The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร. แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด. กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด

กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร. แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด. กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

Keywords: แมลง,การเกษตร

กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 93 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ด้านข้างเพศเมีย ด้านข้างเพศผู้ Eurytoma sp. ด้านข้างเพศเมีย ด้านข้างเพศผู้ Evania sp.


94 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตัวห้ำ จากการสำรวจศัตรูธรรมชาติในโรงสีโกดังเก็บข้าว ทั้งของราชการและเอกชน พบตัวห้ำทั้งหมด 29 ชนิด ซึ่งจัดอยู่ใน 4 อันดับคือ Coleoptera, Dermaptera, Diptera และ Heteroptera ดังแสดงใน ตารางที่ 2 สำหรับอันดับ Coleoptera พบแมลงที่เป็นด้วงตัวห้ำ 12 ชนิด อันดับ Dermaptera พบตัวห้ำ 4 ชนิด อันดับ Diptera พบแมลงวันตัวห้ำ 1 ชนิด และอันดับ Heteroptera พบมวนตัวห้ำทั้งหมด 13 ชนิด แต่ตัวห้ำที่สำคัญและพบมากที่สุดคือ Xylocoris flavipes, Joppeicus paradoxus, Amphibolus venator และ Peregrinator biannulipes ตารางที่2 แสดงชนิดตัวห้ำที่พบในโรงเก็บข้าวในประเทศไทย Order, Family Species Coleoptera Carabidae Chlaeminus sp. Amblystomus sp. 1 Amblystomus sp. 2 Amblystomus sp. 3 Stenolophus sp. 1 Stenolophus sp. 2 Eucolliuris sp. Zuphium sp. Aephnidius sp. Histeridae Carcinops pumilio (Erichson) Cleridae Thaneroclerus buqueti (Lefebvre) Tilloidea notata (Klug) Dermaptera Carcinophoridae Euborellia plebeja (Dohrn) Euborellia femoralis (Dohrn) Euborellia sp. Forficulidae Forficula sp. Diptera Scenopinidae Scenopinus sp.


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 95 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร * พบมาก Order, Family Species Heteroptera Reduviidae Amphibolus venator (Klug)* Peregrinator biannulipes (Montrouzier & Signoret)* Vesbius purpureus (Thunberg)* Joppeicidae Joppeicus paradoxus Puton* Anthocoridae Cardiastethus pygmaeus Poppius* Amphiareus constrictus (Stål) Physopleurella sp. Dufouriellini gen. A sp. Dufouriellini gen. B sp. Xylocoris (Arrostelus) flavipes (Reuter)* Xylocoris (Proxylocoris) sp. 1* Xylocoris (Proxylocoris) sp. 2*


96 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนดำก้นลาย ชื่อวิทยาศาสตร์ Amphibolus venator (Klug) (Heteroptera : Reduviidae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย แมลงในวงศ์Reduviidae มีจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับวงศ์อื่น ๆ ที่อยู่ในอันดับ Heteroptera ซึ่งมักจะเรียกว่า มวนตัวห้ำ (predaceous bug) ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 10.0 มิลลิเมตร ลักษณะเด่น ของแมลงในวงศ์นี้คือ ส่วนหัวตรงด้านหลังตารวม (compound eye) มีขนาดยาว ปากแทงดูดสั้นและ โค้งงอ มวนตัวห้ำเหล่านี้ส่วนใหญ่มักดูดกินน้ำเลี้ยงแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรในอันดับ Coleoptera มวนดำก้นลาย มีลำตัวสีดำเป็นมันแวววาว มักหลบซ่อนอยู่ใต้ภาชนะต่าง ๆ ที่วางอยู่ในโกดังหรือโรงสีเช่น กระสอบปอที่มี เศษข้าวเศษรำ เป็นศัตรูที่สำคัญของแมลงในอันดับ Coleoptera เช่น มอดแป้ง มอดฟันเลื่อย ด้วงอิฐ ด้วงดำ หนอนนก และหนอนผีเสื้อข้าวสาร ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เฉลี่ย 97.9 ฟอง โดยวางไข่ เป็นกลุ่ม ๆ ละ 2-3 ฟอง ไข่ รูปวงรีมีจุกสีขาวปิด ตัวอ่อน จะฟักออกทางด้านจุกสีขาว ระยะไข่ 8-9 วัน อุณหภูมิและความชื้น ที่เหมาะสมต่อการเจริญของระยะไข่คือ 27 º C และความชื้น 60% ตามลำดับ ตัวอ่อนลอกคราบ 5 ครั้ง มีบางตัวลอกคราบ 6 ครั้ง ระยะตัวอ่อน 78 วัน ระยะตัวเต็มวัย 168-411 เฉลี่ย 269 วัน ตัวเต็มวัยเพศเมีย จะกินเหยื่อหรือฆ่าเหยื่อได้มากกว่าเพศผู้ เขตการแพร่กระจาย ทวีปแอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย แมลงอาศัย มอดฟันเลื่อย Oryzaephilus surinamensis Linnaeus, ด้วงอิฐ Trogoderma granarium Everts, ด้วงดำ Alphitobius diaperinus (Panzer), ด้วงหนอนนก Tenebrio molitor Linnaeus และ ผีเสื้อข้าวสาร Corcyra cephalonica Stainton


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 97 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตัวเต็มวัย 78 วัน ตัวอ่อน ไข่ วงจรชีวิตมวนดำก้นลาย Amphibolus venator (Klug) 168-411 วัน 8-9 วัน


98 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร วงจรชีวิตมวนเทาขาลาย Peregrinator biannulipes (Montrouzier & Signoret) 24-62 วัน 83-254 วัน ตัวเต็มวัย ตัวอ่อน ไข่ 7-11 วัน


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 99 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนเทาขาลาย ชื่อวิทยาศาสตร์ Peregrinator biannulipes (Montrouzier & Signoret) (Heteroptera : Reduviidae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 6.0-7.0 มิลลิเมตร ลำตัวสีน้ำตาลอมเหลือง ปลายปีกคู่แรกสีดำ ลำตัว ปกคลุมด้วยขนยาว ตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ชอบอาศัยหลบซ่อนอาศัยบริเวณที่มีฝุ่นปกคลุม บางครั้งมีฝุ่น คลุมตัวตลอด มวนชนิดนี้เป็นตัวห้ำทั้งในระยะตัวอ่อนและตัวเต็มวัย มีปากแบบแทงดูดทำลายแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรโดยใช้ปากแทงลงไปในลำตัวแมลง แล้วจึงปล่อยสารพิษทำให้แมลงหรือเหยื่อเป็นอัมพาต หลังจากนั้นจึงดูดของเหลวภายในจนเหยื่อแห้งตาย มวนเทาขาลายสามารถทำลาย ไข่ หนอน ดักแด้และ ตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด ได้แก่ มอดแป้ง มอดข้าวเปลือก มอดฟันเลื่อย ด้วงอิฐ และมอดยาสูบ ทั้งหนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย มวนเทาขาลายวางไข่ได้173-382 ฟอง โดยวางเป็นฟอง เดี่ยว ๆ ไข่ มีลักษณะยาวรีสีน้ำตาลอ่อน ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนภายใน 7-11 วัน ตัวอ่อน มีการลอกคราบเป็น ตัวอ่อน 5 วัย หรือบางครั้ง 6 วัย อายุประมาณ 24-62 วัน ตัวเต็มวัย มีชีวิตอยู่ได้นาน 83-254 วัน วงจร ชีวิตใช้เวลา 136-301 วัน อัตราส่วนเพศผู้ต่อเพศเมีย คือ 1:1.42 และเพศเมียมีชีวิตยืนยาวกว่าเพศผู้คือ 185.9 และ 175.2 วัน ตามลำดับ มวนเทาขาลายทุกวัย มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายระยะตัวหนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย และสามารถทำลายแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด เขตการแพร่กระจาย เขตร้อนชื้น แมลงอาศัย Gnatocerus cornutus (Fabricius), มอดแป้ง Tribolium castaneum (Herbst), มอดข้าวเปลือก Rhyzopertha dominica (Fabricius), มอดฟันเลื่อย Oryzaephilus surinamensis Linnaeus, ด้วงอิฐ Trogoderma granarium Everts, มอดยาสูบ Lasioderma serricorne (Fabricius), Palorus ratzeburgi (Wissmann), Palorus subdepressus (Wollaston), Sitophilus spp., ผีเสื้อข้าวสาร Corcyra cephalonica Stainton, ผีเสื้ออินเดีย Plodia interpunctella (Hübner) และ Paralipsa gularis (Zeller)


100 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนกินมด ชื่อวิทยาศาสตร์ Vesbius purpureus (Thunberg) (Heteroptera : Reduviidae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 8.0-9.0 มิลลิเมตร ลำตัวสีแดงสดใส ส่วนหัว หนวด ขา และปลายปีก คู่หน้าสีดำมันวาว เป็นตัวห้ำของมด บางครั้งพบในโรงเก็บข้าว เขตการแพร่กระจาย เขตร้อนชื้นในทวีปเอเชีย แมลงอาศัย มด มวนตาโต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cardiastethus pygmaeus Poppius (Heteroptera : Anthocoridae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย มวนในวงศ์ Anthocoridae มีเพียงไม่กี่ชนิดที่เป็นมวนตัวห้ำ โดยทั่วไปมีขนาดเล็กกว่า 4.0 มิลลิเมตร ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 1.5-1.8 มิลลิเมตร มีบางชนิดที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลง ศัตรูในโรงเก็บ โดยการดูดน้ำเลี้ยงจากไข่ และหนอนของด้วง ผีเสื้อ เหาหนังสือ และไร ลำตัวสีเหลือง อมน้ำตาล ลักษณะทั่วไปคล้ายมวนจอพพีคัส แต่มวนชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่า และความกว้างของส่วนอก มีขนาดเท่ากับความกว้างของส่วนท้อง ปลายปีกสีขาวใสเป็นรูปครึ่งวงกลม ตารวมมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อ เทียบกับมวนจอพพีคัส มักพบบนฟางข้าว ใต้เปลือกไม้ที่มีการเน่าเสียของเนื้อไม้ทำลายแมลงในโรงเก็บข้าว ในประเทศไทยพบที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อทำการสำรวจและเปรียบเทียบกับแมลงศัตรูธรรมชาติชนิดอื่น ๆ ภายในโรงเก็บ พบเขตแพร่กระจายตัวในระดับปานกลาง หรือโอกาสพบเป็นบางครั้งคราวเท่านั้น เขตการแพร่กระจาย อินเดีย ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน และไทย แมลงอาศัย แมลงศัตรูผลิตผลเกษตร


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 101 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนตาโต Cardiastethus pygmaeus Poppius ตัวเต็มวัย มวนกินมด Vesbius purpureus (Thunberg) ตัวเต็มวัย


102 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตัวเต็มวัย 44-67 วัน 54-103 วัน 12-14 วัน วงจรชีวิตมวนจอพพีคัส Joppeicus paradoxus Puton ตัวอ่อน ไข่


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 103 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนจอพพีคัส ชื่อวิทยาศาสตร์ Joppeicus paradoxus Puton (Heteroptera : Joppeicidae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย แมลงในวงศ์ Joppeicidae มีขนาดเล็ก มีเพียงชนิดเดียวคือ Joppeicus paradoxus Puton ซึ่งเดิมจัดอยู่ในวงศ์Aradidae (flat bugs หรือ bark bugs) ต่อมาจัดอยู่ใน Lygaeidae (seed bugs) หรือ Reduviidae ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์Joppeicidae ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 3.0 มิลลิเมตร ลักษณะเด่น ของแมลงในวงศ์นี้คือ มีลายเส้น R+M บนโคนปีกคู่หน้า เป็นสันนูนชัดเจน J. paradoxus มีลำตัวสีเหลือง อมน้ำตาลปลายปีกสีขาวใสรูปไข่ ส่วนหัวจะเรียวเล็ก ความกว้างส่วนอกเล็กกว่าส่วนท้อง มวนตัวห้ำชนิดนี้ ชอบหลบอาศัยอยู่ใต้เปลือกไม้ใต้ก้อนหิน เศษใบไม้และมูลค้างคาว สำหรับประเทศไทยพบครั้งแรกที่ จ.สุพรรณบุรีโดยพบทำลายด้วงถั่วเขียว หลังจากนั้นพบที่ จ. ราชบุรีและ จ.พระนครศรีอยุธยา ลักษณะการ ทำลายมวนจอพพีคัสจะใช้ปากแทงดูดเข้าไปในลำตัวหนอน หรือดักแด้มอด หนอนจะเคลื่อนไหวไม่ได้ หลังจากนั้นจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากตัวหนอน บางครั้งหนอนอดตายเพราะคลานไปหาอาหารไม่ได้วงจรชีวิต จากระยะไข่จนถึงระยะตัวเต็มวัยประมาณ 60.2-142.9 วัน ที่อุณหภูมิ25-30 º C ตัวเต็มวัยเพศเมียมีอายุ ได้นาน 72.5-118.5 วัน อุณหภูมิที่เหมาะสมต่ออัตราการเจริญเติบโตของมวนจอพพีคัส คือ 30 º C เขตการแพร่กระจาย อิสราเอล อียิปต์ซูดาน เอธิโอเปีย และไทย แมลงอาศัย มอดแป้ง Tribolium castaneum (Herbst), มอดฟันเลื่อย Oryzaephilus surinamensis Linnaeus และด้วงถั่วเขียว Callosobruchus maculatus (Fabricius)


104 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนไซโลคอรีส ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocoris (Arrostelus) flavipes (Reuter) (Heteroptera : Anthocoridae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 1.6-2.1 มิลลิเมตร ลำตัว ส่วนหัว ส่วนอกสีดำ ขา และหนวด สีเหลืองอ่อน โคนปีก (ปีกแข็ง) สีน้ำตาลเข้ม ปลายปีก (ปีกอ่อน) ใสสีน้ำตาลอ่อน เป็นมวนตัวห้ำที่พบมากที่สุด ทั่วประเทศ นับเป็นมวนตัวห้ำที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการควบคุมแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บหลายชนิด เช่น มอดแป้ง มอดฟันเลื่อย ผีเสื้อข้าวสาร ผีเสื้ออินเดีย เมื่อเลี้ยงมวนไซโลคอรีสในห้องปฏิบัติการนาน ๆ มักเกิดมวนที่มีปีกสั้น (brachypterous form) แม้ว่าจะเป็นตัวเต็มวัยแล้วก็ตาม และมวนที่มีปีกยาว (longipterous form) ซึ่งพบในประเทศไทย มวนไซโลคอรีสมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตร เขตการแพร่กระจาย ทั่วโลก แมลงอาศัย Callosobruchus analis (Fabricius), ด้วงถั่วเหลือง Callosobruchus chinensis (Linnaeus), ด้วงถั่วเขียว Callosobruchus maculatus (Fabricius), ผีเสื้อข้าวสาร Corcyra cephalonica Stainton, มอดฟันเลื่อย Oryzaephilus surinamensis Linnaeus, ผีเสื้ออินเดีย Plodia interpunctella (Hübner), มอดแป้ง Tribolium castaneum (Herbst) และ Zabrotes subfasciatus (Boheman)


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 105 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตัวอ่อน ไข่ 4-32 วัน 6-13 วัน 4-5 วัน ตัวเต็มวัย วงจรชีวิตมวนไซโลคอรีส Xylocoris (Arrostelus) flavipes (Reuter)


106 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนไซโลคอรีส 1 Xylocoris (Proxylocoris) sp. 1 ตัวเต็มวัย มวนไซโลคอรีส 2 Xylocoris (Proxylocoris) sp. 2


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 107 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มวนไซโลคอรีส 1 ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocoris (Proxylocoris) sp.1 (Heteroptera : Anthocoridae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 2.3-2.8 มิลลิเมตร ลักษณะเด่นของมวนนี้คือ โคนขาและแถบสีน้ำตาล บนแนวปีกแข็ง และปีกอ่อนของปีกคู่หน้าหนากว่า Xylocoris (Proxylocoris) sp. 2 เขตการแพร่กระจาย พบทางภาคใต้ของประเทศไทย มวนไซโลคอรีส 2 ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocoris (Proxylocoris) sp.2 (Heteroptera : Anthocoridae) รูปร่างลักษณะ ชีวประวัติและอุปนิสัย ตัวเต็มวัย มีขนาดลำตัวยาว 2.0-2.3 มิลลิเมตร คล้าย Xylocoris (Proxylocoris) sp. 1 มากแต่มี ขนาดเล็กกว่า Xylocoris (Proxylocoris) sp. 1 เล็กน้อย ลักษณะที่แตกต่างอย่างอื่นคือ แถบสีดำที่พบบน แนวปีกแข็งและปีกอ่อนของปีกคู่หน้าเล็กกว่า Xylocoris (Proxylocoris) sp.1 เขตการแพร่กระจาย พบทางภาคใต้ของประเทศไทย


108 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การสำรวจและประเมินการเข้าทำลายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การสำรวจและประเมินการเข้าทำลายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และ มีความสำคัญมาก ก่อนการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ควรมีการประเมินหรือสุ่มตัวอย่างผลิต ผลเกษตรเหล่านั้นว่ามีการเข้าทำลายของแมลงมากน้อยเพียงใด จำเป็นที่จะต้องทำการป้องกันกำจัดแมลง หรือไม่ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจว่าควรจะจัดการกับผลิตผลเกษตรนั้นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อใช้วิธี การจัดการผลิตผลเกษตรและกระบวนการผลิตแบบบูรณาการ (Integrated Commodity Management) ความต้องการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทำให้การสำรวจและประเมินความเสียหายเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ จะขาดไม่ได้ในการจัดการผลิตผลเกษตรที่มีประสิทธิภาพ การสำรวจและประเมินความเสียหายในเบื้องต้น อาจทำได้หลายวิธีเช่น การตรวจหาแมลงด้วยสายตา และการสุ่มเก็บตัวอย่างเมล็ดพืชมาตรวจดูรอยเจาะ ของแมลง การตรวจหาแมลงด้วยสายตาเหมาะกับแมลงและเมล็ดพืชที่มีรูเจาะของแมลงเห็นได้ชัด แต่แมลง ที่หลบซ่อนอยู่ภายในต้องใช้เทคนิคและวิธีต่าง ๆ ในการตรวจหาแมลงหรือไข่ของแมลงที่อยู่ภายในเมล็ด ส่วนการสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตรเพื่อตรวจนับจำนวนแมลงนับว่ามีความสำคัญมาก ทั้งนี้เพื่อเป็นตัวแทน ของผลิตผลเกษตรทั้งหมด เป็นการลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาในการตรวจนับแมลง การสำรวจและประเมินความเสียหายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรทำได้ดังนี้ 1. การตรวจสอบโดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตร 2. การตรวจสอบโดยการสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตร 1. การตรวจสอบโดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตร การตรวจตามพื้น ฝาผนัง ควรตรวจตามซอกมุมต่าง ๆ ของโรงเก็บ และโรงสีตรวจตามกระสอบว่า มีแมลงหรือไม่ กรณีที่โรงเก็บนั้นเก็บข้าวเปลือกไว้เป็นกระสอบ จะพบผีเสื้อข้าวเปลือกซึ่งมักจะเกาะ บนกระสอบและที่ปากกระสอบ ถ้าเก็บข้าวเปลือกโดยการกองกับพื้น ผีเสื้อจะอยู่ตามผิวบนของกองข้าวเปลือก มอดข้าวเปลือกและด้วงงวงที่ตายแล้วมักพบอยู่นอกกระสอบ ส่วนตัวที่ยังมีชีวิตมักหลบซ่อนอยู่ในกระสอบ วิธีการนี้จะเก็บเฉพาะแมลงที่พบตามกระสอบ ถุงบรรจุ ภาชนะบรรจุ ผิวบนกองเมล็ด พื้นโกดัง ฯลฯ การประเมินว่าแมลงมีมากหรือน้อยเพียงใด จะใช้วิธีประเมินที่เป็นมาตรฐาน โดยแบ่งระดับการเข้าทำลาย ของแมลงได้ดังนี้ Clear หรือ None (C) หมายถึง ไม่พบแมลงเลยตลอดระยะเวลาการตรวจหาเป็นเวลานาน Light หรือ Few (L) หมายถึง พบแมลงจำนวนน้อยมาก และถ้าพบแมลงจะอยู่อย่าง กระจัดกระจาย Medium หรือ Moderate (M) หมายถึง สามารถมองเห็นแมลงได้ด้วยสายตาผู้ชำนาญการและ พบอย่างสม่ำเสมอ Heavy (H) หมายถึง สามารถมองเห็นแมลงได้ชัดเจนทั่วไป โดยพบแมลงจำนวนมากบินหรือ ไต่อยู่ตามกองหรือกระสอบ


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 109 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร Very heavy (VH) หมายถึง พบแมลงจำนวนมากกัดกินและเคลื่อนที่ไปมาจนกระทั่งเกิดเป็น เสียงให้ได้ยิน แมลงอาจบินไปบินมาในโกดังโดยเฉพาะตอนพลบค่ำ และอาจพบซากของแมลงที่ตายอยู่เป็น จำนวนมาก กรณีที่พบว่าผลผลิตเกษตรถูกแมลงทำลายปานกลางจนถึงมาก ควรรีบทำการป้องกันกำจัด แต่ใน กรณีที่บางแมลงทำลายเพียงเล็กน้อย ควรทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อเฝ้าระวังการเข้าทำลายของ แมลงศัตรูผลิตผลเกษตร โดยมีวิธีการดังนี้ 1. การใช้ตะแกรงร่อน เพื่อแยกแมลงออกจากผลผลิตเกษตร วิธีการนี้ใช้แยกแมลงขนาดเล็ก ออกจากเมล็ดที่มีขนาดใหญ่กว่า หรือใช้แยกแมลงออกจากแป้งก็ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ขนาดความถี่ ของตะแกรง การใช้ตะแกรงร่อนสามารถแยกได้เฉพาะแมลงที่ทำลายอยู่ภายนอกเมล็ดเท่านั้น ไม่สามารถ ตรวจหาแมลงที่ทำลายอยู่ภายในเมล็ดได้ตะแกรงร่อนที่ใช้ทั่วไป มี2 ลักษณะ 1.1 ตะแกรงร่อนแบบใช้มือ (hand sieve) ใช้ในกรณีที่มีตัวอย่างผลิตผลเกษตรปริมาณน้อย การเขย่าตะแกรงร่อนควรเขย่า 20-30 ครั้ง 1.2 ตะแกรงร่อนแบบลาดเอียง (inclined sieve) ใช้กับตัวอย่างเมล็ดปริมาณมาก เมื่อเท ตัวอย่างเมล็ดที่มีแมลงทางด้านบนของตะแกรงร่อน เมล็ดที่มีขนาดใหญ่จะกลิ้งลงมาตาม ทางลาดเอียง ส่วนแมลงที่มีขนาดเล็กกว่าจะรอดผ่านรูตะแกรงออกมา ควรร่อน 3 ครั้งต่อ 1 ตัวอย่าง 2. การใช้วิธีการรบกวนตามผิวหน้าของกองเมล็ดหรือกองกระสอบ วิธีนี้ใช้ได้กับแมลงประเภท ผีเสื้อ โดยปกติผีเสื้อข้าวเปลือกจะมีอุปนิสัยเกาะนิ่งอยู่บนข้าวเปลือก โดยแทรกตัวอยู่ตามข้าวเปลือก บริเวณผิวกอง เมื่อมองดูเผิน ๆ จะไม่ทราบว่ามีแมลงอยู่ เพราะผีเสื้อข้าวเปลือกมีสีคล้ายกับข้าวเปลือก แต่ถ้าข้าวเปลือกถูกรบกวนโดยการตักจะเห็นแมลงบินขึ้นมา นอกจากนี้ผีเสื้อยังชอบเกาะตามกระสอบ อีกด้วย หากใช้ไม้หรือมือตบที่กระสอบก็จะเห็นผีเสื้อบินไปมา 3. การกวนเมล็ด วิธีนี้คือ การใช้มือหรือไม้กวนลงไปในกองเมล็ดหรือกระสอบ แมลงบางชนิด เช่น ด้วงงวงจะไต่ขึ้นมาตามกระสอบ วิธีนี้สามารถนำไปใช้กับเมล็ดพืชทุกชนิด ที่มีด้วงงวงข้าวหรือด้วงงวงข้าวโพด ทำลายอยู่ 4. เขย่ากระสอบ เขย่ากระสอบที่บรรจุผลิตผลเกษตรแล้วตั้งทิ้งไว้10-20 นาทีตัวเต็มวัยของ แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรบางชนิด เช่น ด้วงงวงข้าว ด้วงงวงข้าวโพด จะไต่ออกจากผลิตผลเกษตรสู่ด้านบน 5. การสังเกตและความรู้สึก ถุงหรือกระสอบที่มีแมลงเข้าทำลาย ถ้าสังเกตที่ด้านข้างกระสอบ จะพบฝุ่นผง หรือเส้นใยหนอนผีเสื้อ ในกรณีที่เป็นกองเมล็ดพืช เมื่อเดินด้วยเท้าเปล่า ย่ำไปบนกองเมล็ดพืช ตรงบริเวณเมล็ดพืชที่มีแมลงเข้าทำลายจะมีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณที่ไม่มีแมลงเข้าทำลาย 6. การใช้สารฆ่าแมลงพ่น การใช้สารฆ่าแมลงกลุ่มไพรีทรอยด์ในอัตราที่เจือจาง พ่นลงไปในจุด ที่ต้องการตรวจ เช่น บริเวณไม้รองกระสอบหรือตามร่องฝาผนัง สารกลุ่มไพรีทรอยด์มีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าแมลง และสารไล่ โดยจะไล่ให้แมลงออกมาจากที่ซ่อนได้หรือเมื่อพบซากแมลงที่ตายหลังจากการพ่นสารฆ่าแมลง แสดงว่ามีแมลงอยู่ในบริเวณนั้น


110 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 7. การใช้กับดักชนิดต่าง ๆ โดยกับดักสามารถนำมาใช้เพื่อตรวจหาชนิดของแมลงศัตรูในโรงเก็บ ซึ่งกับดักมีหลายชนิด ดังนี้ 7.1 กับดักหลอด (tube trap) เป็นหลอดพลาสติกปลายด้านหนึ่งแหลมปลายอีกด้านหนึ่ง เปิดได้โดยมีฝาพลาสติกปิดเพื่อกันแมลงหลบหนีส่วนด้านข้างหลอดมีรูเล็ก ๆ ให้แมลง เข้าไปในหลอด นำกับดักหลอดไปฝังในกองเมล็ด ในแนวตั้งฉากในระดับความลึกต่าง ๆ กัน หลังจากฝังกับดักนี้ในกองเมล็ดจนครบกำหนดเวลา นำมาตรวจนับแมลงที่ติดในกับดัก 7.2 กับดักกาวเหนียว (sticky trap) ทำด้วยกระดาษหรือพลาสติกทาด้วยกาวเหนียว วิธีใช้ นำกับดักไปแขวนในโกดังหรือโรงเก็บเมล็ด เมื่อแมลงบินมาติดกับดักจะไม่สามารถหลุดออก ไปได้แต่ในสภาพโกดังหรือโรงเก็บที่มีฝุ่นละอองมาก กับดักกาวเหนียวจะมีประสิทธิภาพ ลดลง เนื่องจากฝุ่นละอองที่ติดบนกับดักทำให้ดักจับแมลงไม่ได้ 7.3 กับดักฟีโรโมน (pheromone trap) เป็นกับดักที่มีสารเพศล่อแมลง (sex pheromone) วางอยู่ตรงกลางแถบกาวเหนียว เมื่อแมลงได้กลิ่นก็จะเคลื่อนที่หรือบินเข้าหาและติดอยู่ ภายในกับดักนี้กับดักที่มีสารเพศล่อแมลงมักจะมีกลิ่นอาหารวางอยู่ด้วย ทั้งนี้เพื่อที่จะล่อ แมลงได้ทั้ง 2 เพศ กับดักฟีโรโมนเป็นกับดักที่มีความเฉพาะเจาะจงกับชนิดของแมลงสูง การเลือกใช้จึงต้องทราบชนิดของแมลงที่ต้องการดักจับก่อนจึงจะเลือกใช้กับดักได้อย่าง ถูกต้อง กับดักฟีโรโมนสามารถใช้ได้กับทั้งผีเสื้อและด้วง แต่ลักษณะของกับดักทั้ง 2 ชนิด แตกต่างกัน กับดักผีเสื้อจะเป็นแบบแขวน โดยผีเสื้อจะบินเข้าไปติด ส่วนกับดักที่ใช้กับด้วง จะวางบนพื้นเพื่อให้ด้วงไต่เข้าไปได้ 7.4 กับดักดึงดูด (attractant trap) ได้แก่ กับดักแสงไฟ (light trap) มีประโยชน์มาก สำหรับโกดังใหญ่ ๆ และเหมาะกับผีเสื้อ และแมลงที่บินได้โดยมีกาวเหนียว อ่างน้ำ หรือ พัดลมดูดแมลงเข้าเก็บในถุง 8. การทำหลุมพราง (artificial crevices) เช่น ใช้กระดาษลูกฟูกขนาดกว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 20 เซนติเมตร นำไปวางในช่องระหว่างกระสอบทิ้งไว้24 ชั่วโมง นำมาตรวจนับแมลง ถ้าบริเวณนั้นไม่ ค่อยมีแมลงให้ทิ้งไว้4-5 สัปดาห์ใช้ได้กับแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรทั่วไป ถ้าจะดักจับตัวเต็มวัยมอดแป้งหรือ หนอนด้วงอิฐ ให้ใช้ไม้กระดานแผ่นบาง ๆ 2 แผ่น กว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร วางประกบให้ ห่างจากกันประมาณ 3-4 มิลลิเมตร นิยมใช้ในโกดังที่เก็บแป้งหรืออาหารสัตว์ 9. การตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้นเมล็ด ถ้าผลิตผลเกษตรมีแมลงอาศัยอยู่ มักมีอุณหภูมิและ ความชื้นสูงกว่าบริเวณอื่น ๆ 2. การตรวจสอบโดยการสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตร การตรวจสอบความเสียหายของผลิตผลเกษตรที่น่าเชื่อถือที่สุด คือ การตรวจสอบที่ผลิตผลเกษตรเอง ซึ่งนอกจากจะตรวจสอบแมลงแล้วยังสามารถทราบถึงการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ได้เช่น ความชื้น การตรวจสอบ แบบนี้ต้องมีการสุ่มตัวอย่างเมล็ดหรือผลิตผลเกษตรที่เก็บไว้ระหว่างการเก็บรักษาควรทำการสุ่ม


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 111 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตัวอย่างเป็นประจำ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสุ่มที่ใช้ง่ายและนิยมกันมาก คือ การใช้หลาวสุ่มตัวอย่างจาก กระสอบหรือกองเมล็ด หลังจากนั้นใช้ตะแกรงร่อนแยกแมลง และบันทึกชนิดและจำนวนแมลง หลาวมี 2 ลักษณะ คือ หลาวที่ใช้สุ่มตัวอย่างจากกระสอบ และหลาวที่สุ่มตัวอย่างจากกองเมล็ด - หลาวที่ใช้สุ่มตัวอย่างจากกระสอบ ใช้แทงเข้าไปในกระสอบ หมุนไปมาในกระสอบเพื่อให้ ตัวอย่างตกลงมาในภาชนะที่รองรับอยู่อีกด้านหนึ่ง หลังจากได้จำนวนตัวอย่างตามต้องการแล้ว ดึงหลาวออก และปิดรูกระสอบ ขนาดของหลาวควรเหมาะสมกับขนาดของเมล็ด สำหรับเมล็ดขนาดเล็กควรใช้หลาวที่มี เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 มิลลิเมตร ธัญพืชต่าง ๆ ใช้หลาวขนาด 15 มิลลิเมตร เมล็ดถั่วต่าง ๆ ใช้หลาวขนาด 20 มิลลิเมตร และผลิตผลเกษตรที่มีขนาดใหญ่ควรใช้หลาวขนาด 25 มิลลิเมตร - หลาวที่ใช้สุ่มตัวอย่างจากกองเมล็ด หลาวชนิดนี้จะยาวกว่าชนิดที่สุ่มจากกระสอบ มี2 ชั้น คือ ชั้นในและชั้นนอก แทงหลาวเข้าไปในกองในขณะที่ยังปิดอยู่ หมุนหลาวให้ชั้นในเปิดเพื่อให้เมล็ดเข้าไป อยู่ในหลาว หมุนอีกครั้งเพื่อปิดหลาว แล้วจึงดึงหลาวออกและเทตัวอย่างใส่ภาชนะ 2.1 ชนิดของตัวอย่างที่สุ่ม ตัวอย่างที่สุ่มแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ - Primary Sample เป็นตัวอย่างที่สุ่มมาครั้งแรก ประมาณ 100 กรัม - Composite Sample เกิดจากการนำตัวอย่างที่สุ่มมาครั้งแรกมารวมกัน ควรมีไม่น้อยกว่า 2 กิโลกรัม - Standard Sample หลังจากได้ตัวอย่างที่นำมารวมกันแล้ว จึงสุ่มตัวอย่างอีกครั้งเพื่อนำไป ตรวจวิเคราะห์ การสุ่มตัวอย่างแต่ละครั้งต้องมั่นใจว่าจำนวนตัวอย่างมากเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนที่ดีของผลิตผลเกษตร ทั้งหมดได้และจุดที่จะสุ่มตัวอย่างนั้นต้องกระจายตัวอย่างทั่วถึง ตัวอย่างที่สุ่มมาครั้งแรกนั้นต้องนำมารวม กันก่อนที่จะสุ่มขึ้นมาบางส่วนเพื่อตรวจสอบ ยกเว้นตัวอย่างที่นำมาตรวจวัดความชื้นเมล็ดที่ไม่ต้องนำมารวมกัน 2.2 จำนวนตัวอย่างที่สุ่ม 2.2.1 การสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตรที่เก็บในกระสอบหรือถุง การคำนวณว่าจะต้องสุ่ม ตัวอย่างจากกี่กระสอบ ใช้หลัก ดังนี้ - จำนวน 0-10 กระสอบ สุ่มทุกกระสอบ ๆ ละ 1 ตัวอย่าง - จำนวน 11-100 กระสอบ สุ่ม 10 กระสอบ - จำนวน 100-10,000 กระสอบ สุ่มไม่น้อยกว่ารากที่ 2 ของจำนวนกระสอบ ทั้งหมด เช่น มีถุงข้าว 100 กระสอบรากที่2 ของ 100คือ 10 เป็นต้น - จำนวนมากกว่า 10,000 กระสอบ สุ่มเท่ากับรากที่ 2 ของจำนวนกระสอบ ทั้งหมดหารสอง 2.2.2 การสุ่มตัวอย่างผลิตผลเกษตรที่ขนเข้าสู่ไซโลทางสายพาน ควรสุ่มอย่างน้อย 4 ตัวอย่าง ต่อ 30 ตัน (ตัวอย่างละ 2-3 กิโลกรัม) 2.2.3 การสุ่มตัวอย่างจากกองผลิตผลเกษตร หรือจากรถบรรทุกผลิตผลเกษตรที่ไม่ได้ใส่ กระสอบใช้หลักดังนี้


112 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2.3 ระดับการเข้าทำลายของแมลง แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 2.3.1 Clear คือ ไม่พบแมลงทั้งก่อนและหลังการสุ่มหรือร่อนด้วยตะแกรงหลาย ๆ ครั้ง 2.3.2 Light คือ พบแมลงน้อยกว่า 10 ตัวต่อกระสอบที่บรรจุเมล็ด 70 กิโลกรัม หรือมี แมลงไม่เกิน 1 ตัวต่อตัวอย่าง 3 กิโลกรัม 2.3.3 Medium หรือ Moderate คือ พบแมลงตามกระสอบ กองกระสอบ หรือในตัวอย่าง ที่จะนำมาร่อนด้วยตะแกรง พบแมลงไม่เกิน 2 ตัวต่อตัวอย่าง 3 กิโลกรัม 2.3.4 Heavy คือ พบแมลงเป็นจำนวนมากตามกระสอบ กองกระสอบ หรือในตัวอย่างที่นำ มาร่อนด้วยตะแกรง พบแมลงระหว่าง 20-50 ตัวต่อกระสอบหรือมีแมลง 2-10 ตัวต่อ ตัวอย่าง 3 กิโลกรัม 2.3.5 Very heavy คือ พบแมลงเป็นจำนวนมากทั้งก่อนและหลังการสุ่ม การพบแมลง ในระดับต่าง ๆ นี้ใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจว่าควรจะทำการป้องกันกำจัดแมลง โดยการพ่นสารฆ่าแมลงหรือใช้สารรม (fumigant) ต่อไป 3. การตรวจสอบการเข้าทำลายของแมลงในเมล็ดพืช แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรหลายชนิด เช่น ด้วงงวงข้าวโพด ผีเสื้อข้าวเปลือก และมอดข้าวเปลือก ในระยะหนอนและดักแด้จะอาศัยอยู่ภายในเมล็ดจึงไม่สามารถมองเห็นได้เนื่องจากรูที่เกิดจากการเจาะ ของตัวเต็มวัยหรือหนอนมีขนาดเล็กมาก ดังนั้น ต้องมีวิธีการตรวจหาแมลงที่อยู่ภายในซึ่งทำได้หลายวิธีดังนี้ 1. ดูด้วยตาเปล่า โดยการตรวจดูรูที่แมลงเข้าทำลาย ไข่แมลงที่เกาะติดผิวเมล็ด แมลงเหล่านี้ ได้แก่ มอดข้าวเปลือก ผีเสื้อข้าวเปลือก ด้วงถั่วเขียว ตรวจลักษณะอื่น ๆ เช่น แมลงทำให้สีเมล็ดเปลี่ยนไป การพบเส้นใยหนอนและมูลหนอน เช่น หนอนผีเสื้อข้าวสาร หรือก่อนที่หนอนผีเสื้อข้าวเปลือกที่อยู่ในเมล็ด จะเข้าดักแด้ หนอนจะกัดเปลือกข้าวเปลือกจนบางมากอย่างเห็นได้ชัด 2. การย้อมสีไข่แมลง เป็นที่ทราบดีว่าแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่มักวางไข่ในรูที่เจาะไว้ และปิดปากรูด้วยแผ่นเจลาติน ซึ่งยากต่อการตรวจสอบด้วยสายตา ต้องใช้น้ำยา acid fuchsin ย้อมเมล็ด จะช่วยให้เห็นรูที่แมลงเจาะนี้ได้ง่ายขึ้น โดยแช่ข้าวเปลือกในน้ำยา 0.5% ประมาณ 10 นาทีสารเหนียวที่ ปิดไข่อยู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู น้ำหนักเมล็ดพืช (ตัน) จำนวนตัวอย่าง 0-8 1 8-16 2 16-36 3 รถบรรทุก 3


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 113 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 3. การใช้แสงยูวีโดยใช้แสงยูวีกระตุ้น egg plugs ของแมลงให้สะท้อนแสง วิธีนี้ทำได้โดยการ นำเอาเมล็ดย้อมสีด้วย berberine sulfate แล้วตรวจดูegg plugs ของแมลง ภายใต้แสง UV egg plugs จะสะท้อนแสงเป็นสีเขียวปนเหลือง 4. การใช้ความถ่วงจำเพาะ เมล็ดข้าวเปลือกโดยปกติจะจมน้ำ เมล็ดที่ถูกแมลงเข้าทำลายหรือ มีแมลงอยู่ภายในมักจะมีน้ำหนักเบากว่าเมล็ดที่สมบูรณ์ เมื่อนำไปใส่ในน้ำจะลอยขึ้นข้างบนผิว ทำให้ทราบ ว่ามีการทำลายของแมลงอยู่ภายในเมล็ด วิธีนี้ใช้ได้ผลกับข้าวเปลือกที่มีผีเสื้อข้าวเปลือกทำลายในระยะ หนอนวัยสุดท้ายและระยะดักแด้ 5. การใช้เครื่อง X-ray สามารถตรวจสอบแมลงที่หลบอยู่ภายในเมล็ด 6. การเลี้ยงแมลงที่อยู่ภายในเมล็ดจนออกเป็นตัว วิธีนี้คือ การเก็บเมล็ดที่ต้องการตรวจไว้ใน ขวดแก้ว หรือหลอดแก้วปิดฝาด้วยกระดาษซับหรือผ้าดิบเพื่อระบายอากาศ แล้วรอจนกว่าตัวเต็มวัย จะออกมา ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 5-40 วัน จึงจะทราบผล 7. การวัดอุณหภูมิและความชื้นในเมล็ดเปรียบเทียบกับที่ไม่ถูกทำลาย แมลงมีการหายใจและ มีขบวนการทางเมตาบอลิซึมที่ทำให้อุณหภูมิของเมล็ดพืชสูงขึ้น เมล็ดพืชที่มีแมลงเข้าทำลายมากจะมี อุณหภูมิสูงกว่าเมล็ดพืชที่ไม่มีการเข้าทำลายของแมลง 8. การวัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ วิธีนี้ทำโดยใช้เครื่องวัดก๊าซวัดปริมาณของ CO2 ในตัวอย่างที่เก็บมา หากใน 24 ชั่วโมง ปริมาณ CO2ที่วัดได้ขึ้นถึงระดับ 1% แสดงว่ามีตัวหนอนประมาณ 25 ตัวต่อเมล็ดพืช 1 ปอนด์(0.45 กิโลกรัม) 9. การใช้เสียงและการสั่น วิธีนี้คือ การนำตัวอย่างเมล็ดใส่กล่องเก็บเสียง (sound proof box) แล้วขยายเสียงของแมลงซึ่งกำลังเคลื่อนไหวหรือกำลังกินอยู่ แล้วบันทึกลงบน Oscilloscope 4. การสุ่มตัวอย่างตรวจสอบศัตรูพืชทางด้านกักกันพืช เมล็ดพันธุ์ ปริมาณการสุ่มตัวอย่าง (ISTA, 1985) 1. เมล็ดพันธุ์ที่บรรจุในกระสอบหรือในภาชนะขนาดเดียวกัน - 1-5 บรรจุภัณฑ์ ทำการสุ่มตัวอย่าง 5 บรรจุภัณฑ์และต้องการสุ่มตัวอย่างเบื้องต้น 5 ตัวอย่าง - 6-30 บรรจุภัณฑ์ ทำการสุ่มตัวอย่าง 5 บรรจุภัณฑ์หรือทำการสุ่มอย่างน้อย 1 ตัวอย่างจาก 3 บรรจุภัณฑ์ ขึ้นอยู่กับจำนวนใดจะมากกว่ากัน - 31-400 บรรจุภัณฑ์ ทำการสุ่มตัวอย่าง 10 บรรจุภัณฑ์หรือทำการสุ่มอย่างน้อย 1 ตัวอย่าง จาก 5 บรรจุภัณฑ์ ขึ้นอยู่กับว่าจำนวนใดจะมากกว่ากัน - 401 บรรจุภัณฑ์ ขึ้นไป ทำการสุ่มตัวอย่าง 80 บรรจุภัณฑ์ หรือทำการสุ่ม 1 ตัวอย่างจาก 7 บรรจุภัณฑ์ ขึ้นอยู่กับว่าจำนวนใดจะมากกว่ากัน


114 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2. บรรจุภัณฑ์อื่น ๆ - ต่ำกว่า 500 กิโลกรัม ทำการสุ่มตัวอย่างน้อย 5 ตัวอย่างปฐมภูมิ - 501-3,000 กิโลกรัม ทำการสุ่มตัวอย่างปฐมภูมิจากทุก ๆ 300 กิโลกรัม แต่ไม่น้อยกว่า 5 ตัวอย่าง - 3,000-20,000กิโลกรัม ทำการสุ่มตัวอย่างเบื้องต้น จากทุกๆ500กิโลกรัม แต่ไม่น้อยกว่า10ตัวอย่าง - 20,001 กิโลกรัม ขึ้นไป ทำการสุ่มตัวอย่างเบื้องต้น จากทุกๆ700 กิโลกรัม แต่ไม่น้อยกว่า 40 ตัวอย่าง ธัญพืช/เครื่องเทศ/อาหารสัตว์ 1. ธัญพืช/เครื่องเทศ/อาหารสัตว์ที่บรรจุในกระสอบป่าน - ตรวจตะเข็บ มุมกระสอบ เพื่อหาด้วงอิฐ (Trogoderma granarium) หรือแมลงชนิดอื่น - หากเป็นการบรรจุ2 ชั้นให้เปิดตรวจกระสอบภายในด้วย - ตรวจสอบสินค้า เพื่อดูคราบของตัวอ่อน หรือตัวเต็มวัยของด้วงอิฐ, greater grain borer (Prostephanus truncatus) และแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรชนิดอื่น ๆ - สุ่มตัวอย่างโดยใช้หลาวแทงตัวอย่าง 2. สินค้าที่ไม่บรรจุหีบห่อหรือสินค้าในตู้สินค้า - ตรวจสอบสินค้าในเรือหรือตู้สินค้าก่อนการขนถ่ายสินค้า - สุ่มตัวอย่างจากด้านบนของระวางเรือหรือตู้สินค้าโดยใช้อุปกรณ์สุ่มตัวอย่าง - ตรวจหาคราบของตัวอ่อนหรือตัวเต็มวัยของด้วงอิฐ, greater grain borer และแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรชนิดอื่น ๆ ปริมาณการสุ่มตรวจ 1) สินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงศัตรูพืชสูง ทำการสุ่มตรวจ 5-10% ของสินค้า 2) สินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงศัตรูพืชปานกลาง ทำการสุ่มตรวจ 2-5% ของสินค้า 3) สินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงศัตรูพืชต่ำ ทำการสุ่มตรวจน้อยกว่า 2% ของสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่มิใช่สินค้าทางการเกษตร วัสดุห่อหุ้ม วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม้ - จำแนกประเทศที่ใช้พืชหรือส่วนของพืช มาทำเป็นวัสดุบรรจุหีบห่อ วัสดุกันกระแทก - จำแนกสินค้าทางการเกษตร หรือสินค้าที่มิใช่สินค้าทางการเกษตร ซึ่งใช้พืชหรือส่วนของพืช มาเป็นวัสดุบรรจุหีบห่อหรือวัสดุบรรจุภัณฑ์เพื่อป้องกันกันกระแทก หรือรักษาความชื้นให้กับสินค้า - ตรวจสอบวัสดุบรรจุหีบห่อ เพื่อตรวจหาศัตรูพืช โดยเฉพาะด้วงอิฐ และสิ่งห่อหุ้มที่เป็น สิ่งต้องห้ามอื่น ๆ ปริมาณการสุ่มตัวอย่าง 1) สินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงศัตรูพืชสูง ทำการสุ่มตรวจ 5-10% ของสินค้า 2) สินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงศัตรูพืชปานกลาง ทำการสุ่มตรวจ 2-5% ของสินค้า 3) สินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงศัตรูพืชต่ำ ทำการสุ่มตรวจน้อยกว่า 2% ของสินค้า


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 115 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การสำรวจและประเมินการเข้าทำลายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การใช้ตะแกรงร่อน การใช้กับดักแสงไฟ การใช้กับดักฟีโรโมน


116 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การสำรวจและประเมินการเข้าทำลายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การใช้หลาวสุ่มตัวอย่างจากรถบรรทุกผลิตผลเกษตร การใช้หลาวสุ่มตัวอย่างจากกระสอบ การใช้หลาวสุ่มตัวอย่างจากกองผลิตผลเกษตร


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 117 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปัญหาและผลกระทบจากการใช้สารฆ่าแมลงทางการเกษตร ได้สร้างความตื่นตัวให้กับผู้ผลิตและ ผู้บริโภค การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรก็เช่นกัน สารฆ่าแมลงที่ใช้เป็นสาเหตุของปัญหาที่สำคัญ 2 ประการ ประการแรก คือ สารฆ่าแมลงสามารถทำอันตรายแมลงที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ ตัวห้ำ ตัวเบียน และเป็นอันตรายต่อสัตว์ชนิดอื่น ๆ เช่น ผึ้ง ปลา และนก ส่งผลให้สารฆ่าแมลงบางชนิดไม่ได้รับอนุญาต ให้ใช้ในบางประเทศ เช่น แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น เนื่องจากพิษตกค้างของสารฆ่าแมลงอาจมีผล ต่อผู้บริโภค และผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นสารรมบางชนิดยังทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนด้วย ปัญหา ประการที่สอง คือ แมลงสามารถพัฒนาความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงที่ใช้ในการป้องกันกำจัดแมลงได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่าแมลงหลายชนิดสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงมาลาไธออน และสารรมฟอสฟีน เช่น มอดข้าวเปลือก มอดแป้ง เป็นต้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้มีการรณรงค์ให้ลดการใช้สารเคมีและนำ มาตรการอื่น ๆ มาใช้ทดแทน การป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมีหมายถึงการนำเอาวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ใช้สารเคมีได้แก่ การรักษาความสะอาด การใช้ความร้อนและความเย็น การดัดแปลงและการควบคุม สภาพบรรยากาศ การใช้กับดักแสงไฟ การใช้พลังงานคลื่นไฟฟ้า การใช้ภาชนะบรรจุที่สามารถป้องกันแมลงได้ การใช้พันธุ์ต้านทาน การใช้ชีวภัณฑ์เช่น ตัวเบียน ตัวห้ำ และเชื้อสาเหตุของโรค การใช้สารไล่และสารดึงดูดแมลง การใช้สารยับยั้งการกินอาหาร การใช้สารยับยั้งการเจริญเติบโต การใช้inert dusts การใช้สารสกัดจากพืช น้ำมันพืช และส่วนต่าง ๆ ของพืช เป็นต้น นำมาใช้ในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรเพื่อลด ความเสียหายที่เกิดจากแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมีสามารถจำแนกได้ดังนี้ 1. วิธีกล (Mechanical Control) 2. วิธีทางกายภาพ (Physical Control) 3. วิธีทางชีวภาพ (Biological Control) 1. วิธีกล (Mechanical Control) วิธีกลเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ในการควบคุมแมลง เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร อาจเป็นวิธีการควบคุมแมลงทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือเป็นการรบกวนกระบวนการทางสรีรวิทยาและ พฤติกรรมของแมลง 1.1 การรักษาความสะอาดโรงเก็บ อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ เมล็ดพืชที่ตกค้างในเครื่องมือที่ใช้ในขณะเก็บเกี่ยว หรือพาหนะที่ใช้ขนย้ายเมล็ดพืชจากไร่นา ไปยังโรงเก็บ แม้จะมีปริมาณน้อยแต่ก็เป็นแหล่งอาหารของแมลงได้ทำให้แมลงมีโอกาสปนเปื้อนไปกับ ผลิตผลเกษตรได้ภาชนะที่ใช้บรรจุผลิตผลเกษตร เช่น กระสอบ จัมโบ้หรือไซโล เป็นต้น หากถูกละเลยและ ไม่ได้ทำความสะอาด อาจมีแมลงหลบซ่อน หรือติดค้างอยู่ภายใน เมื่อนำไปบรรจุผลิตผลเกษตร แมลง ที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเข้าทำลายผลิตผลเกษตรและก่อให้เกิดความเสียหายได้การรักษาความสะอาดโรงเก็บ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเก็บรักษาเมล็ดพืชหรือผลิตผลเกษตรในฤดูใหม่ ควรทำความสะอาดพื้น และส่วนต่าง ๆ ของโรงเก็บ ไม่ควรให้มีเมล็ดพืชเก่าตกค้างอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องทำความสะอาดพื้นหรือฝาผนัง ทั้งด้านในและด้านนอกของโรงเก็บด้วย ควรขนย้ายเมล็ดพืชที่ตกหล่นหรือสิ่งที่จะเป็นแหล่งอาหารของ


118 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงออกไปจากบริเวณโรงเก็บหรือเผาทำลายทิ้ง ควรทำความสะอาดโรงเก็บอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา การเก็บรักษา และจัดสภาพโรงเก็บให้เหมาะสม 1.2 การใช้วิธีการทางตรงกับแมลง - การร่อนแยกแมลงออกจากผลิตผลเกษตร ใช้ได้ดีกับแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรระยะตัวเต็มวัย มากกว่าระยะอื่น ๆ แต่ไม่สามารถแยกระยะตัวอ่อนของด้วงงวง หรือมอดข้าวเปลือก ซึ่งระยะหนอนและ ดักแด้อาศัยและเจริญเติบโตอยู่ภายในเมล็ด - โรงงานแป้งมักจะร่อนแป้งด้วยตะแกรงละเอียดที่แยกสิ่งปลอมปนออก ซึ่งรวมถึงแมลงด้วย หรือใช้เครื่องเอนโตลีเตอร์(entoleters) ซึ่งเป็นการใช้แรงเหวี่ยงที่มีผลกระทบต่อแมลง หรือเมล็ดที่มีแมลง อยู่ภายใน สามารถช่วยแยกด้วงงวงและมอดข้าวเปลือกออกจากแป้งได้ - การพลิกกลับเมล็ดทุก 2 สัปดาห์สามารถลดการเข้าทำลายของด้วงงวงได้87% มอดแป้งได้ 75% และมอดหนวดยาวได้89% การพลิกกองเมล็ดจะฆ่าแมลงด้วยการชนหรือกระแทก นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายเมล็ดสามารถทำให้แมลงตายได้เช่น ตัวอ่อนที่เพิ่งฟักใหม่ ๆ ของด้วงถั่วแดงต้องใช้เวลา 24 ชั่วโมง ในการเจาะเข้าไปในเมล็ดถั่วแดง ตัวอ่อนด้วงถั่วแดงต้องแทรกตัวเองโดยอาศัยเมล็ดที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อเจาะเมล็ด การพลิกกลับเมล็ดถั่วทุก ๆ 8 ชั่วโมง ช่วยลดประชากรด้วงถั่วแดงได้97% เพราะหนอนแรกเกิด ไม่สามารถเจาะรูได้สำเร็จ - การใช้เครื่องดูดเมล็ดโดยวิธีสุญญากาศ (industrial vacuum conveying system) ทำให้ แมลงตายได้มากกว่า 90% เช่น ด้วงอิฐ (Trogoderma granarium) และมอดฟันเลื่อย (Oryzaephilus surinamensis) ตาย 99.6 และ 100% ตามลำดับ 1.3 การใช้วิธีการทางอ้อมกับแมลง - การทำให้สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมกับแมลง แมลงบางชนิด เช่น มอดหนวดยาว มอดฟันเลื่อย และมอดแป้ง ชอบทำลายเมล็ดที่แตกหัก การแยกเมล็ดที่แตกหักเสียหายออกจากเมล็ดดีจะสามารถ ป้องกันการเข้าทำลายของแมลงเหล่านี้ได้ - การใช้เครื่องมือเก็บเกี่ยวที่ไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้เมล็ดเสียหายมาก ซึ่งส่งผลต่อการ เข้าทำลายของแมลงด้วย โดยเมล็ดที่เสียหายมากก็จะทำให้แมลงเข้าทำลายได้มาก การเก็บเกี่ยวด้วย เครื่องจักรสามารถทำให้เมล็ดข้าวสาลีแตกหรือร้าวได้ถึง 50% เมล็ดข้าวโพดมีความอ่อนแอเป็นพิเศษต่อ การแตกหักระหว่างการเคลื่อนย้าย 1.4 การใช้สารหรือวัสดุบางอย่างคลุกเมล็ด 1.4.1 น้ำมันพืช น้ำมันพืชหลายชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารไล่ และเป็นสารยับยั้งการกิน สามารถนำมาใช้ป้องกันการเข้าทำลายของแมลงได้เช่น น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น โดยใช้น้ำมันในปริมาณน้อย เช่น ใช้อัตรา 2-4 มิลลิลิตร ต่อเมล็ดถั่ว 1 กิโลกรัม น้ำมันจะเคลือบ ที่ผิวของเมล็ดพืชทำให้เมล็ดมีความลื่น ทำให้แมลงไม่สามารถวางไข่บนเมล็ดได้หนอนที่เจริญเติบโตอยู่ภายนอก ตายก่อนที่จะเจาะเข้าไปภายในเมล็ด และหนอนที่เจริญอยู่ภายในเมล็ดอาจตายเนื่องจากน้ำมันที่เคลือบอยู่ จะป้องกันการแลกเปลี่ยนอากาศ ทำให้หนอนขาดออกซิเจน น้ำมันขมิ้น และน้ำมันสะเดามีประสิทธิภาพ เป็นสารไล่สามารถไล่มอดข้าวเปลือกได้มากกว่า 50% ในระยะ 8 สัปดาห์นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการ ยับยั้งการกิน น้ำมันสะเดาคลุกเมล็ดข้าวเปลือกอัตรา 15 และ 20 มิลลิลิตรต่อข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม สามารถป้องกันมอดข้าวเปลือกได้นาน 12 เดือน แต่เมล็ดข้าวเปลือกที่คลุกด้วยน้ำมันพืชอัตรา 10-30 กรัม ต่อข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม มีผลต่อความงอกโดยทำให้ความงอกต่ำ ดังนั้น จึงไม่ควรนำมาคลุกเมล็ดพันธุ์ แต่นำมาใช้กับเมล็ดที่นำมาบริโภคได้อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังเรื่องกลิ่นของน้ำมันพืชที่จะติดไปกับเมล็ด


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 119 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 1.4.2 ส่วนต่าง ๆ ของพืช ก่อนนำพืชมาใช้เป็นสารกำจัดแมลงหรือสารไล่ จำเป็นต้องใช้ด้วย ความระมัดระวัง และต้องคำนึงเสมอว่าพืชหรือสารสกัดจากพืชบางชนิดเป็นพิษต่อมนุษย์ด้วย ประโยชน์ ของพืชจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของพืช มักพบคุณสมบัติการเป็นสารฆ่าแมลงในส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช เช่น เปลือก ราก ใบ ดอก ผล และเมล็ด เป็นต้น การใช้เหง้าของว่านน้ำ (Sweetflag: Acorus calamus Linn.) สามารถกำจัดแมลงได้โดยใช้ว่านน้ำผงอัตรา 200 กรัมต่อข้าวเปลือก 5 กิโลกรัม สามารถป้องกัน แมลงศัตรูข้าวเปลือกได้นาน 6 เดือน โดยมีเปอร์เซ็นต์ความเสียหายเพียง 0.99% แต่ว่านน้ำไม่มี ประสิทธิภาพในการป้องกันมอดแป้ง นอกจากนี้ว่านน้ำผงผสมน้ำแล้วนำมาคลุกเมล็ดข้าวเปลือกก็สามารถ ป้องกันแมลงได้เช่นเดียวกัน 1.4.3 การใช้Minerals และ Inert Dusts - Minerals เช่น ทรายละเอียด ปูนขาว ดินเหนียว และขี้เถ้า เป็นต้น เมื่อผสม minerals เหล่านี้กับเมล็ดพืชจะเป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างเมล็ด เป็นการป้องกันการเคลื่อนไหวและการแพร่ กระจายตัวของแมลง minerals อาจไม่สามารถป้องกันความเสียหายของเมล็ดได้ทั้งหมด แต่สามารถ ขัดขวางกิจกรรมของแมลงปีกแข็งประเภทด้วงที่ฟักใหม่ได้และยังเป็นการเข้าไปแทนที่อากาศในกองเมล็ดพืช ทำให้แมลงไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอต่อการมีชีวิตรอด ปริมาณการใช้minerals ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และชนิดของ minerals เช่น ทราย หรือดินเหนียว จะมีประสิทธิภาพดีเมื่อใช้ปริมาณ 1 กิโลกรัมต่อผลิตผล เกษตร 10 กิโลกรัม และขี้เถ้า 1 กิโลกรัมต่อผลิตผลเกษตร 40 กิโลกรัม เป็นต้น - Inert dusts (ตารางที่ 1) เป็นสารที่ไม่มีพิษ ได้แก่ diatomaceous earth, silica aerogels และ ซิลิคอนไดออกไซด์ (silicon dioxide) diatomaceous earth เป็นฟอสซิลของไดอะตอม (diatom) ซึ่งเป็นพืชน้ำเซลล์เดียวขนาดเล็กที่มีเปลือกบาง เปลือกของไดอะตอมก่อตัวมานับล้านปีและ บางแห่งมีความหนาหลายร้อยเมตร องค์ประกอบหลักเป็น silica (SiO2 ) การใช้diatomaceous earth ในปัจจุบันใช้เป็นตัวกรอง (filter) ส่วน silica aerogel นั้น ผลิตขึ้นมาโดยการทำให้สารละลาย sodium silicate แห้ง เป็นผงมีน้ำหนักเบา การทำงานของ inert dusts คือ ทำให้แมลงแห้งตาย diatomaceous earth ทำให้ผิวหนังของแมลงเกิดบาดแผล น้ำในตัวแมลงไหลออกสู่ภายนอก แมลงจะตายเมื่อสูญเสียน้ำ ในร่างกาย 60% หรือประมาณ 30% ของน้ำหนักตัว silica aerogel สามารถดูดซับน้ำมันได้ถึง 3 เท่าตัว เมื่อแมลงเคลื่อนที่ผ่านบนเมล็ด silica aerogel สารนี้จะดูดซับไขมัน (waxes) จากผิวหนังของแมลง แมลงจะสูญเสียน้ำและตายในที่สุด เนื่องจากแมลงมีขนาดเล็ก มีพื้นที่ผิวสัมผัสมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ดังนั้น จึงต้องกักเก็บน้ำมากกว่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า และแมลงอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง มีน้ำในปริมาณจำกัด การรักษาน้ำไว้เป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอด แมลงป้องกันการสูญเสียน้ำโดยมีไขมัน ปกคลุมผิวหนัง แต่ inert dusts สามารถทำลายไขมันนี้ได้ทำให้แมลงสูญเสียความสมดุลของน้ำ แมลงแต่ละชนิดมีความทนทานต่อ inert dusts แตกต่างกัน โดยแมลงในกลุ่ม Tribolium spp. มีความทนทาน มากที่สุด ขณะที่มอดหนวดยาว (Cryptolestes pusillus) มีแนวโน้มทนทานได้น้อยที่สุด โดยทั่วไปความ สามารถในการอยู่รอดของแมลง ในสภาพที่แห้งสัมพันธ์กับความทนทานต่อ inert dusts ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัว กำหนดประสิทธิภาพของ inert dusts ได้แก่ความสามารถของแมลงในการรับน้ำจากอาหาร การดูดซับน้ำกลับ ไปใหม่ระหว่างการขับถ่าย การสูญเสียน้ำผ่านทางผิวหนังของแมลง ชนิดของไขมันที่ปกคลุมผิวหนังของแมลง ในปัจจุบันมีการใช้diatomaceous earth ซิลิคอนไดออกไซด์และ silica aerogels ในการฉีดพ่นบนกอง เมล็ดพืชหรือคลุกเมล็ดเพื่อป้องกันการเข้าทำลายของแมลง ซึ่งได้ผลดีและไม่มีพิษต่อผลิตผลเกษตร ปัญหา ของการใช้inert dusts คือ ทำให้ความหนาแน่นของกองเมล็ดและความสามารถในการไหลของเมล็ดลดลง ทำให้เกิดฝุ่นผง โดย inert dusts เกาะติดกับผิวของเมล็ด และเพิ่มการขัดสีระหว่างเมล็ดทำให้เมล็ดไหล


120 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ไม่สะดวก diatomaceous earth อัตรา 2 กิโลกรัมต่อตัน ทำให้ความหนาแน่นของเมล็ดข้าวโพดลดลง 4.4 กิโลกรัมต่อ 100 ลิตร และความหนาแน่นของข้าวสาลีลดลง 6.2 กิโลกรัมต่อ 100 ลิตร เนื่องจากความแห้ง เป็นกลไกของการใช้diatomaceous earth การป้องกันกำจัดแมลงในเมล็ดที่มีความชื้นจะได้ผลไม่ดีเท่าในเมล็ด ที่แห้ง การใช้inert dusts อาจเกิดฝุ่นผงกระจายไป เพื่อลดปัญหานี้ในออสเตรเลียจึงใช้ผสมน้ำสำหรับ ฉีดพ่นไปบนพื้นผิวแต่ประสิทธิภาพก็จะลดลง การใช้diatomaceous earth กับโรงเก็บที่ว่างเปล่า ผ่านระบบการระบายอากาศเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ลดการสัมผัสกับฝุ่นของผู้ปฏิบัติงาน การใช้inert dusts ในออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา พบว่า diatomaceous earth ได้ขึ้นทะเบียนสำหรับการใช้กับรอยแตก รอยแยก เป็นการใช้เพื่อป้องกันเมล็ด ในออสเตรเลียใช้เพื่อกำจัด แมลงที่ติดค้างอยู่ตามโครงสร้างก่อนเก็บเมล็ดรุ่นใหม่ สามารถใช้เพื่อป้องกันเมล็ดที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ ในแคนาดาใช้diatomaceous earth เพื่อป้องกันเมล็ดที่จะส่งไปฟาร์มหรือใช้ในท้องถิ่น แต่ไม่ใช้กับเมล็ดที่จะ ส่งไปยังผู้ประกอบการเมล็ดพืช สหรัฐอเมริกาใช้diatomaceous earth ตลอดระบบการเก็บและขนส่งเมล็ด ในสหรัฐอเมริกา diatomaceous earth ขึ้นทะเบียนเป็นสารปรุงแต่งอาหาร และ silica aerogels มีoral LD50เท่ากับ 3,160 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวหนูสารทั้งสองชนิดนี้ให้ผลในการป้องกันกำจัด แมลงและไม่มีผลต่อคุณภาพการอบเมล็ด ตารางที่1 ผลของ Inert dust ชนิดต่าง ๆ ที่มีต่อแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ชนิดสาร ชนิดแมลง เอกสารอ้างอิง Magnesite C. chinensis R. dominica S. oryzae T. castaneum Nair, 1957 Diatomaceous Earth (Perma-guard) C. pusillus S. oryzae S. granarius R. dominica O. surinamensis T. castaneum T. confusum Carlson and Ball, 1962 Silica aerogel (Dri-Die) T. castaneum R. dominica S. oryzae S. granarius Kamel et al., 1964


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 121 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ที่มา: Fields, P.G. and W.E. Muir. 1996. Physical Control. Pages 195-221. In Integrated Management of Insects in Stored Products. Marcel Dekker, Inc., New York. 2. วิธีทางกายภาพ (Physical Control) เป็นการดัดแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพของแมลงให้ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ของแมลง ซึ่งทำให้ประชากรของแมลงไม่สามารถเพิ่มจำนวนหรือลดจำนวนประชากรแมลงลง สภาพทาง กายภาพ หมายถึง อุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์ความชื้นของผลิตผลเกษตร โครงสร้างที่ใช้บรรจุผลิตผล เกษตร (ไซโล ถุง ภาชนะบรรจุ) และการใช้รังสีรวมถึงการใช้ก๊าซบางชนิดที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ สภาพแวดล้อมทางกายภาพด้วย 2.1 การระบายอากาศ (Aeration) ปัจจัยหลายอย่างมีผลต่ออุณหภูมิของเมล็ดที่เก็บรักษาไว้และสามารถนำมาใช้ในการควบคุมแมลง ศัตรูผลิตผลเกษตรได้ด้วยวิธีทางกายภาพ ในโรงเก็บที่ไม่มีการระบายอากาศ อุณหภูมิของเมล็ดในขณะที่ นำเข้าไปในโรงเก็บจะมีผลต่ออุณหภูมิของเมล็ดในขณะที่ทำการเก็บรักษา โดยอุณหภูมิเริ่มต้นของการเก็บ อาจมีผลต่ออุณหภูมิของเมล็ดที่ใจกลางของกองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 เมตร นานถึง 5 เดือน และมีผลถึง 20 เดือน สำหรับกองที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร อุณหภูมิเริ่มต้นของการเก็บจะสูงเมื่อเก็บเกี่ยวเมล็ด ในขณะที่อากาศร้อน แสงแดดแรง หรือเมื่อเมล็ดยังไม่เย็นพอหลังจากการอบแห้ง นอกจากนี้อุณหภูมิ ของเมล็ดจะเปลี่ยนตามอุณหภูมิของอากาศภายนอก เนื่องจากกองเมล็ดพืชหรือเมล็ดพืชน้ำมันมีการแพร่ กระจายความร้อนต่ำ อุณหภูมิของเมล็ดพืชที่เก็บไว้เปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ อุณหภูมิที่ใจกลางกองเมล็ดพืช เปลี่ยนช้ากว่าอุณหภูมิของอากาศประมาณ 4 เดือน สำหรับกองที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 เมตร และล่ากว่า ประมาณ 7 เดือนสำหรับกองที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 เมตร การเก็บเมล็ดพืชในถังที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ขนาดเล็ก สามารถควบคุมแมลงด้วยวิธีทางกายภาพ โดยการลดอุณหภูมิของเมล็ดพืชใจกลางกอง หลังคาที่ บังแสงแดดและการทาสีหรือการทำผิวนอกของถังด้วยวัสดุที่กระจายความร้อนได้ดีจะช่วยลดอุณหภูมิของ การเก็บรักษาได้ ชนิดสาร ชนิดแมลง เอกสารอ้างอิง Silica aerogel (Sipernat 22s) C. pusillus O. surinamensis T. castaneum S. granarius Le Patourel, 1986 Diatomaceous earth with silica aerogel (Dryacide) T. castaneum R. dominica S. oryzae S. granarius Desmarchelier and Dines, 1987; Aldryhim, 1990 Silica aerogel (SG-67) O. mercator T. confusum White and Loschiavo, 1989


122 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การควบคุมแมลงด้วยวิธีทางกายภาพ โดยใช้การระบายอากาศในเมล็ดที่เก็บรักษาไว้ในสภาพ อากาศร้อนมักใช้ลมเย็น การระบายอากาศด้วยอากาศเย็นที่ได้ผลดีในการควบคุมแมลงในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอิสราเอล เมล็ดจะถูกทำให้เย็นจนมีอุณหภูมิ15 º C โดยค่าใช้จ่าย ด้านพลังงานใกล้เคียงกับวิธีการใช้สารฆ่าแมลง เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและคงรักษาอุณหภูมิในเมล็ด ให้ต่ำ ใกล้กับรอบ ๆถัง ไซโลต้องเป็นฉนวน การเป่าลม เป็นการบังคับอากาศที่ใกล้เคียงกับอากาศปกติให้เคลื่อนผ่านเข้าไปในเมล็ดที่เก็บไว้ เพื่อให้เมล็ดมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิอากาศปกติโดยปกติแล้วการเป่าลมมีผลน้อยต่อความชื้นของ เมล็ด เนื่องจากปริมาณอากาศที่ต้องใช้เพื่อเปลี่ยนอุณหภูมิของเมล็ดน้อยกว่าปริมาณอากาศที่ต้องใช้เพื่อเปลี่ยน ความชื้นของเมล็ดมาก ภายใต้สภาพอากาศปกติทั่วไป อุณหภูมิของอากาศจะต่ำที่สุดในเวลากลางคืน ซึ่งมัก จะมีความชื้นสัมพัทธ์สูงสุดด้วย การเป่าลมเย็นที่มีความชื้นอาจเป็นสาเหตุให้ความชื้นของเมล็ดเพิ่มขึ้นใน บริเวณที่ใกล้กับทางเข้าของลม ความชื้นของเมล็ดเพิ่มขึ้นตามอัตราการไหลของอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ และอุณหภูมิของอากาศ ความชื้นของเมล็ดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ และกระจายตัว และจะลดลงเมื่อ เป่าด้วยอากาศแห้งอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าความชื้นของเมล็ดพืชที่เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง แต่การ ควบคุมการระบาดของแมลงอาจจะมีความสำคัญกว่ามาก และถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงในการเพิ่มขึ้นของ ความชื้นของเมล็ดพืช แต่ควรนำการเป่าลมมาใช้เมื่อจำเป็นต้องทำให้เมล็ดพืชเย็นลง ระบบการระบายอากาศเพื่อให้ทำความเย็นได้ทั่วอย่างถึงและสามารถควบคุมแมลงได้พื้นควรเป็นรูและ ถังควรเติมเมล็ดด้วยการใช้ตัวกระจายเมล็ดที่มีการออกแบบมาอย่างดีสำหรับการใช้พัดลมระบายอากาศ เมื่ออุณหภูมิของอากาศปกติต่ำกว่าอุณหภูมิสูงสุดของเมล็ด 5-10 º C พัดลมสามารถทำงานต่อเนื่องจนกระทั่ง ความเย็นได้ผ่านเข้าไปในกองเมล็ด อาจจะควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติหรือควบคุมด้วยคน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายด้าน พลังงานและอุณหภูมิของเมล็ดต่ำสามารถเปิดพัดลมเฉพาะเวลากลางคืนได้การควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติขึ้นอยู่ กับความแตกต่างของอุณหภูมิเมล็ดและอากาศภายนอก เพื่อทำให้เมล็ดเย็นเท่ากับอุณหภูมิอากาศ ต้องมีการติดตั้ง ตัววัดอุณหภูมิในกองเมล็ดใกล้ทางออกของอากาศ และอีกหนึ่งตัวในอากาศปกติเมื่อเมล็ดที่เก็บไว้มีอุณหภูมิสูงกว่า อุณหภูมิที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร อาจชะลอการระบายอากาศออกไปจนถึงช่วงที่ อุณหภูมิอากาศเหมาะสมสำหรับแมลง ถ้าใช้มาตรการนี้ในการควบคุมแมลง เมล็ดต้องแห้งและต้องสุ่มตรวจอย่าง สม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับเมล็ดพืช 2.2 การควบคุมความชื้นภายในเมล็ด (Moisture Control) เมล็ดพืชไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์หรือเมล็ดเพื่อการบริโภค จะมีการดูดและคายน้ำ (hydroscopic) ดังนั้น จึงสามารถดูดซับความชื้นจากสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูง หรือมีการปล่อยความชื้นออกมา สู่สภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำกว่าจนเกิดสมดุล ดังนั้น การเก็บรักษาผลิตผลเกษตรด้วยวิธีการลดความชื้น ของเมล็ดให้เหมาะสม โดยทำให้เมล็ดแห้งก่อนการเก็บรักษาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เมล็ดที่มีความชื้นสูง มักเหมาะกับการเจริญเติบโตของแมลงและอาจเกิดเชื้อราขึ้น ความชื้นของเมล็ดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดแมลง และส่งเสริมการแพร่กระจายของแมลงได้แมลงส่วนใหญ่ชอบทำลายผลิตผลเกษตรที่มีความชื้นสูงกว่า 12% ดังนั้น การลดความชื้นผลิตผลเกษตรเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการจัดการแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ควรลดความชื้นของเมล็ดก่อนที่จะนำเข้ามาเก็บรักษา แมลงไม่สามารถเข้าทำลายเมล็ดที่มีความชื้นต่ำกว่า 8% ได้นอกจากนั้นการเก็บในสภาพที่มีการปรับอากาศยังช่วยทำให้เมล็ดมีความชื้นสัมพัทธ์ระดับต่ำ ความชื้น ของเมล็ดไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงการเก็บเมล็ดที่แห้งในภาชนะบรรจุที่ปิดผนึกสนิทที่อากาศไม่สามารถ ผ่านได้จะทำให้สามารถเก็บรักษาเมล็ดได้นานขึ้น


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 123 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2.3 การควบคุมอุณหภูมิ(Temperature Control) อุณหภูมิมีความสำคัญต่อการทำงานทางสรีรวิทยาของแมลง เช่น การวางไข่ ระยะเวลาในการ เจริญเติบโต ช่วงอายุขัย และการขยายพันธุ์ของประชากรแมลงในผลิตผลเกษตร อุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับการวางไข่ และการเจริญเติบโตของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร อยู่ระหว่าง 25-33 º C ที่อุณหภูมิต่ำ การวางไข่ของแมลงจะลดลงและแมลงจะเจริญเติบโตช้าลง ซึ่งเป็นการชะลอเวลาก่อนที่ประชากรแมลง จะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผลิตผลเกษตร อุณหภูมิระหว่าง 13-25 º C ทำให้การ เจริญเติบโตของแมลงช้าลง สำหรับแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่ ที่อุณหภูมิ20 º C แมลงจะหยุด การเจริญเติบโต อาจยกเว้นแมลงบางชนิด เช่น ด้วงงวงข้าวสาลี(Sitophilus granarius) ที่สามารถเติบโต ได้ที่ 15 º C ถึงแม้ว่าแมลงจะไม่มีการเจริญเติบโตแต่แมลงยังคงมีชีวิตอยู่เป็นเวลานาน และจะทำความ เสียหายได้ถ้าอุณหภูมิของผลิตผลเกษตรสูงขึ้น ดังนั้น การใช้ความร้อนและความเย็นจะสามารถนำมากำจัด แมลงศัตรูผลิตผลเกษตร หรือปกป้องผลิตผลเกษตรและผลิตภัณฑ์จากการเข้าทำลายของแมลงได้ แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรจะถูกฆ่าที่อุณหภูมิสูงหรือต่ำมาก อุณหภูมิสูงหรือต่ำระดับกลางทำให้แมลงตายน้อย แต่ป้องกันการเพิ่มของประชากรแมลง โดยลดอัตราการเจริญเติบโต การกินอาหาร การวางไข่ และลดอัตรา การอยู่รอด จึงสามารถป้องกันการเกิดความเสียหายกับผลิตผลเกษตรที่เก็บไว้ได้โดยทั่วไปอุณหภูมิที่ใช้ สำหรับการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรควรยับยั้งแมลงได้โดยไม่มีผลต่อคุณภาพของเมล็ด 2.3.1 การใช้ความเย็น (Low Temperature) แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่ไม่มีความต้านทานต่ออุณหภูมิต่ำ นอกจากการเก็บผลิตผล เกษตรในที่เย็นจะเป็นการชะลอความเสียหายของผลิตผลเกษตรแล้ว ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของแมลง คือ ลดอัตราการกิน ลดอัตราการวางไข่ ลดอัตราการฟักไข่ ซึ่งจะทำให้แมลงหยุดชะงักการกินอาหารและ อาจตายได้โดยที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10 º C แมลงมักจะเคลื่อนที่ช้า และถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 5 º C การวางไข่และ การเจริญเติบโตจะหยุดชะงัก ดังนั้น การเก็บผลิตผลเกษตรไว้ที่อุณหภูมิต่ำระหว่าง 5-10 º C จะช่วยป้องกัน แมลงและชะลอความเสียหายได้และที่อุณหภูมิ-2 ถึง -5 º C แมลงจะตายได้ที่อุณหภูมิ-16 º C ถึง -22 º C ทำให้แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่ตายภายในไม่กี่ชั่วโมง และเป็นระดับอุณหภูมิที่ใช้ในการกำจัดแมลง แมลงบางชนิดมีความอ่อนแอต่อความเย็นมากกว่าชนิดอื่น ๆ เช่น มอดแป้ง มอดฟันเลื่อยใหญ่ แมลงที่ ทนทานต่อความเย็นมากที่สุด ได้แก่ด้วงอิฐ ด้วงงวง ผีเสื้อข้าวโพด ผีเสื้อ Ephestia kuchniella และผีเสื้อ อินเดีย แมลงแต่ละระยะการเจริญเติบโตจะมีความทนทานต่อความเย็นแตกต่างกัน ระยะไข่ เป็นระยะที่ อ่อนแอต่อความเย็นมากที่สุด ส่วนระยะหนอนมีความทนทานต่อความเย็นมากที่สุด ผลที่เกิดจากความเย็นส่วนมากเป็นการกระทบเย็น (chilling) หรือการแช่แข็ง (freezing) การแช่แข็งเกิดขึ้นเมื่อของเหลวในร่างกายของแมลงกลายเป็นน้ำแข็ง อุณหภูมิที่ทำให้เกิดการแช่แข็งได้นี้ เรียกว่า supercooling point หรือ temperature of crystallization ของเหลวในร่างกายของแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรหลายชนิดอยู่ในสภาพนี้เมื่ออุณหภูมิอยู่ที่ -10 º C หรือต่ำกว่า แมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ทุกชนิดไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิระดับแช่แข็งได้จึงตายทันทีถ้าความเย็นที่ได้รับไม่ถึงกับถูกแช่แข็ง จะเป็นการกระทบเย็น ระยะเวลาในการทำให้แมลงตายจะนานขึ้นจากนาทีกลายเป็นวันได้เนื่องจาก แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรจะตายทันทีถ้าภายในถูกแช่แข็ง จากการศึกษาพบว่าอุณหภูมิที่ต้องใช้เพื่อให้ ภายในของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร 5 ชนิด จำนวน 95% ถูกแช่แข็งอยู่ที่ -15 ถึง -24 º C ในทางตรงข้าม ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า -15 º C จึงจะทำให้แมลง 4 ใน 5 ชนิด จำนวน 95% ตายเนื่องจาก การกระทบเย็น โดยทั่วไปอุณหภูมิและเวลาที่ต้องใช้สำหรับทำให้แมลงตายเนื่องจากความเย็นจะมี


124 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ความสัมพันธ์กัน ตัวอย่างเช่น ที่อุณหภูมิ-3 ถึง -5 º C ค่า LT50ของตัวเต็มวัยมอดแป้งเท่ากับไม่กี่ชั่วโมง แต่ที่อุณหภูมิ3 º C เท่ากับ 7-14 วัน และที่อุณหภูมิ9 º C เท่ากับ 49 วัน การทดสอบตัวเต็มวัยของแมลง 4 ชนิด คือ ด้วงงวงข้าวโพด มอดข้าวเปลือก มอดแป้ง และมอดฟันเลื่อย กับความเย็นที่อุณหภูมิ4 ระดับ คือ 5, 8, 10 และ 15 º C พบว่าที่อุณหภูมิ5, 8 และ 10 º C ต้องใช้เวลาตั้งแต่ 33 ถึง 63 วัน ในการทำให้ แมลงทุกชนิดตาย 100% โดยที่อุณหภูมิ15 º C ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็น 77-119 วัน ด้วงงวงข้าวโพด มอดฟันเลื่อย และมอดข้าวเปลือกจึงมีอัตราการตาย 100% และสำหรับมอดแป้งต้องใช้เวลามากกว่า 119 วัน เนื่องจากระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำให้แมลงกระทบกับความเย็นตาย (chilling) แตกต่างกัน อย่างมาก แสดงให้เห็นว่ากลไกด้านสรีรวิทยาของแมลงจะแตกต่างกันในแต่ละช่วงอุณหภูมิอย่างไรก็ตาม เมื่อนำความเย็นจัดไปใช้เพื่อการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ถ้าแมลงผ่านความเย็นที่อุณหภูมิระหว่าง 10-20 º C ก่อนพบกับความเย็นระดับที่ทำให้แมลงตายได้แมลงจะมีการปรับตัวและมีความทนทานต่อความเย็นจัด เพิ่มขึ้น 2-10 เท่า ยกเว้นเมื่อผลิตผลเกษตรผ่านความเย็นจัดอย่างรวดเร็วในระดับแช่แข็ง การควบคุมแมลง ด้วยอุณหภูมิต่ำส่วนมากเป็นการศึกษาทางห้องปฏิบัติการซึ่งมักจะประเมินความทนทานของแมลงต่อความ เย็นต่ำเกินไป การทำให้ผลิตผลเกษตรเย็นเร็วจาก 25º C น่าจะป้องกันการปรับตัวต่อความเย็นของแมลงได้ แต่ทั้งนี้อาจเกิดความเสี่ยงขึ้นเนื่องจากแมลงสามารถทำความเสียหายกับผลิตผลเกษตรได้ถ้าเก็บรักษาที่ อุณหภูมิ25 º C อย่างไรก็ตามแมลงส่วนใหญ่จะหยุดการกินอาหารที่ 20 º C 2.3.2 การใช้ความร้อน (High Temperature) การใช้ความร้อนเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร โดยการ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นทำให้แมลงตายด้วยความร้อน อัตราการตายของแมลงเมื่อใช้ความร้อนขึ้นอยู่กับ ระดับอุณหภูมิระยะเวลา ชนิดและระยะการเจริญเติบโตของแมลง การปรับตัวของแมลง และความชื้นสัมพัทธ์ ที่อุณหภูมิบางระดับไม่ทำให้แมลงตาย แต่ทำให้ความสามารถในการวางไข่และความสมบูรณ์ของแมลง ลดลงได้อุณหภูมิที่ทำให้แมลงมีอัตราการขยายพันธุ์สูงสุดจะต่ำกว่าอุณหภูมิที่ทำให้แมลงหยุดการ เจริญเติบโตเพียง 5 º C ด้วงงวงข้าวมีอัตราการขยายพันธุ์สูงสุดที่อุณหภูมิ29 º C และหยุดการเจริญเติบโต ที่อุณหภูมิ35 º C มอดข้าวเปลือกมีอัตราการขยายพันธุ์สูงสุดที่อุณหภูมิ34 º C และหยุดการเจริญเติบโต ที่อุณหภูมิ39 º C การใช้อุณหภูมิสูงเป็นการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว และบางครั้งใช้ระยะเวลา เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถทำให้แมลงตายได้การกำหนดอุณหภูมิและเวลา ต้องพิจารณาจากวิธีการให้ความร้อน แก่ผลิตผลเกษตรเป็นหลัก ในประเทศออสเตรเลียได้มีการศึกษาการลดการเข้าทำลายของแมลงโดยการ ใช้ความร้อน และมีพัฒนาไปใช้ในเชิงการค้าแล้ว การทดสอบมอดข้าวเปลือก ด้วงงวงข้าว และ ผีเสื้อข้าวเปลือก กับเครื่องฟลูอิไดซ์เบด (fluidized bed) พบว่ามอดข้าวเปลือกต้องใช้เวลานานกว่าแมลงชนิดอื่น แสดงว่ามอดข้าวเปลือก เป็นแมลง ที่ทนทานต่อความร้อนได้ดีกว่า การศึกษาเกี่ยวกับความอ่อนแอของแมลงต่อความร้อนที่ระยะการเจริญเติบโต ต่าง ๆ พบว่าที่อุณหภูมิ44 º C ระยะการเจริญเติบโตของมอดแป้ง (Tribolium confusum) ที่มีความ ทนทานต่อความร้อนเรียงลำดับได้ดังนี้ดักแด้ > ไข่ > หนอน > ตัวเต็มวัย แต่ที่อุณหภูมิ50 º C ความทนทานต่อความร้อนของมอดแป้งที่ระยะการเจริญเติบโตต่าง ๆ ไม่มีความแตกต่างกัน การใช้ความร้อนจากตู้อบลมร้อน เพื่อควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร 4 ชนิด พบว่า ที่อุณหภูมิ80 º C ต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง จึงจะให้ผลดีในการควบคุมแมลง และเมื่อใช้ระดับ ความร้อนลดลงระยะเวลาในการอบต้องนานขึ้น โดยที่อุณหภูมิ70 º C ต้องใช้ระยะเวลา 2 ชั่วโมงหรือ


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 125 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร มากกว่า และที่อุณหภูมิ60 º C ต้องใช้ระยะเวลา 3 ชั่วโมงขึ้นไป สำหรับระยะไข่ หนอน และดักแด้ต้องใช้ เวลามากกว่าตัวเต็มวัย เนื่องจากระยะไข่ หนอน และดักแด้ของแมลงบางชนิดเป็นระยะที่อาศัยอยู่ภายในเมล็ด ทำให้ยากต่อการควบคุมมากกว่าระยะตัวเต็มวัย เมื่อต้องการควบคุมแมลงทุกระยะให้ได้ผลจะต้องใช้ ระยะเวลานานขึ้นและต้องขึ้นอยู่กับวิธีการให้ความร้อนด้วย การปรับตัวของแมลงต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจเกิดขึ้นได้ดังเห็นได้จากการเพิ่มความต้านทานต่อความร้อนขึ้น 3 เท่าของด้วงงวงข้าวสาลี(Sitophilus granarius) เมื่อมีการปรับตัว อย่างไรก็ตามจากการทดสอบด้วงงวงข้าว และมอดข้าวเปลือก พบว่าการใช้ อุณหภูมิสูงระดับปานกลางก่อน ไม่มีผลต่อการรอดชีวิตเมื่อควบคุมด้วยอุณหภูมิ55 º C นอกจากนี้ความชื้นสัมพัทธ์ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ความชื้นสัมพัทธ์หรือความชื้นของ เมล็ดยิ่งต่ำจะทำให้แมลงอ่อนแอต่อความร้อนมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นมากเมื่อใช้อุณหภูมิระหว่าง 40-45 º C ความแตกต่างที่อุณหภูมิสูงขึ้นในเครื่องฟลูอิไดซ์เบดเกิดเนื่องจากเมล็ดมีความชื้นจะไม่ร้อนเท่าเมล็ดแห้ง การใช้เครื่องฟลูอิไดซ์เบด สเปาท์เต็ดเบด แบบสายพาน คลื่นความถี่สูง ไมโครเวฟ คลื่นอินฟราเรด และ การใช้แสงอาทิตย์ ที่ให้ผลดีในการควบคุมแมลงศัตรูที่เข้าทำลายเมล็ดพันธุ์จะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ สูงสุดในเมล็ดและระยะเวลาอย่างระมัดระวัง เพื่อให้สามารถกำจัดแมลงได้โดยความร้อนไม่ทำลาย ความงอกของเมล็ด มีการใช้ความร้อนเพื่อทำความสะอาดโรงแป้งและโรงงานอาหารมาตั้งแต่ปี1990 โดยใช้ เครื่องทำความร้อนให้อุณหภูมิสูงขึ้นระหว่าง 50-60 º C ระยะเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง สามารถกำจัดแมลง ในโรงงานแปรรูปอาหาร ต้องใช้พัดลมและเดินเครื่องจักรเพื่อช่วยในการกระจายความร้อน จำเป็นต้อง เคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเครื่องมือที่อาจเสียหายจากความร้อน หลังดำเนินการเสร็จสิ้นต้องตรวจสอบชิ้นส่วน อุปกรณ์ข้อต่อ ลูกปืนต่าง ๆ ให้ยังคงใช้งานได้และตรวจสอบความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น พลาสติก หรือยาง และตัวอาคารที่ทำจากคอนกรีตและวัสดุที่ทำหลังคาที่อาจเสียหายเนื่องจากความร้อนด้วย นอกจากการใช้ความร้อนเพื่อกำจัดแมลงที่ปนเปื้อนมากับผลิตผลเกษตรแล้ว ยังมีการ นำความร้อนไปใช้ร่วมกับวิธีการอื่น ๆ เช่น ใช้ร่วมกับการรมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการควบคุม แมลงศัตรูผลิตผลเกษตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ซึ่งอาจลดระยะเวลาในการ รมด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้การทดสอบกับด้วงงวงข้าวโพดระยะไข่ หนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย ด้วยความร้อนที่อุณหภูมิระดับ 40, 45 และ 50 º C เป็นเวลา 2 และ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นรมด้วย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ความเข้มข้น 99.8% เป็นเวลา 18 และ 24 ชั่วโมง พบว่าระดับอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ด้วงงวงข้าวโพดทุกระยะการเจริญเติบโตตายมากขึ้น และที่ระดับความร้อนเดียวกัน ระยะเวลาในการ อบด้วยความร้อน 2 และ 3 ชั่วโมงให้ผลใกล้เคียงกัน โดยการใช้อุณหภูมิ45 º C นาน 2 ชั่วโมงร่วมกับ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์18 ชั่วโมง สามารถควบคุมตัวเต็มวัยได้100% ในขณะที่ระยะไข่ หนอน และ ดักแด้ต้องใช้อุณหภูมิ50 º C นาน 2 ชั่วโมงร่วมกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์18 ชั่วโมง ระยะตัวเต็มวัยมี ความอ่อนแอต่อกรรมวิธีนี้มากที่สุด รองลงมาคือ ระยะไข่ ส่วนระยะหนอนและดักแด้มีความทนทาน มากที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับอุณหภูมิและระยะเวลา การใช้อุณหภูมิที่สูงกว่า 60 º C สามารถกำจัดแมลงในเมล็ดพืชได้แมลงจะไม่สามารถทน ต่อความร้อนเกิน 60 º C ได้ดังนั้น ที่ 60 º C เป็นระยะเวลา 10 นาทีจะสามารถกำจัดแมลงได้ทุกชนิด โดยระยะเวลาที่ใช้ในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรขึ้นอยู่ปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความชื้นของเมล็ด และ ปริมาณของผลิตผลเกษตรขณะที่ให้ความร้อนด้วย โดยที่อุณหภูมิระดับนี้ไม่เป็นอันตรายต่อความงอกของ


126 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ข้าวเปลือก แต่อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเมล็ดบางชนิด เมื่อนำความร้อนมาใช้กับ เมล็ดพันธุ์ควรลดความชื้นลงก่อนจึงจะใช้อุณหภูมิสูง ในประเทศฝรั่งเศสพบปัญหาผีเสื้อข้าวเปลือกทำลาย ข้าวสาลีจึงมีการใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ60 º C ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 9 ชั่วโมง ซึ่งพบว่าสามารถกำจัดหนอน และดักแด้ของผีเสื้อข้าวเปลือกได้ดีการใช้ความร้อนกับเมล็ดพืชควรมีความสม่ำเสมอเพื่อที่จะให้ได้ผลดี ซึ่งอาจเป็นความร้อนจากไอน้ำ หรือลมร้อน แมลงที่มีความทนทานต่อความร้อนที่อุณหภูมิ49 º C เรียงจาก มากไปน้อย ดังนี้มอดยาสูบ มอดหนวดยาว มอดข้าวเปลือก ด้วงงวงข้าว มอดแป้ง ด้วงอิฐ ด้วงงวงข้าวสาลี Gibbium psylloides Carthartus quadricollis มอดฟันเลื่อยใหญ่ มอดแป้ง และมอดฟันเลื่อย ตารางที่2 แสดงระดับอุณหภูมิที่มีผลต่อแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ที่มา: Fields, P.G. and W.E. Muir. 1996. Physical Control. Pages 195-221. In Integrated Management of Insects in Stored Products. Marcel Dekker, Inc., New York. 2.4 การใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า การใช้พลังงานต่าง ๆ เช่น พลังงานไฟฟ้า เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถกำจัดแมลงได้โดยแมลงจะดูด พลังงานได้เร็วกว่าเมล็ดพืช ดังนั้น แมลงจึงตายได้อย่างรวดเร็วโดยเมล็ดยังไม่ถูกทำลาย ด้วงงวงข้าวและ ด้วงงวงข้าวสาลีที่อยู่ในข้าวสาลีจะตายภายใน 2-3 วินาทีเมื่อนำมาผ่านคลื่นไฟฟ้าที่อุณหภูมิ23-41 º C ปกติอุณหภูมิ41 º C เป็นระดับที่ไม่สามารถฆ่าแมลงได้แต่ถ้าอุณหภูมินั้นถูกชักนำโดยพลังงานคลื่นไฟฟ้า จะทำให้แมลงได้รับอุณหภูมิที่สูงกว่าและทำให้แมลงตายได้ 2.5 การใช้ภาชนะบรรจุชนิดต่าง ๆ ภาชนะบรรจุที่ทนทานต่อการเจาะทำลายของแมลงจะช่วยป้องกันการเข้าทำลายของแมลงได้ ในประเทศไทยการเก็บเมล็ดพืชมักจะเก็บไว้ในกระสอบปอ ถุงพลาสติก ถุงปุ๋ย ถุงปูนใช้แล้ว ถุงผ้าดิบ หรืออาจ ระดับ อุณหภูมิ( º C) ผล ตาย 50-60 45-50 ตายภายในนาที ตายภายในชั่วโมง ไม่เหมาะสม 35 33-35 การเจริญเติบโตหยุดชะงัก การเจริญเติบโตชะลอลง เหมาะสม 25-33 การเจริญเติบโตสูงที่สุด ไม่เหมาะสม 13-25 13-20 การเจริญเติบโตชะลอลง การเจริญเติบโตหยุดชะงัก ตาย 5 -10 ถึง 5 -25 ถึง-15 ตายภายในสัปดาห์– เดือน (หยุดการเคลื่อนไหว) ตายภายในวัน ตายภายในนาที


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 127 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองกับพื้น กระสอบหรือถุงเหล่านี้เป็นวัสดุที่ง่ายต่อการเข้าทำลายของแมลงหลายชนิด เนื่องจากกระสอบ ปอมีตาที่ห่างซึ่งทำให้แมลงสามารถเข้าออกสะดวกและวางไข่ได้โดยง่าย ส่วนถุงพลาสติกหากปิดปากถุง ให้แน่น แมลงบางชนิดก็ไม่สามารถเข้าไปทำลายได้ปัจจุบันมีถุงพลาสติกถักที่หนาและสามารถป้องกัน การเข้าทำลายของแมลงจากภายนอกได้การใช้ภาชนะบรรจุที่ดีมีหีบห่อที่แข็งแรงทนต่อการเจาะของแมลง เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเข้าทำลายของแมลงได้แต่ต้องระวังไม่ให้เกิดแผลฉีกขาดหรือเกิดรูและ การบรรจุผลิตผลเกษตรในถุงควรปิดให้สนิท เพราะถ้าปิดไม่สนิทแมลงซึ่งมีขนาดเล็กมาก จะสามารถเข้าไป ภายในและแพร่ขยายพันธุ์ได้ แมลงสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ตัวเต็มวัยเพศเมียของมอดแป้ง 1 ตัวสามารถขยายพันธุ์ ให้ลูกหลานได้5 ล้านตัว ในเวลาไม่ถึง 6 เดือน การเข้าทำลายของแมลงสามารถเกิดขึ้นได้ทุก ๆ จุด ตั้งแต่ การผลิตจนถึงผู้บริโภค โดยแมลงสามารถเจาะถุง กระสอบ กล่องอาหารที่เก็บรักษาในโรงเก็บ ในเรือ เมื่อแมลงพบรูช่องทางเข้าบนถุง หรือรอยแยกบนตะเข็บที่เย็บ แมลงจะเข้าไปข้างในและปนเปื้อนอยู่ใน อาหารนั้น บรรจุภัณฑ์ที่ต้านทานต่อแมลงจึงมีความสำคัญ เนื่องจากถ้าผู้บริโภคพบแมลงในภาชนะที่บรรจุ อาหารนั้นก็อาจสูญเสียชื่อเสียงจนไม่อาจเรียกคืนได้แมลงแต่ละชนิดมีความสามารถในการเจาะภาชนะ แตกต่างกัน มอดยาสูบ (Lasioderma serricorne) มอดสมุนไพร (Stegobium paniceum) ผีเสื้ออินเดีย (Plodia interpunctella) ผีเสื้อข้าวโพด (Cadra cautella) ผีเสื้อข้าวสาร (Corcyra cephalonica) และ Trogoderma variabile สามารถเจาะผ่านภาชนะบรรจุที่สมบูรณ์ได้มอดข้าวเปลือก (Rhyzopertha dominica) สามารถเจาะผ่านได้แต่ไม่ค่อยพบในบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุอาหาร แมลงชนิดอื่น ๆ เช่น มอดแป้ง (Tribolium castaneum) มอดแป้ง (T. confusum) มอดหนวดยาว (Cryptolestes ferrugineus) มอด หนวดยาว (C. pusillus) มอดฟันเลื่อยใหญ่ (Oryzaephilus mercator) และมอดฟันเลื่อย (O. surinamensis) ต้องมีรูเปิดเล็ก ๆ จึงจะสามารถเข้าไปในภาชนะบรรจุสินค้าได้อย่างไรก็ตามมอดแป้ง (T. castaneum) มอดฟันเลื่อยใหญ่ (O. mercator) และมอดหนวดยาว (C. pusillus) สามารถเจาะผ่าน บรรจุภัณฑ์ที่มีความต้านทานน้อย แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่สามารถผ่านเข้าไปทางรูที่มีขนาดใหญ่ กว่า 2 มิลลิเมตร ขณะที่รูที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มิลลิเมตรจะป้องกันการเข้าของแมลงได้หนอนที่ฟักใหม่ ๆ สามารถเข้าทางช่องเปิดที่เล็กมาก เนื่องจากความกว้างของหัวกะโหลกมักจะเล็กกว่า 0.3 มิลลิเมตร บรรจุภัณฑ์ (Packaging) เป็นตัวกั้นทางกายภาพที่ป้องกันการเข้าทำลายของแมลงได้ปัจจัยที่ กำหนดว่าสินค้าจะถูกแมลงเข้าทำลายได้หรือไม่จะขึ้นอยู่กับชนิดของแมลง วัสดุของบรรจุภัณฑ์และ ตัวสินค้าที่บรรจุอยู่นั้น การออกแบบบรรจุภัณฑ์นอกจากจะใช้เพื่อการดึงดูดผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อการเก็บรักษาคุณภาพของสินค้าได้ด้วย บรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ ยกเว้นอาหารกระป๋อง อาจจะถูก เข้าทำลายโดยแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมจะสามารถป้องกันความเสียหาย จากแมลงได้อย่างไรก็ตามยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การเก็บรักษา การกระจายสินค้า การค้าขาย สุขอนามัย และข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความสะอาดและการค้าระหว่างประเทศ กำหนดให้มีระบบป้องกันอาหาร อาหารสัตว์และเมล็ดพืชให้ปลอดจากการเข้าทำลายของแมลงและโรค ตั้งแต่การบรรจุจนกระทั่งถึงผู้บริโภค การเลือกวัสดุที่ใช้ทำบรรจุภัณฑ์ชนิดของบรรจุภัณฑ์และอุปกรณ์ การบรรจุ ช่วยให้สินค้ามีคุณภาพดีสิ่งที่ต้องพิจารณาในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์คือ ชนิดของบรรจุภัณฑ์ ความสามารถของบรรจุภัณฑ์ในการเก็บรักษาคุณภาพ ต้นทุนและการจัดหาวัสดุ รวมถึงการยอมรับของ ผู้บริโภค การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่ราคาสูงเกินไปเป็นการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็น ขณะที่บรรจุภัณฑ์ราคาถูกเกินไปก็อาจทำให้แมลงและเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ สามารถเข้าทำลายได้ทำให้


128 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร คุณภาพของสินค้าลดลงได้ปีค.ศ. 1947 เริ่มมีงานวิจัยกระดาษห่อของที่ต้านทานต่อแมลง บรรจุภัณฑ์ ที่ทำจากพลาสติกได้รับการพัฒนาในช่วงปี1970s-1980s ในรูปของขวดพลาสติก นวัตกรรมใหม่เริ่มเข้ามา ในปี1990s เพื่อการป้องกันการเน่าเสียและยืดอายุการเก็บรักษาของอาหารให้นานขึ้น และป้องกันการ เข้าทำลายของแมลง การศึกษาประสิทธิภาพของบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันการเข้าทำลายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร โดยใช้ถุงพลาสติกชนิดต่าง ๆ คือ ถุง Polypropylene (PP) อย่างหนา ถุง Polyethylene (PE) แบบมีรู และแบบไม่มีรูถุง Laminated และถุง Aluminum Foil พบว่า ถุงทุกชนิดสามารถป้องกันการเข้าทำลาย ของตัวเต็มวัยมอดข้าวเปลือก หนอน และตัวเต็มวัยของมอดแป้งได้และเมื่อทดสอบตัวเต็มวัยของด้วงงวง ข้าวโพดและหนอนผีเสื้อข้าวสารกับถุง Polyethylene (PE) ธรรมดาแบบเจาะรูและแบบไม่เจาะรู ถุง Polyethylene (PE) อย่างหนาแบบเจาะรูและแบบไม่เจาะรูถุงบรรจุข้าวสาร 5 กิโลกรัมที่มีจำหน่าย ในท้องตลาดทั้งแบบเจาะรูและไม่เจาะรูและถุงพลาสติกสาน พบว่า ถุง PE อย่างหนาแบบไม่เจาะรูและ ถุงพลาสติกสาน มีประสิทธิภาพดีที่สุดในการป้องกันการเจาะเข้าทำลายของด้วงงวงข้าวโพด ถุง PE อย่างหนา ป้องกันด้วงงวงข้าวโพดได้ดีกว่า PE ธรรมดา แต่ไม่ควรเจาะรูในขณะที่หนอนผีเสื้อข้าวสาร มีความสามารถ เจาะถุง PE อย่างหนาได้แต่ด้วงงวงข้าวโพดไม่สามารถเข้าไปได้ถ้าไม่มีรูอยู่ก่อน แสดงให้เห็นว่าแมลง สามารถเข้าทำลายบรรจุภัณฑ์บางชนิดได้โดยอาจเจาะเข้าไปเองหรือผ่านเข้าไปทางรูที่เกิดขึ้น ดังนั้น ในการเลือกใช้ชนิดของบรรจุภัณฑ์ที่สามารถทนทานต่อการเจาะของแมลงและมีการปิดผนึกอย่างแน่นหนา ตลอดจนการขนย้ายอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนหรือเป็นรูจะช่วยป้องกันผลิตภัณฑ์นั้นจากการ เข้าทำลายของแมลงได้ วัสดุของบรรจุภัณฑ์มีความสามารถในการป้องกันการเจาะได้แตกต่างกัน เรียงตามลำดับจากที่ เจาะง่ายไปเจาะยาก คือ กระดาษแก้ว โพลีเอทิลีน กระดาษโพลีไวนิลคลอไรด์อลูมิเนียมฟอยล์โพลีเอสเตอร์ โพลีโพรพิลีน และโพลีคาร์บอเนต ความลื่นของวัสดุในแต่ละชนิดของบรรจุภัณฑ์เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ มีความแตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนที่ของแมลงจากบรรจุภัณฑ์หนึ่งไปยังอีกบรรจุภัณฑ์หนึ่ง วัสดุของ บรรจุภัณฑ์ ที่มีความยากต่อการปีนของตัวเต็มวัยของด้วง คือ กระดาษ เอทิลีนเตตระฟลูออโรเอทิลีน (ETFE) โพลีเอสเตอร์อลูมิเนียมฟอยล์กระดาษแก้ว ฟลูออริเนตเต็ดเอทิลีนโพรพิลีน (FEP) แก้ว โพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) และโพลีโพรพิลีน (PP) ซึ่งความยากง่ายแตกต่างกันไประหว่างระยะตัวเต็มวัยและระยะหนอน จากง่าย ไปหายากสำหรับระยะหนอน คือ กระดาษ แก้ว PET ETFE PVC กระดาษแก้ว FEP ฟอยล์PE และ PP มีการนำบรรจุภัณฑ์ที่มีหลายชั้นหรือมีการเคลือบสาร (laminate) มากกว่าหนึ่งอย่างมาใช้สำหรับ อาหารสำเร็จรูปประเภทธัญพืช ถุงพลาสติกที่บรรจุในกล่องกระดาษ เมื่อผ่านการปิดผนึกด้วยความร้อน และเลือกกาวที่ใช้กับกล่องกระดาษที่เหมาะสม จะช่วยให้เกิดความทนทานต่อการเข้าทำลายของแมลงได้ กล่องและการห่อหุ้มด้วยพลาสติกอีกชั้นหนึ่งจะสามารถลดความเสียหายของบรรจุภัณฑ์และลดความเสียหาย ที่เกิดจากแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรระหว่างการขนส่งได้ปัจจัยในการเลือกบรรจุภัณฑ์ นอกจากความสามารถ ในการป้องกันการเข้าทำลายของแมลงแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงต้นทุนในการผลิตบรรจุภัณฑ์การซึมผ่าน ของน้ำเข้าสู่บรรจุภัณฑ์กลิ่นและรสที่ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์ที่ระเหยได้ชั้นของบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันน้ำมัน หรือไขมันได้การเปลี่ยนแปลงของบรรจุภัณฑ์เมื่อได้รับการอัดแรงดันบรรยากาศ และคุณสมบัติ ทางกายภาพ เช่น รอยขีดข่วน การแตกหัก หรือเปราะ รวมถึงการใช้สารไล่แมลง หรือกลิ่นที่เป็นตัวกันแมลง ภายในบรรจุภัณฑ์ก็สามารถลดการเข้าทำลายของแมลงได้นอกจากนี้การเพิ่มสารฆ่าแมลงเข้าไปในวัสดุ บรรจุภัณฑ์เพื่อทำให้ต้านทานต่อการเข้าทำลายของแมลงได้มากขึ้น ในสหรัฐอเมริกาสารฆ่าแมลงที่จะนำมา ใช้ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น เช่น ไพรีทรัมสังเคราะห์ บรรจุภัณฑ์ที่ซ้อนกันหลายชั้นก็มี


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 129 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ความจำเป็นต่อการป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีไปสู่ตัวสินค้า นอกจากนั้นยังสามารถนำบรรจุภัณฑ์ ที่เหมาะสมไปใช้ร่วมกับวิธีการอื่น เช่น การทำความสะอาด (sanitation) และการกันแมลงออก (exclusion) ซึ่งจะให้ผลการป้องกันที่ดีกว่าการใช้วิธีการใดเพียงวิธีเดียว แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรจะสามารถทำความเสียหายให้เกิดกับบรรจุภัณฑ์และผ่านเข้าไปข้างใน บรรจุภัณฑ์ได้การทำความสะอาดเพื่อลดประชากรแมลงจะช่วยให้บรรจุภัณฑ์สามารถเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ ได้นานขึ้น หากนำรังสีมาใช้ในการกำจัดแมลงในผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ภายในบรรจุภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว บรรจุภัณฑ์ต้องยอมให้คลื่นผ่านและมีความทนทานต่อความร้อนและความดันที่เกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อใช้รังสี คลื่นยาวผลิตภัณฑ์จะต้องมีความร้อนสูงขึ้นพอที่จะกำจัดแมลงที่อยู่ภายในบรรจุภัณฑ์ได้มีการนำบรรจุภัณฑ์ ที่สามารถป้องกันการผ่านเข้าออกของก๊าซได้มาใช้กับวิธีการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อรักษาความสด ของสินค้าที่มีมูลค่าสูง ซึ่งการปรับสภาพอากาศนี้จะช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแมลงได้ด้วย การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ต้านทานแมลงร่วมกับแตนเบียน Habrobracon hebetor Say ช่วยลดการเข้าทำลาย ของ Cadra cautella ได้โดยหนอนของ C. cautella ถูกเบียนโดยแตนเบียนเป็นเวลานานขึ้นในขณะที่ อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ต้านทานแมลง 2.6 การเก็บรักษาในสภาพสุญญากาศหรือสภาพที่ปิดผนึกแน่น แมลงต้องการออกซิเจนเพื่อการหายใจเหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป เมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีอากาศก็ทำให้แมลง ตายได้มนุษย์รู้จักสภาพการปิดผนึกแน่นมาอย่างน้อย 2,500 ปีโดยการใช้เก็บรักษาผลิตผลเกษตรที่แห้ง ในหลายภูมิภาคของทวีปแอฟริกา เอเชีย และยุโรป มีการเก็บเมล็ดพืชและเมล็ดถั่วแห้งภายใต้สภาพปิด ผนึกแน่นในหลุมที่ผนังทำด้วยดินเหนียวเผาหรือหิน ลดออกซิเจนลงด้วยการเผาก่อนเติมเมล็ดลงไปทันทีที่ เติมเมล็ดลงในหลุมเสร็จ ปิดปากหลุมด้วยฝาหินหรือดินขนาดใหญ่ ออกซิเจนที่มีอยู่ในช่องว่างระหว่างเมล็ด จะถูกใช้หมดไปด้วยการหายใจของจุลินทรีย์ เมล็ด และแมลง เวลาสำหรับการใช้ออกซิเจนให้หมดไปขึ้นอยู่ กับความชื้นและอุณหภูมิของเมล็ด อุณหภูมิเมล็ดสูงและความชื้นจะเพิ่มการหายใจของสิ่งมีชีวิต ปัจจัยอื่น เช่น ชนิดของผลิตผลเกษตร ปริมาตรของช่องว่างระหว่างเมล็ดและปากหลุม แมลงและสิ่งมีชีวิตที่ใช้ ออกซิเจน และระดับความแน่นของสภาพนั้น ล้วนมีบทบาทในการใช้ออกซิเจนให้หมดไป ความชื้นเมล็ด เพิ่มทำให้เกิดความเสียหายจากเชื้อราโดยเฉพาะในชั้นบนสุดของผลิตผลเกษตรที่เก็บไว้ในกรณีที่ต้องการ ให้แมลงตายเร็วขึ้นก็อาจเพิ่มก๊าซที่เป็นพิษลงไปได้เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ หรือไนโตรเจน เป็นต้น การใช้สารดูดออกซิเจนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ได้ในสภาพการเก็บขนาดเล็ก เช่น หม้อดิน ถุงพลาสติก ถังน้ำมัน เป็นต้น คุณภาพของผลิตผลเกษตรที่เก็บจะอยู่ในสภาพที่ดีถ้าผลิตผลเกษตรแห้งและระดับออกซิเจน อยู่ใกล้2% โดยปริมาตร ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความชื้นต่ำสามารถเก็บในถังที่ไม่นำไฟฟ้า และกันการ เข้าออกของอากาศได้การเก็บรักษาในสภาพปิดผนึกแน่นเป็นวิธีที่ดีในประเทศเขตร้อนมีรายงานว่า ข้าวโพดที่ใส่ไว้ในถังโลหะที่ปิดแน่นและเก็บไว้ภายในอาคารไม่พบการเข้าทำลายของแมลง และไม่มีผลต่อ คุณภาพของข้าวโพดเมื่อเก็บรักษาไว้นานกว่า 1 ปีในอเมริกากลางได้มีการส่งเสริมให้ผู้ผลิตท้องถิ่น ใช้ถังโลหะขนาดเล็ก ซึ่งถังนี้ไม่มีการป้องกันความร้อนใด ๆ และใช้ภายในอาคารหรือในที่ที่มีร่มเงา ในอาร์เจนตินาและเคนยามีการใช้สภาพปิดผนึกแน่นแบบอยู่ใต้ดินครึ่งหนึ่งซึ่งหลังคาเป็นรูปโดมเหนือพื้นดิน อีกรูปแบบหนึ่งเป็นบังเกอร์ (bunker) ในออสเตรเลีย การเก็บรักษาเมล็ดเป็นกองขนาดใหญ่มีการเก็บโดย ซีลด้วยพลาสติกที่แข็งแรง ซึ่งทำได้กับเมล็ดที่มีความชื้นต่ำ ในอิสราเอลมีการเก็บเมล็ดข้าวสาลีจำนวน 30,000 – 45,000 ตัน ในบังเกอร์ที่ปิดผนึกแน่น


130 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2.7 การควบคุมและการดัดแปลงสภาพบรรยากาศ การควบคุมและการดัดแปลงสภาพบรรยากาศ มีการใช้ทั้งคาร์บอนไดออกไซด์หรือไนโตรเจนที่มี ออกซิเจนอยู่ในระดับต่ำ เป็นการเปลี่ยนสภาพบรรยากาศในกองผลิตผลเกษตรหรือในโครงสร้าง เพื่อควบคุมศัตรูผลิตผลเกษตรหรือป้องกันการเสื่อมคุณภาพของผลิตผลเกษตรที่เก็บรักษาไว้การควบคุม สภาพบรรยากาศนั้นส่วนประกอบของบรรยากาศจะถูกควบคุมหรือคงไว้ที่ระดับที่ทำให้แมลงหรือ เชื้อจุลินทรีย์ตาย ในขณะที่การดัดแปลงสภาพบรรยากาศเป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบของอากาศภายใน โครงสร้างนั้นในช่วงเวลาของการเก็บรักษาผลิตผลเกษตร การศึกษาเกี่ยวกับสภาพปิดผนึกแน่นเพื่อการเก็บรักษาคุณภาพของผลิตผลเกษตร พบว่าการ ปล่อยไนโตรเจนหรือคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในสภาพการเก็บที่ปิดผนึกแน่น ทำให้ออกซิเจนหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลต่อการตายของแมลง อย่างไรก็ตามคุณภาพการปิดผนึกของการเก็บส่วนใหญ่นั้นต่ำ การเก็บอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การควบคุมสภาพบรรยากาศทำได้ยาก ทำให้การใช้วิธีดัดแปลงสภาพบรรยากาศในผลิตผลเกษตร ที่เก็บรักษาระยะยาวมีเพื่อวัตถุประสงค์การกำจัดแมลงเท่านั้น การใช้วิธีการควบคุมและดัดแปลงสภาพ บรรยากาศ เป็นการเติมไนโตรเจนหรือคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุอาหารอยู่ เพื่อลด กิจกรรมของเชื้อจุลินทรีย์และการเจริญเติบโตของแมลง การแทนที่อากาศด้วยไนโตรเจนเป็นสาเหตุ ให้แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรตายเนื่องจากการขาดออกซิเจน สำหรับการใช้ทางการค้ามีข้อมูลชัดเจนว่าระดับ ออกซิเจนที่ต่ำกว่าจะมีผลให้เวลาที่ใช้ในการตายของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรหลายชนิดนั้นลดลง อย่างไรก็ตาม มันส่งผลในทางตรงข้ามกับแมลงบางชนิด เช่น ตัวเต็มวัยของด้วงงวงข้าว (Sitophilus oryzae) คาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงกว่า 35% โดยปริมาตร สามารถทำให้แมลงและไรตาย โดยไม่คำนึงถึงระดับของ ออกซิเจน มีงานวิจัยระบุว่า ที่อุณหภูมิ30 º C คาร์บอนไดออกไซด์บริสุทธิ์มีประสิทธิภาพน้อยกว่าก๊าซผสม ที่มีออกซิเจนน้อยกว่า 1% และที่ช่วงอุณหภูมิระหว่าง 0-40 º C เมื่อใช้อากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์60% และ 90% โดยปริมาตร เวลาที่ใช้ใกล้เคียงกัน สำหรับการกำจัดด้วงงวงข้าวสาลี(S. granarius) อย่างไรก็ตาม แมลงชนิดอื่น เช่น หนอนของผีเสื้ออินเดีย (Plodia interpunctella) เมื่อใช้อากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์90% จะใช้เวลาในการกำจัดสั้นกว่าอากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์60% เวลาที่ใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางกายภาพ เช่น อุณหภูมิ ความชื้นภายในเมล็ด ความดัน และการปิดผนึกของสภาพการเก็บรักษา รวมถึงปัจจัยทางชีวภาพ เช่น ชนิดและระยะการเจริญเติบโตของแมลง และสัดส่วนของก๊าซ ที่อุณหภูมิสูงกว่า 5-10 º C เวลาที่ทำให้แมลง ตายจะลดลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ในกลุ่มแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ระยะดักแด้ของวงศ์ (Family) Sitophilus มีความทนทานต่อการดัดแปลงสภาพบรรยากาศมากที่สุด โดยทั่วไปแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ประเภทด้วง ดักแด้ในระยะเริ่มต้นจะทนทานที่สุด รองลงมา คือ ระยะไข่ หนอนระยะสุดท้าย หนอนระยะแรก และตัวเต็มวัย การกำจัดแมลงที่มีการเจริญเติบโตอยู่ภายในเมล็ด เช่น ด้วงงวง Sitophilus spp. วิธีการหรือระยะเวลาที่ใช้ต้องกำหนดตามระยะของแมลงที่มีความทนทานที่สุด อุณหภูมิและความเข้มข้น ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้แมลงตายในระยะเวลาที่สั้นลง เพื่อให้การกำจัดแมลงทุกระยะ การเจริญเติบโตมีประสิทธิภาพ 100% สัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ในที่ว่างของกองเมล็ดต้องไม่น้อยกว่า 60% โดยปริมาตร ในไซโล ถัง หรือโรงเก็บ ให้ปล่อยก๊าซจากด้านล่างของถังและเมื่อวัดสัดส่วนของ คาร์บอนไดออกไซด์ได้60% โดยปริมาตรที่ด้านบนแล้วให้หยุดการปล่อยก๊าซ และปล่อยก๊าซอีกครั้งเมื่อ สัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงต่ำกว่า 60% เนื่องจากระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิดังนั้นประเทศ ในเขตร้อน การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วนที่น้อยกว่านี้อาจกำจัดแมลงได้100% ส่วนการใช้ไนโตรเจน ในการกำจัดแมลงต้องใช้ระยะเวลานานกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้คาร์บอนไดออกไซด์


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 131 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การปรับสภาพบรรยากาศโดยไม่มีออกซิเจนอยู่ ไม่มีผลต่อคุณภาพของเมล็ดทั้งในด้านความงอก ของเมล็ดและคุณภาพการอบ เมื่อเปรียบเทียบกับการเก็บรักษาภายใต้สภาพอากาศปกติแต่เมื่อความชื้น ของเมล็ดเพิ่มขึ้น สภาพบรรยากาศที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงสามารถลดคุณภาพด้านสรีรวิทยาของเมล็ด โดยไปรบกวนการทำงานของเอนไซม์ พบว่าที่อุณหภูมิ15 º C ไนโตรเจนบริสุทธิ์ให้ผลในการป้องกันความงอก ของเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีได้ดีที่สุดหลังการเก็บรักษาไว้20 เดือน ขณะที่อุณหภูมิ30 º C เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี สูญเสียความงอกมากกว่าเมล็ดที่เก็บภายใต้สภาพอากาศปกติโดยนักวิจัยชาวเยอรมันชี้ให้เห็นว่าในอนาคต การใช้วิธีการปรับสภาพบรรยากาศสำหรับการกำจัดศัตรูพืช สามารถนำมาใช้ทดแทนสารรมฟอสฟีนและ เมทิลโบรไมด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการเก็บรักษาผลิตผลเกษตรในระยะยาว และมีศักยภาพในการ ใช้กับผลิตผลทางการเกษตรที่มีการเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ก๊าซออกซิเจนสามารถหมดไปจากอากาศได้ด้วย ขบวนการหายใจ เช่นในกรณีของสภาพที่มีการปิดผนึกแน่น นอกจากนี้ยังสามารถรักษาสภาวะที่มี ออกซิเจนน้อยในสภาพปิดผนึกแน่นไว้ได้ด้วยการใช้สารดูดออกซิเจน อย่างเช่น Fe3+ (Ageless® ) แต่สารดูด ออกซิเจนนี้อาจไม่ค่อยมีการใช้กับผลิตผลเกษตรในปริมาณมากเนื่องจากมีราคาแพง ถ้าก๊าซไนโตรเจนและ คาร์บอนไดออกไซด์มีราคาถูกลง อาจทำให้การใช้วิธีการปรับสภาพบรรยากาศได้รับความนิยมมากขึ้น การผลิตก๊าซไนโตรเจนอาจได้มาด้วยการอัดก๊าซด้วยความดันในถังหรือท่อ หรือใส่ของเหลวเข้าไป ในถังความเย็น การผลิตไนโตรเจนสามารถทำได้ด้วยการกลั่นของเหลว มักมีการใช้ถังหรือท่อโลหะที่บรรจุ ก๊าซไนโตรเจนภายใต้ความดัน 200 บาร์ หรือท่อไนโตรเจนเหลวเพื่อการปรับสภาพบรรยากาศนี้เนื่องจาก ความดันของไนโตรเจนเหลวในท่อสูง และต้องใช้เวลาในการทำให้ไนโตรเจนเหลวกลายเป็นก๊าซ ในขณะ เดียวกันต้องรักษาไนโตรเจนในท่อให้อยู่ในรูปของเหลวโดยความดันไม่สูงเกินไป การนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) มาใช้ในการรมผลิตผลเกษตร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสารพิษ ตกค้าง และการสร้างความต้านทานของแมลงต่อสารรม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถฆ่าแมลงได้ ทุกชนิดและทุกระยะการเจริญเติบโต สามารถนำมากำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้และยังป้องกัน การเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และรักษาคุณภาพของผลิตผลเกษตรในระหว่างการเก็บรักษาได้อีกด้วย คุณสมบัติของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1. เป็นก๊าซที่ไม่มีสีและกลิ่น 2. สูตรเคมีคือ CO2 3. ไม่ติดไฟ 4. น้ำหนักโมเลกุล 44 5. หนักกว่าอากาศ 1.5 เท่า 6. จุดเดือด -78.5 º C 7. ความหนาแน่นแก๊สที่ 30 º C 1 atm (กก./ม.2 ) 1.732 8. ปริมาตรจำเพาะที่ 30 º C 1 atm (กก./ม.2 ) 0.548 9. การละลายในน้ำ (โดยปริมาตร) 0.76 10. ละลายน้ำได้ประมาณ 26% (by Vol. at 17 º C) 11. ไม่มีพิษตกค้าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถอยู่ได้ใน 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในสถานะก๊าซจะไม่มีสีแต่มีกลิ่นคล้ายน้ำโซดา ในบรรยากาศปกติจะมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ประมาณ 0.03% ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์สัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ แต่หากมีความเข้มข้นมากก็จะเป็นอันตรายต่อ สิ่งมีชีวิตได้ซึ่งคนปกติสามารถอยู่ในสภาพบรรยากาศที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 0.5% ในช่วงระยะเวลา


132 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร วันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อสัมผัสถูกตัวคนจะไม่เป็นอันตราย การเก็บรักษาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเก็บในถังหรือท่อทนความดันได้ประมาณ 180-200 เท่าบรรยากาศ โดยมีวาล์วหรือลิ้นที่ทนความดันได้ขนาดเท่ากัน รวมทั้งมีแผ่นป้องกันความดันที่จะแตกปล่อยก๊าซออก ถ้ามี ความดันสูงกว่า 90 เท่าบรรยากาศ ท่อชนิดนี้ต้องเก็บไว้ในที่ร่ม และมีอุณหภูมิไม่เกิน 40 º C ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทั่วไปมักจะนิยมใช้จากท่อเก็บก๊าซ ซึ่งมาจากขบวนการนำเอาของเหลวคาร์บอนไดออกไซด์เหลวที่ ความดัน 18 เท่าบรรยากาศ มาอัดใส่ท่อด้วยปั๊มที่สามารถทำให้ของเหลวนั้นมีความดันเป็น 80 เท่า บรรยากาศ เพื่อบรรจุไว้ในท่อด้วยเหตุผลที่ว่า ที่อุณหภูมิปกติ30 º C คาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นของเหลวที่ ความดัน 80 เท่าบรรยากาศและหลังจากนั้นหากจะนำไปใช้ก็ใช้วิธีเปิดก๊าซจากท่อไปใช้งานโดยการลดความดัน การรมด้วยคาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะต้องรองพื้นด้วยผ้าพลาสติกก่อน และจะต้องปิดผนึก ผ้าพลาสติกคลุมกองกับผ้าปูรองพื้นด้วยกาว เนื่องจากต้องรมภายใต้สภาพที่ปิดมิดชิด โดยต้องทดสอบ ความดันของกองที่ปิดผนึกสนิทก่อนรมทุกครั้งเพื่อป้องกันการรั่วไหลของก๊าซ การรมด้วยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15 วัน ดังนั้น จึงเป็นวิธีการที่ดีในการเก็บรักษาผลิตผลเกษตร ระยะยาว ผลิตผลเกษตรที่จะทำการรมจะต้องมีความชื้นที่เหมาะสม และไม่ควรใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อความชื้นในเมล็ดสูงเกินไป เปอร์เซ็นต์ความชื้นสูงสุดสำหรับการเก็บรักษาผลิตผลเกษตรให้ปลอดภัย ได้แก่ ข้าวเปลือก 15.0% ข้าวสาร 13.0% ถั่ว 15.0% ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และข้าวสาลี 13.5% การรมข้าวสาร ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์อัตรา 2 กิโลกรัมต่อข้าวสาร 1 ตัน ภายใต้ผ้าพลาสติกที่หนาและป้องกันการรั่วไหล ของก๊าซได้และต้องควบคุมความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ไม่ต่ำกว่า 35% ตลอดระยะเวลา การรม 15 วัน จึงจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้ ตารางที่3 ข้อดีและข้อเสียของการดัดแปลงสภาพบรรยากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สารฆ่าแมลง ข้อดี ข้อเสีย l ไม่เกิดพิษตกค้างในผลิตผลเกษตร l ต้องการการปิดผนึกที่แน่นมาก l ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติ(TLV สำหรับคาร์บอนไดออกไซด์ คือ 5,000 ppm และไม่มีTLV สำหรับไนโตรเจน l ต้องการเวลามาก l ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม l เพิ่มต้นทุนในเรื่องก๊าซ l ต้องมีการทดแทนอากาศในปริมาณมาก l มีผลต่อเชื้อรา สามารถเก็บรักษาคุณภาพผลิตผล เกษตรด้วยการหายใจของผลิตผลเกษตรที่ลดลง l ไม่มีกลิ่นเตือนภัย l ความเสี่ยงต่ำต่อการพัฒนาความต้านทาน l ปัญหาเกี่ยวกับความพร้อมของอุปกรณ์ ที่มา: Adler (1997)


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 133 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ตารางที่4 ข้อดีและข้อเสียของไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับใช้ในการควบคุมศัตรูพืช ตารางที่5 การใช้การปรับสภาพบรรยากาศสำหรับการกำจัดศัตรูพืช ก๊าซ ข้อดี ข้อเสีย ไนโตรเจน l เป็นก๊าซเฉื่อยในสภาพการเก็บรักษา l ใช้เวลามากที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 º C l ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน ไม่มีTLV l มีผลเมื่อมีปริมาตรในอากาศ เท่ากับ 97% l มีราคาถูกกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ l สูญเสียก๊าซเมื่อเก็บในสภาพ ของเหลวเป็นเวลานาน คาร์บอนไดออกไซด์ l มีผลเมื่อมีปริมาตรในอากาศ >35% l ละลายน้ำและเกิดการกัดกร่อนได้ l ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 º C การควบคุม เร็วกว่าไนโตรเจน l ความหนาแน่นสูง ต้องการการเฝ้า สังเกตของผู้ปฏิบัติงาน l ให้ผลก า รค วบคุมที่เร็ วภ ายใต้ ความดันอากาศสูง l อันตรายกว่า มีTLV เท่ากับ 5,000 ppm (0.5% โดยปริมาตร) l สามารถเก็บในสภาพของเหลวในถัง โลหะขนาดใหญ่ l มีผลต่อสภาวะเรือนกระจก ที่มา: Banks และ Annis (1990) Commodity Location Former treatment Future proposal Change Grain Silo Bin PH3 /CH3 Br CO2 */N2 * Longer treatment time Grain Granary PH3 /CH3 Br CO2 */N2 * Longer treatment time Grain Bag stacks PH3 /CH3 Br CO2 */N2 * Improved sealing Cocoa beans Bags PH3 /CH3 Br CO2 +Pressure* Pressuretight chamber Hazelnuts Chamber PH3 /CH3 Br Heat/CO2 /N2 * Drugs of plant origin Chamber PH3 /CH3 Br CO2 +Pressure* Pressuretight chamber Drugs of plant origin Bag stacks PH3 /CH3 Br Heat/CO2 */N2 *


134 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 2.8 การใช้รังสี(Irradiation) การฉายรังสีในอาหารประมาณ 40 ชนิด ได้รับการอนุญาตให้ใช้มากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และมีประมาณ 20 ประเทศได้มีการใช้ในเชิงการค้าแล้ว ส่วนใหญ่ใช้เพื่อป้องกันการงอกของมันฝรั่งและ หอมหัวใหญ่ หรือป้องกันการเกิดเชื้อจุลินทรีย์ในเครื่องเทศและเนื้อ การใช้กับเมล็ดพืชเกิดขึ้นครั้งแรก ที่ประเทศยูเครน ซึ่งใช้อัตรา 0.2 kGy โดยใช้40 kW ที่อัตราการไหล 200 ตันต่อชั่วโมง รังสีแบบอิออน (ionizing radiation) มีสองชนิด คือ รังสีแกมม่า และคลื่นอิเล็กตรอน รังสีแบบไม่ใช่อิออน (nonionizing radiation) หมายถึง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (คลื่นวิทยุคลื่นอินฟราเรด แสงที่มองเห็นได้และไมโครเวฟ) ซึ่งมี พลังงานไม่เพียงพอที่จะปล่อยอิเล็กตรอนออกจากโมเลกุล รังสีแบบอิออนทำลายสิ่งมีชีวิตด้วยการสร้าง อิออน หรืออนุมูลอิสระ พันธะเคมีถูกทำให้แตกออก ในทางการค้าการใช้กับอาหารส่วนใหญ่จะใช้รังสี แกมม่าที่มีโคบอลท์60 เป็นต้นกำเนิดของรังสีซึ่งสามารถทะลุผ่านอาหารที่เป็นของแข็งที่มีความหนา 20-50 เซนติเมตรได้ดังนั้น ต้องมีกำแพงหนาเพื่อป้องกันผู้ปฏิบัติและต้องมีการเปลี่ยนต้นกำเนิดของรังสี ทดแทนเนื่องจากมีค่าครึ่งชีวิตอยู่ที่ 5.3 ปี การกำจัดแมลงในเมล็ดพืชหรือแป้งโดยการฉายรังสีจะใช้อัตรา 0.2-1.0 kGy ซึ่งประสิทธิภาพ ในการกำจัดแมลงจะแตกต่างจากการใช้สารเคมีโดยแมลงที่ผ่านการฉายรังสีอาจจะมีชีวิตรอดได้นาน หลายสัปดาห์แต่อาจกินอาหารได้น้อยลงหรืออาจเป็นหมัน การฉายรังสีที่ 10 kGy ไม่ทำให้เกิดพิษ ในอาหาร องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำว่าอาหารที่ผ่านการฉายรังสีที่อัตรานี้หรือต่ำกว่าไม่จำเป็น ต้องทดสอบการเกิดสารพิษ การฉายรังสีสามารถทำให้วิตามินเอ ซีอีบี1 (ไธอะมิน) และวิตามินเค ลดลงได้ การลดลงของวิตามินจะขึ้นอยู่กับชนิดอาหาร อัตราการใช้และปัจจัยอื่น อัตราที่ใช้ในการฆ่าแมลงอาจ ทำให้เมล็ดพันธุ์ตายได้จึงไม่เหมาะในการทำมอลต์ข้าวบาร์เลย์หรือใช้ในการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี ถ้าผ่านการฉายรังสีอัตราที่สูงกว่า 2.5 kGy อาจมีผลต่อคุณภาพของขนมปัง แต่จะไม่มีผลถ้าฉายรังสีอัตราที่ ต่ำกว่าที่ใช้ควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้ Commodity Location Former treatment Future proposal Change Empty space treatment Food plants PH3 /CH3 Br/HCN Heat/CO2 /N2 Wood Chamber PH3 /CH3 Br/EO Heat/CO2 /N2 /SF Regulate moisture Wood Church CH3 Br/EO Heat/CO2 /N2 /SF* PH3 = phosphine, CH3 Br = methyl bromide, HCN = hydrogen cyanide, SF = sulfuryl fluoride, EO = ethylene oxide, CO2 = carbon dioxide, N2 = nitrogen *Already being used for this purpose in Germany ที่มา: Adler และคณะ (2000)


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 135 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 3. วิธีทางชีวภาพ (Biological Control) การควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรด้วยวิธีทางชีวภาพ หมายถึง การใช้ตัวห้ำ ตัวเบียน หรือเชื้อจุลินทรีย์ ในการลดปริมาณแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร มีรายงานการใช้เชื้อแบคทีเรียเพื่อควบคุม Mediterranean flour moth เป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1911 แต่ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลาย เพราะเห็นผลช้ากว่าการใช้สาร ฆ่าแมลง ต่อมามีการพัฒนาการใช้ชีววิธีจนได้ผลดีขึ้น ประกอบกับผู้บริโภคหันมาสนใจเรื่องการควบคุม แมลงศัตรูพืชโดยชีววิธีด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการคือ ผู้บริโภคมีความระมัดระวังเรื่องสารพิษตกค้างของ สารฆ่าแมลง และแมลงเริ่มสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง ในต่างประเทศให้ความสำคัญในเรื่องนี้และ นำชีววิธีนี้มาใช้ควบคุมแมลง โดยใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ วิธีทางชีวภาพมีดังนี้ 3.1 การใช้แมลงศัตรูธรรมชาติ ในสภาพธรรมชาติแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรมีแมลงศัตรูธรรมชาติเพื่อควบคุมประชากรอยู่แล้วแต่ อาจจะมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การนำวิธีนี้มาใช้ทำได้โดยนำแมลง ศัตรูธรรมชาติมาเลี้ยงขยายพันธุ์และปล่อยสู่แมลงเป้าหมาย บางครั้งอาจต้องนำเข้าแมลงศัตรูธรรมชาติ จากต่างประเทศ หลังจากศึกษาและเลี้ยงเพิ่มปริมาณได้แล้วจึงปล่อยออกไปในธรรมชาติซึ่งอาจต้องเสียค่า ใช้จ่ายค่อนข้างมากในระยะแรก แต่หลังจากแมลงได้ปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมและสามารถดำรงอยู่ ในธรรมชาติเองได้แล้ว ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีก ปัญหาของการควบคุมโดยวิธีนี้คือ การค้นหาแมลงศัตรู ธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม การหาวิธีการเลี้ยงขยายพันธุ์ที่ง่ายและประหยัด การเก็บรักษา แมลงศัตรูธรรมชาติในระยะเวลาหนึ่งเพื่อการขนส่ง และรอการปล่อยลงสู่พื้นที่เป้าหมายในการควบคุม แมลงศัตรูผลิตผลเกษตรให้ได้มากที่สุด และถ้าแมลงศัตรูธรรมชาติสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ด้วยตัวเองก็ยิ่ง เป็นการดี 3.1.1 แตนเบียน (parasites) หมายถึง แมลงที่ตลอดระยะเวลาที่เป็นตัวอ่อนจะเจริญเติบโตและ ดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่ภายในตัวแมลงชนิดอื่น อาจอยู่ภายในหรือภายนอกเหยื่อ โดยตัวเต็มวัยเพศเมีย จะบินหาเหยื่อ เมื่อพบก็จะต่อยโดยการปล่อยสารพิษเข้าสู่ตัวเหยื่อทำให้เหยื่อเป็นอัมพาต หลังจากนั้นจะวางไข่ไว้ที่ผิวหรือ แทงอวัยวะวางไข่เข้าไปภายในเหยื่อ เมื่อไข่ฟักเป็นหนอนจะเจริญเติบโตภายในตัวเหยื่อจนเป็นตัวเต็มวัย แล้วจึงออกจากตัวเหยื่อทำให้เหยื่อตาย โดยทั่วไปแตนเบียนมักอยู่ในอันดับ Hymenoptera และ Diptera ซึ่งสามารถเข้าทำลายไข่ หนอน และดักแด้ของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้แล้วแต่ชนิดของแตนเบียน และ ชนิดของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรนั้น ๆ แตนเบียนส่วนใหญ่มักจะเฉพาะเจาะจงกับชนิดของแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการใช้แตนเบียน แมลงที่เป็นตัวเบียนเข้าทำลาย ไข่ หนอน และดักแด้ของแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ได้แก่ Hymenoptera - Anisopteromalus calandrae - Lariophagus distinguendus - Pteromalus cerealellae - Theocolax (Choetospila) elegans - Habrobracon hebetor - Venturia canescens (Gravenhorst) - Dinarmus spp.


136 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร - Heterospilus prosopidis Viereck - Trichogramma principium Sugonjaev & Sorokina - T. pretiosum Riley - T. evanescens Westwood - Uscana mukerjii (Mani) - Mesostenus gracilis (Cresson) - Holepyris sylvanidis - Cephalonomia waterstoni (Gahan) - Laelius pedatus (Say) Diptera - Clausicella floridensis (Townsend) - C. neomexicana Cockerell 3.1.2 ตัวห้ำ (predators) หมายถึง ศัตรูธรรมชาติที่ทำลายเหยื่อได้หลายตัวตลอดอายุขัย ส่วนใหญ่ จะทำลายแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายชนิด เหยื่อมักมีขนาดเล็กกว่า ได้แก่ แมลงในอันดับ Hemiptera Coleoptera และ Acarina Hemiptera - Xylocoris flavipes - Joppeicus paradoxus - Allaeocranum biannulipes (Montr. et Sign.) - Amphibolus venator - Termatophylum insigne Reuter Coleoptera - Teretriosoma nigrescens Lewis - Thaneroclerus girodi Chevrolat Acarina - Pyemotes tritici - Blattisocius tarsalis - Cheyletus eruditus (Schrank) ชอบทำลาย Acarus siro L. ในปัจจุบันหลายประเทศได้มีการผลิตแมลงศัตรูธรรมชาติบางชนิดเพื่อใช้ในการควบคุมแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรเป็นการค้าแล้ว และประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออกกฎหมายรับรองให้ใช้กับแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตรแล้ว การใช้ตัวห้ำตัวเบียน (Predators and Parasites) เพื่อควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร มีความก้าวหน้าไปมาก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่มีสารพิษตกค้างในสินค้า ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ใช้ง่ายและ ไม่ยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีทักษะความรู้โดยเฉพาะ และแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรไม่สามารถสร้างความ ต้านทานต่อตัวห้ำตัวเบียนได้แต่เนื่องจากแตนเบียนส่วนใหญ่มักจะเฉพาะเจาะจงกับชนิดของแมลงศัตรู ผลิตผลเกษตร ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการใช้แตนเบียน ส่วนตัวห้ำสามารถทำลายแมลงได้หลายชนิด ดังนั้น


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 137 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจึงควรใช้ควบคู่กันไป ข้อเสียประการหนึ่งของการใช้แมลงศัตรูธรรมชาติคือ ค่าใช้จ่ายสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สารฆ่าแมลง 3.2 โรคของแมลง (Insect Pathogen) การนำจุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ มาใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรจะได้ผล เพียงใดขึ้นอยู่กับแมลงศัตรูเชื้อโรคที่เข้าทำลาย และสภาพแวดล้อม จุลินทรีย์เหล่านี้ไม่มีพิษต่อมนุษย์หรือ สัตว์ชนิดอื่น ง่ายต่อการเพาะเลี้ยง และราคาถูก มีข้อดีข้อเสียดังตารางที่ 6 3.2.1 เชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Bacillus thuringiensis (Bt) เชื้อนี้ได้มาครั้งแรกจากหนอนผีเสื้อ Ephestia kuchniella ปัจจุบันใช้ในการควบคุมผีเสื้อ E. kuchniella ผีเสื้ออินเดีย (Plodia interpunctella) และผีเสื้อข้าวโพด (E. cautella) สามารถใช้ได้กับธัญพืชทั้งหมดรวมทั้งถั่วเหลือง ไม่สามารถใช้ควบคุมด้วงงวง และมอดข้าวเปลือกได้ 3.2.2 เชื้อไวรัส ได้แก่ เชื้อ Nuclear polyhedrosis virus (NPV) ใช้ในการควบคุมผีเสื้อข้าวโพด ผีเสื้ออินเดีย และผีเสื้อข้าวสาร 3.2.3 เชื้อรา ได้แก่ Beauveria bassiana, B. tenella, Metarhizium anisopliae และ Paecilomyces fumoso-roseus ใช้ทำลาย Acanthoscelides obtectus (Say) 3.2.4 เชื้อโปรโตซัว ได้แก่ Mattesia spp., Triboliocystis garnhami, Adelina spp., Nosema และ Thelohania ใช้ทำลาย มอดแป้ง มอดข้าวเปลือก และผีเสื้ออินเดีย ในปัจจุบันการใช้Bt และไวรัส กับแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรก็ใช้เช่นเดียวกับการพ่นสารฆ่าแมลง เหมาะสำหรับการเก็บรักษาผลิตผลเกษตรเป็นเวลานาน เชื้อโรคดังกล่าวไม่มีผลต่อตัวห้ำ ตัวเบียน การใช้ เชื้อโรคเหล่านี้ได้รับรองโดยสถาบัน The United States Environmental Protection Agency (EPA) ประเทศสหรัฐอเมริกา ตารางที่6 ประโยชน์และข้อจำกัดของการใช้จุลินทรีย์ในการควบคุมแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ที่มา: Brower, J.H., L. Smith, P.V. Vail and P.W. Flinn. 1995. Biological Control. Pages 223-286. In Integrated Managementof Insects in Stored Products. Marcel Dekker, Inc., New York. ข้อดี ข้อเสีย 1. ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตอื่นรวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม 1. ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงต่อชนิดแมลง 2. เหมาะกับการใช้ระยะยาว 2. เหมาะสมในที่ที่ไม่ร้อนจัด 3. แมลงไม่สร้างความต้านทานต่อเชื้อโรค 3. มีการควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวดเหล่านี้ 4. สามารถเก็บรักษาได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น 4. ไม่เห็นผลทันทีทันใดเหมือนสารฆ่าแมลง 5. มีการจดทะเบียน 5. วิธีการผลิตยังต้องใช้สิ่งมีชีวิตเป็นอาหาร


138 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร การใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตร การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลิตผลเกษตรโดยใช้สารเคมีเป็นวิธีการที่นิยมปฏิบัติเนื่องจากสามารถ ป้องกันกำจัดได้ผลรวดเร็ว ประหยัดเวลา และให้ผลในการควบคุมแมลงได้นาน แต่อาจมีผลกระทบตามมา มากมาย ตั้งแต่ก่อให้เกิดพิษตกค้าง แมลงสร้างความต้านทานต่อสารฆ่าแมลง มีการระบาดของแมลงศัตรู บางชนิดเพิ่มขึ้น ที่สำคัญมีผลข้างเคียงต่อมนุษย์ศัตรูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การใช้สารเคมีในการ ป้องกันกำจัดแมลงให้มีประสิทธิภาพนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยที่เป็นส่วนประกอบสำคัญหลายประการ ได้แก่ ชนิดของสารเคมีที่เลือกใช้ต้องมีพิษเฉพาะเจาะจงกับแมลงที่ทำการป้องกันกำจัด ปฏิกิริยาของสารฆ่าแมลง ค่าความเป็นพิษของสารฆ่าแมลง เครื่องพ่นสารและวิธีการพ่นต้องเหมาะสมกับการปฏิบัติงาน ซึ่งต้องคำนึง ถึงชนิดและรายละเอียดของแมลงศัตรูตลอดจนลักษณะของผลิตผลเกษตรนั้น จังหวะเวลาของการใช้สาร ฆ่าแมลงต้องเหมาะสมกับระยะหรือวัยที่อ่อนแอของแมลงศัตรูพืช เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้สารฆ่าแมลงได้ อย่างถูกต้องและปลอดภัย ถ้าใช้กับเมล็ดพันธุ์ต้องใช้สารเคมีที่ออกฤทธิ์นาน และอัตราสูง แต่ถ้าใช้กับเมล็ด เพื่อการบริโภคต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เนื่องจากสารฆ่าแมลงทุกชนิดเป็นอันตรายต่อคน สัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยต้องใช้สารเคมีที่สลายตัวได้ในเวลาที่กำหนด และควรใช้ตามแนะนำ ปัญหาที่สำคัญในการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช คือ การใช้สารเคมีไม่ถูกต้องซึ่งหมายถึง การใช้ชนิดของสารเคมีไม่ถูกต้อง และช่วงเวลาการฉีดพ่นสารเคมีไม่เหมาะสม การใช้ชนิดของสารเคมี ไม่ถูกต้อง คือ การใช้ชนิดของสารไม่ถูกตรงกับชนิดของแมลงศัตรูที่เป็นเป้าหมาย หรือการใช้สารเคมีที่มี ฤทธิ์ตกค้างนานกับผลผลิตเกษตร เช่น สารในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต และกลุ่มคาร์บาเมท นอกจากนี้ยังมี การผสมสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชหลายชนิดในการพ่นแต่ละครั้ง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาแมลงศัตรูพืชสร้าง ความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงเร็วขึ้น และเป็นการเพิ่มต้นทุนอีกด้วย ส่วนการใช้ในช่วงเวลาไม่เหมาะสม หมายถึง การใช้บ่อยครั้งเกินความจำเป็น หรือการใช้สารฆ่าแมลงทันทีเมื่อพบแมลงศัตรูในผลผลิตเกษตร โดยไม่คำนึงถึงว่าแมลงศัตรูที่พบนั้นมีจำนวนมากพอที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับผลผลิตเกษตรหรือไม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตแล้วยังทำลายสภาพแวดล้อม การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงทุกชนิดเป็นอันตรายต่อคน สัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นสาเหตุให้เกิดมลพิษ ดังนั้น ผู้ใช้จึงต้องระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ควรเลือก ซื้อสารเคมีที่มีฉลากถูกต้องตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตรายบนภาชนะบรรจุโดยฉลากต้องระบุข้อความต่อไปนี้ 1. เครื่องหมายแสดงคำเตือนในการใช้และการระมัดระวังอันตรายของวัตถุอันตรายเป็นแถบสี ฉลากหรือใบแทรกอยู่ด้านล่างตลอดความยาวของฉลาก 2. ระบุชื่อเคมีชื่อสามัญของสารออกฤทธิ์และชื่อการค้า 3. ระบุชื่อผู้ผลิตและแหล่งผลิต 4. ระบุปริมาณของสารออกฤทธิ์และสารอื่น ๆ ที่ใช้ผสม 5. แสดงวันผลิต และวันหมดอายุการใช้(ถ้ามี) 6. คำอธิบายประโยชน์วิธีเก็บรักษา พร้อมคำเตือน 7. คำอธิบายอาการเกิดพิษ การแก้พิษเบื้องต้น และคำแนะนำสำหรับแพทย์ 8. เลขทะเบียนวัตถุอันตรายจากกรมวิชาการเกษตร


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 139 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร สารฆ่าแมลง (Insecticides) สารฆ่าแมลง คือ สารพิษที่สามารถฆ่าแมลงได้ซึ่งแมลงได้รับสารพิษโดยการสัมผัส โดยการกินอาหาร หรือพืชที่เคลือบด้วยสารพิษ หรือโดยการหายใจเอาสารพิษเข้าไปในร่างกายของแมลง พิษของสารฆ่าแมลง อาจมีผลต่อระบบประสาท ทำให้เป็นอัมพาตและตายได้ สารฆ่าแมลงแบ่งตามการเข้าสู่ตัวแมลงหรือการออกฤทธิ์ได้เป็นกลุ่ม ดังนี้ 1. สารประเภทกินตาย (Stomach poison) สารต้องเคลือบหรือติดอยู่บนผลิตผลเกษตร แมลงมา กัดกินจะรับสารเข้าสู่ร่างกาย ใช้ทำเหยื่อพิษในการกำจัดแมลงหรือหนู 2. สารประเภทสัมผัสหรือถูกตัวตาย (Contact poison) สารจะซึมผ่านเข้าสู่ตัวแมลงทางผิวหนัง ผนังลำตัว หรือเข้าทางรูหายใจของแมลง ใช้ในการพ่นตามพื้นหรือฝาผนัง 3. สารรม (Fumigant) ใช้กำจัดแมลงในรูปของก๊าซพิษ เข้าสู่ร่างกายแมลงทางรูหายใจ 4. สารประเภทดูดซึม (Systemic poison) สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติซึมเข้าทางระบบรากแล้วผ่านทาง ท่อน้ำท่ออาหารของพืช เมื่อแมลงดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชจึงได้รับสารเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งในผลิตผล เกษตรไม่ใช้สารในกลุ่มนี้ สารฆ่าแมลงส่วนใหญ่เข้าทำลายแมลงได้หลายทาง เช่น สารกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตบางชนิดเป็นทั้ง ประเภทกินตายและสัมผัสตาย สารฆ่าแมลงที่ใช้กับผลิตผลเกษตรในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่คือ 1. สารฆ่าแมลงชนิดถูกตัวตาย (Contact insecticides) 2. สารฆ่าแมลงชนิดรม (Fumigant) ในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูผลผลิตโดยใช้สารเคมีต้องคำนึงอยู่เสมอว่า ผลิตผลเกษตรคือ อาหารที่คนหรือสัตว์ต้องบริโภคโดยทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้น การนำเอาสารเคมีมาใช้จึงควรทำด้วย ความระมัดระวัง ควรศึกษาวิธีการใช้อัตราการใช้ระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้เพื่อให้การใช้สารเคมีนั้นมี ประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดแมลงสูงสุด การใช้สารเคมีไม่ถูกต้อง เช่น การนำสารเคมีที่ไม่เหมาะสมที่ จะใช้กับเมล็ดพันธุ์มาคลุกเมล็ดย่อมทำให้เมล็ดเกิดความเสียหายทำให้ความงอกลดลง หรือนำสารฆ่าแมลง ที่ไม่เหมาะสมไปคลุกเมล็ดที่ใช้ในการบริโภค อาจทำให้มีพิษตกค้างและมีผลไปถึงห่วงโซ่อาหารได้การใช้ สารเคมีหรือสารฆ่าแมลงอย่างพร่ำเพรื่อหรือไม่ระมัดระวังย่อมเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น นอกจากนี้ ยังทำลายสภาพแวดล้อม และยังทำให้แมลงสร้างความต้านทานได้เร็วขึ้น ความเป็นพิษของสารฆ่าแมลงต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและค่าพิษตกค้างสูงสุด ความเป็นพิษ สารฆ่าแมลงที่อนุญาตให้ใช้ในโรงเก็บผลิตผลเกษตร ต้องเป็นสารฆ่าแมลงที่มีพิษต่อแมลงสูงและ มีพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ การวัดค่าความเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม วัดได้จากค่าความเป็นพิษ ทางปาก (acute oral toxicity) และค่าความเป็นพิษทางผิวหนัง (dermal toxicity) ต่อหนูความเป็นพิษ เหล่านี้แสดงค่าด้วย LD50ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถทำให้ประชากรครึ่งหนึ่งของสัตว์ที่ทดลองตาย ค่าของ LD50 เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัติงานและสัมผัสกับสารฆ่าแมลง สารฆ่าแมลงที่มีค่า LD50ต่ำ เช่น น้อยกว่า 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังมาก เพราะได้รับพิษเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเกิดอันตรายได้สารฆ่าแมลงที่มีค่า LD50 สูง แสดงว่าต้องได้รับพิษในปริมาณสูงจึงจะเกิดอันตราย


140 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ค่าพิษตกค้างสูงสุด การใช้สารฆ่าแมลงกับผลิตผลเกษตรอาจทำให้เกิดสารพิษตกค้างในผลิตผลเกษตรได้ซึ่งการเกิด สารพิษตกค้างจะมากหรือน้อยหรือไม่เกิดสารพิษตกค้างเลย ขึ้นอยู่กับชนิดของสารฆ่าแมลงและระยะเวลาที่ใช้ ดังนั้น FAO/WHO จึงกำหนดอัตราของสารพิษตกค้างที่ผู้บริโภคได้รับทุกวัน (Acceptable daily intake) แต่ยังมีความปลอดภัยในการบริโภค และสารพิษตกค้างที่ยอมรับได้ในอาหารชนิดต่าง ๆ คือ ค่าสารพิษ ตกค้างสูงสุด (Maximum Residues Limit, MRL) ที่วัดเป็น ppm (part per million หรือ มิลลิกรัม/ กิโลกรัม) (ตารางที่ 1) ตารางที่1 ค่าพิษตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Limit : MRL ที่แนะนำโดย FAO/WHO Joint Meeting on Pesticide Residues เป็น mg/kg (ppm) Insecticide Grain Rice in husk Bran (raw) Malathion 8 - 20 Bromophos 10 - 20 Fenitrothion 10 - 20 Pirimiphos-methyl 10 - 20 Carbaryl 5 5 20 Lindane 0.5 0.5 - Pyrethrin 3 - - Bioresmethrin 5 - - Piperonyl butoxide 20 - - Phenothrin 2 - 15 Fenvalerate 5 - 10 Permethrin 2 - 10 Fumigation Raw cereal Milled cereal Cook cereal Methyl bromide 5 1 0.01 Carbon tetrachloride 50 10 0.01 Ethylene dichloride 50 10 0.1 Ethylene dibromide 20 5 0.01 Carbon disulphide 10 2 0.5 Inorganic bromide 50 50 - Phosphine 0.1 0.01 -


กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด 141 กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร 1. สารฆ่าแมลงชนิดถูกตัวตาย (Contact insecticides) สารฆ่าแมลงชนิดถูกตัวตายเป็นสารฆ่าแมลงที่ทำให้แมลงตายเมื่อสัมผัสกับสารฆ่าแมลง แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine) 2. กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate) 3. กลุ่มไพรีทรอยด์และไพรีทรอยด์สังเคราะห์ (Pyrethroids) 4. กลุ่มคาร์บาเมท (Carbamate) 5. กลุ่มอื่น ๆ (Miscellaneous compound) ในสารฆ่าแมลงทั้ง 5 กลุ่มนี้กลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Organochlorine) เป็นกลุ่มที่ห้ามนำมาใช้กับ ผลิตผลเกษตร ส่วนสารฆ่าแมลงอีก 3 กลุ่ม คือ กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate) กลุ่มไพรีทรอยด์ และไพรีทรอยด์สังเคราะห์ (Pyrethroid) และกลุ่มคาร์บาเมท (Carbamate) เป็นกลุ่มที่นำมาใช้กับผลิตผล เกษตรได้ แต่ก็มีข้อจำกัดเพราะสารฆ่าแมลงในแต่ละกลุ่มไม่สามารถนำมาใช้กับผลิตผลเกษตรได้ทุกชนิด จะใช้ได้เพียงบางชนิดเท่านั้น สารฆ่าแมลงอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มอื่น ๆ สารฆ่าแมลงนี้เป็นกลุ่มใหม่ซึ่งจะทำ ปฏิกิริยาโดยการขัดขวางการสร้างไคติน (chitin) ในแมลง การนำสารฆ่าแมลงชนิดถูกตัวตายมาใช้ควบคุม แมลงศัตรูผลิตผลเกษตร ผลเสียคือ อาจมีสารพิษตกค้างในผลิตผลเกษตร ส่วนข้อดีคือ ใช้กำจัดแมลง ภายนอกกองผลิตผลเกษตรได้ดีใช้เวลาในการกำจัดแมลงสั้น มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงได้นาน และควรนำมาใช้ร่วมกับการใช้สารรม สารฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate) และกลุ่มคาร์บาเมท (Carbamate) จะออกฤทธิ์ กับระบบประสาทโดยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์โคลีนเอสเตอเรส (Acetylcholinesterase: AChE) ก่อให้เกิด การสะสมของสาร Acetylcholine ซึ่งเป็นสารเคมีตัวนำพากระแสประสาทจากเซลล์ประสาทหนึ่งสู่อีก เซลล์ประสาทหนึ่ง สารฆ่าแมลงกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate) ได้แก่อะซีเฟต คลอร์ไพรีฟอส ไดอะซีนอน ไดคลอวอส ไดเมทโทเอต อีไทออน เฟนิโตรไทออน มาลาไทออน โอเมทโทเอต โฟซาโลน พิริมิฟอสเมทิล โปรฟีโนฟอส โปรไทโอฟอส และไตรอะโซฟอส สารเฝ้าระวัง ได้แก่ ไดโครโตฟอส อีพีเอ็น อีโทรโพรฟอส และเมทิดาไทออน สารที่ถูกห้ามใช้ได้แก่ อะซินฟอสเมทิล อะซินฟอสเอทิล ไดซัลโฟตอน เดเมตอนเอส เมทิล เลปโตฟอส เมทามิโดฟอส เมวินฟอส โมโนโครโตรฟอส พาราไทออน พาราไทออนเมทิล เฟนโทเอต ฟอสฟามิโดน โฟเรต และซัลโฟเท็บ สารฆ่าแมลงกลุ่มคาร์บาเมท (Carbamate) ได้แก่ เบนไดโอคาร์บ เบนฟูราคาร์บ คาร์บาริล คาร์โบซัลแฟน ฟีโนบูคาร์บ ไอโซโพร์คาร์บ โพรพาซัว และไทโอไดคาร์บ สารเคมีในกลุ่มนี้เป็นเฝ้าระวัง เนื่องจากมีพิษร้ายแรงถึงร้ายแรงมาก ได้แก่ อัลดิคาร์บ คาร์โบฟูแรน ฟอร์มาทเนต เมโทมิล และอ็อกซามิล สารที่ถูกห้ามใช้เนื่องจากมีพิษร้ายแรงมาก ได้แก่อะมิโนคาร์บ สารฆ่าแมลงกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethrins) และ ไพรีรอยด์สังเคราะห์ (Syntheic pyrethroids) จะออกฤทธิ์รบกวนความสมดุลของโซเดียม (Sodium channel modulators) สารในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์กับ ระบบประสาท (Nerve action) โดยจะไปทำปฏิกิริยากับผนังชั้นนอกของเซลล์ประสาท กระตุ้นการเข้า


142 แมลงที่พบในผลิตผลเกษตรและการป้องกันกำจัด กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ออกของโซเดียม ทำให้ระบบประสาทถูกกระตุ้นด้วยกระแสประสาทจำนวนมาก จึงเกิดอาการกระตุกของ กล้ามเนื้อแมลงจะเป็นอัมพาตและตายในที่สุด สารฆ่าแมลงกลุ่มไพรีทรอยด์ (Pyrethrins) และไพรีรอยด์สังเคราะห์ (Syntheic pyrethroids) ได้แก่ ไบเฟนทริน ไซฟูทริน เบต้าไซฟุทริน แลมบ์ดาไซฮาโลทริน แกมมาไซฮาโลทริน ไซเพอร์เมทริน อัลฟาไซเพอร์เมทริน เบต้าไซเพอร์เมทริน ชีต้าไซเพอร์เมทริน เดลต้าเมทริน เฟนวาเลอเรต อีโทเฟนพร็อก เพอร์เมทริน และไพรีทริน สารฆ่าแมลงกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่ - สารที่ทำลายแมลงทางกายภาพ (Physical poison) กลไกการออกฤทธิ์จะไปขัดขวางหรืออุดรู หายใจ (Suffocation) และดูดความชื้น (Desiccation) ในตัวแมลง เช่น ปิโตรเลียมออยล์ไวท์ออยล์น้ำมัน คิโรซีน - สารยับยั้งขบวนการหายใจ (Respiration inhibitors) เช่น ก๊าซ CO, CO2 , H2 S - สารเพิ่มฤทธิ์ (Synergists) เช่น ไพเพอร์โรนิลบิวท็อกไซด์ ใช้สำหรับผสมกับสารฆ่าแมลงแล้ว ทำให้ออกฤทธิ์กำจัดแมลงดีขึ้น - สารฟีโรโมน (Pheromone) ส่วนมากที่นำมาใช้จะเป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบฟีโรโมนเพศ (Sex pheromone) นำมาใช้ทั้งในการพยากรณ์การระบาด และการทำให้แมลงสับสนทางเพศ (Mating disruption) ทำให้แมลงเพศผู้กับเพศเมียไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้ส่งผลให้ไข่ไม่ฟัก 1.1 วิธีการใช้สารฆ่าแมลงชนิดถูกตัวตาย (Contact insecticides) สารฆ่าแมลงชนิดถูกตัวตาย (Contact insecticides) สามารถนำมาใช้ในการป้องกันกำจัดแมลง ศัตรูผลิตผลเกษตรได้หลายวิธีดังนี้ 1. การพ่นสารฆ่าแมลงภายในและภายนอกโรงเก็บ (Structural application) 2. การพ่นสารฆ่าแมลงบนกระสอบ (Application to bag produce) 3. การพ่นสารฆ่าแมลงบนกองเมล็ด (Grain protectant application) 4. การชุบกระสอบ (Sack impregnation) 5. การพ่นสารฆ่าแมลงในที่ว่าง (การพ่นแบบหมอกควัน : Application to airspace) 6. การคลุกเมล็ด (Direct application to produce or seed treatment) การเลือกวิธีการใช้สารฆ่าแมลงในผลิตผลเกษตร ต้องเลือกให้เหมาะสมกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะ เวลาที่ต้องการเก็บรักษา โครงสร้างของโรงเก็บ วัตถุประสงค์ในการเก็บรักษา ชนิดของผลิตผลเกษตร ชนิด ของศัตรูผลิตผลเกษตร ประวัติการระบาดของแมลง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญที่สุด คือ สารพิษ ตกค้างในอาหาร ซึ่งผลิตผลเกษตรส่วนใหญ่จะเก็บรักษาเพื่อการบริโภคโดยตรง เพื่อการแปรรูปเป็น ผลิตภัณฑ์หรือใช้ผลิตเป็นอาหารสัตว์ซึ่งต้องคำนึงถึงเรื่องสารพิษตกค้างเสมอ แม้สารฆ่าแมลงบางชนิดจะมี ความเป็นพิษต่ำ อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงวิธีการใช้สารฆ่าแมลงที่สารต้องสัมผัสหรือผสมกับผลิตผล เกษตรที่ใช้บริโภคโดยตรง (ยกเว้นการใช้สารรมซึ่งไม่มีพิษตกค้างในผลิตผลเกษตร) ควรใช้เฉพาะวิธีการพ่น สารฆ่าแมลงภายในและภายนอกโรงเก็บ และการพ่นแบบหมอกควัน ส่วนวิธีการอื่นสามารถใช้กับการเก็บ รักษาเมล็ดพันธุ์ได้วิธีการใช้สารฆ่าแมลงมีดังนี้


Click to View FlipBook Version