(หมายเหต:ุ ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใชแ้ บบประเมินการปฏิบัติกจิ กรรม)
ขน้ั สรุป
1. ครูให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมารายงานผลท่ีได้จากการทากิจกรรมหน้าชั้นเรียน แล้วครูสอบถาม
นักเรียนกลุ่มอื่นว่าได้ผลของการเคลื่อนท่ีของความเหมอื นหรอื ต่างกันหรือไม่ อย่างไร ถ้าไม่ตรงกัน
ให้ช่วยกันวิเคราะห์และสรุปว่าผลท่ีถูกต้องเป็นอย่างไร จากน้ันครูเป็นผู้เฉลยผลที่ได้จากการทา
กจิ กรรมทีถ่ ูกต้อง
2. นักเรียนและครรู ่วมกันสรปุ เกย่ี วกับกิจกรรม การเคลอ่ื นท่ีวกกลับของดาวอังคาร เพ่ือให้ไดข้ ้อสรปุ ว่า
ดาวฤกษ์เป็นดาวท่ีมีตาแหน่งสัมพัทธ์คงที่ ดาวเคราะห์มีการเคล่ือนท่ีท้ังเดินหน้าและวกกลับ การ
เคล่ือนที่เดินหน้าเป็นการเคล่ือนท่ีไปทางทิศตะวันออก และการเคล่ือนท่ีวกกลับจะเคล่ือนที่ไปทาง
ทศิ ตะวันตก
3. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่เข้าใจ แล้วให้
ความรู้เพ่ิมเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เร่ือง การเคล่ือนที่ปรากฏของดาว
เคราะห์ มาชว่ ยในการอธิบาย
4. ครูมอบหมายให้นักเรียนฝึกทาแบบฝึกหัด เรื่อง การเคลื่อนท่ีปรากฏของดาวเคราะห์ จากหนังสือ
เรยี นฯ ลงในสมุดประจาตัว
5. ครใู ห้นกั เรยี นทาแบบฝึกหัด เรื่อง การเคล่ือนทีป่ รากฏของดาวเคราะห์ เป็นการบา้ นแลว้ นาสง่ ครู และ
ศกึ ษาเนื้อหา เร่อื ง มมุ ห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ ซ่งึ จะเรยี นในคาบตอ่ ไปมาลว่ งหนา้
ขน้ั ประเมนิ
1. ประเมินความรู้เก่ียวกับเร่ือง การเคล่ือนท่ีปรากฏของดาวเคราะห์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบ
คาถาม การทาแบบฝึกหัด ใบงาน และการสรปุ สาระสาคัญ
2. ประเมนิ ทกั ษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์จากโดยสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ การปฏิบัติ
กิจกรรม การเคลอื่ นที่วกกลับของดาวอังคาร และการนาความรทู้ ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์
3. ประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคโ์ ดยสงั เกตพฤตกิ รรมจากการสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติกิจกรรม
การอภิปราย และการทาแบบฝึกหัด
7. กำรวัดและประเมินผล
รำยกำรวดั วธิ วี ดั เคร่อื งมอื เกณฑ์กำรประเมนิ
7.1 การประเมนิ ก่อนเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แ บ บ ท ด ส อ บ ก่ อ น - ประเมินตามสภาพจรงิ
- แบบทดสอบก่อนเรียน ก่อนเรียน เรียน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5
เร่ือง การเคลื่ อนท่ี
ปรากฏของดาวเคราะห์
7.2 การประเมินระหว่าง
การจดั กจิ กรรม - ตรวจใบงานที่ 5.1 - ใบงานที่ 5.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
1) การเคลอื่ นที่ - ตรวจแบบฝกึ หดั - ตรวจแบบฝึกหัด - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
ปรากฏของดาว - ตรวจคาถาม - คาถาม - ระดบั คุณภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
เคราะห์
- ระดับคุณภาพ 2
2) การปฏิบตั กิ าร - ประเมนิ - แบบประเมิน ผ่านเกณฑ์
การปฏบิ ตั ิการ การปฏิบตั ิการ - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
3) พฤติกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกต
- ระดับคณุ ภาพ 2
การทางาน การทางาน พฤติกรรม ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล รายบคุ คล การทางานรายบุคคล
4) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกต
การทางานกลมุ่ การทางานกลุ่ม พฤตกิ รรม
การทางานกลุ่ม
5) คุณลกั ษณะ - สงั เกตความมีวินัย - แบบประเมิน
อนั พึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมนั่ คุณลักษณะ
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
8. สื่อ/แหล่งกำรเรยี นรู้
8.1 สอ่ื กำรเรียนรู้
1) หนงั สือเรยี น รายวิชาเพมิ่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เลม่ 2
2) แบบฝึกหดั รายวิชาเพ่ิมเติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ม.6 เลม่ 2
3) ใบงานท่ี 5.1 เรือ่ ง ระบบสรุ ิยะ
4) ใบความรู้ เรื่อง การเคล่อื นทปี่ รากฏของดาวเคราะห์
5) PowerPoint เร่ือง การเคล่อื นท่ปี รากฏของดาวเคราะห์
6) สมดุ ประจาตัว
8.2 แหล่งกำรเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) ห้องสมุด
3) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ
ใบควำมรู้
เรอ่ื ง กำรเคลอ่ื นท่ีปรำกฏของดำวเครำะห์
▲ การเคลอ่ื นทป่ี รากฏของดาวเคราะหว์ งนอก (ตามลาดบั ตวั เลข)
• ดาวเคราะห์ เปน็ ดาวทม่ี กี ารเปล่ียนแปลงตาแหน่งสมั พัทธ์ตามเวลา
• ดาวเคราะหม์ กั มีการเคลอ่ื นท่ีไปทางตะวนั ออก แตม่ ีบา่ งช่วงท่เี คลอ่ื นท่ไี ปทางตะวนั ตก
• การเคลื่อนที่ปรากฏของดาวเคราะห์วงใน เกิดจากการเคลื่อนที่จริงของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์
เทียบกบั ผ้สู งั เกตทีอ่ ย่บู นโลก
• การเคล่ือนท่ีปรากฏของดาวเคราะห์วงนอก เป็นการเคล่ือนที่ท่ีผู้สังเกตมองจากโลก ซ่ึงโลกและดาว
เคราะห์ตา่ งเคลื่อนทร่ี อบดวงอาทิตยใ์ นแนวเดยี วกัน แต่โลกโคจรดว้ ยความเรว็ ที่มากกวา่
ใบงำนท่ี 5.1
เรอื่ ง ระบบสรุ ยิ ะ
คำช้แี จง : ทาเคร่ืองหมาย ✓ ในข้อความที่ถูกต้อง และทาเครื่องหมาย ✗ ในขอ้ ความท่ีไม่ถกู ต้อง พร้อมทั้ง
แกไ้ ขข้อความน้นั ใหถ้ ูกตอ้ ง
ข้อควำม ✓ ✗ ข้อควำมทถี่ กู ตอ้ ง
แกนกลางของดวงอาทติ ยเ์ กดิ ปฏกิ ริ ยิ า
ระหวา่ งน้ามนั กบั แก๊สออกซเิ จน
ดาวพุธเป็นดาวเคราะหท์ อ่ี ยู่ใกลด้ วงอาทติ ย์
มากท่ีสุด ไม่มีชัน้ บรรยากาศจึงมีสภาพ
พน้ื ผวิ ขรุขระ และมลี กั ษณะคลา้ ยดวงจนั ทร์
ของโลก
ดาวศกุ รม์ ที ศิ ทางการหมุนรอบตวั เองสวน
ทางกบั ดาวเคราะหด์ วงอ่นื
ดาวองั คารมชี นั้ บรรยากาศทม่ี อี งคป์ ระกอบ
ใกลเ้ คยี งกบั โลก
วงแหวนดาวเคราะหน์ ้อย อยู่ระหวา่ งวงโคจร
ของดาวเสารก์ บั ดาวพฤหสั บดี
ดาวพฤหสั บดเี ป็นดาวเคราะห์แก๊สท่มี ขี นาด
ใหญ่ท่สี ุด แต่มีมวลน้อยท่สี ุดในระบบสุรยิ ะ
และไม่มดี วงจนั ทรบ์ รวิ าร
ดาวเสารม์ คี วามหนาแน่นน้อยกวา่ น้า
ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์เพยี งดวงเดยี วท่มี ีวง
แหวน
ดาวยูเรนสั เป็นดาวเคราะหท์ ่มี แี กนเอยี งถงึ
97 องศา
ดาวพลูโตเป็ นดาวเคราะห์ดวงหน่ึ งในระบบ
สุรยิ ะ
ใบงำนท่ี 5.1 เฉลย
เร่อื ง ระบบสรุ ยิ ะ
คำช้ีแจง : ทาเครอื่ งหมาย ✓ ในขอ้ ความท่ีถูกต้อง และทาเครื่องหมาย ✗ ในขอ้ ความที่ไม่ถกู ต้อง พรอ้ มท้ัง
แก้ไขขอ้ ความน้นั ให้ถกู ต้อง
ข้อควำม ✓✗ ข้อควำมทีถ่ ูกต้อง
✗ แกนกลางของดวงอาทติ ยเ์ กดิ ปฏกิ ริ ยิ า ซ่งึ
แกนกลางของดวงอาทติ ยเ์ กดิ ปฏกิ ริ ยิ า ✓ เปลย่ี นไฮโดรเจนไปเป็นฮเี ลยี ม
ระหวา่ งน้ามนั กบั แกส๊ ออกซเิ จน
ดาวพุธเป็นดาวเคราะหท์ อ่ี ยู่ใกลด้ วงอาทิตย์ ✓ ดาวอังคารมีชนั้ บรรยากาศท่ีเบาบาง ซ่ึง
มากท่ีสุด ไม่มีชัน้ บรรยากาศจึงมีสภาพ ✗ ประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็ น
พ้นื ผวิ ขรุขระ และมลี กั ษณะคลา้ ยดวงจนั ทร์ ส่วนมาก
ของโลก ✗ วงแหวนดาวเคราะหน์ ้อย อยู่ระหวา่ งวง
ดาวศกุ รม์ ที ศิ ทางการหมุนรอบตวั เองสวน ✗ โคจรของดาวองั คารกบั ดาวพฤหสั บดี
ทางกบั ดาวเคราะหด์ วงอน่ื ดาวพฤหสั บดเี ป็นดาวเคราะหแ์ กส๊ ทม่ี ี
ดาวองั คารมชี นั้ บรรยากาศทม่ี อี งคป์ ระกอบ ✓ ขนาดใหญ่ทส่ี ดุ มมี วลมากทส่ี ุดในระบบ
ใกลเ้ คยี งกบั โลก ✗ สุรยิ ะ และมดี วงจนั ทรบ์ รวิ ารมากทส่ี ดุ
✓
วงแหวนดาวเคราะหน์ ้อย อยู่ระหวา่ งวงโคจร ✗ ดาวเสาร์ ดาวพฤหสั ดาวยเู รนสั และดาว
ของดาวเสารก์ บั ดาวพฤหสั บดี เนปจูน เป็นดาวเคราะหท์ ม่ี วี งแหวน
ดาวพฤหสั บดเี ป็นดาวเคราะหแ์ ก๊สทม่ี ขี นาด
ใหญ่ท่สี ุด แต่มมี วลน้อยท่สี ุดในระบบสุริยะ ดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระ เน่ืองจาก
และไม่มดี วงจนั ทรบ์ รวิ าร มีบริวารอยู่ในวงโคจรเดียวกันกับดาว
ดาวเสารม์ คี วามหนาแน่นน้อยกวา่ น้า พลูโต
ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะหเ์ พยี งดวงเดยี วท่มี วี ง
แหวน
ดาวยูเรนสั เป็นดาวเคราะหท์ ม่ี แี กนเอยี งถงึ
97 องศา
ดาวพลูโตเป็ นดาวเคราะห์ดวงหน่ึงในระบบ
สุรยิ ะ
9. บนั ทึกผลหลังกำรสอน
• ด้านความรู้
• ด้านสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
• ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
• ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
• ด้านอืน่ ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทม่ี ีปญั หาของนักเรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้ามี))
• ปัญหา/อปุ สรรค ลงช่อื
• แนวทางการแก้ไข (นางรัตติยา สุธรรม)
ตำแหน่ง ครู
ลงช่อื
(นางรัตติยา สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
10. ควำมเห็นของหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
“……………………………….
ควำมเหน็ ของหวั หนำ้ กลมุ่ บริหำรงำนวิชำกำร ลงชื่อ .................................
(นางรัตตยิ า สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
“……………………………….
ลงช่อื .................................
(นายถาวร ลาวช่าง)
ตำแหน่ง ครู
ควำมเหน็ ของผูบ้ รหิ ำรสถำนศึกษำหรอื ผูท้ ี่ได้รับมอบหมำย
“……………………….
ลงชอื่ .................................
(ว่ำทีร่ อ้ ยโทวฒุ ิชัย ไปปลอด)
ตำแหนง่ ผู้อำนวยกำรโรงเรียนนำคำรำษฎร์รงั สรรค์
แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ี่ 9
รำยวชิ ำเพ่ิมเติม โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ กลุ่มสำระกำรเรยี นร้วู ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หน่วยกำรเรียนรทู้ ่ี 5 กำรเคล่อื นทีป่ รำกฎของดำวเครำะห์ เวลำ 3 ช่ัวโมง
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ เร่ือง มุมหำ่ งและคำบกำรโคจรของดำวเครำะห์ เวลำ 1 ช่ัวโมง
ช้นั มธั ยมศกึ ษำปที ี่ 6 เวลำ 20 ชั่วโมง จำนวน 0.5 หนว่ ยกิต
…………………………………………………………………………………………………………………………….
สำระโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ
3. เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ
ระบบสุรยิ ะ ความสมั พนั ธข์ องดาราศาสตร์กบั มนษุ ย์ จากการศึกษาตาแหนง่ ดาวบนทรงกลมฟา้ และปฏิสัมพนั ธ์
ภายในระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศในการดารงชีวิต
1. ผลกำรเรยี นรู้
5. อธิบายมุมห่างท่ีสัมพันธ์กับตาแหน่งในวงโคจร และอธิบายเชื่อมโยงกับตาแหน่งปรากฏของดาว
เคราะหท์ ี่สงั เกตได้จากโลก
2. จุดประสงคก์ ำรเรียนรู้
1. อธบิ าย สืบคน้ และอภิปรายเกี่ยวกบั มมุ ห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะหไ์ ด้ (K)
2. ปฏบิ ัติกจิ กรรมคาบดาราคติและคาบซินอดิกได้อย่างถกู ตอ้ ง (P)
3. เป็นคนชา่ งสงั เกต ช่างคดิ ช่างสงสยั และเปน็ ผู้ทม่ี ีความกระตอื รอื รน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
3. สำระกำรเรยี นรู้
สำระกำรเรยี นรู้เพ่มิ เต่มิ
- มมุ ห่างของดาวเคราะห์ คือ มมุ ระหว่างเสน้ ตรงที่เช่อื มระหวา่ งโลกกับดาวเคราะหก์ บั เสน้ ตรงท่ีเชือ่ มระหว่างโลก
กับดวงอาทิตย์ เม่ือวัดบนเส้นสุริยวิถี โดยดาวเคราะหอ์ าจอยู่ห่างจากดวงอาทิตยไ์ ปทางทิศตะวันออก หรือทาง
ทิศตะวนั ตก ซ่งึ มีการเรียกช่ือตามตาแหน่งของดาวเคราะห์ในวงโคจร ขนาดของมุมหา่ งและทิศทางของมุมหา่ ง
- ดาวเคราะห์ทม่ี ีมุมห่างต่างกนั จะมตี าแหนง่ ปรากฏบนทอ้ งฟ้าแตกตา่ งกัน โดยตาแหน่งปรากฏของดาวเคราะหว์ ง
ในจะอยู่ใกล้ขอบฟ้าในช่วงเวลาใกล้รุ่งหรือเวลาหัวค่า ส่วนตาแหน่งปรากฏของดาวเคราะห์วงนอกจะสามารถ
เหน็ ไดใ้ นชว่ งเวลาอืน่ ๆ นอกจากน้ี มมุ หา่ งยังสามารถนามาอธบิ ายปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ เช่น ดาวเคียง
เดือน ดาวเคราะห์ชมุ นุม ดาวเคราะห์ ผ่านหน้าดวงอาทิตย์
4. สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด
มุมห่าง (elongation) คอื มมุ ระหวา่ งเสน้ ตรงท่เี ชอื่ มโลกกับดวงอาทติ ย์ กบั เส้นตรงทเี่ ช่ือมโลกกับดาว
เคราะห์ โดยท่ีมีโลกเป็นจุดหมุนหรอื มมุ ระหวา่ งดาวเคราะหถ์ ึงดวงอาทติ ยท์ ส่ี งั เกตไดจ้ ากโลก
คาบ (period) คือ ระยะเวลาท่ีดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ ซ่ึงการนิยาม 1 รอบ
สามารถทาได้ คือ คาบดาราคติ (sidereal period) ระยะเวลาทีด่ าวเคราะห์ใช้ในการโคจรกลับมายังตาแหน่ง
เดิมในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ และคาบซินอดิก (synodic period) ระยะเวลาที่ดาวเคราะห์ใช้ในการโคจร
กลับมายังมมุ ห่างเดิมระหวา่ งดวงอาทติ ยก์ บั โลกอกี คร้ัง
5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวนิ ัย รบั ผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. ซอ่ื สตั ย์ สุจรติ
2) ทักษะการสือ่ สาร 4. มุ่งมัน่ ในการทางาน
3) ทักษะการทดลอง
4) ทักษะการวเิ คราะห์
5) ทกั ษะการทางานรว่ มกนั
3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
6. กิจกรรมกำรเรยี นรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธสี อน/เทคนคิ : การสอนแบบเนน้ มโนทศั น์
ช่ัวโมงท่ี 1-2
ขน้ั นา
ขัน้ กำรใช้ควำมรู้เดิมเชอื่ มโยงควำมรใู้ หม่ (Prior Knowledge)
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเก่ียวกับการเคล่ือนที่ปรากฏของดาวเคราะห์ เพื่อเป็นการทบทวน
ความรูข้ องนกั เรยี นจากคาบเรียนที่ผา่ นมา และนาไปสหู่ ัวขอ้ ตอ่ ไป
2. ครูถามคาถามเพื่อเข้าสู่บทเรียนว่า การเห็นตาแหน่งของดาวเคราะห์วงในและดาวเคราะห์วงนอก
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดยครูให้นักเรียนแต่ละคนรว่ มกันอภิปรายและแสดงความคิดเหน็
อย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยวา่ ถกู หรอื ผิด
ขน้ั สอน
ข้ันรู้ (Knowing)
1. ครูให้ให้นักเรียนรวมกลุ่ม ๆ ละ 3 คน ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมุมห่างและคาบการโคจรของดาว
เคราะห์ จากหนังสือเรียน และแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ เช่น วารสารเกี่ยวกับดาราศาสตร์ เว็บไซต์ของ
องคก์ ารนาซา โดยครูชว่ ยเชอื่ มโยงความร้ใู หม่จากความรู้เดมิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรู้มาแลว้
2. จากน้ันทากิจกรรมโดยให้ นักเรียนแต่ละคนยืนแทนตาแหน่งดวงอาทิตย์ โลก และดาวเคราะห์ใน
ตาแหน่งรว่ มทศิ แนววงในร่วมทศิ แนววงนอก ตัง้ ฉาก ตรงข้าม ห่างไปทางตะวันออกมากที่สุด หา่ งไป
ทางตะวนั ตกมากท่ีสุดโดยใชว้ ธิ กี ารประมาณมุมห่าง
3. นักเรียนและครรู ่วมกันสรปุ ผลที่ได้จากการทากจิ กรรม
ข้ันเขำ้ ใจ (Understanding)
4. ครูแสดงภาพหรือนาภาพในหนังสือเรียนเกี่ยวกับมุมห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ แล้ว
อธบิ ายให้นกั เรยี นเข้าใจ ดงั น้ี
• มุมห่ำง (elongation) คือ มุมระหว่างเส้นตรงท่ีเชื่อมโลกกับดวงอาทิตย์ กับเส้นตรงที่เช่ือม
โลกกบั ดาวเคราะห์
ตำแหน่งดำวเครำะห์ มมุ ห่ำง รำยละเอียดตำแหนง่
รว่ มทิศ (conjunction) 0° อยูแ่ นวเดยี วกบั โลกและดวงอาทติ ย์
ร่วมทิศแนววงนอก 0° อยู่ตรงขา้ มกับโลก หรือด้านหลัง
(superior conjunction) ดวงอาทิตยเ์ มื่อสังเกตจากโลก
ร่วมทศิ แนววงใน 0° อยู่ระหวา่ งโลกกับดวงอาทติ ย์ หรอื
(inferior conjunction) ดา้ นหนา้ ดวงอาทิตย์เม่ือสงั เกตจากโลก
ต้ังฉาก (quadrature)
90° อยู่แนวเดียวกับโลก ซึ่งทามุมต้ังฉากกับ
ดวงอาทิตย์
ตรงขา้ ม (opposition) 180° อยตู่ รงขา้ มดวงอาทติ ย์เมื่อมองจากโลก
• คำบ (period) คอื ระยะเวลาทีด่ าวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทติ ย์ครบ 1 รอบ
- คาบดาราคติ (sidereal period) ระยะเวลาท่ีดาวเคราะห์ใช้ในการโคจรกลบั มายังตาแหน่ง
เดิมในวงโคจรรอบดวงอาทติ ย์ หรือทเ่ี รียกว่า “หนึ่งปขี องดาวเคราะห์” เช่น คาบดาราคตขิ อง
ดาวอังคาร เท่ากับ 687 วนั หมายความว่า หนึ่งปขี องดาวองั คารใช้เวลา 687 วัน
- คาบซินอดิก (synodic period) ระยะเวลาที่ดาวเคราะห์ใช้ในการโคจรกลับมายังมุมห่าง
เดมิ ระหว่างดวงอาทิตยก์ ับโลกอีกครง้ั เช่น ระยะเวลาระหว่างการเห็นดาวอังคารอยู่ตรงข้าม
ดวงอาทติ ย์คร้ังแรก จนกลบั มาอยตู่ รงตาแหน่งเดิมอีกครง้ั หน่งึ เท่ากับ 780 วนั
• โดยทัว่ ไปจะไม่สามารถวัดคาบดาราคตไิ ดโ้ ดยตรง แตส่ ามารถใช้คาบดาราคติของโลก (1 ปี =
365 วนั ) และคาบซินอดกิ ของดาวเคราะห์ที่สังเกตจากโลก เพ่ือหาคาบดาราคติท่ีแท้จริงของ
ดาวเคราะห์ดวงน้นั ได้
5. ครูให้นักเรียนแต่ละคนศึกษาสมการท่ีใช้ในการคานวณเพื่อหาคาบดาราคติตามรายละเอียดใน
หนงั สอื เรยี น และศกึ ษาตวั อย่างท่ี 5.1 เพ่อื ใหน้ ักเรยี นเกดิ ความเข้าใจมากยิง่ ขนึ้
6. ครูให้นักเรียนทุกคนทาใบงาน 5.2 เร่ือง มุมห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ พร้อมทั้งสังเกต
คาตอบของนักเรียน เพ่อื ประเมินพฤตกิ รรมนักเรยี นเป็นรายบุคคล พร้อมให้คาแนะนาเพ่มิ เติม
(หมายเหต:ุ ครูเรมิ่ ประเมินนักเรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล)
7. ครสู มุ่ นกั เรยี นออกมาเฉลยใบงาน เร่อื ง มุมหา่ งและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ โดยครูให้นกั เรยี น
รว่ มกนั พิจารณาวา่ คาตอบใดถูกตอ้ ง จากน้ันครูเฉลยคาตอบที่ถกู ต้องให้นกั เรียน
ขั้นลงมอื ทำ (Doing) (ต่อ)
8. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ปฏิบัติกิจกรรม คาบดาราคติและคาบซินอดิก จาก
หนังสือเรียน โดยกาหนดให้สมาชิกแต่ละคนภายในกลุ่มมีบทบาทหน้าที่ของตนเอง
9. นักเรียนทากิจกรรมโดยครูกาหนดเวลาในการทากจิ กรรม ขณะท่ีนักเรียนทากิจกรรม ครูคอยตรวจ
พฤตกิ รรมของนกั เรียนและจดบนั ทกึ ในแบบบันทกึ พฤตกิ รรม
(หมายเหต:ุ ครูเริ่มประเมนิ นักเรียน โดยใช้แบบประเมินการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม)
10. ครูใหแ้ ต่ละกลมุ่ สง่ ตัวแทนออกมารายงานผลท่ไี ด้จากการทากิจกรรมหน้าชั้นเรยี น แลว้ ครสู อบถาม
นกั เรยี นกลุ่มอน่ื ว่าได้ผลของการวัดคาบดาราคติและคาบซินอดิกเหมือนหรอื ต่างกนั หรอื ไม่ อย่างไร
ถา้ ไมต่ รงกนั ให้ช่วยกนั วิเคราะห์และสรุปว่าผลทถี่ ูกต้องเป็นอยา่ งไร จากน้ันครูเป็นผ้เู ฉลยผลทไี่ ด้จาก
การทากจิ กรรมที่ถกู ตอ้ ง
11.นกั เรียนและครูรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับกิจกรรม คาบดาราคตแิ ละคาบซนิ อดกิ
12.ครอู ธิบายเพิม่ เติมว่า ปจั จบุ นั ทราบแล้วว่า การเคล่อื นท่ถี อยหลัง เปน็ ปรากฏการณ์แพรลั แลกซ์อย่าง
หนึง่ ซ่ึงเกิดข้ึนเพราะโลกโคจรรอบดวงอาทติ ย์ ทาใหต้ าแหนง่ ของดาวเคราะห์ชั้นนอกท่ีมองเห็นเมื่อ
เทียบกับดาวฉากหลังเปลี่ยนไป การปรากฏถอยหลังและเดินหน้าของดาวเคราะห์จึงเกิดขน้ึ ทุกปี ๆ
ละหนงึ่ รอบ ยงิ่ ดาวหา่ งออกไปจากโลกมาก วงของการเคล่ือนทถ่ี อยหลงั ก็จะเลก็ ลง เพราะมมุ แพรัล
แลกซ์จะแคบ
ขน้ั สรปุ
1. ครูให้นกั เรียนแต่ละคนพจิ ารณาวา่ ในหัวข้อท่ีเรียนมา และในการปฏิบัตกิ ิจกรรมมีจุดใดทย่ี ังเข้าใจไม่
ชัดเจนหรอื ยงั มีข้อสงสยั ถา้ มีครชู ่วยอธบิ ายเพม่ิ เติม และทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้
ตอบคาถาม
2. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วว่ามีส่วนไหนที่ยังไม่เข้าใจ แล้วให้
ความรู้เพ่ิมเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง มุมห่างและคาบการโคจรของดาว
เคราะห์ มาชว่ ยในการอธิบาย
3. ครูมอบหมายให้นักเรียนฝึกทาแบบฝึกหัด เร่ือง มุมห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ จาก
หนังสือเรยี นฯ ลงในสมดุ ประจาตวั เพอ่ื นาส่งครทู า้ ยช่ัวโมง
4. นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเองจากกรอบ เรื่อง การเคลื่อนท่ีปรากฏของดาวเคราะห์ ใน
หนังสอื เรยี น โดยบันทกึ ลงในสมดุ ประจาตวั
5. ครูมอบหมายครูให้นักเรียนทาแบบฝึกหัด เรื่อง มุมห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ เป็น
การบา้ นแลว้ นาส่งครู
6. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 เร่ือง การเคล่ือนท่ีปรากฏของ
ดาวเคราะห์ เพือ่ เป็นการวัดความรูห้ ลังเรียนของนักเรยี น
7. ครูมอบหมายให้นักเรียนสรปุ แผนผงั มโนทัศน์) เรอ่ื ง มุมหา่ งและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ ลงใน
กระดาษ A4 พร้อมท้ังตกแตง่ ใหส้ วยงาม
ขน้ั ประเมิน
1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับเรื่อง มุมห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์ โดยสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบคาถาม การทาแบบฝกึ หัด ใบงาน และการสรปุ สาระสาคญั
2. ประเมนิ ทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากโดยสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ การปฏบิ ัติ
กิจกรรมคาบดาราคติและคาบซนิ อดกิ และการนาความรทู้ ่ีได้ไปใช้ประโยชน์
3. ประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคโ์ ดยสังเกตพฤตกิ รรมจากการสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติกิจกรรม
การอภิปราย และการทาแบบฝึกหดั
7. กำรวัดและประเมนิ ผล
รำยกำรวดั วธิ ีวดั เครอื่ งมือ เกณฑ์กำรประเมิน
7.1 การประเมินระหว่าง
การจัดกิจกรรม - ตรวจใบงานที่ 5.2 - ใบงานที่ 5.2 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจแบบฝึกหดั - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
1) มมุ หา่ งและคาบ - ตรวจแบบฝึกหดั - Topic Question - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
การโคจรของดาว - ตรวจ Topic
เคราะห์ Question
2) การปฏิบัตกิ าร - ประเมิน - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
การปฏบิ ัติการ ผ่านเกณฑ์
การปฏบิ ัตกิ าร
- แบบสงั เกต - ระดับคุณภาพ 2
3) พฤตกิ รรม - สงั เกตพฤติกรรม พฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์
การทางานรายบคุ คล
การทางาน การทางาน - ระดับคณุ ภาพ 2
- แบบสงั เกต ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล รายบุคคล พฤติกรรม
การทางานกลุม่ - ระดบั คณุ ภาพ 2
4) พฤตกิ รรม - สงั เกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์
- แบบประเมิน
การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ คุณลักษณะ
5) คณุ ลักษณะ - สังเกตความมีวินัย
อนั พงึ ประสงค์
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมัน่ อันพึงประสงค์
ในการทางาน
7.2 การประเมนิ หลังเรยี น
- แบบทดสอบหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรียน - ประเมนิ ตามสภาพจริง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 หลังเรียน หน่วยการ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5
การเคล่ือนทป่ี รากฏ เรยี นรูท้ ่ี 5 การเคลื่อนที่ การเคลื่อนท่ีปรากฏ
ของดาวเคราะห์ ปรากฏของดาวเคราะห์ ของดาวเคราะห์
7.3 การประเมนิ ชนิ้ งาน/ - ตรวจแผนผังมโนทัศน์ - แบบประเมนิ ชิ้นงาน/ - ระดบั คุณภาพ 2
ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง ของไหล ภาระงาน (รวบยอด) ผา่ นเกณฑ์
8. ส่ือ/แหล่งกำรเรียนรู้
8.1 สอื่ กำรเรียนรู้
1) หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เลม่ 2
2) แบบฝกึ หัด รายวิชาเพ่มิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ม.6 เลม่ 2
3) ใบงานท่ี 5.2 เรือ่ ง คาบดาราคตแิ ละคาบซินอดิก
4) PowerPoint เรอ่ื ง คาบดาราคติและคาบซินอดิก
5) สมุดประจาตวั
8.2 แหล่งกำรเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมดุ
3) แหล่งข้อมลู สารสนเทศ
ใบงำนท่ี 5.2
เรื่อง คำบดำรำคติและคำบซินอดิก
คำชี้แจง : ตอบคาถามเกยี่ วกับมุมหา่ งและคาบการโคจรของดาวเคราะห์
1. ระบตุ าแหน่งทีส่ ามารถสังเกตได้ สาหรบั ดาวเคราะหว์ งในและดาวเคราะห์วงนอก จากตาแหน่งตอ่ ไปน้ี
รว่ มทศิ แนววงใน (inferior conjunction) ร่ ว ม ทิ ศ แ น ว ว ง น อ ก ( superior
conjunction) ตรงขา้ ม (opposition)
ตงั้ ฉาก (quadrature)
2. ดาวพฤหัสบดมี คี าบซินอดิก 398.9 วัน ดาวพฤหัสบดีมีคาบยาวเท่าใด
ใบงำนท่ี 5.2 เฉลย
เรอื่ ง คำบดำรำคตแิ ละคำบซินอดกิ
คำช้แี จง : ตอบคาถามเกี่ยวกับมุมห่างและคาบการโคจรของดาวเคราะห์
1. ระบุตาแหนง่ ท่สี ามารถสังเกตได้ สาหรับดาวเคราะห์วงในและดาวเคราะห์วงนอก จากตาแหน่งตอ่ ไปนี้
ร่วมทศิ แนววงใน (inferior conjunction) ร่ ว ม ทิ ศ แ น ว ว ง น อ ก ( superior
conjunction) ตรงขา้ ม (opposition)
ตงั้ ฉาก (quadrature)
ตาแหนง่ ของดาวเคราะหว์ งในทส่ี ามารถสังเกตได้ ไดแ้ ก่ รว่ มทิศแนววงใน (inferior conjunction)
และรว่ มทิศแนววงนอก (superior conjunction)
ตาแหน่งของดาวเคราะห์วงนอกท่ีสามารถสังเกตได้ ได้แก่ ร่วมทิศแนววงนอก (superior
conjunction) ต้ังฉาก (quadrature) และตรงข้าม (opposition)
2. ดาวพฤหัสบดมี ีคาบซินอดิก 398.9 วัน ดาวพฤหัสบดีมคี าบยาวเทา่ ใด
วธิ ีทำ คาบซนิ อดิกของดาวพฤหสั บดี 398.9 วนั คิดเป็น 398.9/365 = 1.093 ปี
จากสมการของดาวเคราะหว์ งนอก
1 = 1 +1
แทนค่า s = 1.093 เพื่อหาค่า p จะได้
1=1+ 1
1.093
1=1− 1
1.093
1 = 0.085
= 1
0.085
= 11.76
นนั่ คือ คาบของดาวพฤหัสบดี มีค่าเทา่ กับ 11.76 ปี หรอื 4,294 วนั
9. บนั ทึกผลหลงั กำรสอน
• ด้านความรู้
• ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
• ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
• ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
• ดา้ นอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมทม่ี ปี ญั หาของนกั เรยี นเป็นรายบคุ คล (ถา้ ม)ี )
• ปัญหา/อุปสรรค ลงชอื่
• แนวทางการแกไ้ ข (นางรตั ตยิ า สุธรรม)
ตำแหนง่ ครู
ลงช่ือ
(นางรัตตยิ า สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
10. ควำมเหน็ ของหวั หนำ้ กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
“……………………………….
ควำมเหน็ ของหัวหนำ้ กล่มุ บรหิ ำรงำนวชิ ำกำร ลงชื่อ .................................
(นางรัตติยา สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
“……………………………….
ลงช่อื .................................
(นายถาวร ลาวชา่ ง)
ตำแหนง่ ครู
ควำมเหน็ ของผ้บู รหิ ำรสถำนศกึ ษำหรือผูท้ ไ่ี ด้รับมอบหมำย
“……………………….
ลงช่อื .................................
(วำ่ ท่ีร้อยโทวฒุ ชิ ัย ไปปลอด)
ตำแหนง่ ผอู้ ำนวยกำรโรงเรียนนำคำรำษฎรร์ งั สรรค์
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ท่ี 10
รำยวชิ ำเพมิ่ เตมิ โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ กลุ่มสำระกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี 6 เทคโนโยลอี วกำศกับกำรประยกุ ต์ใช้ เวลำ 4 ช่วั โมง
แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ เร่อื ง กลอ้ งโทรทรรศน์ เวลำ 1 ช่ัวโมง
ช้ันมธั ยมศึกษำปีที่ 6 เวลำ 20 ช่ัวโมง จำนวน 0.5 หนว่ ยกิต
…………………………………………………………………………………………………………………………….
สำระโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ
3. เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ
ระบบสุรยิ ะ ความสัมพนั ธข์ องดาราศาสตรก์ ับมนุษย์ จากการศกึ ษาตาแหนง่ ดาวบนทรงกลมฟา้ และปฏสิ ัมพนั ธ์
ภายในระบบสุรยิ ะ รวมทั้งการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศในการดารงชวี ิต
1. ผลกำรเรียนรู้
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายการสารวจอวกาศ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ
ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และนาเสนอ แนวคิดการนาความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอวกาศมา
ประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั หรอื ในอนาคต
2. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้
1. อธบิ ายการสารวจอวกาศ โดยใช้กลอ้ งโทรทรรศน์ได้ (K)
2. อธบิ ายหลักการทางานและเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของกลอ้ งโทรทรรศน์ประเภทตา่ ง ๆ ได้ (K)
3. คานวณหากาลังขยายและกาลงั แยกของกลอ้ งโทรทรรศน์ได้ (P)
4. ปฏบิ ัติกจิ กรรมการสังเกตการณท์ อ้ งฟา้ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง (P)
5. เปน็ คนช่างสงั เกต ช่างคิด ชา่ งสงสยั และเปน็ ผทู้ ีม่ ีความกระตอื รอื ร้นในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
3. สำระกำรเรยี นรู้
สำระกำรเรียนรู้เพ่มิ เต่มิ
- มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพ่ือขยายขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และใน
ขณะเดียวกันมนุษย์ได้นาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์
อาหาร การแพทย์
- นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพื่อศึกษาแหลง่ กาเนดิ ของรังสหี รืออนภุ าคในอวกาศ
ในชว่ งความยาวคล่ืนต่าง ๆ ได้แก่ คลื่นวทิ ยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสง อลั ตราไวโอเลต และ
รงั สเี อก็ ซ์
4. สำระสำคัญ/ควำมคดิ รวบยอด
กล้องโทรทรรศน์ (Telescope) หรือกล้องดูดาว เป็นทัศนอุปกรณ์ซึ่งประกอบด้วย เลนส์นูน 2 ชุด
ทางานร่วมกัน หรือกระจกเงาเว้าทางานร่วมกับเลนส์นนู เลนส์นูนหรือกระจกเงาเว้าขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านใกล้
วัตถทุ าหน้าทร่ี วมแสง สว่ นเลนสน์ ูนทอี่ ย่ใู กล้ตาทาหนา้ ที่เพม่ิ กาลังขยาย การเพมิ่ กาลงั รวมแสงช่วยให้นักดารา
ศาสตร์มองเหน็ วัตถุที่มีความสว่างนอ้ ย การเพิม่ กาลังขยายช่วยใหน้ กั ดาราศาสตร์สามารถมองเห็นรายละเอียด
ของวัตถุมากข้ึน กล้องโทรทรรศน์แบ่งได้ 3 ประเภท คือ กล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสง กล้องโทรทรรศน์
แบบสะท้อนแสง และกล้องโทรทรรศน์แบบผสม
5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียนและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มวี นิ ัย รับผิดชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทักษะการสงั เกต 3. ซื่อสตั ย์ สุจริต
2) ทกั ษะการสือ่ สาร 4. มุ่งมนั่ ในการทางาน
3) ทักษะการทดลอง
4) ทักษะการวิเคราะห์
5) ทักษะการทางานรว่ มกัน
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
6. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธสี อน/เทคนิค : การสอนแบบเน้นมโนทัศน์
ช่วั โมงที่ 1
ขน้ั นา
ขน้ั กำรใช้ควำมรู้เดิมเช่อื มโยงควำมรใู้ หม่
1. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบ จากนั้นครูให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนของ
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 6 เทคโนโลยีอวกาศกับการประยกุ ต์ใช้ เพอื่ ตรวจสอบความรเู้ ดมิ ของนักเรยี นเป็น
รายบุคคลกอ่ นเขา้ ส่กู จิ กรรม
2. ครูเขา้ สู่กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยการสนทนาถงึ ความล้ีลบั ในอวกาศทีท่ ้าทายความอยากรู้อยาก
เห็นของมนษุ ย์จนมนุษย์ต้องสารวจอวกาศและวิธีการสารวจอวกาศทกี่ ระทากันอยู่ในปจั จุบัน
3. ครูให้นักเรียนสังเกตภาพที่ 6.2 ซ่ึงเป็นภาพกาแล็กซี่จานวนมากที่ปรากฏในกล้องโทรทรรศน์ใน
หนังสือเรียน แล้วใช้คาถามนาเข้าสู่ประเด็น เช่น ถ้านักเรียนสังเกตท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ไร้เมฆ
หมอกด้วยตาเปล่า จะเห็นรายละเอยี ดของภาพเดยี วกันไดเ้ ท่ากันหรอื ไม่ ถ้าต้องการขยายขอบเขต
ในการเห็นจะตอ้ งทาอย่างไร จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของภาพได้ดกี ว่าหรือไม่ ให้นักเรียนร่วมกัน
ตอบคาถามและแสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั คาถามอยา่ งอสิ ระโดยไม่มีการเฉลยวา่ ถูกหรอื ผิด
4. ครูถามคาถาม ว่า อุปกรณ์ใดบ้างที่ใช้ในการสารวจอวกาศ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง กล้อง
โทรทรรศน์ จากนั้นครูกล่าวเช่อื มโยงเข้าสู่กจิ กรรมการเรียนการสอน
(แนวตอบ : คาตอบข้นึ อยกู่ บั ดลุ ยพนิ ิจของครูผู้สอน)
ขน้ั สอน
ขั้นรู้
1. ครูเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนได้คิดเรื่องเทคโนโลยีอวกาศ เพอื่ นาไปส่คู วามเข้าใจถงึ ที่มาในการศึกษากล้อง
โทรทรรศน์ โดยอาจจะแบ่งกลุ่มให้อภปิ ราย หรอื ลองตั้งคาถามเพ่ือถามในชน้ั เรยี น เช่น
- เทคโนโลยีอวกาศ คอื อะไร
(แนวตอบ : เทคโนโลยอี วกาศ คอื การสารวจสงิ่ ตา่ ง ๆ ที่อยู่นอกโลกและสารวจโลก)
- กล้องโทรทรรศน์เปน็ เทคโนโลยอี วกาศหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ : กล้องโทรทรรศนเ์ ป็นเครอ่ื งมอื ขยายขอบเขตการเห็นของมนุษย์ ช่วยขยายให้เห็น
รายละเอียดของดาวเคราะห์และวตั ถุท้องฟ้าบางอย่าง ซึ่งนาไปสู่การปรับแก้ทฤษฎีความเชอ่ื
ใหส้ อดคล้องกบั สิง่ ทพ่ี บเห็นในธรรมชาติ)
2. ครูให้ความรู้เก่ียวกับเทคโนโลยีอวกาศว่า เทคโนโลยีอวกาศ คือ การสารวจส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยู่นอกโลก
ซ่งึ ปัจจบุ ันเทคโนโลยีอวกาศได้มกี ารพัฒนาไปเป็นอยา่ งมาก ทาให้ได้ความรูใ้ หม่ ๆ มากข้นึ
3. ครูอาจใหค้ วามรู้เพม่ิ เติมวา่ องค์การนาซ่าของสหรัฐอเมรกิ า ได้มีการจดั ทาโครงการขนึ้ มากมาย เพือ่
การสารวจดาวที่ต้องการศึกษาโดยเฉพาะ และเพ่ือศกึ ษาส่งิ ต่าง ๆ ในจักรวาล การใช้ประโยชน์จาก
เทคโนโลยีอวกาศนัน้ มีทง้ั ด้านการสื่อสาร ทาให้การสื่อสารในปัจจุบันทาไดอ้ ย่างรวดเรว็ การสารวจ
ทรัพยากรโลก ทาให้ทราบว่าปัจจุบันน้ีโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และการพยากรณ์เพ่ือ
เตรยี มพรอ้ มทจี่ ะรับกับสถานการณ์ตา่ ง ๆ ทอ่ี าจจะเกดิ ขนึ้ ตอ่ ไปได้
ข้นั เข้ำใจ
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์ว่า แม้ว่าตาของคนเรา สามารถมองเห็นท้องฟ้า แต่
การใช้อุปกรณ์ประเภทกล้องสองตา หรือกล้องโทรทรรศน์ จะช่วยให้ตาเราสามารถรับแสงได้มาก
ย่ิงขึ้น ทาให้มองเห็นวัตถุที่มีความสว่างน้อย กล้องโทรทรรศน์เป็นอุปกรณ์ท่ีช่วยดูดาวประเภทหนง่ึ
ทีช่ ว่ ยให้นกั ดดู าว สามารถศึกษาท้องฟ้า ได้มากกวา่ กล้องสองตา
2. ครูให้นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน โดยคละความสามารถของนักเรียน และให้กาหนดสมาชกิ
แตล่ ะคนศึกษา 1 หัวขอ้
3. นักเรยี นแต่ละกลุ่มสบื คน้ ข้อมลู เก่ียวกับกลอ้ งโทรทรรศน์ แลกเปลยี่ นกนั อภปิ รายเรอ่ื งทต่ี นเองศกึ ษา
ให้เพ่ือนในกลุ่ม และอภิปรายร่วมกันในกลุ่มจนทุกคนเข้าใจ โดยครูกาหนดประเด็นให้นักเรียน
อภปิ ราย ดงั น้ี
- หนา้ ที่ของกล้องโทรทรรศน์
- อัตราส่วนโฟกัส
- กาลงั รวมแสง
- กาลงั ขยาย
- ความสูงของภาพ
- กาลังแยกภาพ
5. ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนแต่ละกลุ่มขณะปฏิบัติกิจกรรม และเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคน
ซักถามเม่อื เกดิ ปญั หาหรอื ขอ้ สงสยั
ข้นั เข้ำใจ
6. ครูให้ความรเู้ กย่ี วกบั หน้าที่ของกล้องโทรทรรศน์ ดังน้ี
- รวมแสงด้วยพ้ืนทรี่ บั แสงทม่ี ากกว่า
- เพมิ่ ขนาดเชิงมมุ ปรากฏของวัตถุ หรอื เพิ่มกาลงั ขยาย
- เพิ่มกาลงั แยกภาพ
- ระบตุ าแหน่งของวตั ถุ
7. ครูสุ่มนกั เรยี นใหอ้ อกมานาเสนอผลการศกึ ษาหน้าชั้นเรยี น โดยสมุ่ ออกมาเพยี ง 5 กลุ่ม ซง่ึ ครเู ปน็ คน
เลอื กวา่ จะใหก้ ลมุ่ ไหนนาเสนอเร่ืองอะไร ตามหัวข้อเรื่อง ดงั ตอ่ ไปน้ี
- อัตราส่วนโฟกัส
- กาลงั รวมแสง
- กาลังขยาย
- ความสูงของภาพ
- กาลงั แยกภาพ
8. ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มกาลังนาเสนอ ครูอาจเสนอแนะหรือแทรกข้อมูลเพ่ิมเติมในเรื่องนัน้ ๆ ให้
นักเรียนทกุ คนได้มคี วามเข้าใจทถ่ี ูกตอ้ งมากยงิ่ ขึ้น
9. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายสรปุ โดยไดข้ ้อสรปุ ดังนี้
• อัตรำส่วนโฟกัส (focal ratio : F) คือ อัตราส่วนระหว่างความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ (f)
กับเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางของเลนส์ใกล้วัตถุ (D) หรอื ชอ่ งรับแสง (aperture) ดงั สมการ
=
• อตั รำสว่ นโฟกสั เป็นค่าที่จะบอกว่ากลอ้ งโทรทรรศนม์ ีความไวแสงเทา่ ใด ซ่งึ กลอ้ งที่มขี นาดเส้น
ศูนย์กลางของเลนส์ใกล้วัตถุมากเมื่อเทียบกับความยาวโฟกัส จะมีอัตราส่วนโฟกัสน้อย จึงมี
ความไวแสงมาก
• กำลังรวมแสงของกล้องโทรทรรศน์ (light-gathering power) แปรผันตรงกับพื้นที่ของเลนส์
ใกล้วตั ถุ นัน่ คือ แปรผันตรงกบั กาลังสองของเสน้ ผ่านศนู ย์กลางของเลนส์
• กำลังขยำย (magnification : M) คือ อัตราส่วนระหว่างความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ
(fobj) กับความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้ตา (feye) ซึ่งจะเท่ากับอัตราส่วนของขนาดเชิงมุมของ
ภาพทไ่ี ด้รับ (uimg) เม่ือเทียบกบั ภาพจริง (uobj)
• ควำมสูงของภำพ (s) หาได้จากผลคูณระหว่างความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุ (f) กับค่า
tan ของมุมที่สงั เกตวตั ถุ
• กำลังแยกภำพ (resolving power) คือ ระยะห่างเชิงมุมที่เล็กที่สุดที่กล้องโทรทรรศน์
สามารถแยกจุดสองจุดออกจากกันได้ และกาลังแยกภาพสูงสุดท่ีเป็นไปได้ในทางทฤษฎี
เรยี กว่า ขีดจากดั กาลังแยกภาพ (diffraction limit)
9. ครูถามคาถามว่า นักเรียนคิดว่ากล้องโทรทรรศน์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ซึ่งควรได้ข้อสรุปว่า กล้อง
โทรทรรศน์ มี 3 ประเภท คือ กล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสง (refracting telescope, refractor)
กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง (reflecting telescope) และกล้องโทรทรรศน์แบบผสม
(catadioptric)
10. ครูให้นักเรียนร่วมกันเปรียบเทียบส่วนประกอบและหลังการทางานของ กล้องโทรทรรศน์แต่ละ
ประเภท ตามรายละเอยี ดในหนังสอื เรียน
11.นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวข้อดีและข้อจากัดของกล้องโทรทรรศน์แต่ละประเภท ซง่ึ ครใู ห้ความรู้
เพิ่มเติมว่า กล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสงและกล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสงต่างมีข้อจากัดท่ี
แตกต่างกันออกไป จงึ ได้มกี ารพฒั นาและออกแบบกล้องโทรทรรศนแ์ บบผสมเพ่อื แก้ไขข้อจากัดนนั้
12.ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุปเกย่ี วกับข้อดีและข้อจากัดของกลอ้ งโทรทรรศนแ์ ต่ละประเภท ดังน้ี
• กล้องโทรทรรศน์แบบหักเหแสง ใชเ้ ลนสน์ นู เปน็ เลนส์ใกลว้ ัตถุ ทาหน้าทีร่ วมแสงแล้วใช้เลนส์
ใกลต้ า (ซ่ึงอาจเป็นเลนสน์ ูนหรือเลนสเ์ ว้า) ทาหนา้ ทข่ี ยายภาพ มคี วามคลาดรงค์ (chromatic
aberration) เนื่องจากแสงที่มีความยาวคลื่นต่างกันจะโฟกัสไมต่ รงกัน มีขนาดเล็ก ให้ภาพท่ี
มีคุณภาพสูง ซึง่ เหมาะสาหรับการสงั เกตดวงจันทร์และดาวเคราะห์
• กลอ้ งโทรทรรศน์แบบสะทอ้ นแสง ใชก้ ระจกเว้าเป็นเลนสใ์ กลว้ ตั ถุ ซึง่ ทาหน้าท่ีสะทอ้ นแสง มี
ขนาดใหญ่ ให้ภาพท่ีมีคุณภาพสูง ซ่ึงเหมาะสาหรับการสังเกตวัตถุท่ีอยู่ไกล เช่น กาแลกซี
เนบิวลา หรอื วตั ถุท่มี ีความสว่างไม่มาก
• กล้องโทรทรรศน์แบบผสม ใช้หลกั การทางานทั้งการหกั เหแสงผ่านเลนสแ์ ละการสะท้อนแสง
โดยกระจก ซึ่งนิยมใช้กันในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น กล้องโทรทรรศน์แบบชมิดท์-แคสสิเกรน
(schmidt-cassegrain)
13. ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมกับนักเรียนเกี่ยวกับระบบแสงของกล้องโทรทรรศน์และระบบฐานของกล้อง
โทรทรรศน์ ตามรายละเอยี ดในหนงั สอื เรียน
ขนั้ ลงมอื ทำ
1. ครูให้นักเรียนศึกษาวิธีการคานวณเก่ียวกับกล้องโทรทรรศน์ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน
2. ครูให้นักเรียนทุกคนทาใบงาน เร่ือง กล้องโทรทรรศน์ พร้อมท้ังสังเกตคาตอบของนักเรียน เพ่ือ
ประเมินพฤตกิ รรมนักเรียนเป็นรายบุคคล พรอ้ มให้คาแนะนาเพ่ิมเตมิ
(หมายเหต:ุ ครเู ริม่ ประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล)
3. นักเรียนแบ่งกลุ่ม (กลุ่มเดิม) ตามความสมัครใจของนักเรียน จากนั้นให้แต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา
กิจกรรม การสังเกตการณ์ท้องฟ้า จากหนังสือเรียน โดยครูใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือมาจัด
กระบวนการเรยี นรู้ โดยกาหนดใหส้ มาชกิ แต่ละคนภายในกลุ่มมบี ทบาทหนา้ ท่ขี องตนเอง ดังน้ี
• สมาชิกคนท่ี 1-2 ทาหน้าที่ เตรียมวสั ดอุ ปุ กรณใ์ ชใ้ นการทากิจกรรม
• สมาชกิ คนที่ 3-4 ทาหน้าท่ี อา่ นวธิ กี ารทากิจกรรม และนามาอธิบายใหส้ มาชิกภายในกล่มุ ฟงั
• สมาชิกคนท่ี 5-6 ทาหน้าที่ บนั ทกึ ผลการทากจิ กรรม
(หมายเหตุ: ครูเริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใช้แบบประเมินปฏิบัตกิ จิ กรรม)
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันแลกเปล่ียนความรู้และวิเคราะห์ผลการปฏิบัติกิจกรรม แล้วร่วมกัน
อภิปรายผลร่วมกนั
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานาเสนอผลการทากิจกรรม ในระหว่างท่ีนักเรียนนาเสนอครู
คอยให้ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติม เพอื่ ใหน้ ักเรียนมคี วามเข้าใจท่ีถูกตอ้ ง
7. นักเรยี นร่วมกันตอบคาถามท้ายกิจกรรม การสังเกตการณ์ทอ้ งฟ้า โดยให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกัน
อภปิ รายเพื่อหาคาตอบรว่ มกัน
8. นักเรยี นท้งั หมดร่วมกนั สรุปผลจากกิจกรรม การสังเกตการณ์ท้องฟ้า
ขน้ั สรุป
1. ครูใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาว่าในหัวขอ้ ที่เรียนมา และในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมมีจุดใดทย่ี งั เข้าใจไม่
ชัดเจนหรือยังมขี ้อสงสัย ถ้ามคี รูช่วยอธบิ ายเพ่ิมเติม และทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการให้
ตอบคาถาม
2. ครูมอบหมายให้นักเรียนฝึกทาแบบฝึกหัด Unit Questions เรื่อง กล้องโทรทรรศน์ จากหนังสือ
เรียนฯ ลงในสมดุ ประจาตัว เพ่อื นาส่งครทู า้ ยช่ัวโมง
3. ครูมอบหมายครูให้นักเรียนทาแบบฝึกหัด เร่ือง กล้องโทรทรรศน์ เป็นการบ้านแล้วนาส่งครู และ
ศึกษาเนื้อหา เรื่อง เครอ่ื งบันทกึ สัญญาณดาราศาสตร์ ซง่ึ จะเรียนในคาบตอ่ ไปมาล่วงหน้า
ขน้ั ประเมิน
1. ประเมินความรู้เก่ียวกับเรื่อง กล้องโทรทรรศน์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม การทา
แบบฝึกหัด ใบงาน และการสรุปสาระสาคัญ
2. ประเมนิ ทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตรจ์ ากโดยสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ การปฏบิ ัติ
กจิ กรรม การสงั เกตการณ์ทอ้ งฟ้า และการนาความรทู้ ่ไี ด้ไปใช้ประโยชน์
3. ประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงคโ์ ดยสังเกตพฤตกิ รรมจากการสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
การอภปิ ราย และการทาแบบฝกึ หัด
7. กำรวัดและประเมนิ ผล
รำยกำรวัด วิธีวดั เคร่อื งมือ เกณฑก์ ำรประเมิน
7.1 การประเมินก่อนเรียน - ตรวจแบบทดสอบ - แ บ บ ท ด ส อ บ ก่ อ น - ประเมนิ ตามสภาพจริง
- แบบทดสอบกอ่ นเรียน ก่อนเรยี น เรียน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6
เรื่อง เทคโนโลยีอวกาศ
กบั การประยุกต์ใช้
7.2 การประเมินระหว่าง
การจดั กิจกรรม - ตรวจใบงานท่ี 6.1 - ใบงานที่ 6.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจแบบฝึกหดั - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
1) กลอ้ งโทรทรรศน์ - ตรวจแบบฝกึ หัด - คาถาม - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจ คาถาม
2) การปฏิบตั กิ าร - ประเมิน - แบบประเมนิ - ระดับคณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
3) พฤตกิ รรม การปฏบิ ัติการ การปฏิบตั ิการ
การทางาน - ระดบั คุณภาพ 2
รายบุคคล - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกต ผ่านเกณฑ์
4) พฤตกิ รรม การทางาน พฤติกรรม - ระดับคณุ ภาพ 2
การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล การทางานรายบคุ คล
5) คุณลกั ษณะ - ระดับคุณภาพ 2
อันพงึ ประสงค์ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกต ผ่านเกณฑ์
การทางานกลมุ่ พฤตกิ รรม
การทางานกลุ่ม
- สงั เกตความมวี นิ ยั - แบบประเมิน
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมน่ั คุณลักษณะ
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
8. สือ่ /แหลง่ กำรเรยี นรู้
8.1 สอ่ื กำรเรยี นรู้
1) หนังสอื เรยี น รายวิชาเพิม่ เตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เล่ม 2
2) แบบฝกึ หัด รายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เลม่ 2
3) ใบงานท่ี 6.1 เรื่อง กล้องโทรทรรศน์
4) PowerPoint เรอ่ื ง กล้องโทรทรรศน์
8.2 แหล่งกำรเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) ห้องสมุด
3) แหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ
ใบงำนท่ี 6.1
เรอื่ ง กล้องโทรทรรศน์
คำชแ้ี จง : ตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
1. กล้องโทรทรรศน์แห่งชาติ ณ ดอยอินทนนท์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร และมีอัตราส่วนโฟกัส f/10
กลอ้ งโทรทรรศนน์ ี้ มคี วามยาวโฟกสั เท่าใด
2. กล้องโทรทรรศน์ตัวหน่ึงมีขนาดความยาวโฟกัสของกระจกหลัก 24 เมตร หากใช้เลนส์ตาท่ีมีความยาว
โฟกัส 24 เซนตเิ มตร จะได้กาลงั ขยายเทา่ ใด และหากใชเ้ ลนสต์ านีก้ ับกลอ้ งโทรทรรศน์เพ่อื สอ่ งดวงจันทร์ ซงึ่ มี
ขนาดเชงิ มุม 0.5 องศา จะสงั เกตเห็นดวงจันทร์มีขนาดเชงิ มุมเทา่ ใด
ใบงำนที่ 6.1 เฉลย
เร่ือง กลอ้ งโทรทรรศน์
คำชแี้ จง : ตอบคาถามตอ่ ไปนี้
1. กล้องโทรทรรศน์แห่งชาติ ณ ดอยอินทนนท์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร และมีอัตราส่วนโฟกัส f/10
กลอ้ งโทรทรรศนน์ ้ี มีความยาวโฟกสั เท่าใด
จากสมการ =
แทนค่า F = 10 และ D = 2.4 m จะได้
10 =
2.4
(10)(2.4) =
= 24 m
ดงั นั้น กลอ้ งโทรทรรศน์น้ีมีความยาวโฟกสั เท่ากับ 24 เมตร
2. กล้องโทรทรรศน์ตัวหนึ่งมีขนาดความยาวโฟกัสของกระจกหลัก 24 เมตร หากใช้เลนส์ตาท่ีมีความยาว
โฟกสั 24 เซนตเิ มตร จะไดก้ าลงั ขยายเท่าใด และหากใช้เลนสต์ านกี้ บั กล้องโทรทรรศนเ์ พ่อื ส่องดวงจันทร์ ซง่ึ มี
ขนาดเชงิ มุม 0.5 องศา จะสังเกตเหน็ ดวงจนั ทร์มีขนาดเชิงมุมเท่าใด
จากสมการหากาลงั ขยายของกลอ้ งโทรทรรศน์ =
แทนคา่ = 24 m และ = 0.24 m จะได้
= 24
0.24
เมือ่ ใช้เลนตต์ าท่ีมีความยาวโฟกสั 24 เซนตเิ มตร กล้องโทรทรรศน์นจี้ ะมีกาลังขยาย 100 เทา่ และ
เม่อื สงั เกตดวงจันทร์ ซงึ่ มขี นาดเชงิ มุม 0.5 องศา ดวงจนั ทรจ์ ะมขี นาดเชงิ มมุ ปรากฏใหญ่ข้ึน 100 เท่า น่นั
คือ จะมีขนาดเชงิ มุม 50 องศา
9. บันทึกผลหลังกำรสอน
• ด้านความรู้
• ด้านสมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น
• ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
• ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
• ด้านอืน่ ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมที่มีปญั หาของนกั เรยี นเป็นรายบุคคล (ถา้ ม)ี )
• ปัญหา/อปุ สรรค ลงช่อื
• แนวทางการแก้ไข (นางรัตตยิ า สธุ รรม)
ตำแหนง่ ครู
ลงชื่อ
(นางรตั ตยิ า สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
10. ควำมเห็นของหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
“……………………………….
ควำมเหน็ ของหัวหนำ้ กลมุ่ บริหำรงำนวิชำกำร ลงชือ่ .................................
(นางรัตตยิ า สุธรรม)
ตำแหนง่ ครู
“……………………………….
ลงช่ือ .................................
(นายถาวร ลาวช่าง)
ตำแหน่ง ครู
ควำมเหน็ ของผู้บรหิ ำรสถำนศกึ ษำหรอื ผูท้ ี่ได้รับมอบหมำย
“……………………….
ลงชื่อ .................................
(วำ่ ท่ีรอ้ ยโทวุฒิชัย ไปปลอด)
ตำแหนง่ ผู้อำนวยกำรโรงเรยี นนำคำรำษฎร์รงั สรรค์
แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ่ี 11
รำยวิชำเพ่ิมเติม โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ที่ 6 เทคโนโยลีอวกำศกับกำรประยุกต์ใช้ เวลำ 4 ช่วั โมง
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ เร่ือง เครื่องบันทึกสญั ญำณทำงดำรำศำสตร์ เวลำ 1 ชั่วโมง
ช้ันมธั ยมศกึ ษำปที ่ี 6 เวลำ 20 ช่ัวโมง จำนวน 0.5 หนว่ ยกิต
…………………………………………………………………………………………………………………………….
สำระโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ
3. เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ
ระบบสุรยิ ะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตรก์ ับมนษุ ย์ จากการศึกษาตาแหนง่ ดาวบนทรงกลมฟา้ และปฏสิ ัมพันธ์
ภายในระบบสรุ ิยะ รวมทงั้ การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศในการดารงชีวิต
1. ผลกำรเรียนรู้
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายการสารวจอวกาศ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ
ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และนาเสนอ แนวคิดการนาความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอวกาศมา
ประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจาวันหรือในอนาคต
2. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้
1. อธบิ ายหลักการทางานของเครื่องบนั ทึกสญั ญาณทางดาราศาสตร์ได้ (K)
2. สบื ค้นขอ้ มลู เกย่ี วกบั เครือ่ งบันทกึ สัญญาณทางดาราศาสตร์ได้ (P)
3. เปน็ คนชา่ งสังเกต ช่างคดิ ชา่ งสงสยั และเปน็ ผู้ท่ีมีความกระตือรอื รน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
3. สำระกำรเรยี นรู้
สำระกำรเรยี นรู้เพ่มิ เติม่
- มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพื่อขยายขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และในขณะเดียวกัน
มนษุ ย์ได้นาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เชน่ วสั ดุศาสตร์ อาหาร การแพทย์
- นกั วิทยาศาสตรไ์ ด้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพื่อศึกษาแหล่งกาเนดิ ของรงั สีหรืออนภุ าคในอวกาศในชว่ งความ
ยาวคลื่นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ คลน่ื วทิ ยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรงั สเี อก็ ซ์
4. สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด
การเก็บข้อมูลของนกั ดาราศาสตร์ในอดีตจะศึกษาด้วยการมองวัตถุท้องฟ้าผ่านกล้องโทรทรรศน์และ
บันทึกด้วยการเขียนหรือวาดภาพส่ิงที่สังเกตเห็นจนมีการประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปท่ีช่วยบันทึกภาพต่างๆผ่าน
กล้องโทรทรรศน์และไม่เพียงแค่วัตถุที่มองเห็นด้วยตาเปล่าเท่าน้ันการถ่ายภาพด้วยรูรับแสงที่นานขึ้นทาให้
สามารถบันทกึ และศึกษาวตั ถุที่มคี วามสวา่ งนอ้ ยมากๆได้อกี ดว้ ย
5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวนิ ัย รบั ผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. ซอ่ื สตั ย์ สุจรติ
2) ทกั ษะการสอ่ื สาร 4. มุ่งมนั่ ในการทางาน
3) ทักษะการทดลอง
4) ทักษะการวิเคราะห์
5) ทักษะการทางานร่วมกนั
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ
6. กจิ กรรมกำรเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วิธีสอน/เทคนิค : การสอนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept-Based Instruction)
ช่วั โมงท่ี 1
ขน้ั นา
ขน้ั กำรใชค้ วำมรู้เดิมเชื่อมโยงควำมรใู้ หม่ (Prior Knowledge)
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับหลักการทางานของกล้องโทรทรรศน์ และกล้องโทรทรรศน์
ประเภทต่าง ๆ เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ของนักเรียนจากคาบเรียนท่ีผ่านมา และนาไปสู่หัวข้อ
ตอ่ ไป
2. ครูต้ังประเด็นคาถามเพือ่ เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนร่วมกันคิดว่า การสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์
อาจจะต้องใช้เวลาในการสังเกตและต้องมีการบันทึกภาพ ดังน้ันนักดาราศาสตร์จึงได้ออกแบบ
อุปกรณเ์ พ่ือบนั ทกึ สัญญาณทางดาราศาสตร์ นักเรียนคิดว่า เครื่องบันทกึ สญั ญาณทางดาราศาสตร์มี
อะไรบา้ ง เพื่อเปน็ การกระตุ้นใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั คิด
3. นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั คาตอบของคาถามอย่างอิสระ โดยไม่มี
การเฉลยว่าถูกหรือผดิ เพ่อื เช่ือมโยงไปส่กู ารเรยี นรู้เรือ่ ง เครอื่ งบันทกึ สัญญาณทางดาราศาสตร์
ข้ันสอน
ขน้ั รู้ (Knowing)
1. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน แล้วให้ร่วมกันสืบค้นเก่ียวกับเคร่ืองบันทึกสัญญาณทางดารา
ศาสตร์ จากหนังสอื เรียน หรอื แหล่งเรยี นรู้อ่ืน ๆ โดยแบ่งกนั คนละหัวข้อ ดังน้ี
- เพลตถา่ ยภาพ (photographic plate)
- มาตรแสง และโพลาริมเิ ตอร์ (photometer, bolarimeter)
- ตัวเพิม่ ความเขม้ ภาพ (image intensifiers)
- กลอ้ งถ่ายภาพซซี ีดี (CCD camera)
- อนิ เตอร์ฟีรอมเิ ตอร์ (interferometers)
2. ครูให้นักเรียนนาเร่ืองท่ีตนเองศึกษามาอธิบายให้เพื่อนภายในกลุ่มฟัง จนเกิดความเข้าใจท่ีตรงกัน
ภายในกลุม่
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายถึงข้อดี ข้อเสีย พร้อมเปรียบเทียบว่าเคร่ืองบันทึกสัญญาณทางดารา
ศาสตร์แตล่ ะชนดิ มีความแตกตา่ งกันอย่างไร
4. ครูสุ่มตัวแทนของนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาอธิบายเกี่ยวกับเคร่ืองบันทึกสัญญาณทางดาราศาสตร์
แล้วครูให้นกั เรียนซักถามขอ้ สงสยั โดยครูคอยอธิบายคาตอบจนนักเรียนเกดิ ความเขา้ ใจตรงกัน
ขั้นเข้ำใจ (Understanding)
5. ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายสุปเกีย่ วกับเครื่องบันทกึ สญั ญาณทางดาราศาสตร์ ดงั นี้
• เพลตถำ่ ยภำพ
ใชร้ ะบุตาแหนง่ ของดาวเพอ่ื สร้างแผนทที่ อ้ งฟ้า ทาจากแผ่นแก้วท่ฉี าบดว้ ยสารไวแสง (นยิ มใช้
ซลิ เวอร์โบรไมด์; AgBr) มีขอ้ เสีย คือ ตน้ ทุนสงู และมีปญั หาเรื่องการอ่ิมตัวไดง้ ่าย
• มำตรแสงและโพลำรมิ ิเตอร์
มาตรแสง คอื อุปกรณท์ ี่ใชว้ ดั ความเขม้ ของแสง โดยจะไมส่ ามารถกาหนดไดว้ ่าแสงนน้ั มาจาก
แหล่งกาเนิดใด ซึ่งใช้วัดความสว่างของท้องฟา้ ส่วนโพลาริมิเตอร์ คือ มาตรแสงท่ีอาจติดตั้ง
ตัวกรองแสงโพลาไรซ์ชนิดเด่ียว (polarized filter) หรือฟิลเตอร์ประกอบ (compound
polarized filter) เพอ่ื ตรวจวดั ความเข้มแสงที่มมุ โพลาไรซต์ ่าง ๆ
• ตัวเพม่ิ ควำมเข้มภำพ
วัตถุบางชนิดปล่อยสัญญาณท่ีสามารถตรวจพบได้โดยเครื่องตรวจวัดออกมาน้อยมาก จึง
จาเป็นต้องเพิ่มความเข้มของสัญญาณนั้นโดยการใช้โฟโตแคโทดที่ปล่อยอิเล็กตรอนออกมา
เม่ือได้รับสัญญาณแสง และเร่งอิเล็กตรอนน้ีผ่านความต่างศักย์สูงให้กระทบกับฉากรับ และ
ปล่อยอเิ ล็กตรอนออกมามากพอที่จะสามารถเปลย่ี นไปเปน็ สญั ญาณแสงได้
• กล้องถ่ำยภำพซีซดี ี
ทาจากสารก่ึงตัวนา ซึ่งสามารถปล่อยประจุอิเล็กตรอนออกมาได้เมื่อมีแสงตกกระทบ โดย
อิเล็กตรอนน้ีจะถูกเก็บไว้แล้วส่งไปยังเครื่องอ่านประจุ ซ่ึงจะได้เป็นความเข้มแสงในแต่ละ
พิกเซล ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบันทั้งในอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ กล้องดิจิทัล หรือ
กล้องในโทรศัพทม์ อื ถอื
• อินเตอร์ฟีรอมเิ ตอร์
นาสัญญาณการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากวัตถุหนึ่งมาแทรกสอดกัน เพื่อก่อให้เกิด
ลวดลายการแทรกสอด ซ่ึงเม่ือนาลวดลายการแทรกสอดน้ีไปวิเคราะห์จะสามารถสร้าง
ภาพถ่ายของวัตถุน้ันได้ การแทรกสอดของคล่ืนจะต้องใช้คล่ืนมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ขบวน
ดงั นั้น สัญญาณการแผ่รังสีคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าจากวัตถุจะต้องถูกแยกเป็น 2 ส่วนหรอื มากกวา่
โดยอาศยั กระจกสะท้อนภายในกลอ้ งโทรทรรศน์ตัวเดียว หรอื หลายตวั
6. ครูใหค้ วามร้เู พ่มิ เติมกบั นักเรยี นเกี่ยวกับเคร่อื งบันทกึ สัญญาณทางดาราศาสตร์ชนดิ อน่ื ๆ ดงั น้ี
• โฟโตแคโทด เป็นเคร่ืองตรวจหาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเพลตถ่ายภาพ โดยมีพ้ืนฐานการ
ทางานของปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก เมื่อโฟตอนกระทบโฟโตแคโทด แล้วทาให้
อเิ ลก็ ตรอนหลุดออกไป อเิ ลก็ ตรอนท่ีหลุดออกมานน้ั จะเคล่อื นท่ีไปยงั ขว้ั ไฟฟ้าบวก (positive
electrode) หรือแอโนด (anode) ทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่สามารถวัดได้ ประสิทธิภาพเชิง
ควอนตัมของโฟโตแคโทดนั้นดีกว่าเพลตถ่ายภาพถึง 10-20 เทา่ นน่ั คือ อาจมปี ระภาพถงึ 30
เปอรเ์ ซ็นต์
• สเปกโทรกรำฟ เป็นเครอ่ื งมือศึกษาสเปกตรมั ของดาว โดยใช้อปุ กรณ์ทที่ าใหเ้ กดิ การกระจาย
แสง สเปกโทรกราฟแบบง่าย ๆ ใช้ปริซึมติดไว้ท่ีหน้ากล้องโทรทรรศน์ เรียกว่า Objective
prism spectrograph แสงท่ีกระจายโดยปริซึมนั้นสามารถวัดได้โดยเครื่องมือวัดแสงที่เค
ลน่ื อท่ผี า่ นสเปกตรัมสีต่าง ๆ
ข้นั ลงมือทำ (Doing)
1. ครูให้นักเรียนทุกคนทาใบงาน เร่ือง เคร่ืองบันทึกสัญญาณทางดาราศาสตร์ พร้อมท้ังสังเกตคาตอบ
ของนกั เรียน เพอื่ ประเมนิ พฤตกิ รรมนกั เรยี นเป็นรายบุคคล พร้อมให้คาแนะนาเพ่ิมเตมิ
(หมายเหต:ุ ครูเร่ิมประเมินนักเรยี น โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล)
2. ครูสุ่มนักเรียนออกมาเฉลยใบงาน เรื่อง เครื่องบันทึกสัญญาณทางดาราศาสตร์ โดยครูให้นักเรียน
ร่วมกันพจิ ารณาว่าคาตอบใดถูกต้อง จากนน้ั ครเู ฉลยคาตอบที่ถูกต้องให้นกั เรียน
ขน้ั สรุป
1. ครูมอบหมายให้นักเรียนสรุปแผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เรื่อง เครื่องบันทึกสัญญาณ
ทางดาราศาสตร์
2. ครูให้นกั เรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ ในหวั ข้อที่เรยี นมา และในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมมีจุดใดทีย่ ังเข้าใจไม่
ชดั เจนหรือยังมขี อ้ สงสยั ถ้ามีครูชว่ ยอธิบายเพมิ่ เติม และทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้
ตอบคาถาม
3. ครูมอบหมายให้นักเรียนฝึกทาแบบฝึกหัด Unit Questions เรื่อง เครื่องบันทึกสัญญาณทางดารา
ศาสตร์ จากหนงั สอื เรียนฯ ลงในสมุดประจาตวั เพ่อื นาส่งครูท้ายชว่ั โมง
4. ครมู อบหมายครใู ห้นกั เรียนทาแบบฝึกหดั เร่อื ง เครื่องบันทกึ สัญญาณทางดาราศาสตร์ เปน็ การบา้ น
แล้วนาส่งครู และศึกษาเนื้อหา เรื่อง ดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ ซ่ึงจะเรียนในคาบ
ตอ่ ไปมาลว่ งหน้า
ขน้ั ประเมนิ
1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับเร่ือง เคร่ืองบันทึกสัญญาณทางดาราศาสตร์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบ
คาถาม การทาแบบฝกึ หัด ใบงาน และการสรปุ สาระสาคญั
2. ประเมนิ ทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากโดยสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุม่ การปฏบิ ตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ท่ไี ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
3. ประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงคโ์ ดยสงั เกตพฤติกรรมจากการสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติกิจกรรม
การอภปิ ราย และการทาแบบฝึกหัด
7. กำรวัดและประเมนิ ผล
รำยกำรวัด วธิ ีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ำรประเมิน
7.1 การประเมินระหว่าง - รอ้ ยละ 70 ผ่านเกณฑ์
- ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์
การจดั กจิ กรรม - ตรวจใบงานที่ 6.2 - ใบงานท่ี 6.2 - ร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์
1) เครือ่ งบันทกึ - ตรวจแบบฝกึ หดั - ตรวจแบบฝึกหัด - ระดบั คณุ ภาพ 3
ผา่ นเกณฑ์
สญั ญาณทางดารา - ตรวจ คาถาม - คาถาม
- ระดบั คุณภาพ 3
ศาสตร์ ผ่านเกณฑ์
2) การปฏบิ ตั กิ าร - ประเมิน - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพ 3
ผ่านเกณฑ์
การปฏิบตั กิ าร การปฏบิ ตั กิ าร
- ระดับคุณภาพ 3
3) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกต ผ่านเกณฑ์
การทางาน การทางาน พฤติกรรม
รายบคุ คล รายบคุ คล การทางานรายบคุ คล
4) พฤตกิ รรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกต
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม พฤตกิ รรม
การทางานกลมุ่
5) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมวี นิ ัย - แบบประเมิน
อันพึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่นั คณุ ลักษณะ
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
8. สื่อ/แหล่งกำรเรียนรู้
8.1 สอ่ื กำรเรียนรู้
1) หนงั สือเรียน รายวิชาเพ่มิ เตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เล่ม 2
2) แบบฝึกหัด รายวชิ าเพ่ิมเติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เล่ม 2
3) ใบงานท่ี 6.2 เรื่อง เครอื่ งบนั ทึกสญั ญาณทางดาราศาสตร์
4) PowerPoint เรอื่ ง เครอ่ื งบนั ทึกสัญญาณทางดาราศาสตร์
8.2 แหล่งกำรเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมดุ
3) แหลง่ ข้อมลู สารสนเทศ
ใบงำนท่ี 6.2
เรื่อง เคร่ืองบันทึกสญั ญำณทำงดำรำศำสตร์
คำชี้แจง : พจิ ารณาสมบัตทิ ่ีกาหนดให้ วา่ เปน็ สมบตั ขิ องเครอ่ื งบนั ทกึ สญั ญาณทางดาราศาสตร์ประเภทใด
เพลตถา่ ยภาพ มาตรแสง โพลาริมิเตอร์ ตวั เพ่ิมความเข้ม
ภาพ
กล้องถ่ายภาพซีซีดี อินเตอรฟ์ ี รอมิเตอร์
สมบัติ ประเภทของเครอื่ งบันทกึ
สัญญำณทำงดำรำศำสตร์
1. ใช้วัดความสว่างของท้องฟ้า
2. วดั ทิศทางโพลาไรซ์ของแสงได้
3. ใช้แผ่นแก้วฉาบด้วยสารไวแสงเปน็ ตวั บนั ทกึ
ขอ้ มูลแสง
4. ใช้สารก่ึงตัวนาซงึ่ ปลดปล่อยอิเล็กตรอนออกมา
เมอ่ื มีแสงตกกระทบ
5. ใช้โฟโตแคโทดท่ีปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเมอื่
ได้รบั สัญญาณแสง
6. ใชก้ ารสังเกตการณจ์ ากกล้องเล็กหลายๆ ตัว
เพ่อื ให้ได้ความละเอียดเหมือนกล้องใหญ่เพยี งตัว
เดียว
7. ทางานโดยการสงั เกตความเหลอ่ื มของเฟสในคล่ืน
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
8. อุปกรณ์บันทึกแสงที่นยิ มใชอ้ ย่างแพรห่ ลายใน
ปจั จุบนั
9. มักใช้ในกล้องมองกลางคืน
10. มีปัญหาเรือ่ งการอิ่มตัวได้ง่าย ทาให้สญั ญาณที่
ได้รับไม่แปรผันตรงกับแสงที่ตกกระทบ
ใบงำนที่ 6.2 เฉลย
เรอื่ ง เคร่อื งบนั ทกึ สัญญำณทำงดำรำศำสตร์
คำชีแ้ จง : พิจารณาสมบตั ิทกี่ าหนดให้ วา่ เป็นสมบัติของเครือ่ งบนั ทึกสญั ญาณทางดาราศาสตร์ประเภทใด
เพลตถา่ ยภาพ มาตรแสง โพลาริมิเตอร์ ตวั เพิ่มความเขม้
ภาพ
กล้องถ่ายภาพซีซีดี อินเตอรฟ์ ี รอมิเตอร์
สมบัติ ประเภทของเครือ่ งบนั ทึก
สญั ญำณทำงดำรำศำสตร์
1. ใชว้ ัดความสว่างของท้องฟ้า มาตรแสง
2. วัดทิศทางโพลาไรซ์ของแสงได้ โพลาริมเิ ตอร์
3. ใช้แผน่ แกว้ ฉาบด้วยสารไวแสงเป็นตวั บันทึก เพลตถา่ ยภาพ
ข้อมูลแสง
4. ใช้สารก่งึ ตวั นาซึง่ ปลดปล่อยอิเล็กตรอนออกมา กล้องถ่ายภาพซซี ดี ี
เมื่อมีแสงตกกระทบ
5. ใชโ้ ฟโตแคโทดท่ีปล่อยอิเล็กตรอนออกมาเม่ือ ตัวเพิม่ ความเข้มภาพ
ไดร้ ับสญั ญาณแสง
6. ใช้การสังเกตการณจ์ ากกล้องเล็กหลายๆ ตัว
เพอ่ื ให้ได้ความละเอียดเหมือนกล้องใหญ่เพียงตัว อนิ เตอรฟ์ ีรอมิเตอร์
เดียว
7. ทางานโดยการสงั เกตความเหลอ่ื มของเฟสในคลน่ื อนิ เตอร์ฟีรอมเิ ตอร์
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
8. อปุ กรณ์บนั ทึกแสงทนี่ ิยมใช้อย่างแพร่หลายใน กล้องถ่ายภาพซซี ีดี
ปจั จุบนั
9. มักใช้ในกล้องมองกลางคืน ตวั เพ่มิ ความเขม้ ภาพ
10. มีปญั หาเร่อื งการอิ่มตวั ได้งา่ ย ทาให้สญั ญาณท่ี เพลตถา่ ยภาพ
ไดร้ ับไมแ่ ปรผนั ตรงกับแสงท่ีตกกระทบ
9. บนั ทกึ ผลหลงั กำรสอน
• ดา้ นความรู้
• ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
• ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์
• ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
• ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนกั เรียนเป็นรายบุคคล (ถ้าม)ี )
• ปัญหา/อปุ สรรค ลงชอื่
• แนวทางการแกไ้ ข (นางรัตตยิ า สุธรรม)
ตำแหนง่ ครู
ลงชือ่
(นางรตั ติยา สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
10. ควำมเห็นของหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
“……………………………….
ควำมเหน็ ของหัวหนำ้ กลมุ่ บริหำรงำนวิชำกำร ลงช่ือ .................................
(นางรัตตยิ า สุธรรม)
ตำแหน่ง ครู
“……………………………….
ลงชอ่ื .................................
(นายถาวร ลาวช่าง)
ตำแหนง่ ครู
ควำมเหน็ ของผู้บรหิ ำรสถำนศึกษำหรอื ผูท้ ไ่ี ด้รับมอบหมำย
“……………………….
ลงช่ือ .................................
(วำ่ ที่ร้อยโทวฒุ ชิ ัย ไปปลอด)
ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยกำรโรงเรียนนำคำรำษฎรร์ งั สรรค์
แผนกำรจดั กำรเรียนรทู้ ่ี 12
รำยวิชำเพิ่มเติม โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ กลุ่มสำระกำรเรียนรวู้ ิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี 6 เทคโนโยลอี วกำศกบั กำรประยกุ ตใ์ ช้ เวลำ 4 ชั่วโมง
แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ เรือ่ ง ดำรำศำสตรใ์ นช่วงควำมยำวคลอื่ นต่ำง เวลำ 1 ชวั่ โมง
ชัน้ มธั ยมศกึ ษำปีที่ 6 เวลำ 20 ช่ัวโมง จำนวน 0.5 หน่วยกิต
…………………………………………………………………………………………………………………………….
สำระโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ
3. เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ
ระบบสุริยะ ความสมั พนั ธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์ จากการศกึ ษาตาแหนง่ ดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสมั พนั ธ์
ภายในระบบสุรยิ ะ รวมทง้ั การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศในการดารงชวี ิต
1. ผลกำรเรียนรู้
7. สืบค้นข้อมูล ออกแบบ และนาเสนอกิจกรรม การสังเกตดาวบนท้องฟ้าด้วยตาเปล่า และ/ หรือกล้อง
โทรทรรศน์
2. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
1. อธิบายหลักการทางานของกลอ้ งโทรทรรศน์ในชว่ งความยาวคลืน่ ตา่ ง ๆ ได้ (K)
2. อธบิ ายประโยชนท์ ีไ่ ดจ้ ากกลอ้ งโทรทรรศน์ในช่วงความยาวคลนื่ ตา่ ง ๆ ได้ (K)
3. สบื คน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกับกลอ้ งโทรทรรศนใ์ นช่วงความยาวคลืน่ ต่าง ๆ ได้อยา่ งถกู ต้อง (P)
4. เป็นคนชา่ งสังเกต ช่างคิด ช่างสงสยั และเป็นผทู้ ่ีมีความกระตอื รือรน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
3. สำระกำรเรยี นรู้
สำระกำรเรียนรู้เพมิ่ เต่ิม
- มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพ่ือขยายขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และในขณะเดียวกัน
มนุษยไ์ ด้นาเทคโนโลยีอวกาศมาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เชน่ วัสดุศาสตร์ อาหาร การแพทย์
- นักวิทยาศาสตร์ไดส้ ร้างกลอ้ งโทรทรรศน์ เพ่ือศกึ ษาแหลง่ กาเนิดของรงั สีหรืออนุภาคในอวกาศในช่วงความ
ยาวคล่ืนต่าง ๆ ได้แก่ คล่ืนวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรงั สเี อก็ ซ์
4. สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด
คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ในแตล่ ะช่วงความถี่และความยาวคลน่ื ที่แตกต่างกนั เชน่ รังสอี นิ ฟราเรด หรือคลื่น
ความรอ้ นทเี่ กิดจากวตั ถทุ ่มี ีอณุ หภูมิสงู สามารถตรวจจับได้โดยกายสมั ผัสแสงทีเ่ กิดจากการปลดปลอ่ ยพลังงาน
ของอะตอม อาจตรวจพบไดด้ ้วยจักษสุ ัมผสั รังสีเอกซ์ท่เี กดิ จากการปลดปล่อยพลงั งานของอิเลก็ ตรอนสามารถ
ตรวจจับได้ง่ายด้วยฟิล์มเอกซเรย์ และคลื่นวิทยุท่ีเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานของอิเล็กตรอนในไฟฟ้า
กระแสสลบั ความถส่ี ูง
วัตถแุ ต่ละชนิดมอี ณุ หภูมไิ ม่เทา่ กนั จึงมกี ารแผร่ งั สีเขม้ ท่ีความยาวคล่นื แตกต่างกนั วัตถทุ ่ีมอี ณุ หภูมิสูง
เชน่ หลุมดา ดาวระเบิด ดาวฤกษ์เกิดใหม่ แผร่ งั สคี ลื่นสั้น เช่น รังสแี กมมา รังสีเอกซ์ และรังสีอัลตราไวโอเล็ต
วตั ถุท่ีมีอุณหภูมิต่า เช่น เนบวิ ลา แผร่ ังสคี ล่นื ยาว เชน่ รังสีอินฟราเรด วตั ถุทหี่ มนุ รอบตัวเองด้วยความเร็วสูง
เช่น ดาวนิวตรอน หลุมดา แผ่คลื่นวิทยุ ดังน้ันนักดาราศาสตร์จึงจาเป็นต้องศึกษาวัตถุต่างๆ ในทุกความยาว
คล่นื ไม่ใช่เฉพาะแสงที่ตามองเหน็ (Visible light) เทา่ นนั้
5. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียนและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวนิ ัย รับผดิ ชอบ
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. ซือ่ สัตย์ สุจริต
2) ทกั ษะการส่อื สาร 4. มงุ่ มั่นในการทางาน
3) ทกั ษะการทดลอง
4) ทักษะการวเิ คราะห์
5) ทกั ษะการทางานร่วมกัน
3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
6. กิจกรรมกำรเรยี นรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วธิ ีสอน/เทคนิค : การสอนแบบเน้นมโนทัศน์
ชั่วโมงที่ 1-2
ขน้ั นา
ขนั้ กำรใชค้ วำมรเู้ ดิมเชือ่ มโยงควำมร้ใู หม่ (Prior Knowledge)
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับเครื่องบันทึกสัญญาณทางดาราศาสตร์เพื่อเป็นการทบทวน
ความรู้ของนักเรียนจากคาบเรยี นท่ผี า่ นมา และนาไปสู่หัวขอ้ ต่อไป
2. ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเก่ียวกับแสงและคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า โดยใช้ภาพสเปกตรัมคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟา้ หรอื ภาพท่ี 6.18
3. ครูให้ความรกู้ บั นักเรียนเกย่ี วกับคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ ในช่วงความถ่ตี า่ ง ๆ ประกอบดว้ ยคลนื่ วทิ ยุ คลืน่
ไมโครเวฟ รังสอี ินฟาเรด แสง รังสีอลั ตราไวโอเลต รงั สเี อกซ์ และรังสีแกมมา โดยคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า
แตล่ ะชนดิ มคี วามถ่ีและความยาวคลน่ื ทีแ่ ตกต่างกนั
4. ครูถามคาถามเพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูก
หรอื ผดิ ดังนี้
• ความถ่ีและความยาวคลืน่ ของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าแต่ละชนดิ แตกตา่ งกันอยา่ งไร
• คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ชนดิ ใดมคี วามถ่ีมากทีส่ ดุ และนอ้ ยทส่ี ดุ
• คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ชนิดใดมีพลงั งานมากทสี่ ดุ และน้อยทสี่ ุด
5. นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั คาตอบของคาถามอย่างอิสระ โดยไมม่ ี
การเฉลยว่าถูกหรือผิด จากนั้นครูถามคาถามว่า “นักดาราศาสตร์ใช้ความรู้เกี่ยวกับคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟา้ เพ่ือการสารวจวัตถุบนท้องฟ้าอยา่ งไร” เพ่อื เช่ือมโยงไปสกู่ ารเรียนรเู้ รอ่ื ง ดาราศาสตร์
ในชว่ งความยาวคลื่นต่าง ๆ
ขน้ั สอน
ขนั้ รู้ (Knowing)
1. นกั เรียนแบง่ กลุม่ ออกเป็นกลุม่ ๆ ละ 7 คน ตามความสมัครใจของนกั เรยี น แลว้ ให้แต่ละกล่มุ รว่ มกัน
ศึกษาคน้ คว้าข้อมลู เกี่ยวกับ เรื่อง การสงั เกตการณท์ างดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ จาก
หนังสือเรยี นหรือแหลง่ การเรียนรูต้ ่าง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ น็ต โดยใหแ้ ตล่ ะคนภายในกลุ่มแบ่งหน้าท่ีกัน
ศึกษาคนละ 1 เร่อื ง จากนนั้ ใหแ้ ต่ละคนภายในกล่มุ นาเรือ่ งท่ีตนเองศึกษาคน้ คว้ามาอธบิ ายให้เพื่อน
ในกลมุ่ ฟัง แลว้ ร่วมกันสรปุ ขอ้ มลู ทไ่ี ดล้ งในสมุดประจาตัว หวั ข้อเรื่อง มีดังน้ี
- คนที่ 1 ศึกษากลอ้ งโทรทรรศน์วิทยุ
- คนท่ี 2 ศึกษากล้องโทรทรรศนร์ ังสีเอกซ์
- คนที่ 3 ศึกษากลอ้ งโทรทรรศนร์ งั สแี กมมา
- คนที่ 4 ศกึ ษากล้องโทรทรรศนร์ งั สีอัลตราไวโอเลต
- คนที่ 5 ศึกษากลอ้ งโทรทรรศน์อนิ ฟราเรด
- คนที่ 6 ศึกษากล้องโทรทรรศนไ์ มโครเวฟ
- คนที่ 7 ศึกษาเครอ่ื งตรวจวดั รงั สคี อสมิก
- คนท่ี 8 ศกึ ษาเครอื่ งตรวจวัดนิวทรโิ น
2. ครูให้นักเรียนนาเรื่องท่ีตนเองศึกษามาอธิบายให้เพ่ือนภายในกลุ่มฟัง จนเกิดความเข้าใจท่ีตรงกัน
ภายในกลุม่
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มอภิปรายเกี่ยวกับความแตกต่างและประโยชน์ท่ีได้จากกล้องโทรทรรศน์ในช่วง
คล่ืนความถตี่ า่ ง ๆ
ขน้ั เขำ้ ใจ (Understanding)
4. ครสู ่มุ นกั เรียนใหอ้ อกมานาเสนอผลการศกึ ษาหน้าชนั้ เรียน โดยสมุ่ ออกมาเพยี ง 4-5 กลุม่ ซง่ึ ครเู ป็น
คนเลือกวา่ จะใหก้ ล่มุ ไหนนาเสนอเร่ืองอะไร ตามหวั ข้อเร่ือง ดงั ต่อไปนี้
• กล้องโทรทรรศน์วิทยแุ ละกลอ้ งโทรทรรศน์รังสีเอกซ์
• กล้องโทรทรรศนร์ งั สีแกมมาและกล้องโทรทรรศนร์ ังสีอัลตราไวโอเลต
• กล้องโทรทรรศนอ์ ินฟราเรดและไมโครเวฟ
• เครื่องตรวจวดั รังสีคอสมกิ และเคร่อื งตรวจวดั นวิ ทรโิ น
(หมายเหตุ : ครูเร่มิ ประเมนิ นกั เรยี น โดยใชแ้ บบประเมินการนาเสนอผลงาน)
5. ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มกาลังนาเสนอ ครูอาจเสนอแนะหรือแทรกข้อมูลเพิม่ เติมในเรื่องนนั้ ๆ ให้
นกั เรียนทุกคนไดม้ คี วามเข้าใจทถี่ กู ต้องมากย่ิงขน้ึ
6. ครูอธิบายเกี่ยวกับดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลน่ื ต่าง ๆ ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น
ข้นั ลงมือทำ (Doing)
1. ครูให้นกั เรยี นทุกคนทาใบงาน เรื่อง ดาราศาสตร์ในชว่ งความยาวคลื่นต่าง ๆ พร้อมทั้งสงั เกตคาตอบ
ของนกั เรยี น เพือ่ ประเมินพฤติกรรมนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล พรอ้ มใหค้ าแนะนาเพ่ิมเติม
(หมายเหตุ: ครเู ร่มิ ประเมินนักเรยี น โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล)
2. ครูสุ่มนักเรียนออกมาเฉลยใบงาน เรื่อง ดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ โดยครูให้นักเรยี น
รว่ มกนั พิจารณาว่าคาตอบใดถูกต้อง จากนน้ั ครูเฉลยคาตอบทถ่ี ูกต้องให้นักเรยี น
ขน้ั สรปุ
1. ครูมอบหมายให้นักเรียนสรุปแผนผังมโนทัศน์ (Concept Mapping) เรือ่ ง ดาราศาสตร์ในช่วงความ
ยาวคลืน่ ต่าง ๆ
2. ครูให้นักเรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาว่าในหัวขอ้ ท่ีเรียนมา และในการปฏิบตั ิกจิ กรรมมจี ุดใดท่ยี ังเข้าใจไม่
ชัดเจนหรือยงั มีขอ้ สงสัย ถ้ามคี รชู ่วยอธิบายเพ่มิ เติม และทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้
ตอบคาถาม
3. ครมู อบหมายใหน้ กั เรียนฝึกทาแบบฝึกหัด Unit Questions เรือ่ ง ดาราศาสตร์ในชว่ งความยาวคล่ืน
ต่าง ๆ จากหนงั สอื เรียนฯ ลงในสมุดประจาตัว เพื่อนาสง่ ครูทา้ ยช่วั โมง
4. ครูมอบหมายครใู ห้นกั เรียนทาแบบฝึกหัด เรอ่ื ง ดาราศาสตร์ในชว่ งความยาวคลน่ื อน่ื ๆ เปน็ การบ้าน
แล้วนาส่งครู และศึกษาเน้ือหา เร่ือง อุปกรณ์ที่ใช้ในการสารวจอวกาศ ซึ่งจะเรียนในคาบต่อไปมา
ลว่ งหนา้
ขน้ั ประเมนิ
1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับเรื่อง ดาราศาสตร์ในช่วงความยาวคลื่นอื่น ๆ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบ
คาถาม การทาแบบฝกึ หัด ใบงาน และการสรุปสาระสาคญั
2. ประเมินทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จากโดยสังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ การปฏบิ ตั ิ
กิจกรรม และการนาความรู้ทไี่ ด้ไปใช้ประโยชน์
3. ประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคโ์ ดยสงั เกตพฤตกิ รรมจากการสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรม
การอภปิ ราย และการทาแบบฝกึ หดั
7. กำรวดั และประเมินผล
รำยกำรวัด วธิ วี ดั เครื่องมอื เกณฑ์กำรประเมนิ
7.1 การประเมินระหว่าง - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
การจัดกจิ กรรม - ตรวจใบงานท่ี 6.3 - ใบงานที่ 6.3 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์
1) ดาราศาสตร์ - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจแบบฝึกหัด - ระดับคณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
ในช่วงความยาวคล่ืน - ตรวจ คาถาม - คาถาม
- ระดับคุณภาพ 2
ตา่ ง ๆ ผ่านเกณฑ์
2) การปฏิบัตกิ าร - ประเมิน - แบบประเมนิ - ระดบั คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์
การปฏิบตั ิการ การปฏบิ ตั กิ าร
- ระดบั คณุ ภาพ 2
3) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกต ผา่ นเกณฑ์
การทางาน การทางาน พฤตกิ รรม
รายบุคคล รายบุคคล การทางานรายบคุ คล
4) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกต
การทางานกลมุ่ การทางานกล่มุ พฤตกิ รรม
การทางานกล่มุ
5) คุณลกั ษณะ - สงั เกตความมวี นิ ยั - แบบประเมิน
อนั พึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่ัน คณุ ลกั ษณะ
ในการทางาน อันพงึ ประสงค์
8. สือ่ /แหล่งกำรเรียนรู้
8.1 ส่อื กำรเรียนรู้
1) หนังสือเรียน รายวชิ าเพ่ิมเตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ม.6 เล่ม 2
2) แบบฝึกหัด รายวชิ าเพมิ่ เติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ ม.6 เลม่ 2
3) ใบงานท่ี 6.3 เรอื่ ง ดาราศาสตรใ์ นช่วงความยาวคลน่ื ตา่ ง ๆ
4) PowerPoint เรอ่ื ง ดาราศาสตรใ์ นช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ
8.2 แหล่งกำรเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมดุ
3) แหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ
ใบงำนที่ 6.3
เรอ่ื ง ดำรำศำสตร์ในชว่ งควำมยำวคลืน่ ต่ำง ๆ
คำชีแ้ จง : ให้นกั เรียนพจิ ารณาข้อความเกย่ี วกับดาราศาสตรใ์ นช่วงความยาวคลน่ื ต่าง ๆ ที่กาหนดให้
ว่ามีความสัมพันธ์กบั ขอ้ ความใด
คลื่นวิทยุ รงั สีคอสมิก รงั สีเอกซ์ นิ วทริโน รงั สีอลั ตราไวโอเลต รงั สีอินฟาเรด แสง
รงั สีแกมมา
Orbiting Astronomical Observatory เคร่ืองตรวจวดั รงั สีคอสมิก
หอสงั เกตการณ์ซูเปอรค์ ามิโอคนั เด Atacama Large Millimeter Array
กล้องโทรทรรศน์อวกาศจนั ทรา กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฟอรม์ ิ
กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮบั เบิล กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิ ตเซอร์
ข้อควำมเก่ียวกบั ดำรำศำสตร์
ในช่วงควำมยำวคลน่ื ตำ่ ง ๆ
1. ประกอบขึ้นจากอนุภาคพลังงานสูงโดยส่วนมากเป็น
นิวเคลยี สของธาตุต่าง ๆ
2. มคี วามยาวคล่ืนสงู ต้องใช้จานขนาดใหญ่เพอ่ื รับสญั ญาณ
3. ปล่อยออกมาจากวัตถุท้องฟ้าท่ีมีอุณหภูมิสูง เช่น ดาว
ยักษ์น้าเงิน ดาวแคระขาว ควาซาร์ และช้ันโฟโทสเฟียร์ของ
ดวงอาทติ ย์
4. ปลอ่ ยออกมาจากวัตถุทีม่ ีความรอ้ นสูง หรือสสารท่กี าลัง
ตกสู่หลุมดา
5. อนภุ าคทมี่ ีมวลน้อย เคล่อื นท่ีด้วยความเร็วใกล้กับแสงและ
สามารถเคล่ือนท่ีทะลุผ่านโลกได้โดยไม่ชนกบั อนภุ าคใด ๆ
6. ช่วงคลนื่ ที่ตามองเห็น
7. มีพลังงานสูง เกิดจากการระเบิดคร้ังใหญ่ที่ปลดปล่อย
พลังงานออกมาเท่ากับพลังงานของดวงอาทิตย์ ภายในเวลา
ไม่ก่ีนาที
8. รงั สีความร้อนที่สามารถสอ่ งทะลุใหเ้ หน็ วัตถุทถี่ กู บดบงั
โดยฝุ่นละอองได้
ใบงำนที่ 6.3 เฉลย
เรือ่ ง ดำรำศำสตรใ์ นชว่ งควำมยำวคล่นื ตำ่ ง ๆ
คำชี้แจง : ใหน้ กั เรยี นพิจารณาขอ้ ความเกี่ยวกบั ดาราศาสตร์ในชว่ งความยาวคลืน่ ต่าง ๆ ท่ีกาหนดให้
วา่ มคี วามสมั พนั ธ์กบั ข้อความใด
คลื่นวิทยุ รงั สีคอสมิก รงั สีเอกซ์ นิ วทริโน รงั สีอลั ตราไวโอเลต รงั สีอินฟาเรด แสง
รงั สีแกมมา
Orbiting Astronomical Observatory เครื่องตรวจวดั รงั สีคอสมิก
หอสงั เกตการณ์ซูเปอรค์ ามิโอคนั เด Atacama Large Millimeter Array
กล้องโทรทรรศน์อวกาศจนั ทรา กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฟอรม์ ิ
กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮบั เบิล กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิ ตเซอร์
ขอ้ ควำมเกย่ี วกบั ดำรำศำสตร์
ในช่วงควำมยำวคลื่นตำ่ ง ๆ
1. ประกอบข้ึนจากอนุภาคพลังงานสูงโดยส่วนมากเป็น รังสคี อสมิก, เคร่ืองตรวจวดั
นวิ เคลียสของธาตตุ ่าง ๆ รงั สคี อสมิก
2. มคี วามยาวคลน่ื สูง ต้องใชจ้ านขนาดใหญ่เพอ่ื รบั สญั ญาณ
คลื่นวิทยุ, Atacama Large
3. ปล่อยออกมาจากวัตถุท้องฟ้าที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ดาว Millimeter Array
ยักษ์น้าเงิน ดาวแคระขาว ควาซาร์ และช้ันโฟโทสเฟียร์ของ
ดวงอาทิตย์ รังสอี ัลตราไวโอเลต, Orbiting
4. ปลอ่ ยออกมาจากวัตถุที่มีความร้อนสูง หรือสสารทีก่ าลงั Astronomical Observatories
ตกสูห่ ลมุ ดา
5. อนภุ าคท่มี ีมวลน้อย เคลือ่ นที่ดว้ ยความเร็วใกลก้ ับแสงและ รงั สเี อกซ์, กล้องโทรทรรศน์
สามารถเคล่ือนท่ีทะลผุ ่านโลกได้โดยไม่ชนกับอนภุ าคใด ๆ อวกาศจนั ทรา
6. ช่วงคลื่นท่ีตามองเห็น
นวิ ทรโิ น, หอสังเกตการณ์
7. มีพลังงานสูง เกิดจากการระเบิดคร้ังใหญ่ท่ีปลดปล่อย ซูเปอรค์ ามโิ อคันเด
พลังงานออกมาเท่ากับพลังงานของดวงอาทิตย์ ภายในเวลา
ไมก่ ี่นาที แสง, กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮบั เบลิ
8. รังสีความร้อนที่สามารถส่องทะลใุ ห้เห็นวัตถุท่ถี ูกบดบงั
โดยฝนุ่ ละอองได้ รงั สีแกมมา, กลอ้ งโทรทรรศน์
อวกาศเฟอร์มิ
รงั สอี นิ ฟาเรด, กล้องโทรทรรศน์
อวกาศสปิตเซอร์
9. บนั ทึกผลหลงั กำรสอน
• ดา้ นความรู้
• ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
• ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์
• ดา้ นความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
• ด้านอื่น ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนกั เรียนเป็นรายบุคคล (ถ้าม)ี )
• ปัญหา/อปุ สรรค ลงชอื่
• แนวทางการแกไ้ ข (นางรัตตยิ า สุธรรม)
ตำแหนง่ ครู
ลงชือ่
(นางรตั ติยา สธุ รรม)
ตำแหน่ง ครู
10. ควำมเห็นของหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
“……………………………….
ควำมเหน็ ของหัวหนำ้ กลมุ่ บริหำรงำนวิชำกำร ลงช่ือ .................................
(นางรัตตยิ า สุธรรม)
ตำแหน่ง ครู
“……………………………….
ลงชอ่ื .................................
(นายถาวร ลาวช่าง)
ตำแหนง่ ครู
ควำมเหน็ ของผู้บรหิ ำรสถำนศึกษำหรอื ผูท้ ไ่ี ด้รับมอบหมำย
“……………………….
ลงช่ือ .................................
(วำ่ ที่ร้อยโทวฒุ ชิ ัย ไปปลอด)
ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยกำรโรงเรียนนำคำรำษฎรร์ งั สรรค์
แผนกำรจดั กำรเรียนรูท้ ี่ 13
รำยวิชำเพ่มิ เตมิ โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ กลุ่มสำระกำรเรยี นรูว้ ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี 6 เทคโนโยลีอวกำศกบั กำรประยกุ ต์ใช้ เวลำ 4 ชว่ั โมง
แผนกำรจดั กำรเรียนรู้ เรือ่ ง อุปกรณ์ท่ีใชใ้ นกำรสำรวจอวกำศ เวลำ 1 ช่วั โมง
ชั้นมธั ยมศึกษำปีท่ี 6 เวลำ 20 ชัว่ โมง จำนวน 0.5 หนว่ ยกติ
…………………………………………………………………………………………………………………………….
สำระโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ
3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ
ระบบสุริยะ ความสมั พนั ธข์ องดาราศาสตรก์ บั มนษุ ย์ จากการศกึ ษาตาแหน่งดาวบนทรงกลมฟา้ และปฏสิ ัมพันธ์
ภายในระบบสรุ ิยะ รวมทงั้ การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศในการดารงชวี ิต
1. ผลกำรเรียนรู้
7. สืบค้นข้อมูล ออกแบบ และนาเสนอกิจกรรม การสังเกตดาวบนท้องฟ้าด้วยตาเปล่า และ/ หรือ
กลอ้ งโทรทรรศน์
2. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
1. อธิบายหลักการทางานของอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการสารวจอวกาศได้ (K)
2. อธบิ ายประโยชน์ทีไ่ ด้จากอุปกรณท์ ี่ใช้ในการสารวจอวกาศได้ (K)
3. สบื คน้ ขอ้ มลู เกี่ยวกับอุปกรณท์ ่ีใชใ้ นการสารวจอวกาศได้อยา่ งถูกตอ้ ง (P)
4. เปน็ คนช่างสงั เกต ช่างคิด ชา่ งสงสยั และเป็นผทู้ ีม่ ีความกระตอื รือรน้ ในการเสาะแสวงหาความรู้ (A)
3. สำระกำรเรยี นรู้
สำระกำรเรียนรู้เพิ่มเต่มิ
- มนษุ ยใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศในการศกึ ษา เพ่ือขยายขอบเขตความรูด้ า้ นวิทยาศาสตร์ และในขณะเดยี วกนั
มนษุ ย์ไดน้ าเทคโนโลยอี วกาศมาใชป้ ระโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ เช่น วสั ดุศาสตร์ อาหาร การแพทย์
- นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพ่ือศึกษาแหล่งกาเนิดของรังสีหรืออนภุ าคในอวกาศในชว่ ง
ความยาวคล่ืนตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ คลน่ื วิทยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด แสง อลั ตราไวโอเลต และรังสเี อ็กซ์
4. สำระสำคญั /ควำมคดิ รวบยอด