The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ป4-6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wanwisa_butadech, 2021-08-06 08:17:48

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ป4-6

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์ป4-6

ระบบการได้ยิน

หูชั้นนอก
ประกอบด้วยใบหู รูหู และเยื่อแก้วหู เยื่อแก้วหูมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อประสานแผ่นบางๆ รูปรี ตั้งอยู่ระหว่าง
หูชั้นนอกกับหูชั้นกลาง เมื่อมีคลื่นเสียงส่งมาตามตัวกลาง เช่น อากาศถึงใบหู ใบหูจะรวบรวมคลื่นเสียง
(หรือคลื่นความดังนั่นเอง) เข้าทางรูหู ซึ่งอยู่ติดกับอากาศภายนอก เข้าไปถึงเยื่อแก้วหู คลื่นเสียงนี้ทำให้
เยื่อแก้วหูสั่น

หูชั้นกลาง
เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากหูชั้นนอก มีลักษณะเป็นโพรง ตั้งอยู่ในกระดูกขมับ มีกระดูกเล็กๆ 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูก
รูปค้อน ทั่งและโกลน ต่อกันอยู่ด้วยข้อต่อ ปลายด้านหนึ่งของกระดูกค้อนยึดติดอยู่กับเยื่อแก้วหู ส่วนทาง
ด้านกระดูกโกลนมีฐานยึดติดกับช่องรูปรี ทั้งนี้โดยอาศัยเอ็นของกล้ามเนื้อเป็นตัวยึด หน้าต่าง รูปรีเป็น
ทางผ่านของการสั่นสะเทือนจากเยื่อแก้วหู ซึ่งถูกส่งถ่ายทอดมาตามกระดูกทั้งสามชิ้นไปยังช่องรูปรีเข้าสู่หู
ชั้นใน การทำงานของกระดูก 3 ชิ้น มีลักษณะคล้ายระบบของคาน ซึ่งมีการได้เปรียบเชิงกลประมาณ 3 : 1
ผลก็คือ ระยะทางการขยับตัวของเยื่อแก้วหูน้อย เมื่อส่งผ่านเป็นการสั่นไปสู่ฐานของกระดูกโกลน แต่เกิด
แรงกระตุ้นมากขึ้น บริเวณด้านล่างของหูชั้นกลาง มีท่อซึ่งติดต่อกับอากาศภายนอกทางด้านหลังของจมูก
เรียกว่า ท่อยูสเต เชี่ยน ทำหน้าที่ปรับความดันอากาศภายในหูชั้นกลาง ให้เท่ากับความดันบรรยากาศอยู่
เสมอ

หูชั้นใน
อยู่ภายในส่วนลึกของกระดูกขมับ ประกอบด้วยอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน และอวัยวะที่ใช้ใน
การทรงตัว มีชื่อว่า โคเคลีย (cochlea) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินเสียง ลักษณะเป็นท่อยาว
ประมาณ 30 มม. ขดเป็นวงซ้อนขึ้นรูปก้นหอยประมาณ 2 1/2 รอบ โคเคลียถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ตาม
ความยาว โดยแผ่นเยื่อ เบซิลาร์ เมมเบรน (Basilar membrane) ช่องบนเรียก สกาลา เวสติบุไล (Scala
vestibuli) และช่องล่างเรียกว่า สกาลา ทิมปาไน (Scala tympani) ช่องทั้งสองติดต่อกันที่บริเวณยอดของ
โคเคลีย เป็นรูเปิดเล็กๆ เรียกว่า เฮลิโคทริมา (Helicotrema) ภายในช่องทั้งสองมีของเหลวบรรจุอยู่
บนเบซิลาร์ เมมเบรน มีอวัยวะรับเสียงคือ ออร์แกนออฟคอร์ติ (Organ of corti) ประกอบด้วยเซลล์ขน
(Tectorian membrane) และเซลล์อื่นๆ เมื่อคลื่นความสั่นสะเทือนถูกส่งมาถึงช่องรูปรี คลื่นจะถูกส่งผ่าน
ของเหลวในหูส่วนใน ไปตามช่องบน ผ่านรูเปิดลงสู่ช่องล่าง สุดท้ายจะไปถึงช่องรูปวงกลม ระหว่างที่มี
คลื่นรบกวนเดินผ่านตามเส้นทางดังกล่าว เบซิลาร์ เมมเบรนจะ ถูกกระตุ้นให้สั่น เซลล์ขนซึ่งมีความไวสูง
จำนวนมากจะเปลี่ยนความสั่นสะเทือนให้เป็นศักย์ไฟฟ้า กลายเป็นกระแสประสาทสู่สมองทางเส้น
ประสาทเสียงเพื่อ แปลเป็นความรู้สึกของเสียง อัตราการผลิตกระแสประสาทของเซลล์ขนขึ้นอยู่กับความ
เข้มและความถื่ของเสียง

เสียงดังเสียงค่อย

        -คือ สมบัติของเสียงที่เรียกว่า ความดังของเสียง
                -ความดังของเสียงคือ ปริมาตรของพลังงานเสียงที่มาถึงหูของเรา
ปัจจัยที่มีผลทำให้วัตถุเกิดเสียงดังหรือเสียงค่อย ได้แก่
                ระยะทางจากแหล่งกำเนิดเสียง ถึง หูผู้ฟัง ถ้าระยะทางใกล้ๆ จะได้ยินเสียงดังมากและจะ
ได้ยินเสียงค่อยๆ ลงไปเมื่อระยะห่างออกไปเรื่อยๆตามลำดับความแรงในการสั่นสะเทือนของวัตถุ
แหล่งกำเนิดเสียง ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความรุนแรง จะทำให้เกิดเสียงดัง แต่ถ้าแหล่งกำเนิด
เสียงสั่นเบาๆ ก็จะทำให้เกิดเสียงสั่นค่อยลง ตามลำดับชนิดของตัวกลาง ความดังของเสียงขึ้นอยู่กับ
ชนิดของตัวกลางที่คลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่านไป ถ้าคลื่นเสียงเคลื่อนที่ไปในน้ำจะมีความดังของเสียง
มากกว่าคลื่นเสียงที่เคลื่อนที่ไปในอากาศขนาดและรูปร่างของวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียงสั่นสะเทือน
เช่น กระดิ่งจักรยาน ทำให้เกิดเสียงดังและได้ยินในระยะทางหลายร้อยฟุต แต่ระฒังก็มีเสียงดังได้ไกล
ไปหลายๆกิโลเมตร เป็นต้น

เสียงสูงเสียงต่ำ

    เสียงสูงเสียงต่ำ เรียกว่า ระดับเสียง  ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงมีความเร็วในการสั่นสะเทือน (มี
ความถี่สูง) จะทำให้เกิดเสียงสูง  และถ้า แหล่งกำเนิดเสียงมีความเร็วในการสั่นสะเทือนน้อย หรือเบา
(มีความถี่ต่ำ) จะทำให้เกิดเสียงต่ำ หรือเสียงทุ้ม
                ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดเสียงสูงต่ำ 

เสียงสูงต่ำขึ้นอยู่กับความถี่ในการสั่นสะเทือนของวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง แหล่งกำเนิด
เสียงสั่นสะเทือนด้วยความถี่ต่ำ จะเกิดเสียงต่ำ  แต่ถ้าสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูง เสียงก็จะสูง  โดย
ระดับเสียงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วย
                1. ขนาดของวัตถุกำเนิดเสียง
                2. ความยาวของวัตถุกำเนิดเสียง
                3. ความตึงของวัตถุกำเนิดเสียง
จะเกิดการเปลี่ยนแปลง  ดังนี้
                วัตถุที่ต้นกำเนิดเสียง  มีขนาดเล็กจะสั่นสะเทือนเร็วทำให้เกิดเสียงสูง แต่ถ้าวัตถุที่ต้นกำเนิด
เสียง มีขนาดใหญ่จะสั่นสะเทือนช้าทำให้เกิดเสียงต่ำ ถ้าวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดเสียงมีขนาดยาวน้อยหรือ
สั้นจะสั่นสะเทือนเร็วทำให้เกิดเสียงสูง แต่ ถ้าวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดเสียง มีขนาดความยาวมากจะสั่น
สะเทือนช้าทำให้เกิดเสียงต่ำ ถ้าวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดเสียงมีความตึงมากจะสั่นสะเทือนเร็วทำให้เกิด
เสียงสูง แต่ ถ้าวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดเสียงมีความตึงน้อยหรือหย่อนจะสั่นสะเทือนช้าทำให้เกิดเสียงต่ำ

มลพิษทางเสียง

มลพิษทางเสียง หมายถึง สภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเกินค่ามาตรฐานที่กรมควบคุมมลพิษกำหนด
อันก่อให้เกิดความรำคาญ สร้างความรบกวน ทำให้เกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้
ตกใจ และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยได้ เช่น เสียงที่ดังมา ก หรือเสียงที่ดังยาวต่อเนื่อง
        เสียงรบกวน คือ เสียงที่ผู้ได้ยิน
        ประเภทของแหล่งกำเนิดมลพิษเสียง
แหล่งที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนอันเป็นมลพิษทางเสียง ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ แบ่งออก
เป็น 2 ประเภท คือ
1. ประเภทเคลื่อนที่ ได้แก่
- เสียงจากยานพาหนะทางบก ได้แก่ รถยนต์ รถไฟ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น
- เสียงจากยานพาหนะทางน้ำ เช่น เรือหางยาว เป็นต้น
- เสียงจาดยานพาหนะทางอากาศ เช่น เครื่องบิน เป็นต้น
- เสียงจากเครื่องกลหนักที่ใช้ในการก่อสร้าง
- เสียงจากเครื่องขยายเสียงบนรถโฆษณาเคลื่อนที่
2. ประเภทอยู่กับที่ ได้แก่
- สถานประกอบการต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม อู่ซ่อมรถยนต์ โรงมหรสพ และสวนสนุก
- เสียงจากเครื่องมือกลที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น เครื่องเจาะคอนกรีต
- เครื่องขยายเสียงตามสถานที่ต่างๆ สถานที่เริงรมย์
- เสียงจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง ภูเขาไฟระเบิด

ผลกระทบจากภาวะมลพิษทางเสียง
1. ผลกระทบต่อการได้ยิน แบ่งเป็น 3 ลักษณะคือ 
- หูหนวกทันที เกิดขึ้นจากการที่อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังเกิน 120 เดซิเบลเอ 
- หูอื้อชั่วคราว เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในที่มีระดับเสียงดังตั้งแต่ 80 เดซิเบลเอขึ้นไปในเวลาไม่นานนัก 
- หูอื้อถาวร เกิดขึ้นเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีระดับความดังมากเป็นเวลานานๆ
2. ด้านสรีระวิทยา เช่น ผลกระทบต่อระบบการหมุนเวียนของเลือด ต่อมไร้ท่อ อวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และ
ความผิดปกติของระบบการหดและบีบลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
3. ด้านจิตวิทยา เช่น สร้างความรำคาญ ส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อน ผลต่อการทำงานและการเรียนรู้ รบกวน
การสนทนาและการบันเทิง
4. ด้านสังคม กระทบต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้ขาดความสงบ
5. ด้านเศรษฐกิจ มีผลผลิตต่ำเนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานลดลง เสียค่าใช้จ่ายในการควบคุมเสียง
6. ด้านสิ่งแวดล้อม เสียงดังมีผลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ เช่น ทำให้สัตว์ตกใจและอพยพหนี 
การป้องกันและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง 
1. กำหนดให้มีมาตรฐานควบคุมระดับความดังของเสียงทุกประเภท
2. ควบคุมระดับเสียงจากแหล่งกำเนิดให้อยู่ในระดับที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด โดยการ ใช้
กระบวนการผลิตที่ไม่ใช้เสียงดัง บุผนังห้องด้วยวัสดุลดเสียง หรือกำแพงกั้นเสียง
3. ผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีแหล่งกำเนิดเสียงดังควรใช้วัสดุป้องกันการได้ยินเสียงดัง เช่น เครื่องอุดหู เครื่องครอบหู
เป็นต้น
4. กำหนดเขตการใช้ที่ดินประเภทที่ก่อให้เกิดเสียงดังรำคาญ ให้อยู่ห่างจากสถานที่ที่ต้องการความสงบเงียบ
เช่น ชุมชนพักอาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล วัด เป็นต้น เพื่อเพิ่มระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิดเสียงกับชุมชน หรือ
ให้มีเขตกันชนเพื่อลดความดังของเสียง
5. เข้มงวดกับการใช้มาตรการลดผลกระทบจากกิจกรรมการก่อสร้างต่างๆ
6. ยกเว้นหรือลดภาษีในกิจกรรมหรือวัสดุอุปกรณ์สำหรับควบคุมและป้องกันภาวะมลพิษทางเสียง
7. ให้การศึกษาและฝึกอบรมด้านภาวะมลพิษทางเสียงแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
8. สนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับการป้องกัน ควบคุมและแก้ไขภาวะมลพิษทางเสียง
9. สร้างเครือข่ายตรวจสอบและเฝ้าระวังแหล่งกำเนิดภาวะมลพิษภายในชุมชน
10. รณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้ถึงอันตรายจากภาวะมลพิษทางเสียง และร่วมมือกันป้องกันมิให้เกิด
มลพิษทางเสียง

สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่5

เรื่อง น้ำและวัฏจักรของน้ำ

แหล่งน้ำ
• บนผิวโลกของเราประกอบด้วยน้ำ 3ส่วน และมีพื้นดิน 1 ส่วน น้ำมีทั้งบนผิว น้ำใต้ดิน และน้ำใน
บรรยากาศน้ำผิวดิน  ได้แก่ แม่น้ำ  ลำคลอง  หนองบึง
• ห้วยลำธาร ทะเล ทะเลสาบ และมหาสมุทร และน้ำที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มากที่สุด คือ
น้ำบนผิวดิน
    น้ำใต้ดิน น้ำใต้ดิน มี2ประเภท คือ น้ำในดิน และน้ำบาดาล
    น้ำในบรรยากาศ เช่น ไอน้ำ ละอองน้ำในอากาศ

การเกิดเมฆ หมอก หยาดน้ำฟ้า ฝน หิมะ

เมฆ คือ ละอองน้ำและเกล็ดน้ำแข็งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศที่เราสามารถมองเห็นได้
ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำ (โดยปกติแล้วจะมีขนาด 0.01 มม) หรือเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งเมื่อเกาะตัวกันเป็นก
ลุ่มจะเห็นเป็นก้อนเมฆ ก้อนเมฆนี้จะสะท้อนคลื่นแสงในแต่ละความยาวคลื่นในช่วงที่ตามองเห็นได้ ในระดับที่เท่าๆ
กัน จึงทำให้เรามองเห็นก้อนเมฆนั้นเป็นสีขาว แต่ก็สามารถมองเห็นเป็นสีเทาหรือสีดำถ้าหากเมฆนั้นมีความหนา
แน่นสูงมากจนแสงผ่านไม่ได้ 
             สิ่งที่ช่วยให้เกิดการกลั่นตัวของไอน้ำเป็นก้อนเมฆคือ ฝุ่นผงเล็กๆ หรือเกลือในบรรยากาศที่มีคุณสมบัติ
ดูดน้ำในบรรยากาศได้ดี เราเรียกปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนี้ว่า อนุภาคกลั่นตัว (Condensation nuclei) ซึ่งการกลั่นตัว
ของไอน้ำในบรรยากาศจะไม่เกิดขึ้นหากบรรยากาศปราศจากฝุ่นผง แม้ว่าไอน้ำจะอิ่มตัวแล้วก็ตาม
เมฆจากมนุษย์
             มนุษย์เราก็สามารถสร้างเมฆได้เหมือนกัน โดยเกิดจากเครื่องบินไอพ่นที่บินอยู่ในระดับสูงเหนือระดับ
ควบแน่น ทำให้ไอน้ำซึ่งอยู่ในอากาศร้อนที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์ปะทะเข้ากับอากาศเย็นซึ่งอยู่ภายนอก เกิด
การควบแน่นเป็นหยดน้ำ เพราะการจับตัวกับเขม่าควันจากเครื่องยนต์จะทำหน้าที่เป็นแกนควบแน่น เราจึงมอง
เห็นควันเมฆสีขาวถูกพ่นออกมาทางท้ายของเครื่องยนต์เป็นทางยาว มีชื่อเรียกว่า คอนเทรล (Contrails)
              ซึ่งก็เหมือนกับการสร้างฝนเทียม โดยเครื่องบินจะทำการโปรยสารเคมี ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Silver
Iodide) เพื่อทำหน้าที่เป็นแกนควบแน่นในการให้ไอน้ำในอากาศมาจับตัว และควบแน่นเป็นเมฆ

การแบ่งประเภทและ ชนิดของเมฆ
             แบ่งตามรูปร่าง
             เมฆนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบเป็นชั้น (layered) ในแนวนอน และ แบบ
ลอยตัวสูงขึ้น (convective) ในแนวตั้ง โดยจะมีชื่อเรียกว่า สเตรตัส (stratus ซึ่งหมายถึงลักษณะ
เป็นชั้น) และ คิวมูลัส (cumulus ซึ่งหมายถึงทับถมกันเป็นกอง) ตามลำดับ นอกจากนี้แล้วยังมีคำที่
ใช้ในการบอกลักษณะของเมฆอีกด้วย
             - สเตรตัส (stratus) หมายถึง ลักษณะเป็นชั้น
             - คิวมูลัส (cumulus) หมายถึง ลักษณะเป็นกองสุม
             - เซอร์รัส (cirrus) หมายถึง ลักษณะเป็นลอนผม
             - นิมบัส (nimbus) หมายถึง ฝน
             แบ่งตามระดับความสูง
             เมฆยังอาจแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามระดับความสูงของเมฆ โดยระดับความสูงของเมฆนี้จะวัด
จากฐานของก้อนเมฆ ไม่ได้วัดจากยอด โดย Luke Howard เป็นผู้นำเสนอวิธีการแบ่งกลุ่มแบบนี้
แก่ Askesian Society ในปี ค.ศ. 1802
             ซึ่งการแบ่งตามระดับความสูงจะใช้ในการตรวจและแบ่งชนิดของเมฆทางอุตุนิยมวิทยา
สำหรับเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อผลทางการวิเคราะห์สภาพลมฟ้าอากาศในการพยากรณ์ โดยใช้
ความสูงของฐานเมฆเป็นหลักในการแบ่งชนิด ซึ่งลักษณะของเมฆแต่ละชนิดนั้นสามารถที่จะบอก
ให้ทราบถึงแนวโน้มลักษณะของสภาวะอากาศที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ เช่น ถ้าในท้องฟ้ามีเมฆก่อตัว
ในทางแนวตั้งแสดงว่าอากาศกำลังลอยตัวขึ้น หมายถึง สภาวะของอากาศก่อนที่จะเกิดลมพายุ 
             หรือถ้าเมฆในท้องฟ้าแผ่ตามแนวนอนเป็นชั้นๆ หมายถึง สภาวะอากาศที่สงบและจะมี
กระแสลมทางแนวตั้งเล็กน้อย หรือถ้าเมฆในท้องฟ้าก่อตัวทางแนวตั้งสูงใหญ่ จะหมายถึงลักษณะ
ของเมฆพายุฟ้าคะนอง ที่เรียกว่า เมฆคิวมูโลนิมบัส ฝนจะตกหนักและมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง บางครั้ง
อาจมีฟ้าผ่าลงมายังพื้นดินด้วย ซึ่งเมฆพายุฟ้าคะนองนี้เป็นอันตรายต่อเครื่องบินขนาดเล็กเป็นอัน
มาก

เมฆระดับสูง (High Clouds) 
             ก่อตัวที่ความสูงมากกว่า 16,500 ฟุต (5,000 เมตร) ในบริเวณที่อุณหภูมิต่ำในชั้นบรรยากาศ
โทรโพสเฟียร์ ที่ความสูงระดับนี้น้ำส่วนใหญ่นั้นจะแข็งตัว ดังนั้นเมฆจะประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง เมฆในชั้น
นี้ส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ และ มักจะค่อนข้างโปร่งใส 

             - เมฆเซอรัส (Cirrus) มีฐานสูงเฉลี่ย 10,000 เมตร มีลักษณะเป็นฝอยปุยสีขาวเหมือนขนนก
บางๆ หรือเป็นทางยาว และอาจมีวงแสง (Halo) ด้วย

             - เมฆเซอโรคิวมูลัส (Cirrocumulus) มีฐานสูงเฉลี่ย 7,000 เมตร มีลักษณะเป็นเกล็ดบางๆ สี
ขาว หรือเป็นละอองคลื่นเล็กๆ อยู่ติดกัน บางตอนอาจแยกจากกันแต่จะอยู่เรียงรายกันอย่างมีระเบียบ
โปร่งแสง อาจมองเห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ได้

             - เมฆเซอโรสเตรตัส (Cirrostratus) มีฐานสูงเฉลี่ย 8,500 เมตร มีลักษณะเป็นแผ่นเยื่อบางๆ
โปร่งแสงเหมือนม่านติดต่อกันเป็นแผ่นในระดับสูง มีสีขาวหรือน้ำเงินจางปกคลุมเต็มท้องฟ้าหรือเพียง
บางส่วน เป็นเมฆที่ทำให้เกิดวงแสงสีขาวหรือมีวงแสง (Halo) รอบดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ได้

    เมฆระดับกลาง (Medium Clouds)
             ก่อตัวที่ความสูงระหว่าง 6,500 และ 16,500 ฟุต (ระหว่าง 2,000 และ 5,000 เมตร) เมฆจะประกอบ
ด้วยละอองน้ำ และ ละอองน้ำเย็นยิ่งยวด

             - เมฆอัลโตคิวมูลัส (Altocumulus) มีลักษณะอยู่เป็นกลุ่มๆ คล้ายฝูงแกะ มีสีขาว บางครั้งสีเทา มี
การจัดตัวเป็นแถวๆ หรือเป็นคลื่น เป็นชั้นๆ มีเงาเมฆ มีลักษณะเป็นเกล็ดเป็นก้อนม้วนตัว (roll) อาจมี 2 ชั้น
หรือมากกว่านั้น อาจมีแสงทรงกลด (Corona)

             - เมฆอัลโตสเตรตัส (Altostratus) มีลักษณะเป็นแผ่นหนา บางสม่ำเสมอในชั้นกลางของ
บรรยากาศ มองดูเรียบเป็นปุยหรือฝอยละเอียดแผ่ออกเป็นพืด เป็นลูกคลื่น ปกคลุมเต็มท้องฟ้า มีสีเทาหรือ
น้ำเงินอ่อน และอาจมีบางส่วนที่บางจนแสงอาทิตย์จะส่องผ่านลงมายังพื้นดินได้ อาจมีแสงทรงกลด (Corona)

เมฆระ บ {* เมฆระ บกลาง เมฆระ บ า

่ํตัด๋ืณัด๋ึฏัด

เมฆระดับต่ำ (Low Clouds)
             ก่อตัวที่ความสูงต่ำกว่า 6,500 ฟุต (2,000 เมตร) และ รวมถึงสเตรตัส (Stratus) เมฆสเตรตัสที่
ลอยตัวอยู่ระดับพื้นดินเรียก หมอก
             - เมฆสเตรตัส (Stratus) มีลักษณะเป็นแผ่นหนาๆ สม่ำเสมอในชั้นต่ำของบรรยากาศ ใกล้ผิวโลก
เหมือนหมอก มีสีเทา มองไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ ไม่ทำให้เกิดวงแสง (Halo) เว้นแต่เมื่อมีอุณหภูมิ
ต่ำมากก็อาจเกิดได้
             - เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus) มีสีเทา ลักษณะอ่อนนุ่ม เป็นก้อนกลมเรียงติดๆ กัน ทั้ง
ทางแนวตั้งและทางแนวนอนทำให้มองเห็นเป็นลอนเชื่อมติดต่อกันไป
             - เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus) มีลักษณะเป็นแผ่นหนาสีเทาดำ เป็นแนวยาวติดต่อกันแผ่
กว้างออกไป ไม่เป็นรูปร่าง เป็นเมฆที่ทำให้เกิดฝนตกจึงเรียกกันว่า เมฆฝน เมฆชนิดนี้จะไม่มีฟ้าแลบฟ้าร้อง
เกิดเฉพาะในเขตอบอุ่นเท่านั้น

เมฆแนวตั้ง (Vertical Clouds)
             เป็นเมฆที่มีแนวก่อตัวในแนวตั้ง ซึ่งทำให้เมฆมีความสูงจากฐาน โดยความสูงของฐาน
เมฆเฉลี่ย 1,600 ฟุต หรือ 500 เมตร ความสูงของยอดเมฆเฉลี่ยถึงระดับสูงของเมฆเซอรัส
             - เมฆคิวมูลัส (Cumulus) ลักษณะเป็นเมฆก้อนหนามียอดมนกลมคล้ายกะหล่ำดอก
เห็นขอบนอกได้ชัดเจน ส่วนฐานมีสีค่อนข้างดำ ก่อตัวในทางตั้งกระจัดกระจายเหมือนสำลี ถ้า
เกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ หรือลอยอยู่โดดเดี่ยวแสดงถึงสภาวะอากาศดี ถ้ามีขนาดก้อนเมฆใหญ่ก็
อาจมีฝนตกภายใต้ก้อนเมฆ ลักษณะเป็นฝนเฉพาะแห่ง
             - เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) ลักษณะเป็นเมฆก้อนใหญ่รูปร่างคล้ายภูเขา
ใหญ่ มียอดเมฆแผ่ออกเป็นรูปร่างคล้ายทั่งที่ใช้ในการตีเหล็ก (anvil) ฐานเมฆต่ำมีสีดำมืด
เป็นเมฆหนา มืดทึบ มีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง อาจอยู่กระจัดกระจายหรือรวมกันอยู่ มักมีฝนตกลงมา
เรียกเมฆชนิดนี้ว่า “เมฆฟ้าคะนอง”

สีของเมฆ

สีของเมฆนั้นบ่งบอกถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมฆ ซึ่งเมฆเกิดจากไอน้ำลอยตัวขึ้นสู่ที่
สูง เย็นตัวลง และควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก ละอองน้ำเหล่านี้มีความหนาแน่นสูง แสงอาทิตย์
ไม่สามารถส่องทะลุผ่านไปได้ไกลภายในกลุ่มละอองน้ำนี้ จึงเกิดการสะท้อนของแสงทำให้เราเห็น
เป็นก้อนเมฆสีขาว
             ในขณะที่ก้อนเมฆกลั่นตัวหนาแน่นขึ้น และเมื่อละอองน้ำเกิดการรวมตัวขนาดใหญ่ขึ้นจนใน
ที่สุดตกลงมาเป็นฝน ในระหว่างกระบวนการนี้ละอองน้ำในก้อนเมฆซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีช่องว่าง
ระหว่างหยดน้ำมากขึ้น ทำให้แสงสามารถส่องทะลุผ่านไปได้มากขึ้น ซึ่งถ้าก้อนเมฆนั้นมีขนาดใหญ่
พอ และช่องว่างระหว่างหยดน้ำนั้นมากพอ แสงที่ผ่านเข้าไปก็จะถูกซึมซับไปในก้อนเมฆและสะท้อน
กลับออกมาน้อยมาก ซึ่งการซึมซับและการสะท้อนของแสงนี้ส่งผลให้เราเห็นเมฆตั้งแต่ สีขาว สีเทา
ไปจนถึง สีดำ
             โดยสีของเมฆนั้นสามารถใช้ในการบอกสภาพอากาศได้
             - เมฆสีเขียวจางๆ นั้นเกิดจากการกระเจิงของแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบน้ำแข็ง เมฆคิวมูโลนิ
มบัส ที่มีสีเขียวนั้นบ่งบอกถึงการก่อตัวของ พายุฝน พายุลูกเห็บ ลมที่รุนแรง หรือ พายุทอร์นาโด
             - เมฆสีเหลือง ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยครั้ง แต่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิไปจนถึง
ช่วงต้นของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดไฟป่าได้ง่าย โดยสีเหลืองนั้นเกิดจากฝุ่นควันในอากาศ
             - เมฆสีแดง สีส้ม หรือ สีชมพู นั้นโดยปกติเกิดในช่วง พระอาทิตย์ขึ้น และ พระอาทิตย์ตก
โดยเกิดจากการกระเจิงของแสงในชั้นบรรยากาศ ไม่ได้เกิดจากเมฆโดยตรง เมฆเพียงเป็นตัวสะท้อน
แสงนี้เท่านั้น แต่ในกรณีที่มีพายุฝนขนาดใหญ่ในช่วงเดียวกันจะทำให้เห็นเมฆเป็นสีแดงเข้มเหมือนสี
เลือด

หมอก (Fog)
เกิดจากไอน้ำเปลี่ยนสถานะควบแน่นเป็นหยดน้ำเล็กๆ เช่นเดียวกับเมฆ เพียงแต่เมฆเกิดจากการ

เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเนื่องจากการยกตัวของกลุ่มอากาศ แต่หมอกเกิดขึ้นจากความเย็นของพื้นผิว หรือ
การเพิ่มปริมาณไอน้ำในอากาศ
  ในวันที่มีอากาศชื้น และท้องฟ้าใส พอตกกลางคืนพื้นดินจะเย็นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ไอน้ำใน
อากาศเหนือพื้นดินควบแน่นเป็นหยดน้ำ หมอกซึ่งเกิดขึ้นโดยวิธีนี้จะมีอุณหภูมิต่ำและมีความหนาแน่นสูง
เคลื่อนตัวลงสู่ที่ต่ำ และมีอยู่อย่างหนาแน่นในหุบเหว
  เมื่ออากาศอุ่นมีความชื้นสูง ปะทะกับพื้นผิวที่มีความหนาวเย็น เช่น ผิวน้ำในทะเลสาบ อากาศจะ
ควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ในลักษณะเช่นเดียวกับหยดน้ำซึ่งเกาะอยู่รอบแก้วน้ำแข็ง
 เมื่ออากาศร้อนซึ่งมีความชื้นสูง ปะทะกับอากาศเย็นซึ่งอยู่ข้างบน แล้วควบแน่นเป็นหยดน้ำ เช่น เวลา
หลังฝนตก ไอน้ำที่ระเหยขึ้นจากพื้นถนนซึ่งร้อน ปะทะกับอากาศเย็นซึ่งอยู่ข้างบน แล้วควบแน่นกลายเป็น
หมอก หรือไอน้ำจากลมหายใจเมื่อปะทะกับอากาศเย็นของฤดูหนาว แล้วควบแน่นกลายเป็นละอองน้ำ
เล็กๆ ให้เรามองเห็นเป็นควันสีขาว

น้ำค้าง (Dew)
          น้ำค้าง เกิดจากการควบแน่นของไอน้ำบนพื้นผิวของวัตถุ ซึ่งมีการแผ่รังสีออกจนกระทั่ง
อุณหภูมิลดต่ำลงกว่าจุดน้ำค้างของอากาศซึ่งอยู่รอบๆ เนื่องจากพื้นผิวแต่ละชนิดมีการแผ่รังสีที่แตก
ต่างกัน ดังนั้นในบริเวณเดียวกัน ปริมาณของน้ำค้างที่ปกคลุมพื้นผิวแต่ละชนิดจึงไม่เท่ากัน เช่น ใน
ตอนหัวค่ำ อาจมีน้ำค้างปกคลุมพื้นหญ้า แต่ไม่มีน้ำค้างปกคลุมพื้นคอนกรีต เหตุผลอีกประการหนึ่ง
ซึ่งทำให้น้ำค้างมักเกิดขึ้นบนใบไม้ใบหญ้าก็คือ ใบของพืชคายไอน้ำออกมา ทำให้อากาศบริเวณนั้น
มีความชื้นสูง

หยาดน้ำฟ้า
           หยาดน้ำฟ้า (Precipitation) เป็นชื่อเรียกรวมของ หยดน้ำ และน้ำแข็ง ที่เกิดจาการควบแน่นของไอน้ำแล้ว
ตกลงมาสู่พื้น เช่น ฝน ลูกเห็บ หิมะ เป็นต้น หยาดน้ำฟ้าแตกต่างจากจากหยดน้ำหรือละอองน้ำในก้อนเมฆ
(Cloud droplets) ตรงที่หยาดน้ำต้องมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากพอที่จะชนะแรงต้านอากาศ และตกสู่พื้นโลก
ได้โดยไม่ระเหยเป็นไอน้ำเสียก่อน ขณะที่อยู่ใต้ระดับควบแน่น ฉะนั้นกระบวนการเกิดหยาดน้ำฟ้าจึงมีความสลับ
ซับซ้อนมากกว่ากระบวนการควบแน่นที่ทำให้เกิดเมฆ
           โดยทั่วไปก้อนเมฆจะมีหยดน้ำเล็กๆ ขนาดเท่ากัน ตกลงมาอย่างช้าๆ ด้วยความเร็วเดียวกัน ดังนั้นหยดน้ำ
เหล่านั้นจะไม่มีโอกาสที่จะชนหรือรวมตัวกันให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้เลย แต่ในเมฆซึ่งก่อตัวในแนวตั้ง เช่น เมฆคิวมู
โลนิมบัสจะมีหยดน้ำหลายขนาด หยดน้ำขนาดใหญ่จะตกลงมาด้วยความเร็วที่มากกว่าหยดน้ำขนาดเล็ก ดังนั้น
หยดน้ำขนาดใหญ่จึงมีโอกาสชนและรวมตัวกับหยดน้ำขนาดเล็กที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้เกิดการรวมตัวจนมีขนาด
ใหญ่ขึ้น เรียกกระบวนการนี้ว่า “กระบวนการชนและรวมตัวกัน” (Collision – coalescence process)
 นอกจากนั้นกระแสอากาศไหลขึ้น (Updraft) ยังช่วยให้เร่งอัตราการชนและรวมตัวให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อ
หยดน้ำมีขนาดใหญ่ประมาณ 1 มิลลิเมตร มันจะมีน้ำหนักมากพอที่จะชนะแรงพยุง และตกลงมาด้วยแรงโน้มถ่วง
ของโลก หยดน้ำที่ตกลงมาจากยอดเมฆชนและรวมตัวกับหยดน้ำอื่นๆ ในขาลง ทำให้มีมันขนาดใหญ่และมี
ความเร็วมากขึ้นจนก็กลายเป็น
“หยดน้ำฝน” (Rain droplets) ตกลงจากฐานเมฆ โดยมีขนาดประมาณ 2 - 5 มิลลิเมตร
     ในเขตที่มีอากาศหนาวเย็น เช่น ในเขตละติจูดสูง หรือบนเทือกเขาสูง รูปแบบของการเกิดหยาดน้ำฟ้าจะ
แตกต่างไปจากเขตร้อน หยดน้ำบริสุทธิ์ในก้อนเมฆไม่ได้แข็งตัวที่อุณหภมิ 0°C หากแต่แข็งตัวที่อุณหภูมิประมาณ
-40°C เราเรียกน้ำในสถานะของเหลวที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0°C นี้ว่า “น้ำเย็นยิ่งยวด” (Supercooled water) น้ำ
เย็นยิ่งยวดจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งได้ก็ต่อเมื่อกระทบกับวัตถุของแข็งอย่างทันทีทันใด ยกตัวอย่าง เมื่อ
เครื่องบินเข้าไปในเมฆชั้นสูง ก็จะเกิดน้ำแข็งเกาะที่ชายปีกด้านหน้า การระเหิดกลับเช่นนี้ (Deposition) จำเป็นจะ
ต้องอาศัยแกนซึ่งเรียกว่า “แกนน้ำแข็ง” (Ice nuclei) เพื่อให้ไอน้ำจับตัวเป็นผลึกน้ำแข็ง ในก้อนเมฆมีน้ำครบทั้ง
สามสถานะและมีแรงดันที่แตกต่างกัน ไอน้ำระเหยจากละอองน้ำโดยรอบ แล้วระเหิดกลับรวมตัวเข้ากับผลึกน้ำ
แข็งอีกทีหนึ่ง ทำให้ผลึกน้ำแข็งมีขนาดใหญ่ขึ้น เราเรียกกระบวนการนี้ว่า “กระบวนการเบอร์เจอ
รอน” (Bergeron process)

เมื่อผลึกน้ำแข็งมีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากพอที่จะชนะแรงพยุง (Updraft) มันจะตกลงมาด้วยแรง
โน้มถ่วงของโลก และปะทะกับหยดน้ำเย็นยิ่งยวดซึ่งอยู่ด้านล่าง ทำให้เกิดการเยือกแข็งและรวมตัวให้ผลึกมี
ขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากนั้นผลึกอาจจะปะทะกันเอง จนทำให้เกิดผลึกขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “เกล็ด
หิมะ” (Snow flake) ในเขตอากาศเย็น หิมะจะตกลงมาถึงพื้น แต่ในวันที่มีอากาศร้อน หิมะจะเปลี่ยนสถานะกลาย
เป็น “ฝน” เสียก่อนแล้วจึงตกถึงพื้น

ฝน (Rain) เป็นหยดน้ำมีขนาดประมาณ 0.5 – 5 มิลลิเมตร ฝนส่วนใหญ่ตกลงมาจากเมฆนิมโบสเต
รตัส และเมฆคิวมูโลนิมบัส
           ฝนละออง (Drizzle) เป็นหยดน้ำขนาดเล็กกว่า 0.5 มิลลิเมตร เกิดจากเมฆสเตรตัส พบเห็นบ่อยบน
ยอดเขาสูง ตกต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง
           ละอองหมอก (Mist) เป็นหยดน้ำขนาด 0.005 – 0.05 มิลลิเมตร เกิดจากเมฆสเตรตัส ทำให้เรารู้สึก
ชื้นเมื่อเดินผ่าน มักพบบนยอดเขาสูง
           ลูกเห็บ (Hail) เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร เกิดขึ้นจากกระแสในอากาศไหลขึ้น
(updraft) และไหลลง (downdraft) ภายในเมฆคิวมูโลนิมบัส พัดให้ผลึกน้ำแข็งปะทะกับน้ำเย็นยิ่งยวด
กลายเป็นก้อนน้ำแข็งห่อหุ้มกันเป็นชั้นๆ จนมีขนาดใหญ่ และตกลงมา

  หิมะ (Snow) เป็นผลึกน้ำแข็งขนาดประมาณ 1 – 20 มิลลิเมตร ซึ่งเกิดจากไอน้ำจากน้ำเย็นยิ่งยวด
ระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง แล้วตกลงมา
อุปกรณ์วัดน้ำฝน
          ในการวัดปริมาณน้ำฝน เราใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร เช่น ถ้าฝนตกลงมาทำให้ระดับน้ำฝนในภาชนะ
ที่รองรับสูงขึ้น 10 มิลลิเมตร หมายความว่า ฝนตกวัดได้ 10 มิลลิเมตร ถ้าฝนตกลงมาทำให้ระดับน้ำฝนใน
ภาชนะที่รองรับสูงขึ้น 25 มิลลิเมตร หมายความว่า ฝนตกวัดได้ 25 มิลลิเมตร ดังในภาพที่ 10 ด้านซ้าย
          อุปกรณ์วัดน้ำฝน (Rain gauge) ขนาดมาตรฐานเป็นทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20
เซนติเมตร บนปากกระบอกมีกรวยรอรับน้ำฝน ให้ตกลงสู่กระบอกตวงซึ่งอยู่ภายในซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง
ขนาดเล็กกว่ากระบอกนอก 10 เท่า (เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร) ทั้งนี้เพื่อขยายมาตราส่วนขยายขึ้น
10 เท่า ทำให้เกิดความสะดวกในการอ่านค่าปริมาณ
น้ำฝนได้ละเอียดยิ่งขึ้น ดังในภาพที่ 10 ด้านขวา

วัฏจักรของน้ำ (Hydrologic cycle) หมายถึง วงจรการหมุนเวียนของน้ำที่เกิดขึ้นตาม

ธรรมชาติ ใช้หลักการว่าน้ำจะไม่มีการสูญหายไปไหนน้ำจากแหล่งต่าง ๆ จะมีการถ่ายเทหมุนเวียนกันไป
มาตลอดเวลา น้ำจากทะเล มหาสมุทรมีการระเหยขึ้นไปบนบรรยากาศ พืชคายน้ำทางปากใบ แสงแดด
ทำให้เกิดการระเหยของน้ำจากแหล่งต่าง ๆ กลายเป็นไอ (Evaporation) ลอยขึ้นสู่อากาศเบื้องบนซึ่งมี
อุณหภูมิต่ำลง ไอน้ำจึงเกิดการควบแน่นกลายเป็นเมฆ และในที่สุดเมฆฝนที่มีน้ำหนักมากนั้นจะลดระดับ
การลอยตัวต่ำลงโดยแรงดึงดูดของโลก และได้รับความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลุ่มไอน้ำละลายตัวกลาย
เป็นฝน หิมะ หรือ ลูกเห็บ ตกลงมาบนพื้นผิวโลก 

เมื่อฝนตกลงมาจากฟ้าน้ำฝนส่วนหนึ่งจะค้างอยู่ตามใบและลำต้นพืชอาจมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณ
พืชคลุมดิน น้ำบางส่วนจะถูกขังอยู่ตามแหล่งน้ำหรือที่ลุ่ม  หรือซึมซับอยู่ในบริเวณที่มีฝนตก  น้ำเหล่านี้อาจ
กลับคืนสู่บรรยากาศโดยการระเหย(Evaporation)หรือการคายน้ำของพืช(Transpiration) น้ำบางส่วนอาจ
ซึมลงไปในดิน(Infiltration) ไปรวมเป็นแหล่งน้ำบาดาล (Ground  water resource)  ส่วนที่เหลือจะไหล
อยู่บนผิวดินในรูปของน้ำท่า (Surface  run off)  กลายเป็นแหล่งน้ำผิวดิน บางส่วนอาจกลับสู่บรรยากาศ
โดยการระเหยและการคายน้ำของพืช  ขณะที่อยู่บนดินหรือในดินบ้าง แต่ในที่สุดทั้งน้ำบาดาลและน้ำท่า
ส่วนที่เหลือ ก็จะไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทร และระเหยกลับขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้ตลอดไป
ไม่มีที่สิ้นสุด

การใช้ประโยชน์จากน้ำ
น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ความสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งมวล มนุษย์ใช้
ทรัพยากรน้ำในการอุปโภค บริโภค การเกษตรกรรม การคมนาคม การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น น้ำ
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน เช่น การชลประทาน การประมง
การอุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรม และการพลังงาน น้ำจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งในการดำรงชีวิตของ
ประชากร การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม 

น้ำเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดน้ำได้ไม่เกิน 3 วัน ซึ่งมีความ
สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ ประโยชน์ของน้ำ ได้แก่

1.น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้สำหรับการดื่มกิน การประกอบอาหาร ชำระร่างกาย ฯลฯ
      2.น้ำมีความจำเป็นสำหรับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ แหล่งน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ
ซึ่งคนเราใช้เป็นอาหาร
      3.ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้น้ำในขบวนการผลิตใช้ล้างของเสียใช้หล่อเครื่องจักรและระบาย
ความร้อน ฯลฯ

4.การทำนาเกลือโดยการระเหยน้ำเค็มจากทะเล
5.น้ำเป็นแหล่งพลังงาน พลังงานจากน้ำใช้ทำระหัด ทำเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า
6.แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ
ทัศนียภาพของริมฝั่งทะเลและน้ำที่ใสสะอาดเป็นแหล่งท่องเที่ยวของมนุษย์

การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ
        1. การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้น้ำอย่างประหยัดนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าน้ำลงได้แล้ว
ยังทำให้ปริมาณน้ำเสียที่จะทิ้งลงแหล่งน้ำมีปริมาณน้อย และป้องกันการขาดแคลนน้ำได้ด้วย
        2.การสงวนน้ำไว้ใช้ ในบางฤดูหรือในสภาวะที่มีน้ำมากเหลือใช้ควรมีการเก็บน้ำไว้ใช้
เช่น การทำบ่อเก็บน้ำ การสร้างโอ่งน้ำ ขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการสร้างอ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน
        3. การพัฒนาแหล่งน้ำ ในบางพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ จำเป็นที่จะต้องหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม เพื่อให้
สามารถมีน้ำไว้ใช้ ทั้งในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปัจจุบันการนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้
กำลังแพร่หลายมากขึ้นแต่อาจมีปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุด
       4. การป้องกันน้ำเสีย การไม่ทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูลและสารพิษลงในแหล่งน้ำ น้ำเสียที่เกิดจากโรงงาน
อุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบำบัดและขจัดสารพิษก่อนที่จะปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ
       5. การนำน้ำเสียกลับไปใช้ น้ำที่ไม่สามารถใช้ได้ในกิจการอย่างหนึ่งอาจใช้ได้ในอีกกิจการหนึ่ง เช่น
น้ำทิ้งจากการล้างภาชนะอาหาร สามารถนำไปรดต้นไม้ได้



สรุปความรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
เรื่อง ดวงดาว

ดวงดาว ที่เราเห็นอยู่ในท้องฟ้ามีอยู่  2  ประเภท  คือ  ดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์  ดาวฤกษ์เป็นดาวที่มี
แสงสว่างในตัวเอง  ส่วนดาวเคราะห์เป็นดาวที่ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ที่เราเห็นดาวเคราะห์สว่างได้ เพราะ
ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์  

ระบบสุริยะ (Solar system) เป็นระบบของดวงดาวระบบหนึ่งในกาแล็กซีทางช้างเผือก(Milky Way)
มีดวงอาทิตย์(The Sun) เป็นศูนย์กลาง  ระบบสุริยะอยู่ห่างจากใจกลางกาแล็กซี  30,000  ปีแสง
   กาแล็กซี (Galaxy) หรือดาราจักร เป็นระบบของดวงดาวที่ประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนมากมาย  รวม
ทั้งก๊าซ ฝุ่นละอองและวัตถุท้องฟ้าอื่น ๆ

เอกภพ (Universe) เป็นระบบรวมของกาแล็กซีประมาณ  100,000  ล้านกาแล็กซี  มีอาณาเขตกว้าง
ใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต
  * ปีแสง ( light-year )  เป็นมาตราวัดระยะทางอย่างหนึ่งในทางดาราศาสตร์ 
1 ปีแสง หมายถึง ระยะที่แสงเดินทางในสุญญากาศ ในเวลาหนึ่งปี ซึ่งเท่ากับ 9.46 ล้าน ล้านกิโลเมตร
 แสงเดินทางใน  1  วินาที  เท่ากับ  300,000  กิโลเมตร

ระบบสรุ ยิ ะ

ระบบสรุ ิยะเป็นระบบทป่ี ระกอบดว้ ยดวงอาทติ ยเ์ ป็นศูนยก์ ลาง และมดี าวเคราะห์
8 ดวง เรยี งลาดบั จากทอ่ี ยู่ใกลด้ วงอาทติ ยไ์ ปยงั ดาวทอ่ี ยู่ไกลจากดวงอาทติ ยม์ ากทส่ี ดุ คอื
ดาวพธุ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวองั คาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนสั และดาวเนปจนู
นอกจากน้รี ะบบสรุ ยิ ะยงั มดี าวเคราะหน์ อ้ ย ดาวหาง หรอื อาจเรยี กวา่ ดาวตก หรอื ผพี งุ่ ไต้
และยงั มดี วงจนั ทรท์ เ่ี ป็นบริวารของดาวเคราะหต์ ่างๆ โคจรรอบดวงอาทติ ย์

ดวงอาทติ ย์ (Sun)

ดวงอาทติ ยเ์ ป็นศูนยก์ ลางของระบบสรุ ยิ ะจกั รวาล อยู่หา่ งจากโลกเป็นระยะทางประมาณ 93 ลา้ น
ไมล์ และมขี นาดใหญ่กวา่ โลกมากกวา่ 1 ลา้ นเทา่ มขี นาดเสน้ ผ่าศูนยก์ ลางยาวกวา่ โลก 100 เท่า ดวง
อาทติ ยเ์ ป็นดาวฤกษท์ ม่ี แี สงสวา่ งในตวั เอง ซง่ึ เป็นแหลง่ พลงั งานทส่ี าคญั ของโลก อณุ หภมู ขิ องดวงอาทติ ย์
อยู่ระหวา่ ง 5,500 - 6,100 องศาเซลเซยี ส พลงั งานของดวงอาทติ ยท์ ง้ั หมดเกดิ จากกา๊ ซไฮโดรเจน โดย
พลงั งานดงั กลา่ วเกดิ จากปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี รภ์ ายใตส้ ภาพความกดดนั สูงของดวงอาทติ ย์ ทาใหอ้ ะตอมของ
ไฮโดรเจนซง่ึ มอี ยู่มากบนดวงอาทติ ยท์ าปฏกิ ริ ยิ าเปลย่ี นเป็นฮเี ลยี ม ซง่ึ จะส่งผ่านพลงั งานดงั กลา่ วมาถงึ
โลกไดเ้พยี ง 1 ใน 200 ลา้ นของพลงั งานทงั้ หมด

นอกจากนน้ั บนพ้นื ผิวของดวงอาทติ ยย์ งั เกดิ ปรากฏการณต์ ่างๆ เช่น การเปลย่ี นแปลงของ
พลงั งานความรอ้ นบนดวงอาทติ ยอ์ นั เน่อื งมาจากจดุ ดบั บนดวงอาทติ ย์ (Sunspot) ซง่ึ จะส่งผลใหเ้กดิ การ
แปรผนั ของพายุแม่เหลก็ และพลงั งานความรอ้ น ทาใหอ้ นุภาคโปรตรอนและอเิ ลก็ ตรอนหลดุ จากพ้นื ผวิ
ดวงอาทติ ยส์ ูห่ ว้ งอวกาศ เรยี กวา่ ลมสรุ ยิ ะ (Solar Wind) และแสงเหนอื และใต้ (Aurora) เป็น
ปรากฏการณท์ ข่ี วั้ โลกเหนอื และขว้ั โลกใต้

การเกดิ จดุ ดบั บนดวงอาทติ ย์ (Sunspot) บางครง้ั เราสามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ และจะเหน็
ไดช้ ดั เจนเวลาดวงอาทติ ยใ์ กลต้ กดนิ จดุ ดบั ของดวงอาทติ ยจ์ ะอยู่ประมาณ 30 องศาเหนอื และ ใต้ จาก
เสน้ ศูนยส์ ูตร ทเ่ี หน็ เป็นจดุ สดี าบรเิ วณดวงอาทติ ยเ์ น่อื งจากเป็นจดุ ทม่ี แี สงสวา่ งนอ้ ย มอี ณุ หภูมปิ ระมาณ
4,500 องศาเซลเซยี ส ตา่ กวา่ บรเิ วณโดยรอบประมาณ 2,800 องศาเซลเซยี ส นกั วทิ ยาศาสตรส์ นั นษิ ฐานวา่
ก่อนเกดิ จดุ ดบั บนดวงอาทติ ยน์ น้ั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากอานาจแม่เหลก็ ไฟฟ้าบรเิ วณพ้นื ผวิ ดวงอาทติ ยม์ กี าร
เปลย่ี นแปลง ทาใหอ้ ณุ หภมู บิ รเิ วณดงั กลา่ วตา่ กวา่ บรเิ วณอน่ื ๆ และเกดิ เป็นจดุ ดบั บนดวงอาทติ ย์

แสงเหนอื และแสงใต(้ Aurora) เป็นปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ บรเิ วณขวั้ โลกเหนือ และขวั้ โลกใต้ มี
ลกั ษณะเป็นลาแสงทม่ี วี งโคง้ เป็นม่าน หรอื เป็นแผ่น เกดิ เหนอื พ้นื โลกประมาณ 100 - 300 กโิ ลเมตร ณ
ระดบั ความสูงดงั กลา่ วกา๊ ซต่างๆ จะเกดิ การแตกตวั เป็นอนุภาคทม่ี ปี ระจไุ ฟฟ้า และเมอ่ื ถกู แสงอาทติ ยจ์ ะ
เกดิ ปฏกิ รยิ าทซ่ี บั ซอ้ นทาใหม้ องเหน็ แสงตกกระทบเป็นแสงสแี ดง สเี ขยี ว หรอื สขี าว บรเิ วณขวั้ โลกทง้ั สอง
มแี นวทเ่ี กดิ แสงเหนอื และแสงใตบ้ อ่ ย เราเรยี กวา่ "เขตออโรรา" (Aurora Zone)

ดาวพธุ (Mercury)
ดาวพธุ เป็นดาวเคราะหท์ อ่ี ยู่ใกลก้ บั ดวงอาทติ ยม์ าก
ทส่ี ดุ สงั เกตเหน็ ดว้ ยตาเปลา่ ไดต้ อนใกลค้ า่ และ ช่วงร่งุ เชา้
ดาวพธุ ไมม่ ดี วงจนั ทรเ์ ป็นดาวบรวิ าร ดาวพธุ หมนุ รอบตวั เอง
จากทศิ ตะวนั ตกไปยงั ทศิ ตะวนั ออกกนิ เวลา ประมาณ 58 -
59 วนั และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้วลา 88 วนั

ดาวศกุ ร์ (Venus)
ดาวศกุ รส์ งั เกตเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ โดยสามารถมองเหน็ ไดท้ าง
ขอบฟ้าดา้ นทศิ ตะวนั ตกในเวลาใกลค้ า่ เราเรยี กวา่ "ดาวประจาเมอื ง"
(Evening Star) สว่ นช่วงเชา้ มดื ปรากฏใหเ้หน็ ทางขอบฟ้าดา้ นทศิ
ตะวนั ออกเรยี กวา่ "ดาวร่งุ " (Morning Star) เรามกั สงั เกตเหน็ ดาวศกุ ร์
มแี สงส่องสวา่ งมากเน่อื งจาก ดาวศกุ รม์ ชี น้ั บรรยากาศทป่ี ระกอบไปดว้ ย
กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ มผี ลทาใหอ้ ณุ หภมู พิ ้นื ผวิ สูงข้นึ ดาวศุกร์
หมนุ รอบตวั เองจากทศิ ตะวนั ออกไปยงั ทศิ ตะวนั ตก ไม่มดี วงจนั ทรเ์ ป็น
ดาวบรวิ าร

โลก (Earth)
โลกเป็นดาวเคราะหด์ วงเดยี วทม่ี สี ง่ิ มชี วี ติ อาศยั อยู่
เน่อื งจากมชี น้ั บรรยากาศและมรี ะยะห่าง จากดวงอาทติ ยท์ เ่ี หมาะสม
ต่อการเจรญิ เตบิ โตและการดารงชวี ติ ของสง่ิ มชี วี ติ นกั ดาราศาสตร์
อธบิ ายเก่ยี วกบั การเกดิ โลกวา่ โลกเกดิ จากการรวมตวั ของกลมุ่ กา๊ ซ
และมกี ารเคลอ่ื นทสี ลบั ซบั ซอ้ นมาก

ดาวองั คาร (Mars)
ดาวองั คารอยู่หา่ งจากโลกของเราเพยี ง 35 ลา้ นไมล์ และ 234
ลา้ นไมล์ เนอ่ื งจากมวี งโคจรรอบดวง อาทติ ยเ์ ป็นวงรี พ้นื ผวิ ดาวองั คาร
มปี รากฏการณเ์ มฆและพายฝุ ่นุ เสมอ เป็นทน่ี ่าสนใจในการศกึ ษาของ
นกั วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นอย่างมาก เนอ่ื งจากมลี กั ษณะและองคป์ ระกอบท่ี
ใกลเ้คยี งกบั โลก เช่น มรี ะยะเวลาในการหมนุ รอบตวั เอง 1 วนั เท่ากบั
24.6 ชวั่ โมง และระยะเวลาใน 1 ปี เมอ่ื เทยี บกบั โลกเท่ากบั 1.9 มกี าร
เอยี งของแกน 25 องศา ดาวองั คารมดี วงจนั ทรเ์ ป็นบรวิ าร 2 ดวง

ดาวพฤหสั บดี (Jupiter)
ดาวพฤหสั บดเี ป็นดาวเคราะหท์ ใ่ี หญ่ทส่ี ุดในระบบสรุ ยิ ะจกั รวาล
หมนุ รอบตวั เอง 1 รอบใชเ้ วลา 9.8 ชวั่ โมง ซง่ึ เร็วทส่ี ดุ ในบรรดาดาว
เคราะหท์ งั้ หลาย และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้วลา12 ปี นกั ดารา
ศาสตรอ์ ธิบายวา่ ดาวพฤหสั เป็นกลมุ่ กอ้ นกา๊ ซหรอื ของเหลวขนาดใหญ่ ท่ี
ไม่มสี ่วนทเ่ี ป็นของแขง็ เหมอื นโลก และเป็นดาวเคราะหท์ ม่ี ดี วงจนั ทรเ์ ป็น
ดาวบรวิ ารมากถงึ 16 ดวง

ดาวเสาร์ (Saturn)
ดาวเสารเ์ ป็นดาวเคราะหท์ เ่ี ราสามารถมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเปลา่ เป็น
ดาวทป่ี ระกอบไปดว้ ยกา๊ ซและของ เหลวสคี ่อนขา้ งเหลอื ง หมนุ รอบตวั เอง
1 รอบใชเ้วลา 10.2 ชวั่ โมง และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบใชเ้วลา 29 ปี
ลกั ษณะเด่นของดาวเสาร์ คอื มวี งแหวนลอ้ มรอบ ซง่ึ วงแหวนดงั กลา่ วเป็น
อนุภาคเลก็ ๆ หลายชนดิ ทห่ี มนุ รอบดาวเสารม์ วี งแหวนจานวน 3 ชน้ั ดาว
เสารม์ ดี วงจนั ทรเ์ ป็นดาวบรวิ าร 1 ดวง และมดี วงจนั ทรด์ วงหน่งึ ช่อื Titan
ซง่ึ ถอื วา่ เป็นดวงจนั ทรท์ ใ่ี หญ่ทส่ี ุดในระบบสรุ ยิ ะจกั รวาล

ดาวยูเรนสั (Uranus)
ดาวยูเรนสั หมนุ รอบตวั เอง 1 รอบ ใชเ้วลา 16.8 ชวั่ โมง และโคจรรอบ
ดวงอาทติ ย์ 1 รอบ ใชเ้วลา 84 ปี ดาวยูเรนสั ประกอบดว้ ยกา๊ ซและของเหลว
เช่นเดยี วกบั ดาวพฤหสั และดาวเสาร์ 4.8 ดาวเนปจูน (Neptune) เป็นดาว
เคราะหท์ ม่ี รี ะยะเวลาในการหมนุ รอบตวั เอง 1 รอบ เท่ากบั 17.8 ชวั่ โมง และ
ระยะ เวลาในการโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 1 รอบ เทา่ กบั 165 ปี มดี วงจนั ทรเ์ ป็น
ดาวบรวิ าร 2 ดวง

ดาวเนปจนู
ดาวเนปจูนเป็ นดาวเคราะห์นา้ แข็งยักษ์ ( (Ice Giant
Planet) ห่างจากดวงอาทติ ย์เป็นอนั ดบั ท่ี 8 มรี ะยะทางประมาณ 4.5
พนั ลา้ นกโิ ลเมตร เท่ากบั ไกลจาก ดวงอาทติ ยร์ าว 30 เท่า เมอ่ื เทยี บกบั
ระยะของโลก (Earth) จากดวงอาทติ ยห์ รอื ตอ้ งใชเ้ วลาเกอื บ 165 ปี ใน
การโคจรหน่งึ รอบของดวงอาทติ ย์ ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะหด์ วงแรกท่ี
อาศยั การคาดการณค์ ณิตศาสตรม์ ากกวา่ การสงั เกตการณ์ทอ้ งฟ้า เพราะ
มรี ะยะทางทไ่ี กลและมดื มาก

ในทกุ ๆ คนื จะมดี าวตก หรอื ท่เี รยี กวา่ ผพี ่งุ ไตต้ กลงมา บางคนื อาจพบหลายดวง
ทต่ี กลงมา อาจพบเหน็ ในระยะเวลาทห่ี ่างกนั แต่บางช่วงเวลาเดยี วกนั ของปีจะตกหนาแน่น
มาก ซง่ึ เรยี กวา่ ฝนดาวตก ดาวตกเป็นวตั ถบุ นทอ้ งฟ้า ทเ่ี กดิ จากเศษหนิ หรอื เศษช้นิ ส่วน
ขนาดเลก็ ของดาวหาง เรยี กวา่ อกุ กาบาต เมอ่ื โคจรเขา้ ใกลบ้ รรยากาศของโลกจะถกู โลก
ดงึ ดดู ตกลงมา สะเก็ดดาวเหลา่ น้จี ะสมั ผสั แกส๊ ออกซเิ จนในบรรยากาศเกดิ การลกุ ไหมเ้รา
จงึ เหน็ เป็นลาแสงพงุ่ ตกลงมา

ปรากฏการณ์ขึ้นตกของดวงดาว

 - จุดสูงสุดบนท้องฟ้าที่ตรงกับศีรษะเรียกว่า จุดเหนือศีรษะ
            - ท้องฟ้ารอบ ๆ ตัวเราที่อยู่ตรงกับระดับสายตา เรียกว่า เส้นขอบฟ้า
      ดังนั้น ถ้าเรารู้ทิศและมุมเงย ก็จะหาตำแหน่งที่ปรากฏตำแหน่งที่ปรากฏของดาวบนท้องฟ้าได้
การบอกทิศและมุมเงยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดไว้ในแผนที่ดาว ซึ่งแผนที่ดาวจะประกอบด้วยซองใส่
แผ่นดาว และแผ่นดาว
    แผนที่ดาว คือ แผนที่ท้องฟ้า
      แผนที่ดาว เป็นแผนที่ที่แสดงตำแหน่งของดาวฤกษ์บนท้องฟ้า ซึ่งทำขึ้นเฉพาะตำแหน่งของผู้
สังเกตที่ละติจูดหนึ่ง ๆ แผนที่ดาวที่ใช้ง่ายจะแบ่งครึ่งทรงกลมท้องฟ้าออกเป็น 2 ส่วน คือฟ้าทางทิศ
เหนือและเหนือและฟ้าทางทิศใต้ โดยมีเส้นที่ลากจากขอบฟ้าตรงทิศตะวันออกไปตามความโค้งของ
ทรงกลมท้องฟ้าผ่านจุดเหนือศีรษะไปยังขอบฟ้าตรงทิศตะวันตกเป็นเส้นแบ่ง การใช้แผนที่ดาวจะช่วย
ให้การศึกษาท้องฟ้าง่ายขึ้น

ปรากฏการณ์การขึ้นตกของดวงอาทิตย์  และดวงจันทร์

การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ เกิดจากการหมุนรอบตัวเองของโลกจากทิศตะวันตกไปยัง
ทิศตะวันออก จึงทำให้เห็นดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออกในตอนเช้า และเคลื่อนที่จนลับขอบฟ้า
ทางทิศตะวันตก

การขึ้นและการตกของดวงจันทร์  เกิดจากการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์จากทิศตะวันตก
ไปยัง ทิศตะวันออก โดยที่ดวงจันทร์ใช้เวลา 27.3 วันในการโคจรรอบโลก ทำให้ดวงจันทร์
ปรากฏในตำแหน่งเดิมช้าลง จึงเห็นดวงจันทร์เปลี่ยนแปลงทุกวัน

เมื่อโลกหมุนจากตะวันตกไปตะวันออกไปพร้อมกับท้องฟ้าของเรา ขณะที่ขอบฟ้าตะวันออก
สัมผัสดาว เรียกว่า ดาวขึ้น เมื่อขอบฟ้าตะวันตกพบดาว เรียกว่า ดาวตก เมื่อเมริเดียนสัมผัสดาวคือ
ตำแหน่งที่ดาวอยู่สูงสุดจากขอบฟ้า เรียก ทรานสิท (transit) ถ้าเห็นดาวผ่านเมริเดียนไปทางตะวันตก
เรียกว่า ทรานสิทบน (upper transit) ถ้าเห็นดาวผ่านเมริเดียนไปทางตะวันออก (ต่ำกว่าดาวเหนือ)
เรียกว่า ทรานสิทล่าง (lower transit) จะเห็นได้ว่าทุกอย่างในอวกาศนอกโลก ขึ้น – ตก เพราะโลก
หมุนรอบตัวเอง ดาวไม่เคลื่อนที่อย่างที่ตาเห็น ดาวไม่ได้เคลื่อนรอบโลกจากตะวันออกไปตะวันตกรอบ
ละ 1 วัน แต่โลกหมุนในทิศตรงข้ามโดยเอาขอบฟ้าไปพบดาว และเพราะการพาขอบฟ้าตะวันตกไปพบ
ดวงอาทิตย์ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ตกจึงเกิดขึ้น บนโลกมีทิศตะวันตก – ตะวันออกก็เพราะเหตุนี้
นั่นเอง ถ้าโลกไม่หมุนรอบตัวเอง ดวงดาวจะไม่ขึ้น – ตก เช่นเดียวกับเมื่ออยู่ในอวกาศไกลออกไปก็จะ
ไม่เห็นการขึ้น – ตกของดวงดาวแต่จะเห็นดาวอยู่รอบตัวของเรา เห็นดาวอยู่บนผิวทรงกลมฟ้า
(Celestial sphere)
          ปรากฏการณ์ดาวขึ้น-ตกเป็นผลสะท้อนจากการหมุนรอบตัวเองของโลก ซึ่งหมุนจากทิศตะวันตก
ไปทิศตะวันออก โลกกลม ๆ เมื่อหมุนรอบตัวเองจะหมุนรอบแกนที่ผ่านขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ แกน
ที่ผ่านขั้วโลกเหนือจะชี้ ไปยังขั้วฟ้าเหนือซึ่งมีดาวเหนืออยู่ใกล้ ๆ ดังนั้น เมื่อโลกหมุนจากทิศตะวันตก
ไปทิศตะวันออก ดาวจึงวนเป็นวงกลม รอบดาวเหนือ โดยวนจากด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก 
เส้นทางการขึ้น-ลงของดวงดาวทั้งหลายจะขนานกัน ในประเทศไทยดาวที่ขึ้นตรงจุดทิศตะวันออกพอดี
จะมี เส้นทางขึ้น-ตกเอียงไปทางทิศใต้เล็กน้อย ทำให้จุดที่ขึ้นไปสูงสุดอยู่ทางทิศใต้ของจุดเหนือศีรษะ
เป็นมุมเท่ากับ ละติจูด และคล้อยต่ำลงไปตรงจุดทิศตะวันตกพอดี รวมเวลาตั้งแต่ขึ้นถึงตกเท่ากับ 12
ชั่วโมงพอดี  ดาวที่ขึ้นเฉียงไปทางใต้ของจุดทิศตะวันออกเป็นมุมเท่าใด จะไปตกทางทิศตะวันตกเฉียง
ไปทางทิศใต้เป็น มุมเท่านั้นโดยจะมีเวลาอยู่เหนือขอบฟ้ายาวมากกว่า 12 ชั่วโมง โดยเส้นทางขึ้น-ตก
ขนานกับเส้นที่ขึ้นตรงจุดทิศตะวันออก  ดาวเหนืออยู่สูงจากขอบฟ้าทิศเหนือเป็นมุมเท่ากับละติจูด 15
องศาตลอด 24 ชั่วโมง เส้นทางขึ้น – ตกของดาวอาจหาได้จากส่วนโค้งของวงกลมบนท้องฟ้าที่มี
จุดศูนย์กลางอยู่ที่ดาวเหนือ และรัศมีเท่ากับระยะที่ดาวห่างจากดาวเหนือนั่นเอง

ผลที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของโลก

          -  ดาวขึ้น – ตก เพราะโลกหมุนรอบตัวเองจากตะวันตกไปตะวันออกรอบละ 1 วัน
          -  เส้นทางขึ้น – ตกของดาวฤกษ์จะคงที่เหมือนเดิมทุกคืนตลอดชีวิตของเรา แต่จะขึ้นเร็วหรือ
มาอยู่ที่เก่าในเวลาที่เร็วขึ้นวันละ 4 นาที เพราะโลกโคจรอบดวงอาทิตย์
          -  เส้นทางขึ้น – ตกของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปทุกวัน เพราะแกนที่โลกหมุนรอบเอียงจากแนวตั้ง
ฉากกับแนวระนาบทางโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เป็นมุมประมาณ 23.5 องศา
          -  เส้นทางขึ้น – ตกของดวงจันทร์ดาวเคราะห์เปลี่ยนไปทุกวัน เพราะดวงจันทร์โคจรรอบโลก
และดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์

          สรุปได้ว่า โลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นตกของดวงดาว  ทำให้เกิดทิศ
และกลางวันกลางคืน ส่วนโลกเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เห็นดาวขึ้นเร็วทุกวัน วันละประมาณ
4 นาที หรือเดือนละ 2 ชั่วโมง บนท้องฟ้ามีดาวที่เป็นต้นกำเนิดของชื่อวัน และคนไทยตั้งชื่อเดือน
สุริยะคติตามชื่อกลุ่มดาวจักรราศี สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้านั้นมีความสวยงามเสมอทั้งที่เห็นด้วยตา
เปล่า และภาพที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์



สรปุ ความรู้
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่6
เรอ่ื งอาหารและการยอ่ ยอาหาร

อาหาร (Food) หมายถึง สิ่งที่เรารับประทานเขา้ ไปในรา่ งกายไดอ้ ยา่ งปลอดภยั และมปี ระโยชน์ต่อรา่ งกาย

อาหารหลกั 5 หมู่

หม่ทู ี่ 1 ประเภท โปรตนี ได้แก่ เน้อื สัตว์ ไข่ นม และถว่ั ตา่ ง ๆ
ประโยชน์ ทาให้รา่ งกายเจรญิ เติบโต และแข็งแรง ช่วยซ่อมแซมสว่ นที่สกึ หรอของร่างกาย

หมทู่ ี่ 2 ประเภท คารโ์ บไฮเดรต ได้แก่ ขา้ ว แปง้ นา้ ตาล เผอื ก มัน อ้อย
ประโยชน์ คอื ใหพ้ ลังงานและความอบอ่นุ แกร่ า่ งกาย

หมทู่ ่ี 3 ประเภท วิตามนิ และเกลอื แร่จากผกั ได้แก่ ผักใบเขียว และพืชผักอน่ื ๆ
ประโยชน์ ทาใหร้ า่ งกายมีความต้านทานโรคได้ดี ช่วยควบคุมการทางานของรา่ งกายให้
เป็นปกติ
หมทู่ ่ี 4 ประเภท วติ ามินและเกลอื แรจ่ ากผลไม้ ไดแ้ ก่ ผลไม้ เป็นอาหารทมี่ ีเสน้ ใย
ประโยชน์ ช่วยในการขบั ถา่ ยอจุ จาระ ทาใหไ้ ม่เกิดอาการท้องผูก ช่วยสร้างเสรมิ รา่ งกาย
ให้แขง็ แรง ช่วยควบคมุ การทางานของร่างกายให้เป็นปกติ

หมู่ท่ี 5 ประเภท ไขมนั จากพืชและสัตว์ ได้แก่ นา้ มนั จากพืชและสตั ว์
ประโยชน์ ใหพ้ ลังงานแกร่ า่ งกายช่วยให้รา่ งกายอบอนุ่

สารอาหาร (Nutrient) คอื สารเคมที อ่ี ยู่ในอาหาร โดยรา่ งกายนาไปใชใ้ นกระบวนการต่าง ๆ เพ่อื การ
เจรญิ เติบโตและการดารงชีวติ สามารถแบง่ ออกเปน็ 6 ประเภท ได้แก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมัน
วิตามิน เกลอื แร่ และน้า

ประโยชน์ของสารอาหาร ประโยชน์

สารอาหาร ช่วยให้พลงั งานและความอบอ่นุ แกร่ า่ งกาย

คาร์โบไฮเดรต ทาใหร้ ่างกายเจริญเตบิ โต ซอ่ มแซมสว่ นทส่ี ึกหรอ
ให้พลงั งานแก่รา่ งกาย
โปรตนี ใหค้ วามอบอุ่น ใหพ้ ลังงาน
ช่วยดูดซมึ วติ ามินท่ลี ะลายได้ในไขมนั
ไขมัน ช่วยให้อวยั วะต่าง ๆ ในรา่ งกายทางานเป็นปกติ
สรา้ งภมู คิ ุ้มกันให้แก่ร่างกาย
วิตามิน ชว่ ยให้อวัยวะตา่ ง ๆ ในรา่ งกายทางานเป็นปกติ
สร้างภูมคิ ้มุ กนั ให้แกร่ า่ งกาย
เกลอื แร่ ชว่ ยในการนาของเสียออกจากรา่ งกาย
ชว่ ยในการควบคุมอณุ หภูมิ
นา้

คณุ คา่ ของสารอาหาร

วติ ามิน/แรธ่ าตุ ความสาคัญ แหลง่ อาหาร ผลจาการขาด

วิตามินเอ ช่วยบารุงสายตาและผวิ หนงั นม เนย ไขแ่ ดง ตบั จะมองเหน็ วตั ถใุ นท่สี ลวั ไมช่ ัดเจนตาดา

(A) นา้ มนั ตับปลา ผกั และผลไม้ อักเสบ กระจกตาขุน่ และผิวหนงั แห้ง

วติ ามนิ บี 1 ใหพ้ ลังงานและนากระแสความรู้สึก ยีสต์ ธญั พชื ถั่ว และเน้อื สตั ว์ มีอาการออ่ นเพลีย หงดุ หงดิ

(B1) ของเสน้ ประสาท และมกั จะผสมในวิตามนิ บีรวม ความจาไมด่ ี นอนไม่หลบั

วติ ามนิ บี 2 มีความจาเป็นต่อสุขภาพผวิ หนัง เนื้อสตั ว์ ไข่ ตับ และผกั ใบ ตาจะไวตอ่ แสงแดดและอาจพร่าเลือน

(B2) และระบบประสาท เขยี ว ผวิ หนงั จะเปน็ สะเกด็ มนั ๆ

วติ ามนิ ซี เสรมิ สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั เป็นสารตา้ น ผัก ผลไม้ เชน่ พริกหวาน อาการอ่อนเพลีย ปวดตามข้อ ปวด

(C) อนมุ ลู อสิ ระ โขม กะหล่าดอก และตับสัตว์ กลา้ มเนอ้ื

วติ ามนิ ดี ช่วยเสรมิ การทางานของกระดูก แสงแดด เกดิ โรคกระดกู พรุน
(D) กลา้ มเนือ้ หัวใจ ปอด
และสมอง ไข่ พืช ผกั ผลไม้ อาหาร ความผดิ ปกตทิ างระบบประสาท
วิตามินอี จาพวกถ่ัว ระบบเลอื ด ระบบสบื พนั ธุ์
(E) ป้องกนั การอุดตนั ของเม็ดเลอื ด
ตอ่ ต้านอนุมูลอิสระ ชว่ ยในการทางานของประสาท เด็กเจรญิ เติบโตไมเ่ ต็มท่ี ในหญงิ มี
แคลเซยี ม และป้องกนั การอักเสบ และกลา้ มเน้อื ครรภจ์ ะทาให้ฟันผุ
(Ca)
นม เนื้อ ไข่ ผักสเี ขียวเข้ม สัตว์ นม เนื้อสัตว์ ไข่ ถวั่ ผกั บาง ออ่ นเพลีย กระดกู เปราะและแตกงา่ ย
ฟอสฟอรสั ท่กี ินท้ังเปลอื กและกระดกู เช่น ชนิด เช่น เหด็ มะเขอื เทศ ท้องผกู ออ่ นเพลยี สูญเสยี เนอ้ื เยอ่ื
(P) ผักใบเขยี วทุกชนิด สะระแหน่ กล้ามเนื้อ ภาวะหัวใจเตน้ ผิดปกติ
กงุ้ แหง้ ปลา เมล็ดทานตะวนั ถ่ัว เปน็ ตน้
โพแทสเซยี ม
(K) ชว่ ยในการสร้างกระดกู และฟันการ
ดูดซมึ คาร์โบไฮเดรตการสร้างเซลล์

ประสาท

ควบคุมสมดลุ ของน้าในร่างกาย
และช่วยทาใหห้ ัวใจเตน้ เปน็ ปกติ

เหล็ก เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์

(Fe) ตับ เน้อื สัตว์ ถัว่ ไข่ ผักสเี ขียว บางชนดิ และฮีโมโกลบนิ ในเม็ด โลหติ จาง ออ่ นเพลยี

เลือดแดง

ไอโอดีน อาหารทะเล เกลือสมทุ ร เป็นสว่ นประกอบของฮอร์โมน ในเดก็ ทาให้สติปัญญาเส่ือม ร่างกาย
(I) เกลือเสริมไอโอดนี
ไทรอกซิน ซงึ่ ผลติ จากต่อม แคระแกรน ในผู้ใหญ่ จะทาใหเ้ ปน็

ไทรอยด์ โรคคอพอก

ธงโภชนาการ

ธงโภชนาการ คือ แนวทางการรบั ประทานอาหารที่ใหค้ ุณคา่ ทางอาหารครบถ้วนกบั ความตอ้ งการ
ของรา่ งกาย โดยการนาอาหารหลัก 5 หมู่ มาจัดแบง่ ออกเปน็ ชั้นๆ ตามสดั ส่วน ปรมิ าณ และ
ความหลากหลาย ที่ควรรับประทานใน 1 วัน

ธงโภชนาการแสดงปรมิ าณอาหารทเ่ี ดก็ ไทยควรบรโิ ภคใน 1 วนั

ขา้ ว-แปง้
วนั ละ 8-12 ทพั พี

ผกั ผลไม้
วนั ละ วนั ละ 3-5 สว่ น
4-6 ทพั พี
เนอื้ สตั ว์
นม วนั ละ 6-12 ชอ้ นกนิ ขา้ ว
วนั ละ 1-2 แกว้

นา้ มนั นา้ ตาล เกลอื วันละน้อย ๆ

1.จากธงโภชนาการ ใน 1 วนั นักเรียนควรรับประทานอาหารใดในปรมิ าณมากทสี่ ดุ ขา้ ว-แปง้

2.จากธงโภชนาการ ใน 1 วัน นกั เรยี นควรรบั ประทานอาหารใดในปริมาณนอ้ ยทส่ี ดุ นา้ มนั นา้ ตาล เกลอื

การเลอื กรบั ประทานอาหาร

ชว่ งวยั ลักษณะของช่วงวัย สารอาหารท่ีต้องการ พลังงานทต่ี ้องการ
วัยทารก ชว่ ง 0-6 เดือน น้านมของมารดา
(0-1 ป)ี มีกล้ามเนอ้ื น้อยเมือ่ อายุครบ หรือนมผงสาหรับทารก หลัง6เดือน 500-800
1 ปจี ะมีมวลเพมิ่ ขนึ้ จากแรก ควรได้รับสารอาหารครบท้ัง 5 หมู่ กิโลแคลอรี
วยั ก่อนเรยี น ต้องการสารอาหารและพลังงานสงู
(1-6 ป)ี เกิดประมาณ 3 เทา่ จึงควรรบั ประทานใหค้ รบทงั้ 5 หมู่ เพศชาย1,000-1,300
กโิ ลแคลอรี
วยั เรยี น รปู ร่างจะคอ่ ย ๆ ยดื ออก ในปรมิ าณทีม่ ากข้นึ
(6-12 ป)ี ศรี ษะมขี นาดเล็กลงเม่อื เทียบ เพศหญงิ 1,000-1,300
กบั ขนาดของร่างกาย ขนาด ตอ้ งการพลังงานโปรตีน วติ ามนิ กิโลแคลอรี
ของมือและเทา้ จะใหญข่ นึ้ มฟี ัน และเกลือแร่
เพศชาย1,400-1,700
น้านม ต้องการสารอาหาร กโิ ลแคลอรี
และพลังงานมากที่สุด
รา่ งกายจะมขี นาดใหญข่ นึ้ เพศหญิง1,400-1,500
โดยมวลและความสูงจะเพมิ่ ขน้ึ รบั ประทานอาหารให้หลากหลาย กิโลแคลอรี
ซึง่ ปริมาณอาหารและพลังงาน
ทุกปแี ละเรม่ิ มีฟันแท้ขึ้น ที่รา่ งกายต้องการจะขึน้ อย่กู บั อายุ เพศชาย2,100-2,300
กิโลแคลอรี
วยั รนุ่ ร่างกายจะมีการเจริญเตบิ โต เพศ และกจิ กรรมทีท่ า
(12-18 ปี อย่างรวดเร็วและเปลย่ี นแปลง ตอ้ งการสารอาหารเช่นเดยี วกบั เพศหญิง1,800-1,850
วัยหนมุ่ สาว แตต่ ้องควบคมุ อาหาร กโิ ลแคลอรี
อยา่ งเหน็ ไดช้ ัด เพราะเผาผลาญพลงั งานไดน้ อ้ ยลง
เพศชาย2,150
วยั หนมุ่ สาว ร่างกายจะมกี ารเจริญเติบโต ต้องการสารอาหารประเภทโปรตนี กโิ ลแคลอรี
(18-39 ป)ี สมบรู ณ์เตม็ ท่วี ยั นี้จึงเหมาะแก่ แร่ธาตแุ ละวิตามนิ
เพศหญิง1,750
การมีบุตร เพือ่ ซ่อมแซมรา่ งกายสว่ นทีส่ กึ หรอ กโิ ลแคลอรี

วยั กลางคน ร่างกายจะค่อยๆเสื่อมโทรมลง เพศชาย2,100
กิโลแคลอรี
(40-65 ปี) กลา้ มเนื้อต่าง ๆ จะมีความ
เพศหญิง1,750
แข็งแรงลดลงเรมิ่ มีไขมันสะสม กิโลแคลอรี

ใต้ผวิ หนัง เสน้ ผมเริ่มหงอก เพศชาย1,750
กิโลแคลอรี
วยั ชรา ร่างกายจะเส่อื มโทรม
เพศหญิง1,550
(65 ปีขึน้ ไป) เกอื บทกุ ระบบ กโิ ลแคลอรี

การตรวจสอบสารอาหาร

สารอาหารท่ใี หพ้ ลังงานแบง่ ออกเป็น 3 ประเภทคือ คารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมนั
การตรวจสอบสารอาหารทใี่ ห้พลงั งานสามารถทาไดด้ งั นี้
1. การตรวจสอบแปง้ ทาได้โดยหยดสารละลายไอโอดนี ลงในอาหาร หากสขี องสารละลายไอโอดีนเปล่ยี นเปน็
น้าเงินปนมว่ ง แสดงว่าอาหารนัน้ มีแป้ง
2. การตรวจสอบนา้ ตาล (กลโู คส) ทาได้โดยหยดสารละลายเบเนดิกตล์ งในอาหาร แลว้ น้าไปอุ่นในน้าเดอื ด
หากสีของสารละลายเบเนดกิ ต์เปล่ยี นดังนี้
2.1 เปลี่ยนเปน็ สเี ขยี วออ่ น แสดงวา่ อาหารนนั้ มนี ้าตาลกลูโคสอยู่บา้ ง
2.2 เปล่ียนเปน็ สเี หลอื ง แสดงว่าอาหารน้ันมีน้าตาลกลูโคสเล็กน้อย
2.3 เปลี่ยนเป็นสีน้าตาลหรอื สแี ดงอิฐ แสดงว่าอาหารนนั้ มนี า้ ตาลกลูโคสจานวนมาก
3. การตรวจสอบโปรตนี ทาได้โดยหยดสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟตกบั สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดล์ งใน
อาหาร หากสขี องสารละลายทัง้ 2 ชนดิ เปล่ียนเปน็ สีมว่ งออ่ นหรือม่วงอมชมพู แสดงวา่ อาหารนน้ั มโี ปรตนี
4. การตรวจสอบไขมนั ทาไดโ้ ดยนาอาหารวางไว้บนกระดาษสี ขาว จากน้นั หยิบอาหารออกแล้วนากระดาษ
มาสอ่ งดูความโปร่งแสง หากกระดาษโปรง่ แสง แสดงว่าอาหารนนั้ มไี ขมัน

เรอื่ งระบบยอ่ ยอาหารของมนษุ ย์

อาหารท่ีรับประทานเข้าไปในร่างกายจะค่อย ๆ เคลื่อนท่ีผ่านอวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร เพ่ือทาให้เป็น
สารอาหารท่มี ขี นาดเลก็ และดูดซึมเขา้ สรู่ า่ งกายได้ อวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร ไดแ้ ก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร
ลาไสเ้ ลก็ ลาไสใ้ หญ่ ทวารหนกั ตบั และตบั อ่อน โดยอวยั วะเหล่านีจ้ ะทาหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั แตม่ ีการทางานร่วมกันเป็น
ระบบย่อยอาหาร ดงั น้ี

ปาก (Mouth) หลอดอาหาร (Esophagus)
(ฟนั ลนิ้ ตอ่ มนา้ ลาย) กระเพาะอาหาร (Stomach)

ตับ (Liver) ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine)

ลาไสเ้ ลก็ (Small intestine)

ทวารหนกั (Anus)

ตับออ่ น (Pancreas)

ระบบยอ่ ยอาหาร (Digestive System) มีหน้าท่ยี อ่ ยอาหารให้ละเอียด แลว้ ดดู ซมึ ผา่ นเข้าสู่กระแสเลือด
เพื่อไปเลย้ี งสว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย

การยอ่ ยอาหาร (Digestion) หมายถึง กระบวนการสลายอนภุ าคอาหารใหม้ ขี นาดเล็กสดุ จนสามารถดูดซึม
เขา้ ไปในเซลล์ได้ เมื่อมนษุ ย์รบั ประทานอาหารเข้าสูร่ า่ งกาย จะผ่านระบบต่าง ๆ ดงั น้ี

- ปาก (Mouth)

- หลอดอาหาร (Esophagus)

- กระเพาะอาหาร (Stomach)

- ลาไสเ้ ลก็ (Small intestine)

- ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine)

- ทวารหนกั (Anus)

การยอ่ ยอาหารเปน็ การเปลย่ี นแปลงโมเลกลุ ของสารอาหารใหม้ ขี นาดเลก็ ลง จนรา่ งกาย
สามารถดดู ซมึ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ แบง่ การยอ่ ยออกเปน็ 2 ประเภท คอื

๑. การยอ่ ยเชงิ กล (Mechanical digestion) เปน็ การเปลีย่ นแปลงขนาดของอาหารให้เล็กลง
โดยการบดเคีย้ วของฟนั การบีบตวั ของกลา้ มเนอ้ื ทางเดนิ อาหาร

๒. การยอ่ ยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการเปลีย่ นแปลงขนาดของอาหาร โดยมี
เอนไซม์ทเ่ี ป็นนา้ ย่อยเข้ามาเก่ียวข้อง ทาให้อาหารมีขนาดเล็กลงทส่ี ุด เพอ่ื ทรี่ า่ งกายสามารถดูดซมึ ไปใชไ้ ด้

หนา้ ทข่ี องอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร

ปาก (Mouth) ทาหนา้ ที่ มฟี นั บดเคยี้ วอาหาร มลี ิ้นคลกุ เคลา้
อาหาร มตี อ่ มนา้ ลายสรา้ งน้ายอ่ ย ช่อื อะไมเลส ทาหนา้ ที่ยอ่ ยแป้ง

หลอดอาหาร (Esophagus) ทาหน้าท่ี ลาเลยี งและส่งอาหารไปยัง
บริเวณกระเพาะอาหาร โดยกลา้ มเนอื้ จะบีบตัวทาใหอ้ าหารเคลอื่ นที่
ผา่ นไปได้

กระเพาะอาหาร (Stomach) ทาหน้าที่ สร้างกรดและเอนไซม์
ในการยอ่ ยโปรตีนและลาเลียงอาหารส่งไปยังลาไส้เลก็

ลาไสเ้ ลก็ (Small intestine) ทาหนา้ ทผ่ี ลติ เอนไซมแ์ ละนา
เอนไซม์ทส่ี ่งมาจากตับอ่อนมาย่อยโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมัน

เม่อื สารอาหารในลาไส้เลก็ ถกู ย่อยและดูดซึมแลว้ จะเปน็ กากอาหาร
สง่ ไปยงั ลาไสใ้ หญ่

ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine) ทาหนา้ ท่ีรับกากอาหารจาก
ลาไสเ้ ลก็ ดดู ซึมนา้ และเกลอื แร่ออกจากกากอาหาร และลาเลียงไป
ยังทวารหนกั

ตบั (Liver) ทาหน้าทส่ี รา้ งนา้ ดีและลาเลยี งมายงั ลาไส้เล็กเพือ่
ช่วยให้ไขมันแตกตวั

ตบั ออ่ น (Pancreas) ทาหนา้ ที่สรา้ งเอนไซม์หลายชนดิ ทใี่ ช้
สาหรบั การยอ่ ยสารอาหาร จากนั้นจะส่งไปทลี่ าไสเ้ ลก็

ทวารหนกั (Anus) ทาหน้าท่ี ขับกากอาหารทสี่ ะสม และ
รวมกันอยู่ในลาไส้ตรงใหอ้ อกจากร่างกายในรปู ของอจุ จาระ

เกรด็ ความรู้

ตับและตับออ่ นเปน็ อวัยวะท่ีเกีย่ วข้องกบั การยอ่ ยอาหาร แต่ไม่ไดอ้ ยู่ในระบบทางเดินอาหาร
ตับจะผลิตน้าดีไปเก็บที่ "ถงุ นา้ ด"ี และเมอื่ ใชจ้ ะส่งไปทล่ี าไส้เลก็ ตอนต้น
น้าดไี มใ่ ช่นา้ ยอ่ ย แต่มหี นา้ ทชี่ ว่ ยใหไ้ ขมันแตกตวั มขี นาดเลก็ ลง จงึ ทาใหน้ า้ ยอ่ ยทางานได้มี
ประสิทธิภาพมากข้ึน
ตบั อ่อนจะผลติ น้ายอ่ ยสารอาหารท้ังโปรตีน, ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต โดยจะส่งไปทล่ี าไสเ้ ล็ก
ตอนตน้

เอนไซม์ เปน็ สารประกอบประเภทโปรตีน ในกระเพาะอาหารมเี อนไซม์ คอื เพปซนิ จะ
เอนไซมท์ ใี่ ช้ในการยอ่ ยอาหาร เรยี กวา่ นา้ ยอ่ ย ทางานร่วมกับกรดไฮโดรคลอริก ยอ่ ยโปรตีน
จากพชื และสตั ว์และเรนนนิ ยอ่ ยโปรตีนในนม

ในน้าลายมีเอนไซม์ ชอื่ อะไมเลส

แนวทางในการดแู ลอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร

1. รบั ประทานอาหารทส่ี ะอาดและปรงุ สกุ ใหม่
2. รบั ประทานอาหารทม่ี ใี ยอาหารสงู ไดแ้ ก่ ผกั และผลไมต้ า่ ง ๆ
3. รบั ประทานอาหารใหเ้ ปน็ เวลา ครบทง้ั 3 มอ้ื และรบั ประทานอาหารในปรมิ าณทเี่ หมาะสม
4. หลกี เลยี่ งการรบั ประทานอาหารทม่ี รี สจดั เพราะจะทาใหเ้ กดิ กรดในกระเพาะอาหารมากเกนิ ไป
5. ออกกาลงั กายสมา่ เสมอ เพอ่ื ชว่ ยใหอ้ วยั วะตา่ ง ๆ แขง็ แรง และทางานไดเ้ ปน็ ปกติ
6. หลกี เลย่ี งเนอื้ สตั วต์ ดิ มนั หรอื อาหารทม่ี ไี ขมนั สงู
7. หลกี เลย่ี งการสบู บหุ รหี่ รอื การดมื่ เครอื่ งดม่ื ทม่ี แี อลกอฮอล์
8. ดมื่ นา้ อยา่ งนอ้ ย 6−8 แกว้ หรอื 2 ลติ รตอ่ วนั หรอื ตามทรี่ า่ งกายตอ้ งการตอ่ วนั

สรปุ ความรู้
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่6
เรอื่ งการแยกสารเนื้อผสม

สสาร (Matter) คอื สงิ่ ท่ีมีมวล ตอ้ งการทอี่ ยู่ และสามารถสัมผัสไดด้ ้วยประสาทสัมผสั
เช่น ข้าวสาร ถวั่ เขียว ผลไม้ อากาศ และน้า

สาร (Substance) คอื สสารทม่ี สี มบัตชิ ัดเจนและมีองค์ประกอบทแี่ นน่ อน
เช่น นา้ ตาล นา้ และแก๊สออกซิเจน

สมบตั ขิ องสาร แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ
1. สมบตั ทิ างกายภาพ หมายถงึ สมบตั ิท่สี งั เกตได้จากลกั ษณะภายนอก และเกยี่ วกบั วิธีการทางฟสิ กิ ส์
เชน่ ความหนาแน่น , จุดเดอื ด , จดุ หลอมเหลว
2. สมบตั ทิ างเคมี หมายถงึ สมบตั ิที่เกดิ ขน้ึ จากการทาปฏกิ ริ ยิ าเคมี เชน่ การติดไฟ ,การเป็นสนิม ,
ความเป็น กรด - เบส ของสาร

การจาแนกสารมี 4 เกณฑ์ ได้แก่
1. การใช้สถานะเปน็ เกณฑ์
2. การใชเ้ น้ือสารเป็นเกณฑ์
3. การละลายนา้ เป็นเกณฑ์
4. การนาไฟฟ้าเป็นเกณฑ์

การแยกสาร หมายถงึ การท่ีแยกสารทผี่ สมกันตง้ั แต่ ๒ ชนดิ ข้นึ ไปออกจากกัน เพอื่ นาสารท่ีได้นนั้ ไป
ใช้ประโยชนต์ ามตอ้ งการ ซงึ่ สามารถจาแนกไดค้ อื การแยกสารเน้อื ผสม และการแยกสารเน้ือเดยี ว
การจาแนกสารโดยใชเ้ นอ้ื สารเปน็ เกณฑ์ เมอ่ื ใช้สมบัตทิ างกายภาพของสารท่ีไดจ้ ากการสงั เกตลักษณะความแตกต่าง
ของเน้อื สาร จะสามารถจาแนกไดอ้ อกเป็น 2 กลุม่ คอื
1. สารเนอื้ เดยี ว (Homogeneous Substance) หมายถึง สารที่อาจมชี นิดเดยี วหรอื อาจมตี ้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไป
ผสมกนั อยูอ่ ย่างกลมกลนื มองเห็นเปน็ เน้ือเดียวกนั ตลอด อาจมหี ลายสถานะ และจะแสดงสมบตั เิ หมือนกนั
ทุกประการ

เกลอื
นา้
2.สารเนอื้ ผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารตัง้ แต่ 2 ชนิดขึ้นไปที่นามาผสมกนั โดยเน้ือสาร
ไมก่ ลมกลนื เป็นเนอื้ เดยี วกนั สามารถมองเห็นได้ว่ามสี ารมากกว่า 1 ชนดิ เปน็ องค์ประกอบ

น้าจ้มิ ไก่ น้าพรกิ กะปิ

สารเนอื้ ผสมมไี ดท้ ง้ั 3 สถานะ เช่น
1. สารเนอ้ื ผสมสถานะของแขง็ เชน่ ทราย คอนกรีต ดนิ เปน็ ตน้
2. สารเนอื้ ผสมสถานะของเหลว เช่น น้าคลอง น้าโคลน น้าจม้ิ ไก่ เปน็ ตน้
3. สารเนอ้ื ผสมสถานะแกส๊ เช่น ฝนุ่ ละอองในอากาศ เขม่า ควันดาในอากาศ เป็นตน้

วิธกี ารแยกสารเนอ้ื ผสม

การแยกสารเน้ือผสมอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การกรอง การหยิบออก การร่อน การรินออก
การใชแ้ ม่เหลก็ ดดู การตกตะกอน การระเหิด ซึ่งเป็นการแยกสารโดยวิธีทางกายภาพทั้งสิ้น สารท่ีแยกได้จะ
มสี มบัติเหมอื นเดมิ ซึง่ รายละเอียดของวธิ กี ารแยกแบบตา่ ง ๆ สรุปได้ดงั น้ี

การกรอง เป็นวิธีการแยกสารออกจากกันระหว่างของแข็งกับของเหลว หรือ
การหยบิ ออก ใช้แยกสารแขวนลอยออกจากน้า ซ่ึงใช้กันมากในทางเคมี โดยเฉพาะใน
ห้องปฏิบัติการท่ีกรองสารในปริมาณน้อย ๆ การกรองน้ันจะต้องเทสาร
การรอ่ น ผ่านกระดาษกรอง หรืออาจใชว้ สั ดตุ า่ งๆนอกเหนือจากกระดาษกรองก็ได้

เป็นการแยกของผสมท่ีมขี นาดใหญ่ มองเห็นได้ชัด วิธีการแยกสาร
ด้วยการหยิบออก คือ ใช้มือหยิบออก เขี่ยออก หรือใช้อุปกรณ์อ่ืน ๆ
ชว่ ยหยบิ ออก เชน่ แยกเมล็ดข้าวเปลือกทปี่ นกบั ขา้ วสาร

เป็นวิธีการแยกสารที่มีสถานะเป็นของแข็งออกจากกัน ซ่ึง
องค์ประกอบของสารนั้นจะต้องมีขนาดที่แตกต่างกัน จึงจะสามารถแยก
สารโดยวิธีการร่อนได้ เช่น การแยกทรายละเอียดและทรายหยาบออก
จากกนั เพือ่ ใชใ้ นการก่อสร้าง การร่อนทอง เป็นตน้

เปน็ วธิ ีการแยกสารผสมท่มี ขี องแข็งผสมอยู่กบั ของเหลว โดยของแข็ง
จะไม่ละลายในของเหลวน้ัน วิธีการแยกสารด้วยการรินออก คือ ค่อย ๆ
รนิ สารส่วนท่เี ป็นของเหลวให้แยกออกจากส่วนที่เป็นของแข็ง

การรนิ ออก

การใชแ้ มเ่ หลก็ ดดู เป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีในส่วนประกอบหนึ่งของสารผสมมีสมบัติ
การตกตะกอน ในการถูกแม่เหลก็ ดงึ ดูดได้ เรยี กวา่ สารแมเ่ หลก็ เชน่ การแยกผงตะไบเหล็ก
การระเหดิ ออกจากสารหรือ การแยกเหล็กออกจากสินแร่

ใช้แยกของผสมเนื้อผสมทเี่ ปน็ ของแขง็ แขวนลอยอยู่ในของเหลว ทาได้โดย
นาของผสมนั้นวางทงิ้ ไว้ใหส้ ารแขวนลอยค่อย ๆ ตกตะกอนนอนก้น

ในกรณที ่ีตะกอนเบามากถา้ ตอ้ งการใหต้ กตะกอนเร็วขึ้นอาจทาได้โดย ใช้
สารตัวกลางให้อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากขึ้น น้าหนักจะ
มากข้ึนจะตกตะกอนไดเ้ รว็ ขึ้น

เป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีมีของแข็ง ที่ระเหิดได้ผสมกับของแข็งท่ี
ระเหิดไม่ได้ วิธีการแยกสารด้วยการระเหิด คือ ให้ความร้อนกับสารผสม
จะทาให้สารที่ระเหิดได้เปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเป็นไอ โดยไม่ผ่าน
สถานะของเหลว ทาให้แยกสารออกจากสารผสมนนั้ ได้

สรุปความรู้
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี6
เรอ่ื งแรงไฟฟา้ และพลงั งานไฟฟา้

แรงไฟฟา้ คอื แรงทเี่ กิดขึ้นระหว่างประจไุ ฟฟ้าดว้ ยกัน มที ั้งแรงดงึ ดดู และแรงผลกั
แรงไฟฟา้ เกดิ ขนึ้ ไดเ้ องตามธรรมชาติ การนาวัตถมุ าขดั ถกู นั จะทาใหเ้ กดิ แรงไฟฟา้ ขน้ึ บริเวณท่ีมีการขัดถขู องวตั ถุ
เทา่ นน้ั เรยี กแรงไฟฟา้ นี้วา่ ไฟฟา้ สถติ

ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลต่อการเกดิ แรงไฟฟา้
1.ความชน้ื ของวตั ถุ วัตถทุ ี่มีความชนื้ สูงจะเกดิ แรงไฟฟ้าได้ค่อนขา้ งยาก
2.ประเภทของวสั ดุ วสั ดทุ ่ีเกิดแรงไฟฟ้าไดง้ ่าย เช่น พลาสติก แกว้ ยาง
3.ระยะเวลาทใี่ ชข้ ดั ถวู ตั ถุ หากนอ้ ยเกนิ ไปจะไม่ทาให้เกดิ แรงไฟฟ้า
ผลของแรงไฟฟา้ ทเ่ี กิดขน้ึ

เม่ือนาวตั ถุ 2 ชนิด มาขัดถกู ัน จะทาให้ประจุไฟฟา้ เกดิ การแลกเปลยี่ นกนั วตั ถจุ ึงไม่เปน็ กลางทางไฟฟา้
หากนาวตั ถทุ ่ีไม่เป็นกลางทางไฟฟ้ามาเข้าใกลว้ ตั ถทุ ม่ี ีน้าหนกั เบา จะเกิดการเหนย่ี วนาไฟฟ้าจึงสามารถดงึ ดูด
วตั ถุทีม่ ีนา้ หนักเบาได้

การตอ่ วงจรไฟฟา้

การตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย
วงจรไฟฟา้ คอื เสน้ ทางของกระแสไฟฟา้ ที่มาจากแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ ผ่านตวั นาไฟฟ้าและเครื่องใชไ้ ฟฟา้ หรือ
อปุ กรณไ์ ฟฟ้า แลว้ กลบั ไปยงั แหลง่ กาเนิดไฟฟา้ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย

วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยประกอบดว้ ย 3 สว่ นสาคญั ดงั น้ี
1.แหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ เชน่ ถา่ นไฟฉาย แบตเตอร่ี ทาหน้าทใี่ ห้พลังงานไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า ถ่านไฟฉายหรอื
แบตเตอร่ีซ่ึงประกอบดว้ ยเซลลไ์ ฟฟ้าหลายเซลล์ตอ่ กนั มีหลายประเภทและมีรูปรา่ งหลายแบบ บางประเภทมี
อายกุ ารใชง้ านสัน้ บางประเภทมอี ายกุ ารใชง้ านนาน หรือบางประเภทสามารถบรรจพุ ลงั งานไฟฟ้าได้ใหม่

2.สายไฟฟา้ หรอื ตวั นาไฟฟา้ ทาหน้าท่เี ชอ่ื มต่อระหวา่ งแหล่งกาเนิดไฟฟา้ และเคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ ภายในสายไฟฟา้ มี
ลวดทองแดงซึง่ เปน็ ตวั นาไฟฟ้าทยี่ อมให้กระแสไฟฟา้ ผา่ น ส่วนภายนอกมีฉนวนหุ้มซึ่งจะไม่ยอมใหก้ ระแสไฟฟ้า
ผา่ น

3.อปุ กรณไ์ ฟฟา้ หรอื เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ทาหนา้ ท่เี ปลีย่ นพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานอื่น เช่นหลอดไฟฟ้าทาหน้าท่ี
เปลี่ยนพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานแสง

เม่ือตอ่ วงจรไฟฟา้ จะมีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่านในวงจร โดยมสี วติ ซท์ าหน้าท่คี วบคมุ กระแสไฟฟ้า
วงจรปดิ คือ วงจรทกี่ ระแสไฟฟ้าไหลได้ครบวงจร ทาให้โหลด
หรอื เครอื่ งใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่ในวงจรนนั้ ๆ ทางาน

วงจรเปดิ คอื วงจรท่กี ระแสไฟฟ้าไมส่ ามารถไหลได้ครบวงจร
ซ่ึงเป็นผลทาใหเ้ ครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ท่ตี ่ออยู่ในวงจรไมส่ ามารถจา่ ย
พลังงานออกมาได้

สญั ลกั ษณข์ องส่วนประกอบตา่ ง ๆ ในการตอ่ วงจรไฟฟา้

ตัวนาและฉนวนไฟฟา้

วสั ดทุ ี่นาไฟฟา้ ได้ เมอ่ื ตอ่ กับวงจรไฟฟา้ จะทาให้หลอดไฟฟ้าสวา่ ง เรียกวา่ ตวั นาไฟฟา้
ส่วนวัสดุท่ไี มน่ าไฟฟา้ เมอื่ ต่อกับวงจรไฟฟ้าจะทาใหห้ ลอดไฟฟา้ ไมส่ ว่าง เรียกวา่ ฉนวนไฟฟา้

1.ตวั นาไฟฟา้ คอื วสั ดุทีย่ อมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ สว่ นใหญ่เปน็ วสั ดุประเภทโลหะ
เชน่ เงนิ ทองแดง อะลูมเิ นียม

2.ฉนวนไฟฟา้ คอื วสั ดุทไ่ี มย่ อมให้กระแสไฟฟา้ ไหลผา่ นหรอื ไหลผา่ นได้ไมด่ ี เช่น พลาสติก ไม้ แก้ว ยาง ผา้

การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม
การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม วงจรไฟฟ้าท่ีประกอบด้วยเซลลไ์ ฟฟ้า ตวั นาไฟฟ้า และหลอดไฟฟ้า

เป็นวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ยท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ การเคล่ือนทข่ี องกระแสไฟฟ้าจากแหล่งกาเนิดไปเครอื่ งใช้ไฟฟา้
เซลลไ์ ฟฟา้ หมายถงึ แหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ หรอื แหลง่ จ่ายไฟชนดิ หน่งึ เช่น ถ่านไฟฉาย โดยถ่านไฟฉาย

1 ก้อนแทนเซลลไ์ ฟฟา้ 1 เซลล์

การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ หมายถงึ การนาเซลล์ไฟฟ้ามาต่อกันในรูปแบบตา่ ง ๆ
การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม หมายถงึ การนาเซลล์ไฟฟา้ แต่ละเซลล์มาตอ่ กัน โดยนาขั้วบวกของเซลล์ไฟฟา้
เซลล์หนึง่ ต่อกบั ขั้วลบของอีกเซลล์หนึง่

การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม

ประโยชนข์ องการตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม คอื สามารถเพมิ่ กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าให้เหมาะสมกบั
เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ชนิดต่าง ๆ เช่น การใสถ่ ่านไฟฉายมากกวา่ 1 กอ้ นในไฟฉาย

การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน

การตอ่ หลอดไฟฟา้ มี ๒ แบบ คือ 1.การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รม 2.การต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน

1. การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รม ( Series Circuit ) คือ การต่อหลอดไฟฟา้ แบบเรยี งต่อกนั
โดยกระแสไฟฟ้าทผ่ี า่ นหลอดไฟฟา้ แตล่ ะดวงจะมีปรมิ าณเดยี วกัน เม่ือถอดหลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนงึ่ ออก
จะทาใหห้ ลอดไฟฟ้าทีเ่ หลอื ดบั ทง้ั หมดเพราะทาใหว้ งจรไฟฟา้ ไม่ครบวงจรและไมม่ กี ระแสไฟฟา้ ไหลผา่ น

ประโยชน์ ขอ้ จากดั

„ การตอ่ วงจรไมย่ ุง่ ยากซบั ซอ้ น „ หากหลอดไฟฟา้ ดวงหนึ่งชารุดหรือถกู
„ สามารถเปิดหลอดไฟฟ้าทกุ ๆ ดวงในวงจรได้พรอ้ มกนั ถอดออกหลอดไฟฟา้ ดวงท่เี หลอื จะดบั
ทง้ั หมด (วงจรไฟฟา้ เปดิ )

การประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั

„ ใชก้ บั การตอ่ หลอดไฟฟา้ ท่ตี อ้ งการให้สวา่ งพร้อมกัน เชน่ โคมไฟหรอื ไฟประดับตาม
สถานทีต่ ่าง ๆ ไฟกะพรบิ ตามงานรน่ื เรงิ การตอ่ ฟิวสภ์ ายในบ้านหรอื ในอาคารสถานทต่ี า่ ง


Click to View FlipBook Version