The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ป4-6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wanwisa_butadech, 2021-08-06 08:17:48

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ป4-6

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ป4-6

สรุปความรูว้ ทิ ยาศาสตร์

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
เร่อื ง การจาแนกสง่ิ มชี ีวติ รอบตวั

นกั วทิ ยาศาสตรจ์ ดั กลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ เป็น 3 กลุม่ ใหญ่ ๆ คือ กลุ่มสตั ว์ กลมุ่ พชื และกล่มุ ท่ไี ม่ใช่สตั ว์
และพชื เรียกวา่ จุลนิ ทรยี ์ แต่ละกลุ่มสามารถจาแนกเป็นกลุ่มย่อยไดห้ ลายกลุ่ม นอกจากน้ียงั ศึกษา

โครงสรา้ งของพชื ทท่ี าหนา้ ทต่ี ่าง ๆ เพอ่ื ใหพ้ ชื สามารถดารงชวี ติ อยู่ได้

1.การจาแนกกลมุ่ ส่ิงมีชีวิต 2.การจาแนกกลมุ่ สตั ว์
การจาแนกสตั วเ์ ป็นกลมุ่ โดยใชเ้กณฑก์ ารมกี ระดูกสนั
สง่ิ มชี วี ติ บนโลกมหี ลายชนดิ มขี นาดใหญ่
จนถงึ ขนาดเลก็ ท่ไี ม่สามารถมองเหน็ ดว้ ยตาเปล่า เช่น หลงั ซง่ึ จะแบ่งสตั วเ์ ป็น 2 กลมุ่ คอื
1) สตั วไ์ มม่ ีกระดูกสนั หลงั เช่น ฟองนา้ แมงกะพรุน
\ ปะการงั ดาวทะเล กงุ้ หมกึ ปูแมลง ไสเ้ดอื นดนิ
ตะขาบ ก้งิ กอื หอยทาก
แบคทเี รยี ไวรสั เราสามารถจาแนกสง่ิ มชี วี ติ เป็นกลุ่ม 2) สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั จาแนกออกเป็นกลมุ่ ย่อย
ใหญ่ๆ ได3้ กลมุ่ คอื กลุม่ สตั วก์ ลมุ่ พชื และกลมุ่ ท่ไี มใ่ ช่ หลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ ปลา สตั วส์ ะเทนิ นา้ สะเทนิ บก
สตั วแ์ ละพชื ทเ่ี รยี กว่า จลุ นิ ทรยี ์ เช่น เห็ด รา เช่น กบ เขยี ด คางคก และอง่ึ อา่ ง
แบคทเี รยี และไวรสั เกณฑท์ ่ใี ชจ้ าแนกกลมุ่ สง่ิ มชี วี ติ มี สตั วเ์ ล้อื ยคลาน เช่น จระเขจ้ ้งิ จก เต่า และงูสตั ว์
หลายเกณฑ์ เช่น การสรา้ งอาหารไดแ้ ละไมไ่ ดโ้ ดยพชื ปีก เช่น นก เป็ด และสตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนา้ นม
สรา้ งอาหารไดส้ ตั วแ์ ละจลุ นิ ทรยี ส์ รา้ งอาหารไมไ่ ดก้ าร เช่น หนูกระต่าย ชา้ ง
เคลอ่ื นทไ่ี ดแ้ ละไมไ่ ดก้ ารตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ การมี
ประโยชนห์ รอื โทษ

Ex. สตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั

แบคทเี รยี

เหด็

แมงกะพรุน ปะการงั ดาวทะเล

Ex. สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั

รา

ปลา กบ กระตา่ ย

3.การจาแนกกลมุ่ พชื
พชื แต่ละชนดิ มโี ครงสรา้ งและลกั ษณะเฉพาะตวั ท่เี หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มหรอื แหลง่ ท่ี

อยู่อาศยั แต่โครงสรา้ งและลกั ษณะเฉพาะตวั อาจจะมลี กั ษณะคลา้ ยกนั หรอื ต่างกนั จงึ นามาใชเ้ป็น
เกณฑใ์ นการจาแนกกลมุ่ ได้

พชื สามารถจดั กลมุ่ โดยใชเ้กณฑต์ ่าง ๆ ไดห้ ลายเกณฑ์ แต่ถา้ หากจดั กลุ่มพชื โดยใชก้ ารมดี อกเป็น
เกณฑจ์ ะจาแนกได้ 2 กลมุ่ คอื

1. พชื ไม่มีดอก เป็นพชื ชน้ั ตา่ ขยายพนั ธุด์ ว้ ยสปอรส์ ามารถสรา้ งอาหารไดเ้หมอื น
พชื ดอก เช่น มอสส์ เฟิน

อบั สปอร์

มอสส์

อบั สปอร์
เฟิ น

2. พชื ดอก เป็นพชื ทม่ี ดี อกเพอ่ื ใชใ้ นการสบื พนั ธุ์ เช่น กหุ ลาบ บวั ชบา
ชบา

กหุ ลาบ

บวั

**** พชื ดอกจาแนกออกเป็น 2 กลมุ่ โดยใชจ้ านวนใบเล้ยี งทอ่ี ยู่ในเมลด็ เป็นเกณฑ์ คอื

1. พชื ใบเล้ยี งเด่ยี ว มใี บเลย้ี งในเมลด็ 1 ใบ เสน้ ใบเรยี งขนาน กลบี ดอก มี 3 กลบี หรอื จานวน
ทวคี ณู สาม รากเป็นรากฝอย ลาตน้ มที ่อลาเลยี งกระจายไมเ่ ป็นระเบยี บ เช่น หญา้ ขา้ ว มะพรา้ ว
และกลว้ ย

2. พชื ใบเล้ยี งคู่ มใี บเล้ยี งในเมลด็ 2 ใบ เสน้ ใบเป็นแบบร่างแห กลบี ดอกมี 4-5 กลบี หรอื จานวน
ทวคี ูณสห่ี รอื ทวคี ณู หา้ รากเป็นรากแกว้ ลาตน้ มที อ่ ลาเลยี งเรยี งกนั เป็นวง เช่น ถวั่ มะม่วง
มะละกอ กหุ ลาบ และชบา

ตารางเปรียบเทยี บความแตกต่างระหวา่ งพชื ใบเล้ยี งเด่ียวและพชื ใบเล้ยี งคู่

ลกั ษณะ พชื ใบเล้ยี งเด่ียว พชื ใบเล้ยี งคู่

1. จานวนกลบี ดอก

ดอกทวคี ูณ 3 ดอกทวคี ูณ 4 หรอื 5

2. การจดั ระเบยี บของเสน้ ใบ

เสน้ ใบเรยี งขนาน เสน้ ใบเป็นร่างแห

3. ระบบราก

รากฝอย รากแกว้

4. ลาตน้ ลาตน้ มที อ่
ลาเลยี งกระจาย
ไม่เป็นระเบยี บ ลาตน้ มที ่อ
ลาเลยี งเรยี งกนั

เป็นวง

4. หนา้ ท่ขี องสว่ นประกอบพชื ดอก
พชื ดอกมรี ากทาหนา้ ทค่ี า้ จนุ ลาตน้ ดดู นา้ และแร่ธาตจุ ากดนิ เขา้ สู่ลาตน้ ลาเลยี งไปยงั

สว่ นต่าง ๆ เพอ่ื นาไปใชก้ ารดารงชวี ติ ของพชื ถา้ พชื ขาดนา้ อาจทาใหพ้ ชื เหย่ี วและตายได้
พชื ดอกมสี ่วนประกอบภายนอกทป่ี ระกอบดว้ ย ราก ลาตน้ ใบ ดอก และผล

สว่ นประกอบเหลา่ น้จี ะทาหนา้ ทแ่ี ตกต่างกนั ดงั น้ี

ราก (root) เป็นส่วนของพชื ทอ่ี ยู่ในดนิ หรอื นา้ เช่น ผกั ตบชวา จอก รากมหี นา้ ทด่ี ูดนา้ และ
แร่ธาตใุ นดนิ และยดึ ลาตน้ ใหต้ งั้ อยู่ได้ รากพชื บางชนดิ จะมหี นา้ ทพ่ี เิ ศษ เช่น รากยดึ เกาะของกลว้ ยไม้
รากเกบ็ สะสมอาหารของมนั แกวและหวั ไชเทา้ รากคา้ จนุ ลาตน้ ของโกงกาง รากพชื ทม่ี หี นา้ ทด่ี ูดนา้ และ
แร่ธาตใุ นดนิ มี 2 แบบ คอื

1) รากแกว้ คอื รากทเ่ี จรญิ มาจากการงอกของเมลด็ โดยจะมรี ากแขนงแตกย่อย
และแผ่ออกไปตามแนวขนานของพ้นื ดนิ พบในพชื ใบเลย้ี งคู่ เช่น พรกิ มะเขอื กหุ ลาบ มะมว่ ง

2) รากฝอย คอื รากทเ่ี จรญิ มาจากสว่ นลาตน้ พบในพชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว เช่น ผกั บงุ้
หญา้ หอม ทงั้ รากแกว้ และรากฝอยจะมสี ่วนประกอบทส่ี าคญั คอื ขนราก มลี กั ษณะเป็นเสน้ ยาว
และบาง มขี นาดเลก็ มาก มหี นา้ ทด่ี ูดนา้ และแร่ธาตจุ ากดนิ เขา้ สู่รากไปยงั ลาตน้ และสว่ นต่างๆ
ของพชื โดยลาเลยี งผา่ นท่อลาเลยี งนา้ หรอื ไซเลม็ (xylem)

ขนราก

ลาตน้ (stem) เป็นอวยั วะของพชื ซ่งึ สว่ นใหญ่จะเจรญิ ข้นึ มาเหนอื ดนิ แต่กม็ พี ชื บางชนดิ ทล่ี าตน้ อยู่
ใตด้ นิ ลาตน้ ประกอบดว้ ยส่วนสาคญั 2 สว่ น คือ

1. ขอ้ (node) เป็นส่วนของลาตน้ ท่มี ตี า(bud)ซง่ึ จะเจริญไปเป็นก่งิ ดอก หรือใบ
2. ปลอ้ ง (internode) เป็นส่วนของลาตน้ ทอ่ี ยู่ระหว่างขอ้

พชื ใบเล้ยี งเดย่ี วจะสงั เกตส่วนของขอ้ ปลอ้ งไดอ้ ยา่ งชดั เจนตลอดชวี ติ เชน่ ตน้ ไผ่
ตน้ ออ้ ย ขา้ วโพด เป็นตน้ สว่ นพชื ใบเล้ยี งคู่นน้ั ส่วนใหญ่แลว้ ขอ้ ปลอ้ งจะสงั เกตไดไ้ มช่ ดั เจนทงั้ น้ี เพราะ
เมอ่ื เจริญเตบิ โตเตม็ ท่แี ลว้ มกั จะมเี น้อื เยอ่ื ชนั้ คอรก์ (cork) มาหมุ้ โดยรอบเอาไว้ การจะสงั เกตอาจจะสงั เกต
ในขณะทพ่ี ชื ยงั ออ่ นอยู่ แต่กย็ งั มพี ชื ใบเล้ยี งคู่บางชนดิ ท่สี ามารถสงั เกตเหน็ ขอ้ ปลอ้ งไดอ้ ยา่ งชดั เจน ตลอด
ชวี ติ เหมอื นพชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว ไดแ้ ก่พวกไมล้ ม้ ลกุ ต่างๆ เชน่ ตน้ ตาลงึ ฟกั ทอง และผกั บุง้ เป็นตน้

ไผ่ (พชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว)

มะมว่ ง (พชื ใบเล้ยี งคู่)

ใบ (Leaves) เป็น อวยั วะทเ่ี จรญิ ออกไปบรเิ วณดา้ นขา้ งโดยมตี าเหน่งอยู่ทข่ี อ้ ปลอ้ งของตน้ และ
กง่ิ ใบส่วนใหญ่มกั แผ่แบน มสี เี ขยี วของคลอโรฟิลล์ ทาหนา้ ทห่ี ลกั ในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
(Photosynthesis) และคายนา้ (Transpiration) รูปร่างและขนาดของใบแตกต่างกนั ไปตามชนดิ ของพชื
หนา้ ทห่ี ลกั ของใบคอื ใชใ้ นการสงั เคราะหแ์ สง การหายใจและการคายนา้

ซอกใบ ปลาย
ขอบใบ
กา้ นใบ แผ่นใบ
เสน้ ใบ
เสน้ กลางใบ
โคนใบ

ภาพสว่ นประกอบของใบ
ลกั ษณะของเสน้ ใบแบบขนานหรอื แบบร่างแห ซง่ึ เป็นความแตกต่างของพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วและพชื ใบเลย้ี งคู่

ใบโพธ์ิมเี สน้ ใบแบบร่างแห

ใบไผ่มเี สน้ ใบแบบขนาน

ลกั ษณะเสน้ ใบของพชื ใบเล้ยี งเด่ียวและพชื ใบเล้ยี งคู่

พชื สรา้ งอาหารไดอ้ ย่างไรนะ ???

การสรา้ งอาหารของพชื หรอื เรียกวา่ การสงั เคราะหแ์ สง คอื กระบวนการนาเอา
พลงั งานแสงสวา่ งมาใชใ้ นการสรา้ งอาหารพวกคารโ์ บไฮเดรตของพชื สเี ขยี ว จากวตั ถดุ บิ คอื กา๊ ซ
คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละนา้ นนั่ เองค่ะ และผลทเ่ี กดิ ข้นึ จากปฏกิ ริ ยิ าการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
คอื นา้ ตาลโมเลกลุ เดย่ี ว นา้ และกา๊ ซออกซเิ จน ซง่ึ สรุปเป็นสมการเคมไี ดด้ งั น้ีค่ะนกั เรยี น

กระบวนการสรา้ งอาหารของพชื

สว่ นประกอบของดอก

ดอก (flower) เป็นอวยั วะทส่ี าคญั ของพชื ใชใ้ นการสบื พนั ธุด์ อกอาจอยู่บรเิ วณกง่ิ กา้ นหรอื ทป่ี ลายยอด ดอกแต่ละ
ชนดิ มรี ูปร่างลกั ษณะและสแี ตกต่างกนั ซ่งึ เป็นลกั ษณะเฉพาะตวั ดอกจะมสี ่วนประกอบ 4 ส่วน แต่ละส่วนทาหนา้ ท่ี
ต่างกนั ดงั น้ี

1. กลีบเล้ยี ง (sepal) เป็นส่วนของดอกทอ่ี ยู่นอกสุด มสี เี ขยี ว เหมอื นใบ และทาหนา้ ท่สี งั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้
กลบี เลย้ี งทาหนา้ ทห่ี ่อหมุ้ และป้องกนั อนั ตรายใหแ้ ก่ส่วนของดอกท่อี ยู่ภายใน เม่อื ดอกบานแลว้ ส่วนของกลบี เล้ยี งอาจ
หมดหนา้ ทแ่ี ลว้ หลดุ ร่วงไป

2. กลบี ดอก (petal) เป็นสว่ นทอ่ี ยู่ถดั จากกลบี เล้ยี งเขา้ มากลบี ดอกมกั มสี สี นั สวยงามเน่อื งจากมรี งควตั ถุ
กลบี ดอกบางชนดิ สามารถเปลย่ี นสไี ด้ เช่นดอกพดุ ตาน บางชนดิ มกี ลน่ิ หอม เน่อื งจากมตี ่อมกลน่ิ อยู่ดว้ ยและท่โี คน
กลบี ดอกมกั มตี ่อมนา้ หวาน ช่วยในการลอ่ แมลง วงกลบี ดอก เรยี กวา่ คอโรลา (corolla) ถา้ หากกลบี เล้ยี งและกลบี ดอก
เหมอื นกนั จนแยกไมอ่ อกจะเรยี กรวมกนั วา่ วงกลบี รวม ไดแ้ ก่ จาปี จาปา บวั หลวง ทวิ ลปิ เป็นตน้

3. เกสรตวั ผู้ (stamen) เป็นส่วนท่จี าเป็นต่อการสบื พนั ธุ์ ทาหนา้ ท่สี รา้ งเซลลส์ บื พนั ธุ์เพศผู้ เกสรตวั ผูม้ กั มี
หลายอนั และเรยี งตวั เป็นวงเรยี กวา่ แอนดรเี ซยี ม (androecium) เกสรตวั ผูส้ ว่ นใหญ่ แยกกนั เป็นอนั ๆ แต่บางชนิดอาจ
ตดิ กนั หรอื อาจตดิ ส่วนอน่ื ของดอก เช่น เกสรตวั ผูเ้ชอ่ื มตดิ กบั กลบี ดอก พบในดอกเขม็ ดอกลาโพง หรอื เกสรตวั ผูต้ ิด
กบั เกสรตวั เมยี พบในดอกรกั ดอกเทยี น

4. เกสรตวั เมยี (pistil) เป็นชน้ั ทอ่ี ยู่ในสุดเปลย่ี นแปลงมาจากใบเพอ่ื ทาหนา้ ทส่ี รา้ งเซลลส์ บื พนั ธุเ์ พศเมยี จงึ เป็น
อวยั วะสาคญั ต่อการสืบพนั ธุ์ ในหน่ึงดอกเกสรตวั เมยี อาจมีอนั เดียวหรือหลายอนั เรียงตวั เป็นวงของเกสรตวั เมยี
เรยี กวา่ จเิ นเซียม (gynaecium)

สรุปความรูว้ ิทยาศาสตร์

ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4
เร่ือง แรงและการเคล่อื นท่ี

แรง (force) หมายถงึ สง่ิ ทท่ี าใหว้ ตั ถเุ ปลย่ี นแปลงลกั ษณะหรอื สภาพการ
เคลอ่ื นท่ี เช่น ทาใหว้ ตั ถเุ กดิ การเคลอ่ื นท่ี หรอื ทาใหว้ ตั ถทุ ก่ี าลงั เคลอ่ื นทม่ี คี วามเรว็
เพม่ิ ข้นึ ชา้ ลง หยุดนง่ิ รวมทงั้ ยงั ทาใหว้ ตั ถเุ ปลย่ี นแปลงรูปร่างได้ เน่อื งจากแรงเป็น
ปรมิ าณทม่ี ที ง้ั ขนาดและทศิ ทาง
แรงทร่ี ูจ้ กั กนั ในปจั จบุ นั แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื

1. แรงท่เี กดิ จากธรรมชาติ เช่น แรงลม แรงนา้ แรงโนม้ ถว่ ง เป็นตน้
2. แรงท่ีเกดิ จากกลา้ มเน้ือ คอื แรงทเ่ี กดิ จาการเคลอ่ื นไหว ซง่ึ อาจเป็นแรงจาก

กลา้ มเน้อื ของเรา เช่น การยกของ ขวา้ งกอ้ นหนิ แรงดงึ แรงผลกั เป็นตน้
3. แรงท่ีไดจ้ ากเคร่อื งจกั รกล เป็นแรงทเ่ี กดิ จากมนุษยป์ ระดษิ ฐข์ ้นึ

เช่น แรงจากเครอ่ื งกล ไดแ้ ก่ รถยนต์ เรอื รวมไปถงึ แรงทเ่ี กดิ จาก
เคร่อื งผ่อนแรงทงั้ หลาย เช่น ลูกรอก เป็นตน้

แรงโนม้ ถ่วงของโลก (Gravity)

คอื แรงดงึ ดดู ของโลกหรอื แรงของโลกทก่ี ระทาต่อมวลของวตั ถทุ กุ ชนดิ
บนโลกและวตั ถทุ อ่ี ยู่ใกลผ้ วิ โลก โดยจะดงึ ดูดวตั ถซุ ง่ึ กนั และกนั เขา้ สูศ่ ูนยก์ ลาง
ของโลกทาใหว้ ตั ถตุ ่างๆ ตกลงสู่พ้นื โลกเสมอและทาใหว้ ตั ถมุ นี า้ หนกั

แรงโนม้ ถว่ งของโลกเป็นแรงซง่ึ โลกกระทาต่อวตั ถทุ กุ ช้นิ โดยมที ศิ ทางเขา้ สู่
ศูนยก์ ลางโลก เป็นแรงทย่ี ดึ เหน่ยี ววตั ถใุ หต้ ดิ อยู่กบั พ้นื โลก มฉิ ะนนั้ วตั ถหุ รือแม้
กระทงั้ บรรยากาศจะหลดุ ปลวิ ไปในอากาศ นวิ ตนั ไดค้ น้ พบธรรมชาตพิ ้นื ฐานของ
แรงดงึ ดูดโนม้ ถ่วงระหวา่ งวตั ถใุ ดๆ สองวตั ถุ

วตั ถตุ ่าง ๆ ทป่ี ลอ่ ยจากทส่ี งู จะตกลงสูผ่ วิ โลกเสมอ เพราะแรงโนม้ ถ่วงของโลก หรอื
แรงดงึ ดูดของโลก (Gravitational force) เป็นแรงทโ่ี ลกกระทาต่อวตั ถุ มที ศิ ทางเขา้ สูศ่ ูนยก์ ลาง
โลก และเป็นแรงไมส่ มั ผสั โดยแรงดงึ ดูดทโ่ี ลกกระทากบั วตั ถหุ นง่ึ ๆ ทาใหว้ ตั ถตุ กลงสูพ่ ้นื โลก
และทาใหว้ ตั ถมุ ี นา้ หนกั (Weight) โดย เซอรไ์ อแซกนวิ ตนั สงสยั วา่ แรงอะไรทาใหผ้ ลแอปเป้ิล
ตกสูพ่ ้นื ดนิ และตรงึ ดวงจนั ทรไ์ วก้ บั โลก สง่ิ น้เี องนาไปสู่การคน้ พบกฎแรงโนม้ ถว่ ง 3 ขอ้ หรอื ท่ี
เรยี กวา่ กฎของนวิ ตนั (Newton’s La)

มวล

เมอ่ื ยกสง่ิ ของต่างๆ จะรูส้ กึ วา่ สง่ิ ของเหลา่ นน้ั มี นา้ หนกั เน่อื งมาจาก
แรงดงึ ดดู ของโลกทก่ี ระทาต่อวตั ถซุ ง่ึ เมอ่ื ตอ้ งการยกวตั ถจุ งึ จาเป็นตอ้ งออก
แรงเพอ่ื ตา้ นแรงดงึ ดูดของโลกทก่ี ระทาต่อวตั ถุ โดยการออกแรงยกจะมาก
หรอื นอ้ ยข้นึ อยู่กบั วตั ถนุ นั้ มนี า้ หนกั มากหรอื นอ้ ยนา้ หนกั ของวตั ถขุ ้นึ กบั
มวล (Mass) ของวตั ถโุ ดยวตั ถทุ ม่ี มี วลมากจะมนี า้ หนกั มาก วตั ถทุ ม่ี มี วล
นอ้ ยจะมนี า้ หนกั นอ้ ย

แรงโนม้ ถว่ งของโลกเก่ยี วขอ้ งกบั การใชช้ ีวติ ประจาวนั ของเราซ่งึ อาจทาใหเ้ กดิ ประโยชน์
และทาใหเ้ กิดขอ้ จากดั ตา่ งๆ กบั เราไดด้ งั น้ี

ประโยชนข์ องแรงโนม้ ถว่ งของโลก ขอ้ เสยี ของแรงโนม้ ถว่ งของโลก

4. ทาใหฝ้ นตกลงมาสูพ่ ้นื โลกเพอ่ื ใหค้ วามช่มุ ช้ืนแก่ 4. ทากจิ กรรมต่างๆ ท่สี วนทางกบั แรงโนม้ ถ่วงและจะ
พชื นอกจากน้ียงั ทาใหเ้ กดิ แหล่งน้าต่างๆ รูส้ กึ เหน่ือยและทาไดล้ าบาก เช่นปีนเขาเดนิ ข้นึ บนั ได

3. ทาใหน้ ้าไหลจากทส่ี ูงลงสูท่ ่ตี า่ ปนั่ จกั รยานข้ึนภเู ขา เดนิ ข้นึ ทล่ี าดชนั

3. เม่อื สง่ิ ของบางชนิดหลน่ ลงพ้ืน
จะทาใหช้ ารดุ เสยี หาย

2. ทาใหว้ ตั ถหุ รอื สง่ิ ของตา่ งๆไม่ 2. ทาใหย้ กสง่ิ ทม่ี นี ้าหนักมากๆ
ลอยไปมาในอากาศ ไม่ได้

1. ทาใหเ้ รายนื อยูบ่ นพ้นื ไดโ้ ดยไม่ 1. ทาใหค้ นเราไมส่ ามารถกระโดด
ลอยไปมา สงู ข้นึ ไปมากๆ ได้

ตวั อย่างประโยชนข์ องแรงโนม้ ถว่ ง ตวั อยา่ งโทษของแรงโนม้ ถว่ ง

แรงโนม้ ถว่ งของโลกนกั เรียนเคยสงั เกตบา้ งหรอื ไมว่ ่าเมอ่ื สง่ิ ของหลน่ จากท่สี ูงหรอื ผลไม ้
หลน่ จากตน้ ทาไมจงึ ตกลงสูพ่ ้นื ดนิ หรอื ทาไมนา้ จึงไหลจากท่สี ูงลงสูท่ ต่ี า่ ท่เี ป็นเชน่ น้เี พราะมแี รงชนิด
หน่งึ กระทาต่อส่งิ ต่างๆทอ่ี ยูบ่ นโลกแรงน้เี รียกวา่ แรงโนม้ ถว่ งของโลก

การท่แี รงโนม้ ถ่วงของโลกดงึ ดูดใหส้ ง่ิ ต่างๆตกลงสูพ่ ้นื โลก ทาใหต้ วั เราและวตั ถตุ ่างๆนน้ั มี
นา้ หนกั เช่นเดยี วกนั เพราะถา้ โลกไมม่ แี รงโนม้ ถ่วงแลว้ ตวั เราและส่งิ ของต่างๆก็จะอยูใ่ นสภาพไร้
นา้ หนกั เชน่ ในอวกาศจะมสี ภาพไรน้ า้ หนกั คนและวตั ถตุ ่างๆจงึ อยู่ในสภาพไรน้ า้ หนกั ทาใหล้ อย
เควง้ ควา้ งและเคลอ่ื นไหวลาบาก

เร่อื งน่ารู้

นวิ ตนั หรอื เซอรไ์ อแซก นวิ ตนั เป็นนกั คณิตศาสตร์ นกั ฟิสกิ ส์ นกั ดาราศาสตร์
นกั ปรชั ญาชาวองั กฤษ เขาไดศ้ ึกษาการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถุ และตง้ั กฎการเคลอ่ื นท่ขี ้นึ มา 3 ขอ้
เพอ่ื อธิบายธรรมชาตขิ องการเคลอ่ื นทข่ี องวตั ถตุ ่างๆ เรยี กวา่ กฎการเคลอ่ื นทข่ี อง
นวิ ตนั (Newton's Laws) ไดแ้ ก่
กฎขอ้ ท่ี 1 วตั ถใุ ดๆ กต็ ามจะรกั ษาสภาพหยุดน่งิ หรือเคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเรว็ คงทใ่ี นทศิ ทางเดมิ
กต็ อ่ เมอ่ื แรงลพั ธท์ ม่ี ากระทาต่อวตั ถมุ คี ่าเท่ากบั ศูนย์
กฎขอ้ ท่ี 2 ความเร่งของวตั ถใุ ดๆ ข้นึ กบั ตวั แปร 2 ตวั ไดแ้ ก่ แรงลพั ธท์ ม่ี ากระทาตอ่ วตั ถุ และ
มวลของวตั ถุ โดยความเร่งแปรผนั ตรงกบั แรงลพั ธท์ ม่ี ากระทา แตจ่ ะแปรผกผนั กบั มวลของวตั ถุ
กฎขอ้ ท่ี 3 ทกุ ๆ แรงกริ ยิ า จะมแี รงปฏกิ ริ ยิ าในปรมิ าณทเ่ี ทา่ กนั แตท่ ศิ ทางตรงกนั ขา้ มกระทา
กลบั มา หรือ แรงกริ ยิ าเท่ากบั แรงปฏกิ ริ ิยา

สรุปความรูว้ ิทยาศาสตร์

ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4
เร่อื ง แสง

แสง คอื พลงั งานรูปหน่งึ ทไ่ี ม่มตี วั ตน แต่สามารถทางานได้ แสงช่วยใหเ้รา
มองเหน็ สง่ิ ต่างๆ แสงเปลย่ี นมาจากพลงั งานรูปหน่งึ แลว้ ยงั เปลย่ี นไปเป็นพลงั งานรูปอน่ื
ได้ แสงสวา่ งมปี ระโยชนต์ ่อการดารงชวี ติ ของมนุษยท์ ง้ั ทางตรงและทางออ้ ม

ประโยชน์ทางตรง ประโยชน์ทางออ้ ม

ช่วยในการมองเห็นสิ่งตา่ งๆ ช่วยทาใหเ้ กิดจกั รของนา้
ชว่ ยใหผ้ า้ ท่ีตากไวแ้ หง้
ชว่ ยในการถนอมอาหาร ชว่ ยใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้าจากโซลา่ เซลล์
หรอื เซลลส์ รุ ยิ ะ

ช่วยในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชซ่ึง
เป็นอาหารของมนษุ ยแ์ ละสตั วต์ า่ ง ๆ

ทาใหม้ กี ารประดษิ ฐ์สิ่งท่ีใชเ้ ก่ียวกบั แสง
ไดแ้ ก่ ทศั นปู กรณต์ า่ งๆ เช่น กลอ้ งถา่ ยรูป

การเคล่อื นทข่ี องแสง

แสงมคี วามสาคญั กบั เรามาก สง่ิ แรกทเ่ี ราทาเมอ่ื เขา้ ไปในหอ้ งมดื คอื
การเปิดไฟหรอื จดุ เทยี นแสงช่วยใหเ้รามองเหน็ วตั ถตุ ่างๆได้

แสงเป็นแหลง่ แหลง่ พลงั งานพ้นื ฐานของสง่ิ มชี วี ติ บนโลก ช่วยใหพ้ ชื สรา้ ง
อาหารไดท้ าใหค้ นเราทากจิ กรรมต่างๆ ได้ แสงมผี ลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ติ
เกอื บทกุ ชนดิ ในโลกการเรยี นรูธ้ รรมชาตขิ องแสงจะช่วยใหเ้รานาความรู้
เกย่ี วกบั แสงไปใชป้ ระโยชนไ์ ดถ้ กู ตอ้ ง

การเดนิ ทางของแสงแหลง่ กาเนดิ แสงทส่ี าคญั ทส่ี ดุ ทเ่ี รารูจ้ กั คอื ดวงอาทติ ยเ์ รา
ทราบแลว้ วา่ แสงจากดวงอาทติ ยเ์ ดนิ ทางมายงั โลกของเราได้ แสงจากดวงไฟในหอ้ งสอ่ ง
มากระทบสง่ิ ของต่าง ๆ ในหอ้ งของเราไดแ้ สงเดนิ ทางจากทห่ี นง่ึ ไปยงั อกี ทห่ี นง่ึ ได้

แสงเดนิ ทางเป็นเสน้ ตรงออกจากแหลง่ กาเนดิ แสงทกุ ทศิ ทางแหลง่ กาเนดิ แสง
มที ง้ั ทเ่ี กดิ ตามธรรมชาตแิ ละมนุษยส์ รา้ งข้นึ ดวงอาทติ ยเ์ ป็นแหลง่ กาเนดิ แสงตาม
ธรรมชาตทิ ส่ี าคญั

สมบตั ิของแสง
1) แสงเป็นคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า ไมต่ อ้ งอาศยั ตวั กลางในการเคลอ่ื นท่ี
2) แสงเดนิ ทางเป็นเสน้ ตรง ดว้ ยอตั ราเร็ว 3 คูณ 10 ยกกาลงั 3 เมตรต่อวนิ าที

หรอื 186,000 ไมลต์ ่อวนิ าที
3) แสงมกี ารสะทอ้ น การหกั เห และการกระจายแสง ทาใหเ้กดิ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ

แหล่งกาเนิดแสง

1. ดวงอาทิตย์ เป็นแหลง่ กาเนดิ แสงตามธรรมชาตทิ ใ่ี หญ่ทส่ี ุดและสาคญั ท่สี ดุ
เมอ่ื ปี พ.ศ. 2209 เซอรไ์ อแซก นวิ ตนั นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวองั กฤษ ไดท้ ดลองเกย่ี วกบั

เรอ่ื งแสง พบวา่ ถา้ ใหแ้ สงอาทติ ยส์ อ่ งผ่านปรซิ มึ แสงจะเกดิ การหกั เหออกมาเป็นแสงสตี ่าง ๆ 7 สี
เรยี กวา่ “สเปกตรมั ” เรม่ิ จากแสงทม่ี คี วามยาวคลน่ื สนั้ ไปหาแสงสที ม่ี คี วามยาวคลน่ื ยาวไดด้ งั น้ี คอื ม่วง
คราม นา้ เงนิ เขยี ว เหลอื ง แสด และแดง ทส่ี ามารถมองเหน็ ได้ นอกจากน้ยี งั มรี งั สอี น่ื ๆ ทไ่ี ม่
สามารถมองเหน็ ได้ ไดแ้ ก่ รงั สเี หนอื ม่วง หรอื รงั สอี ลั ตราไวโอเลต เป็นรงั สที ่มี คี วามถส่ี ูงกวา่ แสงสมี ่วง
และรงั สใี ตแ้ ดงหรอื รงั สอี นิ ฟาเรด เป็นรงั สที ม่ี คี วามถต่ี า่ กวา่ แสงสแี ดง

2. ส่งิ มีชีวติ เช่น หง่ิ หอ้ ย ปลาบางชนดิ
3. เทยี นไข คบเพลงิ หลอดไฟฟ้ า เป็นแหลง่ กาเนดิ ทม่ี าจากการเปลย่ี นแปลง
พลงั งานรูปอน่ื มาเป็นพลงั งานแสง ปรมิ าณพลงั งานแสงทส่ี ่องออกมาจากแหลง่ กาเนดิ
แสงใดๆ ต่อหนง่ึ หน่วยเวลาหรืออตั ราการใหพ้ ลงั งานแสงของแหลง่ กาเนดิ แสง มหี น่วย
การวดั เป็น ลูเมน หลอดไฟฟ้าทน่ี ยิ มใชก้ นั ตามบา้ นเรอื นมี 2 ชนดิ คอื หลอดไฟฟ้าแบบ
ไส้ และหลอดเรอื งแสงหรอื หลอดฟลูออเรสเซนต์ ในจานวนวตั ตท์ เ่ี ท่ากนั หลอดเรอื ง
แสงใหค้ วามสวา่ งมากกวา่ หลอดไฟฟ้าแบบไสป้ ระมาณ 3-4 เทา่

ตวั กลางของแสง

การแบ่งชนิดของตัวกลางโดยการดทู างเดนิ ของแสงผา่ นวตั ถตุ ่างๆ
จะแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ชนดิ คอื
1. ตวั กลางโปร่งใส เป็นตัวกลางท่ยี อมใหแ้ สงผ่านได้หมดหรือเกอื บท้ังหมดอยา่ งเป็น
ระเบยี บ สามารถมองเห็นวัตถุอีกชนิดได้ชดั เจน เชน่ กระจกใส อากาศ น้า กระดาษแกว้ ใส
แผน่ พลาสตกิ ใส เป็นต้น

2. ตัวกลางโปรง่ แสง เปน็ ตวั กลางทย่ี อมให้แสงผา่ นไดบ้ า้ งและไม่เปน็ ระเบยี บ ท้าใหก้ าร
มองเห็นวัตถดุ ้านตรงข้ามไม่ชัดเจน เช่น กระจกฝ้า กระดาษไข แผ่นพลาสตกิ ขุ่น เปน็
ตน้ ตัวกลางน้ถี ้านา้ ไปขวางทางเดินของแสงจะท้าให้เกดิ เงาดา้ ไมช่ ัดเจน(เงามวั )

3. ตวั กลางทบึ แสง เป็นตวั กลางที่ไมย่ อมให้แสงทะลุผา่ น แตส่ ะทอ้ นได้หรือบางชนดิ
ดดู กลนื แสงได้ เช่น ไม้ เหลก็ กระเบอื้ ง สมุด เป็นตน้ ตวั กลางนีถ้ า้ น้าไปขวางทางเดนิ ของ
แสงจะท้าใหเ้ กิดเงาดา้ ชัดเจน (เงามดื )

สรุปความรูว้ ิทยาศาสตร์

ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4

เรอ่ื ง วสั ดุและสสาร

วสั ดุ หมายถงึ สง่ิ ของต่าง ๆ ทถ่ี กู นามาใชเ้พอ่ื นวยความสะดวก ซง่ึ อาจเป็น
วสั ดธุ รรมชาติ เช่น หนิ ไม้ ยางพารา ดนิ เหนยี ว ขนสตั ว์ เขาสตั ว์ หนงั สตั ว์ และนุ่น
หรอื เป็น วสั ดสุ งั เคราะห์ เช่น พลาสตกิ เสน้ ใยสงั เคราะห์ หนงั เทยี ม และยางสงั เคราะห์
ซง่ึ สงั เคราะหข์ ้นึ มาใชเ้ป็นวสั ดทุ ดแทนวสั ดธุ รรมชาตทิ เ่ี หลอื อยู่นอ้ ย และการนาวสั ดมุ าใชท้ า
วตั ถหุ รอื สง่ิ ของจะตอ้ งคานงึ ถงึ ความเหมาะสม

สมบตั ทิ างกายภาพของวสั ดุ
ความแข็งของวสั ดุ

ความแขง็ หมายถงึ ความทนทานต่อการดดั การกด หรอื การขดู ขดี และเป็นการบ่งบอกถงึ ความคงทน
ต่อการเปลย่ี นรูปร่างของวสั ดทุ ม่ี แี รงมากระทาต่อวสั ดนุ นั้ ดงั นน้ั วสั ดใุ ดทม่ี คี วามแขง็ มากก็สามารถทนทานต่อแรง
ดงึ หรอื แรงกด ซง่ึ จะไม่เกดิ รอยหรอื เกดิ รอยไดย้ ากความแขง็ ของวสั ดไุ มส่ ามารถบอกดว้ ยนา้ หนกั ความยาว หรอื
เวลา แต่ไดจ้ ากกระบวนการทดสอบความแขง็ วสั ดแุ ต่ละชนดิ มคี วามแขง็ ไมเ่ ทา่ กนั ถา้ ตอ้ งการใหส้ ง่ิ ของเครอ่ื งใช้
มคี วามแขง็ แรงทนทานและไม่เกดิ รอยขดี ขว่ นไดง้ ่ายตอ้ งเลอื กใชส้ ง่ิ ของเครอ่ื งใชท้ ่ีทาจากวสั ดทุ ม่ี คี วามแขง็ เช่น
โลหะ แกว้ และกระเบ้อื ง

ความเหนียวของวสั ดุ

ความเหนยี ว หมายถงึ ความทนทานต่อแรงดงึ ทม่ี ากระทาต่อวสั ดุ โดยความเหนยี วสูงสุดของวสั ดุดไู ดจ้ าก
ความทนทานต่อแรงดงึ สูงสดุ ก่อนทเ่ี น้อื วสั ดจุ ะแยกออกจากกนั ดงั นนั้ วสั ดทุ ม่ี คี วามเหนยี วมากกวา่ จะทนต่อแรง
ดงึ ทม่ี ากระทาไดม้ ากกวา่ วสั ดทุ ม่ี คี วามเหนยี วนอ้ ยกวา่ สมบตั คิ วามเหนยี วของวสั ดสุ ามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
หลายอย่าง
เช่น การใชเ้สน้ เอน็ ทาสายเบด็ ตกปลา เน่อื งจากเสน้ เอน็ มคี วามเหนยี วมาก สามารถทนแรงดงึ หรอื รบั นา้ หนกั ของ
ปลาไดม้ าก เหลก็ มคี วามแขง็ และเหนยี วจงึ นามาใชท้ าวตั ถทุ ท่ี นทานและรบั นา้ หนกั ไดม้ าก เช่น ขาเหลก็ ของมา้ นงั่
ราวสะพานเหลก็ และโซ่เหลก็ ใยแมงมมุ เป็นวสั ดธุ รรมชาตทิ ม่ี คี วามเหนยี วมากทส่ี ดุ ซง่ึ เหนยี วกวา่ เหลก็ ถงึ 5 เท่า
ในทางการแพทยย์ งั ใชใ้ ยแมงมมุ สงั เคราะหท์ าอปุ กรณ์เย็บหลอดเลอื ดแผ่นปิดแผล กาว ไหมละลาย เสน้ เอน็ เทยี ม
และยงั สามารถใชใ้ นอตุ สาหกรรมทต่ี อ้ งการเสน้ ใยประสทิ ธภิ าพสูง เช่น การทาเส้อื เกราะออ่ นกนั กระสุน เชอื ก
และเสน้ เอ็นของเบด็ ตกปลา

ความยดื หย่นุ ของวสั ดุ
ถา้ เราบบี ฟองนา้ ทใ่ี ชล้ า้ งจาน ฟองนา้ จะเปลย่ี นรูปตามการออกแรง แต่เมอ่ื เราคลายมอื ออก ฟองนา้ กจ็ ะแผ่

ออกและกลบั สู่สภาพเดมิ เน่ืองจากฟองนา้ มคี วามยดื หยุ่น และวสั ดุทกุ ชนิดจะมคี วามยดื หยุ่นเหมอื นกนั หรอื ไม่
ความยดื หยุ่น หมายถงึ สมบตั ขิ องวสั ดุทถ่ี ูกแรงกระทาแลว้ สามารถเปลย่ี นรูปร่างหรอื ขนาดของวสั ดุ และเมอ่ื เรา
หยุดออกแรงกระทาวสั ดุนนั้ จะกลบั คืนสู่สภาพเดมิ เช่น ถงุ มอื ยางยางยดื ฟองนา้ สว่ นวสั ดุทเ่ี มอ่ื หยุดออกแรง
กระทาแลว้ ไมส่ ามารถกลบั คืนสู่สภาพเดมิ แสดงว่าวสั ดุไมม่ คี วามยดื หยุ่น หรอื หมดสภาพยดื หยุ่น เช่น ดนิ นา้ มนั
ไม้ แผ่นพลาสตกิ กระดาษ เรานาสมบตั คิ วามยดื หยุ่นของวสั ดุมาใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั เช่น ยางรดั ผม ยางยดื ทา
ขอบกางเกง เสน้ เอน็ ทาไมแ้ บดมนิ ตนั หรอื ไมเ้ทนนิส

การนาความรอ้ นของวสั ดุ
ความรอ้ นเป็นพลงั งานรูปหน่ึง ทส่ี ามารถถ่ายโอนผ่านตวั กลางจากบรเิ วณทม่ี อี ณุ หภูมิ

สูงหรอื บรเิ วณทร่ี อ้ นไปยงั บรเิ วณทม่ี อี ณุ หภมู ติ า่ หรอื บรเิ วณทเ่ี ยน็ กวา่ ซง่ึ การถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ นผ่าน
ตวั กลางน้ีเรยี กวา่ การนาความรอ้ น นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดน้ าความรูเ้ก่ียวกบั การนาความรอ้ นมาประดษิ ฐเ์ คร่อื งมอื
และเครอ่ื งใชอ้ ย่างหลากหลาย โดยวสั ดุแต่ละประเภทท่ีนามาใชเ้ป็นตวั กลาง จะมกี ารยาความรอ้ นทแ่ี ตกต่างกนั

การนาความรอ้ น หมายถงึ สมบตั ขิ องวสั ดุในการถ่ายโอนความรอ้ นผ่านตวั กลาง
ซง่ึ วสั ดุส่วนใหญ่เป็นของแขง็ โดยการถ่ายโอนความรอ้ นจะเกิดข้นึ จากบรเิ วณทม่ี อี ณุ หภมู สิ ูงไปยงั บรเิ วณทม่ี ี
อณุ หภูมติ า่ กวา่ วสั ดุทส่ี ามารถนาความรอ้ นไดด้ เี รยี กวา่ ตวั นาความรอ้ น เช่น เหลก็ อะลูมเิ นียม ทองแดง จาก
สมบตั กิ ารนาความรอ้ นทด่ี นี น้ั จงึ ถูกนามาใชส้ รา้ งเคร่อื งมอื อานวยความสะดวกหลายชนิด เช่น หมอ้ หงุ ขา้ ว กระทะ
เตารดี นอกจากน้ียงั มวี สั ดุทน่ี าความรอ้ นไดไ้ มด่ หี รอื นาความรอ้ นไมไ่ ด้ เรยี กว่า ฉนวนความรอ้ น จะถกู นามาใช้
ประโยชนเ์ พอ่ื ไมใ่ หเ้กดิ การถ่ายโอนความรอ้ นมายงั ผูใ้ ชง้ าน เช่น พลาสตกิ นามาทาเป็นหูหมอ้ หรอื ดา้ มจบั กระทะ

การถ่ายโอนความรอ้ น

เป็นการถา่ ยเทพลงั งานความรอ้ นระหวา่ ง 2 บรเิ วณทม่ี อี ณุ หภมู แิ ตกต่างกนั วธิ ีการถา่ ย
โอนความรอ้ นแบ่งออกเป็น 3 วธิ ดี งั น้ี
1. การนาความรอ้ น เป็นวธิ กี ารถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ น โดยพลงั งานความรอ้ นเคลอ่ื นทเ่ี ขา้ ไป
ในตวั กลางหรอื วตั ถจุ ากบรเิ วณทม่ี อี ณุ หภมู สิ ูงไปยงั บรเิ วณอณุ หภมู ิตา่ โลหะนาความรอ้ นไดด้ ี
สว่ นอโลหะและอากาศนาความรอ้ นไดไ้ ม่ดี
2. การพาความรอ้ น เป็นวธิ กี ารถา่ ยโอนพลงั งานความรอ้ น โดยพลงั งานความรอ้ นเคลอ่ื นทไ่ี ป
พรอ้ มกบั ตวั กลางหรอื วตั ถุ ของเหลวและแกส๊ จะพาความรอ้ นไดด้ เี น่อื งจากเคลอ่ื นทไ่ี ด้
3. การแผ่รงั สคี วามรอ้ น เป็นวธิ กี ารถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ นไดท้ กุ ทศิ ทาง โดยไมต่ อ้ งอาศยั
ตวั กลางในการถา่ ยโอนพลงั งาน ดงั นนั้ การแผ่รงั สคี วามรอ้ นจงึ สามารถถ่ายเทพลงั งานความรอ้ น
ผ่านอวกาศได้ เช่น การแผ่รงั สคี วามรอ้ นจากดวงอาทติ ยม์ ายงั โลก การอยู่ใกลก้ องไฟ

การนาไฟฟ้ าของวสั ดุ

ไฟฟ้าเป็นพลงั งานรูปหนง่ึ และเป็นสมบตั ทิ างกายภาพของวสั ดทุ ย่ี อมใหป้ ระจไุ ฟฟ้า
ไหลผ่านได้ นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดน้ าความรูเ้ร่อื งการนาไฟฟ้าของวสั ดมุ าประดษิ ฐเ์ คร่อื งมอื
และเครอ่ื งใชอ้ ย่างหลากหลาย และวสั ดชุ นดิ ต่าง ๆ จะมกี ารนาไฟฟ้าไดไ้ มเ่ ท่ากนั

การนาไฟฟ้า หมายถงึ สมบตั ขิ องวสั ดทุ ย่ี อมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เรยี ก วสั ดปุ ระเภทน้วี า่
ตวั นาไฟฟ้า ส่วนใหญ่เป็นโลหะ เช่น ทองแดง เงนิ เหลก็ และอะลมู เิ นยี ม นอกจากน้ยี งั มวี สั ดทุ เ่ี ป็น
อโลหะบางชนดิ ทส่ี ามารถนาไดเ้ช่นกนั เช่น ไสด้ นิ สอ สว่ นวสั ดทุ ก่ี ระแสไฟฟ้าไหลผ่านไดน้ อ้ ยหรือไหล
ผ่านไมไ่ ด้ เรยี กวา่ ฉนวนไฟฟ้า เช่น ผา้ กระดาษ พลาสตกิ ไม้ แกว้ และยาง

สถานะของสาร

สสาร คอื วตั ถตุ ่าง ๆ ทอ่ี ยู่รอบตวั เรา สสารมมี วล ตอ้ งการทอ่ี ยู่ และสมั ผสั ไดเ้ช่น
อากาศ แกส๊ ดนิ นา้ หนงั สอื นา้ มนั และแกส๊ หงุ ตม้ แมแ้ ต่ตวั เราเองก็เป็นสสาร ส่วนสาร คือ
เน้อื ของสสาร บางครง้ั อาจใชค้ าวา่ สารแทนสสารได้ นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดจ้ าแนกประเภทของสาร
ตามสถานะออกเป็น 3 ประเภท คอื ของแขง็ ของเหลว และแกส๊ ซง่ึ สารทงั้ 3 สถานะ จะ
ต่างกนั ทก่ี ารเรยี งตวั ของอนุภาค โดยของแขง็ จะมอี นุภาคเรยี งตวั ชดิ กนั และหนาแน่นมากกวา่
ของเหลวและแกส๊ ตามลาดบั

สารทม่ี ีสถานะเป็นของแข็ง
ของแขง็ เป็นสถานะหน่ึงของสาร ซง่ึ จะมอี นุภาคเลก็ ๆ อยู่ชดิ กนั และเรยี งตวั กนั
อย่างหนาแน่น และไมส่ ามารถเปล่ยี นรูปร่างตามภาชนะทบ่ี รรจุได้ จงึ มรี ูปร่างลกั ษณะเป็นกอ้ นทา
ใหส้ ามารถหยบิ จบั ได้ สารท่เี ป็นของแขง็ จะมมี วล มตี วั ตน และสมั ผสั ได้ ของแขง็ มรี ูปร่างคงท่ไี ม่
เปล่ยี นแปลงตามรูปร่างของภาชนะ นอกจากน้ขี องแขง็ ยงั ตอ้ งการทอ่ี ยู่ เช่น ถา้ เอากอ้ นหนิ ใส่ใน
กล่องกระดาษใบหน่ึงทลี ะกอ้ น ในท่สี ดุ กอ้ นหนิ จะเตม็ กลอ่ ง ไม่สามารถใส่กอ้ นหนิ ไดอ้ กี เพราะ
กอ้ นหนิ ตอ้ งการทอ่ี ยูก่ ล่องจงึ เตม็ ส่วนปริมาตรของของแขง็ จะคงทไ่ี ม่ข้นึ อยูก่ บั ขนาดของภาชนะท่ี
บรรจุ การหาปรมิ าตรของวตั ถทุ เ่ี ป็นของแขง็ ซง่ึ มรี ูปทรงเรขาคณิต เช่น สเ่ี หลย่ี ม ทรงกลม
ทรงกระบอกสามเหล่ยี ม สามารถคานวณไดจ้ ากสูตรการหาปรมิ าตรแต่ถา้ วตั ถนุ นั้ มรี ูปทรงไม่เป็น
เรขาคณิตจะหาปริมาตรไดโ้ ดยการนาไปแทนท่นี า้ ในถว้ ยยูเรกา้ โดยปริมาตรนา้ ท่ลี น้ ออกมาจะ
เท่ากบั ปริมาตรของวตั ถตุ วั อย่างของแขง็ เช่น กอ้ นหนิ ชอ้ นเหลก็ แทง่ ไมถ้ ว้ ยพลาสตกิ

สารทม่ี ีสถานะเป็นของเหลว
ของเหลว เป็นสถานะหน่ึงของสารซง่ึ จะมอี นุภาคเลก็ ๆ อยูช่ ดิ กนั และเรียงตวั กนั
อยา่ งหนาแน่น แตน่ อ้ ยกว่าของแขง็ และสามารถเปล่ยี นรูปร่างไดต้ ามภาชนะท่บี รรจุจึงมี
สมบตั เิ ป็นของไหลสารทเ่ี ป็นของเหลวจะมอี นุภาคอยู่ชดิ กนั แตจ่ ะห่างกนั มากกว่าของแขง็
ของเหลวมปี ริมาตรท่แี น่นอน แต่มรี ูปร่างไมแ่ น่นอนเปลย่ี นไปตามภาชนะท่บี รรจุและการ
วดั ปริมาตรของของเหลวสามารถวดั ไดโ้ ดยใชก้ ระบอกตวง ของเหลวทเ่ี ราพบเหน็ ใน

ชีวติ ประจาวนั เช่น นา้ แอลกอฮอลแ์ ละนา้ มนั เช้อื เพลงิ

สารทม่ี สี ถานะเป็นแกส๊
แกส๊ เป็นสถานะหน่ึงของสารมอี นุภาคเรียงตวั อยู่หา่ งกนั มาก จงึ มคี วามหนาแน่น
นอ้ ยกว่าของแขง็ และของเหลว ทาใหอ้ นุภาคเคล่อื นทไ่ี ดม้ าก และสามารถไหลไดด้ งั นนั้ แกส๊ จงึ มี
รูปร่างและปริมาตรไมค่ งท่ี โดยเปลย่ี นไปตามภาชนะทบ่ี รรจุ สารท่เี ป็นแกส๊ จะมรี ูปร่างไมค่ งท่แี ละ
เปลย่ี นไปตามภาชนะทบ่ี รรจุ เช่น เมอ่ื บรรจแุ กส๊ ในภาชนะทรงกลม แกส๊ กจ็ ะมรี ูปร่างเป็นทรงกลม
เน่ืองจากแกส๊ มแี รงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาคนอ้ ยมาก จงึ ทาใหอ้ นุภาคของแกส๊ สามารถเคล่อื นท่ี
หรอื แพร่กระจายเตม็ ภาชนะท่บี รรจุ ดงั นน้ั ถา้ เราสงั เกตแกว้ นา้ เปลา่ จะมองไม่เหน็ อะไร ซง่ึ ความ
จรงิ แลว้ จะมอี ากาศหรอื แกส๊ อยูภ่ ายใน ซง่ึ สามารถทดสอบไดโ้ ดยใสก่ ระดาษลงในแกว้ เปลา่ แลว้
ควา่ แกว้ ลงในนา้ และกดแกว้ ลงไปในนา้ เมอ่ื ยกแกว้ ข้นึ จะสงั เกตวา่ กระดาษจะไมเ่ ปียกนา้ เพราะนา้
เขา้ ไปในแกว้ ไม่ได้ หรอื แกส๊ ท่บี รรจอุ ยูใ่ นลูกโป่ง เมอ่ื ปล่อยอากาศออกจากลูกโป่ง มอื ของเราจะ
สามารถสมั ผสั แกส๊ ไดเ้ช่นเดยี วกนั ตวั อยา่ งสารทม่ี สี ถานะเป็นแกส๊ เชน่ อากาศ ซ่งึ มแี กส๊

ไนโตรเจนเป็นสว่ นใหญ่ รองลงมา คือ แกส๊ ออกซเิ จน

สรุปความรูว้ ทิ ยาศาสตร์

ชน้ั ประถมศึกษาปี ท่ี 4
เร่อื ง ระบบสรุ ยิ ะและปรากฏการณ์ดวงจนั ทร์

ดวงจนั ทร์

ดวงจนั ทรเ์ ป็นดาวบรวิ ารของโลกจะโคจรรอบโลกและดวงอาทติ ย์ แต่ดวงจนั ทรท์ ม่ี องเหน็ จะ
มรี ูปร่างปรากฏแตกต่างกนั ไปในแต่ละคนื

ดวงจนั ทรม์ ลี กั ษณะเป็นทรงกลม ดวงจนั ทรไ์ มม่ แี สงสวา่ งในตวั เอง แสงสวา่ งทม่ี องเหน็
เป็นการสะทอ้ นแสงมาจากดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทรจ์ ะข้นึ ทางขอบฟ้าทศิ ตะวนั ออกและจะตกลบั
ขอบฟ้าทางทศิ ตะวนั ตก วนั ทด่ี วงจนั ทรส์ วา่ งเตม็ ดวงเรยี กวา่ คนื จนั ทรเ์ พญ็ ในวนั ถดั ไป
รูปร่างปรากฏของดวงจนั ทรจ์ ะเปลย่ี นไป โดยสว่ นสวา่ งจะลดลงเร่อื ยๆ แต่ส่วนมดื จะเพม่ิ ข้นึ
จนมองไม่เหน็ ดวงจนั ทร์ เรยี กวา่ คนื จนั ทรด์ บั หลงั จากนน้ั จะเร่มิ เห็นดวงจนั ทรม์ ลี กั ษณะ
เป็นเส้ยี วจากเลก็ ไปจนถงึ เหน็ เต็มดวง ปรากฏการณด์ งั กลา่ วเรยี กวา่ วฏั จกั รของดวงจนั ทร์

ระบบสรุ ยิ ะ

ระบบสรุ ิยะเป็นระบบทป่ี ระกอบดว้ ยดวงอาทติ ยเ์ ป็นศูนยก์ ลาง และมดี าวเคราะห์
8 ดวง เรยี งลาดบั จากทอ่ี ยู่ใกลด้ วงอาทติ ยไ์ ปยงั ดาวทอ่ี ยู่ไกลจากดวงอาทติ ยม์ ากทส่ี ดุ คอื
ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวองั คาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนสั และดาวเนปจนู
นอกจากน้รี ะบบสรุ ยิ ะยงั มดี าวเคราะหน์ อ้ ย ดาวหาง หรอื อาจเรยี กวา่ ดาวตก หรอื ผพี งุ่ ไต้
และยงั มดี วงจนั ทรท์ เ่ี ป็นบริวารของดาวเคราะหต์ ่างๆ โคจรรอบดวงอาทติ ย์

ดวงอาทติ ย์ (Sun)

ดวงอาทติ ยเ์ ป็นศูนยก์ ลางของระบบสรุ ยิ ะจกั รวาล อยู่หา่ งจากโลกเป็นระยะทางประมาณ 93 ลา้ น
ไมล์ และมขี นาดใหญ่กวา่ โลกมากกวา่ 1 ลา้ นเทา่ มขี นาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางยาวกวา่ โลก 100 เท่า ดวง
อาทติ ยเ์ ป็นดาวฤกษท์ ม่ี แี สงสวา่ งในตวั เอง ซง่ึ เป็นแหลง่ พลงั งานทส่ี าคญั ของโลก อณุ หภมู ขิ องดวงอาทติ ย์
อยู่ระหวา่ ง 5,500 - 6,100 องศาเซลเซยี ส พลงั งานของดวงอาทติ ยท์ ง้ั หมดเกดิ จากกา๊ ซไฮโดรเจน โดย
พลงั งานดงั กลา่ วเกดิ จากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รภ์ ายใตส้ ภาพความกดดนั สูงของดวงอาทติ ย์ ทาใหอ้ ะตอมของ
ไฮโดรเจนซง่ึ มอี ยู่มากบนดวงอาทติ ยท์ าปฏกิ ริ ยิ าเปลย่ี นเป็นฮเี ลยี ม ซง่ึ จะส่งผ่านพลงั งานดงั กลา่ วมาถงึ
โลกไดเ้พยี ง 1 ใน 200 ลา้ นของพลงั งานทงั้ หมด

นอกจากนน้ั บนพ้นื ผิวของดวงอาทติ ยย์ งั เกดิ ปรากฏการณต์ ่างๆ เช่น การเปลย่ี นแปลงของ
พลงั งานความรอ้ นบนดวงอาทติ ยอ์ นั เน่อื งมาจากจดุ ดบั บนดวงอาทติ ย์ (Sunspot) ซง่ึ จะส่งผลใหเ้กดิ การ
แปรผนั ของพายุแม่เหลก็ และพลงั งานความรอ้ น ทาใหอ้ นุภาคโปรตรอนและอเิ ลก็ ตรอนหลดุ จากพ้นื ผวิ
ดวงอาทติ ยส์ ูห่ ว้ งอวกาศ เรยี กวา่ ลมสรุ ยิ ะ (Solar Wind) และแสงเหนอื และใต้ (Aurora) เป็น
ปรากฏการณท์ ข่ี วั้ โลกเหนอื และขว้ั โลกใต้

การเกดิ จดุ ดบั บนดวงอาทติ ย์ (Sunspot) บางครง้ั เราสามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ และจะเหน็
ไดช้ ดั เจนเวลาดวงอาทติ ยใ์ กลต้ กดนิ จดุ ดบั ของดวงอาทติ ยจ์ ะอยู่ประมาณ 30 องศาเหนอื และ ใต้ จาก
เสน้ ศูนยส์ ูตร ทเ่ี หน็ เป็นจดุ สดี าบรเิ วณดวงอาทติ ยเ์ น่อื งจากเป็นจดุ ทม่ี แี สงสวา่ งนอ้ ย มอี ณุ หภูมปิ ระมาณ
4,500 องศาเซลเซยี ส ตา่ กวา่ บรเิ วณโดยรอบประมาณ 2,800 องศาเซลเซยี ส นกั วทิ ยาศาสตรส์ นั นษิ ฐานวา่
ก่อนเกดิ จดุ ดบั บนดวงอาทติ ยน์ น้ั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากอานาจแม่เหลก็ ไฟฟ้าบรเิ วณพ้นื ผวิ ดวงอาทติ ยม์ กี าร
เปลย่ี นแปลง ทาใหอ้ ณุ หภมู บิ รเิ วณดงั กลา่ วตา่ กวา่ บรเิ วณอน่ื ๆ และเกดิ เป็นจดุ ดบั บนดวงอาทติ ย์

แสงเหนอื และแสงใต(้ Aurora) เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ บรเิ วณขวั้ โลกเหนือ และขวั้ โลกใต้ มี
ลกั ษณะเป็นลาแสงทม่ี วี งโคง้ เป็นม่าน หรอื เป็นแผ่น เกดิ เหนอื พ้นื โลกประมาณ 100 - 300 กโิ ลเมตร ณ
ระดบั ความสูงดงั กลา่ วกา๊ ซต่างๆ จะเกดิ การแตกตวั เป็นอนุภาคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟ้า และเมอ่ื ถกู แสงอาทติ ยจ์ ะ
เกดิ ปฏกิ รยิ าทซ่ี บั ซอ้ นทาใหม้ องเหน็ แสงตกกระทบเป็นแสงสแี ดง สเี ขยี ว หรอื สขี าว บรเิ วณขวั้ โลกทง้ั สอง
มแี นวทเ่ี กดิ แสงเหนอื และแสงใตบ้ อ่ ย เราเรยี กวา่ "เขตออโรรา" (Aurora Zone)

ดาวพธุ (Mercury)
ดาวพธุ เป็นดาวเคราะหท์ อ่ี ยู่ใกลก้ บั ดวงอาทติ ยม์ าก
ทส่ี ดุ สงั เกตเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ ไดต้ อนใกลค้ า่ และ ช่วงร่งุ เชา้
ดาวพธุ ไมม่ ดี วงจนั ทรเ์ ป็นดาวบรวิ าร ดาวพธุ หมนุ รอบตวั เอง
จากทศิ ตะวนั ตกไปยงั ทศิ ตะวนั ออกกนิ เวลา ประมาณ 58 -
59 วนั และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้วลา 88 วนั

ดาวศกุ ร์ (Venus)
ดาวศกุ รส์ งั เกตเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ โดยสามารถมองเหน็ ไดท้ าง
ขอบฟ้าดา้ นทศิ ตะวนั ตกในเวลาใกลค้ า่ เราเรยี กวา่ "ดาวประจาเมอื ง"
(Evening Star) สว่ นช่วงเชา้ มดื ปรากฏใหเ้หน็ ทางขอบฟ้าดา้ นทศิ
ตะวนั ออกเรยี กวา่ "ดาวร่งุ " (Morning Star) เรามกั สงั เกตเหน็ ดาวศกุ ร์
มแี สงส่องสวา่ งมากเน่อื งจาก ดาวศกุ รม์ ชี น้ั บรรยากาศทป่ี ระกอบไปดว้ ย
กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ มผี ลทาใหอ้ ณุ หภมู พิ ้นื ผวิ สูงข้นึ ดาวศุกร์
หมนุ รอบตวั เองจากทศิ ตะวนั ออกไปยงั ทศิ ตะวนั ตก ไม่มดี วงจนั ทรเ์ ป็น
ดาวบรวิ าร

โลก (Earth)
โลกเป็นดาวเคราะหด์ วงเดยี วทม่ี สี ง่ิ มชี วี ติ อาศยั อยู่
เน่อื งจากมชี น้ั บรรยากาศและมรี ะยะห่าง จากดวงอาทติ ยท์ เ่ี หมาะสม
ต่อการเจรญิ เตบิ โตและการดารงชวี ติ ของสง่ิ มชี วี ติ นกั ดาราศาสตร์
อธบิ ายเก่ยี วกบั การเกดิ โลกวา่ โลกเกดิ จากการรวมตวั ของกลมุ่ กา๊ ซ
และมกี ารเคลอ่ื นทสี ลบั ซบั ซอ้ นมาก

ดาวองั คาร (Mars)
ดาวองั คารอยู่หา่ งจากโลกของเราเพยี ง 35 ลา้ นไมล์ และ 234
ลา้ นไมล์ เนอ่ื งจากมวี งโคจรรอบดวง อาทติ ยเ์ ป็นวงรี พ้นื ผวิ ดาวองั คาร
มปี รากฏการณเ์ มฆและพายฝุ ่นุ เสมอ เป็นทน่ี ่าสนใจในการศกึ ษาของ
นกั วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นอย่างมาก เนอ่ื งจากมลี กั ษณะและองคป์ ระกอบท่ี
ใกลเ้คยี งกบั โลก เช่น มรี ะยะเวลาในการหมนุ รอบตวั เอง 1 วนั เท่ากบั
24.6 ชวั่ โมง และระยะเวลาใน 1 ปี เมอ่ื เทยี บกบั โลกเท่ากบั 1.9 มกี าร
เอยี งของแกน 25 องศา ดาวองั คารมดี วงจนั ทรเ์ ป็นบรวิ าร 2 ดวง

ดาวพฤหสั บดี (Jupiter)
ดาวพฤหสั บดเี ป็นดาวเคราะหท์ ใ่ี หญ่ทส่ี ุดในระบบสรุ ยิ ะจกั รวาล
หมนุ รอบตวั เอง 1 รอบใชเ้ วลา 9.8 ชวั่ โมง ซง่ึ เร็วทส่ี ดุ ในบรรดาดาว
เคราะหท์ งั้ หลาย และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้วลา12 ปี นกั ดารา
ศาสตรอ์ ธิบายวา่ ดาวพฤหสั เป็นกลมุ่ กอ้ นกา๊ ซหรอื ของเหลวขนาดใหญ่ ท่ี
ไม่มสี ่วนทเ่ี ป็นของแขง็ เหมอื นโลก และเป็นดาวเคราะหท์ ม่ี ดี วงจนั ทรเ์ ป็น
ดาวบรวิ ารมากถงึ 16 ดวง

ดาวเสาร์ (Saturn)
ดาวเสารเ์ ป็นดาวเคราะหท์ เ่ี ราสามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เป็น
ดาวทป่ี ระกอบไปดว้ ยกา๊ ซและของ เหลวสคี ่อนขา้ งเหลอื ง หมนุ รอบตวั เอง
1 รอบใชเ้วลา 10.2 ชวั่ โมง และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบใชเ้วลา 29 ปี
ลกั ษณะเด่นของดาวเสาร์ คอื มวี งแหวนลอ้ มรอบ ซง่ึ วงแหวนดงั กลา่ วเป็น
อนุภาคเลก็ ๆ หลายชนดิ ทห่ี มนุ รอบดาวเสารม์ วี งแหวนจานวน 3 ชน้ั ดาว
เสารม์ ดี วงจนั ทรเ์ ป็นดาวบรวิ าร 1 ดวง และมดี วงจนั ทรด์ วงหน่งึ ช่อื Titan
ซง่ึ ถอื วา่ เป็นดวงจนั ทรท์ ใ่ี หญ่ทส่ี ุดในระบบสรุ ยิ ะจกั รวาล

ดาวยูเรนสั (Uranus)
ดาวยูเรนสั หมนุ รอบตวั เอง 1 รอบ ใชเ้วลา 16.8 ชวั่ โมง และโคจรรอบ
ดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้วลา 84 ปี ดาวยูเรนสั ประกอบดว้ ยกา๊ ซและของเหลว
เช่นเดยี วกบั ดาวพฤหสั และดาวเสาร์ 4.8 ดาวเนปจูน (Neptune) เป็นดาว
เคราะหท์ ม่ี รี ะยะเวลาในการหมนุ รอบตวั เอง 1 รอบ เท่ากบั 17.8 ชวั่ โมง และ
ระยะ เวลาในการโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ เทา่ กบั 165 ปี มดี วงจนั ทรเ์ ป็น
ดาวบรวิ าร 2 ดวง

ดาวเนปจนู
ดาวเนปจูนเป็ นดาวเคราะห์นา้ แข็งยักษ์ ( (Ice Giant
Planet) ห่างจากดวงอาทติ ย์เป็นอนั ดบั ท่ี 8 มรี ะยะทางประมาณ 4.5
พนั ลา้ นกโิ ลเมตร เท่ากบั ไกลจาก ดวงอาทติ ยร์ าว 30 เท่า เมอ่ื เทยี บกบั
ระยะของโลก (Earth) จากดวงอาทติ ยห์ รอื ตอ้ งใชเ้ วลาเกอื บ 165 ปี ใน
การโคจรหน่งึ รอบของดวงอาทติ ย์ ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะหด์ วงแรกท่ี
อาศยั การคาดการณค์ ณิตศาสตรม์ ากกวา่ การสงั เกตการณ์ทอ้ งฟ้า เพราะ
มรี ะยะทางทไ่ี กลและมดื มาก

ในทกุ ๆ คนื จะมดี าวตก หรอื ท่เี รยี กวา่ ผพี ่งุ ไตต้ กลงมา บางคนื อาจพบหลายดวง
ทต่ี กลงมา อาจพบเหน็ ในระยะเวลาทห่ี ่างกนั แต่บางช่วงเวลาเดยี วกนั ของปีจะตกหนาแน่น
มาก ซง่ึ เรยี กวา่ ฝนดาวตก ดาวตกเป็นวตั ถบุ นทอ้ งฟ้า ทเ่ี กดิ จากเศษหนิ หรอื เศษช้นิ ส่วน
ขนาดเลก็ ของดาวหาง เรยี กวา่ อกุ กาบาต เมอ่ื โคจรเขา้ ใกลบ้ รรยากาศของโลกจะถกู โลก
ดงึ ดดู ตกลงมา สะเก็ดดาวเหลา่ น้จี ะสมั ผสั แกส๊ ออกซเิ จนในบรรยากาศเกดิ การลกุ ไหมเ้รา
จงึ เหน็ เป็นลาแสงพงุ่ ตกลงมา

นกั ดาราศาสตรไ์ ดแ้ บ่ง
8 ดวง ดงั

1. แบง่ ตามวงโคจร

1.1 ดาวเคราะหช์ น้ั ใน หมายถงึ 1.2 ดาวเคราะหช์ นั้ นอก หมายถงึ 2.1 ด
ดาวเคราะหท์ ่อี ยูก่ ่อนแถบดาว ดาวเคราะหท์ ่อี ยูห่ ลงั แถบดาว ไดแ้ ก
เคราะหน์ อ้ ย ไดแ้ ก่ ดาวพธุ ดาว เคราะหน์ อ้ ย ไดแ้ ก่ ดาวพฤหสั บดี และด
ศุกรโ์ ลก และดาวองั คาร ดาวเสารด์ าวยูเรนสั และดาว
เนปจูน

งดาวเคราะหท์ ง้ั
งน้ี

2. แบ่งตามลกั ษณะ
องคป์ ระกอบ

ดาวเคราะหก์ อ้ นหนิ 2.2 ดาวเคราะหย์ กั ษแ์ กส๊ 2.3 ดาวเคราะหย์ กั ษ์
ก่ ดาวพธุ ดาวศุกรโ์ ลก ไดแ้ ก่ ดาวพฤหสั บดแี ละดาว นา้ แขง็ ไดแ้ ก่ ดาวยูเรนสั
ดาวองั คาร เสาร์ และดาวเนปจูน



สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่5

เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม

โครงสร้างและลักษณะของสิ่งมีชีวิต
โลกของเราแต่ละบริเวณนั้นมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น บริเวณขั้วโลกมีสภาพอากาศ

หนาวเย็น บริเวณทะเลทรายมีความแห้งแล้ง สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืชและสัตว์จึงมีโครงสร้างและ
ลักษณะที่แตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆ อาศัยอยู่เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและ
อยู่รอดได้
 การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต
             การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะอยู่รอดหรือจะสูญพันธุ์ไปในที่สุดหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
การหาอาหาร การล่าเหยื่อ การต่อสู้หรือหลบหนีผู้ล่า การสืบพันธุ์ การเติบโต เป็นต้น ดังนั้นสิ่งมี
ชีวิตจึงต้องปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนรูปร่าง ลักษณะ พฤติกรรม ฯลฯ เพื่อให้อยู่รอด ดังนี้

การปรับตัวด้านรูปร่าง ลักษณะ หน้าที่ เป็นการปรับเปลี่ยนรูปร่าง โครงสร้างภายในหรือภายนอกร่างกาย
สีผิว สีขน ฯลฯ ให้เหมาะสมกับแหล่งที่อยู่หรือสิ่งแวดล้อมนั้นๆ เพื่อหาอาหาร หลบภัย สืบพันธุ์ เป็นต้น 

การปรับตัวด้านรูปร่างลักษณะของพืช เช่น

ผักตบชวา ต้นโกงกาง
เป็นพืชที่มีโคนก้านพองออก เป็นพืชที่ขึ้นอยู่ตามป่าชายเลน มีราก
ภายในมีโพรงอากาศมาก ทำให้ ค้ำจุนแตกแขนงทำมุมเกือบตั้งฉากกับ
ลำต้นมีน้ำหนักเบาและลอยน้ำได้ ลำต้น ช่วยพยุงลำต้นไม่ให้ล้มเมื่อน้ำ
ทะเลขึ้นลง รากบางส่วนโผล่มาจากดิน
ผักกระเฉด
มีการปรับตัวให้ลอยอยู่เหนือ เพื่อหายใจขณะน้ำทะเลท่วมดิน
ผิวน้ำ โดยทำให้มีนวมสีขาว
ลักษณะคล้ายฟองน้ำหุ้มเอาไว้

การปรับตัวด้านรูปร่างลักษณะของสัตว์ เช่น

อูฐ

 มีขนตายาวหนาเมื่อหลับตาจะปิดสนิท

มิให้ทรายเข้าตาเวลามีพายุทราย 

eemp ตั๊กแตนกิ่งไม้ มีสีและรูปร่างเหมือน

ใบไม้ เพื่อซ่อนตัวจากผู้ล่า

ลา• กบ
เป็นสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก มีขาหลังยาว

และแข็งแรง กระโดดได้สูง ทำให้
เคลื่อนที่ไปตามดินโคลนได้สะดวก เท้า

เป็นพังผืดทำให้ว่ายน้ำได้คล่อง

นกฮูก 
มีลายและสีขนคล้าย
เปลือกไม้ เพื่อซ่อนตัว

เวลาออกล่าเหยื่อ

'

สัตว์หลายชนิด เช่น ตุ๊กแกหางใบไม้ กบหรือกิ้งก่าบางชนิด มีรูปร่าง สี
ผิวและลวดลายคล้ายกิ่งไม้ เพื่อหาอาหารและหลบผู้ล่าซึ่งถือเป็นการแสดง
พฤติกรรมการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด ก็คือ การพรางตัว นั่นเอง

ฉ๊ื

สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ



สิ่งแวดล้อม (environment) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต มีอิทธิพล
เกี่ยวโยงถึงกันเป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกัน และกัน

ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทำลายอีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อม
เป็นวงจร และวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ
สิ่งแวดล้อมแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
- สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต เช่น อากาศ ดิน ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ มหาสมุทร
- สิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต เช่น มนุษย์ สัตว์ ป่าไม้ พืชพรรณต่าง ๆ

ระบบนิเวศ (ecosystem) หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัย อยู่ร่วมกัน
ในบริเวณนั้น และความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อมของ แหล่งที่อยู่ ได้แก่ ดิน น้ำ
และแสง ในระบบนิเวศจะมีการถ่ายทอดพลังงานระหว่าง กลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่าง ๆ และมีการหมุนเวียน
สารต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมสู่สิ่งมีชีวิตและ จากสิ่งมีชีวิตสู่สิ่งแวดล้อม

ส๋ิ

ห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ (Food chain)
เมื่อสิ่งมีชีวิตหนึ่งกินสิ่งมีชีวิตหนึ่งเป็นอาหารแล้ว ก็อาจถูกสัตว์อื่นๆ กินเป็นอาหารต่อไปอีก ทำให้

เกิดการถ่ายทอดพลังงาน จากธาตุอาหาร ผ่านจากชีวิตหนึ่ง ไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง การถ่ายทอดนี้ก็คือ ระบบของ
ห่วงโซ่อาหาร ที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดพลังงาน และการหมุนเวียนธาตุอาหาร ไปตาม
ลำดับ ขั้นตอนของการบริโภค
ห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศนั้นแบ่งออกได้เป็น ๓ รูปแบบด้วยกัน คือ
1.โซ่อาหารแบบการล่าเหยื่อ เป็นขั้นตอนของโซ่อาหารจากพืชต่ำสุด และจากสัตว์เล็กไปยังสัตว์ที่ใหญ่กว่า
เป็นลักษณะของผู้บริโภคที่เป็นสัตว์กินเหยื่อแบบกัดกิน หรือฆ่ากิน ซึ่งผู้ล่าจะมีขนาดใหญ่กว่าเหยื่อเสมอ และ
หากผู้ล่าเหยื่อมีขนาดเล็กกว่า เหยื่อก็จะมีเขี้ยวเล็บแหลมคม ที่ช่วยให้มีความสามารถในการตะปบ กัด หรือ
ออกล่าเหยื่อเป็นกลุ่ม
2.โซ่อาหารแบบปรสิต เป็นโซ่อาหาร ที่เริ่มต้นจากสัตว์ใหญ่ไปหาสัตว์เล็กตามลำดับ
3.โซ่อาหารแบบซากอินทรีย์ เป็นโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากซากชีวิตที่ตายแล้ว ไปยังสิ่งมีชีวิตเล็กๆ

แต่เนื่องจากในระบบของห่วงโซ่อาหาร ในระบบของการถ่ายทอด จะถ่ายทอดโดยตรง จากชีวิตหนึ่งไป
สู่อีกชีวิตหนึ่ง เนื่องจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งอาจกินอาหารหลายชนิด หลายระดับ และเหยื่อชนิดเดียวกัน ก็อาจถูกสิ่ง
มีชีวิตหลายชนิดกิน จนไม่อยู่ในลำดับ และขั้นตอนของห่วงโซ่อาหาร ลักษณะดังกล่าว โดยที่ได้เกิดความซับ
ซ้อนกันในระบบของห่วงโซ่อาหาร ซึ่งเรียกว่า สายใยของห่วงโซ่อาหาร (Food web) ซึ่งสายใยของห่วงโซ่
อาหาร จะประกอบด้วย ห่วงโซ่อาหารหลายสายที่เชื่อมโยงกัน อันแสดงถึงความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนของ
สิ่งมีชีวิต ในชุมชนของระบบนิเวศ ซึ่งยิ่งสายใยของห่วงโซ่อาหารมีความสลับซับซ้อนมากเพียงใด ก็ได้แสดง
ให้เห็นถึงระบบนิเวศ ที่มีระบบความสมดุลสูง

t

X.

การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบันเราทราบดีแล้วว่า สิ่งแวดล้อมของโลกได้ถูกมนุษย์ทำลายลงเป็นอย่างมาก เช่น การ ตัดไม้

ทำลายป่า การกระทำของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก การใช้สารเคมีในการปราบศัตรูพืชมาก
เกินไป ทำให้เกิดผลตามมา เช่น แมลงดื้อยา ดินเสื่อมสภาพ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
ของสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ทุกชนิดบนโลก รวมทั้งมนุษย์ด้วยอย่างแน่นอน
     ดังนั้น เราจึงหันมาให้ความสนใจในการที่จะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ในสภาพที่ดีอย่างยั่งยืนโดย
มีหลักการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน คือ
1) การรักษาสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรและควบคุมการปล่อยของเสียสู่ธรรมชาติ
2) การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นคุณค่า
3) ควบคุมจำนวนประชากร เพื่อลดความต้องการการใช้ทรัพยากรของมนุษย์
4) ลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยใช้วิธีทางธรรมชาติในการกำจัดศัตรูพืชแทน
 

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่5

เรื่อง ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต

การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวน

และดำรงเผ่าพันธุ์ โดยลูกที่เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่
ทำให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น
การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

การสืบพันธุ์ หมายถึง กระบวนการผลิตหรือเกิดหน่วยสิ่งมีชีวิตใหม่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่
สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิตในการดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่สืบไป

การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ
การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์โดยไม่ใช้เซลล์สืบพันธุ์แต่ใช้เซลล์

ร่างกายหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเพื่อการเพิ่มจำนวน ดังนั้นลูกที่เกิดขึ้นจึงมี
ลักษณะ ทุกประการเหมือนกับสิ่งมีชีวิตต้นแบบ

1) การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของพืช เป็นการสืบพันธุ์ของพืชโดยไม่ใช้เซลล์สืบพันธุ์แต่
ใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของ ต้นเดิม ได้แก่ การไหล การแตกหน่อ การเกิดต้นใหม่จากใบ
รากหรือลำต้น อีกทั้งมนุษย์ ยังสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ราก ลำต้น กิ่ง ใบ มา
ทำให้เจริญเป็นต้นใหม่ได้อีกด้วย

2) การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์ เป็นการสืบพันธุ์ของสัตว์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมี
การผสมกันระหว่างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย มักพบในสิ่งมีชีวิตเซลล์
เดียวหรือสัตว์ชั้นต่ำ การสืบพันธุ์แบบ ไม่อาศัยเพศของสัตว์ ได้แก่ การงอกใหม่ การแตก
หน่อ และการแบ่งตัวออกเป็น 2 ส่วน

การแตกหน่อของต้นกล้วย การงอกใหม่ของดาวทะเล

การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ

          การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นกระบวนการสืบพันธุ์โดยอาศัยเซลล์สืบพันธุ์ เพศผู้ (อสุจิ) เข้าไปผสม
กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย (เซลล์ไข่) เรียกว่า การปฏิสนธิ
       การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืช เมื่อพืชมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะเริ่มออกดอก ซึ่งภายในดอกจะ
สร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเกสรเพศผู้จะสร้างเรณูที่ภายในทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ได้ ส่วนเกสรเพศเมีย

จะมีรังไข่ภายในรังไข่จะมีออวุลซึ่งทำหน้าที่เก็บเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย เมื่อเกิดการถ่ายเรณู ไปตกบนยอดเกสร

เพศเมียแล้ว เรณูจะเริ่มงอกหลอดไปตามก้านชูเกสรเพศเมียจนถึงออวุล จากนั้นอสุจิจะเข้าผสมกับเซลล์ไข่ภาย

ในออวุล หลังจากเกิดการปฏิสนธิของสเปิร์มกับเซลล์ไข่แล้ว เซลล์ไข่จะเจริญเป็นเอ็มบริโอ ออวุลพัฒนาไปเป็น

เมล็ด รังไข่เจริญไปเป็นผล เมื่อมีปัจจัยในการงอกที่เหมาะสมเอ็มบริโอ จะงอกออกจากเมล็ดแล้วเจริญเติบโต

เป็นพืชต้นใหม่ พืชต้นใหม่ที่เกิดจากการสืบพันธุ์ แบบอาศัยเพศจะมีลักษณะที่หลากหลายและอาจจะแตกต่าง

ไปจากพืชต้นเดิม
        การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์ สัตว์ต่าง ๆ เมื่อถึงวัยที่เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยจะมีการสืบพันธุ์
โดยสัตว์เพศผู้ จะสร้างอสุจิ ส่วนสัตว์เพศเมียจะสร้างเซลล์ไข่แล้วเกิดการปฏิสนธิพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ ซึ่งจะ

เจริญไปเป็นตัวเต็มวัยต่อไป

น. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืช
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์

ณื

การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์

มนุษย์เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงพันธุ์โดยลูกจะมีลักษณะคล้ายพ่อ
และแม่ เนื่องจากได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมมาจากพ่อและแม่ จึงทำให้มีลักษณะที่เฉพาะแตก
ต่างจากผู้อื่น ลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอด เช่น เชิงผมที่หน้าผาก ลักยิ้ม ลักษณะหนังตา
การห่อลิ้น ลักษณะของติ่งหู สีของตา ลักษณะของเส้นผม
    การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมหรือลักษณะเฉพาะของมนุษย์นั้นจะถ่ายทอดไปทางยีน (gene) ที่อยู่
ในเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งได้ โดยพ่อแม่จะเป็นผู้ถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมต่าง ๆ สู่ลูกผ่านกระบวนการสืบพันธุ์ ลักษณะทางพันธุกรรมในรุ่นลูกอาจมีลักษณะที่คล้ายคลึง
หรือต่างจากพ่อแม่เนื่องจากรูปแบบของยีน และการแสดงออกของยีนแตกต่างกัน ซึ่งบางลักษณะของลูกที่
แตกต่างไปจากพ่อแม่นั้นอาจได้รับการถ่ายทอด มาจากปู่ ย่า ตา ยาย หรือบรรพบุรุษก็เป็นได้

เนื่องจากบางลักษณะอาจจะไม่แสดงออกให้เห็นในรุ่นลูกแต่อาจจะไปแสดงให้เห็นในรุ่นหลาน หรือ รุ่น
ต่อไป นอกจากนี้การแสดงออกของลักษณะต่างๆอาจมีอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอด

ฐ่ั

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่5

เรื่อง สารในชีวิตประจำวัน

สาร และสมบัติของสาร
               สสาร หมายถึง สิ่งที่มีมวล ต้องการที่อยู่ และ สามารถสัมผัสได้โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น
ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯภายในสสารเป็นเนื้อของสสาร เรียกว่า สาร
               สาร คือ สสารที่ทราบสมบัติ หรือ สสารที่จะศึกษา ดังนั้นจึงเป็นสสารที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะมี
สมบัติของสาร 2 ประเภท คือ
- สมบัติกายภาพ หมายถึง สมบัติที่สังเกตได้จากลักษณะภายนอก และ เกี่ยวกับวิธีการทางฟิสิกส์ เช่น
ความหนาแน่น , จุดเดือด , จุดหลอมเหลว
- สมบัติทางเคมี หมายถึง สมบัติที่เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาเคมี เช่น การติดไฟ , การเป็นสนิม , ความ
เป็นกรด - เบส ของสาร

การจำแนกสาร
จะสามารถจำแนกออกเป็น 4 กรณี ได้แก่
1. การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- สถานะที่เป็นของแข็ง ( Solid ) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น
ด่างทับทิม (KMnO4),ทองแดง (Cu)
- สถานะที่เป็นของเหลว ( Liquid ) จะมีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ และมีปริมาตรที่คงที่ ซึ่งอนุภาคภายใน
จะอยู่ชิดกันน้อยกว่าของแข็ง และมีสมบัติเป็นของไหล เช่น น้ำมัน,แอลกอฮอล์,ปรอท(Hg) ฯลฯ
- สถานะที่เป็นแก๊ส (Gas) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรที่ไม่คงที่ โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ
อนุภาคภายในจะอยู่ห่างกันมากที่สุด และมีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม,อากาศ

2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมีสมบัติทางกายภาพของสารที่ได้จากการสังเกตลักษณะความแตกต่าง
ของเนื้อสาร ซึ่งจะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
- สารเนื้อเดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ทำให้สารมี
สมบัติเหมือนกัน
ตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์ , ทองคำ ( Au ) , โลหะบัดกรี
- สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะ
ทำให้สารนั้นมีสมบัติไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย , น้ำคลอง ฯลฯ
3. การละลายน้ำเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
- สารที่ละลายน้ำได้ เช่น เกลือแกง ( NaCl ) , ด่างทับทิม ( KMnO4 ) ฯลฯ
- สารที่ละลายน้ำได้บ้าง เช่น ก๊าซคลอรีน ( Cl2 ) , ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) ฯลฯ
- สารที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ เช่น กำมะถัน ( S8 ) , เหล็ก ( Fe ) ฯลฯ
4. การนำไฟฟ้าเป็นเกณฑ์ จะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- สารที่นำไฟฟ้าได้ เช่น ทองแดง ( Cu ) , น้ำเกลือ ฯลฯ
- สารที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น หินปูน ( CaCO3 ) , ก๊าซออกซิเจน ( O2 )

โดยส่วนมากนักวิทยาศาสตร์จะจำแนกสารโดยใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ดังนี้
สารแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ สารเนื้อเดียว และสารเนื้อผสม
สารเนื้อเดียว
        สารเนื้อเดียว คือ สารที่มองเห็นเป็นเนื้อเดียว และถ้าตรวจสอบสมบัติของสารจะเหมือนกันทุกส่วน
อาจมีองค์ประกอบเดียว หรือหลายองค์ประกอบ แบ่งเป็นสารบริสุทธิ์และสารละลาย

1. สารบริสุทธิ์ เป็นสารที่มีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว ได้แก่ ธาตุและสารประกอบ ซึ่งก็คือ สารที่เกิดจาก
องค์ประกอบมากกว่าหนึ่งชนิด แต่มีอัตราส่วนโดยมวลของสารที่เป็นองค์ประกอบ
- ธาตุ  คือ สารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวกัน เช่น คาร์บอน , กำมะถัน
ซึ่งธาตุแบ่งเป็นโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ   
- สารประกอบ เกิดจากธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกัน โดยมีอัตราส่วนในการร่วมกันคงที่แน่นอน
ได้แก่ กรดน้ำส้ม ( CH3COOH ) , กรดไฮโดรคลอริก ( HCl ) ฯลฯ
2. สารละลาย เป็นของผสมเนื้อเดียว มีอัตราส่วนโดยมวลของสารที่เป็นองค์ประกอบไม่คงที่ องค์ประกอบ
ของสารละลาย มี 2 ส่วน คือ

1. ตัวทำละลาย คือ สารที่มีปริมาณมากที่สุดในสารละลาย (กรณีสถานะองค์ประกอบเหมือนกัน) หรือ
เป็นสารที่มีสถานะเดียวกับสารละลาย (กรณีสถานะองค์ประกอบต่างกัน)

2. ตัวละลาย คือ สารที่มีปริมาณอยู่น้อยในสารละลาย หรือมีสถานะต่างจากสารละลาย เช่น น้ำเกลือ
เป็นสารละลาย ประกอบด้วยน้ำและเกลือ พิจารณา น้ำเกลือ มีสถานะเป็นของเหลว และน้ำก็มีสถานะเป็น
ของเหลว ดังนั้น น้ำจึงเป็นตัวทำละลาย ส่วนเกลือ เป็นของแข็ง จึงเป็นตัวละลาย-อากาศ เป็นสารละลาย
ประกอบด้วย แก๊สไนโตรเจน ประมาณ 78% แก๊สออกซิเจน ประมาณ 21% แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และ
แก๊สเฉื่อย 1%. พิจารณา อากาศมีองค์ประกอบสถานะเดียวกัน คือ แก๊ส จึงต้องดูปริมาณสารที่เป็นองค์
ประกอบ

ดังนั้น แก๊สไนโตรเจน เป็นตัวทำละลาย (มีปริมาณมากกว่า) ส่วนแก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
และแก๊สเฉื่อยเป็นตัวละลายข้อควรทราบตัวทำละลาย จะมีเพียงองค์ประกอบเดียว แต่ตัวละลายสามารถมี
หลายองค์ประกอบสารละลาย คือ ตัวทำละลาย + ตัวละลาย

สารเนื้อผสม

สารเนื้อผสม คือ สารที่มีองค์ประกอบมากกว่าหนึ่งส่วน สารที่มองไม่เป็นเนื้อเดียวหรือองค์ประกอบเดียว
แต่จะสามารถเห็นเป็น 2 องค์ประกอบขึ้นไป
- สารเนื้อผสม แบ่งเป็น คอลลอยด์ และสารแขวนลอย
- สารผสม แบ่งเป็น สารละลาย คอลลอยด์ และสารแขวนลอย
- สารแขวนลอย คือ สารผสมที่ประกอบด้วยสารที่อนุภาคมีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่า เซนติเมตร กระจาย
อยู่ในสารที่เป็นตัวกลางอีกชนิดหนึ่ง เมื่อทิ้งไว้จะตกตะกอน สามารถที่จะแยกอนุภาคในสารแขวนลอยได้
โดยการใช้กระดาษกรอง
- คอลลอยด์ คือ สารผสมที่ประกอบด้วยสารที่อนุภาคมีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง - เซนติเมตร กระจายอยู่
ในสารที่เป็นตัวกลางอีกชนิดหนึ่ง สามารถที่จะแยกอนุภาคในคอลลอยด์ออกจากตัวกลางได้โดยการใช้
กระดาษเซลโลเฟนเท่านั้น ไม่สามารถใช้กระดาษกรองในการแยกอนุภาคได้เนื่องจากอนุภาคของ
คอลลอยด์มีขนาดเล็กกว่ารูของกระดาษกรอง

การเปลี่ยนสถานะของสาร

เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งสมบัติของสารออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สมบัติทาง
กายภาพ และสมบัติทางเคมี ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของสารจึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ( Physical Change ) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ลักษณะของสารเปลี่ยน
แต่องค์ประกอบของสารยังคงเดิม นั่นคือ สารที่เปลี่ยนแปลงนั้นยังคงเป็นสารเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นสารใหม่ และ
การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเปลี่ยนกลับสภาพเดิมได้โดยวิธีง่าย ๆ เช่น น้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอ
น้ำ องค์ประกอบก็ยังเป็น H2O และไอน้ำก็ควบแน่นกลายเป็นน้ำได้โดยวิธีง่าย ๆ
          การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ( Chemical Change ) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีสารใหม่เกิดขึ้น ซึ่งสารใหม่จะ
มีสมบัติต่างไปจากสารเดิมและการทำสารใหม่ให้กลับไปเป็นสารเดิมทำได้ยาก เช่น การเผาแก๊สไฮโดรเจนใน
อากาศ แก๊สไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนเกิดเป็นน้ำซึ่งมีสมบัติต่างจากแก๊สไฮโดรเจนและแก๊ส
ออกซิเจน และเมื่อต้องการทำให้น้ำเปลี่ยนไปเป็นแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สออกซิเจนก็ทำได้ยาก ซึ่งการ
เปลี่ยนแปลงทางเคมีสามารถเขียนแทนด้วยสมการเคมีดังเช่นตัวอย่าง
                             2H2  +  O2  - >  2H2O
          จากตัวอย่างจะเห็นว่าสมการเคมีประกอบด้วยสารตั้งต้นอยู่ทางซ้ายมือแล้วตามด้วยลูกศร ซึ่งหมายถึงเกิด
การเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสารใหม่ทางขวามือ

การเปลี่ยนแปลงของสาร

การหลอมเหลว ( Melting )
        กระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มความร้อนให้กับของแข็ง อนุภาคภายในของแข็ง จะมี
พลังงานจลน์เพิ่มขึ้น อนุภาคเกิดการสั่นมากขึ้นและมีการถ่ายเทพลังงานให้กับอนุภาคข้างเคียง
อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบางอนุภาคเหล่านั้นมีพลังงานสูงกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค
อนุภาคของของแข็งจึงเคลื่อนที่และอยู่ห่างกันมากขึ้น ของแข็งจึงเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว

การกลายเป็นไอ (Evaporation)
        เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มความร้อนให้กับของเหลว ทำให้อนุภาคของของเหลวมี
พลังงานเพิ่มขึ้น เมื่ออนุภาคเหล่านั้นมีพลังงานสูงกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค จะทำให้อนุภาค
ของของเหลวแยกออกจากกัน ของเหลวจะเปลี่ยนเป็นแก๊สในที่สุด กระบวนการนี้เรียกว่า การกลาย
เป็นไอ เรียกอุณหภูมิที่ทำให้อนุภาคชนะแรงยึดเหนี่ยวของของเหลวได้ว่า จุดเดือด ( boiling point )

การควบแน่น ( Condensation )
        เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อลดความอุณหภูมิ และเพิ่มความดันของแก๊ส จนถึงระดับหนึ่ง อนุภาคของ
แก๊สจะมีพลังงานจลน์น้อยลง ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่ช้าลงและเคลื่อนที่เข้าใกล้กันมากขึ้น ทำให้เกิดแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากขึ้น และในที่สุดจะสามารถทำให้โมเลกุลรวมกันเป็นสารในสถานะของเหลว

การแข็งตัว ( Fleezing ) 
        เป็นกระบวนการการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร จากของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ซึ่งจำเป็น
ต้องถ่ายเทพลังงานภายในออกมาในรูปของการคายความร้อน เช่น น้ำ เปลี่ยนสถานะเป็น น้ำแข็ง มีการ
คายความร้อนเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนของโมเลกุล เพื่อให้พันธะไฮโดรเจนสามารถยึดเหนี่ยวโมเลกุลให้จับ
ตัวกันเป็นโครงสร้างผลึก 

การระเหิด ( Sublimation )
        เป็นกระบวนการที่ของแข็งมีการดูดความร้อนเข้าไปถึงระดับหนึ่งแล้วมีเปลี่ยนสถานะไปเป็นแก๊สโดยไม่
ผ่านการเป็นของเหลวก่อน เรียกว่า การระเหิด  ซึ่งสารดังกล่าวต้องเป็นสารประกอบที่มีความดันไอสูง สมบัติ
เฉพาะตัวของสารนี้สามารถนำไปใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็นของแข็งออกจากกัน โดยของแข็งชนิดหนึ่งมี
สมบัติระเหิดได้ เช่น การบูรกับเกลือแกง เมื่อให้ความร้อนการบูรจะกลายเป็นไอแยกออกจากเกลือแกง เมื่อ
ดักไอของการบูรด้วยภาชนะที่เย็นจะได้การบูรเป็นของแข็งแยกออกมา

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

เรื่อง แรง

แรง (Force) หมายถึง อำนาจหรือสิ่งที่สามารถทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแรงเป็น

ปริมาณที่ประกอบด้วยขนาดและทิศทาง
แรง มีหน่วยเป็น นิวตัน(N) เรียกตามชื่อนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ คือ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ผู้

ค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลก และเป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับแรง และการเคลื่อนที่ของวัตถุ

เมื่อมีแรงกระทำต่อวัตถุ อาจทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้

1. ทำให้เปลี่ยนจากวัตถุหยุดนิ่ง เป็นเคลื่อนที่

2. ทำให้เปลี่ยนจากวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ เป็นหยุดนิ่ง เกร็ดความรู้
3. ทำให้เปลี่ยนจากเคลื่อนที่ช้า เป็นเร็วขึ้น

4. ทำให้เปลี่ยนจากเคลื่อนที่เร็ว เป็นช้าลง ดึง(Pull) คือ การออกแรงดึงวัตถุ จะทำให้วัตถุเคลื่อนที่
5. ทำให้วัตถุเปลี่ยนรูปร่าง
ไปในทิศทางเดียวกับแรงดึงโดยเคลื่อนที่เข้าหาตัวเรา
ผลัก(Push) คือ การออกแรงผลักวัตถุ จะทำให้วัตถุ

6. ทำให้วัตถุเปลี่ยนขนาด เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับ แรงผลัก โดยเคลื่อน

7. ทำให้วัตถุเปลี่ยนทิศทาง ออกจากตัวเรา

แรงลัพธ์(Resultant Force) คือ ผลรวมของแรงที่กระทำต่อวัตถุตั้งแต่ 2 แรงขึ้นไป
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการหาแรงลัพธ์ จึงเขียนสัญลักษณ์แทนแรงด้วยลูกศร ความยาวของ
ลูกศรแทนขนาดของแรง หัวลูกศรแทนทิศทางของแรง
  เมื่อวัตถุถูกแรงกระทำพร้อม ๆ กันมากกว่าหนึ่งแรงขึ้นไป ผลของแรงกระทำทั้งหมดจะส่ง
ผลเสมือนเกิดจากแรง ๆ เดียว ซึ่งเป็นผลจากการรวมกันของแรงทุกแรง เราเรียกแรงที่เกิดจาก
การรวมแรงหลาย ๆ แรงนี้ว่า แรงลัพธ์                              

1.  หากมี 2 แรงผลักวัตถุไปตามพื้นราบในทิศทางเดียวกัน แรงทั้งสองแรงจะรวมเข้าด้วยกันเป็น
แรงลัพธ์ที่ทำให้วัตถุเคลื่อนที่  ดังรูป
แรงลัพธ์  = แรง 1 + แรง 2

2.  หากแรง 2 แรง ผลักวัตถุไปตามพื้นราบในทิศทางตรงข้ามกัน หากแรงด้านใดมีมากกว่า วัตถุจะ
เคลื่อนที่ไปตามทิศทางของแรงนั้น ดังรูป
แรงลัพธ์ = แรง1 – แรง2                                                                                                             
 แรงลัพธ์= 50 -80                                                                                                                      
 แรงลัพธ์ =30 นิวตัน

3.  หากมีแรง 2 แรงผลักวัตถุไปตามพื้นราบในทิศทางตรงกันข้าม และแรงทั้งสองแรงมีขนาดเท่ากัน
วัตถุจะไม่เคลื่อนที่ ดังรูป
  แรงลัพธ์ = แรง1 – แรง2                                                                                                               

แรงลัพธ์= 50  – 50                                                      
 แรงลัพธ์ =  0

ถ้าแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุ ทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นศูนย์ แต่
ถ้าแรงที่กระทำต่อวัตถุนั้นไม่  ทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ แรงลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะมีค่าเป็นศูนย์

แรงเสียดทาน

แรงเสียดทาน หมายถึง แรงที่เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ 2 ชิ้นที่สัมผัสกัน ซึ่งแรง
นี้เป็นแรงที่ผิววัตถุผิวหนึ่งต้านทานการเคลื่อนที่ของผิววัตถุอีกผิวหนึ่ง ส่งผลทำให้วัตถุ
เคลื่อนที่ช้าลงเรื่อย ๆจนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด

ธรรมชาติของแรงเสียดทาน
 แรงเสียดทานจะกระทำในทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ ถ้าไม่มีแรงเสียดทานวัตถุจะ
เคลื่อนที่ด้วยอัตราคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ แต่เมื่อมีแรงเสียดทานวัตถุจะเคลื่อนที่ช้าลงเรื่อย ๆ จนหยุด
นิ่งในที่สุด ขนาดของแรงเสียดทานจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับลักษณะของผิวสัมผัส และน้ำหนักของวัตถุ
ที่กดลงบนอีกพื้นผิวหนึ่งเป็นหลัก   หากน้ำหนักของวัตถุมาก แรงที่กดลงบนพื้นผิวอีกพื้นผิวหนึ่งก็จะมาก
แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นก็จะมีมาก อีกทั้งหากวัตถุต้องเคลื่อนที่บนพื้นผิวขรุขระมาก ก็จะมีแรงเสียดทาน
เกิดขึ้นมากกว่าตอนเคลื่อนที่อยู่บนพื้นผิวที่ขรุขระน้อย

ปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน

1.น้ำหนักหรือแรงกดของวัตถุที่กดลงบนพื้น ถ้าน้ำหนักหรือแรงกดของวัตถุมาก จะเกิดแรงเสียด
ทานมาก ถ้าน้ำหนักหรือแรงกดของวัตถุน้อยจะเกิดแรงเสียดทานน้อย                                  
2.  ลักษณะของพื้นผิวสัมผัส                                                                                                        
  – ถ้าพื้นผิวเรียบ เช่น กระเบื้อง กระจก พลาสติก เป็นต้น จะเกิดแรงเสียดทานน้อย เนื่องจากพื้น
ผิวเรียบ  มีการเสียดสีระหว่างกันน้อย
   –  ถ้าพื้นผิวขรุขระ เช่น พื้นทราย พื้นหญ้า พื้นหินกรวด เป็นต้น จะเกิดแรงเสียดทานมาก  
เนื่องจากพื้นผิวขรุขระมีการเสียดสีระหว่างกันมาก จึงมีแรงเสียดทานที่ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ
เกิดขึ้น

ประโยชน์ของแรงเสียดทาน    

เราสามารถใช้ประโยชน์จากแรงเสียดทาน ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้มากมาย
เช่น                                                                                                                                        
1.  ทำให้วัตถุหยุดนิ่งไม่เคลื่อนที่ เช่น ช่วยหยุดรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ ยางรถที่มีดอกยางช่วยให้รถ
เกาะถนนได้ดี เป็นต้น                                                                                                                
2.  การสร้างพื้นถนนต้องทำให้พื้นรถเกิดแรงเสียดทานพอสมควร รถจึงจะเคลื่อนที่บนถนนโดยที่ล้อ
รถไม่หมุนอยู่กับที่ได้                                                                                                                
3.  ช่วยในการหยิบจับสิ่งของโดยไม่ลื่นไหลไปมา                                                                        
4.  ช่วยในการเดินไม่ให้ลื่นไหล 

ลักษณะของแรงเสียดทาน
                 1) น้ำหนักหรือแรงกดของวัตถุที่กดลงบนพื้น ถ้ามีมากจะเกิดแรงเสียดทานมาก
                2) ลักษณะของผิวสัมผัส ถ้าผิวสัมผัสเรียบแบะลื่นจะเกิดแรงเสียดทานน้อย ถ้าผิวสัมผัสขรุขระจะ
เกิดแรงเสียดทานมาก  เนื่องจากพื้นผิวขรุขระมีการเสียดสีระหว่างกันและกันมาก จึงมีแรงเสียดทานที่ต้าน
การเคลื่อนที่ของวัตถุเกิดขึ้น การที่พื้นผิวเรียบขึ้น ทำให้มีการเสียดสีระหว่างกันและกันน้อยลงจะช่วยลดแรง
เสียดทาน ทำให้วัตถุเคลื่อนที่ไปได้ง่าย 
                    แรงเสียดทานทำให้เกิดผลดี  เช่น ช่วยในการเกินไปให้ลื่นไถล ช่วยหยุดรถที่กำลังเคลื่อนที่
 ช่วยให้การหยิบจับสิ่งของไม่ลื่นไหลไปมา ช่วยให้มีดไม่ลื่นบาดมือเมื่อตัดหรือหั่นของ  เป็นต้น
 

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่5
เรื่อง เสียงรอบตัวเรา

เสียง เป็นคลื่นกลที่ใช้อากาศเป็นพาหะ เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะ
ทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียง
สามารถเดินทางผ่านก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แต่ไม่สามารถเดินทางผ่าน สุญญากาศ เช่น ใน
อวกาศ ได้ เมื่อการสั่นสะเทือนนั้นมาถึงหูของเรา มันจะถูกแปลงเป็นพัลส์ประสาท ซึ่งจะถูกส่งไปยังสมอง
ทำให้เรารับรู้และจำแนกเสียงต่างๆ ได้

การเกิดเสียง

แหล่งกำเนิดเสียง
1. เสียงจากธรรมชาติ ได้แก่ ฟ้าร้อง ลมพัด เสียงภูเขาไฟระเบิด
2. เสียงจากสัตว์ จะก่อให้เกิดความรำคาญ เช่น สุนัขเห่าหอน สุนัขกัด กัน
3. เสียงที่เกิดจากมนุษย์ เป็นเสียงจากสถานประกอบการต่าง ๆ และ เสียงจากยานพาหนะชนิดต่าง ๆ
          การเดินทางของเสียง
                    อาศัยอากาศเป็นตัวกลางในการเดินทางมาถึงหู ซึ่งแหล่งกำเนิดเสียงจะทำให้อากาศรอบ ๆ
สั่นสะเทือนออกไปในทุกทิศทาง ตัวกลางที่ถ่ายทอดเสียงได้ดีที่สุดคือของแข็ง ของเหลว และอากาศหรือ
แก๊ส ตามลำดับ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเสียงดัง
ความสามารถในการรับฟังเสียงของมนุษย์
1. หูสามารถฟังเสียงได้ตั้งแต่ 20-20,000 เฮิรตซ์
2. ความถี่ของเสียงพูดอยู่ระหว่าง 500-2,000 เฮิรตซ์
3. ความดังของเสียงมีหน่วยเป็นเดซิเบล เอ


Click to View FlipBook Version