The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Supansa Phutniam, 2023-02-16 05:38:23

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยา

รายงานการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยา สุพรรษา พุฒเนียม งานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ปีการศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์


รายงานการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยา สุพรรษา พุฒเนียม งานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ปีการศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์


ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยา ผู้วิจัย นางสาวสุพรรษา พุฒเนียม หน่วยงาน โรงเรียนเมืองด้งวิทยา อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย สำนึกงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษาสุโขทัย บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ทีใช้ เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการ สอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ในรายวิชาชีววิทยา มีแผนการสอน 3 แผน พบว่า การวิเคราะห์การหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล มีผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้อง สามารถใช้ได้ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ในรายวิชาชีววิทยา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน เมืองด้งวิทยา ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการ สอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล พบว่า การทดสอบก่อนเรียนโดยใช้วิธีและเทคนิคการสอนแบบเดิมนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 5.81 คะแนน และหลังเรียนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 13.41 คะแนน โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเพื่อวัด ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชาชีววิทยา พบว่า นักเรียนโรงเรียนเมืองด้งวิทยามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลอยู่ในระดับมากที่สุด คำสำคัญ : การพัฒนาผลสัมฤทธิ์, การสอนเชิงรุก, อาคีตะโมเดล


กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชา ชีววิทยา สามารถดำเนินงานวิจัยจนสำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ลุล่วงไปด้วยดีเนื่องจาก ได้รับความอนุเคราะห์และสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจากครูละอองดาว เอี่ยมสอาด ครูที่ปรึกษางานวิจัยที่ได้ กรุณาให้คำปรึกษา ความรู้ ข้อคิด ข้อแนะนำ และปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ จนกระทั่งการวิจัยครั้ง นี้สำเร็จเรียบร้อยด้วยดีผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณอาจารย์พัทธชัย ปิ่นนาค ผู้ให้คำปรึกษาให้แนวทางในการทำโครงร่างงานวิจัย เพิ่มเติม การแนะนำแนวทางในการทำรูปเล่มวิจัย การให้แนวทางเพิ่มเติมในการทำวิจัย และ แนวทางใน การทำรูปเล่มวิจัยที่ถูกต้องเสมอมา ขอขอบพระคุณ ครูละอองดาว เอี่ยมสะอาด, ครูเนตรนภา ไพรสณฑ์และครูนิตยา มอญกอดแก้ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ให้คำแนะนำและแก้ไขตรวจสอบทำให้งานวิจัยเล่มนี้ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณโรงเรียนเมืองด้งวิทยา ที่ให้ความอนุเคราะห์ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์ และเครื่องมือ ใน การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี สุดท้ายนี้ผู้วิจัยขอขอบคุณนักเรียน และเพื่อนทุกคนที่สนับสนุน ให้ความช่วยเหลือเป็นทั้งกำลัง กายและกำลังใจตลอดการทำงานวิจัยในครั้งนี้เสมอมาหวังว่างานวิจัยฉบับนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สนใจศึกษาต่อไป สุพรรษา พุฒเนียม กันยายน 2565


สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง สารบัญภาพ จ บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 34 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 38 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ 45 บรรณานุกรม 49 ภาคผนวก 53 ประวัติผู้วิจัย 156


สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 สรุปวิธีการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 22


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 4.1 แสดงผลการประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลเรื่อง การแบ่งเซลล์จาก ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน 39 4.2 แสดงคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การแบ่งเซลล์ 40 4.3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่องการแบ่งเซลล์ ในรายวิชา ชีววิทยา 42 4.4 ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชา ชีววิทยา 43


บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัติความตามมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษา ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนทุกคนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพความ ตามมาตรา 24 (1) บัญญัติว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเนื้อหา สาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล และความตอนหนึ่ง (5) ของมาตราเดียวกันบัญญัติว่า ให้ผู้สอนสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ และความตามมาตรา 30 บัญญัติว่า ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละ สถานศึกษาจากความตามมาตราดังกล่าวถึงตีความว่าภายหลังที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระการ เรียนรู้ใดๆด้วยวิธีและเทคนิคการสอนวิธีการใดวิธีการหนึ่งแล้วเมื่อทำการวัดและประเมินผลพบว่ามีผล อย่างใดอย่างหนึ่งคือจำนวนผู้เรียนทั้งชั้นเรียนจำนวนผู้เรียนส่วนมากของชั้นเรียนหรือผู้เรียนจำนวนส่วน น้อยของชั้นเรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผู้สอนกำหนดขึ้นผลการประเมินดังกล่าว ไม่สามารถลงข้อสรุปว่าผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ผู้สอนกำหนดและถูก ตัดสินให้“ตก” ในสาระการเรียนรู้นั้น แต่ผู้สอนต้องพึงตระหนักเสมอว่าการที่ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์การ เรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดอาจเป็นเพราะว่าวิธีและเทคนิคการสอนตามที่ผู้สอนนำมาใช้จัด กิจกรรมการเรียนรู้อาจนั้นไม่สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียน ดังนั้นผู้สอนจึงต้องค้นหาวิธีและเทคนิคการสอนวิธีใหม่ที่เหมาะสมกับความถนัดและความสนใจ ของผู้เรียนการทำวิจัยของผู้สอนจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า วิธีและเทคนิคการสอนวิธีใหม่ที่ผู้สอนนำมาใช้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้นมีผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหรือไม่อย่างไรเมื่อเปรียบเทียบ เปรียบเทียบกับวิธีและเทคนิคการสอนวิธีเดิมด้วยเหตุดังกล่าวจึงตอบคำถามว่าทำไมผู้สอนจึงต้องทำวิจัย ทั้งวิจัยเพื่อพัฒนาและแก้ปัญหาผู้เรียนโรงเรียนเมืองด้งวิทยาตั้งอยู่เลขที่ 150 หมู่ 1 บ้านแม่รากใต้ ตำบล บ้านตึกอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ทำหน้าที่


2 จัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 เปิดการเรียนการสอน ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีทที่1 จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เปิดโปรแกรมวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ 1 ห้องและโปรแกรมศิลป์- ทั่วไป 1 ห้อง มีนักเรียนจำนวน 395 คน มีครูและบุคลากร ทางการศึกษารวม 30 คน จากการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา สำหรับการจัดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยา ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 นั้นได้เล็งเห็นถึงปัญหาการเรียนรู้ของนักเรียนโดยนักเรียนส่วนมากมีผลสัมฤทธิ์การ เรียนรู้อยู่ในระดับต่ำในตัวชี้วัดหลายๆตัวชี้วัดทั้งจากการจัดการเรียนรู้ในปีการศึกษา2565 และปี การศึกษาที่ผ่านมาก่อนหน้าเนื่องจากในชั้นเรียนมีเวลาจำกัดที่จะเข้าไปอธิบายให้นักเรียนรายกลุ่มหรือ รายบุคคลเข้าใจในเนื้อหาได้น้อยมากภายในหนึ่งคาบการจัดการเรียนรู้และนักเรียนมีส่วนร่วมในการ พัฒนาผลการเรียนรู้ที่น้อยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูควรจะหาวิธีการมาแก้ไขปัญหาดังที่กล่าวมา แนวทางหนึ่งที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนสัมฤทธิ์ผลได้ตามทฤษฎีการเรียนรู้ คือ การเสริม แรงจูงใจให้ผู้เรียน โดยการเสริมแรงเป็นปัจจัยภายนอกและภายใน ที่กระตุ้นให้นักเรียนสนใจเรียน อาทิ การสร้างบรรยากาศในการเรียน การกระตุ้นให้ผู้เรียนกระตือรือร้นที่จะเรียน (สมโภชน์, 2541) นอกจากนี้ มีนักการศึกษาในต่างประเทศกลุ่มหนึ่งได้เสนอ การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล The AKITA Instructional Model (AIM) อาคีตะโมเดลมีจุดมุ่งหมาย คือ การค้นพบปัญหาด้วยตนเอง สามารถสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ตั้งข้อสังเกตในการเรียนรู้ 2) มีความคิดของ ตนเอง 3) อภิปรายกันเป็นคู่/กลุ่ม/ชั้นเรียน 4) ทบทวนเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้ (ไพฑูรย์ และคณะ, 2561) แนวคิดอาคีตะโมเดลมีจุดมุ่งหมาย คือ การค้นพบปัญหาด้วยตนเอง สามารถสื่อสารมีปฏิสัมพันธ์ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ครูญี่ปุ่นได้ให้ข้อคิดว่า การนำอาคีตะโมเดลมาใช้ ครูไทยต้องปรับทัศนคติใน การสอนต้องให้เด็กดำเนินกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนแทนครู ครูไทยต้องปรับบทบาท ต้องทำให้เด็ก อยากรู้ด้วยตนเอง อย่ารอครูอธิบาย เด็กสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย จากการสังเกตการเรียนการสอนของ ไทยมีจุดดีหลายอย่างที่จะใช้อาคีตะโมเดลได้ เช่น กลุ่มเด็กๆก็คุยกันและตั้งใจฟังครู ครูก็ตื่นตัวรับสิ่ง ใหม่ๆ ครูที่ตั้งใจสอนบางครั้งมักจะลืมกลวิธีที่จะให้เด็กคิดเอง ลืมตัวอยากให้เด็กรับรู้มากๆ ดังนั้นสิ่งที่ สำคัญ คือ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องการให้เด็กรู้ อยากให้แก้โจทย์ อยากให้รู้จัก ครูควร กำหนดล่วงหน้า ว่าส่วนไหนครูสอน ส่วนไหนให้เด็กอภิปรายแลกเปลี่ยนกันเองสร้างลักษณะนิสัยให้ นักเรียนฝึกคิดเองเป็นสำคัญ ต้องสามารถสื่อสารกับคนอื่นให้เข้าใจด้วย ในขั้นตอนที่ 1 นั้น เป็นจุดเริ่มต้น


3 ที่สำคัญ เช่น การตั้งคำถาม ปัญหา การเรียนรู้ ต้องไม่ให้เด็กดูหนังสือเรียน ไม่ใช้โจทย์ในหนังสือเรียนจด สำคัญคือการรอให้เวลาเด็กคิด ครูต้องรอไม่รีบเฉลยการรอหากไม่มีคำตอบ ครูต้องมีคำใบ้ไว้ด้วย บางห้อง ที่นักเรียนรู้อยู่คนเดียว อาจให้แสดงเพียงคำตอบเดียว เพื่อให้เด็กคนอื่นได้คิดต่อ หรืออาจให้นักเรียน แลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันบ้างการตรวจตามกลุ่ม อาจใช้เทคนิคต่างๆ เช่น อาจถามเหตุผลในการคิด กลุ่ม เงียบอาจใช้คำใบ้เรียกให้ถาม (ไพฑูรย์ และคณะ, 2561) จากงานวิจัยของ สุภาพร พิมพ์บุษผา ได้ทำการ วิจัยเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดย ประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุกของจังหวัดอาคีตะ (Akita Action) ผลการวิจัย พบว่า ประสิทธิภาพการวัด จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้การสอนเชิงรุกของอาคีตะ (Akita Action) ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 ผลสัมฤทธิ์เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุก ของอาคีตะ (Akita Action) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุกของอาคีตะ (Akita Action) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄= 4.52) ดังนั้นจากปัญหาดังกล่าวลงข้อสรุปว่า การจัดการเรียนรู้ในรายวิชารายวิชาชีววิทยาด้วยวิธีการ และเทคนิคการสอนวิธีเดิมไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ เพราะใช้วิธีและเทคนิคการสอนแบบเดิมไม่สามารถสื่อ ความหมายให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียนได้ ดังนั้นผู้จัดทำจึงมีแนวคิดที่จะใช้เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอนตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตราที่ 22 มาตราที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากสภาพและความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาชีววิทยาผู้สอน จึงมีแนวคิดที่จะทำการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล เป็นแนวทางตอบปัญหาการวิจัย ประโยชน์จากผลการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 2) นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชาชีววิทยาที่คุณภาพระดับดีขึ้นไป 3) ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อใช้การใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล 4) ความสำเร็จของงานวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผลฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของ ผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ


4 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยา 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ในรายวิชาชีววิทยา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 1.2.3 เพื่อวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา การ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่ง เซลล์ ในรายวิชาชีววิทยา 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1.3.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาชีววิทยาเรื่อง การแบ่งเซลล์ หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบการ สอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลสูงกว่าก่อนเรียน 1.3.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา มีความพึงพอใจต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ อยู่ในระดับมากขึ้น ไป 1.4 คำถามการวิจัย 1.4.1 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะ โมเดล เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาทำอย่างไร 1.4.2 ผลการทดลองใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยาเป็นอย่างไร


5 1.4.3 ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาที่มีต่อ การทดลองใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การ แบ่งเซลล์เป็นอย่างไร 1.5 ขอบเขตการวิจัย 1.5.1 ขอบเขตด้านประชากร 1) ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 27 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 27 คนที่ เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้มาจากการเลือกอย่างเจาะจง (Purposive Sampling) 1.5.2 ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ตัวแปรตาม 1) ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์รายวิชาชีววิทยาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 2) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา 1.5.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ทำการวิจัย โรงเรียนเมืองด้งวิทยา จังหวัดสุโขทัย 1.5.4 ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ทำการวิจัย เดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 1.5.5 ขอบเขตด้านเนื้อหา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยาจาก มาตรฐาน ว 4.1 ผลการเรียนรู้ข้อที่ 16. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิสจาก


6 ตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบายและเปรียบเทียบการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบ ไมโอซิส 1.5.6 กรอบแนวคิด 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.6.1 การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล The AKITA Instructional Model (AIM) หมายถึง การ ค้นพบปัญหาด้วยตนเอง สามารถสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ครูญี่ปุ่นได้ให้ข้อคิดว่า การนำอาคีตะโมเดลมาใช้ ครูไทยต้องปรับทัศนคติในการสอนต้องให้เด็กดำเนินกระบวนการเรียนรู้ในชั้น เรียนแทนครู ครูไทยต้องปรับบทบาท ต้องทำให้เด็กอยากรู้ด้วยตนเอง อย่ารอครูอธิบาย เด็กสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ง่าย จากการสังเกตการเรียนการสอนของไทยมีจุดดีหลายอย่างที่จะใช้อาคีตะโมเดลได้ เช่น กลุ่มเด็กๆ ก็คุยกันและตั้งใจฟังครู ครูก็ตื่นตัวรับสิ่งใหม่ๆ ครูที่ตั้งใจสอน บางครั้งมักจะลืมกลวิธีที่จะให้เด็ก คิดเอง ลืมตัวอยากให้เด็กรับรู้มาก ๆ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญ คือ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่า อะไรคือสิ่งที่ต้องการ ให้เด็กรู้ อยากให้แก้โจทย์ อยากให้รู้จัก ครูควรกำหนดล่วงหน้า ว่าส่วนไหนครูสอน ส่วนไหนให้เด็ก อภิปรายแลกเปลี่ยนกันเองสร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนฝึกคิดเองเป็นสำคัญ ต้องสามารถสื่อสารกับคนอื่น ให้เข้าใจด้วยในขั้นตอนที่ 1 นั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เช่น การตั้งคำถาม ปัญหา การเรียนรู้ ต้องไม่ให้ เด็กดูหนังสือเรียน ไม่ใช้โจทย์ในหนังสือเรียนสำคัญคือการรอ ให้เวลาเด็กคิด ครูต้องรอไม่รีบเฉลยการรอ ระดับความพึงพอใจของผู้เรียน แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เรื่อง การแบ่งเซลล์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาวิทยาศาสตร์ รายวิชาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เรื่อง การแบ่งเซลล์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา


7 หากไม่มีคำตอบ ครูต้องมีคำใบ้ไว้ด้วย บางห้องที่นักเรียนรู้อยู่คนเดียว อาจให้แสดงเพียงคำตอบเดียว เพื่อให้เด็กคนอื่นได้คิดต่อ หรืออาจให้นักเรียนแลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันบ้างการตรวจตามกลุ่ม อาจใช้ เทคนิคต่างๆ เช่น อาจถามเหตุผลในการคิด กลุ่มเงียบอาจใช้คำใบ้ เรียกให้ถาม (ไพฑูรย์ และคณะ, 2561) 1.6.2 ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ หมายถึง 1) ค่าคะแนนเฉลี่ยทั้งชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยค่าเฉลี่ยดังกล่าวจากการทำแบบทดสอบก่อนทดลองใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบการสอน เชิงรุกอาคีตะโมเดล 2) ค่าคะแนนเฉลี่ยทั้งชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยค่าเฉลี่ยดังกล่าวจากการทำแบบทดสอบหลังใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล 1.6.3 การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ค่าคะแนนเฉลี่ยทั้งชั้นเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α = 0.05 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การ เรียนรู้ระหว่างก่อนและหลังการใช้การจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคแบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 1.6.4 ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยา ที่มีต่อการใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคแบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล ด้านความรู้ความ เข้าใจเนื้อหา ด้านความครบถ้วนของสาระการเรียนรู้ 1.6.5 ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยระดับความพึงพอใจแต่ละด้าน ดังกล่าวข้อ 4 จะอ้างตามเกณฑ์ระดับคะแนน เฉลี่ยของ บุญชม (2545) ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51 - 3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด


8 1.7 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.7.1 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การแบ่งเซลล์ ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล 1.7.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชา ชีววิทยาที่คุณภาพระดับดีขึ้นไป 1.7.3 ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอน เชิงรุกอาคีตะโมเดล 1.7.4 ความสำเร็จของงานวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผลฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของ ผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่ง เซลล์ รายวิชาชีววิทยาผู้วิจัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยหัวข้อ หลักตามลำดับดังนี้ 2.1 การวิจัยในชั้นเรียน 2.2 ความจำเป็นที่ครูต้องทำวิจัยในชั้นเรียน 2.3 นวัตกรรมทางการศึกษาเทคนิควิธีสอนที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 2.4 เครื่องมือการวิจัย 2.5 ความพึงพอใจ 2.6 ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 การวิจัยในชั้นเรียน 2.1.1 ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึงการวิจัยที่ทำในบริบทของชั้นเรียน และมุ่งนำผลการวิจัยมา ใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนของตน เป็นการนำกระบวนการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาครูให้ไปสู่ความ เป็นเลิศ และมีอิสระทางวิชาการ (ทิศนา, 2540) การวิจัยในชั้นเรียน คือกระบวนการแสวงหาความรู้อันเป็นความจริงที่เชื่อถือได้ ใน เนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนในบริบทของชั้น เรียน (สุวัฒนา, 2540) การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นการศึกษาค้นคว้าของครู ซึ่งจัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานในชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหา (Problem Solving) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือพฤติกรรมนักเรียนและคิด วิเคราะห์ (Critical Thinking) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน (ประวิต, 2542) การวิจัยในชั้นเรียน คือการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในห้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน ห้องเรียนและนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำ


10 อย่างรวดเร็วนำผลไปใช้ทันทีและสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่างๆ ของตนเอง ให้ทั้งตนเองและ กลุ่มเพื่อนร่วมงาน (สุวิมล, 2543) การวิจัยในชั้นเรียน คือกระบวนการแสวงหาความจริงด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ในเนื้อหาที่เกี่ยวกับ การจัดการเรียนการสอน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ (ประกอบ, 2544) 2.2.2 ความจำเป็นที่ครูต้องทำการวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยในชั้นเรียนมีความสำคัญต่อวิชาชีพครูเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากครูจำเป็นต้อง พัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน การจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียน การพัฒนาพฤติกรรม ของผู้เรียน การเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทดั้งเดิมของครู ที่มีความเชี่ยวชาญ และสนใจเรื่องการสอน โดยเน้นเนื้อหาสาระของบทเรียนจึงทุ่มเทการศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูล ทฤษฎี ที่ เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมากกว่าการศึกษาวิธีการพัฒนาหรือปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลงานของ อาจารย์ส่วนใหญ่จึงเป็นผลงานหนังสือตำรา บทความหรือเอกสารทางวิชาการมากกว่าผลงานวิจัย ปัจจุบันการวิจัยมีบทบาทเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางการศึกษา ที่เปิดระดับ การศึกษาถึงขั้นปริญญาโท และปริญญาเอกในประเทศไทย ทำให้มีการเรียนการสอนระเบียบวิธีวิจัย ตลอดจนการกำหนดให้ทำวิทยานิพนธ์ในระดับบัณฑิตศึกษา จึงมีผู้รู้วิธีการทำวิจัยเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือการ กำหนดตำแหน่งทางวิชาการหรือการเลื่อนระดับของผู้อยู่ในสายวิชาชีพทางการศึกษา มีข้อกำหนดให้ ส่งผลงานวิชาการและงานวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณา ผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษาจึงต้องหันมาสนใจ เรื่องของการวิจัยเพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่กฎหมายได้กำหนดให้มีการส่งเสริมการวิจัยในมาตรา 24 ดังนี้ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้….(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัด บรรยากาศสภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความ รอบรู้ รวมทั้งความสามารถใช้การวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจ เรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการต่าง ๆ ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้ครู อาจารย์ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้วิจัย เพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาการสอน การเรียนรู้ของ ผู้เรียน และการพัฒนาวิชาชีพครูเพิ่มขึ้น 2.2.3 ประโยชน์และความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน การทำวิจัยในชั้นเรียนจะช่วยให้ครูมีวิถีชีวิตของการทำงานครูอย่างเป็นระบบเห็นภาพ ของงานตลอดแนว มีการตัดสินใจที่มีคุณภาพเพราะจะมองเห็นทางเลือกต่างๆ ได้กว้างขวางและลึกซึ้งขึ้น


11 แล้วจะตัดสินใจเลือกทางเลือกต่างๆ อย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ครู นักวิจัยจะมีโอกาสมากขึ้นในการ คิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเหตุผลของการปฏิบัติงาน และครูจะสามารถบอกได้ว่างานจัดการเรียนการสอนที่ ปฏิบัติไปนั้นได้ผลหรือไม่ เพราะอะไร นอกจากนี้ครูที่ใช้กระบวนการวิจัยในการพัฒนาการเรียนการสอนนี้ จะสามารถควบคุม กำกับ และพัฒนาการปฏิบัติงานของตนเองได้อย่างดีเพราะการทำงาน และผลของ การทำงานล้วนมีความหมายและคุณค่าสำหรับครูในการพัฒนานักเรียน ผลจากการทำวิจัยในชั้นเรียนจะ ช่วยให้ครูได้ตัวบ่งชี้ที่เป็นรูปธรรมของผลสำเร็จในการปฏิบัติงานของครูอันจะนำมาซึ่งความรู้และความ ปิติสุขในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องของครู เป็นที่คาดหวังว่า เมื่อครูผู้สอนได้สอนได้ทำการวิจัยในชั้นเรียน ควบคู่ไปกับการปฏิบัติการสอนอย่างเหมาะสมแล้วจะก่อให้เกิดผลดีต่อการศึกษา 2.2.4 นวัตกรรมทางการศึกษาเทคนิควิธีสอนที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 1) ความหมายเทคนิควิธีสอนที่เน้นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ครูสมาร์ทดอทคอม (2564) ได้กล่าวถึง Active Learning เป็นกระบวนการ เรียนการสอนอย่างหนึ่ง แปลตามตัวก็คือเป็นการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ หรือการลงมือทำซึ่ง “ความรู้” ที่ เกิดขึ้นก็เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์กระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องได้มี โอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้การเรียนรู้โดยการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การ วิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ดังกล่าวนั่นเองหรือพูดให้ง่ายขึ้นมาหน่อยก็ คือ หากเปรียบ ความรู้เป็น “กับข้าว” อย่างหนึ่งแล้ว Active learning ก็คือ “วิธีการปรุง ” กับข้าวชนิดนั้น ดังนั้นเพื่อให้ ได้กับข้าวดังกล่าว เราก็ต้องใช้วิธีการปรุงอันนี้แหละแต่ว่ารสชาติจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นกับประสบการณ์ ความชำนาญ ของผู้ปรุงนั่นเอง (ส่วนหนึ่งจากผู้สอนให้ปรุงด้วย) “เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียน ด้วยกันในการนี้ครูต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรงลง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการจะทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นและอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยการพูด การเขียนการอภิปราย กับเพื่อนๆ” คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ร่วมสมัย สำนักงานราชบัณฑิตยสภา อ้างถึง ใน จินดารัตน์ (2562) อธิบายว่า การเรียนรู้เชิงรุก (active learning) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ ผู้เรียนมีบทบาทในกิจกรรมการเรียนอย่างตื่นตัวและมีชีวิตชีวา เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนริเริ่มและ


12 ดำเนินการเรียนรู้อย่างใส่ใจจดจ่อกับเนื้อหา และเรื่องที่เรียนอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการ โดยมีการ ริเริ่มความคิด สร้างความรู้ มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และแสดงออกไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือวาจา มิใช่เป็นเพียงผู้รับความรู้เท่านั้น ผู้สอนต้องมีบทบาทในการเร้าความสนใจ และสร้างบรรยากาศ ในการเรียน โดยใช้กลยุทธ์แตกต่างกันไปตามสถานการณ์เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ การจัดการเรียนรู้เชิงรุกสามารถทำได้ทั้งในและนอกห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับผู้เรียนทุก ระดับ ทั้งการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและการเรียนรู้แบบกลุ่ม การจัดการเรียนรู้เชิงรุกมีได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหาวิชา บุคลิกภาพของผู้สอน ลักษณะของผู้เรียนรวมทั้งสภาพแวดล้อม เช่น การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ การเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการคิด การเรียนรู้แบบสืบสอบ การเรียนรู้ แบบค้นพบ วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้มีพื้นฐานมาจากแนวคิดสำคัญ คือให้ผู้เรียนเป็นผู้มี บทบาทหลักในการเรียนรู้ของตนเอง การเรียนรู้เชิงรุกเป็นการเรียนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด ส่วนผู้สอนทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งทำให้ผู้เรียนได้ ค้นพบความรู้ พัฒนาความสามารถ เกิดเจตคติที่ดีและมีประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้เชิง รุกช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เข้าใจ จดจำ และประมวลผลข้อมูลที่เรียน และทำให้บทเรียนและกิจกรรม การเรียนการสอนมีความหมาย และน่าสนใจทั้งผู้สอนและผู้เรียน สถาพร, (2558) ได้กล่าวถึง Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการ สร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียน สามารถเชื่อมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรม การเรียนรู้ ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดย กระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจาก กิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ วัฒนา, (2561) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ ใหม่ที่อ้างอิงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้ของมนุษย์ และมีการตื่นตัวใน สถาบันการศึกษาหลายแห่ง และนำการจัดการเรียนการสอนแนวนี้มาใช้ในชั้นเรียน คือ เป็นกิจกรรมที่ยึด


13 ผู้เรียนและปัญหาเป็นสำคัญ การเลือกใช้กิจกรรมการเรียนรู้จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของกิจกรรมการ เรียนรู้เนื้อหา เวลา และจำนวนของผู้เรียน ในยุคการศึกษาไทย 4.0 มีเป้าหมายให้ผู้เรียนสามารถสร้าง องค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ให้เกิดนวัตกรรมสู่สังคม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ กล่าวคือ 1) การสร้างสภาพแวดล้อมและกระตุ้นความกระหายใคร่รู้ใน ปัญหา 2) ให้ผู้เรียนลงมือสร้างความเข้าใจและวางแผนในการเรียนรู้ 3) ลงข้อสรุปผลการเรียนรู้และสร้าง องค์ความรู้ 4) นำผลการเรียนรู้เข้าสู่กระบวนการขยายและแปลงความรู้ลงสู่นวัตกรรมและ 5) ประเมินผล การเรียนรู้ ดังนั้นการศึกษาไทยในยุคไทยแลนด์ 4.0 จะต้องเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลง มือปฏิบัติจริง สามารถนำองค์ความรู้หลาย ๆ แขนงมาบูรณาการแบบสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ มาตอบสนองความต้องการของสังคม และเชื่อมโยงองค์ความรู้นำไปปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาหรือการ ประกอบอาชีพในอนาคต รวมถึงส่งผลให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และเป็นไปตาม เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ยุคไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างแท้จริง Paphitchaya, (2016) ได้กล่าวถึง การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) หรือการเรียนรู้แบบลง มือทำหรือปฏิบัติ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่าง ผู้เรียนด้วยกันในการนี้ ครูต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรงลง แต่ไปเพิ่ม กระบวนการและกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการจะทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น แต่ เหนือสิ่งอื่นใด ผู้ที่จะก่อให้เกิดสภาพนี้ได้คือครูผู้สอนที่จะต้องมีสภาพของ Active Teaching ก่อน และไม่ ว่าเราจะใช้คำศัพท์ใด ๆ หรือใช้นิยามหรือคำจำกัดความใด ๆ ที่จะกว้างหรือแคบก็ตามสิ่งที่เราในฐานะ ครูผู้สอน ซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนนั้น จะต้องคำนึงถึง ก็คือทำอย่างไรจึงจะให้ ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ และครบถ้วนถามที่สังคมยุคปฏิรูปการศึกษาได้มุ่งหวังไว้ ไม่ใช่สอน เพื่อเด็กเรียนรู้เพียงเพื่อจำเอามาตอบเราได้เท่านั้น บุหงา, (2546) การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมี ความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างนักเรียนด้วยกันในการนี้ผู้สอนต้องลดบทบาทในการสอน และการให้ ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรงแต่ไปเพิ่มกระบวนการ และกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นใน การที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยการ พูด การเขียน หรือการอภิปรายกับเพื่อนๆ แพทยศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2559) กล่าวว่า Active learning เป็นแนวคิด การจัดการเรียนรู้ที่มีพื้นฐานจากทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism) ที่เน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทมาก


14 และสำคัญที่สุดในกระบวนการจัดการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ การรวบรวม ข้อมูลและสรุปความเห็น โดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและน่าสนใจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้และประสบการณ์เดิมของตน และเชื่อมโยงองค์ความรู้ใหม่จากการมี ปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning นั้นผู้สอนสามารถเลือกใช้วิธีสอนได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Cooperative/Collaborative learning, Discovery learning, Experiential learning, Problem-Based learning, Inquiry-Based learning, Project- Based learning (ว ิจารย์, 2556 ; Settle, 2011) ซึ่ง Active learning จะใ ห้ ความสำคัญต่อลักษณะของกิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้ (Process of Learning) เป็นการเรียนรู้ที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือกระทำกิจกรรม มีทักษะทั้งในเชิงความคิด และเทคนิควิธีที่จะใช้ปฏิบัติงาน และ แก้ปัญหาในชีวิตจริง ผู้เรียนสามารถพูดคุยและเขียนสื่อสารในสิ่งที่เรียน วิจารณ์โต้แย้งระหว่างเพื่อน และ อาจารย์ผู้สอนได้ ผู้เรียนยังสามารถจัดระบบการคิด และสร้างวินัยต่อกระบวนการแก้ปัญหารับผิดชอบต่อ การเรียนรู้ด้วยตนเอง และมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยหลายอย่าง เช่น การเรียนรู้เชิงปฏิบัติ การเรียนรู้ผ่าน ประสบการณ์ และการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) 2) ลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไชยยศ, (2562) กล่าวถึงลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นข้อๆไว้ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหาการนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฎิสัมพันธ์ร่วมกัน และร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิด 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง


15 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ และหลักการสู่ การสร้างความคิดรวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ตนเอง 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน ครูเชียงราย, (2562) กล่าวถึง ลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไว้ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 2. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน การแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบ 3. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้ จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลักการความคิดรวบ ยอด 5. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ตนเอง 6. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้และการสรุปทบทวนของผู้เรียน 3) บทบาทของครู กับ Active Learning ณัชนัน, (2550) กล่าวถึง บทบาทของกรผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวทางของ Active Learning ดังนี้ 1. จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความต้องการใน การพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน 2. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน 3. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ 4. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน


16 5. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่ หลากหลาย 6. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในการจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา และ กิจกรรม 7. ครูผู้สอนต้องใจกว้างยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดของผู้เรียน 4) ตัวอย่างเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ ทั้งการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การ เรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก และการเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ McKinney (2008) ได้เสนอตัวอย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ดี ได้แก่ 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ให้ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดแต่ละคนประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนั้นให้แลกเปลี่ยน ความคิดกับเพื่อนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด (Share) 2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ให้ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยจัดเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3-6 คน 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรมการ เรียนรู้ โดยครูจะคอยช่วยเหลือกรณีที่มีปัญหา 4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกมเข้าบูรณา การในการเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้น การประเมินผล 5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น หรือสะท้อนความคิดเกี่ยวกับ สิ่งที่ได้ดู อาจโดยวิธีการพูดโต้ตอบกัน การเขียน หรือ การร่วมกันสรุปเป็นรายกลุ่ม 6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียน ได้นำเสนอข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพื่อยืนยันแนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม


17 7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) คือการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้ วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการ สอนแบบโครงงาน (project-based learning) หรือ การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) 9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ ผู้เรียนได้อ่านกรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือ แนวทางแก้ปัญหาภายในกลุ่ม แล้วนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ผู้เรียนจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งเสนอ ความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบันทึกที่เขียน 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูลสารสนเทศ ข่าวสาร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วแจกจ่ายไปยังบุคคลอื่น ๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกันของกรอบ ความคิด โดยการใช้เส้นเป็นตัวเชื่อมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่มแล้วนำเสนอผลงานต่อ ผู้เรียนอื่น ๆ จากนั้นเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคนอื่นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 13. การเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างนักเรียนด้วยกัน ในการนี้ผู้สอนต้องลดบทบาทในการสอน และการให้ข้อความรู้แก่ ผู้เรียนโดยตรงแต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะทำ กิจกรรมต่างๆ มากขึ้นอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยการพูด การเขียน หรือการอภิปรายกับเพื่อนๆ


18 2.4 เครื่องมือการวิจัย 2.4.1 วิธีการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 1) ความหมายกลวิธีการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล กิจกรรมกลวิธีการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เป็นแนวคิดของการ ค้นพบปัญหาด้วยตนเอง สามารถสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ นับว่าเป็นวิธีการสอนที่ ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางและได้มีผู้กล่าวถึงความหมายไว้ดังนี้ ไพฑูรย์ และคณะ, (2562) กล่าวว่า อาคีตะโมเดลมีจุดมุ่งหมาย คือ การค้นพบปัญหาด้วยตนเอง สามารถสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ต้องให้เด็กดำเนินกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียน แทนครูครูไทยต้องปรับบทบาทต้องทำให้เด็กอยากรู้ด้วยตนเองต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่ ต้องการให้เด็กรู้ อยากให้แก้โจทย์ อยากให้รู้จัก ครูควรกำหนดล่วงหน้า ว่าส่วนไหนครูสอน ส่วนไหนให้เด็ก อภิปรายแลกเปลี่ยนกันเอง สร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนฝึกคิดเองเป็นสำคัญ ต้องสามารถสื่อสารกับคน อื่นให้เข้าใจด้วยจุดสำคัญคือการรอให้เวลาเด็กคิด ครูต้องรอไม่รีบเฉลย อภิชาต, (2561) กล่าวว่า วิธีการสอนเชิงรุกของจังหวัดอาคีตะ (Akita Action) คือ รูปแบบการ เรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่ให้เด็กนักเรียนได้คิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาผ่านการ อภิปรายกันเป็นกลุ่มนักเรียนทุกชั้นปีจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับหัวข้อของการเรียนรู้ที่ตน กำหนดเอง ชวลิต, (2561) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุกตามแนวอาคีตะ เป็นการจัดการเรียนรู้ของเมือง AKITA ประเทศญี่ปุ่นที่มีผลการสำรวจตามแนว PISA สูงสุดของประเทศตลอด 15 ปีที่ผ่านมา โดยมี หลักการที่สำคัญ ได้แก่ 1) การเรียนรู้อย่างลึกซึ้งที่มุ่งให้เด็กค้นพบและแก้ปัญหาด้วยตนเอง 2) การเรียนรู้ เชิงสนทนา และ 3) การเรียนรู้เชิงคาดการณ์และทบทวนด้วยตนเอง นิภา, (2561) กล่าวว่า แนวคิด Akita Action มีหลักการคือกระตุ้นให้ผู้เรียนแต่ละบุคคลได้ ค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สร้างความรู้ด้วยตนเอง และ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพ เพื่อตอบสนองความสามารถที่แตกต่างระหว่างบุคคลโดยอาศัย การช่วยเหลือของครูผู้สอนที่จะให้คำปรึกษาแนะนำตลอดจนสนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีการบริหารจัดการ ตนเองเกิดทักษะความคิดด้วยตนเองแลกเปลี่ยนความคิดกล้าแสดงความคิดเห็นทำงานเป็นกลุ่มได้และ ความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น


19 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล หมายถึง การจัดการเรียนรู้การ เรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่ให้เด็กนักเรียนได้คิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาผ่านการ อภิปรายกันเป็นกลุ่ม และครูต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการให้เด็กรู้ครูควรกำหนดล่วงหน้า ว่าส่วนไหนครูสอน ส่วนไหนให้เด็กอภิปรายแลกเปลี่ยนกันเอง สร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนฝึกคิดเองเป็น สำคัญ ต้องสามารถสื่อสารกับคนอื่นให้เข้าใจ 2) รูปแบบกลวิธีการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล นักการศึกษาหลายคนได้ประมวลการสอนที่มีแนวคิดจากกลวิธีสอนการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลไว้หลากหลายรายละเอียดดังนี้ ไพฑูรย์ และคณะ, (2562) กล่าวถึง กระบวนการของอาคีตะโมเดล Akita Model มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 รู้จักตั้งข้อสังเกตในการเรียนรู้ เด็กนักเรียนจะรู้ได้ด้วยการคิดเองโดยการค้นพบหัวข้อ ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และรู้จักตั้งข้อสังเกตในการหาคำตอบ ขั้นตอนที่ 2 มีความคิดของตัวเอง การมีความคิดเป็นของตนเอง จะเชื่อมโยงไปสู่กิจกรรมการ อภิปรายที่ช่วยขยายความคิดให้กว้างและลึกซึ้งขึ้น ขั้นตอนที่ 3 อภิปรายกันเป็นคู่ จากการเรียนแบบให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน จะช่วยทำให้ ความคิดของแต่ละคนกว้างและลึกขึ้น ความสามารถในการคิด และการแสดงออกก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ขั้นตอนที่ 4 ทบทวนเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้ กิจกรรมการทบทวนโดยใช้สมุดจดบันทึกหรือการ เขียนบนกระดานจะช่วยให้จดจำเนื้อหาการเรียนรู้ และวิธีการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ชวลิต, (2561) กล่าวถึง Akita Action มีกิจกรรม 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1. ขั้นตั้งข้อสังเกตในการเรียนรู้ เด็กนักเรียนจะเรียนรู้ได้ด้วยการคิดเอง โดยการค้นพบ หัวข้อในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และรู้จักตั้งข้อสังเกตในการหาคำตอบ 2. ขั้นมีความคิดของตัวเอง การมีความคิดเป็นของตัวเอง จะเชื่อมโยงไปสู่กิจกรรมการ อภิปรายที่ช่วยขยายความคิดให้กว้างและลึกซึ้งขึ้น 3. ขั้นอภิปรายกันเป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม จาการเรียนรู้แบบให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน จะ ช่วยทำให้ความคิดของแต่ละคนกว้างและลึกขึ้น ความสามารถในการคิด และการแสดงออกก็จะเพิ่มขึ้น


20 4. ขั้นทบทวนเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้ กิจกรรมการทบทวนโดยใช้สมุดจดบันทึกหรือ การเขียนกระดานจะช่วยให้จดจำเนื้อหาการเรียนรู้ และวิธีการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น Akita Action มีอยู่ 4 ขั้นตอน ดังนี้ Step 1 รู้จักตั้งข้อสังเกตในการเรียนรู้ (หัวข้อการเรียนรู้) หัวข้อการเรียนรู้ที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็กนักเรียนเรียนรู้แบบ Active Learning ได้นั้น คือ หัวข้อการเรียนรู้ต้องมีความ น่าดึงดูด น่าสนใจและเพิ่มความรู้สึกอยากเรียนรู้ให้กับนักเรียน วิธีทำให้นักเรียนรู้จักตั้งข้อเกตเพื่อค้นหาคำตอบมีคำแนะนำดังต่อไปนี้ 1. กระตุ้นให้คิดโดยใช้ความรู้และทักษะที่ได้ติดตัวมาจากการเรียนรู้ที่ผ่านมาจนถึง ปัจจุบัน 2. พิจารณาเนื้อหาของหัวข้อการเรียนรู้ทำให้เด็กตระหนักเองว่าควรสนใจในจุดไหนและ คิดอย่างไรดี 3. ให้นักเรียนกะประมาณเวลา และวางขั้นตอนในการหาคำตอบตามข้อสังเกตที่ตั้งไว้ Step 2 มีความคิดของตัวเอง ทักษะการคิดพิจารณาด้วยตัวเองซึ่ง จำเป็นในการเรียนการสอน เชิงรุก เงื่อนไขสำคัญที่จะจัดการเรียนการสอนเชิงรุกให้ได้สำเร็จได้นั้น คือ “การมีความคิดของตัวเอง” เมื่อมีความคิดของตัวเองแล้วจึงจะสามารถจัดกิจกรรมการอภิปรายเพื่อแก้ไขปัญหาได้สำเร็จข้อสำคัญใน การคิดพิจารณาด้วยตัวเอง 1. ปรับเวลา (ประมาณ 5 นาที) ให้เข้ากับสภาพจริงของเด็กนักเรียน 2. ไม่เพียงแค่แสดงความคิดของตัวเองผ่านการเขียนเป็นประโยคเท่านั้น แต่ต้องแสดง ด้วยการวาดภาพหรือแผนผังด้วย 3. เตรียมคำถามเพื่อกระตุ้นให้เกิดการคิด 4. ใช้เครื่องมือช่วยคิด (Thinking Tool) เพื่อให้สามารถจัดระเบียบความคิดให้เข้าใจได้ ง่าย Step 3 อภิปรายกันเป็นคู่ กลุ่ม หรือทั้งชั้นเรียน อภิปรายเพิ่มเพิ่มทักษะการแก้ไขปัญหา เปรียบเทียบความคิดที่ได้จากการคิดด้วยตัวเองจากนั้นแบ่งกลุ่มเพื่ออภิปราย หรืออภิปรายร่วมกันกับทุก คนในชั้นเรียน เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาร่วมกัน การปรับแก้ความคิด ให้คำแนะนำในจุดที่ผิด และการยอบรับ ในจุดดี จะช่วยทำให้ทักษะในการคิดพิจารณาหลากหลายมุม ติดตัวไปตลอดสิ่งสำคัญที่ทำให้การอภิปราย สมบูรณ์แบบ


21 1. รวบรวมและให้ความสำคัญกับความคิดที่สอดรับกับการแก้ไขปัญหา 2. เน้นย้ำวิธี และกฎระเบียบในการอภิปราย (แสดงขั้นตอนของการอภิปราย) 3. สรุปความคิดเห็นของนักเรียน แล้วเขียนลงบนกระดานอย่างเป็นแบบแผนหรือด้วยวิธี อื่นใด ที่ทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ได้โดยง่าย Step 4 ทบทวนเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้ สัมผัสกับความรู้สึกตอนที่ “เข้าใจ ทำได้” อย่างแท้จริง การสรุปสิ่งที่สามารถทำและเข้าใจได้เพิ่มขึ้นด้วยคำพูดของตนเอง จะทำให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง และ สร้างความตั้งใจที่จะเรียนรู้ในครั้งต่อไป 1. สรุปด้วยคำพูดของตัวเอง - หลังจากทำกิจกรรมอภิปลายแล้ว ก็สรุปเป็นคำพูดของตัวเองลงในสมุดอ หรือกระดาน 2. ทบทวนสิ่งที่เรียนในชั่วโมงเรียน - ไม่เพียงแต่ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้แต่ทบทวนสิ่งอื่นๆด้วยเช่น ข้อดีของการเรียนรู้แบบให้ ความร่วมมือซึ่งกันและกัน 3. ทำให้จดจำด้วยโจทย์ปัญหาประยุกต์ 4. ฝึกให้นักเรียนคาดการณ์ถึงการเรียนรู้ในครั้งต่อไป สังเกตปฏิบัติปฏิกิริยาตอบสนองใน การเรียนรู้ และเชื่อมโยงไปสู่การคาดการณ์การเรียนรู้ครั้งต่อไป - เตรียมโจทย์ปัญหาที่สามารถทบทวนสิ่งที่เรียนไปได้ทันทีไว้ล่วงหน้า - ให้นักเรียนคาดการณ์หัวข้อการเรียนรู้ใหม่จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ -ให้นักเรียนคิดถึงการประยุกต์ใช้เนื้อหาและวิธีการที่ได้เรียนรู้กับการเรียนรู้อื่นๆและ ประจำวัน พนิดา, (2562) กล่าวถึง กระบวนการของ Akita Action ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1. รู้จักตั้งข้อสังเกตในการเรียนรู้ เด็กนักเรียนจะรู้ได้ด้วยการคิดเอง โดยการค้นพบหัวข้อ ในการเรียนรู้ ด้วยตนเองและรู้จักตั้งข้อสังเกตในการหาคำตอบ 2. มีความคิดของตัวเอง การมีความคิดเป็นของตัวเอง จะเชื่อมโยงไปสู่กิจกรรมการ อภิปราย ช่วยขยายความคิดให้กว้างและลึกซึ้งขึ้น 3. อภิปรายกันเป็นคู่ กลุ่ม หรือทั้งชั้นเรียน จากการเรียนแบบให้ความร่วมมือซึ่งกันและ กัน จะช่วยทำให้ความคิดของแต่ละคนกว้างและลึกขึ้น


22 4. ทบทวนเนื้อหาและวิธีการเรียนรู้ กิจกรรมการทบทวนโดยใช้สมุดจดบันทึกหรือการ เขียนบนกระดานจะช่วยให้จดจำเนื้อหาการเรียนรู้ และวิธีการเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ภาพที่ 2.1 สรุปวิธีการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล ที่มา : ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2562) 3) หลักการใช้กลวิธีการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล ชวลิต, (2561) กล่าวถึง หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้ตามแนวอาคีตะ ประกอบด้วย 3 หลักการที่สำคัญคือ 1. การเรียนรู้อย่างลึกซึ้งที่มุ่งให้เด็กค้นพบและแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งอยู่ใน กระบวนการเรียนรู้แบบ “เรียนรู้ ประยุกต์ค้นหา” 2. การเรียนรู้เชิงสนทนาเพื่อขยายความคิดของตนเองให้กว้าง และลึกด้วยการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและโลกภายนอก 3. เด็กรู้จักคาดการณ์ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเต็มความสามารถ ทบทวนกิจกรรมเรียนรู้ของ ตนเองและนำไปสู่การเรียนรู้ขั้นต่อไปแบบ Active Learning 2.4.2 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้มีการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์


23 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ แบบทดสอบ เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ โดยผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบมาให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะในเนื้อหาวิชา ชีววิทยาจำนวน 3 ท่าน สำหรับเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียดในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิเคราะห์ สาระการเรียนรู้ ศึกษาผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเพื่อกำหนดสาระการเรียนรู้ 1.2 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการ และวิธีการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อเป็น แนวทางในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 1.3 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล ให้มีความสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และสาระการเรียนรู้ที่ กำหนดไว้ ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1.3.1 สาระการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลาง 1.3.2 มาตรฐานการเรียนรู้ 1.3.3 ผลการเรียนรู้ 1.3.4 สาระสำคัญ 1.3.5 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.3.6 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1.3.7 สาระการเรียนรู้ 1.3.8 การวัดผลประเมินผล 1.3.9 คำถามสำคัญ 1.3.10 กิจกรรมการเรียนรู้ 1.3.11 สื่อการเรียนรู้ 1.3.12 แหล่งเรียนรู้


24 1.3.13 กิจกรรมหรือข้อเสนอแนะ 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสร็จแล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแล้วปรับปรุงตาม คำแนะนำ 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจ เครื่องมือ 3 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสมององค์ประกอบทั้งหมด ตลอดจนการใช้ภาษาที่ถูกต้องจากนั้น นำมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้กับจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหา และ ขั้นตอนการดำเนินการจัดการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (IOC) โดยพิจารณาค่าดัชนีความ สอดคล้องตั้งแต่ .50 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจ และแก้ไขแล้วไปกับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 2. กำหนดโครงการสอนในการเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยยึดเนื้อหา ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาทีดังนี้แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ใช้เวลา 40 นาที และแบบทดสอบหลัง เรียนใช้เวลา 40 นาที 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ตามขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดประเมินผล วิธีการสร้างแบบทดสอบและการเขียนข้อสอบ วิชาชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์ 3.2 ศึกษาจุดประสงค์และสาระวิชาชีววิทยา จากคู่มือวิชาชีววิทยาและหนังสือเรียนหรือ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ 3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาเรื่อง การแบ่งเซลล์แบบ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุมทุกผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางการ สอนชีววิทยา จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมชัดเจนของคำถาม แล้วหาค่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (IOC) โดยพิจารณาค่าดัชนีความ สอดคล้องตั้งแต่ .50 ขึ้นไป 3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยต่อไป


25 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยดำเนินการทดลองตามขั้นตอน ดังนี้ 4.1 เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา จังหวัดสุโขทัย โปรแกรม วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ มาจำนวน 1 ห้อง 4.2 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์ 4.3 ดำเนินการสอน โดยผู้วิจัยเป็นผู้สอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล 4.4 เมื่อสิ้นสุดการสอนตามกำหนดแล้วจึงทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา1 เรื่อง การแบ่งเซลล์ ชุดเดียวกับ แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจ มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ 4.5 นำผลคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยามา วิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป 4.6 นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ ผลหาค่าเฉลี่ย (x) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 5. การจัดการกระทำและการวิเคราะห์ข้อมูล 5.1 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอน เชิงรุกอาคีตะโมเดลโดยใช้สถิติ t-test แบบ Dependent Samples 5.2 นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ ผลหาค่าเฉลี่ย (x)และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)


26 2.5 ความพึงพอใจหรือเจตคติ 2.5.1 ความหมายของเจตคติ เจตคติของผู้เรียนที่มีต่อชั้นเรียนและผู้สอนนั้นสงผลตอการเรียนรูวิชาชีววิทยาหาก ผู้เรียนมีความรูสึกวาการเรียนในชั้นเรียนมีความนาสนใจ สนุกสนาน และมีความทาทายต่อผู้เรียนส่งผลให ผู้เรียนมีความพยายามในการเรียนสูงขึ้น มีผู้ใหความหมายของเจตคติไวดังนี้ กลา, (2543) กล่าวว่า เจตคติ หมายถึง ความรูสึก ทาทีที่ความคิดเห็นหรือความโนมเอียงทาง จิตใจของบุคคลที่มีตอสิ่งต่าง ๆ อันเกิดจากการเรียนรูและประสบการณทำใหบุคคลพรอมจะแสดง พฤติกรรมตอบสนองสิ่งเร้า ซึ่งอาจเป็นไปในทางบวกทางลบหรือในลักษณะเป็นกลางการที่บุคคลจะมีเจต คติตอสิ่งใดขึ้นอยู่กับองคประกอบดานความรูสึก ความรูความเขาใจ และการปฏิบัติ เจตคติที่ดีตอการ เรียนและวิชาเรียน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ครูควรจะสงเสริมใหมีขึ้นในตัวเด็กเพราะการมีเจตคติที่ดีตอกิจกรรม การเรียนการสอนและเนื้อหา จะทำให นักเรียนมีความสนใจ ตั้งใจในกิจกรรมการเรียนและเห็น ความสำคัญของวิชาที่เรียนต่อสิ่งมีชีวิตของตนเอง สงวนศักดิ์, (2543) กล่าวว่า เจตคติ หมายถึง เป็นการแสดงออกของมนุษย์ ซึ่งเป็นกิริยาทาทีรวม ๆ ของบุคคลที่เกิดจากความพรอมหรือความโนมเอียงของจิตใจภายใน ซึ่งแสดงออกต่อสิ่งเร้าหนึ่งๆ อัน เป็นผลอันเนื่องมาจากการเรียนรูประสบการณ นอกจากนี้เจตคติยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ความรูสึกนึกคิด ความเชื่อ ความคิดเห็น และความรูหรือความจริง รวมทั้งความรูสึกที่เราประเมินคาออกมาในทางบวก และทางลบ จีรนันท, (2544) กล่าวว่า เจตคติ หมายถึง ความรูสึกของบุคคลที่มีระดับมากน้อยในดานบวก หรือด้านลบตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันเป็นผลมาจากประสบการณและการเรียนรูของบุคคลนั้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ความหมายของเจตคติ ความรูสึกของบุคคลที่มีระดับมากน้อยในดานบวกหรือ ด้านลบ ต่อจิตใจของบุคคล ที่มีผลตอสิ่งต่าง ๆ อันเกิดจากการเรียนรูและประสบการณทำใหบุคคลพรอม จะแสดงพฤติกรรมออกมา อาจจะเป็นไปในทางบวก ทางลบ หรือในลักษณะเป็นกลาง 2.5.2 การพัฒนาเจตคติในการเรียนการสอน เจตคติเป็นเรื่องที่เกี่ยวของกับจิตใจ หากบุคคลมีเจตคติที่ดียอมมีพฤติกรรมที่ดีตาม แต่ ถ้าเจตคติไม่ดียอมแสดงพฤติกรรมไม่ดี ดังนั้นจึงควรมีการพัฒนาเจตคติในการเรียนการสอนเพื่อใหผู้เรียน เกิดเจตคติที่ดีในการเรียนการสอน


27 Bloom et al. (1971) กลาวถึง เจตคติของบุคคลว่าควรมีรูปแบบของการพัฒนาตามลำดับขั้น ดังนี้ 1) มีการรับสิ่งเร้า ตลอดจนมีความเขาใจเกี่ยวกับสิ่งเร้านั้น ๆ 2) มีการตอบสนองตอสิ่งเร้าไปในทิศทางที่บุคคลนั้นยอมรับ และจัดเรียงลำดับของพฤติกรรม หรือจัดประเภทของลักษณะการตอบสนองนั้นๆ ตามลักษณะของความพอใจ 3) จัดสร้างคุณคา หรือคานิยมจากการตอบสนอง โดยมีเงื่อนไขหรือขอตกลงของสภาวะของ สิ่งเร้าเป็นนตัวกำหนดลำดับขั้นของแบบแผนในการสร้างคุณภาพ 4) จัดระเบียบคานิยมนั้นให้อยู่ในระบบของมโนภาพ 5) จัดนำคานิยมเหลานั้นมาสร้างเป็นนิสัย 2.5.3 การวัดเจตคติ Scott, (1968) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อสร้างเครื่องมือวัดเจตคติไวว่า การ สร้างเครื่องมือวัดเจตคติตองศึกษาลักษณะของเจตคติ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1) ทิศทางของเจตคติ (Direction) แสดงออกได้ 2 ทิศทาง คือ 1.1) เจตคติทางบวก เป็นความโนมเอียงของอารมณซึ่งมีความพอใจ คล้อยตามชอบหรือ เห็นด้วย ซึ่งจะทำใหบุคคลนั้นแสดงพฤติกรรมออกมาในลักษณะที่ดีตอสิ่งนั้น ๆ 1.2) เจตคติทางลบ เป็นความโนมเอียงของอารมณซึ่งมีความไม่พอใจ ต่อต้าน เกลียด ไม่ คล้อยตาม ซึ่งจะทำใหบุคคลเกิดความเบื่อหน่วยและแสดงพฤติกรรมออกมาในลักษณะที่ไม่ดีตอสิ่งนั้น ๆ 2) ระดับของเจตคติ หมายถึง การที่บุคคลแสดงความรูสึกตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งในลักษณะผิวเผินหรือ ลึกซึ้ง ซึ่งเจตคติระดับผิวเผินนั้นเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แต่ถ้าเป็นเจตคติระดับลึกซึ้งจะติดตรึงในจิตใจ เปลี่ยนแปลงได้ยาก 3) ความเข้มของเจตคติ หมายถึงปริมาณของความรูสึกที่มีตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากหรือน้อยเพียงไร 4) เครื่องมือวัดเจตคติ มาตราวัดเจตคติแบบของลิเคอร์ท (Likert scale) มีขอตกลงเบื้องต้นว่า ลักษณะการกระจายของเจตคติมีการแจกแจงเป็นแบบปกติ จากขอตกลงนี้ลิเคอร์ทได้ใชเป็นหลักหาค่า S ของคะแนนของมาตราวัดโดยนำไปทดลองกับกลุมที่ต้องการวัด ไม่ต้องให้คณะบุคคลตัดสินเหมือนแบบ ของเธอรสโตน และลิเคอร์ทพบวา ค่า S ที่หาจากการใช Normal Deviate กับการกำหนดแบบใหค่า คะแนนมาตรา โดยแต่ละมาตราวัดห่างเท่ากันเป็น 0, 1, 2, 3, 4 สำหรับข้อความเจตคติที่เป็นลบ และเป็น 4, 3, 2, 1, 0 สำหรับข้อความที่เป็นบวก นั้นได้ผลไม่แตกต่างกัน ซึ่งพบว่าค่าสัมพันธสูงสุดถึง 0.99


28 มาตราวัดเจตคติแบบของลิเคอร์ทสามารถใชวัดเจตคติได้อย่างกว้างขวาง และสามารถวัดเจต คติได้เกือบทุกเรื่อง มีค่าความเที่ยงสูงกวาแบบอื่นขั้นตอนการสร้างและพัฒนาของมาตราวัดเจตคติแบบ ลิเคอร์ท มีดังนี้ 1) กำหนดโครงสร้างของเจตคติที่ต้องการวัดตามหลักการสร้างข้อความวัดเจตคติ ต้อง พยายามกำหนดโครงสร้างของเจตคติที่ต้องการวัดให้แน่นอนชัดเจน และครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการวัด ทั้งหมด เป็นการพัฒนาให้แบบวัดเจตคติมีความตรงตามเนื้อหา 2) สร้างข้อความวัดเจตคติตามโครงสร้างที่กำหนด อาจรวบรวมข้อความเกี่ยวกับเจตคติในเรื่อง นั้นจากเอกสาร หนังสือ ตำรา หนังสือพิมพ นิตยสาร หรือจะส่งแบบสอบถามปลายเปิดไปให้กลุ่มตัวอย่าง ตอบ แล้วคัดเลือกจากคำตอบมาสร้างเป็นข้อความวัดเจตคติก็ได้ จำนวนข้อความที่สร้างจะมีมากมีน้อย เท่าใดนั้นถือหลักวาครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการวัดตามโครงสร้างของเจตคติที่กำหนดเป็นสำคัญ และควร มีข้อความที่เป็นบวกและเป็นลบคละกันในจำนวนเท่า ๆ กัน 3) การกำหนดมาตราวัด ใหแต่ละข้อความโดยใหเป็น 5 มาตราวัดจากเห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็น ด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง และให้คะแนนมาตราวัด โดยยึดหลักดังนี้ 3.1) ข้อความวัดเจตคติที่สนับสนุนหรือที่มีลักษณะเป็นบวกต่อเรื่องที่ต้องการวัด จะให้ คะแนน 4, 3, 2, 1, 0 (หรือ 5, 4, 3, 2, 1) จากเห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย อย่างยิ่งเรียงตามลำดับ 3.2) ข้อความวัดเจตคติที่ต่อต้านหรือมีลักษณะเป็นลบต่อเรื่องที่ต้องการวัด จะให้ คะแนนเป็น 0, 1, 2, 3, 4 (หรือ 1, 2, 3, 4, 5) จากเห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็น ด้วยอย่างยิ่งเรียงตามลำดับ 4) นำข้อความวัดเจตคติที่สร้างทั้งหมดรวมเป็นแบบวัดให้คละกัน แลวนำไปทดลองใช้กับกลุ มตัวอย่างที่ใกลเคียงกับกลุมตัวอย่างที่ใช้จริง 5) นำผลการทดลองใช้มาวิเคราะห์แต่ละข้อความ เพื่อหาอำนาจจำแนกของแต่ละข้อความดังนี้ 5.1) นำผลการทดลองใช้มาตรวจใหคะแนนตามที่กำหนดไวใน ข้อ 3. รวมคะแนนที่ได้ ของแต่ละคน 5.2) นำคะแนนรวมแต่ละคนมาเรียงกันจากมากไปน้อยหรือจากน้อยไปมากก็ได้ 5.3) คัดเลือกผู้ที่ได้คะแนนสูง 1 ใน 4 (ร้อยละ 25) และผู้ที่ได้คะแนนต่ำ 1 ใน 4 (ร้อย ละ 25) ให้เป็นตัวแทนของกลุ่มที่ใช้ทดลอง


29 5.4) นำผลการตอบของผู้ที่ได้คะแนนสูง และได้คะแนนต่ำจากข้อ 3. มาหาจำนวนผู้ เลือกตอบในแต่ละมาตราวัดแยกเป็นกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ 5.5) หาค่าคะแนนเฉลี่ย และความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อในกลุ่มสูงและกลุมต่ำ แล้วทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยระหว่างกลุ่มกับกลุมต่ำด้วย t - test 5.6) คัดเลือกข้อความที่มีคุณภาพโดยพิจารณาจากค่า t ที่คำนวณได้ถ้าค่า t ที่คำนวณ ได้ของข้อความใดมากกว่าค่า t ในตารางที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 แสดงว่าข้อความนั้นมีอำนาจจำแนกใช้ได้ สามารถแยกเจตคติของผู้ที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยออกจากกันได้ หรืออีกนัยหนึ่งผู้ที่ตอบว่าเห็นด้วย หมายความว่าเห็นด้วยจริงๆ ถ้าข้อความใดได้ ค่า t น้อยกว่าค่า t ในตาราง ในการแปลความหมายก็จะ แปลตรงข้ามกับเมื่อค่า t มีค่ามากกว่าค่า t ในตาราง ดังนั้นในการเลือกข้อความที่จะนำไปใชจริง ต้อง เลือกเอาข้อความที่มีค่า t ที่คำนวณได้มากกว่าค่า t ในตาราง ซึ่งถ้านำไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างแล้ว คำนวณได้ค่า t มากกว่า 0.2 ขึ้นไป ถือว่าเป็นข้อความที่สามารถวัดเจตคติได้ 5.7) หาค่าความเที่ยงของแบบวัดเจตคติ เมื่อคัดเลือกข้อที่มีอำนาจจำแนกได้แล้ว รวมเข้าเป็นแบบวัดหนึ่งชุด โดยเรียงข้อความให้คละกัน จากนั้นนำผลการทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมดมาตรวจให้คะแนนใหม่ แล้วนำผลไปหาค่าความเที่ยงแบบความคงที่ภายในด้วยวิธีการแบงครึ่ง หรือวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา 2.6 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับ ประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัด และประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ สมพร, (2547) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จ และสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ พิมพันธ์, และพเยาว์ (2548) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ ได้จากกระบวนการเรียนการสอน


30 ปราณี, (2549) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการ เรียนการสอนที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะ ทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้าน พุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ปรียา, (2559) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนด้วย กรณีศึกษาผลการวิจัย พบว่า การเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนด้วยกรณีศึกษาเป็นรูปแบบ การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองทักษะการคิดขั้นสูง การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในอนาคต ซึ่งการเรียนด้วยกรณีศึกษามีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ ผู้สอน ผู้เรียน กรณีศึกษา และ บรรยากาศในการเรียน ผู้สอนจะต้องมีความเข้าใจถึงขั้นตอนการเรียนด้วยกรณีศึกษา เลือกประเภทของ กรณีศึกษาที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหารายวิชา และควรสร้างบรรยากาศในการเรียนให้ผู้เรียน กล้าพูด กล้าตอบ และมีความสุขทุกการเรียนรู้ ฐนัส, (2560) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนการสอนเชิงรุกเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ของนักเรียนนายร้อยตามแนวคิดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนนายร้อย ได้แก่ 1) ความสนใจใฝ่รู้และความกระตือรือร้นในการทำ กิจกรรมในห้องเรียน 2) ประสบการณ์การทำงานหรือการร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์จากกิจกรรมเสริม หลักสูตรนอกห้องเรียน 3) การเปิดใจยอมรับต่อการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ 4) ฐานคติต่อความเชื่อมั่นและอคติ ในการพัฒนาตนเอง 5) ระดับความเข้าใจต่อกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งผลไปสู่ผลการเรียนรู้ 6) ครู อาจารย์ ผู้ทำการสอนที่มีความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง และ 7) สิ่งแวดล้อมทางการศึกษาที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนที่ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ทั้งนี้การจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน คือ การจัดการเรียนการสอนที่มีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่หลากหลายสะท้อนให้เกิดการแลกเปลี่ยน


31 เรียนรู้ และแสดงศักยภาพของผู้เรียน และมีการเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนสอดคล้องกับ บริบททางสังคม นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการปรับตัว และมีกระบวนการเรียนรู้ ในระดับที่แตกต่างกัน แต่สามารถเรียนรู้ร่วมกันได้ การเรียนรู้เชิงรุกช่วยทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าต่อ การศึกษา เนื่องจากมีความเข้าใจ และเห็นความสำเร็จของตนเองในการพัฒนาผลการเรียนรู้ทำให้เกิดการ เรียนรู้อย่างมีความหมาย นิภา, (2561) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลเกมคณิตศาสตร์ ตาม แนวคิด Akita - Action เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลเกมคณิตศาสตร์ แนวคิด Akita-Action และความสามารถ ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แนวคิด Akita – Action มีหลักการคือกระตุ้นให้ผู้เรียนแต่ละบุคคลได้ ค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สร้างความรู้ด้วยตนเอง และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพ เพื่อตอบสนองความสามารถที่แตกต่างระหว่างบุคคล โดย อาศัยการช่วยเหลือของครูผู้สอนที่จะให้คำปรึกษา แนะนำ ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีการบริหาร จัดการตนเอง เกิดทักษะความคิดด้วยตนเองแลกเปลี่ยนความคิด กล้าแสดงความคิดเห็น ทำงานเป็นกลุ่ม ได้ และความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น สุภาพร, (2561) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องสมการเชิงเส้นตัว แปรเดียวชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุกของอาคีตะ(Akita Action) ผลการวิจัย พบว่า ประสิทธิภาพการวัดจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยประยุกต์ใช้การสอนเชิงรุกของ จังหวัดอาคีตะ (Akita Action) ซึ่งสูงกวาเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 ผลสัมฤทธิ์เรื่องสมการเชิงเส้นตัว แปรเดียว โดยประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุกของจังหวัดอาคีตะ (Akita Action) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนเรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดย ประยุกต์ใช้วิธีการสอนเชิงรุกของจังหวัดอาคีตะ (Akita Action) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x)= 4.52) สิทธิพงษ์, (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้เชิงรุกในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับพอใช้


32 2. รูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้กับผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 83.27/81.73 เปอร์เซ็นต์ 3. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถในการเรียนรู้เชิงรุก และ มีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก ไพฑูรย์ และคณะ, (2562) ได้ทำการศึกษาเรื่อง ความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้การสอนเชิงรุก อ า ค ี ต ะ โ ม เ ด ล ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ยTHE FEASIBILITY OF THE APPLICATION OF THE AKITA INSTRUCTIONAL MODEL (AIM) IN THAILAND ผลการศึกษาพบว่า แนวคิดอาคีตะโมเดลมีจุดมุ่งหมาย คือ การค้นพบปัญหาด้วยตนเอง สามารถสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ครูญี่ปุ่นได้ให้ ข้อคิดว่าการนำอาคีตะโมเดลมาใช้ครูไทยต้องปรับทัศนคติในการสอนต้องให้เด็กดำเนินกระบวนการ เรียนรู้ในชั้นเรียนแทนครู ครูไทยต้องปรับบทบาท ต้องทำให้เด็กอยากรู้ด้วยตนเอง อย่ารอครูอธิบาย เด็ก สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย จากการสังเกตการเรียนการสอนของไทยมีจุดดีหลายอย่างที่จะใช้อาคีตะโมเดล ได้ เช่น กลุ่มเด็ก ๆก็คุยกันและตั้งใจฟังครู ครูก็ตื่นตัวรับสิ่งใหม่ๆ ครูที่ตั้งใจสอน บางครั้งมักจะลืมกลวิธีที่ จะให้เด็กคิดเอง ลืมตัวอยากให้เด็กรับรู้มากๆ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญ คือ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่ ต้องการให้เด็กรู้ อยากให้แก้โจทย์ อยากให้รู้จัก ครูควรกำหนดล่วงหน้า ว่าส่วนไหนครูสอนส่วนไหนให้ เด็กอภิปรายแลกเปลี่ยนกันเองสร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนฝึกคิดเองเป็นสำคัญต้องสามารถสื่อสารกับคน อื่นให้เข้าใจด้วย ในขั้นตอนที่ 1 นั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เช่น การตั้งคำถาม ปัญหา การเรียนรู้ต้องไม่ให้ เด็กดูหนังสือเรียน ไม่ใช้โจทย์ในหนังสือเรียน โจทย์สำคัญ คือ การรอ ให้เวลาเด็กคิด ครูต้องรอไม่รีบเฉลย การรอหากไม่มีคำตอบ ครูต้องมีคำใบ้ไว้ด้วย บางห้องที่นักเรียนรู้อยู่คนเดียวอาจให้แสดงเพียงคำตอบ เดียวเพื่อให้เด็กคนอื่นได้คิดต่อ หรืออาจให้นักเรียนแลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันบ้างการตรวจตามกลุ่ม อาจใช้ เทคนิคต่างๆ เช่นอาจถามเหตุผลในการคิด กลุ่มเงียบอาจใช้คำใบ้เรียกให้ถาม สลิลทิพย์, (2562) ได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาแนวคิด คลาดเคลื่อนวิทยาศาสตร์ เรื่อง วงจรไฟฟ้าเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 Development of Active Learning to Fix the Misconceptions in Basic Circuit Topic for K-9 Students จาก การศึกษาพบว่า การเรียนเชิงรุกสามารถแก้ไขความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ เช่น ในงานวิจัยของนิภาพร รูปแกะ (นิภาพร, 2555) เรื่อง พัฒนาความเข้าใจแนวคิด เรื่อง สนามของแรง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา


33 ปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพื่อเพิ่มพูนความเข้าใจแนวคิด เรื่อง สนามของแรงและเสริมสร้างเจต คติต่อการเรียน วิชาฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียน กุดข้าวปุ้นวิทยา จำนวน 38 คน โดยให้โอกาสในการคิด และตัดสินใจเกี่ยวกับ การพูด การฟัง การอ่าน การเขียน การสะท้อนแนวคิด และความรู้ที่ได้รับไปจากการแก้ปัญหา และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดย ผู้สอนเป็นผู้สร้างสถานการณ์ชี้แนะประสบการณ์ อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมี ความเข้าใจในความคิดรวบยอดที่เรียนอย่างลึกซึ้ง ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า การเรียนเชิงรุก สามารถแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสนามของแรงได้ อภินันท์, (2562) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การเรียนรู้เชิงรุก สาระหน้าที่พลเมืองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย อำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระหน้าที่พลเมือง ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มี ประสิทธิภาพ และเห็นผลได้ชัดเจน เนื่องจาก การจัดการเรียนรู้เชิงรุก เป็นการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมี บทบาทในการจัดการเรียนรู้ตามความถนัด ทำให้ผู้เรียนสามารถดึงความถนัดของตนเองมาใช้ในหา คำตอบจัดทำชิ้นงาน และเสนอความคิดของตนเอง เพื่อนำมาเสนอต่อคุณครูและเพื่อนในชั้นเรียน ผู้เรียน มีความสนใจให้ความร่วมมือนำไปสู่การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่ดีทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้และ ประสบการณ์โดยตรงจากการศึกษา 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สาระหน้าที่ พลเมือง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย อำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง คนดีของชุมชน จำนวน 3 แผนการจัดการเรียนรู้ ก่อนเรียน และหลังเรียน ผลการวิจัยดังนี้ ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย = 15.20 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย = 24.44 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน = 2.725 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) หลังเรียน = 2.893 เมื่อนำไปทดสอบ หาค่า t–test พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ .05


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่ง เซลล์ รายวิชาชีววิทยา ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามกรอบของหัวข้อต่างๆดังนี้ 3.1 ระเบียบวิธีวิจัย ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) วิเคราะห์ ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับข้อมูลเชิงคุณภาพ (Quantitative Data) 3.2 แหล่งข้อมูลการวิจัย 3.2.1 การกำหนดประชากรและการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 27 คน 3.2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย 1) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยาอำเภอศรีสัชนาลัยจังหวัดสุโขทัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565จำนวน 27คน ที่ได้มาโดยวิธีการ เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ที่มีห้องเรียนเป็นหน่วยในการเลือก 2) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ทำการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้ เวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ คาบละ 55 นาที รวม 12 คาบ 3) เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เป็นเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รายวิชาชีววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การแบ่งเซลล์


35 3.3 การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้มีการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบทดสอบ เป็นแบบทดสอบชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยผู้วิจัยได้ นำแบบทดสอบมาให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะใน เนื้อหาวิชาชีววิทยาจำนวน 3 ท่าน สำหรับเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียดในการสร้าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การแบ่งเซลล์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสู ตร แ กน กล าง ก าร ศึ ก ษา ขั ้น พื ้นฐ าน 2551 ขอ ง กระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ ศึกษาผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเพื่อกำหนดสาระการเรียนรู้ 1.2 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการและวิธีการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ 1.3 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การแบ่งเซลล์ โดยใช้เทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล ให้มีความสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และสาระการ เรียนรู้ที่กำหนดไว้ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1.3.1 สาระการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลาง 1.3.2 มาตรฐานการเรียนรู้ 1.3.3 ผลการเรียนรู้ 1.3.4 สาระสำคัญ 1.3.5 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.3.6 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1.3.7 สาระการเรียนรู้ 1.3.8 การวัดผลประเมินผล 1.3.9 คำถามสำคัญ 1.3.10 กิจกรรมการเรียนรู้


36 1.3.11 สื่อการเรียนรู้ 1.3.12 แหล่งเรียนรู้ 1.3.13 กิจกรรมหรือข้อเสนอแนะ 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างเสร็จแล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแล้ว ปรับปรุงตามคำแนะนำ 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญใน การตรวจเครื่องมือ 3 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสมององค์ประกอบทั้งหมด ตลอดจนการใช้ภาษาที่ ถูกต้องจากนั้นนำมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้กับจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาและขั้นตอนการดำเนินการจัดการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (IOC) โดยพิจารณาค่าดัชนี ความสอดคล้องตั้งแต่ .50 1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจ และแก้ไขแล้วไปกับกลุ่ม ตัวอย่างต่อไป 2. กำหนดโครงการสอนในการเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยยึด เนื้อหาตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที ดังนี้ แบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง การแบ่งเซลล์ ใช้เวลา 40 นาที และแบบทดสอบหลัง เรียนใช้เวลา 40 นาที 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์ ผู้วิจัยได้ ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการวัดประเมินผล วิธีการสร้างแบบทดสอบและการ เขียนข้อสอบวิชา ชีววิทยาเรื่อง การแบ่งเซลล์ 3.2 ศึกษาจุดประสงค์และสาระวิชาชีววิทยาจากคู่มือวิชาชีววิทยาและหนังสือ เรียนหรือเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ 3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาเรื่อง การแบ่ง เซลล์แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุมทุกผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ไปให้ ผู้เชี่ยวชาญทางการสอนชีววิทยา จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมชัดเจนของ คำถาม แล้วหาค่า ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (IOC) โดยพิจารณาค่า ดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ .50 ขึ้นไป


37 3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแบ่งเซลล์ ที่ได้ ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยต่อไป 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยดำเนินการทดลองตามขั้นตอน ดังนี้ 1) เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา จังหวัดสุโขทัย โปรแกรม วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ มาจำนวน 1 ห้อง 2) ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ชีววิทยาเรื่อง การแบ่งเซลล์ 3) ดำเนินการสอน โดยผู้วิจัยเป็นผู้สอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิง รุกอาคีตะโมเดล 4) เมื่อสิ้นสุดการสอนตามกำหนดแล้วจึงทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) กับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา เรื่อง การแบ่งเซลล์ ชุด เดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจ มีต่อการจัดการ เรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ 5) นำผลคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยามา วิเคราะห์ โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป 6) นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ ผลหาค่าเฉลี่ย (x) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 3.5 การจัดการกระทำและการวิเคราะห์ข้อมูล 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาชีววิทยาก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน เรื่อง การ แบ่งเซลล์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิง รุกอาคีตะโมเดล โดยใช้สถิติ t-test แบบ Dependent Samples 2) นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ผลหา ค่าเฉลี่ย (x) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่ง เซลล์ รายวิชาชีววิทยา ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามประเด็นของวัตถุประสงค์การวิจัยดังนี้ 1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยา 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ในรายวิชาชีววิทยานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล 3. เพื่อวัดระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชาชีววิทยา ผลการพัฒนาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยาโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชา ชีววิทยา 4.1 นวัตกรรม 4.1.1 ผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาจาก ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน สามารถนำเสนอผลการวิเคราะห์การหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เทคนิคการ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยาได้ดังนี้ การหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคี ตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ โดยประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ


39 ตารางที่ 4.1 แสดงผลการประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ การสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน แผนการ จัดการ เรียนรู้ ความเหมาะสมและความสอดคล้องด้าน แผนการจัดการเรียนรู้ ต่อจุดประสงค์ แผนการจัดการเรียนรู้ ต่อเนื้อหา กิจกรรมตามรูปแบบการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบการสอน เชิงรุกอาคีตะโมเดล ผู้เชี่ยวชาญ ท่านที่ แปล ผล ผู้เชี่ยวชาญ ท่านที่ แปล ผล ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ แปลผล 1 2 3 1 2 3 1 2 3 1 +1 +1 +1 ใช้ได้ +1 +1 +1 ใช้ได้ +1 +1 +1 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 ใช้ได้ +1 +1 +1 ใช้ได้ +1 +1 +1 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 ใช้ได้ +1 +1 +1 ใช้ได้ +1 +1 +1 ใช้ได้ จากตารางที่ 4.1 แสดงผลการประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคการจัดการ เรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์พบว่า ผลการประเมินคุณภาพของแผนการ จัดการเรียนรู้ ทั้งหมด 3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะ โมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ มีผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) สามารถใช้ได้ 4.2 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ 4.2.1 คะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์รายวิชาชีววิทยา สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้วิธีการและเทคนิค การสอนแบบเดิม และการทดลองใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลคะแนน ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 2 วิธี ดังตารางที่ 4.2 แสดงคะแนนผลสัมฤทธิ์ การเรียนรู้เรื่อง การแบ่งเซลล์ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีและเทคนิคการสอนแบบเดิมกับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2คน


40 และการทดลองใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล กับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโรงเรียนเมืองด้งวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ตารางที่ 4.2 แสดงคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การแบ่งเซลล์ ลำดับ ที่ คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากวิธีและเทคนิคการสอน แบบเดิม (ก่อนเรียน) คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการทดลองใช้ เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะ โมเดล (หลังเรียน) 1 4 11 2 5 12 3 3 10 4 5 12 5 5 10 6 5 14 7 7 13 8 6 12 9 7 14 10 6 13 11 5 15 12 7 11 13 5 12 14 5 11 15 7 15 16 6 16 17 10 18 18 5 14 19 8 16 20 5 12 21 6 13


41 ตารางที่ 4.2 แสดงคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่อง การแบ่งเซลล์ (ต่อ) ลำดับ ที่ คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากวิธีและเทคนิคการสอน แบบเดิม(ก่อนเรียน) คะแนนจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการทดลอง ใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคี ตะโมเดล (หลังเรียน) 22 5 14 23 10 18 24 4 13 25 3 17 26 7 12 27 6 14 รวม รวมคะแนน 157 5.81 S.D. 1.71 รวมคะแนน 362 13.41 S.D. 2.22 จากตารางที่ 4.2 พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุก อาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยา โดยใช้วิธีและเทคนิคการสอนแบบเดิมกับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 27 คน นักเรียนทั้งชั้นมีค่าคะแนน 5.81 S.D. 1.71 และเมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเดียวกัน โดยทดลองใช้ เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลกับนักเรียนระดับชั้นเดียวกัน ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 จำนวน 27 คน นักเรียนทั้งชั้นมีค่าคะแนน 13.41 S.D. 2.22 4.2.2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะ โมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์รายวิชาชีววิทยา ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธี และเทคนิคการ สอนแบบเดิมกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 และโดยการทดลองใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลกับนักเรียน


42 ระดับชั้นเดียวกัน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 27 คน ด้วยวิธีการทางสถิติ t-test แบบ Dependent Samples ผลการเปรียบเทียบแสดงดังตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชาชีววิทยา จากตารางที่ 4.3 พบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 5.81 คะแนน และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน 13.41 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนโดยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดลของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.2.3 ระดับความพึงพอใจ จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้งวิทยา โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ รายวิชาชีววิทยา โดยทดลองใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะ โมเดล กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 27 คน เมื่อ วิเคราะห์ระดับความพึงพอใจผลการวิเคราะห์แสดงดังตารางที่ 4.4 การทดสอบ N S.D. S.D.d t Sig.(2-tailed) ก่อนเรียน 27 5.81 1.71 1.95 20.27* 0.0000 หลังเรียน 27 13.41 2.22


43 ตารางที่ 4.4 ผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองด้ง วิทยา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเชิงรุกอาคีตะโมเดล เรื่อง การแบ่งเซลล์ ในรายวิชาชีววิทยา รายการประเมิน ความพึงพอใจ S.D. การแปล ผล 1. คำชี้แจงของการจัดกิจกรรมมีความชัดเจน เข้าใจง่าย 4.70 0.60 มากที่สุด 2. ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามลำดับขั้นตอน 4.67 0.54 มากที่สุด 3. นักเรียนทราบจุดประสงค์การเรียนรู้ชัดเจน 4.78 0.50 มากที่สุด 4. ครูให้ความสนใจแก่นักเรียนอย่างทั่วถึงขณะสอน 4.67 0.61 มากที่สุด 5. ครูการจัดสภาพห้องเรียนเหมาะสมต่อการจัดกิจกรรม 4.59 0.68 มากที่สุด 6. ความเหมาะสมในการใช้ข้อความในสื่อการเรียนรู้ 4.78 0.50 มากที่สุด 7. เนื้อหาของบทเรียนมีความสอดคล้องกับเรื่องที่เรียน 4.81 0.47 มากที่สุด 8. เนื้อหาของบทเรียนมีความเหมาะสมกับช่วงชั้นที่เรียนของนักเรียน 4.70 0.60 มากที่สุด 9. กิจกรรมและสื่อที่จัดขึ้นสามารถทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่ดีขึ้น 4.74 0.44 มากที่สุด 10. กิจกรรมที่จัดขึ้นเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง 4.74 0.58 มากที่สุด 11. รูปภาพประกอบสามารถสื่อความหมายและสอดคล้องกับเนื้อหา ชัดเจน 4.81 0.47 มากที่สุด 12. นักเรียนมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับการสังเคราะห์แสงมากขึ้น 4.63 0.62 มากที่สุด 13. นักเรียนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ 4.81 0.47 มากที่สุด 14. นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม 4.48 0.69 มาก 15. นักเรียนมีความตั้งใจและสนุกกับกิจกรรมที่ครูจัดให้ 4.59 0.56 มากที่สุด


Click to View FlipBook Version