The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือ การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน Competency-Based Learning : CBL

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by crupook, 2022-12-04 04:18:29

คู่มือ Competency-Based Learning : CBL

คู่มือ การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน Competency-Based Learning : CBL

97

ครูหลายคนไมไ่ ดน้ ำเสนอบทเรยี นรายวนั แบบจังหวะเดียวกัน (แบบเรียลไทม์และไลฟ์สด) แต่
พวกเขาจัดเตรียมบทเรียนและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องให้นักเรียนเข้าถึงได้ตลอดทั้งสัปดาห์ นักเรียนได้รับ
ความยืดหยนุ่ ในแงข่ องสถานท่แี ละจงั หวะในการเรียน

ไมว่ ่าพวกเขาจะตระหนักหรอื ไม่กต็ าม นักเรียนไดร้ บั โอกาสในการเพ่มิ ขีดความสามารถ: พวก
เขากำลังตดั สนิ ใจทกุ วันเก่ียวกบั การเรยี นรู้ของตนเอง เรียนร้ตู ามจงั หวะและความเรว็ ของตนเอง และ
หาตารางเวลาท่ีเหมาะสมที่สดุ สำหรบั พวกเขา

ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ การเรยี นรูท้ างไกลช่วยให้นักเรียนสามารถควบคุมการศึกษาได้ในระดับ
หนง่ึ

3. แนวคิดสุดท้าย - การศึกษาแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานเป็นมากกว่าแค่จังหวะการ
เรียนที่ยืดหยุ่น แต่มันคือการออกแบบการเรียนรู้เพื่อสร้างความสำเร็จของนักเรียน (Final
Thoughts - Competency-Based Education is about more than just Flexible Pacing,
It Is about Designing Learning to Generate Student Success)

เกย่ี วกับการออกแบบการเรียนรู้ในลักษณะทีช่ ่วยให้นักเรียนก้าวไปข้างหน้าเม่ือพร้อมและให้
เวลาพเิ ศษเพิ่มเตมิ และชว่ ยเหลือผูท้ ไ่ี ม่พรอ้ ม

อยา่ งไรกต็ าม ฉันแน่ใจว่าฉันไดร้ ะบุประเด็นท่ีสำคัญอย่างหนง่ึ ไวอ้ ยา่ งชดั เจนแลว้
แม้ว่าอาจถูกเข้าใจผิดได้ แต่บทบาทของครูไม่ได้มีความสำคัญน้อยกว่าในรูปแบบยึด
สมรรถนะเป็นฐาน มันต่างกันแค่ถ้ามอี ะไรสำคญั กว่าแคน่ ั้น
ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ยึดสมรรถนะเป็นฐาน นักเรียนพึ่งพาครูของตนน้อยลงในการ
นำเสนอเนื้อหาจริง แต่พวกเขาต้องพึ่งพาครูของตนมากขึ้นในเรื่องการสนับสนุนและคำแนะนำเป็น
รายบุคคล เน่อื งจากสิ่งเหล่าน้ชี ว่ ยกำหนดเส้นทางการเรียนรขู้ องนักเรยี น
ในสภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้ทย่ี ดึ สมรรถนะเป็นฐาน เนอ่ื งจากบทบาทของครไู มไ่ ดเ้ น้นหนักไป
ที่การนำเสนอเนื้อหามากนัก พวกเขาจึงมีเวลาที่อิสระในการสอนจริง ๆ ครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การ
สรา้ งความสัมพนั ธแ์ ละทำงานอยา่ งใกลช้ ดิ กบั นกั เรียนแตล่ ะคน ซ่ึงเป็นสงิ่ ทค่ี รูทำไดด้ ีท่ีสุด
เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปีการศึกษาอื่นที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมากมาย การพยายามและ
กลับไปสู่ "ความปกติ" อาจไม่สมเหตุสมผล บางทีความจำเป็นในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและการ
เรียนรู้ทางไกลอาจทำให้เรามโี อกาสมองการสอนและการเรียนรแู้ ตกตา่ งออกไป

98

หากท่านต้องการศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเว็บไซตข์ า้ งลา่ งน้ี
https://michiganvirtual.org/blog/competency-based-progression-designed-for-student-
success/

Stone (2020) เป็นท่ีปรึกษาด้านการศึกษาที่ Edmentum และอยู่กับ บริษัท ตั้งแต่ปี
2016 กอ่ นที่จะมาท่ี Edmentum เคซียท์ าํ หน้าท่ีในตําแหน่งการบริหารและการสอนท่ีหลากหลายใน
เขตการศึกษาเท็กซสั รวมถึงผอู้ ํานวยการ CTE นวัตกรรมและการเรียนรเู้ สมอื นจริงสาํ หรบั Keller ISD
ผู้อํานวยการบริหารการศึกษาระดับมธั ยมศึกษาของ Cedar Hill ISD และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
การศึกษาใน Fort Worth ISD กล่าวถึง วิธีแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานเพื่อแสดงความสง่างามในการ
เรียนรู้เสมือนจริง (Competency-Based Ways to Show Grace in Virtual Learning) ว่า แม้ว่า
ท้งั การเรียนร้แู บบยึดสมรรถนะเป็นฐาน/การเรียนรู้อยา่ งเชี่ยวชาญและการเรียนรู้เสมือนจริงอยู่ในภูมิ
ทัศนข์ องการศกึ ษามาระยะหนงึ่ แลว้ แต่ความฉับไวของการเรียนรูเ้ สมือนจริงในโรงเรียนในปัจจุบันน้ัน
ตัดกันกับค่านิยมและข้อดีของการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (CBL) ซึ่ง CBL แสดงให้เห็นโดย

99

ความเชยี่ วชาญในทักษะมากกวา่ เวลาท่ีใช้ในห้องเรยี น ความเชีย่ วชาญนีจ้ ัดแบ่งไว้สำหรับความพร้อม
ที่หลากหลายของนักเรียนตามมาตรฐานวิชาการและความสามารถด้านเทคโนโลยีของผู้เรียน
ครอบครัว และโรงเรียนเช่นกัน ความสามารถในการอำนวยความสะดวกในการเว้นจังหวะ จุดแข็ง
และช่องว่างของผู้เรียน และการพิสูจน์ความเชี่ยวชาญสามารถทำให้ครอบครัวอุ่นใจในระหว่าง
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่หรือในช่วงเปลี่ยนผ่าน ระบบยึดสมรรถนะเป็นฐานสนับสนุนครูและ
ครอบครวั ในโลกการเรียนรู้ดจิ ิทัลปี 2020 และทำให้ทกุ ฝา่ ยพงึ พอใจกบั ประสบการณ์ที่ได้รบั

1.การสนับสนุนทางสังคม อารมณ์ และความเสมอภาค (Social, Emotional, and
Equity Support)

ห้องเรียนในปัจจุบัน (เสมือนและผสมผสาน) เป็นห้องเรียนที่เป็นความจริง สเปกตรัมของ
ความพร้อมของนักเรียนและความต้องการทางสังคมและอารมณ์ นักเรียนแต่ละคนแสดงช่องว่างใน
การเรียนรู้ก่อนหน้า ในการสนับสนุนทางสังคมและอารมณ์ที่หลากหลายที่บ้าน ประสบการณ์และ
ทักษะในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะกลับไปที่อาคารเรียนหรือเรียนที่บ้าน การตัดสินใจที่จะสนับสนุนจะ
ทำโดยการประเมินจากความตอ้ งการ

อย่างไรก็ตาม นักเรียนตอ้ งปิดโรงเรียนดว้ ยโรคโควิด-19 และมคี วามต้องการท่ีต่างกันไปแล้ว
จากนั้นเวลาออกจากห้องเรียนและการเรียนรู้ภาคฤดูร้อนก็รวมเข้าด้วยกัน นักเรียนบางคนขาดการ
ชว่ ยเหลอื บางคนขาดการสนับสนนุ จากครอบครัว และยังมอี ีกหลายคนขาดด้านเทคโนโลยี อย่างไรก็
ตาม บางครอบครัวสามารถจัดหาทรัพยากรทั้งสามดังกล่าวได้ และนักเรียนเหล่านั้นอยู่ในระดับช้ัน
หรือเหนือกวา่

ขอใหเ้ ราจำไวว้ ่านวัตกรรมของ CBL น้นั มาจากความปรารถนาที่จะต่อตา้ นความไม่เท่าเทียม
กันของระบบโรงเรียนอื่นโดยส่งเสริมความต้องการที่แตกต่างของผู้เรียนทุกคน แผนภูมิด้านล่างจาก
Competency Works ที่เผยแพร่ในบทความเรื่อง "การออกแบบเพื่อความเท่าเทียม: ใช้ประโยชน์
จากการศึกษาตามความสามารถเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จ" (Designing for
Equity: Leveraging Competency-Based Education to Ensure All Students Succeed) )
สำรวจความเท่าเทียมทางการศึกษา ซึ่งนักเรียนแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่เขาต้องการเพื่อพัฒนาด้าน
วิชาการและสังคมอย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาแสดงวิธีการทำงานเพื่อบรรลุความเท่าเทียมนั้นใน
โรงเรยี น โดยใหบ้ ริการนักเรียนทกุ คน

2.การเรียนรู้เชิงบวกแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Positives of Competency-Based
Learning)

ในการให้บรกิ ารนกั เรียนในสภาพแวดลอ้ ม CBL แง่บวกหลายประการปรากฏขึน้
เวลา เช่น จำนวนชั่วโมงที่ใช้ในห้องเรียนไม่ใช่ปัญหา ความยืดหยุ่นของสถานที่และเวลาท่ี
นักเรียนเรียนรู้เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเรียนรู้เสมือนจริง CBL ช่วยให้นักเรียนทำกิจกรรมต่างๆ

100

ได้สำเร็จในขณะที่พวกเขาเชี่ยวชาญในหลักสูตรก่อนหน้า แทนที่จะทำตามกำหนดการตามปฏิทิน
สำหรับผู้เรียนและครอบครัวของพวกเขา การย้ายไปสู่การเรียนรู้เสมือนจริงเปน็ สิง่ ใหม่ท้ังหมด ความ
ยดื หยนุ่ ในการเวน้ จังหวะนส้ี ามารถบรรเทาความวิตกกงั วลโดยรวมได้

มาตรฐานการเรียนรู้และทักษะการเสริมต่อการเรียนรู้ (scaffolded skills) ได้รับการ
สนับสนุนผ่านการมีส่วนร่วมของผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนมีสิทธิ์เสรีในการเรียนรู้ ครูและครอบครัวจึง
สังเกตเห็นการมสี ่วนรว่ มกับกิจกรรมมากขึ้น นักเรียนได้รับอำนาจและการเช่ือมต่อทางอภิปัญญาจาก
บทเรียนและชุดทักษะที่ฝังตัวและเชี่ยวชาญ แนวคิดนี้ใช้กับช่องว่างทักษะข้ามวิชาสำหรับนักเรียน
เช่นกัน ความสามารถของ CBL ในการรองรับช่องว่างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่กำลังเติบโต
ทำให้ครู นักเรียน และครอบครวั สบายใจ

การประเมนิ ระหว่างเรยี นหรือพฤติกรรมการทำงาน/การเรยี นของนักเรียนจะไม่ส่งผลต่อการ
ให้คะแนน ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี นและการให้คะแนนไม่ไดห้ ยัง่ รากในกระบวนการเรียนรู้
ด้วย CBL แต่ในผลลัพธ์ที่พิสูจน์โดยนักเรียน นักเรียนกำลังเรยี นรู้วธิ ีการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ใน
พ้ืนที่เสมือนจริงแบบใหม่ทม่ี ีเว็บไซต์ แอพ ผลตอบรับ และเคร่ืองมือการประชุมมากมาย

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของ CBL โปรดดูบล็อกโพสต์ของเรา การ
เรียนรู้ตามความสามารถ: 6 สิ่งที่นักการศึกษาควรรู้ (Competency-Based Learning: 6 Things
Educators Should Know)

กลไกของ “ความสง่างาม” (Mechanisms of “Grace”)
บางทีวิธีหลักในการแสดงความสง่างามของครอบครัว ความผ่อนปรนที่เกิดจากความ
ปรารถนาดีคือการรักษาช่องทางเชิงรุกและเชิงสนบั สนุนในการส่ือสาร ในสว่ นขอ้ เสนอแนะแบบเปิดท่ี
กระตุ้นการปรบั ปรงุ อย่างต่อเน่ืองและความต้องการจากทางครอบครวั เองก็มกั จะสนบั สนนุ ผู้เรียนเป็น
รายบุคคล นอกจากนี้ การสื่อสารกับครอบครัวและผู้เรียนเกี่ยวกับความก้าวหน้า ผลลัพธ์ในเชิงบวก
และการแทรกแซงกิจกรรมของนักเรียนยงั ทำให้ชมุ ชนสนบั สนุนทีโ่ ปรง่ ใสและทำงานร่วมกนั ทจ่ี ำเปน็
กลไกของหลักสูตรแห่งความสง่างามคือการปรับขอบเขตของวิช าให้เป็นความสามารถที่
มาตรฐาน ทกั ษะทางอารมณ์และสังคม และทักษะความสามารถด้านสังคม (soft skills) ของศตวรรษ
ท่ี 21 ขณะน้โี รงเรียน รฐั และหลกั สูตรจำนวนมากได้ดำเนนิ การงานวิชาการในการสร้างความสามารถ
ที่มาตรฐาน องคป์ ระกอบสำคัญในวิชาหลัก แตท่ กั ษะทางสังคมอารมณ์และศตวรรษท่ี 21 มีคุณค่าใน
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของผู้เรียนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งใหม่เหล่านี้นำไปสู่การเรียนรู้
เสมอื นจรงิ
อนุญาตให้นักเรียนทำการทดสอบความเชี่ยวชาญซ้ำได้ โดยอย่าให้แบบทดสอบเดียวกัน
เท่านั้น บางทีคุณอาจมีคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานหรือทักษะที่ตรงกัน หรือบางทีคุณอาจมีวิธีสร้าง
คำถามของคุณเอง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม กระบวนการในการอนุญาตให้นักเรียนสอบซ้ำจนกว่าจะ

101

บรรลุความเชี่ยวชาญโดยผ่านแบบทดสอบที่สอดคล้องแต่มีความหลากหลายเป็นวิธีที่ดีในการขจัด
ความวิตกกังวลในการทดสอบ ใน CBL ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเห็นพ้องกันว่าผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ไม่ใช่จำนวนครั้งของความพยายามหรือชั่วโมงที่ใช้ในการศึกษา บางโรงเรียนใชเ้ ครดิตบางส่วนในการ
สอบซำ้ ไม่ว่าจะเป็นคะแนนสอบเฉลย่ี หรือสูงสดุ เทา่ ทีเ่ ป็นไปได้ และแนวคดิ เหลา่ นี้ใช้ได้ดกี บั โปรแกรม
ใหม่ เชน่ การเรยี นรูเ้ สมอื นจริงที่โรงเรียน

โรงเรียนบางแห่งมีการทดสอบความถูกต้องที่กำหนดให้นักเรียนต้องพิจารณาว่าพวกเขา
สะดุดตรงไหนในการประเมิน วธิ ที ำกิจกรรมอยา่ งถูกตอ้ ง และจะนำบทเรยี นไปใชใ้ นอนาคตอย่างไร

การเปลี่ยนตรรกะน้นั การทดสอบลว่ งหนา้ เป็นกลไกท่ยี อดเยีย่ มสำหรบั นักเรียนในการพิสูจน์
วา่ นักเรยี นไดร้ ู้หัวข้อแล้ว บางทีการทดสอบล่วงหน้าเหล่าน้ีอาจทำให้ผ้เู รียนละเว้นจากหัวข้อเพื่อท่ีจะ
ทำงานไดอ้ ย่างรวดเรว็ ย่งิ ขึ้นในการปิดช่องว่างใดๆ โรงเรียนอน่ื ๆ ใชก้ ารทดสอบลว่ งหน้าเพอ่ื ช่วยครูใน
การสร้างความแตกต่างในการสอนหรือการประเมินนักเรียนเพื่อปรับประสบการณ์ให้เป็นร ายบุคคล
นอกจากนี้ ครูอาจใช้วันก่อนการทดสอบเพื่อจับคู่หรือจัดนกั เรียนในกลุ่มเพื่อนเพื่อประชุมปฏิบัติการ
หรือโครงการ นักเรียนสามารถมีความเข้าใจมากขึ้นเมื่ออยู่ในกลุ่มการเรียนรู้ที่เป็นเป้าหมาย รวมถึง
จากกันและกนั

การมอบหมายงานสำรองหรืองานเพิ่มคุณค่าทีม่ อบให้กับนกั เรียนรายบุคคลหรอื กลุ่มเป็นอกี
วิธีหนึ่งในการแสดงความสง่างามให้กับนักเรียน ในอีกด้านหนึ่งการมอบหมายเหล่านี้อาจเป็นวิธี
ทางเลือกสำหรับนกั เรียนที่จะแสดงความเชี่ยวชาญและในด้านการเพิ่มคุณคา่ วิธีเหล่านี้ทำหน้าท่เี ปน็
วิธีสำหรับนักเรียนที่จะแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งที่มากกว่าเดิมในความเชี่ยวชาญ เรื่องราว
ความสำเร็จดงั กลา่ วเพมิ่ แรงกระตุ้นและอภปิ ัญญา (Meta-Cognition) ของแต่ละคน

แนวคิดข้างต้นที่กล่าวมาของความสง่างามของ CBL ใด ๆ ก็ตาม ควรมีการสื่อสารกับ
ครอบครวั ของผ้เู รยี นเพื่อใหก้ ารสอ่ื สารร่วมมือและเพื่อแนะนำวธิ ีการสนบั สนุนผู้เรียนทเ่ี ป็นไปได้

102

หากทา่ นต้องการศกึ ษาจากต้นฉบบั ภาษาองั กฤษ โปรด “คลิก” ดูไดจ้ ากเว็บไซตข์ ้างล่างน้ี
https://blog.edmentum.com/competency-based-ways%C2%A0-show-grace-
virtual%C2%A0learning%E2%80%8B-0

103

Juraschka (2021) ได้กล่าวถึง หลักการสำคัญ 6 ข้อ ของการศึกษาแบบยึดสมรรถนะเป็น
ฐาน (The 6 main principles of competency based education) วา่

1. ความเสมอภาคถูกจดั มากอ่ นอยา่ งอน่ื (Equity Is Set before all else)
ความเสมอภาคไม่ไดห้ มายความว่าให้นักเรียนแต่ละคนเหมอื นกนั ทุกคน แต่หมายความว่าให้
นกั เรียนแตล่ ะคนในสิง่ ทพี่ วกเขาตอ้ งการเพ่ือทจ่ี ะสามารถไปถึงเปา้ หมายเดยี วกัน
นเี่ ปน็ หลกั การหลกั ของการศกึ ษาแบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐานเพราะมนั มจี ดุ ประสงคท์ ี่จะเข้าใจ
และลบอคติในความเป็นผู้นำในโรงเรยี น นักเรียนได้รบั การสอนและสนับสนุนตามจุดแข็งและจุดอ่อน
ส่วนบุคคลของพวกเขาทำให้แต่ละคนมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นการคาดการณ์
ความสำเรจ็ โดยองิ ตามวฒั นธรรม ชนชัน้ ทางสงั คม รายได้ของครัวเรือน หรือภาษาจะถกู ลบออกอย่าง
สมบรู ณ์
การศึกษาแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานยังชว่ ยสรา้ งวัฒนธรรมที่ครอบคลมุ ซึ่งนักเรียนทุกคนรู้สึก
ปลอดภยั และได้รบั ความเคารพ
2. ชั้นเรียนเน้นสมรรถนะที่วัดได้ซึ่งช่วยสร้างทักษะสำหรับชีวิต (Classes Emphasize
Measurable Competencies that Help Build Skills for Life)
สมรรถนะจะตอ้ งกำหนดไว้ล่วงหน้าและกำหนดวตั ถุประสงค์การเรยี นรสู้ ำหรบั นกั เรียนแต่ละ
คน สมรรถนะเหล่านี้ขึ้นอยูก่ ับอะไร? แทนที่จะแค่ทดสอบความรู้เกี่ยวกับความรู้ สมรรถนะมุ่งเน้นไป
ท่ีความเข้าใจในทางปฏบิ ตั ิทนี่ ักเรียนมใี นรายวิชา สมรรถนะเหลา่ น้สี ามารถขนึ้ อยกู่ ับ:
- เขา้ ใจแนวคดิ หลกั
- ความสามารถในการประยกุ ตใ์ ช้ความรู้กับปญั หาทีม่ คี วามสำคญั
- ความเช่ยี วชาญในทกั ษะที่เกย่ี วขอ้ งสัมพนั ธ์กนั
เพื่อให้ผลลัพธ์ได้มีการวัดประเมิน สมรรถนะต้องมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยผู้นำของ
โรงเรียน อย่าพยายามทำสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว: รับข้อมูลการสอนของครูผู้สอนทุกคนเพื่อพัฒนา
ความคดิ เกย่ี วกับความร้แู ละทกั ษะทมี่ ีความจำเปน็ ในการกำหนดความเช่ยี วชาญ
3. ความโปร่งใสและความชัดเจนช่วยให้นักเรียนเป็นเจ้าของ (Transparency Helps
Students Take Ownership)

104

เปา้ หมายสุดทา้ ยสำหรบั นักเรยี นแตล่ ะคนในชั้นเรยี นคืออะไร
คำตอบสำหรบั คำถามน้ไี มค่ วรใชถ้ ามกับครูเท่านั้น
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้สำหรับชั้นเรียน (และโรงเรียนโดยรวม) ควรมีความชัดเจน
สำหรับนักเรียนและผูป้ กครอง
ในระบบการศึกษาแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน นักเรียนมีความเข้าใจในสามสิ่งนี้เมื่อเริ่มชั้น
เรียน:
- พวกเขาจำเปน็ ตอ้ งเรยี นส่งิ ใด
- ความเชย่ี วชาญถูกกำหนดไวม้ ีจำนวนเทา่ ใด
- พวกเขาจะถูกประเมนิ อย่างไร
เมื่อนักเรียนแต่ละคนมีเป้าหมายสุดท้ายที่ชัดเจนพวกเขาจะรับผิดชอบต่อการศึกษาของ
ตนเองมากขน้ึ
ตัวอย่างเช่นนักเรียนเข้าใจว่าเขาต้องมีความเข้าใจในคณิตศาสตร์และนำไปใช้โดยการทำ
โครงการออกแบบสวนเล็ก ๆ ให้สำเรจ็ เขาต้องการใช้ทักษะคณิตศาสตรใ์ นการวดั ขนาดของพ้ืนท่ีและ
กำหนดจำนวนพชื ทเี่ หมาะสมกับพ้ืนท่ี
หากนักเรียนเข้าใจอย่างชัดเจนถึงส่ิงทีเ่ ขาต้องการทำเพื่อให้ไดม้ าซึ่งความเชีย่ วชาญและก้าว
ไปข้างหน้าในชั้นเรียน เขาจะต้องมีความเป็นเจ้าของในการเรียนมากกว่าเดิม จากนั้นเมื่อเขาเจออุ
สรรคในโครงการหรือขาดความรู้ที่จะทำให้เสร็จอย่างเหมาะสม เขาจะตระหนักถึงด้วยตัวเขาเองว่า
เขาต้องการความชว่ ยเหลือ
เป้าหมายและผลลพั ธ์ทีช่ ัดเจนจะช่วยให้นักเรียนรบั ผิดชอบต่อเส้นทางการเรยี นรู้ของพวกเขา
การเป็นเจา้ ของน้ชี ว่ ยให้พวกเขากลายเป็นผู้เรียนทด่ี ีขน้ึ ในตอนน้ีและตอนเป็นผใู้ หญ่
4. นักเรียนได้รับการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการเป็นรายบุคคล (Students Get the
Support They Need Individually)
ตามตัวอย่างของเราข้างต้นสมมติว่านักเรียนมีปัญหากับโครงการสวนของเขาและมาถึง
ขอ้ สรปุ ว่าเขาตอ้ งการความช่วยเหลอื
นี่คือที่ที่ครูจะอยู่ในมโนภาพนี้ ในสภาพแวดล้อมการศึกษาแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน
นกั เรยี นควรมกี รอบที่จะเข้าใจว่าพวกเขาควรลองแก้ไขปัญหาก่อนขอความชว่ ยเหลือและเมื่ออยู่ในช้ัน
เรียนพวกเขาสามารถเข้าถึงครไู ด้
โปรแกรมคณติ ศาสตร์ที่มสี อดคล้องกับหลักสตู ร เชน่ เกมแนววางแผนหรอื เกมอจั ฉริยะถูกใช้
โดยครูหลายล้านคนและได้รับการสนบั สนุนจากผูน้ ำโรงเรียนหลายพันคนดว้ ยเหตุผลนี้: พวกเขาช่วย
สนบั สนุนการเรยี นการสอนเป็นรายบุคคลในขณะทที่ ำใหก้ ารเรียนรูส้ นกุ และไดม้ ีสว่ นร่วม

105

การศึกษาแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานทำงานโดยผ่านข้ามซึ่งความอคติและสร้างความเสมอ
ภาคตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นในขณะที่ครูทำงานกับนักเรียนในเรื่องจุดอ่อนที่นักเรียนมีความ
แตกต่างกันและช่วยให้พวกเขาสร้างจุดแข็งของพวกเขา นักเรียนแต่ละคนจะย้ายไปข้างหน้าสู่ความ
เชี่ยวชาญในเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร (แต่มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน) ประสบการณ์การเรียนรู้ส่วน
บคุ คลน้ีทำใหน้ กั เรียนแต่ละคนมโี อกาสทีเ่ ทา่ เทยี มกันเพอื่ ความสำเรจ็

เพื่อให้กระบวนการนี้ทำงานได้อย่างราบรื่น แม้ว่าครูจะต้องสามารถอยู่พร้อมเพื่อช่วยเหลือ
นักเรียน นอกจากนี้ครูไม่สามารถดูแค่นักเรียนที่ขอความช่วยเหลือ: ครูก็ต้องตระหนักถึง
ความกา้ วหน้าของนกั เรยี นแตล่ ะคนอย่างเต็มที่

5. ครูประเมินถึงการเติบโตและความเชี่ยวชาญ (Teachers Assess for Growth
and Mastery)

การประเมินมีหลายรูปแบบและขอบเขตขนาด ต่อไปนี้เป็นการประเมินสามประเภทที่มี
ประโยชนอ์ ย่างยงิ่ สำหรับการศึกษาตามความสามารถ:

5.1 การประเมนิ ผลระหวา่ งเรยี น (Formative Assessments)
การประเมินเหล่านี้ช่วยให้ครูกำหนดว่านักเรียนแต่ละคนอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้และ
ปรับการสอนตามความจำเป็น
การประเมินผลระหวา่ งเรียนให้ครูมีความสามารถในการปรับแบบตามเวลาจริงหรือแบบ
เรียลไทมโ์ ดยระยสุ ่วนสำคญั ที่นักเรยี นต้องปรบั ปรุงอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่นครูอาจขอให้นักเรียนส่งเรียงความในรูปแบบวิดีโอหรือสร้างแฟ้มสะสม
ผลงานดิจติ อลท่ีสามารถแชร์ในรูปแบบออนไลน์ได้ การประเมนิ ประเภทนช้ี ว่ ยให้นักเรยี นแสดงให้เห็น
ถึงความเข้าใจในเร่ืองของพวกเขาซึ่งเปน็ พ้ืนฐานสำหรับการเรยี นรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน จากน้ัน
ครูสามารถปรับบทเรียนต่อไปตามลำดับหรอื วางแผนครั้งตอ่ ครั้งให้กับนักเรียนท่ีมคี วามเข้าใจนอ้ ยใน
เร่ืองหรือวชิ านี้
5.2 การประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessments)
ให้นักเรียนใช้ความรู้ของพวกเขาและนำไปใช้กบั สถานการณ์โลกแห่งความจริงเป็นอีกวิธี
หน่งึ ทีย่ อดเยี่ยมในการแสดงความเชย่ี วชาญ นอกจากนนี้ กั เรยี นยังต้องพฒั นาทักษะที่พวกเขาต้องการ
ในอนาคต
การประเมินผลตามสภาพจริงอาจรวมถึงการใช้ความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อเขียน จดหมาย
นำสำหรับการสมัครงานหรือใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับฟิสิกส์ในการออกแบบและสร้างหอคอยที่มั่นคง
จากไม้จมิ้ ฟันและขนมมาร์ชเมลโลว์
5.3 การประเมินเนอื้ หาดิจิทัล (Digital Content Assessment)

106

เมื่อใช้เทคโนโลยีในห้องเรียน การประเมินกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก ซอฟต์แวร์ในช้ัน
เรียนจำนวนมากรวมถึงการประเมินและการรายงานความคืบหน้าซึ่งช่วยให้ครูเห็นว่านักเรียนแต่ละ
คนอยใู่ นข้ันตอนการเรยี นรู้ของแตล่ ะคน

ในเกมอัจฉริยะ อาจารย์สามารถสร้างการประเมินแบบเกลียว (Spiral assessment)
โดยเลือกหัวข้อบางอย่างที่มีความครอบคลุม ซึ่งได้รับการอัพเดทในตัวเกมสำหรับนักเรียน จากน้ัน
พวกเขาสามารถตรวจสอบหัวขอ้ ขอบเขตของรายงานเพื่อดูว่านักเรียนแต่ละคนขอบเขตความรู้เทา่ ใด
และจดุ ที่พวกเขาติดขดั หรือเจออปุ สรรค

6. นักเรียนก้าวไปข้างหน้าเมื่อพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ (Students
Move Forward When They Demonstrate Mastery)

โดยรวมถึงการประเมินปกติและการรายงานความคืบหน้าโดยยึดข้อมูลเป็นฐาน ครูเข้าใจว่า
นักเรยี นแต่ละคนอย่ใู นกระบวนการเรียนรู้

เมือ่ นักเรียนแสดงใหเ้ หน็ ถึงความเขา้ ใจทช่ี ัดเจนของหวั ข้อพสิ จู น์ความสามารถในการใช้ความ
เข้าใจนั้นและแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพัฒนาทักษะที่สำคัญได้ หมายถึงเวลาที่พวกเขาจะก้าวไป
ข้างหน้า

หากท่านต้องการศกึ ษาจากตน้ ฉบบั ภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเว็บไซตข์ ้างล่างน้ี
https://www.prodigygame.com/main-en/blog/competency-based-education/

107

จากทัศนะของ Bates (2019), Thoeming (2017), Kuhlmann (2018), Hudson (2019),
Green and Harrington (2020), Cornelius (2017), Stone (2020), Schwartz (2015), Juraschka
(2021), Hudson (2020), O’Sullivan and Bruce (2014) และ Lerner (2017) ดังกล่าวข้างต้น
สามารถระบทุ ัศนะตอ่ แนวทางการจัดการเรยี นรู้แบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐานไดด้ ังน้ี

1. การกำหนดสมรรถนะ (Defining Competencies)
2. การออกแบบหลักสตู รและแผนการเรยี น (Course and Program Design)
3. การสนบั สนุนผู้เรยี น (Learner Support)
4. การประเมิน (Assessment)
5. แฟ้มผลงานดิจิตัล -สิ่งประดิษฐ์แห่งการเรียนรู้ (Digital Portfolios—Artifacts of

Learning)
6. บทบาทของเทคโนโลยี -ใหส้ ทิ ธิอำนาจและการเปลยี่ นแปลง (Technology’s Role—

Empower and Innovate)
7. การจัดการห้องเรียนในสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานส่วน

บุคคลนั้น ทำให้นักเรียนที่รู้สึกไว้วางใจและมีความเป็นเจ้าของในการเรียนรู้นั้นเป็น
นักเรียนทม่ี ่งุ มั่นและมปี ระสทิ ธิผลมากกว่า
8. ครูมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการของนักเรียนในรูปแบบที่สร้างสรรค์
และเหมาะสม
9. นิทรรศการการเรียนรู้ (Exhibitions of Learning)
10. การสะท้อนอภปิ ัญญา (Metacognitive Reflection)
11. เกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics)
12. ความเห็นและทางเลือกของนักเรยี น (Student Voice and Choice)
13. การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ – การเปลี่ยนผ่านไปสู่การสอนด้วยความก้าวหน้าแบบ
สมรรถนะเปน็ ฐานอาจทำให้คุณต้องทำลายกระบวนทศั น์ของคุณเองเก่ียวกับสิ่งที่คุณรู้
และเชื่อว่าเป็นการศึกษา (Paradigm Shift - Transitioning to Teaching with

108

Competency-Based Progression May Require You to Break Your Own
Paradigm of What You Know and Believe Education to Be.)
14. โอกาส – ในช่วงเวลาที่สิ่งต่างๆ ในการศึกษาเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม – เป็น
เวลาที่สมบูรณ์แบบในการทดลองกับการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน
( Opportunities - During a Time Where Things in Education are Anything
but Traditional—is the Perfect Time to Experiment with Competency-
Based Learning.)
15. CBL ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่เวลา (CBL is Based on Skill Mastery, not
Time)
16. CBL ลดช่องว่างการเรียนรู้เป็นอย่างมาก (CBL Significantly Reduces Learning
Gaps)
17. CBL เตรียมความพร้อมนักเรียนสู่ความสำเร็จนอกห้องเรียน (CBL Prepares
Students for Success Beyond the Classroom)
18. การเรียนรู้เชิงบวกแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Positives of Competency-Based
Learning)
19. นักเรียนก้าวหน้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีความเชี่ยวชาญในเนื้อหรือและทักษะ ไม่ใช่
เพราะพวกเขาได้เกรด C หรอื D
20. ความชัดเจนและโปร่งใสเร่ืองนักเรียนมีสิทธิอำนาจในการเรียนรู้และชว่ ยนักการศึกษา
ให้ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนทด่ี ขี นึ้ ตามความตอ้ งการของแตล่ ะบุคคล
21. นักเรียนจะตอ้ งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถถา่ ยโอนความรู้ของพวกเขาไปยังบริบท
ใหม่ โดยประยุกต์ใช้ทักษะในความท้าทายที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมักหมายถงึ
การพัฒนานสิ ยั การเรยี นรูท้ ย่ี าวนานของชวี ิต
22. ความเสมอภาคถูกจดั มากอ่ นอย่างอื่น (Equity Is Set before all else)
23. ชั้นเรียนเน้นสมรรถนะที่วัดได้ซึ่งช่วยสร้างทักษะสำหรับชีวิต (Classes Emphasize
Measurable Competencies that Help Build Skills for Life)
24. ทำการตัดสินใจโดยเคลอ่ื นตามเปา้ หมาย (Make Goal-Driven Decisions)
25. มุ่งเน้นไปที่การดูแลจัดการและการสร้าง—ไม่ใช่แค่การซึมซับเนื้อหา (Focus on
Curation and Creation—not just Absorption—of Content)
26. เพ่ิมหนว่ ยงานของนกั เรียน (Increase Student Agency)
27. เปลี่ยนพื้นฐานบทบาทหน้าที่ของอาจารย์ผู้สอน (Fundamentally Change the
Faculty Role)

109

28. กำหนดวิสัยทัศน์ (Set A Vision)
29. สนับสนุนโครงสร้างที่ครูทำงานร่วมกัน (Support a Collaborative Teacher

Structure)
30. พัฒนานักเรียนให้เป็นผู้เรียนแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Develop Students as

Competency-Based Learners)

จากนานาทัศนะเก่ียวกับแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน ดังกล่าว
ข้างต้น ท่านเห็นว่า มีแนวคิด (Concept) หรือมีองค์ประกอบ (Element) อะไรที่อธิบายถึงนิยาม
ดงั กลา่ วได้อย่างกระชับและชัดเจน

เอกสารอ้างองิ
Cummings, J. (2017, July 23). Adopting competency-based learning: 4 First steps for

teachers and schools. Retrieved September 5, 2021 from
https://globalonlineacademy.org/insights/articles/adopting-competency-
based-learning-4-first-steps-for-teachers-and-schools

110

Hudson, E. (2018, October 17). How to design a competency-based assessment.
Retrieved September 8, 2021 from https://medium.com/@ejhudson/how-to-
design-a-competency-based-assessment-39f312235bde

Jasnani, P. (2021, May). A Comprehensive 7-step process to design a competency-
based curriculum. Retrieved September 8, 2021 from
https://www.hurix.com/process-to-design-a-competency-based-curriculum/

111

(ปกของคู่มอื แตล่ ะชุด)

ค่มู ือประกอบโครงการพัฒนาเพือ่ การเรยี นรูข้ องครู
ชดุ ท่ี 6

112

หลงั จากการศกึ ษาคู่มือชุดนแ้ี ล้ว ทา่ นมพี ัฒนาการด้านพทุ ธิพิสัย (Cognitive Domain) ซึ่ง
เป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางสมองหรือสติปัญญาตาม The Revised
Taxonomy (2001) ของ Benjamin S. Bloom โดยจาํ แนกพฤติกรรมในขอบเขตน้ีออกเป็น 6 ระดับ
เรียงจากพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนน้อยไปหามาก หรือจากทักษะการคิดขั้นต่ำกว่าไปหาทักษะการคิด
ขั้นสูงกว่า ดังนี้ คือ ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้
(Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมิน (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating)
ดังนี้

1) บอกคณุ สมบตั ิ จับคู่ เขียนลำดบั อธบิ าย บรรยาย ขีดเส้นใต้ จำแนก หรอื ระบุ ข้ันตอน
เพอ่ื พฒั นาการเรยี นรแู้ บบยึดสมรรถนะเปน็ ฐานได้

2) แปลความหมาย อธิบาย ขยายความ สรุปความ ยกตัวอย่าง บอกความแตกต่าง หรือ
เรียบเรยี ง ขน้ั ตอนเพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานได้

3) แก้ปัญหา สาธิต ทำนาย เช่ือมโยง ความสัมพันธ์ เปลี่ยนแปลง คำนวณ หรือปรับปรงุ
ขั้นตอนเพอื่ พฒั นาการเรียนรูแ้ บบยดึ สมรรถนะเป็นฐานได้

4) แยกแยะ จัดประเภท จำแนกให้เห็นความแตกต่าง หรือบอกเหตุผล ขั้นตอนเพื่อ
พัฒนาการเรยี นรู้แบบยดึ สมรรถนะเป็นฐานได้

5) วัดผล เปรียบเทียบ ตีค่า ลงความเห็น วิจารณ์ ข้ันตอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แบบยึด
สมรรถนะเป็นฐานได้

6) รวบรวม ออกแบบ จัดระเบียบ สร้าง ประดิษฐ์ หรือวางหลักการ ขั้นตอนเพ่ือ
พัฒนาการเรยี นรูแ้ บบยึดสมรรถนะเปน็ ฐานได้

113

4) โปรดศกึ ษาเน้ือหาเกี่ยวกับขั้นตอนเพ่ือพฒั นาการเรียนร้แู บบยึดสมรรถนะเป็นฐาน จาก
ทัศนะท่ีนำมากลา่ วถงึ แตล่ ะทศั นะ

5) หลังจากการศึกษาเนื้อหาแต่ละทัศนะ โปรดทบทวนความเข้าใจจากคำถามท้ายเนื้อหา
ของแตล่ ะทศั นะ

6) หากท่านต้องการศึกษารายละเอียดของขั้นตอนการพัฒนาจากแต่ละทัศนะท่ีเป็น
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดูได้จากเว็บไซต์นำเสนอไว้ท้ายเนื้อหาของแต่ละ
ทศั นะ

Cummings (2017) เป็น ผู้อำนวยการโครงการนักศึกษาของ global online academy
กล่างถึงการนำการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานมาใช้ 4 ขั้นตอนสำหรับครูและโรงเรียน
(Adopting Competency-based Learning: 4 First Steps for Teachers and Schools) วา่

ขั้นตอนที่ 1 ฝึกฝนความชัดเจนให้เป็นพื้นฐาน (Step 1 Practice Radical
Transparency)

น่ีคอื ยอ้ นกลับไปสวู่ ชิ าออกแบบขั้นต้น คุณต้องการให้นกั เรยี นของคุณเลิกในความเคยชินทาง
ความคิดแบบใด ทางทักษะอะไร และทางความรู้ด้านเนื้อหาแบบใด โดยที่ GOA เราเรียกทักษะสห
วิทยาการเหล่าน้ีว่าสมรรถนะหลักของเราและการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมของความเชี่ยวชาญของ
นักเรยี นในทักษะเหลา่ นัน้ จากผลการเรยี นรู้ (ดูสมรรถนะหลักและผลลัพธข์ อง GOA ที่นี่) ไม่ว่าคุณจะ
ตั้งชื่อทักษะและเป้าหมายเหล่านี้อย่างไร ควรจะให้มันสอดคล้องกับภาษาของคุณ แสดงมันในที่
สาธารณะ (ออนไลน์และท่ีอ่ืน ๆ ) ใช้มันในการสอนและในเกณฑ์การให้คะแนนของคุณ ทำให้มันเป็น
ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในหลักสูตรของคุณ (และโรงเรียนของคุณ) นักเรียน ผู้ปกครอง และเพื่อน
ร่วมงานจะซาบซ้งึ ในความชัดเจน และคุณเองกเ็ ช่นกัน การวางพน้ื ฐานรากฐานที่แข็งแกร่งเหล่านี้เป็น
ขั้นตอนแรกสแู่ นวทางของ CBL

114

ข้นั ตอนที่ 2 ให้เวลาและพนื้ ทีใ่ ห้สำหรบั การประเมนิ (Step 2. Make Time and Space
for Reassessment)

การประเมินใหม่ไม่ได้ทำให้นักเรียนมีโอกาสไม่รู้จบในการประเมินซ้ำเรื่อยๆ จนกว่าพวกเขา
จะพอใจกับผลลัพธ์ อย่างไรก็ตาม มันเป็นการผลักดันให้นักเรียนกลับมาทบทวน (และปรับปรุงเรื่อง
การควบคุมของตนในเรื่อง) ผลการเรียนรู้ที่กำหนด (ดู Rose Colby หรือ Rick Wormeli) การ
ประเมินใหม่เป็นการสร้างโอกาสให้นักเรียนแสดงให้เห็นว่าพวกเขาพัฒนาขึ้น ได้รับทักษะ และได้
เรียนรู้ การถ่ายทอดทักษะและการประยุกต์ใช้ความรู้เป็นคำจำกัดความของการเรียนรู้เชิงลึกตามที่
สภาวจิ ัยแหง่ ชาติอธิบายไว้ (ดูท่ี McTighe และ Curtis หน้า 57) คณุ สามารถเตรียมแบบประเมิน 10
แบบสำหรับทุกผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คุณหวังจะมอบให้ได้ไหม ? อาจจะไม่ได้ คุณสามารถระบุได้ไหม
ว่าผลลัพธ์การเรียนรู้ใดที่รู้สึกว่ามีความจำเป็น และเตรียมการประเมินจำนวนมากและโอกาสในการ
ประเมินใหม่สำหรับสิ่งเหล่านี้ ฉันหวังว่าอย่างนั้น. คุณสามารถให้ระยะห่างนักเรียนตลอดหลักสูตร
เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนมีโอกาสก้าวหน้าไปสู่การเรียนรูผ้ ลลัพธ์เหล่านัน้ แม้ว่าจะไม่ได้รบั ในครั้งแรกก็
ตาม

ขั้นตอนที่ 3 เปลี่ยนจาก "เนื้อหามากเกินไป" ให้กลายเป็น "ทางเลือกที่เพียงพอ" (Step
3. Let “too much Content” become “just Enough Choice.”)

ครทู ุกคนเคยเจอในชวี ติ จริงเร่ืองการพยายามปรบั ยัดหลกั สูตรจนมากเกนิ ไปในเวลาที่น้อยนิด
ไป ก่อนที่คุณจะเริ่มตัดสินใจเลือกสิ่งที่ยากๆ มากมายเกี่ยวกับสิ่งที่จะมีเอาไว้และสิ่งที่จะไม่เอาไว้ใน
หลักสูตร ให้ถามตัวเองว่า: ฉันเป็นคนท่ีควรเลือกหรือไม่? ในที่สุด แผนการเรียนการสอนที่ยึด
สมรรถนะเป็นฐานที่แข็งแกร่งจะช่วยให้นักเรียนมีทางเลือกและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่ารูปแบบ
การเรียนการสอนท่ัวไป ทำไมไมเ่ ริ่มต้นด้วยการให้นักเรยี นแตล่ ะคนเลือกว่าส่วนใดของหลักสูตรท่ีควร
จะเรียนศึกษาและส่วนใดที่จะละทิ้ง (แน่นอนว่าอยู่ในเกณฑ์) คะแนนโบนัสพิเศษ หากคุณปล่อยให้
พวกเขาตั้งปฏิทินของตนเอง และสร้างการประเมินและเกณฑ์การให้คะแนนของตนเองโดยใช้
สมรรถนะและผลลพั ธท์ ค่ี ณุ ระบไุ ว้

ขั้นตอนที่ 4 ยอมรับสิ่งที่สะท้อนกลับมา การประเมินตนเอง และการตั้งเป้าหมาย (Step
4. Embrace Reflection, Self-Assessment & Goal Setting)

การใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการประเมินตนเองและการสะท้อนข้อมูลกลับเป็นเทคนิคที่จะ
นำคุณไปสู่การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เหมือนการว่ายน้ำท่า sidestroke ซ่ึง
เปน็ การประหยัดพลังงาน (คณุ ตอ้ งเน้นที่การฝึกการสอนมากกว่าและให้คะแนนน้อยลง) การประเมิน
ตนเองเป็นกลไกที่ช่วยให้แน่ใจว่านักเรียนเข้าถึงข้อมูลภายในและดำเนินการตามผลตอบรับ หากคุณ
กำลงั ใช้สมรรถนะและผลลัพธ์เพื่อวางกรอบนำแนะนำหรือข้อมูลย้อนกลับ พวกเขาควรจะสามารถตั้ง

115
กำหนดเป้าหมายสำหรับตนเองและกำหนดแผนเพ่อื ให้บรรลเุ ป้าหมายเหลา่ น้นั โดยใช้กรอบการทำงาน
เดยี วกนั

หากทา่ นต้องการศึกษาจากตน้ ฉบับภาษาองั กฤษ โปรด “คลิก” ดูไดจ้ ากเว็บไซต์ข้างล่างน้ี
https://globalonlineacademy.org/insights/articles/adopting-competency-based-
learning-4-first-steps-for-teachers-and-schools

Hudson (2018) เป็นผู้อํานวยการฝ่ายการเรียนรู้และการออกแบบ Global Online
Academy กล่าวถึง การออกแบบการประเมินแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (How to Design a
Competency-Based Assessment) ว่า

116

การมุ่งเน้นที่ทกั ษะแทนที่จะเป็นเน้ือหาจะเปลีย่ นวิธีหรือแนวทางท่ีเราออกแบบการประเมิน
ได้อย่างไร

คำมัน่ สัญญาของการเรียนรู้แบบยดึ สมรรถนะเป็นฐานเปน็ สภาพแวดล้อมการเรียนรูท้ ี่สะท้อน
โลกที่นักเรียนของเรากำลังเตรียมที่จะก้าวเข้าสู่ได้ดีขึ้น การออกแบบการประเมินแบบยึดสมรรถนะ
เป็นฐานเป็นการสร้างโอกาสในการสาธิตทักษะที่สำคัญในบริบทที่แท้จริง วัตถุประสงค์ของการ
ประเมินเหล่านี้คือการมุ่งเน้นให้ครูเก็บรวบรวมข้อมูลน้อยลง และให้อำนาจนักเรียนมากขึ้นในการ
สาธิตสง่ิ ท่ีพวกเขาได้เรียนรู้ ไตรต่ รองถึงวิธีการทพี่ วกเขาทำ และวางแผนสง่ิ ที่พวกเขาจะเรยี นรู้ตอ่ ไป

ก่อนที่ฉันจะร่างกระบวนการสี่ขั้นตอนสำหรับการออกแบบการประเมินเหล่านี้ ฉันจะเน้นท่ี
หลักการสำคัญของการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน นั่นคือ ความเป็นเจ้าของของนักเรียน สิ่ง
สำคญั คือต้องตระหนักว่าในทุกข้ันตอนของกระบวนการด้านล่าง คุณสามารถใหน้ ักเรียนมีส่วนร่วมใน
ฐานะนกั ออกแบบรว่ ม

ข้นั ตอนที่ 1 : ทำให้สมรรถนะมคี วามชดั เจน (Step 1: Articulate Competencies)
เราต้องการให้นักเรยี นรู้และสามารถทำอะไรได้บ้าง? คำถามนขี้ ับเคล่ือน Wiggins และความ
เข้าใจของ McTighe โดยการออกแบบกรอบแผนงาน ซึ่งสนับสนุนขั้นตอนแรกในการออกแบบการ
ประเมินแบบสมรรถนะเป็นฐาน
ทักษะที่จำเป็นทน่ี กั เรยี นจำเป็นในการท่จี ะประสบความสำเร็จในโลกภายนอกโรงเรียน ซงึ่ ฉนั
จะเรียกว่า "สมรรถนะ" ในที่นี้ ควรขับเคลื่อนปรัชญาและวัตถุประสงค์ของการประเมิน ซ่ึง
วัตถุประสงค์การประเมินควรจะสามารถถ่ายทอด, สังเกตได้, มีความเป็นสหวิทยาการและเข้าถึงได้
สำหรับนักเรียน ตามที่ Chris Sturgis แห่ง Competency Works เขียน สมรรถนะที่ชัดเจน “จะมี
คุณคา่ ในอกี 10 ปีข้างหน้าแมว้ า่ ความรูด้ า้ นเนอื้ หาจะเปล่ียนไป”
ตัวอย่างเช่น ด้านล่างนี้คือสมรรถนะหลัก 6 ประการที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ในหลักสูตร
สำหรับนักเรยี นของ GOA
ไมว่ ่าหลักสูตร GOA ใดทีน่ กั เรยี นของเราจะเรียน - ภาษาอาหรบั , ปรชั ญา, แคลคลู ัสหลายตัว
แปร, ประสาทจิตวิทยา - งานของพวกเขามุ่งสู่การพัฒนาทักษะเหล่านี้ นี่คือวิธีคิดเกี่ยวกับ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างคสมรรถนะและเนื้อหา: สมรรถนะใหก้ รอบการทำงานสำหรับวิธที ่ีเราต้องการให้
นักเรียนเรียนรู้และสิ่งที่เราต้องการประเมิน และเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมให้ความหมายที่ลึกซึ้งแก่การ
ประเมนิ เหล่านน้ั
การทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมในงานนี้: ถามพวกเขาว่าความสำเร็จในการเรียนรู้เป็นอย่างไร
ขอให้พวกเขาแบ่งปันเป้าหมายและวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตของพวกเขา ร่วมมือกับพวกเขาเพื่อแปล
คำตอบของพวกเขาให้เป็นสมรรถนะที่พวกเขาจะสามารถพฒั นาได้ในโรงเรยี น

117

ขั้นตอนท่ี 2 : พัฒนาหลักฐานซึ่งแสดงสมรรถนะ (Step 2: Develop Evidence of
Competencies)

หลักฐานในการพัฒนาทักษะ — ซึ่งคือสิ่งที่เราเรียกว่า “ผลการเรียนรู้” ที่ GOA — เป็น
เกณฑ์ที่ครูและนักเรียนใช้ในการประเมินงานของนักเรียน ดังที่ Ron Berger อภิปรายในเรื่อง ผู้นำ
ของการเรียนรู้ในแบบของตนเอง (Leaders of They Own Learning) ผลลัพธ์เหล่านี้ต้องเน้นที่
เป้าหมายการเรียนรู้ ไม่ใช่งาน การประเมินแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อวัดว่า
นักเรียนสามารถทำงานใหเ้ สร็จหรอื ปฏบิ ตั ติ ามคำแนะนำไดเ้ รว็ /สมบรู ณ์อยา่ งไร แตม่ นั มจี ุดมุ่งหมายที่
จะทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่านักเรียนควรทำจะอะไรได้บ้างโดยเป็นผลมาจากการประเมินที่สมบูรณ์
ด้วยเหตุผลนี้ ผลลัพธ์การเรียนรู้มักถูกจัดกรอบเป็นข้อความว่า "ฉันทำได้..." เพื่อตอกย้ำแนวคิดที่ว่า
เป้าหมายจะบรรลุตามเป้าหมายก็ต่อเมื่อนำความรู้ไปใช้ในลักษณะที่แสดงให้เห็นได้สำเร็จเท่านั้น
สำหรับตัวอย่างแบบละเอียด โปรดดูที่ ผลการปฏิบัติงานด้านความสามารถระดับโลกสังคมเอเชีย
(Asia Society’s Global Competence Performance Outcomes)

ทำอย่างไรให้นักเรียนมีส่วนร่วมในงานนี้: ให้พวกเขาเลือกสมรรถนะเดียวหรือหลาย
สมรรถนะ และถามพวกเขาว่า “ความสำเร็จมีลักษณะอย่างไรและฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเชี่ยวชาญ
ในทักษะน้ี”

ขนั้ ตอนท่ี 3: สรา้ งเกณฑ์การให้คะแนนท่เี ปน็ มติ รกับนักเรียน (Step 3: Build Student-
Friendly Rubrics)

ในการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานนั้น เกณฑ์การให้คะแนนใช้เป็นมากกว่าการให้
คะแนน สามารถใช้เกณฑ์การให้คะแนนที่สร้างจากสมรรถนะที่มีความชัดเจนและผลลัพธ์การเรียนรู้
เพื่อสร้างซึ่งความชัดเจนกับนักเรียนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังเรียนรู้และเหตุผลที่พวกเขาเรียนรู้
เกณฑ์การให้คะแนนยังเป็นเครื่องมือที่จำเป็นต่อครูในการปรับความเข้าใจในประสิทธิภาพการ
ปฏิบัติงาน: การตรวจสอบทบทวนงานของนักเรียนโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนร่วมกันของครูเป็น
พื้นฐานทั่วไปของการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน สุดท้ายน้ี เกณฑ์การให้คะแนนเป็นเครื่องมือ
สำหรบั การประเมนิ : นกั เรยี นและครูสามารถใช้เกณฑ์การให้คะแนนเพ่ือวดั ผลการปฏบิ ัตงิ าน สะท้อน
การเรยี นรู้ และวางแผนขัน้ ตอนตอ่ ไปได้

เนื่องจากการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานไม่ใช่ระบบท่ียึดเวลาเป็นฐาน นักเรียนมักมี
โอกาสทบทวนกิจกรรมการเรียนรู้และรับการประเมินใหม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากข้อเสนอแนะ
และข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์และการทบทวนไตร่ตรองเรื่องอภิปัญญาตามปกติ โดยมีรูปแบบ
ต่างๆ เช่น เกณฑ์การให้คะแนนแบบจุดเดียวด้านล่างช่วยให้เกณฑ์การให้คะแนนยึดเหนี่ยวการ
สนทนาอยา่ งตอ่ เนอื่ งเกีย่ วกับการเรียนรูร้ ะหวา่ งนักเรียนและครู แทนทีจ่ ะใหค้ ะแนนเพยี งอยา่ งเดียว

118

วิธีสร้างการมีส่วนร่วมของนักเรียนในงานนี้: ให้พวกเขาสร้างเกณฑ์การให้คะแนนส่วนบุคคล
โดยใช้สมรรถนะและผลลัพธ์ท่ีคุณ (หรือคณุ และพวกเขา) ได้พูดไวอ้ ยา่ งชัดเจน ให้พวกเขาเลือกผลการ
เรยี นรทู้ ่สี ำคญั ทสี่ ุดกับงานทต่ี ้องการทำ

ขั้นตอนที่ 4: สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ (Step 4: Create the Learning
Experience(s))

หลังจากกระบวนที่มีเป้าหมายตั้งใจในการแสดงสมรรถนะและผลลัพธ์ที่ชัดเจนแล้วเท่าน้ัน
เราควรทจ่ี ะคิดวา่ นักเรียนจะแสดงทักษะเหล่าน้ีผา่ นประสบการณ์การเรยี นรู้อย่างไร มีหลายวิธีในการ
แสดงทักษะเหล่านี้ ดังนั้นผลงานของการประเมิน – ผลงานของนักเรียน – ควรมีความหลากหลาย
และน่าสนใจ

ฉันพบวา่ การคิดเกย่ี วกับรูปแบบการฝึกงานน้ันมีประโยชน์ โดยที่นักเรยี นได้รับการสนับสนุน
จากทปี่ รึกษา ได้เรียนรู้จากสถานทจี่ ริงผ่านการฝึกฝนอย่างแทจ้ รงิ (เดก็ ฝึกงานของชา่ งตีเหล็กทำเกือก
ม้า หรือเด็กฝึกงานของช่างไม้สร้างบ้านนก) เมื่อพูดถึงงานที่เป็นวิชาการมากขึ้น ลองนึกถึงสิ่งที่ Jal
Mehta และ Sarah Fine เรียกว่า "การฝึกงานด้านความรู้ความเข้าใจ" โดยที่คำถามสำคัญไม่ใช่
"เนื้อหาที่ฉันต้องมีความรู้อย่างครอบคลุมคืออะไร" และแทนที่จะเป็น "การคิดขอบเขตความรู้มี
ความหมายว่าอะไร" การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ครูสามารถจัดระเบียบการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์และ
ความหมาย ส่งผลให้เกิดบรรลุถึงการแสดงออกในการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งอาจมีส่วนช่วยในเรื่อง
ขอบเขตความรู้ มีลกั ษณะอยา่ งไร?

วิธีที่ดีที่สุดในการรับรู้ประสบการณ์การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานคือการดูงานที่
นกั เรยี นผลติ /สรา้ งและสภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้ทพี่ วกเขาผลติ /สรา้ ง

คุณจะพบเนื้อหาท่ียอดเยี่ยมเชือ่ มโยงกับจดุ ประสงค์ที่ใหญก่ ว่า เช่นเดียวกับที่ครูสามคนน้ใี ช้
การคดิ เชงิ คำนวณเพื่อชว่ ยนักเรียนดำเนนิ ตามความยตุ ิธรรมทางสงั คม

คุณจะพบว่าครูใช้วิธีการที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและไม่เป็น เส้นตรงในหลักสูตรเพื่อให้เหมาะกับ
ความตอ้ งการและความสนใจของนกั เรียนแตล่ ะคนมากขนึ้

คุณจะพบว่านักเรียนออกแบบการประเมินของตนเองโดยเลือกผลลัพธ์ที่ควรวัดการเรียนรู้
ของพวกเขารว่ มกับครขู องพวกเขา

คุณจะพบกับครูและนักเรียนที่ใช้สมรรถนะและผลลัพธ์ในการทบทวนการเรียนรู้อย่าง
สม่ำเสมอและเปดิ เผย

วิธีดึงดูดและให้นักเรียนมีส่วนร่วมในงานนี้: ส่งเสริมให้พวกเขาเป็นนักออกแบบการเรียนรู้
และผู้จัดการโครงการ ใหพ้ วกเขาใช้เกณฑ์การให้คะแนนเพื่อออกแบบประสบการณ์ทพ่ี วกเขาสามารถ
แสดงให้เห็นผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างแท้จริง ให้ความรับผิดชอบในการวางแผน ดำเนินการ และ
นำเสนองานเพ่ือประเมิน

119

หากท่านตอ้ งการศึกษาจากต้นฉบบั ภาษาองั กฤษ โปรด “คลิก” ดูไดจ้ ากเว็บไซต์ข้างล่างนี้
https://medium.com/@ejhudson/how-to-design-a-competency-based-assessment-
39f312235bde

Jasnani (2021) เป็นที่ปรึกษาด้านการเรียนรู้และประสิทธิภาพ การออกแบบการสอน
เทคโนโลยี การฝึกอบรมและวิชาการ ของบริษัท HurixDigital ได้กล่าวถึง ขั้นตอนในการพัฒนา
หลักสูตรแบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Steps to develop a competency-based curriculum) ว่า
การออกแบบหลักสูตรแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานส่วนใหญ่เกี่ยวกับการสร้างโอกาสที่หลากหลาย
สำหรับนกั เรยี น ซงึ่ ชว่ ยให้พวกเขาได้แสดงทกั ษะที่สำคญั ในบริบททแ่ี ท้จริง

กระบวนการของการออกแบบหลักสูตรแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานมักเกี่ยวข้องกับขั้นตอน
ต่อไปน้ี

ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาหรือระบุสมรรถนะทั่วไป (Step 1. Development or
Identification of General Competencies)

120

ขั้นตอนแรกในการพัฒนาหลักสูตรประเภทนี้คือการระบุและทำแผนที่พื้นที่ สมรรถนะทั่วไป
โดยใช้แหลง่ ขอ้ มูลและเทคนคิ ท่ีมีหลากหลายในการรวบรวม สมรรถนะเหลา่ นี้ให้กรอบการทำงานโดย
ยดึ ตามผลการปฏบิ ตั ิงานเฉพาะเพ่ือพฒั นาหลกั สตู รและวดั ผลการปฏิบตั งิ าน

แหลง่ ขอ้ มูลที่คณุ สามารถใชไ้ ด้ ได้แก่ ผู้เช่ียวชาญเฉพาะดา้ น นักเรียนที่มีประสิทธภิ าพสูง นัก
การศกึ ษา ตำราเรยี นรปู แบบออนไลน์ บทความ และแหล่งขอ้ มูลอนื่ ๆ และเทคนคิ ต่างๆ ท่คี ณุ สามารถ
ใช้ได้ ได้แก่ การสนทนากลุม่ หรือกระบวนการกลุม่ การสำรวจ การอา่ น และการสงั เกต

แม้วา่ นกั เรยี นแตล่ ะคนจะมีชดุ สมรรถนะเฉพาะของตนเอง แตโ่ ดยท่ัวไปแล้วแผนท่ีสมรรถนะ
เหล่าน้ีถูกสร้างขึ้นโดยการสังเกตและสัมภาษณ์นักเรียนที่มีผลการปฏิบัติงานสูงสุด เพื่อให้สามารถ
บันทึกผลการปฏบิ ัตงิ านเปน็ รายการสมรรถนะหลัก (ความรู้และความสามารถ)

ขั้นตอนที่ 2 การจัดระเบียบสมรรถนะเป็นหัวข้อเฉพาะ (Step 2. Organizing
Competencies into Specific Themes)

ในขั้นตอนต่อไป คุณต้องกำหนดสมรรถนะเฉพาะในแตล่ ะพืน้ ที่ท่ัวไป การพัฒนาคำอธบิ ายท่ี
ถกู ต้องและแม่นยำจะทำใหข้ ้นั ตอนตอ่ ไปในกระบวนการพฒั นาหลักสตู รง่ายขน้ึ มาก

เพ่อื ให้สามารถกำหนดสมรรถนะได้อยา่ งเต็มท่ี ใหไ้ ตรต่ รององค์ประกอบต่างๆ อย่างละเอียด
ถี่ถ้วน ตัวอย่างเช่น การพูดในที่สาธารณะ ให้พิจารณาทั้งการแสดง (ภาษากาย เสียง) และเนื้อหา
(ภาษา การโน้มน้าวใจ องคก์ ร)

ณ จุดนี้ ให้พิจารณาคำถามต่อไปนี้ด้วย เพื่อช่วยให้คุณกำหนดหรือวางกรอบเป้าหมายตาม
หลกั สูตรแบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน -

ข้อได้เปรียบในวงกว้างของการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานคืออะไร และเหตุใดข้อ
ไดเ้ ปรียบนน้ั ถึงมคี วามสำคญั

ผลประโยชน์เฉพาะที่หลักสูตรแบบยึดสมรรถนะเป็นฐานสามารถให้กับสถาบันของคุณมี
อะไรบา้ ง?

เป้าหมายเฉพาะของสถาบันของคุณเกย่ี วกับเรื่องน้ีมอี ะไรบ้าง
คุณจะวัดความสำเรจ็ ของการรเิ รม่ิ น้สี ำหรบั สถาบันของคุณอยา่ งไร
เนื้อหาท่จี ำเป็นในการสนบั สนุนการพัฒนาสมรรถนะเฉพาะดา้ นในหลกั สตู รมีอะไรบ้าง?
กลยทุ ธแ์ ละวธิ ีการสอนทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพสูงสดุ ในการพัฒนาสมรรถนะมีอะไรบ้าง?
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติงาน (Step 3. Establishing Criteria for
Performance)
สำหรับแต่ละสมรรถนะ ให้สร้างมาตรฐานหรือเกณฑ์การให้คะแนนซึ่งคุณสามารถวัด
สมรรถนะได้ อยา่ ลืมทจี่ ะอธิบายถึงระดบั ต่างๆ ที่กำหนดสมรรถนะเชิงบวกและเชิงลบในขั้นตอนนี้ วิธี
นี้จะชว่ ยคุณวัดประสิทธิภาพของหลักสูตรและค้นหาว่าอะไรใช้ได้ผลดแี ละอะไรไมเ่ หมาะกบั ผู้เรยี น

121

ขั้นตอนที่ 4 การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ (Step 4. Creating Learning
Experiences)

เมื่อคุณกำหนดสมรรถนะและเกณฑ์สำหรับผลลัพธ์แล้ว ให้คิดว่านักเรียนจะแสดงทักษะ
เหล่านี้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไร ซึ่งมีวิธีที่หลากหลายในการแสดงทักษะเหล่านี้ ดังนั้น
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลงานของการประเมิน – ผลงานของนักเรียน – มีความหลากหลายและ
นา่ สนใจ

วิธีในอดุ มคตทิ ่ีจะรับรู้ถงึ ประสบการณก์ ารเรยี นรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานคอื การมองงานที่
นักเรียนผลิตและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่พวกเขาผลิตอยา่ งถี่ถว้ น ตัวอย่างเช่น ครูและนักเรยี นใช้
ความสมรรถนะและผลลัพธ์ที่ระบุเพื่อมีส่วนร่วมในการสะท้อนด้านการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอและ
เปดิ เผย

แนวคิดนี้คือการส่งเสริมในสิทธิอำนาจโดยให้นักเรียนเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ที่แท้จริง
อนุญาตให้นักเรียนใช้เกณฑ์คะแนนเพื่อออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ซึ่งพวกเขาสามารถ
แสดงผลการเรียนรู้และให้ความรับผิดชอบในการวางแผน การดำเนินการ และการนำเสนองานเพื่อ
การประเมนิ

ขน้ั ตอนที่ 5. การประเมินสมรรถนะ (Step 5. Assessing Competency)
หลักสูตรท่ียึดสมรรถนะเป็นฐานที่ประสบความสำเร็จจะช่วยให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้
และดำเนนิ การตามความรู้ ทกั ษะ และความสามารถโดยท่ัวไปทอ่ี ตุ สาหกรรมตอ้ งการ
เพื่อลดช่องว่างระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา จำเป็นต้องมีกระบวนการที่มี
โครงสร้างเชื่อมโยงระหว่าง KSA (ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ, Knowledge Skill Attribute) กับการ
ประเมนิ ในการประเมนิ สมรรถนะ คุณตอ้ งตอบคำถามสำคัญสองข้อ ได้แก่ -
นกั เรียนได้รับสมรรถนะท่ีกำหนดเมือ่ ส้ินสดุ แผนกำหนดการเรยี นหรือไม?่
ถ้าใช่ การได้มาซ่ึงสมรรถนะนีเ้ ป็นผลมาจากแผนกำหนดการเรียนหรือไม่
คุณต้องใช้วธิ กี ารประเมนิ ที่หลากหลายเพ่ือประเมนิ สมรรถนะในระดับแผนการเรยี น โดยรวม
ถึงการประเมินระหวา่ งเรยี นและการประเมินแบบสรุปผลรวมไปถึงการประเมนิ ตนเอง
ขั้นตอนที่ 6. การประเมินประสิทธิผลของหลักสูตร (Step 6. Evaluating the
Effectiveness of the Curriculum)
เมื่อหลักสตู รถูกนำไปใชแ้ ละนักเรียนเริ่มพัฒนาสมรรถนะในด้านตา่ งๆ จะมีการเปลี่ยนแปลง
มากมาย
ดงั น้นั จึงเปน็ เรอ่ื งสำคญั ทีจ่ ะต้องประเมนิ ประสิทธิภาพของหลกั สูตรเพอ่ื ปรับปรุงสมรรถนะให้
ดขี ึ้นเพื่อให้บรรลเุ ป้าหมายที่ต้องการ จากน้ันทำซ้ำและทบทวนขน้ั ตอนเพื่อใหแ้ นใ่ จวา่ จะมปี ระสิทธิผล
อย่างต่อเน่ือง

122

สรปุ (In Conclusion)
แนวทางที่ค่อนข้างทันสมัยในการออกแบบการเรียนรู้ การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน
กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่สถาบันการศึกษา เนื่องจากแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่
ชดั เจนในทกั ษะทเ่ี นน้ ในด้านการทำงานสำหรับนกั เรียน
โดยการระบุทักษะ ความรู้ และความสามารถที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จใน
อุตสาหกรรมหรืออาชีพใดๆ ที่นักเรียนเลือกดำเนินการ แนวทางดังกล่าวสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนา
และประเมินหลักสูตรแบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน ช่วยให้มั่นใจว่านักเรยี นพร้อมทีจ่ ะเผชญิ กับความท้า
ทายทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับงานในชีวติ มากข้ึน
นอกเหนือจากการช่วยนักเรียนพัฒนาและแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในหัวข้อใดหัวข้อ
หนึ่งแล้ว หลักสูตรที่ยึดสมรรถนะเป็นฐานยังสร้างวัฒนธรรมของความเท่าเทียมเสมอภาคและการไม่
แบ่งแยก และเตรียมนักเรียนใหพ้ ร้อมสำหรับชีวิตอย่างเพียงพอ

หากท่านตอ้ งการศึกษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลกิ ” ดูไดจ้ ากเวบ็ ไซตข์ ้างล่างน้ี
https://www.hurix.com/process-to-design-a-competency-based-curriculum/

123

จากทัศนะของ Cummings (2017), Hudson (2018) และ Jasnani (2021) ดงั กลา่ วขา้ งต้น
เห็นไดว้ ่า แตล่ ะแหลง่ อ้างอิงได้กล่าวถึงขนั้ ตอนเพื่อพฒั นาการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานสำหรับ
นกั เรยี นท่แี ตกตา่ งกนั คือ

Cummings (2017) กลา่ วถึง 4 ขัน้ ตอน คือ
1. ฝกึ ฝนความชัดเจนให้เป็นพน้ื ฐาน
2. ใหเ้ วลาและพนื้ ท่ใี หส้ ำหรับการประเมนิ
3. เปล่ียนจาก "เนื้อหามากเกนิ ไป" ให้กลายเป็น "ทางเลือกทเี่ พยี งพอ"
4. ยอมรับส่ิงทส่ี ะทอ้ นกลับมา การประเมนิ ตนเอง และการต้งั เปา้ หมาย
Hudson (2018) กลา่ วถึง 4 ขัน้ ตอน คือ
1. ทำใหส้ มรรถนะมคี วามชัดเจน
2. พัฒนาหลักฐานซง่ึ แสดงสมรรถนะ
3. สรา้ งเกณฑ์การให้คะแนนทีเ่ ปน็ มติ รกบั นักเรยี น
4. สรา้ งประสบการณก์ ารเรียนรู้
Jasnani (2021) กลา่ วถึง 6 ข้ันตอน คือ
1. การพัฒนาหรือระบุสมรรถนะทว่ั ไป
2. การจัดระเบยี บสมรรถนะเป็นหัวขอ้ เฉพาะ
3. กำหนดหลักเกณฑก์ ารปฏบิ ตั งิ าน
4. การสร้างประสบการณ์การเรยี นรู้
5. การประเมินสมรรถนะ
6. การประเมินประสิทธิผลของหลกั สตู ร

124

จากนานาทัศนะเกี่ยวกับขั้นตอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน ดังกล่าว
ข้างต้น ท่านเห็นว่า มีแนวคิด (Concept) หรือมีองค์ประกอบ (Element) อะไรที่อธิบายถึงนิยาม
ดงั กลา่ วได้อย่างกระชบั และชัดเจน

เอกสารอา้ งอิง
Cummings, J. (2017, July 23). Adopting competency-based learning: 4 First steps for

teachers and schools. Retrieved September 5, 2021 from
https://globalonlineacademy.org/insights/articles/adopting-competency-
based-learning-4-first-steps-for-teachers-and-schools
Hudson, E. (2018, October 17). How to design a competency-based assessment.
Retrieved September 8, 2021 from https://medium.com/@ejhudson/how-to-
design-a-competency-based-assessment-39f312235bde
Jasnani, P. (2021, May). A Comprehensive 7-step process to design a competency-
based curriculum. Retrieved September 8, 2021 from
https://www.hurix.com/process-to-design-a-competency-based-curriculum/

125

(ปกของคู่มอื แตล่ ะชุด)

ค่มู ือประกอบโครงการพัฒนาเพือ่ การเรยี นรูข้ องครู
ชดุ ท่ี 7

126

หลังจากการศกึ ษาคมู่ ือชุดนแี้ ล้ว ท่านมพี ัฒนาการดา้ นพทุ ธิพสิ ัย (Cognitive Domain) ซ่ึง
เป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางสมองหรือสติปัญญาตาม The Revised
Taxonomy (2001) ของ Benjamin S. Bloom โดยจําแนกพฤตกิ รรมในขอบเขตน้ีออกเปน็ 6 ระดับ
เรียงจากพฤติกรรมที่สลับซับซ้อนน้อยไปหามาก หรือจากทักษะการคิดขั้นต่ำกว่าไปหาทักษะการคิด
ขั้นสูงกว่า ดังนี้ คือ ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (Understanding) การประยุกต์ใช้
(Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมิน (Evaluating) และการสร้างสรรค์ (Creating)
ดงั น้ี

1) บอกคุณสมบัติ จับคู่ เขียนลำดับ อธิบาย บรรยาย ขีดเส้นใต้ จำแนก หรือระบุ การ
ประเมินการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานได้

2) แปลความหมาย อธิบาย ขยายความ สรุปความ ยกตัวอย่าง บอกความแตกต่าง หรือ
เรยี บเรยี ง การประเมนิ การเรียนรูแ้ บบยึดสมรรถนะเปน็ ฐานได้

3) แก้ปัญหา สาธิต ทำนาย เชื่อมโยง ความสัมพันธ์ เปลี่ยนแปลง คำนวณ หรือปรับปรุง
การประเมินการเรียนร้แู บบยึดสมรรถนะเป็นฐานได้

4) แยกแยะ จัดประเภท จำแนกให้เห็นความแตกต่าง หรือบอกเหตุผล การประเมินการ
เรยี นรแู้ บบยดึ สมรรถนะเปน็ ฐานได้

5) วัดผล เปรียบเทียบ ตีค่า ลงความเห็น วิจารณ์ การประเมินการเรียนรู้แบบยึด
สมรรถนะเป็นฐานได้

6) รวบรวม ออกแบบ จัดระเบียบ สร้าง ประดิษฐ์ หรือวางหลักการ การประเมินการ
เรียนรูแ้ บบยึดสมรรถนะเปน็ ฐานได้

127

1) โปรดศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับการประเมินการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน จาก
ทัศนะที่นำมากลา่ วถึงแต่ละทัศนะ

2) หลงั จากการศึกษาเนื้อหาแต่ละทัศนะ โปรดทบทวนความเข้าใจจากคำถามท้ายเนื้อหา
ของแตล่ ะทศั นะ

3) หากท่านต้องการศึกษารายละเอียดของการประเมินจากแต่ละทัศนะที่เป็นต้นฉบับ
ภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ด้จากเว็บไซตน์ ำเสนอไวท้ า้ ยเนือ้ หาของแต่ละทัศนะ

Baughmand (2012) เป็นรองศาสตราจารย์ Iowa State University กล่าวถึงเครื่องมือ
การประเมนิ สมรรถนะ (Competency Assessment Tool) วา่ how often does this person/you
perform this action? ในด้านตา่ งๆ ดงั น้ี

การวิเคราะห์และการตดั สินใจ (Analysis and Judgment)
1. ระบุประเด็น ปัญหาและโอกาส - ตระหนักถึงประเด็น ปัญหา หรือโอกาส และกำหนด

ตัดสนิ ใจวา่ ควรจะต้องทำอะไร
2. รวบรวมข้อมูล - ระบุความต้องการและรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เข้าใจถึงประเด็น ปัญหา

และโอกาสไดด้ ีขึน้
3. ตีความข้อมูล - รวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ สืบค้น แนวความคิด ความสัมพันธ์ และ

ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเหตุและผล
4. สร้างทางเลือกอื่น – สร้างทางเลือกที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา เพิ่มโอกาสและบรรลุผล

ตามทตี่ ้องการ
5. เลือกการกระทำหรือการดำเนินการที่มีความเหมาะสม - กำหนดเกณฑ์การตัดสินใจท่ี

ชัดเจน ประเมนิ ทางเลือกโดยพิจารณาถึงส่ิงท่เี กี่ยวข้องและผลทตี่ ามมา เลือกตัวเลือกที่มี
ประสทิ ธิภาพ
6. มงุ่ ม่นั ท่ีจะดำเนนิ การ - ดำเนินการตดั สนิ ใจหรอื เรม่ิ ดำเนินการภายในเวลาท่เี หมาะสม

128

7. เกี่ยวข้องกับผู้อื่น - นับรวมผู้อื่นในกระบวนการตัดสินใจตามที่สมควรจะได้รับข้อมูลที่ดี
ทำการตัดสินใจที่เหมาะสมที่สุด และรับประกันการเข้าร่วมและความเข้าใจในการ
ตัดสนิ ใจท่ีเป็นผล

8. คุณค่าของความหลากหลาย - ยอมรับและให้คุณค่ากับการรวบรวมปัจจัยนำเข้า ค่านิยม
มุมมอง และกระบวนทัศน์ทางความคิดที่หลากหลายในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
กับผลิตภัณฑ์และกระบวนการ

การสื่อสาร (Communication)
9. จัดระเบียบการสื่อสาร - ชี้แจงวตั ถปุ ระสงค์และความสำคญั เน้นประเด็นสำคัญ สอดคล้อง

เปน็ ไปตามกบั ตรรกะ
10. รักษาความสนใจของผู้ชม - ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมโดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การ

เปรียบเทียบ ภาพประกอบ ภาษากาย และการผันเสียง
11. ปรับให้เข้ากับผู้ชม - ร่างข้อความที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้ชม ภูมิหลัง และ

ความคาดหวงั ใชค้ ำศัพท์ ตัวอยา่ ง และการเปรียบเทียบทมี่ ีความหมายตอ่ ผู้ฟงั
12. ทำให้มั่นใจว่ามีความเข้าใจ - แสวงหาข้อมูลจากผู้ฟัง ตรวจสอบความเข้าใจ; นำเสนอ

ขอ้ ความในรปู แบบตา่ งๆ เพื่อเสรมิ ความเข้าใจ
13. ยึดมั่นปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนที่ได้รับการยอมรับ - ใช้วากยสัมพันธ์ ฝีเท้า ระดับ

เสียง พจน์ และกลไกท่เี หมาะสมกบั สอ่ื ท่ีใช้
14. เข้าใจการสื่อสารจากผู้อื่น - เข้าร่วมฟังข้อความจากผู้อื่น ตีความข้อความและตอบกลับ

อยา่ งถูกตอ้ ง
ความตอ่ เนอ่ื งในการเรยี นรู้ (Continuous Learning)
15. กำหนดความต้องการในการเรียนรู้ - แสวงหาและใช้ข้อเสนอแนะและแหลง่ ข้อมูลอืน่ ๆ

เพอ่ื ระบุพืน้ ทท่ี ่เี หมาะสมสำหรบั การเรียนรู้
16. แสวงหากิจกรรมการเรียนรู้ - ระบุและมีส่วนร่วมในกจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ีเหมาะสม (เชน่

หลักสูตร การอ่าน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การฝึกสอน และการเรียนรู้จากประสบการณ์)
ที่ช่วยตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้อย่างเต็มท่ี
17. เพม่ิ การเรียนร้ขู ั้นสูงสดุ - มีสว่ นร่วมอย่างแข็งขนั ในกจิ กรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่ทำให้
ประสบการณ์ในการเรียนรู้เกิดประโยชน์สูงสุด (เช่น จดบันทึก ถามคำถาม วิเคราะห์
ขอ้ มลู อยา่ งมีวจิ ารณญาณ ทำงานที่จำเป็น)
18. ประยุกต์ความรู้หรือทักษะ - นำความรู้ ความเข้าใจ หรือทักษะใหม่ ๆ ไปใช้จริงในงาน
ตอ่ ยอดการเรยี นรูผ้ า่ นการลองผิดลองถูก

129

19. รับความเสี่ยงในการเรียนรู้ - พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยหรืออึดอัดเพื่อ
เรียนรู้ ถามคำถามที่อาจดูเหมือนโงเ่ ขลา รบั งานทีท่ ้าทายหรือไม่คุ้นเคย

ความคดิ รเิ ร่มิ (Initiative)
20. ไปไกลกว่าน้นั - ปฏบิ ตั เิ กนิ กวา่ ที่งานกำหนดไวเ้ พ่ือบรรลวุ ตั ถุประสงค์
21. ตอบสนองอย่างรวดเร็ว - มีการปฏิบัติการทันทีเมื่อเผชิญกับปัญหาหรือเมื่อทราบ

สถานการณ์
22. ดำเนินการอย่างอิสระ – นำแนวคิดใหม่หรือแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ไปใช้โดยไม่ต้อง

แจ้งให้ทราบ ไม่รอให้ผอู้ นื่ ดำเนินการหรือร้องขอให้ดำเนินการใดๆ

การทำงานเปน็ ทีม (Teamwork)
23. ทำให้ง่ายขึ้นในการบรรลุเป้าหมาย - เสนอแนะขั้นตอนหรือกระบวนการเพื่อให้บรรลุ

เป้าหมายของทีมหรือการปฏิบัติหน้าที่ของทีม จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นหรือช่วยขจัด
อปุ สรรคเพอื่ ชว่ ยใหท้ ีมบรรลเุ ป้าหมาย
24. แจง้ ผู้อ่ืนในทีม - แบง่ ปันข้อมูลสำคัญหรือมคี วามเกีย่ วขอ้ งกับทีม
25. เกี่ยวข้องกับผู้อื่น - รับฟังและมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับผู้อื่นในการตัดสินใจและการ
กระทำของทีม คุณค่าและใชค้ วามแตกตา่ งและความสามารถสว่ นบคุ คล
26. โมเดลโครงสร้างความมุ่งมั่น - เป็นไปตามความคาดหวงั และแนวทางปฏิบัติของทีม เติม
เต็มความรับผิดชอบของทมี แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความมุ่งมั่นส่วนตวั ต่อทีม

130

Moreno-Murcia, Torregrosa & Pedreno (2015) โ ด ย Moreno-Murcia เ ป็ น
ศ า ส ต ร า จ า ร ย ์ ท่ี Universidad Miguel Hernández (Spain) Torregrosa เ ป ็ น อ า จ า ร ย ์ ที่
Universidad Miguel Hernández (Spain) และ Pedreno เป็นศาสตราจารย์ที่ European
University of Madrid (Spain) ได้กล่าวถึง แบบสอบถามประเมินในการสอนสมรรถนะใน
สภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย (Questionnaire evaluating teaching competencies in the
university environment) โดยมีข้อคำถามดงั นี้

1. ครูสามารถเข้าถงึ ไดง้ ่าย (บทเรียน อเี มล ฯลฯ)
2. ครูอนุญาตให้นักเรียนจัดระเบียบและแจกจ่ายส่วนของงานที่จะต้องทำในหลักสูตรให้แก่

นักเรียน
3. ครูให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ รายชื่อเอกสารอ้างอิง แบบฝึกหัด เนื้อหา และ

วธิ ีการประเมนิ ในรายวิชาของหลักสูตร
4. ครแู จ้งใหน้ ักเรยี นทราบถึงสมรรถนะที่คาดว่าจะได้รบั
5. ครูให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แก่นักเรียน ซึ่งช่วยให้นักรียนเข้าใจเนื้อหาสาระได้ดีขึ้นและ

ลึกซงึ้ ข้นึ
6. ครนู ำเสนอเน้ือหาตามกรอบงานทชี่ ัดเจนและมีความสมเหตุสมผล เน้นประเด็นสำคญั
7. ครูอนุญาตและสนับสนนุ ให้นักเรียนมสี ่วนรว่ ม
8. ครูสง่ เสริมการทำงานเด่ียวหรือทำเป็นรายบคุ คล
9. ครูสง่ เสรมิ การทำงานเปน็ ทีมและความสามัคคีในกลมุ่
10. ครูเชือ่ มโยงการสอนใหเ้ ขา้ และสอดคล้องกบั สภาพแวดล้อมทางวชิ าชีพ
11. ครใู หภ้ าพรวมเบื้องตน้ และขน้ั สดุ ท้ายของภาคการศกึ ษาและ/หรือวิชาในชั้นเรยี น
12. ครสู ง่ เสริมความสนใจและแรงจูงใจของนักเรยี นในการเรียนรู้
13. ครูสง่ เสริมการวิจยั และการคดิ เชิงวิพากษข์ องนักเรยี น
14. ครูอำนวยความสะดวกในการปฏิสมั พันธ์ระหว่างนักเรยี นกับนกั เรยี นและนักเรยี นกบั ครู
15. ครูเขา้ ร่วมและตอบคำถามท่ีถามในชั้นเรียนอยา่ งชัดเจน
16. ครูเข้าเรยี นอย่างเพียงพอในบทเรียนท่ีครูต้องมีความรู้
17. ครูรักษาวตั ถปุ ระสงค์และมีความเคารพต่อนกั เรยี น

131

18. ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนมสี ว่ นร่วมในการมอบหมายงานในรายวิชา
19. ครูออกแบบและเช่ือมโยงเนอื้ หาในห้องเรยี นกบั เนือ้ หาในห้องปฏบิ ตั ิการ
20. ครรู วบรวมและใช้ ICTs (เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร) ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
21. ครูเป็นผู้ออกคำสงั่ และควบคมุ เน้อื หารายวิชาไดด้ ี
22. ครูผสมผสานเน้ือหาสาระรายวิชาที่กำลังศกึ ษากบั รายวชิ าอื่นๆ
23. ครูใช้หลักสูตรที่กำหนดขึ้นโดยมีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่งเพื่อให้มีแรงกระตุ้นในช้ัน

เรียนท่ดี ีขึ้น
24. ครใู ช้ทรพั ยากรการสอนหรอื ส่ือการสอนท่ีอำนวยความสะดวกในการเรยี นรู้
25. ครูโตต้ อบกับนักเรยี นด้วยความพงึ พอใจ
26. ครอู อกแบบเนื้อหาและพฒั นาหลักสูตรเพ่ือสง่ เสรมิ การไดม้ าซ่ึงความสามารถทางวชิ าชพี
27. ครูใช้เกณฑ์การประเมนิ ของกจิ กรรมตามท่ีกำหนดไวใ้ นหลักสตู รวิชา

หากทา่ นต้องการศกึ ษาจากตน้ ฉบับภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดไู ดจ้ ากเวบ็ ไซตข์ า้ งลา่ งนี้
https://doi.org/10.7821/naer.2015.1.106

132

Ryan and Cox (2016) โ ด ย Ryan แ ล ะ Cox ท ำ ง า น ท ี ่ Education Development
Center, Inc. ได้ร่วมมอื กับ The Northeast College and Career Readiness Research Alliance
ได้จัดทำ แนวทางในการสำรวจนักเรียนในการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Guide to the
Competency-based Learning Survey for Students) มีข้อคำถาม แบบมาตรวัด 5 ระดับ คือ
Strongly Disagree, Disagree, Neither Agree Nor Disagree, Agree, Strongly Agree ดังนี้

ความเช่อื และความเข้าใจ (Student Beliefs and Understanding)
1. ข้อกำหนดในการสำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนของฉันจะจัดเตรียมให้ฉันซึ่งสิ่งที่ฉันอยากจะ

ทำหลงั จากจบมัธยมปลาย
2. นักเรียนควรได้รับโอกาสมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้เรียนรู้เนื้อหา

หลกั สูตรท่ีมีความสำคญั หรอื ไม่
3. นักเรียนควรได้รับโอกาสในการสอบหรอื การทดสอบมากกวา่ หนง่ึ คร้งั
4. การบ้านนน้ั มีความสำคญั โดยต้องทำให้เสร็จแม้ว่าจะไม่ไดใ้ ห้คะแนนกต็ าม
5. หากนักเรียนสองคนในหลักสูตรเดียวกันทำงานที่ได้รับมอบหมายประเภทที่มีความ

แตกต่างกนั เสร็จ พวกเขาควรมีโอกาสไดร้ ับเกรดหรือผลการเรียนเดียวกันในหลกั สตู ร
6. ผลการเรียนหรือเกรดเป็นผลสะทอ้ นทดี่ ีของส่ิงที่ไดเ้ รยี นรู้
7. ส่วนใหญ่จะรู้วา่ เกรดหรือผลการเรียนจากหลักสูตรของฉันหมายถึงอะไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง

วทิ ยาลัยส่วนใหญจ่ ะรวู้ ธิ ีประเมนิ ผลการเรยี นที่ฉันไดร้ ับในหลักสตู รทเี่ รยี นทโี่ รงเรียน
การแสดงออกถงึ ความรอบรู้ (Progression Through Demonstration of Mastery)
นกั เรียนมีความก้าวหน้าในการเรยี นรูอ้ ย่างไร
1. ฉันรู้สง่ิ ทฉ่ี ันต้องทำเพอ่ื แสดงใหค้ รเู ห็นวา่ ฉนั กำลังก้าวหนา้ ในแต่ละสมรรถนะ
2. ฉันต้องแสดงให้ครูเห็นว่าฉนั เชี่ยวชาญในสมรรถนะแตล่ ะอยา่ งแล้วจงึ จะสามารถก้าวไปสู่

สมรรถนะต่อไป
3. ฉันสามารถก้าวไปสู่สมรรถนะต่อไปเมื่อฉันพร้อม แม้ว่านักเรียนคนอื่นในหลักสูตรจะไม่

พร้อม
4. นกั เรยี นในหลกั สูตรของฉันเรยี นและฝึกสมรรถนะเดยี วกนั
สิง่ ท่ีเกดิ ข้ึนดังตอ่ ไปนเี้ กดิ ขึน้ บ่อยแค่ไหนในหลักสูตรของคณุ ท่โี รงเรียน

133

1. ฉันเข้าใจวา่ สมรรถนะในหลักสตู รของฉันจะชว่ ยฉันไดอ้ ย่างไรในอนาคต
2. ครูของฉันแบ่งปันตัวอยา่ งผลงานที่ยอดเยยี่ มในแต่ละสมรรถนะ
3. ครูของฉันแจ้งให้ฉันทราบว่างานของฉันจะได้รับการประเมินหรือให้คะแนนในสมรรถนะ

แต่ละสมรรถนะอยา่ งไร
4. ครูของฉันให้เกณฑ์คะแนนแก่ฉันเพื่อที่ฉันจะได้รู้ว่าฉันก้าวหน้าไปในแต่ละสมรรถนะ

อย่างไร
ความมีลักษณะเฉพาะตวั (Personalization)
จากแตล่ ะตวั เลอื กดังตอ่ ไปนี้ หลักสูตรของคุณเป็นจริงตามนก้ี ีข่ อ้
1. ฉนั สามารถทำตามข้อกำหนดของหลกั สตู รบางส่วนหรอื ทัง้ หมดทางออนไลน์ได้
2. ถ้าฉันทำโครงงานทไี่ ม่ได้รับมอบหมายท่โี รงเรียนแตเ่ กี่ยวข้องกบั หลักสตู รทฉ่ี ันเรยี น ฉันจะ

ไดร้ บั หน่วยกิตสำหรับโครงการน้นั ในหลักสูตรน้ัน
3. ฉันสามารถรบั หน่วยกติ จากการเรียนในโรงเรยี นมัธยมอื่นได้
4. ฉนั สามารถรับหน่วยกิตจากการเรียนในวทิ ยาลัยได้ (เช่น “หลกั สตู รสองหน่วยกิต”)
5. ฉนั สามารถรบั หน่วยกิตจากการฝกึ งานหรือฝึกอบรมแบบ job-shadowing ในชมุ ชนได้
สง่ิ น้เี กดิ ข้ึนในหลกั สตู รที่โรงเรียนบ่อยแคไ่ หน
1. นักเรยี นในหลกั สูตรของฉนั ทุกคนทำงานที่ได้รบั มอบหมายแบบเดียวกันในเวลาเดียวกัน
2. ครขู องฉันใช้เวลาสว่ นใหญใ่ นช้นั เรยี นบรรยายหรอื นำเสนอให้กบั คนทัง้ ชั้นเรียนชม
3. ครูของฉันทำงานกบั นกั เรยี นในกล่มุ เล็กหรอื เป็นรายบุคคล
4. ครขู องฉนั สงั เกตว่าฉนั ต้องการความช่วยเหลอื เพมิ่ เติมหรือไม่
5. ครูของฉันมีวิธีการสอนด้านเนื้อหาและสื่อการสอนในหลายๆ แบบหลายๆ วิธีเพื่อช่วย

นกั เรยี นในการเรียนรู้
เหตกุ ารณเ์ หลา่ นเี้ กิดขึน้ บ่อยแคไ่ หนในระหวา่ งภาคการศกึ ษาปัจจุบนั
1. ครูหรือที่ปรึกษา/ผู้ให้คำแนะนำของฉันพูดคุยกับฉันว่าฉันจะเรียนอย่างไรในแต่ละ

สมรรถนะ
2. ครขู องฉนั ให้คำแนะนำหรือขอ้ มลู ยอ้ นกลบั เปน็ ลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับงานของฉัน
3. ฉนั มีโอกาสเลือกวิธแี สดงใหค้ รูเหน็ ว่าฉนั ไดเ้ รียนรอู้ ะไรบา้ ง
การประเมนิ ที่มีความยดื หยุ่น (Flexible Assessment)
เหตกุ ารณ์เหล่านเ้ี กิดขน้ึ บ่อยแคไ่ หนในระหวา่ งภาคการศกึ ษาปจั จบุ ัน
1. ฉนั ได้สรา้ งภาพวาดหรอื แบบจำลองเพอื่ แสดงถงึ สงิ่ ทีฉ่ นั ไดเ้ รยี นรู้
2. ฉนั ไดท้ ำข้อสอบหรือแบบทดสอบเพื่อแสดงถึงสิ่งท่ฉี นั ได้เรียนรู้
3. ฉนั ได้แสดงส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้ (เช่น การแสดงในวิดีโอหรือละคร/การเลน่ การเลน่ เครอื่ งดนตรี)

134

4. ฉันไดน้ ำเสนอในสิ่งทไ่ี ด้เรยี นรู้
5. ฉนั ไดท้ ำโครงงานท่โี รงเรียนเสรจ็ แลว้ เพอื่ แสดงถึงสงิ่ ทฉ่ี ันไดเ้ รียนรู้
6. ฉันไดท้ ำโครงงานในชมุ ชนเสรจ็ แล้วเพ่อื แสดงถึงสิ่งทีฉ่ นั ไดเ้ รยี นรู้
สิง่ เหล่านเ้ี กดิ ขนึ้ บ่อยแค่ไหนในหลกั สตู รที่คุณกำลังศึกษา
1. ถ้าฉนั ทำการประเมินไดไ้ ม่ดใี นการพยายามครั้งแรก ฉนั สามารถทำอกี ครง้ั ในภายหลังได้
2. เพือ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ฉันเชี่ยวชาญในหลักสตู รสมรรถนะ ฉนั ต้องแสดงการเรยี นรู้ของฉันด้วย

วธิ มี ากกว่าหน่งึ วิธี
การพัฒน าทักษะแ ล ะลั ก ษณ ะค วา มสา มา รถ (Development of Skills and
Dispositions)
สง่ิ เหลา่ นเี้ กดิ ขน้ึ บ่อยแค่ไหนในหลักสตู รที่คุณกำลงั ศึกษา
1. ครสู ่งเสริมให้นักเรียนเคารพความร้สู ึกของผูอ้ ื่น
2. ครแู สดงหรอื อธิบายใหน้ กั เรยี นปฏบิ ตั ติ ่อกนั ดว้ ยความเคารพ
3. ครอู ธบิ ายให้นกั เรยี นฟงั ถึงวธิ กี ารแสดงการไมเ่ หน็ ดว้ ยหรือโตแ้ ย้งด้วยเคารพซึ่งกนั และกนั
4. เมื่อฉันมีปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ครูของฉันจะให้คำแนะนำและกลวิธีที่ช่วยให้ฉัน

พยายามต่อไป
5. ครูของฉนั สงั เกตได้ เม่ือฉันใชเ้ วลาและความพยายามเปน็ พเิ ศษกบั บางสง่ิ ท่ียากสำหรับฉนั
6. หากฉันได้คะแนนต่ำในการประเมิน ครูของฉันจะช่วยฉันคิดและแก้ปัญหาว่าฉันจะยังทำ

มนั ไดด้ ีในช้ันเรียนได้อยา่ งไร
สง่ิ เหล่าน้เี กิดขึ้นบ่อยแคไ่ หนในหลกั สตู รที่คุณกำลังศึกษา
1. ครูแสดงหรืออธิบายกลยุทธ์ทนี่ กั เรยี นสามารถใช้เพ่ือตดิ ตามความกา้ วหน้าของตนในแต่ละ

สมรรถนะ
2. ครูแสดงหรืออธบิ ายกลวิธีต่างๆ ทนี่ กั เรยี นสามารถใช้เพื่อทำงานท่ีได้รบั มอบหมายและการ

ประเมนิ ทั้งหมดให้สำเรจ็ ตามกำหนดเวลา
3. ครูสนับสนนุ ใหน้ กั เรียนมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ งานของตน
4. ฉนั รขู้ ้นั ตอนท่ีต้องทำในตอนทีเ่ รียนอยูช่ ้นั มัธยมเพอ่ื เตรยี มความพร้อมสำหรับสง่ิ ท่ีอยากทำ

หลังจากเรียนจบ
5. ถ้าฉนั ต้องการขอ้ มลู ที่ฉนั ไมม่ ีเพือ่ ทำงานให้เสร็จ ฉนั รู้วา่ จะไปหาข้อมูลนน้ั ได้จากทไ่ี หน
6. ถ้ามันยากสำหรับฉันที่จะทำงานให้เสร็จด้วยตัวเอง ฉันรู้กลยุทธ์ที่ฉันสามารถใช้เพื่อจะได้

ทำงานเสรจ็ ทนั เวลา
7. ครแู สดงหรืออธิบายกลยทุ ธท์ ีน่ ักเรียนสามารถใช้เพ่อื ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกันในการเรยี นรู้

135
8. ครูแสดงหรืออธิบายกลยุทธ์ที่นักเรียนสามารถใช้เพื่อทำงานให้สำเร็จโดยทำร่วมกันเป็น

กล่มุ
9. ครูส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นช่วยเหลอื กนั นอกหอ้ งเรยี น

หากท่านตอ้ งการศกึ ษาจากตน้ ฉบบั ภาษาอังกฤษ โปรด “คลิก” ดูได้จากเว็บไซตข์ ้างลา่ งนี้
https://nces.ed.gov/pubsearch/pubsinfo.asp?pubid=REL2016165

136

สรุป แนวการประเมินการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Assessment of
Competency-Based Learning) จ า ก ท ั ศ น ะ ข อ ง Baughmand (2012), Moreno-Murcia,
Torregrosa & Pedreno (2015), และ Ryan and Cox (2016) ดงั กลา่ วขา้ งตน้ มกี รอบการประเมิน
5 ด้าน และแตล่ ะดา้ นมีขอ้ คำถามดงั นี้

ความเชื่อและความเข้าใจของนักเรียน (Student Beliefs and Understanding) มีข้อ
คำถาม ดังนี้

˗ ข้อกำหนดในการสำเร็จการศึกษาที่โรงเรียนของฉันจะจัดเตรียมให้ฉันซึ่งสิ่งที่ฉันอยากจะ
ทำหลงั จากจบมธั ยมปลาย

˗ นักเรียนควรได้รับโอกาสมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้เรียนรู้เนื้อหา
หลกั สตู รทม่ี คี วามสำคัญหรือไม่

˗ นกั เรียนควรไดร้ บั โอกาสในการสอบหรือการทดสอบมากกวา่ หน่งึ ครงั้
˗ การบ้านน้นั มีความสำคญั โดยตอ้ งทำใหเ้ สร็จแม้วา่ จะไมไ่ ดใ้ ห้คะแนนกต็ าม
˗ หากนกั เรยี นสองคนในหลกั สูตรเดยี วกนั ทำงานท่ีได้รบั มอบหมายประเภทที่มีความแตกต่าง

กนั เสร็จ พวกเขาควรมโี อกาสได้รบั เกรดหรอื ผลการเรยี นเดยี วกนั ในหลักสตู ร
˗ ผลการเรียนหรอื เกรดเป็นผลสะทอ้ นทด่ี ขี องส่งิ ที่ได้เรียนรู้
˗ ส่วนใหญ่จะรู้ว่าเกรดหรือผลการเรียนจากหลักสูตรของฉันหมายถึงอะไร กล่าวอีกนัยหน่ึง

วิทยาลัยส่วนใหญจ่ ะรวู้ ิธีประเมินผลการเรียนที่ฉนั ไดร้ บั ในหลักสูตรทเี่ รียนทโี่ รงเรียน
˗ จดั ระเบียบการสือ่ สาร - ชี้แจงวตั ถปุ ระสงค์และความสำคัญ เน้นประเด็นสำคัญ สอดคล้อง

เป็นไปตามกับตรรกะ
˗ รักษาความสนใจของผูช้ ม - ทำให้ผชู้ มมสี ่วนรว่ มโดยใช้เทคนิคต่างๆ เชน่ การเปรียบเทียบ

ภาพประกอบ ภาษากาย และการผนั เสยี ง
˗ ปรบั ใหเ้ ข้ากบั ผู้ชม - ร่างขอ้ ความทส่ี อดคล้องกับประสบการณ์ของผชู้ ม ภูมิหลัง และความ

คาดหวัง ใช้คำศัพท์ ตัวอยา่ ง และการเปรียบเทยี บทีม่ คี วามหมายต่อผ้ฟู ัง

137

˗ ทำให้มั่นใจว่ามีความเข้าใจ - แสวงหาข้อมูลจากผู้ฟัง ตรวจสอบความเข้าใจ; นำเสนอ
ข้อความในรปู แบบตา่ งๆ เพอ่ื เสรมิ ความเขา้ ใจ

˗ ยึดมั่นปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนท่ีไดร้ ับการยอมรบั - ใช้วากยสมั พันธ์ ฝีเท้า ระดับเสียง
พจน์ และกลไกที่เหมาะสมกับสอื่ ทใ่ี ช้

˗ เข้าใจการสื่อสารจากผู้อื่น - เข้าร่วมฟังข้อความจากผู้อื่น ตีความข้อความและตอบกลับ
อยา่ งถกู ตอ้ ง

ก้าวหน้าโดยผ่านการสาธิตความเชี่ยวชาญ (Progression Through Demonstration
of Mastery) มขี ้อคำถาม ดังน้ี

นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรยี นรู้อยา่ งไร
˗ ฉนั รสู้ ิง่ ทฉี่ นั ต้องทำเพอ่ื แสดงให้ครูเหน็ ว่าฉนั กำลงั ก้าวหน้าในแต่ละสมรรถนะ
˗ ฉันต้องแสดงให้ครูเห็นว่าฉันเชี่ยวชาญในสมรรถนะแต่ละอย่างแล้วจึงจะสามารถก้าวไปสู่

สมรรถนะต่อไป
˗ ฉันสามารถก้าวไปสู่สมรรถนะต่อไปเมื่อฉันพร้อม แม้ว่านักเรียนคนอื่นในหลักสูตรจะไม่

พรอ้ ม
˗ นักเรยี นในหลกั สูตรของฉนั เรยี นและฝกึ สมรรถนะเดียวกัน
สง่ิ ที่เกดิ ข้นึ ดังตอ่ ไปนเ้ี กิดขึ้นบอ่ ยแค่ไหนในหลกั สูตรของคณุ ทีโ่ รงเรียน
˗ ฉนั เขา้ ใจวา่ สมรรถนะในหลกั สตู รของฉนั จะชว่ ยฉันได้อย่างไรในอนาคต
˗ ครูของฉันแบง่ ปันตวั อย่างผลงานท่ยี อดเยีย่ มในแตล่ ะสมรรถนะ
˗ ครูของฉันแจ้งให้ฉันทราบว่างานของฉันจะได้รับการประเมินหรือให้คะแนนในสมรรถนะ

แตล่ ะสมรรถนะอยา่ งไร
˗ ครูของฉันให้เกณฑ์คะแนนแก่ฉันเพื่อที่ฉันจะได้รู้ว่าฉันก้าวหน้าไปในแต่ละสมรรถนะ

อยา่ งไร
˗ ครแู จ้งให้นกั เรียนทราบถงึ สมรรถนะท่คี าดวา่ จะไดร้ บั
˗ ครูให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แก่นักเรียน ซึ่งช่วยให้นักรียนเข้าใจเนื้อหาสาระได้ดีขึ้นและ

ลกึ ซึ้งขนึ้
การปรับเปลีย่ นใหเ้ ป็นลกั ษณะของคณุ (Personalization) มีขอ้ คำถาม ดงั น้ี
จากแตล่ ะตัวเลือกดงั ตอ่ ไปน้ี หลักสตู รของคณุ เปน็ จรงิ ตามนีก้ ีข่ อ้
˗ ฉันสามารถทำตามขอ้ กำหนดของหลกั สูตรบางส่วนหรือทงั้ หมดทางออนไลนไ์ ด้
˗ ถ้าฉันทำโครงงานที่ไม่ได้รับมอบหมายทีโ่ รงเรียนแต่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรทีฉ่ ันเรียน ฉันจะ

ไดร้ ับหน่วยกิตสำหรับโครงการนนั้ ในหลักสูตรนั้น

138

˗ ฉนั สามารถรับหน่วยกติ จากการเรยี นในโรงเรยี นมธั ยมอน่ื ได้
˗ ฉนั สามารถรับหน่วยกิตจากการเรยี นในวิทยาลัยได้ (เชน่ “หลกั สตู รสองหนว่ ยกติ ”)
˗ ฉันสามารถรบั หนว่ ยกิตจากการฝึกงานหรือฝกึ อบรมแบบ job-shadowing ในชุมชนได้
ส่งิ น้เี กดิ ขน้ึ ในหลักสตู รทีโ่ รงเรียนบอ่ ยแคไ่ หน
˗ นักเรยี นในหลกั สูตรของฉนั ทุกคนทำงานทไี่ ดร้ ับมอบหมายแบบเดียวกนั ในเวลาเดยี วกัน
˗ ครูของฉันใช้เวลาส่วนใหญใ่ นชน้ั เรียนบรรยายหรือนำเสนอให้กับคนทั้งชัน้ เรียนชม
˗ ครขู องฉนั ทำงานกับนกั เรยี นในกลุม่ เลก็ หรือเปน็ รายบุคคล
˗ ครูของฉันสงั เกตว่าฉันต้องการความชว่ ยเหลือเพ่มิ เติมหรือไม่
˗ ครูของฉันมีวิธีการสอนด้านเนื้อหาและสื่อการสอนในหลายๆ แบบหลายๆ วิธีเพื่อช่วย

นกั เรยี นในการเรยี นรู้
เหตกุ ารณ์เหลา่ น้ีเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหนในระหว่างภาคการศกึ ษาปัจจบุ นั
˗ ครูหรือที่ปรึกษา/ผู้ให้คำแนะนำของฉันพูดคุยกับฉันว่าฉันจะเรียนอย่างไรในแต่ละ

สมรรถนะ
˗ ครขู องฉนั ใหค้ ำแนะนำหรอื ขอ้ มูลย้อนกลบั เป็นลายลกั ษณ์อักษรเกีย่ วกบั งานของฉัน
˗ ฉนั มีโอกาสเลือกวิธีแสดงให้ครูเหน็ วา่ ฉันไดเ้ รยี นรูอ้ ะไรบ้าง
˗ ครนู ำเสนอเนื้อหาตามกรอบงานที่ชัดเจนและมคี วามสมเหตสุ มผล เนน้ ประเดน็ สำคญั
˗ ครอู นญุ าตและสนบั สนุนให้นกั เรยี นมีสว่ นร่วม
˗ ครอู ำนวยความสะดวกในการปฏิสัมพันธร์ ะหว่างนักเรียนกบั นักเรียนและนักเรยี นกับครู
˗ ครูเข้ารว่ มและตอบคำถามท่ีถามในชน้ั เรียนอย่างชดั เจน
˗ ครูเขา้ เรยี นอยา่ งเพยี งพอในบทเรียนทค่ี รูต้องมีความรู้
˗ ครรู ักษาวัตถปุ ระสงคแ์ ละมคี วามเคารพต่อนกั เรยี น
การประเมินท่ีมคี วามยืดหยุน่ (Flexible Assessment) มีขอ้ คำถาม ดงั น้ี
เหตุการณ์เหลา่ นเ้ี กดิ ขน้ึ บ่อยแค่ไหนในระหวา่ งภาคการศกึ ษาปัจจุบนั
˗ ฉันได้สร้างภาพวาดหรอื แบบจำลองเพ่อื แสดงถงึ สิ่งที่ฉันไดเ้ รียนรู้
˗ ฉนั ไดท้ ำขอ้ สอบหรอื แบบทดสอบเพ่ือแสดงถงึ สง่ิ ท่ีฉันได้เรียนรู้
˗ ฉนั ไดแ้ สดงส่งิ ท่ีไดเ้ รียนรู้ (เชน่ การแสดงในวิดีโอหรือละคร/การเล่น การเลน่ เคร่อื งดนตรี)
˗ ฉนั ไดน้ ำเสนอในส่งิ ท่ไี ดเ้ รยี นรู้
˗ ฉนั ได้ทำโครงงานที่โรงเรยี นเสรจ็ แล้วเพ่ือแสดงถงึ สิ่งทฉ่ี ันได้เรียนรู้
˗ ฉันไดท้ ำโครงงานในชุมชนเสร็จแลว้ เพื่อแสดงภุงสงิ่ ท่ีฉนั ไดเ้ รียนรู้
สิง่ เหลา่ น้ีเกดิ ขน้ึ บอ่ ยแค่ไหนในหลกั สตู รทีค่ ุณกำลงั ศึกษา

139

˗ ถ้าฉนั ทำการประเมินได้ไม่ดใี นการพยายามครัง้ แรก ฉันสามารถทำอีกครง้ั ในภายหลงั ได้
˗ เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันเชี่ยวชาญในหลักสูตรสมรรถนะ ฉันต้องแสดงการเรยี นรู้ของฉันด้วย

วิธมี ากกว่าหนงึ่ วธิ ี
˗ ครูให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ รายชื่อเอกสารอ้างอิง แบบฝึกหัด เนื้อหา และ

วธิ ีการประเมนิ ในรายวชิ าของหลกั สตู ร
˗ ครูให้ภาพรวมเบือ้ งต้นและขน้ั สดุ ท้ายของภาคการศึกษาและ/หรือวชิ าในชนั้ เรยี น
˗ ครูจัดกจิ กรรมใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นร่วมในการมอบหมายงานในรายวิชา
˗ ครูออกแบบและเชอื่ มโยงเนอื้ หาในห้องเรยี นกบั เนอื้ หาในหอ้ งปฏิบัติการ
˗ ครรู วบรวมและใช้ ICTs (เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร) ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
˗ ครเู ป็นผอู้ อกคำสั่งและควบคมุ เนอ้ื หารายวชิ าได้ดี
˗ ครูใชเ้ กณฑก์ ารประเมินของกิจกรรมตามที่กำหนดไวใ้ นหลกั สูตรวิชา
ก า ร พ ั ฒ น า ทั ก ษ ะ แ ล ะ ล ัก ษ ณ ะ ค ว า ม ส า ม า ร ถ (Development of Skills and
Dispositions) มีข้อคำถาม ดังน้ี
ส่งิ เหล่าน้ีเกดิ ขนึ้ บอ่ ยแคไ่ หนในหลักสตู รทค่ี ณุ กำลังศึกษา
˗ ครสู ่งเสริมให้นกั เรยี นเคารพความรูส้ กึ ของผอู้ ่นื
˗ ครแู สดงหรืออธบิ ายให้นกั เรยี นปฏิบตั ติ ่อกันดว้ ยความเคารพ
˗ ครูอธิบายให้นักเรยี นฟงั ถงึ วธิ กี ารแสดงการไมเ่ ห็นด้วยหรือโต้แยง้ ด้วยเคารพซง่ึ กนั และกนั
˗ เมื่อฉันมีปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ครูของฉันจะให้คำแนะนำและกลวิธีที่ช่วยให้ฉัน

พยายามตอ่ ไป
˗ ครูของฉนั สงั เกตได้ เมอ่ื ฉนั ใชเ้ วลาและความพยายามเป็นพิเศษกบั บางส่งิ ท่ียากสำหรบั ฉัน
˗ หากฉันได้คะแนนต่ำในการประเมิน ครูของฉันจะช่วยฉันคิดและแก้ปัญหาว่าฉันจะยังทำ

มนั ได้ดใี นช้นั เรียนไดอ้ ยา่ งไร
˗ ครูแสดงหรืออธิบายกลยุทธ์ที่นักเรียนสามารถใช้เพื่อติดตามความก้าวหน้าของตนในแต่

ละสมรรถนะ
˗ ครูแสดงหรืออธิบายกลวิธีต่างๆ ที่นักเรียนสามารถใช้เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายและ

การประเมนิ ท้ังหมดให้สำเรจ็ ตามกำหนดเวลา
˗ ครูสนับสนุนให้นักเรียนมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ งานของตน
˗ ฉันรู้ขั้นตอนที่ต้องทำในตอนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสิ่งที่อยาก

ทำหลงั จากเรยี นจบ
˗ ถา้ ฉันต้องการขอ้ มูลทฉ่ี นั ไมม่ ีเพ่อื ทำงานใหเ้ สร็จ ฉนั รู้ว่าจะไปหาข้อมูลนัน้ ได้จากที่ไหน

140

˗ ถ้ามันยากสำหรับฉันท่ีจะทำงานให้เสรจ็ ด้วยตัวเอง ฉันรู้กลยุทธ์ท่ีฉันสามารถใช้เพื่อจะได้
ทำงานเสร็จทนั เวลา

˗ ครูแสดงหรืออธิบายกลยทุ ธ์ทน่ี ักเรียนสามารถใช้เพอ่ื ชว่ ยเหลอื ซ่งึ กันและกันในการเรยี นรู้
˗ ครูแสดงหรืออธิบายกลยุทธ์ที่นักเรียนสามารถใช้เพื่อทำงานให้สำเร็จโดยทำร่วมกันเป็น

กลมุ่
˗ ครูส่งเสรมิ การทำงานเดยี่ วหรือทำเปน็ รายบคุ คล
˗ ครสู ง่ เสริมการทำงานเปน็ ทีมและความสามคั คใี นกลุ่ม
˗ ครูสง่ เสรมิ ให้นักเรียนชว่ ยเหลือกนั นอกหอ้ งเรียน
˗ ครูอนุญาตให้นักเรียนจัดระเบียบและแจกจ่ายส่วนของงานที่จะต้องทำในหลักสูตรให้แก่

นกั เรยี น
˗ ครูเชือ่ มโยงการสอนใหเ้ ข้าและสอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มทางวชิ าชีพ
˗ ครสู ่งเสรมิ ความสนใจและแรงจงู ใจของนกั เรยี นในการเรยี นรู้
˗ ครูส่งเสรมิ การวิจัยและการคดิ เชงิ วิพากษ์ของนกั เรียน
˗ ครผู สมผสานเนื้อหาสาระรายวชิ าท่ีกำลังศึกษากบั รายวิชาอ่ืนๆ
˗ ครใู ช้หลกั สตู รท่กี ำหนดขึ้นโดยมีความยืดหยนุ่ ในระดับหน่ึงเพ่ือให้มีแรงกระตุ้นในชั้นเรียน

ท่ดี ีข้ึน
˗ ครใู ช้ทรพั ยากรการสอนหรือสอ่ื การสอนท่อี ำนวยความสะดวกในการเรียนรู้
˗ ครูโตต้ อบกบั นกั เรยี นดว้ ยความพงึ พอใจ
˗ ครูออกแบบเนอ้ื หาและพฒั นาหลักสตู รเพื่อส่งเสรมิ การไดม้ าซึ่งความสามารถทางวิชาชพี
˗ กำหนดความต้องการในการเรียนรู้ - แสวงหาและใช้ข้อเสนอแนะและแหล่งข้อมูลอื่น ๆ

เพ่ือระบุพนื้ ที่ทเี่ หมาะสมสำหรับการเรียนรู้
˗ แสวงหากิจกรรมการเรียนรู้ - ระบุและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม (เช่น

หลักสูตร การอ่าน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การฝึกสอน และการเรียนรู้จากประสบการณ์)
ที่ชว่ ยตอบสนองความตอ้ งการในการเรียนรู้อย่างเตม็ ที่
˗ เพิ่มการเรียนรู้ขน้ั สงู สดุ - มีสว่ นร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะท่ีทำให้
ประสบการณ์ในการเรียนรู้เกิดประโยชน์สูงสุด (เช่น จดบันทึก ถามคำถาม วิเคราะห์
ข้อมูลอยา่ งมวี ิจารณญาณ ทำงานทจี่ ำเป็น)
˗ ประยุกต์ความรู้หรือทักษะ - นำความรู้ ความเข้าใจ หรือทักษะใหม่ ๆ ไปใช้จริงในงาน
ต่อยอดการเรียนรผู้ า่ นการลองผดิ ลองถูก

141

˗ รับความเสี่ยงในการเรียนรู้ - พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยหรืออึดอัดเพื่อ
เรียนรู้ ถามคำถามท่อี าจดเู หมอื นโงเ่ ขลา รับงานทท่ี า้ ทายหรอื ไม่คนุ้ เคย

˗ ทำให้ง่ายขึ้นในการบรรลุเป้าหมาย - เสนอแนะขั้นตอนหรือกระบวนการเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายของทีมหรือการปฏิบัติหน้าที่ของทีม จัดหาทรัพยากรที่จำเป็นหรือช่วยขจัด
อุปสรรคเพ่อื ช่วยให้ทมี บรรลุเปา้ หมาย

˗ แจ้งผอู้ ่ืนในทีม - แบง่ ปนั ขอ้ มลู สำคญั หรือมีความเกย่ี วข้องกับทมี
˗ เกี่ยวข้องกบั ผอู้ ่นื - รับฟังและมีส่วนรว่ มอยา่ งเตม็ ท่กี ับผู้อ่นื ในการตัดสินใจและการกระทำ

ของทมี คณุ ค่าและใชค้ วามแตกตา่ งและความสามารถสว่ นบุคคล
˗ โมเดลโครงสร้างความมุ่งมั่น - เป็นไปตามความคาดหวังและแนวทางปฏิบัติของทีม เติม

เตม็ ความรับผิดชอบของทมี แสดงให้เห็นถงึ ความมุ่งมนั่ สว่ นตวั ต่อทมี

จากนานาทศั นะเกี่ยวกบั การประเมินการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน ดังกล่าวข้างต้น
ท่านเห็นว่า มีแนวคิด (Concept) หรือมีองค์ประกอบ (Element) อะไรที่อธิบายถึงนิยามดังกล่าวได้
อย่างกระชับและชัดเจน

142

เอกสารอา้ งองิ

Baughman, J.A. (2012). Student professional development: competency-based
learning and assessment in an undergraduate industrial technology course.
Doctoral Dissertation, Industrial and Agricultural Technology Biorenewable
Resources and Technology, Iowa state University.

Moreno-Murcia, J.A., Torregrosa, Y.S., & Pedreno N.B. (2015, January). Questionnaire
evaluating teaching competencies in the university environment. Evaluation
of teaching competencies in the university. Journal of New Approaches in
Educational Research, 4(1), 54-61. https://doi.org/10.7821/naer.2015.1.106

Ryan, S. & Cox, J.D. (2016, August). Guide to the competency-based learning survey
for students. (REL 2016–165). Washington, DC: U.S. Department of Education,
Institute of Education Sciences, National Center for Education Evaluation and
Regional Assistance, Regional Educational Laboratory Northeast & Islands.
Retrieved July 4, 2021 from
https://nces.ed.gov/pubsearch/pubsinfo.asp?pubid=REL2016165

143

144

คมู่ ือเชงิ ปฏิบัติการ
โครงการครูนำผลการเรยี นรู้ส่กู ารฏิบตั ิในหอ้ งเรียน:

กรณีการเรยี นรู้แบบยดึ สมรรถนะเป็นฐาน

คำชแ้ี จง

คู่มือเชิงปฏิบัติการประกอบโครงการครูนำผลการเรียนรู้สู่การจัดการเรียนรู้แบบยึด
สมรรถนะเป็นฐานน้ี แบ่งออกเป็น 6 ส่วน คือ 1) ทบทวนประเด็นที่ได้จากโครงการพัฒนาเพื่อการ
เรียนรู้ของครู 2) ลักษณะที่แสดงถึงการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานที่คาดหวังให้เกิดขึ้นกับ
นักเรียน 3) ตัวอย่างภาพที่แสดงถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน 4) แบบ
ประเมินตนเองของครูถึงระดับการนำแนวการพัฒนาไปปฏิบัติ 5) แบบประเมินตนเองของครูถึงการ
เลือกรูปแบบขั้นตอนการพัฒนาไปปฏิบัติ และ 6) แบบสะท้อนผลจากการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะ
เปน็ ฐาน ดังนี้

1. ทบทวนประเด็นจากโครงการพัฒนาเพือ่ การเรียนรู้ของครู
− ลักษณะท่ีแสดงถงึ การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน
− แนวการพฒั นาการเรียนรูแ้ บบยดึ สมรรถนะเปน็ ฐาน
− ข้นั ตอนการพฒั นาการเรียนร้แู บบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน.

2. ลักษณะที่แสดงถึงการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานที่คาดหวังให้เกิดขึ้นกับ
นกั เรยี น

3. ตัวอย่างภาพท่ีแสดงถงึ การเรยี นรแู้ บบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน
4. แบบประเมินตนเองของครถู งึ ระดับการนำแนวการพฒั นาไปปฏบิ ตั ิ
5. แบบประเมนิ ตนเองของครถู ึงการเลอื กรปู แบบขั้นตอนการพฒั นาไปปฏบิ ตั ิ
6. แบบสะท้อนผลจากการเรยี นรแู้ บบยึดสมรรถนะเป็นฐาน

− ปจั จยั ที่สง่ ผลในทางบวกตอ่ การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน
− ปัญหาหรอื อปุ สรรคต่อการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน
− วธิ ีการทีใ่ ช้เพอื่ แกไ้ ขปญั หาหรอื อปุ สรรค
− บทเรียนทไ่ี ดร้ ับจากการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเปน็ ฐาน
− ข้อเสนอแนะเพอ่ื ให้การเรยี นรู้แบบยดึ สมรรถนะเป็นฐานบรรลุผลสำเรจ็ ยิ่งข้ึน

145

1. ทบทวนประเดน็ จากโครงการพัฒนาเพอ่ื การเรียนรู้ของครู

1.1 ลกั ษณะท่ีแสดงถึงการเรยี นรู้แบบยดึ สมรรถนะเป็นฐาน
1. เน้นท่คี วามเช่ียวชาญในผลลพั ธ์ทีส่ ามารถวดั ได้ของนักเรยี น
2. นักเรียนแสดงความเชยี่ วชาญในแตล่ ะสมรรถนะก่อนท่ีจะไปศึกษาสมรรถนะต่อไป
3. สื่อและเนื้อหาที่สอนเชื่อมโยงกับผลลัพธ์หรือความเชี่ยวชาญของกลุ่มทักษะที่มีการ
กำหนดไว้ล่วงหนา้
4. การวัดประเมินผลนั้นมีความสำคัญและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ในเชิงบวกสำหรับ
นักเรียน
5. นักเรียนได้รับการสนับสนุนที่แตกต่างกัน ในเวลาที่เหมาะสม มีทรัพยากรในการเรียนรู้ที่
จำเป็นในการกา้ วไปสู่เป้าหมาย
6. ไม่มขี อ้ จำกัดเรอ่ื งชวั่ โมงเรยี นเพือ่ ใช้ในการนับหนว่ ยกิต
7. ไม่จำกัดเรื่องเวลา และสถานที่ในการเรียนรู้ นักเรียนสามารถเรียนแต่ละวิชาให้ผ่านเร็ว
หรอื ชา้ ได้ นักเรยี นแตล่ ะคนกา้ วไปตามจงั หวะของตนเอง
8. กระบวนการเรยี นรู้และการประเมนิ ผลทีว่ ดั ได้
9. นักเรียนมีแผนร่างที่มีความชัดเจนและมีเครื่องมือที่จำเป็นในการก้าวไปสู่เปา้ หมายอย่าง
รวดเรว็
10. ผ้เู ขา้ ร่วมทกุ คนในกระบวนการเรียนรมู้ คี วามเขา้ ใจในเปา้ หมายและผลลัพธ์ของการเรียนรู้
11. นกั เรยี นแต่ละคนก้าวหนา้ ตามสมรรถนะและความสนใจของตนเอง
12. เนน้ นักเรียนเปน็ ศนู ยก์ ลางของการเรยี นรู้
13. กระบวนการเรยี นรู้และการประเมินผลท่ชี ดั เจน โปรง่ ใส วดั ได้
14. ให้อำนาจแก่นักเรียนในการที่นักเรียนจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จสมบูรณ์ของ
สมรรถนะของตน
15. ผู้ฝึกสอนหรือที่ปรึกษาจะแนะนำนักเรียนผ่านการเรียนรู้และการสนทนา ตั้งคำถาม
ปลายเปิด และนำนักเรยี นไปยังแหลง่ ขอ้ มูลตา่ งๆ ซ่งึ มคี วามหลากหลาย
16. เมื่อใช้เครดิตหรือหน่วยกิตเป็นหน่วยในการวัด นักเรียนจะได้รับเครดิตหรอื หน่วยกิตเมื่อ
นักเรยี นแสดงให้เห็นวา่ ได้บรรลุทักษะในกลมุ่ สมรรถนะบางอยา่ งในรายวชิ าหรอื สาขาวิชา
17. วิธีการประเมินมีความโปร่งใสและมีจุดประสงค์ บรรลุถึงความรู้และมีความเข้าใจ ทักษะ
ด้านการปฏิบัติ และสมรรถนะทางด้านความอารมณ์ซึ่งจะได้รับการประเมินอย่างเป็น
ระบบโดยมีมาตรฐานทชี่ ัดเจน
18. จดุ ประสงค์ทีช่ ัดเจนและสามารถวดั ผลได้ โดยไดแ้ จง้ ใหน้ ักเรยี นทราบอยา่ งชัดเจน

146

19. การประเมินนักเรียนเกี่ยวกับสมรรถนะที่วัดได้ ซึ่งหมายความว่าความเช่ียวชาญ ไม่เพียง
อาศัยความเข้าใจในเชิงทฤษฎีหรือเชิงแนวคิดของเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง
ความสามารถในการนำความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ในสภาพแวดล้อมในการปฏิบัติจริง
ด้วย

1.2 แนวการพฒั นาการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน

1. การกำหนดสมรรถนะ (Defining Competencies)
2. การออกแบบหลกั สตู รและแผนการเรียน (Course and Program Design)
3. การสนบั สนนุ ผ้เู รียน (Learner Support)
4. การประเมิน (Assessment)
5. แฟ้มผลงานดิจิตัล -สิ่งประดิษฐ์แห่งการเรียนรู้ (Digital Portfolios—Artifacts of

Learning)
6. บทบาทของเทคโนโลยี -ให้สิทธิอำนาจและการเปลี่ยนแปลง (Technology’s Role—

Empower and Innovate)
7. การจัดการห้องเรียนในสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐานส่วน

บุคคลนั้น ทำให้นักเรียนที่รู้สึกไว้วางใจและมีความเป็นเจ้าของในการเรียนรู้นั้นเป็น
นกั เรียนทม่ี งุ่ มัน่ และมปี ระสทิ ธผิ ลมากกวา่
8. ครูมีความยืดหยุ่นในการตอบสนองความต้องการของนักเรียนในรูปแบบที่สร้างสรรค์
และเหมาะสม
9. นทิ รรศการการเรยี นรู้ (Exhibitions of Learning)
10. การสะทอ้ นอภิปญั ญา (Metacognitive Reflection)
11. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (Rubrics)
12. ความเหน็ และทางเลือกของนกั เรียน (Student Voice and Choice)
13. การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ – การเปลี่ยนผ่านไปสู่การสอนด้วยความก้าวหน้าแบบ
สมรรถนะเป็นฐานอาจทำให้คุณต้องทำลายกระบวนทัศน์ของคุณเองเกี่ยวกับสิ่งทีค่ ุณรู้
และเชื่อว่าเป็นการศึกษา (Paradigm Shift - Transitioning to Teaching with
Competency-Based Progression May Require You to Break Your Own
Paradigm of What You Know and Believe Education to Be.)
14. โอกาส – ในชว่ งเวลาท่สี ง่ิ ต่างๆ ในการศึกษาเป็นอยา่ งอ่ืนท่ีไม่ใชแ่ บบดงั้ เดมิ – เปน็ เวลา
ที่สมบูรณ์แบบในการทดลองกบั การเรียนรู้แบบยึดสมรรถนะเป็นฐาน (Opportunities


Click to View FlipBook Version