43
ปจจุบันสังคมไทยพัฒนาไปสูความเปนสังคมสมัยใหม อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่
ขยับขยายเขามาตั้งแตอดตี นนั้ ไดเ ปล่ยี นแปลงฐานะของผูหญิงใหทัดเทียมกับผูชายในดานหนาท่ีการ
งาน ดา นการศกึ ษา และครอบครัวมากขึ้น อยางไรก็ตามแมผูหญิงไทยจะมีความรูความสามารถจน
ไดรับตาํ แหนง สาํ คญั ในงานตางๆ แตก ็ยงั ไมไดร ับความเชอื่ มนั่ ในประสิทธิภาพการทํางานเชนเดียวกับ
ผูชาย ท้ังนี้เปนเพราะคานิยมทางเพศที่ฝงอยูในระบบความคิดของคนไทยมาชานาน นอกจากนี้
อีกเหตผุ ลหน่ึงทท่ี าํ ใหฐานะของผหู ญิงไทยยังคงตกอยใู นสภาพท่ีเปนรองก็คือผูชายสามารถยกระดับ
ตนเองดว ยฐานะทางศาสนาอยา งการบวชเปนพระภกิ ษุ ตรงกันขา มกับผูหญงิ ท่ีสังคมไทยยงั ไมย อมรบั
ใหม ีการบวชภิกษณุ ไี ดอยางเปนทางการ หากบุคคลใดตองการเปนภิกษุณีสวนใหญจึงตองเดินทางไป
รับการบรรพชาอุปสมบททไ่ี ตหวัน เพราะประเทศไทยผูหญิงสามารถเขาสูการใชชีวิตทางศาสนาใน
ฐานะนกั บวชไดเ พยี งการเปน แมชแี ละชพี ราหมณเ ทา นัน้ (ฉตั รสุมาลย: 26-27)
จากการศึกษาเกี่ยวกับความพยายามของผูหญิงไทยที่ตองการบวชเปนภิกษุณี พบวามี
ประเด็นทางสังคมมากมายในประวัตศิ าสตรที่เกิดขึน้ จากการไมย อมรบั สถานะของภิกษุณใี นสังคมไทย
ไมวาจะเปนกรณีท่ีไมใหภิกษุณีเขาไปทําความเคารพพระบรมศพของพระเจาแผนดินท่ีสํานัก
พระราชวงั ดวยเหตผุ ลคอื ไมมสี ถานะของนักบวชในพระราชบญั ญตั ิ หรือประเด็นเร่อื งการบวชภิกษณุ ี
จํานวน 47 รปู ทีเ่ กาะยอ จังหวดั สงขลา ซ่ึงมคี ณะสงฆอ อกมาคัดคานและมมี ติวาไมเห็นดวย ซ่ึงการที่
คณะสงฆไมย ินยอมใหภิกษณุ ีมีสถานะเทา เทยี มกับภิกษุสงฆ สะทอนใหเห็นถึงวาทกรรมท่ีผูมีอํานาจ
ในสถาบนั พทุ ธศาสนาของสังคมไทยกาํ หนดข้ึน เพอ่ื ใหผูคนยอมรับยึดถอื รวมกันวาผูหญิงไมสมควรมี
บทบาทและฐานะเปน นักบวชทเี่ ทาเทยี มกับผชู าย (พระระพิน, 2560: 2)
แมป ระวัติศาสตรการเคล่ือนไหวของภิกษุณีในประเทศไทยจะช้ีใหเห็นวา มีกลุมสตรีเพศที่
พยายามผลักดนั ใหเ กดิ ภกิ ษุณีไทยมาโดยตลอด เพยี งแตไ มเคยไดรับการยอมรับจากรัฐในพ.ศ. 2471
ถึงกับมีคําสั่งจากรัฐบาลวาหามไมใหผูหญิงบวชเปนบรรพชิต หากฝาฝนจะจับสามเณรีสึกทั้งหมด
รวมถึงพิพากษาลงโทษจําคุกในขอหาบอนทําลายพระพุทธศาสนา ดวยเหตุน้ีจึงทําใหผูหญิงไทยท่ี
ตองการบวชตอ งเดนิ ทางไปทีป่ ระเทศอนื่ ครั้นหลงั จากบวชแลวกลับมาที่ประเทศไทยก็ยังกลายเปน
ประเด็นทางสังคมที่กอใหเกิดการวิพากษวิจารณอีก เนื่องจกามีท้ังกลุมคนท่ีสนับสนุนและกลุมคน
ทไ่ี มเหน็ ดวย จนถงึ กับตองมีการประชมุ เพื่อหาทางออกใหกับภกิ ษณุ เี หลา นี้ ซง่ึ มงุ ไปที่วาทกรรมเร่ือง
ความสามารถในการบรรลุธรรมของเพศหญิงข้ึนมา เพื่อตอรองกับวาทกรรมหลักของสถาบันพุทธ
ศาสนาในสังคมไทย อันแสดงถึงสาระสําคัญวาผูหญิงควรมีพื้นท่ีในการปฏิบัติธรรม โดยไมถูกจํากัด
ดว ยขอจาํ กดั เรอ่ื งเพศ เนอ่ื งจากจุดมุงหมายที่เปนแกนแทของพุทธศาสนาคือการบรรลุธรรมที่ไมวา
44
เพศหญงิ หรือเพศชายก็สามารถเขาถึงไดหากปฏิบตั อิ ยางลึกซงึ้ ผลจากการตอ สูท างวาทกรรมในครั้งนี้
ทําใหคนไทยมีอคติทางเพศตอกลุมสตรีเพศในพุทธศาสนานอยลง เปดใจยอมรับภิกษุณีมากขึ้น
แตก็ยังไมเปนท่ียอมรับโดยทางการจากรัฐ ดวยเพราะโครงสรางอํานาจของสถาบันทางศาสนาท่ี
ไมอาจปรับเปล่ียนมาจนถงึ ปจ จุบนั (พระระพิน: 6-12)
ขณะเดียวกันสังคมไทยสนับสนุนใหมีการจัดตั้งสถาบันแมชีไทยขึ้นมา เพ่ือตอบสนองตอ
ผูหญิงที่ตองการเขาสูวิถีแหงพุทธศาสนาอยางจริงจัง โดยมีจุดประสงคในการเสริมสรางฐานะของ
กลมุ สตรเี พศในพุทธศาสนาในสังคมไทยใหมบี ทบาททางศาสนามากขึ้น รวมถึงพฒั นาการศกึ ษาใหกับ
แมชี เพราะแตเดิมแมชีเปนเพียงผูที่อาศัยอยูในวัดและอยูภายใตการบริหารงานที่ดําเนินไปตาม
เง่ือนไขของคณะสงฆหรอื เจา อาวาสผูรบั ผดิ ชอบ ดังนั้นการเกดิ ขน้ึ ของสถาบันแหง น้ีจงึ เปน จดุ เรม่ิ ตน ท่ี
ทําใหกลุมแมชีไดมารวมตัวกัน ทํากิจกรรมทางศาสนา บริการสังคม รวมกัน ตลอดจนฝกอบรม
เพิ่มพูนความรูความสามารถใหก ับแมชี เพื่อเปนกลุมกําลังในการชวยปองกันและแกไขปญหาสังคม
เรียกไดว าการขบั เคล่ือนทางศาสนาของกลมุ สตรเี พศในสงั คมไทยน้ี สง ผลใหไดรับความสนใจในเรื่อง
สทิ ธทิ างเพศมากขึน้ ซง่ึ อนาคตเปนไปไดวา ผูหญงิ อาจมีบทบาทและสถานภาพทางศาสนาสูงกวาเดิม
เนือ่ งจากคนชนชั้นกลางท่ีมกี ารศกึ ษาเรมิ่ มองเหน็ ถงึ ประโยชนทพ่ี ุทธศาสนาสามารถนํามาตอบสนอง
ตอ จิตใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตใหกับตนเอง อีกท้ังยังสามารถเขาถึงพุทธศาสนาไดงายขึ้นจากการ
มีอยูขององคกรทางศาสนาในสงั คมสมยั ใหม (อา งแลว : 12)
ถงึ แมผ หู ญงิ ไทยจะมีอสิ ระในการแสดงออกทางความคิดและการทํากิจกรรมทางสังคมมาก
ขน้ึ แตดวยความท่พี ุทธศาสนาในไทยนั้นมพี ื้นฐานความเช่อื ทยี่ ึดถือมานานวา เปน ของสูง ผูหญงิ ไมควร
มีบทบาทหรือพื้นท่ีในพุทธศาสนามากนัก จึงสงผลใหผูหญิงท่ัวไปท่ีไมใชนักวิชาการหรือนักปฏิบัติ
ธรรมยังมีความเขาใจเรื่องศาสนาอยูในขอบเขตท่ีจํากัด ทั้งท่ีพระไตรปฎกเปดโอกาสใหคนศึกษาได
ทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย แตสังคมไทยก็ยังคงปดก้ันพ้ืนที่ของผูหญิงในบางเรื่อง ตลอดจนอธิบาย
ตีความพทุ ธศาสนาใหผูกอยูก ับจารีต ประเพณี ความเช่ือที่เปนนามธรรมจับตองไมได ทําใหคนไทย
หลายคนเกดิ ความลังเลสงสยั ในพทุ ธศาสนา เพราะไมเขา ใจและไมส ามารถนําเอาหลักธรรมทางพุทธ
ศาสนามาปรับใชในการดําเนนิ ชวี ิตประจําวนั ไมรูกระทัง่ วาการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา
น้ันเปนหนทางแหงการจดั การกับความไมม ั่นคงทางจติ ใจ เพอ่ื หลดุ พนจากความทุกขได แมไมไดบวช
เปนพระภกิ ษุสงฆ
45
ผูหญิงไทยโดยท่ัวไปมกั พอใจอยูในพนื้ ท่ที างศาสนาที่ตนเองมีคอื สนบั สนุนพระสงฆ ทาํ นบุ าํ รงุ
พระไตรรัตน อันไดแ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ชวยเหลือจัดการดูแลศาสนสถานและศาสนกิจ
ตา งๆ ตลอดจนเขา รว มกิจกรรมทางศาสนาตามจารตี ประเพณีที่ตนเองยึดถือ แตก็มีผูหญิงบางสวนที่
สนใจการปฏิบัติธรรม หรือการทําจิตใจใหสงบดวยวิธีเจริญภาวนาทําสมาธิ เจริญสติ ยึดเอาธรรมะ
คําสอนของพระพุทธองคเปนที่พ่ึงทางใจ เพ่ือละกิเลสปลอยวางจากเหตุแหงทุกขทางโลก จึงอาจ
พิจารณาไดวาการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจ ขึ้นอยูกับความพึงพอใจของปจเจกบุคคล
ย่งิ ในสังคมสมัยใหมทีม่ คี วามเจริญทางดา นวัตถุมากมายเปน ทางเลือก ก็ยิ่งทําใหพบผูหญิงที่มีความรู
ความสนใจในพุทธศาสนาไดเ พียงเฉพาะกลมุ เทานั้นในสังคมปจจบุ นั
พทุ ธศาสนาในฐานะทพ่ี งึ่ ทางใจ
ทศั นะของทานพุทธทาสไดกลาวไววา ชีวิตของมนุษยมีปจจัยท่ีประกอบอยูดวยกัน 2 สวน
คือ สวนท่ีเปนรางกายและสวนท่ีเปนจิตใจ สวนรางกายตองการการตอบสนองดวยปจจัย 4 ไดแก
อาหาร เครื่องนุงหม ท่ีอยูอาศัยใชสอย และเคร่ืองบําบัดโรค สวนจิตใจตองการการตอบสนองดวย
ปจจัยอืน่ ๆ ทต่ี ามมา อยางแรกคอื ส่ิงประเลา ประโลมใจท่ีประกอบไปดวยธรรมะ สองคือความแนใจ
ในสงิ่ ท่ตี นถอื เอาเปน ที่พึ่ง สามคอื ความรสู กึ แหงมิตรภาพทแ่ี วดลอมอยู สี่คือความเปนอยอู ยา งถูกตอ ง
โดยไตรทวาร หา คือความรูท่ีเพียงพอเทาท่ีควรจะรู หกคือความมีผูนําในทางวิญญาณ เจ็ดคือความ
มีสุขภาพอนามัยทางจิตอยางเพียงพอ และแปดคือความมีอาหารใจหลอเลี้ยงอยางเพียงพอปจจัย
เหลานี้เปนสิ่งจําเปนตอมนุษยทางดานจิตใจ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษยมีความตองการที่จะ
หลีกเล่ยี งจากความทกุ ขแ ละปญ หาตางๆ การบํารุงจิตใจใหสงบม่ันคงจึงเสมือนเปนหนทางแหงการ
หลดุ พน (พทุ ธทาสภิกขุ, 2543: 10-12)
ประเทศไทยมีพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติมายาวนาน และเปนประเทศที่ใช
พุทธศักราชอยา งเปน ทางการมาตั้งแตวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 รวมท้ังเปนสถาบันหลักที่สําคัญ
ของประเทศชาติ จึงทําใหรากฐานของระบบคิด วิถีชีวิต และวัฒนธรรมตางๆ ในสังคมไทยท่ีมีอยู
มักสอดคลองกับความเช่ือทางพุทธศาสนา กลาวไดวาพุทธศาสนาเปนเอกลักษณประจําชาติไทย
ชีวติ ของคนไทยผกู พันองิ อาศัยอยูกับพุทธศาสนามาโดยตลอด กลาวไดวาการยึดถือเอาพุทธศาสนา
เปนศาสนาประจําชาติ มีสวนทําใหพุทธศาสนากับสังคมไทยมีความสัมพันธกันอยางแนบแนน
ประเพณแี ละพธิ ีกรรมตางๆ ในวงจรชวี ิตของแตล ะบคุ คลและวงจรกาลเวลาของสังคม ลวนเก่ียวของ
46
กับพุทธศาสนา หรือหากไมเปนเรื่องของศาสนาโดยตรงก็อาจมีกิจกรรมที่นําคติความเชื่อหรือ
แนวปฏิบัติทางพุทธศาสนาเขามาแทรกอยูดวย จนกลายเปนแบบแผนวัฒนธรรมที่สืบตอกันมา
(เพง่ิ อา ง: 3-44)
ความเชื่อและหลักปฏิบัติในพุทธศาสนาที่ถูกซึมแทรกผสมผสานอยูในระบบคิด ทัศนคติ
คานิยม ลักษณะนิสัยของคนไทย อาจสังเกตไดจากกิจกรรมทางสังคมตางๆ ของคนไทย ซึ่งมัก
เกี่ยวเน่ืองดวยพุทธศาสนา ท้ังในรูปแบบท่ียังคงรักษาสาระด้ังเดิมไว และรูปแบบท่ีตีความใหม
ดดั แปลงเสรมิ แตงจนมีลักษณะท่ีหลากหลายปนเปกับความเช่ือและขอปฏิบัติอื่นๆ (พระธรรมปฎก
(ป.อ.ปยตุ โฺ ต): 16-17)
เหตุการณท้ังหลายในชวงเวลาและวัยตา งๆ ของชีวิตของคนไทย ถูกทําใหมีความสําคัญดวย
กจิ กรรมทางพุทธศาสนา ในวงจรชีวติ ของบุคคลสวนใหญตั้งแตเกิดจนตาย ลวนมีกิจกรรมท่ีสัมพันธ
เกี่ยวของกับคติทางพุทธศาสนา เชน การตั้งช่ือ การบวช การแตงงาน การทําพิธีศพ เปนตน
สวนในวงจรกาลเวลาของสังคมหรือชุมชนก็มีความสัมพันธเช่ือมโยงคติทางพุทธศาสนา ไมวาจะ
ในทางตรงอยางวันสําคัญทางศาสนา เชน วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชาวันเขาพรรษา วันออกพรรษา
งานทอดกฐิน หรืองานประเพณี งานเทศกาลประจําปท่ีจัดใหเขากับคติทางพุทธศาสนา เชน
วันสงกรานต วันลอยกระทง ประเพณีสารท รวมถงึ งานนมสั การปูชนียวตั ถสุ ถานของวดั ตางๆ อันเปน
กจิ กรรมทีส่ รางโอกาสใหคนไทยเหน็ คุนชนิ กบั การให การบรจิ าค และการสลัดเพ่ือคลายความยึดติด
ดวยเหตนุ พ้ี ทุ ธศาสนาในสงั คมไทยจงึ เปรียบเสมือนเครอ่ื งยึดเหนี่ยวจติ ใจท่ีกอ ใหเ กิดความเปน อันหนึง่
อนั เดยี วของคนในสงั คม ซึง่ ไดรับการปลกู ฝงถา ยทอดสืบกนั มายาวนาน จนเปน ท่ียอมรบั เชือ่ ถือปฏบิ ตั ิ
กนั โดยท่วั ไป (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต): 17-18)
อยา งไรกต็ าม สิ่งทั้งหลายยอมมีอนั เปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา การพัฒนาโลกสูความเปน
สังคมสมัยใหมทําใหสังคมไทยตองปรับเปล่ียนบานเมืองใหดูเจริญตามอารยประเทศ โดยเปดรับ
วฒั นธรรมตะวันตกทเี่ ตม็ ไปดว ยความเจริญทางดานวัตถุเขามา จนสังคมไทยกลายเปนสังคมบริโภค
นิยม นับวาวิถีชีวิตและความพึงพอใจของคนไทยเปลี่ยนไปต้ังแตน้ัน เมื่อโลกพัฒนาขับเคล่ือนไปสู
ยคุ โลกาภวิ ัตน ที่สามารถรับรูขอมูลขาวสารทั่วโลกไดอยางรวดเร็วฉับไวไรพรมแดน ประเทศไทยก็
เชนกัน เม่ือโลกแคบลงแตวิสัยทัศนของมนุษยกวางขึ้น คนไทยจึงรูเทาทันเหตุการณและการ
เปลีย่ นแปลงของสงั คมโลก หลายคนเริ่มมองหาเสรีภาพทางความเช่ือของมนุษย ตอ งการอิสรภาพใน
47
การคิดพิจารณาและตัดสินใจส่ิงตางๆ ดวยตนเอง พุทธศาสนาจึงเปนเพียงทางเลือกหนึ่งสําหรับ
คนไทยสมยั ใหมเทา นนั้ (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต): 4-5)
ในอดตี พระสงฆและวดั เปน ผูนําและสถานทีย่ ึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนไทย ตง้ั แตเ ร่อื งคตกิ าร
ดําเนินชวี ติ การศึกษา และการประกอบอาชพี การงานของคนในสังคมใหเ จริญกาวหนาและอยูร ว มกนั
ไดอ ยางปกติสขุ แตเ มือ่ สงั คมเปล่ียนไปตามวัฒนธรรมตะวันตก ระบบการตา งๆ แบบตะวนั ตกจึงไดรับ
การสถาปนาใหเขามาเปนหลักปฏิบัติของบานเมือง กลาวไดวา แนวทางการพัฒนาสังคมเปลี่ยนไป
บทบาทของพระและวดั จงึ หางออกไปจากผูคนมากขึ้น เนือ่ งจากตอบสนองตอ ความตองการทางดาน
จิตใจของคนไทยนอ ยลง หลังจากนนั้ จงึ เร่มิ มีการปรบั ตัวทางศาสนา โดยปรับวิธกี ารและปรับบทบาท
ใหเ ขา กบั สภาพสังคมปจ จบุ นั (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต): 78)
ภาพสะทอ นจากปญ หาสังคมบง บอกวา การพัฒนาประเทศเพียงดานวัตถุอยางเดียวอาจไม
เพยี งพอในสงั คมสมยั ใหม ทกุ วนั นสี้ ังคมไทยมงุ พัฒนาแตวัตถุภายนอก ท้ังระดมทุนระดมแรงไปแลว
มากมาย หากแตก ไ็ มไดท ําใหส ังคมรุงเรืองและเกิดความสันติสุขอยางแทจริงตามวัตถุประสงค แมดู
ผิวเผินอาจดเู หมอื นบา นเมืองไดเ จรญิ เฟอ งฟู เพราะมีเทคโนโลยีสิ่งใหมม ากมาย แตเศรษฐกิจ สังคม
หรือการเมืองในประเทศไทยยังคงมีปญ หาไมส ้นิ สุด เน่ืองจากคานิยมเดิมกับคานิยมสมัยใหมขัดแยง
กนั การปรบั ตัวของคนไทยจึงเปน ไปในลกั ษณะทไี่ มเทาเทียมกนั ตลอดจนความแตกตางของฐานะทาง
สังคม ความเหล่ือมล้ําและระบบอุปถัมภไดกอใหเกิดความเสื่อมโทรม ความไมสะอาด และความ
ไมซอื่ ตรงในกระบวนการพฒั นาสังคม อนั นําไปสูตนเหตุแหงปญหามากมาย เชน คานิยมแบบสังคม
บริโภคท่ีใชจายแบบฟุงเฟอ ปญหาเกี่ยวกับเร่ืองเพศ ปญหาเกี่ยวกับอบายมุขตางๆ เรียกไดวา
สังคมไทยพฒั นาแคใ นดา นรูปธรรม คือจําพวกวัตถุและระบบการจัดระเบียบสังคมบางอยางเทานั้น
แตในดานจิตใจกลับถดถอยลงเรื่อยๆ ผูคนเกิดความทุกขงายข้ึน จากความเครียด ความกระวน
กระวาย ความรอ นรนดวยกิเลส ซ่งึ เมอ่ื หาทางออกแกไ ขอยา งไมถกู ตองกย็ อนกลบั มาเปน พฤตกิ รรมที่
กอปญ หาใหกับสังคมและความเสือ่ มโทรมของสภาพแวดลอม ดงั นนั้ การพัฒนาจิตใจของผูคนจึงเปน
ส่งิ สําคญั ท่สี ังคมควรหันมาใสใจใหมากขน้ึ ทง้ั การพัฒนาดานคณุ ธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจิต
ทวั่ ไป (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต): 73-76)
ดว ยความทกี่ ารพฒั นาจิตใจของมนษุ ยเ ปน งานหลกั ของพุทธศาสนา บางคนจงึ หนั มาใหค วาม
สนใจกับการพัฒนาจิตใจมากขน้ึ ไมวาจะเปน การอานหนงั สือธรรมะ การสวดมนต การเขาวัดทําบุญ
ทําทาน การฟง เทศน การรักษาศลี และการเขา รวมกจิ กรรมทางศาสนาตางๆ รวมถึงการปฏิบัติธรรม
48
ก็เปน ทางเลอื กสูก ารถึงธรรมะของคนเหลานน้ั ต้งั แตอ ดตี จนถงึ ปจจุบนั คาํ สอนของพระพุทธองคท เ่ี ปน
นามธรรม ศาสนบุคคล และศาสนสถาน มีสวนรวมสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด
กระทั่งเมื่อสังคมเปล่ียนแปลงไป บทบาทของพระและวัดก็ไมไดตอบสนองตอความตองการของ
คนสมัยใหมเ ทา ใดนกั เนื่องจากความเจริญดานเทคโนโลยที ําใหผูค นมีโอกาสในการแสวงหาท่ีพ่ึงทาง
ใจทางโลกมากขึ้น แตส าํ หรบั บางคนท่ีไมสามารถจัดการกับความทุกขของตนเองดว ยสรรพสงิ่ เหลา นน้ั
ได แนวทางพุทธศาสนาจึงเปนท่ีพ่ึงทางใจสําคัญในการพัฒนาตัวตนของพวกเขา (พระธรรมปฎก
(ป.อ.ปยตุ ฺโต): 76-77)
หลักธรรมทางพุทธศาสนาช้ีนําใหมนุษยมีสติอยูตลอดเวลา ไมยึดติดตอสิ่งตางๆ สอนให
ยอมรับความจรงิ และความธรรมดาของโลก ปลอยวางและปลงใจไมใ หเศราโศก เสียใจ โกรธเกลียด
หรือผูกใจเจ็บมากเกินไปหรือนานเกินควร แตการจะรักษาภาวะม่ันคงทางจิตใจเชนน้ีไดตองอาศัย
ปญ ญา ซ่ึงอาจฝกตนไดโ ดยการเจริญภาวนาหรือการทําจิตใหเปนสมาธิ เพื่อกําจัดกิเลสหรือมูลเหตุ
ของกเิ ลสออกไป จนกระทั่งเกิดสตปิ ญญา กลา วอีกนัยหน่ึงการเจริญภาวนาคือการชําระลางทิฏฐิใน
จติ ใจจากความคิดความเหน็ ของเราใหส ะอาด ทงั้ ความตองการ ความชอบความไมชอบ ความฟุงซาน
ความหดหู ความพยาบาท ความหงดุ หงดิ ความลังเลที่คอยรบกวนจิตใจของมนุษย หากภาวนาดวย
สมาธิไดก็จะสามารถลางส่ิงน้ีออกไป หรือหากภาวนาดวยวิปสสนาได ก็จะสามารถลางมูลเหตุของ
กิเลสอยางโลภะ โทสะ โมหะ และอวิชชาหรือความไมรู อันกอใหเกิดความตองการท่ีไมมีท่ีส้ินสุด
ในทางพทุ ธศาสนาเช่ือวาถามนุษยชําระสิ่งเหลาน้ีไดก็สามารถบรรลุเขาถึงธรรม ดํารงอยูทามกลาง
ความไมแนนอนของชีวิตอยางมสี ติ เม่ือตองเจอกบั ทกุ ขห รอื ปญ หาก็สามารถจัดการละทิ้งดวยตนเอง
เปน หนทางแหง การหลดุ พนจากทุกขอ ยางถกู ตองแทจ รงิ (เอกชยั จลุ ะจาริตต, 2543)
พทุ ธศาสนาเปน ศาสนาแหงอสิ รภาพ จุดมงุ หมายสงู สดุ ของพุทธศาสนา เรียกอีกอยา งหนึ่งวา
“วมิ ตุ ต”ิ แปลวา ความหลุดพน ความปลอดภัยจากส่ิงผูกรัดบีบค้ันอยางจํากัดขัดของ ไมตองข้ึนอยู
หรอื ยึดติดตอ สงิ่ ใด มีนิพพานเปนธรรมสงู สุด การประพฤติปฏบิ ตั ิตามหลักพทุ ธศาสนาเปนการดําเนิน
ในแนวทางของความเปนอิสระและเพ่ือความเปนอิสระทุกขั้นตอน ความศรัทธาจะตองมีปญญา
ควบคุมและความศรัทธาจะตองนําไปสูปญญา เพราะปญญาทําใหพ่ึงตนเองได พระพุทธองคหรือ
พระสาวกเปนเพียงผูชี้ทางสูการบรรลธุ รรม ผูป ฏิบตั ิจะตอ งเหน็ แจง สจั ธรรม รูความจรงิ ไดด วยตนเอง
(พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต): 62)
49
เม่ือผูหญิงในสังคมไทยพิจารณาเห็นวาคําสอนและขอปฏิบัติทางพุทธศาสนาเหลานี้เปน
ประโยชนตอการใชนําทางชีวิตของตน ตลอดจนเปนความจริงแทท่ีตรองเห็นดวยสติปญญาแลววา
มคี ณุ คา ไมนําพาไปสคู วามหลงผิด จึงไมแปลกท่พี ทุ ธศาสนาจะกลายเปน หนงึ่ ในทางเลอื กอนั เปนท่ีพ่ึง
ทางใจของผูหญงิ บางคนในสังคมสมัยใหม เพราะหากศกึ ษาเรียนรทู าํ ความเขาใจพุทธศาสนาใหช ดั แจง
กส็ ามารถนาํ ธรรมะมาใชแ กป ญหาในระดบั ปจ เจกบคุ คลได อกี ท้ังการปฏิบัติธรรมก็มิไดปดกั้นผูหญิง
ในการบรรลุเขาถึงธรรม จึงถือไดวาพุทธศาสนาคอนขางตอบสนองตอความตองการทางดานจิตใจ
ซง่ึ อาจแตกตา งกนั ไปตามประสบการณก ารรับรูและทัศนคติการมองโลกของแตล ะบุคคล
ความเช่อื เรอ่ื งการปฏบิ ัตธิ รรม
หลักความเช่ือทางพุทธศาสนาพิจารณาวาการเกิดของมนุษยคือจุดเร่ิมตนแหงความทุกข
เม่ือคนเราเจริญเติบโตขึ้น โดยสัญชาตญาณจะพยายามแสวงหาความสุขความสบาย อันเปนกิเลส
ตณั หาที่ไมสน้ิ สดุ ยากจะหาความพอดีในความตองการของมนุษยได เมื่อสงั คมเริม่ เสื่อมลงแตคนกลับ
ดิ้นรนที่จะมคี ุณภาพชีวิตทดี่ ี ยอมลําบากหรือใชชีวิตอยูในความเสี่ยงตอการเกิดทุกข เพ่ือแลกมาซ่ึง
ความสขุ ทางกายและความสุขทางใจชั่วคราว แนนอนวาสิ่งเหลาน้ันก็ไมไดทําใหมนุษยหลุดพนจาก
วงจรของการเกดิ ทุกขได (เฉก ธนะสิริ, 2541: 7)
พุทธศาสนาสอนใหมนุษยเขาใจในเร่ืองของทุกขดวยหลักธรรมที่เรียกวา อริยสัจ 4 ไดแก
ทกุ ข หมายถงึ ความทกุ ข ความรูส กึ ไมส บายที่กายและใจ ซึ่งมสี าเหตุมาจากการใชขอมลู ดา นกิเลสทม่ี ี
อยใู นความจํามาประกอบการคดิ และพิจารณาเรื่องตางๆ ในชีวิตประจําวัน สมุทัย หมายถึง สาเหตุ
ของความทกุ ขท ่ีเกดิ จากการปรุงแตงความคิดดวยกิเลส ทั้งแบบเจตนาและแบบเผลอสติ ทําใหเกิด
การกระทาํ ทางกาย วาจา และใจที่เปนไปในทางลบ นิโรธ หมายถึง ความดับทุกข หรือภาวะท่ีไมมี
ความทกุ ขทางจติ ใจ ในทางพทุ ธศาสนาชแี้ นะวาทําไดโดยการศึกษาธรรมะ ฝกปฏิบัติธรรม เพ่ือใหมี
สติรตู วั และสามารถควบคมุ ความคิดของตนเองไมใ หม ีกเิ ลสเขา มากอกวน มรรค หมายถึง ทางหรือวิธี
ปฏบิ ตั ใิ นการดับทุกข ซงึ่ มอี งคประกอบ 8 ประการ ไดแก ความเห็นในทางท่ีดี ความต้ังใจในทางท่ีดี
การเจรจาในทางทดี่ ี การปฏบิ ัตใิ นทางทีด่ ี การประกอบอาชพี ในทางที่ดี ความเพยี รพยายามในทางทด่ี ี
การมีสตริ ูตวั ในทางท่ดี ี การมสี มาธติ ั้งใจแนว แนใ นทางทีด่ ี โดย “ด”ี ในท่ีนี้คือความถูกตอง ไมทําราย
เบียดเบยี นใคร ดํารงชวี ิตอยใู นทางสายกลาง เพอ่ื นําไปสคู วามสขุ ทัง้ กายและใจ (เอกชัย, 2543: 8-67)
50
สิ่งเหลาน้ีคือความจริงอันประเสริฐของชีวิตท่ีพระพุทธองคคนพบแลววา เมื่อเกิดมาเปน
มนุษยไ มม ผี ใู ดสามารถหลีกเล่ยี งได นอกเสียจากการรทู ันและดับความทุกขน้ันดวยตนเอง หากไมใช
เรือ่ งงายสาํ หรบั บคุ คลท่วั ไป เนือ่ งจากมนษุ ยม คี วามตองการไมสิ้นสุด สามารถถูกชักจูงดวยกิเลสอัน
เปน ความสุขความสบายใจช่ัวขณะโดยงาย ทาํ ใหไ มอาจจัดการกบั อารมณค วามคดิ ของตนเองไดอยาง
ม่ันคง เมื่อตองเผชิญกับเร่ืองราวที่เขามากระทบ จนนําไปสูการตอบสนองตอส่ิงเราดวยพฤติกรรม
ตา งๆ ซงึ่ ไมไ ดแกปญหานัน้ อยา งแทจรงิ แตกลับเบียดเบยี น เพ่ิมความทุกขใหกับตนเองและผูอ่ืนมาก
ข้ึน ดวยเหตุน้ี “การปฏิบัติธรรม” จึงเปนหนทางที่ดีในการพัฒนาจิตใจของมนุษยท่ีเผชิญอยูกับ
ความทกุ ขในชีวติ ประจําวัน เพอ่ื ใหสามารถรทู ันและดบั กิเลสของตนเองไดอ ยา งมีประสิทธผิ ล
การปฏิบัติธรรม แบงออกเปน 2 รูปแบบ คือ การเจริญสมาธิ เรียกอีกอยางหนึ่งวา
“สมถกรรมฐาน” และการเจริญสติปญ ญาทางธรรม เรียกอีกอยางวา “วิปสสนากรรมฐาน” โดยทั้ง
สองรูปแบบนี้ตองอาศัยสติเปนเครื่องระลึกรูอารมณขณะทํากรรมฐาน และอาศัยปญญาคือ
สัมปชัญญะเปนเครื่องกํากับการปฏิบัติไวเสมอ เพ่ือประสิทธิภาพในการปฏิบัติ บางคนอาจปฏิบัติ
เพียงรปู แบบใดรูปแบบหน่งึ บางคนปฏบิ ตั ิท้งั สองแบบรว มกนั ทั้งน้ขี น้ึ อยกู ับผูปฏิบัติวาจะถูกจริตกับ
หลกั วิธีแบบใดในการนําไปปรับใชกับชีวิตประจําวัน (พระปราโมทย ปาโมชโฺ ช, 2550: 9)
การเจรญิ สมาธิ (สมถกรรมฐาน)
ความหมายของคําวา “สมาธิ” คือ ความตั้งม่ันแหงจิต ภาษาอังกฤษใชคําวา meditation
หรือ intensive thinking หรือ condensed thought สวนความหมายของ “สมถกรรมฐาน” คือ
การกระทําหรืออุบาย เพ่ือใหเกิดความสงบทางใจ อาจเรียกวาเปนการเพงจิตใหหยุดอยูกับที่
ตามปกตธิ รรมชาติของมนุษยทุกคนมีสมาธิอยูในตัว แมไมเกี่ยวของกับศาสนา หากแตเปนสมาธิใน
หวงเวลาสั้นๆ ข้ึนอยูกับการฝกฝนของบุคคล ดังน้ันหากคนเราไดรับการฝกฝนและทําซ้ําบอยๆ
รา งกายและจติ ใจกจ็ ะเกดิ ความเคยชนิ กบั ภาวะทเี่ ปนสมาธิโดยอตั โนมัติ (เฉก, 2541: 27)
การเจริญสมาธิหรือสมถกรรมฐานเปนวิธีอบรมใจใหเกิดความสงบ โดยฝกตนเองใหมีสติ
ตั้งม่ันอยกู ับกิจเล็กๆ เพียงกิจเดียว เพ่ือหยุดความคิด พักผอนการทํางานของสมองและรางกายใน
ขณะที่ไมไดนอนหลับ หลักการสําคัญของการเจริญสมาธิ คือ เพงจิตใหระลึกรูในการเขาออกของ
ลมหายใจ ไมสงจิตออกนอกไปคิดหรือฟุงซานเรื่องใด การเจริญสมาธิอาจมีวิธีฝกหลากหลาย เชน
การใชวิธรี บั รคู วามรสู กึ ท่เี กิดจาการเคล่อื นไหวของอวัยวะ การนับเลขขณะหายใจเขาออก หรือการ
51
บริกรรมกาํ หนดจิตเปน คําพูด เพอ่ื ลดระยะเวลาของการเผลอสติไปคิดฟุงซาน (เอกชัย จุละจาริตต,
2543: 68-88)
ในชีวติ ประจาํ วันของมนุษย เราไมสามารถบงั คบั ตัวเองใหป ด การรบั รูจากสัมผัสท่ีเขามาทาง
ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจได การฝกเจริญสมาธิจะชวยหยุดความคิดในช่ัวขณะหน่ึง เพื่อใหรูเห็นความ
จริงและควบคุมความคิดของตนเองใหห ลดุ ออกจากความฟุง ซา น เปน พลงั ทกี่ อ ใหเ กิดความสงบน่ิงใน
ความนกึ คิดและการกระทําส่ิงตา งๆ กระท่ังการดับความทุกขข างในจิตใจ แตการเจริญสมาธิในแตละ
คร้ังไมควรปฏิบัติในระยะเวลานานเกินไป เนื่องจากจะทําใหผูปฏิบัติติดอยูสภาวะปดการรับรูจาก
ส่ิงตา งๆ ภายนอกจนไมไ ดประคองสติใหอยูก บั ปจ จบุ นั ดงั นนั้ การฝก เจรญิ สมาธไิ มไ ดมีสาระสําคัญวา
สามารถทําไดนานเพียงใด หากสําคัญที่ความตอเนื่องของสมาธิและการมีสติตั้งมั่นใหมากที่สุดใน
การปฏบิ ัตแิ ตละครัง้ จงึ จะถอื วาเปน การปฏิบัตทิ ถี่ ูกตอง (เพง่ิ อา ง: 68-88)
การเจริญสติ (วปิ สสนากรรมฐาน)
ความหมายของคาํ วา “สต”ิ คือ ความรูสกึ ตัว ความรูสกึ ผดิ ชอบ ความระลึกได สตมิ ักเกดิ ขึ้น
พรอ มกบั สมั ปชัญญะ ซ่ึงหมายถงึ ความรตู ัวอยูเสมอ เมื่อบุคคลกระทาํ ส่ิงใดสงิ่ หน่งึ ดวยความตง้ั ใจ รบั รู
รายละเอียดในเร่อื งทกี่ ระทํา กจ็ ะสามารถควบคมุ ความคดิ และการกระทําของตนเองใหอยูในสภาวะ
มั่นคงทางจติ ใจได โดยแนวคิดเรื่องการเจริญสติ (mindfulness) ในที่นี้หมายถึง สติปญญาทางธรรม
หรือท่ีเรียกวา “วิปสสนากรรมฐาน” ภาษาอังกฤษใชคําวา insight development หรือ insight
thought อันเปนการกระทําหรืออุบายในการพิจารณาใหเห็นความจริงดวยปญญาวา ทุกสิ่งมีเกิด
เสือ่ ม ดับ หมุนเวยี นไปตามกาลเวลา ดังนัน้ การเกิดขึ้นของทุกส่ิงคือความทุกข ไมมีอะไรท่ีเปนตัวเรา
ของเรา ไมควรหลงลมื ตวั หรือยึดติด เพราะความไมแนน อนคอื ธรรมดาโลก เมอื่ ระลกึ ไดดงั นกี้ จ็ ะทําให
มนุษยเ ขาใจความเปน จรงิ ของชวี ิต (เฉก, 2541: 31-32)
การเจรญิ สตปิ ญญาทางธรรมหรือวปิ ส สนากรรมฐานเปน การฝกตนเองใหรูตัวอยูกับปจจุบัน
ขณะ มีมรรค 8 เปนองคประกอบสําคัญในวิธีการปฏิบัติ เพื่อชําระลางกิเลสและกองทุกข
ในชีวติ ประจําวัน แมไ มไ ดห ลับตาทาํ สมาธิอยู หลกั การสาํ คญั ของการเจรญิ สตปิ ญ ญา คือ การกําหนด
รตู นเองตลอดเวลา มขี ้นั ตอนในการปฏบิ ตั ิดงั น้ี
52
1) ฝก ตั้งสติใหคงอยูกบั ท่อี ยางตอ เน่ือง เพ่อื ปอ งกนั ความคดิ ฟุงซาน
2) ฝก แบง ความตัง้ ใจในการประคองสตไิ ปใชระลกึ รคู วามคดิ และการกระทําของตนเอง
ในขณะน้นั วา มกี เิ ลสเขามาเจอื ปนหรือไม
3) ฝกแบง ความตงั้ ใจในการประคองสตไิ ปใชในการควบคุมความคดิ และการกระทาํ ไมใ หม ี
กเิ ลสเจอื ปน
4) ฝกแบง ความต้ังใจในการประคองสติ ไปใชใ นการพจิ ารณาธรรม เรมิ่ จากการทาํ ความ
เขา ใจหลักธรรม พจิ ารณาทบทวนตนเอง และแกป ญ หาโดยใชส ตปิ ญญาทางธรรม
5) ฝก ใชส ตปิ ญญาทางโลกและสตปิ ญ ญาทางธรรม ควบคกู ันไปในชีวติ ประจาํ วัน
หากบุคคลใดสามารถฝกเจริญสติปญญาทางธรรมไดครบ 5 องคประกอบดังท่ีกลาวมา
กจ็ ะชว ยเพ่ิมพูนขอมูลดา นสติปญญาทางธรรมในความจํา ชวยใหรูทันความคิดและควบคุมความคิด
ของตนเอง ดบั อวชิ ชาหรือความหลงของตน เพ่อื ไมใหจมอยูกับกิเลสอันเปนเหตุใหเกิดความทุกขใน
ชีวิตประจําวันได อยางไรก็ตามการฝกที่หมกมุนเกินไปก็ไมดี เพราะจะทําใหรางกายและสมองลา
จนขาดสตใิ นการรูทนั และควบคุมความคิดดังเชนปกติ ดังนั้นการปฏิบัติตามทางสายกลาง ไมเรงรัด
ตนเองมากไป จึงเปน วิธที ี่ดที ีส่ ุดในการฝก เจริญสติ (เอกชยั , 2543: 89)
ชวงแรกของการทําวิปสสนากรรมฐาน ควรเริ่มจากการฝกใหมีสติรูทันความคิดไปกอน
เพราะหากไมร ทู นั ความคดิ ก็จะไมส ามารถกาํ กับควบคุมตนเองไดเลย อาจใชวธิ ที ําบรกิ รรมกาํ หนดจิต
เปน คํา เพอื่ ลดระยะของการคิดฟงุ ซา น ครน้ั เมอื่ ฝกไปจนเกิดความคุนชิน สมองจะเริ่มทําหนาท่ีรูทัน
ความคิดไดเองโดยอัตโนมัติ ท้ังนี้ตองอาศัยความตั้งใจและความม่ันคงในการปฏิบัติ เน่ืองจากการ
ทาํ จิตใหรูตัวอยูตลอดเวลาเปนเรื่องยาก ดังนั้นการฝกอยางตอเน่ืองจะทําใหประสิทธิภาพของการ
ปฏิบัติไดผลดี เปนประโยชนตอผูปฏิบัติในการใชพิจารณาจิตใจของตนเอง ใหอยูกับปจจุบัน
เพื่อแกปญ หาความทุกขตา งๆ (เพงิ่ อาง: 28)
การทาํ วิปสสนากรรมฐานอาจมแี นวทางการฝก ท่หี ลากหลายตามสายของนกั ปฏบิ ัติ แตป จ จยั
สาํ คญั ทผี่ ูปฏิบัตสิ ายวิปส สนากรรมฐานตองมี คือ ศรัทธา หรือความเช่ือมั่นวาส่ิงน้ีดีจริง สมควรแก
การกระทํา วิริยะ หรือความเพียรพยายาม ต้ังใจอยางไมลดละทอถอย สติ หรือการระลึกรูตัว
ตลอดเวลา ไมเผลอตนอยูในความประมาท สมาธิ หรือความตงั้ ม่ันแหง จิต ปญญา หรือความรทู างใจ
ท่ีจะชวยตอสูกับกิเลสในตัวเราใหลดนอยและหมดลงไปในที่สุด เม่ือผูปฏิบัติมีคุณสมบัติครบท้ัง
53
5 ประการนีก้ ็จะรเู ทาทันความจรงิ ของกายและใจตนเองไดอ ยางละเอยี ดลกึ ซง้ึ รวมถึงสามารถควบคมุ
ตนเองใหดําเนินไปในทางทีถ่ ูกทีค่ วร ไมติดกับดกั แหง ความทุกขที่ตอ งเผชิญทกุ ชัว่ ขณะของชีวิต (เฉก,
2541: 105)
กลาวโดยสรุปคือการปฏิบัติธรรมท้ังสองรูปแบบนี้ เปนแนวทางการพัฒนาจิตใจในเชิง
สตปิ ญ ญา เพ่อื ใหเกิดความรูแ จงเห็นจรงิ ในธรรมดาของชวี ติ และสามารถนําความรูน้ันมาใชเปนท่ีพึ่ง
ทางใจ สรางประโยชนสุขใหกับตนเองหรือผูอ่ืน โดยยึดหลักสําคัญคือการยอมรับความจริง รูและ
เขาใจโลก ไมบดิ เบอื นหรอื มีอคติในการคดิ วนิ ิจฉยั มองเหน็ สง่ิ ทั้งหลายตามเหตปุ จ จัย รจู กั แกไขปญ หา
และทําการใหส าํ เรจ็ ตามแนวทางของเหตุปจ จัย รูเทาทันส่ิงทีจ่ ิตใจของมนุษยปรุงแตงขึ้น ควบคุมสติ
ใหมน่ั คง จนสภาวะจติ หลุดพนความทกุ ขไ ดในทสี่ ุด
บทบาทของสถานทีป่ ฏิบัติธรรมในสงั คมสมัยใหม
ในอดีตสังคมไทยเคยมีศาสนสถานอยางวัดเปนศูนยกลางแหงชุมชน ทั้งในดานการศึกษา
ภาษา ศิลปวัฒนธรรม และสังคมสงเคราะห เรียกไดวาวัดคือแหลงพ่ึงพิงทางใจที่สําคัญ ทุกชุมชน
จะตองมวี ัดประจาํ ของแตล ะชุมชนเปน พ้ืนที่รวมจิตใจและเปนพ้นื ที่ในการทํากจิ กรรมตา งๆ ดวยเหตนุ ี้
คนไทยสวนใหญท ี่นับถือพุทธศาสนาจึงผูกพนั อยูก บั การเขาวดั
หากแตเ ม่ือความเปน สมัยใหมเริ่มเขามามบี ทบาทในสงั คมไทย ความเจริญกาวหนาทางวัตถุ
และวทิ ยาการความรไู ดมผี ลตอการเปลีย่ นแปลงคา นยิ มและวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมใหคอยๆ ลดทอน
ความสําคัญของวัดลงไป จนกระทั่งหลงเหลือแตเพียงบทบาทหนาที่ในการประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา วัดไมไดเ ปนศนู ยรวมทางจิตใจของผูคนสวนใหญอีกตอไป โดยเฉพาะในสังคมเมือง หลายวัด
เลือกปรับตัวตามกระแสสงั คมดว ยการทาํ ไสยพาณิชย ผนั ตัวไปเปนสวนหน่ึงของระบบตลาดที่มีวัตถุ
มงคลเปน สนิ คาหรือการบรกิ ารในดานไสยศาสตร โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือตอบสนองตอความตองการ
ทางดานจิตใจของคนไทยท่ีอยูภายใตระบบทุนนิยมหรือลัทธิบริโภคนิยม ในขณะท่ีหลายวัดก็เลือก
รว มมือกบั รัฐ เพอ่ื ตอบสนองนโยบายความม่นั คงแหง ชาติ (ดุษฎ,ี 2547)
กลา วไดว า การเปลย่ี นแปลงในสังคมสมัยใหม กอใหเ กิดการปรับตัวทางพุทธศาสนามากมาย
หากแตก็มีพทุ ธศาสนิกชนบางกลุมท่ีพยายามรักษาคุณคาในฐานะที่พึ่งทางใจเอาไว โดยปฏิรูปพุทธ
ศาสนา สรา งศาสนสถานรปู แบบใหมๆ ข้ึนมา เปนแหลงพ่ึงพิงทางใจทใี่ ชต อบสนองความตองการของ
ผูคนในสังคมปจจุบัน ยกตัวอยางเชน สวนโมกข สันติอโศก วัดพระธรรมกาย เสถียรธรรมสถาน
54
เปน ตน ซ่งึ แสดงใหเห็นถึงการตีความพุทธศาสนาแบบใหม โดยใชหลกั ธรรมคําสอนของพระพุทธองค
มาเปน แนวทาง (เพง่ิ อา ง: 45-49)
สถานท่ีปฏิบตั ธิ รรม เปน สถานทห่ี น่ึงทีค่ นไทยในสงั คมสมยั ใหมเ ลอื กใชเปน แหลงพ่งึ พงิ ทางใจ
ยามประสบกับความทุกขที่ไมอาจหาทางออกได บางก็ใชเปนสถานที่หลบภัยจากปญหาทางโลกที่
กําลงั เผชิญอยู เพ่อื พกั ฟน ฟูจติ ใจ พาตนเองไปอยูในพน้ื ที่แหง ความสงบ ฝกพัฒนาจิตใจตนเองโดยการ
ภาวนา เจริญสมาธิ เจรญิ สติ ทั้งในอริ ิยาบถน่งั และอิรยิ าบถเดิน ซึ่งแตละที่อาจมีแนวทางปฏิบัติและ
วธิ กี ารสอนทแี่ ตกตางกันไป หากลว นต้งั อยูบนฐานของจุดมุงหมายเดียวกัน คือเผยแผหลักธรรมทาง
พุทธศาสนาใหบ คุ คลท่ัวไปสามารถเรียนรแู ละเขา ใจธรรมะไดโดยงาย
บทบาทหนา ทีห่ ลักของสถานที่ปฏิบัติธรรม คือช้ีแนะแนวทางใหคนหลุดพนจากความทุกข
ดวยวิธฝี กภาวนา ซ่ึงหมายถงึ การอบรม ฝก เจรญิ สมาธิ ฝกเจริญสตปิ ญ ญาทางธรรม เพ่ือพัฒนาตัวตน
ของแตล ะบคุ คลอยางครอบคลุมทง้ั 4 ดาน ดังน้ี
1) กายภาวนา คือ การพัฒนากายในทางที่เปนคุณประโยชน เริ่มต้ังแตปจจัยสี่เปนตนไป
ในความหมายท่ีสัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางกายภาพ ไมเปนไปในทางลุมหลง หมกมุนอยูกับความ
เพลิดเพลิน ความสนกุ สนาน จนนาํ ไปสูความเดอื ดรอ นของตนเองและผูอ่ืน
2) ศีลภาวนา คือ การพัฒนาศีลโดยไมกอการเบียดเบียนหรือทําความเดือดรอนแกผูอื่น
ประพฤติแตส งิ่ ท่ีเปนประโยชนตอผูอ่ืนเก้ือกูลตอสังคม มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ประกอบ
สัมมาชีพดวยความขยันหมั่นเพียร ฝกฝนอบรมกายวาจาของตนใหปราณีต ปราศจากโทษและ
เปน เคร่อื งสนับสนุนการฝกอบรมจติ ใจใหดยี ง่ิ ขนึ้ ไป
3) จิตภาวนา คือ การพัฒนาจติ ใหม ีคณุ สมบัติดีงาม แบง ออกเปน 3 ดาน ไดแก
คุณภาพจิต เปนการพัฒนาจิตใหมีคุณธรรม เพ่ือเสริมสรางจิตใจใหสูง มีเมตตา กรุณา
มีความเปนกัลยาณมิตรท่ีดี
สมรรถภาพจติ เปน การพัฒนาจิต เพ่ือใหมคี วามพรอมตอ การใชง าน เชน มีสติ มีความเพียร
พยายาม มีความอดทน มีสมาธิ มจี ติ ใจต้ังมนั่ แนว แน มีความมนั่ คง มีสัจจะ โดยเฉพาะงานทางปญ ญา
ทีต่ องคดิ พจิ ารณาใหเหน็ ความจริงแจม แจง ชัดเจน
สุขภาพจิต เปนการพัฒนาจิตใหมีสุขภาพดี มีความสุข สงบ ปลอดโปรง โลง ไมเครียด
ไมก งั วลใจไมกระวนกระวาย ไมขุนมวั ไมเศราหมอง หรือหดหู
55
4) ปญ ญาภาวนา คอื การพฒั นาจิตใหมปี ญญาเพอ่ื ใหเกดิ ความรแู จง เห็นจริง สามารถยอมรบั
ความจริง เขาใจโลก เขาใจชีวิต ไมบิดเบือนหรือมีอคติในการคิดวินิจฉัยเร่ืองตางๆ มองเห็นส่ิง
ท้ังหลายตามเหตุปจจัย รูเทาทันธรรมดาของสังขารหรือส่ิงท่ีจิตของมนุษยปรุงแตงขึ้น สามารถนํา
ความรนู น้ั มาใชแ กปญหา สรางประโยชนส ุขแกต นเองและผอู นื่ ตลอดจนมสี ตอิ ยูตลอดเวลาจนกระทง่ั
จติ ใจเปนอสิ ระ หลุดพนจากกิเลสและความทกุ ขโ ดยสิ้นเชงิ (พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต): 79-81)
อยางไรกต็ าม บทบาทของสถานท่ีปฏิบัติธรรมดังท่ีกลาวมาขางตน เปนเพียงภาพกวางของ
สถานที่ปฏิบัติธรรมในสังคมสมัยใหมทั้งหมดที่คนไทยเลือกใชเปนแหลงพึ่งพิงทางใจ โดยในแตละท่ี
ก็จะมแี นวทางปฏบิ ัติและวิธีการสอนท่ีแตกตางกันอีก ข้ึนอยูกับความตองการของผูท่ีบริหารจัดการ
องคก รทางศาสนานนั้ วาจะเผยแผหลักธรรมทางพุทธศาสนาใหบุคคลทั่วไปเรียนรูและเขาใจธรรมะ
ดวยวิธีใด ซ่ึงในบทตอไปจะเปนการอธิบายถึงการปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารอยา งละเอียด ต้ังแตประวัติความเปนมาของสํานักปฏิบัติธรรม ผูนําที่มี
บทบาทสาํ คญั ในการฝกปฏิบัติธรรม ตลอดจนถึงแนวทางการปฏบิ ตั ิทส่ี าํ นกั แหงนใี้ ชอ บรมแกผ ทู ่สี นใจ
บทที่ 4
สํานักวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวหิ าร
ในบทนี้จะกลาวถึงขอมูลพื้นฐานเก่ียวกับสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศาราม
วรวิหาร ซ่งึ ประกอบไปดว ย ท่ีตง้ั ของสํานักวปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ประวัติ
ความเปนมาของวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร การกอต้ังสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน การแบงพ้ืนที่
ภายในสาํ นักวปิ สสนากัมมัฏฐาน ผนู าํ ของสาํ นักวิปส สนากมั มฏั ฐาน กิจกรรมและแนวทางการปฏิบัติ
ของสํานักวิปสสนากัมมัฏฐานอันสะทอนใหเห็นถึงบริบททางสังคมในการมีอยูของสํานัก รวมถึง
ความสมั พนั ธข องกลุมคนท่ีเขามาบวชและฝกวิปสสนากรรมฐาน ทั้งน้ีผูศึกษาเรียนรูโดยการสังเกต
คนควา พจิ ารณา และสัมภาษณเรื่องราวจากกลุมคนเหลาน้ีเพ่ือใชเปนขอมูลเบ้ืองตนในการอธิบาย
และทําความเขา ใจผูห ญงิ ไทยในสังคมสมัยใหมที่สนใจพุทธศาสนาและเลือกหยิบนํามาเปนแนวทาง
ในการดาํ เนินชวี ิต ตลอดจนเปนท่พี ึง่ ทางใจใหก ับตนเอง
ทตี่ ้ังสํานกั วปิ สสนากมั มัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวหิ าร
สาํ นกั วิปสสนากมั มฏั ฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวหิ าร เปนสํานักปฏิบัติธรรมในพระอาราม
หลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ต้ังอยูเลขที่ 579 ถนนวานิช 1 แขวงสัมพันธวงศเขตสัมพันธวงศ
กรุงเทพมหานคร มีเนอ้ื ทปี่ ระมาณ 60 ตารางวา โดยแบงพนื้ ทภ่ี ายในสาํ นกั ออกเปน 2 สวน สวนแรก
คือศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณเปนศาลาที่ใชเปนสถานท่ีฝกวิปสสนากรรมฐานของกลุมนักปฏิบัติ
ธรรมและเปนสถานทีส่ าํ หรบั การสวดมนตทําวัตรของแมชี อีกสวนหน่ึงคืออาคารสามัคคีบุญซึ่งเปน
อาคาร 3 ช้ัน สรา งข้นึ สาํ หรับเปนท่ีพกั ของแมชีและรองรับอุบาสิกาผูมาพักอาศัยอยูที่วัดเพื่อปฏิบัติ
ธรรมการใชสอยพน้ื ที่ในสํานกั วปิ ส สนาแหงนีเ้ ปน ไปอยางเอ้อื เฟอ เกอ้ื กูลกัน
56
57
ภาพท่ี 4.1 แผนภาพวดั สัมพนั ธวงศารามวรวิหาร ณ ปจจบุ นั
ภาพโดยอธชิ ญา สุขธรรมรตั น เม่ือ 2 กุมภาพนั ธ 2561
58
ความเปน มาของวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เดิมเปนวัดโบราณสายเถรวาทท่ีมีมาตั้งแตสมัยอยุธยา
ไมปรากฏชือ่ ผสู ราง จากหลกั ฐานทางประวัติศาสตรพบวา ต้ังอยูร ิมถนนทรงวาด เหนือวัดปทุมคงคา
อาํ เภอสัมพนั ธวงศ จังหวัดพระนคร มีพ้นื ท่ปี ระมาณ 31 ไร โดยหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟาจุฬาโลกไดสถาปนากรุงรัตนโกสินทรเปนราชธานีทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหพระบรม
วงศานุวงศทําการบูรณปฏิสังขรณวัดตางๆ ซ่ึงสมเด็จพระสัมพันธวงศเธอกรมหลวงพิทักษมนตรี
(เจาฟาจุย)พระโอรสองคที่ 5ในสมเด็จพระพี่นางเธอเจาฟากรมพระศรีสุดารักษเปนผูรับผิดชอบ
วดั เกา แหงน้ี พระองคท รงบรู ณะวดั ขึน้ เปนพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร รวมถึงพระราชทาน
นามใหมว า “วัดเกาะแกวลังการาม” ดวยลักษณะพื้นที่ใกลเคียงของวัดที่มีคูคลองลอมรอบเชื่อมตอ
กบั แมนา้ํ เจา พระยาฝง ตะวนั ออก กลายเปน ท่มี าของการเรียกช่ือวัดโดยยอวา “วัดเกาะ” คร้ันเม่ือถึง
สมัยรชั กาลที่ 3พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา เจา อยูหวั ทรงมพี ระราชศรัทธาใหบ รู ณะปฏสิ งั ขรณอ ีกครงั้
เนื่องดว ยเหน็ ความสาํ คัญของวดั เกาะแกวลังการาม จึงออกพระราชกระแสใหซอมแซมวัดและสราง
กุฏแิ ดพระสงฆ อีกท้ังยงั พระราชทานนามใหมเพอ่ื เฉลมิ พระเกียรติของเจาฟากรมหลวงพิทักษมนตรี
วา “วัดสัมพันธวงศาวาส”ตอมาในสมัยรัชกาลท่ี 4พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา ฯ ใหเปล่ียนแปลงวัดเปน สังกัดธรรมยุติกนิกายและใชช่ือ “วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร” เรอื่ ยมาจนถึงทุกวนั นี้ หากแตค นสวนใหญม กั นยิ มเรียก “วัดสมั พันธวงศ”แมจะยังไมมี
การยอมรับจากทางวดั อยางเปน ทางการก็ตาม (จาํ นงคธ มมฺ จาร,ี 2560: ออนไลน)
พนื้ ที่เดิมบริเวณวัดสมั พันธวงศารามวรวหิ ารซง่ึ อดีตเคยเปนคลอง ปจจุบันไดถูกถมเพื่อปลูก
สรางตกึ แถวบา นเรอื นและตัดถนนทรงสวัสดิ์ผานกลางวัด พ้ืนท่ีของวัดจึงลดลงเหลือเนื้อที่ประมาณ
21 ไร 1 งาน 67 ตารางวาดานทศิ ตะวนั ตกของถนนทรงสวัสดิ์ แบงเปนท่ีดินสวนของวัดในเขตรักษา
อรณุ แหง การจาํ พรรษา1ท่ีธรณีสงฆ อนั เปนพน้ื ที่สําหรับจัดผลประโยชนแกวดั โดยตรง และท่ีดนิ ท่ีเปน
หองแถว คลองคู รวมท้ังหมด 11 ไร 2 งาน 89 ตารางวา สวนท่ีดินดานทิศตะวันออกของถนน
ทรงสวัสดิ์มีเนื้อท่ีประมาณ 9 ไร 3 งาน 42 ตารางวาและที่ดินบริเวณนอกคูดานทิศเหนืออีก 1 ไร
72 ตารางวา
1เขตรกั ษาอรุณแหงการจาํ พรรษาหมายถงึ อาณาเขตพืน้ ท่ีในสว นของวัดท่พี ระสงฆจ ะตอ งพกั
อยกู อนอรุณขนึ้ เพ่ือรักษาพรรษาเชน อุโบสถ กุฏิ ศาลาการเปรียญ เปนตน (กลุมสมาชิกลานธรรม
ถาวร, 2553: ออนไลน)
59
ภาพท่ี 4.2 ดานหนาวดั สมั พนั ธวงศารามวรวหิ าร
(ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/472476)
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารเปนวัดที่สงเสริมทางดานการศึกษาและดานการปฏิบัติธรรม
มกั มีภกิ ษุสงฆ สามเณร และแมชีจากสถานที่ตางๆ มาพักจําพรรษาที่วัดแหงนี้อยูเสมอสังเกตไดวา
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร มีผูคนไหลเวียนเขามาไมขาดสาย อีกท้ังพ้ืนที่รอบวัดก็ตั้งอยูใกลถนน
ยานการคา อยา งเยาวราชสภาพแวดลอมโดยรอบจึงเปน สังคมทม่ี ีประชากรหนาแนน เต็มไปดวยพ้ืนท่ี
ทางเศรษฐกิจการคาและท่ีพักอาศัยเปนผลใหทางวัดพยายามปรับตัวสรางสิ่งอํานวยสะดวกขึ้นมา
รองรบั เพื่อความเหมาะสมกบั สังคมยคุ ปจจบุ นั ดวยการจดั วางผังสิ่งปลูกสรางภายในวัดใหม จากแต
เดิมที่หนาวัดหันไปทางฝงแมน้ํา ก็เปล่ียนไปทางถนนทรงสวัสด์ิ รวมถึงปรับปรุงสิ่งกอสรางภายใน
ซอ มแซมพระอุโบสถและพระวิหารที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ขยายพื้นที่ใหมีขนาดใหญขึ้นสําหรับ
การปฏิบัติศาสนกิจของภิกษุสามเณร นอกจากนี้ยังกอสรางสถานที่เกื้อกูลอํานวยประโยชนแก
ประชาชน อาทิเชน สรางกุฏแิ มชหี รอื บานพักอุบาสิกา สรางสํานักปฏิบัติธรรม สรางโรงเรียนระดับ
ประถมศึกษา และสิง่ ปลูกสรา งอน่ื ๆ ทมี่ ีระบบการจดั การอยางเปน ระเบียบเรียบรอย เหมาะเปน พ้ืนที่
สงบจิตใจแกผูคนท่ีเขามาพักพิง
60
การกอตงั้ สาํ นกั วปิ ส สนากัมมฏั ฐาน
การกอต้ังสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน มีจุดมุงหมายในการสงเสริมดานการปฏิบัติธรรมของ
วัดสมั พันธวงศารามวรวิหารโดยมีจุดเรมิ่ ตน มาจากความต้ังใจของแมช บี ุญมี เวชสารท่ีตองการสนอง
คณุ พระพทุ ธศาสนาดวยการเผยแผพ ระพุทธศาสนาและสนองคณุ ของวัดสัมพันธวงศารามวรวหิ ารทใ่ี ห
ท่พี าํ นกั อาศัยแกท านทา นจงึ ทาํ หนาท่เี ปน อาจารยฝ กอบรมสอนวิปสสนากรรมฐานแกพ ทุ ธศาสนิกชน
ทสี่ นใจเขามาปฏบิ ตั ิธรรม สถานที่สอนแหงแรกคอื บา นพกั อบุ าสิกา บริเวณใตกุฎีแมชีหลังเกา ตอมา
สถานท่ดี ังกลาวไมสะดวกตอการสอนและฝกปฏิบัติเทาใดนักทําใหทานตองขออนุญาตหัวหนาแมชี
เพ่ือยายไปสอนที่หองขนาดเล็กอีกดานหนึ่งของบานพักและยายไปใชศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
ในภายหลังดวยความที่แมชีบุญมีมีคณะลูกศิษยมากมายตั้งแตกอนเขามาอยูท่ีวัดสัมพันธวงศาราม
วรวหิ าร เม่อื รวู า แมชพี ักประจาํ อยูท่ีนี่ ตางพากันแนะนําใหผูที่สนใจในการปฏิบัติธรรมเขามาฝกอบรม
วิปสสนากรรมฐานกบั แมชที ่ีบานพักอบุ าสิกาแหงนี้กระทัง่ มีผสู นใจมาปฎิบตั ิธรรมกับแมชบี ญุ มมี ากขนึ้
บานพกั อุบาสกิ าและศาลาหลวงปูแหวน สจุ ิณโฺ ณท่ีใชในการฝก สอนจงึ ไมเพียงพอ แมช ีและลูกศิษยจึง
มีความประสงคท ี่จะจัดสรา งอาคารปฏบิ ตั ธิ รรมขนึ้ มาเพม่ิ เตมิ โดยปรึกษาหารือและนําไปกราบเรียน
แจง เรือ่ งดังกลาวกับเจา อาวาส ผูช ว ยเจาอาวาสและผทู ี่เก่ียวขอ งในขณะนนั้ ซึง่ ทกุ ฝา ยมีฉนั ทามติเห็น
ดวยกับขอเสนอการกอสราง พื้นที่ใหฆราวาสไดเขามาเรียนรูธรรม เนื่องจากเปนการสงเสริมพุทธ
ศาสนาในทางหนงึ่ จงึ ชวยสมทบทนุ จดั ผาปา สามัคคีรวบรวมปจ จัยจากศษิ ยานุศิษยใ หเ ปนงบประมาณ
1,000,000 บาท โดยแบงออกเปน 2 กอง กองละ 500,000 บาท สําหรับปรบั ปรงุ ศาลาหลวงปูแหวน
สจุ ิณโฺ ณใหเ ปน ศาลาปฏิบตั ิธรรม และสําหรบั กอ สรา งอาคารสามคั คีมีบญุ เพอื่ ใชเ ปน ท้งั สถานที่อบรม
ธรรมะ ท้งั บา นพักสําหรับแมช แี ละอุบาสิกาท่ีมาฝกปฏิบัติธรรม นอกจากนี้แมชีและคณะลูกศิษยยัง
รวมกันสมทบทุนบริจาค รวมงบประมาณในการกอสรางทั้งหมดกวา 3,000,000 บาท (พระมหา
สํารวย นาคโร และนศิ มล, 2560: ออนไลน)
61
การแบง พนื้ ทภี่ ายในสํานักวิปส สนากมั มัฏฐาน
การดูแลพื้นท่ีภายในสํานักวิปสสนากัมมัฏฐานแบงออกเปน 2 สวน สวนแรกไดแก ศาลา
หลวงปูแหวน สุจิณฺโณ เปนศาลาที่ใชในการฝกปฏิบัติธรรมและสวดมนต อีกสวนหน่ึงไดแก อาคาร
สามคั คมี ีบุญ เปนที่พักของแมชีและอุบาสิกา แตเดิมผูดูแลสํานักคือแมชีบุญมี เวชสาร แตหลังจาก
ท่ีทานไดละสังขารไปแลวน้ัน แมชีอัสรา พิจารณจึงเขามาทําหนาที่เปนผูดูแลสํานักตอไป อธิบาย
รายละเอียดของสถานทคี่ รา วๆ ไดดังน้ี
ศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
ศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณเดิมเปนศาลาเกาที่ใชเก็บของตางๆ ของวัด สรางข้ึนเม่ือป
พ.ศ. 2525 เพ่ือถวายแดห ลวงปูแหวน สจุ ณิ ฺโณ ผเู ปนอาจารยของเจา อาวาสและคณะสงฆบางสวนใน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ตอมาแมชีบุญมีจึงขออนุญาติใชเปนศาลาปฏิบัติธรรม เพ่ือรองรับผูที่
เขา มาฝกวปิ ส สนากรรมฐานกับทา น เนอื่ งจากในอดตี ทางสํานักใชพื้นท่ีในบานพักอุบาสิกาบริเวณใต
กฏุ แิ มชีเปนสถานทห่ี ลกั ในการฝก อบรม หากแตเ วลาตอมามีลูกศิษยมาปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนา
กมั มัฏฐานแหงนี้เพมิ่ ขน้ึ ทาํ ใหบ า นพกั อบุ าสกิ าไมเ พียงพอตอการรองรบั ผูที่มาปฎบิ ัติอีกทั้งสภาพของ
บา นพักก็เกาทรุดโทรมลงไปเร่ือยๆ ดังนั้นนอกจากแมชีบุญมีจะดําเนินเร่ืองใหมีการจัดสรางอาคาร
ปฏบิ ตั ธิ รรมใหมขึน้ มาเพิม่ เตมิ แลว ยงั สนับสนนุ ใหมกี ารปรับปรุงซอมแซมศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
น้ดี วย
ภายในศาลาเปนหองโถงกวาง พื้นปูกระเบ้ืองแกรนิตโต มีพระประธาน รูปหลอพระ
เกจอิ าจารย ตง้ั อยูบนโตะหมบู ูชาประดับดว ยแจกนั ดอกไมส วยงามมีรปู เคารพของแมชีบุญมี เวชสาร
และรปู หลอของแมชบี ุญเรือนโตงบญุ เติม ผเู ปน อาจารยของแมชีบุญมีอยูทางฝงซายของโตะหมูบูชา
สว นทางฝงขวาของศาลามีอาสนสงฆ ตูเก็บพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ฝงใกลเคียงกับประตู
ทางเขา ศาลามีโตะ ยาวสําหรับรวมกลมุ พดู คุยและรับประทานอาหาร นอกจากน้ียังมีตูเก็บหนังสือท่ีมี
คณุ คามากมาย ทัง้ พุทธประวัติ หนงั สอื ธรรมะ และอนุสรณห นังสอื ตา งๆ
ปจจุบันศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณใชเปนสถานท่ีหลักในการฝกวิปสสนากรรมฐานของ
กลมุ นักปฏิบัตธิ รรม เพอ่ื พัฒนาและฟนฟูจิตใจของตนเองใหพนจากความทุกขในแตละวัน รวมถึงใช
เปน สถานท่ีสาํ หรับการสวดมนตท ําวตั รของแมช ใี นชวงเชาและชว งเย็นของทุกวันอกี ดวย
62
ภาพที่ 4.3 ภายในศาลาหลวงปูแหวน สจุ ณิ โฺ ณ
(ภาพถายโดย อธชิ ญา สขุ ธรรมรัตน เม่อื วนั ท่ี 15 ธนั วาคม 2560)
อาคารสามัคคีมบี ญุ
อาคารสามัคคมี ีบุญเปนอาคาร 3 ช้ัน สรา งขน้ึ สาํ หรับเปนที่พักของแมชีและรองรับอุบาสิกา
ผูม าพกั อาศัยอยทู ว่ี ัดเพอ่ื ปฏิบัตธิ รรมเริ่มดาํ เนนิ การกอ สรา งในป พ.ศ. 2546แลวเสร็จและมอบถวาย
อาคารในป พ.ศ. 2547ชัน้ แรกเดิมเปนทีพ่ กั ของแมชีบุญมี เวชสาร และหองรับรองสําหรับลูกศิษยท่ี
เขามาเย่ียมเยียนพูดคุยสนทนาธรรม ดานหลังของอาคารเปนระเบียงขนาดเล็ก มีหองนํ้า ครัว
ขนาดเล็ก และสง่ิ อาํ นวยความสะดวกอ่นื ๆ บรรยากาศบริเวณอาคารสงบรม เย็นเต็มไปดว ยตนไม
ตอมาในป พ.ศ. 2555 ทางคณะลูกศิษยของแมชี บุญมีไดรวมกันสรางเรือนนอนบน
ช้ันดาดฟาของอาคารสามัคคีมีบุญขึ้นมาเพ่ิมเติม เน่ืองจากหองพักไมเพียงพอสําหรับผูที่มาปฏิบัติ
ธรรม รวมถึงไดท าํ การทาสอี าคารใหม ปรับปรุงหองพักเพ่ิมหองอาบนํ้าและอางลางหนา แกปญหา
น้าํ ร่วั ซึมและนาํ้ เออลน ทัง้ นเี้ พอื่ ใหท ัศนยี ภาพของสาํ นกั ดีขึ้น เปน ประโยชนรวมกนั แกผทู ่มี าอาศยั
63
ผนู าํ ของสาํ นักวปิ สสนากัมมฏั ฐาน
ภาพท่ี 4.4 แมชบี ุญมี เวชสาร
(ทมี่ า: http://vipassanamaster.blogspot.com/2014/09/blog-post.html)
แมชีบุญมี เวชสาร เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เปนแมชีวิปสสนาจารยสายหลวงปูม่ัน
ภูริทัตตเถระ พระกรรมฐานวัดปาผูท่ีมีแนวทางในการปฏิบัติธรรมแบบเครงครัด ไมยุงเก่ียวกับ
พุทธศาสนาทางโลก ออกธดุ งคว ิเวกไปพาํ นักตามสถานที่ตางๆ มุงเพียรภาวนาเทศนาอบรมธรรมแก
ภิกษสุ งฆ สามเณร และฆราวาสจนมคี ณะศิษยตดิ ตามมากมาย
เดิมกอนบวชเปนแมชี อาจารยผูสอนปฏิบัติธรรมแกทานคือพระอาจารยประเสริฐ
วัดวารินทราราม อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซ่ึงสอนตามแนวทางของพระอาจารย
ภัททันตะ อาสภมหาเถระ สํานกั วิปสสนาวเิ วกอาศรม จังหวัดชลบุรีพระมหาเถระชาวพมา เมือ่ อายไุ ด
44 ป ทานจึงบวชเปนแมชีที่วัดแสนสุขวิสุทธิวราราม ตําบลแสนสุข อําเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
โดยมพี ระครูใบฎีกาพยากรณ (ทวม เวสารชโฺ ช)เจาอาวาสวดั แสนสุขวิสุทธิวรารามขณะน้ันเปนผูบวช
ให ตอมาไดยายไปพํานักอยูที่วัดมหาวนารามหรือวัดปาใหญ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
เพ่ือเรยี นอภิธรรม แตกลับพบวา ไมใชแ นวทางที่ตอบสนองตอการหลุดพนจากความทุกขของทานได
64
อยา งแทจ ริง จึงเลือกเดนิ ทางสายจาริกปฏิบัติ หยุดการศึกษาอภิธรรมและเดินทางไปท่ีฝกวิปสสนา
กรรมฐานท่ีสาํ นักวิปส สนาวเิ วกอาศรม จงั หวัดชลบุรี อันเปนจุดเริม่ ตนสูการปฏิบตั ิธรรมแบบวปิ สสนา
กรรมฐานอยา งจรงิ จัง
หลงั จากนน้ั ทา นไดถวายตัวเปน ศิษยพระอาจารยภัททนั ตะ อาสภมหาเถระที่เปนปรมาจารย
ตามแนวสติปฏฐาน 4 ซึ่งใชอ งคบ ริกรรม ยบุ หนอ-พองหนอ (Rising and Falling) และการกาํ หนดจิต
ใหร ูทกุ อารมณของตนเองตลอดระยะเวลาการฝกทา นพบกบั อุปสรรคมากมาย อันเกดิ จากกเิ ลสในใจที่
เขา มาขัดขวางการเจรญิ สติ จนถงึ ข้ันคิดทอแทอ ยากลม เลกิ แตส ดุ ทายกร็ ะลกึ ขึน้ ไดว า สภาวะดังกลาว
เปนเพียงบททดสอบของการฝกวิปสสนากรรมฐาน นับต้ังแตนั้นทานจึงต้ังใจปฏิบัติอยางตอเนื่อง
ในทสี่ ดุ กส็ ามารถพฒั นาสภาวธรรมไดอ ยางกา วหนาและรวดเร็ว
ตอมามีเหตุใหทานตองเดินทางกลับไปท่ีวัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้ง
ระหวางน้ันทา นไดร ะลกึ ถงึ คณุ วเิ ศษของวปิ ส สนากรรมฐานวา ไมเ พียงแตเปนสมบัติล้ําคาท่ีสุดสําหรับ
ทา น หากแตว ปิ สสนากรรมฐานยงั เปน ทรัพยอนั ประเสรฐิ ของมนษุ ยทุกคน ทา นจึงมุง มั่นออกธุดงคไป
เผยแผว ิปส สนากรรมฐานตามสถานทต่ี างๆท่ัวทุกภาคในประเทศไทย เปนระยะเวลานานกวา 10 ป
กระทัง่ ในป พ.ศ. 2530 ทานจําเปนตองเขารับการผาตัดตาที่กรุงเทพมหานคร ดวยเหตุน้ีทําใหทาน
ไดไ ปพํานักอยทู ี่วดั นางชี เขตบางขนุ เทียนถึง2 ปเพอ่ื ความสะดวกตอการรักษา
เมื่อถึงป พ.ศ. 2532 ทานมีโอกาสไดเขามาอยูที่วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารอยางถาวร
เนอ่ื งจากแมชีที่ติดตามทา น เรยี นอภิธรรมอยทู ว่ี ัดมหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎโ์ิ ดยการสัญจรไปมาระหวาง
วัดนางชกี บั วัดมหาธาตรุ งั สฤษฎิ์นัน้ ระยะทางคอนขา งไกลและมีความลาํ บากในการเดินทาง แมชีท่ีวัด
มหาธาตรุ งั สฤษฎ์ิจึงแนะนําใหไปกราบขอเมตตาจากสมเด็จพระมหาวรี วงศ (มานิต ถาวโร) เจา อาวาส
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารขณะน้ัน เพื่อขอพํานักอยูท่ีกุฏิแมชี เพราะในขณะน้ันมีแมชี
ไมมาก จงึ นา จะมีหองรองรับเพียงพอสําหรบั เปน ที่พักอาศยั
ดว ยความเมตตาของสมเดจ็ พระมหาวีรวงศ ทําใหแมชีบุญมีไดยายเขามาพํานักประจําอยูท่ี
กฏุ ิแมชี วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารระหวางน้ีทานไดรูจักกับแมชีบุญเรือน บุญโตงเติม แมชีที่เปน
ตนแบบของการเผยแผการสอนวิปสสนากรรมฐาน ดวยความเมตตาจากแมชีบุญเรือน ทําใหทาน
เคารพแมช ีบุญเรือนเปนอาจารยอีกคนของทาน อีกท้ังขณะท่ีพํานักอยูท่ีวัด ทานปฏิบัติกิจวัตรตาม
ระเบียบอยางไมขาดตกบกพรอง มีความออนนอมถอมตนเคารพตอภิกษุสามเณร รวมถึงแมชีที่อยู
ภายในวดั และนอกวัดชวยเหลอื งานทางวัดเม่ือไดรับมอบหมาย นอกจากนใ้ี นสวนของบา นพกั อบุ าสกิ า
65
ทานก็ไดทําหนาท่ีดูแลอํานวยความสะดวกแกแมชีและญาติโยมท่ีเขามาพัก ซึ่งระหวางนั้นทานเร่ิม
สอนวปิ สสนากรรมฐานใหก ับแมช ีและผูท ส่ี นใจในการปฏิบัติธรรมอยางตอ เนือ่ งแตห ลงั จากอบรมสอน
วิปสสนากรรมฐานอยูที่สํานักได 3 ปทานเริ่มมีอาการปวยดวยโรคหัวใจ จึงเดินทางไปพักผอนท่ี
จงั หวัดกําแพงเพชรเปนเวลาหลายเดือนถงึ กระนนั้ ลกู ศิษยจากกรุงเทพมหานครกย็ ังคงเดินทางตามไป
เย่ียมเยียนอยูเปนประจํา ทานจงึ ยินดที าํ หนาทเี่ ปนวปิ สสนาจารยสอนปฏิบัติธรรมตอไป แมรางกาย
ของตนเองจะไมแ ขง็ แรงดีกต็ าม
ถือไดวาแมชีบุญมีเปนผูนําศรัทธาของพุทธศาสนิกชนกลุมหนึ่งในการทํานุบํารุงศาสนา
ไมวาจะเปน การฝกสอนวปิ สสนากรรมฐาน สอนธรรมะ อุปถัมภชวยเหลืองานในวัดกิจกรรมของวัด
รวมไปถึงกิจกรรมสาธารณประโยชนอื่นๆ เชน มอบทุนใหนักเรียน มอบอุปกรณการศึกษาใหแก
โรงเรยี นมอบสิ่งของใหชมุ ชนที่ขาดแคลน อุปถัมภก ารกอ สรางของสถานศึกษา เปนตนคณุ ความดีของ
ทา นทําใหม ลี ูกศษิ ยม ากมายเคารพรกั ในฐานะคุณแม คณุ ยาย และผมู พี ระคณุ ของลูกศิษยมาจนถึงทุก
วนั นี้
ปจจุบันแมชีบุญมี เวชสารไดละสังขารอยางสงบแลวในวันพฤหัสบดีท่ี 24 มีนาคม
พ.ศ. 2559สิริอายุรวม79 ป 11 เดือน ดวยอาการโรคหัวใจตีบ ณ อาคารสามัคคีมีบุญ บานพัก
อุบาสกิ าวัดสัมพันธวงศแ ขวงสมั พนั ธวงศเขตสัมพนั ธวงศ กรงุ เทพมหานคร
อาจารยช ยั พร ชยานรุ ักษ
นายชัยพร ชยานรุ ักษ หรืออาจารยชยั พร เปนวิปสสนาจารยส อนเจรญิ วิปสสนากรรมฐานแก
ผูที่มาปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารในชวงเวลาปจจุบัน
อาจารยไ ดร บั การอบรมฝกสอนจากแมชบี ญุ มี เวชสาร และไดนําแนวทางการเจริญสติมาฝกสอนแก
ผคู นทสี่ นใจการปฏิบัตธิ รรม โดยการกําหนดรคู วามคิดจติ ใจของตนเองทุกชว่ั ขณะ ในทางโลกอาจารย
ชัยพรอาจมีบทบาทหนาที่เปนผูอํานวยการสํานักงานสงเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดยอม
แตในทางธรรมอาจารยชัยพรเปนตัวอยางของฆราวาสธรรมที่มีความรูในพุทธศาสนา มุงม่ันเจริญ
ภาวนาและเผยแผธรรมะ สามารถนําเอาหลักทางพุทธศาสนาไปใชจัดการกับชีวิตทางโลกและ
ทางธรรมของตนเอง ตลอดจนชว ยเหลอื ผูท ี่หาทางออกจากทุกข เปดโอกาสใหผ คู นเขา มาแลกเปล่ียน
พูดคุยสนทนาธรรม สํารวจดูความกาวหนาทางสภาวะจิตของผูปฏิบัติ และช้ีแนะแนวทางตอไปให
ผูปฏบิ ัตสิ ามารถพฒั นาตนเองใหม ีสตอิ ยกู ับปจ จุบนั ไดดียง่ิ ข้ึน
66
ดว ยเหตทุ อ่ี าจารยช ยั พรเปน ฆราวาสทว่ั ไป ซึ่งใชชีวติ ทางโลกและมีประสบการณค ลายกันกับ
ผทู ่มี าปฏิบัติ จึงทําใหลูกศิษยรูสึกสบายใจท่ีจะปรึกษาสนทนาเร่ืองราวชีวิตกับอาจารย เพราะทาน
สามารถเขา ใจ อกี ทงั้ ยังสอนใหระลึกรูอยูกับปจจุบันเสมอ พยายามเตือนสติไมใหปลอยจิตปลอยใจ
ลอยออกไปฟุงซานกับส่ิงตางๆ หากเผลอก็ใหกําหนดบริกรรมเพื่อรูเทาทันความคิดนั้น เมื่อทําได
ผูป ฏิบัตกิ จ็ ะหลดุ พนจากความทุกข สามารถชําระลางความขุนมัวหรือความหมนหมองภายในจิตใจ
ของตนเองได ตลอดจนมีสติปญญาในการดาํ เนนิ ชีวิต เขาใจตนเอง เขาใจธรรมชาติของมนุษย ดํารง
อยูในสงั คมโลกไดอยา งสงบสขุ
แนวทางการปฏิบตั แิ ละกจิ กรรมในการฝก วิปสสนากรรมฐาน
การฝก วปิ สสนากรรมฐานหรอื การฝก เจรญิ สติของสาํ นักวิปส สนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร เปนไปตามแนวทางของพระอาจารยภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิต
(มหาสี สะยาดอร) ผเู ปน อาจารยส อนวิปสสนากรรมฐานของแมชีบญุ มี เวชสาร ตลอดจนเปน วปิ สสนา
จารยตนตํารับของการเจริญสติแบบยุบหนอพองหนอ ซึ่งตัวทานมีสํานักปฏิบัติธรรมอยูท่ีมหาสีสา
สนยิสสาประเทศพมา
แมช บี ญุ มีไดน ําแนวทางการฝก วปิ สสนาที่ไดร ํ่าเรียนมาเผยแผแกคณะลูกศิษยที่สนใจในการ
ปฏบิ ัติธรรม ซ่ึงอาจารยช ยั พร ชยานุรักษก ็เปนหน่ึงในศิษยของแมชีบุญมี ดังนั้นปจจุบันแนวทางการ
ปฏบิ ัตธิ รรมของสาํ นกั วปิ ส สนากมั มัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จงึ เปน ไปตามลกั ษณะการสอน
ของพระอาจารยภ ทั ทันตะ โดยยึดตามหลักแนวสติปฏฐาน 4 อันหมายถึงการเจริญสติเพื่อรูเทาทัน
อารมณป จจุบัน ดว ยขอ ปฏบิ ัติทีใ่ ชส ติสมั ปชญั ญะในการกําหนดจิตระลึกพิจารณาสิ่งทัง้ หลายใหรูเห็น
ตามความเปน จริงของธรรมชาติ
กิจกรรมหลักในการฝกปฏิบัติธรรมของสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน คือการรวมกลุม
เพอ่ื แลกเปล่ียนเรอื่ งราวในชีวติ และฝก เจรญิ สติไปพรอ มกนั โดยจะมกี ารนัดหมายในชวงเวลาหลังเลกิ
งานของทุกวันพุธจนถึงวันอาทิตย เริ่มตั้งแต 18.00-22.00 น. ซ่ึงหากใครไมมีกิจธุระก็จะเขามาท่ี
สํานักเปนประจํา สวนใหญเปนบุคคลวัยเรียนและวัยทํางาน มีท้ังคนกรุงเทพมหานครและ
คนตางจังหวัดที่เขามาเรียนหรือทํางานในเมือง บางคนหลังจากมีคนแนะนําใหไดรูจักท่ีน่ีก็เขามา
ปฏิบัติอยเู สมอ เพราะพจิ ารณาเห็นวากจิ กรรมและแนวทางการปฏิบัติของสถานท่ีปฏิบัติธรรมแหงน้ี
ตอบสนองจติ ใจของตนเองได
67
ในแตล ะครั้งท่เี ขา มาปฏบิ ตั ิธรรม ผูปฏบิ ตั ิจะเริม่ ตนกจิ กรรมดวยการรับประทานเย็นรวมกัน
พูดคุยกันอยางอิสระ หลังจากน้ันจึงแยกยายเพื่อฝกเจริญสติท้ังในรูปแบบของการน่ังสมาธิและ
การเดินจงกรม ซึ่งขณะนั่งหรือเดนิ ใหทําบริกรรมโดยกําหนดจิตไปสัมผัสท่ีกาย แลวระลึกรูตัวอยาง
ตอเน่ือง นอกจากนท้ี างสํานกั ยังใชวิธีเปดเสียงตา งๆ แทรกข้ึนมาใหฟงเชน เสียงธรรมชาติ เสียงรอง
ของสัตว โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือใหผูปฏิบัติมีสติอยูกับทุกส่ิงที่กําลังสัมผัส ไมวาจะเปนเสียงที่ไดยิน
สภาวะอารมณค วามรสู กึ ที่เปนอยู และการกระทําท่ีกําลังทําอยู วิธีการปฏิบัติเชนนี้จะชวยลดระยะ
การสง จิตออกนอก เพราะจิตของมนุษยสามารถรับรูถึงสิ่งที่เขามาสัมผัสไดไวมาก หากปลอยใหจิต
หลุดลอยไปกับสิ่งเหลา นัน้ กย็ ากที่จะควบคุมใหส ตอิ ยกู ับปจจบุ ันขณะ ดงั นน้ั จงึ ตองพยายามประคอง
สติใหรูทนั จติ ของตนเอง เพ่อื ทจี่ ะไดละทิ้งอารมณหรอื ความคิดท่ปี รงุ แตง ขนึ้ มาได
แนวทางการปฏิบัติของสาํ นกั วปิ ส สนากัมมฏั ฐานมกั พิจารณาและใหคําแนะนําในการปฏิบัติ
ตามความเหมาะสมของแตละบคุ คล เพราะทุกคนเกิดมาแตกตางกัน มพี ้นื ฐานความคิด ประสบการณ
ความรู หรือสิ่งตางๆ ที่สะสมมาไมเทากัน ดังน้ันหากปฏิบัติตามแนวทางที่สอดคลองกับลักษณะ
สว นบุคคลก็จะชว ยใหเกิดความกา วหนาในสภาวะธรรมมากข้นึ เรอ่ื ยๆ เม่อื ปฏบิ ัติอยา งตอ เนือ่ ง
อาจกลา วไดว า สาํ นักวปิ ส สนากมั มัฏฐานวดั สัมพันธวงศารามวรวหิ าร มีรูปแบบแนวทางการ
ปฏิบัติที่ไมแบงแยกความแตกตางทางเพศหรือฐานะทางสังคม ผูใดที่นับถือศรัทธาเชื่อม่ันใน
พทุ ธศาสนา ก็ลวนแตสามารถปฏิบตั ธิ รรมและบรรลธุ รรมไดต ามหนทางของตนเอง สวนหน่ึงอาจเปน
เพราะจดุ เริม่ ตนของสาํ นกั แหงน้ีมผี นู ําเปน ผหู ญิง จึงสงผลใหค นเรม่ิ มองวาการเขาถึงธรรมะของผหู ญงิ
ในสงั คมไทยเพอ่ื หลุดพนจากส่งิ ตา งๆ ในสังคมไมไ ดเ ปนเร่ืองยาก ผูศึกษามองวาการมีอยูขององคกร
ทางศาสนาในสงั คมสมยั ใหมเ ปด โอกาสใหผหู ญงิ มีบทบาทหนา ทใี่ นพทุ ธศาสนามากขนึ้ เม่ือสังเกตจาก
กลุมคนท่ีเขามาฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
กจ็ ะพบผูหญิงจาํ นวนมากทย่ี ดึ เอาพุทธศาสนาเปนหลกั ทพ่ี ่งึ ทางใจในการดาํ เนนิ ชวี ติ ทง้ั เผยแผธ รรมะ
สงเสรมิ การปฏิบัติธรรม ชวยเหลือสังคม ม่ันคงศรัทธาและทํานุบํารุงศาสนาตอไป เพราะพิจารณา
รูแจง เห็นแลววาพุทธศาสนาสามารถตอบสนองตอ ความตองการทางจิตใจของตนเองไดอยางแทจริง
และเปน เหตุเปนผล
บทที่ 5
10 ภาพสะทอ นตวั ตนผหู ญงิ ทเ่ี ลือกพุทธศาสนาเปน ทพ่ี งึ่ ทางใจ
การเติบโตทามกลางสังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดลอ มทเี่ ตม็ ไปดวยความหลากหลายของ
มนษุ ยเ ปน ปจจัยหน่ึงที่กอใหเกิดความแตกตางของแตละปจเจกบุคคล สถาบันตางๆ ไดหลอหลอม
ตัวตนของปจเจกบุคคลผานกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) อันเปนผลใหคนเรา
มีระบบความคิด ความเชื่อ รวมถึงการรับรูตอสิ่งรอบตัวจากประสบการณและบริบททางสังคมท่ี
แตกตางหรือคลายกนั
การนําเสนอภาพสะทอนตัวตนของผูหญิงท่ีมาบวชและปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนา
กัมมัฏฐาน วัดสัมพนั ธวงศารามวรวหิ าร จะแสดงใหเหน็ ถึงที่มาที่ไปของการเลือกพทุ ธศาสนาเปนท่พี ่ึง
ทางใจของผูหญงิ ไทยในสงั คมสมยั ใหม ผา นเรอื่ งราวชวี ติ จากกลมุ ตวั อยา งท้ังหมด 10 คน ผูเติบโตมา
ในสังคมไทยซ่ึงมกี ารปลูกฝงคานิยมทางเพศใหผูหญิงมีขอจํากัดหลายประการ อันเปนเหตุใหยึดถือ
รวมกันวาผูหญิงไทยจะตองประพฤติปฏิบัติตนอยูกับวาทกรรมเกี่ยวกับอุดมคติความเปนหญิงท่ีดี
กระทั่งส่ิงเหลาน้ีไดกอใหเกิดการต้ังคําถามของคนสมัยใหม เพราะไมวาจะเปนวาทกรรมเรื่อง
ความงามหรอื วาทกรรมทางเพศเร่อื งอนื่ ๆ เชน การรักษาความบรสิ ุทธ์กิ อนแตงงาน การประพฤติตน
ใหเ รยี บรอยอยใู นกรอบของความเปน หญงิ ดี เปนตนก็ลวนแลว แตทาํ ใหผหู ญงิ ตกอยูในอาํ นาจของวาท
กรรมยอมตามกระแสคานิยม กระท่งั ไมร ูจกั ตนเอง เมื่อทาํ ผิดแปลกไปจากบรรทัดฐานของสังคมก็จะ
ถูกตดั สินดว ยอคติ ทั้งท่คี วามเจริญและความเปน สมัยใหมไดเขา มาเปลี่ยนแปลงโลกทศั นของสงั คมทั่ว
โลกใหยอมรับในแบบเสรีนิยมของมนุษยมากขึ้นแลว แตระบบความคิดเก่ียวกับอุดมคติทางเพศ
ท่ีปลูกฝงกันมานานก็ยงั คงมีอิทธิพลตอคนบางกลมุ อยู
เร่ืองราวชีวิตของผูหญิงในกลุมตัวอยางทั้ง 10 คน เปนภาพสะทอนของผูหญิงยุคใหมที่
ตองการหาทพี่ ่งึ ทางใจใหกบั ตนเอง เพือ่ เขา ใจชีวิต เขาใจโลก และการดํารงอยูของตนเอง จึงเขามา
รวมกลุมกันเพ่ือเรียนรูและทําความเขาใจตนเองในฐานะผูหญิงใหดีย่ิงขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นวา
วาทกรรมทางพุทธศาสนาสามารถตอบคาํ ถาม เปนท่ียึดเหนี่ยวจิตใจในการดําเนินชีวิตของตนเองได
68
69
ผศู กึ ษารวบรวมขอมลู เกย่ี วกับภมู หิ ลังชวี ติ สวนตัว ประสบการณ และมมุ มองความคิดเหน็ ตอ
การเลอื กพุทธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจของกลุมผูหญิงในพื้นท่ีท่ีศึกษา โดยวิธีการสัมภาษณพูดคุยกับ
บุคคลที่มาปฏิบัติธรรมและบวชชีอยูที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน รวมถึงสังเกตการณโดยเขาไป
มีสวนรวมในการฝกเจริญสติดวย ทั้งน้ีเพ่ือใหสามารถทําความเขาใจวิถีชีวิตของผูหญิงไทยในสังคม
สมยั ใหมที่เลอื กพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจ ผศู ึกษาใชเวลาในการเก็บขอมูลตั้งแตชวงเดือนกันยายน
พ.ศ. 2560 กระทั่งสิ้นสุดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 เมื่อพิจารณาเห็นแลววาเร่ืองราวชีวิตของ
ผหู ญงิ 10 คนดังกลาว สามารถเปน กรณีศกึ ษาทีอ่ ธบิ ายตัวตนของผูหญิงกลมุ นีไ้ ดอ ยางชดั เจน
ภมู หิ ลงั ของผหู ญิงทีใ่ หส ัมภาษณ
กลุมผูหญิงท่ีผูศึกษาเลือกสัมภาษณในท่ีน้ี จากท้ังหมด 10 คน แบงเปนบุคคลท่ัวไป 7 คน
แมชี 3 คน ชว งอายุตงั้ แต 30-60 ป ซง่ึ ถอื วา เปนกลมุ ผใู หญว ัยทาํ งานท่ีมีวุฒิภาวะ ผานประสบการณ
ชีวติ มามากพอสมควร ทุกคนตางรูจักสาํ นักวปิ ส สนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ผานคํา
ชกั ชวนของบุคคลใกลช ิดทีศ่ รัทธาตอ แมช บี ญุ มี เวชสาร ในที่นผี้ ูศ กึ ษาจะอธิบายภมู ิหลังของผูหญงิ ทใี่ ห
สมั ภาษณเก่ียวกบั ชีวิตกอ นและหลังเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจอยางคราวๆ โดยใชนามสมมติ
แบง ออกเปน 3 กลุม กลมุ แรกคือบคุ คลที่มีความสนใจในแนวคิดและหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาอยู
กอ นแลว เมื่อมีโอกาสจึงเขามาปฏบิ ตั ิอยา งจรงิ จัง กลุมท่ีสองคือบุคคลที่มแี นวโนมความสนใจในพุทธ
ศาสนาแตไ มไดเ ขา มาปฏิบัติ จนกระทั่งประสบปญหาในชีวิตทซ่ี ึ่งหาทางออกไมไ ด และอกี กลุม หน่งึ คือ
บคุ คลทไี่ มเคยเชอ่ื ในพทุ ธศาสนาเลย แตสุดทายตดั สินใจหันมาเลอื กพทุ ธศาสนาเปน ทีพ่ งึ่ ทางใจ
ในกลุมแรกบุคคลที่มีความสนใจในพุทธศาสนาอยูแลวกอนเขามาใชชีวิตเพ่ือศาสนาอยาง
แมช ีบัว และ แมช ตี อ ย ถอื เปน ภาพตัวแทนของผูห ญิงทเี่ ติบโตมาพรอมกบั การปลูกฝงจากสังคมและ
สภาพแวดลอมรอบตัววาพุทธศาสนาคือส่ิงที่ดี สวนหนึ่งอาจเปนเพราะสังคมไทยกําหนดให
พุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ ดงั น้ันบุคคลใกลชิดสวนใหญล ว นแลว แตไดรับอทิ ธิพลความเชื่อใน
เรอื่ งบุญบาป การทาํ ดไี ดด ที าํ ช่ัวไดชวั่ รวมถึงการเขาวัดทําบญุ สวดมนต ฟงเทศน เม่ือถึงคราวที่มีคน
แนะนําใหไ ปเรียนธรรมะศึกษาพุทธศาสนาก็เกดิ ความศรทั ธาและตดั สินใจบวชอยางจริงจัง เน่ืองจาก
พิจารณาดวยตนเองแลววาบทบาทของแมชีในการทําหนาท่ีสนับสนุนดูแลพุทธศาสนานั้นมีคุณคา
ตอ ตนเองมากกวา การทาํ อาชพี อื่นทางโลก
70
แมช บี ัว (56 ป) เกิดและอาศัยอยูท่จี งั หวัดขอนแกน จนกระท่งั อายุ 24 ป ยา ยไปอยูที่พัทยา
จงั หวดั ชลบุรีหลงั จากน้นั 11 ป ตองกลบั มาทจ่ี งั หวัดขอนแกน ดวยเพราะคุณพอเสียชวี ติ เปน โอกาสที่
ทําใหไดพบกับแมชีทานหน่ึงท่ีแนะนําใหปฏิบัติธรรม ในตอนนั้นแมชีบัวผันยังคงเศราโศกเสียใจ
และไมไ ดสนใจทจ่ี ะบวชมากนกั เพราะยงั เคยชินกบั การใชช วี ิตทางโลก อีกท้ังยงั เหน็ วา ตัวเองก็ใชชีวิต
ใกลชดิ กบั พทุ ธศาสนา เปน ฆราวาสที่เคารพศรัทธาพุทธศาสนาเปนปกตอิ ยูแลว จงึ ไมไดคิดท่ีจะบวช
ตอ มาแมชที า นน้นั ไดนาํ เร่อื งราวไปเลา ใหแ มชีบุญมีรับฟง ทําใหแมชีบุญมีเมตตาเดินทางมา
หาแมชีบัวผันดวยตัวเอง เมื่อแมชีบัวผันไดฟงธรรมจากแมชีบุญมี เห็นถึงความเมตตา ก็พิจารณา
ตนเองจนรูแ จงเหน็ จริงแลว วาชีวติ ทางโลกน้นั ไมมอี ะไรม่ันคงแมแตชีวิตของคน ทุกอยางดําเนินเปน
วงจรท่ีหมนุ เวยี นไปตามกาลเวลา เหมอื นกระแสนํา้ ทไ่ี หลยอ นกลบั เลยตัดสนิ ใจท่จี ะบวชเปนแมชี
ในระยะแรกที่บวช ทานยังมีความรูสึกอึดอัดกับการใชชีวิตท่ีกรุงเทพฯ ทานไมโปรดปราน
ความเปนเมืองสักเทาไรนัก เนื่องจากเคยใกลชิดกับความเงียบสงบของธรรมชาติ และวิถีชีวิตแบบ
คนตางจังหวัด แตทานก็ร่ําเรียนพระอภิธรรม พยายามทําความเขาใจแกนแทของพุทธศาสนา
ดว ยความตงั้ ใจจริง จนสามารถละวางจากการยึดติดรปู รส กลน่ิ เสียงทีต่ วั เองถูกใจได
แมช ตี อย (53 ป) ไมไดเปดเผยถงึ ชีวิตสวนตัวกอนมาบวชมากนัก ทานเลาเพียงวาทานเคย
เปนผูจัดการคุมงานลูกนองกวา 200-300 คนและเปนคนที่สนใจพุทธศาสนาเปนทุนเดิมอยูแลว
ชอบแสวงหาสถานทป่ี ฏิบัตธิ รรมตา งจังหวัด เพ่ือไปบวชชีพรามหณใ นชวงวนั หยุดหรือชวงท่ีมีเวลาวา ง
เม่ือวันที่พอแมของทานหมดอายุขัยจากไปทา นจึงอยากเขาสูชีวิตทางธรรมแบบจริงจัง โดยตัดสินใจ
บวชในป พ.ศ. 2536 เพื่อเปนบุญกุศลอันยิ่งใหญใหกับตัวเองและพอแมท่ีเสียชีวิต ทานไดศึกษา
หลักธรรมจากคัมภีรตางๆ อยางเครงครัด ฝกสมาธิและสติ จนกระท่ังสามารถควบคุมอารมณ
ความคิด จิตใจของตวั เองยามเกดิ ความทุกขไ ดมากข้ึน
เสน ทางชีวิตการบวชของแมชตี อ ย ไดพบปะกับพระอาจารยท่ีเจริญทางธรรมมากมาย ทานได
ไปฝกปฏิบตั ธิ รรม ไดร จู กั แนวทางการปฏิบตั ิทห่ี ลากหลาย ออกเดินทางเพื่อเรยี นรไู ปเรือ่ ยๆ หลังจาก
ท่ไี ปพํานักอยทู ่ีวดั มหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎ์ริ าชวรมหาวิหาร ก็ไดรับคําแนะนําใหไปทําความรูจักแมชี
บุญมี เวรสารท่ีวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กอนจะพักประจําอยูที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานแหงนี้
ถาวร สลับกับการเดนิ ทางไปเปนแมช ีวทิ ยากรทจี่ งั หวัดชลบรุ ี ปจ จบุ นั แมช ตี อยไดรับการแตง ตง้ั ใหเปน
ผูด ูแลสํานกั เนอ่ื กจากเปน แมช ีท่ีมีพรรษามากท่สี ดุ ของทน่ี ่ี
71
ขณะที่ หนิง (45 ป) พนักงานฝายบัญชีของบริษัทแหงหน่ึงในกรุงเทพฯ เธอเปนผูหญิงที่
เตบิ โตมาจากตางจงั หวัด ชีวติ วัยเด็กของเธอไมไดอาศัยอยูกับพอแม หากแตอาศัยอยูกับยายที่ใชวิถี
ชีวิตอยางเรียบงายมาตั้งแตเด็ก สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาหลอหลอมใหเธอสนใจ
พุทธศาสนา แมไมไดมีประสบการณท่ีทําใหเกิดความเชื่อดวยตนเอง แตเธอก็มั่นใจวาพุทธศาสนา
มีคณุ คา และเปน ประโยชนตอชีวิตของเธอ ชุดความคิดเก่ียวกับเร่ืองนรก-สวรรค ความทุกขทรมาน
ของการเวียนวายตายเกิด ทําใหเธอตระหนักถึงการทําความดี หวาดกลัวตอการทําบาป และเปน
สวนหน่ึงที่ทําใหเธอไมตองการลุมหลงไปกับสิ่งลอลวงทางโลก เธอหลีกเล่ียงทุกความเสี่ยงท่ีอาจ
กอใหเกิดความทุกข กอนหนาที่เธอจะไดมีโอกาสเขามาชวยงานและปฏิบัติธรรมท่ีสํานักวิปสสนา
กัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เธอไดไปฝกวิปสสนากรรมฐานกับหลวงพอจรัญอยู 2-3 ป
เรียกไดวาไปเปนประจําทุกสัปดาห เพราะไดรับความเชื่อเขามาในตอนนั้นวาการปฏิบัติธรรมชวย
แกก รรมได แตดวยความท่ีไมม คี นคอยแนะนําอยางตอเน่อื ง จึงยังไมไดรูสึกถึงการเปลี่ยนแปลงเทาท่ี
คาดหวังเอาไว
กระทง่ั วนั หน่ึงเธอไปเวียนเทยี นจนไดพ บกบั กลั ยาณมติ รท่ีแนะนาํ ใหมารูจ กั แมช บี ุญมี เวชสาร
ท่ีสาํ นกั วิปส สนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารก็เกิดความสนใจ จึงขออนุญาตแมชีเขามา
ชวยงานในสํานักและเร่ิมเรียนรูธรรมะ ฝกวิปสสนากรรมฐานจากอาจารยชัยพร ผูนําของกลุม
นกั ปฏิบตั ิธรรมคนปจ จุบนั ตลอดจนเอาสิ่งทีต่ นเองไดจ ากการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจมาให
แนะนาํ กบั คนทเ่ี พง่ิ เร่ิมสนใจการปฏบิ ัติ ดว ยการแลกเปลยี่ นประสบการณ มมุ มองทัศนคติ รวมถงึ สอน
วธิ ีการฝก เจริญสติเบ้ืองตน ดูแลชวยเหลือผูอ่ืน รักษาศีลไมตางจากแมชี หากแตดํารงอยูในสถานะ
ฆราวาส
เชนเดียวกับ เกด (31 ป) เธอจบการศึกษาหลักสูตรพยาบาลจากโรงพยาบาลศิริราชท่ีมี
กจิ กรรมอบรมคายคณุ ธรรม อนั เปน โอกาสทที่ ําใหเ ธอไดเ ขาไปฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีโครงการพฒั นา
จิตเยาวชนแบบบูรณาการของยุวพุทธิ1 และตอมาตัวเธอเองก็ไดทํางานจิตอาสาเปนพ่ีเล้ียงในคาย
อยูถึง 7-8 ป เรียกไดวาสถานบันการศึกษาไดสรางโลกทัศนทางความคิดเก่ียวกับการดําเนินชีวิต
1ยวุ พทุ ธิ หรือ ยุวพุทธิกสมาคมแหงประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ เปนองคกรสาธารณ
กุศลทางพุทธศาสนาที่สําคัญของประเทศไทย กอต้ังข้ึนเพ่ือดําเนินกิจกรรมสงเสริมพุทธศาสนา
ทัง้ ดา นการศึกษาธรรมะ การเผยแผธรรมะการปฏบิ ตั ิธรรม และกจิ กรรมทําบุญตา งๆ แกเ ยาวชนหรือ
บคุ คลทัว่ ไปทส่ี นใจ
72
ใหกับเธอ โดยนํากิจกรรมทางพุทธศาสนามาประกอบการเรียนรูวิทยาศาสตร ซึ่งไดสงผลใหเธอ
สามารถนําเอาแนวคิดและหลักปฏิบัติมาปรับใชในชีวิตประจําวันของตนเอง จนกระทั่งเขาใจความ
เปนมนุษยไดดีขึ้น แตตอมาหลังจากเปลี่ยนงานใหม ดวยภาระหนาท่ีเธอจึงไมสะดวกไปทํางาน
จติ อาสาไดเหมือนเดิม เมอ่ื มีคนแนะนาํ ใหร ูจ ักสํานกั วปิ ส สนากัมมัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวิหารก็
เกิดความสนใจ คิดวา คงดีหากตนเองมาปฏิบัติท่ีนี่เปนประจํา เพราะไมอยากละท้ิงส่ิงท่ีไดเรียนรูมา
ตง้ั แตย งั เปนนกั ศึกษา
สวนกลุม ท่สี องคือบุคคลที่มีความสนใจในแนวคิดความเชื่อทางพุทธศาสนา แตไมไดเขามา
เรียนรูและปฏิบัติอยางจริงจัง จนกระท่ังประสบกับปญหาความทุกข ตองการแสวงหาที่พ่ึงทางใจ
เมอื่ มีคนแนะนาํ ใหลองปฏบิ ัติธรรมก็พบทางออกทเ่ี ปน คําตอบของชวี ติ เกิดเปน ผลลพั ธที่ดตี อตนเอง
แมชีพร (59 ป) คือภาพตัวแทนของผูหญิงท่ีพบมรสุมชีวิตอยางหนักกอนที่จะมาบวช
เนือ่ งจากทานเคยมีฐานะที่ดมี ากอ น จนกระท่งั วนั หนึ่งครอบครัวประสบปญหา จนทําใหสถานะทาง
เศรษฐกจิ ของครอบครัวเปลีย่ นไป จากท่สี บายกลายเปน ลําบาก ความทกุ ขกอ ตัวขน้ึ สงผลใหทานวิตก
กงั วล เกิดความเครียด สภาพจิตใจย่ําแย ในที่สดุ รางกายกท็ รุดโทรมลง ซึ่งอาการหนักถึงขั้นเดินเปน
ปกติไมได หยิบจับสิ่งของไมได ลูกชายพาไปรักษาท่ีโรงพยาบาลก็ไมดีขึ้น เพราะสาเหตุอยูที่สภาพ
จิตใจ สุดทายทานจึงมองหาที่ยึดเหน่ียวเปนพุทธศาสนา เรียนรูธรรมะ ฝกปฏิบัติธรรม กอนจะ
ตดั สนิ ใจบวชกบั แมชีบญุ มที ่ีสาํ นักวปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวิหาร เม่ือเห็นวาตนเอง
มีการเปล่ยี นแปลงไปในทางทด่ี ีขนึ้
ออย (36 ป) เปนผูห ญงิ อีกคนทปี่ ระสบปญหาความทุกขในชีวิตของตนเองเชนกัน เธอเปน
ลกู สาวของครอบครวั ไทยเชอื้ สายจีน ที่บา นของเธอปลูกฝงใหร กั ษาธรรมเนยี มดง้ั เดมิ ของคนจีนเอาไว
เธอจงึ ไดรบั อทิ ธพิ ลความเชอื่ เก่ยี วกบั การไหวเ จา และการนบั ถือพุทธศาสนามาตง้ั แตเดก็ แตด ว ยความ
ท่เี ธอเปน ลูกคนเลก็ ครอบครัวตามใจมาตลอด ทําใหเธอมีลักษณะนิสัยท่ีคอนขางมั่นใจในตัวเองสูง
รักอสิ ระในการทาํ สงิ่ ตางๆ ตามใจตนเอง เธอกลา ท่ีจะทําผมสีแรงๆ พดู จาตรงไปตรงมา โดยไมแครค ํา
นินทาของใคร จนคนภายนอกมักเขาใจวาเธอเปนคนราย จอมวีนจอมเหว่ียง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอ
ทะเลาะกับแมอยางหนักและเผลอขึ้นเสียงใส เหตุการณครั้งน้ันทําใหเธอผิดหวังกับตัวเองมาก
เธอรูสึกเสยี ใจและตระหนักวาการกระทําของตนเองเปนบาป จึงอยากแกไขนิสัยใจรอนของตนเอง
เมือ่ มคี นแนะนาํ ใหไ ปปฏิบัติธรรมที่ตางจังหวัดก็ลองดู เน่ืองจากพิจารณาแลววาไมเสียหาย แตทวา
เคราะหซ ํา้ กรรมซัด เมื่อแฟนของเธอท่ีคบกันมานานตัดสินใจแยกทางไป จิตใจของเธอเจ็บปวดเปน
73
อยางมาก เธอยังคงรูสึกผูกพันและลืมเขาไมได ฟุงซาน ไมสามารถประคับประคองสติใหหยุดคิดถึง
อกี ทัง้ หนาทกี่ ารงานก็ไมอ ํานวยใหเธอมเี วลาวา งไปปฏิบตั ธิ รรมท่ตี างจังหวดั ไดเหมือนเดิม สุดทายก็มี
คนแนะนําใหเธอมาฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
กบั กลมุ นกั ปฏิบัตธิ รรม จนเธอสามารถกาวผานวันเวลาแหง ความทุกขน ้นั ไดในที่สดุ
มล (42 ป) นักวิจัยของบริษัทเครือขายที่ใหบริการดานการสื่อสารครบวงจรแหงหนึ่ง
ในประเทศไทย ก็มีเร่ืองราวชีวิตคลายกันกับออย จุดเริ่มตนท่ีทําใหเธอสนใจพุทธศาสนาคือความ
ตองการที่จะแกไขลักษณะนิสัยบางอยางของตนเอง ดวยเพราะเธอเปนคนท่ีคอนขางมีความ
Perfectionist รกั ความสมบรู ณแ บบ ยดึ มนั่ ในความคดิ ของตนเอง คร้ังหนึ่งเธอเคยหนีออกจากบาน
เพราะมีปากเสยี งกับแม เธอรตู ัววาเปนคนใจรอ น คิดมาก แตก็ไมสามารถระงับอารมณในตอนนั้นได
หลังจากไดส ติเธอจงึ หาวธิ เี ปลย่ี นตวั เอง อาทิเชน ปรกึ ษาเพ่ือน ลองใชธรรมชาติบําบัด ศึกษาธรรมะ
โดยซือ้ หนงั สือมาอาน ฟงพระเทศน กระทั่งมคี นแนะนําใหมาฝกวิปสสนากรรมฐานเจริญสติท่ีสํานัก
วปิ สสนากมั มัฏฐาน วัดสัมพนั ธวงศารามวรวหิ าร ในชวงแรกเธอมาที่นไี่ มบ อ ยนกั เฉพาะเวลามีปญหา
ทกุ ขใ จเทา นัน้ ถงึ จะแวะเขาไปทีส่ ํานกั แตแลว เม่อื ถงึ วันที่ปญหาเรื่องงานรุมเรา เธอจึงมีโอกาสไดมา
ท่ีนีบ่ อ ยขึ้น เมือ่ ลองปฏบิ ตั ิอยางจริงจัง เธอจงึ คน พบวาแนวคิดทางพทุ ธศาสนาและวธิ กี ารฝก เจริญสติ
เปนกลไกท่ีสามารถนํามาจัดการกับความไมมั่นคงทางจิตใจไดจริง เพราะสิ่งที่เกิดข้ึนกับตัวเธอ
สงผลใหเ ธอเขาใจชวี ิต เขา ใจคนอนื่ มากขึ้น ความสัมพนั ธร ะหวางเธอกับคนรอบขา งก็ดีขึน้ ตามไปดว ย
ผูหญิงอกี คนหนึ่งที่เขา มาปฏบิ ัติธรรมและเลอื กพทุ ธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ ดวยอิทธิพลจาก
คนในครอบครัวคือ เคก (34 ป) เธอเติบโตมาในครอบครัวที่ไมไดสบายมากนัก ชีวิตวัยเด็กของเธอ
จงึ เปนคนทเี่ ชอื่ ฟงผใู หญมาตลอด ต้งั ใจเรยี น ประพฤติตนอยูกรอบ ไมออกนอกลูนอกทางหรือสราง
ปญหาเพิ่มใหคนท่ีบานลําบากใจ เม่ือถึงชวงวัยรุนเธอไมไดออกไปเท่ียวเลนกับเพ่ือนเหมือนคนอื่น
ทําใหไมคอยมีเพ่ือนสนิท แตกลับสนิทกับแมมาก เธอสามารถปรึกษาแมของเธอไดทุกเร่ือง
เปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจหนึ่งเดียวของชีวิต แตแลวเมื่อถึงวันท่ีแมเสียทุกอยางก็เปล่ียนไป
เธอไมสามารถปรับตัว รับมือกบั สภาวะอารมณแ ละจติ ใจในชว งนั้นได เธอบอกวาตอนน้ันรูสึกเหมือน
หลงทาง เพราะไมรูจะหาคนท่ีรักและเขาใจเธอมากท่ีสุดแบบนี้ไดอีกท่ีไหน ตอนนั้นเธอกําลังศึกษา
ระดับปริญญาโท ซ่ึงเปนชวงเวลาท่ียากลําบาก เธอใชพลังในการเคี่ยวเข็ญตนเองเปนอยางมาก
แสวงหาวธิ ีทจี่ ะชว ยเยียวยาจิตใจ จนนกึ ไดวา เพอื่ นเคยพามาปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศาราม จงึ กลบั ไปฝกวปิ สสนากรรมฐานอยางจริงจังอีกคร้ัง จนเธอเขาใจและปลอยวาง
จากทกุ สิ่งลงได
74
กลุมสุดทายคือบุคคลที่ไมไดศรัทธา ไมเคยเชื่อในพุทธศาสนามากอน แตหันมาเลือกพุทธ
ศาสนาเปนที่พึ่งทางใจภายหลัง คนแรกคือ ตา (39 ป) ครอบครัวของเธอนับถือศาสนาอิสลาม
เธอเติบโตมาในสงั คมวฒั นธรรมของคนมสุ ลิม มีโลกทัศนกรอบความคิดและยึดถือในขอกําหนดของ
คนมุสลิมในสังคมไทย แตขณะเดียวกันพอแมของเธอก็เปนครูในโรงเรียนพุทธ เธอจึงไดเรียนรู
ความเปนพุทธจากพอ แมด วย ความสบั สนเกิดข้ึนในใจของเธอหลายครั้ง หากเธอต้ังคําถามท่ีขัดแยง
ตอความเช่อื ทางศาสนา เธอจะถูกตอ วา ทนั ที เธอจงึ ไมเ ขาใจวาเพราะเหตุใดท้งั ที่ศาสนาสอนใหม นุษย
รักกนั มีความเมตตาตอกัน แตกลับไมสามารถยอมรับหรือเห็นคุณคาของมนุษยอยางที่ควรจะเปน
ในขณะทีพ่ ทุ ธศาสนากลบั ไมเ ปนเชน น้ัน แนวคดิ และหลกั ปฏบิ ตั ทิ างพุทธศาสนาสอนใหรูจักปลอยวาง
เขาใจความแตกตางและเขาใจความเปนจริงของชีวิต เธอสามารถนําวิธีคิดมาปรับใชกับตนเอง
เพ่อื กําจัดความเครยี ดความทุกขค วามไมสบายใจในชวี ติ ประจําวัน ตอมาเธอไดพ บกับหนิง ซึ่งแนะนํา
ใหม าปฏิบัตธิ รรมทส่ี าํ นกั วปิ ส สนากมั มฏั ฐาน วดั สัมพันธวงศารามวรวิหาร จงึ ไดตัดสินใจหันมานับถือ
พุทธศาสนาอยางเต็มตัว แมวาเวลาอยูกับครอบครัวจะยังใชชีวิตแบบมุสลิมตามปกติ เพ่ือไมใหมี
ปญหากับคนทบี่ า นก็ตาม
ในทางกลับกนั ตมุ (59 ป) เปน คนทีไ่ มเ คยเชอื่ ในศาสนาใดตงั้ แตแรก คอ นขา งตอตานและไม
เห็นดว ยกบั สิ่งท่ีพิสูจนไมได ความยดึ มัน่ ถือมัน่ ทําใหเ ธอมักหงดุ หงดิ ใจอารมณรอ นยามทีส่ ามี ลูก หรือ
คนอื่นทาํ ส่งิ ท่ีไมถูกตอง ขณะทนี่ อ งสาวของเธอเปนคนฝกใฝในพุทธศาสนา เม่ือไดรูจักกับแมชีบุญมี
เวชสาร กพ็ ยายามชกั ชวนใหเ ธอไปเปน เพื่อน ความเมตตา ทัศนคตคิ วามคิดทรี่ เู หน็ ธรรมอยา งเปน เหตุ
เปน ผล ไมย ดั เยยี ดความเช่ือแตอ ธบิ ายใหเขา ใจตามความเปน จริง ทาํ ใหเ ธอเปดใจรับฟง และพิจารณา
ตามทแ่ี มช ีสอน นบั วา เปน คร้งั แรกท่ียอมเปด ใจใหพทุ ธศาสนา อยมู าวันหนึ่งเธอฝน ถงึ แมช เี ลยนึกชวน
สามีไปท่ีวัด ซึ่งทานเห็นวาเปนเรื่องดีที่เธอกลับมาและพาสามีมาดวย จึงแนะนําใหมาฝกวิปสสนา
กรรมฐานกบั ทา นเปนประจําทกุ เยน็ ทีว่ ัด วธิ กี ารสอนของแมชที ี่พิจารณาวาควรปฏบิ ตั ิอยางไร เริ่มตน
จากตรงไหน ตองแกไขอยางไร ทําใหเธอและสามีพัฒนาจิตใจของตนเองไดกาวหนาในเวลาเพียง
ไมนาน การฝกเจริญสติสงผลใหเธอเขาใจคนอื่นมากข้ึน ใจเย็นมากข้ึน สามีของเธอจากที่เปน
คนเครงเครียดกบั งาน เขมงวดกับลูกนองกเ็ ปลีย่ นไปในทางท่ดี ขี ึ้น ซ่ึงหลังจากปฏิบัติไดสักระยะเวลา
หนึง่ แมช ีกส็ นับสนนุ ใหส ามีของเธอทําหนาที่เปน วิปส สนาจารยสอนผูอน่ื ตอไป นัน่ ก็คืออาจารยชัยพร
ชยานรุ กั ษ สวนเธอเองก็คอยชว ยเหลือ ใหค ําแนะนํา แลกเปล่ียนประสบการณไปพรอมกับนักปฏิบัติ
ธรรมกลุมนี้ดวย เรียกไดวาจากคนที่ตอตานพุทธศาสนาไดกลายเปนคนที่สนับสนุนพุทธศาสนา
อยางจรงิ จงั เพราะส่ิงท่ีไดจากการปฏบิ ัติธรรมเปลี่ยนเธอใหเปน คนใหมท ่มี ีความสุขกบั ชีวติ มากขึน้
75
จะเห็นไดว า บุคคลทง้ั สามกลมุ นี้ แมจะมีท่ีมาของความสนใจในพุทธศาสนาแตกตางกันบาง
คลา ยกนั บาง แตพวกเขาลวนไดพบจุดเปลยี่ นที่สงผลตอการดําเนินชวี ติ ของตนเองเชน เดียวกัน นั่นคือ
การรับรูตอโลก ซ่ึงเคยถูกปลูกฝงพรํ่าสอนใหเปนผูหญิงตามที่ครอบครัวหรือคนในสังคมคาดหวัง
คา นยิ มเหลา นั้นจึงปดกั้นพวกเขาจากสิ่งอื่น ไมใหเกิดการตั้งคําถาม ไมใหสิทธิที่จะเลือกเปนตัวเอง
ในแบบท่ีอยากเปนไดอยางเต็มที่ ตองใชชีวิตอยูภายใตบรรทัดฐาน บางครั้งถูกสังคมตัดสินนินทา
บางครง้ั ทําไดเพียงเงียบไวเพ่อื ไมใ หเ กิดความขดั แยง หากแตเมื่อพวกเขาไดมารูจักกับธรรมะ จึงเปน
โอกาสในการพัฒนาของจิตใจดวยแนวคิดทางพุทธศาสนา ซ่ึงชวยใหพวกเขาเปล่ียนโลกทัศน มีการ
รับรูตอสิ่งท่ีเปนอยูเปล่ียนไป สามารถยอมรับและปรับตัวอยูกับสภาพแวดลอมเดิมไดดีขึ้น
รวมถงึ ประคบั ประคองสภาพจติ ใจของตนเองใหมสี ติ เพอื่ ทําหนาที่ของตนเองไดอ ยางมีประสิทธิภาพ
กวาแตก อน ความแตกตา งของภูมหิ ลังชวี ติ เหลา นท้ี ําใหเขา ใจไดว า แมประสบการณจะเปนสว นหน่ึงที่
สรา งตัวตนของมนุษยข้นึ มา แตการเขาใจในตวั เอง รจู กั เลือกส่ิงที่มปี ระโยชนใหก ับตัวเอง กเ็ ปน ปจจัย
ทีส่ ง ผลใหพ วกเขามีความมัน่ คงในชีวิตตัวเองมากขึน้ โดยเฉพาะในแงของจติ ใจ
การเติบโตภายใตกรอบคานยิ มในสังคมไทย
จากภมู ิหลังชีวิตของผหู ญงิ ทัง้ 10 คนท่ีใหสมั ภาษณไ ดแ สดงใหเห็นวา พวกเขาตางเติบโตมา
ดว ยการหลอ หลอมตัวตนจากสังคมใหดํารงตนอยูภายใตก รอบคานยิ มของวาทกรรมความเปนหญงิ ทด่ี ี
ในอดุ มคติ เรมิ่ ตน จากสถาบันครอบครวั อันเปนกลมุ สงั คมขนาดเลก็ ท่ีปลูกฝงถายทอดผเู ปนลูกสาวให
ประพฤติปฏิบัติตนตามเพศวิถีแบบผูหญิง ตลอดจนมีสํานึกของความเปนกุลสตรีในอุดมคติดังเชน
กรณขี อง เคก ผูหญงิ ทเ่ี ชือ่ ฟงคนในครอบครวั มาโดยตลอด ไมเคยออกนอกลูนอกทาง ชวงชีวิตวัยรุน
ของเธอจึงไมมีประสบการณไดเท่ียวเลนเหมือนคนอื่นมากนัก สวนใหญเธอใชเวลาอยูกับการเรียน
วิทยาศาสตรที่เธอถนัด เธอเชอ่ื ในเหตุและผลทพี่ ิสูจนท ดลองได เชนเดียวกับพุทธศาสนาที่เธอนับถือ
มาต้ังแตเด็ก เธอเห็นดวยในเร่ืองผลของกรรม ทําดีไดทําช่ัวไดชั่ว ดังน้ันเธอจึงยึดม่ันในการวางตัว
อยใู นศลี ธรรม พยายามท่จี ะไมส รา งภาระปญ หาใหครอบครัวเพิ่ม แมเปนเพ่อื นสนทิ เพยี งคนเดียวของ
เธอทส่ี ามารถปรึกษาพูดคยุ ไดทุกเรื่อง หลังจากท่แี มเ สียชวี ติ ของเธอน้ันไดรับผลกระทบตอเปนอยาง
มาก ตวั ตนของเธอไมสมบรู ณเ หมอื นอยา งเคย เนอ่ื งจากแมเ ปนทพ่ี ึ่งทางใจ เปน ความมนั่ คงหนึ่งเดียว
ของเธอ อนั สะทอนถงึ การท่เี ธอเคยชินอยกู บั การใชช ีวติ ภายใตว าทกรรมความเปน หญิง ในแงอุดมคติ
ของการเปนลกู สาวทดี่ ี จนไมส ามารถประคับประคองตัวตนของตัวเองใหเ ปนปกติได เม่ือถึงวันที่ตอง
สูญเสยี พอแมไป
76
ตรงกนั ขา มกับ ออย หญิงสาวผมสีนํ้าเงินท่ีเขามาปฏิบัติธรรม ณ สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ดวยภาพลักษณของเธอท่ีดูขัดแยงกับอุดมคติความเปนหญิงที่ดี
ในสังคมไทย ซ่งึ มีภาพมายาคตติ อ คนธรรมะธมั โมผูฝก ใฝใ นพทุ ธศาสนาวา จะตองสงบเสง่ียมเรียบรอย
ไมร ักสวยรกั งาม หากแตด ว ยความเปน ผหู ญงิ สมัยใหม รวมถงึ การอบรมเล้ียงดูอยางประคบประหงม
จากคนในครอบครัว ทําใหเธอมีความเปนตัวของตัวเองสูง มีอิสระท่ีจะคิดหรือตัดสินใจทําสิ่งตางๆ
โดยใชช วี ิตในแบบของเธอ ไมวาจะเปน การแตงตัวทาํ ผม รสนิยมความชอบ หรือแมก ระท่งั การศกึ ษา
ดวยภาพลักษณที่ดูเปนผูหญิงแรงๆ มั่นๆ คนมักจะมองวาเราเปนผูหญิงไมดี
ข้ีเหว่ยี ง มอี คติกับเรา นนิ ทาดูถูกเราท้ังที่ยังไมรูจักกันดี ซ่ึงความจริงเราก็ทําหนาท่ีของ
ตัวเองไมขาดตกบกพรอง ตั้งใจเรียน มีหนาท่ีการงานมั่นคง เปนลูกที่ดีของพอแมมา
โดยตลอด
(ออย, 13 ตุลาคม 2560: สมั ภาษณ)
ออยจบการศกึ ษาระดบั ปริญญาตรสี าขาเทคโนโลยีชีวภาพ หลักสูตรนานาชาติจากมหาวิทยา
มหดิ ลและไปศึกษาตอท่ีตางประเทศจนไดรับปริญญาตรีมาอีกหนึ่งใบ ปจจุบันไดงานเปนท่ีปรึกษา
ดา นการวจิ ยั เกบ็ ขอ มลู รา นคา ใหกบั หางสรรพสินคา ถงึ แมเ ธอจะทมุ เทแรงกายแรงใจใหกับการใชชวี ติ
ของเธอมากเพียงใด ก็ไมอาจหลีกเล่ียงการถูกตัดสินดวยอคติจากคนอื่นได ซ่ึงเธอพยายามทําใจ
ยอมรบั วาความเปน หญิงทด่ี ขี องสังคมกบั ความเปนหญิงท่ีดีสําหรับเธอนั้นแตกตางกัน เนื่องจากเธอ
มที ศั นคตวิ าการทาํ หนา ทข่ี องลูกสาวทด่ี ใี หครอบครัวนั่นกเ็ พยี งพอแลว
สังคมไทยมมี ายาคติเกี่ยวกับความเปนหญิงท่ีถูกออกแบบโดยผูชายมาตั้งแตอดีต ผูหญิงจึง
ไมมีอํานาจในการกําหนดจารีต ซึ่งเปนเครื่องมือที่ใชควบคุมคนในสังคมใหปฏิบัติตามรวมกัน
เพราะเช่อื วาเปน ส่ิงท่ีถูกตอง อันเปนปจจัยท่ีสงผลใหฐานะของผูหญิงในสังคมไทย แทบไมตางจาก
วัตถุท่ีตองอยูภายใตอํานาจวาทกรรมของความเปนกุลสตรีเทาน้ัน กลาวคือ หญิงไทยที่ดีตอง
ประพฤตติ นเรยี บรอย สํารวมกิรยิ ามารยาท ออนหวาน สนใจงานบานงานเรือน ไมสมควรแสดงออก
ความรูสึก ความตองการ กิริยาทาทางมากเกินไป ไมวาจะในอดีตหรือปจจุบันคุณคาของผูหญิง
กลับอยูที่ความงามตามอุดมคติของสังคม หากใครแตกตางไปจากคานิยมเหลาน้ีก็จะถูกวิจารณ
มองวา แปลก ถงึ แมบ ุคคลนน้ั จะมีความมน่ั ใจในตัวตนของตวั เอง กไ็ มเวนจากการถูกตัดสิน
สถาบันการศกึ ษากเ็ ปนหนึ่งในสถาบันทางสงั คมท่ีผลติ ซ้ํามายาคตเิ กีย่ วกับความเปนหญิงที่ดี
แกค นในสงั คมไทย โดยสรางแบบแผนทางวัฒนธรรมขึ้นมา เพ่ือเปนบรรทัดฐานที่ใชขัดเกลาผูหญิง
77
ใหร บั รตู วั ตนในแบบเดียวกัน ตลอดจนถายทอดความรเู กย่ี วกบั ความเปนหญิงผานวาทกรรมทางเพศ
ในสังคม ทั้งผูหญิงและผูชาย สวนใหญจึงมีโลกทัศนตอความเปนหญิงในลักษณะอุดมคติที่คนไทย
ยอมรับรว มกัน เชน การกาํ หนดใหน ักเรยี นนกั ศกึ ษาแตง กายดวยชดุ เครื่องแบบตามเพศสภาพจงึ จะถือ
วาถูกระเบียบ หรือแมกระท่ังการสอนเรื่องกิริยามารยาท หากผูหญิงประพฤติตนไมเรียบรอย
ก็จะถูกตอ วา และลงโทษ เปนตน กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมน้คี อยผลิตซ้ําความเปน หญิงใหซ ึมซบั
อยูใ นตัวตน เชนเดยี วกับผูหญิง 10 คนท่ีใหสัมภาษณก็ลวนแลวแตไดรับอิทธิพลจากการหลอหลอม
ความเปนหญิงผา นสถาบันการศกึ ษามาแลว ท้ังสิ้น
สถาบันศาสนาเปนอีกหนึ่งสถาบันทางสังคมท่ีมีอิทธิพลอยางมากตอการผลิตซํ้าความเชื่อ
เกี่ยวกับคานิยมทางเพศ จากการสัมภาษณพบขอมูลที่บงบอกถึงการปลูกฝงความคิดความเช่ือ
ดงั กลาว 2 ศาสนา ไดแก ศาสนาพทุ ธและศาสนาอิสลาม
ในกรณีของ แมช ตี อย ท่ไี มไดม ปี ญ หาจากวาทกรรมความเปนหญิงในสังคมมากนัก แตทาน
ผกู พนั กบั พทุ ธศาสนามาตง้ั แตกอ นบวชท้ังจากการหลอหลอมโดยสถาบันทางสังคมตางๆ ทําใหทาน
ศรัทธาและตระหนักถึงคุณคาของพุทธศาสนาเสมอ ยามที่ยังเปนฆราวาส ทานมักแสวงหาสถานที่
ปฏบิ ตั ธิ รรม เคยบวชชีพรามหณถือศีลจริงจังอยูหลายคร้ัง จนวันท่ีพอแมไดเสียไป ทานจึงตัดสินใจ
บวช ถวายตัวเขาสูเสนทางพุทธศาสนา เพ่ือทําหนาที่สนับสนุนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
อยางเต็มที่ เร่ิมจากฝกพัฒนาตนเองดวยการศึกษาหลักธรรมพระคัมภีร ฝกวิปสสนากรรมฐาน
จนกระทั่งสามารถตัดความกังวลทางโลกไดในระดับหนึ่ง ทานชอบเดินทางไปเรียนรูธรรมะจาก
พระอาจารยท่ีมีแนวทางการปฏิบัติแตกตางกัน เม่ือมีความรูพอสมควรแลว ทานจึงหันไปทําหนาที่
วิทยากรสอนอบรมเยาวชนที่มาเขาคายธรรมะ ซ่ึงสวนใหญไปสอนท่ีสํานักวิปสสนาวิเวกอาศรม
จงั หวัดชลบรุ ีเปน ประจํา สลับกับการพํานกั ที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
ในกรงุ เทพฯ แนน อนวาทา นมแี นวทางการสอนในแบบของตนเอง จึงเปนแมชีท่ีคอนขางเจาระเบียบ
เครง ครัดจรงิ จงั ในบทบาทหนาท่ีที่รับผิดชอบ ใชชีวิตท่ีเหลืออยูเพื่อรับใชดูแลสนับสนุนพุทธศาสนา
อาจกลาวไดวาแมจะตองยินยอมอยูภายใตวาทกรรมทางเพศในสถาบันพุทธศาสนา แตตัวตนใหม
ในฐานะแมช กี ็สรา งคณุ คาใหกบั ตัวทานเองเพราะขณะเดียวกนั พทุ ธศาสนาก็ทาํ ใหทา นไดพ ฒั นาตัวเอง
ทางดานจิตใจ จนสามารถใชชีวิตอยางมีความสุขมากขึ้นในปจจุบัน หลุดพนจากความทุกขได
ในระดบั หน่งึ
78
ไมตางจากผูหญิงที่เติบโตในสังคมมุสลิมอยาง ตา ครอบครัวของเธอพยายามปลูกฝง
วัฒนธรรมทางศาสนาอันหมายรวมถึงเพศวิถีของผูหญิงอิสลามใหเธอเรียนรูและปฏิบัติตั้งแตเด็ก
ขณะเดียวกันการศึกษากลับทําใหเธอไดรูจักโลกทัศนความเช่ืออื่นๆ ไปดวย เชน พุทธศาสนา
วิทยาศาสตร เธอจึงมีชุดความคิดหลายแบบท่ียอนแยงอยูในตนเอง แมพิจารณาแลววาแนวทางของ
พทุ ธศาสนามปี ระโยชนกบั ตัวเธอมากกวา แตค วามรบั ผิดชอบตอครอบครัวก็ยังเปนเหตุใหตองรักษา
ตวั ตนดั้งเดิมไว ดว ยการยงั ถอื ศลี ละเวน จากการกระทาํ ผิดตออัลเลาะห อันที่จริงผูหญิงมุสลิมมีสิทธิ
ที่จะเปนตัวของตัวเองได โดยอยูภายใตกรอบขอกําหนด สิ่งสําคัญคือการยึดม่ันในอัตลักษณของ
ความเปนอิสลามอุทิศชีวิตใหกับอิสลามไมวาจะอยูในสภาพแวดลอมเชนไร ทั้งนี้เพื่อรักษาความ
เขม แข็งทางวฒั นธรรมของศาสนาใหคงอยใู นสงั คมไทยสืบตอไป
นอกจากนี้ อุดมคติของความเปนหญิงท่ีดีในสังคมไทย ยังถูกผลิตซ้ําผานสื่อใหพบเห็น
อยูเ สมอ เรียกไดว าสื่อมีอิทธิพลอยางมากในการตอกย้ําอุดมคติท่ีวาผูหญิงท่ีดีจะตองคูกับความงาม
อันสะทอนใหเห็นถึงระบบความคิดเรื่องเพศที่ผูชายเปนผูท่ีมีอํานาจในการกําหนด เรามักจะเห็น
โฆษณาท่ีพยายามถายทอดความงามในรูปแบบตางๆ ของผูหญิง ซึ่งปรากฏอยูเร่ือยๆ อีกทั้งยัง
เปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย วาทกรรมเหลานี้เปนตัวกระตุนใหคนในสังคมซึมซับระบบความคิด
คานยิ ม ความเช่ือเกย่ี วกับความเปน ผหู ญิงในอุดมคติอยา งงายดาย จนหลายคนไมอาจแยกแยะตนเอง
จากหลุมพรางทีอ่ ยภู ายใตวาทกรรมเหลา น้ีได จึงนาํ ไปสกู ารดนิ้ รนแสวงหาทีพ่ ง่ึ ทางใจโดยไมมที ส่ี ิ้นสดุ
จากการสัมภาษณพบวาชวี ิตของผหู ญิงแตละคนลว นเตบิ โตมาดวยคา นิยมตางๆ เหลา นท้ี ั้งสนิ้
บางคนประสบปญ หาความทุกขจ ากคานิยมอุดมคติทางเพศอยางเหน็ ไดชัด บางคนไมไ ดร ับผลกระทบ
ท่ีหนักหนามากนกั แตก ารเติบโตมาภายใตคานิยมดังกลา วกส็ ง อทิ ธพิ ลตอ ทัศนคติการใชชีวิตในฐานะ
ผหู ญิงอยู เมอ่ื ผหู ญิงกลุม น้พี จิ ารณาแลววาคา นิยมทางเพศในแบบอดุ มคติ เปน ปจ จัยสวนหนึ่งที่ทําให
พวกเขาเกิดความทกุ ข จงึ เริ่มตั้งคําถามตอสังคมและพยายามหาคําตอบดวยการทําความเขาใจโลก
ผา นพุทธศาสนา เพือ่ สรา งความมน่ั คงทางจิตใจใหกบั ตัวตนของพวกเขาเองอกี คร้งั
เร่มิ ตนแสวงหาที่พึง่ ทางใจ
โดยธรรมชาตแิ ลวเวลาทมี่ นษุ ยร สู กึ ไมมั่นคงทางจิตใจ คนสวนใหญมักจะดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่
เปนหลกั ทพ่ี ่ึงเพื่อยึดเหน่ยี วจติ ใจ บางคนเลือกพอแมหรือบุคคลอื่นๆ เปนที่พ่ึง บางคนเลือกศาสนา
79
ความเชื่อ บางคนใหคุณคากับวัตถุสิ่งของ บางคนเลือกอยูกับตัวเอง บางคนเลือกเขาสังคม
มปี ฏสิ มั พนั ธก ับผูอื่นไปเรือ่ ยๆ จนกวาความรสู กึ ไมม น่ั คงเหลา น้ันจะหายไป
อิทธิพลจากคานิยมตางๆ ในสังคมไทยเปนปจจัยหนึ่งท่ีกอใหเกิดความตองการดังกลาว
เชนเดียวกับคานิยมทางเพศที่ผลิตซ้ําอุดมคติของความเปนผูหญิงท่ีดีมานานหลายยุคสมัย อุดมคติ
เชนนยี้ งั คงฝงรากลึกอยูในระบบความคดิ ของคนในสงั คมทว่ั ไป โดยเฉพาะคา นิยมเรื่องความงามท่ีถูก
ใชเ ปนเคร่อื งมือในการตัดสนิ คุณคา ในตัวของผหู ญิงขณะเดยี วกันเม่ือมุมมองความเปนเสรีนิยมตื่นตัว
ในหมคู นสมัยใหมม ากขน้ึ กเ็ กดิ การต้งั คาํ ถามและพยายามสรางวาทกรรมเกี่ยวความงามรูปแบบอ่ืน
ขนึ้ มา เพอื่ สนบั สนุนความเทาเทียมและความแตกตางของผูหญิง เราจึงไดพ บเหน็ วาปจจบุ ันสงั คมไทย
ยอมรบั และใหคุณคา ผหู ญิงในทางที่หลากหลายมากขึ้น ไมใชแคเร่ืองความงาม ศีลธรรม หรือฐานะ
แตยงั ใหความสําคญั กบั ทัศนคติ ความสามารถ และความรูความสนใจของปจ เจกบคุ คลนัน้ ดวย
อันที่จรงิ วาทกรรมเรอ่ื งความงามมีความสัมพันธเก่ียวขอ งอยา งแยกไมขาดจากวาทกรรมเรอื่ ง
ความเปน หญิงที่ดใี นสังคมไทยมาตลอด ความงามที่วานี้ไมใชความงามเพียงในแงรูปลักษณ หากแต
รวมถึงกิริยามารยาท การรูจักวางตัว รูจักบทบาทหนาที่และสถานะของตนเอง จึงจะไดรับการ
พิจารณาวามีคุณคานายกยองดีงามตามอุดมคติของสังคมการหลอหลอมวาทกรรมความเปนหญิง
เชน น้ี ถือเปนการสรางทุนทางสังคม2 ใหกับผูหญิง แตในทางกลับกันคานิยมทางเพศดังกลาวก็มีผล
ทาํ ใหใ ครหลายคนสูญเสียความเปนตัวของตัวเอง ไมร ูจักความพอดี และพยายามดน้ิ รนหาทางพัฒนา
ตัวเองใหเปนไปตามอุดมคติที่สังคมคาดหวังท้ังนี้เพ่ือใหไดรับการยอมรับ รวมถึงมีโอกาสทางสังคม
มากขึ้น ไมว าจะเปน ในตาํ แหนงหนา ท่กี ารงานหรือการคบหาปฏสิ ัมพนั ธกับคนในกลุมสงั คมตางๆ
แมชีพร คอื ตัวอยางของผูหญงิ ท่ีเคยทุกขทรมานอยา งแสนสาหสั เพราะตกอยูภายใตอุดมคติ
ของความเปน หญงิ ท่ดี ใี นสังคมไทย ชวี ติ กอนท่ีจะหันมาใชพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจนั้นไมแตกตาง
จากผหู ญิงสมัยใหมทว่ั ไป ทา นเปนผูหญิงท่ีรักสวยรักงาม มีครอบครวั มหี นา ท่กี ารงานและสถานะทาง
สังคมที่ดี แตแลววันหน่ึงกลับมีเหตุใหครอบครัวของทานประสบปญหาลมละลายจนแทบหมดส้ิน
ทกุ อยาง จากที่เคยเปน ผหู ญงิ ที่ดีพรอ ม ทานจมอยกู ับการสญู เสีย คนรอบขา งเริ่มออกหาง ตฉิ นิ นินทา
ตัดสินชวี ิตทา น นับเปนจุดเปลยี่ นชวี ิตคร้งั สาํ คญั ทยี่ ากจะยอมรับได เปนทุกขหนักจนกระท่ังรางกาย
2ทุนทางสังคม หมายถึง ปจจัยทางสังคมทช่ี ว ยสง เสรมิ ใหเ กดิ การพัฒนาตนเอง หรอื ทําใหเ กิด
คุณคา และมูลคา เพมิ่ ตอการผลิตหรือการพัฒนาทดี่ ขี ึ้น (พรระวี สีเหลืองสวัสดิ์, 2553)
80
ออนแอและทรุดโทรม ถึงข้ันเดินเปนปกติไมได หยิบจับส่ิงของลําบาก อีกทั้งยังเลาถึงตัวทานเอง
ในชวงเวลานน้ั วา
ทง้ั เครยี ดทง้ั เจบ็ ใจ รองไหทุกวันจนเจ็บตา จากคนที่เคยมีแลววันนี้ไมมี จากท่ี
เคยสวยงามสขุ ภาพกลับแยล งเรอ่ื ยๆ ไปรักษากย็ ังไมดีขึ้น อารมณข้ึนๆลงๆ หมอบอกวา
เราเปน ไบโพลาร
(แมช ีพร, 22 กันยายน 2560: สัมภาษณ)
ดว ยสถานการณข องครอบครัวท่พี ลิกผันไปเชนน้ัน ทําใหจิตใจของทานไมเหลือความมั่นคง
หรือส่งิ ใดเปน ทีย่ ึดเหนีย่ วอีก ทางดา นลูกชายกด็ น้ิ รนหาวธิ ชี ว ยแม เม่อื มีคนแนะนาํ ใหไ ปปรึกษาผูรูผูมี
วชิ ากไ็ มล ังเลต้งั ขอสงสัย กระทัง่ มโี อกาสไดลองปฏิบัตธิ รรม เรม่ิ เรียนรูธรรมะและแนวคิดคําสอนทาง
พุทธศาสนา อาการปวยทางกายและใจของแมก็มีพัฒนาการไปในทางท่ีดีขึ้น ทานตัดสินใจบวชที่
จังหวัดชลบุรี ในป พ.ศ. 2546 แมชวงสามปแรกจะไมหายขาดจากอาการปวยในทันที มีความคิด
อยากสึกอยูบางยามเผลอคิดกังวลถึงอดีต ทานเห็นวาตัวเองไมประสบความสําเร็จทางธรรมเสียที
อกี ท้ังจิตใจยังเตม็ ไปดว ยมลพิษ อยไู ปก็มีแตจะทําใหผา ขาวตองมวั หมอง ทวาลกู ชายที่ไดปฏิบัติธรรม
แลว นน้ั ขอใหท านบวชตอ เพ่ือไมใ หทานตอ งกลับไปเผชิญเร่ืองราวทางโลกทง้ั ทย่ี ังไมหาย ทานจึงยอม
ทําตามคําขอของลูก หลังจากน้ันไดมารูจักแมชีบุญมี เวชสาร ผูซึ่งเมตตาทาน นําพาทานออกจาก
การจมอยกู บั ความทกุ ข ในทส่ี ุดสภาพจิตใจและสภาพรางกายของทา นก็ดีขึน้ แขง็ แรงขน้ึ ตามกาลเวลา
สวนคนท่วั ไปทไี่ มไ ดเ ผชิญกับมรสุมชวี ิตรา ยแรงอยาง เกด เลาถึงวิธีแสวงหาท่ีพึ่งทางใจยาม
ตกอยูในความทุกขหรือความไมม่ันคงทางจิตใจวา เธอมักจะใชเวลาไปกับการดูหนังฟงเพลง
การช็อปปง การเขาสังคมท้ังในแบบพูดคุยกันปกติและเขาสังคมแบบออนไลน เพื่อดึงความสนใจ
จากอารมณท มี่ ัวหมองไปสูสง่ิ ท่สี รางความบนั เทิงใจ ผอ นคลายตวั เธอเองจากพนั ธนาการตางๆ ในชวี ิต
ชีวติ ของเกดเปนเหมือนกับผูหญิงสมัยใหมทั่วไปในสังคมไทย เธอมีหนาที่การงานท่ีตองใช
ท้งั แรงกายและแรงใจทุมเท เพือ่ แลกกับความม่นั คงตอ สถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและตัวเธอ
ในบางครงั้ เธอรูสึกสับสนวาสงิ่ ที่ทาํ อยูสรา งความสขุ ความพึงพอใจในชีวติ เธอไดจริงหรือไม หรือเพียง
เพราะชีวติ ของเธอถูกกําหนดเสน ทางเอาไวแลว ตั้งแตเดก็ เธอถูกปลูกฝง จากสงั คมวา คณุ คาของผหู ญงิ
คือการวางตัวตามอุดมคติของสังคม ตองเปนลูกสาวท่ีดีของพอแม ตั้งใจเรียน ถึงจะไดเขาเรียน
มหาวิทยาลยั ชื่อดัง มงี านทาํ ทีม่ ั่นคง ไมดอ ยกวาผูชาย แตตวั เธอเองกย็ ังรสู กึ ไมมคี วามมน่ั คงทางจิตใจ
ไมไดม ีความสขุ อยางแทจริง
81
หากไมมกี ารปฏิบัตธิ รรมทเ่ี ธอจับพลดั จับผลไู ดไ ปฝก อบรม จนกระท่ังสมัครใจไปเปนพี่เลี้ยง
จิตอาสาคอยชวยเหลือผูอื่น เธอก็คงเปนผูหญิงที่ใชชีวิตตามบทบาทหนาที่ไปเร่ือยๆ ดูแลคลุกคลี
อยูกับคนปวย แตในยามท่ีเธอเจ็บปวยทางจิตใจ ความรูทางวิทยาศาสตรชีวภาพที่ร่ําเรียนมาเพ่ือ
ทําความเขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติรางกายของมนุษย กลับไมสามารถจัดการกับปญหาภายในที่เธอ
ประสบพบเจอได การพยายามใชชีวิตตามคานิยมท่ีสังคมบอกจะไมไดตอบสนองความตองการ
ทางดานจติ ใจของเธอได เม่ือมพี ุทธศาสนาในชวี ติ จงึ นับเปนกญุ แจสาํ คัญที่ทําใหเธอเขาใจชีวิต เขาใจ
การกระทําและความรูสึกนึกคิดของผูอื่น เขาใจความแตกตางในแงตัวตนของมนุษยมากข้ึน มีสติ
ในการดาํ เนินชวี ติ และยอมรบั ความจริงท่พี บเจอในชวี ิตประจําวนั ไดม ากข้ึน เพราะเธอไดนาํ เอาธรรมะ
มาปรับใชกับระบบความคิดชุดเดิมของเธอ จนสามารถเลือกวิธีเยียวยาจิตใจที่เหมาะสมกับตนเอง
ในชวงเวลาตางๆ
สําหรับผูหญิงบางคน การอยูกับตัวเองอาจเปนทางเลือกท่ีดีท่ีสุด หนิงเปนคนท่ีชอบ
ทําอาหาร ยามทีม่ ีเวลาวางจากการทาํ งาน เธอมักจะฝกฝนในสง่ิ ท่ีตวั เองสนใจเปนงานอดเิ รก เธอรูตัว
วาการดน้ิ รนออกไปแสวงหาความสุขภายนอกไมส ามารถเติมเตม็ ความตองการของเธอได ดว ยความที่
เธอศรัทธาตอพุทธศาสนามาต้ังแตเด็ก เห็นถึงโทษของการทําบาปและความทุกขยากลําบากของ
การเวียนวายตายเกิด เธอจึงใชช ีวติ อยางระมัดระวัง หลีกเล่ียงความเส่ียงท่ีจะนําไปสูการลุมหลงกับ
ส่ิงลอลวงตางๆ เชน การด่ืมสุรา การแตงหนาแตงตัว การออกไปเที่ยวกลางคืน การอยูใกลชิดกับ
ผชู ายสองตอ สอง เธอไมไ ดม คี วามตอ งการจะเปนผหู ญงิ ในแบบที่สังคมคาดหวัง เพราะคิดเพียงแตจะ
ทาํ หนาท่ขี องตวั เองใหดี มกี ารงานท่ดี ี เพ่ือดูแลตัวเองและครอบครวั
หนิงเลาถึงการเลือกที่พ่ึงทางใจของตัวเองในอดีตกอนท่ีจะมาปฏิบัติธรรมอยางจริงจังวา
บางครั้งเมือ่ เธอรสู กึ เหน่ือยลา ตอ งการกาํ ลงั ใจ เพือ่ ที่จะไดรูวา ควรดําเนนิ ชีวิตไปทางไหนตอการดูดวง
ก็เปนหน่ึงในทางเลือกที่ดีสําหรับเธอ เน่ืองจากการไดรับคําทํานายและคําแนะนําจากหมอดู
ชว ยเยยี วยาความสับสนในชีวิต การลวงรูท่ีมาท่ีไปเกี่ยวกับส่ิงที่เคยเกิดข้ึนในอดีต ส่ิงที่กําลังเปนอยู
ณ ปจจุบัน และสิ่งที่กําลังจะเกิดข้ึนในอนาคต อยางนอยก็ทําใหเธอระมัดระวังตัวและมีกําลังใจใน
การดาํ เนนิ ชวี ิตตอไป แตหลงั จากที่ไดปฏบิ ตั ิธรรมแลวกเ็ ขา ใจมากข้นึ วา การรูอนาคตเปนการแกปญ หา
ที่ปลายเหตุ และอาจทําใหเรายึดติดกับคําทํานายจนไมมีสติ วิตกกังวล คาดหวังอนาคตจนเกินไป
ขณะท่ีการปฏิบัติธรรมแบบวิปสสนากรรมฐานใหผลลัพธในทางตรงกันขาม คือชวยใหมีสติอยูกับ
ปจจุบนั เพอ่ื ทจ่ี ะไดประคับประคองอารมณและจิตใจของตนเองใหม ่นั คง พรอ มรบั มือกบั สถานการณ
ตา งๆ
82
เชนเดียวกับ มล เธอเปนผูหญิงคนหน่ึงท่ีแสวงหาวิธีจัดการกับอารมณความรูสึกท่ีไมมั่นคง
ของตัวเองมาโดยตลอด เธอเปนคนท่ีรักความสมบูรณแบบ ใสใจรายละเอียดจนคิดเยอะ ยึดม่ันใน
มมุ มองของตัวเอง เพราะเช่ือวาจะทําใหทุกอยางท่ีทําออกมาดีและถูกตอง ชีวิตการทํางานของเธอ
เต็มไปดวยอุปสรรคมากมายท่ีจําเปนตองมีความสามารถในการรับมือตอปญหาเฉพาะหนา
รูทันสาเหตุและวิธีการแกไข เปนสวนหน่ึงท่ีทําใหเธอสนใจในเร่ืองของเทคนิคการพัฒนาตัวเอง
เพอ่ื ลดจดุ ออ นท่ีเปน ขอ เสยี ตางๆ
สิง่ แรกทเ่ี ธอเลือกเปนท่ีพง่ึ ทางใจคือคนใกลช ิดของเธอ จากท่ีแตเดิมเธอเปนคนท่ีมักจะเก็บ
ความเครยี ดหรอื ความทกุ ขไ วกบั ตัวเอง เธอลองหันไปปรกึ ษาเพ่ือน ระบายความรูสึกใหคนที่สบายใจ
รับฟง นอกจากนี้ยังผอนคลายตัวเองดวยการใชธรรมชาติบําบัด ซื้อหนังสือท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับ
การพัฒนาตนเองมาอาน เชน หนังสือจิตวิทยา หนังสือปรัชญา และหนังสือธรรมะ ดวยเหตุนี้ทําให
เธอไดเรียนรูแนวคิดและหลักปฏิบัติของพุทธศาสนาจึงคนพบวาเปนทางเลือกท่ีดีในการปรับวิธี
การทําความเขาใจชวี ิตของตวั เองจึงเกิดความสนใจ กระทงั่ วันหน่ึงมีคนรูจักแนะนําใหไปปฏิบัติธรรม
กับแมช ีบญุ มีท่สี าํ นักวปิ สสนากรรมฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวิหาร ซึ่งพอดีกับชวงที่เธออยากจะมี
พื้นท่ีสงบจิตใจจากความวุนวายก็เลยตัดสินใจมาท่ีนี่ หลังจากที่ไดฝกวิปสสนากรรมฐาน ก็เห็นถึง
ผลลัพธท่ีเกดิ ขน้ึ กบั ตนเองวา กระบวนการในการฝกเจรญิ สตเิ ปนกลไกทส่ี ามารถชวยใหเธอหลุดออก
จากความคดิ ฟุงซาน ความกังวลและความหนักอกหนักใจในเร่ืองที่แบกอยูใหเบาลง อีกทั้งยังเอาไป
ใชใ นระหวา งการดําเนนิ ชีวติ ประจาํ วนั เธอบรหิ ารจติ ดว ยการระลึกถงึ สติตลอดเวลาเทา ทีจ่ ะทาํ ได
ประโยชนที่เห็นไดจากตัวเองชัดเจนเลยก็คือ เราสามารถควบคุมสติ ควบคุม
อารมณใหอดทนได รอได ทา มกลางสภาวะความกดดันของการทาํ งาน หรือส่ิงใดก็ตามท่ี
มันเขามากระทบจิตใจของเรา เวลามเี รื่องอะไรเขามาการบรหิ ารจติ ทาํ ใหเราโฟกัสอยูกับ
ปจจุบัน Delete เรื่องนั้นออกไป คลายๆ กับการปองกันตัวไมใหอารมณเหว่ียงไปตาม
เร่ืองนั้นเรื่องนี้ ทําใหเราใจเย็น เขาใจคนอ่ืนมากขึ้น มองเห็นขอเท็จจริง มองเห็น
Solution ของปญ หา
(มล, 22 กนั ยายน 2560: สมั ภาษณ)
ชีวิตของผหู ญิงกอ นทจี่ ะมาบวชและปฏิบัตธิ รรมทสี่ าํ นักวปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร มีทั้งบุคคลที่ดิ้นรนแสวงหาที่พึ่งทางใจ เพราะประสบกับปญหาความทุกขในชีวิต
ท้งั บุคคลทีแ่ สวงหาท่พี ่ึงพิงทางใจ เพื่อหลีกหนีจากความวุนวาย พักสงบสติอารมณในเวลาท่ีรูสึกไม
83
ม่นั คง และมีทง้ั บคุ คลที่แสวงหาที่พ่ึงทางใจเพ่ือปรบั ปรุงตัวเอง อยากพฒั นาตัวเองใหดีข้ึนในระยะยาว
สง่ิ เหลานีส้ ะทอนใหเห็นถึงการที่มนุษยมีความตองการท่ีจะเติมเต็มในสิ่งท่ีตัวเองขาดหาย ตองการ
ตอบคําถามในสิ่งท่ตี ัวเองไมรู ตลอดจนหาหนทางที่จะทําความเขาใจถึงการมีอยูของตนเอง ภายใต
อทิ ธิพลของคา นิยม จารีต บรรทัดฐานตา งๆ ในสงั คมที่ดํารงอยู
อยางไรก็ตามท้ังสามบุคคลท่ีกลาวมาขางตนนี้เปนเพียงตัวอยางของผูหญิงไทยในสังคม
สมยั ใหมท พ่ี ยายามแสวงหาทพ่ี ง่ึ ทางใจ แตเราไมสามารถตัดสินจากมุมมองหรืออคติของตัวเองไดวา
การแสวงหาความสุขดวยวิธีแบบใดของบุคคลใด เปนทางเลือกที่ถูกหรือผิด ถึงแมวาสิ่งที่บุคคลน้ัน
กําลังเลือกจะเปนทําใหเขาตองสูญเสียบางอยาง แลกกับการไดมาเพ่ือความสุขบางอยางก็ตาม
เนื่องจากความพงึ พอใจในชีวิตของแตล ะบคุ คลลวนแตกตา งกัน มีพื้นฐานความรู ประสบการณ และ
ภูมิหลังชีวิตท่ีไมเหมือนกัน ดังน้ันการตัดสินใจเลือกที่พ่ึงทางใจจึงขึ้นอยูปจเจกบุคคล พุทธศาสนา
กเ็ ปนหน่งึ ในทางเลือกของผูห ญิงในกลมุ บคุ คลตัวอยา งเพยี งเทา นั้น
กา วเขาสเู สนทางพุทธศาสนา
จุดเรมิ่ ตนของการเลอื กพทุ ธศาสนาเปน ท่ีพึ่งทางใจสําหรบั ผหู ญิงในกลุมตวั อยางทั้ง 10 คนนี้
อาจแบงออกไดเปน 2 กลุมลักษณะ กลุมแรกคือ บุคคลที่ตองการพัฒนาตนเองดวยแนวคิดและ
หลักปฏิบัติทางพุทธศาสนา สวนอีกกลุมหนึ่งคือ บุคคลท่ีเผชิญกับปญหาหรือเรื่องราวในชีวิตอัน
เก่ียวของกับการสูญเสีย จนนําไปสูความรูสึกที่ไมม่ันคง ที่พึ่งทางใจอ่ืนในชีวิตทางโลกไมสามารถ
ตอบสนองตอความตอ งการทางดา นจติ ใจน้ันได
บุคคลท่ีตองการพัฒนาตนเองดวยแนวคิดและหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาอยางชัดเจนคือ
มล กับ หนิง พวกเธอนําส่ิงท่ีไดจากฝกวิปสสนากรรมฐานมาปรับใชในชีวิตการทํางานและการมี
ปฏิสัมพันธรวมกับผูอ่ืน รวมถึง ตา ซึ่งแตเดิมเปนผูหญิงท่ีนับถือศาสนาอิสลาม แตภายหลังเห็นวา
แนวคิดทางพุทธศาสนาและวิธีในการปฏิบัติธรรมชวยเติมเต็มและตอบคําถามใหกับชีวิตของเธอได
เธอจึงไมล ังเลทจ่ี ะกา วเขาสูโ ลกแหงพทุ ธศาสนา ตลอดจนสามารถอยูรวมกับครอบครัวชาวมุสลิมได
อยางเปนปกติขณะที่ ตุม แตเดิมเปนคนไมเช่ือหรือศรัทธาในศาสนาใดเลย หากแตเม่ือมีโอกาส
ไดพ ดู คุยกับแมชี ไดเรยี นรูธรรมะ กพ็ บวามปี ระโยชนต อตนเอง ทาํ ใหทัศนคตเิ ปลีย่ นไป เปด ใจยอมรับ
ความแตกตาง อีกท้ังยังมีความเมตตาตอผูอื่นมากขึ้น สวน เกด เปนคนเดียวท่ีบังเอิญไดเขารวม
โครงการอบรมธรรมะ อนั เปน กิจกรรมทอี่ ยใู นหลักสูตรของมหาวิทยาลยั เปน ผลทําใหเ ธอไดฝ กปฏบิ ตั ิ
84
ธรรม เรียนรูถงึ ขอดขี องการนําพทุ ธศาสนามาปรบั ใชในการทําความเขา ใจชวี ิตต้ังแตย ังอายนุ อ ย แมว า
ปจจุบันเธอจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาหลายปแลว แตก็ยังคงฝกใฝในพุทธศาสนาและ
การปฏบิ ตั ิธรรมอยูเชน เดมิ
ในอีกดานหน่ึง บุคคลที่หันมาพ่ึงพุทธศาสนาภายหลังจากประสบความทุกขหรืออุปสรรค
ในชีวติ มกั พบในกลุมแมชี โดย แมชบี วั และ แมช ตี อย ไดกลาวเหมือนกันวาการที่พอแมเสียไปเปน
สาเหตุหนึ่งท่ที าํ ใหตดั สนิ ใจบวชเพือ่ ปลงตอ ชีวติ ทาํ ความเขา ใจถึงการเกิดแกเ จบ็ ตายอันเปนธรรมชาติ
ของมนุษย จนกระทั่งตนเองละวางจากความเศราโศกลงได เชนเดียวกับ เคก ที่หันมาปฏิบัติธรรม
อยางจริงจัง หลังจากท่ีแมผูเปนที่พ่ึงทางใจหน่ึงเดียวของเธอจากไป แตสําหรับ แมชีพร การเลือก
พุทธศาสนากลับเปนที่พ่ึงสุดทายท่ีเปล่ียนแปลงชีวิตของทานจากอาการปวยหนักในชวงเวลา
ทย่ี ากลําบาก การยดึ เอาหลักธรรมคําสอนและการปฏิบัติธรรมเขามาชวยเยียวยาจิตใจใหแข็งแกรง
ซ่ึงการที่สภาพจิตใจดีข้ึนก็ทําใหรางกายกลับมาหายดีเปนปกติ นอกจากนี้การสูญเสียคนรักยังเปน
สาเหตุหน่ึงท่ีทําใหผูหญิงตัดสินใจใชพุทธศาสนามาเปนท่ีพึ่งทางใจอีกดวย ออย เลือกเขามา
ฝก วิปสสนากรรมฐาน เพ่ือควบคุมสติไมใหจมอยูกับการคิดถึงอดีต ไมใหอาลัยอาวรณถึงบุคคลท่ีเธอ
ยังรกั และผูกพัน เมอื่ ปฏิบตั จิ นสามารถประคับประคองจติ ใจไดอยางม่ันคงในระดับหนึ่งแลว ก็ไมคิด
ที่จะลมเลิกความสนใจในพุทธศาสนา เพราะเธอพิจารณาจนเห็นแลววา พุทธศาสนาน้ันสามารถ
นําไปใชในการปรับปรุงแกไขขอเสียท่ีเปนจุดออนของตนเอง เพื่อใหการดําเนินชีวิตอยูในสังคม
แตละวนั เปน ไปอยางราบร่ืน ม่นั คง มีสติ
ความสัมพันธทีพ่ ฒั นาไปพรอ มกับจิตใจ
สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ถือเปนศาสนสถานในสังคมไทย
สมัยใหมท เ่ี อือ้ เฟอ แกผทู ี่มคี วามสนใจในแนวทางพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมใหเขามารวมกลุม
พดู คุยแลกเปลย่ี นความคดิ ชวยเหลอื และพฒั นาจติ ใจซึ่งกันและกันไปพรอมกับการฝก เจรญิ สติโดยวธิ ี
ภาวนาแบบวิปสสนากรรมฐาน ซึ่งทุกคนที่มาที่นี่ตางไดรับคําแนะนําและการบอกตอชักชวน
จากกัลยาณมิตรที่รูจักแมชีบุญมี เวชสาร ผูเปนด่ังที่พ่ึงทางใจของลูกศิษยมากมาย กิจกรรมตางๆ
ในสาํ นักเปน ไปตามจดุ มุงหมายของทา นท่สี รา งสถานทแี่ หงน้ีขึ้นมา มิใชเพียงอํานวยความสะดวกแก
ผูหญิงท่มี าบวชชเี ทา นน้ั หากแตยังตองการใหเปน พ้นื ทเ่ี ยยี วยาจิตใจสาํ หรับบคุ คลท่วั ไปทส่ี นใจใฝรูใน
85
พทุ ธศาสนาหรือประสบปญ หาทางโลกจนไรท ่ีพ่ึงพงิ ทางใจ ไดเดนิ ทางเขามาฝก ปฏิบัติธรรมและพดู คุย
กบั คนทสี่ าํ นกั แหงนี้เพือ่ พฒั นาตนเองตอไป
การสอนวิปสสนากรรมฐานตามแนวทางของแมชีบุญมี เวชสารท่ีปจจุบันสืบทอดตอโดย
อาจารยช ยั พร ชยานุรักษ จะพจิ ารณาจากลกั ษณะนสิ ยั และธรรมชาติของปจเจกบุคคลนั้นในการฝก
ปฏิบัตธิ รรม เพือ่ แกไขขอ บกพรอ งใหกลับมาประคองสติ อยกู บั ความเปนจรงิ ณ ปจจุบันได ดังนั้นจึง
มกั จะมกี ารสนทนาแลกเปลี่ยนอารมณ ความคิด รวมถึงประสบการณ ใหตางฝายตางเขาใจพ้ืนฐาน
ความคิด ภูมหิ ลังชวี ติ และตัวตนของบุคคลเหลานั้นกอน อีกทั้งยังคอยใหคําแนะนํา แบงปนความรู
ดวยเหตนุ ที้ าํ ใหก ลมุ นกั ปฏิบัติธรรมท่มี าทีน่ สี่ นทิ สนมคุนเคยกันเปน อยางดี
มล กลาวถึงความสัมพันธของเธอกับกลุมนักปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานวา
เพราะเปนสงั คมกลมุ เล็กทุกคนจึงสามารถเขาถึงกันไดไมยาก สวนใหญเปนคนวัยทํางานเหมือนกัน
เผชิญเรื่องราวในชีวิตคลายกัน ทําใหตางฝายตางเปนกระจกสะทอน ชวยช้ีนําใหเห็นขอบกพรอง
ท่ีตนเองมองขา มไปได ไมมีการแบงแยกชนช้นั ฐานะ ตาํ แหนงหนาทีก่ ารงาน หรอื เพศ ทกุ คนคอยเปน
ท่ปี รึกษาในชีวิตใหแกกัน
หนิง คือผูที่อยูดูแลใกลชิดกับแมชีบุญมีและแมชีคนอ่ืนๆ ท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารมานานตั้งแตป พ.ศ. 2550 เธอไดฝกวิปสสนากรรมฐานกับแมชีบุญมี
เรื่อยมาจนถึงอาจารยชัยพร ผูเปนอาจารยคนปจจุบันที่แมชีฝากฝงใหดําเนินการสอนวิปสสนา
กรรมฐานตอจากทาน สง ผลใหเธอมีประสบการณ เขาใจธรรมชาติและวิถีชีวิตของนักปฏิบัติธรรมท่ี
สาํ นักแหงนี้เปนอยางดี เธอพอใจที่จะมาปฏิบัติธรรมที่นี่เปนเวลาตอเน่ืองหลายป เนื่องจากเห็นวา
การอยูทามกลางกัลยาณมิตรที่ฝกใฝในทางพุทธศาสนานั้นชวยประคับประคองนําพาเธอไปสูส่ิงท่ีดี
ทาํ ใหมคี วามม่ันคงทางใจเอาไวเ ผชิญกับความวนุ วายในชวี ติ การทํางานและชีวิตสวนตัวของเธอ
เคก อธบิ ายเสรมิ อกี วา การไดเ ขามาปฏบิ ัติธรรมรว มกนั กับคนอ่ืนๆ มีสวนทําใหเธอมองเห็น
ตัวเองชัดขึ้น เขาใจตัวเองมากข้ึน เนื่องจากไดอธิบายความกาวหนาในการฝกเจริญสติของตนเอง
ใหอาจารยและคนอื่นท่ีสามารถรับฟง และพิจารณาช้ีแนะในมุมมองที่แตกตางไปจากทัศนคติของ
ตัวเธอเองได บางครั้งพวกเขากค็ อยเตือนสติ เมื่อเธอกาํ ลงั หลงทาง อกี ท้ังยังใหคําแนะนํา มองเห็นถึง
ปญ หาและวิธกี ารแกไ ขไดอ ยางถกู ตอ ง เธอคดิ วา ตนเองโชคดมี ากทีต่ ัดสินใจเลือกพุทธศาสนาเปนที่พึ่ง
ทางใจ ไดมาใชเ วลาอยภู ายในพื้นที่วัดแหงน้ี เพราะหากไมมีโอกาสไดมาปฏิบัติธรรมแลวนั้น คงยาก
ทจ่ี ะจดั การกับความไมม ัน่ คงของจติ ใจไดเหมือนเชน ในปจ จุบัน
86
อาจกลาวไดวา การท่ีผูหญิงกลุมน้ีเขามาบวชและปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ไมใชเพียงแคไดพัฒนาตัวตนของปจเจกบุคคลเองใหเปนคนใหม
ที่สามารถยอมรับ ปรับตัว เขาใจความเปนจริงของโลกและดําเนินชีวิตภายใตคานิยม จารีต และ
วาทกรรมตางๆ ในสังคมตอไปไดอยางมั่นคง หากแตยังเปนการรวมกลุมทางสังคมของคนท่ีมี
ความสนใจเหมือนกัน คอยชวยเหลือกันและกัน เปดใจคุยกันไดอยางเปนกันเอง จึงกลายเปน
ความสัมพันธที่พัฒนาไปพรอมกับจิตใจของผูที่มาบวชและปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
แหง นนี้ นั่ เอง
การใชช วี ิตทางธรรมในสงั คมทางโลก
เมอ่ื กา วเขาสสู ังคมพทุ ธศาสนา นบั วา เปน จดุ เปล่ียนที่ทําใหชีวิตของผูหญิงในกลุมนักปฏิบัติ
ธรรมและกลุมแมชีที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานฯ เปนไปในทิศทางท่ีดีขึ้น กลาวคือ ผูหญิงในกลุม
นักปฏิบัติธรรมสามารถใชชีวิตอยูในสังคมทางโลกไดอยางมีความสุข เพราะมีที่พ่ึงทางใจ สามารถ
นาํ เอาหลกั ธรรมและเทคนิควิธีที่ไดจากการฝกวิปสสนากรรมฐานไปประยุกตใชเพ่ือดํารงสติในการ
ดาํ เนินชวี ิตประจาํ วนั ของตนเองใหม คี วามม่ันคงทางดานจิตใจยิ่งกวาเดิม สวนผูหญิงที่บวชเปนแมชี
นอกจากจะละวางตัวตน บทบาทหนาที่ทางโลกของตนเองกอนบวชแลว ตางก็นําส่ิงที่ไดจาก
การศึกษาธรรมะมาเผยแผ ทํานบุ ํารงุ ศาสนา และชว ยเหลือผูอ ่นื ตอไป
ดงั เชน การที่ แมชีตอ ย เปน แมช ีวทิ ยากรสอนธรรมะใหกบั โครงการอบรมเยาวชน ทานนําส่ิง
ทไ่ี ดจ ากการเรยี นรขู ณะบวชมาประยุกตใชในการสอนตามแนวทางของตัวทานเอง อันสะทอนถึงการ
ใชชีวติ ทางธรรมในสงั คมทางโลกไดอยางเดนชัด เม่ือประสบการณในการเรียนและการสอนเพ่ิมขึ้น
ทานก็ยง่ิ ไดรบั ความรูส ึกม่ันคงจากการทําหนา ท่ีของตนเอง
แมช ีบวั เปน แมช อี ีกทา นที่เคยมโี อกาสไดต ิดตามแมชีบุญมีไปพบปะสอนลกู ศิษยต ามสถานท่ี
ตางๆ ทั้งกรุงเทพมหานครและตางจังหวัด ทานจึงมีโอกาสไดเห็นชีวิตของคนทั่วไปมากมายที่มี
พทุ ธศาสนาเปน ที่พ่ึงทางใจในสงั คมทางโลก หากแตล ะคนก็มคี วามเชือ่ และความศรทั ธาทหี่ ลากหลาย
ไมเหมือนกันเสยี ทีเดียว
87
ตองยอมรับวาสังคมไทยทุกวันน้ี คนที่เขาใจแกนแทของพุทธศาสนาแลวนํา
ธรรมะไปปฏิบัตใิ นทางท่ีถูกมนี อยมาก ยคุ สมยั ทาํ ใหพุทธศาสนาถกู ตีความหลากหลาย ทง้ั
เปน ไปเพ่ือประโยชนสว นตวั หรือไมกส็ งั คมกลมุ ใดกลมุ หนึ่งซ่ึงกน็ าเห็นใจและตองทําความ
เขาใจไปพรอ มกันวาเกิดจากความไมรู เมื่อเช่ือและปฏิบัติกันตอกันไปดวยความไมรูจึง
หลงทาง บางคนทีไ่ มไ ดผลลพั ธหรอื คาํ ตอบท่ีตนเองพอใจกเ็ กดิ อคติตอ พทุ ธศาสนา เพราะ
ไมม ผี ูรูส ามารถอธบิ ายใหตวั เขาเขาใจได
(แมชีบัว, 21 เมษายน 2560: สัมภาษณ)
แมชีบัวยังบอกอีกวารอยละ 90 ของผูท่ีมาสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศาราม
วรวิหาร สว นใหญเปน คนที่เบอื่ หนาย เปนทกุ ข มีปญหาทางโลกเกยี่ วกับชีวติ สวนตวั ไมว าจะเปนเร่อื ง
ของครอบครัว สุขภาพ หรือความรัก พวกเขาอับจนหนทาง ไมรูจะหันไปพ่ึงพาสิ่งใดเปน
หลักยึดเหนี่ยว เมื่อมีคนแนะนําใหมาก็มา จุดมุงหมายคือตองการพื้นที่สงบเพื่อพักใจเมื่อรูสึกดีข้ึน
สบายใจข้ึนก็ไป บางคนกลับมาอีกดวยเหตุผลวาพุทธศาสนาใหประโยชนตอตนเองในระยะยาว
บางคนก็มาเพียงชั่วคราว เฉพาะยามที่มีปญหาหรือเกิดความรูสึกไมม่ันคงทางจิตใจ เพราะเห็นวา
ธรรมะเปน เคร่อื งมอื ท่ดี ใี นการรบั มอื กับชีวิตในสงั คมทางโลก
ออย เปนผูหญิงคนหน่ึงท่ีเคยผิดหวังในความรัก เธอมาปฏิบัติธรรมท่ีนี่ดวยเพราะตองการ
ทจี่ ะเขมแขง็ เม่อื อดีตคนรกั ผซู ึง่ เคยเปนท่ีพ่ึงทางใจของเธอตัดสินใจแยกทางกันไป การฝกวิปสสนา
กรรมฐานชวยทําใหเธอสามารถประคองสติใหอยูกับปจจุบัน อีกทั้งอาจารยชัยพรยังคอยช้ีนําให
เดนิ ในทางทีถ่ กู ตอง อยกู ับความเปนจริง ณ ปจจุบนั ขณะ เธอจึงสามารถกา วผา นวนั เวลาทย่ี ากลาํ บาก
เหลานัน้ ได และเพราะเธอเปนคนทมี่ คี วามสนใจในวทิ ยาศาสตรเ ปน ทุนเดมิ เมอ่ื เธอเหน็ วาพทุ ธศาสนา
คอื ส่งิ ท่ีพสิ จู นได เนือ่ งจากเธอทดลองแลวเห็นผลกับตัวเองจริง สภาพจิตใจดีขึ้นจริง ปจจุบันเธอจึง
แวะเวยี นมานง่ั วิปสสนา พดู คุยกับเพ่อื นพี่นองท่ีสํานกั เปน ประจําทุกคร้ังท่ีมีเวลาวาง เธอยงั คงสามารถ
ใชช วี ิตแบบทเ่ี ธอตองการในสังคมทางโลก ไดเปนตัวของตัวเอง ทําในส่ิงที่ชอบโดยไมเดือดรอนใคร
ละวางจากอคตขิ องผูอนื่ ได ควบคมุ อารมณความรสู กึ ของตวั เองไดม ัน่ คงมากข้ึนจากการนาํ วิธฝี ก เจริญ
สตมิ าใชก ับทุกเรือ่ งในชีวิตประจาํ วัน
สมาชกิ คนอืน่ ในกลมุ นักปฏิบัติธรรมทสี่ ํานกั วปิ ส สนากัมมัฏฐานกเ็ ชนกนั การใชชวี ิตทางธรรม
มไิ ดข ดั แยง หรือเปน อปุ สรรคตอ การดําเนนิ ชวี ติ ในสงั คมทางโลกแมแตนอย รวมถึงไมไดทําใหพวกเขา
ตองสูญเสียความสุข ความเปนตัวตนของปจเจกบุคคล ในทางกลับกันพุทธศาสนาชวยใหพวกเขา
88
สามารถยอมรบั เขา ใจ และปรับตัวอยูกับสภาพสังคมเดิม คานิยมเดิม ชุดความคิดเดิมๆ ที่เคยเปน
ปญ หาตอ ชวี ติ จติ ใจของพวกเขาใหค ลายจากความรสู กึ ไมม ั่นคงไดอยางมีประสทิ ธิภาพ
ตวั ตนใหม
หลักธรรมอันเปนแนวคิดทางพุทธศาสนาและเทคนิควิธีในการปฏิบัติธรรมแบบวิปสสนา
กรรมฐานคอื หนง่ึ ในทางเลือกทผ่ี ูหญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหมนํามาเปนท่พี ่ึงทางใจใหก บั ตนเอง กลา วคอื
นาํ เอาแนวคดิ และขอปฏบิ ตั ทิ างพุทธศาสนามาใชเปนเครื่องมือในการปรับตัว สรางตัวตนใหมข้ึนมา
เพอื่ พฒั นาตนเองใหสามารถใชช วี ติ อยูภายใตสภาพแวดลอ ม คา นยิ ม รวมถงึ วาทกรรมทางสังคมตางๆ
ได ซ่งึ หมายรวมถงึ วาทกรรมความเปนหญิงท่มี ใี นสงั คมไทยมาชานานดว ยเชนกัน
จากแนวคิดของมิเชล ฟูโกต (Michel Foucault, 1926-1984) ที่ใหความสําคัญกับความ
เปนปจ เจกชนของมนษุ ยในสงั คมสมยั ใหม ไดเ สนอวา ถามนุษยเราสามารถนิยามตัวตนของตนเองได
มนุษยผนู น้ั ก็จะเปน อสิ ระจากการถกู ควบคมุ โดยวาทกรรมทางสังคม หากปจ เจกบุคคลรูจกั สรา งสรรค
เลอื กการใชชีวิตดวยตนเอง รูจักเจริญสติ รูจักทบทวนตนเองโดยไมจําเปนตองใหใครมากําหนดวา
ตนเองเปนใคร กจ็ ะทาํ ใหบุคคลผนู ้นั หลดุ ออกจากวาทกรรมทางสังคม กลายเปนตัวตนใหมท่ีดําเนิน
ชีวิตทางธรรมในสังคมทางโลกอยางเขา ใจและเปนอิสระจากการถูกครอบงํา (อานันท กาญจนพันธุ,
2552: 188-189)
ดังเชนผูหญิง 10 คนในกลุมตัวอยางนี้ท่ีไดเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ และไดพบ
จดุ เปลยี่ นของชวี ิตหลังจากเขามาปฏิบัติธรรมหรือบวชท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร ท้ังการเปลี่ยนแปลงท่ีมีผลตอตนเอง การเปลี่ยนแปลงที่มีผลตอคนรอบขาง
การเปล่ียนแปลงที่มีตอ มมุ มองเก่ียวกับคา นิยมในสังคม ตลอดจนถึงจุดมุงหมายของการดาํ เนนิ ชวี ิตใน
ปจ จบุ นั และอนาคตก็เปลี่ยนไปจากเดิมดวยเชน กัน
ตวั ตนของ แมช ีบวั จากแตเ ดมิ ทเี่ ปน ผหู ญงิ ตา งจังหวัด เติบโตมากบั สังคมทอ งถิ่น ทําใหทาน
ไมชอบบรรยากาศของความเปนเมืองที่เต็มไปดวยสังคมวัตถุนิยมและคานิยมที่เปล่ียนผันไปตาม
กระแส ชีวิตท่สี งบเรียบงายไดสั่นคลอนหลังจากที่พอแมของทานเสียชีวิต อันเปรียบเสมือนสูญเสีย
ที่พ่ึงทางใจที่มีผลกระทบตอชีวิตของผูหญิงตัวคนเดียวในเวลาน้ัน แมวาสําหรับแมชีบัว วาทกรรม
เก่ียวกับอุดมคติความเปนหญิงจะไมไดกอใหเกิดปญหาความทุกขที่ชัดเจนมากนัก แตก็นับวาเปน
ปจ จัยหนงึ่ ทีท่ ําใหท านตดั สนิ ใจเขามาบวชและติดตามแมชีบุญมีไปที่กรุงเทพฯ เน่ืองจากทานเห็นวา
89
เสนทางนี้จะทําใหชีวิตดีขึ้นมากกวาเดิม การเขามาอยูในเมืองเปนเหตุใหแมชีตองปรับตัว
เปนอยางมาก แตดวยความศรัทธาที่มีตอพุทธศาสนามาต้ังแตเด็กจากการถูกปลูกฝงในครอบครัว
ชาวพุทธ การบวชและการปฏิบัติธรรมจึงกลายเปนการเปล่ียนผานของชีวิตคร้ังสําคัญท่ีสงผลให
ทานเปนคนใหม สามารถปลอยวาง ดงึ ตวั เองออกมาจากความทุกขหรือการถูกครอบงําจากสิ่งตางๆ
ได ประสบการณชีวิตของทานหลอมรวมใหทานเปนแมชีบัวผูที่มีความเมตตาคอยชวยเหลือผูอ่ืน
อยางในทุกวันน้ี
ตัวตนของ แมชีพร กอนท่ีจะมาบวชน้ันเคยเปนผูหญิงท่ียึดติดอยูกับคานิยมตางๆ ที่เปน
อุดมคติของสังคมมากอน เพราะทานเคยมีพรอมทุกอยา ง ท้ังหนาตาทางสังคม ทั้งเงินทองฐานะของ
ครอบครัว หลังจากสูญเสียจงึ ทําใจไดยาก สภาพรา งกายและจิตใจของทา นไดร ับผลกระทบอยางหนัก
ชวี ิตไมเ ปนไปตามทตี่ ัวทา นเองคาดหวงั ท้ังกลัววาจะไมไดรับการยอมรับจากสังคม และยังอาลัยกับ
ส่ิงท่ีเสียไป ในชวงเวลาน้ันทานไมเหลือส่ิงใดใหยึดเหนี่ยว ผลสุดทายจึงหันมาพ่ึงพุทธศาสนา
แมระยะแรกท่ีบวชจะยังไมหายจากความทุกขน้ันในทันที แตก็นับวามีความกาวหนา มีการพัฒนา
ตัวเองไปในทางท่ีดีข้ึน จนกระท่ังทานไดเขาใจถึงเหตุและปจจัยที่สงผลใหตองมาเจอเหตุการณ
ดังกลาว เขาใจวาตนเองไมจําเปนตองยึดติดอยูกับความม่ันคงสมบูรณแบบก็สามารถใชชีวิตอยาง
มีความสุขได การบวชและการปฏิบตั ธิ รรมถือเปนจุดเปลี่ยนสําคัญของชีวิตที่ทําใหทานคนพบตัวตน
ใหม ปจจุบันทานเต็มใจท่ีจะใชชีวิตทางธรรมในฐานะแมชี บวชตลอดชีวิตและมุงม่ันเจริญสมาธิ
เจริญสติ เพื่อความสงบม่ันคงในจิตใจของตัวทานเองเปนหลัก นับวาการตกอยูภายใตอํานาจของ
วาทกรรมความเปนหญงิ ในสงั คมเคยทาํ ใหทานเปนทุกขหนักจนกระทบไปถึงเร่ืองตา งๆแตส ุดทายวาท
กรรมทางพทุ ธศาสนากเ็ ขามาเตมิ เตม็ สิง่ ที่ขาดหายไป ชวี ิตความเปน อยขู องทานจงึ คอยๆ ดีข้นึ
ตัวตนของ แมชีตอย เห็นไดชัดวาทานทุมเทใหกับการทํางานเพื่อศาสนาในฐานะแมชี
วิทยากร ทานไมเปดเผยถงึ ชีวิตสวนตัวกอ นที่จะมาบวชมากนัก เลาเพียงวาตนเองเคยเปนผูหญิงที่มี
หนาท่ีการงานดี ไมไดพบอุปสรรคในชีวิตจากคานิยมทางเพศหรือคานิยมทางสังคมอื่นๆ ท่ีกระทบ
จนแสนสาหัสแตอยา งใด ทา นบวชเพราะอยากบวช พทุ ธศาสนาทาํ ใหท านไดพ ัฒนาตนเอง เมอ่ื เห็นวา
เปนประโยชนต อตนเองและสังคม ก็มุงศึกษาหลักธรรมและปฏิบัติธรรมอยางเครงครัด เพื่อที่จะได
นําไปสอน ทานใหความสําคัญกับชีวิตในปจจุบันเปนหลัก อุทิศตนเองเพื่อศาสนาอยางเต็มที่
เรียกไดวาตัวตนใหมท่ีไดมาจากการบวชน้ีไดทําใหทานเช่ือวาเปนการใชชีวิตอยางมีคุณคาในฐานะ
มนุษยผูห ญงิ คนหนึง่
90
ตัวตนของ มล เดมิ เปน ผูห ญงิ ทรี่ ักความสมบูรณแบบในทุกๆ เร่ือง โดยเฉพาะเร่ืองของการ
ทาํ งาน ยึดมัน่ กับอุดมคติจนกลายเปนคนคิดมาก หากพบขอผิดพลาดมักจะเผลอหงุดหงิดใชอารมณ
อยบู อยครงั้ สวนหนึ่งอาจเปน เพราะเธอเติบโตมาในครอบครัวที่เล้ียงลูกสาวใหอยูในกรอบมาตลอด
เธอตอ งการทจี่ ะแกไขนิสัยเหลานนั้ จึงเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ จนไดคนพบวาการฝก เจริญสติ
หรอื ฝก วิปส สนากรรมฐานเปน เทคนิควิธีท่ีใชในการจัดการกับอารมณของมนุษยไดดีท่ีสุด กลไกการ
ทํางานของการฝก คอื การทําความเขาใจความจริงของชวี ิตผานหลักธรรมคําสอน ซง่ึ เปนวาทกรรมทาง
พุทธศาสนา ตลอดจนปฏิบัติตามหลักวิธีในการฝกวิปสสนาอยางเครงครัด เพราะสิ่งเหลาน้ันเปน
เคร่ืองมือท่ีจะชวยพัฒนาจิตใจ ทําใหเขาใจตนเอง เขาใจชีวิต เขาใจธรรมชาติของมนุษย
จนสามารถเขาใจ ยอมรับ และปรับตัวเพ่ือใหใชชีวิตอยูตอไปไดอยางราบร่ืนม่ันคงย่ิงขึ้น ตัวตนใหม
ของเธอหลงั จากเลือกใชช ีวติ ทางธรรมในสังคมทางโลกสงผลใหเ ธอกลายเปน ผูหญงิ ใจเย็น รูจักควบคมุ
สติ รูจ ักรอและเขาใจคนอื่น ความสัมพันธระหวางเธอกับคนรอบตัวก็ดีขึ้น เรียกไดวาเปนการสราง
ตัวตนใหมข น้ึ มาเพ่ือแกไขปญ หาอยา งตรงจุด
ตัวตนของ หนิง หลังจากปฏิบัติธรรมและคลุกคลีอยูกับสังคมกลุมนี้มานานกวา 10 ป
ทาํ ใหเธอไดเ รียนรชู ีวิตจากประสบการณของตนเองและผอู น่ื มากมาย จากแตกอนที่เธอเปนคนใชชีวิต
อยูในกรอบ เชือ่ ในสิง่ ที่คนอื่นบอกวาดี เพราะคิดวา ตัวเองมีจุดออ นมากมาย ปฏิบัติตามคานิยมความ
เปน หญงิ ทดี่ ีในสังคม ถงึ แมจ ะไมไ ดรบั ผลกระทบจากวาทกรรมเรื่องเพศที่หนักหนาชัดเจน แตก็เปน
ปจจัยหน่ึงที่สงผลใหเธอไมรูจักตนเอง ไมรูวาตนเองตองการอะไร ไมรูเหตุผลท่ีแทจริงวาทําไป
เพือ่ สงิ่ ใด เมอ่ื ไดฝ ก วิปส สนากรรมฐานก็ไดนําวิธีการเจริญสติน้ันมาทบทวนตนเองจนทําใหสามารถ
เขา ใจตนเองมากข้ึน รวมถึงมีความมั่นคงตอสิ่งที่ตนเองเช่ือและศรัทธามากขึ้น อดีตที่ผานมาสั่งสม
ประสบการณใหเธอสามารถดําเนินชีวิตในแตละวันไดอยางมีความสุขในแนวทางของตนเอง
โดยไมจาํ เปน ตอ งไหลไปตามกระแสคานิยม เปนผูหญงิ ในแบบท่ีเธออยากเปน ใชชีวิตอยางเรียบงาย
ตอไป ทา มกลางความแตกตางของมนษุ ยใ นสังคมปจ จุบัน
ตัวตนของ ตา แนนอนวาเห็นไดชัดเจนในเรื่องของการเปลี่ยนจากนับถืออิสลามไปนับถือ
พทุ ธศาสนา โดยการเปลีย่ นไปเชื่อและศรัทธาในพทุ ธศาสนานค้ี อื การสรางตัวตนข้ึนมาใหม เพื่อตอบ
คําถามที่เธอหาคําตอบไมไดเม่ือครั้นยังดําเนินชีวิตอยูภายใตขอปฏิบัติของการเปนผูหญิงในศาสนา
อิสลาม การตัดสินใจเลือกเปลี่ยนไปนับถือพุทธศาสนาจึงเปนการตัดสินใจคร้ังใหญที่เปล่ียนแปลง
ชวี ติ ของเธอใหไ ดท บทวนตนเอง ทาํ ความเขา ใจการมอี ยูของตนเอง มีสตแิ ละรจู กั ปลอ ยวาง ซึง่ แนวคิด
เหลานีน้ ําไปปรบั ใชไ ดก บั ทุกเรอ่ื งในชวี ติ ประจําวันของเธอ ไมวาจะเปน การทํางานหรอื การอยูรวมกับ
91
คนในครอบครัวที่ยังคงเครงครัดนับถือศาสนาอิสลาม โดยท่ีเธอไมไดรูสึกอึดอัดหรือตองพยายาม
เปนในส่ิงท่ีสังคมบอกกําหนดใหเธอเปน เธออยูไดดวยการยอมรับความเปนจริง ทําความเขาใจถึง
ความแตกตางของกนั และกัน ตลอดจนมีความม่นั คงในการคดิ ตัดสนิ ใจกระทาํ สิ่งตางๆ
ตัวตนของ ออย เธอไดนิยามตนเองวา “ไมเรียบรอย ไมไดแปลวาผิดศีล” ความเปนตัว
ของตวั เองสูงที่ไดร บั มาจากการเลย้ี งดูอยางตามใจจากครอบครัว อาจนับเปนขอดีที่ทําใหเธอมีความ
ม่ันใจ รูจกั รักตัวเอง เห็นคุณคาของตัวเอง และสามารถรับผิดชอบภาระหนาที่ในชีวิตของตนเองได
เธอดแู ลตนเองไดด ีมาตลอด และมองวาแคไมทําใหพอแมพี่สาวของเธอผิดหวังก็เพียงพอแลว ตอให
คนอ่ืนท่ีไมร จู ักไมเขา ใจเธอจะมอี คติดูถูกนินทาเธออยางไรกระท่ังพบจุดเปล่ียนครั้งใหญของชีวิตคือ
การเลิกกับคนรักที่คบกันมาหลายป การอกหักเปนสถานการณท่ีทําใหความม่ันใจของเธอหายไป
เธอรสู ึกไมม่ันคงทางจติ ใจอยางหนัก จนตองหาทางหลุดออกจากภวังคความทุกข เธอยนิ ดที จ่ี ะทดลอง
ปฏิบัติธรรมเพราะเห็นวาไมเสียหาย ปกติแลวเธอเชื่อในเร่ืองวิทยาศาสตรท่ีพิสูจนได แรกเร่ิมท่ีฝก
วิปส สนากรรมฐานจึงยังไมค าดหวังกบั ผลลพั ธ หากแตเม่ือไดปฏิบัติอยางจริงจัง ฝกควบคุมสติใหอยู
กับปจจบุ นั ตามแนวทางการสอนของอาจารยชัยพร ก็ทําใหเธอไดพัฒนาตนเอง สามารถรับมือกับ
เรอื่ งราวปญหาตา งๆ ทเ่ี ขา มาไดดขี ึน้ ในระดบั หนึง่
ตัวตนของ ตุม ที่แตกอนไมเคยเช่ือหรือศรัทธาในพุทธศาสนาเลย เพราะมองวาเปนส่ิงที่
พิสูจนไมได ทานมีอคติตอความเช่ือในแงเรื่องเลาอภินิหาร แตกลับเปล่ียนไปต้ังแตเขามารูจักกับ
กลุมแมช แี ละกลุมนักปฏิบตั ิธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เมื่อมีผูรู
ที่สามารถอธบิ ายใหเ ธอเขาใจถึงแกนของพทุ ธศาสนา เธอจึงเร่มิ เปด ใจลองปฏิบัตธิ รรม เพื่อหวังวาจะ
เปน ประโยชนกับตวั เธอเองและคนใกลชิด ในกรณีของตุมเธอไมไดรับผลกระทบจากวาทกรรมเรื่อง
เพศท่ีชัดเจน แตการเติบโตมาภายใตคานิยมเหลานั้นก็สงผลมีกรอบความคิดบางอยางท่ีตกอยูใน
วาทกรรม จนมองขามความเปนตัวของตัวเอง เม่ือไดเรียนรูจักพุทธศาสนาอยางลึกซึ้งปจจุบันเธอ
กลายเปน คณุ แมท่เี ขา ใจสามี เขาใจลกู เขาใจคนอ่ืน จากท่ีเคยตอตานมองศาสนาวาเปนเร่ืองงมงาย
ก็กลายเปนคนใหมทย่ี อมรบั ความแตกตา ง เมตตาตอ เพ่อื นมนษุ ยดวยกนั มากขนึ้ ไมวาจะเปน เพศหญิง
หรอื ชายกต็ าม
ตัวตนของ เคก ผหู ญิงทีต่ ดิ อยกู บั วาทกรรมของความเปนลูกสาวท่ีดีมาต้ังแตเด็ก เธอผูกพัน
กับคนในครอบครัวมาก เพราะมีแมเปนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด จนไมคิดท่ีจะแสวงหาท่ีพ่ึง
ทางใจอ่นื จาํ ตอ งพบจดุ เปลี่ยนของชีวิตเมื่อแมของเธอเสียไป เธอไมสามารถควบคุมสติปรับสภาวะ
92
จิตใจทโี่ ศกเศรา ในตอนนน้ั ไดเ ลย จนกระทง่ั ไดม าปฏิบัติธรรม กเ็ หมือนกบั ไดทบทวนชวี ติ ท่ีผา นมาของ
ตนเอง ไดล องพิจารณาวาความสุขและสิ่งท่ีตัวเองตองการอยางแทจริงคืออะไร วิปสสนากรรมฐาน
จงึ ไมไดเ พยี งชวยในการฝกเจริญสติของเธอเทานั้น หากแตยังชวยใหเธอรูจักตนเอง สามารถใชชีวิต
อยูตอไปดวยตนเองไดอยางเขมแข็ง มีความม่ันคงทางจิตใจพอท่ีจะจัดการกับอารมณของตนเอง
เมอ่ื เผชิญกับเรอื่ งราวตางๆ ในการดําเนนิ ชวี ติ
ตัวตนของ เกด กอนที่จะมีโอกาสไดเขาไปศึกษาธรรมะ และทําความรูจักกับการภาวนา
เจริญสติแบบวิปสสนากรรมฐาน เธอเปนผูหญิงท่ีโตมากับชุดความคิดแบบวิทยาศาสตร อาจดวย
เพราะสาขาวิชาท่ีเธอกําลงั เรียนขณะนน้ั เปนการเตรียมความพรอมสูอาชีพพยาบาล เธอจึงมีความรู
ความเขาใจในการศึกษารางกายและพฤติกรรมของมนุษยในลักษณะท่ีเปนไปในเชิงวิทยาศาสตร
การแพทย เหน็ ถงึ ความแตกตา งทไ่ี มเ ทาเทยี มกนั ทางชวี วิทยาระหวา งผูหญงิ กบั ผูชาย แตห ลังจากที่ได
ไปเขารวมกจิ กรรมอบรมธรรมะก็ไดเรียนรูเ รื่องความสมั พนั ธระหวางรา งกายและจิตใจดว ยหลักธรรม
แนวคิดทางพุทธศาสนามากขึ้น เธอคนพบความจริงท่ีวาหากจะทําอะไรสักอยางที่ตองใชสติสมาธิใน
การทํางาน จําเปนที่จะตองมีสภาพรางกายที่พรอม เพราะถารางกายไมพรอม จิตใจเราก็จะหดหู
หมกมุนอยูกับอารมณนั้นไปดวย จนไมสามารถพัฒนาตนเองใหทําสิ่งน้ันไดอยางมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะผูหญิงท่ีมีฮอรโ มนโปรเจสเตอโรน ซงึ่ ทาํ ใหอ ารมณไ มค งทใี่ นชวงท่มี ีรอบเดอื น ก็ยงิ่ เปนเร่อื ง
ยากท่จี ะควบคมุ ดังนน้ั เธอจึงไดเ รียนรูวาการฝกสติเปนส่ิงที่มีประโยชนมาก ในฐานะที่เธอเองก็เปน
ผูหญิงคนหนึ่ง เม่ือมีชุดความคิดทางพุทธศาสนาผสมกับชุดความคิดแบบวิทยาศาสตรก็ทําใหเธอ
เขา ใจมนุษย เขาใจตนเอง รวมถงึ เขา ใจชวี ิตมากขน้ึ
จะเหน็ ไดว าตัวตนของผูหญิงทั้ง 10 คนน้ีไดเปลี่ยนแปลงไป หลังจากเลือกพุทธศาสนาเปน
ท่ีพ่ึงทางใจ แมวาเหตุผลที่ทําใหเขามาบวชหรือปฏิบัติธรรมอาจจะเหมือนหรือแตกตางกันไปบาง
ไดร ับผลกระทบจากวาทกรรมความเปนหญิงในอุดมคติมากนอยแตกตางกันบาง แตทุกคนตางก็พบ
จุดเปลี่ยนที่ทําใหสามารถดําเนินชีวิตไดอยางมั่นคงข้ึน การฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีสํานักวิปสสนา
กัมมฏั ฐานชวยใหผูหญิงกลุมนีไ้ ดท บทวนตัวตนของตนเองอยางมสี ติ ทําความเขาใจตนเองเพื่อใหรูวา
เราเปนใคร เราตอ งการอะไร มีความคิดเห็นอยางไรตอสิ่งท่ีถูกกําหนดใหเช่ือหรือกระทํา ดังแนวคิด
เรื่องเทคโนโลยีการสรางตัวตน (Technologies of the self) ของมิเชล ฟูโกตท่ีอธิบายถึงการที่
มนุษยส รา งสรรคแ นวทางการดําเนนิ ชวี ติ ในแบบของตัวเอง สรางตัวตนข้ึนมาใหมเพ่ือเปนอิสระจาก
วาทกรรมหลกั ของสงั คม ในทน่ี ี้การเลือกพุทธศาสนาเปน ท่พี ่งึ ทางใจของผูหญิงไทยในสังคมสมัยใหม
คือการสรางตัวตนใหมใหกับตนเอง ดวยการนําเอาวาทกรรมทางพุทธศาสนาที่เปนหลักธรรม