ตวั ชี้วดั ผู้เรยี นรูอ้ ะไร/ทาอะไรได้
ว 2.3 ม.3/14 เขยี น ผู้เรียนรอู้ ะไร
แผนภาพการเคล่อื นที่ การสะท้อนแสงจากแผ่นสะทอ้ นแสงผิวโคง้ เวา้
ของแสง แสดงการเกิด
ภาพจากกระจกเงา ทำอะไรได้
ใชท้ กั ษะการสร้างแบบจาลอง โดยการเขียนแผนภาพก
แสดงการเกดิ ภาพจากกระจกเงา
ว 2.3 ม.3/15 เขียน ผู้เรยี นรู้อะไร
แ ผ น ภ า พ ก า ร เ ค ลื่ อ น ที่ การเคลื่อนที่ของแสงแสดงการเกดิ ภาพจากเลนส์บาง
ข อ ง แ ส ง แ ส ด ง ก า ร เ กิ ด
ภาพจากเลนสบ์ าง ทำอะไรได้
บอกความสมั พันธ์ระหว่างมมุ หักเหและมมุ ตกกระทบ
การสะท้อนกลับหมดของแสง
การกระจายของแสง
าและผิวโค้งนนู นาไปสู่
ารเคล่อื นที่ของแสงเพื่อ สมรรถนะของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอันพึง
า ประสงค์
1. ความสามารถในการ 1.มีวนิ ัย
ส่ือสาร 2.ใฝ่เรียนรู้
2. ความสามารถในการคดิ 3.มุ่งม่นั ในการทางาน
1) ทักษะการสารวจคน้ หา
2) ทักษะการจาแนก
ประเภท
3) ทักษะการเปรียบเทยี บ
4) ทักษะการตีความ
ข้อมูลและการลง
ข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
ตวั ชีว้ ดั ผเู้ รยี นรู้อะไร/ทาอะไรได้
ว 2.3 ม.3/16 เขยี น ผู้เรียนรูอ้ ะไร
แผนภาพการเคล่อื นที่ การเคลอื่ นท่ีของแสงแสดงการเกิดภาพจากเลนสบ์ าง
ของแสงแสดงการเกดิ
ภาพจากเลนส์บาง ทำอะไรได้
บอกความสัมพนั ธร์ ะหว่างมมุ หักเหและมมุ ตกกระทบ
การสะท้อนกลบั หมดของแสงการกระจายของแสง
ว 2.3 ม.3/18 ผูเ้ รยี นร้อู ะไร
เขยี นแผนภาพการเคล่อื น ภาพที่เกดิ จากเลนส์นูน
ทขี่ องแสง แสดงการ
เกดิ ภาพของทัศน ทำอะไรได้
อปุ กรณ์และเลนสต์ า ใช้ทักษะการส่ือสาร จากการสบื คน้ ข้อมูล เกย่ี วกับการ
นาไปสู่
สมรรถนะของผูเ้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ
ประสงค์
1. ความสามารถในการ 1.มีวินัย
สือ่ สาร 2.ใฝเ่ รยี นรู้
2. ความสามารถในการคดิ 3.มุง่ มัน่ ในการทางาน
1) ทกั ษะการสารวจค้นหา
2) ทกั ษะการจาแนก
ประเภท
3) ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ
4) ทักษะการตีความ
ข้อมูลและการลง
ขอ้ สรปุ
3. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
รเกดิ ภาพของเลนส์ตา
ตัวชีว้ ดั ผ้เู รียนรอู้ ะไร/ทาอะไรได้
ว 2.3 ม.3/19 อธิบายผล ผ้เู รยี นรูอ้ ะไร
ข อ ง ค ว า ม ส ว่ า ง ท่ี มี ต่ อ อุปกรณ์วัดความสว่างของแสง พรอ้ มระบุหนว่
ดวงตาจากข้อมูลทไี่ ด้จาก
การสบื คน้ ทำอะไรได้
ว 2.3 ม.3/20 วัดความ ระบุความสว่างของแสงท่ีเหมาะสมในการทาก
สว่ าง ของ แสง โ ด ย ใ ช้
อุ ป ก ร ณ์ วั ด ค ว า ม ส ว่ า ง
ของแสง
ว 2.3 ม.3/21 ตระหนัก
ในคุณค่าของความรู้เรื่อง
ความสว่างของแสงท่ีมีต่อ
ดวงตา โดยวิเคราะห์
สถานการณ์ปัญหาและ
เสนอแนะการจัดความ
สว่างให้เหมาะสมในการ
ทากจิ กรรมต่าง ๆ
วยของการวัด นาไปสู่
กจิ กรรมต่าง ๆ
สมรรถนะของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอันพึง
ประสงค์
1. ความสามารถในการ 1.มีวนิ ัย
สื่อสาร 2.ใฝ่เรียนรู้
2. ความสามารถในการคดิ 3.มุ่งม่นั ในการทางาน
1) ทักษะการสารวจคน้ หา
2) ทกั ษะการจาแนก
ประเภท
3) ทักษะการเปรียบเทยี บ
4) ทักษะการตีความ
ขอ้ มูลและการลง
ข้อสรุป
3. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
ตัวชว้ี ดั ผ้เู รียนรอู้ ะไร/ทาอะไรได้
ว 3.1 ม.3/1 อธบิ ายการ ผู้เรียนรูอ้ ะไร
โคจรของดาวเคราะห์ การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ดว้ ยแรงโนม้ ถว่
รอบดวงอาทิตย์ด้วยแรง
โนม้ ถ่วงจากสมการ m2 / r2
F = (Gm1m2)/r2 ทำอะไรได้
ใชท้ ักษะด้านการสื่อสาร โดยนาเสนอกราฟปัจจยั ทีม่ ผี ลต่อ
ว 3.1 ม.3/2 สร้าง ผ้เู รยี นรู้อะไร
แบบจาลองท่ีอธบิ ายการ -การเกิดฤดูและการเคลอ่ื นที่ปรากฏของดวงอาทติ ย์
เกดิ ฤดู และการเคลอื่ นท่ี -การเคลื่อนทป่ี รากฏของดวงอาทิตยใ์ นรอบปี
ปรากฏของดวงอาทิตย์
ผู้เรียนทำอะไรได้
ทักษะการจดั กระทาและสือ่ ความหมายขอ้ มูล โดยนาข้อม
สังเกตแบบจาลอง มาจดั กระทาและนาเสนอเก่ียวกบั การเ
วงจากสมการ F = Gm1 นาไปสู่
อขนาดของแรงโนม้ ถ่วง
สมรรถนะของผ้เู รียน คณุ ลกั ษณะอันพึง
ประสงค์
1. ความสามารถในการ 1.มีวนิ ยั
สื่อสาร 2.ใฝ่เรยี นรู้
2. ความสามารถในการคดิ 3.มุ่งมนั่ ในการทางาน
1) ทกั ษะการสารวจคน้ หา
2) ทักษะการจาแนก
ประเภท
3) ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ
4) ทกั ษะการตคี วาม
ขอ้ มูลและการลง
ขอ้ สรปุ
3. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
มูลทีไ่ ด้ จากการสบื ค้นและ
เกดิ ฤดขู องโลก
ตัวชว้ี ดั ผู้เรยี นรอู้ ะไร/ทาอะไรได้
ว 3.1 ม.3/3 สร้าง ผเู้ รยี นรอู้ ะไร
แบบจาลองที่อธิบายการ การเกิดข้างขึน้ ขา้ งแรม
เกิดข้างข้นึ ขา้ งแรม การ
เปล่ยี นแปลงเวลาการขน้ึ ทำอะไรได้
และตกของดวงจนั ทร์ และ ใชท้ ักษะการสร้างแบบจาลอง ออกแบบและเลอื กใช้ว
การเกดิ น้าขน้ึ น้าลง
แบบจาลองทีอ่ ธิบายการเกิดข้างข้ึน ข
ว 3.1 ม.3/4 อธิบายการใช้ ผ้เู รยี นรู้อะไร
ประโยชนข์ องเทคโนโลยี
อวกาศ และยกตวั อยา่ ง -การใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ
ความกา้ วหน้าของโครงการ -ระบุและอธิบายประโยชน์ของดาวเทยี มในชวี ิตประจาวนั
สารวจอวกาศ จากขอ้ มูลท่ี ผูเ้ รยี นทำอะไรได้
รวบรวมได้ ยกตวั อยา่ งความก้าวหน้าของโครงการสารวจอวกาศ
วสั ดุอุปกรณ์ เพือ่ สร้าง นาไปสู่
ข้างแรม
สมรรถนะของผ้เู รียน คณุ ลกั ษณะอนั พงึ
ประสงค์
1. ความสามารถในการ 1.มวี ินยั
สือ่ สาร 2.ใฝ่เรียนรู้
2. ความสามารถในการคิด 3.มุ่งม่นั ในการทางาน
1) ทักษะการสารวจค้นหา
2) ทกั ษะการจาแนก
ประเภท
3) ทกั ษะการเปรียบเทยี บ
4) ทักษะการตีความ
ขอ้ มูลและการลง
ข้อสรปุ
3. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยี
น
กำรออกแบบ
1. วำงแผนกำรจดั ทำหนว่ ยกำรเรยี นรู้
กล่มุ สำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ขิ องสง่ิ มชี วี ิต หนว่ ยพ้นื ฐานของส่งิ มีชวี ติ การล
ของสตั วแ์ ละมนษุ ยท์ ที่ างานสัมพนั ธก์ นั ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของอว
มำตรฐำน/ สำระกำร สำระสำคญั สำระกำร สมรรถนะ
ตัวชี้วัด เรยี นรู้ ควำมคดิ รวบยอด เรยี นรู้
แกนกลำง สำคญั ของ
วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์กบั ความก้าวหน้าทางด้าน วิทยาศาสตร์ใน ผู้เรยี น
กบั การ การแก้ปัญหา วิทยาศาสตรแ์ ละ ชวี ติ
แกป้ ญั หา - วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยที ่ีมนุษย์ 1. ความสามารถใน
ในชีวิต สร้างสรรค์ มี การส่อื สาร
จุดประสงค์เพือ่ 2. ความสามารถใน
-วิทยาศาสตร์ ตอบสนองความ การคิด
กับการ ตอ้ งการและชว่ ย
แกป้ ญั หาของ ยกระดับการใช้ชีวติ ให้ 1) ทักษะการ
มนษุ ย์ มีความสะดวกสบาย สารวจคน้ หา
ย่ิงขนึ้ จาเปน็ ตอ้ งอาศยั
องคม์ นุษยเ์ อง ดงั นน้ั 2) ทักษะการ
มนุษย์จึงควรตระหนัก
ถงึ จาแนกประเภท
3) ทักษะการ
เปรยี บเทียบ
4) ทกั ษะการ
ตคี วามขอ้ มลู และ
การลงขอ้ สรุป
3. ความสามารถใ
การใชเ้ ทคโนโลยี
บหน่วยกำรเรียนรู้
ลาเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสร้างและหนา้ ทข่ี องระบบตา่ งๆ
วยั วะตา่ ง ๆ ของพชื ทที่ างานสมั พนั ธก์ ัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
นำไปสู่ ชิน้ งำน/ภำระ วดั ผลประเมินผล แนวกำรจัดกิจกรรม
งำน กำรเรยี นรู้
ะ คุณลกั ษณะอนั
ง พ่ึงประสงค์
น 1.มีวินัย กิจกรรมท่ี 1.1 ตรวจการออกแบบ วธิ สี อนแบบสืบ
น 2.ใฝ่เรยี นรู้ ความรู้ทาง สง่ิ ประดษิ ฐ์จาก เสาะหาความรู้ (5Es
3.ม่งุ ม่ันในการ วทิ ยาศาสตร์ สถานการณท์ ี่ Instructional Model)
ทางาน สาคัญอยา่ งไร กาหนด
ใน
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคญั สำระกำรเรยี นรู้
ตัวช้วี ัด แกนกลำง ควำมคดิ รวบยอด
ความรู้ทางดา้ นวิทยาศาสตร์
ทม่ี กี ารพฒั นามาอย่าง
ตอ่ เนื่อง และบางครั้งต้อง
อาศยั องคค์ วามรอู้ ่ืน ๆ มา
ต่อยอดและผสมผสานกนั
ความรูด้ ้านวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีมคี วามสาคญั ต่อ
การดารงชวี ติ ของมนุษย์
ช่วยแกป้ ญั หาและอานวย
ความสะดวกในด้านตา่ ง ๆ
ทาให้เราใชช้ ีวติ ไดอ้ ย่างสุข
สบายและมคี วามปลอดภยั
มากขน้ึ แต่ในบางครงั้ ก็
อาจจะสง่ ผลกระทบต่อสง่ิ
ตา่ ง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็
ส่งิ แวดลอ้ มและ
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจัด
ประเมินผล กิจกรรมกำร
สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะอนั ชิ้นงำน/ภำระ
สำคัญของ พ่ึงประสงค์ งำน เรียนรู้
ผเู้ รียน
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรยี นรู้
ควำมคิดรวบยอด
ตวั ช้ีวัด แกนกลำง
ว 1.3 ลักษณะทางพันธกุ รรม สง่ิ มีชวี ติ สามารถ โครโมโซมและการ 1.
กา
ม.3/1 ของส่งิ มีชีวิตสามารถ ถ่ายทอดจากรนุ่ หนงึ่ ไป คน้ พบของเมนเดล 2.
ถ่ายทอดจากรุ่นหนง่ึ ไปยงั ยงั อกี รนุ่ หนึ่งได้ โดยมี กา
อกี รุน่ หนง่ึ ได้ โดยมยี นี ยีนเปน็ หน่วยควบคมุ
เป็นหน่วยควบคุม ลกั ษณะทางพันธกุ รรม สา
ลักษณะทางพันธกุ รรม โครโมโซม
โครโมโซมประกอบดว้ ย ประกอบด้วย ดีเอ็นเอ จา
ดเี อน็ เอ และโปรตนี ขด และโปรตนี ขดอย่ใู น เป
อยู่ในนิวเคลยี ส ยนี ดีเอ็น นวิ เคลียส ยีน ดีเอน็ เอ
เอ และโครโมโซมมี และโครโมโซมมี ตีค
ความสัมพันธก์ นั โดย ความสัมพันธ์กัน โดย ลง
บางส่วนของดีเอน็ เอทา บางสว่ นของดีเอน็ เอทา 3.
หนา้ ท่เี ป็นยีนที่กาหนด หนา้ ทีเ่ ป็นยีนทก่ี าหนด กา
ลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ ลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ
สิ่งมชี ีวติ ท่มี ีโครโมโซม ๒
ชดุ โครโมโซมท่ีเปน็ คูก่ ัน
มกี ารเรยี งลาดบั ของยนี
บนโครโมโซมเหมอื นกนั
เรยี กวา่ ฮอมอโลกสั
โครโมโซม ยีนหนงึ่ ทอ่ี ยู่
นำไปสู่ วดั ผล แนวกำรจดั
ประเมินผล กิจกรรมกำร
สมรรถนะ คุณลักษณะอัน ชิน้ งำน/ภำระ
พึ่งประสงค์ งำน เรียนรู้
สำคญั ของ
1.มีวินยั กิจกรรมที่ 2.1 ตรวจ วธิ ีสอนแบบสืบ
ผ้เู รยี น 2.ใฝเ่ รียนรู้ โครงสรา้ งที่ กจิ กรรมท่ี เสาะหาความรู้
3.มุ่งมั่นในการ เกย่ี วขอ้ งกับการ 2.1 (5Es
ความสามารถใน ทางาน ถา่ ยทอดทาง โครงสรา้ งที่ Instructional
ารสอื่ สาร พนั ธกุ รรม เกย่ี วขอ้ งกับ Model)
ความสามารถใน การถา่ ยทอด
ารคิด ทาง
1) ทักษะการ พันธุกรรม
ารวจคน้ หา
2) ทกั ษะการ
าแนกประเภท
3) ทกั ษะการ
ปรียบเทียบ
4) ทักษะการ
ความขอ้ มูลและการ
งขอ้ สรุป
ความสามารถใน
ารใชเ้ ทคโนโลยี
บนคูฮ่ อมอโลกัส
โครโมโซม อาจมรี ูปแบบ
แตกต่างกัน เรยี กแตล่ ะ
รูปแบบของยนี ท่ตี ่างกันนี้
วา่ แอลลีล ซ่งึ การเข้าคู่กนั
ของแอลลีลตา่ ง ๆ อาจ
สง่ ผลทาใหส้ ิง่ มชี วี ิตมี
ลักษณะทแ่ี ตกต่างกันได
• สง่ิ มีชวี ติ แตล่ ะชนิดมี
จานวนโครโมโซมคงที่
มนุษย์มจี านวนโครโมโซม
๒๓ คู่ เปน็ ออโตโซม ๒๒
คู่ และโครโมโซมเพศ ๑
คู่ เพศหญงิ มีโครโมโซม
เพศเปน็ XX เพศชายมี
โครโมโซมเพศเป็น XY
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระสำคญั สำระกำรเรยี นรู้
ตัวชี้วัด ควำมคดิ รวบ
ยอด
ว 1.3 - เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะ เมนเดลได้ศึกษา -โอกาสการเข้าคู่
ม. 3/2 ทางพันธุกรรมของตน้ ถัว่ ชนิดหนึ่ง และ การถา่ ยทอด ของแอลลีล
ม. 3/3 นามาสู่หลกั การพื้นฐานของการ ลกั ษณะทาง -การเกดิ จีโนไทป์
ถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของ พันธกุ รรมของต้น และฟีโนไทป์
ส่งิ มชี ีวติ ถวั่ ชนิดหนึ่ง และ
- สง่ิ มีชีวติ ท่ีมีโครโมโซมเป็น ๒ ชุด ยีน นามาสหู่ ลักการ
แต่ละตาแหน่งบนฮอมอโลกัสโครโมโซม พ้นื ฐานของการ
มี ๒ แอลลีลโดยแอลลีลหนึ่งมาจากพอ่ ถา่ ยทอดลักษณะ
และอกี แอลลลี มาจากแม่ ซ่ึงอาจมี ทางพนั ธกุ รรมของ
รูปแบบเดยี วกัน หรือแตกตา่ งกัน สิง่ มีชีวติ
แอลลีลทีแ่ ตกตา่ งกันนี้ แอลลีลหนึ่งอาจ
มกี ารแสดงออกขม่ อกี แอลลลี หนง่ึ ได้
เรียกแอลลีลน้นั ว่าเป็นแอลลีลเด่น สว่ น
แอลลีลทีถ่ ูกข่มอย่างสมบรู ณ์
เรียกวา่ เป็นแอลลลี ด้อย
- เม่ือมีการสร้างเซลล์สบื พันธ์ุ แอลลลี ที่
เป็นคกู่ นั ในแตล่ ะฮอมอโลกสั โครโมโซม
จะแยกจากกนั ไปสู่เซลล์สืบพันธแ์ุ ต่ละ
เซลล์ โดยแตล่ ะเซลล์สบื พนั ธจ์ุ ะไดร้ บั
เพียง ๑ แอลลลี และจะมาเขา้ คู่กับ
แอลลลี ที่ตาแหน่งเดียวกันของอกี เซลล์
สบื พนั ธ์หุ นึง่ เมอ่ื เกิดการปฏิสนธิ จนเกิด
เป็นจีโนไทป์และแสดงฟโี นไทป์ในรุ่นลูก
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจัด
ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะ คุณลักษณะอัน ชน้ิ งำน/ภำระ
พึ่งประสงค์ งำน ตรวจการ เรยี นรู้
สำคญั ของ ตอบคาถาม
1.มวี ินัย กิจกรรมท่ี 2.3 วธิ ีสอนแบบสืบ
ผ้เู รียน 2.ใฝ่เรียนรู้ โอกาสการเขา้ ท้าย เสาะหาความรู้
3.มุ่งมนั่ ในการ คูข่ องแอลลีล กิจกรรมท่ี (5Es
1. ความสามารถใน ทางาน เปน็ เทา่ ใด 2.3
การสื่อสาร จานวน Instructional
2. ความสามารถใน
การคดิ 5 ข้อ Model)
1) ทกั ษะการ
สารวจค้นหา
2) ทกั ษะการ
จาแนกประเภท
3) ทกั ษะการ
เปรียบเทียบ
4) ทักษะการ
ตีความข้อมูลและ
การลงข้อสรปุ
3. ความสามารถใน
การใช้เทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรียนรู้
ควำมคดิ รวบ
ตวั ชีว้ ัด แกนกลำง
ยอด
ว 1.3 • กระบวนการแบ่งเซลล์ของ กระบวนการแบง่ การแบ่งเซลลแ์ ต่ละ 1
ม.3/4 เซลลข์ องส่งิ มีชีวิตมี ๒ แบบ ก
ส่ิงมีชวี ติ มี ๒ แบบ คือไมโท แบบ คอื ไมโทซิส และ 2
ไมโอซสิ ก
ซิส และไมโอซิส
- ส
• ไมโทซสิ เปน็ การแบ่งเซลล์
จ
เพ่อื เพ่ิมจานวนเซลลร์ า่ งกาย
เ
ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์
ต
ใหม่ ๒ เซลล์ทม่ี ีลักษณะและ ล
3
จานวนโครโมโซมเหมอื น ก
เซลลต์ ัง้ ตน้
• ไมโอซสิ เปน็ การแบ่งเซลล์
เพ่อื สร้างเซลล์สบื พันธ์ุผลจาก
การแบง่ จะไดเ้ ซลลใ์ หม่ ๔
เซลล์ ทม่ี ีจานวนโครโมโซม
เป็นคร่งึ หนึง่ ของเซลลต์ ั้งต้น
เมื่อเกดิ การปฏสิ นธิของเซลล์
สืบพนั ธุ์ ลกู จะได้รับ
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจดั
ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะอนั ช้นิ งำน/ภำระ
พ่ึงประสงค์ งำน ตรวจการ เรยี นรู้
สำคญั ของ ตอบคาถาม
1.มวี นิ ยั กิจกรรมที่ 2.6 วิธีสอนแบบสืบ
ผ้เู รียน 2.ใฝเ่ รยี นรู้ การแบ่งเซลลม์ ี ท้าย เสาะหาความรู้
3.มุ่งมน่ั ในการ แบบใดบ้าง กิจกรรมที่ (5Es
1. ความสามารถใน ทางาน 2.6
การสอื่ สาร Instructional
2. ความสามารถใน
การคิด Model)
1) ทักษะการ
สารวจค้นหา
2) ทักษะการ
จาแนกประเภท
3) ทักษะการ
เปรยี บเทยี บ
4) ทักษะการ
ตีความขอ้ มูลและการ
ลงข้อสรุป
3. ความสามารถใน
การใชเ้ ทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรยี นรู้ สมร
ควำมคิดรวบยอด
ตัวช้วี ัด แกนกลำง ข
การเปลย่ี นแปลงของยีน
ว.1.3 การเปลย่ี นแปลงของยีนหรือ หรือโครโมโซม สง่ ผลให้ โครโมโซมของ 1. คว
ม.3/5 โครโมโซม สง่ ผลให้เกดิ การ เกดิ การเปลีย่ นแปลง ทารกในครรภ์ สือ่ สา
ลักษณะทางพันธกุ รรม 2. คว
เปลี่ยนแปลงลักษณะทาง ของสิง่ มีชวี ติ เชน่ คิด
พนั ธุกรรมของส่งิ มชี วี ิต เช่น โรคธาลสั ซเี มยี เกิดจาก
โรคธาลัสซเี มยี เกดิ จากการ การเปลี่ยนแปลงของยีน 1)
เปลย่ี นแปลงของยีน กลุ่ม กลุม่ อาการดาวน์เกิดจาก คน้ หา
อาการดาวน์เกดิ จากการ การเปลี่ยนแปลงจานวน
เปล่ียนแปลงจานวน โครโมโซม 2)
โครโมโซม
โรคทางพนั ธกุ รรม ประเภ
สามารถถ่ายทอดจากพอ่
แมไ่ ปสลู่ ูกได้ ดังนนั้ กอ่ น 3)
แตง่ งานและมีบุตรจงึ
ควรปอ้ งกนั โดยการตรวจ เปรียบ
และวินิจฉัยภาวะเส่ียง 4)
จากการ
ถา่ ยทอดโรคทาง ข้อมลู
พันธกุ รรม 3. คว
ใชเ้ ทค
ว.1.3 โรคทางพันธุกรรมสามารถ การวางแผนก่อน
ม.3/6 ถา่ ยทอดจากพอ่ แมไ่ ปสู่ลกู ได้
แต่งงานเพอื่ ลดความ
ดงั น้ันกอ่ นแต่งงานและมีบตุ ร
จึงควรป้องกันโดยการตรวจ เสย่ี งทจ่ี ะมีบตุ รเป็น
และวนิ จิ ฉัยภาวะเสี่ยงจาก
การ โรคทางพันธุกรร
ถ่ายทอดโรคทางพนั ธกุ รรม
นำไปสู่ ชิ้นงำน/ภำระ วัดผล แนวกำรจัด
งำน ประเมนิ ผล กิจกรรมกำร
รรถนะสำคญั คุณลักษณะอัน
ของผเู้ รยี น พ่ึงประสงค์ กิจกรรมที่ 2.7 - ตรวจการ เรียนรู้
1.มวี นิ ัย โครโมโซมของ ตอบคาถาม
วามสามารถในการ 2.ใฝ่เรียนรู้ ทารกในครรภ์ วธิ สี อนแบบสบื
าร 3.มุง่ ม่ันในการ เป็นปกติ ท้าย เสาะหาความรู้
วามสามารถในการ ทางาน หรอื ไม่ กจิ กรรมที่ (5Es
2.7
ทักษะการสารวจ กิจกรรมที่ 2.8 Instructional
า วางแผน ตรวจการทา
ทกั ษะการจาแนก อย่างไรก่อน แบบบันทกึ Model)
ภท แตง่ งานเพ่อื การค้นควา้
ลดความเสี่ยง กิจกรรมท่ี
ทกั ษะการ ที่จะมีบุตร 2.8
ทเี่ ปน็ โรคทาง
บเทยี บ พนั ธกุ รรม
ทักษะการตคี วาม
ลและการลงข้อสรปุ
วามสามารถในการ
คโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรียนรู้
ควำมคิดรวบยอด
ตวั ชี้วัด แกนกลำง
ว.1.3 มนุษยเ์ ปลีย่ นแปลงพันธุกรรม มนษุ ยเ์ ปลย่ี นแปลง สงิ่ มีชีวิตดัดแปร 1
ม.3/7 ของสงิ่ มชี วี ติ ตามธรรมชาติ พนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี ีวิตตาม ส
เพอื่ ใหไ้ ดส้ ิ่งมชี วี ิตที่มีลกั ษณะ ธรรมชาติ เพอื่ ให้ไดส้ ิง่ มีชวี ติ พนั ธกุ รรม 2
ตามต้องการ เรยี กส่ิงมชี ีวิตน้ี ท่มี ลี ักษณะตามต้องการ ค
วา่ ส่ิงมชี ีวติ ดดั แปรพันธุกรรม เรียกส่งิ มชี วี ิตนว้ี า่ ส่ิงมีชวี ิต ค
ดดั แปรพันธุกรรม
ป
ว.1.3 ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ ในปัจจบุ นั มนุษย์มกี ารใช้ ประโยชน์และ
ม.3/8 ประโยชน์จากสิ่งมชี วี ติ ดัด ประโยชน์จากสงิ่ มชี ีวติ ดัด เ
แปรพันธุกรรมเป็นจานวน แปรพนั ธกุ รรมเป็นจานวน ผลกระทบของ
มาก เช่น การผลติ อาหาร มาก เชน่ การผลิตอาหาร สง่ิ มชี ีวิตดัดแปร ข
ข
การผลิตยารักษาโรค การผลติ ยารักษาโรค พันธุกรรม 3
การเกษตร อยา่ งไรก็ดี การเกษตร อย่างไรกด็ ี ใ
สังคมยังมคี วามกงั วลเกย่ี วกับ สังคมยังมคี วามกงั วลเกี่ยวกบั
ผลกระทบของสิ่งมีชวี ิตดดั ผลกระทบของสง่ิ มีชวี ิตดัด
แปรพนั ธุกรรมท่ีมีต่อส่ิงมชี ีวิต แปรพันธุกรรมท่มี ตี อ่
และสิ่งแวดลอ้ ม ซง่ึ ยงั ทาการ ส่งิ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม ซึง่
ติดตามศกึ ษาผลกระทบ ยังทาการตดิ ตามศกึ ษา
ดังกล่าว ผลกระทบดงั กล่าว
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจัด
ประเมินผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะ คุณลกั ษณะ ชนิ้ งำน/ภำระ
อนั พ่ึง งำน ตรวจการ เรียนรู้
สำคัญของ ประสงค์ ตอบคาถาม
กิจกรรมที่ 2.9 วธิ สี อนแบบสบื
ผูเ้ รียน 1.มวี นิ ยั ประโยชน์และ ท้าย เสาะหาความรู้
2.ใฝ่เรียนรู้ ผลกระทบของ กจิ กรรมท่ี (5Es
1. ความสามารถในการ 3.มงุ่ ม่ันใน สงิ่ มีชีวติ ดัดแปร 2.9
ส่อื สาร การทางาน พันธุกรรมเปน็ Instructional
2. ความสามารถในการ อย่างไร ตรวจ
คดิ กิจกรรมท้ายบท กิจกรรมท้าย Model)
จรยิ ธรรมดา้ น บท
1) ทกั ษะการสารวจ พันธศุ าสตร์ของ จริยธรรม
คน้ หา นักเรยี นเป็น ดา้ นพนั ธุ
อย่างไร ศาสตร์ของ
2) ทักษะการจาแนก นักเรียนเปน็
อยา่ งไร
ประเภท
3) ทักษะการ
เปรยี บเทยี บ
4) ทกั ษะการตีความ
ขอ้ มลู และการลง
ขอ้ สรปุ
3. ความสามารถในการ
ใชเ้ ทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคญั สำระกำรเรยี นรู้
ควำมคิดรวบ
ตัวชว้ี ัด แกนกลำง
ยอด
ว 2.3 คลืน่ เกิดจากการส่งผา่ น คล่นื เกิดจากการ คลืน่ กล 1
พลังงานโดยอาศยั ตัวกลาง ส่งผ่านพลังงานโดย ก
ม.3/10 และไม่อาศยั ตวั กลาง ในคลนื่ อาศัยตวั กลางและไม่ 2
กล พลังงานจะถกู ถ่ายโอน อาศัยตวั กลาง ในคลื่น ก
ผ่านตัวกลางโดยอนุภาคของ กล พลังงานจะถูก
ตวั กลาง ถ่ายโอนผ่านตวั กลาง ส
ไมเ่ คล่ือนท่ีไปกบั คล่ืน คลื่นที่ โดยอนุภาคของ
แผ่ออกมาจากแหลง่ กาเนิด ตัวกลาง จ
คล่ืนอยา่ งตอ่ เน่ืองและมี ไม่เคล่อื นทไี่ ปกบั คล่ืน
รปู แบบทซ่ี ้ากัน บรรยายได้ คลน่ื ทีแ่ ผอ่ อกมาจาก เป
ดว้ ยความยาวคล่ืน ความถ่ี แหล่งกาเนิดคลื่น
แอมพลจิ ูด อยา่ งตอ่ เนื่องและมี ต
รปู แบบทซ่ี ้ากนั ล
บรรยายได้ดว้ ยความ 3
ยาวคลื่น ความถีแ่ อม ก
พลจิ ดู
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจดั
ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะอนั ชิ้นงำน/ภำระ
พ่ึงประสงค์ งำน ตรวจการทา เรียนรู้
สำคัญของ แบบบันทกึ
1.มีวินัย กิจกรรมท่ี 3.1 การค้นคว้า วิธีสอนแบบสืบ
ผู้เรียน 2.ใฝเ่ รยี นรู้ คลืน่ กลเกดิ ขน้ึ กจิ กรรมท่ี เสาะหาความรู้
3.มุง่ มน่ั ในการ ไดอ้ ยา่ งไรและ 3.1 (5Es
1. ความสามารถใน ทางาน มีลกั ษณะ
การสื่อสาร อยา่ งไร Instructional
2. ความสามารถใน
การคดิ Model)
1) ทักษะการ
สารวจคน้ หา
2) ทกั ษะการ
จาแนกประเภท
3) ทกั ษะการ
ปรยี บเทยี บ
4) ทกั ษะการ
ตีความขอ้ มูลและการ
ลงข้อสรปุ
3. ความสามารถใน
การใช้เทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรียนรู้
ตัวช้วี ัด แกนกลำง ควำมคดิ รวบยอด
ว 2.3 คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าเป็นคลื่นท่ี คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เปน็ คลน่ื คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้
ไม่อาศัยตวั กลางในการ ที่ไมอ่ าศัยตัวกลางในการ
ม.3/11 เคลือ่ นท่ี มีความถต่ี อ่ เนอ่ื ง เคลอ่ื นที่ มคี วามถีต่ อ่ เนื่อง
ม.3/12 เปน็ ช่วงกว้างมากเคลอื่ นทีใ่ น เป็นช่วงกว้างมากเคลอื่ นท่ี
สญุ ญากาศด้วยอัตราเร็ว ในสุญญากาศดว้ ยอัตราเรว็
เท่ากนั เทา่ กัน
แตจ่ ะเคล่ือนท่ดี ว้ ยอตั ราเรว็ แตจ่ ะเคล่ือนทีด่ ้วยอัตราเร็ว
ตา่ งกันในตวั กลางอ่ืนคล่ืน ต่างกนั ในตัวกลางอื่นคล่นื
แม่เหลก็ ไฟฟา้ แบง่ ออกเปน็ แม่เหลก็ ไฟฟา้ แบ่งออกเปน็
ชว่ งความถีต่ า่ ง ๆเรียกว่า ช่วงความถ่ตี ่าง ๆเรยี กวา่
สเปกตรัมของคลื่น สเปกตรัมของคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า แต่ละ แมเ่ หล็กไฟฟา้ แต่ละ
ชว่ งความถม่ี ชี อ่ื เรยี กต่างกนั ช่วงความถีม่ ชี ื่อเรียกตา่ งกนั
ได้แก่ คลน่ื วทิ ยุไมโครเวฟ ไดแ้ ก่ คลื่นวิทยุไมโครเวฟ
อินฟราเรด แสงท่ีมองเหน็ อนิ ฟราเรด แสงที่มองเหน็
อัลตราไวโอเลตรงั สีเอกซ์และ อลั ตราไวโอเลตรงั สีเอกซ์
รงั สแี กมมา ซึง่ สามารถ และรังสแี กมมา ซึ่งสามารถ
นาไปใชป้ ระโยชน์ได้ นาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจดั
ประเมินผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะ ช้นิ งำน/ภำระ
อนั พึ่ง งำน ตรวจการทา เรยี นรู้
สำคญั ของ ประสงค์ แบบบนั ทึก
กจิ กรรมที่ 3.2 การค้นคว้า วธิ สี อนแบบ
ผเู้ รยี น 1.มีวินยั คล่นื กจิ กรรมที่ สบื เสาะหา
2.ใฝ่เรยี นรู้ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 3.2 ความรู้ (5Es
1. ความสามารถ 3.มุ่งมัน่ ในการ คืออะไร
ในการสื่อสาร ทางาน Instructional
2. ความสามารถ
ในการคดิ Model)
1) ทักษะการ
สารวจค้นหา
2) ทักษะการ
จาแนกประเภท
3) ทักษะการ
เปรยี บเทียบ
4) ทักษะการ
ตคี วามข้อมลู และ
การลงขอ้ สรุป
3. ความสามารถ
ในการใช้
เทคโนโลยี
เลเซอรเ์ ปน็ คลื่น เลเซอร์เป็นคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟ้าทม่ี คี วามยาว แม่เหลก็ ไฟฟ้าทม่ี คี วามยาว
คลื่นเดียว เปน็ ลาแสงขนาน คล่ืนเดยี ว เป็นลาแสงขนาน
และมคี วามเขม้ สงู นาไปใช้ และมีความเข้มสงู นาไปใช้
ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น
ด้านการสือ่ สารมกี ารใช้ ดา้ นการสอื่ สารมีการใช้
เลเซอร์สาหรบั ส่งสารสนเทศ เลเซอรส์ าหรบั ส่ง
ผ่าน สารสนเทศผ่าน
เสน้ ใยนาแสง โดยอาศยั เสน้ ใยนาแสง โดยอาศัย
หลกั การการสะทอ้ นกลบั หลักการการสะท้อนกลบั
หมดของแสง ดา้ นการแพทย์ หมดของแสง ดา้ น
ใชใ้ นการผ่าตดั การแพทยใ์ ช้ในการผา่ ตดั
• คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ นอกจาก • คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้
จะสามารถนาไปใช้ประโยชน์ นอกจากจะสามารถนาไปใช้
แลว้ ยงั มีโทษตอ่ มนุษยด์ ้วย ประโยชน์แลว้ ยังมีโทษต่อ
เชน่ ถ้ามนุษยไ์ ดร้ บั รังสี มนษุ ย์ด้วย เชน่ ถ้ามนษุ ย์
อัลตราไวโอเลตมากเกินไป ไดร้ ับรงั สอี ลั ตราไวโอเลต
อาจจะทาให้เกิดมะเร็ง มากเกนิ ไปอาจจะทาใหเ้ กิด
ผิวหนงั หรือถา้ ได้รงั สี มะเร็งผวิ หนัง หรือถ้าไดร้ งั สี
แกมมาซึง่ เป็นคลน่ื แกมมาซ่งึ เปน็ คลน่ื
แม่เหลก็ ไฟฟ้าทม่ี พี ลังงานสูง แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทม่ี ีพลังงาน
และสามารถทะลุผ่านเซลล์ สงู และสามารถทะลุผ่าน
และอวัยวะได้อาจทาลาย เซลล์และอวยั วะไดอ้ าจ
เนอื้ เยือ่ หรืออาจทาให้ ทาลายเน้ือเย่ือหรอื อาจทา
เสียชีวิตได้เม่อื ได้รับรังสี ให้เสยี ชวี ติ ได้เม่อื ไดร้ บั รงั สี
แกมมาในปรมิ าณสงู แกมมาในปริมาณสงู
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรียนรู้
ควำมคิดรวบ
ตัวชวี้ ัด แกนกลำง
ยอด
ว 2.3 เม่อื แสงตกกระทบวตั ถจุ ะเกิด เม่อื แสงตกกระทบ -การสะทอ้ นของแสง 1
วตั ถุจะเกดิ การ -การสะทอ้ นกลบั หมด ก
ม.3/13 การสะทอ้ นซ่ึงเป็นไปตามกฎ สะทอ้ นซง่ึ เปน็ ไปตาม ของแสง 2
ม.3/14 กฎการสะท้อนของ -ภาพท่เี กิดจากแผน่ ก
การสะทอ้ นของแสง โดยรงั สี แสง โดยรงั สีตก สะทอ้ นแสงผวิ ราบ
กระทบเสน้ แนวฉาก -การสะทอ้ นของแสง ส
ตกกระทบเส้นแนวฉาก รงั สี รังสีสะท้อนอยูใ่ น จากแผ่นสะทอ้ นแสง
ระนาบเดียวกนั และ ผิวโค้ง จ
สะท้อนอยู่ในระนาบเดียวกนั มุมตกกระทบเท่ากบั -ภาพที่เกิดจากกระจก
มมุ สะทอ้ น ภาพจาก เงาโค้ง เป
และมมุ ตกกระทบเทา่ กบั มมุ กระจกเงาเกิดจากรังสี -การกระจายของแสง
สะท้อนตัดกนั หรอื ต่อ ต
สะท้อน ภาพจาก แนวรงั สีสะทอ้ นให้ตดั ล
กนั โดยถา้ รังสี 3
กระจกเงาเกิดจากรังสสี ะท้อน สะท้อนตดั กันจรงิ จะ ก
เกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อ
ตัดกนั หรือตอ่ แนวรงั สีสะทอ้ น แนวรังสีสะทอ้ นให้ไป
ตัดกนั จะเกิด
ใหต้ ดั กัน โดยถ้ารังสสี ะทอ้ น ภาพเสมอื น
ตดั กนั จริงจะเกิดภาพจริง แต่
ถ้าต่อแนวรงั สสี ะท้อนให้ไป
ตดั กนั จะเกดิ ภาพเสมอื น
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจัด
ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะ คุณลกั ษณะอนั ชิ้นงำน/ภำระ
พ่ึงประสงค์ งำน เรยี นรู้
สำคญั ของ
1.มีวนิ ยั กจิ กรรมท่ี 3.4 ตรวจ วธิ สี อนแบบสืบ
ผู้เรียน 2.ใฝเ่ รียนรู้ ภาพทเ่ี กิดจากแผ่น กจิ กรรม เสาะหาความรู้
3.มงุ่ มนั่ ในการ (5Es
1. ความสามารถใน ทางาน สะท้อนแสงผวิ ราบ
การสือ่ สาร กจิ กรรมท่ี 3.5 Instructional
2. ความสามารถใน การสะท้อนของ
การคดิ แสงจากแผน่ Model)
สะทอ้ นแสงผวิ โคง้
1) ทักษะการ กิจกรรมท่ี 3.6
สารวจคน้ หา ภาพท่ีเกิดจาก
กระจกเงาโค้ง
2) ทกั ษะการ กจิ กรรมท่ี 3.8
มุมหกั เหมี
จาแนกประเภท ความสมั พนั ธก์ ับมมุ
ตกกระทบ
3) ทกั ษะการ กิจกรรมที่ 3.9 การ
กระจายของแสง
ปรยี บเทียบ
4) ทกั ษะการ
ตคี วามข้อมูลและการ
ลงขอ้ สรปุ
3. ความสามารถใน
การใช้เทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ สำระกำรเรียนรู้
ควำมคิดรวบยอด
ตัวชี้วัด แกนกลำง
ว 2.3 เม่ือแสงเดินทางผา่ นตวั กลาง เม่อื แสงเดนิ ทางผา่ นตัวกลาง ความสัมพนั ธ์ 1
โปร่งใสทีแ่ ตกต่างกนั เชน่ โปร่งใสท่แี ตกตา่ งกนั เชน่ ระหวา่ งมุมหักเห ก
ม.3/15 อากาศและนา้ อากาศและ อากาศและน้า อากาศและ และมมุ ตกกระทบ 2
แกว้ จะเกิดการหักเห หรอื แกว้ จะเกิดการหักเห หรือ ก
ม.3/16 อาจเกดิ การสะท้อนกลับหมด อาจเกดิ การสะท้อนกลบั
ในตวั กลางทีแ่ สงตกกระทบ หมดในตวั กลางท่ีแสงตก ส
การหกั เหของแสงผา่ น กระทบ การหักเหของแสง
เลนสท์ าให้เกดิ ภาพท่มี ชี นดิ ผา่ น จ
และขนาดต่าง ๆ เลนสท์ าให้เกดิ ภาพทีม่ ชี นดิ
แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสี และขนาดตา่ ง ๆ เป
ตา่ ง ๆ เม่อื แสงขาวผ่านปริซึม แสงขาวประกอบด้วยแสงสี
จะเกิดการกระจายแสงเปน็ ตา่ ง ๆ เมื่อแสงขาวผ่าน ต
แสงสีต่าง ๆเรียกว่า สเปกตรมั ปริซึมจะเกดิ การกระจาย ล
ของแสงขาว เมือ่ เคลือ่ นที่ใน แสงเปน็ แสงสตี า่ ง ๆเรียกว่า 3
ตัวกลางใด ๆ ทไี่ มใ่ ช่อากาศ สเปกตรัมของแสงขาว เมอ่ื ก
จะมีอตั ราเร็วตา่ งกนั จงึ มีการ เคลอ่ื นทใ่ี นตวั กลางใด ๆ ที่
หกั เหตา่ งกัน ไม่ใชอ่ ากาศ จะมีอตั ราเร็ว
ตา่ งกันจงึ มีการหกั เหตา่ งกัน
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจัด
ประเมินผล กิจกรรมกำร
สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะอนั ชนิ้ งำน/ภำระ
พ่ึงประสงค์ งำน ตรวจ เรยี นรู้
สำคัญของ กิจกรรมที่
1.มีวินัย กจิ กรรมท่ี 3.7 3.7 วธิ สี อนแบบสืบ
ผู้เรียน 2.ใฝเ่ รยี นรู้ มมุ หักเหมี มมุ หกั เหมี เสาะหาความรู้
3.ม่งุ มน่ั ในการ ความสัมพนั ธ์กบั ความสัมพันธ์ (5Es
1. ความสามารถใน ทางาน มุมตกกระทบ กับมุมตก
การสอ่ื สาร กระทบ Instructional
2. ความสามารถใน
การคิด Model)
1) ทักษะการ
สารวจค้นหา
2) ทักษะการ
จาแนกประเภท
3) ทักษะการ
ปรยี บเทยี บ
4) ทักษะการ
ตีความขอ้ มลู และการ
ลงข้อสรปุ
3. ความสามารถใน
การใช้เทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคัญ สำระกำร
ตัวชวี้ ัด แกนกลำง ควำมคดิ รวบยอด เรียนรู้
ว 2.3 การสะทอ้ นและการหกั เหของ การสะทอ้ นและการหกั เหของ สรา้ งโพรเจก 1.
แสงนาไปใช้อธบิ ายปรากฏการณ์ แสงนาไปใชอ้ ธบิ าย เตอรอ์ ย่าง สอ่ื
ม.3/17 ทเี่ กี่ยวกบั แสง เชน่ รุ้ง มริ าจ และ ปรากฏการณท์ ี่เกี่ยวกับแสง งา่ ยดว้ ย 2.
อธิบายการทางานของทศั น เช่น รุง้ มริ าจ และอธิบาย ตวั เอง
ว 2.3 ม. อปุ กรณ์ เช่น แวน่ ขยาย การทางานของทัศนอุปกรณ์ ป
3/18 กระจกโคง้ จราจร กลอ้ ง เช่น แวน่ ขยายกระจกโค้ง
โทรทรรศน์ จราจร กลอ้ งโทรทรรศน์กลอ้ ง แล
กลอ้ งจุลทรรศน์ และแว่นสายตา จลุ ทรรศน์ และแวน่ สายตา 3.
เท
ในการมองวัตถุ เลนส์ตาจะ ภาพท่ีเกิด 1.
จากเลนส์ตา สอ่ื
ถกู ปรบั โฟกสั เพอ่ื ให้เกดิ ภาพ 2.
ชัดทจ่ี อตา ความบกพร่องทาง ป
สายตา เชน่ สายตาสนั้ และ แล
3.
สายตายาว เป็นเพราะ เท
ตาแหน่งทีเ่ กดิ ภาพไมไ่ ด้อยูท่ ี่
จอตาพอดี จึงตอ้ งใช้เลนส์ใน
การแกไ้ ข เพือ่
ชว่ ยให้มองเห็นเหมือนคน
สายตาปกติ โดยคนสายตาสน้ั
ใช้เลนสเ์ ว้า สว่ นคนสายตา
ยาวใช้เลนส์นนู
นำไปสู่ วดั ผล แนวกำรจดั
ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะสำคัญ คุณลกั ษณะ ชน้ิ งำน/ภำระ
ของผเู้ รียน อนั พึ่ง งำน ตรวจ เรยี นรู้
ประสงค์ ใบกจิ กรรม
. ความสามารถในการ ใบ ทา้ ยบท วิธสี อนแบบสืบ
อสาร 1.มวี ินัย กจิ กรรมทา้ ยบท สรา้ งโพรเจก เสาะหาความรู้
. ความสามารถในการคดิ 2.ใฝ่เรยี นรู้ สรา้ งโพรเจก เตอรอ์ ยา่ ง (5Es
1) ทักษะการสารวจคน้ หา 3.ม่งุ มัน่ ใน เตอร์อยา่ งงา่ ย ง่ายดว้ ย
การทางาน ด้วยตัวเอง ตัวเอง Instructional
2) ทักษะการจาแนก
1.มีวินยั กิจกรรมที่ 3.11 เขยี น Model)
ประเภท 2.ใฝเ่ รยี นรู้ ภาพที่เกดิ จาก แผนภาพ
3.มงุ่ ม่ันใน เลนส์นนู การเคลื่อนที่ วิธีสอนแบบสืบ
3) ทกั ษะการเปรยี บเทียบ การทางาน ของแสง เสาะหาความรู้
แสดงการ (5Es
4) ทกั ษะการตีความข้อมูล เกิดภาพของ
ละการลงขอ้ สรปุ ทศั นอุปกรณ์ Instructional
. ความสามารถในการใช้ และเลนส์ตา
ทคโนโลยี Model)
. ความสามารถในการ
อสาร
. ความสามารถในการคิด
1) ทักษะการสารวจค้นหา
2) ทักษะการจาแนก
ประเภท
3) ทกั ษะการเปรียบเทียบ
4) ทักษะการตีความขอ้ มลู
ละการลงข้อสรปุ
. ความสามารถในการใช้
ทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคญั สำระกำร
ตวั ชี้วัด แกนกลำง ควำมคิดรวบยอด เรยี นรู้
ว 2.3 ความสวา่ งของแสงมีผลตอ่ ดวงตา ความสว่างของแสงมผี ลตอ่ ความสวา่ ง 1.
มนษุ ย์ การใชส้ ายตาในภาพ ดวงตามนษุ ย์ การใช้สายตาใน สือ่
ม.3/19 แวดลอ้ มทม่ี ีความสวา่ งไม่ ภาพแวดลอ้ มท่ีมคี วามสว่างไม่ 2.
ม.3/20 เหมาะสมจะเปน็ อันตรายตอ่ เหมาะสมจะเป็นอันตรายต่อ
ม.3/21 ดวงตา เช่น การดวู ตั ถุในท่มี คี วาม ดวงตา เช่น การดูวัตถใุ นทมี่ ี ป
สวา่ งมากหรือน้อยเกนิ ไป การ ความสว่างมากหรือน้อย
จอ้ งดหู น้าจอภาพเปน็ เวลานาน เกินไป การจ้องดูหนา้ จอภาพ แล
ความสว่างบนพ้ืนท่ีรบั แสงมี เป็นเวลานาน ความสว่างบน 3.
หน่วยเปน็ ลกั ซ์ ความรู้เก่ียวกบั พ้นื ทรี่ ับแสงมหี น่วยเปน็ ลักซ์ เท
ความสวา่ งสามารถนามาใช้จดั ความร้เู กย่ี วกับความสว่าง
ความสว่างให้เหมาะสมกบั สามารถนามาใชจ้ ดั ความสว่าง
การทากจิ กรรมต่าง ๆ เชน่ การ ให้เหมาะสมกบั
จัดความสว่างที่เหมาะสมสาหรบั การทากิจกรรมตา่ ง ๆ เช่น
การอ่านหนงั สือ การจัดความสว่างท่ีเหมาะสม
สาหรับการอา่ นหนงั สือ
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจดั
ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
สมรรถนะสำคัญ คุณลกั ษณะ ช้นิ งำน/ภำระ
งำน ตรวจการ เรียนรู้
ของผเู้ รยี น อันพ่ึง ตอบคาถาม
ทา้ ย วธิ สี อนแบบสืบ
ประสงค์ กิจกรรมท่ี เสาะหาความรู้
3.12 (5Es
. ความสามารถในการ 1.มีวนิ ยั กิจกรรมที่3.12
อสาร 2.ใฝเ่ รียนรู้ ความสวา่ งท่ี Instructional
. ความสามารถในการคิด 3.ม่งุ ม่ันใน เหมาะสมกบั
1) ทักษะการสารวจคน้ หา การทางาน กจิ กรรมต่าง ๆ Model)
ควรมคี ่าเท่าใด
2) ทักษะการจาแนก
ประเภท
3) ทักษะการเปรียบเทียบ
4) ทกั ษะการตคี วามข้อมูล
ละการลงขอ้ สรุป
. ความสามารถในการใช้
ทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคญั สำระกำร
ตวั ช้ีวัด แกนกลำง ควำมคิดรวบยอด เรียนรู้
ว3.1 ม ในระบบสรุ ิยะมีดวงอาทิตย์เป็น ในระบบสุรยิ ะมดี วงอาทิตย์ ขนาดของแรง 1.
3/1 ศนู ย์กลางโดยมีดาวเคราะหแ์ ละ เป็นศูนย์กลางโดยมีดาว โนม้ ถว่ ง สื่อ
บรวิ าร ดาวเคราะห์แคระดาว เคราะห์และบรวิ าร ดาว 2.
เคราะห์นอ้ ย ดาวหาง และอน่ื ๆ เคราะห์แคระดาวเคราะห์นอ้ ย
เช่น วตั ถคุ อยเปอร์ ดาวหาง และอ่ืน ๆ เช่น วัตถุ ป
โคจรอยูโ่ ดยรอบ ซึ่งดาวเคราะห์ คอยเปอร์ โคจรอยูโ่ ดยรอบ
และวตั ถเุ หล่านีโ้ คจรรอบดวง ซงึ่ ดาวเคราะห์ และวัตถุ แล
อาทิตย์ดว้ ยแรงโนม้ ถว่ งแรงโน้ม เหลา่ นี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ 3.
ถ่วงเป็นแรงดงึ ดดู ระหวา่ งวัตถุ ดว้ ยแรงโน้มถว่ งแรงโน้มถว่ ง เท
สองวตั ถุโดยเป็นสัดสว่ นกับผลคณู เปน็ แรงดงึ ดูดระหว่างวัตถุ
ของมวลทั้งสอง และเป็น สองวตั ถุโดยเป็นสัดส่วนกับผล
สัดสว่ นผกผนั กับกาลังสองของ คณู ของมวลท้ังสอง และเปน็
ระยะทางระหว่างวตั ถุทง้ั สอง สัดส่วนผกผนั กับกาลงั สอง
แสดงได้โดยสมการ F = ของระยะทางระหวา่ งวัตถทุ ง้ั
(Gm1m2)/r2 สอง แสดงได้โดยสมการ F =
เมือ่ F แทนความโน้มถ่วงระหวา่ ง (Gm1m2)/r2
มวลท้ังสอง เมื่อ F แทนความโนม้ ถ่วง
G แทนค่านิจโนม้ ถว่ งสากล ระหว่างมวลทัง้ สอง
m1แทนมวลของวัตถุแรก G แทนคา่ นจิ โนม้ ถว่ งสากล
m2 แทนมวลของวัตถุท่สี อง และ m1แทนมวลของวัตถแุ รก
r แทนระยะหา่ งระหว่างวัตถุทัง้ m2 แทนมวลของวตั ถุท่ีสอง
สอง และr แทนระยะห่างระหวา่ ง
วตั ถุท้ังสอง
นำไปสู่ วดั ผล แนวกำรจดั
ประเมินผล กิจกรรมกำร
สมรรถนะสำคญั คุณลักษณะ ชน้ิ งำน/ภำระ
ของผูเ้ รียน อนั พ่ึง งำน เรยี นรู้
ประสงค์
. ความสามารถในการ กจิ กรรมท่ี 4.1 ตรวจการ วธิ ีสอนแบบสืบ
อสาร 1.มวี นิ ยั ขนาดของแรง
. ความสามารถในการคดิ 2.ใฝเ่ รยี นรู้ โนม้ ถว่ ง ตอบคาถาม เสาะหาความรู้
1) ทักษะการสารวจคน้ หา 3.มงุ่ มนั่ ใน ท้ายกจิ กรรม (5Es
การทางาน
2) ทักษะการจาแนก ท่ี 4.1 Instructional
Model)
ประเภท
3) ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ
4) ทกั ษะการตคี วามขอ้ มูล
ละการลงขอ้ สรุป
. ความสามารถในการใช้
ทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคัญ สำระกำร
ตวั ช้ีวัด แกนกลำง ควำมคดิ รวบยอด เรยี นรู้
ว3.1 ม การที่โลกโคจรรอบดวงอาทติ ยใ์ น การทโ่ี ลกโคจรรอบดวง การเกดิ ฤดู 1.
3/2 ลักษณะท่ีแกนโลกเอยี งกับ อาทิตย์ในลกั ษณะท่ี ของโลก สือ่
แนวตั้งฉากของระนาบทางโคจร แกนโลกเอยี งกบั แนวต้งั ฉาก การเคลอ่ื นที่ 2.
ทาใหส้ ่วนตา่ ง ๆ บนโลกได้รับ ของระนาบทางโคจรทาให้ ปรากฏของ
ปรมิ าณแสงจากดวงอาทติ ย์ สว่ นตา่ ง ๆ บนโลกไดร้ บั ดวงอาทติ ย์ ป
แตกตา่ งกนั ในรอบปี เกดิ เปน็ ฤดู ปริมาณแสงจากดวงอาทิตย์
กลางวันกลางคืนยาวไม่เท่ากนั แตกตา่ งกนั ในรอบปี เกดิ เป็น แล
และตาแหนง่ ฤดกู ลางวนั กลางคืนยาวไม่ 3.
การขึ้นและตกของดวงอาทติ ย์ที่ เท่ากัน และตาแหนง่ การข้นึ เท
ขอบฟ้าและเส้นทางการข้ึนและ และตกของดวงอาทิตย์ท่ขี อบ
ตกของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปใน ฟา้ และเสน้ ทางการขนึ้ และตก
รอบปี ซ่งึ ส่งผลตอ่ การดารงชีวิต ของดวงอาทติ ยเ์ ปลยี่ นไปใน
รอบปี ซง่ึ สง่ ผลตอ่ การ
ดารงชวี ิต
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจดั
ประเมินผล กิจกรรมกำร
สมรรถนะสำคัญ คณุ ลกั ษณะ ชน้ิ งำน/ภำระ
งำน เรียนรู้
ของผูเ้ รยี น อันพ่ึง
ประสงค์
. ความสามารถในการ 1.มวี ินัย กจิ กรรมที่ 4.2 ตรวจ วธิ สี อนแบบสบื
อสาร 2.ใฝเ่ รียนรู้ ฤดูของโลก กจิ กรรมที่ เสาะหาความรู้
. ความสามารถในการคิด 3.มุ่งมัน่ ใน เกดิ ขน้ึ ได้ 4.2 (5Es
1) ทักษะการสารวจค้นหา การทางาน อย่างไร ฤดูของโลก Instructional
เกดิ ขนึ้ ได้ Model)
2) ทักษะการจาแนก
อยา่ งไร
ประเภท
ตรวจคาถาม
3) ทักษะการเปรยี บเทียบ
ท้ายกจิ กรรม
4) ทกั ษะการตคี วามขอ้ มูล
ละการลงขอ้ สรุป ที่ 4.3
. ความสามารถในการใช้
ทคโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรยี นรู้ สำระสำคญั สำระ
ตัวชวี้ ัด แกนกลำง ควำมคดิ รวบยอด กำร ส
เรียนรู้
ว3.1 ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลก โลกและ ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกและ การเกิด 1.
ดวงจันทรโ์ คจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบดวงอาทิตย์ ส่อื
ม3/3 ดวงจนั ทร์รบั แสงจากดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทรร์ บั แสงจากดวงอาทติ ย์ ขา้ งขนึ้ 2.
คร่ึงดวงตลอดเวลา เม่อื ดวงจันทร์ คร่ึงดวงตลอดเวลา เมอื่ ดวงจนั ทร์ ข้างแรม 1
โคจรรอบโลก โคจรรอบโลก 2
ไดห้ ันสว่ นสว่างมายังโลกแตกตา่ ง ไดห้ นั สว่ นสว่างมายงั โลกแตกตา่ ง ปร
กัน จึงทาใหค้ นบนโลกสังเกตส่วน กัน จงึ ทาใหค้ นบนโลกสังเกตส่วน 3
สว่างของดวงจนั ทรแ์ ตกต่างไปใน สวา่ งของดวงจนั ทร์แตกต่างไปใน
แต่ละวนั เกดิ เป็นขา้ งขนึ้ ขา้ งแรม แตล่ ะวันเกิดเปน็ ขา้ งขึ้นข้างแรม 4
• ดวงจันทร์โคจรรอบโลกใน • ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกในทิศทาง แล
3.
ทิศทางเดยี วกันกบั ที่โลกหมนุ รอบ เดียวกันกบั ท่ีโลกหมนุ รอบตัวเอง เทค
ตวั เอง จงึ ทาให้เหน็ ดวงจันทร์ข้ึน จงึ ทาใหเ้ หน็ ดวงจนั ทรข์ น้ึ ชา้ ไป
ช้าไปประมาณวนั ละ ๕๐ นาที ประมาณวันละ ๕๐ นาท
แรงโน้มถ่วงท่ดี วงจนั ทร์ ดวง แรงโน้มถ่วงทด่ี วงจนั ทร์ ดวง
อาทติ ย์กระทาต่อโลกทาใหเ้ กิด อาทิตย์กระทาตอ่ โลกทาใหเ้ กดิ
ปรากฏการณ์นา้ ขน้ึ น้าลง ซ่ึงสง่ ผล ปรากฏการณ์นา้ ขึ้นน้าลง ซ่งึ สง่ ผล
ตอ่ สิง่ แวดล้อมและสง่ิ มีชีวติ บน ตอ่ ส่งิ แวดล้อมและส่งิ มีชีวติ บนโลก
โลก วนั ทนี่ ้ามรี ะดบั การขึน้ สงู สุด วนั ทน่ี า้ มีระดบั การขึน้ สงู สุดและลง
และลงตา่ สดุ เรียก วันน้าเกิด ต่าสดุ เรียก วันนา้ เกดิ
ส่วนวนั ท่รี ะดับนา้ มีการขึ้นและลง ส่วนวนั ท่ีระดับน้ามีการข้นึ และลง
นอ้ ยเรียกวันนา้ ตาย โดยวนั นา้ เกิด น้อยเรียกวนั นา้ ตาย โดยวนั นา้ เกิด
นา้ ตาย มีความสมั พันธ์กบั ข้างขน้ึ นา้ ตาย มีความสมั พนั ธก์ บั ขา้ งขน้ึ
ขา้ งแรม ขา้ งแรม
นำไปสู่ วัดผล แนวกำรจดั
ประเมินผล กิจกรรมกำร
สมรรถนะสำคญั คณุ ลักษณะ ช้ินงำน/ภำระ
งำน เรียนรู้
ของผูเ้ รยี น อันพ่ึง
วิธีสอนแบบสืบ
ประสงค์ เสาะหาความรู้
(5Es
ความสามารถในการ 1.มีวนิ ัย - คาถามทา้ ย - ตรวจ
อสาร 2.ใฝเ่ รียนรู้ กิจกรรมท่ี 4.4 คาถามท้าย Instructional
ความสามารถในการคิด 3.มุ่งมนั่ ใน ข้างขนึ้ ขา้ งแรม กิจกรรมที่
1) ทักษะการสารวจค้นหา การทางาน เกดิ ข้นึ ได้อยา่ งไร 4.4 Model)
จานวน 6 ข้อ
2) ทกั ษะการจาแนก
ระเภท
3) ทักษะการเปรียบเทียบ
4) ทกั ษะการตีความข้อมูล
ละการลงข้อสรปุ
ความสามารถในการใช้
คโนโลยี
มำตรฐำน/ สำระกำรเรียนรู้ สำระสำคญั สำระกำร สม
ตัวชีว้ ัด แกนกลำง ควำมคดิ รวบยอด เรียนรู้
ว3.1 ม เทคโนโลยอี วกาศได้มบี ทบาทตอ่ เทคโนโลยอี วกาศได้มบี ทบาทต่อ ดูดาววนั 1. ค
3/4 การดารงชีวิตของมนษุ ย์ใน การดารงชีวติ ของมนษุ ยใ์ นปัจจบุ ัน ไหนกนั ดี 2. ค
ปจั จบุ นั มากมาย มนุษยไ์ ด้ใช้ มากมาย มนุษย์ไดใ้ ชป้ ระโยชน์
ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีอวกาศ จากเทคโนโลยีอวกาศ เช่น ระบบ 1)
เช่น ระบบนาทางดว้ ยดาวเทยี ม นาทางดว้ ยดาวเทียม (GNSS) การ
(GNSS) การตดิ ตามพายุ ตดิ ตามพายุสถานการณไ์ ฟปา่ 2)
สถานการณไ์ ฟป่า ดาวเทียมชว่ ย ดาวเทยี มช่วยภยั แล้งการตรวจ
ภัยแล้งการตรวจคราบนา้ มันใน คราบนา้ มันในทะเล 3)
ทะเล • โครงการสารวจอวกาศต่าง ๆ ได้
• โครงการสารวจอวกาศต่าง ๆ พัฒนาเพมิ่ พูนความรคู้ วามเขา้ ใจ 4)
ได้พฒั นาเพ่มิ พูนความรู้ความ ตอ่ โลก ระบบสุรยิ ะและเอกภพ ข้อส
เข้าใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอก มากขึน้ เป็นลาดับ ตัวอย่าง 3. ค
ภพมากขนึ้ เป็นลาดับ ตวั อย่าง โครงการสารวจอวกาศเชน่ การ
โครงการสารวจอวกาศเช่น การ สารวจสง่ิ มีชีวิตนอกโลก การ
สารวจสง่ิ มชี ีวติ นอกโลก การ สารวจ
สารวจ ดาวเคราะหน์ อกระบบสุริยะ การ
ดาวเคราะหน์ อกระบบสรุ ยิ ะ การ สารวจดาวองั คารและบรวิ ารอ่ืน
สารวจดาวอังคารและบริวารอ่นื ของดวงอาทติ ย์
ของดวงอาทิตย์
นำไปสู่ คุณลกั ษณะ ช้ินงำน/ วดั ผล แนวกำรจดั
มรรถนะสำคัญของผเู้ รียน อนั พ่ึง ภำระงำน ประเมนิ ผล กจิ กรรมกำร
ประสงค์
ความสามารถในการสือ่ สาร คาถาม ตรวจคาถามทา้ ย เรยี นรู้
ความสามารถในการคดิ 1.มวี ินัย ท้าย กจิ กรรม
) ทกั ษะการสารวจคน้ หา 2.ใฝเ่ รยี นรู้ กจิ กรรม ท้ายบท ดูดาววนั วิธสี อนแบบ
3.มุ่งมั่นใน ท้ายบท ดู ไหนกนั ดี จานวน สบื เสาะหา
) ทักษะการจาแนกประเภท การทางาน ดาววัน 1 ขอ้ ความรู้ (5Es
) ทกั ษะการเปรียบเทียบ ไหนกนั ดี
จานวน 1 Instructional
) ทักษะการตคี วามข้อมลู และการลง ขอ้
สรปุ Model)
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
หน
1. วำงแผนกำรจัดทำหนว่ ยกำรเรยี นรู้
กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ขิ องส่ิงมชี ีวิต หนว่ ยพ้นื ฐานของส่ิงมชี ีวติ การล
ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ี่ทางานสมั พันธก์ นั ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหน้าที่ ของอว
สำระกำร นำไปสู่
เรียนรู้
มำตรฐำน/ แกนกลำง สำระสำคัญ สมรรถนะ คณุ ลักษณะอัน
ตวั ชี้วัด ควำมคดิ รวบยอด พ่ึงประสงค์
วิทยาศาสตร์ สำคัญของ
วิทยาศาสตร์ กบั การ ความก้าวหน้า 1.มวี ินัย
กับการ แก้ปัญหา ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ ผ้เู รยี น 2.ใฝ่เรยี นรู้
แกป้ ัญหา - วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ 3.มุง่ ม่นั ในการ
ในชีวิต มนษุ ยส์ ร้างสรรค์ มี 1. ความสามารถใน ทางาน
จุดประสงค์เพ่ือ การส่ือสาร
-วิทยาศาสตร์ ตอบสนองความ 2. ความสามารถใน
กบั การ ต้องการและชว่ ย การคดิ
แก้ปัญหาของ ยกระดบั การใชช้ ีวติ ให้
มนษุ ย์ มคี วามสะดวกสบาย 1) ทักษะการ
ยิง่ ขึ้น จาเป็นตอ้ ง สารวจค้นหา
อาศัยองค์มนษุ ยเ์ อง
ดังนัน้ มนุษย์จงึ ควร 2) ทกั ษะการ
ตระหนักถงึ
จาแนกประเภท
3) ทักษะการ
เปรียบเทียบ
4) ทกั ษะการ
ตีความข้อมลู และ
การลงขอ้ สรปุ
3. ความสามารถใน
การใชเ้ ทคโนโลยี
นว่ ยกำรเรยี นรู้
ลาเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องระบบตา่ งๆ
วยั วะต่าง ๆ ของพืชทีท่ างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
น ชิน้ งำน/ภำระ วดั ผลประเมินผล แนวกำรจดั กิจกรรมกำร เวลำเรยี น
งำน เรียนรู้ (ช่วั โมง
กิจกรรมที่ 1.1 ตรวจการออกแบบ วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหา 4
ความรูท้ าง สิ่งประดษิ ฐจ์ าก ความรู้ (5Es Instructional
วทิ ยาศาสตร์ สถานการณ์ท่ี Model)
สาคญั อยา่ งไร กาหนด