The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

006.สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศาราม

43

ปจจุบันสังคมไทยพัฒนาไปสูความเปนสังคมสมัยใหม อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่
ขยับขยายเขามาตั้งแตอดตี นนั้ ไดเ ปล่ยี นแปลงฐานะของผูหญิงใหทัดเทียมกับผูชายในดานหนาท่ีการ
งาน ดา นการศกึ ษา และครอบครัวมากขึ้น อยางไรก็ตามแมผูหญิงไทยจะมีความรูความสามารถจน
ไดรับตาํ แหนง สาํ คญั ในงานตางๆ แตก ็ยงั ไมไดร ับความเชอื่ มนั่ ในประสิทธิภาพการทํางานเชนเดียวกับ
ผูชาย ท้ังนี้เปนเพราะคานิยมทางเพศที่ฝงอยูในระบบความคิดของคนไทยมาชานาน นอกจากนี้
อีกเหตผุ ลหน่ึงทท่ี าํ ใหฐานะของผหู ญิงไทยยังคงตกอยใู นสภาพท่ีเปนรองก็คือผูชายสามารถยกระดับ
ตนเองดว ยฐานะทางศาสนาอยา งการบวชเปนพระภกิ ษุ ตรงกันขา มกับผูหญงิ ท่ีสังคมไทยยงั ไมย อมรบั
ใหม ีการบวชภิกษณุ ไี ดอยางเปนทางการ หากบุคคลใดตองการเปนภิกษุณีสวนใหญจึงตองเดินทางไป
รับการบรรพชาอุปสมบททไ่ี ตหวัน เพราะประเทศไทยผูหญิงสามารถเขาสูการใชชีวิตทางศาสนาใน
ฐานะนกั บวชไดเ พยี งการเปน แมชแี ละชพี ราหมณเ ทา นัน้ (ฉตั รสุมาลย: 26-27)

จากการศึกษาเกี่ยวกับความพยายามของผูหญิงไทยที่ตองการบวชเปนภิกษุณี พบวามี
ประเด็นทางสังคมมากมายในประวัตศิ าสตรที่เกิดขึน้ จากการไมย อมรบั สถานะของภิกษุณใี นสังคมไทย
ไมวาจะเปนกรณีท่ีไมใหภิกษุณีเขาไปทําความเคารพพระบรมศพของพระเจาแผนดินท่ีสํานัก
พระราชวงั ดวยเหตผุ ลคอื ไมมสี ถานะของนักบวชในพระราชบญั ญตั ิ หรือประเด็นเร่อื งการบวชภิกษณุ ี
จํานวน 47 รปู ทีเ่ กาะยอ จังหวดั สงขลา ซ่ึงมคี ณะสงฆอ อกมาคัดคานและมมี ติวาไมเห็นดวย ซ่ึงการที่
คณะสงฆไมย ินยอมใหภิกษณุ ีมีสถานะเทา เทยี มกับภิกษุสงฆ สะทอนใหเห็นถึงวาทกรรมท่ีผูมีอํานาจ
ในสถาบนั พทุ ธศาสนาของสังคมไทยกาํ หนดข้ึน เพอ่ื ใหผูคนยอมรับยึดถอื รวมกันวาผูหญิงไมสมควรมี
บทบาทและฐานะเปน นักบวชทเี่ ทาเทยี มกับผชู าย (พระระพิน, 2560: 2)

แมป ระวัติศาสตรการเคล่ือนไหวของภิกษุณีในประเทศไทยจะช้ีใหเห็นวา มีกลุมสตรีเพศที่
พยายามผลักดนั ใหเ กดิ ภกิ ษุณีไทยมาโดยตลอด เพยี งแตไ มเคยไดรับการยอมรับจากรัฐในพ.ศ. 2471
ถึงกับมีคําสั่งจากรัฐบาลวาหามไมใหผูหญิงบวชเปนบรรพชิต หากฝาฝนจะจับสามเณรีสึกทั้งหมด
รวมถึงพิพากษาลงโทษจําคุกในขอหาบอนทําลายพระพุทธศาสนา ดวยเหตุน้ีจึงทําใหผูหญิงไทยท่ี
ตองการบวชตอ งเดนิ ทางไปทีป่ ระเทศอนื่ ครั้นหลงั จากบวชแลวกลับมาที่ประเทศไทยก็ยังกลายเปน
ประเด็นทางสังคมที่กอใหเกิดการวิพากษวิจารณอีก เนื่องจกามีท้ังกลุมคนท่ีสนับสนุนและกลุมคน
ทไ่ี มเหน็ ดวย จนถงึ กับตองมีการประชมุ เพื่อหาทางออกใหกับภกิ ษณุ เี หลา นี้ ซง่ึ มงุ ไปที่วาทกรรมเร่ือง
ความสามารถในการบรรลุธรรมของเพศหญิงข้ึนมา เพื่อตอรองกับวาทกรรมหลักของสถาบันพุทธ
ศาสนาในสังคมไทย อันแสดงถึงสาระสําคัญวาผูหญิงควรมีพื้นท่ีในการปฏิบัติธรรม โดยไมถูกจํากัด
ดว ยขอจาํ กดั เรอ่ื งเพศ เนอ่ื งจากจุดมุงหมายที่เปนแกนแทของพุทธศาสนาคือการบรรลุธรรมที่ไมวา

44

เพศหญงิ หรือเพศชายก็สามารถเขาถึงไดหากปฏิบตั อิ ยางลึกซงึ้ ผลจากการตอ สูท างวาทกรรมในครั้งนี้
ทําใหคนไทยมีอคติทางเพศตอกลุมสตรีเพศในพุทธศาสนานอยลง เปดใจยอมรับภิกษุณีมากขึ้น
แตก็ยังไมเปนท่ียอมรับโดยทางการจากรัฐ ดวยเพราะโครงสรางอํานาจของสถาบันทางศาสนาท่ี
ไมอาจปรับเปล่ียนมาจนถงึ ปจ จุบนั (พระระพิน: 6-12)

ขณะเดียวกันสังคมไทยสนับสนุนใหมีการจัดตั้งสถาบันแมชีไทยขึ้นมา เพ่ือตอบสนองตอ
ผูหญิงที่ตองการเขาสูวิถีแหงพุทธศาสนาอยางจริงจัง โดยมีจุดประสงคในการเสริมสรางฐานะของ
กลมุ สตรเี พศในพุทธศาสนาในสังคมไทยใหมบี ทบาททางศาสนามากขึ้น รวมถึงพฒั นาการศกึ ษาใหกับ
แมชี เพราะแตเดิมแมชีเปนเพียงผูที่อาศัยอยูในวัดและอยูภายใตการบริหารงานที่ดําเนินไปตาม
เง่ือนไขของคณะสงฆหรอื เจา อาวาสผูรบั ผดิ ชอบ ดังนั้นการเกดิ ขน้ึ ของสถาบันแหง น้ีจงึ เปน จดุ เรม่ิ ตน ท่ี
ทําใหกลุมแมชีไดมารวมตัวกัน ทํากิจกรรมทางศาสนา บริการสังคม รวมกัน ตลอดจนฝกอบรม
เพิ่มพูนความรูความสามารถใหก ับแมชี เพื่อเปนกลุมกําลังในการชวยปองกันและแกไขปญหาสังคม
เรียกไดว าการขบั เคล่ือนทางศาสนาของกลมุ สตรเี พศในสงั คมไทยน้ี สง ผลใหไดรับความสนใจในเรื่อง
สทิ ธทิ างเพศมากขึน้ ซง่ึ อนาคตเปนไปไดวา ผูหญงิ อาจมีบทบาทและสถานภาพทางศาสนาสูงกวาเดิม
เนือ่ งจากคนชนชั้นกลางท่ีมกี ารศกึ ษาเรมิ่ มองเหน็ ถงึ ประโยชนทพ่ี ุทธศาสนาสามารถนํามาตอบสนอง
ตอ จิตใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตใหกับตนเอง อีกท้ังยังสามารถเขาถึงพุทธศาสนาไดงายขึ้นจากการ
มีอยูขององคกรทางศาสนาในสงั คมสมยั ใหม (อา งแลว : 12)

ถงึ แมผ หู ญงิ ไทยจะมีอสิ ระในการแสดงออกทางความคิดและการทํากิจกรรมทางสังคมมาก
ขน้ึ แตดวยความท่พี ุทธศาสนาในไทยนั้นมพี ื้นฐานความเช่อื ทยี่ ึดถือมานานวา เปน ของสูง ผูหญงิ ไมควร
มีบทบาทหรือพื้นท่ีในพุทธศาสนามากนัก จึงสงผลใหผูหญิงท่ัวไปท่ีไมใชนักวิชาการหรือนักปฏิบัติ
ธรรมยังมีความเขาใจเรื่องศาสนาอยูในขอบเขตท่ีจํากัด ทั้งท่ีพระไตรปฎกเปดโอกาสใหคนศึกษาได
ทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย แตสังคมไทยก็ยังคงปดก้ันพ้ืนที่ของผูหญิงในบางเรื่อง ตลอดจนอธิบาย
ตีความพทุ ธศาสนาใหผูกอยูก ับจารีต ประเพณี ความเช่ือที่เปนนามธรรมจับตองไมได ทําใหคนไทย
หลายคนเกดิ ความลังเลสงสยั ในพทุ ธศาสนา เพราะไมเขา ใจและไมส ามารถนําเอาหลักธรรมทางพุทธ
ศาสนามาปรับใชในการดําเนนิ ชวี ิตประจําวนั ไมรูกระทัง่ วาการปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธศาสนา
น้ันเปนหนทางแหงการจดั การกับความไมม ั่นคงทางจติ ใจ เพอ่ื หลดุ พนจากความทุกขได แมไมไดบวช
เปนพระภกิ ษุสงฆ

45

ผูหญิงไทยโดยท่ัวไปมกั พอใจอยูในพนื้ ท่ที างศาสนาที่ตนเองมีคอื สนบั สนุนพระสงฆ ทาํ นบุ าํ รงุ
พระไตรรัตน อันไดแ ก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ชวยเหลือจัดการดูแลศาสนสถานและศาสนกิจ
ตา งๆ ตลอดจนเขา รว มกิจกรรมทางศาสนาตามจารตี ประเพณีที่ตนเองยึดถือ แตก็มีผูหญิงบางสวนที่
สนใจการปฏิบัติธรรม หรือการทําจิตใจใหสงบดวยวิธีเจริญภาวนาทําสมาธิ เจริญสติ ยึดเอาธรรมะ
คําสอนของพระพุทธองคเปนที่พ่ึงทางใจ เพ่ือละกิเลสปลอยวางจากเหตุแหงทุกขทางโลก จึงอาจ
พิจารณาไดวาการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจ ขึ้นอยูกับความพึงพอใจของปจเจกบุคคล
ย่งิ ในสังคมสมัยใหมทีม่ คี วามเจริญทางดา นวัตถุมากมายเปน ทางเลือก ก็ยิ่งทําใหพบผูหญิงที่มีความรู
ความสนใจในพุทธศาสนาไดเ พียงเฉพาะกลมุ เทานั้นในสังคมปจจบุ นั

พทุ ธศาสนาในฐานะทพ่ี งึ่ ทางใจ

ทศั นะของทานพุทธทาสไดกลาวไววา ชีวิตของมนุษยมีปจจัยท่ีประกอบอยูดวยกัน 2 สวน
คือ สวนท่ีเปนรางกายและสวนท่ีเปนจิตใจ สวนรางกายตองการการตอบสนองดวยปจจัย 4 ไดแก
อาหาร เครื่องนุงหม ท่ีอยูอาศัยใชสอย และเคร่ืองบําบัดโรค สวนจิตใจตองการการตอบสนองดวย
ปจจัยอืน่ ๆ ทต่ี ามมา อยางแรกคอื ส่ิงประเลา ประโลมใจท่ีประกอบไปดวยธรรมะ สองคือความแนใจ
ในสงิ่ ท่ตี นถอื เอาเปน ที่พึ่ง สามคอื ความรสู กึ แหงมิตรภาพทแ่ี วดลอมอยู สี่คือความเปนอยอู ยา งถูกตอ ง
โดยไตรทวาร หา คือความรูท่ีเพียงพอเทาท่ีควรจะรู หกคือความมีผูนําในทางวิญญาณ เจ็ดคือความ
มีสุขภาพอนามัยทางจิตอยางเพียงพอ และแปดคือความมีอาหารใจหลอเลี้ยงอยางเพียงพอปจจัย
เหลานี้เปนสิ่งจําเปนตอมนุษยทางดานจิตใจ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษยมีความตองการที่จะ
หลีกเล่ยี งจากความทกุ ขแ ละปญ หาตางๆ การบํารุงจิตใจใหสงบม่ันคงจึงเสมือนเปนหนทางแหงการ
หลดุ พน (พทุ ธทาสภิกขุ, 2543: 10-12)

ประเทศไทยมีพุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติมายาวนาน และเปนประเทศที่ใช
พุทธศักราชอยา งเปน ทางการมาตั้งแตวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 รวมท้ังเปนสถาบันหลักที่สําคัญ
ของประเทศชาติ จึงทําใหรากฐานของระบบคิด วิถีชีวิต และวัฒนธรรมตางๆ ในสังคมไทยท่ีมีอยู
มักสอดคลองกับความเช่ือทางพุทธศาสนา กลาวไดวาพุทธศาสนาเปนเอกลักษณประจําชาติไทย
ชีวติ ของคนไทยผกู พันองิ อาศัยอยูกับพุทธศาสนามาโดยตลอด กลาวไดวาการยึดถือเอาพุทธศาสนา
เปนศาสนาประจําชาติ มีสวนทําใหพุทธศาสนากับสังคมไทยมีความสัมพันธกันอยางแนบแนน
ประเพณแี ละพธิ ีกรรมตางๆ ในวงจรชวี ิตของแตล ะบคุ คลและวงจรกาลเวลาของสังคม ลวนเก่ียวของ

46

กับพุทธศาสนา หรือหากไมเปนเรื่องของศาสนาโดยตรงก็อาจมีกิจกรรมที่นําคติความเชื่อหรือ
แนวปฏิบัติทางพุทธศาสนาเขามาแทรกอยูดวย จนกลายเปนแบบแผนวัฒนธรรมที่สืบตอกันมา
(เพง่ิ อา ง: 3-44)

ความเชื่อและหลักปฏิบัติในพุทธศาสนาที่ถูกซึมแทรกผสมผสานอยูในระบบคิด ทัศนคติ
คานิยม ลักษณะนิสัยของคนไทย อาจสังเกตไดจากกิจกรรมทางสังคมตางๆ ของคนไทย ซึ่งมัก
เกี่ยวเน่ืองดวยพุทธศาสนา ท้ังในรูปแบบท่ียังคงรักษาสาระด้ังเดิมไว และรูปแบบท่ีตีความใหม
ดดั แปลงเสรมิ แตงจนมีลักษณะท่ีหลากหลายปนเปกับความเช่ือและขอปฏิบัติอื่นๆ (พระธรรมปฎก
(ป.อ.ปยตุ โฺ ต): 16-17)

เหตุการณท้ังหลายในชวงเวลาและวัยตา งๆ ของชีวิตของคนไทย ถูกทําใหมีความสําคัญดวย
กจิ กรรมทางพุทธศาสนา ในวงจรชีวติ ของบุคคลสวนใหญตั้งแตเกิดจนตาย ลวนมีกิจกรรมท่ีสัมพันธ
เกี่ยวของกับคติทางพุทธศาสนา เชน การตั้งช่ือ การบวช การแตงงาน การทําพิธีศพ เปนตน
สวนในวงจรกาลเวลาของสังคมหรือชุมชนก็มีความสัมพันธเช่ือมโยงคติทางพุทธศาสนา ไมวาจะ
ในทางตรงอยางวันสําคัญทางศาสนา เชน วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชาวันเขาพรรษา วันออกพรรษา
งานทอดกฐิน หรืองานประเพณี งานเทศกาลประจําปท่ีจัดใหเขากับคติทางพุทธศาสนา เชน
วันสงกรานต วันลอยกระทง ประเพณีสารท รวมถงึ งานนมสั การปูชนียวตั ถสุ ถานของวดั ตางๆ อันเปน
กจิ กรรมทีส่ รางโอกาสใหคนไทยเหน็ คุนชนิ กบั การให การบรจิ าค และการสลัดเพ่ือคลายความยึดติด
ดวยเหตนุ พ้ี ทุ ธศาสนาในสงั คมไทยจงึ เปรียบเสมือนเครอ่ื งยึดเหนี่ยวจติ ใจท่ีกอ ใหเ กิดความเปน อันหนึง่
อนั เดยี วของคนในสงั คม ซึง่ ไดรับการปลกู ฝงถา ยทอดสืบกนั มายาวนาน จนเปน ท่ียอมรบั เชือ่ ถือปฏบิ ตั ิ
กนั โดยท่วั ไป (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต): 17-18)

อยา งไรกต็ าม สิ่งทั้งหลายยอมมีอนั เปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา การพัฒนาโลกสูความเปน
สังคมสมัยใหมทําใหสังคมไทยตองปรับเปล่ียนบานเมืองใหดูเจริญตามอารยประเทศ โดยเปดรับ
วฒั นธรรมตะวันตกทเี่ ตม็ ไปดว ยความเจริญทางดานวัตถุเขามา จนสังคมไทยกลายเปนสังคมบริโภค
นิยม นับวาวิถีชีวิตและความพึงพอใจของคนไทยเปลี่ยนไปต้ังแตน้ัน เมื่อโลกพัฒนาขับเคล่ือนไปสู
ยคุ โลกาภวิ ัตน ที่สามารถรับรูขอมูลขาวสารทั่วโลกไดอยางรวดเร็วฉับไวไรพรมแดน ประเทศไทยก็
เชนกัน เม่ือโลกแคบลงแตวิสัยทัศนของมนุษยกวางขึ้น คนไทยจึงรูเทาทันเหตุการณและการ
เปลีย่ นแปลงของสงั คมโลก หลายคนเริ่มมองหาเสรีภาพทางความเช่ือของมนุษย ตอ งการอิสรภาพใน

47

การคิดพิจารณาและตัดสินใจส่ิงตางๆ ดวยตนเอง พุทธศาสนาจึงเปนเพียงทางเลือกหนึ่งสําหรับ
คนไทยสมยั ใหมเทา นนั้ (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต): 4-5)

ในอดตี พระสงฆและวดั เปน ผูนําและสถานทีย่ ึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนไทย ตง้ั แตเ ร่อื งคตกิ าร
ดําเนินชวี ติ การศึกษา และการประกอบอาชพี การงานของคนในสังคมใหเ จริญกาวหนาและอยูร ว มกนั
ไดอ ยางปกติสขุ แตเ มือ่ สงั คมเปล่ียนไปตามวัฒนธรรมตะวันตก ระบบการตา งๆ แบบตะวนั ตกจึงไดรับ
การสถาปนาใหเขามาเปนหลักปฏิบัติของบานเมือง กลาวไดวา แนวทางการพัฒนาสังคมเปลี่ยนไป
บทบาทของพระและวดั จงึ หางออกไปจากผูคนมากขึ้น เนือ่ งจากตอบสนองตอ ความตองการทางดาน
จิตใจของคนไทยนอ ยลง หลังจากนนั้ จงึ เร่มิ มีการปรบั ตัวทางศาสนา โดยปรับวิธกี ารและปรับบทบาท
ใหเ ขา กบั สภาพสังคมปจ จบุ นั (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต): 78)

ภาพสะทอ นจากปญ หาสังคมบง บอกวา การพัฒนาประเทศเพียงดานวัตถุอยางเดียวอาจไม
เพยี งพอในสงั คมสมยั ใหม ทกุ วนั นสี้ ังคมไทยมงุ พัฒนาแตวัตถุภายนอก ท้ังระดมทุนระดมแรงไปแลว
มากมาย หากแตก ไ็ มไดท ําใหส ังคมรุงเรืองและเกิดความสันติสุขอยางแทจริงตามวัตถุประสงค แมดู
ผิวเผินอาจดเู หมอื นบา นเมืองไดเ จรญิ เฟอ งฟู เพราะมีเทคโนโลยีสิ่งใหมม ากมาย แตเศรษฐกิจ สังคม
หรือการเมืองในประเทศไทยยังคงมีปญ หาไมส ้นิ สุด เน่ืองจากคานิยมเดิมกับคานิยมสมัยใหมขัดแยง
กนั การปรบั ตัวของคนไทยจึงเปน ไปในลกั ษณะทไี่ มเทาเทียมกนั ตลอดจนความแตกตางของฐานะทาง
สังคม ความเหล่ือมล้ําและระบบอุปถัมภไดกอใหเกิดความเสื่อมโทรม ความไมสะอาด และความ
ไมซอื่ ตรงในกระบวนการพฒั นาสังคม อนั นําไปสูตนเหตุแหงปญหามากมาย เชน คานิยมแบบสังคม
บริโภคท่ีใชจายแบบฟุงเฟอ ปญหาเกี่ยวกับเร่ืองเพศ ปญหาเกี่ยวกับอบายมุขตางๆ เรียกไดวา
สังคมไทยพฒั นาแคใ นดา นรูปธรรม คือจําพวกวัตถุและระบบการจัดระเบียบสังคมบางอยางเทานั้น
แตในดานจิตใจกลับถดถอยลงเรื่อยๆ ผูคนเกิดความทุกขงายข้ึน จากความเครียด ความกระวน
กระวาย ความรอ นรนดวยกิเลส ซ่งึ เมอ่ื หาทางออกแกไ ขอยา งไมถกู ตองกย็ อนกลบั มาเปน พฤตกิ รรมที่
กอปญ หาใหกับสังคมและความเสือ่ มโทรมของสภาพแวดลอม ดงั นนั้ การพัฒนาจิตใจของผูคนจึงเปน
ส่งิ สําคญั ท่สี ังคมควรหันมาใสใจใหมากขน้ึ ทง้ั การพัฒนาดานคณุ ธรรม จริยธรรม ตลอดจนสุขภาพจิต
ทวั่ ไป (พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยุตฺโต): 73-76)

ดว ยความทกี่ ารพฒั นาจิตใจของมนษุ ยเ ปน งานหลกั ของพุทธศาสนา บางคนจงึ หนั มาใหค วาม
สนใจกับการพัฒนาจิตใจมากขน้ึ ไมวาจะเปน การอานหนงั สือธรรมะ การสวดมนต การเขาวัดทําบุญ
ทําทาน การฟง เทศน การรักษาศลี และการเขา รวมกจิ กรรมทางศาสนาตางๆ รวมถึงการปฏิบัติธรรม

48

ก็เปน ทางเลอื กสูก ารถึงธรรมะของคนเหลานน้ั ต้งั แตอ ดตี จนถงึ ปจจุบนั คาํ สอนของพระพุทธองคท เ่ี ปน
นามธรรม ศาสนบุคคล และศาสนสถาน มีสวนรวมสําคัญในการพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด
กระทั่งเมื่อสังคมเปล่ียนแปลงไป บทบาทของพระและวัดก็ไมไดตอบสนองตอความตองการของ
คนสมัยใหมเ ทา ใดนกั เนื่องจากความเจริญดานเทคโนโลยที ําใหผูค นมีโอกาสในการแสวงหาท่ีพ่ึงทาง
ใจทางโลกมากขึ้น แตส าํ หรบั บางคนท่ีไมสามารถจัดการกับความทุกขของตนเองดว ยสรรพสงิ่ เหลา นน้ั
ได แนวทางพุทธศาสนาจึงเปนท่ีพ่ึงทางใจสําคัญในการพัฒนาตัวตนของพวกเขา (พระธรรมปฎก
(ป.อ.ปยตุ ฺโต): 76-77)

หลักธรรมทางพุทธศาสนาช้ีนําใหมนุษยมีสติอยูตลอดเวลา ไมยึดติดตอสิ่งตางๆ สอนให
ยอมรับความจรงิ และความธรรมดาของโลก ปลอยวางและปลงใจไมใ หเศราโศก เสียใจ โกรธเกลียด
หรือผูกใจเจ็บมากเกินไปหรือนานเกินควร แตการจะรักษาภาวะม่ันคงทางจิตใจเชนน้ีไดตองอาศัย
ปญ ญา ซ่ึงอาจฝกตนไดโ ดยการเจริญภาวนาหรือการทําจิตใหเปนสมาธิ เพื่อกําจัดกิเลสหรือมูลเหตุ
ของกเิ ลสออกไป จนกระทั่งเกิดสตปิ ญญา กลา วอีกนัยหน่ึงการเจริญภาวนาคือการชําระลางทิฏฐิใน
จติ ใจจากความคิดความเหน็ ของเราใหส ะอาด ทงั้ ความตองการ ความชอบความไมชอบ ความฟุงซาน
ความหดหู ความพยาบาท ความหงดุ หงดิ ความลังเลที่คอยรบกวนจิตใจของมนุษย หากภาวนาดวย
สมาธิไดก็จะสามารถลางส่ิงน้ีออกไป หรือหากภาวนาดวยวิปสสนาได ก็จะสามารถลางมูลเหตุของ
กิเลสอยางโลภะ โทสะ โมหะ และอวิชชาหรือความไมรู อันกอใหเกิดความตองการท่ีไมมีท่ีส้ินสุด
ในทางพทุ ธศาสนาเช่ือวาถามนุษยชําระสิ่งเหลาน้ีไดก็สามารถบรรลุเขาถึงธรรม ดํารงอยูทามกลาง
ความไมแนนอนของชีวิตอยางมสี ติ เม่ือตองเจอกบั ทกุ ขห รอื ปญ หาก็สามารถจัดการละทิ้งดวยตนเอง
เปน หนทางแหง การหลดุ พนจากทุกขอ ยางถกู ตองแทจ รงิ (เอกชยั จลุ ะจาริตต, 2543)

พทุ ธศาสนาเปน ศาสนาแหงอสิ รภาพ จุดมงุ หมายสงู สดุ ของพุทธศาสนา เรียกอีกอยา งหนึ่งวา
“วมิ ตุ ต”ิ แปลวา ความหลุดพน ความปลอดภัยจากส่ิงผูกรัดบีบค้ันอยางจํากัดขัดของ ไมตองข้ึนอยู
หรอื ยึดติดตอ สงิ่ ใด มีนิพพานเปนธรรมสงู สุด การประพฤติปฏบิ ตั ิตามหลักพทุ ธศาสนาเปนการดําเนิน
ในแนวทางของความเปนอิสระและเพ่ือความเปนอิสระทุกขั้นตอน ความศรัทธาจะตองมีปญญา
ควบคุมและความศรัทธาจะตองนําไปสูปญญา เพราะปญญาทําใหพ่ึงตนเองได พระพุทธองคหรือ
พระสาวกเปนเพียงผูชี้ทางสูการบรรลธุ รรม ผูป ฏิบตั ิจะตอ งเหน็ แจง สจั ธรรม รูความจรงิ ไดด วยตนเอง
(พระธรรมปฎ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต): 62)

49

เม่ือผูหญิงในสังคมไทยพิจารณาเห็นวาคําสอนและขอปฏิบัติทางพุทธศาสนาเหลานี้เปน
ประโยชนตอการใชนําทางชีวิตของตน ตลอดจนเปนความจริงแทท่ีตรองเห็นดวยสติปญญาแลววา
มคี ณุ คา ไมนําพาไปสคู วามหลงผิด จึงไมแปลกท่พี ทุ ธศาสนาจะกลายเปน หนงึ่ ในทางเลอื กอนั เปนท่ีพ่ึง
ทางใจของผูหญงิ บางคนในสังคมสมัยใหม เพราะหากศกึ ษาเรียนรทู าํ ความเขาใจพุทธศาสนาใหช ดั แจง
กส็ ามารถนาํ ธรรมะมาใชแ กป ญหาในระดบั ปจ เจกบคุ คลได อกี ท้ังการปฏิบัติธรรมก็มิไดปดกั้นผูหญิง
ในการบรรลุเขาถึงธรรม จึงถือไดวาพุทธศาสนาคอนขางตอบสนองตอความตองการทางดานจิตใจ
ซง่ึ อาจแตกตา งกนั ไปตามประสบการณก ารรับรูและทัศนคติการมองโลกของแตล ะบุคคล

ความเช่อื เรอ่ื งการปฏบิ ัตธิ รรม

หลักความเช่ือทางพุทธศาสนาพิจารณาวาการเกิดของมนุษยคือจุดเร่ิมตนแหงความทุกข
เม่ือคนเราเจริญเติบโตขึ้น โดยสัญชาตญาณจะพยายามแสวงหาความสุขความสบาย อันเปนกิเลส
ตณั หาที่ไมสน้ิ สดุ ยากจะหาความพอดีในความตองการของมนุษยได เมื่อสงั คมเริม่ เสื่อมลงแตคนกลับ
ดิ้นรนที่จะมคี ุณภาพชีวิตทดี่ ี ยอมลําบากหรือใชชีวิตอยูในความเสี่ยงตอการเกิดทุกข เพ่ือแลกมาซ่ึง
ความสขุ ทางกายและความสุขทางใจชั่วคราว แนนอนวาสิ่งเหลาน้ันก็ไมไดทําใหมนุษยหลุดพนจาก
วงจรของการเกดิ ทุกขได (เฉก ธนะสิริ, 2541: 7)

พุทธศาสนาสอนใหมนุษยเขาใจในเร่ืองของทุกขดวยหลักธรรมที่เรียกวา อริยสัจ 4 ไดแก
ทกุ ข หมายถงึ ความทกุ ข ความรูส กึ ไมส บายที่กายและใจ ซึ่งมสี าเหตุมาจากการใชขอมลู ดา นกิเลสทม่ี ี
อยใู นความจํามาประกอบการคดิ และพิจารณาเรื่องตางๆ ในชีวิตประจําวัน สมุทัย หมายถึง สาเหตุ
ของความทกุ ขท ่ีเกดิ จากการปรุงแตงความคิดดวยกิเลส ทั้งแบบเจตนาและแบบเผลอสติ ทําใหเกิด
การกระทาํ ทางกาย วาจา และใจที่เปนไปในทางลบ นิโรธ หมายถึง ความดับทุกข หรือภาวะท่ีไมมี
ความทกุ ขทางจติ ใจ ในทางพทุ ธศาสนาชแี้ นะวาทําไดโดยการศึกษาธรรมะ ฝกปฏิบัติธรรม เพ่ือใหมี
สติรตู วั และสามารถควบคมุ ความคิดของตนเองไมใ หม ีกเิ ลสเขา มากอกวน มรรค หมายถึง ทางหรือวิธี
ปฏบิ ตั ใิ นการดับทุกข ซงึ่ มอี งคประกอบ 8 ประการ ไดแก ความเห็นในทางท่ีดี ความต้ังใจในทางท่ีดี
การเจรจาในทางทดี่ ี การปฏบิ ัตใิ นทางทีด่ ี การประกอบอาชพี ในทางที่ดี ความเพยี รพยายามในทางทด่ี ี
การมีสตริ ูตวั ในทางท่ดี ี การมสี มาธติ ั้งใจแนว แนใ นทางทีด่ ี โดย “ด”ี ในท่ีนี้คือความถูกตอง ไมทําราย
เบียดเบยี นใคร ดํารงชวี ิตอยใู นทางสายกลาง เพอ่ื นําไปสคู วามสขุ ทัง้ กายและใจ (เอกชัย, 2543: 8-67)

50

สิ่งเหลาน้ีคือความจริงอันประเสริฐของชีวิตท่ีพระพุทธองคคนพบแลววา เมื่อเกิดมาเปน
มนุษยไ มม ผี ใู ดสามารถหลีกเล่ยี งได นอกเสียจากการรทู ันและดับความทุกขน้ันดวยตนเอง หากไมใช
เรือ่ งงายสาํ หรบั บคุ คลท่วั ไป เนือ่ งจากมนษุ ยม คี วามตองการไมสิ้นสุด สามารถถูกชักจูงดวยกิเลสอัน
เปน ความสุขความสบายใจช่ัวขณะโดยงาย ทาํ ใหไ มอาจจัดการกบั อารมณค วามคดิ ของตนเองไดอยาง
ม่ันคง เมื่อตองเผชิญกับเร่ืองราวที่เขามากระทบ จนนําไปสูการตอบสนองตอส่ิงเราดวยพฤติกรรม
ตา งๆ ซงึ่ ไมไ ดแกปญหานัน้ อยา งแทจรงิ แตกลับเบียดเบยี น เพ่ิมความทุกขใหกับตนเองและผูอ่ืนมาก
ข้ึน ดวยเหตุน้ี “การปฏิบัติธรรม” จึงเปนหนทางที่ดีในการพัฒนาจิตใจของมนุษยท่ีเผชิญอยูกับ
ความทกุ ขในชีวติ ประจําวัน เพอ่ื ใหสามารถรทู ันและดบั กิเลสของตนเองไดอ ยา งมีประสิทธผิ ล

การปฏิบัติธรรม แบงออกเปน 2 รูปแบบ คือ การเจริญสมาธิ เรียกอีกอยางหนึ่งวา
“สมถกรรมฐาน” และการเจริญสติปญ ญาทางธรรม เรียกอีกอยางวา “วิปสสนากรรมฐาน” โดยทั้ง
สองรูปแบบนี้ตองอาศัยสติเปนเครื่องระลึกรูอารมณขณะทํากรรมฐาน และอาศัยปญญาคือ
สัมปชัญญะเปนเครื่องกํากับการปฏิบัติไวเสมอ เพ่ือประสิทธิภาพในการปฏิบัติ บางคนอาจปฏิบัติ
เพียงรปู แบบใดรูปแบบหน่งึ บางคนปฏบิ ตั ิท้งั สองแบบรว มกนั ทั้งน้ขี น้ึ อยกู ับผูปฏิบัติวาจะถูกจริตกับ
หลกั วิธีแบบใดในการนําไปปรับใชกับชีวิตประจําวัน (พระปราโมทย ปาโมชโฺ ช, 2550: 9)

การเจรญิ สมาธิ (สมถกรรมฐาน)
ความหมายของคําวา “สมาธิ” คือ ความตั้งม่ันแหงจิต ภาษาอังกฤษใชคําวา meditation
หรือ intensive thinking หรือ condensed thought สวนความหมายของ “สมถกรรมฐาน” คือ
การกระทําหรืออุบาย เพ่ือใหเกิดความสงบทางใจ อาจเรียกวาเปนการเพงจิตใหหยุดอยูกับที่
ตามปกตธิ รรมชาติของมนุษยทุกคนมีสมาธิอยูในตัว แมไมเกี่ยวของกับศาสนา หากแตเปนสมาธิใน
หวงเวลาสั้นๆ ข้ึนอยูกับการฝกฝนของบุคคล ดังน้ันหากคนเราไดรับการฝกฝนและทําซ้ําบอยๆ
รา งกายและจติ ใจกจ็ ะเกดิ ความเคยชนิ กบั ภาวะทเี่ ปนสมาธิโดยอตั โนมัติ (เฉก, 2541: 27)

การเจริญสมาธิหรือสมถกรรมฐานเปนวิธีอบรมใจใหเกิดความสงบ โดยฝกตนเองใหมีสติ
ตั้งม่ันอยกู ับกิจเล็กๆ เพียงกิจเดียว เพ่ือหยุดความคิด พักผอนการทํางานของสมองและรางกายใน
ขณะที่ไมไดนอนหลับ หลักการสําคัญของการเจริญสมาธิ คือ เพงจิตใหระลึกรูในการเขาออกของ
ลมหายใจ ไมสงจิตออกนอกไปคิดหรือฟุงซานเรื่องใด การเจริญสมาธิอาจมีวิธีฝกหลากหลาย เชน
การใชวิธรี บั รคู วามรสู กึ ท่เี กิดจาการเคล่อื นไหวของอวัยวะ การนับเลขขณะหายใจเขาออก หรือการ

51

บริกรรมกาํ หนดจิตเปน คําพูด เพอ่ื ลดระยะเวลาของการเผลอสติไปคิดฟุงซาน (เอกชัย จุละจาริตต,
2543: 68-88)

ในชีวติ ประจาํ วันของมนุษย เราไมสามารถบงั คบั ตัวเองใหป ด การรบั รูจากสัมผัสท่ีเขามาทาง
ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจได การฝกเจริญสมาธิจะชวยหยุดความคิดในช่ัวขณะหน่ึง เพื่อใหรูเห็นความ
จริงและควบคุมความคิดของตนเองใหห ลดุ ออกจากความฟุง ซา น เปน พลงั ทกี่ อ ใหเ กิดความสงบน่ิงใน
ความนกึ คิดและการกระทําส่ิงตา งๆ กระท่ังการดับความทุกขข างในจิตใจ แตการเจริญสมาธิในแตละ
คร้ังไมควรปฏิบัติในระยะเวลานานเกินไป เนื่องจากจะทําใหผูปฏิบัติติดอยูสภาวะปดการรับรูจาก
ส่ิงตา งๆ ภายนอกจนไมไ ดประคองสติใหอยูก บั ปจ จบุ นั ดงั นนั้ การฝก เจรญิ สมาธไิ มไ ดมีสาระสําคัญวา
สามารถทําไดนานเพียงใด หากสําคัญที่ความตอเนื่องของสมาธิและการมีสติตั้งมั่นใหมากที่สุดใน
การปฏบิ ัตแิ ตละครัง้ จงึ จะถอื วาเปน การปฏิบัตทิ ถี่ ูกตอง (เพง่ิ อา ง: 68-88)

การเจริญสติ (วปิ สสนากรรมฐาน)

ความหมายของคาํ วา “สต”ิ คือ ความรูสกึ ตัว ความรูสกึ ผดิ ชอบ ความระลึกได สตมิ ักเกดิ ขึ้น
พรอ มกบั สมั ปชัญญะ ซ่ึงหมายถงึ ความรตู ัวอยูเสมอ เมื่อบุคคลกระทาํ ส่ิงใดสงิ่ หน่งึ ดวยความตง้ั ใจ รบั รู
รายละเอียดในเร่อื งทกี่ ระทํา กจ็ ะสามารถควบคมุ ความคดิ และการกระทําของตนเองใหอยูในสภาวะ
มั่นคงทางจติ ใจได โดยแนวคิดเรื่องการเจริญสติ (mindfulness) ในที่นี้หมายถึง สติปญญาทางธรรม
หรือท่ีเรียกวา “วิปสสนากรรมฐาน” ภาษาอังกฤษใชคําวา insight development หรือ insight
thought อันเปนการกระทําหรืออุบายในการพิจารณาใหเห็นความจริงดวยปญญาวา ทุกสิ่งมีเกิด
เสือ่ ม ดับ หมุนเวยี นไปตามกาลเวลา ดังนัน้ การเกิดขึ้นของทุกส่ิงคือความทุกข ไมมีอะไรท่ีเปนตัวเรา
ของเรา ไมควรหลงลมื ตวั หรือยึดติด เพราะความไมแนน อนคอื ธรรมดาโลก เมอื่ ระลกึ ไดดงั นกี้ จ็ ะทําให
มนุษยเ ขาใจความเปน จรงิ ของชวี ิต (เฉก, 2541: 31-32)

การเจรญิ สตปิ ญญาทางธรรมหรือวปิ ส สนากรรมฐานเปน การฝกตนเองใหรูตัวอยูกับปจจุบัน
ขณะ มีมรรค 8 เปนองคประกอบสําคัญในวิธีการปฏิบัติ เพื่อชําระลางกิเลสและกองทุกข
ในชีวติ ประจําวัน แมไ มไ ดห ลับตาทาํ สมาธิอยู หลกั การสาํ คญั ของการเจรญิ สตปิ ญ ญา คือ การกําหนด
รตู นเองตลอดเวลา มขี ้นั ตอนในการปฏบิ ตั ิดงั น้ี

52

1) ฝก ตั้งสติใหคงอยูกบั ท่อี ยางตอ เน่ือง เพ่อื ปอ งกนั ความคดิ ฟุงซาน
2) ฝก แบง ความตัง้ ใจในการประคองสตไิ ปใชระลกึ รคู วามคดิ และการกระทําของตนเอง
ในขณะน้นั วา มกี เิ ลสเขามาเจอื ปนหรือไม
3) ฝกแบง ความตงั้ ใจในการประคองสตไิ ปใชในการควบคุมความคดิ และการกระทาํ ไมใ หม ี
กเิ ลสเจอื ปน
4) ฝกแบง ความต้ังใจในการประคองสติ ไปใชใ นการพจิ ารณาธรรม เรมิ่ จากการทาํ ความ
เขา ใจหลักธรรม พจิ ารณาทบทวนตนเอง และแกป ญ หาโดยใชส ตปิ ญญาทางธรรม
5) ฝก ใชส ตปิ ญญาทางโลกและสตปิ ญ ญาทางธรรม ควบคกู ันไปในชีวติ ประจาํ วัน

หากบุคคลใดสามารถฝกเจริญสติปญญาทางธรรมไดครบ 5 องคประกอบดังท่ีกลาวมา
กจ็ ะชว ยเพ่ิมพูนขอมูลดา นสติปญญาทางธรรมในความจํา ชวยใหรูทันความคิดและควบคุมความคิด
ของตนเอง ดบั อวชิ ชาหรือความหลงของตน เพ่อื ไมใหจมอยูกับกิเลสอันเปนเหตุใหเกิดความทุกขใน
ชีวิตประจําวันได อยางไรก็ตามการฝกที่หมกมุนเกินไปก็ไมดี เพราะจะทําใหรางกายและสมองลา
จนขาดสตใิ นการรูทนั และควบคุมความคิดดังเชนปกติ ดังนั้นการปฏิบัติตามทางสายกลาง ไมเรงรัด
ตนเองมากไป จึงเปน วิธที ี่ดที ีส่ ุดในการฝก เจริญสติ (เอกชยั , 2543: 89)

ชวงแรกของการทําวิปสสนากรรมฐาน ควรเริ่มจากการฝกใหมีสติรูทันความคิดไปกอน
เพราะหากไมร ทู นั ความคดิ ก็จะไมส ามารถกาํ กับควบคุมตนเองไดเลย อาจใชวธิ ที ําบรกิ รรมกาํ หนดจิต
เปน คํา เพอื่ ลดระยะของการคิดฟงุ ซา น ครน้ั เมอื่ ฝกไปจนเกิดความคุนชิน สมองจะเริ่มทําหนาท่ีรูทัน
ความคิดไดเองโดยอัตโนมัติ ท้ังนี้ตองอาศัยความตั้งใจและความม่ันคงในการปฏิบัติ เน่ืองจากการ
ทาํ จิตใหรูตัวอยูตลอดเวลาเปนเรื่องยาก ดังนั้นการฝกอยางตอเน่ืองจะทําใหประสิทธิภาพของการ
ปฏิบัติไดผลดี เปนประโยชนตอผูปฏิบัติในการใชพิจารณาจิตใจของตนเอง ใหอยูกับปจจุบัน
เพื่อแกปญ หาความทุกขตา งๆ (เพงิ่ อาง: 28)

การทาํ วิปสสนากรรมฐานอาจมแี นวทางการฝก ท่หี ลากหลายตามสายของนกั ปฏบิ ัติ แตป จ จยั
สาํ คญั ทผี่ ูปฏิบัตสิ ายวิปส สนากรรมฐานตองมี คือ ศรัทธา หรือความเช่ือมั่นวาส่ิงน้ีดีจริง สมควรแก
การกระทํา วิริยะ หรือความเพียรพยายาม ต้ังใจอยางไมลดละทอถอย สติ หรือการระลึกรูตัว
ตลอดเวลา ไมเผลอตนอยูในความประมาท สมาธิ หรือความตงั้ ม่ันแหง จิต ปญญา หรือความรทู างใจ
ท่ีจะชวยตอสูกับกิเลสในตัวเราใหลดนอยและหมดลงไปในที่สุด เม่ือผูปฏิบัติมีคุณสมบัติครบท้ัง

53

5 ประการนีก้ ็จะรเู ทาทันความจรงิ ของกายและใจตนเองไดอ ยางละเอยี ดลกึ ซง้ึ รวมถึงสามารถควบคมุ
ตนเองใหดําเนินไปในทางทีถ่ ูกทีค่ วร ไมติดกับดกั แหง ความทุกขที่ตอ งเผชิญทกุ ชัว่ ขณะของชีวิต (เฉก,
2541: 105)

กลาวโดยสรุปคือการปฏิบัติธรรมท้ังสองรูปแบบนี้ เปนแนวทางการพัฒนาจิตใจในเชิง
สตปิ ญ ญา เพ่อื ใหเกิดความรูแ จงเห็นจรงิ ในธรรมดาของชวี ติ และสามารถนําความรูน้ันมาใชเปนท่ีพึ่ง
ทางใจ สรางประโยชนสุขใหกับตนเองหรือผูอ่ืน โดยยึดหลักสําคัญคือการยอมรับความจริง รูและ
เขาใจโลก ไมบดิ เบอื นหรอื มีอคติในการคดิ วนิ ิจฉยั มองเหน็ สง่ิ ทั้งหลายตามเหตปุ จ จัย รจู กั แกไขปญ หา
และทําการใหส าํ เรจ็ ตามแนวทางของเหตุปจ จัย รูเทาทันส่ิงทีจ่ ิตใจของมนุษยปรุงแตงขึ้น ควบคุมสติ
ใหมน่ั คง จนสภาวะจติ หลุดพนความทกุ ขไ ดในทสี่ ุด

บทบาทของสถานทีป่ ฏิบัติธรรมในสงั คมสมัยใหม

ในอดีตสังคมไทยเคยมีศาสนสถานอยางวัดเปนศูนยกลางแหงชุมชน ทั้งในดานการศึกษา
ภาษา ศิลปวัฒนธรรม และสังคมสงเคราะห เรียกไดวาวัดคือแหลงพ่ึงพิงทางใจที่สําคัญ ทุกชุมชน
จะตองมวี ัดประจาํ ของแตล ะชุมชนเปน พ้ืนที่รวมจิตใจและเปนพ้นื ที่ในการทํากจิ กรรมตา งๆ ดวยเหตนุ ี้
คนไทยสวนใหญท ี่นับถือพุทธศาสนาจึงผูกพนั อยูก บั การเขาวดั

หากแตเ ม่ือความเปน สมัยใหมเริ่มเขามามบี ทบาทในสงั คมไทย ความเจริญกาวหนาทางวัตถุ
และวทิ ยาการความรไู ดมผี ลตอการเปลีย่ นแปลงคา นยิ มและวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมใหคอยๆ ลดทอน
ความสําคัญของวัดลงไป จนกระทั่งหลงเหลือแตเพียงบทบาทหนาที่ในการประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนา วัดไมไดเ ปนศนู ยรวมทางจิตใจของผูคนสวนใหญอีกตอไป โดยเฉพาะในสังคมเมือง หลายวัด
เลือกปรับตัวตามกระแสสงั คมดว ยการทาํ ไสยพาณิชย ผนั ตัวไปเปนสวนหน่ึงของระบบตลาดที่มีวัตถุ
มงคลเปน สนิ คาหรือการบรกิ ารในดานไสยศาสตร โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือตอบสนองตอความตองการ
ทางดานจิตใจของคนไทยท่ีอยูภายใตระบบทุนนิยมหรือลัทธิบริโภคนิยม ในขณะท่ีหลายวัดก็เลือก
รว มมือกบั รัฐ เพอ่ื ตอบสนองนโยบายความม่นั คงแหง ชาติ (ดุษฎ,ี 2547)

กลา วไดว า การเปลย่ี นแปลงในสังคมสมัยใหม กอใหเ กิดการปรับตัวทางพุทธศาสนามากมาย
หากแตก็มีพทุ ธศาสนิกชนบางกลุมท่ีพยายามรักษาคุณคาในฐานะที่พึ่งทางใจเอาไว โดยปฏิรูปพุทธ
ศาสนา สรา งศาสนสถานรปู แบบใหมๆ ข้ึนมา เปนแหลงพ่ึงพิงทางใจทใี่ ชต อบสนองความตองการของ
ผูคนในสังคมปจจุบัน ยกตัวอยางเชน สวนโมกข สันติอโศก วัดพระธรรมกาย เสถียรธรรมสถาน

54

เปน ตน ซ่งึ แสดงใหเห็นถึงการตีความพุทธศาสนาแบบใหม โดยใชหลกั ธรรมคําสอนของพระพุทธองค
มาเปน แนวทาง (เพง่ิ อา ง: 45-49)

สถานท่ีปฏิบตั ธิ รรม เปน สถานทห่ี น่ึงทีค่ นไทยในสงั คมสมยั ใหมเ ลอื กใชเปน แหลงพ่งึ พงิ ทางใจ
ยามประสบกับความทุกขที่ไมอาจหาทางออกได บางก็ใชเปนสถานที่หลบภัยจากปญหาทางโลกที่
กําลงั เผชิญอยู เพ่อื พกั ฟน ฟูจติ ใจ พาตนเองไปอยูในพน้ื ที่แหง ความสงบ ฝกพัฒนาจิตใจตนเองโดยการ
ภาวนา เจริญสมาธิ เจรญิ สติ ทั้งในอริ ิยาบถน่งั และอิรยิ าบถเดิน ซึ่งแตละที่อาจมีแนวทางปฏิบัติและ
วธิ กี ารสอนทแี่ ตกตางกันไป หากลว นต้งั อยูบนฐานของจุดมุงหมายเดียวกัน คือเผยแผหลักธรรมทาง
พุทธศาสนาใหบ คุ คลท่ัวไปสามารถเรียนรแู ละเขา ใจธรรมะไดโดยงาย

บทบาทหนา ทีห่ ลักของสถานที่ปฏิบัติธรรม คือช้ีแนะแนวทางใหคนหลุดพนจากความทุกข
ดวยวิธฝี กภาวนา ซ่ึงหมายถงึ การอบรม ฝก เจรญิ สมาธิ ฝกเจริญสตปิ ญ ญาทางธรรม เพ่ือพัฒนาตัวตน
ของแตล ะบคุ คลอยางครอบคลุมทง้ั 4 ดาน ดังน้ี

1) กายภาวนา คือ การพัฒนากายในทางที่เปนคุณประโยชน เริ่มต้ังแตปจจัยสี่เปนตนไป
ในความหมายท่ีสัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางกายภาพ ไมเปนไปในทางลุมหลง หมกมุนอยูกับความ
เพลิดเพลิน ความสนกุ สนาน จนนาํ ไปสูความเดอื ดรอ นของตนเองและผูอ่ืน

2) ศีลภาวนา คือ การพัฒนาศีลโดยไมกอการเบียดเบียนหรือทําความเดือดรอนแกผูอื่น
ประพฤติแตส งิ่ ท่ีเปนประโยชนตอผูอ่ืนเก้ือกูลตอสังคม มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ ประกอบ
สัมมาชีพดวยความขยันหมั่นเพียร ฝกฝนอบรมกายวาจาของตนใหปราณีต ปราศจากโทษและ
เปน เคร่อื งสนับสนุนการฝกอบรมจติ ใจใหดยี ง่ิ ขนึ้ ไป

3) จิตภาวนา คือ การพัฒนาจติ ใหม ีคณุ สมบัติดีงาม แบง ออกเปน 3 ดาน ไดแก

คุณภาพจิต เปนการพัฒนาจิตใหมีคุณธรรม เพ่ือเสริมสรางจิตใจใหสูง มีเมตตา กรุณา
มีความเปนกัลยาณมิตรท่ีดี

สมรรถภาพจติ เปน การพัฒนาจิต เพ่ือใหมคี วามพรอมตอ การใชง าน เชน มีสติ มีความเพียร
พยายาม มีความอดทน มีสมาธิ มจี ติ ใจต้ังมนั่ แนว แน มีความมนั่ คง มีสัจจะ โดยเฉพาะงานทางปญ ญา
ทีต่ องคดิ พจิ ารณาใหเหน็ ความจริงแจม แจง ชัดเจน

สุขภาพจิต เปนการพัฒนาจิตใหมีสุขภาพดี มีความสุข สงบ ปลอดโปรง โลง ไมเครียด
ไมก งั วลใจไมกระวนกระวาย ไมขุนมวั ไมเศราหมอง หรือหดหู

55

4) ปญ ญาภาวนา คอื การพฒั นาจิตใหมปี ญญาเพอ่ื ใหเกดิ ความรแู จง เห็นจริง สามารถยอมรบั
ความจริง เขาใจโลก เขาใจชีวิต ไมบิดเบือนหรือมีอคติในการคิดวินิจฉัยเร่ืองตางๆ มองเห็นส่ิง
ท้ังหลายตามเหตุปจจัย รูเทาทันธรรมดาของสังขารหรือส่ิงท่ีจิตของมนุษยปรุงแตงขึ้น สามารถนํา
ความรนู น้ั มาใชแ กปญหา สรางประโยชนส ุขแกต นเองและผอู นื่ ตลอดจนมสี ตอิ ยูตลอดเวลาจนกระทง่ั
จติ ใจเปนอสิ ระ หลุดพนจากกิเลสและความทกุ ขโ ดยสิ้นเชงิ (พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต): 79-81)

อยางไรกต็ าม บทบาทของสถานท่ีปฏิบัติธรรมดังท่ีกลาวมาขางตน เปนเพียงภาพกวางของ
สถานที่ปฏิบัติธรรมในสังคมสมัยใหมทั้งหมดที่คนไทยเลือกใชเปนแหลงพึ่งพิงทางใจ โดยในแตละท่ี
ก็จะมแี นวทางปฏบิ ัติและวิธีการสอนท่ีแตกตางกันอีก ข้ึนอยูกับความตองการของผูท่ีบริหารจัดการ
องคก รทางศาสนานนั้ วาจะเผยแผหลักธรรมทางพุทธศาสนาใหบุคคลทั่วไปเรียนรูและเขาใจธรรมะ
ดวยวิธีใด ซ่ึงในบทตอไปจะเปนการอธิบายถึงการปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารอยา งละเอียด ต้ังแตประวัติความเปนมาของสํานักปฏิบัติธรรม ผูนําที่มี
บทบาทสาํ คญั ในการฝกปฏิบัติธรรม ตลอดจนถึงแนวทางการปฏบิ ตั ิทส่ี าํ นกั แหงนใี้ ชอ บรมแกผ ทู ่สี นใจ

บทที่ 4
สํานักวปิ ส สนากมั มฏั ฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวหิ าร

ในบทนี้จะกลาวถึงขอมูลพื้นฐานเก่ียวกับสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศาราม
วรวิหาร ซ่งึ ประกอบไปดว ย ท่ีตง้ั ของสํานักวปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ประวัติ
ความเปนมาของวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร การกอต้ังสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน การแบงพ้ืนที่
ภายในสาํ นักวปิ สสนากัมมัฏฐาน ผนู าํ ของสาํ นักวิปส สนากมั มฏั ฐาน กิจกรรมและแนวทางการปฏิบัติ
ของสํานักวิปสสนากัมมัฏฐานอันสะทอนใหเห็นถึงบริบททางสังคมในการมีอยูของสํานัก รวมถึง
ความสมั พนั ธข องกลุมคนท่ีเขามาบวชและฝกวิปสสนากรรมฐาน ทั้งน้ีผูศึกษาเรียนรูโดยการสังเกต
คนควา พจิ ารณา และสัมภาษณเรื่องราวจากกลุมคนเหลาน้ีเพ่ือใชเปนขอมูลเบ้ืองตนในการอธิบาย
และทําความเขา ใจผูห ญงิ ไทยในสังคมสมัยใหมที่สนใจพุทธศาสนาและเลือกหยิบนํามาเปนแนวทาง
ในการดาํ เนินชวี ิต ตลอดจนเปนท่พี ึง่ ทางใจใหก ับตนเอง

ทตี่ ้ังสํานกั วปิ สสนากมั มัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวหิ าร
สาํ นกั วิปสสนากมั มฏั ฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวหิ าร เปนสํานักปฏิบัติธรรมในพระอาราม
หลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ต้ังอยูเลขที่ 579 ถนนวานิช 1 แขวงสัมพันธวงศเขตสัมพันธวงศ
กรุงเทพมหานคร มีเนอ้ื ทปี่ ระมาณ 60 ตารางวา โดยแบงพนื้ ทภ่ี ายในสาํ นกั ออกเปน 2 สวน สวนแรก
คือศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณเปนศาลาที่ใชเปนสถานท่ีฝกวิปสสนากรรมฐานของกลุมนักปฏิบัติ
ธรรมและเปนสถานทีส่ าํ หรบั การสวดมนตทําวัตรของแมชี อีกสวนหน่ึงคืออาคารสามัคคีบุญซึ่งเปน
อาคาร 3 ช้ัน สรา งข้นึ สาํ หรับเปนท่ีพกั ของแมชีและรองรับอุบาสิกาผูมาพักอาศัยอยูที่วัดเพื่อปฏิบัติ
ธรรมการใชสอยพน้ื ที่ในสํานกั วปิ ส สนาแหงนีเ้ ปน ไปอยางเอ้อื เฟอ เกอ้ื กูลกัน

56

57

ภาพท่ี 4.1 แผนภาพวดั สัมพนั ธวงศารามวรวิหาร ณ ปจจบุ นั
ภาพโดยอธชิ ญา สุขธรรมรตั น เม่ือ 2 กุมภาพนั ธ 2561

58

ความเปน มาของวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร

วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เดิมเปนวัดโบราณสายเถรวาทท่ีมีมาตั้งแตสมัยอยุธยา
ไมปรากฏชือ่ ผสู ราง จากหลกั ฐานทางประวัติศาสตรพบวา ต้ังอยูร ิมถนนทรงวาด เหนือวัดปทุมคงคา
อาํ เภอสัมพนั ธวงศ จังหวัดพระนคร มีพ้นื ท่ปี ระมาณ 31 ไร โดยหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟาจุฬาโลกไดสถาปนากรุงรัตนโกสินทรเปนราชธานีทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหพระบรม
วงศานุวงศทําการบูรณปฏิสังขรณวัดตางๆ ซ่ึงสมเด็จพระสัมพันธวงศเธอกรมหลวงพิทักษมนตรี
(เจาฟาจุย)พระโอรสองคที่ 5ในสมเด็จพระพี่นางเธอเจาฟากรมพระศรีสุดารักษเปนผูรับผิดชอบ
วดั เกา แหงน้ี พระองคท รงบรู ณะวดั ขึน้ เปนพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร รวมถึงพระราชทาน
นามใหมว า “วัดเกาะแกวลังการาม” ดวยลักษณะพื้นที่ใกลเคียงของวัดที่มีคูคลองลอมรอบเชื่อมตอ
กบั แมนา้ํ เจา พระยาฝง ตะวนั ออก กลายเปน ท่มี าของการเรียกช่ือวัดโดยยอวา “วัดเกาะ” คร้ันเม่ือถึง
สมัยรชั กาลที่ 3พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา เจา อยูหวั ทรงมพี ระราชศรัทธาใหบ รู ณะปฏสิ งั ขรณอ ีกครงั้
เนื่องดว ยเหน็ ความสาํ คัญของวดั เกาะแกวลังการาม จึงออกพระราชกระแสใหซอมแซมวัดและสราง
กุฏแิ ดพระสงฆ อีกท้ังยงั พระราชทานนามใหมเพอ่ื เฉลมิ พระเกียรติของเจาฟากรมหลวงพิทักษมนตรี
วา “วัดสัมพันธวงศาวาส”ตอมาในสมัยรัชกาลท่ี 4พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา ฯ ใหเปล่ียนแปลงวัดเปน สังกัดธรรมยุติกนิกายและใชช่ือ “วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร” เรอื่ ยมาจนถึงทุกวนั นี้ หากแตค นสวนใหญม กั นยิ มเรียก “วัดสมั พันธวงศ”แมจะยังไมมี
การยอมรับจากทางวดั อยางเปน ทางการก็ตาม (จาํ นงคธ มมฺ จาร,ี 2560: ออนไลน)

พนื้ ที่เดิมบริเวณวัดสมั พันธวงศารามวรวหิ ารซง่ึ อดีตเคยเปนคลอง ปจจุบันไดถูกถมเพื่อปลูก
สรางตกึ แถวบา นเรอื นและตัดถนนทรงสวัสดิ์ผานกลางวัด พ้ืนท่ีของวัดจึงลดลงเหลือเนื้อที่ประมาณ
21 ไร 1 งาน 67 ตารางวาดานทศิ ตะวนั ตกของถนนทรงสวัสดิ์ แบงเปนท่ีดินสวนของวัดในเขตรักษา
อรณุ แหง การจาํ พรรษา1ท่ีธรณีสงฆ อนั เปนพน้ื ที่สําหรับจัดผลประโยชนแกวดั โดยตรง และท่ีดนิ ท่ีเปน
หองแถว คลองคู รวมท้ังหมด 11 ไร 2 งาน 89 ตารางวา สวนท่ีดินดานทิศตะวันออกของถนน
ทรงสวัสดิ์มีเนื้อท่ีประมาณ 9 ไร 3 งาน 42 ตารางวาและที่ดินบริเวณนอกคูดานทิศเหนืออีก 1 ไร
72 ตารางวา

1เขตรกั ษาอรุณแหงการจาํ พรรษาหมายถงึ อาณาเขตพืน้ ท่ีในสว นของวัดท่พี ระสงฆจ ะตอ งพกั
อยกู อนอรุณขนึ้ เพ่ือรักษาพรรษาเชน อุโบสถ กุฏิ ศาลาการเปรียญ เปนตน (กลุมสมาชิกลานธรรม
ถาวร, 2553: ออนไลน)

59

ภาพท่ี 4.2 ดานหนาวดั สมั พนั ธวงศารามวรวหิ าร
(ที่มา: https://www.thairath.co.th/content/472476)

วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารเปนวัดที่สงเสริมทางดานการศึกษาและดานการปฏิบัติธรรม
มกั มีภกิ ษุสงฆ สามเณร และแมชีจากสถานที่ตางๆ มาพักจําพรรษาที่วัดแหงนี้อยูเสมอสังเกตไดวา
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร มีผูคนไหลเวียนเขามาไมขาดสาย อีกท้ังพ้ืนที่รอบวัดก็ตั้งอยูใกลถนน
ยานการคา อยา งเยาวราชสภาพแวดลอมโดยรอบจึงเปน สังคมทม่ี ีประชากรหนาแนน เต็มไปดวยพ้ืนท่ี
ทางเศรษฐกิจการคาและท่ีพักอาศัยเปนผลใหทางวัดพยายามปรับตัวสรางสิ่งอํานวยสะดวกขึ้นมา
รองรบั เพื่อความเหมาะสมกบั สังคมยคุ ปจจบุ นั ดวยการจดั วางผังสิ่งปลูกสรางภายในวัดใหม จากแต
เดิมที่หนาวัดหันไปทางฝงแมน้ํา ก็เปล่ียนไปทางถนนทรงสวัสด์ิ รวมถึงปรับปรุงสิ่งกอสรางภายใน
ซอ มแซมพระอุโบสถและพระวิหารที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ขยายพื้นที่ใหมีขนาดใหญขึ้นสําหรับ
การปฏิบัติศาสนกิจของภิกษุสามเณร นอกจากนี้ยังกอสรางสถานที่เกื้อกูลอํานวยประโยชนแก
ประชาชน อาทิเชน สรางกุฏแิ มชหี รอื บานพักอุบาสิกา สรางสํานักปฏิบัติธรรม สรางโรงเรียนระดับ
ประถมศึกษา และสิง่ ปลูกสรา งอน่ื ๆ ทมี่ ีระบบการจดั การอยางเปน ระเบียบเรียบรอย เหมาะเปน พ้ืนที่
สงบจิตใจแกผูคนท่ีเขามาพักพิง

60

การกอตงั้ สาํ นกั วปิ ส สนากัมมฏั ฐาน

การกอต้ังสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน มีจุดมุงหมายในการสงเสริมดานการปฏิบัติธรรมของ
วัดสมั พันธวงศารามวรวิหารโดยมีจุดเรมิ่ ตน มาจากความต้ังใจของแมช บี ุญมี เวชสารท่ีตองการสนอง
คณุ พระพทุ ธศาสนาดวยการเผยแผพ ระพุทธศาสนาและสนองคณุ ของวัดสัมพันธวงศารามวรวหิ ารทใ่ี ห
ท่พี าํ นกั อาศัยแกท านทา นจงึ ทาํ หนาท่เี ปน อาจารยฝ กอบรมสอนวิปสสนากรรมฐานแกพ ทุ ธศาสนิกชน
ทสี่ นใจเขามาปฏบิ ตั ิธรรม สถานที่สอนแหงแรกคอื บา นพกั อบุ าสิกา บริเวณใตกุฎีแมชีหลังเกา ตอมา
สถานท่ดี ังกลาวไมสะดวกตอการสอนและฝกปฏิบัติเทาใดนักทําใหทานตองขออนุญาตหัวหนาแมชี
เพ่ือยายไปสอนที่หองขนาดเล็กอีกดานหนึ่งของบานพักและยายไปใชศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
ในภายหลังดวยความที่แมชีบุญมีมีคณะลูกศิษยมากมายตั้งแตกอนเขามาอยูท่ีวัดสัมพันธวงศาราม
วรวหิ าร เม่อื รวู า แมชพี ักประจาํ อยูท่ีนี่ ตางพากันแนะนําใหผูที่สนใจในการปฏิบัติธรรมเขามาฝกอบรม
วิปสสนากรรมฐานกบั แมชที ่ีบานพักอบุ าสิกาแหงนี้กระทัง่ มีผสู นใจมาปฎิบตั ิธรรมกับแมชบี ญุ มมี ากขนึ้
บานพกั อุบาสกิ าและศาลาหลวงปูแหวน สจุ ิณโฺ ณท่ีใชในการฝก สอนจงึ ไมเพียงพอ แมช ีและลูกศิษยจึง
มีความประสงคท ี่จะจัดสรา งอาคารปฏบิ ตั ธิ รรมขนึ้ มาเพม่ิ เตมิ โดยปรึกษาหารือและนําไปกราบเรียน
แจง เรือ่ งดังกลาวกับเจา อาวาส ผูช ว ยเจาอาวาสและผทู ี่เก่ียวขอ งในขณะนนั้ ซึง่ ทกุ ฝา ยมีฉนั ทามติเห็น
ดวยกับขอเสนอการกอสราง พื้นที่ใหฆราวาสไดเขามาเรียนรูธรรม เนื่องจากเปนการสงเสริมพุทธ
ศาสนาในทางหนงึ่ จงึ ชวยสมทบทนุ จดั ผาปา สามัคคีรวบรวมปจ จัยจากศษิ ยานุศิษยใ หเ ปนงบประมาณ
1,000,000 บาท โดยแบงออกเปน 2 กอง กองละ 500,000 บาท สําหรับปรบั ปรงุ ศาลาหลวงปูแหวน
สจุ ิณโฺ ณใหเ ปน ศาลาปฏิบตั ิธรรม และสําหรบั กอ สรา งอาคารสามคั คีมีบญุ เพอื่ ใชเ ปน ท้งั สถานที่อบรม
ธรรมะ ท้งั บา นพักสําหรับแมช แี ละอุบาสิกาท่ีมาฝกปฏิบัติธรรม นอกจากนี้แมชีและคณะลูกศิษยยัง
รวมกันสมทบทุนบริจาค รวมงบประมาณในการกอสรางทั้งหมดกวา 3,000,000 บาท (พระมหา
สํารวย นาคโร และนศิ มล, 2560: ออนไลน)

61

การแบง พนื้ ทภี่ ายในสํานักวิปส สนากมั มัฏฐาน

การดูแลพื้นท่ีภายในสํานักวิปสสนากัมมัฏฐานแบงออกเปน 2 สวน สวนแรกไดแก ศาลา
หลวงปูแหวน สุจิณฺโณ เปนศาลาที่ใชในการฝกปฏิบัติธรรมและสวดมนต อีกสวนหน่ึงไดแก อาคาร
สามคั คมี ีบุญ เปนที่พักของแมชีและอุบาสิกา แตเดิมผูดูแลสํานักคือแมชีบุญมี เวชสาร แตหลังจาก
ท่ีทานไดละสังขารไปแลวน้ัน แมชีอัสรา พิจารณจึงเขามาทําหนาที่เปนผูดูแลสํานักตอไป อธิบาย
รายละเอียดของสถานทคี่ รา วๆ ไดดังน้ี

ศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณ

ศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณเดิมเปนศาลาเกาที่ใชเก็บของตางๆ ของวัด สรางข้ึนเม่ือป
พ.ศ. 2525 เพ่ือถวายแดห ลวงปูแหวน สจุ ณิ ฺโณ ผเู ปนอาจารยของเจา อาวาสและคณะสงฆบางสวนใน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ตอมาแมชีบุญมีจึงขออนุญาติใชเปนศาลาปฏิบัติธรรม เพ่ือรองรับผูที่
เขา มาฝกวปิ ส สนากรรมฐานกับทา น เนอื่ งจากในอดตี ทางสํานักใชพื้นท่ีในบานพักอุบาสิกาบริเวณใต
กฏุ แิ มชีเปนสถานทห่ี ลกั ในการฝก อบรม หากแตเ วลาตอมามีลูกศิษยมาปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนา
กมั มัฏฐานแหงนี้เพมิ่ ขน้ึ ทาํ ใหบ า นพกั อบุ าสกิ าไมเ พียงพอตอการรองรบั ผูที่มาปฎบิ ัติอีกทั้งสภาพของ
บา นพักก็เกาทรุดโทรมลงไปเร่ือยๆ ดังนั้นนอกจากแมชีบุญมีจะดําเนินเร่ืองใหมีการจัดสรางอาคาร
ปฏบิ ตั ธิ รรมใหมขึน้ มาเพิม่ เตมิ แลว ยงั สนับสนนุ ใหมกี ารปรับปรุงซอมแซมศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณ
น้ดี วย

ภายในศาลาเปนหองโถงกวาง พื้นปูกระเบ้ืองแกรนิตโต มีพระประธาน รูปหลอพระ
เกจอิ าจารย ตง้ั อยูบนโตะหมบู ูชาประดับดว ยแจกนั ดอกไมส วยงามมีรปู เคารพของแมชีบุญมี เวชสาร
และรปู หลอของแมชบี ุญเรือนโตงบญุ เติม ผเู ปน อาจารยของแมชีบุญมีอยูทางฝงซายของโตะหมูบูชา
สว นทางฝงขวาของศาลามีอาสนสงฆ ตูเก็บพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ฝงใกลเคียงกับประตู
ทางเขา ศาลามีโตะ ยาวสําหรับรวมกลมุ พดู คุยและรับประทานอาหาร นอกจากน้ียังมีตูเก็บหนังสือท่ีมี
คณุ คามากมาย ทัง้ พุทธประวัติ หนงั สอื ธรรมะ และอนุสรณห นังสอื ตา งๆ

ปจจุบันศาลาหลวงปูแหวน สุจิณฺโณใชเปนสถานท่ีหลักในการฝกวิปสสนากรรมฐานของ
กลมุ นักปฏิบัตธิ รรม เพอ่ื พัฒนาและฟนฟูจิตใจของตนเองใหพนจากความทุกขในแตละวัน รวมถึงใช
เปน สถานท่ีสาํ หรับการสวดมนตท ําวตั รของแมช ใี นชวงเชาและชว งเย็นของทุกวันอกี ดวย

62

ภาพที่ 4.3 ภายในศาลาหลวงปูแหวน สจุ ณิ โฺ ณ
(ภาพถายโดย อธชิ ญา สขุ ธรรมรัตน เม่อื วนั ท่ี 15 ธนั วาคม 2560)
อาคารสามัคคีมบี ญุ
อาคารสามัคคมี ีบุญเปนอาคาร 3 ช้ัน สรา งขน้ึ สาํ หรับเปนที่พักของแมชีและรองรับอุบาสิกา
ผูม าพกั อาศัยอยทู ว่ี ัดเพอ่ื ปฏิบัตธิ รรมเริ่มดาํ เนนิ การกอ สรา งในป พ.ศ. 2546แลวเสร็จและมอบถวาย
อาคารในป พ.ศ. 2547ชัน้ แรกเดิมเปนทีพ่ กั ของแมชีบุญมี เวชสาร และหองรับรองสําหรับลูกศิษยท่ี
เขามาเย่ียมเยียนพูดคุยสนทนาธรรม ดานหลังของอาคารเปนระเบียงขนาดเล็ก มีหองนํ้า ครัว
ขนาดเล็ก และสง่ิ อาํ นวยความสะดวกอ่นื ๆ บรรยากาศบริเวณอาคารสงบรม เย็นเต็มไปดว ยตนไม
ตอมาในป พ.ศ. 2555 ทางคณะลูกศิษยของแมชี บุญมีไดรวมกันสรางเรือนนอนบน
ช้ันดาดฟาของอาคารสามัคคีมีบุญขึ้นมาเพ่ิมเติม เน่ืองจากหองพักไมเพียงพอสําหรับผูที่มาปฏิบัติ
ธรรม รวมถึงไดท าํ การทาสอี าคารใหม ปรับปรุงหองพักเพ่ิมหองอาบนํ้าและอางลางหนา แกปญหา
น้าํ ร่วั ซึมและนาํ้ เออลน ทัง้ นเี้ พอื่ ใหท ัศนยี ภาพของสาํ นกั ดีขึ้น เปน ประโยชนรวมกนั แกผทู ่มี าอาศยั

63

ผนู าํ ของสาํ นักวปิ สสนากัมมฏั ฐาน

ภาพท่ี 4.4 แมชบี ุญมี เวชสาร
(ทมี่ า: http://vipassanamaster.blogspot.com/2014/09/blog-post.html)

แมชีบุญมี เวชสาร เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เปนแมชีวิปสสนาจารยสายหลวงปูม่ัน
ภูริทัตตเถระ พระกรรมฐานวัดปาผูท่ีมีแนวทางในการปฏิบัติธรรมแบบเครงครัด ไมยุงเก่ียวกับ
พุทธศาสนาทางโลก ออกธดุ งคว ิเวกไปพาํ นักตามสถานที่ตางๆ มุงเพียรภาวนาเทศนาอบรมธรรมแก
ภิกษสุ งฆ สามเณร และฆราวาสจนมคี ณะศิษยตดิ ตามมากมาย

เดิมกอนบวชเปนแมชี อาจารยผูสอนปฏิบัติธรรมแกทานคือพระอาจารยประเสริฐ
วัดวารินทราราม อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซ่ึงสอนตามแนวทางของพระอาจารย
ภัททันตะ อาสภมหาเถระ สํานกั วิปสสนาวเิ วกอาศรม จังหวัดชลบุรีพระมหาเถระชาวพมา เมือ่ อายไุ ด
44 ป ทานจึงบวชเปนแมชีที่วัดแสนสุขวิสุทธิวราราม ตําบลแสนสุข อําเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
โดยมพี ระครูใบฎีกาพยากรณ (ทวม เวสารชโฺ ช)เจาอาวาสวดั แสนสุขวิสุทธิวรารามขณะน้ันเปนผูบวช
ให ตอมาไดยายไปพํานักอยูที่วัดมหาวนารามหรือวัดปาใหญ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
เพ่ือเรยี นอภิธรรม แตกลับพบวา ไมใชแ นวทางที่ตอบสนองตอการหลุดพนจากความทุกขของทานได

64

อยา งแทจ ริง จึงเลือกเดนิ ทางสายจาริกปฏิบัติ หยุดการศึกษาอภิธรรมและเดินทางไปท่ีฝกวิปสสนา
กรรมฐานท่ีสาํ นักวิปส สนาวเิ วกอาศรม จงั หวัดชลบุรี อันเปนจุดเริม่ ตนสูการปฏิบตั ิธรรมแบบวปิ สสนา
กรรมฐานอยา งจรงิ จัง

หลงั จากนน้ั ทา นไดถวายตัวเปน ศิษยพระอาจารยภัททนั ตะ อาสภมหาเถระที่เปนปรมาจารย
ตามแนวสติปฏฐาน 4 ซึ่งใชอ งคบ ริกรรม ยบุ หนอ-พองหนอ (Rising and Falling) และการกาํ หนดจิต
ใหร ูทกุ อารมณของตนเองตลอดระยะเวลาการฝกทา นพบกบั อุปสรรคมากมาย อันเกดิ จากกเิ ลสในใจที่
เขา มาขัดขวางการเจรญิ สติ จนถงึ ข้ันคิดทอแทอ ยากลม เลกิ แตส ดุ ทายกร็ ะลกึ ขึน้ ไดว า สภาวะดังกลาว
เปนเพียงบททดสอบของการฝกวิปสสนากรรมฐาน นับต้ังแตนั้นทานจึงต้ังใจปฏิบัติอยางตอเนื่อง
ในทสี่ ดุ กส็ ามารถพฒั นาสภาวธรรมไดอ ยางกา วหนาและรวดเร็ว

ตอมามีเหตุใหทานตองเดินทางกลับไปท่ีวัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้ง
ระหวางน้ันทา นไดร ะลกึ ถงึ คณุ วเิ ศษของวปิ ส สนากรรมฐานวา ไมเ พียงแตเปนสมบัติล้ําคาท่ีสุดสําหรับ
ทา น หากแตว ปิ สสนากรรมฐานยงั เปน ทรัพยอนั ประเสรฐิ ของมนษุ ยทุกคน ทา นจึงมุง มั่นออกธุดงคไป
เผยแผว ิปส สนากรรมฐานตามสถานทต่ี างๆท่ัวทุกภาคในประเทศไทย เปนระยะเวลานานกวา 10 ป
กระทัง่ ในป พ.ศ. 2530 ทานจําเปนตองเขารับการผาตัดตาที่กรุงเทพมหานคร ดวยเหตุน้ีทําใหทาน
ไดไ ปพํานักอยทู ี่วดั นางชี เขตบางขนุ เทียนถึง2 ปเพอ่ื ความสะดวกตอการรักษา

เมื่อถึงป พ.ศ. 2532 ทานมีโอกาสไดเขามาอยูที่วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารอยางถาวร
เนอ่ื งจากแมชีที่ติดตามทา น เรยี นอภิธรรมอยทู ว่ี ัดมหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎโ์ิ ดยการสัญจรไปมาระหวาง
วัดนางชกี บั วัดมหาธาตรุ งั สฤษฎิ์นัน้ ระยะทางคอนขา งไกลและมีความลาํ บากในการเดินทาง แมชีท่ีวัด
มหาธาตรุ งั สฤษฎ์ิจึงแนะนําใหไปกราบขอเมตตาจากสมเด็จพระมหาวรี วงศ (มานิต ถาวโร) เจา อาวาส
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารขณะน้ัน เพื่อขอพํานักอยูท่ีกุฏิแมชี เพราะในขณะน้ันมีแมชี
ไมมาก จงึ นา จะมีหองรองรับเพียงพอสําหรบั เปน ที่พักอาศยั

ดว ยความเมตตาของสมเดจ็ พระมหาวีรวงศ ทําใหแมชีบุญมีไดยายเขามาพํานักประจําอยูท่ี
กฏุ ิแมชี วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารระหวางน้ีทานไดรูจักกับแมชีบุญเรือน บุญโตงเติม แมชีที่เปน
ตนแบบของการเผยแผการสอนวิปสสนากรรมฐาน ดวยความเมตตาจากแมชีบุญเรือน ทําใหทาน
เคารพแมช ีบุญเรือนเปนอาจารยอีกคนของทาน อีกท้ังขณะท่ีพํานักอยูท่ีวัด ทานปฏิบัติกิจวัตรตาม
ระเบียบอยางไมขาดตกบกพรอง มีความออนนอมถอมตนเคารพตอภิกษุสามเณร รวมถึงแมชีที่อยู
ภายในวดั และนอกวัดชวยเหลอื งานทางวัดเม่ือไดรับมอบหมาย นอกจากนใ้ี นสวนของบา นพกั อบุ าสกิ า

65

ทานก็ไดทําหนาท่ีดูแลอํานวยความสะดวกแกแมชีและญาติโยมท่ีเขามาพัก ซึ่งระหวางนั้นทานเร่ิม
สอนวปิ สสนากรรมฐานใหก ับแมช ีและผูท ส่ี นใจในการปฏิบัติธรรมอยางตอ เนือ่ งแตห ลงั จากอบรมสอน
วิปสสนากรรมฐานอยูที่สํานักได 3 ปทานเริ่มมีอาการปวยดวยโรคหัวใจ จึงเดินทางไปพักผอนท่ี
จงั หวัดกําแพงเพชรเปนเวลาหลายเดือนถงึ กระนนั้ ลกู ศิษยจากกรุงเทพมหานครกย็ ังคงเดินทางตามไป
เย่ียมเยียนอยูเปนประจํา ทานจงึ ยินดที าํ หนาทเี่ ปนวปิ สสนาจารยสอนปฏิบัติธรรมตอไป แมรางกาย
ของตนเองจะไมแ ขง็ แรงดีกต็ าม

ถือไดวาแมชีบุญมีเปนผูนําศรัทธาของพุทธศาสนิกชนกลุมหนึ่งในการทํานุบํารุงศาสนา
ไมวาจะเปน การฝกสอนวปิ สสนากรรมฐาน สอนธรรมะ อุปถัมภชวยเหลืองานในวัดกิจกรรมของวัด
รวมไปถึงกิจกรรมสาธารณประโยชนอื่นๆ เชน มอบทุนใหนักเรียน มอบอุปกรณการศึกษาใหแก
โรงเรยี นมอบสิ่งของใหชมุ ชนที่ขาดแคลน อุปถัมภก ารกอ สรางของสถานศึกษา เปนตนคณุ ความดีของ
ทา นทําใหม ลี ูกศษิ ยม ากมายเคารพรกั ในฐานะคุณแม คณุ ยาย และผมู พี ระคณุ ของลูกศิษยมาจนถึงทุก
วนั นี้

ปจจุบันแมชีบุญมี เวชสารไดละสังขารอยางสงบแลวในวันพฤหัสบดีท่ี 24 มีนาคม
พ.ศ. 2559สิริอายุรวม79 ป 11 เดือน ดวยอาการโรคหัวใจตีบ ณ อาคารสามัคคีมีบุญ บานพัก
อุบาสกิ าวัดสัมพันธวงศแ ขวงสมั พนั ธวงศเขตสัมพนั ธวงศ กรงุ เทพมหานคร

อาจารยช ยั พร ชยานรุ ักษ

นายชัยพร ชยานรุ ักษ หรืออาจารยชยั พร เปนวิปสสนาจารยส อนเจรญิ วิปสสนากรรมฐานแก
ผูที่มาปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารในชวงเวลาปจจุบัน
อาจารยไ ดร บั การอบรมฝกสอนจากแมชบี ญุ มี เวชสาร และไดนําแนวทางการเจริญสติมาฝกสอนแก
ผคู นทสี่ นใจการปฏิบัตธิ รรม โดยการกําหนดรคู วามคิดจติ ใจของตนเองทุกชว่ั ขณะ ในทางโลกอาจารย
ชัยพรอาจมีบทบาทหนาที่เปนผูอํานวยการสํานักงานสงเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดยอม
แตในทางธรรมอาจารยชัยพรเปนตัวอยางของฆราวาสธรรมที่มีความรูในพุทธศาสนา มุงม่ันเจริญ
ภาวนาและเผยแผธรรมะ สามารถนําเอาหลักทางพุทธศาสนาไปใชจัดการกับชีวิตทางโลกและ
ทางธรรมของตนเอง ตลอดจนชว ยเหลอื ผูท ี่หาทางออกจากทุกข เปดโอกาสใหผ คู นเขา มาแลกเปล่ียน
พูดคุยสนทนาธรรม สํารวจดูความกาวหนาทางสภาวะจิตของผูปฏิบัติ และช้ีแนะแนวทางตอไปให
ผูปฏบิ ัตสิ ามารถพฒั นาตนเองใหม ีสตอิ ยกู ับปจ จุบนั ไดดียง่ิ ข้ึน

66

ดว ยเหตทุ อ่ี าจารยช ยั พรเปน ฆราวาสทว่ั ไป ซึ่งใชชีวติ ทางโลกและมีประสบการณค ลายกันกับ
ผทู ่มี าปฏิบัติ จึงทําใหลูกศิษยรูสึกสบายใจท่ีจะปรึกษาสนทนาเร่ืองราวชีวิตกับอาจารย เพราะทาน
สามารถเขา ใจ อกี ทงั้ ยังสอนใหระลึกรูอยูกับปจจุบันเสมอ พยายามเตือนสติไมใหปลอยจิตปลอยใจ
ลอยออกไปฟุงซานกับส่ิงตางๆ หากเผลอก็ใหกําหนดบริกรรมเพื่อรูเทาทันความคิดนั้น เมื่อทําได
ผูป ฏิบัตกิ จ็ ะหลดุ พนจากความทุกข สามารถชําระลางความขุนมัวหรือความหมนหมองภายในจิตใจ
ของตนเองได ตลอดจนมีสติปญญาในการดาํ เนนิ ชีวิต เขาใจตนเอง เขาใจธรรมชาติของมนุษย ดํารง
อยูในสงั คมโลกไดอยา งสงบสขุ

แนวทางการปฏิบตั แิ ละกจิ กรรมในการฝก วิปสสนากรรมฐาน

การฝก วปิ สสนากรรมฐานหรอื การฝก เจรญิ สติของสาํ นักวิปส สนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร เปนไปตามแนวทางของพระอาจารยภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิต
(มหาสี สะยาดอร) ผเู ปน อาจารยส อนวิปสสนากรรมฐานของแมชีบญุ มี เวชสาร ตลอดจนเปน วปิ สสนา
จารยตนตํารับของการเจริญสติแบบยุบหนอพองหนอ ซึ่งตัวทานมีสํานักปฏิบัติธรรมอยูท่ีมหาสีสา
สนยิสสาประเทศพมา

แมช บี ญุ มีไดน ําแนวทางการฝก วปิ สสนาที่ไดร ํ่าเรียนมาเผยแผแกคณะลูกศิษยที่สนใจในการ
ปฏบิ ัติธรรม ซ่ึงอาจารยช ยั พร ชยานุรักษก ็เปนหน่ึงในศิษยของแมชีบุญมี ดังนั้นปจจุบันแนวทางการ
ปฏบิ ัตธิ รรมของสาํ นกั วปิ ส สนากมั มัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จงึ เปน ไปตามลกั ษณะการสอน
ของพระอาจารยภ ทั ทันตะ โดยยึดตามหลักแนวสติปฏฐาน 4 อันหมายถึงการเจริญสติเพื่อรูเทาทัน
อารมณป จจุบัน ดว ยขอ ปฏบิ ัติทีใ่ ชส ติสมั ปชญั ญะในการกําหนดจิตระลึกพิจารณาสิ่งทัง้ หลายใหรูเห็น
ตามความเปน จริงของธรรมชาติ

กิจกรรมหลักในการฝกปฏิบัติธรรมของสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน คือการรวมกลุม
เพอ่ื แลกเปล่ียนเรอื่ งราวในชีวติ และฝก เจรญิ สติไปพรอ มกนั โดยจะมกี ารนัดหมายในชวงเวลาหลังเลกิ
งานของทุกวันพุธจนถึงวันอาทิตย เริ่มตั้งแต 18.00-22.00 น. ซ่ึงหากใครไมมีกิจธุระก็จะเขามาท่ี
สํานักเปนประจํา สวนใหญเปนบุคคลวัยเรียนและวัยทํางาน มีท้ังคนกรุงเทพมหานครและ
คนตางจังหวัดที่เขามาเรียนหรือทํางานในเมือง บางคนหลังจากมีคนแนะนําใหไดรูจักท่ีน่ีก็เขามา
ปฏิบัติอยเู สมอ เพราะพจิ ารณาเห็นวากจิ กรรมและแนวทางการปฏิบัติของสถานท่ีปฏิบัติธรรมแหงน้ี
ตอบสนองจติ ใจของตนเองได

67

ในแตล ะครั้งท่เี ขา มาปฏบิ ตั ิธรรม ผูปฏบิ ตั ิจะเริม่ ตนกจิ กรรมดวยการรับประทานเย็นรวมกัน
พูดคุยกันอยางอิสระ หลังจากน้ันจึงแยกยายเพื่อฝกเจริญสติท้ังในรูปแบบของการน่ังสมาธิและ
การเดินจงกรม ซึ่งขณะนั่งหรือเดนิ ใหทําบริกรรมโดยกําหนดจิตไปสัมผัสท่ีกาย แลวระลึกรูตัวอยาง
ตอเน่ือง นอกจากนท้ี างสํานกั ยังใชวิธีเปดเสียงตา งๆ แทรกข้ึนมาใหฟงเชน เสียงธรรมชาติ เสียงรอง
ของสัตว โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือใหผูปฏิบัติมีสติอยูกับทุกส่ิงที่กําลังสัมผัส ไมวาจะเปนเสียงที่ไดยิน
สภาวะอารมณค วามรสู กึ ที่เปนอยู และการกระทําท่ีกําลังทําอยู วิธีการปฏิบัติเชนนี้จะชวยลดระยะ
การสง จิตออกนอก เพราะจิตของมนุษยสามารถรับรูถึงสิ่งที่เขามาสัมผัสไดไวมาก หากปลอยใหจิต
หลุดลอยไปกับสิ่งเหลา นัน้ กย็ ากที่จะควบคุมใหส ตอิ ยกู ับปจจบุ ันขณะ ดงั นน้ั จงึ ตองพยายามประคอง
สติใหรูทนั จติ ของตนเอง เพ่อื ทจี่ ะไดละทิ้งอารมณหรอื ความคิดท่ปี รงุ แตง ขนึ้ มาได

แนวทางการปฏิบัติของสาํ นกั วปิ ส สนากัมมฏั ฐานมกั พิจารณาและใหคําแนะนําในการปฏิบัติ
ตามความเหมาะสมของแตละบคุ คล เพราะทุกคนเกิดมาแตกตางกัน มพี ้นื ฐานความคิด ประสบการณ
ความรู หรือสิ่งตางๆ ที่สะสมมาไมเทากัน ดังน้ันหากปฏิบัติตามแนวทางที่สอดคลองกับลักษณะ
สว นบุคคลก็จะชว ยใหเกิดความกา วหนาในสภาวะธรรมมากข้นึ เรอ่ื ยๆ เม่อื ปฏบิ ัติอยา งตอ เนือ่ ง

อาจกลา วไดว า สาํ นักวปิ ส สนากมั มัฏฐานวดั สัมพันธวงศารามวรวหิ าร มีรูปแบบแนวทางการ
ปฏิบัติที่ไมแบงแยกความแตกตางทางเพศหรือฐานะทางสังคม ผูใดที่นับถือศรัทธาเชื่อม่ันใน
พทุ ธศาสนา ก็ลวนแตสามารถปฏิบตั ธิ รรมและบรรลธุ รรมไดต ามหนทางของตนเอง สวนหน่ึงอาจเปน
เพราะจดุ เริม่ ตนของสาํ นกั แหงน้ีมผี นู ําเปน ผหู ญิง จึงสงผลใหค นเรม่ิ มองวาการเขาถึงธรรมะของผหู ญงิ
ในสงั คมไทยเพอ่ื หลุดพนจากส่งิ ตา งๆ ในสังคมไมไ ดเ ปนเร่ืองยาก ผูศึกษามองวาการมีอยูขององคกร
ทางศาสนาในสงั คมสมยั ใหมเ ปด โอกาสใหผหู ญงิ มีบทบาทหนา ทใี่ นพทุ ธศาสนามากขนึ้ เม่ือสังเกตจาก
กลุมคนท่ีเขามาฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
กจ็ ะพบผูหญิงจาํ นวนมากทย่ี ดึ เอาพุทธศาสนาเปนหลกั ทพ่ี ่งึ ทางใจในการดาํ เนนิ ชวี ติ ทง้ั เผยแผธ รรมะ
สงเสรมิ การปฏิบัติธรรม ชวยเหลือสังคม ม่ันคงศรัทธาและทํานุบํารุงศาสนาตอไป เพราะพิจารณา
รูแจง เห็นแลววาพุทธศาสนาสามารถตอบสนองตอ ความตองการทางจิตใจของตนเองไดอยางแทจริง
และเปน เหตุเปนผล

บทที่ 5

10 ภาพสะทอ นตวั ตนผหู ญงิ ทเ่ี ลือกพุทธศาสนาเปน ทพ่ี งึ่ ทางใจ

การเติบโตทามกลางสังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดลอ มทเี่ ตม็ ไปดวยความหลากหลายของ
มนษุ ยเ ปน ปจจัยหน่ึงที่กอใหเกิดความแตกตางของแตละปจเจกบุคคล สถาบันตางๆ ไดหลอหลอม
ตัวตนของปจเจกบุคคลผานกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) อันเปนผลใหคนเรา
มีระบบความคิด ความเชื่อ รวมถึงการรับรูตอสิ่งรอบตัวจากประสบการณและบริบททางสังคมท่ี
แตกตางหรือคลายกนั

การนําเสนอภาพสะทอนตัวตนของผูหญิงท่ีมาบวชและปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนา
กัมมัฏฐาน วัดสัมพนั ธวงศารามวรวหิ าร จะแสดงใหเหน็ ถึงที่มาที่ไปของการเลือกพทุ ธศาสนาเปนท่พี ่ึง
ทางใจของผูหญงิ ไทยในสงั คมสมยั ใหม ผา นเรอื่ งราวชวี ติ จากกลมุ ตวั อยา งท้ังหมด 10 คน ผูเติบโตมา
ในสังคมไทยซ่ึงมกี ารปลูกฝงคานิยมทางเพศใหผูหญิงมีขอจํากัดหลายประการ อันเปนเหตุใหยึดถือ
รวมกันวาผูหญิงไทยจะตองประพฤติปฏิบัติตนอยูกับวาทกรรมเกี่ยวกับอุดมคติความเปนหญิงท่ีดี
กระทั่งส่ิงเหลาน้ีไดกอใหเกิดการต้ังคําถามของคนสมัยใหม เพราะไมวาจะเปนวาทกรรมเรื่อง
ความงามหรอื วาทกรรมทางเพศเร่อื งอนื่ ๆ เชน การรักษาความบรสิ ุทธ์กิ อนแตงงาน การประพฤติตน
ใหเ รยี บรอยอยใู นกรอบของความเปน หญงิ ดี เปนตนก็ลวนแลว แตทาํ ใหผหู ญงิ ตกอยูในอาํ นาจของวาท
กรรมยอมตามกระแสคานิยม กระท่งั ไมร ูจกั ตนเอง เมื่อทาํ ผิดแปลกไปจากบรรทัดฐานของสังคมก็จะ
ถูกตดั สินดว ยอคติ ทั้งท่คี วามเจริญและความเปน สมัยใหมไดเขา มาเปลี่ยนแปลงโลกทศั นของสงั คมทั่ว
โลกใหยอมรับในแบบเสรีนิยมของมนุษยมากขึ้นแลว แตระบบความคิดเก่ียวกับอุดมคติทางเพศ
ท่ีปลูกฝงกันมานานก็ยงั คงมีอิทธิพลตอคนบางกลมุ อยู

เร่ืองราวชีวิตของผูหญิงในกลุมตัวอยางทั้ง 10 คน เปนภาพสะทอนของผูหญิงยุคใหมที่
ตองการหาทพี่ ่งึ ทางใจใหกบั ตนเอง เพือ่ เขา ใจชีวิต เขาใจโลก และการดํารงอยูของตนเอง จึงเขามา
รวมกลุมกันเพ่ือเรียนรูและทําความเขาใจตนเองในฐานะผูหญิงใหดีย่ิงขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นวา
วาทกรรมทางพุทธศาสนาสามารถตอบคาํ ถาม เปนท่ียึดเหนี่ยวจิตใจในการดําเนินชีวิตของตนเองได

68

69

ผศู กึ ษารวบรวมขอมลู เกย่ี วกับภมู หิ ลังชวี ติ สวนตัว ประสบการณ และมมุ มองความคิดเหน็ ตอ
การเลอื กพุทธศาสนาเปนท่ีพ่ึงทางใจของกลุมผูหญิงในพื้นท่ีท่ีศึกษา โดยวิธีการสัมภาษณพูดคุยกับ
บุคคลที่มาปฏิบัติธรรมและบวชชีอยูที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน รวมถึงสังเกตการณโดยเขาไป
มีสวนรวมในการฝกเจริญสติดวย ทั้งน้ีเพ่ือใหสามารถทําความเขาใจวิถีชีวิตของผูหญิงไทยในสังคม
สมยั ใหมที่เลอื กพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจ ผศู ึกษาใชเวลาในการเก็บขอมูลตั้งแตชวงเดือนกันยายน
พ.ศ. 2560 กระทั่งสิ้นสุดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 เมื่อพิจารณาเห็นแลววาเร่ืองราวชีวิตของ
ผหู ญงิ 10 คนดังกลาว สามารถเปน กรณีศกึ ษาทีอ่ ธบิ ายตัวตนของผูหญิงกลมุ นีไ้ ดอ ยางชดั เจน

ภมู หิ ลงั ของผหู ญิงทีใ่ หส ัมภาษณ

กลุมผูหญิงท่ีผูศึกษาเลือกสัมภาษณในท่ีน้ี จากท้ังหมด 10 คน แบงเปนบุคคลท่ัวไป 7 คน
แมชี 3 คน ชว งอายุตงั้ แต 30-60 ป ซง่ึ ถอื วา เปนกลมุ ผใู หญว ัยทาํ งานท่ีมีวุฒิภาวะ ผานประสบการณ
ชีวติ มามากพอสมควร ทุกคนตางรูจักสาํ นักวปิ ส สนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ผานคํา
ชกั ชวนของบุคคลใกลช ิดทีศ่ รัทธาตอ แมช บี ญุ มี เวชสาร ในที่นผี้ ูศ กึ ษาจะอธิบายภมู ิหลังของผูหญงิ ทใี่ ห
สมั ภาษณเก่ียวกบั ชีวิตกอ นและหลังเลือกพุทธศาสนาเปนที่พ่ึงทางใจอยางคราวๆ โดยใชนามสมมติ
แบง ออกเปน 3 กลุม กลมุ แรกคือบคุ คลที่มีความสนใจในแนวคิดและหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาอยู
กอ นแลว เมื่อมีโอกาสจึงเขามาปฏบิ ตั ิอยา งจรงิ จัง กลุมท่ีสองคือบุคคลที่มแี นวโนมความสนใจในพุทธ
ศาสนาแตไ มไดเ ขา มาปฏิบัติ จนกระทั่งประสบปญหาในชีวิตทซ่ี ึ่งหาทางออกไมไ ด และอกี กลุม หน่งึ คือ
บคุ คลทไี่ มเคยเชอ่ื ในพทุ ธศาสนาเลย แตสุดทายตดั สินใจหันมาเลอื กพทุ ธศาสนาเปน ทีพ่ งึ่ ทางใจ

ในกลุมแรกบุคคลที่มีความสนใจในพุทธศาสนาอยูแลวกอนเขามาใชชีวิตเพ่ือศาสนาอยาง
แมช ีบัว และ แมช ตี อ ย ถอื เปน ภาพตัวแทนของผูห ญิงทเี่ ติบโตมาพรอมกบั การปลูกฝงจากสังคมและ
สภาพแวดลอมรอบตัววาพุทธศาสนาคือส่ิงที่ดี สวนหนึ่งอาจเปนเพราะสังคมไทยกําหนดให
พุทธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติ ดงั น้ันบุคคลใกลชิดสวนใหญล ว นแลว แตไดรับอทิ ธิพลความเชื่อใน
เรอื่ งบุญบาป การทาํ ดไี ดด ที าํ ช่ัวไดชวั่ รวมถึงการเขาวัดทําบญุ สวดมนต ฟงเทศน เม่ือถึงคราวที่มีคน
แนะนําใหไ ปเรียนธรรมะศึกษาพุทธศาสนาก็เกดิ ความศรทั ธาและตดั สินใจบวชอยางจริงจัง เน่ืองจาก
พิจารณาดวยตนเองแลววาบทบาทของแมชีในการทําหนาท่ีสนับสนุนดูแลพุทธศาสนานั้นมีคุณคา
ตอ ตนเองมากกวา การทาํ อาชพี อื่นทางโลก

70

แมช บี ัว (56 ป) เกิดและอาศัยอยูท่จี งั หวัดขอนแกน จนกระท่งั อายุ 24 ป ยา ยไปอยูที่พัทยา
จงั หวดั ชลบุรีหลงั จากน้นั 11 ป ตองกลบั มาทจ่ี งั หวัดขอนแกน ดวยเพราะคุณพอเสียชวี ติ เปน โอกาสที่
ทําใหไดพบกับแมชีทานหน่ึงท่ีแนะนําใหปฏิบัติธรรม ในตอนนั้นแมชีบัวผันยังคงเศราโศกเสียใจ
และไมไ ดสนใจทจ่ี ะบวชมากนกั เพราะยงั เคยชินกบั การใชช วี ิตทางโลก อีกท้ังยงั เหน็ วา ตัวเองก็ใชชีวิต
ใกลชดิ กบั พทุ ธศาสนา เปน ฆราวาสที่เคารพศรัทธาพุทธศาสนาเปนปกตอิ ยูแลว จงึ ไมไดคิดท่ีจะบวช

ตอ มาแมชที า นน้นั ไดนาํ เร่อื งราวไปเลา ใหแ มชีบุญมีรับฟง ทําใหแมชีบุญมีเมตตาเดินทางมา
หาแมชีบัวผันดวยตัวเอง เมื่อแมชีบัวผันไดฟงธรรมจากแมชีบุญมี เห็นถึงความเมตตา ก็พิจารณา
ตนเองจนรูแ จงเหน็ จริงแลว วาชีวติ ทางโลกน้นั ไมมอี ะไรม่ันคงแมแตชีวิตของคน ทุกอยางดําเนินเปน
วงจรท่ีหมนุ เวยี นไปตามกาลเวลา เหมอื นกระแสนํา้ ทไ่ี หลยอ นกลบั เลยตัดสนิ ใจท่จี ะบวชเปนแมชี

ในระยะแรกที่บวช ทานยังมีความรูสึกอึดอัดกับการใชชีวิตท่ีกรุงเทพฯ ทานไมโปรดปราน
ความเปนเมืองสักเทาไรนัก เนื่องจากเคยใกลชิดกับความเงียบสงบของธรรมชาติ และวิถีชีวิตแบบ
คนตางจังหวัด แตทานก็ร่ําเรียนพระอภิธรรม พยายามทําความเขาใจแกนแทของพุทธศาสนา
ดว ยความตงั้ ใจจริง จนสามารถละวางจากการยึดติดรปู รส กลน่ิ เสียงทีต่ วั เองถูกใจได

แมช ตี อย (53 ป) ไมไดเปดเผยถงึ ชีวิตสวนตัวกอนมาบวชมากนัก ทานเลาเพียงวาทานเคย
เปนผูจัดการคุมงานลูกนองกวา 200-300 คนและเปนคนที่สนใจพุทธศาสนาเปนทุนเดิมอยูแลว
ชอบแสวงหาสถานทป่ี ฏิบัตธิ รรมตา งจังหวัด เพ่ือไปบวชชีพรามหณใ นชวงวนั หยุดหรือชวงท่ีมีเวลาวา ง
เม่ือวันที่พอแมของทานหมดอายุขัยจากไปทา นจึงอยากเขาสูชีวิตทางธรรมแบบจริงจัง โดยตัดสินใจ
บวชในป พ.ศ. 2536 เพื่อเปนบุญกุศลอันยิ่งใหญใหกับตัวเองและพอแมท่ีเสียชีวิต ทานไดศึกษา
หลักธรรมจากคัมภีรตางๆ อยางเครงครัด ฝกสมาธิและสติ จนกระท่ังสามารถควบคุมอารมณ
ความคิด จิตใจของตวั เองยามเกดิ ความทุกขไ ดมากข้ึน

เสน ทางชีวิตการบวชของแมชตี อ ย ไดพบปะกับพระอาจารยท่ีเจริญทางธรรมมากมาย ทานได
ไปฝกปฏิบตั ธิ รรม ไดร จู กั แนวทางการปฏิบตั ิทห่ี ลากหลาย ออกเดินทางเพื่อเรยี นรไู ปเรือ่ ยๆ หลังจาก
ท่ไี ปพํานักอยทู ่ีวดั มหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎ์ริ าชวรมหาวิหาร ก็ไดรับคําแนะนําใหไปทําความรูจักแมชี
บุญมี เวรสารท่ีวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กอนจะพักประจําอยูที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานแหงนี้
ถาวร สลับกับการเดนิ ทางไปเปนแมช ีวทิ ยากรทจี่ งั หวัดชลบรุ ี ปจ จบุ นั แมช ตี อยไดรับการแตง ตง้ั ใหเปน
ผูด ูแลสํานกั เนอ่ื กจากเปน แมช ีท่ีมีพรรษามากท่สี ดุ ของทน่ี ่ี

71

ขณะที่ หนิง (45 ป) พนักงานฝายบัญชีของบริษัทแหงหน่ึงในกรุงเทพฯ เธอเปนผูหญิงที่
เตบิ โตมาจากตางจงั หวัด ชีวติ วัยเด็กของเธอไมไดอาศัยอยูกับพอแม หากแตอาศัยอยูกับยายที่ใชวิถี
ชีวิตอยางเรียบงายมาตั้งแตเด็ก สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษาหลอหลอมใหเธอสนใจ
พุทธศาสนา แมไมไดมีประสบการณท่ีทําใหเกิดความเชื่อดวยตนเอง แตเธอก็มั่นใจวาพุทธศาสนา
มีคณุ คา และเปน ประโยชนตอชีวิตของเธอ ชุดความคิดเก่ียวกับเร่ืองนรก-สวรรค ความทุกขทรมาน
ของการเวียนวายตายเกิด ทําใหเธอตระหนักถึงการทําความดี หวาดกลัวตอการทําบาป และเปน
สวนหน่ึงที่ทําใหเธอไมตองการลุมหลงไปกับสิ่งลอลวงทางโลก เธอหลีกเล่ียงทุกความเสี่ยงท่ีอาจ
กอใหเกิดความทุกข กอนหนาที่เธอจะไดมีโอกาสเขามาชวยงานและปฏิบัติธรรมท่ีสํานักวิปสสนา
กัมมัฏฐานวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เธอไดไปฝกวิปสสนากรรมฐานกับหลวงพอจรัญอยู 2-3 ป
เรียกไดวาไปเปนประจําทุกสัปดาห เพราะไดรับความเชื่อเขามาในตอนนั้นวาการปฏิบัติธรรมชวย
แกก รรมได แตดวยความท่ีไมม คี นคอยแนะนําอยางตอเน่อื ง จึงยังไมไดรูสึกถึงการเปลี่ยนแปลงเทาท่ี
คาดหวังเอาไว

กระทง่ั วนั หน่ึงเธอไปเวียนเทยี นจนไดพ บกบั กลั ยาณมติ รท่ีแนะนาํ ใหมารูจ กั แมช บี ุญมี เวชสาร
ท่ีสาํ นกั วิปส สนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารก็เกิดความสนใจ จึงขออนุญาตแมชีเขามา
ชวยงานในสํานักและเร่ิมเรียนรูธรรมะ ฝกวิปสสนากรรมฐานจากอาจารยชัยพร ผูนําของกลุม
นกั ปฏิบตั ิธรรมคนปจ จุบนั ตลอดจนเอาสิ่งทีต่ นเองไดจ ากการเลือกพุทธศาสนาเปนที่พึ่งทางใจมาให
แนะนาํ กบั คนทเ่ี พง่ิ เร่ิมสนใจการปฏบิ ัติ ดว ยการแลกเปลยี่ นประสบการณ มมุ มองทัศนคติ รวมถงึ สอน
วธิ ีการฝก เจริญสติเบ้ืองตน ดูแลชวยเหลือผูอ่ืน รักษาศีลไมตางจากแมชี หากแตดํารงอยูในสถานะ
ฆราวาส

เชนเดียวกับ เกด (31 ป) เธอจบการศึกษาหลักสูตรพยาบาลจากโรงพยาบาลศิริราชท่ีมี
กจิ กรรมอบรมคายคณุ ธรรม อนั เปน โอกาสทที่ ําใหเ ธอไดเ ขาไปฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีโครงการพฒั นา
จิตเยาวชนแบบบูรณาการของยุวพุทธิ1 และตอมาตัวเธอเองก็ไดทํางานจิตอาสาเปนพ่ีเล้ียงในคาย
อยูถึง 7-8 ป เรียกไดวาสถานบันการศึกษาไดสรางโลกทัศนทางความคิดเก่ียวกับการดําเนินชีวิต

1ยวุ พทุ ธิ หรือ ยุวพุทธิกสมาคมแหงประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ เปนองคกรสาธารณ
กุศลทางพุทธศาสนาที่สําคัญของประเทศไทย กอต้ังข้ึนเพ่ือดําเนินกิจกรรมสงเสริมพุทธศาสนา
ทัง้ ดา นการศึกษาธรรมะ การเผยแผธรรมะการปฏบิ ตั ิธรรม และกจิ กรรมทําบุญตา งๆ แกเ ยาวชนหรือ
บคุ คลทัว่ ไปทส่ี นใจ

72

ใหกับเธอ โดยนํากิจกรรมทางพุทธศาสนามาประกอบการเรียนรูวิทยาศาสตร ซึ่งไดสงผลใหเธอ
สามารถนําเอาแนวคิดและหลักปฏิบัติมาปรับใชในชีวิตประจําวันของตนเอง จนกระทั่งเขาใจความ
เปนมนุษยไดดีขึ้น แตตอมาหลังจากเปลี่ยนงานใหม ดวยภาระหนาท่ีเธอจึงไมสะดวกไปทํางาน
จติ อาสาไดเหมือนเดิม เมอ่ื มีคนแนะนาํ ใหร ูจ ักสํานกั วปิ ส สนากัมมัฏฐาน วดั สมั พันธวงศารามวรวิหารก็
เกิดความสนใจ คิดวา คงดีหากตนเองมาปฏิบัติท่ีนี่เปนประจํา เพราะไมอยากละท้ิงส่ิงท่ีไดเรียนรูมา
ตง้ั แตย งั เปนนกั ศึกษา

สวนกลุม ท่สี องคือบุคคลที่มีความสนใจในแนวคิดความเชื่อทางพุทธศาสนา แตไมไดเขามา
เรียนรูและปฏิบัติอยางจริงจัง จนกระท่ังประสบกับปญหาความทุกข ตองการแสวงหาที่พ่ึงทางใจ
เมอื่ มีคนแนะนาํ ใหลองปฏบิ ัติธรรมก็พบทางออกทเ่ี ปน คําตอบของชวี ติ เกิดเปน ผลลพั ธที่ดตี อตนเอง

แมชีพร (59 ป) คือภาพตัวแทนของผูหญิงท่ีพบมรสุมชีวิตอยางหนักกอนที่จะมาบวช
เนือ่ งจากทานเคยมีฐานะที่ดมี ากอ น จนกระท่งั วนั หนึ่งครอบครัวประสบปญหา จนทําใหสถานะทาง
เศรษฐกจิ ของครอบครัวเปลีย่ นไป จากท่สี บายกลายเปน ลําบาก ความทกุ ขกอ ตัวขน้ึ สงผลใหทานวิตก
กงั วล เกิดความเครียด สภาพจิตใจย่ําแย ในที่สดุ รางกายกท็ รุดโทรมลง ซึ่งอาการหนักถึงขั้นเดินเปน
ปกติไมได หยิบจับสิ่งของไมได ลูกชายพาไปรักษาท่ีโรงพยาบาลก็ไมดีขึ้น เพราะสาเหตุอยูที่สภาพ
จิตใจ สุดทายทานจึงมองหาที่ยึดเหน่ียวเปนพุทธศาสนา เรียนรูธรรมะ ฝกปฏิบัติธรรม กอนจะ
ตดั สนิ ใจบวชกบั แมชีบญุ มที ่ีสาํ นักวปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวิหาร เม่ือเห็นวาตนเอง
มีการเปล่ยี นแปลงไปในทางทด่ี ีขนึ้

ออย (36 ป) เปนผูห ญงิ อีกคนทปี่ ระสบปญหาความทุกขในชีวิตของตนเองเชนกัน เธอเปน
ลกู สาวของครอบครวั ไทยเชอื้ สายจีน ที่บา นของเธอปลูกฝงใหร กั ษาธรรมเนยี มดง้ั เดมิ ของคนจีนเอาไว
เธอจงึ ไดรบั อทิ ธพิ ลความเชอื่ เก่ยี วกบั การไหวเ จา และการนบั ถือพุทธศาสนามาตง้ั แตเดก็ แตด ว ยความ
ท่เี ธอเปน ลูกคนเลก็ ครอบครัวตามใจมาตลอด ทําใหเธอมีลักษณะนิสัยท่ีคอนขางมั่นใจในตัวเองสูง
รักอสิ ระในการทาํ สงิ่ ตางๆ ตามใจตนเอง เธอกลา ท่ีจะทําผมสีแรงๆ พดู จาตรงไปตรงมา โดยไมแครค ํา
นินทาของใคร จนคนภายนอกมักเขาใจวาเธอเปนคนราย จอมวีนจอมเหว่ียง จนกระทั่งวันหนึ่งเธอ
ทะเลาะกับแมอยางหนักและเผลอขึ้นเสียงใส เหตุการณครั้งน้ันทําใหเธอผิดหวังกับตัวเองมาก
เธอรูสึกเสยี ใจและตระหนักวาการกระทําของตนเองเปนบาป จึงอยากแกไขนิสัยใจรอนของตนเอง
เมือ่ มคี นแนะนาํ ใหไ ปปฏิบัติธรรมที่ตางจังหวัดก็ลองดู เน่ืองจากพิจารณาแลววาไมเสียหาย แตทวา
เคราะหซ ํา้ กรรมซัด เมื่อแฟนของเธอท่ีคบกันมานานตัดสินใจแยกทางไป จิตใจของเธอเจ็บปวดเปน

73

อยางมาก เธอยังคงรูสึกผูกพันและลืมเขาไมได ฟุงซาน ไมสามารถประคับประคองสติใหหยุดคิดถึง
อกี ทัง้ หนาทกี่ ารงานก็ไมอ ํานวยใหเธอมเี วลาวา งไปปฏิบตั ธิ รรมท่ตี างจังหวดั ไดเหมือนเดิม สุดทายก็มี
คนแนะนําใหเธอมาฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
กบั กลมุ นกั ปฏิบัตธิ รรม จนเธอสามารถกาวผานวันเวลาแหง ความทุกขน ้นั ไดในที่สดุ

มล (42 ป) นักวิจัยของบริษัทเครือขายที่ใหบริการดานการสื่อสารครบวงจรแหงหนึ่ง
ในประเทศไทย ก็มีเร่ืองราวชีวิตคลายกันกับออย จุดเริ่มตนท่ีทําใหเธอสนใจพุทธศาสนาคือความ
ตองการที่จะแกไขลักษณะนิสัยบางอยางของตนเอง ดวยเพราะเธอเปนคนท่ีคอนขางมีความ
Perfectionist รกั ความสมบรู ณแ บบ ยดึ มนั่ ในความคดิ ของตนเอง คร้ังหนึ่งเธอเคยหนีออกจากบาน
เพราะมีปากเสยี งกับแม เธอรตู ัววาเปนคนใจรอ น คิดมาก แตก็ไมสามารถระงับอารมณในตอนนั้นได
หลังจากไดส ติเธอจงึ หาวธิ เี ปลย่ี นตวั เอง อาทิเชน ปรกึ ษาเพ่ือน ลองใชธรรมชาติบําบัด ศึกษาธรรมะ
โดยซือ้ หนงั สือมาอาน ฟงพระเทศน กระทั่งมคี นแนะนําใหมาฝกวิปสสนากรรมฐานเจริญสติท่ีสํานัก
วปิ สสนากมั มัฏฐาน วัดสัมพนั ธวงศารามวรวหิ าร ในชวงแรกเธอมาที่นไี่ มบ อ ยนกั เฉพาะเวลามีปญหา
ทกุ ขใ จเทา นัน้ ถงึ จะแวะเขาไปทีส่ ํานกั แตแลว เม่อื ถงึ วันที่ปญหาเรื่องงานรุมเรา เธอจึงมีโอกาสไดมา
ท่ีนีบ่ อ ยขึ้น เมือ่ ลองปฏบิ ตั ิอยางจริงจัง เธอจงึ คน พบวาแนวคิดทางพทุ ธศาสนาและวธิ กี ารฝก เจริญสติ
เปนกลไกท่ีสามารถนํามาจัดการกับความไมมั่นคงทางจิตใจไดจริง เพราะสิ่งที่เกิดข้ึนกับตัวเธอ
สงผลใหเ ธอเขาใจชวี ิต เขา ใจคนอนื่ มากขึ้น ความสัมพนั ธร ะหวางเธอกับคนรอบขา งก็ดีขึน้ ตามไปดว ย

ผูหญิงอกี คนหนึ่งที่เขา มาปฏบิ ัติธรรมและเลอื กพทุ ธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ ดวยอิทธิพลจาก
คนในครอบครัวคือ เคก (34 ป) เธอเติบโตมาในครอบครัวที่ไมไดสบายมากนัก ชีวิตวัยเด็กของเธอ
จงึ เปนคนทเี่ ชอื่ ฟงผใู หญมาตลอด ต้งั ใจเรยี น ประพฤติตนอยูกรอบ ไมออกนอกลูนอกทางหรือสราง
ปญหาเพิ่มใหคนท่ีบานลําบากใจ เม่ือถึงชวงวัยรุนเธอไมไดออกไปเท่ียวเลนกับเพ่ือนเหมือนคนอื่น
ทําใหไมคอยมีเพ่ือนสนิท แตกลับสนิทกับแมมาก เธอสามารถปรึกษาแมของเธอไดทุกเร่ือง
เปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจหนึ่งเดียวของชีวิต แตแลวเมื่อถึงวันท่ีแมเสียทุกอยางก็เปล่ียนไป
เธอไมสามารถปรับตัว รับมือกบั สภาวะอารมณแ ละจติ ใจในชว งนั้นได เธอบอกวาตอนน้ันรูสึกเหมือน
หลงทาง เพราะไมรูจะหาคนท่ีรักและเขาใจเธอมากท่ีสุดแบบนี้ไดอีกท่ีไหน ตอนนั้นเธอกําลังศึกษา
ระดับปริญญาโท ซ่ึงเปนชวงเวลาท่ียากลําบาก เธอใชพลังในการเคี่ยวเข็ญตนเองเปนอยางมาก
แสวงหาวธิ ีทจี่ ะชว ยเยียวยาจิตใจ จนนกึ ไดวา เพอื่ นเคยพามาปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศาราม จงึ กลบั ไปฝกวปิ สสนากรรมฐานอยางจริงจังอีกคร้ัง จนเธอเขาใจและปลอยวาง
จากทกุ สิ่งลงได

74

กลุมสุดทายคือบุคคลที่ไมไดศรัทธา ไมเคยเชื่อในพุทธศาสนามากอน แตหันมาเลือกพุทธ
ศาสนาเปนที่พึ่งทางใจภายหลัง คนแรกคือ ตา (39 ป) ครอบครัวของเธอนับถือศาสนาอิสลาม
เธอเติบโตมาในสงั คมวฒั นธรรมของคนมสุ ลิม มีโลกทัศนกรอบความคิดและยึดถือในขอกําหนดของ
คนมุสลิมในสังคมไทย แตขณะเดียวกันพอแมของเธอก็เปนครูในโรงเรียนพุทธ เธอจึงไดเรียนรู
ความเปนพุทธจากพอ แมด วย ความสบั สนเกิดข้ึนในใจของเธอหลายครั้ง หากเธอต้ังคําถามท่ีขัดแยง
ตอความเช่อื ทางศาสนา เธอจะถูกตอ วา ทนั ที เธอจงึ ไมเ ขาใจวาเพราะเหตุใดท้งั ที่ศาสนาสอนใหม นุษย
รักกนั มีความเมตตาตอกัน แตกลับไมสามารถยอมรับหรือเห็นคุณคาของมนุษยอยางที่ควรจะเปน
ในขณะทีพ่ ทุ ธศาสนากลบั ไมเ ปนเชน น้ัน แนวคดิ และหลกั ปฏบิ ตั ทิ างพุทธศาสนาสอนใหรูจักปลอยวาง
เขาใจความแตกตางและเขาใจความเปนจริงของชีวิต เธอสามารถนําวิธีคิดมาปรับใชกับตนเอง
เพ่อื กําจัดความเครยี ดความทุกขค วามไมสบายใจในชวี ติ ประจําวัน ตอมาเธอไดพ บกับหนิง ซึ่งแนะนํา
ใหม าปฏิบัตธิ รรมทส่ี าํ นกั วปิ ส สนากมั มฏั ฐาน วดั สัมพันธวงศารามวรวิหาร จงึ ไดตัดสินใจหันมานับถือ
พุทธศาสนาอยางเต็มตัว แมวาเวลาอยูกับครอบครัวจะยังใชชีวิตแบบมุสลิมตามปกติ เพ่ือไมใหมี
ปญหากับคนทบี่ า นก็ตาม

ในทางกลับกนั ตมุ (59 ป) เปน คนทีไ่ มเ คยเชอื่ ในศาสนาใดตงั้ แตแรก คอ นขา งตอตานและไม
เห็นดว ยกบั สิ่งท่ีพิสูจนไมได ความยดึ มัน่ ถือมัน่ ทําใหเ ธอมักหงดุ หงดิ ใจอารมณรอ นยามทีส่ ามี ลูก หรือ
คนอื่นทาํ ส่งิ ท่ีไมถูกตอง ขณะทนี่ อ งสาวของเธอเปนคนฝกใฝในพุทธศาสนา เม่ือไดรูจักกับแมชีบุญมี
เวชสาร กพ็ ยายามชกั ชวนใหเ ธอไปเปน เพื่อน ความเมตตา ทัศนคตคิ วามคิดทรี่ เู หน็ ธรรมอยา งเปน เหตุ
เปน ผล ไมย ดั เยยี ดความเช่ือแตอ ธบิ ายใหเขา ใจตามความเปน จริง ทาํ ใหเ ธอเปดใจรับฟง และพิจารณา
ตามทแ่ี มช ีสอน นบั วา เปน คร้งั แรกท่ียอมเปด ใจใหพทุ ธศาสนา อยมู าวันหนึ่งเธอฝน ถงึ แมช เี ลยนึกชวน
สามีไปท่ีวัด ซึ่งทานเห็นวาเปนเรื่องดีที่เธอกลับมาและพาสามีมาดวย จึงแนะนําใหมาฝกวิปสสนา
กรรมฐานกบั ทา นเปนประจําทกุ เยน็ ทีว่ ัด วธิ กี ารสอนของแมชที ี่พิจารณาวาควรปฏบิ ตั ิอยางไร เริ่มตน
จากตรงไหน ตองแกไขอยางไร ทําใหเธอและสามีพัฒนาจิตใจของตนเองไดกาวหนาในเวลาเพียง
ไมนาน การฝกเจริญสติสงผลใหเธอเขาใจคนอื่นมากข้ึน ใจเย็นมากข้ึน สามีของเธอจากที่เปน
คนเครงเครียดกบั งาน เขมงวดกับลูกนองกเ็ ปลีย่ นไปในทางท่ดี ขี ึ้น ซ่ึงหลังจากปฏิบัติไดสักระยะเวลา
หนึง่ แมช ีกส็ นับสนนุ ใหส ามีของเธอทําหนาที่เปน วิปส สนาจารยสอนผูอน่ื ตอไป นัน่ ก็คืออาจารยชัยพร
ชยานรุ กั ษ สวนเธอเองก็คอยชว ยเหลือ ใหค ําแนะนํา แลกเปล่ียนประสบการณไปพรอมกับนักปฏิบัติ
ธรรมกลุมนี้ดวย เรียกไดวาจากคนที่ตอตานพุทธศาสนาไดกลายเปนคนที่สนับสนุนพุทธศาสนา
อยางจรงิ จงั เพราะส่ิงท่ีไดจากการปฏบิ ัติธรรมเปลี่ยนเธอใหเปน คนใหมท ่มี ีความสุขกบั ชีวติ มากขึน้

75

จะเห็นไดว า บุคคลทง้ั สามกลมุ นี้ แมจะมีท่ีมาของความสนใจในพุทธศาสนาแตกตางกันบาง
คลา ยกนั บาง แตพวกเขาลวนไดพบจุดเปลยี่ นที่สงผลตอการดําเนินชวี ติ ของตนเองเชน เดียวกัน นั่นคือ
การรับรูตอโลก ซ่ึงเคยถูกปลูกฝงพรํ่าสอนใหเปนผูหญิงตามที่ครอบครัวหรือคนในสังคมคาดหวัง
คา นยิ มเหลา นั้นจึงปดกั้นพวกเขาจากสิ่งอื่น ไมใหเกิดการตั้งคําถาม ไมใหสิทธิที่จะเลือกเปนตัวเอง
ในแบบท่ีอยากเปนไดอยางเต็มที่ ตองใชชีวิตอยูภายใตบรรทัดฐาน บางครั้งถูกสังคมตัดสินนินทา
บางครง้ั ทําไดเพียงเงียบไวเพ่อื ไมใ หเ กิดความขดั แยง หากแตเมื่อพวกเขาไดมารูจักกับธรรมะ จึงเปน
โอกาสในการพัฒนาของจิตใจดวยแนวคิดทางพุทธศาสนา ซ่ึงชวยใหพวกเขาเปล่ียนโลกทัศน มีการ
รับรูตอสิ่งท่ีเปนอยูเปล่ียนไป สามารถยอมรับและปรับตัวอยูกับสภาพแวดลอมเดิมไดดีขึ้น
รวมถงึ ประคบั ประคองสภาพจติ ใจของตนเองใหมสี ติ เพอื่ ทําหนาที่ของตนเองไดอ ยางมีประสิทธิภาพ
กวาแตก อน ความแตกตา งของภูมหิ ลังชวี ติ เหลา นท้ี ําใหเขา ใจไดว า แมประสบการณจะเปนสว นหน่ึงที่
สรา งตัวตนของมนุษยข้นึ มา แตการเขาใจในตวั เอง รจู กั เลือกส่ิงที่มปี ระโยชนใหก ับตัวเอง กเ็ ปน ปจจัย
ทีส่ ง ผลใหพ วกเขามีความมัน่ คงในชีวิตตัวเองมากขึน้ โดยเฉพาะในแงของจติ ใจ

การเติบโตภายใตกรอบคานยิ มในสังคมไทย

จากภมู ิหลังชีวิตของผหู ญงิ ทัง้ 10 คนท่ีใหสมั ภาษณไ ดแ สดงใหเห็นวา พวกเขาตางเติบโตมา
ดว ยการหลอ หลอมตัวตนจากสังคมใหดํารงตนอยูภายใตก รอบคานยิ มของวาทกรรมความเปนหญงิ ทด่ี ี
ในอดุ มคติ เรมิ่ ตน จากสถาบันครอบครวั อันเปนกลมุ สงั คมขนาดเลก็ ท่ีปลูกฝงถายทอดผเู ปนลูกสาวให
ประพฤติปฏิบัติตนตามเพศวิถีแบบผูหญิง ตลอดจนมีสํานึกของความเปนกุลสตรีในอุดมคติดังเชน
กรณขี อง เคก ผูหญงิ ทเ่ี ชือ่ ฟงคนในครอบครวั มาโดยตลอด ไมเคยออกนอกลูนอกทาง ชวงชีวิตวัยรุน
ของเธอจึงไมมีประสบการณไดเท่ียวเลนเหมือนคนอื่นมากนัก สวนใหญเธอใชเวลาอยูกับการเรียน
วิทยาศาสตรที่เธอถนัด เธอเชอ่ื ในเหตุและผลทพี่ ิสูจนท ดลองได เชนเดียวกับพุทธศาสนาที่เธอนับถือ
มาต้ังแตเด็ก เธอเห็นดวยในเร่ืองผลของกรรม ทําดีไดทําช่ัวไดชั่ว ดังน้ันเธอจึงยึดม่ันในการวางตัว
อยใู นศลี ธรรม พยายามท่จี ะไมส รา งภาระปญ หาใหครอบครัวเพิ่ม แมเปนเพ่อื นสนทิ เพยี งคนเดียวของ
เธอทส่ี ามารถปรึกษาพูดคยุ ไดทุกเรื่อง หลังจากท่แี มเ สียชวี ติ ของเธอน้ันไดรับผลกระทบตอเปนอยาง
มาก ตวั ตนของเธอไมสมบรู ณเ หมอื นอยา งเคย เนอ่ื งจากแมเ ปนทพ่ี ึ่งทางใจ เปน ความมนั่ คงหนึ่งเดียว
ของเธอ อนั สะทอนถงึ การท่เี ธอเคยชินอยกู บั การใชช ีวติ ภายใตว าทกรรมความเปน หญิง ในแงอุดมคติ
ของการเปนลกู สาวทดี่ ี จนไมส ามารถประคับประคองตัวตนของตัวเองใหเ ปนปกติได เม่ือถึงวันที่ตอง
สูญเสยี พอแมไป

76

ตรงกนั ขา มกับ ออย หญิงสาวผมสีนํ้าเงินท่ีเขามาปฏิบัติธรรม ณ สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ดวยภาพลักษณของเธอท่ีดูขัดแยงกับอุดมคติความเปนหญิงที่ดี
ในสังคมไทย ซ่งึ มีภาพมายาคตติ อ คนธรรมะธมั โมผูฝก ใฝใ นพทุ ธศาสนาวา จะตองสงบเสง่ียมเรียบรอย
ไมร ักสวยรกั งาม หากแตด ว ยความเปน ผหู ญงิ สมัยใหม รวมถงึ การอบรมเล้ียงดูอยางประคบประหงม
จากคนในครอบครัว ทําใหเธอมีความเปนตัวของตัวเองสูง มีอิสระท่ีจะคิดหรือตัดสินใจทําสิ่งตางๆ
โดยใชช วี ิตในแบบของเธอ ไมวาจะเปน การแตงตัวทาํ ผม รสนิยมความชอบ หรือแมก ระท่งั การศกึ ษา

ดวยภาพลักษณที่ดูเปนผูหญิงแรงๆ มั่นๆ คนมักจะมองวาเราเปนผูหญิงไมดี
ข้ีเหว่ยี ง มอี คติกับเรา นนิ ทาดูถูกเราท้ังที่ยังไมรูจักกันดี ซ่ึงความจริงเราก็ทําหนาท่ีของ
ตัวเองไมขาดตกบกพรอง ตั้งใจเรียน มีหนาท่ีการงานมั่นคง เปนลูกที่ดีของพอแมมา
โดยตลอด

(ออย, 13 ตุลาคม 2560: สมั ภาษณ)

ออยจบการศกึ ษาระดบั ปริญญาตรสี าขาเทคโนโลยีชีวภาพ หลักสูตรนานาชาติจากมหาวิทยา
มหดิ ลและไปศึกษาตอท่ีตางประเทศจนไดรับปริญญาตรีมาอีกหนึ่งใบ ปจจุบันไดงานเปนท่ีปรึกษา
ดา นการวจิ ยั เกบ็ ขอ มลู รา นคา ใหกบั หางสรรพสินคา ถงึ แมเ ธอจะทมุ เทแรงกายแรงใจใหกับการใชชวี ติ
ของเธอมากเพียงใด ก็ไมอาจหลีกเล่ียงการถูกตัดสินดวยอคติจากคนอื่นได ซ่ึงเธอพยายามทําใจ
ยอมรบั วาความเปน หญิงทด่ี ขี องสังคมกบั ความเปนหญิงท่ีดีสําหรับเธอนั้นแตกตางกัน เนื่องจากเธอ
มที ศั นคตวิ าการทาํ หนา ทข่ี องลูกสาวทด่ี ใี หครอบครัวนั่นกเ็ พยี งพอแลว

สังคมไทยมมี ายาคติเกี่ยวกับความเปนหญิงท่ีถูกออกแบบโดยผูชายมาตั้งแตอดีต ผูหญิงจึง
ไมมีอํานาจในการกําหนดจารีต ซึ่งเปนเครื่องมือที่ใชควบคุมคนในสังคมใหปฏิบัติตามรวมกัน
เพราะเช่อื วาเปน ส่ิงท่ีถูกตอง อันเปนปจจัยท่ีสงผลใหฐานะของผูหญิงในสังคมไทย แทบไมตางจาก
วัตถุท่ีตองอยูภายใตอํานาจวาทกรรมของความเปนกุลสตรีเทาน้ัน กลาวคือ หญิงไทยที่ดีตอง
ประพฤตติ นเรยี บรอย สํารวมกิรยิ ามารยาท ออนหวาน สนใจงานบานงานเรือน ไมสมควรแสดงออก
ความรูสึก ความตองการ กิริยาทาทางมากเกินไป ไมวาจะในอดีตหรือปจจุบันคุณคาของผูหญิง
กลับอยูที่ความงามตามอุดมคติของสังคม หากใครแตกตางไปจากคานิยมเหลาน้ีก็จะถูกวิจารณ
มองวา แปลก ถงึ แมบ ุคคลนน้ั จะมีความมน่ั ใจในตัวตนของตวั เอง กไ็ มเวนจากการถูกตัดสิน

สถาบันการศกึ ษากเ็ ปนหนึ่งในสถาบันทางสงั คมท่ีผลติ ซ้ํามายาคตเิ กีย่ วกับความเปนหญิงที่ดี
แกค นในสงั คมไทย โดยสรางแบบแผนทางวัฒนธรรมขึ้นมา เพ่ือเปนบรรทัดฐานที่ใชขัดเกลาผูหญิง

77

ใหร บั รตู วั ตนในแบบเดียวกัน ตลอดจนถายทอดความรเู กย่ี วกบั ความเปนหญิงผานวาทกรรมทางเพศ
ในสังคม ทั้งผูหญิงและผูชาย สวนใหญจึงมีโลกทัศนตอความเปนหญิงในลักษณะอุดมคติที่คนไทย
ยอมรับรว มกัน เชน การกาํ หนดใหน ักเรยี นนกั ศกึ ษาแตง กายดวยชดุ เครื่องแบบตามเพศสภาพจงึ จะถือ
วาถูกระเบียบ หรือแมกระท่ังการสอนเรื่องกิริยามารยาท หากผูหญิงประพฤติตนไมเรียบรอย
ก็จะถูกตอ วา และลงโทษ เปนตน กระบวนการขดั เกลาทางสงั คมน้คี อยผลิตซ้ําความเปน หญิงใหซ ึมซบั
อยูใ นตัวตน เชนเดยี วกับผูหญิง 10 คนท่ีใหสัมภาษณก็ลวนแลวแตไดรับอิทธิพลจากการหลอหลอม
ความเปนหญิงผา นสถาบันการศกึ ษามาแลว ท้ังสิ้น

สถาบันศาสนาเปนอีกหนึ่งสถาบันทางสังคมท่ีมีอิทธิพลอยางมากตอการผลิตซํ้าความเชื่อ
เกี่ยวกับคานิยมทางเพศ จากการสัมภาษณพบขอมูลที่บงบอกถึงการปลูกฝงความคิดความเช่ือ
ดงั กลาว 2 ศาสนา ไดแก ศาสนาพทุ ธและศาสนาอิสลาม

ในกรณีของ แมช ตี อย ท่ไี มไดม ปี ญ หาจากวาทกรรมความเปนหญิงในสังคมมากนัก แตทาน
ผกู พนั กบั พทุ ธศาสนามาตง้ั แตกอ นบวชท้ังจากการหลอหลอมโดยสถาบันทางสังคมตางๆ ทําใหทาน
ศรัทธาและตระหนักถึงคุณคาของพุทธศาสนาเสมอ ยามที่ยังเปนฆราวาส ทานมักแสวงหาสถานที่
ปฏบิ ตั ธิ รรม เคยบวชชีพรามหณถือศีลจริงจังอยูหลายคร้ัง จนวันท่ีพอแมไดเสียไป ทานจึงตัดสินใจ
บวช ถวายตัวเขาสูเสนทางพุทธศาสนา เพ่ือทําหนาที่สนับสนุนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
อยางเต็มที่ เร่ิมจากฝกพัฒนาตนเองดวยการศึกษาหลักธรรมพระคัมภีร ฝกวิปสสนากรรมฐาน
จนกระทั่งสามารถตัดความกังวลทางโลกไดในระดับหนึ่ง ทานชอบเดินทางไปเรียนรูธรรมะจาก
พระอาจารยท่ีมีแนวทางการปฏิบัติแตกตางกัน เม่ือมีความรูพอสมควรแลว ทานจึงหันไปทําหนาที่
วิทยากรสอนอบรมเยาวชนที่มาเขาคายธรรมะ ซ่ึงสวนใหญไปสอนท่ีสํานักวิปสสนาวิเวกอาศรม
จงั หวัดชลบรุ ีเปน ประจํา สลับกับการพํานกั ที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
ในกรงุ เทพฯ แนน อนวาทา นมแี นวทางการสอนในแบบของตนเอง จึงเปนแมชีท่ีคอนขางเจาระเบียบ
เครง ครัดจรงิ จงั ในบทบาทหนาท่ีที่รับผิดชอบ ใชชีวิตท่ีเหลืออยูเพื่อรับใชดูแลสนับสนุนพุทธศาสนา
อาจกลาวไดวาแมจะตองยินยอมอยูภายใตวาทกรรมทางเพศในสถาบันพุทธศาสนา แตตัวตนใหม
ในฐานะแมช กี ็สรา งคณุ คาใหกบั ตัวทานเองเพราะขณะเดียวกนั พทุ ธศาสนาก็ทาํ ใหทา นไดพ ฒั นาตัวเอง
ทางดานจิตใจ จนสามารถใชชีวิตอยางมีความสุขมากขึ้นในปจจุบัน หลุดพนจากความทุกขได
ในระดบั หน่งึ

78

ไมตางจากผูหญิงที่เติบโตในสังคมมุสลิมอยาง ตา ครอบครัวของเธอพยายามปลูกฝง
วัฒนธรรมทางศาสนาอันหมายรวมถึงเพศวิถีของผูหญิงอิสลามใหเธอเรียนรูและปฏิบัติตั้งแตเด็ก
ขณะเดียวกันการศึกษากลับทําใหเธอไดรูจักโลกทัศนความเช่ืออื่นๆ ไปดวย เชน พุทธศาสนา
วิทยาศาสตร เธอจึงมีชุดความคิดหลายแบบท่ียอนแยงอยูในตนเอง แมพิจารณาแลววาแนวทางของ
พทุ ธศาสนามปี ระโยชนกบั ตัวเธอมากกวา แตค วามรบั ผิดชอบตอครอบครัวก็ยังเปนเหตุใหตองรักษา
ตวั ตนดั้งเดิมไว ดว ยการยงั ถอื ศลี ละเวน จากการกระทาํ ผิดตออัลเลาะห อันที่จริงผูหญิงมุสลิมมีสิทธิ
ที่จะเปนตัวของตัวเองได โดยอยูภายใตกรอบขอกําหนด สิ่งสําคัญคือการยึดม่ันในอัตลักษณของ
ความเปนอิสลามอุทิศชีวิตใหกับอิสลามไมวาจะอยูในสภาพแวดลอมเชนไร ทั้งนี้เพื่อรักษาความ
เขม แข็งทางวฒั นธรรมของศาสนาใหคงอยใู นสงั คมไทยสืบตอไป

นอกจากนี้ อุดมคติของความเปนหญิงท่ีดีในสังคมไทย ยังถูกผลิตซ้ําผานสื่อใหพบเห็น
อยูเ สมอ เรียกไดว าสื่อมีอิทธิพลอยางมากในการตอกย้ําอุดมคติท่ีวาผูหญิงท่ีดีจะตองคูกับความงาม
อันสะทอนใหเห็นถึงระบบความคิดเรื่องเพศที่ผูชายเปนผูท่ีมีอํานาจในการกําหนด เรามักจะเห็น
โฆษณาท่ีพยายามถายทอดความงามในรูปแบบตางๆ ของผูหญิง ซึ่งปรากฏอยูเร่ือยๆ อีกทั้งยัง
เปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย วาทกรรมเหลานี้เปนตัวกระตุนใหคนในสังคมซึมซับระบบความคิด
คานยิ ม ความเช่ือเกย่ี วกับความเปน ผหู ญิงในอุดมคติอยา งงายดาย จนหลายคนไมอาจแยกแยะตนเอง
จากหลุมพรางทีอ่ ยภู ายใตวาทกรรมเหลา น้ีได จึงนาํ ไปสกู ารดนิ้ รนแสวงหาทีพ่ ง่ึ ทางใจโดยไมมที ส่ี ิ้นสดุ

จากการสัมภาษณพบวาชวี ิตของผหู ญิงแตละคนลว นเตบิ โตมาดวยคา นิยมตางๆ เหลา นท้ี ั้งสนิ้
บางคนประสบปญ หาความทุกขจ ากคานิยมอุดมคติทางเพศอยางเหน็ ไดชัด บางคนไมไ ดร ับผลกระทบ
ท่ีหนักหนามากนกั แตก ารเติบโตมาภายใตคานิยมดังกลา วกส็ ง อทิ ธพิ ลตอ ทัศนคติการใชชีวิตในฐานะ
ผหู ญิงอยู เมอ่ื ผหู ญิงกลุม น้พี จิ ารณาแลววาคา นิยมทางเพศในแบบอดุ มคติ เปน ปจ จัยสวนหนึ่งที่ทําให
พวกเขาเกิดความทกุ ข จงึ เริ่มตั้งคําถามตอสังคมและพยายามหาคําตอบดวยการทําความเขาใจโลก
ผา นพุทธศาสนา เพือ่ สรา งความมน่ั คงทางจิตใจใหกบั ตัวตนของพวกเขาเองอกี คร้งั

เร่มิ ตนแสวงหาที่พึง่ ทางใจ

โดยธรรมชาตแิ ลวเวลาทมี่ นษุ ยร สู กึ ไมมั่นคงทางจิตใจ คนสวนใหญมักจะดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่
เปนหลกั ทพ่ี ่ึงเพื่อยึดเหน่ยี วจติ ใจ บางคนเลือกพอแมหรือบุคคลอื่นๆ เปนที่พ่ึง บางคนเลือกศาสนา

79

ความเชื่อ บางคนใหคุณคากับวัตถุสิ่งของ บางคนเลือกอยูกับตัวเอง บางคนเลือกเขาสังคม
มปี ฏสิ มั พนั ธก ับผูอื่นไปเรือ่ ยๆ จนกวาความรสู กึ ไมม น่ั คงเหลา น้ันจะหายไป

อิทธิพลจากคานิยมตางๆ ในสังคมไทยเปนปจจัยหนึ่งท่ีกอใหเกิดความตองการดังกลาว
เชนเดียวกับคานิยมทางเพศที่ผลิตซ้ําอุดมคติของความเปนผูหญิงท่ีดีมานานหลายยุคสมัย อุดมคติ
เชนนยี้ งั คงฝงรากลึกอยูในระบบความคดิ ของคนในสงั คมทว่ั ไป โดยเฉพาะคา นิยมเรื่องความงามท่ีถูก
ใชเ ปนเคร่อื งมือในการตัดสนิ คุณคา ในตัวของผหู ญิงขณะเดยี วกันเม่ือมุมมองความเปนเสรีนิยมตื่นตัว
ในหมคู นสมัยใหมม ากขน้ึ กเ็ กดิ การต้งั คาํ ถามและพยายามสรางวาทกรรมเกี่ยวความงามรูปแบบอ่ืน
ขนึ้ มา เพอื่ สนบั สนุนความเทาเทียมและความแตกตางของผูหญิง เราจึงไดพ บเหน็ วาปจจบุ ันสงั คมไทย
ยอมรบั และใหคุณคา ผหู ญิงในทางที่หลากหลายมากขึ้น ไมใชแคเร่ืองความงาม ศีลธรรม หรือฐานะ
แตยงั ใหความสําคญั กบั ทัศนคติ ความสามารถ และความรูความสนใจของปจ เจกบคุ คลนัน้ ดวย

อันที่จรงิ วาทกรรมเรอ่ื งความงามมีความสัมพันธเก่ียวขอ งอยา งแยกไมขาดจากวาทกรรมเรอื่ ง
ความเปน หญิงที่ดใี นสังคมไทยมาตลอด ความงามที่วานี้ไมใชความงามเพียงในแงรูปลักษณ หากแต
รวมถึงกิริยามารยาท การรูจักวางตัว รูจักบทบาทหนาที่และสถานะของตนเอง จึงจะไดรับการ
พิจารณาวามีคุณคานายกยองดีงามตามอุดมคติของสังคมการหลอหลอมวาทกรรมความเปนหญิง
เชน น้ี ถือเปนการสรางทุนทางสังคม2 ใหกับผูหญิง แตในทางกลับกันคานิยมทางเพศดังกลาวก็มีผล
ทาํ ใหใ ครหลายคนสูญเสียความเปนตัวของตัวเอง ไมร ูจักความพอดี และพยายามดน้ิ รนหาทางพัฒนา
ตัวเองใหเปนไปตามอุดมคติที่สังคมคาดหวังท้ังนี้เพ่ือใหไดรับการยอมรับ รวมถึงมีโอกาสทางสังคม
มากขึ้น ไมว าจะเปน ในตาํ แหนงหนา ท่กี ารงานหรือการคบหาปฏสิ ัมพนั ธกับคนในกลุมสงั คมตางๆ

แมชีพร คอื ตัวอยางของผูหญงิ ท่ีเคยทุกขทรมานอยา งแสนสาหสั เพราะตกอยูภายใตอุดมคติ
ของความเปน หญงิ ท่ดี ใี นสังคมไทย ชวี ติ กอนท่ีจะหันมาใชพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจนั้นไมแตกตาง
จากผหู ญิงสมัยใหมทว่ั ไป ทา นเปนผูหญิงท่ีรักสวยรักงาม มีครอบครวั มหี นา ท่กี ารงานและสถานะทาง
สังคมที่ดี แตแลววันหน่ึงกลับมีเหตุใหครอบครัวของทานประสบปญหาลมละลายจนแทบหมดส้ิน
ทกุ อยาง จากที่เคยเปน ผหู ญงิ ที่ดีพรอ ม ทานจมอยกู ับการสญู เสีย คนรอบขา งเริ่มออกหาง ตฉิ นิ นินทา
ตัดสินชวี ิตทา น นับเปนจุดเปลยี่ นชวี ิตคร้งั สาํ คญั ทยี่ ากจะยอมรับได เปนทุกขหนักจนกระท่ังรางกาย

2ทุนทางสังคม หมายถึง ปจจัยทางสังคมทช่ี ว ยสง เสรมิ ใหเ กดิ การพัฒนาตนเอง หรอื ทําใหเ กิด
คุณคา และมูลคา เพมิ่ ตอการผลิตหรือการพัฒนาทดี่ ขี ึ้น (พรระวี สีเหลืองสวัสดิ์, 2553)

80

ออนแอและทรุดโทรม ถึงข้ันเดินเปนปกติไมได หยิบจับส่ิงของลําบาก อีกทั้งยังเลาถึงตัวทานเอง
ในชวงเวลานน้ั วา

ทง้ั เครยี ดทง้ั เจบ็ ใจ รองไหทุกวันจนเจ็บตา จากคนที่เคยมีแลววันนี้ไมมี จากท่ี
เคยสวยงามสขุ ภาพกลับแยล งเรอ่ื ยๆ ไปรักษากย็ ังไมดีขึ้น อารมณข้ึนๆลงๆ หมอบอกวา
เราเปน ไบโพลาร

(แมช ีพร, 22 กันยายน 2560: สัมภาษณ)

ดว ยสถานการณข องครอบครัวท่พี ลิกผันไปเชนน้ัน ทําใหจิตใจของทานไมเหลือความมั่นคง
หรือส่งิ ใดเปน ทีย่ ึดเหนีย่ วอีก ทางดา นลูกชายกด็ น้ิ รนหาวธิ ชี ว ยแม เม่อื มีคนแนะนาํ ใหไ ปปรึกษาผูรูผูมี
วชิ ากไ็ มล ังเลต้งั ขอสงสัย กระทัง่ มโี อกาสไดลองปฏิบัตธิ รรม เรม่ิ เรียนรูธรรมะและแนวคิดคําสอนทาง
พุทธศาสนา อาการปวยทางกายและใจของแมก็มีพัฒนาการไปในทางท่ีดีขึ้น ทานตัดสินใจบวชที่
จังหวัดชลบุรี ในป พ.ศ. 2546 แมชวงสามปแรกจะไมหายขาดจากอาการปวยในทันที มีความคิด
อยากสึกอยูบางยามเผลอคิดกังวลถึงอดีต ทานเห็นวาตัวเองไมประสบความสําเร็จทางธรรมเสียที
อกี ท้ังจิตใจยังเตม็ ไปดว ยมลพิษ อยไู ปก็มีแตจะทําใหผา ขาวตองมวั หมอง ทวาลกู ชายที่ไดปฏิบัติธรรม
แลว นน้ั ขอใหท านบวชตอ เพ่ือไมใ หทานตอ งกลับไปเผชิญเร่ืองราวทางโลกทง้ั ทย่ี ังไมหาย ทานจึงยอม
ทําตามคําขอของลูก หลังจากน้ันไดมารูจักแมชีบุญมี เวชสาร ผูซึ่งเมตตาทาน นําพาทานออกจาก
การจมอยกู บั ความทกุ ข ในทส่ี ุดสภาพจิตใจและสภาพรางกายของทา นก็ดีขึน้ แขง็ แรงขน้ึ ตามกาลเวลา

สวนคนท่วั ไปทไี่ มไ ดเ ผชิญกับมรสุมชวี ิตรา ยแรงอยาง เกด เลาถึงวิธีแสวงหาท่ีพึ่งทางใจยาม
ตกอยูในความทุกขหรือความไมม่ันคงทางจิตใจวา เธอมักจะใชเวลาไปกับการดูหนังฟงเพลง
การช็อปปง การเขาสังคมท้ังในแบบพูดคุยกันปกติและเขาสังคมแบบออนไลน เพื่อดึงความสนใจ
จากอารมณท มี่ ัวหมองไปสูสง่ิ ท่สี รางความบนั เทิงใจ ผอ นคลายตวั เธอเองจากพนั ธนาการตางๆ ในชวี ิต

ชีวติ ของเกดเปนเหมือนกับผูหญิงสมัยใหมทั่วไปในสังคมไทย เธอมีหนาที่การงานท่ีตองใช
ท้งั แรงกายและแรงใจทุมเท เพือ่ แลกกับความม่นั คงตอ สถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและตัวเธอ
ในบางครงั้ เธอรูสึกสับสนวาสงิ่ ที่ทาํ อยูสรา งความสขุ ความพึงพอใจในชีวติ เธอไดจริงหรือไม หรือเพียง
เพราะชีวติ ของเธอถูกกําหนดเสน ทางเอาไวแลว ตั้งแตเดก็ เธอถูกปลูกฝง จากสงั คมวา คณุ คาของผหู ญงิ
คือการวางตัวตามอุดมคติของสังคม ตองเปนลูกสาวท่ีดีของพอแม ตั้งใจเรียน ถึงจะไดเขาเรียน
มหาวิทยาลยั ชื่อดัง มงี านทาํ ทีม่ ั่นคง ไมดอ ยกวาผูชาย แตตวั เธอเองกย็ ังรสู กึ ไมมคี วามมน่ั คงทางจิตใจ
ไมไดม ีความสขุ อยางแทจริง

81

หากไมมกี ารปฏิบัตธิ รรมทเ่ี ธอจับพลดั จับผลไู ดไ ปฝก อบรม จนกระท่ังสมัครใจไปเปนพี่เลี้ยง
จิตอาสาคอยชวยเหลือผูอื่น เธอก็คงเปนผูหญิงที่ใชชีวิตตามบทบาทหนาที่ไปเร่ือยๆ ดูแลคลุกคลี
อยูกับคนปวย แตในยามท่ีเธอเจ็บปวยทางจิตใจ ความรูทางวิทยาศาสตรชีวภาพที่ร่ําเรียนมาเพ่ือ
ทําความเขาใจเกี่ยวกับธรรมชาติรางกายของมนุษย กลับไมสามารถจัดการกับปญหาภายในที่เธอ
ประสบพบเจอได การพยายามใชชีวิตตามคานิยมท่ีสังคมบอกจะไมไดตอบสนองความตองการ
ทางดานจติ ใจของเธอได เม่ือมพี ุทธศาสนาในชวี ติ จงึ นับเปนกญุ แจสาํ คัญที่ทําใหเธอเขาใจชีวิต เขาใจ
การกระทําและความรูสึกนึกคิดของผูอื่น เขาใจความแตกตางในแงตัวตนของมนุษยมากข้ึน มีสติ
ในการดาํ เนินชวี ติ และยอมรบั ความจริงท่พี บเจอในชวี ิตประจําวนั ไดม ากข้ึน เพราะเธอไดนาํ เอาธรรมะ
มาปรับใชกับระบบความคิดชุดเดิมของเธอ จนสามารถเลือกวิธีเยียวยาจิตใจที่เหมาะสมกับตนเอง
ในชวงเวลาตางๆ

สําหรับผูหญิงบางคน การอยูกับตัวเองอาจเปนทางเลือกท่ีดีท่ีสุด หนิงเปนคนท่ีชอบ
ทําอาหาร ยามทีม่ ีเวลาวางจากการทาํ งาน เธอมักจะฝกฝนในสง่ิ ท่ีตวั เองสนใจเปนงานอดเิ รก เธอรูตัว
วาการดน้ิ รนออกไปแสวงหาความสุขภายนอกไมส ามารถเติมเตม็ ความตองการของเธอได ดว ยความที่
เธอศรัทธาตอพุทธศาสนามาต้ังแตเด็ก เห็นถึงโทษของการทําบาปและความทุกขยากลําบากของ
การเวียนวายตายเกิด เธอจึงใชช ีวติ อยางระมัดระวัง หลีกเล่ียงความเส่ียงท่ีจะนําไปสูการลุมหลงกับ
ส่ิงลอลวงตางๆ เชน การด่ืมสุรา การแตงหนาแตงตัว การออกไปเที่ยวกลางคืน การอยูใกลชิดกับ
ผชู ายสองตอ สอง เธอไมไ ดม คี วามตอ งการจะเปนผหู ญงิ ในแบบที่สังคมคาดหวัง เพราะคิดเพียงแตจะ
ทาํ หนาท่ขี องตวั เองใหดี มกี ารงานท่ดี ี เพ่ือดูแลตัวเองและครอบครวั

หนิงเลาถึงการเลือกที่พ่ึงทางใจของตัวเองในอดีตกอนท่ีจะมาปฏิบัติธรรมอยางจริงจังวา
บางครั้งเมือ่ เธอรสู กึ เหน่ือยลา ตอ งการกาํ ลงั ใจ เพือ่ ที่จะไดรูวา ควรดําเนนิ ชีวิตไปทางไหนตอการดูดวง
ก็เปนหน่ึงในทางเลือกที่ดีสําหรับเธอ เน่ืองจากการไดรับคําทํานายและคําแนะนําจากหมอดู
ชว ยเยยี วยาความสับสนในชีวิต การลวงรูท่ีมาท่ีไปเกี่ยวกับส่ิงที่เคยเกิดข้ึนในอดีต ส่ิงที่กําลังเปนอยู
ณ ปจจุบัน และสิ่งที่กําลังจะเกิดข้ึนในอนาคต อยางนอยก็ทําใหเธอระมัดระวังตัวและมีกําลังใจใน
การดาํ เนนิ ชวี ิตตอไป แตหลงั จากที่ไดปฏบิ ตั ิธรรมแลวกเ็ ขา ใจมากข้นึ วา การรูอนาคตเปนการแกปญ หา
ที่ปลายเหตุ และอาจทําใหเรายึดติดกับคําทํานายจนไมมีสติ วิตกกังวล คาดหวังอนาคตจนเกินไป
ขณะท่ีการปฏิบัติธรรมแบบวิปสสนากรรมฐานใหผลลัพธในทางตรงกันขาม คือชวยใหมีสติอยูกับ
ปจจุบนั เพอ่ื ทจ่ี ะไดประคับประคองอารมณและจิตใจของตนเองใหม ่นั คง พรอ มรบั มือกบั สถานการณ
ตา งๆ

82

เชนเดียวกับ มล เธอเปนผูหญิงคนหน่ึงท่ีแสวงหาวิธีจัดการกับอารมณความรูสึกท่ีไมมั่นคง
ของตัวเองมาโดยตลอด เธอเปนคนท่ีรักความสมบูรณแบบ ใสใจรายละเอียดจนคิดเยอะ ยึดม่ันใน
มมุ มองของตัวเอง เพราะเช่ือวาจะทําใหทุกอยางท่ีทําออกมาดีและถูกตอง ชีวิตการทํางานของเธอ
เต็มไปดวยอุปสรรคมากมายท่ีจําเปนตองมีความสามารถในการรับมือตอปญหาเฉพาะหนา
รูทันสาเหตุและวิธีการแกไข เปนสวนหน่ึงท่ีทําใหเธอสนใจในเร่ืองของเทคนิคการพัฒนาตัวเอง
เพอ่ื ลดจดุ ออ นท่ีเปน ขอ เสยี ตางๆ

สิง่ แรกทเ่ี ธอเลือกเปนท่ีพง่ึ ทางใจคือคนใกลช ิดของเธอ จากท่ีแตเดิมเธอเปนคนท่ีมักจะเก็บ
ความเครยี ดหรอื ความทกุ ขไ วกบั ตัวเอง เธอลองหันไปปรกึ ษาเพ่ือน ระบายความรูสึกใหคนที่สบายใจ
รับฟง นอกจากนี้ยังผอนคลายตัวเองดวยการใชธรรมชาติบําบัด ซื้อหนังสือท่ีมีเน้ือหาเกี่ยวกับ
การพัฒนาตนเองมาอาน เชน หนังสือจิตวิทยา หนังสือปรัชญา และหนังสือธรรมะ ดวยเหตุนี้ทําให
เธอไดเรียนรูแนวคิดและหลักปฏิบัติของพุทธศาสนาจึงคนพบวาเปนทางเลือกท่ีดีในการปรับวิธี
การทําความเขาใจชวี ิตของตวั เองจึงเกิดความสนใจ กระทงั่ วันหน่ึงมีคนรูจักแนะนําใหไปปฏิบัติธรรม
กับแมช ีบญุ มีท่สี าํ นักวปิ สสนากรรมฐาน วัดสมั พันธวงศารามวรวิหาร ซึ่งพอดีกับชวงที่เธออยากจะมี
พื้นท่ีสงบจิตใจจากความวุนวายก็เลยตัดสินใจมาท่ีนี่ หลังจากที่ไดฝกวิปสสนากรรมฐาน ก็เห็นถึง
ผลลัพธท่ีเกดิ ขน้ึ กบั ตนเองวา กระบวนการในการฝกเจรญิ สตเิ ปนกลไกทส่ี ามารถชวยใหเธอหลุดออก
จากความคดิ ฟุงซาน ความกังวลและความหนักอกหนักใจในเร่ืองที่แบกอยูใหเบาลง อีกทั้งยังเอาไป
ใชใ นระหวา งการดําเนนิ ชีวติ ประจาํ วนั เธอบรหิ ารจติ ดว ยการระลึกถงึ สติตลอดเวลาเทา ทีจ่ ะทาํ ได

ประโยชนที่เห็นไดจากตัวเองชัดเจนเลยก็คือ เราสามารถควบคุมสติ ควบคุม
อารมณใหอดทนได รอได ทา มกลางสภาวะความกดดันของการทาํ งาน หรือส่ิงใดก็ตามท่ี
มันเขามากระทบจิตใจของเรา เวลามเี รื่องอะไรเขามาการบรหิ ารจติ ทาํ ใหเราโฟกัสอยูกับ
ปจจุบัน Delete เรื่องนั้นออกไป คลายๆ กับการปองกันตัวไมใหอารมณเหว่ียงไปตาม
เร่ืองนั้นเรื่องนี้ ทําใหเราใจเย็น เขาใจคนอ่ืนมากขึ้น มองเห็นขอเท็จจริง มองเห็น
Solution ของปญ หา

(มล, 22 กนั ยายน 2560: สมั ภาษณ)

ชีวิตของผหู ญิงกอ นทจี่ ะมาบวชและปฏิบัตธิ รรมทสี่ าํ นักวปิ สสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร มีทั้งบุคคลที่ดิ้นรนแสวงหาที่พึ่งทางใจ เพราะประสบกับปญหาความทุกขในชีวิต
ท้งั บุคคลทีแ่ สวงหาท่พี ่ึงพิงทางใจ เพื่อหลีกหนีจากความวุนวาย พักสงบสติอารมณในเวลาท่ีรูสึกไม

83

ม่นั คง และมีทง้ั บคุ คลที่แสวงหาที่พ่ึงทางใจเพ่ือปรบั ปรุงตัวเอง อยากพฒั นาตัวเองใหดีข้ึนในระยะยาว
สง่ิ เหลานีส้ ะทอนใหเห็นถึงการที่มนุษยมีความตองการท่ีจะเติมเต็มในสิ่งท่ีตัวเองขาดหาย ตองการ
ตอบคําถามในสิ่งท่ตี ัวเองไมรู ตลอดจนหาหนทางที่จะทําความเขาใจถึงการมีอยูของตนเอง ภายใต
อทิ ธิพลของคา นิยม จารีต บรรทัดฐานตา งๆ ในสงั คมที่ดํารงอยู

อยางไรก็ตามท้ังสามบุคคลท่ีกลาวมาขางตนนี้เปนเพียงตัวอยางของผูหญิงไทยในสังคม
สมยั ใหมท พ่ี ยายามแสวงหาทพ่ี ง่ึ ทางใจ แตเราไมสามารถตัดสินจากมุมมองหรืออคติของตัวเองไดวา
การแสวงหาความสุขดวยวิธีแบบใดของบุคคลใด เปนทางเลือกที่ถูกหรือผิด ถึงแมวาสิ่งที่บุคคลน้ัน
กําลังเลือกจะเปนทําใหเขาตองสูญเสียบางอยาง แลกกับการไดมาเพ่ือความสุขบางอยางก็ตาม
เนื่องจากความพงึ พอใจในชีวิตของแตล ะบคุ คลลวนแตกตา งกัน มีพื้นฐานความรู ประสบการณ และ
ภูมิหลังชีวิตท่ีไมเหมือนกัน ดังน้ันการตัดสินใจเลือกที่พ่ึงทางใจจึงขึ้นอยูปจเจกบุคคล พุทธศาสนา
กเ็ ปนหน่งึ ในทางเลือกของผูห ญิงในกลมุ บคุ คลตัวอยา งเพยี งเทา นั้น

กา วเขาสเู สนทางพุทธศาสนา

จุดเรมิ่ ตนของการเลอื กพทุ ธศาสนาเปน ท่ีพึ่งทางใจสําหรบั ผหู ญิงในกลุมตวั อยางทั้ง 10 คนนี้
อาจแบงออกไดเปน 2 กลุมลักษณะ กลุมแรกคือ บุคคลที่ตองการพัฒนาตนเองดวยแนวคิดและ
หลักปฏิบัติทางพุทธศาสนา สวนอีกกลุมหนึ่งคือ บุคคลท่ีเผชิญกับปญหาหรือเรื่องราวในชีวิตอัน
เก่ียวของกับการสูญเสีย จนนําไปสูความรูสึกที่ไมม่ันคง ที่พึ่งทางใจอ่ืนในชีวิตทางโลกไมสามารถ
ตอบสนองตอความตอ งการทางดา นจติ ใจน้ันได

บุคคลท่ีตองการพัฒนาตนเองดวยแนวคิดและหลักปฏิบัติทางพุทธศาสนาอยางชัดเจนคือ
มล กับ หนิง พวกเธอนําส่ิงท่ีไดจากฝกวิปสสนากรรมฐานมาปรับใชในชีวิตการทํางานและการมี
ปฏิสัมพันธรวมกับผูอ่ืน รวมถึง ตา ซึ่งแตเดิมเปนผูหญิงท่ีนับถือศาสนาอิสลาม แตภายหลังเห็นวา
แนวคิดทางพุทธศาสนาและวิธีในการปฏิบัติธรรมชวยเติมเต็มและตอบคําถามใหกับชีวิตของเธอได
เธอจึงไมล ังเลทจ่ี ะกา วเขาสูโ ลกแหงพทุ ธศาสนา ตลอดจนสามารถอยูรวมกับครอบครัวชาวมุสลิมได
อยางเปนปกติขณะที่ ตุม แตเดิมเปนคนไมเช่ือหรือศรัทธาในศาสนาใดเลย หากแตเม่ือมีโอกาส
ไดพ ดู คุยกับแมชี ไดเรยี นรูธรรมะ กพ็ บวามปี ระโยชนต อตนเอง ทาํ ใหทัศนคตเิ ปลีย่ นไป เปด ใจยอมรับ
ความแตกตาง อีกท้ังยังมีความเมตตาตอผูอื่นมากขึ้น สวน เกด เปนคนเดียวท่ีบังเอิญไดเขารวม
โครงการอบรมธรรมะ อนั เปน กิจกรรมทอี่ ยใู นหลักสูตรของมหาวิทยาลยั เปน ผลทําใหเ ธอไดฝ กปฏบิ ตั ิ

84

ธรรม เรียนรูถงึ ขอดขี องการนําพทุ ธศาสนามาปรบั ใชในการทําความเขา ใจชวี ิตต้ังแตย ังอายนุ อ ย แมว า
ปจจุบันเธอจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาหลายปแลว แตก็ยังคงฝกใฝในพุทธศาสนาและ
การปฏบิ ตั ิธรรมอยูเชน เดมิ

ในอีกดานหน่ึง บุคคลที่หันมาพ่ึงพุทธศาสนาภายหลังจากประสบความทุกขหรืออุปสรรค
ในชีวติ มกั พบในกลุมแมชี โดย แมชบี วั และ แมช ตี อย ไดกลาวเหมือนกันวาการที่พอแมเสียไปเปน
สาเหตุหนึ่งท่ที าํ ใหตดั สนิ ใจบวชเพือ่ ปลงตอ ชีวติ ทาํ ความเขา ใจถึงการเกิดแกเ จบ็ ตายอันเปนธรรมชาติ
ของมนุษย จนกระทั่งตนเองละวางจากความเศราโศกลงได เชนเดียวกับ เคก ที่หันมาปฏิบัติธรรม
อยางจริงจัง หลังจากท่ีแมผูเปนที่พ่ึงทางใจหน่ึงเดียวของเธอจากไป แตสําหรับ แมชีพร การเลือก
พุทธศาสนากลับเปนที่พ่ึงสุดทายท่ีเปล่ียนแปลงชีวิตของทานจากอาการปวยหนักในชวงเวลา
ทย่ี ากลําบาก การยดึ เอาหลักธรรมคําสอนและการปฏิบัติธรรมเขามาชวยเยียวยาจิตใจใหแข็งแกรง
ซ่ึงการที่สภาพจิตใจดีข้ึนก็ทําใหรางกายกลับมาหายดีเปนปกติ นอกจากนี้การสูญเสียคนรักยังเปน
สาเหตุหน่ึงท่ีทําใหผูหญิงตัดสินใจใชพุทธศาสนามาเปนท่ีพึ่งทางใจอีกดวย ออย เลือกเขามา
ฝก วิปสสนากรรมฐาน เพ่ือควบคุมสติไมใหจมอยูกับการคิดถึงอดีต ไมใหอาลัยอาวรณถึงบุคคลท่ีเธอ
ยังรกั และผูกพัน เมอื่ ปฏิบตั จิ นสามารถประคับประคองจติ ใจไดอยางม่ันคงในระดับหนึ่งแลว ก็ไมคิด
ที่จะลมเลิกความสนใจในพุทธศาสนา เพราะเธอพิจารณาจนเห็นแลววา พุทธศาสนาน้ันสามารถ
นําไปใชในการปรับปรุงแกไขขอเสียท่ีเปนจุดออนของตนเอง เพื่อใหการดําเนินชีวิตอยูในสังคม
แตละวนั เปน ไปอยางราบร่ืน ม่นั คง มีสติ

ความสัมพันธทีพ่ ฒั นาไปพรอ มกับจิตใจ

สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ถือเปนศาสนสถานในสังคมไทย
สมัยใหมท เ่ี อือ้ เฟอ แกผทู ี่มคี วามสนใจในแนวทางพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรมใหเขามารวมกลุม
พดู คุยแลกเปลย่ี นความคดิ ชวยเหลอื และพฒั นาจติ ใจซึ่งกันและกันไปพรอมกับการฝก เจรญิ สติโดยวธิ ี
ภาวนาแบบวิปสสนากรรมฐาน ซึ่งทุกคนที่มาที่นี่ตางไดรับคําแนะนําและการบอกตอชักชวน
จากกัลยาณมิตรที่รูจักแมชีบุญมี เวชสาร ผูเปนด่ังที่พ่ึงทางใจของลูกศิษยมากมาย กิจกรรมตางๆ
ในสาํ นักเปน ไปตามจดุ มุงหมายของทา นท่สี รา งสถานทแี่ หงน้ีขึ้นมา มิใชเพียงอํานวยความสะดวกแก
ผูหญิงท่มี าบวชชเี ทา นน้ั หากแตยังตองการใหเปน พ้นื ทเ่ี ยยี วยาจิตใจสาํ หรับบคุ คลท่วั ไปทส่ี นใจใฝรูใน

85

พทุ ธศาสนาหรือประสบปญ หาทางโลกจนไรท ่ีพ่ึงพงิ ทางใจ ไดเดนิ ทางเขามาฝก ปฏิบัติธรรมและพดู คุย
กบั คนทสี่ าํ นกั แหงนี้เพือ่ พฒั นาตนเองตอไป

การสอนวิปสสนากรรมฐานตามแนวทางของแมชีบุญมี เวชสารท่ีปจจุบันสืบทอดตอโดย
อาจารยช ยั พร ชยานุรักษ จะพจิ ารณาจากลกั ษณะนสิ ยั และธรรมชาติของปจเจกบุคคลนั้นในการฝก
ปฏิบัตธิ รรม เพือ่ แกไขขอ บกพรอ งใหกลับมาประคองสติ อยกู บั ความเปนจรงิ ณ ปจจุบันได ดังนั้นจึง
มกั จะมกี ารสนทนาแลกเปลี่ยนอารมณ ความคิด รวมถึงประสบการณ ใหตางฝายตางเขาใจพ้ืนฐาน
ความคิด ภูมหิ ลังชวี ติ และตัวตนของบุคคลเหลานั้นกอน อีกทั้งยังคอยใหคําแนะนํา แบงปนความรู
ดวยเหตนุ ที้ าํ ใหก ลมุ นกั ปฏิบัติธรรมท่มี าทีน่ สี่ นทิ สนมคุนเคยกันเปน อยางดี

มล กลาวถึงความสัมพันธของเธอกับกลุมนักปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานวา
เพราะเปนสงั คมกลมุ เล็กทุกคนจึงสามารถเขาถึงกันไดไมยาก สวนใหญเปนคนวัยทํางานเหมือนกัน
เผชิญเรื่องราวในชีวิตคลายกัน ทําใหตางฝายตางเปนกระจกสะทอน ชวยช้ีนําใหเห็นขอบกพรอง
ท่ีตนเองมองขา มไปได ไมมีการแบงแยกชนช้นั ฐานะ ตาํ แหนงหนาทีก่ ารงาน หรอื เพศ ทกุ คนคอยเปน
ท่ปี รึกษาในชีวิตใหแกกัน

หนิง คือผูที่อยูดูแลใกลชิดกับแมชีบุญมีและแมชีคนอ่ืนๆ ท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหารมานานตั้งแตป พ.ศ. 2550 เธอไดฝกวิปสสนากรรมฐานกับแมชีบุญมี
เรื่อยมาจนถึงอาจารยชัยพร ผูเปนอาจารยคนปจจุบันที่แมชีฝากฝงใหดําเนินการสอนวิปสสนา
กรรมฐานตอจากทาน สง ผลใหเธอมีประสบการณ เขาใจธรรมชาติและวิถีชีวิตของนักปฏิบัติธรรมท่ี
สาํ นักแหงนี้เปนอยางดี เธอพอใจที่จะมาปฏิบัติธรรมที่นี่เปนเวลาตอเน่ืองหลายป เนื่องจากเห็นวา
การอยูทามกลางกัลยาณมิตรที่ฝกใฝในทางพุทธศาสนานั้นชวยประคับประคองนําพาเธอไปสูส่ิงท่ีดี
ทาํ ใหมคี วามม่ันคงทางใจเอาไวเ ผชิญกับความวนุ วายในชวี ติ การทํางานและชีวิตสวนตัวของเธอ

เคก อธบิ ายเสรมิ อกี วา การไดเ ขามาปฏบิ ัติธรรมรว มกนั กับคนอ่ืนๆ มีสวนทําใหเธอมองเห็น
ตัวเองชัดขึ้น เขาใจตัวเองมากข้ึน เนื่องจากไดอธิบายความกาวหนาในการฝกเจริญสติของตนเอง
ใหอาจารยและคนอื่นท่ีสามารถรับฟง และพิจารณาช้ีแนะในมุมมองที่แตกตางไปจากทัศนคติของ
ตัวเธอเองได บางครั้งพวกเขากค็ อยเตือนสติ เมื่อเธอกาํ ลงั หลงทาง อกี ท้ังยังใหคําแนะนํา มองเห็นถึง
ปญ หาและวิธกี ารแกไ ขไดอ ยางถกู ตอ ง เธอคดิ วา ตนเองโชคดมี ากทีต่ ัดสินใจเลือกพุทธศาสนาเปนที่พึ่ง
ทางใจ ไดมาใชเ วลาอยภู ายในพื้นที่วัดแหงน้ี เพราะหากไมมีโอกาสไดมาปฏิบัติธรรมแลวนั้น คงยาก
ทจ่ี ะจดั การกับความไมม ัน่ คงของจติ ใจไดเหมือนเชน ในปจ จุบัน

86

อาจกลาวไดวา การท่ีผูหญิงกลุมน้ีเขามาบวชและปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ไมใชเพียงแคไดพัฒนาตัวตนของปจเจกบุคคลเองใหเปนคนใหม
ที่สามารถยอมรับ ปรับตัว เขาใจความเปนจริงของโลกและดําเนินชีวิตภายใตคานิยม จารีต และ
วาทกรรมตางๆ ในสังคมตอไปไดอยางมั่นคง หากแตยังเปนการรวมกลุมทางสังคมของคนท่ีมี
ความสนใจเหมือนกัน คอยชวยเหลือกันและกัน เปดใจคุยกันไดอยางเปนกันเอง จึงกลายเปน
ความสัมพันธที่พัฒนาไปพรอมกับจิตใจของผูที่มาบวชและปฏิบัติธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน
แหง นนี้ นั่ เอง

การใชช วี ิตทางธรรมในสงั คมทางโลก

เมอ่ื กา วเขาสสู ังคมพทุ ธศาสนา นบั วา เปน จดุ เปล่ียนที่ทําใหชีวิตของผูหญิงในกลุมนักปฏิบัติ
ธรรมและกลุมแมชีที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐานฯ เปนไปในทิศทางท่ีดีขึ้น กลาวคือ ผูหญิงในกลุม
นักปฏิบัติธรรมสามารถใชชีวิตอยูในสังคมทางโลกไดอยางมีความสุข เพราะมีที่พ่ึงทางใจ สามารถ
นาํ เอาหลกั ธรรมและเทคนิควิธีที่ไดจากการฝกวิปสสนากรรมฐานไปประยุกตใชเพ่ือดํารงสติในการ
ดาํ เนินชวี ิตประจาํ วนั ของตนเองใหม คี วามม่ันคงทางดานจิตใจยิ่งกวาเดิม สวนผูหญิงที่บวชเปนแมชี
นอกจากจะละวางตัวตน บทบาทหนาที่ทางโลกของตนเองกอนบวชแลว ตางก็นําส่ิงที่ไดจาก
การศึกษาธรรมะมาเผยแผ ทํานบุ ํารงุ ศาสนา และชว ยเหลือผูอ ่นื ตอไป

ดงั เชน การที่ แมชีตอ ย เปน แมช ีวทิ ยากรสอนธรรมะใหกบั โครงการอบรมเยาวชน ทานนําส่ิง
ทไ่ี ดจ ากการเรยี นรขู ณะบวชมาประยุกตใชในการสอนตามแนวทางของตัวทานเอง อันสะทอนถึงการ
ใชชีวติ ทางธรรมในสงั คมทางโลกไดอยางเดนชัด เม่ือประสบการณในการเรียนและการสอนเพ่ิมขึ้น
ทานก็ยง่ิ ไดรบั ความรูส ึกม่ันคงจากการทําหนา ท่ีของตนเอง

แมช ีบวั เปน แมช อี ีกทา นที่เคยมโี อกาสไดต ิดตามแมชีบุญมีไปพบปะสอนลกู ศิษยต ามสถานท่ี
ตางๆ ทั้งกรุงเทพมหานครและตางจังหวัด ทานจึงมีโอกาสไดเห็นชีวิตของคนทั่วไปมากมายที่มี
พทุ ธศาสนาเปน ที่พ่ึงทางใจในสงั คมทางโลก หากแตล ะคนก็มคี วามเชือ่ และความศรทั ธาทหี่ ลากหลาย
ไมเหมือนกันเสยี ทีเดียว

87

ตองยอมรับวาสังคมไทยทุกวันน้ี คนที่เขาใจแกนแทของพุทธศาสนาแลวนํา
ธรรมะไปปฏิบัตใิ นทางท่ีถูกมนี อยมาก ยคุ สมยั ทาํ ใหพุทธศาสนาถกู ตีความหลากหลาย ทง้ั
เปน ไปเพ่ือประโยชนสว นตวั หรือไมกส็ งั คมกลมุ ใดกลมุ หนึ่งซ่ึงกน็ าเห็นใจและตองทําความ
เขาใจไปพรอ มกันวาเกิดจากความไมรู เมื่อเช่ือและปฏิบัติกันตอกันไปดวยความไมรูจึง
หลงทาง บางคนทีไ่ มไ ดผลลพั ธหรอื คาํ ตอบท่ีตนเองพอใจกเ็ กดิ อคติตอ พทุ ธศาสนา เพราะ
ไมม ผี ูรูส ามารถอธบิ ายใหตวั เขาเขาใจได

(แมชีบัว, 21 เมษายน 2560: สัมภาษณ)

แมชีบัวยังบอกอีกวารอยละ 90 ของผูท่ีมาสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศาราม
วรวิหาร สว นใหญเปน คนที่เบอื่ หนาย เปนทกุ ข มีปญหาทางโลกเกยี่ วกับชีวติ สวนตวั ไมว าจะเปนเร่อื ง
ของครอบครัว สุขภาพ หรือความรัก พวกเขาอับจนหนทาง ไมรูจะหันไปพ่ึงพาสิ่งใดเปน
หลักยึดเหนี่ยว เมื่อมีคนแนะนําใหมาก็มา จุดมุงหมายคือตองการพื้นที่สงบเพื่อพักใจเมื่อรูสึกดีข้ึน
สบายใจข้ึนก็ไป บางคนกลับมาอีกดวยเหตุผลวาพุทธศาสนาใหประโยชนตอตนเองในระยะยาว
บางคนก็มาเพียงชั่วคราว เฉพาะยามที่มีปญหาหรือเกิดความรูสึกไมม่ันคงทางจิตใจ เพราะเห็นวา
ธรรมะเปน เคร่อื งมอื ท่ดี ใี นการรบั มอื กับชีวิตในสงั คมทางโลก

ออย เปนผูหญิงคนหน่ึงท่ีเคยผิดหวังในความรัก เธอมาปฏิบัติธรรมท่ีนี่ดวยเพราะตองการ
ทจี่ ะเขมแขง็ เม่อื อดีตคนรกั ผซู ึง่ เคยเปนท่ีพ่ึงทางใจของเธอตัดสินใจแยกทางกันไป การฝกวิปสสนา
กรรมฐานชวยทําใหเธอสามารถประคองสติใหอยูกับปจจุบัน อีกทั้งอาจารยชัยพรยังคอยช้ีนําให
เดนิ ในทางทีถ่ กู ตอง อยกู ับความเปนจริง ณ ปจจุบนั ขณะ เธอจึงสามารถกา วผา นวนั เวลาทย่ี ากลาํ บาก
เหลานัน้ ได และเพราะเธอเปนคนทมี่ คี วามสนใจในวทิ ยาศาสตรเ ปน ทุนเดมิ เมอ่ื เธอเหน็ วาพทุ ธศาสนา
คอื ส่งิ ท่ีพสิ จู นได เนือ่ งจากเธอทดลองแลวเห็นผลกับตัวเองจริง สภาพจิตใจดีขึ้นจริง ปจจุบันเธอจึง
แวะเวยี นมานง่ั วิปสสนา พดู คุยกับเพ่อื นพี่นองท่ีสํานกั เปน ประจําทุกคร้ังท่ีมีเวลาวาง เธอยงั คงสามารถ
ใชช วี ิตแบบทเ่ี ธอตองการในสังคมทางโลก ไดเปนตัวของตัวเอง ทําในส่ิงที่ชอบโดยไมเดือดรอนใคร
ละวางจากอคตขิ องผูอนื่ ได ควบคมุ อารมณความรสู กึ ของตวั เองไดม ัน่ คงมากข้ึนจากการนาํ วิธฝี ก เจริญ
สตมิ าใชก ับทุกเรือ่ งในชีวิตประจาํ วัน

สมาชกิ คนอืน่ ในกลมุ นักปฏิบัติธรรมทสี่ ํานกั วปิ ส สนากัมมัฏฐานกเ็ ชนกนั การใชชวี ิตทางธรรม
มไิ ดข ดั แยง หรือเปน อปุ สรรคตอ การดําเนนิ ชวี ติ ในสงั คมทางโลกแมแตนอย รวมถึงไมไดทําใหพวกเขา
ตองสูญเสียความสุข ความเปนตัวตนของปจเจกบุคคล ในทางกลับกันพุทธศาสนาชวยใหพวกเขา

88

สามารถยอมรบั เขา ใจ และปรับตัวอยูกับสภาพสังคมเดิม คานิยมเดิม ชุดความคิดเดิมๆ ที่เคยเปน
ปญ หาตอ ชวี ติ จติ ใจของพวกเขาใหค ลายจากความรสู กึ ไมม ั่นคงไดอยางมีประสทิ ธิภาพ

ตวั ตนใหม

หลักธรรมอันเปนแนวคิดทางพุทธศาสนาและเทคนิควิธีในการปฏิบัติธรรมแบบวิปสสนา
กรรมฐานคอื หนง่ึ ในทางเลือกทผ่ี ูหญงิ ไทยในสงั คมสมัยใหมนํามาเปนท่พี ่ึงทางใจใหก บั ตนเอง กลา วคอื
นาํ เอาแนวคดิ และขอปฏบิ ตั ทิ างพุทธศาสนามาใชเปนเครื่องมือในการปรับตัว สรางตัวตนใหมข้ึนมา
เพอื่ พฒั นาตนเองใหสามารถใชช วี ติ อยูภายใตสภาพแวดลอ ม คา นยิ ม รวมถงึ วาทกรรมทางสังคมตางๆ
ได ซ่งึ หมายรวมถงึ วาทกรรมความเปนหญิงท่มี ใี นสงั คมไทยมาชานานดว ยเชนกัน

จากแนวคิดของมิเชล ฟูโกต (Michel Foucault, 1926-1984) ที่ใหความสําคัญกับความ
เปนปจ เจกชนของมนษุ ยในสงั คมสมยั ใหม ไดเ สนอวา ถามนุษยเราสามารถนิยามตัวตนของตนเองได
มนุษยผนู น้ั ก็จะเปน อสิ ระจากการถกู ควบคมุ โดยวาทกรรมทางสังคม หากปจ เจกบุคคลรูจกั สรา งสรรค
เลอื กการใชชีวิตดวยตนเอง รูจักเจริญสติ รูจักทบทวนตนเองโดยไมจําเปนตองใหใครมากําหนดวา
ตนเองเปนใคร กจ็ ะทาํ ใหบุคคลผนู ้นั หลดุ ออกจากวาทกรรมทางสังคม กลายเปนตัวตนใหมท่ีดําเนิน
ชีวิตทางธรรมในสังคมทางโลกอยางเขา ใจและเปนอิสระจากการถูกครอบงํา (อานันท กาญจนพันธุ,
2552: 188-189)

ดังเชนผูหญิง 10 คนในกลุมตัวอยางนี้ท่ีไดเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ และไดพบ
จดุ เปลยี่ นของชวี ิตหลังจากเขามาปฏิบัติธรรมหรือบวชท่ีสํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศา
รามวรวิหาร ท้ังการเปลี่ยนแปลงท่ีมีผลตอตนเอง การเปลี่ยนแปลงที่มีผลตอคนรอบขาง
การเปล่ียนแปลงที่มีตอ มมุ มองเก่ียวกับคา นิยมในสังคม ตลอดจนถึงจุดมุงหมายของการดาํ เนนิ ชวี ิตใน
ปจ จบุ นั และอนาคตก็เปลี่ยนไปจากเดิมดวยเชน กัน

ตวั ตนของ แมช ีบวั จากแตเ ดมิ ทเี่ ปน ผหู ญงิ ตา งจังหวัด เติบโตมากบั สังคมทอ งถิ่น ทําใหทาน
ไมชอบบรรยากาศของความเปนเมืองที่เต็มไปดวยสังคมวัตถุนิยมและคานิยมที่เปล่ียนผันไปตาม
กระแส ชีวิตท่สี งบเรียบงายไดสั่นคลอนหลังจากที่พอแมของทานเสียชีวิต อันเปรียบเสมือนสูญเสีย
ที่พ่ึงทางใจที่มีผลกระทบตอชีวิตของผูหญิงตัวคนเดียวในเวลาน้ัน แมวาสําหรับแมชีบัว วาทกรรม
เก่ียวกับอุดมคติความเปนหญิงจะไมไดกอใหเกิดปญหาความทุกขที่ชัดเจนมากนัก แตก็นับวาเปน
ปจ จัยหนงึ่ ทีท่ ําใหท านตดั สนิ ใจเขามาบวชและติดตามแมชีบุญมีไปที่กรุงเทพฯ เน่ืองจากทานเห็นวา

89

เสนทางนี้จะทําใหชีวิตดีขึ้นมากกวาเดิม การเขามาอยูในเมืองเปนเหตุใหแมชีตองปรับตัว
เปนอยางมาก แตดวยความศรัทธาที่มีตอพุทธศาสนามาต้ังแตเด็กจากการถูกปลูกฝงในครอบครัว
ชาวพุทธ การบวชและการปฏิบัติธรรมจึงกลายเปนการเปล่ียนผานของชีวิตคร้ังสําคัญท่ีสงผลให
ทานเปนคนใหม สามารถปลอยวาง ดงึ ตวั เองออกมาจากความทุกขหรือการถูกครอบงําจากสิ่งตางๆ
ได ประสบการณชีวิตของทานหลอมรวมใหทานเปนแมชีบัวผูที่มีความเมตตาคอยชวยเหลือผูอ่ืน
อยางในทุกวันน้ี

ตัวตนของ แมชีพร กอนท่ีจะมาบวชน้ันเคยเปนผูหญิงท่ียึดติดอยูกับคานิยมตางๆ ที่เปน
อุดมคติของสังคมมากอน เพราะทานเคยมีพรอมทุกอยา ง ท้ังหนาตาทางสังคม ทั้งเงินทองฐานะของ
ครอบครัว หลังจากสูญเสียจงึ ทําใจไดยาก สภาพรา งกายและจิตใจของทา นไดร ับผลกระทบอยางหนัก
ชวี ิตไมเ ปนไปตามทตี่ ัวทา นเองคาดหวงั ท้ังกลัววาจะไมไดรับการยอมรับจากสังคม และยังอาลัยกับ
ส่ิงท่ีเสียไป ในชวงเวลาน้ันทานไมเหลือส่ิงใดใหยึดเหนี่ยว ผลสุดทายจึงหันมาพ่ึงพุทธศาสนา
แมระยะแรกท่ีบวชจะยังไมหายจากความทุกขน้ันในทันที แตก็นับวามีความกาวหนา มีการพัฒนา
ตัวเองไปในทางท่ีดีข้ึน จนกระท่ังทานไดเขาใจถึงเหตุและปจจัยที่สงผลใหตองมาเจอเหตุการณ
ดังกลาว เขาใจวาตนเองไมจําเปนตองยึดติดอยูกับความม่ันคงสมบูรณแบบก็สามารถใชชีวิตอยาง
มีความสุขได การบวชและการปฏิบตั ธิ รรมถือเปนจุดเปลี่ยนสําคัญของชีวิตที่ทําใหทานคนพบตัวตน
ใหม ปจจุบันทานเต็มใจท่ีจะใชชีวิตทางธรรมในฐานะแมชี บวชตลอดชีวิตและมุงม่ันเจริญสมาธิ
เจริญสติ เพื่อความสงบม่ันคงในจิตใจของตัวทานเองเปนหลัก นับวาการตกอยูภายใตอํานาจของ
วาทกรรมความเปนหญงิ ในสงั คมเคยทาํ ใหทานเปนทุกขหนักจนกระทบไปถึงเร่ืองตา งๆแตส ุดทายวาท
กรรมทางพทุ ธศาสนากเ็ ขามาเตมิ เตม็ สิง่ ที่ขาดหายไป ชวี ิตความเปน อยขู องทานจงึ คอยๆ ดีข้นึ

ตัวตนของ แมชีตอย เห็นไดชัดวาทานทุมเทใหกับการทํางานเพื่อศาสนาในฐานะแมชี
วิทยากร ทานไมเปดเผยถงึ ชีวิตสวนตัวกอ นที่จะมาบวชมากนัก เลาเพียงวาตนเองเคยเปนผูหญิงที่มี
หนาท่ีการงานดี ไมไดพบอุปสรรคในชีวิตจากคานิยมทางเพศหรือคานิยมทางสังคมอื่นๆ ท่ีกระทบ
จนแสนสาหัสแตอยา งใด ทา นบวชเพราะอยากบวช พทุ ธศาสนาทาํ ใหท านไดพ ัฒนาตนเอง เมอ่ื เห็นวา
เปนประโยชนต อตนเองและสังคม ก็มุงศึกษาหลักธรรมและปฏิบัติธรรมอยางเครงครัด เพื่อที่จะได
นําไปสอน ทานใหความสําคัญกับชีวิตในปจจุบันเปนหลัก อุทิศตนเองเพื่อศาสนาอยางเต็มที่
เรียกไดวาตัวตนใหมท่ีไดมาจากการบวชน้ีไดทําใหทานเช่ือวาเปนการใชชีวิตอยางมีคุณคาในฐานะ
มนุษยผูห ญงิ คนหนึง่

90

ตัวตนของ มล เดมิ เปน ผูห ญงิ ทรี่ ักความสมบูรณแบบในทุกๆ เร่ือง โดยเฉพาะเร่ืองของการ
ทาํ งาน ยึดมัน่ กับอุดมคติจนกลายเปนคนคิดมาก หากพบขอผิดพลาดมักจะเผลอหงุดหงิดใชอารมณ
อยบู อยครงั้ สวนหนึ่งอาจเปน เพราะเธอเติบโตมาในครอบครัวที่เล้ียงลูกสาวใหอยูในกรอบมาตลอด
เธอตอ งการทจี่ ะแกไขนิสัยเหลานนั้ จึงเลือกพุทธศาสนาเปนท่ีพึ่งทางใจ จนไดคนพบวาการฝก เจริญสติ
หรอื ฝก วิปส สนากรรมฐานเปน เทคนิควิธีท่ีใชในการจัดการกับอารมณของมนุษยไดดีท่ีสุด กลไกการ
ทํางานของการฝก คอื การทําความเขาใจความจริงของชวี ิตผานหลักธรรมคําสอน ซง่ึ เปนวาทกรรมทาง
พุทธศาสนา ตลอดจนปฏิบัติตามหลักวิธีในการฝกวิปสสนาอยางเครงครัด เพราะสิ่งเหลาน้ันเปน
เคร่ืองมือท่ีจะชวยพัฒนาจิตใจ ทําใหเขาใจตนเอง เขาใจชีวิต เขาใจธรรมชาติของมนุษย
จนสามารถเขาใจ ยอมรับ และปรับตัวเพ่ือใหใชชีวิตอยูตอไปไดอยางราบร่ืนม่ันคงย่ิงขึ้น ตัวตนใหม
ของเธอหลงั จากเลือกใชช ีวติ ทางธรรมในสังคมทางโลกสงผลใหเ ธอกลายเปน ผูหญงิ ใจเย็น รูจักควบคมุ
สติ รูจ ักรอและเขาใจคนอื่น ความสัมพันธระหวางเธอกับคนรอบตัวก็ดีขึ้น เรียกไดวาเปนการสราง
ตัวตนใหมข น้ึ มาเพ่ือแกไขปญ หาอยา งตรงจุด

ตัวตนของ หนิง หลังจากปฏิบัติธรรมและคลุกคลีอยูกับสังคมกลุมนี้มานานกวา 10 ป
ทาํ ใหเธอไดเ รียนรชู ีวิตจากประสบการณของตนเองและผอู น่ื มากมาย จากแตกอนที่เธอเปนคนใชชีวิต
อยูในกรอบ เชือ่ ในสิง่ ที่คนอื่นบอกวาดี เพราะคิดวา ตัวเองมีจุดออ นมากมาย ปฏิบัติตามคานิยมความ
เปน หญงิ ทดี่ ีในสังคม ถงึ แมจ ะไมไ ดรบั ผลกระทบจากวาทกรรมเรื่องเพศที่หนักหนาชัดเจน แตก็เปน
ปจจัยหน่ึงที่สงผลใหเธอไมรูจักตนเอง ไมรูวาตนเองตองการอะไร ไมรูเหตุผลท่ีแทจริงวาทําไป
เพือ่ สงิ่ ใด เมอ่ื ไดฝ ก วิปส สนากรรมฐานก็ไดนําวิธีการเจริญสติน้ันมาทบทวนตนเองจนทําใหสามารถ
เขา ใจตนเองมากข้ึน รวมถึงมีความมั่นคงตอสิ่งที่ตนเองเช่ือและศรัทธามากขึ้น อดีตที่ผานมาสั่งสม
ประสบการณใหเธอสามารถดําเนินชีวิตในแตละวันไดอยางมีความสุขในแนวทางของตนเอง
โดยไมจาํ เปน ตอ งไหลไปตามกระแสคานิยม เปนผูหญงิ ในแบบท่ีเธออยากเปน ใชชีวิตอยางเรียบงาย
ตอไป ทา มกลางความแตกตางของมนษุ ยใ นสังคมปจ จุบัน

ตัวตนของ ตา แนนอนวาเห็นไดชัดเจนในเรื่องของการเปลี่ยนจากนับถืออิสลามไปนับถือ
พทุ ธศาสนา โดยการเปลีย่ นไปเชื่อและศรัทธาในพทุ ธศาสนานค้ี อื การสรางตัวตนข้ึนมาใหม เพื่อตอบ
คําถามที่เธอหาคําตอบไมไดเม่ือครั้นยังดําเนินชีวิตอยูภายใตขอปฏิบัติของการเปนผูหญิงในศาสนา
อิสลาม การตัดสินใจเลือกเปลี่ยนไปนับถือพุทธศาสนาจึงเปนการตัดสินใจคร้ังใหญที่เปล่ียนแปลง
ชวี ติ ของเธอใหไ ดท บทวนตนเอง ทาํ ความเขา ใจการมอี ยูของตนเอง มีสตแิ ละรจู กั ปลอ ยวาง ซึง่ แนวคิด
เหลานีน้ ําไปปรบั ใชไ ดก บั ทุกเรอ่ื งในชวี ติ ประจําวันของเธอ ไมวาจะเปน การทํางานหรอื การอยูรวมกับ

91

คนในครอบครัวที่ยังคงเครงครัดนับถือศาสนาอิสลาม โดยท่ีเธอไมไดรูสึกอึดอัดหรือตองพยายาม
เปนในส่ิงท่ีสังคมบอกกําหนดใหเธอเปน เธออยูไดดวยการยอมรับความเปนจริง ทําความเขาใจถึง
ความแตกตางของกนั และกัน ตลอดจนมีความม่นั คงในการคดิ ตัดสนิ ใจกระทาํ สิ่งตางๆ

ตัวตนของ ออย เธอไดนิยามตนเองวา “ไมเรียบรอย ไมไดแปลวาผิดศีล” ความเปนตัว
ของตวั เองสูงที่ไดร บั มาจากการเลย้ี งดูอยางตามใจจากครอบครัว อาจนับเปนขอดีที่ทําใหเธอมีความ
ม่ันใจ รูจกั รักตัวเอง เห็นคุณคาของตัวเอง และสามารถรับผิดชอบภาระหนาที่ในชีวิตของตนเองได
เธอดแู ลตนเองไดด ีมาตลอด และมองวาแคไมทําใหพอแมพี่สาวของเธอผิดหวังก็เพียงพอแลว ตอให
คนอ่ืนท่ีไมร จู ักไมเขา ใจเธอจะมอี คติดูถูกนินทาเธออยางไรกระท่ังพบจุดเปล่ียนครั้งใหญของชีวิตคือ
การเลิกกับคนรักที่คบกันมาหลายป การอกหักเปนสถานการณท่ีทําใหความม่ันใจของเธอหายไป
เธอรสู ึกไมม่ันคงทางจติ ใจอยางหนัก จนตองหาทางหลุดออกจากภวังคความทุกข เธอยนิ ดที จ่ี ะทดลอง
ปฏิบัติธรรมเพราะเห็นวาไมเสียหาย ปกติแลวเธอเชื่อในเร่ืองวิทยาศาสตรท่ีพิสูจนได แรกเร่ิมท่ีฝก
วิปส สนากรรมฐานจึงยังไมค าดหวังกบั ผลลพั ธ หากแตเม่ือไดปฏิบัติอยางจริงจัง ฝกควบคุมสติใหอยู
กับปจจบุ นั ตามแนวทางการสอนของอาจารยชัยพร ก็ทําใหเธอไดพัฒนาตนเอง สามารถรับมือกับ
เรอื่ งราวปญหาตา งๆ ทเ่ี ขา มาไดดขี ึน้ ในระดบั หนึง่

ตัวตนของ ตุม ที่แตกอนไมเคยเช่ือหรือศรัทธาในพุทธศาสนาเลย เพราะมองวาเปนส่ิงที่
พิสูจนไมได ทานมีอคติตอความเช่ือในแงเรื่องเลาอภินิหาร แตกลับเปล่ียนไปต้ังแตเขามารูจักกับ
กลุมแมช แี ละกลุมนักปฏิบตั ิธรรมที่สํานักวิปสสนากัมมัฏฐาน วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เมื่อมีผูรู
ที่สามารถอธบิ ายใหเ ธอเขาใจถึงแกนของพทุ ธศาสนา เธอจึงเร่มิ เปด ใจลองปฏิบัตธิ รรม เพื่อหวังวาจะ
เปน ประโยชนกับตวั เธอเองและคนใกลชิด ในกรณีของตุมเธอไมไดรับผลกระทบจากวาทกรรมเรื่อง
เพศท่ีชัดเจน แตการเติบโตมาภายใตคานิยมเหลานั้นก็สงผลมีกรอบความคิดบางอยางท่ีตกอยูใน
วาทกรรม จนมองขามความเปนตัวของตัวเอง เม่ือไดเรียนรูจักพุทธศาสนาอยางลึกซึ้งปจจุบันเธอ
กลายเปน คณุ แมท่เี ขา ใจสามี เขาใจลกู เขาใจคนอ่ืน จากท่ีเคยตอตานมองศาสนาวาเปนเร่ืองงมงาย
ก็กลายเปนคนใหมทย่ี อมรบั ความแตกตา ง เมตตาตอ เพ่อื นมนษุ ยดวยกนั มากขนึ้ ไมวาจะเปน เพศหญิง
หรอื ชายกต็ าม

ตัวตนของ เคก ผหู ญิงทีต่ ดิ อยกู บั วาทกรรมของความเปนลูกสาวท่ีดีมาต้ังแตเด็ก เธอผูกพัน
กับคนในครอบครัวมาก เพราะมีแมเปนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด จนไมคิดท่ีจะแสวงหาท่ีพ่ึง
ทางใจอ่นื จาํ ตอ งพบจดุ เปลี่ยนของชีวิตเมื่อแมของเธอเสียไป เธอไมสามารถควบคุมสติปรับสภาวะ

92

จิตใจทโี่ ศกเศรา ในตอนนน้ั ไดเ ลย จนกระทง่ั ไดม าปฏิบัติธรรม กเ็ หมือนกบั ไดทบทวนชวี ติ ท่ีผา นมาของ
ตนเอง ไดล องพิจารณาวาความสุขและสิ่งท่ีตัวเองตองการอยางแทจริงคืออะไร วิปสสนากรรมฐาน
จงึ ไมไดเ พยี งชวยในการฝกเจริญสติของเธอเทานั้น หากแตยังชวยใหเธอรูจักตนเอง สามารถใชชีวิต
อยูตอไปดวยตนเองไดอยางเขมแข็ง มีความม่ันคงทางจิตใจพอท่ีจะจัดการกับอารมณของตนเอง
เมอ่ื เผชิญกับเรอื่ งราวตางๆ ในการดําเนนิ ชวี ติ

ตัวตนของ เกด กอนที่จะมีโอกาสไดเขาไปศึกษาธรรมะ และทําความรูจักกับการภาวนา
เจริญสติแบบวิปสสนากรรมฐาน เธอเปนผูหญิงท่ีโตมากับชุดความคิดแบบวิทยาศาสตร อาจดวย
เพราะสาขาวิชาท่ีเธอกําลงั เรียนขณะนน้ั เปนการเตรียมความพรอมสูอาชีพพยาบาล เธอจึงมีความรู
ความเขาใจในการศึกษารางกายและพฤติกรรมของมนุษยในลักษณะท่ีเปนไปในเชิงวิทยาศาสตร
การแพทย เหน็ ถงึ ความแตกตา งทไ่ี มเ ทาเทยี มกนั ทางชวี วิทยาระหวา งผูหญงิ กบั ผูชาย แตห ลังจากที่ได
ไปเขารวมกจิ กรรมอบรมธรรมะก็ไดเรียนรูเ รื่องความสมั พนั ธระหวางรา งกายและจิตใจดว ยหลักธรรม
แนวคิดทางพุทธศาสนามากขึ้น เธอคนพบความจริงท่ีวาหากจะทําอะไรสักอยางที่ตองใชสติสมาธิใน
การทํางาน จําเปนที่จะตองมีสภาพรางกายที่พรอม เพราะถารางกายไมพรอม จิตใจเราก็จะหดหู
หมกมุนอยูกับอารมณนั้นไปดวย จนไมสามารถพัฒนาตนเองใหทําสิ่งน้ันไดอยางมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะผูหญิงท่ีมีฮอรโ มนโปรเจสเตอโรน ซงึ่ ทาํ ใหอ ารมณไ มค งทใี่ นชวงท่มี ีรอบเดอื น ก็ยงิ่ เปนเร่อื ง
ยากท่จี ะควบคมุ ดังนน้ั เธอจึงไดเ รียนรูวาการฝกสติเปนส่ิงที่มีประโยชนมาก ในฐานะที่เธอเองก็เปน
ผูหญิงคนหนึ่ง เม่ือมีชุดความคิดทางพุทธศาสนาผสมกับชุดความคิดแบบวิทยาศาสตรก็ทําใหเธอ
เขา ใจมนุษย เขาใจตนเอง รวมถงึ เขา ใจชวี ิตมากขน้ึ

จะเหน็ ไดว าตัวตนของผูหญิงทั้ง 10 คนน้ีไดเปลี่ยนแปลงไป หลังจากเลือกพุทธศาสนาเปน
ท่ีพ่ึงทางใจ แมวาเหตุผลที่ทําใหเขามาบวชหรือปฏิบัติธรรมอาจจะเหมือนหรือแตกตางกันไปบาง
ไดร ับผลกระทบจากวาทกรรมความเปนหญิงในอุดมคติมากนอยแตกตางกันบาง แตทุกคนตางก็พบ
จุดเปลี่ยนที่ทําใหสามารถดําเนินชีวิตไดอยางมั่นคงข้ึน การฝกวิปสสนากรรมฐานท่ีสํานักวิปสสนา
กัมมฏั ฐานชวยใหผูหญิงกลุมนีไ้ ดท บทวนตัวตนของตนเองอยางมสี ติ ทําความเขาใจตนเองเพื่อใหรูวา
เราเปนใคร เราตอ งการอะไร มีความคิดเห็นอยางไรตอสิ่งท่ีถูกกําหนดใหเช่ือหรือกระทํา ดังแนวคิด
เรื่องเทคโนโลยีการสรางตัวตน (Technologies of the self) ของมิเชล ฟูโกตท่ีอธิบายถึงการที่
มนุษยส รา งสรรคแ นวทางการดําเนนิ ชวี ติ ในแบบของตัวเอง สรางตัวตนข้ึนมาใหมเพ่ือเปนอิสระจาก
วาทกรรมหลกั ของสงั คม ในทน่ี ี้การเลือกพุทธศาสนาเปน ท่พี ่งึ ทางใจของผูหญิงไทยในสังคมสมัยใหม
คือการสรางตัวตนใหมใหกับตนเอง ดวยการนําเอาวาทกรรมทางพุทธศาสนาที่เปนหลักธรรม


Click to View FlipBook Version