กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 143 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 1.1.1 การพ่นสารฆ่าแมลงภายในและภายนอกโรงเก็บ การพ่นสารฆ่าแมลงในโรงเก็บ คือ การพ่นสารฆ่าแมลงไปบนพื้นหรือผนังของโรงเก็บ เพื่อให้มีสารพิษตกค้างของสารฆ่าแมลงในการกำจัดแมลงที่มีอยู่หรือหลบซ่อนอยู่ให้หมดไป รวมทั้งกำจัด แมลงที่จะเข้ามาในโรงเก็บในภายหลังด้วย สารฆ่าแมลงที่นำมาใช้ควรมีพิษตกค้างนานเพื่อจะได้ไม่ต้อง ทำการพ่นบ่อยครั้ง นอกจากการพ่นสารฆ่าแมลงไปบนพื้นหรือผนังของโรงเก็บแล้ว กรณีไซโลเก็บเมล็ด ก็ควรทำการฉีดพ่นสารฆ่าแมลงเช่นเดียวกัน (Empty-bin Sprays) ซึ่งการพ่นสารฆ่าแมลงในไซโล ควรทำการพ่นในไซโลเปล่าหรือพ่นในส่วนที่ทำความสะอาดยาก หรือในไซโลที่เคยมีการระบาดของแมลง การพ่นต้องทำหลังการทำความสะอาดไซโล และตรวจสอบความเรียบร้อยของไซโลก่อนการนำเมล็ดเข้าเก็บ รักษา และเขียนป้ายกำกับไว้ด้วย การพ่นสารฆ่าแมลงควรพ่นทั้งภายในและภายนอกของไซโล รวมถึงพื้นผิว บริเวณใกล้ๆ ท่อระบายอากาศ และอุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับไซโล ควรเน้นบริเวณที่เป็นรอยแตกรอยแยกและ พื้นที่ที่ยากต่อการทำความสะอาด ควรทำอย่างน้อยสองสัปดาห์ก่อนการเก็บเมล็ดพืช การพ่นสารฆ่าแมลง ในไซโลเป็นการกำจัดแมลงที่เหลือจากการทำความสะอาด ลดแมลงใหม่ที่จะเข้ามาในไซโลด้วย สารฆ่าแมลงที่สามารถนำมาใช้ในการพ่นโรงเก็บ ได้แก่ Pirimiphos-methyl, Malathion, Fenitrothion, Tetrachlorvinphos, Iodophenfos, Chlorpyrifos, Methacrifos, Phoxim, Permethrin และ Carbaryl สารฆ่าแมลงที่สามารถใช้ในการพ่นไซโลได้แก่ Storcide II (chlorpyrifos-methyl + deltamethrin), Storcide (chlorpyrifos-methyl + cyfluthrin), Tempo (cyfluthrin), Malathion, Reldan 4E (chlorpyrifos-methyl), Diacon II [(s)-methoprene], Bacillus thuringiensis (Bt) (Dipel, Biobit) อัตราการฉีดพ่น การฉีดพ่นสารฆ่าแมลงไปบนพื้นและผนังของโรงเก็บควรใช้น้ำยาผสม ซึ่งก็คือ สารฆ่าแมลงผสมกับน้ำ สำหรับพื้นผิวเรียบ เช่น โลหะ หรือเหล็ก ควรใช้อัตรา 2.5 ลิตรต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร สำหรับพื้นผิวธรรมดา เช่น ซีเมนต์ฉาบเรียบ ควรใช้อัตรา 5 ลิตรต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร แต่ถ้าพื้นผิวนั้น มีความโปร่งและหยาบ เช่น ผิวของซีเมนต์ที่ไม่ได้ฉาบเรียบ ต้องใช้น้ำยาผสมเพิ่มเป็น 10 ลิตรต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร พื้นที่ที่ทำการพ่นสารฆ่าแมลง การฉีดพ่นสารฆ่าแมลงบนฝาผนังควรพ่นให้สูงจากพื้นอย่างน้อย 6 ฟุต หรือ 1.8 เมตร และพ่นสารฆ่าแมลงจากขอบพื้นที่ติดผนังกว้างออกมาอีกอย่างน้อย 3 ฟุต หรือ 0.9 เมตร ส่วนการฉีดพ่นสารฆ่าแมลงบนพื้นควรพ่นติดผนัง อย่างไรก็ดีพื้นที่ที่ทำการพ่นสารฆ่าแมลง อาจปรับได้ตามความเหมาะสม แล้วแต่ว่าพื้นที่นั้นมีแมลงระบาดมากน้อยเพียงใด สารฆ่าแมลงที่นำมาใช้ พ่นพื้นและผนังของโรงเก็บ สามารถนำมาใช้กับไม้พาเลท (Pallet) ได้ ข้อควรระวังในการพ่นสาร คือ ควรพ่นสารฆ่าแมลงในห้องที่ว่างก่อนนำผลิตผลเกษตรเข้าไปเก็บ อย่างไรก็ดีหากจำเป็นต้องมีการพ่นสาร ฆ่าแมลงในขณะที่มีกระสอบหรือกองผลิตผลเกษตรกองอยู่ควรคลุมด้วยพลาสติกให้มิดชิดก่อน เพื่อกันไม่ให้ สารฆ่าแมลงกระเซ็นมาถูกผลิตผลเกษตร เพราะสารฆ่าแมลงบางชนิดอนุญาตให้ใช้ในการพ่นพื้นและฝาผนังได้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้กับผลิตผลเกษตรโดยตรง การพ่นสารฆ่าแมลงในโรงเก็บมีผลดีในการป้องกันและกำจัดแมลง และเป็นวิธีที่มีราคาถูก อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ยุ่งยาก เครื่องพ่นยาธรรมดาสามารถนำมาใช้ได้แต่ควรแยกเครื่องพ่น
144 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ยาที่พ่นสารในไร่หรือในนาออกจากเครื่องพ่นยาที่จะใช้กับโรงเก็บ เพราะสารฆ่าแมลงที่ใช้ในไร่นาและที่ใช้ใน โรงเก็บส่วนใหญ่เป็นสารฆ่าแมลงต่างชนิดกัน 1.1.2 การพ่นสารฆ่าแมลงบนกระสอบ การพ่นสารฆ่าแมลงบนกระสอบบรรจุผลิตผลเกษตร เป็นการพ่นเพื่อป้องกันและกำจัดแมลงรอบ นอกกระสอบ ซึ่งอาจพ่นหลังการรมยา เนื่องจากการรมยาด้วยสารรมจะไม่มีพิษตกค้างในการป้องกันหรือ กำจัดแมลงที่อาจเข้ามาใหม่ได้จึงควรพ่นสารฆ่าแมลงเมื่อจำเป็นต้องเก็บกระสอบผลิตผลเกษตรนั้นไว้อีก ระยะหนึ่ง สารฆ่าแมลงที่นำมาใช้ควรใช้ในอัตราที่ต่ำ อัตราทั่วไปที่แนะนำ คือ 0.5-1 กรัมเนื้อสารพิษต่อ ตารางเมตร โดยผสมน้ำยา 5 ลิตรต่อ 100 ตารางเมตร สำหรับสารฆ่าแมลงที่สามารถนำมาใช้ในการพ่น กระสอบได้ในปัจจุบันมี2 กลุ่ม คือ กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ได้แก่ Pirimiphos-methyl, Malathion, Fenitrothion, Tetrachlorvinphos และกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ ได้แก่ Permethrin และ Deltamethrin อัตราที่ใช้จะน้อยกว่าโดยใช้ในอัตรา 85-125 และ 7.5-15 มิลลิกรัมเนื้อสารพิษต่อตารางเมตร 1.1.3 การพ่นสารฆ่าแมลงบนกองเมล็ด เป็นการพ่นสารฆ่าแมลงลงบนผลิตผลเกษตรที่เก็บในไซโล โดยพ่นบริเวณด้านบนของไซโล หรือ พ่นสารฆ่าแมลงด้านบนของกองเมล็ดพืช (top dressing) เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของแมลง โดยเฉพาะ ผีเสื้อหรือด้วงที่เป็น primary pests และแมลงอื่น ๆ ที่เข้าทำลายผลิตผลเกษตรจากด้านบนของไซโลหรือ กองเมล็ดพืช วิธีการนี้สามารถทำได้ทันทีหลังจากใส่เมล็ดเต็มไซโลและปรับระดับผิวด้านบนแล้ว และต้อง ทำการพ่นสารฆ่าแมลงทุกครั้งที่มีการรบกวนพื้นผิวด้านบนของกอง แนะนำให้ใช้กับผลิตผลเกษตรที่ ต้องการเก็บรักษานาน ในพื้นผิวที่แมลงสามารถเข้าทำลายง่าย หรือในพื้นที่ ๆ มีประวัติการระบาดของ แมลง โดยวิธีการนี้ไม่สามารถกำจัดแมลงที่เข้าทำลายอยู่แล้วภายในกองได้และต้องใช้กับเมล็ดที่แห้งแล้ว ถ้าเมล็ดมีความชื้นสูงอุณหภูมิของเมล็ดก็จะสูงทำให้สารฆ่าแมลงที่ใช้เสื่อมประสิทธิภาพเร็วตามไปด้วย สารฆ่าแมลงที่ใช้ในการพ่นด้านบนกอง ได้แก่ Storcide II (chlorpyrifos-methyl + deltamethrin) ใช้กับธัญพืชขนาดเล็ก (ข้าว ข้าวบาร์เลย์ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง และข้าวสาลี) โดย Storcide II เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทดแทน Reldan 4E และ Storcide เป็นสารฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์กว้างสามารถควบคุม แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด Reldan 4E (chlorpyrifos-methyl) ใช้กับ ข้าว ข้าวบาร์เลย์ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง และข้าวสาลี แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการกำจัดมอดข้าวเปลือก Diacon II [(s)-methoprene] ใช้กับ ข้าว ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง ข้าวฟ่าง ทานตะวัน ข้าวสาลีและสินค้าอาหาร Diacon II เป็นสารฆ่าแมลงในกลุ่มควบคุมการเจริญเติบโตของแมลง (IGR) ในระยะตัวอ่อน ไม่สามารถใช้กำจัดตัวเต็มวัยได้ Actellic 5E (pirimiphos-methyl) ใช้กับ ธัญพืช ข้าวโพด และข้าวฟ่าง เป็นสารฆ่าแมลงที่มีกลิ่น ไม่รุนแรง ห้ามใช้กับเมล็ดพืชก่อนการนำไปอบที่อุณหภูมิสูงเพื่อลดความชื้น เนื่องจาก Actellic จะสูญเสีย ประสิทธิภาพเมื่อโดนความร้อนทำให้Actellic มีประสิทธิภาพในการกำจัดมอดข้าวเปลือกได้ต่ำ Pyrethrins + piperonyl butoxide ใช้กับ ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลีข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์และข้าวฟ่าง เป็นสารฆ่าแมลงที่สลายตัวอย่างรวดเร็ว และให้ผลในการควบคุมการเข้าทำลายของแมลงได้ในระยะเวลาสั้น
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 145 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 6% Malathion Grain Dust (malathion) ใช้กับ ข้าว ข้าวสาลีข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์และ ข้าวบาร์เลย์ เฉพาะสูตรผงละเอียดสามารถใช้กับเมล็ดพันธุ์ได้เนื่องจากปัญหาความต้านทานของแมลงต่อ malathion และความกังวลเกี่ยวกับสารพิษตกค้างในแป้ง จึงไม่แนะนำให้ใช้โดยตรงกับผลิตผลเกษตรที่ใช้ บริโภค 1.1.4 การชุบสารฆ่าแมลงบนกระสอบหรือถุงผ้า วิธีนี้คือ การนำสารฆ่าแมลงมาผสมน้ำทำให้เจือจาง แล้วจึงนำกระสอบหรือถุงผ้าจุ่มลงในสารผสม นำขึ้นมาผึ่งให้แห้งในร่มก่อนนำไปบรรจุผลิตผลเกษตร วิธีนี้จะเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงเพราะต้องใช้สารฆ่า แมลงจำนวนมาก กระสอบเปื่อยเร็ว ควรใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ จึงจะมีประโยชน์สารฆ่าแมลงที่สามารถนำมา ใช้ชุบกระสอบได้คือ Pirimiphos-methyl, Phoxim และอาจใช้อัตราเดียวกับการพ่นกระสอบที่กล่าวมา แล้วข้างต้น 1.1.5 การพ่นสารฆ่าแมลงในที่ว่าง (การพ่นแบบหมอกควัน) การพ่นสารฆ่าแมลงในที่ว่างหรือในอากาศ คือ การที่สารฆ่าแมลงจะถูกปล่อยไปในอากาศในรูป ของไอระเหย การพ่นเป็นฝอยหรือละออง (mist) หมอก (fog) การป้องกันกำจัดด้วยวิธีการนี้โรงเก็บควรมี ลักษณะมิดชิด ประตูหน้าต่าง ตลอดจนช่องระบายอากาศควรปิดให้มิดชิด แต่ไม่จำเป็นต้องปิดให้สนิท เหมือนการรมยาด้วยสารรม การพ่นสารฆ่าแมลงในอากาศจะมีประโยชน์น้อยถ้าห้องหรือโรงเก็บที่ทำการพ่นสาร ฆ่าแมลงปิดไม่สนิท วิธีการนี้เหมาะสำหรับการป้องกันกำจัดแมลงที่บินได้เช่น ผีเสื้อ มอดแป้ง มอดข้าวเปลือก ด้วงงวง เป็นต้น การพ่นสารฆ่าแมลงให้มีประสิทธิภาพควรเลือกพ่นในระยะเวลาที่แมลงเริ่มบิน ผีเสื้อข้าวเปลือก ผีเสื้อข้าวสาร มักจะบินในช่วงบ่ายที่ใกล้ค่ำส่วนแมลงประเภทมอดและด้วงงวงจะเริ่มบินตั้งแต่บ่ายไปจน กระทั่งค่ำ มอดข้าวเปลือก ด้วงงวง และแมลงอีกหลายชนิดมักจะบินเมื่ออุณหภูมิอยู่ระหว่าง 31-32 º C สารฆ่าแมลงที่ใช้ได้แก่ Pirimiphos-methyl อัตรา 20 มิลลิลิตร, Deltamethrin (Deltacide) อัตรา 5 มิลลิลิตร ผสมน้ำมันโซล่า 100 มิลลิลิตร สำหรับพ่นในห้องที่บรรจุข้าวเปลือก 4 ตัน จะป้องกัน ผีเสื้อข้าวเปลือกได้นาน 4 เดือน การพ่นสารฆ่าแมลงในที่ว่างไม่เหมือนกับการรมยาด้วยสารรม เพราะสารฆ่าแมลงจะไม่แทรกซึมเข้าไปในกองกระสอบหรือในกองข้าว และจะมีประสิทธิภาพเฉพาะ กับแมลงที่บินมาสัมผัสไอพิษหรือควันพิษของสารฆ่าแมลงเท่านั้น 1.1.6 การคลุกเมล็ดพืชด้วยสารฆ่าแมลง การคลุกเมล็ดด้วยสารฆ่าแมลง คือ การนำสารฆ่าแมลงที่เจือจางมาคลุก ฉีด หรือพ่นผสมกับเมล็ด พืชโดยตรงเพื่อป้องกันกำจัดแมลง สารฆ่าแมลงที่นำมาใช้อาจอยู่ในรูปของน้ำ หรืออยู่ในรูปผงละลายน้ำ ซึ่งจะต้องนำมาละลายน้ำเพื่อให้เจือจางแล้วจึงนำมาใช้คลุกเมล็ด สารฆ่าแมลงที่ใช้ในการคลุกเมล็ดควรเป็น สารฆ่าแมลงที่มีพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ ถึงแม้ว่าการคลุกเมล็ดด้วยสารฆ่าแมลงจะทำไปเพื่อจุด ประสงค์ของการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์แต่เมล็ดพันธุ์ที่เหลือใช้บางครั้งเกษตรกรอาจนำไปเลี้ยงสัตว์หรือสีเพื่อ บริโภคในภายหลังสูง ดังนั้น สารฆ่าแมลงที่ใช้คลุกเมล็ดจึงต้องมีความปลอดภัย สารฆ่าแมลงชนิดที่นำมาใช้ คลุกเมล็ดควรเป็นสารฆ่าแมลงประเภทไพรีทรอยด์ไพรีทรอยด์สังเคราะห์ออร์กาโนฟอสเฟต หรือคาร์บาเมท สารฆ่าแมลงประเภทไพรีทรอยด์และไพรีทรอยด์สังเคราะห์ เช่น Pyrethrin, Bioresmetrin, Permethrin เป็นต้น สารฆ่าแมลงในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดมอดข้าวเปลือก ได้ดีกว่าสาร
146 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ฆ่าแมลงในกลุ่มอื่น สารฆ่าแมลงประเภทออร์กาโนฟอสเฟตที่สามารถนำมาใช้คลุกเมล็ดพันธุ์ และมี ประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดแมลงได้นานหลายเดือน ได้แก่ Pirimiphos-methyl, Fenitrothion และ Etrimphos สารฆ่าแมลงในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด ผีเสื้อข้าวเปลือก ด้วงงวง และมอด ชนิดอื่น ๆ ได้ดีกว่าสารฆ่าแมลงในกลุ่มอื่น สารฆ่าแมลงประเภทคาร์บาเมทที่นำมาคลุกเมล็ดพันธุ์ ได้แก่ Carbaryl (Sevin) ซึ่งเป็นสารฆ่าแมลงที่มีLD50ทางปากและทางผิวหนังต่ำกว่าสารฆ่าแมลงประเภทคาร์บาเมท ชนิดอื่น และค่อนข้างคงทนเมื่อนำมาคลุกเมล็ดจะป้องกันกำจัดแมลงได้นานหลายเดือน สารฆ่าแมลงชนิดนี้ อยู่ในรูปของผงละลายน้ำ ต้องนำผงของสารฆ่าแมลงมาละลายน้ำให้เจือจางลงแล้วจึงทำการคลุกกับเมล็ดพืช 1.2 การประเมินประสิทธิภาพของการพ่นสารฆ่าแมลง หลังการพ่นสารฆ่าแมลงแล้วถ้ายังพบว่ามีแมลงรอดชีวิต อาจเกิดเนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1. การพ่นสารฆ่าแมลงหรือคลุกเมล็ดไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ชนิดของสารฆ่าแมลงและอัตราการใช้ (Dose) ที่ไม่ถูกต้อง 2. สภาพการใช้สารฆ่าแมลงไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิต่ำ โรงเก็บสกปรก หรือเทคนิคการใช้ไม่ดีพอ 3. มีแมลงเข้ามาในโรงเก็บใหม่ 4. แมลงเริ่มสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง 1.3 การคำนวณปริมาณสารฆ่าแมลง สารฆ่าแมลงที่วางจำหน่ายมีหลายรูปแบบ หลายสูตร มักเป็นสารที่มีความเข้มข้นสูง ผู้ใช้ต้องนำมา ทำให้เจือจางตามความต้องการ ความเข้มข้นของสารฆ่าแมลงมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้น เช่น 50% หมายความว่า สารฆ่าแมลงชนิดนี้100 ส่วน ถ้าใช้หน่วยเป็นกรัม จะมีเนื้อสารพิษหรือสารออกฤทธิ์ (active ingredient) อยู่ 50 ส่วน หรือ 50 กรัม (g.a.i. คือ grams of active ingredient) แต่ถ้าในการพ่น สารต้องการความเข้มข้นเพียง 2% จำนวน 10 ลิตร ต้องนำมาคำนวณหาปริมาณสารฆ่าแมลงที่จะใช้ 1.3.1 วิธีคำนวณให้ได้ปริมาณสารออกฤทธิ์ที่ต้องการ มีดังนี้ ความเข้มข้นสารฆ่าแมลงที่ต้องการใช้X ปริมาณสารฆ่าแมลงที่ต้องการใช้= ปริมาณสารฆ่าแมลงตั้งต้น ความเข้มข้นสารฆ่าแมลงตั้งต้น ตัวอย่าง จะต้องใช้สารฆ่าแมลงที่มีสูตรความเข้มข้น 40% EC ปริมาณเท่าไร เพื่อเจือจางเป็นสาร ฆ่าแมลงที่ความเข้มข้น 2% จำนวน 10 ลิตร 2 X 10 = 0.5 ลิตร หรือ 500 มิลลิลิตร 40
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 147 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร สารฆ่าแมลงทั้งสูตรน้ำเข้มข้น (EC) หรือ สูตรผงละลายน้ำ (WP) ใช้วิธีการคำนวณเหมือนกัน แต่สูตรน้ำมีหน่วยเป็นลิตร ส่วนสูตรผงมีหน่วยกิโลกรัม สารฆ่าแมลงสูตรน้ำเข้มข้นสามารถละลายน้ำได้ง่าย ส่วนสูตรผงควรผสมน้ำในปริมาณที่น้อยก่อนเพื่อกวนให้ละลาย จากนั้นจึงเติมน้ำตามต้องการ น้ำยาที่ผสม แล้วควรใช้ให้หมดภายในครั้งเดียว เพราะน้ำยาที่ผสมแล้วจะสลายตัวได้รวดเร็ว 1.3.2 การคำนวณหาปริมาณสารฆ่าแมลงที่จะใช้ต่อพื้นที่ มีปัจจัยที่ต้องคำนวณ ดังนี้ 1. คำนวณหาพื้นที่ของโรงเก็บที่ต้องการพ่นสารฆ่าแมลง 2. คำนวณหาน้ำหนักของเนื้อสารฆ่าแมลงที่ต้องใช้ 3. คำนวณปริมาณสารฆ่าแมลงที่ต้องใช้ 1.3.3 การคำนวณพื้นที่ของโรงเก็บ ถ้าต้องการพ่นพื้นหรือฝาผนัง กรณีโรงเก็บเปล่า มีวิธีคำนวณดังนี้ พื้นที่ของพื้นโรงเก็บ = ความยาว X ความกว้าง หน่วย ตารางเมตร พื้นที่ของผนังด้านยาว 2 ด้าน = ความยาว X ความสูง X 2 หน่วย ตารางเมตร พื้นที่ของผนังด้านสั้น 2 ด้าน = ความยาว X ความสูง X 2 หน่วย ตารางเมตร การคำนวณหาปริมาตรของโรงเก็บ (กรณีSpace treatment) ปริมาตรของโรงเก็บ = ความยาว X ความกว้าง X ความสูง หน่วย ลบ.ม. ปริมาตรของกองกระสอบ = ความยาว X ความกว้าง X ความสูง หน่วย ลบ.ม. ปริมาตรที่ต้องพ่นสารฆ่าแมลง = ปริมาตรของโรงเก็บ – ปริมาตรของกอง หน่วย ลบ.ม. 1.3.4 คำนวณหาน้ำหนักของเนื้อสารฆ่าแมลงที่ต้องใช้ ตัวอย่าง โรงเก็บเมล็ดพืชแห่งหนึ่งต้องการพ่นสารฆ่าแมลงในเนื้อที่ 1,500 ตารางเมตร อัตราสาร ฆ่าแมลงที่แนะนำ คือ เนื้อสารออกฤทธิ์0.5 กรัมต่อตารางเมตร จะต้องใช้เนื้อสารออกฤทธิ์กี่กรัม พื้นที่ 1 ตารางเมตร ต้องใช้เนื้อสารออกฤทธิ์ = 0.5 กรัม พื้นที่ 1,500 ตารางเมตร ต้องใช้เนื้อสารออกฤทธิ์ = 0.5 X 1,500 = 750 กรัม การใช้สารฆ่าแมลงเพื่อการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรมักใช้อัตราของสารฆ่าแมลงที่ใช้ เป็นปริมาณต่อล้านส่วน (parts per million: ppm) ซึ่งหมายถึงปริมาณสารออกฤทธิ์1 กรัมในสาร ทั้งหมด 1,000 กิโลกรัม ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนหน่วยการคำนวณจาก ppm ให้เป็นกรัมหรือมิลลิลิตร จะมีสูตรการคำนวณดังนี้ V = P x T x 100/C โดย P คือ อัตราความเข้มข้นของสารฆ่าแมลงที่ต้องการใช้ มีหน่วยเป็น ppm T คือ อัตราจำนวนตันเมล็ดพืช C คือ อัตราความเข้มข้นของสารฆ่าแมลงตั้งต้น มีหน่วยเป็น เปอร์เซ็นต์ V คือ ปริมาตรหรือน้ำหนักของสารฆ่าแมลงตั้งต้น มีหน่วยเป็น มิลลิลิตรหรือกรัม
148 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตัวอย่าง ต้องการคลุกเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือก จำนวน 5 ตัน ด้วย fenitrothion 50% EC ในอัตรา 10 ppm จะต้องใช้fenitrothion จำนวนเท่าใด จากสูตร V = P x T x 100/C [P=10, T=5, C=50] V = 10 x 5 x 100/50 = 100 มิลลิลิตร หรือ 100/1,000 = 0.1 ลิตร บางกรณีใช้อัตราของสารฆ่าแมลงที่ใช้เป็นเปอร์เซ็นต์ซึ่งมีสูตรในการคำนวณดังนี้ D = S x V/C โดย D คือ ปริมาตรหรือน้ำหนักของสารฆ่าแมลงตั้งต้น S คือ ความเข้มข้นหรือเปอร์เซ็นต์ของสารฆ่าแมลงที่ต้องการใช้ C คือ ความเข้มข้นหรือเปอร์เซ็นต์สารออกฤทธิ์ของสารฆ่าแมลงตั้งต้น V คือ ปริมาตรหรือน้ำหนักของสารฆ่าแมลงที่ต้องการใช้ ตัวอย่าง ต้องการใช้Diazinon 20% EC ผสมให้ได้สารผสม 100 ลิตร ในอัตราความเข้มข้น 0.5% จะต้องใช้สารฆ่าแมลงมาผสมเท่าใด จากสูตร D = S x V/C [S=0.5, V=100, C=20] D = 0.5 x 100 / 20 = 2.5 ลิตร 1.3.5 วิธีการนำมาใช้ อัตราการใช้น้ำในการพ่นสารฆ่าแมลงที่ใช้เป็นสากล คือ 5 ลิตร ของน้ำยาผสมต่อ 100 ตารางเมตร ตัวอย่าง ถ้าต้องการพ่นยาในพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร ในอัตรา 5 ลิตรต่อพื้นที่ 100 ตารางเมตร จะต้องใช้น้ำยาผสมเท่าใด 100 ตารางเมตร ต้องใช้น้ำยาผสม 5 ลิตร 1,500 ตารางเมตร ต้องใช้น้ำยาผสม 5 X (1,500/100) ลิตร = 75 ลิตร หากคำนวณน้ำยาที่ต้องใช้เท่ากับ 3 ลิตร จะต้องนำมาหักจากจำนวนน้ำยาผสม 75 ลิตร จึงจะได้ ปริมาณน้ำที่ต้องใช้ ดังนั้น ต้องใช้น้ำ = 75-3 = 72 ลิตร
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 149 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การใช้สารฆ่าแมลงในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร เครื่องพ่นสารฆ่าแมลง การฉีดพ่นสารฆ่าแมลงบนพื้นโรงเก็บ การผสมสารฆ่าแมลง การฉีดพ่นสารฆ่าแมลงบนผนังโรงเก็บ
150 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การใช้สารฆ่าแมลงในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การฉีดพ่นสารฆ่าแมลงในพื้นที่ว่าง (การพ่นแบบหมอกควัน) การคลุกเมล็ดพันธุ์พืชด้วยสารฆ่าแมลง เครื่องคลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารฆ่าแมลง
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 151 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 1.4 ชนิดของสารฆ่าแมลงที่อนุญาตให้ใช้กับผลิตผลเกษตร ตารางที่2 สารฆ่าแมลงที่ใช้โดยทั่วไปกับผลิตผลเกษตร ตารางที่3 สารเคมีที่ใช้ในการคลุกเมล็ด ชื่อสามัญ ชื่อการค้า สูตร LD50(mg/oral) Dermal Organophosphate Insecticide 1. Etrimphos Satisfar 50%EC 1,800 - 2. Fenitrothion Folithion 50%EC 250-500 3,000 3. Malathion Malathion 50%EC, 5%WP 1,375 4,000 4. Methacrifos Damfin 50%EC 680 - 5. Phoxim Baythion 50%EC 1,845 - 6. Pirimiphos-methyl Actellic 50%EC 2,050 2,000 7. Tetrachlorvinphos Gardona 75%EC 4,000 5,000 Synthetic Pyrethroid Insecticide 8. Bioresmethrin Bioresmethrin 9,000 - 9. Cyfluthrin Baythroid 10%EC, 10%WP 540-1,189 - 10. Cypermethrin k-orthene 15%EC 4,000 - 11. Deltamethrin Ripcord 15%EC 2,200 - 12. Permethrin Coopex 10%EC 4,000 4,000 ชื่อสามัญ ชื่อการค้า ใช้กับเมล็ดพันธุ์และเมล็ดที่ใช้บริโภค 1. Pirimiphos-methyl Actellic 2. Methacrifos Damfin 3. Cypermethrin K-orthene 4. Deltamethrin Ripcord 5. Fenitrothion Sumithion ใช้กับเมล็ดพันธุ์เท่านั้น 1. Etrimphos Satisfar 2. Phoxim Baythion
152 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตารางที่4 อัตราการใช้สารฆ่าแมลงบางชนิดโดยวิธีการต่าง ๆ 1.5 รายละเอียดสารฆ่าแมลงที่ใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร สารฆ่าแมลงได้รับการขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในการกำจัดศัตรูพืชจำนวนมาก แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ที่สามารถนำมาใช้กับผลิตผลเกษตรได้เนื่องจากสารฆ่าแมลงส่วนใหญ่มีพิษสูงต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม จึงไม่ควรให้ปนเปื้อนในเมล็ดที่เป็นอาหาร สารฆ่าแมลงที่ใช้กับผลิตผลเกษตรได้ต้องเป็นสาร ที่มีพิษต่ำ ได้แก่ พิริมิฟอสเมทิล (Pirimiphos-methyl) พิริมิฟอสเมทิลออกฤทธิ์โดยการสัมผัสและการหายใจ เป็นสารฆ่าแมลงที่มีความเป็นพิษต่อมนุษย์ และสัตว์เลือดอุ่นต่ำ นอกจากนี้ยังมีความคงทน สามารถใช้กับเมล็ดที่มีความชื้นได้มีประสิทธิภาพในการ ป้องกันกำจัดแมลงได้นานหลายเดือน สามารถลดความเสี่ยงต่อการเข้าทำลายซ้ำของแมลงได้ดีพิริมิฟอสเมทิล มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดมอด ผีเสื้อ และไรได้ดีนำมาใช้กับแมลงที่มีความต้านทานต่อมาลาไธออนได้ พิริมิฟอสเมทิลมีหลายสูตร ทั้งแบบผง EC และ fumigant ชื่อการค้าของพิริมิฟอสเมทิล ได้แก่ Actellic, Actellicfog, Silosan และ Blex สามารถใช้พิริมิฟอสเมทิลคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนการเก็บรักษาได้ คำแนะนำการใช้พิริมิฟอสเมทิล - เมล็ดข้าวโพด ข้าว และถั่ว ใช้พิริมิฟอสเมทิลแบบผงความเข้มข้น 2% อัตรา 200-500 กรัม (a.i.) ต่อเมล็ด 1,000 กิโลกรัม เฟนิโตรไทออน (Fenitrothion) เฟนิโตรไทออนเป็นสารฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์โดยการสัมผัสและการกิน มีประสิทธิภาพในการกำจัด แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด แต่มีประสิทธิภาพน้อยกับมอดข้าวเปลือก สามารถนำมาใช้ฉีดพ่น โรงเก็บได้ดีสามารถเพิ่มฤทธิ์ด้วยการผสมกับ Bioresmethrin เฟนิโตรไทออน เป็นสารฆ่าแมลงที่มีพิษต่อ มนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่าสารฆ่าแมลงชนิดอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น แต่มีความสามารถในการ ซึมผ่านเปลือกเมล็ดได้น้อย สารพิษตกค้างจะถูกกำจัดออกเมื่อเมล็ดผ่านกระบวนการขัดสี ชื่อการค้าของ เฟนิโตรไทออน ได้แก่ Sumithion และ Folithion โดยสูตรที่ใช้ได้แก่ สูตรผง (Dust) สูตรน้ำ (EC) และ สูตรผงผสมน้ำ (WP: Wettable powder) คำแนะนำการใช้เฟนิโตรไทออน - เมล็ดธัญพืช ใช้เฟนิโตรไทออนสูตรผง อัตรา 4-12 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม - เมล็ดข้าวโพดทั้งฝัก ใช้เฟนิโตรไทออนสูตรผง อัตรา 8-20 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม ชนิดของสารฆ่าแมลง การคลุกเมล็ด พ่นโรงเรือน พ่นกองเมล็ด g.ai/100 kg Fenitrothion 0.8-1.0 0.5-1.0 0.5-1.0 Phoxim 0.4-0.6 0.5 0.5-1.0 Pirimiphos-methyl 0.4-0.6 0.5 0.5-1.0
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 153 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มาลาไธออน (Malathion) มาลาไธออนสามารถนำมาใช้ทั้งแบบผงคลุกเมล็ด และแบบฉีดพ่นบนพื้นผิว ใช้คลุกเมล็ดได้ทั้ง ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ เมล็ดที่จะนำมาคลุกต้องเป็นเมล็ดที่แห้งสนิท ถ้าเมล็ดมีความชื้นสูงจะทำให้ มาลาไธออนเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว และไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับการพ่นโครงสร้างของโรงเก็บ เนื่องจาก มาลาไธออนไม่สามารถคงสภาพอยู่บนพื้นผิวคอนกรีตหรือผนังอาคารได้นาน และความเป็นพิษจะลดลงถึง ระดับปลอดภัยประมาณ 12-13 สัปดาห์หลังการคลุกเมล็ด ข้อควรระวังสำหรับการใช้มาลาไธออน คือ จะมี ประสิทธิภาพน้อยในการกำจัดมอดข้าวเปลือก ผีเสื้อ และไร โดยแมลงหลายชนิดสร้างความต้านทานต่อ สารฆ่าแมลงชนิดนี้ มาลาไธออนเป็นสารฆ่าแมลงที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรง ในประเทศไทยจึงไม่แนะนำให้ใช้ใน โรงเก็บ คำแนะนำการใช้มาลาไธออน - เมล็ดข้าวโพด ข้าว และถั่ว ใช้มาลาไธออนผงความเข้มข้น 1% อัตรา 1,000 กรัมต่อเมล็ด 1,000 กิโลกรัม - ข้าวโพดฝักใช้มาลาไธออนผงความเข้มข้น 2% อัตรา1,000-1,500กรัมต่อข้าวโพดฝัก1,000กิโลกรัม โบโมฟอส (Bomophos) โบโมฟอสเป็นสารฆ่าแมลงที่มีความเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นต่ำคล้ายมาลาไธออน แต่สามารถคงทนบนพื้นคอนกรีตได้ดีกว่า ดังนั้น จึงสามารถนำมาใช้พ่นบนพื้นหรือฝาผนังโรงเก็บได้และ มีความคงตัวบนเมล็ดที่มีความชื้นสูงได้ดีสารพิษตกค้างของโบโมฟอสจะถูกทำลายได้ด้วยความร้อน จากการหุงต้ม ส่วนข้อเสียของโบโมฟอส คือ เป็นสารฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์ช้า เมื่อใช้ในการกำจัดแมลงตัวเต็มวัย แมลงอาจวางไข่ได้ก่อนตาย โบโมฟอสที่นำมาใช้กับผลิตผลเกษตรมีทั้งสูตรผงใช้สำหรับคลุกเมล็ดพันธุ์และ สูตรน้ำ (EC: emulsion concentrate) ใช้สำหรับพ่นกระสอบหรือพ่นพื้นผนังโรงเก็บ คำแนะนำการใช้โบโมฟอส - เมล็ดธัญพืช ใช้โบโมฟอสสูตรผง อัตรา 10-20 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม - เมล็ดข้าวโพดและเมล็ดถั่ว ใช้อัตรา 8-12 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม เมทาคริฟอส (Methacrifos) เมทาคริฟอสมีความเป็นพิษสูงคล้ายเฟนิโตรไทออน แนะนำให้ใช้เมื่อพบแมลงที่สร้างความ ต้านทานต่อมาลาไธออนทั้งด้วงงวง มอดแป้ง เมทาคริฟอสสามารถซึมผ่านเมล็ดได้จึงใช้กำจัดหนอนที่อยู่ ภายในเมล็ดได้ดีและมีประสิทธิภาพดีขึ้นเมื่ออุณหภูมิต่ำลง ชื่อการค้าของเมทาคริฟอส คือ Damfin มีทั้ง สูตรน้ำ (EC) และสูตรผง (2% Dust) คำแนะนำการใช้เมทาคริฟอส - เมล็ดธัญพืช ใช้เมทาคริฟอสสูตรผง อัตรา 10-15 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม ไบโอเรสเมทริน (Bioresmethrin) ไบโอเรสเมทรินเป็นสารกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ที่มีความเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์น้อยมาก ออกฤทธิ์สัมผัสตาย แต่สามารถออกฤทธิ์เป็นสารรมและกินตายได้ด้วย ฤทธิ์ของไบโอเรสเมทรินเสื่อมสลาย ง่ายเมื่อถูกแสง ไบโอเรสเมทรินมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดมอดข้าวเปลือก เหมาะกับการนำไปใช้กำจัด มอดข้าวเปลือกที่สร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงชนิดอื่น เช่น มาลาไธออน พิริมิฟอสเมทิล และ
154 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เฟนิโตรไทออน โดยในกรณีนี้สามารถผสมไบโอเรสเมทรินกับสารฆ่าแมลงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มฤทธิ์ในการป้องกัน กำจัดได้ คำแนะนำการใช้ไบโอเรสเมทริน - ไบโอเรสเมทริน 4 กรัม (a.i.) ผสม Piperonyl butoxide 20 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม - ไบโอเรสเมทริน 1 กรัม (a.i.) ผสมเฟนิโตรไทออน 12 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม (ใช้สำหรับควบคุมแมลงที่สร้างความต้านทานต่อมาลาไธออน) เดลต้าเมทริน (Deltamethrin) เดลต้าเมทรินมีคุณสมบัติคล้ายไบโอเรสเมทริน คือ เป็นสารฆ่าแมลงกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ที่มี พิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ แต่ในรูปละลายในน้ำมันจะมีความเป็นพิษสูงมาก เดลต้าเมทริน เมื่อใช้กับเมล็ดจะสามารถคงตัวอยู่บนเมล็ดได้นานแต่ไม่ซึมผ่านเข้าภายในเมล็ด เมื่อผ่านขบวนการขัดสีพิษ ตกค้างก็จะถูกกำจัดออกไป เดลต้าเมทรินออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วโดยการสัมผัสและการกิน มีประสิทธิภาพ ในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรหลายชนิด ได้แก่ ด้วงงวง มอดข้าวเปลือก สามารถใช้กำจัดมอดข้าว เปลือกที่มีความต้านทานต่อมาลาไธออน พิริมิฟอสเมทิล และเฟนิโตรไทออน คำแนะนำการใช้เดลต้าเมทริน - ข้าวโพดทั้งฝักที่ต้องการเก็บรักษาระยะยาว ใช้เดลต้าเมทรินชนิดผงละลายน้ำ (WP) อัตรา 1 กรัม (a.i.) ต่อฝักข้าวโพด 1,000 กิโลกรัม - เมล็ดถั่ว ใช้เดลต้าเมทริน อัตรา 1 กรัม (a.i.) ต่อเมล็ดถั่ว 1,000 กิโลกรัม - เมล็ดธัญพืช ใช้เดลต้าเมทริน อัตรา 1 กรัม (a.i.) ผสมกับ Piperonyl butoxide อัตรา 4 กรัม (a.i.) ต่อเมล็ดธัญพืช 1,000 กิโลกรัม เพอร์เมทริน (Permethrin) เพอร์เมทรินเป็นสารฆ่าแมลงกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์อีกชนิดหนึ่งที่มีพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ลูกด้วยนมต่ำแต่มีความเป็นพิษต่อปลาสูง แต่เมื่ออยู่ในรูปละลายในน้ำมันจะมีความเป็นพิษสูง มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรหลายชนิด โดยเฉพาะกับมอดข้าวเปลือก แต่มี ประสิทธิภาพในการควบคุมมอดแป้งต่ำ สามารถคงตัวบนเมล็ดพืชได้นานและไม่ไวต่อความชื้น ที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเพอร์เมทรินควบคุมมอดข้าวเปลือกได้ดีจึงนำมาใช้ผสมกับมาลาไธออน พิริมิฟอสเมทิล เฟนิโตรไทออน และ คลอร์ไพริฟอสเมทิล สำหรับควบคุมมอดข้าวเปลือกที่ต้านทานต่อ มาลาไธออน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสารฆ่าแมลงในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร สารฆ่าแมลง ในกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ เช่น เพอร์เมทริน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงได้ด้วยการเติม Piperonyl butoxide นอกจากนี้เพอร์เมทรินยังสามารถกำจัดมอด Larger grain borer ซึ่งเป็นแมลง ตระกูลเดียวกับมอดข้าวเปลือกได้ดีอีกด้วย การใช้เพอร์เมทรินในรูปผงละเอียด (0.5% dust) ในการเก็บ รักษาข้าวโพดฝักทั้งเปลือกจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีกว่าใช้ในการเก็บรักษาข้าวโพดฝักหรือ เมล็ดข้าวโพดที่สีแล้ว
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 155 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร คำแนะนำการใช้เพอร์เมทริน - เมล็ดธัญพืช ใช้เพอร์เมทริน อัตรา 1-2 กรัม (a.i.) ผสมกับ Piperonyl butoxide อัตรา 10 กรัม (a.i.) ผสมกับพิริมิฟอสเมทิล อัตรา 4-6 กรัม (a.i.) ต่อเมล็ดธัญพืช 1,000 กิโลกรัม ใช้กำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้นาน 9 เดือน - ข้าวโพดฝักทั้งเปลือก ใช้เพอร์เมทริน อัตรา 2.5-5 กรัม (a.i.) ต่อข้าวโพด 1,000 กิโลกรัม หรือ ใช้เพอร์เมทริน อัตรา 1 กรัม (a.i.) ผสมกับพิริมิฟอสเมทิล อัตรา 4 กรัม (a.i.) ต่อข้าวโพด 1,000 กิโลกรัม ไพรีทรัม (Pyrethrum) ไพรีทรัมเป็นสารสกัดที่ได้จากพืช มีความเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ สามารถ ควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้รวดเร็ว แต่แมลงก็สามารถกลับเข้าทำลายผลผลิตเกษตรซ้ำได้อีก เนื่องจากพิษตกค้างของสารฆ่าแมลงชนิดนี้สลายตัวได้เร็ว หลีกเลี่ยงการผสมสารฆ่าแมลงชนิดนี้กับสารฆ่า แมลงชนิดอื่น สารฆ่าแมลงไพรีทรัมมีทั้งรูปแบบสารละลายน้ำมันและสารละลายน้ำ ส่วนรูปแบบผงและ ผงละลายน้ำสารไพรีทรัมมีครึ่งชีวิตที่สั้นเก็บรักษาได้ไม่นาน คำแนะนำการใช้ไพรีทรัม - ไพรีทรัม อัตรา 1.5-2.5 กรัม (a.i.) ผสมกับ Piperonyl butoxide อัตรา 7.5-12.5 กรัม (a.i.) ต่อเมล็ด 1,000 กิโลกรัม (อัตราระหว่างไพรีทรัม และ Piperonyl butoxide เท่ากับ 1:5) เมโทปรีน (Methoprene) เมโทปรีนเป็นสารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลือดอุ่นต่ำ ใช้ในการป้องกันกำจัดมอดข้าวเปลือกได้ดีแต่ไม่ค่อยมี ประสิทธิภาพกับแมลงตระกูลด้วงงวง เมโทปรีนไม่ได้มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลงโดยตรงแต่มีผลในการยับยั้ง การผสมพันธุ์ทำให้ประชากรของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรเพิ่มปริมาณน้อย คำแนะนำการใช้เมโทปรีน - เมโทปรีน อัตรา 5-10 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม คาร์บาริล (Carbaryl) คาร์บาริลเป็นสารฆ่าแมลงที่ไม่แนะนำให้ใช้ในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรแบบเดี่ยว ๆ เนื่องจากเป็นสารฆ่าแมลงที่มีความเป็นพิษสูง แต่นำมาใช้ร่วมกับมาลาไธออน พิริมิฟอสเมทิล เฟนิโตรไทออน และ คลอร์ไพริฟอสเมทิล ในกรณีที่แมลงสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงเหล่านี้แล้ว การใช้คาร์บาริล ร่วมด้วยจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัด คำแนะนำการใช้คาร์บาริล - คาร์บาริล อัตรา 5 กรัม (a.i.) ผสมกับพิริมิฟอสเมทิล อัตรา 5 กรัม (a.i.) ต่อผลิตผลเกษตร 1,000 กิโลกรัม สามารถป้องกันการเข้าทำลายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้นานกว่า 6 เดือน
156 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ฟอกซิม (Phoxim) ฟอกซิมเป็นสารฆ่าแมลงในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตที่มีฤทธิ์กินตายและสัมผัสตาย ออกฤทธิ์ในการ กำจัดแมลงเร็วถึงปานกลางขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ เป็นสารฆ่าแมลงที่ออกฤทธิ์กว้างมีประสิทธิภาพในการ กำจัดแมลงได้ดีโดยเฉพาะพวกแมลงปากกัด ฟอกซิมที่ขายในท้องตลาดมีทั้งสูตรสารละลายในน้ำมัน (EC) เม็ด (granules) ผง (dust) และเหยื่อพิษ (bait) ในผลิตผลเกษตรมักใช้ในการคลุกเมล็ดพันธุ์และพ่นพื้นผิว โรงเก็บ คำแนะนำการใช้ฟอกซิม - ฟอกซิม อัตรา 40 กรัม (a.i.) คลุกเมล็ด 1 กิโลกรัม 1.6 สูตรโครงสร้างทางเคมีของสารฆ่าแมลงบางชนิดที่ใช้ในผลิตผลเกษตร Fenitrothion การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส และการกิน Chlorpyrifos การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส การกิน และการหายใจ Pirimiphos-methyl การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส และการหายใจ ON2 CH3 OP(OCH 3 ) 2 SS = OP(OCH3 ) 2 O 2 N CH 3 Cl N Cl Cl OP(OCHCH2 3 ) 2 SS = CI CI CI OP(OCH3 ) 2 N N (CHC3 H 2 )N2 CH3 OP(OCH 3 ) 2 S CH 3 OP(OCH3 ) 2 (CH3 CH 2 ) 2 N
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 157 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร Phoxim การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส และการกิน Alpha-cypermethrin การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส การกิน และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง Cypermethrin การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส และการกิน C CN NOP(OCHCH2 3 ) 2 CN SS _ = C = NOP(OCH2 CH 3 ) 2 CI (1R)- cis - (R) (1S )- cis - (S ) CH3 C CH CH3 C Cl Cl H H O2 C CN O H CH3 CH C CH3 C Cl Cl H H CN O O2 C H CI C C CH CH (S) (1R)-cis - (R) (1S)-cis - CO 2 CO 2 C C CN CN O O H H H H H H CH 3 CH 3 CH 3 CH 3 CI CI C C CI CI CH O CN F CH3 CH3 C CH Cl Cl CO2 CI CI C CH CO 2 CH CN O F CH 3 CH 3
158 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร Deltamethrin การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วโดยการสัมผัส และการกิน Cyfluthrin การออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์โดยการสัมผัส การกิน และมีผลต่อระบบประสาท 1.7 ข้อควรปฏิบัติในการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช 1. ใช้สารเคมีเฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของศัตรูพืช ไม่ควรใช้เกิน อัตราที่กำหนด และไม่ควรผสมสารเคมีตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไปในการพ่นครั้งเดียว ยกเว้นในกรณีที่ แนะนำให้ใช้ 2. อ่านฉลากให้เข้าใจถึงวิธีการใช้โดยละเอียดก่อนใช้สารเคมี 3. สวมเสื้อผ้า หมวก แว่นตา ถุงมือ รองเท้าบู๊ท และหน้ากากให้มิดชิด ก่อนการพ่นสารและขณะทำการ พ่นสารเคมีเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผิวหนัง เข้าตาหรือหายใจเข้าไป อุปกรณ์ป้องกันเหล่านี้เมื่อใช้แล้ว ต้องทำความสะอาดทุกครั้ง 4. ไม่ควรใช้เครื่องพ่นที่อุปกรณ์ชำรุด หรือมีการรั่วไหลของสารเคมีควรตรวจสอบเครื่องพ่นก่อนนำ ไปใช้ทุกครั้ง 5. ระวังไม่ให้ละอองสารเคมีปลิวเข้าหาตัวผู้พ่น สัตว์เลี้ยง อาหาร น้ำดื่มของผู้ที่อยู่ข้างเคียง สังเกต ทิศทางลมก่อนลงมือพ่นสารเคมีต้องไม่หันหัวฉีดไปทางใต้ลมเสมอและหยุดพ่นในขณะลมเปลี่ยน ทิศทาง 6. ห้ามสูบบุหรี่หรือรับประทานอาหารในขณะปฏิบัติงานกับสารเคมี 7. ในขณะปฏิบัติงานหากร่างกายเปียกเปื้อนสารเคมีต้องรีบล้างน้ำและฟอกสบู่ให้สะอาดทันทีก่อนที่ สารเคมีจะซึมเข้าสู่ร่างกาย 8. อาบน้ำ ฟอกสบู่ ภายหลังพ่นสารเคมีทุกครั้ง C CH Cl Cl CH3 CH3 COC2 H O CI CN CI C CH CO 2 CH CN O CH 3 CH 3 CN C O H CO2 CH3 CH3 C Br Br CH H H Br Br C C O CH CH CN 3 CH 3 CO 2 H H H
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 159 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 9. เมื่อเสร็จงานแล้วให้ทำความสะอาดเครื่องพ่นระวังอย่าให้น้ำที่ชะล้างไหลลงบ่อน้ำซึ่งจะเป็น อันตรายต่อปลา สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตลอดจนสัตว์เลี้ยง 10. ไม่เข้าไปในบริเวณพื้นที่ที่พ่นสารเคมีใน 1-3 วันโดยไม่จำเป็น 11. เมื่อได้รับพิษจากสารเคมีให้ปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นบนฉลากก่อน แล้วนำผู้ป่วยส่งแพทย์ที่ ใกล้ที่สุด พร้อมนำภาชนะบรรจุสารเคมีที่ใช้ไปให้แพทย์เพื่อพิจารณาประกอบการรักษาด้วย การเก็บรักษาผลิตผลเกษตรต้องใช้วิธีการต่าง ๆ หลายวิธีร่วมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพของ ผลิตผลเกษตรที่จัดเก็บไม่เสียหายตามระยะเวลาที่ต้องการจัดเก็บ ปัจจุบันมีสารฆ่าแมลงค่อนข้างน้อย สำหรับการใช้ในการเก็บรักษาผลิตผลเกษตร อย่างไรก็ตามสารฆ่าแมลงเป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมาใช้ใน การควบคุมความเสียหายของผลิตผลเกษตรที่ต้องการเก็บรักษา แต่การใช้ต้องทำอย่างระมัดระวัง รอบคอบ และต้องมีการดำเนินการอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการใช้สารฆ่าแมลงด้วยเพื่อให้การจัดการเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ การทำความสะอาดโรงเรือน การจัดเก็บเมล็ดที่แห้ง ซึ่งรวมถึง การจัดการด้านการควบคุมอุณหภูมิความชื้น การระบายอากาศของโรงเรือนหรือไซโล และการสุ่มตัวอย่าง เป็นประจำ
160 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2. สารฆ่าแมลงชนิดรม (Fumigation) การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรมีหลายวิธีแต่วิธีการที่นิยมที่สุด คือ การใช้สารรม เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ทำลายแมลงศัตรูได้เกือบทุกชนิดและทุกระยะการเจริญเติบโต และ สามารถทำลายศัตรูชนิดอื่น ๆ เช่น นก หนู ไร และเชื้อราได้ ไม่มีพิษตกค้างเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ สารฆ่าแมลง วิธีการรมไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนักจึงง่ายต่อการปฏิบัติและทำได้สะดวกรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การใช้สารรมทุกชนิดต้องทำด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อความ ปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและผู้อยู่บริเวณใกล้เคียง เนื่องจากสารรมเกือบทุกชนิดเป็นอันตรายต่อมนุษย์ แม้ที่ความเข้มข้นต่ำ การรมที่มีประสิทธิภาพต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ผู้ทำการรม ต้องทราบคุณสมบัติของสารรมแต่ละชนิด ชนิดของผลิตผลเกษตร ชนิดของศัตรูสถานที่ดำเนินการรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิความชื้น เป็นต้น การรมที่ไม่มีประสิทธิภาพเกิดจากสาเหตุ หลายประการ เช่น ผ้าพลาสติกมีรูรั่ว อัตราการใช้น้อยหรือมากเกินไป หรือระยะเวลาสั้นเกินไป ความผิด พลาดนี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน สิ้นเปลือง ค่าใช้จ่ายและทำให้แมลงสร้างความต้านทานต่อ สารรม หากมีการใช้สารรมอย่างผิดวิธีเช่นในปัจจุบันจะทำให้แมลงสร้างความต้านทานได้มากขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องทำการรมให้ถูกต้อง เพราะการรมที่ถูกต้องจะสามารถกำจัดแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยชะลอการสร้างความต้านทานของแมลงต่อสารรม ไม่ให้เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นช้าที่สุด 2.1 การรม (Fumigation) การรม คือ การใส่สารรมเข้าไปในที่ ๆ มีการปิดผนึกสนิทป้องกันการรั่วไหลของก๊าซ เพื่อกำจัด ศัตรูผลิตผลเกษตร ได้แก่แมลง นก หนู ไร และจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ 2.2 โครงสร้างที่ใช้ในการรม โครงสร้างที่ใช้ในการรมอาจเป็นโครงสร้างแบบชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ที่สำคัญต้องสามารถปิดผนึก สนิทและกักเก็บก๊าซให้ความเข้มข้นอยู่ในระดับที่ต้องการในระยะเวลาที่กำหนดได้เพื่อประสิทธิภาพในการ กำจัดศัตรูที่เป็นเป้าหมายและป้องกันการรั่วไหลของสารรมออกไปภายนอก ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายต่อ ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้อยู่บริเวณใกล้เคียง โครงสร้างแบบชั่วคราว เป็นการสร้างสภาพปิดผนึกสนิทอย่างชั่วคราวโดยใช้ผ้าพลาสติกที่เรียกว่า “การรมยาภายใต้ผ้าพลาสติก” ใช้รมผลิตผลเกษตรบรรจุในกระสอบ ตู้คอนเทเนอร์และโรงเก็บ โครงสร้างแบบถาวร เป็นโครงสร้างถาวรที่สร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการรม เช่น ไซโล โรงเก็บ ตู้คอนเทเนอร์ที่สามารถปิดผนึกสนิทได้ 2.3 ชนิดของสารรม สารรมที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ ฟอสฟีน (phosphine) เมทิลโบรไมด์ (methyl bromide) คาร์บอนไดออกไซด์(carbondioxide) ซัลฟูริลฟูลออไรด์(sulfuryl fluoride) อีโคฟูม (ECO2 FUME) และ เอทิลฟอร์เมท (ethyl formate) แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี2 ชนิด ได้แก่ เมทิลโบรไมด์และฟอสฟีน
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 161 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เมทิลโบรไมด์มีประสิทธิภาพดีและใช้เวลาในการรมสั้นแต่ถูกระบุว่าทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน จึงมีมาตรการลด การใช้จนถึงยกเลิกการใช้ยกเว้นการรมเพื่อการส่งออกและกักกันพืช ฟอสฟีนนิยมใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก เพราะมีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้เกือบทุกชนิด ไม่ทิ้งพิษตกค้างในผลิตผล เกษตร อยู่ในรูปของแข็งจึงใช้งานง่าย ในขณะนี้ฟอสฟีนเป็นสารรมเพียงชนิดเดียวที่สามารถทดแทน เมทิลโบรไมด์ได้ดังนั้น ฟอสฟีนจึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต 2.3.1 สารรมฟอสฟีน สารรมฟอสฟีนเริ่มใช้อย่างกว้างขวางในปีค.ศ. 1950 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการผลิต ฟอสฟีนในรูปเม็ด (tablet, pellet) ประเทศสหรัฐอเมริกานำฟอสฟีนมาใช้ในปีค.ศ. 1958 เพื่อกำจัด แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรภายใต้การรับรองจากองค์การอาหารและยาว่าปลอดภัย ไม่มีพิษตกค้าง ทำให้ ฟอสฟีนได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะการรมใบยาสูบ สารรมฟอสฟีนอยู่ในรูปของแข็งในรูปของ สารประกอบโลหะฟอสไฟด์ก๊าซฟอสฟีนได้จากปฏิกิริยาของโลหะฟอสไฟด์ เช่น aluminium phosphide หรือ magnesium phosphide กับไอน้ำในอากาศ เมื่อทำปฏิกิริยากันจะปลดปล่อยก๊าซฟอสฟีนออกมา ประมาณหนึ่งในสามของน้ำหนัก ปฏิกิริยาของก๊าซฟอสฟีน Phosphide + Water ------> Hydrogen Phosphide + Powdery Reaction Products ปฏิกิริยาทางเคมีคือ AlP + 3 H2 O ----------> PH3 + Al (OH)3 หรือ Mg3 P2 + 6 H2 O ----------> 2 PH3 + 3 Mg (OH)2 คุณสมบัติของฟอสฟีน l เป็นก๊าซที่ไม่มีสีมีกลิ่นเล็กน้อยคล้ายกระเทียม l สูตรเคมีคือ PH3 l น้ำหนักโมเลกุล 34.1 l หนักกว่าอากาศ 1.2 เท่า l จุดเดือด -87.4 º C l จุดเยือกแข็ง -133.5 º C l ละลายน้ำได้ประมาณ 26% (by Vol. at 17 º C) l ก๊าซฟอสฟีนที่เข้มข้นมากจะระเบิดลุกเป็นไฟได้ l ทำปฏิกิริยากับโลหะ เช่น ทอง ทองแดง และ เงิน l เป็นพิษต่อแมลงและสัตว์เลือดอุ่นสูงมาก l ไม่มีพิษตกค้าง l มีCeiling concentration 0.3 ppm
162 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร สีและกลิ่น ฟอสฟีนเป็นสารไม่มีสีฟอสฟีนบริสุทธิ์ไม่มีกลิ่น แต่ฟอสฟีนที่ได้จากปฏิกิริยาของโลหะ ฟอสไฟด์จะมีกลิ่นเล็กน้อยคล้ายกระเทียมหรือกลิ่นคล้ายปลา บางครั้งผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ ที่รมอาจดูดซับกลิ่นให้หายไปและทิ้งไว้แต่ฟอสฟีนที่ไม่มีกลิ่น ดังนั้น การไม่มีกลิ่นไม่ได้หมายความว่าไม่มี ก๊าซฟอสฟีน ความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) ฟอสฟีนบริสุทธิ์ หนักกว่าอากาศ 1.2 เท่า เนื่องจาก หนักกว่าอากาศเพียงเล็กน้อยจึงแพร่กระจายผสมกับอากาศได้อย่างรวดเร็ว ความหนาแน่นของสาร ผสมระหว่างฟอสฟีนและอากาศจะเหมือนอากาศบริสุทธิ์สามารถแทรกซึมเข้าไปในกองผลิตผลเกษตร ได้อย่างรวดเร็วไม่ใช่อยู่แค่ด้านบน แม้แต่ในผลิตผลเกษตรที่แพ็คแน่นหนา เช่น ใบยาสูบ หรือกองผลิตผล เกษตรขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 5 เมตร ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องวางเม็ดฟอสฟีนไว้ด้านบนของกอง หรือ ใช้พัดลมช่วยแพร่กระจายก๊าซในกองผลิตผลเกษตร ปฏิกิริยาทางเคมีฟอสฟีนละลายน้ำได้เล็กน้อยและมีความสามารถในการละลายต่ำในตัว ทำละลายเกือบทุกชนิด สามารถกัดกร่อนทองแดง ทองเหลือง และโลหะผสมทองแดง ในสภาวะที่มี ความชื้น แอมโมเนีย และเกลือในอากาศ (สภาพบรรยากาศชายทะเล) ฟอสฟีนอาจทำลายเครื่องมือที่ทำด้วย ทองแดงหรือโลหะผสมทองแดง รวมทั้งฟิล์มถ่ายรูป ก่อนการรมยาควรปิด คลุม หรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ และเครื่องจักรที่ประกอบด้วยทองแดง (เช่น เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์เครื่องจักร สวิตช์ไฟ) ถ้าทำไม่ได้ ให้รมด้วยสารรมชนิดอื่น ความสามารถในการลุกไหม้ที่อุณหภูมิ100 º C ความดันต่ำ และอากาศแห้ง ฟอสฟีนอาจลุกไหม้ได้ ในอากาศที่ความดันปกติความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนที่สูงกว่า 1.8% โดยปริมาตร (17,900 ppm หรือ 24.9 mg/ L หรือ 24.9 g/m3 ) จะเกิดระเบิดได้อย่างไรก็ตามการผลิตฟอสฟีนทางการค้ามีการป้องกันไม่ให้ติดไฟด้วย การผสมส่วนประกอบอื่นเข้าไป เช่น aluminium carbamate, aluminium bicarbonate, urea และ พาราฟีน ต้องใช้ฟอสฟีนด้วยความระมัดระวังตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต การใช้ตามอัตราแนะนำความ เข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนที่ผลิตขึ้นจะต่ำกว่าระดับที่ติดไฟได้มาก ความเป็นพิษของฟอสฟีน ฟอสฟีนมีผลกับระบบการหายใจของแมลงและเป็นพิษกับแมลง ในสภาพที่มีออกซิเจนเท่านั้น ฟอสฟีนไม่สามารถแทรกซึมเข้าสู่เซลล์เมมเบรนโดยปราศจากออกซิเจน และ จะมีปฏิกิริยากับสารประกอบที่มีทองแดง เช่น cytochrome oxidase และสารประกอบออกซิไดส์ชนิดอื่น ในเซลล์ ฟอสฟีนจะมีปฏิกิริยาต่อฮีโมโกลบิน (haemoglobin) ได้เมื่อมีออกซิเจนอยู่ด้วย ฟอสฟีนไม่ สามารถหยุดขบวนการหายใจในไมโตคอนเดรียได้แต่เมื่อให้ออกซิเจนด้วยจะเป็นการกระตุ้น AMP, DNP และ Ca2+ ให้เกิดการหยุดหายใจในไมโตคอนเดรีย กล่าวคือ ฟอสฟีนมีผลกับเซลล์ในระบบหายใจของแมลง โดยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อดูดซับออกซิเจน ถ้าความเข้มข้นของฟอสฟีนสูงมากแมลงจะไม่สามารถดูดซับ ออกซิเจนได้ในที่สุดแมลงจะตาย ฟอสฟีนเข้าสู่ร่างกายของแมลงระยะหนอน ดักแด้และตัวเต็มวัยผ่านทาง รูหายใจ (spiracle) ส่วนระยะไข่ฟอสฟีนจะแพร่กระจายผ่านเข้าไปทาง chorion
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 163 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ความเป็นพิษของฟอสฟีนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ สภาพแวดล้อม อุณหภูมิชนิดของ แมลง และระยะการเจริญเติบโตของแมลง l อุณหภูมิ(temperature) ความเป็นพิษของฟอสฟีนจะลดลงถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 15 º C ดังนั้น การรมยาที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 º C จึงต้องการเวลานานขึ้น อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้รมด้วย ฟอสฟีนที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 º C l ชนิดของแมลง (species) แมลงบางชนิด เช่น ด้วงงวง ด้วงถั่ว ด้วงอิฐ และ เหาหนังสือ มีความทนทานต่อฟอสฟีนมากกว่าแมลงชนิดอื่น l ระยะการเจริญเติบโตของแมลง (developmental stages) แมลงชนิดเดียวกันแต่ระยะ การเจริญเติบโตต่างกันความทนทานต่อฟอสฟีนจะต่างกัน แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่ ไข่และดักแด้จะทนทานต่อฟอสฟีนมากกว่าตัวเต็มวัยและหนอน เนื่องจากความเป็นพิษของ ฟอสฟีนเกี่ยวข้องกับอัตราการหายใจของแมลง เพราะอัตราการหายใจเป็นตัวควบคุมปริมาณ ฟอสฟีนที่เข้าสู่ร่างกายและทำให้เกิดความเป็นพิษขึ้น แมลงที่หายใจมากจะอ่อนแอกว่าแมลง ที่หายใจน้อย แมลงที่มีเมตาโบลิซึมต่ำจะทนทานมากกว่าแมลงที่มีเมตาโบลิซึมสูง ดังนั้น ไข่ และดักแด้จึงทนทานมากกว่าหนอนและตัวเต็มวัย ดังนั้น ระยะเวลาในการรมด้วยสารรมฟอสฟีน จึงมีความสำคัญมากกว่าระดับความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนที่สูงมาก ๆ ผลกระทบของฟอสฟีนต่อพืช l เมล็ดพันธุ์ ภายใต้ภาวะปกติฟอสฟีนไม่มีผลต่อความงอกของเมล็ดพันธุ์แต่ถ้าความชื้นของ เมล็ดสูงเมื่อรมด้วยฟอสฟีนความงอกจะลดลง l ผลิตภัณฑ์จากพืช ภายใต้สภาวะปกติการรมผลิตภัณฑ์จากพืชด้วยฟอสฟีนจะไม่มีผลกับ วิตามิน และคุณภาพของแป้งเมื่อนำไปแปรรูป รูปแบบของฟอสฟีน ฟอสฟีนมีการผลิตออกมาหลายรูปแบบ ได้แก่ แบบเม็ด (tablet, pellet) แบบถุง (sachet) แบบแผ่น (plate) และแบบแผ่นพับต่อกันเป็นสาย (chains) ฟอสฟีนที่ผลิตเป็นการค้า อยู่ในรูปของสารประกอบฟอสไฟด์2 ชนิด ได้แก่ อลูมิเนียมฟอสไฟด์ (aluminium phosphide) และ แมกนีเซียมฟอสไฟด์(magnesium phosphide) l อลูมิเนียมฟอสไฟด์ปริมาณฟอสฟีนที่ได้จากอลูมิเนียมฟอสไฟด์ประมาณ 33% ของน้ำหนักรวม สูตรที่ใช้ประกอบด้วย 55-60% ของอลูมิเนียมฟอสไฟด์ฟอสฟีนแบบเม็ด (tablet) น้ำหนัก ประมาณ 3 กรัม จะปล่อยก๊าซออกมา 1 กรัม ฟอสฟีนแบบเม็ด (pellet) น้ำหนักประมาณ 0.6 กรัม จะปล่อยก๊าซออกมา 0.2 กรัม ฟอสฟีนแบบ sachet น้ำหนักประมาณ 33 กรัม จะปล่อยก๊าซออกมา 11 กรัม l แมกนีเซียมฟอสไฟด์ ปริมาณฟอสฟีนที่ได้จากแมกนีเซียมฟอสไฟด์ประมาณ 33% ของน้ำหนักรวม สูตรที่ใช้ประกอบด้วย 66% ของแมกนีเซียมฟอสไฟด์
164 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เมื่อไหร่ควรใช้ฟอสฟีน l สามารถรมผลิตผลเกษตรได้ในเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน l พบด้วงอิฐ (Trogoderma granarium) และการใช้เมทิลโบรไมด์ไม่ได้ผล l เมล็ดที่มีน้ำมันมากแต่สกัดน้ำมันออกจนเกาะกันเป็นก้อน และเมล็ดธัญพืชที่นำมาบดเป็นผง l ความงอกมีความสำคัญ เนื่องจากฟอสฟีนไม่มีผลต่อความงอกของเมล็ดพันธุ์ l ผลิตผลเกษตรที่เคยทำการรมด้วยเมทิลโบรไมด์มาก่อนแล้ว เมื่อไหร่ไม่ควรใช้ฟอสฟีน l ไม่มีทีมที่ชำนาญในการรม l รมภายใต้สภาพปิดไม่สนิท l ผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ดูดซับก๊าซได้สูง เช่น แป้ง อาหารปลา เมล็ดพืชน้ำมันบางชนิด เช่น เมล็ดฝ้าย l บริเวณที่แมลงสร้างความต้านทานต่อฟอสฟีน l อุณหภูมิต่ำกว่า 15 º C l ต้องรมในเวลาสั้น เช่น น้อยกว่า 7 วัน 2.3.2 สารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME) เนื่องจากฟอสฟีนที่อยู่ในรูปของแข็งมีความเสี่ยงในเรื่องของการติดไฟและการเกิดระเบิดของ สารตกค้างที่ใช้ไม่หมด (เหลือตกค้างประมาณ 3-5%) ในปัจจุบันมีการนำเอาสารรมฟอสฟีนที่อยู่ในรูป ของเหลวมาผสมกับคาร์บอนไดออกไซด์โดยมีสัดส่วนของฟอสฟีน 2% และคาร์บอนไดออกไซด์98% และ บรรจุในถังก๊าซที่ไม่ติดไฟภายใต้แรงดัน เรียกว่า สารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME) ผลิตโดยบริษัท CYTEC ประเทศสหรัฐอเมริกา หลายประเทศมีการนำเอาอีโคฟูมมาใช้ในการรมผลิตผลเกษตรเป็นเวลาหลายปีแล้ว ได้แก่ แคนาดา สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย จุดเด่นสำคัญของอีโคฟูม คือ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสารรมที่ไม่ติดไฟ และสามารถนำมาใช้ในการรมผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด เช่น ธัญพืช ผลไม้แห้ง ใบยาสูบ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธัญพืช นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ในการรมไม้ตัดดอกและผลไม้สดอีกด้วย ข้อดีของสารรมอีโคฟูม คือ สามารถลดระยะเวลาการรมโดยการเพิ่มความเข้มข้นได้เมื่อใส่เข้าไปภายใน กองที่รมจะอยู่ในรูปของก๊าซ จึงสามารถกำหนดระดับความเข้มข้นของก๊าซที่ต้องการได้หากระดับความ เข้มข้นของก๊าซลดลงต่ำกว่าระดับที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงก็สามารถเพิ่มสารรมในระหว่างการรมได้ เพราะอยู่ในรูปของเหลว 2.3.3 สารรมเมทิลโบรไมด์(Methyl bromide) เมทิลโบรไมด์มีชื่อทางเคมีคือ bromonethane เป็นสารรมที่ใช้กันมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1932 เมทิลโบรไมด์ มีประสิทธิภาพดีและใช้เวลาในการรมสั้น แต่ถูกระบุว่าทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ทำให้แสงอาทิตย์ส่องผ่าน มายังโลกโดยตรงทำให้โลกร้อนขึ้น และรังสีอัลตราไวโอเลตที่มากกว่าปกติก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 165 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ในพิธีสารมอนทรีออล จึงมีมาตรการลดการใช้จนถึงยกเลิกการใช้ยกเว้นการรมเพื่อการส่งออกและกักกัน พืช กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยกเลิกการใช้แล้วเมื่อปีค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ยกเลิกการใช้แล้วในปีค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) คุณสมบัติของเมทิลโบรไมด์ l เป็นก๊าซที่ไม่มีสีและกลิ่น l สูตรเคมีคือ CH3 Br l น้ำหนักโมเลกุล 94.94 l หนักกว่าอากาศ 3.27 เท่า (ที่ 0 º C) l มีจุดเดือดที่ 3.6 º C (38.5 º F) ที่ 760 มม. (จุดเดือดต่ำ คือ จะระเหยเป็นก๊าซทันที ที่อุณหภูมิปกติ) l ละลายน้ำได้น้อยมาก (0.09 กรัม ในน้ำ 100 กรัม ที่ 0 º C) l ไม่ติดไฟ ไม่ระเบิด l ไม่กัดกร่อนโลหะ เครื่องมือ เครื่องใช้ l มีความสามารถแทรกซึมสูง รวดเร็วและทั่วถึง กระจายตัวได้เร็ว l เป็นพิษต่อพืชและมีผลต่อความงอกของเมล็ดพันธุ์บางชนิด l เป็นพิษต่อแมลงและสัตว์เลือดอุ่นสูงมาก l ไม่มีพิษตกค้าง l มีCeiling concentration 5 ppm เมทิลโบรไมด์เป็นสารรมที่ใช้อย่างกว้างขวางในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร งานกักกันพืช เพื่อกำจัดศัตรูพืชที่ติดมากับพืชที่นำเข้ามา และมีการนำมาใช้ในการรมดิน (Soil Fumigation) เพื่อกำจัด ไส้เดือนฝอย แมลง เมล็ดวัชพืช และโรคพืชบางชนิดก่อนการเพาะปลูกพืช อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เมทิลโบรไมด์สามารถใช้ได้เฉพาะการรมเพื่อการส่งออกและกักกันพืชเท่านั้น เมทิลโบรไมด์มีข้อได้เปรียบกว่า สารรมอื่น ๆ คือ สามารถกำจัดแมลงได้ทุกชนิดและทุกระยะการเจริญเติบโต มีความสามารถในการแพร่ กระจายและแทรกซึมเข้าไปในกองผลิตผลเกษตรได้ดีขณะเดียวกันก็สามารถระบายก๊าซออกจากกองสินค้า ได้เร็วเมื่อสิ้นสุดการรม และที่สำคัญ คือ ใช้ระยะเวลาในการรมสั้นและเป็นสารที่ไม่ติดไฟซึ่งจะทำให้การ ปฏิบัติงานง่ายขึ้น เมทิลโบรไมด์เป็นสารไร้สีไร้กลิ่น ไม่มีกลิ่นที่ความเข้มข้นต่ำ แต่มีกลิ่นคล้ายคลอโรฟอร์มหรือ กลิ่นหวานเอียน ๆ ที่ความเข้มข้นสูง และไม่ไวไฟ ข้อเสียของเมทิลโบรไมด์คือ เป็นสารที่ไร้สีและไร้กลิ่น หากเกิดการรั่วไหลก็จะไม่มีโอกาสทราบได้ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ดังนั้น ในการผลิต เป็นการค้าบริษัทผู้ผลิตจึงมักผสม Warning gas เข้าไปด้วย เช่น ผสมก๊าซน้ำตา (Chloropicrin) 2% ซึ่งเมื่อก๊าซรั่วออกมาก็จะทำให้ผู้ใช้ทราบเพราะจะรู้สึกแสบตา
166 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร สิ่งที่ไม่ควรรมด้วยเมทิลโบรไมด์ โดยทั่วไปสิ่งที่มีส่วนประกอบของกำมะถันมากเมื่อรมด้วยเมทิลโบรไมด์จะเกิดกลิ่นไม่ดีกลิ่นที่เกิด ขึ้นนี้จะติดอยู่นาน สารรมเมทิลโบรไมด์บางอัตราจะมีผลต่อคุณภาพของผลไม้ต้นพืช และเมล็ดพันธุ์ยกเว้น แต่จะได้ทำการรมกำจัดแมลงในอัตราที่พิจารณาแล้วว่าไม่ทำลายสิ่งเหล่านั้น สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ไม่ควรรมด้วย เมทิลโบรไมด์ l เกลือทะเล และเกลือที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน l แป้งถั่วเหลือง แป้งสาลีแป้งที่มีปริมาณโปรตีนสูง แป้งทำขนมต่าง ๆ ผงซักฟอกสังเคราะห์ และสบู่ที่มีส่วนประกอบของสารสังเคราะห์ l ผลิตภัณฑ์ยางทุกประเภท เช่น ฟองน้ำ ยาง โฟม หมอนฟองน้ำ ที่นอนฟองน้ำ และเบาะนวมต่าง ๆ ที่ทำจากยาง เป็นต้น l ผลิตภัณฑ์จากขนสัตว์ต่าง ๆ l ผลิตภัณฑ์พวกหนัง โดยเฉพาะหนังจากสัตว์อายุน้อย l กระดาษที่ใช้สำหรับขัดเงิน l กระดาษที่มีส่วนประกอบของเศษผ้าและที่มีกำมะถันอยู่มาก และกระดาษหนังสือพิมพ์ l สารเคมีที่ใช้ในขบวนการผลิตรูป รูป และพิมพ์เขียว l ผักและผลไม้สด ยกเว้นที่รมสำหรับใช้ในระยะ 2-3 วัน l เมล็ดพันธุ์พืช 2.4 สารพิษตกค้าง สารพิษตกค้าง (Residues) คือ สารเคมีจำนวนเล็กน้อยที่ตกค้างในผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ หลังเสร็จสิ้นการรม พิษตกค้างได้แก่ l สารเคมีที่สารรมได้ผลิตขึ้นมา เช่น ในรูปอลูมิเนียมฟอสไฟด์ l ก๊าซของสารรม เช่น เมทิลโบรไมด์ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนรูปร่างภายหลังการรมที่อุณหภูมิต่ำ l สารประกอบที่สร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อสารรมได้ทำปฏิกิริยากับผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ ในขณะทำการรม เช่น สารพิษโบรไมด์ภายหลังการรมด้วยเมทิลโบรไมด์ ปริมาณสารพิษตกค้างขึ้นอยู่กับสภาพเมื่อทำการรม และระยะเวลาในการระบายอากาศ ถ้ามีพิษ ตกค้างจำนวนมากอยู่ในผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน หรือบุคคลอื่น ซึ่งสัมผัสกับผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ปลดปล่อยก๊าซออกมา Codex Alimentarius (1987) ได้กำหนดปริมาณพิษตกค้างที่ยอมรับได้ในผลิตภัณฑ์หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมล็ดธัญพืช และ อาหาร (Maximum residue limits (MRLs)) เป็นระดับสูงสุดที่อนุญาตให้มีในเมล็ดธัญพืช และอาหาร ดังนี้ปริมาณสารพิษตกค้างของฟอสฟีน (hydrogen phosphide) ในเมล็ดที่ไม่ได้ผ่านขบวนการแปรรูป เท่ากับ 0.1 mg/kg และเมล็ดที่ผ่านขบวนการแปรรูปเท่ากับ 0.01 mg/kg ปริมาณสารพิษตกค้างของ เมทิลโบรไมด์เท่ากับ 50 mg/kg ในรูปของโบรไมด์ไอออน (bromide ion) และในรูปของก๊าซเมทิลโบรไมด์ เท่ากับ 1 mg/kg
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 167 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร โครงสร้างที่ใช้ในการรม การรมผลิตผลเกษตรบรรจุในกระสอบ ภายใต้ผ้าพลาสติก การรมผลิตผลเกษตรในไซโล การรมผลิตผลเกษตรบรรจุใน ตู้คอนเทเนอร์ภายใต้ผ้าพลาสติก การรมผลิตผลเกษตรบรรจุใน ตู้คอนเทเนอร์เพื่อขนส่งทางเรือ
168 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ชนิดชองสารรม สารรมฟอสฟีนแบบเมล็ด (tablet) สารรมเมทิลโบรไมด์ สารรม ECO2 FUME สารรม Sulfuryl fluoride สารรมฟอสฟีนแบบ Blanket
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 169 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร พิษตกค้างเกิดขึ้นได้ในระหว่างการรมและทำให้เกิดน้อยที่สุดได้ด้วยการใช้อัตราสารรม ระยะเวลา และวิธีการที่ถูกต้อง เมื่อรมผลิตผลเกษตรด้วยสารรมและปล่อยให้มีการระบายอากาศอย่างเหมาะสม ระดับสารพิษตกค้างของสารรมจะลดลงต่ำกว่าระดับค่า MRLs ทั้งนี้เนื่องจากสารรมเกือบทุกชนิดเป็นสารที่ สลายตัวได้ง่าย เมื่อทำการระบายอากาศสารรมจะถ่ายเทออกจากผลิตผลเกษตรได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถ นำผลิตผลเกษตรมาบริโภคได้อย่างปลอดภัย 2.5 การพิจารณาเลือกใช้สารรม การใช้สารรมอย่างเหมาะสมจะทำให้การรมมีประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลาย ประการ ได้แก่ l ระยะเวลา หากต้องการรมผลิตผลเกษตรในระยะเวลา 1-2 วัน ควรใช้สารรมเมทิลโบรไมด์ สารรม ECO2 FUME หรือสารรม Sulfuryl fluoride เท่านั้น ไม่สามารถใช้สารรมฟอสฟีนได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการรม 7 วัน และถ้ารมด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ต้องใช้เวลาในการรม อย่างน้อย 15 วัน เนื่องจากการรมแต่ละครั้งจะต้องรักษาระดับความเข้มข้นของสารรม ให้คงที่ในอัตราและระยะเวลาที่กำหนดเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ที่เป็นเป้าหมาย l ชนิดของผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่จะทำการรม เนื่องจากผลิตผลเกษตรหรือ ผลิตภัณฑ์ที่นำมารมส่วนใหญ่นั้นเป็นอาหารของมนุษย์สารรมอาจทำปฏิกิริยากับผลิตผล เกษตรหรือผลิตภัณฑ์เหล่านั้นทำให้มีสารตกค้างที่ไม่ปลอดภัย อีกประการหนึ่งผลิตผล เกษตรหรือผลิตภัณฑ์อาจมีการดูดซับก๊าซจนทำให้ความเข้มข้นของสารรมลดลงอย่างมาก ในกรณีที่จะรมเมล็ดพันธุ์และนำเมล็ดพันธุ์นั้นไปปลูก ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการ งอก และความเป็นพิษต่อเมล็ดและต้นกล้าด้วย l ชนิดของศัตรู l สถานที่ สถานที่สำหรับรมยาควรจะมีการระบายอากาศที่ดีต้องมีที่กำบังลมและฝน ต้องสามารถป้องกันอุณหภูมิต่ำได้ l ข้อจำกัดทางเศรษฐศาสตร์ค่าใช้จ่ายของการรม และราคาผลิตผล การประเมินเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายของสารรมต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบที่จำเป็นดังนี้ - ราคาของสารรม - ค่าใช้จ่ายในการนำสารรมไปยังสถานที่รม - ค่าใช้จ่ายเนื่องจากความล่าช้าและการจัดการอื่น ๆ ในช่วงที่ดำเนินการรมและระบาย อากาศ - ค่าใช้จ่ายของเครื่องมือและบุคลากรที่ใช้ในการรม และเคลื่อนย้ายกลับจากสถานที่ใช้รม - ค่าใช้จ่ายสำหรับความปลอดภัยในการรม l ผลกระทบกับสภาพแวดล้อม l ความสะดวกในการรม
170 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร l ปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายที่ต้องการกำจัด ในบางกรณีการเลือกใช้ สารรมนั้นขึ้นอยู่กับการที่สารรมจะทำปฏิกิริยากับวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาทำเป็นโครงสร้างและ ใช้ในการป้องกันการรั่วไหล สารรมฟอสฟีนจะทำปฏิกิริยากับทองแดง และโลหะผสมทองแดง ดังนั้น จึงเป็นอันตรายกับอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีส่วน ประกอบทำด้วยโลหะหรือทองแดง สารรมเมทิลโบรไมด์ทำลายยางธรรมชาติและสารผสม อื่นที่ประกอบขึ้นจากกลุ่มกำมะถันอิสระ และยังทำลายอลูมิเนียมด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง เช่น คอนกรีตที่ยังใหม่ l ความต้องการของตลาด การรมผลิตผลเพื่อส่งออกขึ้นอยู่กับความต้องการของประเทศ นำเข้าโดยพิจารณาจากกฎหมายกักกันพืชของแต่ละประเทศ ในบางประเทศอาจต้องการให้ ผลิตผลเกษตรหรือวัสดุที่จะนำเข้าประเทศต้องผ่านการรมด้วยสารเคมีชนิดหนึ่งชนิดใด โดยเฉพาะ เช่น เมทิลโบรไมด์ 2.6 การรมผลิตผลเกษตรด้วยสารรมภายใต้ผ้าพลาสติก 2.6.1 อุปกรณ์ที่ใช้ในการรม l ผ้าพลาสติก (gas-proof sheet หรือ tarpaulin) l ถุงทราย (sand snake) กระดาษกาวย่น l เครื่องวัดความเข้มข้นก๊าซ l ท่อปล่อยก๊าซ ท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ l อุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากสารพิษ เช่น หน้ากากป้องกันสารพิษ ตัวกรองสารพิษ เครื่องช่วย หายใจชนิดอัดอากาศ (SCBA) l อุปกรณ์ซ่อมแซมรอยฉีกขาด เช่น ผ้าพลาสติก กาว เทปติดสันหนังสือ l แผ่นรองมุม ถุงมือ บันได ถาดพลาสติก ป้ายเตือนอันตราย เทปวัดความยาว l เครื่องชั่ง พัดลม หม้อต้ม (vaporizer) l สารรม 2.6.2 การเตรียมการสำหรับรมยา สถานที่รมยา ควรระบายอากาศได้ดีมีที่กำบังลมฝน และป้องกันอุณหภูมิต่ำได้ พื้น อากาศต้องผ่านเข้าออกไม่ได้เพื่อให้กักเก็บก๊าซได้พื้นผิวที่เหมาะในการรมยา ได้แก่ พื้นคอนกรีตที่ไม่มีรอยแตก รอยแยก ท่อระบายน้ำ หรือช่องทางให้ก๊าซรั่วไหลออกไป พื้นผิวเรียบ ไม่มีหิน และวัตถุมีคม สามารถปิดผนึกระหว่างผ้าพลาสติกและผิวหน้าของพื้นให้สนิทได้พื้นผิวที่ไม่เหมาะในการรมยา ได้แก่ พื้นดินเหนียว พื้นทราย พื้นหินที่มีรอยแตก พื้นผิวที่เป็นไม้
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 171 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ไม้พาเลท (Pallets) ผลิตผลเกษตรควรกองบนไม้พาเลท การกองผลิตผลเกษตร ต้องกองแยกห่างจากกันและห่างจากผนังโรงเก็บอย่างน้อย 1 เมตร ทางเดินภายในโรงเก็บต้องกว้างอย่างน้อย 2 เมตร ให้กองผลิตผลเกษตรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งจะใช้ผ้า พลาสติกและสารรมน้อยกว่าการกองผลิตผลเกษตรอย่างไม่เป็นระเบียบ กองผลิตผลเกษตรต้องจัดเรียงให้ดี เพื่อให้การหมุนเวียนก๊าซเป็นไปอย่างทั่วถึงและไม่ล้มระหว่างรมยา สินค้าที่เป็นผงละเอียด เช่น แป้ง กากเมล็ด ฝ้ายป่นละเอียด สินค้าเป็นมัด (bale) เช่น ยาสูบ ต้องวางให้มีช่องว่างเป็นระยะ ๆ เนื่องจากก๊าซแทรกซึมได้ ช้า ถ้ากองผลิตผลเกษตรใกล้ผนังโรงเก็บหรือรอบ ๆ เสาต้องเคลื่อนย้ายกองใหม่ ผู้ปฏิบัติงาน จำนวนผู้ปฏิบัติงานขึ้นกับขนาดของการรม และการใส่สารรมและการระบายอากาศ ต้องมีผู้ปฏิบัติงานอย่างน้อย 2 คน คนหนึ่งต้องชำนาญการรมและมีใบอนุญาตรมยาจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งเป็นผู้กำหนดวิธีการ รับผิดชอบความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรม 2.6.3 การวัดปริมาตรของกองผลิตผลเกษตร (Volume) ปริมาตรของกองผลิตผลเกษตร คือ พื้นที่ทั้งหมดภายใต้ผ้าพลาสติกรมยา คำนวณได้ดังนี้ ปริมาตรของกองผลิตผลเกษตร = กว้าง x ยาว x สูง หน่วย ลูกบาศก์เมตร การวัดปริมาตรของกองผลิตผลเกษตรเพื่อใช้ในการคำนวณอัตราการใช้สารรม จำเป็นต้องวัด ขนาดกองผลิตผลเกษตรจริงห้ามใช้การประมาณ ถ้ากองผลิตผลเกษตรลาดเอียงจากบนลงล่าง ให้วัดความ ยาวทั้งด้านบนและด้านล่างแล้วใช้ค่าเฉลี่ย 2.6.4 อัตราการใช้สารรม (Dosage) อัตราการใช้สารรม คือ ปริมาณสารรมที่ใส่เข้าไปในกองที่รม ตามระยะเวลาที่กำหนด (Exposure period) อัตราการใช้ต้องกำกับระยะเวลาด้วยเสมอ เช่น x (g/m3 ) หรือ y (g/t) ระยะเวลา 7 วัน อัตราการใช้ภายใต้ระยะเวลา (CT) คือ ความเข้มข้น (Concentration) x เวลา (Time) เนื่องจาก สารรมบางชนิด เช่น เมทิลโบรไมด์ซัลฟูริลฟูลออไรด์สามารถเพิ่มความเข้มข้นและลดระยะเวลาที่ใช้ในการ รมได้อัตราการใช้ดูจากคำแนะนำบนฉลากของบริษัทผู้ผลิตซึ่งจะระบุวิธีการใช้ชนิดของผลิตผลเกษตรหรือ ผลิตภัณฑ์ที่รม อัตรา และระยะเวลาที่ใช้ในการรม ปริมาณสารรม ใช้2 แบบ คือ คำนวณตามน้ำหนักต่อผลิตผลเกษตร 1 ตัน หรือคำนวณ ตามปริมาตรต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร การคำนวณปริมาณการใช้สารรมต้องนำปริมาตรของพื้นที่ว่าง มารวมด้วย เช่น ในกรณีที่กองผลิตผลเกษตรไม่เป็นระเบียบมีพื้นที่ว่างภายในต้องนำปริมาตรของพื้นที่ว่าง มาคำนวณปริมาณสารรมด้วย ระยะเวลาในการรม การรมผลิตผลเกษตรจะใช้ระยะเวลาเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของสารรมที่ใช้ แต่ถ้าทำการรมที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 º C จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลาในการรม การใช้ฟอสฟีนความเข้มข้นต่ำ แต่ระยะเวลานานมีประสิทธิภาพดีกว่าการรมด้วยฟอสฟีนความเข้มข้นสูงแต่ระยะเวลาสั้น เนื่องจาก ฟอสฟีนสามารถฆ่าแมลงระยะอ่อนแอ คือ หนอนและตัวเต็มวัยได้แต่ไม่สามารถฆ่าระยะทนทาน คือ ไข่และดักแด้ได้การเพิ่มปริมาณฟอสฟีนไม่สามารถฆ่าสองระยะนี้ได้ต้องปล่อยให้พัฒนาไปสู่ระยะอ่อนแอ จึงสามารถฆ่าได้ดังนั้น ความเข้มข้นของฟอสฟีนต้องอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลง
172 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร นานเพียงพอเพื่อให้ไข่พัฒนาเป็นหนอน และดักแด้พัฒนาเป็นตัวเต็มวัย แต่ถ้าความเข้มข้นของฟอสฟีนสูง เกินไปแมลงจะเกิดอาการสลบ (narcosis) เพื่อลดความเป็นพิษของฟอสฟีนด้วยการลดอัตราการหายใจ เป็นการปกป้องแมลงจากพิษของฟอสฟีนซึ่งจะทำให้แมลงได้รับฟอสฟีนน้อยลงมากแมลงจึงรอดชีวิต ดังนั้น การใช้สารรมฟอสฟีนควรเพิ่มระยะเวลาโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณสารรม แต่การเพิ่มระยะเวลาในการ รมจะมีประสิทธิภาพเมื่อรมในสภาพปิดผนึกสนิทเท่านั้น อัตราการใช้สารรมฟอสฟีน คำนวณตามน้ำหนักใช้ อัตรา 2-3 เม็ด (tablets) ต่อผลิตผลเกษตร 1 ตัน และคำนวณตามปริมาตรใช้อัตรา 1-2 เม็ด (tablets) ต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาในการรม 7 วัน แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรบางชนิด เช่น ด้วงงวง ด้วงถั่ว และ เหาหนังสือ มีความทนทานต่อฟอสฟีน มากกว่าแมลงชนิดอื่น จึงต้องการเวลา 7-10 วัน หรือนานกว่านี้ไม่แนะนำให้รมฟอสฟีนในเวลา 3 วัน เนื่องจากเวลาสั้นเกินไปไม่สามารถฆ่าแมลงได้ทั้งหมด และอาจเกิดอันตรายกับผู้ปฏิบัติงานขณะเปิดกอง เพื่อระบายอากาศ เนื่องจากฟอสฟีนเป็นก๊าซที่มีพิษสูงมากควรหลีกเลี่ยงการสูดดมแม้เพียงเล็กน้อย การสูด ดมก๊าซฟอสฟีนที่ความเข้มข้น 2.8 mg/L หรือ 2.8 g/m3 (ประมาณ 2,000 ppm) ทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ ในระยะเวลาอันสั้น อัตราการใช้สารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME) คำนวณตามปริมาตร ใช้อัตรา 25 กรัมต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร (350 ppm) ระยะเวลาในการรม 3 วัน อัตรา 50 กรัมต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร (700 ppm) ระยะเวลาในการรม 2 วัน อัตรา 70 กรัมต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์เมตร (1,000 ppm) ระยะเวลาในการรม 1 วัน และต้องวัดความเข้มข้นของก๊าซทุกวันหากพบว่าความเข้มข้นของก๊าซต่ำกว่าระดับที่กำหนด ต้องเพิ่ม ปริมาณสารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME) เข้าไปภายในกองที่รม ยกเว้นเมื่อพบการเข้าทำลายของแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรที่ต้านทานต่อสารรม เช่น มอดหนวดยาวและมอดหัวป้อม จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณสารรม ให้สูงกว่านี้ อัตราการใช้สารรมเมทิลโบรไมด์คำนวณตามปริมาตร ใช้อัตรา 2 ปอนด์ต่อเนื้อที่ 1,000 ลูกบาศก์ฟุต (ประมาณ 30 ลูกบาศก์เมตร) ระยะเวลาการรม 24 ชั่วโมง 2.6.5 ขั้นตอนการรมยา (Fumigation practice) (1) ทำความสะอาดพื้นโรงเก็บและปูผ้ารองพื้น (floor sheet) ถ้าพื้นผิวของสถานที่รมยาไม่ เหมาะสมให้ปูผ้ารองพื้น การปูผ้ารองพื้นต้องเหลือพื้นที่เลยจากกองผลิตผลเกษตรทุกด้านประมาณ 1 เมตร เพื่อให้สามารถทับชายผ้าพลาสติกรมยากับผ้าปูรองพื้นได้ (2) กองผลิตผลเกษตรบนฐานรองพื้น (pallets) (ถ้ามี) ถ้าวางผลิตผลเกษตรบนฐานรองพื้นให้ วางแผ่นรองมุมด้วยเพื่อป้องกันฐานรองพื้นเกี่ยวผ้าพลาสติกขาด ขอบของกองผลิตผลเกษตรต้องพอดีกับ ขอบของไม้รองพื้น ถ้าขอบของกองผลิตผลเกษตรไม่พอดีกับขอบของไม้รองพื้นอาจเกี่ยวผ้าพลาสติกขาดได้ (3) คลุมกองผลิตผลเกษตรด้วยผ้าพลาสติก โดยผ้าพลาสติกที่นำมาคลุมกองผลิตผลเกษตรต้อง ยกและถือไป ห้ามลากบนพื้นโรงเก็บโดยเด็ดขาด เนื่องจากผ้าพลาสติกอาจเสียหายและทำให้อายุการใช้งาน สั้นลง
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 173 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร (4) ตรวจสอบรอยฉีกขาดและรูรั่วของผ้าพลาสติก หลังคลุมกองผลิตผลเกษตรเรียบร้อยแล้วให้ ตรวจสอบรอยฉีกขาดและรูรั่วของผ้าพลาสติกด้วยความระมัดระวังหากพบให้ซ่อมแซมทันที (5) การทับชายผ้าพลาสติกกับพื้น เพื่อป้องกันการรั่วไหลของก๊าซ ต้องทับชายผ้าพลาสติกให้ แนบสนิทไปกับพื้น โดยใช้ถุงทรายหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามพบว่าการใช้ถุงทรายมี ประสิทธิภาพดีที่สุด (6) การใส่สารรม การใส่ฟอสฟีนชนิดเม็ด (tablet หรือ pellet) ในกองผลิตผลเกษตร l การเปิดกระป๋องฟอสฟีนต้องทำด้วยความระมัดระวังเพราะอาจมีก๊าซฟอสฟีนอยู่ภายใน ขณะเปิดต้องหันฝากระป๋องออกจากตัวและห่างจากใบหน้า เทเม็ดฟอสฟีนบนถาดกระดาษ หรือพลาสติกเพื่อไม่ให้ปนเปื้อนผลิตผลเกษตร และจัดการเศษผงที่เกิดจากการสลายตัวของ ฟอสฟีนได้อย่างปลอดภัยหลังเสร็จสิ้นการรม l การวางเม็ดฟอสฟีนต้องวางกระจายชั้นเดียวหรือไม่เกิน 2 ชั้น เนื่องจากการวางฟอสฟีน เป็นกองตั้งสูงอาจเกิดการระเบิดได้ และเม็ดฟอสฟีนด้านล่างอาจถูกปกคลุมด้วยเศษผง ที่เกิดจากการสลายตัวของฟอสฟีนด้านบนทำให้ไม่สลายตัว l วางถาดกระดาษหรือพลาสติกบรรจุฟอสฟีนไว้ด้านล่างขนานไปด้านข้างของกองผลิตผล เกษตร วางกระจายรอบกองตามจุดที่กำหนดไว้ ถ้าผลิตผลเกษตรวางบนไม้รองพื้นให้วาง ฟอสฟีนใต้ไม้รองพื้น ไม่จำเป็นต้องวางด้านบนหรือด้านในของกองผลิตผลเกษตร l การวางฟอสฟีนต้องมีทีมงาน 2-3 คน ทำงานร่วมกันจากด้านหลังไล่ไปประตูด้านหน้า ดังนี้ คนที่หนึ่งเปิดผ้าพลาสติก คนที่สองเปิดกระป๋องและวางเม็ดฟอสฟีนใต้ไม้รองพื้นหรือ ด้านข้าง คนที่สามปิดผนึกผ้าพลาสติกกับพื้นด้วยถุงทรายสองชั้น วางเม็ดฟอสฟีนด้วย ความรวดเร็วและระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมก๊าซฟอสฟีน การใส่สารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME) หรือเมทิลโบรไมด์ในกองผลิตผลเกษตร l เดินสายท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซภายในกองผลิตผลเกษตรให้เรียบร้อย โดยเดินสายท่อสุ่ม ตัวอย่างก๊าซไว้ด้านบน ตรงกลาง และด้านล่างของกองผลิตผลเกษตร เพื่อวัดความเข้มข้น ของก๊าซในระหว่างการรม l ต่อท่อปล่อยก๊าซเข้าไปภายในกองผลิตผลเกษตร ใช้เทปผ้าหรือถุงทรายทับบริเวณหัวท่อ ปล่อยก๊าซ เพื่อป้องกันการสะบัดของท่อปล่อยก๊าซ l คลุมกองผลิตผลเกษตรด้วยผ้าพลาสติกจากนั้นทับชายผ้าพลาสติกด้วยถุงทรายให้เรียบร้อย l เปิดวาล์วปล่อยก๊าซเข้าไปในกองผลิตผลเกษตรตามอัตราที่กำหนด โดยใช้เครื่องชั่ง l ตรวจเช็คการรั่วไหลของก๊าซตามจุดต่าง ๆ รอบกองผลิตผลเกษตร หากพบต้องทำการแก้ไข ทันทีเมื่อครบ 1 ชั่วโมง วัดความเข้มข้นของก๊าซภายในกอง การรมด้วยสารรมอีโคฟูมต้องวัด ความเข้มข้นของก๊าซทุก 24 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาการรม ถ้าความเข้มข้นของก๊าซต่ำกว่า ระดับที่กำหนดต้องเติมสารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME)
174 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร (7) กั้นเขตพื้นที่อันตราย ควรกั้นเชือกรอบบริเวณที่รม ห่างจากกองอย่างน้อย 5 เมตร และ ติดสัญลักษณ์แสดงเขตพื้นที่อันตรายไว้โดยรอบ ซึ่งต้องแสดงชนิดของสารรม ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด การรม ชื่อและที่อยู่บริษัทที่รม เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกรณีฉุกเฉิน ห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าสถานที่รมยา โดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าโรงเก็บนั้นยังเปิดและมีผู้ปฏิบัติงานอยู่ต้องมีผู้ดูแลจนกว่าโรงเก็บจะปิด (8) วิธีปฏิบัติเมื่อครบกำหนดการรม การรมผลิตผลเกษตรด้วยสารรมต้องปล่อยไว้จนครบ กำหนดเวลาของการรมตามชนิดของสารรม หลังเสร็จสิ้นการรมจะเหลือก๊าซจำนวนหนึ่งในกองผลิตผล เกษตร ต้องระบายอากาศ (Aeration) เพื่อลดความเข้มข้นของก๊าซให้อยู่ในระดับปลอดภัย เมื่อเปิดกอง ผลิตผลเกษตรก๊าซฟอสฟีนหรือก๊าซเมทิลโบรไมด์ที่ดูดซับไว้โดยผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์จะถูกปลด ปล่อยออกมา (Desorption) และแพร่กระจายออกไป ถ้ารมที่อุณหภูมิต่ำการปลดปล่อยก๊าซต้องใช้เวลานาน เมื่ออุณหภูมิหรือความชื้นสูงการปลดปล่อยก๊าซจะเร็วขึ้น ความเร็วในการระบายอากาศขึ้นกับความเข้มข้น ของก๊าซภายในกอง ปริมาตรของกอง โกดังที่ทำการรม แรงลมและทิศทางของแรงลม สามารถเร่งความเร็ว ในการระบายอากาศและการปลดปล่อยก๊าซได้ด้วยการเพิ่มอัตราการไหลของอากาศผ่านเข้าไปรอบ ๆ กองที่รม โดยเปิดประตูและหน้าต่างโรงเก็บ หรือใช้พัดลมเร่งการเคลื่อนที่ของอากาศ การระบายอากาศ ควรทำตอนเย็นหลังเลิกงานเพื่อป้องกันไม่ให้คนงานสูดดมก๊าซเข้าไป ถ้าเป็นไปได้ปล่อยให้มีการระบาย อากาศตลอดคืน เวลาในการระบายอากาศไม่สามารถคาดเดาได้ว่านานแค่ไหน การระบายอากาศโดยใช้ ธรรมชาติบางครั้งอาจกินเวลานานถึง 5 วัน นอกจากนี้ต้องระวังผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ดูดซับก๊าซ ได้มาก เช่น แป้ง เมล็ดพืชที่มีน้ำมันมาก ผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องการเวลาในการระบาย อากาศนานกว่าปกติไม่เช่นนั้นอาจเกิดพิษตกค้างขึ้นได้ภายหลังเสร็จสิ้นการระบายอากาศต้องทิ้งผลิตผล เกษตรหรือผลิตภัณฑ์เอาไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนนำไปบริโภคหรือใช้เป็นอาหารสัตว์ถ้าเป็นผลิตผล เกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ดูดซับก๊าซได้มาก เช่น แป้ง อาจต้องใช้ระยะเวลาในการระบายอากาศนานกว่านี้ ต้องวัดความเข้มข้นของก๊าซด้วยเครื่องวัดก๊าซระดับความเข้มข้นต่ำบริเวณที่รม จะอนุญาตให้เข้าไปเคลื่อน ย้ายหรือจัดการกับผลิตผลเกษตรได้เมื่อพบว่าความเข้มข้นบริเวณรอบ ๆ และในกองผลิตผลเกษตรลดลง เท่ากับหรือต่ำกว่าระดับค่าความปลอดภัย (TLV) 2.6.6 ผ้าพลาสติกสำหรับรมยา (gas-proof sheets, tarpaulin) ผ้าพลาสติกที่เหมาะกับการรมยาจะเรียกว่า gas proof sheet มีการพัฒนาผ้าพลาสติกชนิดใหม่ ๆ ที่เหมาะสมในการรมยา ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ PVC เคลือบด้วยผ้า นอกจากนี้ผ้าพลาสติกที่ทำ จาก polyethylene หรือ polyvinyl chloride สามารถใช้เป็นผ้าพลาสติกสำหรับรมยาเช่นเดียวกัน ผ้าพลาสติกสำหรับรมยาควรมีคุณสมบัติดังนี้ คุณสมบัติของผ้าพลาสติก l ทนทานต่อแสงอัลตราไวโอเลต (คงตัวที่แสง UV 3%) l ทนทานต่อการฉีกขาด l คงสภาพที่อุณหภูมิสูงกว่า 80 º C l ก๊าซฟอสฟีนไม่สามารถผ่านได้(การสูญเสียก๊าซต้องน้อยกว่า 1 มิลลิกรัม/วัน/ตารางเมตร)
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 175 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร l ก๊าซเมทิลโบรไมด์ไม่สามารถผ่านได้(การสูญเสียก๊าซต้องน้อยกว่า 0.02 กรัม/วัน/ตารางเมตร) l ผ้าพลาสติกควรมีน้ำหนักเบาเพื่อให้ยกง่าย (น้ำหนักเฉลี่ย คือ 200-250 กรัม/ตารางเมตร) ขนาดมาตรฐานของผ้าพลาสติกที่ใช้ คือ 18 X 12 เมตร ควรหลีกเลี่ยงผ้าพลาสติก ขนาดใหญ่เกินไปเพราะน้ำหนักมากจะไม่สะดวกเวลาปฏิบัติงาน การเลือกใช้ผ้าพลาสติก ขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้ l เป็นผ้าพลาสติกที่ทำจากวัสดุในประเทศ ราคาถูก l สารรมไม่สามารถซึมผ่านได้ l น้ำหนักของผ้าพลาสติกไม่มากเกินไป l วัสดุแข็งแรงทนทานต่อการฉีกขาด แสง UV และความร้อน l ขึ้นกับวัตถุประสงค์การใช้ผ้าพลาสติกหนา 0.1 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับใช้ครั้งเดียวและ ผ้าพลาสติกหนา 0.2 มิลลิเมตรใช้ซ้ำได้แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างดีไม่ให้มีรอยฉีกขาดหรือรูรั่ว l ความหนาของผ้าพลาสติกใช้หน่วยมิลลิเมตรหรือไมครอน (1 ไมครอน = 1,000 มิลลิเมตร) น้ำหนักของผ้าพลาสติกใช้หน่วยกรัมต่อตารางเมตร การคำนวณขนาดของผ้าพลาสติก ทำได้โดยวัดความกว้าง ความยาว และความสูงของกอง ผลิตผลเกษตร l ความกว้างของผ้าพลาสติกคำนวณได้ดังนี้ ความกว้าง = ความกว้าง + (2 x ความสูง) + 2 เมตร l ความยาวของผ้าพลาสติกคำนวณได้ดังนี้ ความยาว = ความยาว + (2 x ความสูง) + 2 เมตร การตรวจสอบและซ่อมแซมผ้าพลาสติก การตรวจสอบผ้าพลาสติก ตรวจสภาพผ้าพลาสติกทุกครั้งก่อนใช้งาน วิธีดีที่สุด คือ แขวนผ้า พลาสติกบนท่อยาวภายในโรงเก็บและเปิดประตูแสงจะส่องผ่านรูรั่วหรือรอยฉีกขาด ทุกจุดที่พบต้อง ซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดี การซ่อมแซมผ้าพลาสติก l การซ่อมแซมแบบชั่วคราว ถ้ารูรั่วหรือรอยฉีกขาดมีขนาดเล็กให้ใช้เทปผ้าปิดทั้งสองด้าน ของผ้าพลาสติก ควรเปลี่ยนเป็นการซ่อมแซมแบบถาวรทุกครั้งที่ตรวจสอบผ้าพลาสติก เนื่องจากการซ่อมแซมแบบชั่วคราวหลุดออกได้ง่ายเมื่อรมยากลางแจ้งหรือได้รับความร้อน l การซ่อมแซมแบบถาวร ถ้ารอยฉีกขาดมีขนาดใหญ่ต้องซ่อมแซมแบบถาวร โดยใช้ผ้า พลาสติกชนิดเดียวกันนำมาทากาวติดกัน ต้องเป็นกาวชนิดพิเศษสำหรับติดผ้าพลาสติก เท่านั้น เช่น ผ้าพลาสติกที่เป็น PVC ต้องใช้กาวที่ทำละลาย PVC ได้หรือใช้ความร้อนเชื่อมผ้า พลาสติกให้ติดกัน ห้ามเย็บผ้าพลาสติกติดกันโดยเด็ดขาด เนื่องจากรูที่เกิดจากเข็มจะทำให้ เกิดการรั่วไหลของก๊าซ และทำให้ผ้าพลาสติกไม่แข็งแรงเป็นเหตุให้เกิดรอยฉีกขาดใหญ่ขึ้น การซ่อมแซมผ้าพลาสติกทำได้ดังนี้
176 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การเชื่อมต่อผ้าพลาสติก กองผลิตผลเกษตรขนาดใหญ่ต้องใช้ผ้าพลาสติกมากกว่าหนึ่งผืนในการ คลุม จึงจำเป็นต้องเชื่อมต่อผ้าพลาสติกซึ่งทำให้มีขนาดเท่าไหร่ก็ได้แต่ต้องระมัดระวังบริเวณรอยต่อ เนื่องจากเป็นจุดอ่อนแอที่มักเกิดการรั่วไหลของก๊าซ เพื่อป้องกันการฉีกขาดและการรั่วไหลของก๊าซต้อง ทำให้รอยต่อมีความแข็งแรง การเชื่อมต่อผ้าพลาสติกควรทำตามแนวดิ่ง คือ จากด้านบนลงมาด้านล่างของ อีกด้านหนึ่งของกอง ควรใช้คลิปหนีบทุก 20 ซม. ไม่ควรเชื่อมต่อผ้าพลาสติกในแนวนอนถ้าจำเป็นต้องเชื่อม ในแนวนอนให้ทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ห้ามใช้การเย็บเชื่อมต่อผ้าพลาสติก แต่ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ ผ้าพลาสติกผืนเดียวในการรมยาเพื่อลดโอกาสการรั่วไหลของก๊าซ การเก็บรักษาผ้าพลาสติก การเก็บรักษาควรม้วนเก็บ และเก็บในห้องที่ไม่มีหนูเพราะหนูอาจ ทำให้ผ้าพลาสติกเสียหายได้ ถ้าเก็บไม่ถูกวิธีและไม่ตรวจสอบเป็นประจำอาจเกิดความเสียหายเกินกว่าจะ ซ่อมแซมได้อายุการใช้งานของผ้าพลาสติกจะสั้นลง การพับผ้าพลาสติกอย่างถูกต้องและม้วนเก็บให้เป็น ระเบียบจะคลี่ออกได้ง่ายและคลุมกองผลิตผลเกษตรได้สะดวก ข้อควรระวังในการใช้ผ้าพลาสติก ผ้าพลาสติกต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดรูรั่วหรือ รอยฉีกขาด ดังนี้ l การเคลื่อนย้ายต้องยกตลอดเวลา ไม่ลากบนพื้นหรือบนไม้รองพื้น (pallet) การลากจะ ทำให้ผ้าพลาสติกเสียหาย ลดคุณภาพ และอายุการใช้งานของผ้าพลาสติก l ต้องไม่กระชากผ้าพลาสติกแรงเกินไปขณะคลุมกองผลิตผลเกษตร เพราะอาจทำให้ผ้า พลาสติกฉีกขาดและซ่อมแซมยาก l หลีกเลี่ยงการเดินบนผ้าพลาสติกเพราะถ้ามีก้อนหินก้อนเล็ก ๆ อยู่บนพื้นจะทำให้เกิดรูรั่ว l ตรวจสอบผ้าพลาสติกใหม่ให้แน่ใจว่าไม่ได้รับความเสียหายระหว่างขนส่ง
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 177 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การรมผลิตผลเกษตรด้วยสารรมภายใต้ผ้าพลาสติก ทำความสะอาดพื้นโรงเก็บ กองผลิตผลเกษตรห่างจากกันประมาณ 0.5 - 1 เมตร กองผลิตผลเกษตรให้เป็น รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กองผลิตผลเกษตรห่างผนังประมาณ 0.5 - 1 เมตร
178 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การใส่สารรมฟอสฟีนในกองผลิตผลเกษตร การใส่สารรมอีโคฟูมและสารรมเมทิลโบรไมด์ในกองผลิตผลเกษตร ทับชายผ้าพลาสติกด้วยถุงทรายให้เรียบร้อย เดินสายท่อวัดก๊าซ การใส่ฟอสฟีนชนิดเม็ด (tablet) ในกองผลิตผลเกษตร ทับชายผ้าพลาสติกด้วยถุงทราย ให้เรียบร้อย
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 179 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การใส่สารรมอีโคฟูมและสารรมเมทิลโบรไมด์ในกองผลิตผลเกษตร การใส่สารรมอีโคฟูม (ECO2 FUME) ในกองผลิตผลเกษตร การกั้นเขตพื้นที่อันตราย การใส่สารรมเมทิลโบรไมด์ ในกองผลิตผลเกษตร
180 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ผ้าพลาสติกสำหรับรมยา ผ้าพลาสติกสำหรับรมยา การเชื่อมต่อผ้าพลาสติกให้ใช้คลิปหนีบทุก ๆ 20 ซม. การเคลื่อนย้ายผ้าพลาสติกต้องใช้การยกและไม่ควรลากผ้าพลาสติกกับพื้น
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 181 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2.6.7 การทับชายผ้าพลาสติกสำหรับรมยา (Sealing) การทับชายผ้าพลาสติกเพื่อให้โครงสร้างชั่วคราวที่สร้างขึ้นสำหรับรมยาสามารถกักเก็บก๊าซไว้ได้ โดยนำสิ่งที่มีน้ำหนักวางทับบนชายผ้าพลาสติกให้ติดกับพื้นอย่างแน่นหนาป้องกันการรั่วไหลของสารรม เพื่อให้ความเข้มข้นของก๊าซคงอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพตลอดระยะเวลาการรม วัสดุที่ใช้ทับชายผ้าพลาสติก ถุงทราย เป็นถุงที่ทำแบบง่าย ๆ ลักษณะเป็นหลอดใส่ทรายเข้าไปภายใน ทำจากวัสดุได้หลายชนิด เช่น ผ้าใบเก่า ผ้าพลาสติกรมยาเก่า ผ้าดิบ และกระสอบหรือถุงปุ๋ย โดยตัดให้ได้เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม. และความยาวประมาณ 80-100 ซม. เย็บเป็นถุงเติมทรายแห้งแล้วผูกปมที่ด้านปลาย ไม่ควรเติมทราย มากกว่า 85-90% ของความจุ ถุงทรายเป็นวัสดุดีที่สุดในการทับชายผ้าพลาสติกเนื่องจากมีความยืดหยุ่น และสามารถกดลงบนพื้นที่ไม่เรียบมากได้ ลักษณะนิ่มจึงไม่ทำให้ผ้าพลาสติกเสียหาย ให้น้ำหนักมากใน บริเวณเล็ก ๆ ทำง่าย และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ กระดาษกาวย่น ในกรณีที่โรงงานไม่อนุญาตให้นำถุงทรายมาใช้ในการทับชายผ้าพลาสติก เนื่องจากเกรงเรื่องการปนเปื้อนของทรายในผลิตผลเกษตร จะให้ใช้กระดาษกาวย่นแทนได้ ไม้ไม่แนะนำให้ใช้เนื่องจากไม่มีความยืดหยุ่นและโค้งงอไม่ได้จึงไม่สามารถกดทับชายผ้าพลาสติก ให้แนบสนิทกับพื้นทำให้เกิดการรั่วไหลของก๊าซ ม้วนกระสอบ ไม่แนะนำให้ใช้กระสอบเปล่าที่ม้วนและมัดไว้ด้วยกัน เนื่องจากมีน้ำหนักไม่มากพอ ในการกดทับผ้าพลาสติกให้แนบสนิทกับพื้น บางครั้งอาจมีผลิตผลเกษตรเหลืออยู่ในกระสอบเปล่า ซึ่งเป็น ที่หลบซ่อนของแมลงและทำให้เกิดการระบาดซ้ำของแมลงอย่างรวดเร็วหลังเสร็จสิ้นการรม กระสอบบรรจุผลิตผลเกษตร ไม่แนะนำให้ใช้กระสอบบรรจุผลิตผลเกษตรปิดผนึกชายผ้า พลาสติก เนื่องจากมีช่องว่างบริเวณรอยต่อของกระสอบน้ำหนักที่กดทับบนผ้าพลาสติกจึงไม่ต่อเนื่อง และ อาจมีเมลงหลบซ่อนในกระสอบทำให้เกิดการระบาดซ้ำของแมลงอย่างรวดเร็วหลังเสร็จสิ้นการรม วิธีการทับชายผ้าพลาสติกกับพื้น การใช้ถุงทราย วางถุงทรายเป็นสองแถวรอบกองผลิตผลเกษตร เรียงถุงทรายเหมือนเรียงอิฐ ถุงทรายเส้นหนึ่งจะคลุมทับช่องว่างของถุงทรายอีกเส้นหนึ่ง ตรงบริเวณมุมทุกมุมต้องมีถุงทรายหลายอันทับ รอบบริเวณมุมเนื่องจากเป็นจุดที่เกิดการรั่วไหลของก๊าซได้ง่ายที่สุด การเรียงถุงทรายเพียงแถวเดียวใช้ เฉพาะเมื่อถุงทรายมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15-20 ซม. และต้องวางซ้อนเหลื่อมกัน ห้ามวางต่อกัน เพราะจะมีช่องว่างบริเวณรอยต่อของถุงทราย การใช้กระดาษกาวย่น ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากหลุดจากพื้นได้ง่าย จำเป็นต้อง ทำความสะอาดพื้นก่อนติดกระดาษกาวย่น และต้องติดกระดาษกาวย่นซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น โดยเฉพาะ บริเวณมุม เพื่อป้องกันการหลุดออก
182 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร วัสดุที่ใช้ในการทับชายผ้าพลาสติก ถุงทราย ม้วนกระสอบ กระดาษกาวย่น ไม้
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 183 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร วิธีการทับชายผ้าพลาสติกกับพื้น วางถุงทรายเป็นสองแถว การวางถุงทรายบริเวณมุมของกองผลิตผลเกษตร การปิดทับชายผ้าพลาสติกด้วยกระดาษกาวย่น
184 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การทับชายผ้าพลาสติกกับพื้นมีความสำคัญมาก การรมฟอสฟีนในสภาพปิดไม่สนิทโอกาส ประสบความสำเร็จต่ำมาก เพราะไม่สามารถเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซให้ถึงระดับที่มีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากเกิดการรั่วไหลของก๊าซ การรมผลิตผลเกษตรด้วยฟอสฟีนในไซโลที่สามารถปิดสนิทได้และไซโล ที่ปิดไม่สนิท พบว่าระดับความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนในไซโลที่ปิดไม่สนิทจะไปไม่ถึงระดับที่มีประสิทธิภาพ ในการกำจัดแมลงทำให้การรมล้มเหลว ในขณะที่การรมในไซโลที่ปิดสนิทระดับความเข้มข้นของ ก๊าซฟอสฟีนจะสูงถึงระดับที่มีประสิทธิภาพ และคงอยู่ยาวนานเพียงพอในระยะเวลาที่กำหนด ทำให้การรม มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การเพิ่มปริมาณฟอสฟีนให้มากกว่าคำแนะนำบนฉลากไม่สามารถชดเชยการรม ในสภาพปิดไม่สนิท แม้เพิ่มปริมาณฟอสฟีนสูงกว่าอัตราแนะนำถึง 10 เท่า (20 เม็ด (tablets)/ตัน) ความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนแม้ว่าจะสูงมากในช่วงแรกแต่ไม่สามารถอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพในการ กำจัดแมลงยาวนานเพียงพอที่ทำให้การรมประสบความสำเร็จ ในขณะที่การใช้ฟอสฟีนอัตรา 2 เม็ด/ตัน รมในไซโลที่ปิดสนิทความเข้มข้นสูงสุดของก๊าซฟอสฟีนแม้จะไม่สูงเท่าการใช้อัตรา 20 เม็ด (tablets)/ตัน แต่ความเข้มข้นสูงถึงระดับที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงและคงอยู่ยาวนานเพียงพอที่ทำให้การรม ประสบความสำเร็จ ส่วนการใช้อัตรา 2 เม็ด (tablets)/ตัน รมในไซโลที่ปิดไม่สนิทความเข้มข้นของ ก๊าซฟอสฟีนต่ำมาก 2.6.8 การวัดความเข้มข้นของก๊าซ (Monitoring) การวัดความเข้มข้นของก๊าซ (Monitoring) คือ การวัดระดับความเข้มข้นของสารรมในกองผลิตผล เกษตร และรอบบริเวณที่รม ระหว่างการรมก๊าซจำนวนหนึ่งจะรั่วไหลออกไป ทางเดียวที่จะทราบว่าเกิดการ รั่วไหลของก๊าซ คือ วัดความเข้มข้นของก๊าซ ซึ่งเป็นวิธีการดีที่สุดในการทำนายความสำเร็จของการรม การวัดความเข้มข้นเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย การวัดความเข้มข้นเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย คือ การวัดความเข้มข้นของสารรมรอบบริเวณ ที่รมระหว่างการรมและหลังสิ้นสุดการรม เพื่อให้ผู้รมและผู้อยู่บริเวณใกล้เคียงปลอดภัย ซึ่งการวัดนี้ ต้องแม่นยำมากไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน เพราะสารรมเป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด The threshold limit value (TLV) คือ ค่าความเข้มข้นสูงสุดของสารรมที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับ ติดต่อกัน 8 ชั่วโมง/วัน เป็นเวลา 40 ชั่วโมง/สัปดาห์โดยไม่เกิดอันตราย เป็นการได้รับผ่านทางการหายใจ เท่านั้นไม่รวมถึงการได้รับทางปาก ผิวหนัง หรือตา หลายประเทศกำหนดค่ามาตรฐานค่าความปลอดภัย (TLV) สำหรับฟอสฟีน คือ 0.3 ppm (0.0004 กรัม/ลูกบาศก์เมตร หรือ 0.4 µg/L หรือ 0.42 มิลลิกรัม/ ลูกบาศก์เมตร) และได้รับความเข้มข้นสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 15 นาทีภายใน 1 สัปดาห์(STEL, short term exposure limit) ต้องไม่เกินมาตรฐานดังนี้ความเข้มข้น 1 ppm (1.3 µg/L หรือ 1.3 มิลลิกรัม/ ลูกบาศก์เมตร) ต้องไม่เกิน 7 ชั่วโมง ความเข้มข้น 25 และ 50 ppm ต้องไม่เกิน 5 นาที ค่า TLV ของ เมทิลโบรไมด์คือ 5 ppm (0.02 กรัม/ลูกบาศก์เมตร หรือ 19.4 มิลลิกรัม/ลูกบาศก์เมตร) และได้รับความเข้มข้นสูง ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 7 ชั่วโมง คือ 100 ppm ไม่เกิน 1 ชั่วโมง คือ 400 ppm และไม่เกิน 5 นาทีคือ 1,000 ppm
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 185 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การวัดความเข้มข้นเพื่อตรวจสอบความสำเร็จของการรม การวัดความเข้มข้นเพื่อตรวจสอบความสำเร็จของการรม คือ การวัดความเข้มข้นของก๊าซภายใน กองที่รม โดยความเข้มข้นของก๊าซต้องทั่วถึงและอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงในระยะ เวลาที่กำหนด ระดับความเข้มข้นของสารรมที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงศัตรูที่เป็นเป้าหมายจะอยู่ในช่วง 0.1-5.0กรัม/ลูกบาศก์เมตร (70-3,500 ppm) สำหรับฟอสฟีน การวัดความเข้มข้นทำให้ทราบว่าใส่ปริมาณสารรมถูกต้องหรือไม่ และทราบว่าเกิดการรั่วไหลของ ก๊าซหรือไม่ ถ้าเกิดการรั่วไหลให้ซ่อมแซมจุดที่รั่วไหลเพื่อความปลอดภัย โดยอัตราการตายของแมลงเมื่อ รมด้วยสารรมฟอสฟีนเกิดจากระดับความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีน ระดับของออกซิเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์ระยะเวลา และอุณหภูมิขณะทำการรม ถ้าความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนต่ำกว่าระดับที่ มีประสิทธิภาพและในระยะเวลาที่กำหนดจะไม่สามารถฆ่าแมลงได้100% ทำให้การรมไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการรมที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องสามารถฆ่าแมลงได้100% ทุกระยะการเจริญเติบโต เพื่อป้องกันการ ระบาดของแมลงซ้ำขึ้นมาใหม่ เนื่องจากแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรมีวงจรชีวิตสั้นและสามารถขยายพันธุ์ได้ อย่างรวดเร็ว เมื่อไหร่ควรวัดความเข้มข้นของก๊าซ l เมื่อรมด้วยอลูมิเนียมฟอสไฟด์ ให้วัดความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนเมื่อครบ 6-24 ชั่วโมง เมื่อรมด้วยแมกนีเซียมฟอสไฟด์ ให้วัดเมื่อครบ 2-4 ชั่วโมง และวัดอย่างน้อยทุก 2 วัน จนสิ้นสุดการรม เวลาสำคัญที่สุดของการวัดความเข้มข้น ได้แก่ ช่วงสิ้นสุดการรมเนื่องจาก ทำให้ทราบว่าการรมสำเร็จหรือล้มเหลว l เมื่อรมด้วยสารรมอีโคฟูมให้วัดความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนเมื่อครบ 60 นาทีและวัด ความเข้มข้นของก๊าซทุกวัน จนสิ้นสุดการรม โดยการรมด้วยอีโคฟูมหากความเข้มข้นของ ก๊าซต่ำกว่าระดับที่กำหนดจำเป็นต้องเติมอีโคฟูม เพื่อให้ความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนอยู่ใน ระดับที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงตลอดระยะเวลาการรม l เมื่อรมด้วยสารรมเมทิลโบรไมด์ให้วัดความเข้มข้นของก๊าซฟอสฟีนเมื่อครบ 60 นาทีและวัด ที่จุดสิ้นสุดของการรม โดยการรมด้วยเมทิลโบรไมด์หากความเข้มข้นของก๊าซต่ำกว่าระดับที่ กำหนดจำเป็นต้องเติมเมทิลโบรไมด์ เพื่อให้ความเข้มข้นของก๊าซอยู่ในระดับที่มี ประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงตลอดระยะเวลาการรม เครื่องมือวัดความเข้มข้นก๊าซ (Monitoring equipment) เครื่องวัดก๊าซแบบใช้หลอดวัดก๊าซ ประกอบด้วยเครื่องดูดก๊าซ (gas detector) และหลอด วัดก๊าซ (gas detector tube) โดยเครื่องดูดก๊าซจะดูดอากาศที่มีส่วนผสมของก๊าซผ่านไปยังหลอดวัดก๊าซ ภายในหลอดวัดก๊าซบรรจุสารเคมีที่เปลี่ยนสีเมื่อทำปฏิกิริยากับสารรม แถบของสีเป็นตัวบอกระดับความ เข้มข้นของก๊าซ หลอดวัดก๊าซแต่ละหลอดใช้ได้ครั้งเดียวไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก และต้องระวังไม่ให้ เศษแก้วที่หักออกจากหลอดวัดก๊าซปนเปื้อนผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่รม
186 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร l ต้องแน่ใจว่าหลอดวัดก๊าซที่ใช้ตรงกับก๊าซที่วัด ควรใช้หลอดวัดก๊าซและเครื่องดูดก๊าซจาก บริษัทเดียวกันเพื่อป้องกันการวัดผิดพลาด การวัดด้วยหลอดวัดก๊าซมีความคลาดเคลื่อน ประมาณ 15% l เลือกใช้หลอดวัดก๊าซให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ช่วงความเข้มข้นต้องเหมาะสม และตรงกับชนิดของก๊าซที่วัด l เพื่อยืดอายุการใช้งานควรเก็บรักษาในตู้เย็นหรือเก็บที่อุณหภูมิประมาณ 5-25 º C ก่อนใช้ ต้องแน่ใจว่ายังไม่หมดอายุ เครื่องวัดก๊าซแบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถวัดความเข้มข้นและเก็บข้อมูลไว้ได้แต่การวัดอาจเกิด ความผิดพลาดได้เช่น เครื่องวัดก๊าซฟอสฟีนจะอ่อนไหวต่อก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์การใช้ต้องอ่าน คำแนะนำและถ้าสงสัยเกี่ยวกับการอ่านค่าให้เปรียบเทียบกับหลอดวัดก๊าซ การดูแลรักษาต้องปรับค่า มาตรฐานเป็นประจำ เครื่องวัดก๊าซบางชนิดสามารถดูดซับความชื้นและคาร์บอนไดออกไซด์จึงต้องตรวจ เช็คและเปลี่ยนตัวกรองและตรวจสอบแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เครื่องมือทำงานอย่างเหมาะสมและ ถูกต้อง ท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ ในการรมผลิตผลเกษตรกองใหญ่ต้องใช้ท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ เพื่อวัดความ เข้มข้นของก๊าซในจุดที่ต้องการ โดยก๊าซจะถูกดูดผ่านท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ ชนิดและขนาดของท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ ขึ้นกับความเหมาะสมแต่เส้นผ่านศูนย์กลางภายในต้องไม่ใหญ่เกินไป เพราะถ้าใหญ่เกินไปอากาศจำนวน มากจะถูกดูดออกมาก่อนดูดก๊าซได้จริง ท่อ nylon hydraulic เป็นท่อที่มีความยืดหยุ่นเหมาะในการใช้ สุ่มตัวอย่างก๊าซ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางภายในที่เหมาะสม คือ 2-5 มม. ก๊าซต้องไหลผ่านท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ ได้สะดวก ทำความสะอาดและตรวจสอบท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซว่าไม่อุดและท่อไม่บิดงอ เพราะอาจเกิดการ อุดตัน ถ้าใช้ท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซที่เหมาะสมเมื่อวัดความเข้มข้นของก๊าซภายนอกจะเท่ากับภายใน 2.6.9 การดูดซับก๊าซของผลิตผลเกษตร ในการรมยานั้นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ความเข้มข้นของก๊าซลดลง คือ การดูดซับก๊าซ (Sorption) โดยผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่รม ถ้าผลิตผลเกษตรและผลิตภัณฑ์สามารถดูดซับก๊าซ ฟอสฟีนได้มากจะทำให้ความเข้มข้นของฟอสฟีนอิสระ (ซึ่งเป็นฟอสฟีนที่ใช้กำจัดแมลง) ภายในกองที่รม ลดลงมาก ทำให้ความเข้มข้นของก๊าซภายในกองต่ำเกินไปซึ่งจะไม่สามารถฆ่าแมลงได้ถ้าไม่วัดความเข้มข้น ของก๊าซการรมอาจล้มเหลว การดูดซับก๊าซจะมากหรือน้อยขึ้นกับสภาพทางเคมีของผลิตผลเกษตร water activity และขนาดกองผลิตผลเกษตร การดูดซับก๊าซมี2 แบบ คือ การดูดซับทางเคมี(chemisorption) และทางกายภาพ (adsorption และ absorption) การดูดซับทางเคมีทำให้พิษตกค้างในผลิตผลเกษตร เพิ่มขึ้น เมื่ออุณหภูมิต่ำลงการดูดซับทางเคมีจะลดลงขณะที่การดูดซับทางกายภาพจะเพิ่มขึ้นทำให้เมื่อรม ที่อุณหภูมิต่ำต้องเพิ่มปริมาณสารรม การดูดซับก๊าซของผลิตผลเกษตรจะมีผลกับความเข้มข้นของก๊าซ ภายในกองที่รม และระยะเวลาในการระบายอากาศหลังเสร็จสิ้นการรมด้วย ผลิตผลเกษตรบางชนิด เช่น ข้าวสาลีข้าวบาร์เลย์ lupin และ canola สามารถดูดซับก๊าซฟอสฟีนได้มาก โดยความเข้มข้นสูงสุดของ ก๊าซฟอสฟีนจะวัดได้วันแรกของการรมจากนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 187 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร นอกจากนี้ผลิตผลเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ที่ดูดซับก๊าซได้สูง ได้แก่ เมล็ดพืชที่มีน้ำมันมาก หรือเมล็ด ที่ความชื้นเมล็ดสูง ถ่าน ผงโกโก้ยาง ขนสัตว์ธูป ถั่วพิตาชิโอ แป้งมันฝรั่ง ผลิตภัณฑ์ไม้ที่ไม่ผ่านการเคลือบผิว ข้าวเปลือก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เดือยทั้งเปลือก เมล็ดถั่วทั้งเปลือก ข้าวสาลีบางสายพันธุ์ดังนั้น การรม ผลิตผลเกษตรเหล่านี้ด้วยฟอสฟีนควรใช้อัตราเริ่มต้น 4 กรัม/ตัน (4 tablets/ton) และผลิตผลเกษตรบางชนิด เช่น เมล็ดฝ้ายไม่ควรรมด้วยฟอสฟีน จะเห็นได้ว่าการดูดซับก๊าซของผลิตผลเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าผลิตผลเกษตรดูดซับก๊าซได้มากจะทำให้ระดับความเข้มข้นของก๊าซภายในกองที่รมจะลดลงต่ำกว่า ระดับที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงอาจทำให้การรมล้มเหลวได้การรมจึงไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ต้องตรวจสอบก่อนว่าผลิตผลเกษตรที่จะรมสามารถดูดซับก๊าซฟอสฟีนได้มากหรือไม่ หากสามารถดูดซับก๊าซฟอสฟีน ได้มากจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณสารรม 2.6.10 เครื่องมือป้องกันอันตรายจากสารรม การรมยาต้องระวังเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากสารรมอาจเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง เช่น การซึม ผ่านผิวหนัง หรือเข้าทางระบบหายใจ ต้องเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เครื่องมือป้องกันอันตรายระหว่างการรม ทุกครั้งที่ความเข้มข้นของก๊าซสูงกว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัย ผู้ทำการรมและผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ต้องสวมเครื่องมือป้องกันอันตราย ได้แก่ หน้ากากป้องกันก๊าซพิษแบบเต็มหน้าที่มีตัวกรองก๊าซพิษ หรือ เครื่องช่วยหายใจ หน้ากากป้องกันก๊าซพิษ (Gas and Vapor-Removing Respirator) และตัวกรองก๊าซพิษ (Canister) l ข้อจำกัดไม่สามารถใช้ในสถานที่มีออกซิเจนต่ำ และมีขีดจำกัดในการกรองก๊าซพิษ l หน้ากากป้องกันก๊าซพิษต้องพอดีกับใบหน้าและต้องโกนหนวดเคราเพื่อให้หน้ากากแนบกับ ใบหน้าโดยไม่มีช่องว่าง ถ้าสวมแว่นตาให้ใช้เครื่องมือช่วยยึดแว่นตาไว้ l หน้ากากป้องกันก๊าซพิษและตัวกรองก๊าซพิษต้องไม่ใช้ปนกันและจดบันทึกการใช้งานทุกครั้ง l ตัวกรองก๊าซพิษต้องเก็บในสภาพอากาศเย็น แห้ง และมีการถ่ายเทอากาศดีห่างจากการ ปนเปื้อนของสารรมชนิดอื่นและเปลี่ยนก่อนหมดอายุ อายุการใช้งานคำนวณได้ง่าย ๆ จากอายุการใช้งานรวมที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ ถ้าไม่มีการใช้ให้เปลี่ยนทุก 6 เดือน l ถ้าใช้ที่ความเข้มข้นของฟอสฟีนต่ำอายุการใช้งานตัวกรองก๊าซพิษจะนานขึ้น ถ้าได้รับก๊าซ ความเข้มข้นสูงให้เปลี่ยนใหม่ทันที ถ้าเกิดความเสียหายหรือมีข้อสงสัยให้เปลี่ยนใหม่ทันที l ก่อนใช้งานต้องเอาที่ครอบและตัวปิดออกเพื่อให้อากาศผ่านตัวกรองก๊าซพิษ และทดสอบ ทุกครั้งว่าใช้ได้หรือไม่
188 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เครื่องช่วยหายใจ เครื่องช่วยหายใจต้องใช้ได้ขณะที่ความเข้มข้นของฟอสฟีนสูงกว่า 15 ppm เครื่องมือที่เหมาะสม ได้แก่ เครื่องช่วยหายใจชนิดอัดอากาศ (Self-contained breathing apparatus, SCBA) เป็นเครื่องมือที่ผู้สวมใส่หายใจโดยใช้อากาศจากถังอัดอากาศ แรงดันภายในหน้ากากจะป้องกันไม่ให้ สารพิษเข้าสู่ระบบหายใจ และมีสัญญาณเตือนเมื่ออากาศในถังลดต่ำลง ซึ่งจะมีเวลาประมาณ 5-7 นาที ให้ออกจากบริเวณพื้นที่อันตราย ก่อนใช้ต้องทดสอบให้พอดีกับใบหน้า การปกป้องผิวหนัง ควรสวมถุงมือเมื่อจับเม็ดฟอสฟีน ใช้ถุงมือผ้าฝ้ายเนื่องจากทำให้เกิดเหงื่อ น้อยกว่าถุงมือพลาสติก 2.6.11 คำแนะนำเพื่อความปลอดภัย คำเตือนและข้อแนะนำในการรมด้วยฟอสฟีน l เนื่องจากฟอสฟีนเป็นก๊าซที่ติดไฟได้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ต้องเป็นแบบไม่เกิดประกายไฟเพื่อ ป้องกันการลุกไหม้ l การเปิดภาชนะบรรจุฟอสฟีนต้องเปิดในที่โล่งและหันออกจากผู้เปิด เพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับ ก๊าซที่ออกมาจากกระป๋อง ถ้าการเก็บไม่เหมาะสมก๊าซอาจเกิดระเบิดหรือลุกเป็นไฟได้ ขณะเปิด l เพื่อป้องกันการระเบิดต้องไม่วางฟอสฟีนบนผลิตผลเกษตรหรือพื้นผิวที่เปียกน้ำ และห้าม วางเม็ดฟอสฟีนตั้งเป็นกองสูง l ห้ามใช้ฟอสฟีนที่ระดับความเข้มข้นมากกว่า 1.8% โดยปริมาตร (17,900 ppm หรือ 24.9 มล./ลิตร หรือ 24.9 g/m3 ) เพราะอาจทำให้เกิดการลุกไหม้ ตามปกติความเข้มข้น ของก๊าซที่ผลิตได้ในการรมจะห่างจากระดับที่ทำให้เกิดการระเบิดค่อนข้างมาก l เพื่อป้องกันการปนเปื้อนต้องไม่ให้ผงฟอสฟีนที่สลายตัวแล้วสัมผัสกับผลิตผลเกษตรหรือ ผลิตภัณฑ์ที่รมโดยตรง l เมื่อเสร็จสิ้นการรมควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเสื้อผ้าที่เปื้อนเศษผงฟอสฟีนต้องวางทิ้งไว้ หนึ่งคืนก่อนนำไปซัก ห้ามวางเสื้อผ้า รองเท้า หรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปนเปื้อนในรถยนต์ ในตู้หรือในห้อง เสื้อผ้าที่เปื้อนต้องแยกซักต่างหาก l การจัดการกองผลิตผลเกษตรหลังเสร็จสิ้นการรม ทำได้เมื่อวัดความเข้มข้นของก๊าซและ พบว่าลดลงเท่ากับหรือต่ำกว่าค่า TLV และเคลื่อนย้ายสัญลักษณ์เตือนอันตรายออกให้หมด l ภาชนะบรรจุฟอสฟีนห้ามนำมาใช้ซ้ำเด็ดขาด การเก็บฟอสฟีน l เก็บไว้ในที่เย็นและแห้ง มีการถ่ายเทอากาศดี เป็นที่ปิดล๊อคได้ห่างจากผู้ไม่เกี่ยวข้อง และ ที่พักอาศัย l เก็บห่างจากน้ำและของเหลวอื่น เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาและปลดปล่อยก๊าซออกมา อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้หรือระเบิดได้ l เก็บห่างจากไฟ เนื่องจากฟอสฟีนความเข้มข้นสูงจะระเบิดได้
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 189 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เครื่องมือวัดความเข้มข้นของก๊าซ เครื่องวัดก๊าซฟอสฟีน (Silo Chek) เครื่องวัดก๊าซ แบบใช้หลอดวัดก๊าซ หลอดวัดก๊าซฟอสฟีน หลอดวัดก๊าซ เมทิลโบรไมด์ เครื่องวัดก๊าซเมทิลโบรไมด์ และซัลฟูริลฟูลออไรด์(Fumiscope)
190 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เครื่องมือวัดความเข้มข้นของก๊าซ ท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ การเดินสายท่อสุ่มตัวอย่างก๊าซ
กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 191 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เครื่องมือป้องกันอันตรายจากสารรม อุปกรณ์วัดการรั่วไหล ของก๊าซฟอสฟีน อุปกรณ์วัดการรั่วไหลของก๊าซซัลฟูริลฟูลออไรด์ อุปกรณ์วัดการรั่วไหลของก๊าซเมทิลโบรไมด์ ตะเกียงตรวจสอบ การรั่วไหลของก๊าซ เมทิลโบรไมด์
192 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เครื่องมือป้องกันอันตรายจากสารรม หน้ากากป้องกันก๊าซพิษ ตัวกรองก๊าซพิษ เครื่องช่วยหายใจ