบัติธรรม สอดคลองแนวคิด
เรอื่ งเทคโนโลยีการสรา งตัวตน (Technologies of the self) ของมิเชล ฟูโกต พวกเขาไดเลือกแนว
ทางการดาํ เนินชีวติ ในแบบของตวั เอง ผานการเรียนรูวาทกรรมทางพุทธศาสนา ทําความเขาใจสิ่งที่
เปน อยดู วยหลักธรรม นาํ มาพิจารณาปญหา ทบทวนตนเอง และฝก เจริญสติ เพ่ือใหรูวิธีหลุดพนจาก
การครอบงําทางความคิด หรือส่ิงท่ีทําใหเกิดความทุกขขึ้นในจิตใจกระทั่งรูเทาทัน และสามารถ

98

มองเห็นหนทางการใชชีวิตในแบบของตนเอง อันถือเปนตัวตนใหมท่ีเกิดจากการพุทธศาสนาเปน
เครอ่ื งมอื ในการพัฒนาจติ ใจ ซง่ึ การออกจากวาทกรรมหนง่ึ ไปสูอกี วาทกรรมพุทธศาสนาน้ี แมจ ะดเู ปน
พลังท่ีขัดแยงในตนเอง แตกระบวนการเหลาน้ันกลับชวยทําผูหญิงพบจุดเปล่ียนของชีวิตท่ีเปนไป
ในทางทดี่ ขี ึน้

ตัวตนของผูหญิงท้ัง 10 คนท่ีเลือกเปนกลุมตัวอยางไดเปลี่ยนแปลงไป หลังจากเลือก
พุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจ แมวาเหตุผลที่ทําใหเขามาบวชหรือปฏิบัติธรรมอาจจะเหมือนหรือ
แตกตา งกนั ไปบา ง ไดร ับผลกระทบจากวาทกรรมความเปนหญิงในอุดมคติมากนอยแตกตางกันบาง
แตทุกคนตางก็พบจุดเปลี่ยนที่ทําใหสามารถดําเนินชีวิตไดอยางม่ันคงขึ้น ยกตัวอยางเชน แมชีพร
ที่เคยเปนทกุ ขจากการยดึ ตดิ ในอุดมคตขิ องความเปน หญงิ ที่ดีวา จะตอ งดดู ี มีพรอมสมบูรณด วยหนาที่
การงานและสถานะทางเศรษฐกิจท่ีมั่นคง หากแตเมื่อพบอุปสรรคจนไมสามารถดําเนินชีวิตในแบบ
ทคี่ าดหวังใหค งอยตู ลอดไปไดน้ัน ก็โทษตัวเองมองวาตัวเองไมมีคุณคา เพราะใชชีวิตเปนผูหญิงตาม
มายาคติทีต่ นเองถูกครอบงําไมได หลงั จากทปี่ ฏบิ ตั ิธรรมและตัดสนิ ใจบวช แมชีพรจึงไดอยูกับตัวเอง
ทบทวนตัวตนของตัวเอง โดยไมมีบรรทัดฐานของสังคมมากดดัน กระท่ังยอมรับความจริง
และตระหนักไดวาไมจําเปนท่ีจะตองมีชีวิตตามอุดมคติของสังคมก็มีความสุขได การบวชเปนแมชี
ชว ยใหทา นเห็นคณุ คาในตัวเองอีกคร้ัง หันมาพัฒนาจิตใจ ชวยเหลือผูอื่น และต้ังใจวาจะบวชไมสึก
ตลอดชีวิต เพราะตัวตนนี้เปนสง่ิ ท่ีทาํ ใหแมช ีพอใจทจี่ ะใชชวี ิตอยตู อ ไป

หรือในกรณีของฆราวาสอยาง ออย ท่ีเติบโตมากับการเล้ียงดูลูกแบบสมัยใหม ทําใหเธอ
มีอิสระในการคดิ ตดั สินใจเก่ียวกบั ชวี ิตของตัวเองไดใ นระดับหนึ่ง สําหรับครอบครัวเธอทําหนาท่ีเปน
ลกู สาวทด่ี มี าตลอด เธอโตมากับความเชื่อที่ถูกปลูกฝงวาการเปนคนดี ไมคิดรายกับใคร ต้ังใจเรียน
มีหนาท่ีการงานท่ีดี ดูแลครอบครัว ดูแลตัวเองไดแคนั้นก็เพียงพอสําหรับการเปนผูหญิงท่ีดีแลว
หากสังคมกลับมีคานิยมของความเปนผูหญิงท่ีดีวาจะตองมีภาพลักษณสุภาพเรียบรอย แตรสนิยม
ความชอบของเธอกลับขัดตอคานิยมทางเพศและคานิยมความงามในสังคม เธอจึงไมสามารถ
หลกี เลยี่ งการถูกอคติ นินทาวา รา ย ตดั สนิ วา เปน ผหู ญงิ ไมดีจากคนท่ีไมรูจักเธอ แมเธอจะเปนคนท่ีมี
ความม่นั ใจ แตเม่อื มีปญ หาความทุกขทเ่ี ปน เรอื่ งออ นไหวอยา งการเลิกกันคนรัก ความรูสึกมั่นคงทาง
ใจของเธอยอมหายไป แตเ มือ่ ไดม าปฏบิ ตั ิธรรมกลบั กลายเปนจดุ เปลย่ี นชวี ติ เธอกลายเปนคนที่เขาใจ
ส่ิงตางๆ มากขน้ึ ยอมรบั วา สังคมมรี ะบบความคดิ เรอื่ งเพศเชน นนั้ มานาน จงึ เปนเรือ่ งธรรมดาที่เธอจะ
ถูกตัดสนิ เมื่อแตกตา ง เธอไดนาํ แนวคิดและหลักปฏบิ ตั มิ าพฒั นาจิตใจตวั เอง ทบทวนตวั ตนของตนเอง
อยางมีสติ ทําความเขาใจตนเองเพ่ือตระหนักรูถึงตัวตนท่ีที่เธออยากจะเปน เม่ือเขาถึงแนวคิดและ

99

นําหลักปฏิบัติไปใชปรับตัวในชีวิตประจําวันได เธอจึงเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจ ตลอดจน
มาปฏบิ ัตธิ รรมทส่ี ํานกั แหง นีเ้ ปน ประจํา

สรุป

เรอื่ งราวของผูห ญิง 10 คนทม่ี าบวชและปฏิบตั ิธรรม ณ สาํ นกั วิปส สนากมั มัฏฐาน ทําใหเห็น
ถงึ ภาพสะทอ นของผหู ญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหมวา การกา วเขา มาอยูในสงั คมพทุ ธศาสนา ดว ยการบวช
และการฝก วิปส สนากรรมฐานตามแนวทางของสาํ นกั คือจดุ เริ่มตนของการสรางตัวตน อันสอดคลอง
กบั แนวคิดของมิเชล ฟโู กต ผอู ธิบายถึงกระบวนการสรา งตัวตนโดยการเจริญสติเชิงวิพากษ (Critical
Reflexion) วาการที่คนเราหมั่นทบทวนตนเองและวิพากษวิจารณเพ่ือใหเกิดความตระหนักรู
เปนศิลปะในการสรางสรรคชีวิตตนเองของมนุษย ซ่ึงกระบวนการในการทําความเขาใจความจริง
ในแบบของตนเองและเลอื กใชช วี ิตในแบบท่ีตระหนักถงึ คุณคาในตนเองน้ี จะทาํ ใหมนุษยไมต อ งตกอยู
ภายอํานาจของวาทกรรมที่กดดนั ควบคมุ เราอยู (อานันท, 2552: 185-189)

เทคโนโลยีการสรางตวั ตนในประเด็นเรอื่ งการเลือกพุทธศาสนาเปนทีพ่ ่งึ ทางใจ ถือเปนความ
พยายามของผูหญิงในการเอาตัวเองออกจากปญหาความทุกข อันเกิดจากวาทกรรมหลักอันเปน
คา นยิ มทางสังคม ไมวา จะเปน คา นยิ มทางเพศหรือคา นยิ มอ่ืนๆ โดยเฉพาะอดุ มคตเิ รอ่ื งของการวางตัว
เปน ผหู ญงิ ทีด่ ี ซึ่งถูกกาํ หนดไวโดยอาํ นาจของผปู กครองที่เปน ผูชาย ผูหญงิ จึงมโี อกาสไดก ารแสดงออก
ความเปนตัวตนของตวั เองไดแคใ นระดบั หนึ่ง ท้งั น้เี พ่อื ใหงา ยตอการปกครองควบคุมทางสังคม

จากที่ไดศ กึ ษาความเปนตวั ตนของผหู ญิงกลมุ ตัวอยา งทสี่ ํานกั วปิ สสนากัมมฏั ฐาน สงั เกตไดว า
วาทกรรมเก่ียวกับคานิยมทางเพศในสังคมไทยเปนเพียงปจจัยสวนหนึ่งที่ทําใหผูหญิงบางคนเกิด
ความทกุ ข และหันมาพึ่งพุทธศาสนา ในความเปน จรงิ แลว มนุษยเ ราไมอาจหลุดพนจากวาทกรรมใด
ไดอยา งสมบรู ณ แตพุทธศาสนาถือเปน เครือ่ งมอื หนึง่ ท่ีดีในการพฒั นาตนเองใหมนุษยสามารถใชชีวิต
ตอไปไดอยางม่ันคงมากข้ึน ในกรณีศกึ ษาของผูหญิงไทยสมัยใหมท่ีเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจ
เปรียบเสมือนหนทางท่ีทําใหผูหญิงกลุมน้ีหลุดออกจากการถูกครอบงําโดยวาทกรรมทางเพศและ
วาทกรรมหลักอื่นๆ ของสังคม เปลี่ยนเปนการทําความเขาใจ ปรับตัว ดวยการพาตัวเองเขาสู
วาทกรรมทางพทุ ธศาสนา สรา งตัวตนใหมข ้นึ มาผา นการเรยี นรแู นวคิด ฝกเจรญิ สติ เพ่อื ทีจ่ ะไดพัฒนา
จิตใจ ยามท่ีพบเจอกับความทกุ ขก็สามารถรับมือและใชช ีวติ ตอ ไปไดดว ยสตทิ ม่ี น่ั คง

100

การพัฒนาจติ ใจดว ยพุทธศาสนาของผหู ญิงกลุมตัวอยาง สงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งที่
เกิดขึ้นกบั ตนเอง ทั้งที่มีผลตอ คนรอบขาง รวมถงึ ท่ีมีผลตอสังคม นอกจากนี้ตัวตนของผูหญิงท่ีเลือก
พุทธศาสนาก็เปล่ียนไป กลาวคือ มุมมองการดําเนินชีวิตเปล่ียน มีสติปญญาในการพิจารณา
ทําความเขาใจและแยกแยะ ความจริงทางสังคมกับความจริงในแบบของตนเอง อีกทั้งยังสามารถ
ปรบั ตวั ไดเร็วและสามารถมองเห็นทางออกของปญหา เมือ่ เกดิ ความรสู กึ ไมมั่นคงทางจิตใจ เนื่องจาก
พุทธศาสนาชวยใหฝกประคองสติ ทบทวนสิ่งท่ีเกิดขึ้นกับตัวเอง ตลอดจนยังมีผูรูและกัลยาณมิตร
สมาชิกคนอื่นๆ ที่คอยแลกเปลี่ยนใหคําปรึกษา รับฟง เตือนสติชี้แนะใหเห็นมุมมองที่หลากหลาย
ซี่งในสวนน้ีผูศึกษาพิจารณาวาความสัมพันธที่เกิดขึ้นในกลุมนักปฏิบัติคือจุดรวมของความศรัทธา
อันเปนปจ จยั ทท่ี าํ ใหผ ูหญิงกลุม ตวั อยางเกิดความมั่นคงในการเลอื กใหพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจมา
เปนเวลาหลายป ถึงแมว าบางคนจะไมไดร บั ผลกระทบจากคา นิยมทางเพศทเ่ี ปน ปญหาชัดเจน แตก าร
เติบโตมาดวยวาทกรรมความเปนหญิงที่ปลูกฝง ใหว างตนอยูในบทบาทของลูกสาวที่ดี เมียท่ีดี แมท่ีดี
ก็แสดงใหเห็นวาวาทกรรมดังกลา วเปนปจ จัยหนึ่งของผูหญิงทเี่ ลอื กพุทธศาสนามาพฒั นาจิตใจตนเอง

นับวาสอดคลองกับสมมติฐานที่ต้ังเอาไวในประเด็นการศึกษาครั้งนี้ เพราะหลังจาก
ไดพิจารณาดว ยขอมูลของผหู ญิงท้ัง 10 คน กเ็ ห็นถึงขอ เท็จจริงคอื พุทธศาสนาไดกอใหเกิดตัวตนใหม
ของผูหญิงกลุม นี้ เมือ่ ไดพัฒนาตนเองผานวาทกรรมทางพุทธศาสนา จริงอยูท ีแ่ ตล ะคนจะยังคงมีภาพ
มายาคติของความเปนหญิงที่ดีในสังคมไทยฝงอยูในระบบความคิด ดวยเพราะเติบโตมาจากการ
ผลิตซ้ําใหเปนวาทกรรมหลักเก่ียวกับความเปนหญิงท่ีดีมาต้ังแตเด็ก แตการท่ีไดมาบวชหรือ
ปฏิบตั ธิ รรมทาํ ใหพวกเขาตระหนักรใู นตัวเอง พัฒนาตวั เองเปนคนใหม ตัวตนใหม

การศึกษาวิจัยเร่ืองนี้ไมเพียงแตทําใหเขาใจความแตกตางของมนุษย หากแตยังเปน
การเตือนสติใหผูศึกษาไดย อ นกลบั มาทบทวนตนเองตลอดการทาํ วิจัยเกี่ยวกบั สง่ิ ที่เคยเชื่อและปฏิบัติ
ตามคานิยมทางสังคม จนเกิดเปนความเคยชิน และแลวผูศึกษาก็ไดพบขอเท็จจริงท่ีวา วาทกรรม
บางอยางเราถูกทําใหเชื่อวาเปนจริงโดยที่เราเองไมใหเห็นดวยไปเสียทุกเร่ือง บางคร้ังคานิยมทาง
สงั คมก็บบี ใหเ รารสู กึ แปลกแยกจากสังคมเมอ่ื เราไมเปน ไปตามอุดมคติ ซ่งึ แทจ ริงแลว นัน้ มนษุ ยท ุกคน
มคี วามแตกตางกัน หากเรารูจ ักตนเอง เขา ใจตนเองดี มีสติและมั่นคงในสิ่งท่ีเลือกสิ่งที่ทํา ก็สามารถ
ทําใหเรามคี วามสขุ ตามแนวทางการใชชีวิตในแบบของเราได เชนเดียวกับคนท่ีเลือกพุทธศาสนาเปน
ทพ่ี งึ่ ทางใจอยางกลมุ ผหู ญิงทีส่ ํานกั วปิ ส สนากัมมัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวหิ ารแหงนี้

101

รายการอา งองิ

หนงั สือ

กีเซลา ปรอยชอฟฟ. (2548). ลกู สาวเล้ยี งกันยังไงด.ี พิมพค รัง้ ท่ี 2. แปลโดย อภิญญา พันธสุ ุวรรณ.
กรงุ เทพฯ: รักลกู .

ฉัตรสุมาลย กบลิ สงิ ห. (2528). มาดสตรใี นพระพุทธศาสนา. พมิ พค รงั้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: สารมวลชน.
เฉก ธนะสริ ิ. (2541). สมาธิกบั คณุ ภาพชวี ติ . พมิ พคร้งั ท่ี 13 ปรบั ปรงุ และเพมิ่ เตมิ . กรงุ เทพฯ:

คราฟแมนเพรส.
นภาพร พมิ พว รเมษากุล. (2548). ปริวรรตคดั ลอก วรรณกรรมคาํ สอนจากคมั ภรี ใ บลานอสี าน

เรื่องอินทิยานสอนลกู . พมิ พครง้ั ท่ี 1. ขอนแกน : ศูนยวจิ ัยพหุลักษณส ังคมลมุ นํ้าโขง
คณะมนษุ ยศาสตรแ ละสงั คมศาสตร มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน.
นภาภรณ หะวานนท, กิตติกร สันคตปิ ระภา, อุษณีย ธโนศวรรย และธรี วัลย วรรธโนทยั . (2555).
การสรา งความฉลาดรูเ รื่องเพศในวัฒนธรรมบรโิ ภค. พมิ พค รัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: มลู นิธสิ ราง
ความเขา ใจเรอ่ื งสขุ ภาพผูหญิง และสถาบนั วิจยั ประชากรและสงั คม มหาวิทยาลยั มหิดล.
นรนิ ทร ภาษิต. (2544). แถลงการณเรื่องสามเณรี วตั รนารีวงศ. พิมพค รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ:
สมาคมมิตรภาพญปี่ นุ -ไทย.
นฤพนธ ดว งวเิ ศษ. (2560). เพศในเขาวงกต : แนวคดิ ทฤษฎเี พศในวฒั นธรรมบรโิ ภค.
พิมพค รงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: ศนู ยม านษุ ยวิทยาสิรนิ ธร (องคการมหาชน).
นธิ ิ เอยี วศรีวงศ. (2545). วาดวย “เพศ” ความคดิ ตัวตน และอคตทิ างเพศ ผหู ญิง เกย เพศศกึ ษา
และกามารมณ. พมิ พครงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ: มติชน.
บญุ เสรมิ หตุ ะแพทย, วรรณภา โพธน์ิ อ ย, กรวภิ า บญุ ซือ่ , วมิ ลศริ ิ ชํานาญเวช และพูนศิริ วัจนะภูม.ิ
(2553). ประมวลสาระชดุ วชิ าการศกึ ษาบทบาทชายหญิง หนว ยที่ 1-5. พมิ พคร้งั ท่ี 3.
นนทบุร:ี สาขาวิชาคหกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
ปรานี วงษเ ทศ. (2549). เพศสภาวะในสวุ รรณภูมิ (อุษาคเนย) . พมิ พครัง้ ท่ี 1. กรุงเทพฯ: มตชิ น.
ปรานี วงษเทศ. (2559). เพศและวัฒนธรรม. พมิ พครั้งที่ 3. กรงุ เทพฯ: นาตาแฮก.

102

พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตตฺโต). (2543). ความสาํ คญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจาํ
ชาต.ิ พมิ พค รัง้ ที่ 10. กรงุ เทพฯ: สหธรรมกิ .

พระปราโมทย ปาโมชฺโช. (2551). วิธกี ารปฏบิ ตั ธิ รรม. พมิ พค รัง้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ: ธรรมดา.

พทุ ธทาสภกิ ขุ. (2543). อาหารหลอเลย้ี งใจ. พมิ พค รงั้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ: สขุ ภาพใจ.

วารณุ ี ภูรสิ ินสทิ ธิ.์ (2545). สตรนี ิยม : ขบวนการและแนวคิดทางสงั คมแหง ศตวรรษที่ 20.
พมิ พค รง้ั ท่ี 1. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพมิ พคบไฟ.

สธุ รี า ทอมสัน และเมทินี พงษเ วช. (2538). ผหู ญิงไทย : สถานภาพและบทบาทท่ีเปล่ียนแปลง.
พิมพค รงั้ ที่ 1. กรงุ เทพฯ: สถาบนั วิจัยบทบาทหญิงชายและการพฒั นา.

สุริยา สมุทคุปติ์, พัฒนา กิติอาษา และนันทิยา พุทธะ, (2537). แมญิงตองตํ่าหูก: พัฒนาการของ
กระบวนการทอผาและการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผูหญิงในหมูบานอีสานปจจุบัน.
พมิ พคร้งั ที่ 1. นครราชสีมา: หองไทยศึกษานทิ ศั น สํานักวิชาเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยสี รุ นารี.

เสนาะ เจรญิ พร. (2546). ภาพเสนอผหู ญิงในวรรณกรรมไทยชวงทศวรรษ 2530 : วเิ คราะหค วาม
โยงใยกับประเดน็ ทางสังคม. พมิ พค รง้ั ที่ 1. เชยี งใหม: บัณฑติ วทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.

อมรา พงศาพชิ ญ. (2548). เพศสถานะและเพศวิถีในสังคมไทย. พิมพครงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ:
จุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย.

อัจฉราวดี วงศสกล. (2560). ฆราวาสบรรลธุ รรม 2. พมิ พค รง้ั ท่ี 1. กรุงเทพฯ: มลู นิธิโรงเรยี นแหง
ชีวิต.

อานนั ท กาญจนพนั ธุ. (2552). คดิ อยา งมิเชล ฟูโกต คิดอยา งวพิ ากษ: จากวาทกรรมของอตั บุคคล
ถึงจุดเปลยี่ นของอตั ตา. พิมพคร้งั ที่ 1. เชยี งใหม: มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.

อิงอร สุพนั ธุว ณชิ . (2554). ผหู ญิงกับสังคม: ภาพสะทอ นจากวรรณกรรม. พิมพค รงั้ ที่ 1. กรุงเทพฯ:
โครงการเผยแพรผ ลงานวิชาการ คณะอกั ษรศาสตร จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลัย.

เอกชยั จลุ ะจาริตต. (2553). แนะนาํ วิธเี จรญิ สติปญ ญาทางธรรมเพือ่ ดับกิเลสและกองทกุ ข
(ฉบับยอ ) เลม 1. พิมพค รง้ั ที่ 1. กรงุ เทพฯ: หอรตั นชัยการพมิ พ.

103

งานวิจยั และวิทยานพิ นธ

ดษุ ฎี วิวรรธนาภริ ักษ. (2547). “เสถียรธรรมสถาน : พน้ื ทท่ี างความคดิ แหลง พึ่งพงิ ทางใจ
สาํ หรับคนเมือง.” สารนพิ นธป รญิ ญาศลิ ปศาสตรบณั ฑติ ภาควิชามานษุ ยวทิ ยา
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.

ธนาพร เทยี มศรรี ชั กร. (2539). “บทบาทพทุ ธศาสนาในสงั คมไทยปจจุบัน ศกึ ษาเฉพาะกรณบี า นสาย
สมั พันธ โครงการเสถยี รธรรมสถาน.” สารนพิ นธปริญญาศลิ ปศาสตรบณั ฑติ ภาควิชา
มานุษยวทิ ยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.

พระระพิน พทุ ธสิ าโร. (2560). “ขบวนการพุทธใหม : ผหู ญงิ กับพนื้ ทที่ างศาสนาในประเทศไทย.”
พทุ ธนวตั กรรม เพือ่ พฒั นาประเทศไทย การประชมุ วิชาการระดบั ชาติ ครั้งที่ 4 ระดับ
นานาชาติ คร้ังที่ 2 มหาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน.

พนิดา หนั สวาสด.์ิ (2544). “ผูหญงิ ในภาพยนตร : กระบวนการผลิตซ้าํ ภาพลกั ษณข องผูห ญงิ ใน
สังคมไทย.” วิทยานิพนธปรญิ ญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ภาควชิ ามานษุ ยวทิ ยา
คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.

ภัทรพล ภูรดิ าํ รงคกลุ . (2553). “ผหู ญงิ กบั การสกั ยนั ต : กระแสแฟชน่ั หรอื การพยายามสรา งอัต
ลักษณ? .” วทิ ยานิพนธปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ ภาควชิ ามานษุ ยวิทยา
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.

อภิวนั ทน อดลุ ยพเิ ชฏฐ. (2544.) “สถานภาพและบทบาทของผหู ญงิ และผชู ายในอดีต : ภาพสะทอ น
จากวรรณกรรมเรื่องขุนชางขุนแผน.” วิทยานพิ นธปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑติ ภาควชิ า
มานษุ ยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.

อารี พลอยนชุ . (2537). “แมช ี : กรณศี กึ ษาคณะแมช ีวดั มหาธาตยุ ุวราชรังสฤษฎร์ิ าชวรมหาวหิ าร.”
สารนพิ นธปรญิ ญาศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควชิ ามานษุ ยวทิ ยา คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั
ศิลปากร.

104

บทความวิจยั ในวารสาร

กังวาล ฟองแกว . (2554). “ตอรอง หลบเรน รุมรอน : ชาติพันธวุ รรณาวา ดวยเพศวิถแี ละวัฒนธรรม
สมัยนยิ มของวัยรุนหญิงในเมอื งเชียงใหม. ” วารสารสงั คมศาสตร 23, 1-2: 179-212.

ปณธิ ี สขุ สมบรู ณ. (2554). “เพศภาวะและเพศวิถีขา มวฒั นธรรม กรณีศกึ ษาการยายถนิ่ และการ
แตงงานขา มวัฒนธรรมของผูหญงิ ไทยกับสามีชาวตะวันตกในสังคมปจจบุ ัน.”
วารสารเพศวิถศ กึ ษา 1: 109-134.

อมัยษา ไทรงาม-สนิ สกลุ . (2554). “ขอวพิ ากษมโนทศั นเ รือ่ ง “เมยี ” ในสังคมไทย
พ.ศ. 2394-2478.” วารสารเพศวิถีศกึ ษา 1: 217-230.

อภญิ ญา เฟองฟูสกลุ . (2541). “ศาสนทัศนของชุมชนเมืองสมัยใหม ศกึ ษากรณีวดั พระธรรมกาย.”
พทุ ธศาสนศกึ ษา จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลยั 5, 1 (มกราคม-เมษายน): 4-88.

สอื่ อเิ ล็กทรอนิกส

กลมุ สมาชกิ ลานธรรมถาวร. (2553). "พระวินัย". เขา ถงึ เมอ่ื 17 มกราคม 2561.
เขาถึงไดจ าก http://larndham.org/index.php?/topic/38166-พระวนิ ัย

ทวีวัฒน ปณุ ฑรกิ วิวัฒน. (2560). พุทธศาสนากับสทิ ธสิ ตร.ี เขา ถงึ เม่อื 16 กนั ยายน 2560.
เขา ถงึ ไดจ าก http://www.thaicadet.org/Buddhism/Faminism.html

พรระวี สเี หลืองสวสั ด.ิ์ (2553). ทุนทางสงั คม หรือ ตน ทนุ ทางสังคม ตางกันนะ.
เขาถงึ เม่ือ 11 มีนาคม 2561. เขา ถึงไดจาก
https://www.gotoknow.org/posts/145069&flash=0&fwr=0

พระพรหมเมธี (จาํ นงค ธมฺมจาร)ี . (2560). ประวตั วิ ัดสมั พนั ธวงศารามวรหิ าร กรุงเทพมหานคร.
เขาถงึ เม่อื 16 กันยายน 2560. เขา ถงึ ไดจาก
http://www.watsamphan.com/datawat/my03_history/index_my03_history.htm

พระมหาสาํ รวย นาคโร และนศิ มล. (2560). อตั ตชีวประวัติแมช บี ุญมี เวชสาร. เขา ถงึ เมอ่ื 5
พฤศจิกายน 2560. เขาถึงไดจ าก
http://www.watsamphan.com/datawat/my19_boonmee/index_boonmee.htm

105

การสมั ภาษณ
เกด (นามสมมต)ิ . (2560). นักปฏิบัติธรรม. สัมภาษณเม่ือวันท่ี 15 ธันวาคม
เคก (นามสมมต)ิ . (2560). นกั ปฏิบตั ธิ รรม. สมั ภาษณเ มื่อวันที่ 17 พฤษจกิ ายน
ตา (นามสมมต)ิ . (2560). นกั ปฏิบตั ิธรรม. สมั ภาษณเมือ่ วันท่ี 13 ตลุ าคม
ตมุ (นามสมมต)ิ . (2560). นักปฏิบตั ธิ รรม. สมั ภาษณเมื่อวนั ท่ี 17 พฤศจิกายน
มล (นามสมมต)ิ . (2560). นกั ปฏบิ ตั ิธรรม. สัมภาษณเม่อื วันที่ 22 กนั ยายน
แมชีตอ ย (นามสมมต)ิ . (2560). แมช .ี สัมภาษณเ มือ่ วนั ท่ี 22 กนั ยายน
แมช ีบวั (นามสมมต)ิ . (2560). แมช .ี สมั ภาษณเมอ่ื วนั ท่ี 21 เมษายน
แมชีพร (นามสมมต)ิ . (2560). แมช .ี สมั ภาษณเมื่อวันที่ 22 กันยายน
หนงิ (นามสมมต)ิ . (2560). นักปฏิบตั ิธรรม. สัมภาษณเ มอื่ วนั ที่ 6 ตุลาคม
ออย (นามสมมต)ิ . (2560). นกั ปฏิบัตธิ รรม. สมั ภาษณเ มือ่ วนั ที่ 13 ตุลาคม

106

ประวัตผิ ศู กึ ษา

ช่ือ – สกุล นางสาว อธชิ ญา สขุ ธรรมรตั น
วัน เดือน ปเ กิด 8 มีนาคม 2539
ท่ีอยู บานเลขที่ 245 หมบู า นราณี 5 ซอยสคุ นธสวสั ด1์ิ ถนนสคุ นธสวสั ดิ์
เขตลาดพรา ว แขวงลาดพรา ว กรุงเทพมหานคร 10230
อีเมล [email protected]

ประวตั กิ ารศกึ ษา มธั ยมศึกษา โรงเรียนสตรีวทิ ยา 2 กรงุ เทพมหานคร
ประถมศกึ ษา โรงเรยี นบญุ ฤดี กรงุ เทพมหานคร
2556
2550


Click to View FlipBook Version